Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนการจัดการเรียนรู้ คุณครูวาสนา พานิชย์ ป.ถม

แผนการจัดการเรียนรู้ คุณครูวาสนา พานิชย์ ป.ถม

Published by rujiraoopkaew, 2022-06-28 03:16:06

Description: แผนการจัดการเรียนรู้ คุณครูวาสนา พานิชย์ ป.ถม

Search

Read the Text Version

101 พอประมาณ -ร๎จู ักนาหลกั ธรรมสาคัญๆในศาสนาของตนมาประพฤติปฏิบัตใิ หส๎ ามารถอยํรู วํ มกันกบั ศาสนาอ่นื ได๎อยํางสนั ติสุข มเี หตผุ ล - ไดค๎ วามร๎ู ความเข๎าใจในวฒั นธรรมประเพณขี องประเทศไทยและประเทศในเอเชยี มภี ูมคิ ุ้มกัน - เหน็ คุณคําและประโยชนใ์ นการนาหลักธรรม คาสอนในศาสนาที่ตนนบั ถือ มาประพฤติ ปฏิบัติเพ่ือใหเ๎ ปน็ คน ดใี นสังคม วตั ถุ - มีความรู๎ เรือ่ งศาสนา วฒั นธรรม ประเพณี ทสี่ อดคลอ๎ งกบั วถิ ีชีวติ ของคนในชุมชน สงั คม - มที ักษะการอยรํู ํวมกันในชมุ ชน และยอมรบั ฟังความคดิ เห็นของผ๎ูอนื่ สง่ิ แวดล้อม - เหน็ คุณคําของการรกั ษาศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี ในชุมชนของผ๎ูเรียน วัฒนธรรม - มคี วามร๎เู รอ่ื งวฒั นธรรมประเพณี - ปฏิบัตติ นตามขนมธรรมเนียมประเพณไี ทยได๎อยํางเหมาะสม 9. กระบวนการจดั การเรียนรแู้ ละกิจกรรมการเรยี นรู้ ขน้ั ที่ 1 กาหนดสภาพปัญหาการเรียนรู้ (O : Orientation) 1. ครสู รา๎ งความคนุ๎ เคยกบั ผเู๎ รียนโดยการเปดิ ประเด็นเรื่องศาสนาทนี่ กั เรียนสวํ นใหญนํ ับถือแลว๎ ถามถึง ความสาคัญและเหตุผลที่ต๎องนับถอื ศาสนาน้นั ๆ 2. ครทู าความเขา๎ ใจกบั วชิ าพร๎อมมาตรฐานและช้แี จงตวั ชวี้ ดั ของหนวํ ยการเรยี นรู๎ 3. ครทู ักทายกลาํ วนาและอธบิ ายการกาหนดเปูาหมายและการวางแผนการเรยี นรูเ๎ ก่ยี วกบั ความเป็นมาของ ศาสนาในประเทศไทยและในทวีปเอเชีย 4. ครูและผู๎เรียนรวํ มกันอภปิ รายถงึ ประวัติความเป็นมาของศาสนาทีค่ นไทยนับถือและศาสนาอืน่ ๆทร่ี ู๎จักใน สงั คม 5. ครูเปดิ โอกาสให๎ผ๎เู รยี นซักถามข๎อสงสัยกํอนเขา๎ สํบู ทเรียนข้ันตอํ ไป ขน้ั ที่ 2 แสวงหาขอ้ มูลและจัดการเรยี นรู้ (N : New ways of learning) 1. ครแู ละผเ๎ู รยี นวางแผนวิธีการเรียนรเู๎ น้อื หาเร่ืองความเป็นมาและหลักธรรมของศาสนาในประเทศ ไทยและในทวปี เอเชีย 2. ครูแจกใบความรู๎ เร่ือง ศาสนาพทุ ธ คริสต์ อสิ ลาม ฮนิ ดู 3. ครแู จกใบความร๎ู เร่ือง วัฒนธรรม ประเพณีของไทยและเอเชยี 4. ครูแจกใบความรู๎ เรื่อง หลักธรรมของศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอสิ ลาม และศาสนาฮินดู 5. ครจู ัดทาฉลากแยกเปน็ ศาสนา พทุ ธ ครสิ ต์ อสิ ลาม ฮนิ ดู แลว๎ แบงํ กลํุมผูเ๎ รยี นออกเป็น 4 กลุํม จากน้ันครูให๎ตวั แทนกลํมุ ออกมาจับฉลากเพือ่ ศกึ ษาประวัติความเป็นมาและความสาคญั หลกั คาสอน ศาสนา ของแตํ ละศาสนาทจ่ี บั ฉลากได๎

102 6. ครูกาหนดการเรียนรูท๎ เ่ี ก่ยี วกบั วัฒนธรรม ประเพณีของไทยและเอเชยี แลว๎ แบงํ กลมุํ ผเู๎ รยี น ออกเปน็ 4 กลุมํ จากนัน้ ครใู หต๎ ัวแทนกลํมุ ออกมาจับฉลากเพื่อศึกษาประวตั ิความเปน็ มาและความสาคัญของ วฒั นธรรม ประเพณีของไทยและเอเชยี ทจี่ บั ฉลากได๎ 7. ครูใหผ๎ ู๎เรียนเขียนแผนภาพความคิดเกยี่ วกบั หัวขอ๎ ที่ตนเองได๎รับมอบหมาย 8. ครูให๎ผเ๎ู รยี นสํงตัวแทนกลมุํ ออกมานาเสนอหนา๎ ช้ันเรยี นในเร่ืองที่ตนเองได๎ศึกษาค๎นควา๎ ขน้ั ที่ 3 การปฏิบตั แิ ละการนาไปใช้ ( I : Implementation) 1. ครแู ละผ๎ูเรียนสรปุ เน้ือหาที่ได๎เรียนรูร๎ วํ มกัน 2. ครใู ห๎ผเู๎ รียนรํวมกันจัดปูายนิเทศแสดงผลงานของตนเอง ขั้นที่ 4 การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ (E : Evaluation) 1. ครูให๎ผ๎ูเรียนมีสวํ นรํวมในการประเมินผลชิ้นงานของแตํละกลมุํ โดยการเขยี นช่อื ของตนเองในช้ินงานท่ี ตนเองช่นื ชอบ 2. ครสู ังเกตจากการมีสํวนรํวมของผ๎ูเรียน 10. สอ่ื /แหล่งเรยี นรู้ 1. ใบความร๎ู 2. หนังสือเรยี น 3. ใบงาน 11. การวดั และประเมนิ ผล 11.1 วธิ กี ารวัดและประเมนิ ผล - แบบประเมินผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกับผอ๎ู ืน่ ของนกั ศึกษารายบคุ คล - ใบงาน 11.2 เครอ่ื งมือวดั และประเมินผล. - ประเมนิ ผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกบั ผูอ๎ นื่ ของนกั ศกึ ษารายบุคคล - ผลจากการตรวจใบงาน 11.3 เกณฑก์ ารวดั และการประเมินผล - แบบประเมินผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรํวมกบั ผอ๎ู ืน่ ของนักศึกษารายบุคคล ระดับดี พอใช๎ และควรปรบั ปรงุ - ใบงานคะแนนเต็ม 10 คะแนน กจิ กรรมเสนอแนะ ......................................................................................................................................... ................................................ ลงชอ่ื …………………………………………….ครูผสู๎ อน (นางสาววาสนา พานิชย์ ครู กศน.ตาบล ข้อเสนอแนะของผู้บริหาร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชอ่ื ……………………………………………ผูอ๎ นุมัติแผน (นางปัทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผูอ๎ านวยการ กศน.อาเภอจตรุ พกั ตรพมิ าน

103 บนั ทึกหลังการจดั การเรียนรู้ การจดั ทาหน่วยเรยี นรู้บรู ณาการหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง กศน.ตาบลหัวช้าง ครั้งท่ี 10 วันท่ี 19 เดอื น กรกฎาคม พ.ศ. 2565 ครผู ๎ูสอน นางสาววาสนา พานิชย์ ระดับ ประถมศึกษา เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐ น. สาระพัฒนาสงั คม รายวชิ าศาสนาและหน๎าที่พลเมอื ง รหัสวชิ า สค1๑๐๐2 จานวนผ๎เู รียนทั้งหมด ............... คนเข๎าเรียน…………………คน ไมํเข๎าเรียน……………………….คน ๑. ผลการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้การประเมินโดยใช๎ แบบทดสอบกํอนเรียน - หลงั เรยี น พบวํา คะแนนการทดสอบหลงั เรยี น มากกวํากอํ นเรียนจานวน ........ คนคิดเป็นรอ๎ ยละ............ คะแนนการทดสอบหลงั เรยี น นอ๎ ยกวํากํอนเรยี นจานวน ......... คนคิดเปน็ รอ๎ ยละ............ ๒. เนื้อหา/สาระ ............................................................................................................................. ............................ ............................................................................................................................. ............................ ......................................................................................................................................................... ๓. กิจกรรมการเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ............................ ........................................................................................................................................ .................................... ............................................................................................... ....................................... ๔. ปัญหา/อุปสรรค การเรียนการสอน ............................................................................................................................. ............................ ......................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............................ ๕. แนวทางการแก้ปญั หา ............................................................................................................................. ............................ ......................................................................................................................................................... ลงช่อื ....................................................... (นางสาววาสนา พานชิ ย์) ครผู ส๎ู อน วนั ที่.............../.................../............... ความคิดเหน็ /ขอ้ เสนอแนะของผบู้ ริหาร ......................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................. .................. ลงช่ือ.................................................................. (นางปัทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผูอ๎ านวยการ กศน.อาเภอจตุรพกั ตรพิมาน

104 ใบความรทู้ ่ี 1 เรื่อง ศาสนา วฒั นธรรม ประเพณี หลกั ธรรมของศาสนาตา่ งๆ ของโลก ศาสนามีความสาคัญตํอการดาเนินชีวิตของบุคคลในสังคม เพราะศาสนาทุกศาสนามีจุดมุํงหมายเพ่ือให๎ทา ความดีละเว๎นความช่ัว ศาสนาจงึ มีอทิ ธพิ ลตํอคนในสังคม องคป์ ระกอบของศาสนา มดี งั นี้ 1. ศาสดา คอื ผกู๎ ํอตัง้ ศาสนา 2. คมั ภีร์ คอื หลกั คาสอนเก่ยี วกบั ศลี ธรรมจรรยา 3. นกั บวช คอื ผู๎สืบทอดคาสอน 4. พธิ กี รรม คอื การปฏบิ ัติในการทาพิธที างศาสนา 5. ศาสนสถาน คือ สถานที่ควรเคารพบูชาและใช๎ประกอบพิธีทางศาสนา ศาสนาอิสลาม ไมํมีนักบวช แตํมี ศาสดา มีคมั ภีร์ มศี าสนสถาน และพธิ ีกรรม นบั เปน็ ศาสนาเชนํ กนั ความสาคญั ของศาสนา 1. เป็นพื้นฐานของกฎศลี ธรรมของสังคม 2. เปน็ แหลงํ กาเนดิ จริยธรรม 3. เป็นแหลงํ ทที่ าให๎เกิดศิลปวฒั นธรรม และประเพณี 4. เป็นกลไกของรัฐในการควบคมุ สังคม 5. เปน็ บรรทัดฐานของสงั คมท่ีใช๎ในการปฏิบัตเิ พ่อื ให๎เป็นไปในแนวเดยี วกัน ที่มา :http://www.baanjomyut.com/library_2/extension-3/human_society/01.html ความหมายของวัฒนธรรม \"วฒั นธรรม\" หมายถึง \"แบบอยํางหรือวิถีการดาเนินชีวิตของชุมชนแตํละกลํุม เป็นตัวกาหนดพฤติกรรมการ อยูํรํวม กันอยํางปกติสุขในสังคม\" วัฒนธรรมแตํละสังคมจะแตกตํางกัน ข้ึนอยูํกับข๎อจากัดทางภูมิศาสตร์ และ ทรัพยากร ตํางๆ ลักษณะอีกประการหน่ึงของวัฒนธรรมคือ เป็นการส่ังสมความคิด ความเชื่อ วิธีการ จากสังคมรุํน กํอนๆ มกี ารเรยี นร๎ู และสามารถถํายทอดไปยังรุํนตอํ ๆ ไปได๎ วัฒนธรรมใดที่มีรูปแบบ หรือแนวความคิดท่ีไมํเหมาะสม ก็อาจจะเลือนหายไป วฒั นธรรม เปน็ สิ่งที่แสดงความเป็นชาติให๎ปรากฏชัดเจนขึ้น ประเทศไทยมีวัฒนธรรมที่โดดเดํนทาให๎คนไทย แตกตํางจากชาติอื่น ๆ มีเอกลักษณ์ประจาชาติท่ีเห็นได๎จากภาษาที่ใช๎ อุปนิสัยใจคอ ความรู๎สึกนึกคิดตลอดจนการ แสดงออกที่นํุมนวล อันมีผลมาจากสังคมไทยที่เป็นสังคมแบบประเพณีนา และเป็นสังคมเกษตรกรรม เนื่องจาก ประชากรสํวนใหญํใชช๎ วี ิตอยูํในชนบท สภาพของสิ่งแวดล๎อมที่ดี กลํอมเกลาจิตใจมีความโอบอ๎อมอารี มีน้าใจเอื้อเฟื้อ เกือ้ กลู ซึง่ กนั และกนั ตลอดมา หากแบงํ วัฒนธรรมดว๎ ยมติ ิทางการทํองเทยี่ วแลว๎ จะสามารถแบํงออกได๎เป็น 2 ประเภท ได๎แกํ วัฒนธรรมที่เป็นนามธรรม หมายถึงส่ิงที่ไมํใชํวัตถุ ไมํสามารถมองเห็น หรือจับต๎องได๎ เป็นการแสดงออกใน ด๎าน ความคิด ประเพณี ขนบธรรมเนียม แบบแผนของพฤตกิ รรมตําง ๆ ท่ีปฏิบัติสืบตํอกันมา เป็นที่ยอมรับกันในกลํุม ของ ตนวําเป็นสงิ่ ที่ดงี ามเหมาะสม เชํน ศาสนา ความเชื่อ ความสนใจ ทัศนคติ ความรู๎ และความสามารถ วัฒนธรรม ประเภทนี้เป็นสํวนสาคัญที่ทาให๎เกิด วัฒนธรรมท่ีเป็นรูปธรรมข้ึนได๎และในบางกรณีอาจพัฒนาจนถึงข้ันเป็น อารย ธรรม (Civilization) ก็ได๎ เชํน การสร๎างศาสนสถานในสมัยกํอน เม่ือเวลาผํานไปจึงกลายเป็นโบราณสถาน ท่ีมี ความสาคัญทางประวตั ิศาสตร์

105 หากพจิ ารณาความหมาย และลกั ษณะของวฒั นธรรมท่ีกลาํ วไว๎ข๎างตน๎ แลว๎ ทรัพยากรการทํองเท่ียวประเภทท่ี 2 เป็นผลผลิตของวัฒนธรรมที่มีตัวตน เป็นรูปธรรมเห็นได๎ชัดเจน สํวนประเภทท่ี 3 มีสภาพแรกเร่ิมมาจาก แนวความคิด ความเชอื่ และวถิ ีชวี ิต ซง่ึ เปน็ นามธรรม แตไํ ดม๎ ีการพัฒนาจนมลี ักษณะทางวัฒนธรรมท่ีเปน็ รูปแบบข้ึนมา ทาให๎นัก ทํองเท่ยี วสามารถสมั ผัสทรพั ยากรการทอํ งเทยี่ วประเภทนี้ไดโ๎ ดยตรง จึงเห็นได๎ชัดเจนวํา วัฒนธรรมท่ีเป็นแนวความคิด ความเชื่อ เป็นนามธรรมล๎วน ๆ แตํเพียงอยํางเดียว ไมํถือ วําเป็น ทรัพยากรทางการทํองเท่ียว วัฒนธรรมท่ีเป็นรูปธรรมเทําน้ัน จึงจะสามารถพัฒนาให๎เป็นจุดสนใจของ นกั ทอํ งเทยี่ วได๎ ตัวอยาํ งวัฒนธรรมทจ่ี ะนามาใชป๎ ระโยชน์ในการทอํ งเทย่ี ว ไดแ๎ กํ แหลํงทํองเท่ียวประเภทโบราณสถาน อุทยาน ประวตั ศิ าสตร์ ศาสนสถาน โบราณวัตถุ งานศลิ ปกรรม สถาปัตยกรรม นาฏศิลป์ การละเลํนพื้นบ๎าน เทศกาล และงาน ประเพณี งานศลิ ปหัตถกรรมท่ีพัฒนามาเป็นสนิ ค๎าประจาทอ๎ งถิน่ ตลอดจนวิถีชีวิตความเป็นอยูํ และอัธยาศัย ไมตรขี อง คนไทย ล๎วนแล๎วแตํเป็นทรัพยากรการทํองเท่ียวท่ีสาคัญของประเทศไทย เป็นเสมือนตัวเสริมการทํองเที่ยว ให๎มีความ สมบูรณ์ เป็นจุดเดํนหรือจุดขายของแหลํงทํองเที่ยวน้ันๆ เพิ่มความประทับใจให๎นักทํองเท่ียวได๎มากขึ้น ถึงแม๎วํา ประเทศไทยจะมีทรัพยากรประเภทศิลปวัฒนธรรมท่ีหลากหลาย แตํก็มีการผสมผสานสอดคล๎องเป็น วัฒนธรรมไทย ไดอ๎ ยํางกลมกลนื ความหมายของประเพณี ประเพณีไทย มีความหมายรวมถึง แบบความเชื่อ ความคิด การกระทา คํานิยม ทัศนคติ ศีลธรรม จารีต ระเบียบ แบบแผน และวิธีการกระทาสิ่งตํางๆ ตลอดจนถึงการประกอบพิธีกรรมในโอกาสตํางๆ ท่ีกระทากันมาแตํใน อดีต ลักษณะสาคัญของประเพณี คือ เปน็ สิ่งทีป่ ฏิบตั เิ ช่ือถือมานานจนกลายเปน็ แบบอยํางความคิด หรือการ กระทาท่ี สบื ตอํ กันมา และยงั มอี ทิ ธิพลอยํูในปจั จุบัน ประเพณีเกดิ จากความเช่อื ในสิ่งทมี่ อี านาจเหนือมนุษย์ เชํน อานาจของดินฟูาอากาศ และเหตุการณ์ที่เกิดข้ึน โดยไมํทราบสาเหตุตํางๆ ฉะนั้น ประเพณี คือ ความประพฤติของคนสํวนรวมที่ถือกันเป็นธรรมเนียม หรือ เป็น ระเบียบแบบแผน และสืบตํอกันมาจนเป็นพิมพ์เดียวกัน และยังคงอยํูได๎ก็เพราะมีสิ่งใหมํเข๎ามาชํวยเสริม สร๎างสิ่งเกํา อยูํเสมอ และกลมกลืนเข๎ากันไดด๎ ี ประเพณี คือ ระเบยี บแบบแผนในการปฏบิ ตั ทิ ี่เหน็ วาํ ดกี วํา ถกู ต๎องกวํา หรอื เปน็ ทยี่ อมรับของคนสํวนใหญใํ น สังคมและมกี ารปฏิบตั ิสบื ตํอกันมา ประเพณี คือ ความประพฤติท่ีสืบตํอกันมาจนเป็นท่ียอมรับของคนสํวนใหญํในหมูํคณะ เป็นนิสัยสังคม ซ่ึง เกดิ ขึ้นจากการที่ต๎องเอาอยํางบุคคลอ่ืน ๆ ที่อยูํรอบๆ ตน หากจะกลําวถึงประเพณีไทยก็หมายถึง นิสัยสังคม ของคน ไทยซ่ึงได๎รับมรดกตกทอดมาแตํด้ังเดิมและมองเห็นได๎ในทุกภาคของไทย ประเพณี เป็นเร่ืองของความประพฤติของ กลุํมชน ยึดถือเป็นแบบแผนสืบตํอกันมานาน ถ๎าใครประพฤตินอก แบบ ถือเป็นการผิดประเพณี เป็นการแสดงถึง เอกลักษณ์ของชาตอิ ีกอยํางหนึ่ง โดยเน้อื หาสาระแล๎ว ประเพณี กับวฒั นธรรมเป็นสง่ิ ท่กี ลุํมชนในสังคมรํวมกันสร๎างข้ึน แตํประเพณีเป็นวัฒนธรรมที่มีเง่ือนไขที่คํอนข๎าง ชัดเจน กลําวคือเป็นส่ิงที่สังคมสร๎างขึ้นเป็นมรดก คนรุํนหลังจะต๎อง รับไว๎ และปรบั ปรุงแกไ๎ ขใหด๎ ยี งิ่ ๆ ข้นึ ไป รวมท้งั มีการเผยแพรแํ กํคนในสังคมอน่ื ๆ ด๎วย ท่มี า :https://www.gotoknow.org/posts/508581

106 ใบงานที่ 1 เรือ่ ง ศาสนา วฒั นธรรม ประเพณี เรอ่ื ง ความหมาย ความสาคัญของวฒั นธรรมประเพณี …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. เรอ่ื ง วัฒนธรรมประเพณที ี่สาคัญของท๎องถ่ิน และของประเทศ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. เร่ือง การอนรุ กั ษ์ สบื สานวฒั นธรรมประเพณไี ทย …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. เร่ือง คํานิยมที่พงึ ประสงค์ของไทยและของท๎องถิ่น …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… เรือ่ ง การประพฤติปฏิบตั ติ นตามคาํ นยิ มที่พึงประสงค์ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

107 แผนการจดั การเรยี นรู้ รายวิชาศาสนาและหน้าที่พลเมอื ง คร้ังท่ี 11 การจัดทาหน่วยเรียนรู้บรู ณาการหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2565 กศน.ตาบลหวั ชา้ ง ระดับประถมศกึ ษา ๑. สปั ดาหท์ ี่ 11 วันท่ี 26 เดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2565 เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐น. ๒. วชิ าศาสนาและหน้าที่พลเมอื ง รหสั วชิ า สค1๑๐๐2 จานวน 2 หนํวยกติ ๓. มาตรฐานที่ 5.3 ปฏิบัตติ นเป็นพลเมืองดตี ามวถิ ปี ระชาธปิ ไตย มีจิตสาธารณะ เพื่อความสงบสุขของสงั คม ๔. หน่วยการเรยี นร/ู้ เร่อื งหน๎าทพ่ี ลเมืองไทย ๕. สาระสาคัญ เปน็ สาระทีเ่ กีย่ วกับความหมายของประชาธิปไตย สิทธิ เสรภี าพ บทบาทหนา๎ ที่ของพลเมืองใน วิถปี ระชาธปิ ไตย การมีสวํ นรํวมในการปฏิบตั ิตนตามกฎหมาย มีคณุ ธรรมและคาํ นิยมพ้ืนฐานในการอยู รวํ มกันอยาํ งปรองดองสมานฉันท์ ปญั หา และสถานการณการเมืองการปกครองที่เป็นกรณตี วั อยํางท่ี เกิดขน้ึ ในชมุ ชน กฎหมายทเ่ี ก่ียวข๎องกับตนเองและครอบครัว กฎหมายทีเ่ กย่ี วข๎องกับชุมชน กฎหมายอ่ืน ๆ เชํน กฎหมายแรงงานและสวัสดิการ กฎหมายวําด๎วยสทิ ธเิ ด็กและสตรี และการมีสํวนรํวมของประชาชน ในการปูองกันและปราบปรามการทจุ ริต ๖. เนอ้ื หา เรอ่ื งท่ี 1 รัฐธรรมนูญ เร่ืองท่ี 2 ความรูเบื้องต๎นเกีย่ วกับกฎหมาย เรอื่ งที่ 3 กฎหมายทีเ่ กี่ยวข๎องกบั ตนเองและครอบครวั เรือ่ งท่ี 4 กฎหมายที่เก่ยี วกบั ชมุ ชน เรื่องที่ 5 กฎหมายอน่ื ๆ ๗. จุดประสงค์การเรียนรู้/ผลการเรียนรู้ที่คาดหวงั (ดูจากผงั การออกข๎อสอบ) 1. รแู ละเขา๎ ใจในเรอ่ื ง สทิ ธิ เสรีภาพ บทบาทหน๎าท่ี และคุณคําของความเปน็ พลเมอื งดี ตามแนวทางประชาธปิ ไตย 2. ตระหนักในคณุ คําของการปฏบิ ัตติ นเป็นพลเมืองดีตามวิถปี ระชาธปิ ไตยและมคี ุณธรรม คานยิ มพนื้ ฐาน ในการอยูรวํ มกนั อยํางปรองดองสมานฉันท์ 3. แยกแยะปัญหา และสถานการณการเมืองการปกครองทเี่ กิดขนึ้ ในชุมชน 4. รแู ละเข๎าใจสาระทว่ั ไปเก่ียวกบั กฎหมาย 5. นาความรูกฎหมายทเี่ กยี่ วขอ๎ งกบั ตนเอง ครอบครัว ชุมชน และประเทศชาติไปใชใ๎ นชีวติ ประจาวนั ได 6. เห็นคณุ คาํ และประโยชนของการปฏิบัติตนตามกฎหมาย 7. มีจิตสานกึ ในการปอู งกันปัญหาการทุจรติ ๘. การบูรณาการกับหลักแนวคดิ ของเศรษฐกิจพอเพียง (2 เงื่อนไข 3 หลักการ การเช่ือมโยงสู่ 4 มิต)ิ ความรู้ - นกั ศกึ ษามคี วามรเ๎ู ร่ือง สิทธิ เสรีภาพ บทบาทหนา๎ ที่ และคุณคําของความเป็นพลเมืองดี ตามแนวทางประชาธปิ ไตย - ความร๎เู รอื่ งกฎหมายท่เี กีย่ วข๎องกบั ตนเอง ครอบครัว ชมุ ชน และประเทศชาติไปใชใ๎ น ชีวติ ประจาวนั ได คณุ ธรรม

108 - เคารพในระเบียบกฎหมายและปฏบิ ัติอยาํ งมีคณุ ธรรมตํอตนเองและชมุ ชน เชนํ การ ชํวยเหลือ การไมเํ บยี ดเบียน การยดึ ถอื ประเพณี คํานิยมและสงั คม พอประมาณ - ร๎ูจักบทบาทและหนา๎ ท่ีความเปน็ พลเมืองดี และการวิเคราะหแ์ นวทางการสรา๎ งเสริมความ เป็นพลเมืองดีของตนเองและชมุ ชน มีเหตผุ ล - การเรยี นถงึ เหตผุ ลและความจาเปน็ ของกฎหมายทคี่ วรร๎ใู นการดารงชีวิตประจาวนั - เขา๎ ใจในการปกครองและการเมืองตามแนวทางเศรษฐกจิ พอเพยี ง - การวิเคราะห์เปรยี บเทยี บการเมอื งการปกครองระบอบประชาธปิ ไตย ตามแนวทาง เศรษฐกิจพอเพยี งกับการปกครองในระบบอื่น ๆ มีภูมคิ ุ้มกัน - เขา๎ ใจและหาแนวทางการสร๎างเสริมความเป็นพลเมืองดีใหก๎ ับตนเองและคนอื่นได๎ - ทาตนเปน็ ประโยชน์ตํอครอบครวั ชุมชนและสังคม วตั ถุ - รู๎จกั เคารพในระเบียบกฎหมายและปฏิบตั ิอยํางมีคุณธรรมตํอตนเองและชุมชน สังคม - มีทักษะการอยํรู ํวมกนั ในชุมชน และทางานรํวมกับผ๎ูอ่นื ได๎อยํางมีความสขุ สง่ิ แวดล้อม - นาความรูกฎหมายท่ีเกีย่ วข๎องกบั ตนเอง ครอบครวั ชุมชน และประเทศชาติไปใชใ๎ น ชวี ิตประจาวนั วฒั นธรรม - เห็นคุณคาํ ของการปฏิบตั ติ นเปน็ พลเมืองดีตามวิถีประชาธปิ ไตยและมีคุณธรรม - เหน็ คณุ คํา และประโยชนของการปฏิบัติตนตามกฎหมาย 9. กระบวนการจัดการเรียนรู้และกิจกรรมการเรียนรู้ ขัน้ ที่ ๑ กาหนดสภาพปัญหาการเรยี นรู้ (O : Orientation) 1. ครชู วนผูเ๎ รยี นพดู คุยเกีย่ วกับรัฐธรรมนูญวาํ มคี วามสาคัญและเกย่ี วข๎องกับการดาเนนิ ชวี ิตประจาวนั อยาํ งไร 2. ครแู ละผ๎ูเรียนรวํ มกันอภิปรายเรอื่ งโครงสรา๎ งและสาระสาคัญของรัฐธรรมนญู แหงํ ราชอาณาจักร ไทยพร๎อมกับพูดคุยเร่ืองบทบาท หน๎าท่ีในการปฏบิ ตั ิเป็นพลเมืองดี 3. ครูเปดิ โอกาสให๎ผู๎เรยี นซกั ถามข๎อสงสัยกํอนเขา๎ สํูบทเรยี นขน้ั ตอํ ไป ขน้ั ที่ ๒ แสวงหาขอ้ มลู และจัดการเรียนรู้ (N : New ways of learning) 1. ครแู จกใบความร๎เู รื่อง ความเป็นมา หลกั การ เจตนารมณข์ องรัฐธรรมนญู 2. ครูให๎ผ๎ูเรยี นศึกษาใบความรู๎ พร๎อมทง้ั สรุปใจความสาคัญมาตามความเข๎าใจของนักศึกษา 3. ครูสมํุ ตวั อยาํ งผู๎เรยี นออกมาแสดงความความคิดเหน็ ตามท่ีตนเองสรปุ ไว๎

109 4. ครแู บงํ กลํุมผเ๎ู รียนออกเป็น 2 กลํมุ เพอ่ื ศึกษากรณีตวั อยํางเกีย่ วกบั เหตกุ ารณ์ 14 ตุลา และ พฤษภาทมฬิ วาํ เกิดการเปลย่ี นแปลงอยํางไรจากกรณีตัวอยํางท่ี 2 กรณี 5. ครูใหผ๎ ๎เู รยี นสํงตัวแทนกลมํุ นาเสนอความรูจ๎ ากการศกึ ษากรณีตวั อยาํ ง พร๎อมถกแถลงรํวมกัน 6. ครใู ห๎ผ๎เู รียนทาใบงาน เรอ่ื ง ความเป็นมา หลกั การ เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนญู 7. ครแู จกใบความร๎ู เรื่อง โครงสรา๎ งและสาระสาคัญของรัฐธรรมนูญ 8. ครูแบํงกลํุมผู๎เรียนออกเป็น 3 กลํุม แล๎วใหแ๎ ตํละกลํุมคัดเลอื กหวั หน๎ากลมุํ รองหัวหน๎ากลมํุ และเลขานุการการ จากน้ันใหห๎ ัวหน๎ากลุมํ ออกมาจบั ฉลากเพื่อเลือกหวั ข๎อของรฐั ธรรมนูญแหงํ ราชอาณาจักรไทยที่ จะตอ๎ งนาไปศึกษาคน๎ คว๎าพร๎อมยกตวั อยํางรฐั ธรรมนูญทจ่ี าเปน็ และการนาไปใช๎สาหรับการดาเนินชีวิตในสงั คม ปัจจบุ ันดังน้ี ดังน้ี หมวด 3 สิทธิเสรีภาพของชนชาวไทย หมวด 4 หน๎าท่ีของชนชาวไทย หมวด 14 การปกครองสํวนทอ๎ งถน่ิ 9. ครูใหผ๎ ู๎เรียนแตํละกลํมุ จัดบอร์ดแสดงผลงานของแตลํ ะกลมุํ ตามหัวข๎อที่ไดไ๎ ปศกึ ษาแล๎วนาผลงาน มานาเสนอหนา๎ ช้ันเรียน 10. ครูแจกใบความร๎ู เร่ืองสิทธิ เสรภี าพและหน๎าที่ของประชาชน 11. ครูใหผ๎ ู๎เรยี นศกึ ษาค๎นคว๎าขอ๎ มูลทเี่ ก่ยี วกบั สทิ ธิเสรภี าพและหน๎าทข่ี องประชาชนจาก ใบงาน หนงั สอื สอื่ สงิ่ พิมพห์ รือแหลงํ เรียนร๎ู เชนํ อนิ เตอรเ์ นต็ แลว๎ สรปุ เปน็ ใบงานสํงครู 12. ครูใหผ๎ ๎เู รียนนาผลการศกึ ษาคน๎ คว๎ามานาเสนอในกลํุมผ๎ูเรียนใหเ๎ พ่อื นฟังโดยการสํุมตัวอยําง พร๎อมทง้ั ใหผ๎ ู๎เรยี นนาใบงานสํงครู ขั้นท่ี ๓ การปฏิบัตแิ ละการนาไปใช้ (I : Implementation) ครแู ละผูเ๎ รยี นรวํ มกันแลกเปลี่ยนเรียนรูแ๎ ละสรปุ ความรูเ๎ บื้องตน๎ ท่ีไดจ๎ ากแบบสอบถาม เพื่อนามา วิเคราะห์สรปุ ผล และจดั ทารายงานรวบรวมเป็นแฟูมสะสมงาน ขน้ั ที่ ๔ การประเมนิ ผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) 1. ครูสังเกตจากการมสี ํวนรวํ มของผ๎เู รยี น 2. ตรวจใบงาน 10. สอื่ /แหล่งเรียนรู้ - หนงั สือแบบเรียน - ใบงาน - ใบความร๎ู - สื่ออินเตอรเ์ น็ต ๑1. การวัดและประเมนิ ผล 11.1 วธิ ีการวดั และประเมินผล - แบบประเมินผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรํวมกับผ๎อู ื่นของนักศึกษารายบุคคล - ใบงาน 11.2 เครอื่ งมอื วดั และประเมินผล. - ประเมินผลการสังเกตพฤตกิ รรมการทางานรวํ มกับผ๎ูอ่ืน ของนักศึกษารายบคุ คล - ผลจากการตรวจใบงาน

110 11.3 เกณฑ์การวดั และการประเมนิ ผล - แบบประเมนิ ผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกบั ผูอ๎ ่ืนของนกั ศึกษารายบคุ คล ระดับดี พอใช๎ และควรปรบั ปรงุ - ใบงานคะแนนเตม็ 10 คะแนน กจิ กรรมเสนอแนะ ............................................................................................................................. ............................................................ ......................................................................................................................................................................................... ลงชือ่ ……………………………………ครผู ๎ูสอน (นางสาววาสนา พานชิ ย์) ครู กศน.ตาบล ขอ้ เสนอแนะของผู้บริหาร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ลงช่อื ……………………………………………ผ๎อู นมุ ตั ิแผน (นางปทั มาภรณ์ ศรเี นตร) ผู๎อานวยการ กศน.อาเภอจตุรพกั ตรพิมาน

111 บันทึกหลังการจดั การเรียนรู้ การจดั ทาหน่วยเรยี นรู้บูรณาการหลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง กศน.ตาบลหัวชา้ ง ครง้ั ที่ ๑1 วันที่ 26 เดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2565 ครผู ๎สู อน นางสาววาสนา พานชิ ย์ ระดบั ประถมศึกษา เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐ น. สาระพัฒนาสังคม รายวชิ าศาสนาและหนา๎ ท่ีพลเมือง รหัสวชิ า สค1๑๐๐2 จานวนผ๎เู รยี นท้งั หมด ............... คนเข๎าเรยี น…………………คน ไมเํ ข๎าเรียน……………………….คน ๑. ผลการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้การประเมนิ โดยใช๎ แบบทดสอบกํอนเรียน - หลงั เรียน พบวาํ คะแนนการทดสอบหลังเรยี น มากกวาํ กอํ นเรียนจานวน ........ คนคิดเปน็ รอ๎ ยละ............ คะแนนการทดสอบหลังเรยี น นอ๎ ยกวาํ กํอนเรียนจานวน ......... คนคดิ เป็นรอ๎ ยละ............ ๒. เนอื้ หา/สาระ ............................................................................................................................. ............................ ......................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............................ ๓. กจิ กรรมการเรียนการสอน ............................................................................................................................. ............................ ............................................................................................... ............................................................................. ............................................................................................................................. ......... ๔. ปญั หา/อปุ สรรค การเรียนการสอน ......................................................................................................................................... ................ .................................................................................................................. ....................................... ๕. แนวทางการแก้ปญั หา ............................................................................................................................. ............................ ......................................................................................................................................................... ลงชือ่ ....................................................... (นางสาววาสนา พานชิ ย์) ครูผสู๎ อน วันที.่ ............../.................../............... ความคดิ เห็น/ข้อเสนอแนะของผบู้ ริหาร ......................................................... ............................................................................................................................. ... ............................................................................................................................. ...................... ลงชอื่ .................................................................. (นางปทั มาภรณ์ ศรีเนตร) ผู๎อานวยการ กศน.อาเภอจตรุ พกั ตรพมิ าน วันท่.ี ............../.................../...............

112 ใบความร้ทู ี่ 1 เรือ่ ง สิทธิ เสรภี าพบทบาทหนา้ ท่ีของพลเมืองในวถิ ีประชาธิปไตย พ้ืนฐานความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธปิ ไตย สิ่งหน่ึงท่ีจะทาให๎สังคมไทยมีความสงบสุขและเกิดสันติสุขได๎ คือ คนไทยทุกคนต๎องปฏิบัติตนเป็นพลเมืองใน ระบบประชาธิปไตย มีหลักประประชาธิปไตยในการดารงชีวิต ปฏิบัติตนตามกฎหมาย และดารงตนเป็นประโยชน์ตํอ สังคม ซ่ึงการสร๎างความเป็นพลเมืองไมํใชํการทาให๎ประชาชนรู๎ถึงสิทธิและหน๎าท่ีที่ตนเองมี แตํสิ่งท่ีจะต๎องทาให๎ ประชาชนได๎เรียนรู๎และเข๎าใจอยํางถูกต๎องส่ิงแรกคือ “พ้ืนฐานความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย มีหลัก 3 ประการ คอื 1. เคารพศักดิศ์ รีความเป็นมนษุ ย์ ทที่ กุ คนเกิดมามีคุณคําเทํากันมิอาจลํวงละเมิดได๎ การมีอิสรภาพและความ เสมอภาค การยอมรับในเกียรติภูมิของแตํละบุคคล โดยไมํคานึงถึงสถานภาพทางสังคม ยอมรับความแตกตํางของทุก คน 2. เคารพสิทธิ เสรีภาพ และกฎกติกาของสังคมที่เป็นธรรม โดยให๎ความสาคัญตํอสิทธิ เสรีภาพ การมีกฎ กตกิ าทว่ี างอยํบู นความยุติธรรมและชอบธรรม มีหลกั นิติรัฐในการค๎ุมครองสทิ ธิเสรภี าพมิให๎ถูกละเมดิ 3. รับผิดชอบตํอตนเอง ผ๎ูอ่ืน และสังคม โดยตระหนักถึงบทบาท หน๎าท่ีของความเป็นพลเมืองในระบอบ ประชาธปิ ไตยท่มี ุํงเน๎นเนอื้ หาทม่ี คี ณุ ลกั ษณะสาคญั ในหนา๎ ท่แี ละความรับผิดชอบของตนเองตํอสังคม การดารงตนเป็น ประโยชนต์ อํ สงั คมชํวยเหลอื เก้อื กลู กนั ใช๎สติปัญญาในการแก๎ไขปัญหาด๎วยเหตุและผล ดังน้ัน หากประชาชนได๎เข๎าใจ ในหลกั พน้ื ฐานความเป็นพลเมือง ท้งั 3 หลักการทก่ี ลําวข๎างต๎นอยาํ งถกู ต๎องแล๎ว และสามารถนาไปปฏิบัติให๎เกิดผลได๎ กจ็ ะทาให๎สงั คมไทยพฒั นาเปน็ สงั คมประชาธิปไตยอยํางแทจ๎ รงิ หลักพ้นื ฐานความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย การปกครองในระบอบประชาธิปไตย เป็นการปกครองที่ประชาชนทุกคนมีสํวนรํวมในการปกครองประเทศ การปกครองในระบอบประชาธิปไตยจะประสบความสาเร็จได๎นั้นจะต๎องสร๎าง “ความเป็นพลเมือง” ให๎ประชาชน สามารถปกครองตนเองได๎ ดังน้ัน ความเป็น “พลเมืองในระบอบประชาธิปไตย” จึงมีคุณลักษณะที่สาคัญ คือ เป็น บุคคลท่ีสามารถแสดงบทบาทหน๎าท่ีและความรับผิดชอบของตนเองตํอสังคม อีกท้ังดารงตนเป็นประโยชน์ตํอสังคม ชํวยเหลือเก้อื กูลกัน อนั จะกํอใหเ๎ กดิ การพฒั นาสังคมและประเทศชาติ ให๎เป็นสังคมประชาธปิ ไตย ซ่ึงการสร๎างพลเมือง ใหม๎ คี วามเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยนัน้ มีหลักพน้ื ฐานอยํู 3 ประการ ดงั นี้ 1.เคารพศักดิ์ศรคี วามเปน็ มนุษย์ 2. เคารพสิทธิ เสรีภาพ และกฎกตกิ าของสังคมท่เี ป็นธรรม 3. รับผิดชอบตอํ ตนเอง ผู๎อื่น และสังคม ท้ังน้ี หลักพ้ืนฐานดังกลําว จะเป็นแนวทางในการปฏิบัติตนของการเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย ที่ มํุงเน๎นถึงการดาเนนิ ชวี ิตในสงั คมประชาธปิ ไตย โดยในแตํละหลักการมรี ายละเอยี ดดังนี้ หลกั การที่ 1 เคารพศักด์ศิ รคี วามเปน็ มนุษย์ได๎แกํ การยอมรับในเกียรติภูมิของแตํละบุคคล โดยไมํคานึงถึง สถานภาพทางสังคม หลกั การนมี้ อี งค์ประกอบยํอย ดงั น้ี 1.สานกึ รู๎ในคุณคาํ ศกั ดิศ์ รคี วามเป็นมนษุ ย์ 2. ตระหนกั ในความเสมอภาคของความเปน็ มนุษย์

113 3. เคารพในความหลากหลายทางสงั คมวฒั นธรรม 4. ยดึ หลกั อดทน อดกลั้นตอํ ความคดิ เห็นที่แตกตําง ศกั ด์ศิ รคี วามเปน็ มนุษย์ คอื อะไร มนุษย์นอกเหนือจากต๎องมีปัจจัยสี่เพ่ือการดารงชีวิตแล๎วมนุษย์ยังถูกผลักดันด๎วยความปรารถนาท่ีจะเป็นที่ ยอมรับของคนในสังคม เพ่ือให๎เกิดความเคารพตนเอง (Self esteem) และในสํวนนี้ได๎นาไปสํูความรู๎สึกของความ ต๎องการมศี ักดิศ์ รนี ัน่ คอื “ศกั ด์ิศรีความเปน็ มนษุ ย์” ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เป็นคุณคําท่ีมีลักษณะเฉพาะ อันสืบเนื่องมาจากความเป็นมนุษย์และเป็นคุณคําที่ ผกู พนั อยูํเฉพาะกับความเปน็ มนษุ ยเ์ ทาํ น้ัน โดยไมขํ ้ึนอยูํกบั เงื่อนไขอื่นใดท้ังสนิ้ เชนํ เชือ้ ชาติ ศาสนา ศักด์ิศรีความเป็น มนุษย์นั้นจะได๎รับความเคารพเสมอไมํวําบุคคลน้ันจะมีสถานะทางสังคมอยํางไร และยังคงมีติดตัวบุคคลตลอดไป ทั้ง ในเวลาที่ยังมีชีวิตอยูํหรือได๎ส้ินชีวิตไปแล๎ว ศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์มีฐานะเหนือกวําสิทธิเสรีภาพทั่วไป และเป็นคุณ คาํ ท่ีมิอาจจะลวํ งละเมิดได๎ การเคารพศกั ดิ์ศรีความเปน็ มนุษยเ์ ปน็ การยอมรบั ในเกยี รตภิ มู ิของแตํละบุคคล โดยไมํคานึงถึงสถานภาพทาง สังคม สังคมปัจจุบันมักจะละเลยศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์ เพราะมีการให๎คุณคําของคนแตกตํางกัน สังคมท่ัวไปให๎ คณุ คําของความเปน็ คนที่สถานภาพทางสังคมของผู๎นั้น เชํน เป็นกานัน นายทหาร นกยกรัฐมนตรี ผู๎พิพากษา เป็นต๎น สถานภาพทางสังคมของคนแตลํ ะคน ไมํใชตํ วั ชีว้ ัดวํามนุษย์หรือคนนั้นมีศักดิ์ศรีของมนุษย์หรือไมํ แตํศักดิ์ศรีความเป็น มนษุ ย์ คือ การใหค๎ ณุ คําความเป็นคนตามธรรมชาติของมนุษย์ไมํวําจะเกิดมาพิการ เป็นเด็ก ผ๎ูหญิง ผ๎ูชาย และเกิดมา เป็นคนปัญญาอํอน หรือยากจน คนทุกคนท่ีเกิดมาถือวํามีคุณคําเทํากัน ต๎องปฏิบัติตํอกันอยํางเสมอภาคกัน เพราะ การปฏิบัติตํอกันของผ๎ูคนในสังคมอยํางเสมอภาคกันเป็นการเคารพศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์ และหากมีผู๎กระทา ความผิดก็ต๎องวําไปตามกระบวนการกฎหมาย ผ๎ูใดท่ีละเมิดศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ของผู๎อ่ืน ผู๎น้ันกระทาผิด กฎหมายอยาํ งรนุ แรง กระทาผิดตํอหลักศาสนา และกระทาผิดตํอศีลธรรม การธารงไว๎ซึ่งศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ จะตอ๎ งกระทาโดยรัฐในเบื้องต๎น ได๎แกํ การพยายามขจัดตัวแปรที่จะนาไปสํูความเหลื่อมล๎าในสังคม สิ่งท่ีรัฐต๎องทาให๎ เกิดขนึ้ ให๎ไดก๎ ็คอื ตอ๎ งทาให๎มนุษย์ท่ีอยใูํ นสงั คมอยํูภายใต๎การปกครองของรฐั ดารงชีวิตอยาํ งมีความสุข กลําวไดว๎ ํา ศักดศ์ิ รคี วามเปน็ มนุษย์ หมายถึง ความมีอิสรภาพในการที่จะกาหนดชะตาชีวิตของตนเองทั้งสิทธิ ในชีวิตและรํางกาย และสิทธิในความเสมอภาคในด๎านตํางๆ การได๎รับการยอมรับให๎เป็นสํวนหน่ึงของสังคม โดย ปราศจากเง่อื นไข อาทิ เชื้อชาติ ศาสนา วัย และวัฒนธรรมท่ีแตกตํางกัน อันจะนามาซ่ึงการถูกลิดรอนสิทธิและความ เสมอภาคทางสังคม รวมไปถึงการถูกเลือกปฏิบัติจากคนในสังคมนั้นๆ โดยศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ถือวําเป็นส่ิงท่ี ติดตัวทุกคนมาตั้งแตํกาหนด ไมํมีใครสามารถพรากสิทธิดงกลําวจากปัจเจกบุคคล (ความเป็นตัวตน) ได๎มนุษย์ทุกคน ล๎วนมคี ณุ คําในตนเองซ่งึ ควรจะได๎รบั การปฏบิ ัตอิ ยํางเทาํ เทียมกนั ความเสมอภาคของความเป็นมนุษย์หมายถึงอะไร ความเสมอภาค เร่ิมจากแนวคิดที่วําคนเรามีคุณคําและ ศกั ด์ิศรเี ทําเทยี มกนั ต้งั แตเํ กดิ มศี ักยภาพ มีความสามารถทจ่ี ะเรียนรไู๎ ด๎ เปลี่ยนแปลงได๎ มนษุ ย์ตํางชํวยเหลือเก้ือกูลกัน จนทาให๎สังคมอยูํรอดจนทุกวันน้ี แตํละคนล๎วนมีคุรูปการ (การอุดหนุนทาความดี) ตํอมวลมนุษย์ตามกาลัง และ ความสามารถซ่ึงแตํละคน รักชีวิต รักเกียรติศักด์ิของตน และต๎องการมีชีวิตอยํูรอดปลอดภัย มีความสุข สังคมต๎อง สรา๎ งคณุ คาํ ใหมทํ ่ีเคารพคณุ คาํ และศกั ดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ไมวํ ําจะแตกตาํ งหรอื เหมอื นกนั ประการใด

114 ความเสมอภาค เปน็ คาที่มักไดย๎ ินพร๎อมกับคาวํา สทิ ธิเสรภี าพ และศกั ดศิ์ รีความเปน็ มนษุ ย์ กลุํมคาดังกลําวมี นยั สาคญั ตอํ การพิทักษ์ประโยชน์ สร๎างความสงบ และการอยํูอยาํ งสนั ตสิ าหรับมนุษยท์ กุ คนพงึ ได๎รับนับแตํการปฏิสนธิ ไปจนถงึ สิ้นชวี ิต ความเสมอภาคเป็นหลักสาคญั ในการเช่ือมประสานสิทธิ เสรีภาพและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ให๎เป็น จริงไดใ๎ นทางปฏิบัติ ความเสมอภาค (Equality)คืออะไร ความหมายตามหลักสิทธิมนุษยชน หมายถึง ความเทําเทียมของมนุษย์ ทุกคนในการได๎รับสิทธิพื้นฐานตามหลักสิทธิมนุษยชน โดยผํานการปฏิบัติตํอกันระหวํางมนุษย์ตํอมนุษย์ ด๎วยความ เคารพตํอสิทธิและศักดิ์ศรคี วามเปน็ มนุษย์ ความหมายตามหลกั กฎหมาย หมายถึง หลักการพ้ืนฐานของความยุตธิ รรม ท่ีกาหนดให๎มีการปฏิบัติตํอบุคคล ทีเ่ ก่ียวข๎องกับเรือ่ งน้นั ๆ อยํางเทาํ เทียมกนั ความหมายตามระบบประชาธิปไตย หมายถึง การท่ีประชาชนทุกคนในประเทศมีความเสมอภาค หรือความ เทําเทียมกันในเร่ืองสิ่งจาเป็นข้ันพื้นฐาน ในที่น้ีหมายถึง สิ่งท่ีจาเป็นข้ันพ้ืนฐานตํอการอยูํรอด และพัฒนาตัวเองตาม หลักสิทธิมนุษยชนคือ ปัจจัยสี่ ความม่ันคงปลอดภัยในชีวิตและรํางกาย การนับถือศาสนา การศึกษาและการรับร๎ู ขําวสาร การเข๎าถึงบริการสาธารณะและสวัสดิการสังคม การประกอบอาชีพ การมีสํวนรํวมทางการเมือง และการ ไดร๎ บั ความค๎ุมครองตามกฎหมาย ความหลากหลายทางสังคมวัฒนธรรม การสรา๎ งความเป็นพลเมอื งในสังคมไทยที่สงํ เสริมความเปน็ ประชาธปิ ไตย ยํอมต๎องสอดคล๎องกับ “วัฒนธรรม ของสังคมไทย” หากไมํสอดคล๎องกันแล๎ว ความเป็นพลเมืองก็ไมํมีความหมาย หรือไมํเป็นท่ียอมรับของคนในสังคม ดังนั้น การสร๎างความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยของไทย จึงต๎องกระทาควบคูํกันไปกับการสร๎าง “วฒั นธรรมของสังคมไทย” ท่ีสอดคล๎องกบั ความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธปิ ไตยของไทยด๎วย การสรา๎ งวฒั นธรรมให๎กับพลเมืองที่สาคัญคือ การสร๎าง “วัฒนธรรมทางจิตใจ” เป็นการสร๎างพลเมืองให๎มีจิต สาธารณะรักความเป็นธรรม สานึกในพันธะหน๎าที่ตํอสังคมและเพ่ือนมนุษย์และมีความร๎ูมากพอท่ีจะประเมินวําการ กระทาหน่ึงๆ ของตนจะมีผละกระทบตอํ สํวนรวมอยาํ งไร เพ่ือจะเลือกดที ส่ี ุดวําตนควรจะทาอะไร และทาอยํางไร เพื่อ สร๎างประโยชน์ให๎สังคมหรือสํวนรวม ขณะเดียวกันก็มีความกล๎าหาญทางจริยธรรมคือ กล๎าพูด กล๎าเขียน หรือกล๎า กระทาในสิ่งท่ีตนเชื่อวําถูกต๎องดีงามแม๎วําตนเองจะต๎องได๎รับผลร๎ายจากการพูด การเขียน การกระทาในสิ่งที่ตนเช่ือ วําถูกต๎องดีงามก็ตาม นอกจากน้ียังต๎องใจกว๎าง รับฟังความคิดเห็นที่แตกตําง โดยพร๎อมที่จะพิจารณาความเห็นที่ แตกตาํ ง โดยพร๎อมทจ่ี ะพิจารณาความเห็นท่ีแตกตํางด๎วยใจที่เป็นธรรมใจกว๎างมากพอท่ีจะเปลี่ยนความคิดเม่ือได๎รับรู๎ เหตุผลและข๎อเท็จจริงที่ดีกวํา และเปิดโอกาสให๎ผู๎อื่นได๎มีสํวนรํวมในความสาเร็จตํางๆ วัฒนธรรมทางจิตใจจะเกิดข้ึน ได๎ก็ตํอเม่ือ “พลเมืองไทย” เป็นผ๎ูท่ี “เห็นคุณคําความเป็นมนุษย์” บนพ้ืนฐานของความร๎ูความเข๎าใจคือ มีความรู๎ ความเขา๎ ใจมนษุ ยใ์ นบรบิ ททางสงั คมหรือในเงอ่ื นไขสภาพแวดล๎อมทตี่ ํางกนั ไมํใช๎มาตรฐานของตนเองในการตัดสินคน อื่นอยํางงํายๆ ยอมรับความแตกตํางหลากหลาย และมีความเห็นอกเห็นใจผ๎ู อ่ืนที่อยํูในบริบทหรือเงื่อนไข สภาพแวดล๎อมที่แตกตําง ไมํวําจะเป็นเรื่องของทัศนคติทางการเมือง หรือความผิดพลาดที่เกิดจากความ ร๎ูเทาํ ไมํถึงการณ์ หรอื เกดิ จากสถานการณ์ทกี่ ดดัน เป็นตน๎

115 การสร๎างวัฒนธรรมความเป็นพลเมืองอีกอยํางหนึ่งคือการสร๎างให๎พลเมืองมี “วัฒนธรรมทางความร๎ู” เป็น การเสรมิ สรา๎ งให๎มีความร๎ู ใหร๎ ู๎จักใช๎วิจารณญาณ หรอื ทัศนะวิพากษ์ ความคิดเห็น และนโยบายของทุกฝุาย สามารถมี สํวนรํวมทางการเมืองอยํางฉลาดสร๎างสรรค์ ก็จะทาให๎สังคมไทยเป็นสังคมที่ใช๎ความรู๎ และใช๎สติปัญญาในการ แก๎ปัญหา แทนการใช๎อานาจเป็นหลักเป็นการเปล่ียน “วิถีไทย” จาก “อานาจนิยม” เป็น “ความร๎ูนิยม” หรือ “ปญั ญานยิ ม” ในปัจจุบันการนิยาม คาวํา“ความจริง ความดี ความงาม” ในสังคมไทยได๎แปรเปล่ียนไปเพราะบริบททาง เศรษฐกจิ สงั คมและวัฒนธรรมเปล่ียนแปลงไป โดยเฉพาะเทคโนโลยีสารสนเทศ ทาให๎เกิดการ “คิดตําง” คือ คิดตําง บนฐานความเชื่ออีกแบบหน่ึง โดยไมํพยายามที่จะทาความเข๎าใจปรากฏการณ์ตํางๆ ที่ซับซ๎อนและรอบด๎าน น่ัน หมายถึง เปน็ การ “คิดในกรอบ” หรือ “มองมิติเดียว” ความร๎เู ก่ียวกบั การเปล่ียนแปลงจะชํวยให๎พลเมืองไทยสามารถ ทีจ่ ะเขา๎ ใจ และมที ศั นะวพิ ากษ์ ตํอความคิด และตํอความเคลื่อนไหวในเร่ืองตําง ๆ มากย่ิงข้ึน วัฒนธรรมเดิมของไทย เรายงั มที ศั นะตอํ ความร๎ู คือ การทํองจา ประเด็นความร๎ูที่กลําวถึง คือ การเปล่ียนจารีตทางความร๎ูหรือวัฒนธรรมเดิม ของไทย เป็นวัฒนธรรมทางความรู๎ของพลเมืองในระบบประชาธิปไตย จะต๎องทาให๎การเรียนการสอนไมํเน๎นการ ทํองจาเนื้อหาวิชา แตํจะต๎องใช๎เนื้อหาวิชาเป็นเคร่ืองมือในการพัฒนาวิธีคิดวิธีการสร๎างความรู๎ ตลอดจนวิธีการ ประยุกตใ์ ช๎ความรูท๎ ีต่ ระหนักวําคนสามารถมองเหน็ “ความจรงิ ” ตํางกัน หรือมี “ความจริง” จากหลายมุมมอง ซ่ึงแตํ ละคนต๎องสามารถมองจากมุมมองของคนอ่ืนๆ หรือสามารถมองจากมุมมองของคนท่ีมีฐานคิดตํางกัน ไมํคิดวําเร่ือง หนึ่งๆ จะต๎องมีคาตอบถูกหรือผิดท่ีตายตัว แตํพร๎อมจะเปลี่ยนความคิดหรือมุมมองของตนเมื่อพบคาอธิบายใหมํท่ี ดกี วาํ ความอดทน อดกลัน้ ในความแตกต่าง ความอดทน มาจากคาวํา ขันติ หมายถึง การรักษาปกติภาวะของตนไว๎ได๎ ไมํวําจะถูกกระทบกระทั่งด๎วยส่ิง อันเป็นที่พึงปรารถนา หรือไมํพึงปรารถนาก็ตาม มีความม่ันคงหนักแนํนเหมือนแผํนดิน ซ่ึงไมํหวั่นไหววําจะมีคนเท อะไรลงไปไมํวําจะเป็นของเสีย ของหอม ของสกปรกหรือของดีงามก็ตาม งานทุกชิ้นในโลกไมํวําจะเป็นงานเล็กงาน ใหญํ ท่ีสาเร็จขึ้นมาได๎นอกจากจะอาศัยปัญญาเป็นตัวนาแล๎ว ล๎วนต๎องอาศัยคุณธรรมประการหน่ึงเป็นพ้ืนฐานจึง สาเรจ็ ได๎ คุณธรรมน้นั ก็คอื “ขันต”ิ อดกลั้นในความแตกตําง หมายถึง การยอมรับความแตกตํางของกันและกันวําเป็นสิ่งท่ีปกติของมนุษย์ ท้ัง ความแตกตํางในเร่ืองกายภาพและในเร่ืองพฤติกรรม ความรู๎สึกนึกคิดการแสดงออกซ่ึงความคิดเห็น และตราบใดท่ี ความแตกตํางน้ันไมํทาความเดือดร๎อนเสียหายแกํผ๎ูใด การไมํกลําวหาใครงําย ๆ โดยไมํคิดใครํครวญให๎รอบคอบ เสียกํอน ซึ่งการอดกลั้นในความแตกตํางจะเกิดข้ึนได๎ก็ตํอเมื่อคนเรามีความเคารพซึ่งกันและกัน อันนามาซึ่งการเห็น พ๎องต๎องกันท่ีจะไมํเห็นด๎วยกันได๎ และสามารถสร๎างเอกภาพในความแตกตํางของการอยํูรํวมกันในสังคมได๎ และ แนนํ อนวาํ ความอดทน อดกล้ัน ของแตํละคนยํอมไมํเหมือนกัน ขีดจากัดของคนก็ตํางกัน การท่ีจะตัดสินวําคนน้ัน คน นี้ ไมมํ คี วามอดทน อดกลน้ั จะตอ๎ งพิจารณาองคป์ ระกอบหลายๆ ด๎านดว๎ ยกนั จากทก่ี ลําวขา๎ งต๎น ในหลกั พนื้ ฐานความเป็นพลเมือง ของการเคารพศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์จึงเป็นการเคารพ ในความเป็นคน ในความเป็นมนุษย์โดยไมํแบํงช้ันวรรณะ ไมํดูถูก ดูแคลนกัน ไมํถือยศ ถือศักด์ิ ถือชาติตระกูล ถือชน ช้ัน และเคารพในความสามารถของกันและกัน เปิดโอกาสให๎แสดงความสามารถ แสดงความคิดเห็น ให๎การยกยํอง ชมเชย ยอมรับในความแตกตํางและพร๎อมที่จะอดทน อดกล้ัน และถ๎าคนเราเคารพซ่ึงกันและกันมากข้ึนเทําใด ก็จะ

116 เกิดความเชื่อถือ ศรัทธา อันจะทาให๎เกิดความรักความปรารถนาดีตํอกัน เกิดความรํวมมือท่ีดีตํอกันในสังคม เพ่ือ สรา๎ งสรรคส์ ่ิงดีๆ และรวํ มกันแกไ๎ ขปญั หาตํางๆ ให๎สาเรจ็ ลลุ ํวงไปได๎ หลักการที่ 2 การเคารพสิทธิ เสรีภาพ และกฎกตกิ าของสงั คมท่ีเป็นธรรมได๎แกํ การให๎ความสาคัญตํอสิทธิ เสรีภาพ กฎกตกิ า ของสงั คมทที่ กุ คนมสี วํ นกาหนดข้นึ หลกั การนี้มอี งคป์ ระกอบยอํ ยดังน้ี 1. รจู๎ ักสทิ ธิ และเสรีภาพของตนเอง โดยรู๎วาํ ตนเองเป็นเจ๎าของอธปิ ไตยและเป็นสมาชกิ คนหน่ึงของสงั คม 2. เคารพและปกปอู งสิทธแิ ละเสรีภาพของตนเอง ของผ๎ูอืน่ และของชมุ ชน โดยไมํให๎ผู๎ในลํวงละเมิดอันขัดตํอ กฎหมาย 3. เคารพกฎกติกาสังคม โดยกฎกติกาน้ันต๎องตั้งอยูํบนความยุติธรรมและความชอบธรรม หากยังมีกฎกติกา ใดไมํยุติธรรมและไมํชอบธรรม ก็ยํอมสามารถปรับปรุง แก๎ไข หรือยกเลิกตามครรลองหรือเง่ือนไขท่ีกาหนดไว๎ใน กฎหมาย มิใชํใชว๎ ธิ ีการอืน่ ใดที่ไมถํ ูกตอ๎ งตามกฎหมาย 4. ยึดหลักนติ ิรัฐ (Rule of Law) โดยมหี ลกั การพ้นื ฐานในการคุ๎มครองสิทธิ เสรีภาพของพลเมือง มิให๎ถูกลํวง ละเมิดโดยบุคคล กลมํุ คน หรอื รฐั สทิ ธิ เสรภี าพ คอื อะไร สิทธิ (Rights)หมายถึง สิทธิเป็นส่ิงที่ติดตัวมนุษย์ทุกคนตามธรรมชาติที่ได๎เกิดมาเป็นมนุษย์ ซึ่งไมํมีใครลํวง ละเมิดไดท๎ กุ คนทเี่ กิดมามีสิทธทิ จี่ ะมชี วี ติ อยํรู อด และต๎องมีชีวิตอยูํอยํางสมเกียรติและมีศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์ ความ มีอยขํู องสิทธิตามธรรมชาติน้ี แมเ๎ ม่อื ยังไมํมกี ฎหมายรองรบั สทิ ธิก็ยังมีอยูํ เสรีภาพ (Freedom)หมายถึง การท่ีมนุษย์สามารถทาอะไรก็ได๎ภายใต๎ของเขตของศีลธรรมอันดีงาม โดยไมํ เบยี ดเบยี นสงั คม หรอื ไมลํ วํ งลา๎ สิทธิของบุคคลอนื่ หรือสทิ ธิของสํวนรวม เราจึงเห็นวํามีการใช๎คา 2 คาน้ีพร๎อมกัน คือ สิทธิและเสรีภาพ ในปฏิญญาสากลวําด๎วยสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ (Universal Declaration of Human Rights) มักจะใช๎คาวําสิทธิเสรีภาพท่ีจะแสดงความคิดเห็นและแสดงออก หรือสิทธิและเสรีภาพในการเลือกคํูครอง และสร๎างครอบครับ เปน็ ต๎น สทิ ธิ เสรีภาพในความเป็นพลเมอื ง เปน็ สิทธิ เสรภี าพเกี่ยวกบั การท่ีสามารถเรียกร๎องความต๎องการข้ันพ้ืนฐาน จากรัฐในฐานะท่ีเป็นราษฎรของรัฐได๎ ซ่ึงรัฐมีหน๎าที่ให๎การสนองตอบในรูปของบริการสาธารณะ ถือเป็นสิทธิที่จะร๎อง ของได๎ จะรับเอาได๎หรือเป็นสทิ ธิที่ติดตัวมา โดยเกิดข้ึนมาจากความเป็นพลเมืองหรือราษฎรของรัฐ โดยท่ีรัฐไมํอาจจะ ปฏิเสธความรับผดิ ชอบหรือความชวํ ยเหลือด๎วยการเพิกเฉยไมกํ ระทาการตอบสนองตามข๎อเรียกร๎องของประชาชน ซึ่ง สทิ ธแิ ละเสรีภาพที่รัฐมหี น๎าทใ่ี นการใหค๎ วามค๎ุงครองได๎ เชนํ - สิทธแิ ละเสรภี าพในการศกึ ษา - สิทธิของผบ๎ู รโิ ภค - เสรภี าพในการชุมนมุ - เสรภี าพในการรวมตวั เป็นหมูํคณะ - สทิ ธกิ ารรบั ขอ๎ มูลขาํ วสารจากรฐั - เสรภี าพการจัดต้ังพรรคการเมือง

117 - สทิ ธใิ นการได๎รบั การบรกิ ารสาธารณสขุ และสวัสดีการจากรัฐ - สิทธใิ นการฟูองหนํวยราชการ - สทิ ธใิ นการมีสวํ นรวํ มกับรัฐ - สิทธิในการคัดค๎านการเลือกตง้ั - สทิ ธใิ นการเข๎าชื่อเสนอกฎหมายและข๎อบัญญตั ิทอ๎ งถิ่น - สิทธิในการเข๎าชือ่ ถอดถอนผูด๎ ารงตาแหนงํ ทางการเมืองท้งั ระดับชาติ และระดบั ท๎องถิน่ ทัง้ นี้ การใชส๎ ทิ ธใิ นการเข๎าช่อื เสนอกฎหมายนัน้ มีขอบเขตจากัดตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแหํงราชอาณาจักร ไทยพุทธศักราช 2550 เฉพาะกฎหมายเก่ียวกับสิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทยตามหมวด 3 และเกี่ยวกับ แนวนโยบายพื้นฐานแหํงรฐั ตามหมวด 5 เทํานั้น จากทกี่ ลําวขา๎ งตน๎ สทิ ธิเปน็ ส่งิ ที่จะร๎องขอได๎ หรอื จะรบั เอาได๎ หรือเป็นสิทธิท่ีติดตัวมาโดยเกิดขึ้นมาจากความ เป็นพลเมืองของรัฐ ซ่ึงการได๎รับความยุติธรรมจากการใช๎สิทธิสาคัญกวําการได๎รับประโยชน์จากสิทธิที่เทํากัน เชํน พลเมืองท่ีเป็นเด็กได๎รับสิทธิการศึกษาภาคบังคับฟรี แตํพลเมืองท่ีเป็นผู๎ใหญํได๎รับสิทธิในการออกเสียงเลือกตั้ง และ สมัครรับเลือกตั้ง ขณะที่พลเมืองที่ด๎อยโอกาสจะได๎รับสิทธิการสงเคราะห์จากรัฐ ท้ังท่ีคนปกติทั่วไปไมํได๎รับสิทธิ ดงั กลําว ดังนั้น สิทธิเสรีภาพในความเป็นพลเมือง จึงเป็นสิทธิของพลเมืองที่ไมํจาเป็นวําทุกคนจะต๎องได๎รับประโยชน์ เทํากนั หากแตํเปน็ สิทธิอะไรของใครกเ็ ป็นหน๎าทีข่ องรัฐทจ่ี ะตอ๎ งรับผิดชอบในการสนองตอบตํอการใช๎สิทธิน้ัน กลําวคือ พลเมืองท่ีเป็นเด็กยอํ มสามารถเรยี กร๎องการศกึ ษาฟรีในภาคบงั คับจากรฐั ได๎ เชํนเดียวกับผู๎ใหญํก็ยํอมสามารถเรียกร๎อง การใช๎สิทธิออกเสียงเลือกตั้งได๎ ดังน้ัน สิทธิเสรีภาพของพลเมืองจึงเป็นสิทธิที่สงวนไว๎ให๎ซึ่งเป็นหน๎าท่ีของรัฐที่จะต๎อง จัดหาใหป๎ ระชาชน ประชาธิปไตยคอื การปกครองระบอบโดย “กตกิ า” ทมี่ าจากประชาชน ระบอบประชาธิปไตย ต๎องใช๎ “กติกา” การปกครองโดย “กติกา” คือการปกครองโดยกฎหมาย (The Rule of Law) หรือที่เรยี กวาํ “นิตริ ัฐ” ซึง่ หมายถึง รัฐทม่ี ีการปกครองดว๎ ยกฎหมาย และหลักแหํงกฎหมายท่ีเป็นธรรม หรือ รฐั ทปี่ กครองโดยกติกา มิใชํปกครองโดยอาเภอใจ หรือใช๎กาลัง โดยทุกคนจะต๎องอยํูภายใต๎กฎหมาย และจะมีอานาจ กระทาการใดทก่ี ระทบตํอสิทธิเสรภี าพประชาชนได๎ ตอํ เมอ่ื มีกฎหมายให๎อานาจไว๎เทําน้ัน และเนื่องจากประชาธิปไตย คือ การปกครองโดยประชาชน กฎหมายท่ีใช๎ในการปกครอง จึงต๎องมาจากประชาชน กฎหมายในระบ อบ ประชาธปิ ไตยจงึ มิใชคํ าสั่งของผ๎มู ีอานาจ หากเปน็ การตกลงกนั ของประชาชน วําจะอยูํรํวมกันโดยมีกติกาอยํางไร และ โดยเหตุที่มีประชาชนจานวนมากจนไมํสามารถจะไปออกกฎหมายด๎วยตนเองโดยตรงได๎ การออกกฎหมายจึงทาโดย ผาํ นผูแ๎ ทน และนคี่ ืออานาจหนา๎ ท่ีของสภาผูแ๎ ทนราษฎรท่ี “ราษฎร” ไดเ๎ ลือกเขา๎ ไปทาหน๎าทอ่ี อกกฎหมายแทนตนเอง การปกครองในระบอบประชาธิปไตยมีการแบํงอานาจออกเป็นอานาจนิติบัญญัติ (ตรากฎหมาย) อานาจ บริหาร (ใช๎กฎหมาย) และอานาจตุลาการ (ตีความกฎหมาย) เพื่อให๎เกิดการตรวจสอบและถํวงดุลอานาจ (checks & balances) ไมํให๎ผ๎ูมีอานาจใช๎อานาจได๎ตามอาเภอใจ หากต๎องใช๎ภายใต๎กฎหมายหรือกติกาท่ีมาจากประชาชน ประเทศที่ปกครองด๎วยระบอบประชาธิปไตยจะต๎องนาหลักการทั้งหลายเหลํานี้มาบัญญัติไว๎ในรัฐธรรมนูญ การ ปกครองในระบอบประชาธิปไตยรฐั ธรรมนูญจงึ เปน็ “กฎหมายสูงสดุ ในการปกครองประเทศ”

118 หลกั การท่ี 3 รบั ผดิ ชอบต่อตนเอง ผู้อ่นื และสงั คม เปน็ การตระหนักถึงบทบาท หน๎าที่และพนั ธกิจของความเป็นพลเมอื งในระบอบประชาธิปไตย มีองค์ประกอบ ยํอยดงั นี้ 1.ทาหน๎าทข่ี องตนเองในฐานะสมาชิกของสงั คม เชนํ การเสยี ภาษี การเกณฑ์ทหาร เปน็ ตน๎ 2.กาหนดทิศทางของสงั คมรํวมกัน เพ่ือนาไปสํูสงั คมท่เี ปน็ ธรรมและสนั ติสขุ เชํน การไปใช๎สิทธิเลือกตั้ง การมี สํวนรวํ มในการประชาพจิ ารณ์ เป็นต๎น 3. ใช๎หลกั การประชาธิปไตยในการแก๎ปญั หาของสงั คม เชนํ การมีสวํ นรํวมในการแก๎ปัญหาด๎วยเหตุและผลใน เวทสี าธารณะ เป็นตน๎ 4. ยอมรบั หลกั เสียงข๎างมากและเคารพสทิ ธเิ สียงขา๎ งนอ๎ ย เชํน การเคารพมตทิ ่ปี ระชุม เป็นตน๎ หน้าท่แี ละความรบั ผดิ ชอบของประชาชนในระบอบประชาธปิ ไตย การอยูํรํวมกันในสังคมประชาธิปไตยน้ัน นอกจากจะมีสิทธิเสรีภาพแล๎ว สิ่งท่ีจะขาดไมํได๎อีกประการหน่ึงคือ หน๎าท่ีและความรับผิดชอบ ในสังคมประชาธิปไตยนอกจากได๎กาหนดในเร่ืองของสิทธิเสรีภาพไว๎แล๎ว ยังได๎กาหนด หน๎าท่ีของประชาชนไว๎อีกด๎วย การที่ต๎องกาหนดหน๎าท่ีของประชาชนในสํวนที่เกี่ยวข๎องกับรัฐไว๎เชํนนี้ก็เพื่อให๎ ประชาชนในระบอบประชาธิปไตยได๎เกิดความตระหนักวํา ภายใต๎การปกครองนี้ประชาชนจะต๎องเสียสละความร๎ู ความสามารถของตนเองเพ่ือประโยชน์ตํอสํวนรวมและความเจริญก๎าวหน๎าของการปกครองระบอบประชาธิปไตย รัฐธรรมนญู แหงํ ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ได๎กาหนดหน๎าท่ีสาคัญๆ อันจะเป็นประโยชน์แกํสํวนรวมของ ชนชาวไทยไว๎ในหลายๆ ด๎าน เชํน กาหนดให๎บุคคลมีหน๎าท่ีรักษาไว๎ซ่ึงชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตยอันมพี ระมหากษตั ริย์ทรงเปน็ ประมุขและยังมีหน๎าที่ท่ีสาคัญอน่ื ๆ อาทิ 1. บุคคลมหี นา๎ ที่ปฏบิ ตั ติ ามกฎหมาย 2. บคุ คลมีหน๎าท่ไี ปใชส๎ ิทธเิ ลอื กตั้ง 3. บุคคลมีหน๎าที่ปูองกันประเทศ รับราชการทหาร เสียภาษีอากร ชํวยเหลือราชการ รับการศึกษาอบรม พิทกั ษป์ กปอู ง และสบื สานศิลปวัฒนธรรมของชาติ ภมู ปิ ญั ญาทอ๎ งถ่นิ อนุรกั ษท์ รัพยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดลอ๎ ม 4. บุคคลผ๎ูเป็นข๎าราชการ พนักงาน หรือลูกจ๎างของหนํวยราชการ หนํวยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือ ของราชการสํวนท๎องถิ่น และเจ๎าหน๎าที่อื่นของรัฐ มีหน๎าที่ดาเนินการให๎เป็นไปตามกฎหมายเพื่อรักษาประโยชน์ สํวนรวม อานวยความสะดวกและให๎บรกิ ารแกํประชาชน การปกครองในระบอบประชาธิปไตยจะมีความเจริญก๎าวหน๎าไปมากน๎อยเพียงใดหรือไมํน้ัน สํวนหนึ่งก็อยํูที่ ความรับผิดชอบของประชาชน ถ๎าพื้นฐานความรับผิดชอบของประชาชนสํวนใหญํยังไมํดีแล๎ว การปกครองระบอบ ประชาธิปไตยก็มักจะขาดเสถียรภาพตามไปด๎วย ในเรื่องความรับผิดชอบนั้นสามารถจาแนกได๎ออกเป็น 2 สํวนคือ ความรบั ผิดชอบตํอตนเองและความรบั ผิดชอบตอํ สังคม ความรบั ผดิ ชอบตอ่ ตนเอง หมายถึง การรบั รูฐ๎ านะและบทบาทของตนทเ่ี ป็นสํวนหนึ่งของสังคมจะต๎องดารงตนให๎อยํูในฐานะที่ชํวยเหลือ ตัวเองได๎ รู๎จักวําส่ิงใดถูก สิ่งใดผิด ยอมรับผลการกระทาของตนเองทั้งท่ีเป็นผลดีและผลเสีย เพราะฉะน้ันบุคคลท่ีมี ความรับผดิ ชอบในตนเองยํอมจะไตรํตรองดูใหร๎ อบคอบกํอนวําส่งิ ท่ีจะกํอใหเ๎ กิดผลดีเทํานน้ั

119 ความรบั ผดิ ชอบตอํ ตนเอง มีระดบั แตกตาํ งกันไป เชํน เดก็ เยาวชนต๎องรบั ผิดชอบในเร่ืองการศึกษาหาความรู๎ การชํวยเหลือครอบครัวเทําท่ีจะทาได๎ ทั้งนี้ รวมถึงความรับผิดชอบในการเอาใจใสํดูแลพํอ แมํ ปูุ ยํา ตา ยาย หรือ เครือญาติตามแบบวัฒนธรรมไทย ในวัยหนุํมสาวย่ิงต๎องมีความรับผิดชอบตํอตนเองมากยิ่งขึ้นไปอีก เชํน การ ขวนขวายหางานทา การคิดพัฒนาวิชาชีพให๎เกิดความเจริญก๎าวหน๎า วัยสูงอายุ ต๎องมีความรับผิดชอบในการนา ประสบการณ์ชีวิตท่ีตนเองผํานพบมาถํายทอดให๎กับเยาวชนรํุนหลังได๎ศึกษา หรือแม๎แตํการอบรมสั่งสอนให๎ลูกหลาน เครือญาติประพฤตปิ ฏิบัติตนเป็นคนดี ความรับผิดชอบต่อสังคม หมายถึง ภาระหน๎าท่ีของบุคคลท่ีจะต๎องเกี่ยวข๎อง และมีสํวนรํวมตํอสวัสดิภาพของสังคมที่ตนเองดารงอยูํ ซ่ึง เป็นเรื่องท่ีเกี่ยวข๎องกับหลายสิ่งหลายอยํางต้ังแตํสังคมขนาดเล็กๆ จนถึงสังคมขนาดใหญํ การกระทาของบุคคลใด บุคคลหนึ่งยํอมมีผลกระทบตํอสังคมไมํมากก็น๎อย บุคคลทุกคนจึงต๎องมีภาระหน๎าท่ีและความรับผิดชอบท่ีจะต๎อง ปฏบิ ตั ติ ํอสังคม ดังตอํ ไปน้ี 1. ความรับผิดชอบตํอหน๎าท่ีพลเมือง ได๎แกํ การปฏิบัติตามกฎระเบียบของสังคม การรักษาทรัพย์สินของ สงั คม การชํวยเหลือผ๎อู น่ื และการใหค๎ วามรํวมมือกบั ผอ๎ู ืน่ 2. ความรับผิดชอบตํอครอบครัว ได๎แกํ การเคารพเช่ือฟังผู๎ปกครอง การชํวยเหลืองานบ๎านและการรักษา ชอ่ื เสียงของครอบครัว 3. ความรับผิดชอบตํอโรงเรียน ได๎แกํ ความต้ังใจเรียน การเชื่อฟังครู – อาจารย์ การปฏิบัติตากฎของ โรงเรยี นและการรักษาสมบตั ิของโรงเรียน 4. ความรับผิดชอบตํอเพ่ือน ได๎แกํ การชํวยตักเตือนแนะนาเม่ือเพ่ือนกระทาผิด การชํวยเหลือเพ่ือนอยําง เหมาะสม การให๎อภัยเม่ือเพื่อนทาผดิ การไมํทะเลาะและเอาเปรียบเพื่อน และการเคารพสทิ ธิซงึ่ กนั และกนั ทั้งนี้ ถ๎าหากประชาชนสํวนใหญํไมํเข๎าใจบทบาทหน๎าที่และความรับผิดชอบของตนเองแล๎ว การพัฒนา ประชาธิปไตยก็จะไมํเกิดขึ้น ด๎วยเหตุน้ีประเทศใดก็ตามที่ต๎องการให๎การปกครองระบอบประชาธิปไตยมีความเป็น ปึกแผํนม่ันคงแล๎วประเทศนั้นจะต๎องเรํงจัดการศึกษาให๎กับประชาชนอยํางท่ัวถึง ซ่ึงประชาธิปไตยจะเจริญก๎าวหน๎า ตํอไปได๎น้ัน ประชาชนจะต๎องพัฒนาส่ิงเหลํานี้ด๎วย คือ การพัฒนาตนเอง การมีวินัยในตนเอง การเสียสละเพื่อ ประโยชน์สวํ นรวม และการใชส๎ ติปญั ญาและเหตุผล การพัฒนาตนเอง ประชาธิปไตยจะพัฒนาก๎าวหน๎าไปได๎มากน๎อยเพียงใดน้ัน ปัจจัยสาคัญอยํูที่การพัฒนา ตนเองของประชาชนเป็นหลัก การพัฒนาตนเองของประชาชน หมายถึง การพัฒนาในหลายๆ ด๎าน แตํการพัฒนา เบื้องต๎นท่ีสาคัญที่สุดก็คือ การพัฒนาตนเองทางด๎านการศึกษา คนท่ีมีการศึกษาน้ันจะเป็นคนที่มีระบบและระเบียบ ทางความคิดอยํางเป็นเหตุเป็นผล เมื่อพบกับปัญหาใดปัญหาหนึ่งท่ีจะต๎องตัดสินใจก็จะใช๎ความร๎ูที่สั่งสมมานั้น ไตรตํ รองเพ่ือการตัดสนิ ใจไดอ๎ ยาํ งมหี ลักมเี กณฑ์ การปกครองระบอบประชาธิปไตย มีความจาเป็นท่ีจะต๎องอาศัยคนที่ มีความร๎ูมากเป็นพิเศษ ท้ังนี้เพราะความรู๎ของคนจะชํวยให๎การวิเคราะห์สิ่งที่ปรากฏขึ้นในสังคมเป็นไปอยํางถูกต๎อง มากข้นึ และมคี วามเป็นตัวของตวั เองสงู ท่ีจะตัดสนิ ใจสิ่งใดไดด๎ ว๎ ยความเช่อื มนั่ โดยไมํต๎องมีใครมาโน๎มนา๎ ว

120 การมวี ินยั ในตนเอง สังคมประชาธิปไตยเป็นสังคมของการอยูํรํวมกันโดยอาศัยกฎเกณฑ์ที่ประชาชนชํวยกัน เสนอแนวคิด โดยผํานผู๎แทนที่ตนเลือกเข๎าไปทาหน๎าท่ีแทน แล๎วนากฎเกณฑ์นั้นประกาศให๎ทุกคนรับรู๎รํวมกันวํา จะต๎องปฏิบตั ริ วํ มกันอยํางไร การที่ประชาชนยอมรับและปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ดังกลําวจนกํอให๎เกิดความเป็นระเบียบ เรียบรอ๎ ยขน้ึ ในสังคมประชาธปิ ไตย ลกั ษณะเชํนนี้เรยี กได๎วํา ประชาชนในสังคมนั้นเปน็ ผท๎ู ี่มรี ะเบยี บวินยั วินัยในตนเอง หมายถึง การท่ีบุคคลใดบุคคลหน่ึงเลือกข๎อประพฤติปฏิบัติสาหรับตนโดยสมัครใจ ไมํมีใคร บังคับหรือถูกควบคุมจากอานาจใดๆ ข๎อประพฤติปฏิบัตินี้ต๎องไมํขัดกับความสงบสุขของสังคม วินัยในตนเองเกิดจาก ความสมัครใจของบคุ คลท่ีผาํ นการเรยี นร๎อู บรม และเลือกสรรไวเ๎ ป็นหลักปฏิบัตปิ ระจาตน การเสียสละเพ่ือประโยชน์ส่วนรวม คนท่ีอยํูรํวมกันเพื่อความสงบสุข ควรจะมีคุณธรรมคือ ความเสียสละ นั่นหมายถึงการเสียสละความสุขสํวนตัวเพื่อสํวนรวม เพราะถ๎าตํางคนตํางเห็นแกํตัว ไมํเห็นแกํคนอ่ืนแล๎ว สํวนรวมก็ จะเดือดร๎อนเม่ือสํวนรวมเกิดความเดอื ดรอ๎ นเสียแล๎ว ความสขุ ความสงบจะเกดิ ขึ้นได๎อยํางไร ความเสียสละเป็นคุณธรรมขั้นพ้ืนฐานของผู๎ที่อยํูรํวมกันในสังคม ทุกคนในสังคมต๎องมีน๎าใจเอ้ือเฟื้อ เสียสละ แบํงปันให๎แกํกัน ไมํมีจิตใจคับแคบ เห็นแกํตัว ความเสียสละจึงเป็นคุณธรรมเครื่องผูกมิตรไมตรี ยึดเหนี่ยวจิตใจไว๎ เป็นเครอื่ งมอื สรา๎ งลกั ษณะนสิ ยั ให๎เปน็ คนทีเ่ ห็นแกํประโยชนส์ ุขสวํ นรวมมากกวําประโยชน์สขุ สํวนตัว การเสียสละเป็นกิจกรรมสาคัญอยํางหนึ่งในสังคม เริ่มตั้งแตํครอบครัวที่เป็นหนํวยเล็ก ๆ ของสังคม ต๎อง เสียสละความสุขสํวนตัว เสียสละทรัพย์สินท่ีหามาได๎ด๎วยความเหน่ือยยากลาบากให๎แกํกัน ท้ังในยามปกติและคราว จาเปน็ ดังทเี่ ห็นไดจ๎ ากการเสยี สละ บริจาคทรพั ย์ ส่ิงของเพื่อชํวยเหลอื กนั มักจะมกี ารรบั บรจิ าคเพอื่ นาเงินหรือสิ่งของ ไปชํวยเหลือผู๎ท่ีได๎รับความเสียหายอันเกิดจากภัยพิบัติตําง ๆ เชํน อุทกภัย วาตภัย เป็นต๎น หรือไมํก็มีการรับบริจาค สิ่งของเพ่ือนาไปสร๎างเป็นสาธารณะประโยชน์ให๎แกํสังคมสํวนรวม บุคคลผู๎มีน๎าใจเสียสละมีจิตใจโอบอ๎อมอารี เอื้อเฟ้ือเผื่อแผํทุกคนในสังคม ชํวยเหลือเทําที่เห็นวําสมควรจะชํวยเหลือได๎ เห็นใครควรแกํการชํวยเหลือก็ชํวยเหลือ ตามกาลังมากบ๎างน๎อยบ๎าง หรือบางคร้ังก็ชํวยเหลือด๎วยกาลังกาย กาลังทรัพย์ ซ่ึงบางคร้ังก็ด๎วยกาลังสติปัญญา โดย ทกุ ๆ ครัง้ ท่ชี ํวยเหลอื มงํุ จะปลดเปลอ้ื งความทุกข์ของผู๎อ่ืนด๎วยความเต็มใจ ผู๎ที่ฝึกฝนมาดีในเร่ืองของการเสียสละ ยํอม สละไดโ๎ ดยงําย ไมํต๎องฝืนใจ สามารถที่จะทาได๎อยํางสม่าเสมอ ความเอื้อเฟ้ือเผื่อแผํและการเสียสละท่ีเหมาะสม ยํอม ให๎ผลทด่ี ีเสมอ กํอให๎เกิดความชืน่ ชมยินดีตํอกัน ไมํวาํ จะเป็นผ๎ูให๎หรือผู๎รับ คนที่มีน๎าใจเสียสละคิดจะเฉล่ียแบํงปันลาภ ผลและความสุขของแกํผ๎ูอื่น อยํูเสมอน้ัน ใครๆ ก็อยากคบหาสมาคมด๎วย ดังนั้น ผ๎ูท่ีมองการณ์ไกลควรพยายาม เสียสละแบํงปันวันละนิด เป็นการสร๎างนิสัย อุปนิสัยและอัธยาศัยที่ดีให๎แกํตนเอง ซ่ึงอุปกนิสัยนี้จะคํอยๆ ฝังลึกลงใน จติ ใจ กลายเป็นอปุ นิสยั ที่มน่ั คงทาลายไดโ๎ ดยยาก สาหรับประชาชนในฐานะเป็นเจ๎าของประเทศ ที่มีหน๎าท่ีต๎องเสียสละ รัฐได๎กาหนดให๎ประชาชนมีหน๎าท่ีเสีย ภาษีให๎กับรัฐด๎วยเหตุที่ประชาชนท่ีมีฐานะทางเศรษฐกิจดีจึงต๎องเสียภาษีให๎กับรัฐด๎วยจานวนเงินมากน๎อยตามที่รัฐ กาหนด ซ่ึงบางคนอาจจะเสียภาษีด๎วยจานวนเงินที่มาก บางคนอาจจะเสียภาษีเพียงเล็กน๎อย หรือบางคนท่ีมีรายได๎ น๎อยอาจจะไมํต๎องเสียภาษีแตํอยํางใด การเสียภาษีนับเป็นการเสียสละอยํางหนึ่งของประชาชนภายใต๎การปกครอง ระบอบประชาธิปไตย เงินภาษีดังกลําวจะเป็นเงินที่รัฐนาไปพัฒนาประเทศ เชํน สร๎างถนน จัดให๎มีน๎าประปา ไฟฟูา โรงพยาบาล ปรับปรุงสภาพแวดล๎อม เป็นต๎น ซึ่งส่ิงเหลํานี้จะเป็นประโยชน์ตํอสังคมโดยสํวนรวม การเสียสละเพื่อ ประโยชน์สวํ นรวมเชนํ นี้ บางคนตอ๎ งเสียสละมาก บางคนเสียสละน๎อย ตามกฎเกณฑ์ทีไ่ ด๎กาหนดไวใ๎ นสังคม

121 การใช้สตปิ ัญญาและเหตุผล การปกครองในระบอบประชาธิปไตย จาเป็นจะต๎องอาศัยความร๎ูความสามารถ ของประชาชนในการชํวยเหลือเก้ือกูลกัน เพ่ือให๎เกิดการพัฒนาเจริญมากยิ่งขึ้นไป ซึ่งการปกครองในระบบ ประชาธิปไตยจะเจริญหรือเสื่อมถอยข้นึ อยกูํ ับ สติปัญญาและการใชเ๎ หตุผลของประชาชนเป็นสาคัญ โดยท่ัวไปแล๎ว คา วํา“สติ” กบั “ปัญญา” น้นั มกั จะนาไปพดู ในความหมายทร่ี วมกันเป็น “สตปิ ญั ญา” “สติ”ท่ีเราพูดกนั โดยทัว่ ไป หมายถึง การระลกึ ได๎ การไมพํ ล้ังเผลอ “ปญั ญา”หมายถึง ความรอบร๎ู ปัจจุบันคาวํา“ปัญญา” ยังหมายถึง การรู๎เหตุร๎ูผล ร๎ูดีร๎ูช่ัว รู๎ถูกร๎ูผิด รู๎ถึงการ ควรไมํควร รู๎คณุ ร๎โู ทษ ร๎พู ินจิ พจิ ารณา ร๎จู กั การวนิ จิ ฉยั รจู๎ ักการจาแนกแยกแยะ เป็นต๎น การท่ีสังคมเกิดปัญหาความวุํนวายในทุกวันน้ี สาเหตุหน่ึงก็เพราะมนุษย์ขาดสิตย้ังคิด ทาให๎เกิดความ พลงั้ เผลอไปสร๎างความเดือดรอ๎ นใหก๎ บั ผู๎อ่นื เอารดั เอาเปรยี บผ๎ูอ่ืน จนเกดิ ความวนํุ วาย นอกจากสติแล๎ว สังคมของการ ปกครองในระบอบประชาธิปไตยยังต๎องการปัญญาของประชาชนในสังคมมาชํวยกันสร๎างสรรค์ประชาธิปไตยอีกด๎วย ปญั ญาเปน็ สง่ิ จาเปน็ สาหรับการปกครองในระบอบประชาธปิ ไตยเป็นอยํางยง่ิ เพราะปญั ญาของมนุษย์จะทาให๎เกิดการ พัฒนาสิง่ ตาํ งๆ ให๎เจรญิ กา๎ วหนา๎ มากมาย มีการคิดคน๎ ระบอบการปกครองและใชป๎ ัญญาคอํ ยปรับเปล่ียนคํอยพัฒนาให๎ ระบอบการปกครองเหมาะสมตามยุคตามสมัยมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากใช๎สติปัญญาแล๎ว ยังจะต๎องใช๎เหตุผลเข๎ามา ชํวยในการตดั สินใจในเรือ่ งที่จะนามาใชเ๎ ปน็ หลักเกณฑ์กาหนดให๎ทุกคนอยรํู ํวมกนั อยาํ งมคี วามสุข เหตุผล เป็นเรื่องท่มี ีความสาคัญไมนํ ๎อยไปกวาํ เร่ืองสติ ปัญญา ท้ังสติ ปญั ญาและเหตุผล ตาํ งก็เปน็ องค์ประกอบของ กนั และกนั น่นั คือ เม่ือร๎จู ักใช๎สติ แตํถา๎ ขาดปัญญาแลว๎ สติเพียงอยํางเดียวก็ไมสํ ามารถสรา๎ งความเจรญิ ให๎กบั สังคมได๎ ในขณะเดยี วกนั ถ๎ามีแตปํ ัญญาแตขํ าดสติ มนุษย์ก็อาจจะใช๎ปัญญาไปในทางท่เี อารัดเอาเปรียบหรือสร๎างความ เดือดรอ๎ นแกสํ ังคมได๎ หรือถา๎ มีทั้งสตแิ ละปญั ญา แตํไมรํ ูจ๎ ักการไตรํตรองดว๎ ยเหตุด๎วยผลแล๎ว สติกบั ปญั ญาก็อาจจะทา ให๎เกดิ การตัดสนิ ใจในเรื่องตํางๆ ไมํวาํ จะเปน็ เรือ่ งชีวิต สังคม การเมือง หรือเร่ืองอ่นื ๆ เกิดความผิดพลาดไดเ๎ ชนํ กนั

122 ใบงาน เรอ่ื ง หนา้ ทพ่ี ลเมอื ง เรื่อง ความรเู๎ บ้ืองต๎นเก่ยี วกับกฎหมาย …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. เรือ่ ง กฎหมายท่ีเกย่ี วข๎องกับตนเองและครอบครัว …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. เร่อื ง กฎหมายท่ีเกย่ี วข๎องกบั ชุมชน …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. เรื่อง กฎหมายอ่นื ๆ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. เรื่อง การปฏิบตั ติ นตามกฎหมายและการรกั ษาสิทธิ เสรีภาพ ของคนในกรอบของกฎหมาย …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

123 แผนการจัดการเรียนรู้ รายวิชาช่องทางการเขา้ สอู่ าชพี ครง้ั ที่ 12 การจดั ทาหนว่ ยเรียนรู้บูรณาการหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2565 กศน.ตาบลหัวชา้ ง ระดบั ประถมศึกษา ๑. สปั ดาห์ที่ 12 วนั ที่ 2 เดอื น มถิ ุนายน พ.ศ. 2565 เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐น. ๒. วชิ า ชอ่ งทางการเขา้ สู่อาชีพ รหสั วิชา อช1๑๐๐๑ จานวน 2 หนวํ ยกิต 3. มาตรฐานท่ี ๓.๑ มคี วามรู๎ ความเขา๎ ใจและเจตคติท่ีดใี นงานอาชพี มองเห็นชํองทางและตดั สนิ ใจประกอบ อาชพี ไดต๎ ามความต๎องการและศักยภาพของตนเอง 4. หน่วยการเรียนร/ู้ เร่อื งชอ่ งทางการประกอบอาชีพ 5. สาระสาคัญ อาชพี ตา่ ง ๆที่อยู่ในท้องถิน่ ประเทศ ภมู ภิ าค มีมากมายหลายอาชีพ แต่ละอาชีพตอ้ งใช้ความรคู้ วามสามารถ ทักษะต่างกนั 6. เน้ือหา ๑. ความสาคัญและความจาเป็นในการมองเหน็ ชอ่ งทางการประกอบอาชีพ ๒. ความเปน็ ไปได้ในการเข้าสู่อาชพี ในชุมชน ๓. การลาดับอาชพี และเหตุผล 7. จุดประสงคก์ ารเรียนรู/้ ผลการเรยี นร้ทู คี่ าดหวัง (ดจู ากผังการออกข๎อสอบ) เมื่อศึกษาจบแล้ว ผ้เู รยี นสามารถ ๑. อธิบายความสาคัญและความจาเป็นในการมองเห็นชอ่ งทางการประกอบอาชพี ๒. ศกึ ษาอาชีพในชุมชน เพื่อวิเคราะห์ ความเป็นไปได้ ๓. การลาดบั อาชพี โดยพิจารณา ความเป็นไปได้ 8. การบรู ณาการกับหลักแนวคิดของเศรษฐกจิ พอเพยี ง (2 เงอื่ นไข 3 หลกั การ การเชือ่ มโยงสู่ 4 มิติ) ความรู้ - นักศึกษามคี วามรูเ๎ ร่ือง ชอ่ งทางการประกอบอาชพี - รจู้ ักวธิ ีในการเลอื กประกอบอาชพี คุณธรรม - ซือ่ สัตย์ สุจรติ อดทน มคี วามเพียร ใช้สตปิ ัญญาในการประกอบอาชีพ พอประมาณ - ความพอประมาณในการเลือกชอ่ งทางประกอบอาชีพใหเ้ หมาะสมกบั ทุนทรัพย์ แรงงาน วชิ าชีพ อายุ เวลา ความชอบและความสนใจ มีเหตผุ ล -ความมีเหตุผลในการวางเป้าหมายของชวี ิตในการประกอบอาชพี มภี มู ิคุ้มกนั

124 - มีงานทา มรี ายได้ มเี งินออม สามารถใช้เวลาวา่ งให้เกิดประโยชนส์ ูงสุด วัตถุ - มีทกั ษะในการเลอื กชอํ งทางการประกอบอาชพี ได๎อยํางเหมาะสม สงั คม - มีการอยํูรํวมกนั ในชุมชน และทางานรํวมกบั ผู๎อื่นไดอ๎ ยํางมคี วามสขุ - สามารถนาความรู๎เร่ืองชํองทางการประกอบอาชพี ไปใช๎ในการดาเนินชีวิต ส่งิ แวดล้อม - ประกอบอาชีพท่สี ุจรติ ไมเํ บียดเบียนผูอ๎ ่ืน ทาใหช๎ มุ ชนนําอยูํ วัฒนธรรม - การอยรํู ํวมกนั ในสงั คม ไมํเบยี ดเบียนผู๎อ่นื 9. กระบวนการจัดการเรยี นรู้และกิจกรรมการเรียนรู้ ข้ันท่ี ๑ กาหนดสภาพปัญหาการเรยี นรู้ (O : Orientation) ๑. ครอู ธบิ ายความสาคญั และความจาเป็นในการประกอบอาชีพ ในการทางานอาชพี ของตนเองได้ ๒. ให้นกั ศึกษาทาแบบทดสอบก่อนเรียน ขัน้ ที่ ๒ แสวงหาขอ้ มลู และจัดการเรยี นรู้ (N : New ways of learning) ๑.ครู อธิบายความสาคญั และความจาเปน็ ในการมองเห็นชอ่ งทางการประกอบอาชีพ ศกึ ษาอาชีพใน ชมุ ชน เพอ่ื วเิ คราะห์ ความเป็นไปได้ การลาดบั อาชพี โดยพิจารณา ความเปน็ ไปได้ ๒.ทาแบบทดสอบหลงั การพบกลุ่ม ขนั้ ที่ ๓ การปฏิบัตแิ ละการนาไปใช้ (I : Implementation) ครูสรุปความสาคัญและความจาเป็นในการประกอบอาชพี ลักษณะช่องทางการประกอบอาชีพ และ อาชพี ในชุมชน สงั คม ประเทศ ข้ันท่ี ๔ การประเมินผลการเรยี นรู้ (E : Evaluation) ผ๎ูเรยี นสามารถนาความร๎ู และประสบการณ์ในการประกอบอาชพี ทผี่ เู๎ รยี นสนใจมาประยุกต์ใชไ๎ ด๎ ให้นกั ศึกษาทาใบงาน ช่องทางการประกอบอาชีพ 10. สอ่ื /แหล่งเรยี นรู้ - หนงั สือแบบเรยี น -ใบความรู๎ - ใบงาน - ส่อื อนิ เตอร์เน็ต ๑1. การวัดและประเมินผล 11.1 วธิ ีการวดั และประเมินผล - แบบประเมนิ ผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกบั ผ๎อู น่ื ของนกั ศึกษารายบคุ คล - ใบงาน

125 11.2 เคร่อื งมอื วัดและประเมินผล. - ประเมินผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานรํวมกับผ๎อู น่ื ของนกั ศกึ ษารายบุคคล - ผลจากการตรวจใบงาน 11.3 เกณฑก์ ารวดั และการประเมินผล - แบบประเมนิ ผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกบั ผ๎อู ่นื ของนกั ศึกษารายบุคคล ระดับดี พอใช๎ และควรปรับปรงุ - ใบงานคะแนนเตม็ 10 คะแนน กจิ กรรมเสนอแนะ ............................................................................................................................. ............................................................ ......................................................................................................................................................................................... …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชอ่ื ………………………………………ครูผส๎ู อน (นางสาววาสนา พานิชย์) ครู กศน.ตาบล ข้อเสนอแนะของผู้บรหิ าร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ลงชือ่ ……………………………………………ผ๎อู นมุ ัติแผน (นางปทั มาภรณ์ ศรเี นตร) ผ๎ูอานวยการ กศน.อาเภอจตุรพักตรพิมาน

126 บนั ทกึ หลังการจดั การเรยี นรู้ การจัดทาหน่วยเรียนรูบ้ ูรณาการหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง กศน.ตาบลหวั ช้าง คร้ังท่ี 12 วันที่ 2 เดือน สิงหาคม พ.ศ. 2565 ครูผูส๎ อน นางสาววาสนา พานิชย์ ระดบั ประถมศึกษา เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐ น. สาระการประกอบอาชพี รายวชิ าชํองทางการเขา๎ สูํอาชีพ รหสั วชิ า อช1๑๐๐๑ จานวนผู๎เรียนท้ังหมด ............... คนเข๎าเรยี น…………………คน ไมํเขา๎ เรียน……………………….คน ๑. ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การประเมนิ โดยใช๎ แบบทดสอบกํอนเรียน - หลังเรยี น พบวาํ คะแนนการทดสอบหลงั เรยี น มากกวํากอํ นเรียนจานวน ........ คนคิดเปน็ รอ๎ ยละ............ คะแนนการทดสอบหลังเรียน นอ๎ ยกวาํ กํอนเรยี นจานวน ......... คนคดิ เปน็ ร๎อยละ............ ๒. เนอ้ื หา/สาระ .................................................................................................... ..................................................... ............................................................................................................................. ............................ ......................................................................................................................................................... ๓. กิจกรรมการเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ............................ ............................................................................................................................. ............................................... ...................................................................................................................................... ๔. ปญั หา/อปุ สรรค การเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ............................ ............................................................................................................................. ............................ ............................................................................................ ............................................................. ๕. แนวทางการแก้ปัญหา ............................................................................................................................. ............................ ............................................................................................................................................... .......... ลงช่อื ....................................................... (นางสาววาสนา พานิชย์) ครูผส๎ู อน วนั ที.่ ............../.................../............... ความคิดเห็น/ข้อเสนอแนะของผบู้ ริหาร ............................................................................................................................................................... .......................... ......................................................................................................... .......................................... ลงชอื่ .................................................................. (นางปัทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผ๎ูอานวยการ กศน.อาเภอจตุรพักตรพิมาน

127 ใบความรู้ เร่อื ง ความสาคัญและความจาเปน็ ในการประกอบอาชีพ อาชีพ หมายถงึ การทากิจกรรม การทางาน การประกอบการที่ไมํเป็นโทษแกสํ ังคม และมรี ายได๎ตอบแทน โดย อาศยั แรงงาน ความร๎ู ทักษะ อุปกรณ์ เครอื่ งมือ วิธีการ แตกตาํ งกันไป กลุํมอาชีพตามลักษณะการประกอบอาชีพ มี ๒ลักษณะ คือ อาชพี อสิ ระ และอาชีพรบั จ๎าง ๑. อาชีพอิสระ หมายถงึ อาชีพทุกประเภททีผ่ ปู๎ ระกอบการดาเนนิ การด๎วยตนเอง แตํเพียงผูเ๎ ดียวหรอื เปน็ กลมุํ อาชีพอสิ ระเป็นอาชพี ท่ีไมํต๎องใชค๎ นจานวนมาก แตํหากมีความจาเป็นอาจมีการจา๎ งคนอ่ืนมาชวํ ยงานได๎ เจ๎าของ กจิ การเป็นผู๎ลงทนุ และจาหนํายเอง คดิ และตดั สนิ ใจดว๎ ยตนเองทุกเรอ่ื ง ซึ่งชวํ ยใหก๎ ารพัฒนางานอาชพี เปน็ ไปอยาํ ง รวดเร็วทันตอํ เหตุการณ์ การประกอบอาชีพอสิ ระ เชนํ ขายอาหาร ขายของชา ซํอมรถจักรยานยนต์ ฯลฯ ในการ ประกอบอาชีพอสิ ระ ผู๎ประกอบการจะต๎องมคี วามร๎ู ความสามารถในเรื่อง การบรหิ าร การจัดการ เชํน การตลาด ทาเล ทต่ี ั้ง เงนิ ทุน การตรวจสอบ และประเมนิ ผล เปน็ ตน๎ นอกจากน้ยี ังต๎องมคี วามอดทนตอํ งานหนัก ไมถํ ๎อถอยตํอ ปญั หาอุปสรรคท่ีเกดิ ขึ้น มีความคิดริเรมิ่ สร๎างสรรค์ และมองเหน็ ภาพการดาเนนิ งาน ของตนเองได๎ทะลปุ รุโปรงํ ๒. อาชพี รบั จ้าง หมายถงึ อาชีพทีม่ ผี อู๎ ่นื เป็นเจา๎ ของกจิ การ โดยตัวเองเปน็ ผ๎ูรับจ๎าง ทางานให๎ และไดร๎ ับ คาํ ตอบแทน เปน็ คาํ จ๎าง หรือเงินเดอื น อาชีพรับจ๎างประกอบดว๎ ย บุคคล ๒ฝาุ ย ซึง่ ได๎ตกลงวําจ๎างกนั บุคคลฝาุ ยแรก เรยี กวาํ \"นายจ๎าง\" หรือผูว๎ าํ จ๎าง บุคคลฝาุ ยหลงั เรียกวํา \"ลกู จ๎าง\" หรอื ผรู๎ บั จา๎ ง มคี ําตอบแทนทผ่ี ๎วู ําจ๎างจะตอ๎ งจาํ ย ใหแ๎ กํ ผรู๎ ับจา๎ งเรียกวํา \"คาํ จา๎ ง\" การประกอบอาชีพรับจ๎าง โดยทว่ั ไปมลี กั ษณะ เปน็ การรับจา๎ งทางานในสถาน ประกอบการหรือโรงงาน เปน็ การรับจา๎ งในลักษณะการขายแรงงาน โดยไดร๎ ับคําตอบ แทนเปน็ เงนิ เดือน หรือ คําตอบแทนท่ีคดิ ตามชน้ิ งานทที่ าได๎ อตั ราคําจ๎างข้นึ อยูํกับการกาหนด ของเจา๎ ของสถานประกอบการ หรือนายจา๎ ง การทางานผ๎รู บั จา๎ งจะทาอยูํภายในโรงงาน ตามเวลาที่นายจา๎ งกาหนด การประกอบอาชพี รับจา๎ งในลักษณะน้ีมีขอ๎ ดี คือ ไมตํ ๎องเสย่ี ง กบั การลงทนุ เพราะลูกจา๎ งจะใช๎เครอ่ื งมอื อปุ กรณ์ทีน่ ายจ๎างจดั ไว๎ให๎ทางานตามทีน่ ายจ๎าง กาหนด แตมํ ขี ๎อเสีย คือ มักจะเป็นงานทท่ี าซ้า ๆ เหมือนกนั ทุกวนั และตอ๎ งปฏิบตั ิตามกฎ ระเบียบของนายจา๎ ง ในการ ประกอบอาชีพรับจา๎ งนน้ั มปี ัจจยั หลายอยํางทเี่ อ้ืออานวยใหผ๎ ู๎ประกอบอาชีพ รับจา๎ งมคี วามเจรญิ ก๎าวหน๎าได๎ เชนํ ความรู๎ ความชานาญในงาน มนี ิสยั การทางานทด่ี ี มีความกระตือรือร๎น มานะ อดทน ในการทางาน ยอมรบั กฎเกณฑ์ และเชอื่ ฟังคาส่ัง มคี วามซื่อสัตย์ สุจริต ความขยนั หม่ันเพยี ร รบั ผิดชอบ มมี นุษย์สมั พันธท์ ด่ี ี รวมทง้ั สขุ ภาพอนามัยท่ี ดี อาชีพตําง ๆ ในโลกมมี ากมาย หลากหลายอาชพี ซึ่งบุคคลสามารถจะเลือกประกอบ อาชีพได๎ตามความถนัด ความ ต๎องการ ความชอบ และความสนใจ ไมํวําจะเป็นอาชีพ ประเภทใด จะเปน็ อาชีพอิสระ หรืออาชีพรับจา๎ ง ถ๎าหากเป็น อาชีพทีส่ จุ รติ ยํอมจะทาให๎ เกิดรายไดม๎ าสํตู นเอง และครอบครัว ถ๎าบุคคลผ๎นู ั้นมีความมุํงม่นั ขยัน อดทน ตลอดจน มี ความรู๎ ข๎อมูลเกยี่ วกับอาชีพตําง ๆ จะทาให๎มองเหน็ โอกาสในการเขา๎ สํูอาชพี และพฒั นา อาชพี ใหมํ ๆ ให๎เกดิ ข้ึนอยูํ เสมอ ความหมายและความสาคญั ของการประกอบอาชีพ การประกอบอาชีพเป็นท่ีมาของรายได๎ เพือ่ นาไปใชจ๎ ํายในการดารงชีวติ ซ่ึงจาเปน็ ตอ๎ งอาศัยปจั จัยสี่ ไดแ๎ กํ อาหาร ทอี่ ยํูอาศยั เครอื่ งนงุํ หํม และยารกั ษาโรค ในอดตี สิ่งของตํางๆเหลาํ นเี้ ปน็ หนา๎ ที่ของพํอแมํ เปน็ ผ๎จู ดั หาให๎แกสํ มาชกิ ดว๎ ยการผลิตขึน้ ใชเ๎ องในครอบครัว โดยไมจํ าเป็นต๎องใช๎เงนิ ซ้ือหา ปจั จุบนั การดารงชีวิตใน สงั คมได๎เปล่ยี นแปลงไป ประชาชนมกี ารศกึ ษามกข้ึน ความรูท๎ ่ไี ด๎รับจะเป็นพ้ืนฐานในการประกอบอาชีพ เพื่อใหม๎ ี รายไดม๎ าซื้อปจั จยั สแี่ ละสิง่ ของอื่นๆในการดารงชีวติ และสร๎างมาตรฐานทีด่ ใี ห๎แกตํ นเอง ครอบครัว และสังคม อาชพี มีอยูมํ ากมาย ควรพจิ ารณาเลือกประกอบอาชีพทีม่ ีความถนดั และความสนใจ สุจริต มีความม่ันคงในชวี ติ และมี รายได๎เพียงพอความจาเปน็ ของการประกอบอาชีพมีดงั นี้

128 ๑. เพอ่ื ตนเอง เปน็ การประกอบอาชีพเพื่อใหไ๎ ดเ๎ งินหรอื รายได๎มาจบั จาํ ยใช๎สอยสาหรับการดาเนินชวี ิต และตอบสนอง ความต๎องการของตนเอง เชนํ ซื้อเครอื่ งซักผ๎า เครือ่ งตัดหญ๎า เตาไมโครเวฟ รถยนต์ ฯลฯ ซ้อื สง่ิ สร๎างความบันเทงิ และการพกั ผํอน เชนํ วิทยุ โทรทัศน์ วดี ิทศั น์ตลอดจนซื้อสินค๎า ฟมุ เฟอื ย เชนํ เคร่อื งประดับราคาแพง นา้ หอม เครือ่ งสาอาง เปน็ ต๎น ๒. เพ่ีอครอบครัว ครอบครวั เป็นหนํวยสังคมทเี่ ล็กทส่ี ดุ สมาชกิ ของครอบครวั ประกอบดว๎ ย พํอ แมํ ลูก ซ่งึ มภี าระหน๎าท่ีท่ี จะตอ๎ งปฏิบัติตํอกนั เชํน พํอแมํมีหน๎าท่ีเลยี้ งดูลูกและให๎การศึกษา เพ่อื ประกอบอาชีพในอนาคต ลูกมีหนา๎ ทศี่ ึกษา เลําเรยี นจนสาเรจ็ การศกึ ษา แลว๎ แสวงหาอาชพี เพื่อหารายได๎มาเล้ียงดตู นเอง พํอแมํ และทกุ คนในครอบครัว ให๎ มีมาตรฐานความเปน็ อยูทํ ่ีดขี ้ึน ๓. เพ่ือชมุ ชน ครอบครัวเปน็ สวํ นหนึง่ ของชมุ ชนหรือสงั คม หากสมาชกิ แตํละครอบครวั ประกอบอาชพี ทส่ี ุดจริตถูกต๎องตาม กฎหมาย และมีอาชีพทม่ี นั่ คง รายไดด๎ ี และมีโอกาสก๎าวหน๎าภายในชมุ ชน ทาให๎ชมุ ชนเขม๎ แข็ง เศรษฐกจิ ของ ชมุ ชนเจริญรงุํ เรืองสามารถพ่งึ พาตนเองได๎ ๔. เพื่อประเทศชาติ เมือ่ ประชาชนในชาตมิ กี ารประกอบอาชพี มรี ายได๎มาเลยี้ งตนเองและครอบครัว ทาให๎อัตราการวํางงานลด น๎อยลง ยอํ มเป็นการแก๎ไขปัญหาสังคมให๎กบั รัฐบาล สภาพสังคมมีความเป็นอยูทํ ด่ี ี มกี ารใชท๎ รพั ยากรภายใน ชมุ ชน รายไดเ๎ กิดการหมนุ เวยี น ทาให๎เศรษฐกจิ โดยรวมของประเทศก๎าวหนา๎ ผลจากการทป่ี ระชาชนประกอบ อาชพี มีงานทา มรี ายได๎ ชมุ ชนมคี วามเขา๎ แข็งและชาระภาษีใหแ๎ กํรัฐ เพ่ือรฐั จะได๎นาไปพฒั นาประเทศในดา๎ น ตาํ งๆ เชนํ การสรา๎ งถนน สะพาน เขือ่ น โรงไฟฟาู เป็นต๎น การประกอบอาชีพของประชาชน ในชมุ ชนและใน ประเทศ จงึ เป็นการชวํ ยพัฒนาประเทศชาตไิ ด๎อกี ทางหนงึ่ จากความจาเปน็ ดังกลาํ ว ทาใหท๎ ุกคนในชาติตอ๎ งประกอบอาชีพ เพื่อใหม๎ รี ายไดเ๎ ล้ยี งตนเองและ ครอบครัว ซ่ึงจะนาพาความสุขมาสชํู ุมชนหรือสังคมโดยรวม และกอํ ให๎เกดิ ผลดตี ํอประเทศชาติในดา๎ นการสรา๎ ง ความเจรญิ และความม่นั คงทางเศรษฐกิจ การแก๎ไขปัญหาทางสงั คมและการพัฒนาประเทศใหก๎ ๎าวไกล สามารถ แขํงขนั ในระดับมาตรฐานสากลได๎ สรปุ อาชพี หมายถึง การประกอบการทมี่ รี ายได๎ตอบแทนโดยใช๎แรงงาน ความร๎ู ทักษะอปุ กรณ์ เครอื่ งมอื สถานท่ี วิธีการต๎องเปน็ อาชพี สจุ ริตและไมํมีผลเสียตอํ ชมุ ชนสงั คมและประเทศชาติมนุษย์เราจาเปน็ ตอ๎ งมปี ัจจยั ตํางๆ เพื่อ ต๎องการดารงชวี ิต เชํน มีท่ีอยูํอาศัย มีอาหารรับประทาน มีเครื่องนํุงหํม มยี ารักษาโรคตํางๆ ซง่ึ ท้ัง๔อยํางนจ้ี ะเป็น พื้นฐานของการดารงชวี ติ ทว่ั ไป แตํบางคนก็อาจมคี วามจาเป็นอื่นๆ อีก เชํน รถยนต์ โทรศัพท์มือถอื ข้นึ อยํูกบั ความ จาเปน็ ในการประกอบอาชีพ หรือความจาเป็นตํอการดารงชวี ิตประจาวัน การจะมีปัจจัยตาํ งๆเหลาํ นี้ ข้นึ อยูํกับฐานะ ทางการเงนิ ซึ่งก็คอื ความสามารถในการหารายได๎ของแตลํ ะบุคคล

129 ใบงาน เรื่อง ช่องทางการประกอบอาชพี ให้ผ้เู รียนสรุปความรู้ทไ่ี ดเ้ รยี น ตอบคาถามในหัวข้อต่อไปนี้ 1. เพราะเหตุใดคนทกุ คนจะต้องมีอาชีพ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 2. ชุมชนจะได้ประโยชนอ์ ย่างไรกับการท่ีคนในชมุ ชน มีรายได้จากการประกอบอาชพี ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. ประเทศจะไดป้ ระโยชนอ์ ะไรจากการท่ีคนในประเทศ มรี ายไดจ้ ากการประกอบอาชีพ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 4. เพราะอะไรจึงต้องมีความรู้ ในเร่ืองอาชีพในชุมชน ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...

130 แผนการจดั การเรยี นรู้ รายวิชาชอ่ งทางการเขา้ สูอ่ าชีพ ครง้ั ท่ี 13 การจดั ทาหนว่ ยเรยี นรู้บูรณาการหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2565 กศน.ตาบลหัวช้าง ระดบั ประถมศึกษา ๑. สปั ดาหท์ ี่ 13 วนั ที่ 9 เดอื น สิงหาคม พ.ศ. 2565 เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐น. ๒. วชิ าช่องทางการเข้าสอู่ าชีพ รหัสวชิ า อช1๑๐๐๑ จานวน 2 หนวํ ยกิต 3. มาตรฐานที่ ๓.๑ มีความร๎ู ความเขา๎ ใจและเจตคตทิ ่ีดใี นงานอาชีพ มองเหน็ ชอํ งทางและตดั สินใจประกอบ อาชีพไดต๎ ามความต๎องการและศักยภาพของตนเอง 4. หน่วยการเรียนร/ู้ เรือ่ งการงานอาชพี 5. สาระสาคญั การงานอาชีพแบงํ กลํุมได๎ดังน้ี อาชพี เกษตรกรรม งานอาชีพด๎านอุตสาหกรรม งานอาชีพดา๎ นพานิชยกรรม งานอาชพี ด๎านสรา๎ งสรรค์ และอาชีพยอํ ย ๆ อีกมากมาย ดงั นนั้ ควรศึกษาวิเคราะห์ ขอบขาํ ยอาชีพกระบวนการทางาน ใหเ๎ ข๎าใจ 6. เนือ้ หา ๑. ความสาคัญและความจาเป็นในการประกอบอาชีพ ๒. อาชีพในชุมชน ๓. การประกอบอาชีพในภูมิภาค หา๎ ทวปี 7. จุดประสงคก์ ารเรยี นร้/ู ผลการเรยี นร้ทู ีค่ าดหวัง (ดูจากผงั การออกข๎อสอบ)เม่ือศกึ ษาจบแล๎ว ผเ๎ู รียนสามารถ ๑. อธบิ ายความสาคญั และความจาเป็นในการประกอบอาชีพ ๒. อธิบายวิเคราะหล์ ักษณะขอบขาํ ยกระบวนการผลิตงานอาชพี ในชุมชน สงั คม ประเทศได๎ ๓. อธบิ ายการจดั งานอาชีพในชมุ ชนสังคม ประเทศและภูมิภาค ห๎าทวปี ได๎ ๔. อธิบายคุณธรรมจรยิ ธรรมในการทางาน ด๎านอาชพี ได๎ ๕. อธบิ ายการอนุรกั ษพ์ ลงั งานและส่งิ แวดลอ๎ ม ในการทางานอาชีพได๎ 8. การบูรณาการกับหลกั แนวคดิ ของเศรษฐกิจพอเพยี ง (2 เงอื่ นไข 3 หลักการ การเชอ่ื มโยงสู่ 4 มิต)ิ ความรู้ - นักศกึ ษามคี วามรเ๎ู รื่อง ความสาคัญและความจาเป็นในการประกอบอาชีพ คุณธรรม - ซือ่ สัตย์ สุจริต อดทน มคี วามเพยี ร ใชส๎ ติปญั ญาในการประกอบอาชีพ พอประมาณ - ความพอประมาณในการประกอบอาชีพใหเ๎ หมาะสมกับทุนทรัพย์ แรงงาน วิชาชพี อายุ วัย ทาเลทตี่ ง้ั เวลาความชอบและความสนใจ มเี หตผุ ล - ความมเี หตผุ ลในการวางเปูาหมายของชวี ิตในการประกอบอาชีพ มีภมู ิค้มุ กัน - มีงานทา มรี ายได๎ มีเงนิ ออม สามารถใช๎เวลาวํางใหเ๎ กิดประโยชน์สงู สุด วตั ถุ

131 - รจู๎ กั เลอื กประกอบอาชีพได๎อยาํ งเหมาะสมและคุ๎มคาํ - มีทกั ษะในการเลอื กประกอบอาชีพ สงั คม - มที ักษะการอยูํรํวมกนั ในกลํุม และทางานรวํ มกบั ผู๎อื่นได๎อยาํ งมคี วามสุข - สามารถนาความรเู๎ ร่ืองการประกอบอาชีพ ไปใชใ๎ นการดาเนินชีวิต สิ่งแวดล้อม -รจู๎ ักประกอบอาชพี ที่สุจรติ ไมํเบยี ดเบยี นผู๎อ่นื ทาให๎ชมุ ชนนาํ อยํู วฒั นธรรม - การอยรูํ วํ มกนั ในสงั คม ไมํเบยี ดเบยี นผู๎อืน่ 9. กระบวนการจดั การเรยี นรู้และกจิ กรรมการเรียนรู้ ขั้นท่ี ๑ กาหนดสภาพปัญหาการเรยี นรู้ (O : Orientation) ๑. ครูอธิบายความสาคญั และความจาเป็นในการประกอบอาชีพ ในการทางานอาชีพของตนเองได๎ ๒. ให๎นักศึกษาทาแบบทดสอบกอํ นเรียน ขัน้ ที่ ๒ แสวงหาขอ้ มูลและจัดการเรยี นรู้ (N : New ways of learning) ๑. ครูอธบิ ายความสาคัญและความจาเปน็ ในการประกอบอาชีพ ลักษณะขอบขํายกระบวนการผลิต งานอาชีพในชุมชน สังคม ประเทศ การจดั งานอาชพี ในชมุ ชนสังคม ประเทศและภมู ิภาค ห๎าทวปี คุณธรรมจรยิ ธรรม ในการทางาน ดา๎ นอาชีพได๎ อธบิ ายการอนรุ ักษพ์ ลังงานและส่ิงแวดล๎อม ในการทางานอาชีพได๎ ๒. ทาแบบทดสอบหลงั การพบกลุํม ขนั้ ที่ ๓ การปฏบิ ตั แิ ละการนาไปใช้ (I : Implementation) ครสู รุปความสาคัญและความจาเป็นในการประกอบอาชีพ ลักษณะขอบขาํ ยกระบวนการผลติ งาน อาชพี ในชมุ ชน สงั คม ประเทศ ขน้ั ที่ ๔ การประเมินผลการเรยี นรู้ (E : Evaluation) ผ๎ูเรยี นสามารถนาความรู๎ และประสบการณ์ในการประกอบอาชพี ทีผ่ ๎ูเรียนสนใจมาประยุกต์ใช๎ได๎ ให๎นักศึกษาทาใบงาน การงานอาชีพ 10. สอ่ื /แหล่งเรียนรู้ - หนังสือแบบเรยี น - ใบความร๎ู - ใบงาน - ส่ืออินเตอรเ์ น็ต 11. การวัดและประเมนิ ผล 11.1 วธิ กี ารวัดและประเมินผล - แบบประเมินผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกับผ๎อู ืน่ ของนักศึกษารายบคุ คล - ใบงาน 11.2 เคร่อื งมือวดั และประเมินผล. - ประเมินผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกบั ผูอ๎ ืน่ ของนกั ศกึ ษารายบุคคล - ผลจากการตรวจใบงาน 11.3 เกณฑ์การวดั และการประเมินผล

132 - แบบประเมินผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานรํวมกบั ผอู๎ ่นื ของนกั ศึกษารายบคุ คล ระดบั ดี พอใช๎ และควรปรับปรงุ - ใบงานคะแนนเตม็ 10 คะแนน กิจกรรมเสนอแนะ ...................................................................................................................................... ................................................... ......................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............................................................ ........................................................................................................................................................................................ ลงช่ือ……………………………………ครผู ส๎ู อน (นางสาววาสนา พานิชย์ ครู กศน.ตาบล ขอ้ เสนอแนะของผู้บริหาร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ................................................................................................................................................................. ........................ ......................................................................................................................................................................................... ลงชอ่ื ……………………………………………ผอู๎ นมุ ัติแผน (นางปทั มาภรณ์ ศรเี นตร) ผู๎อานวยการ กศน.อาเภอจตุรพกั ตรพิมาน

133 บันทกึ หลังการจัดการเรยี นรู้ การจดั ทาหนว่ ยเรยี นรู้บรู ณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง กศน.ตาบลหัวชา้ ง ครงั้ ท่ี 13 วันท่ี 9 เดือน สิงหาคม พ.ศ. 2565 ครผู ูส๎ อน นางสาววาสนา พานิชย์ ระดบั ประถมศึกษา เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐ น. สาระการประกอบอาชีพ รายวิชาชํองทางการเข๎าสอํู าชีพ รหสั วชิ า อช1๑๐๐๑ จานวนผู๎เรยี นทงั้ หมด ............... คนเขา๎ เรียน…………………คน ไมํเขา๎ เรยี น……………………….คน ๑. ผลการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้การประเมนิ โดยใช๎ แบบทดสอบกํอนเรียน - หลังเรยี น พบวาํ คะแนนการทดสอบหลังเรยี น มากกวํากํอนเรยี นจานวน ........ คนคดิ เปน็ ร๎อยละ............ คะแนนการทดสอบหลังเรียน นอ๎ ยกวํากํอนเรยี นจานวน ......... คนคิดเป็นรอ๎ ยละ............ ๒. เน้ือหา/สาระ ............................................................................................................................. ............................ .............................................................................................................................. ........................... ....................................................................................................... .................................................. ๓. กิจกรรมการเรียนการสอน ............................................................................................................................. ............................ ....................................................................................................................................................... ..................... .............................................................................................................. ......................................... ๔. ปัญหา/อปุ สรรค การเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ............................ ......................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............................ ๕. แนวทางการแก้ปัญหา ............................................................................................................................. ............................ ......................................................................................................................................................... ลงช่ือ....................................................... (นางสาววาสนา พานิชย์) ครูผ๎สู อน วนั ท่.ี ............../.................../............... ความคิดเหน็ /ข้อเสนอแนะของผบู้ ริหาร ................................................................................................................................. ........................................................ .......................................................................................................................................................................... ลงช่อื .................................................................. (นางปทั มาภรณ์ ศรีเนตร) ผ๎ูอานวยการ กศน.อาเภอจตรุ พักตรพิมาน

134 ใบความรู้ เรื่อง การงานอาชีพ เรอื่ ง อาชีพในชมุ ชน การเปลีย่ นแปลงทางด๎านสงั คมและสิง่ แวดล๎อมความเจริญก๎าวหน๎าทางดา๎ นเทคโนโลยมี ผี ลตอํ ชีวติ ความ เป็นอยูแํ ละโดยเฉพาะการประกอบอาชีพของคนในหมูํบา๎ นได๎แกํการเกิดอาชีพใหมํหรือการอนุรักษ๑อาชพี เดมิ ให๎อยใํู น ทอ๎ งถ่ินดงั นี้ ๑. การสร๎างอาชีพจากชํองวาํ งระหวํางอาชีพโดยอาศัยชอํ งวาํ งระหวาํ งอาชีพ๒ อาชพี เชํนอาชพี ขยายลาไม๎ไผํ โดยซ้ือจากแหลงํ ปลูกไปขายใหก๎ บั แหลํงทาเครื่องจักสาน ๒. การสรา๎ งอาชพี จากผลของการประกอบอาชีพโดยอาศัยผลพลอยไดจ๎ ากอาชีพเดิมเชํนทาภาชนะใสํของ จากทางมะพร๎าวจากต๎นมะพรา๎ วทีป่ ลูกเปน็ อาชีพอยแูํ ลว๎ ๓. การสร๎างอาชพี จากทรัพยากรทอ๎ งถิ่นเป็นการสรา๎ งอาชีพใหมํโดยการนาทรัพยากรทมี่ ีอยใํู นท๎องถน่ิ มาใชใ๎ ห๎ เป็นประโยชนเ๑ ชํนทาอิฐจากดินเหนียวท่มี อี ยํูในทอ๎ งถ่นิ ๔. การสร๎างอาชีพจากความต๎องการของตลาดเปน็ การสรา๎ งอาชพี ใหมโํ ดยอาศัยขอ๎ มูลทางการตลาดเชนํ เลี้ยง กบเพราะตลาดมีความต๎องการมากหรือปลูกผักปลอดสารพิษ ๕. การสรา๎ งอาชพี ที่ขาดแคลนในทอ๎ งถนิ่ เปน็ การสร๎างอาชีพใหมํโดยอาศัยข๎อมลู ในท๎องถน่ิ เชนํ อาชีพรับซํอม มอเตอรไ๑ ซคเ๑ กดิ ข้ึนเพราะชาํ งในหมบํู ๎านขาดแคลน ๖. ประกอบอาชพี ตามบรรพบุรษุ พํอแมํปูยุ ําตายายทาอาชีพอะไรรุํนลูกรุํนหลานกจ็ ะดาเนนิ การตํอเชนํ อาชพี ขายก๐วยเต๋ียวถา๎ มีชื่อเสียงกจ็ ะขายจนกระทั่งรนุํ ลกู รํนุ หลาน ๗. ประกอบอาชพี ตามสภาพภมู ปิ ระเทศซ่งึ ในประเทศไทยประกอบดว๎ ยสภาพพืน้ ที่ท่ีเป็นภเู ขาทีร่ าบลํมุ ที่ดอน ดงั นนั้ การเพาะปลูกขนึ้ อยูํกบั สภาพพืน้ ท่ดี ๎วย เชํนที่ราบลํมุ สามารถทานาได๎อยํใู กล๎ทะเลประกอบอาชีพด๎านประมง หรอื บางทาเล สามารถจัดเปน็ แหลงํ ทอํ งเที่ยวได๎ ๘. ประกอบอาชีพตามนโยบายของรัฐบาลหรอื ของผูป๎ ระกอบการเองซึง่ ในพ้นื ที่ไมเํ คยทามากํอนเชนํ นา ยางพาราไปปลกู ทางภาคอสี านแตเํ ดิมยางพาราจะปลูกกนั ทางภาคใตเ๎ ปน็ สวํ นใหญํอาชีพในโลกน้ีมหี ลากหลายและ คนเราตอ๎ งมีอาชพี เพ่ือให๎มีรายไดเ๎ ลย้ี งตนเองครอบครวั การมีอาชพี ของตนเองต๎องอาศยั ปัจจัยหลายอยาํ งเชนํ ความรู๎ ความสามารถเงนิ ทใ่ี ช๎ในการลงทนุ มีสถานที่มีตลาดรองรับอาชพี เหลาํ น้ีไดแ๎ กงํ านบา๎ นงานเกษตรงานประดิษฐ๑และงาน ธรุ กิจ งานบ้าน เปน็ อาชพี ที่เกย่ี วกบั งานบ๎านเชํนผ๎าและเครอื่ งแตํงกายอาหารและโภชนาการผา๎ และเคร่ืองแตงํ กายงานผา๎ และเครื่องแตํงกายสิ่งสาคัญคือผ๎าสาหรับใชเ๎ ป็นวสั ดุที่สาคัญในการนาผ๎ามาทาเครื่องนุํงหมํ แล๎วยังมปี ระโยชน๑ใชส๎ อย

135 อยาํ งอื่นอีกเชํนผา๎ ปูโตะ๏ หมอนองิ ท่นี อนผา๎ มาํ นดังน้นั จงึ ควรมคี วามร๎คู วามเข๎าใจเกีย่ วกับผา๎ นอกจากนี้อาจจะมีงาน บรกิ ารท่ีเกีย่ วข๎องตํางๆเชนํ งานซักรดี งานรับปะชุนเสื้อผ๎า ผ๎าท่ีนิยมเลือกใช๎ชนดิ ของผ๎าที่เรารูจ๎ กั กนั แพรหํ ลายได๎แกผํ า๎ ฝาู ยผ๎าลนิ นิ ผา๎ ไหมผา๎ ขนสัตว๑และผา๎ ที่ทาจากเสน๎ ใยสังเคราะห๑ อาหารและโภชนาการ ความหมายของอาหาร อาหารหมายถงึ ส่ิงทคี่ นรับประทานหรือกินเข๎าไปแลว๎ มีผลทาให๎รํางกายเจริญเตบิ โตแข็งแรงและทาใหร๎ าํ งกาย ดาเนนิ ชีวิตอยํไู ดซ๎ ึ่งอาหารนน้ั รวมไปถงึ นา้ ด๎วย ความสาคัญของอาหาร ๑. ทาใหร้ ่างกายมีการเจริญเติบโตเป็นสิ่งทส่ี าคัญสาหรับการเจริญเตบิ โตของเดก็ หากรบั ประทานอาหารไมํ เพียงพอกบั ความต๎องการของรํางกายอาจทาให๎เกิดโรคตํางๆไดแ๎ ละมีสภาพรํางกายไมสํ มบูรณ๑ ๒. ทาให้ร่างกายมภี มู ิตา้ นทานโรคเม่ือได๎รบั อาหารทเี่ หมาะสมตามหลักโภชนาการแล๎วราํ งกายสามารถทจ่ี ะ ตํอสก๎ู บั เช้อื โรคตํางๆได๎ ๓. มีอายุยืน เมื่อรับประทานอาหารครบถว๎ นรํางกายแข็งแรงทาใหส๎ ุขภาพดแี ละมีผลทาใหอ๎ ายุยืนยาว อาหารหลกั ๕หมู่ หมู่ท๑่ี ไดแ๎ กํอาหารประเภทเน้อื สตั วต๑ ํางๆไขปํ ลานมถว่ั เมล็ดแห๎งเปน็ แหลํงของสารอาหารประเภทโปรตีน หมู่ท๒ี่ ได๎แกํอาหารประเภทข๎าวแปงู น้าตาลเผอื กมนั ข๎าวโพดเป็นแหลงํ ของสารอาหารประเภทคาร๑โบไฮเดรต หมู่ท๓ี่ ไดแ๎ กํอาหารประเภทผักใบเขยี วพชื ผักตํางๆเป็นแหลงํ ของสารอาหารประเภทแรํธาตตุ ํางๆและวติ ามนิ หมู่ท๔ี่ ไดแ๎ กํอาหารประเภทผลไมต๎ ํางๆเปน็ แหลํงของสารอาหารประเภทคารโ๑ บไฮเดรตเพราะมีนา้ ตาลมาก จึงทาให๎ได๎พลังงานมากกวาํ ผักและเป็นแหลงํ ของแรํธาตแุ ละวิตามนิ ตาํ งๆ หมูท่ ๕่ี ได๎แกอํ าหารประเภทไขมนั ท่ีไดจ๎ ากสัตวแ๑ ละพืชเชนํ น้ามันหมูน้ามันถวั่ นา้ มนั งาน้ามนั ราข๎าวเป็นแหลงํ ของสารอาหารประเภทไขมนั อาหารหลกั ๕หมทํู ่ีกาหนดขนึ้ อยูกํ ับผู๎บริโภคควรรบั ประทานให๎ครบประจาทุกวันและได๎สดั สวํ นทีเ่ หมาะสมกับ ความต๎องการของรํางกายเพอ่ื รํางกายมีสุขภาพท่ดี ีไมเํ ป็นโรคขาดสารอาหาร อาชพี ทเ่ี กี่ยวข้องกบั อาหารและโภชนาการ ๑. อาชีพเปิดรา้ นขายอาหาร เชํนขายขา๎ วแกงขายอาหารตามส่ังขายก๐วยเตีย๋ วขายขนมจนี บางร๎านอาจจะ ขายเฉพาะอยาํ งหรือหลายอยํางอยํูในร๎านเดียวกันขนาดของรา๎ นขึ้นอยํูกบั การลงทุนและจานวนลกู ค๎าดงั น้ันการตัง้ รา๎ นอาหารจะต๎องเลือกทาเล สารวจลักษณะของลูกคา๎ เชนํ รายไดข๎ องลูกค๎าความชอบชนิดและรสชาตขิ องอาหารการ เปดิ ร๎านอาหารต๎องควบคูไํ ปกับการขายเครื่องด่ืม

136 ๒. อาชีพขายเครอื่ งดื่ม รา๎ นประเภทนี้จะเนน๎ เคร่อื งดมื่ เป็นหลักถา๎ เครื่องดืม่ ขนาดเลก็ อาจจะขายเฉพาะ เคร่ืองดื่มประเภทกาแฟซ่ึงมีหลากหลายชนิดอาจขายตามข๎างทางหรือห๎างก็ไดถ๎ า๎ ขายเครื่องด่มื ทม่ี ีแอลกอฮอลก๑ ็อาจจะ มอี าหารประเภทของวํางใหแ๎ กลม๎ ด๎วยสํวนใหญํก็จะมีดนตรีและอาจมีสถานท่สี าหรบั เต๎นราได๎ท่เี รยี กกันวาํ Pub (ผับ) ๓. อาชพี ขายขนม อาจมบี างคนท่ตี ๎องการเปดิ รา๎ นขายขนมอยํางเดยี วเชนํ ขายขนมทมี่ ีความเยน็ ขายขนม ประเภทไขขํ ายขนมไทยเชํนบัวลอยเผือกเตา๎ สํวนขายประเภทเบเกอรซี่ ึ่งอาจควบกบั การขายเคร่ืองดื่มดว๎ ยการเรยี กช่ือ อาจแตกตํางกันเชํนรา๎ นขายข๎าวแกงอาจจะอยขูํ า๎ งถนนในตึกแถวภัตตาคารบางรา๎ นก็มดี นตรดี ๎วย ๔. อาชีพขายอาหารป่ินโต อาชพี น้ีไมํจาเปน็ ต๎องเปดิ รา๎ นขายอาหารแตใํ ช๎วธิ ีประชาสัมพนั ธ๑ให๎ทราบวํามี ธุรกจิ ประเภทน้ีเพ่ือให๎ลูกคา๎ สั่งจองราคาและชนดิ ของอาหารข้นึ อยูํกบั การตกลงกันบางคนรบั อาหารเฉพาะวันทางาน และสามารถเลือกอาหารได๎อาชีพนี้ตอ๎ งอาศัยรสชาติของอาหารเป็นหลกั การสํงตรงตํอเวลาการเลือกสถานที่ก็ไมํ จาเปน็ อาจจะใช๎สถานท่ีในบ๎านได๎ ๕. อาชีพถนอมอาหาร การถนอมอาหารเหมือนการเก็บอาหารให๎มีอายยุ นื คงทน เชํนการตากแห๎งการ รมควันการดองการทาเค็มการใชน๎ ้าตาลอาชพี นี้ข้ึนอยํูกบั วสั ดุทรัพยากรท่มี ีอยใูํ นท๎องถ่ินเชนํ อยํใู กล๎ทะเลก็อาจจะทา ปลาเคม็ ปลาแดดเดียวหอยดองหรือในท๎องถ่ินท่ีมีพืชผกั มากกจ็ ะถนอมผักโดยการดองผัก หรือมผี ลไม๎มากก็ใชว๎ ธิ ีเชื่อมเชํนทามะตมู เช่ือม ๖. อาชพี บรกิ ารจดั เล้ียง เป็นอาชพี ที่มีบรกิ ารจดั เล้ียงอาหารนอกสถานท่เี ชนํ จดั แบบบุฟเฟตุ โ๑ ต๏ะจีน รายละเอยี ดเกีย่ วกบั ราคาและชนดิ ของอาหารขึ้นอยํูกับการตกลง งานเกษตร งานเกษตรหมายถึงงานท่เี กย่ี วกับการปลกู พืชเล้ยี งสัตวแ๑ ละอาชีพทเี่ กย่ี วข๎องตามกระบวนการผลิตและการ จดั การผลผลิตมีการใช๎เทคโนโลยเี พ่ือการเพิ่มผลผลิตปลกู ฝังความรับผดิ ชอบขยันอดทนการอนรุ ักษ๑พลังงานและ สิ่งแวดลอ๎ มงานเกษตรสวํ นใหญเํ ก่ยี วข๎องกับการปลูกพชื จะเห็นวาํ ในอดตี เรามีพชื หลายชนดิ ทส่ี ามารถสํงออกไปขาย ตาํ งประเทศได๎ เชนํ ขา๎ วยางพาราขา๎ วโพดมันสาปะหลงั สํวนสตั ว๑และการประมงยงั น๎อยโดยเฉพาะการประมงตอ๎ งอาศยั สภาพพื้นทที่ ่ีติดชายทะเลการประกอบอาชีพเกษตรจะก๎าวหนา๎ อยํางไรต๎องเข๎าใจพืน้ ฐานเกษตรโดยเฉพาะเร่อื งดินและ ปุย๋ จงึ เปน็ สิง่ สาคัญในการเจริญเติบโตของพืช อาชพี ท่ีเกี่ยวขอ้ งกับงานเกษตร ๑. อาชพี ปลกู พืช อาจจะปลูกพชื ชนดิ เดียวหรอื ปลกู พชื หลายชนิดผสมกันเชํนปลกู พืชผกั แตมํ ีหลายชนิด หรอื ปลูกพชื ประเภทตํางๆเชนํ ปลูกผักปลกู ผลไม๎และทานาด๎วย ๒. อาชีพเล้ียงสตั ว เปน็ อาชีพที่ทาได๎ทั่วประเทศการเลยี้ งสัตว๑บางชนิดขน้ึ อยํูกบั สภาพพื้นท่ที รัพยากรและ สงิ่ แวดลอ๎ มเชนํ อยํูตดิ ทะเลก็ประกอบอาชีพประมงจบั ปลาจบั หอย

137 ๓. อาชีพเกษตรผสมผสาน เปน็ อาชพี เกษตรประกอบดว๎ ยหลายประเภทที่มีการเก้ือกูลกนั เชนํ มีการปลูกพชื รวมกบั การเลี้ยงสตั วโ๑ ดยเอาเศษพืชมาให๎สตั ว๑กนิ เอามูลสัตวไ๑ ปใสํพชื หรอื ผสมผสานกันระหวาํ งพืชเชํนเกื้อกลู กันโดย อาศยั รมํ เงาจากต๎นไม๎ทีใ่ หญํกวาํ ๔. อาชีพแปรรูปผลผลติ ทางการเกษตร โดยเอาผลผลิตทางการเกษตรทเ่ี หลือจากการขายหรือเป็นชวํ งท่มี ี ราคาตกตา่ กน็ ามาแปรรูปไดเ๎ ชํนการตากแหง๎ การดองการรมควันการเช่ือม ๕. อาชพี พ่อคา้ คนกลาง เปน็ อาชพี ท่ีรบั ซอ้ื สนิ ค๎าจากอีกทห่ี น่งึ ไปยังอกี ที่หนงึ่ ซ่ึงไมํต๎องเป็นผผ๎ู ลิตเองเชํนมี การรับซ้ือสินคา๎ หลากหลายจากผ๎ูผลติ ไปขายตลาด ๑. การปลกู พืช ประเภทของการปลกู พืช สามารถแบํงพชื ออกตามลักษณะการใชด๎ งั น้ี (๑) พชื ไรํคือพืชทป่ี ลูกโดยอาศยั สภาพดินฟูาอากาศในพื้นท่ีสํวนใหญอํ าศัยน้าฝนเชนํ การปลูกข๎าวโพดอ๎อย ข๎าวมนั สาปะหลงั (๒) พชื สวนเชนํ ปลูกผักผลไมไ๎ มด๎ อกไม๎ประดับต๎องมีการดแู ลรักษาอยํางใกลช๎ ดิ มนุษยต๑ ๎องดแู ลมากกวาํ พชื ไรํ เชนํ ให๎นา้ การปูองกันกาจัดศัตรูพืช (๓) พชื ปุาเป็นพืชที่ไมํต๎องการดูแลรกั ษาหรือมนุษย๑ปลูกข้นึ โดยอาศยั ธรรมชาติทสี่ อดคล๎องกบั พืชชนิดที่ เกิดขึ้นเองในปาุ เชํนการปลกู สักปลกู ไผํ (๔) พืชสมุนไพรหมายถึงพืชที่มสี รรพคุณในการรักษาโรคได๎ทั้งหมดพชื และสัตวบ๑ างชนิดยังนามาสกดั เป็น เครอื่ งสาอางเชํนวาํ นหางจระเขอ๎ ัญชันขม้ินเป็นอาหารเสริมเชนํ กระชายกระเทยี มเปน็ เคร่ืองดม่ื เชํนบัวบกคาฝอยตะไครใ๎ ชป๎ รุงแตํงอาหารเชนํ หอมแดงมะนาว ๒. การเลี้ยงสตั ว ประเภทของการเล้ียงสตั วแบํงตามลักษณะของสตั ว๑ได๎ดงั น้ี (๑) สัตว๑ใหญํนยิ มเล้ียงกันแพรํหลายเปน็ สตั วท๑ ่เี ลีย้ งไว๎เพอ่ื ใช๎งานใช๎เปน็ พาหนะเลย้ี งเปน็ อาชพี เชนํ โคเน้อื โค กระบือ (๒) สัตวเ๑ ล็กนยิ มเล้ียงในครวั เรอื นเปน็ อาชีพเปน็ อาหารหรือเพ่ือความเพลดิ เพลินเชนํ สุกรแพะกระตาํ ย (๓) สัตวป๑ กี เปน็ สัตว๑ประเภทมีปีกเชนํ ไกเํ ป็ดหาํ นนก (๔) สัตวน๑ า้ เป็นสัตวท๑ ี่อาศัยในน้าหรือครึ่งบกครึง่ น้าเชนํ ปลากุ๎งกบและตะพาบน้า งานชา่ ง งานช่างหมายถึงงานหรือส่งิ ท่ีเกิดข้ึนจากการทางานของชํางท่มี คี วามร๎ูความชานาญในงานน้นั ๆ ทกั ษะเปน็ สิ่งจาเปน็ ในการเป็นชาํ งเพราะเปน็ การสร๎างความร๎ูความชานาญในการทางานสงิ่ ใดสงิ่ หนงึ่ โดยมขี นั้ ตอนดังน้ี

138 ๑. การศึกษาหาความร๎กู บั งานชํางนั้นๆกํอนท่ีจะลงมือปฏิบัติงานนั้นๆเพ่ือให๎ทราบธรรมชาตขิ องงานเชนํ งาน ไฟฟูาต๎องเขา๎ ใจเกี่ยวกบั ธรรมชาตขิ องกระแสไฟฟาู การทางานของอุปกรณต๑ าํ งๆจากคูํมอื ประกอบของอุปกรณน๑ ้นั ๆ ๒.การวิเคราะหส๑ าเหตุของการชารุดเสียหายของชิ้นสวํ นอปุ กรณ๑หรือส่งิ กํอสร๎างศกึ ษาชนิดของวัสดแุ ละหน๎าท่ี ของชน้ิ สํวนอุปกรณใ๑ นแตลํ ะสํวนกอํ นทาการถอดหรือแก๎ไขซอํ มแซม ๓. การจัดเตรียมอปุ กรณใ๑ นการถอดประกอบช้ินสวํ นในแตํละอปุ กรณ๑เคร่ืองมือในการซํอมเชนํ คอ๎ นคีมไขควง ตลับเมตรฯลฯใหเ๎ หมาะสมกับลกั ษณะงานนั้น ๔. การวางแผนและกาหนดข้ันตอนการปฏบิ ตั งิ านในแตลํ ะสํวนใหเ๎ หมาะสมและการใชว๎ ัสดุอปุ กรณ๑อะไรบ๎าง งบประมาณทใี่ ช๎ความค๎มุ คํากับการซอํ มบารุง ๕. การปฏิบตั งิ านคือการทางานทีละขน้ั ตอนตามท่ีได๎ศึกษาวเิ คราะหแ๑ ละวางแผนไวเ๎ ป็นการฝึกให๎มีการสังเกต ตรวจสอบและค๎นควา๎ เพ่ือทาการทดลองและแก๎ไขข๎อบกพรํองหรอื จุดเสยี ให๎ดขี ้ึนหรืออยํูในสภาพเดิมทส่ี ามารถใช๎ได๎ ตํอไป ๖. เมอ่ื ทาการซํอมแซมเรียบร๎อยแลว๎ ใหต๎ รวจสภาพความเรียบรอ๎ ยอุปกรณใ๑ สํครบถว๎ นถูกตอ๎ งหรือไมํแลว๎ จงึ ทาการทดลองวาํ สามารถใช๎ได๎หรือไมหํ รือต๎องทาการปรบั ปรุงแก๎ไขให๎ดตี ํอไปประเภทของงานชําง ๑. ชํางไฟฟาู เปน็ ผม๎ู ีความชานาญเกีย่ วกบั ธรรมชาติและการทางานของระบบไฟฟูาประโยชน๑และโทษของ ไฟฟาู เชํนเดินสายไฟในอาคารชํางวิทยุโทรทศั น๑ ๒. ชํางไม๎เปน็ ผม๎ู ีความชานาญเกีย่ วกบั งานไมเ๎ ชนํ การทาเฟอร๑นเิ จอร๑จากไม๎ทาโตะ๏ เก๎าอี้หรืองานกํอสร๎างจาก ไม๎ ๓. ชํางยนตเ๑ ปน็ ผม๎ู ีความชานาญเกี่ยวกับเคร่อื งยนต๑กลไกการทางานของเครือ่ งยนต๑เชนํ เป็นชํางซํอมรถยนต๑ รถจักรยานยนต๑ ๔. ชาํ งประปาเปน็ ผม๎ู ีความชานาญเกี่ยวกบั การวางทํอประปาธรรมชาติการไหลของน้าการเชอื่ มตอํ ทํอใน ลักษณะตาํ งๆ ๕. ชาํ งปนู เปน็ ผู๎มคี วามชานาญเกย่ี วกับการกํออฐิ ถือปนู การฉาบการเทพน้ื คอนกรีต ๖. ชาํ งทาสีเป็นผูม๎ ีความชานาญเก่ียวกบั การทาสกี บั วัสดุตาํ งๆแล๎วยังมีความชานาญเก่ยี วกับการเลือกใช๎สีกบั วัสดุตาํ งๆ ๗. ชํางเชื่อมเปน็ ผ๎ูมีความชานาญเก่ยี วกบั งานเชื่อมการใชเ๎ คร่ืองมือเครื่องจกั รในการเชื่อมอาชพี ที่เก่ยี วข๎อง เชํนอาชพี ทาเหล็กดัดประตูหน๎าตําง

139 อาชพี ทีเ่ ก่ียวขอ้ งกบั งานช่าง ๑. เปน็ อาชพี ตามความชานาญเชนํ ชํางไฟฟาู ชาํ งไมช๎ ํางยนตช๑ าํ งประปาชํางปูนชํางทาสชี าํ งเช่อื มโดยอาจใช๎ ความรู๎ความสามารถรบั งานเองมีการบรหิ ารจัดการคดิ ราคาไดเ๎ องตดิ ตามการทางานเองจัดการหาลกู ค๎าเองหรือบางคน ใชค๎ วามชานาญเป็นลูกจ๎างงานกอํ สร๎าง ๒. เปดิ ร๎านซํอมเชํนซอํ มเครื่องไฟฟูาซํอมเครือ่ งรถยนตข๑ ึน้ อยํกู บั ความชานาญของแตํละคน งานประดิษฐ๑ งานประดษิ ฐ๑หมายถงึ สงิ่ ทที่ าขึ้นใหมํโดยใช๎วสั ดุตาํ งๆทั้งทีเ่ ปน็ วัสดุเหลือใชห๎ รือวสั ดทุ ว่ั ๆไปแล๎วนาไปใชใ๎ ห๎เกิด ประโยชนเ๑ ชํน ๑. เป็นกจิ กรรมทช่ี ํวยใหเ๎ กดิ ความคิดรเิ รม่ิ สรา๎ งสรรค๑ ๒. เป็นการใชเ๎ วลาวาํ งให๎เกิดประโยชน๑ ๓. เป็นการฝึกให๎ร๎ูจักสังเกตส่ิงรอบๆตัวและนามาใช๎ประโยชนไ๑ ด๎ ๔. สรา๎ งความภาคภมู ใิ จกบั ผ๎ูประดิษฐ๑ ๕. สามารถสร๎างงานและสรา๎ งรายไดเ๎ พอ่ื เปน็ พน้ื ฐานการประกอบอาชีพได๎ขอบขํายของงานประดิษฐ๑ งานประดิษฐตา่ งๆ สามารถเลือกทาได๎ตามความต๎องการและประโยชนใ๑ ชส๎ อยซง่ึ แบงํ เป็น๔ประเภทไดด๎ ังนี้ ๑. ประเภทของเลนํ เป็นของเลํนเพ่ือความเพลดิ เพลนิ ของเลํนเพื่อการคดิ เชํน งานปัน้ งานจักสานวสั ดุที่ใชเ๎ ชนํ กระดาษผ๎าเชือกพลาสติก ๒. ประเภทของใช๎อาจทาข้นึ เพ่ือใชใ๎ นชวี ิตประจาวนั เชนํ ตะกร๎ากระบุงงานไม๎ไผํผา๎ เช็ดเท๎าผา๎ ปโู ต๏ะวสั ดุทใ่ี ช๎ เชํนกระดาษไม๎ไผดํ ินผา๎ เหลก็ ใบตอง ๓. ประเภทของตกแตํงใชต๎ กแตงํ สถานท่บี ๎านเรือนใหม๎ ีความสวยงามเชํนการประดิษฐด๑ อกไมแ๎ จกันภาพวาด งานแกะสลัก ๔. ประเภทเครื่องใชง๎ านพิธที าขนึ้ เพ่ือใช๎ในพธิ ที างศาสนาในชวํ งโอกาสตาํ งๆและงานประเพณเี ชนํ ลอยกระทง งานเขา๎ พรรษางานออกพรรษางานศพเคร่อื งใชใ๎ นงานพธิ ที างศาสนาเชนํ พานพมํุ มาลยั เครื่องแขวนบายศรีการจดั ดอกไม๎ในงานศพ วัสดอุ ุปกรณ๑ทใี่ ชใ๎ นงานประดิษฐ๑จะเปน็ ของใช๎เล็กๆเชนํ กรรไกรเข็มด๎ายกาวมดี ตะปูค๎อนแปรงสีเลือ่ ย จกั รเยบ็ ผ๎ากระดาษ อาชีพท่เี กี่ยวข้องกับงานประดษิ ฐ อาชพี นกั ประดิษฐ๑เปน็ อาชีพท่ีผลติ สง่ิ ของเคร่ืองใชซ๎ ึ่งจะต๎องเป็นผท๎ู มี่ คี วามคิดสร๎างสรรคท๑ ันตอํ ความต๎องการ ของตลาด ลกั ษณะการประกอบอาชีพได๎แกํผลติ เสรจ็ แล๎วขายความคิดให๎กับบริษัทหรือคิดแลว๎ ผลติ เองสงํ ขายใหร๎ า๎ นค๎าหรือผลติ เองแลว๎ ขายเองโดยตรงกระบวนการผลติ งานประดิษฐ๑

140 ใบงาน เรื่อง การงานอาชีพ ๑. ให๎ผ๎เู รยี นสารวจอาชพี ในชุมชน ภมู ภิ าค และในโลก มา ๑๐ อาชพี ลงในแบบสารวจโดยดาเนนิ การดังตอํ ไปน้ี 1. ชอื่ อาชพี ....................................................................................................................................... 2. ท่ีตั้ง.............................................................................................................................................. 3. การประกอบอาชีพ (ใหม๎ รี ายละเอียดระยะเวลาการประกอบอาชีพตงั้ แตํเรมิ่ ต๎นจนถึงปัจจบุ นั ) ๒. ให๎ผเ๎ู รยี นเลอื กอาชพี ท่สี นใจมา ๑อาชพี พร๎อมด๎วยเหตุผลที่เลอื กประกอบอาชีพน้ัน ............................................................................................................................. ............................................... ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ............................................... ............................................................................................................................. ............................................. ........................................................................................................................................................................

141 แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาสังคมศึกษา ครง้ั ท่ี 14 ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ระดับประถมศกึ ษา กศน.ตาบลหัวชา้ ง ๑. สปั ดาห์ที่ 14 วนั ที่ 16 เดือน สงิ หาคม พ.ศ.2565 เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐น. ๒. วชิ า สงั คมศึกษา รหัสวชิ า สค1๑๐๐๑ จานวน 2 หนวํ ยกิต ๓. มาตรฐานที่ 5.3 ปฏบิ ัตติ นเปน็ พลเมืองดตี ามวิถปี ระชาธิปไตย มีจิตสาธารณะ เพื่อความสงบสขุ ของสงั คม ๔. หนว่ ยการเรยี นรู้/เร่ือง ภูมศิ าสตร์ทางกายภาพประเทศไทย ๕. สาระสาคัญ ลกั ษณะทางกายภาพและสรรพสิ่งในโลก มคี วามสัมพนั ธซ์ ึ่งกันและกัน และมผี ลกระทบตํอระบบ นเิ วศ ธรรมชาติ การนาแผนท่ีและเครื่องมือภูมิศาสตร์มาใช๎ในการค๎นหาขอ๎ มลู จะชวํ ยให๎ไดรบั ข๎อมูลทีช่ ัดเจนและ นาไปสูการใชก๎ ารจดั การไดอยํางมีประสิทธิภาพ การปฏิสัมพนั ธร์ ะหวํางมนุษยก์ ับสภาพแวดลอ๎ มทางกายภาพ ทาให๎ เกดิ สร๎างสรรคว์ ฒั นธรรมและจิตสานึกรํวมกนั ในการอนรุ ักษท์ รพั ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ๎ ม เพื่อการ พฒั นาท่ี ยัง่ ยนื ๖. เน้อื หา เรอ่ื งที่ 1 ลกั ษณะทางภูมิศาสตรก์ ายภาพของชุมชน เร่ืองที่ 2 ลกั ษณะทางภมู ิศาสตรก์ ายภาพของประเทศไทย เร่อื งที่ 3 การใช๎ข๎อมูลภมู ิศาสตร์กายภาพชุมชน ทองถน่ิ เพ่ือใช๎ในการดารงชวี ิต เรื่องที่ 4 ทรพั ยากรธรรมชาติและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เรอื่ งท่ี 5 ศักยภาพของประเทศไทย ๗. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้/ผลการเรียนรูท้ ่คี าดหวัง (ดูจากผงั การออกข๎อสอบ) 1. อธบิ ายลักษณะภมู ิศาสตร์ทางกายภาพของประเทศไทยได 2. บอกความสัมพันธร์ ะหวํางปรากฏการณทางธรรมชาตกิ ับการดาเนนิ ชีวติ ได 3. ใชแ๎ ผนทแี่ ละเคร่ืองมือภมู ิศาสตรไ์ ด๎อยาํ งเหมาะสม 4. วิเคราะห์สภาพแวดลอ๎ มทางกายภาพ วัฒนธรรมและกระบวนการเปลย่ี นแปลทาง ลกั ษณะกายภาพและลักษณะวฒั นธรรมทอ๎ งถิน่ ได 5. วิเคราะหศ์ ักยภาพของชมุ ชนทอ๎ งถ่ินเพ่อื เช่อื มโยงเขาสูอาชีพ 8. การบูรณาการกบั หลักแนวคิดของเศรษฐกิจพอเพยี ง (2 เงือ่ นไข 3 หลกั การ การเชือ่ มโยงสูํ 4 มิติ) ความรู้ - นกั ศึกษามีความรเู๎ รื่อง ลกั ษณะทางภูมิศาสตร์กายภาพของชมุ ชนและประเทศไทย - นกั ศึกษามีความรูเ๎ ร่ือง ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละการอนุรักษท์ รัพยากรธรรมชาติของชุมชน และประเทศไทย - นักศึกษามคี วามรเ๎ู ร่ือง ประวัตศิ าสตร์ต้ังแตํยคุ อดีตถึงยคุ ปจั จุบัน คุณธรรม - มีความมงํุ มน่ั ในการทางาน - มีความสามัคคีในหมํูคณะ - ใฝุหาความรู๎เพ่ือพัฒนาอยํูเสมอ พอประมาณ - มคี วามพอประมาณในเรอ่ื งของเวลาการแบงํ เวลาในการศกึ ษาหาความรู๎

142 มเี หตุผล - ได๎ความรู๎เกยี่ วกับลักษณะทางภมู ิศาสตรก์ ายภาพของชมุ ชนและประเทศไทย - ไดค๎ วามรเู๎ กี่ยวกบั ประวัติศาสตร์ตงั้ แตยํ คุ อดีตถึงยุคปจั จุบนั มภี มู คิ มุ้ กนั -ร๎จู ักลักษณะทางภูมิศาสตร์กายภาพของชุมชนและประเทศไทยเพ่ือนาไปปรบั ใชใ๎ นการ ดารงชวี ติ วตั ถุ - รจู๎ ักเลือกภมู ศิ าสตร์กายภาพชมุ ชน ทองถนิ่ เพื่อใช๎ในการดารงชวี ิต -มีทกั ษะในการเลอื กภมู ศิ าสตรก์ ายภาพชมุ ชนที่เป็นประโยชน์มาใช๎ในการวางแผนการ ดาเนินชวี ติ ของตัวเองในชมุ ชนและสังคม สังคม - มที กั ษะการอยูรํ วํ มกนั ในกลุํม และทางานรวํ มกบั ผู๎อืน่ ได๎อยํางมคี วามสุข - สามารถนาความร๎ทู ี่ได๎ไปเผยแพรํใหก๎ ับครอบครัวและชมุ ชน สงิ่ แวดล้อม - รู๎จกั การนาความร๎เู กีย่ วกบั ลกั ษณะทางภมู ศิ าสตรก์ ายภาพของชุมชนและประเทศไทย เพ่ือ เปน็ ข๎อมูลในการรักษาสมดุลรวมไปถึงการอนรุ ักสง่ิ แวดลอ๎ ม ของชมุ ชนและประเทศไทย วฒั นธรรม - สืบสานภมู ิปัญญาท๎องถ่ินและแหลงํ เรยี นร๎สู ๎ูคนรํนุ หลงั 9. กระบวนการจดั การเรียนรแู้ ละกิจกรรมการเรียนรู้ ขน้ั ท่ี ๑ กาหนดสภาพปญั หาการเรยี นร๎ู (O : Orientation) ๑. ครูทักทายผ๎เู รียน บอกวตั ถุประสงคก์ ารเรยี นร๎ู ๒. ครูทกั ทายกลําวนาและสร๎างความคุน๎ เคยกับผ๎ูเรียนพร๎อมกับเปดิ ประเดน็ พูดคุยกับผเู๎ รียนเรื่องความร๎ู เบือ้ งต๎นเกี่ยวกบั ประวัติศาสตรข์ องผูเ๎ รียนแตลํ ะคน และรวํ มกนั อภิปรายความรู๎เบ้อื งตน๎ เก่ียวกบั ประวตั ิศาสตร์เพื่อนาเขา๎ สูํบทเรียน ๓. ครเู ปิดภาพยนตร์เรื่องพระนเรศวรให๎ผเ๎ู รียนดู และสร๎างความเขา๎ ใจรํวมกันและวเิ คราะห์การ เปลย่ี นแปลงทางประวัติศาสตรต์ ้งั แตํยคุ อดตี ถึงยคุ ปัจจบุ นั ๔. ครูและผเ๎ู รยี นรํวมกันอภิปรายและสรา๎ งความเข๎าใจเกยี่ วกบั เหตุการณท์ างประวัติศาสตรโ์ ดย เรยี งลาดบั เหตุการณ์กํอน-หลงั ๕. ครเู ปดิ โอกาสให๎ผ๎ูเรียนซักถามข๎อสงสยั กํอนเข๎าสบูํ ทเรยี นในข้นั ตอํ ไป ๖. สอบถามความร๎เู รือ่ งลักษณะทางภมู ศิ าสตร์กายภาพของชุมชน ทองถ่ิน ข้ันที่ ๒ แสวงหาขอ๎ มลู และจัดการเรยี นร๎ู (N : New ways of learning) 1. ครูและผเู๎ รียนวางแผนวธิ กี ารเรยี นรู๎เน้ือหาที่กาหนด 2. ครแู จกใบความรใ๎ู ห๎ผเู๎ รียนศกึ ษา 3. ครแู บงํ กลุมํ ผู๎เรยี น 5 กลุํม แลว๎ ใหแ๎ ตํละกลุํมคัดเลือกหัวหนา๎ กลมํุ รองหัวหน๎ากลุํม และ เลขานกุ าร และสมาชิก จากน้ันใหห๎ วั หน๎ากลุํมออกมาจับฉลากเพ่ือเลอื กหัวขอ๎ ทั้งหมด 5 เร่ือง เรื่องที่ 1 ลกั ษณะทางภูมิศาสตร์กายภาพของชุมชน เร่อื งที่ 2 ลกั ษณะทางภมู ิศาสตรก์ ายภาพของประเทศไทย เรอ่ื งที่ 3 การใชข๎ ๎อมลู ภมู ิศาสตร์กายภาพชมุ ชน ทองถิน่ เพื่อใชใ๎ นการดารงชวี ิต เร่อื งท่ี 4 ทรพั ยากรธรรมชาติและการอนรุ กั ษท์ รัพยากรธรรมชาติ

143 เร่ืองที่ 5 ศักยภาพของประเทศไทย แล๎วใหผ๎ ู๎เรยี นนาเอาความร๎ูท่ีศึกษาตามเรื่องที่กาหนดใหแ๎ ล๎วนามาปรบั ใชใ๎ นการดาเนนิ ชีวติ ในสงั คม ปัจจบุ นั ในด๎านใดบ๎าง และนาเสนอเพื่อแลกเปลยี่ นเรยี นรห๎ู นา๎ ชนั้ เรยี น ขนั้ ท่ี ๓ การปฏบิ ตั ิและการนาไปใช๎ (I : Implementation) ๑. ผเู๎ รียนสงํ ตวั แทนนาเสนอความรท๎ู ี่จับฉลากไดแ๎ ลว๎ นาความร๎ูน้ันมาปรบั ใช๎ในการดาเนนิ ชีวติ ใน สงั คมปจั จบุ นั 2. ผู๎เรียนสรุปสาระสาคญั ทไ่ี ด๎รับจากการนาเสนอของแตํละกลํุมลงในสมดุ แลว๎ สงํ ครู ๓. ครูเพิ่มเตมิ ความรูใ๎ ห๎แกํผ๎ูเรียน ๔. ให๎ผู๎เรียนทาแบบทดสอบความรหู๎ ลังเรียน ขนั้ ที่ ๔ การประเมินผลการเรียนรู๎ (E : Evaluation) ๑.ใหผ๎ เ๎ู รียนแตํละคนสรุปความร๎ูทไี่ ดจ๎ ากการวเิ คราะห์ของแตํละกลํมุ มาสงํ ครใู นลักษณะของใบงาน ๒. ครแู ละผูเ๎ รียนรวํ มกันสรุปความรท๎ู ่ไี ดร๎ บั 10. สอื่ /แหล่งเรียนรู้ - แบบเรยี นวิชาสงั คมศึกษา - ใบความร๎ู /ใบงาน - กระดาษปร๏ูฟ / ปากกาเมจิก - สถานทพ่ี บกลุํม - ภมู ิปัญญาชาวบา๎ น และแหลงํ เรยี นรใ๎ู นทอ๎ งถน่ิ ๑1. การวัดและประเมนิ ผล ๑1.๑ วธิ กี ารวัดและประเมินผล - การสังเกตพฤตกิ รรมการทางานรวํ มกับผอ๎ู ื่น ของผเู๎ รยี นรายบุคคล - ใบงาน ๑1.๒ เครื่องมือวดั และประเมินผล - ผลการสังเกตพฤตกิ รรมการทางานรวํ มกับผ๎ูอ่ืน ของผู๎เรียนรายบคุ คล - ผลจากการตรวจใบงาน ๑๐.๓ เกณฑก์ ารวดั และการประเมินผล - การสังเกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกับผอู๎ นื่ ของผเ๎ู รยี นรายบคุ คล ระดบั ดี พอใช๎ ควรปรับปรุง - ใบงานคะแนนเต็ม ๑๐ คะแนน

144 กจิ กรรมเสนอแนะ ........................................................................................................................................................................ ................. ................................................................................................................................................................... ลงช่ือ…………………………………………….ครผู ๎ูสอน (นางสาววาสนา พานิชย์) ครู กศน.ตาบล ขอ้ เสนอแนะของผู้บริหาร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………........ ลงชอื่ ………………………………………………………ผ๎อู นมุ ตั แิ ผน (นางปทั มาภรณ์ ศรีเนตร) ผ๎ูอานวยการ กศน.อาเภอจตรุ พักตรพิมาน

145 บันทกึ หลังการจัดการเรยี นรู้ กศน.ตาบลหวั ชา้ ง ครง้ั ท่ี 14 วนั ที่ 16 เดือน สิงหาคม พ.ศ.2565 ครูผส๎ู อน นางสาววาสนา พานิชย์ ระดับ ประถมศึกษา เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐ น. สาระการพฒั นาสังคม รายวิชาสังคมศกึ ษา รหสั วิชา สค1๑๐๐๑ จานวนผ๎ูเรยี นท้ังหมด ............... คนเข๎าเรยี น…………………คน ไมเํ ขา๎ เรียน……………………….คน ๑. ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การประเมินโดยใช๎ แบบทดสอบกํอนเรียน - หลงั เรยี น พบวํา คะแนนการทดสอบหลังเรยี น มากกวาํ กอํ นเรยี นจานวน ........ คนคิดเปน็ ร๎อยละ............ คะแนนการทดสอบหลงั เรยี น น๎อยกวํากํอนเรียนจานวน ......... คนคิดเป็นร๎อยละ............ ๒. เนอื้ หา/สาระ ............................................................................................................................. ................................... ........................................................................................... ..................................................................... ............................................................................................................................. ................................... ๓. กิจกรรมการเรียนการสอน ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................... ............................................................................. ............................................................................................................................. .......... ๔. ปัญหา/อุปสรรค การเรียนการสอน ........................................................................................................................................ ........................ .......................................................................................................... ...................................................... ............................................................................................................................. ................................... ๕. แนวทางการแก้ปญั หา ............................................................................................................................................... ................. ................................................................................................................. ............................................... ............................................................................................................................. ................................... ลงช่ือ.......................................................ครูผ๎สู อน (นางสาววาสนา พานชิ ย์) วันที่.............../.................../............... ความคิดเหน็ /ข้อเสนอแนะของผู้บริหาร ............................................................................................................................. ............................................................ ....................................................................................................................................................................... .................. .............................................................................................................. ........................................................................... ลงชอ่ื .................................................................. (นางปัทมาภรณ์ ศรเี นตร) ผูอ๎ านวยการ กศน.อาเภอจตุรพักตรพิมาน

146 ใบความรู้ ลักษณะทางกายภาพของประเทศไทย ทต่ี ้งั และลักษณะทั่วไปของประเทศไทย ทีต่ ง้ั ประเทศไทยต้งั อยบํู รเิ วณตอนกลางของคาบสมุทรอินโดจนี มีทีต่ ง้ั ตามพิกัดภูมิศาสตรด์ ังน้ี ต้งั อยปูํ ระมาณระหวํางละติจูด 5 องสา 37 ลิปดาเหนือ กบั 20 องสา 27 ลปิ ดาเหนือและระหวําง ลองจิจูด 97 องศา 22 ลปิ ดาตะวนั ออก กับ 105 องศา 37 ลปิ ดาตะวนั ออก หรอื บริเวณซีกโลกเหนอื ในเขต ละตจิ ดู ตา่ ระหวํางเสน๎ ศูนยส์ ูตร กับเสน๎ ทรอปิกออกฟเคนเซอร์ นั่นเอง จึงจดั อยูํในประเทศเขตร๎อน จากท่ีประเทศไทยทาเลท่ตี ้งั เป็นคาบสมุทร จึงสํงผลดตี อํ การเพาะปลูกของประเทศตลอดมา และ ประเทศไทยต้ังอยํูทํามกลางดินแดนของภาคพื้นเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต๎ นับเปน็ จดุ ยุทธศาสตรส์ าคัญแหํงหนึ่งของโลก อาณาเขตตดิ ต่อ 1. อาณาเขตติดตอ่ กับสหภาพพม่า มีดินแดนดนิ ตํอกับพมําในภาคเหนือ ภาคตะวนั ตกและภาคใต๎รวม 10 จงั หวดั แนวพรมแดนอาศัยทิวเขาและแมํน้าเปน็ เสน๎ ก้ันเขตแดนตามธรรมชาติ 2. อาณาเขตติดต่อกับสาธารณรัฐประชาธปิ ไตยประชาชนลาว มพี รมแดนตดิ ตํอกับสาธารณรฐั ประชาธปิ ไตยประชาชนลาวในภาคเหนอื และภาคตะวันออก เฉียงเหนอื รวม 11 จังหวดั มีแมํน้าโขงเปน็ เส๎นกัน้ พรมแดนทางน้าท่สี าคญั สํวนพรมแดนทางบกมีทวิ เขาหลวงพระบางกน้ั ทางตอนบน และทวิ เขาพนมดงรักบางสวํ นกัน้ เขตแดนตอนลําง 3. อาณาเขตติดต่อกับราชอาณาจักรกมั พูชา มีพรมแดนติดตํอกับราชอาณาจกั รกัมพูชาในภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวนั ออก รวม 7 จงั หวดั 4. อาณาเขตติดต่อกับมาเลเซีย มพี รมแดนติดตํอกับมาเลเซยี ในภาคใต๎ 4 จังหวัด มีเทือกเขาสันกาลา ครี แี ละแมนํ าโก – ลก จงั หวดั นราธิวาสเปน็ เส๎นกนั้ แดน 5. อาณาเขตทางทะเล ตดิ ตอํ กับทะเลท้ังดา๎ นอําวไทยและดา๎ นทะเลอันดามนั รวมเป็นระยะทาง 2,705 กโิ ลเมตร 1 ) อาณาเขตติดตอํ กบั อําวไทย มีทั้งสิ้น 16 จงั หวัด อยูํในภาคกลาง 3 จงั หวดั ภาคตะวนั ออก 4 จัง หวด ภาคตะวนั ตก 2 จงั หวดั ภาคใต๎ 7 จงั หวัด 2 ) อาณาเขตติดตํอกบั ทะเลอนั ดามัน มีท้ังส้ิน 6 จังหวัด อยํใู นภาคใต๎ ลักษณะทางกายภาพของประเทศไทย ลกั ษณะภูมิประเทศ คือ สภาพท่วั ๆ ไปบนผิวโลก มลี ักษณะทางภูมิประเทศที่แตกตํางกัน ในแตลํ ะ ทอ๎ งถิ่นซง่ึ มีลักษณะท่ีแตกตาํ งกันไป ปัจจยั ท่กี ่อให้เกิดลักษณะภูมิประเทศ เกดิ จากการผนั แปรของเปลอื กโลกเน่ืองจากพลังงานภายในโลก ทาให๎เปลอื กโลกถูกบบี อัดยกตวั สูงข้นึ หรือทะเลต่าลงและอกี ประการหน่งึ เกิดจาก การกระทาของตวั กระทาตํางๆ นอกจากการเปล่ียนแปลงอันเกดิ จากกระบวนการทางธรรมชาติแลว๎ การกระทาของมนุษย์ก็มีสํวนในการ ทาใหเ๎ กิดลักษณะภมู ิประเทศบางอยาํ งไดเ๎ ชํน กัน แตํมีขอบเขตจากดั กวําการกระทาตามกระบวนการทางธรรมชาติ ลักษณะโครงสรา้ งภูมิประเทศของไทย มี ลกั ษณะโครงสรา๎ ง ภูมปิ ระเทศที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของเปลือกโลกกับการกระทาของแมนํ ้าลาธาร

147 ใน ระยะเวลาท่ผี ํานมา และเขตภูมิภาคทางภูมิศาสตรข์ องคณะกรรมการภมู ศิ าสตร์ โดยแบํงออกเป็น 6 เขตใหญํ ดงั นี้ 1. เขตภเู ขาและหบุ เขาภาคเหนอื บริเวณ ที่สงู และภเู ขาทั้งหมดในภาคเหนือ ภมู ปิ ระเทศบรเิ วณที่สูง ของภาคน้ี มลี กั ษณะเป็นภเู ขาและหุบเขาสลับกันเป็นแนวยาว บริเวณทีส่ ูงภาคเหนือน้ถี ือวําเปน็ แหลงํ กาเนิดของ แมนํ า้ สายสาคญั ของประเทศ ภาคเหนือเปน็ แหลงํ ทรพั ยากรธรรมชาติทีส่ าคญั หลายชนิด อาชีพของประชากรในภาคน้ี ได๎แกํ กา เพาะปลูก การเล้ยี งสัตว์ และการทาเหมืองแรํ 2. เขตทร่ี าบลุ่มภาคกลาง บรเิ วณท่ีราบตอนกลางและตอนลํางของลุํมแมํนา้ ทั้งหมดที่ไหลลงสูอํ ําวไทย จงึ ทาใหบ๎ รเิ วณแองํ แผนํ ดนิ ที่ต่าถูกทับถมด๎วยโคลนตะกอนสงู ๆ ข้นึ จนในทส่ี ดุ อยูํเหนือระดับนา้ กลายเปน็ ทร่ี าบ ซงึ่ เป็นบรเิ วณท่ีราบกวา๎ งขาวงท่ีสดุ ในประเทศ เขตทีร่ าบภาคกลางอาจแบงํ ได๎เป็น 2 บรเิ วณ 2.1 บริเวณทรี่ าบลุมํ น้าตอนบนและบริเวณขอบทร่ี าบตอนลาํ ง 2.2 บรเิ วณทร่ี าบลุํมนา้ ตอนลําง 3. เขตเทอื กเขาและหุบเขาภาคตะวนั ตก บรเิ วณนีอ้ ยทูํ างด๎านตะวันตกของเขตทร่ี าบภาคตะวันตก ลักษณะภมู ปิ ระเทศสวํ นใหญํเปน็ ทวิ เขาและหบุ เขาสลบั ซับซ๎อน มีลักษณะเปน็ เทือกเขาและหุบเขามากกวําทร่ี าบซงึ่ คล๎ายกบั ภาคเหนือ ประชากรในภาคน้มี ไี มมํ ากนกั เพราะเป็นเขตปาุ เขา ภาคตะวันตกเปน็ ดนิ แดนท่ีอดุ มไปดว๎ ย ทรพั ยากรธรรมชาติหลายประเภทมีความสาคัญ ตํอการพฒั นาเศรษฐกจิ มแี หลงํ น้าทสี่ มบูรณ์ที่เหมาะแกํการทา เกษตรกรรม มีปุาไมแ๎ ละสัตวป์ าุ นานาชนิด เป็นแหลงํ ผลติแรโํ ลหะและอโลหะทสี่ าคัญในด๎านอตุ สาหกรรม รวมทั้งเป็น แหลงํ พลังงานนา้ มันท่นี ามาพัฒนาและใชป๎ ระโยชน์ได๎อยํางมหาศาล 4. เขตชายฝ่งั ตะวนั ออกของอา่ วไทย เป็นเขตที่มเี นอื้ ท่นี อ๎ ยทส่ี ดุ ภูมิประเทศโดยท่วั ไปจะเป็นที่ราบลํมุ แมํน้าและท่ี ราบชายฝั่งทะเล มฝี นตกชกุ และมีปาุ ไม๎เหมือนภาคใต๎และภาคเหนอื มีการเพาะปลกู พืชไรํและการคา๎ เหมอื นภาค กลางและภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ ยงั เปน็ แหลงํ ทรัพยากรธรรมชาตทิ ่ีสาคญั ทางเศรษฐกิจหลายอยาํ ง 5. เขตท่ีราบภาคตอวนั ออกเฉียงเหนือ พื้นท่ี สวํ นใหญํเป็นที่ราบสูง ลกั ษณะของพื้นทีเ่ ป็นแอํงคลา๎ ย จานลาดเอียงไปทางตะวันออกเฉียงใต๎ไปทางบริเวณ แมํน้าโขง แม๎วําภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื จะเป็นภาคท่มี ีพืน้ ที่ กวา๎ งใหญํทสี่ ุด หากทางด๎านทรัพยากรธรรมชาตทิ สี าคญั เป็นพ้นื ฐานในการพัฒนาเศรษฐกิจแลว๎ อาจดอ๎ ยกวาํ ภาคอืน่ ๆ 6. เขตคาบสมุทรภาคใต้ เป็นพื้นท่ีราบ บริเวณชายฝั่งทะเล และภูเขาทเ่ี ปน็ แกนหรือสนั ของคาบสมุทร มีลกั ษณะภมู ิประเทศและภมู ิอากาศแตกตาํ งจากภาคอนื่ ๆ อยาํ งชัดเจน พืน้ ทส่ี วํ นใหญํประกอบดว๎ ยเทอื กเขา ซึ่งเป็น แกนกลางเขตคาบสมทุ รท่ีสาคัญ ลกั ษณะชายฝั่งทางภาคใตม๎ ลี ักษณะของพื้นแผํนดินท่มี ีการยกตัวสงู ขนึ้ ดว๎ ยเหตุนี้ ชายฝั่งอําวไทยจงึ มีท่ีราบชายฝ่ัง เป็นบรเิ วณกวา๎ งจึงเป็นแหลงํ เพาะปลูกทสี่ าคัญของภาคใต๎ ภาคใต๎เป็นแหลงํ ท่ีอดุ ม ดว๎ ยทรัพยากรธรรมชาติที่มีคําหลายชนิด โดยเฉพาะตามแนวชายฝ่งั ทะเลและนาํ นน้าท้ัง 2 ดา๎ น เป็นแหลงํ สัตว์นา้ และแรํธาตุทม่ี ีความสมบรู ณ์ทั้งยงั เปน็ แหลงํ ผลติ พชื เศรษฐกิจทส่ี าคญั หลายชนิด ลักษณะภูมิอากาศ ปจั จยั ท่ีมผี ลต่อภมู อิ ากาศของประเทศไทย 1. ทต่ี ้ังตามแนวละตจิ ดู ประเทศไทยตัง้ อยูํเหนอื เสน๎ ศูนย์สูตร โดยมีระยะหํางตามแนวละตจิ ูดจากเส๎น ศนู ย์สตู รไมํมากนัก จงึ ได๎รบั ความรอ๎ นจากแสงอาทติ ยต์ ลอดทงั้ ปแี ละถือวําเปน็ เขตร๎อน 2. ความใกล้ไกลจากทะเล สํวนตอนบนของประเทศอยํใู นพืน้ ที่แผํนดินใหญํ สวํ นตอนลาํ งเป็นคาบสุ ทรอยูํตดิ ทะเล จึงทาใหภ๎ มู ิอากาศแตลํ ะภาคแตกตาํ งกัน ไมํวําจะเป็นอณุ หภมู ิปริมาณน้าฝนหรือฤดูกาล

148 3. ลกั ษณะภมู ิประเทศ ทีม่ อี ิทธพิ ลตอ่ สภาพภูมิอากาศ 3.1 ความสงู ของพืน้ ท่ี 3.2 การวางตัวของภูเขา 3.3 ทศิ ทางของลมประจา ลมมรสุมท่ีพัดผาํ นประเทศไทยมี 2 ชนิด ตามทศิ ทางลมท่ีพัดมาคือ 1 ) ลมมรสุมตะวนั ตกเฉียงใต๎ 2 ) ลมมรสมุ ตะวันออกเฉียงเหนือ องค์ประกอบของภูมิอากาศ 1. อณุ หภมู ิ อุณหภมู ิในประเทศไทยแบํงออกเปน็ 2 บรเิ วณอยํางกวา๎ งๆ ตามลักษณะภมู ิอากาศ คือ 1.1 ประเทศไทยตอนบน ได๎แกํ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื ภาคกลาง และภาคตะวันออก 1.2 ประเทศไทยตอนล่าง ไดแ๎ กํ ภาคใต๎ อุณหภมู ิตลอดทั้งปจี ะไมเํ ปลี่ยนแปลงมากนัก 2. ปรมิ าณนา้ ฝน มคี ํอนข๎างมาก สวํ นใหญํมักเกิดในรูปของฝนตกหนักในระยะสน้ั และมกั พบในเวลา เยน็ หรอื เชา๎ ตรํู การพิจารณาฝนในประเทศไทยอาจแบํงออกได๎เป็น 2 บริเวณ คอื 2.1 ประเทศไทยตอนบน 2.2 ประเทศไทยตอนลาํ ง 3. ฤดูกาล ประเทศไทยแบํงฤดูกาลออกเปน็ 3 ฤดู ดังนี้ 3.1 ฤดูฝน เร่มิ ตง้ั แตปํ ระมาณกลางเดือนพฤษภาคมจนถึงเดือนเมษายน มรี ะยะเวลา 5 – 6 เดอื น โดยลมมรสุมตะวันตกเฉยี งใต๎ได๎พัดปกคลุมประเทศไทยแล๎ว 3.2 ฤดูหนาว เร่มิ ตั้งแตกํ ลางเดือนพฤศจกิ ายน ไปจนถงึ กลางเดือนกมุ ภาพันธ์ มรี ะยะเวลา 3 เดอื น ในระยะนีล้ มมรสมุ ตะวนั ออกเฉียงเหนือได๎พัดปกคลุมประเทศไทยทาให๎อณุ หภูมิลดลง 3.3 ฤดูรอ้ น เรมิ่ ตงั้ แตํกลางเดือนภมุ ภาพนั ธ์ไปจนถงึ กลางเดือนพฤษภาคม มรี ะยะเวลา 3 เดอื น เป็น ระยะทล่ี มมรสมุ ตะวันออกเฉียงเหนอื อํอนกาลังลง กิจกรรมทางเศรษฐกิจในแต่ละภาค ภาคเหนือ ประชากรสวํ นใหญปํ ระกอบอาชพี เกษตรกรรมและรองลงมาคืออตุ สาหกรรม 1. การเกษตรกรรม สวํ นใหญํประกอบอาชพี เพาะปลูก เลย้ี งสตั ว์ ทาปุาไม๎ 2. การอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมสวํ นใหญเํ ปน็ อุตสาหกรรมขัน้ ต๎น 3. การทาเหมอื งแร่ โดยเฉพาะแรแํ มงกานสี ซีไลต์ ฟลูออไรต์ และดนิ ขาว เป็นแรทํ ี่ผลิตได๎มากกวําภาคอน่ื ๆ ของ ประเทศ 4. การคมนาคมขนส่ง มรี ะบบการคมนาคมขนสํงทางถนน ทางรถไฟ และทางอากาศ 5. การท่องเท่ียว การทํองเที่ยวมคี วามสาคญั คํอนขา๎ งมาก มีแหลํองทํองเทีย่ ว ท้งั ภายในประเทศและตํางประเทศ ภาคกลาง 1. การเกษตรกรรม มี แมนํ ้าสายสาคัญไหลผาํ น และทกี ารชลประทานทม่ี ีประสทิ ธิภาพ ทาใหเ๎ ปน็ แหลํงปลกู ข๎าวท่ี สาคญั ของประเทศ การเลยี้ งสัตว์ จังหวดั นครปฐมเปน็ แหลํงเลย้ี งสุกรที่สาคญั ที่สุดของประเทศ 2. การอตุ สาหกรรม โรงงานผลิตอาหารสาเร็จรูปท่เี ป็นโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญํต้ังอยใูํ นเขตกรุงเทพมหานคร 3. การทาเหมอื งแร่ ภาคกลางเป็นเขตหินใหมํทเ่ี กดิ จากการทับถมของโคลนตะกอน แรํท่ีผลติ ได๎สํวนใหญํเปน็ แรํ อโลหะและแรํเชื้อเพลงิ 4. การคมนาคมขนส่ง เป็นจุดรวมของการคมนาคมขนสํงทง้ั ทางถนน ทางรถไฟ ทางน้า และทางอากาศ

149 5. การทอ่ งเที่ยว มแี หลํงทํองเท่ยี วทางประวตั ศิ าสตรแ์ ละวัฒนธรรมทเ่ี ปน็ ที่สนใจของนักทอํ งเทย่ี วทัง้ ชาวไทยและ ตาํ งประเทศ ภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ 1. การเกษตรกรรม มีการเล้ียงสัตว์มากกวําภาคอ่ืนๆ นอกจากน้ีก็จะมกี ารทานา การปลูกพชื ไรํทที่ นความแห๎งแลง๎ ได๎ ดี 2. การอุตสาหกรรม สํวนใหญํเปน็ โรงงานแปรรปู ผลผลติ ทางการเกษตร โรงงานจะตั้งอยํูในจังหวัดใหญํๆ ของภาค 3. การทาเหมอื งแรํ มแี รเํ พียง 2 –3 ชนิด จังหวดั ที่มีการทาเหมืองแรํคือ เลย นครราชสมี า อุดรธานี และ หนองบวั ลาภู 4. การคมนาคมขนสง่ มีการคมนาคมขนสํงทางถนน ทางรถไฟ ทางน้า และทางอากาศ 5. การทอ่ งเที่ยว ที่สาคัญในภาคน้ีจะเก่ียวข๎องสัมพนั ธ์กบั ประวัติศาสตร์ และวฒั นธรรม ภาคตะวันออก 1. การเกษตรกรรม สวํ นใหญจํ ะมีการปลูกพืชไรํ มกี ารทานาบริเวรลมํุ แมนํ า้ ปราจีนบุรี และแมํนา้ ปางปะกง มีการทา สวนผลไมแ๎ ละยางพาราท่ีจงั หวัด จนั ทบรุ ี ตราด ปราจีนบรุ ี และมีการประมงทงั้ ประมงน้าจืดและประมงนา้ เค็ม 2. การอุตสาหกรรม มมี ากในจงั หวัดชลบรุ ีและรองลงมาคือระยอง 3. การทาเหมอื งแร่ แรทํ ีส่ าคัญมี 3 ชนิด รตั นชาติ ทรายแกว๎ พลวง 4. การคมนาคมขนสง่ มีการคมนาคมขนสํงทางถนน ทางรถไฟ ทางนา้ และทางอากาศ 5. การทอ่ งเท่ียว แหลงํ ทํองเทย่ี วที่ร๎ูจกั จกั กันดีท้ังในหมนํู ักทอํ งเทยี่ วชาวไทยและชาวตาํ งชาติ ภาคตะวันตก 1. การเกษตรกรรม มีการทานาบริเวณท่ีราบลมํุ แมนํ า้ การปลูกพชื ไรํ การทาสวนผลไม๎ การเล้ยี งสัตว์ การประมง แหลํงประมงน้าจืดทากนั มากบรเิ วณเข่ือนและแมํนา้ สายใหญๆํ มกี ารทาประมงน้าเค็มในพน้ื ที่ 2 จงั หวัด คอื เพชรบุรี และประจวบครี ีขนั ธ์ 2. การอตุ สาหกรรม มีการทาอตุ สาหกรรมน้าตาลมาก การผลิตเคร่อื งปั้นดนิ เผา และอุตสาหกรรมแปรรูปสบั ปะรด 3. การทาเหมืองแร่ มีทิวเขาซงึ่ เป็นหนิ เกําแกมํ ีแหลงํ แรทํ เ่ี กิดจากหินอัคนี เชํน แรดํ กุ แรํตะกัว่ แรํสงั กะสี แรํ เฟลด์สปาร์ แรฟํ ลูออไรต์ และแรํรตั นชาติ 4. การคมนาคมขนสง่ มีการคมนาคมขนสงํ ทางถนน ทางรถไฟ ทางนา้ 5. การทอ่ งเท่ียว แหลงํ ทํองเที่ยวทางธรรมชาติและทางวัฒนธรรมมากในจังหวดั กาญจนบรุ ี สถานท่ีตากอากาศตาม ชายฝ่ังทะเล และตลาดนา้ ดาเนินสะดวก ภาคใต้ 1. การเกษตรกรรม มีการปลูกข๎าว แหลํงปลกู ข๎าวทดี่ ที สี่ ุดคือ จงั หวดั นครศรีธรรมราชา พทั ลงุ และสงขลา ไมยํ นื ตน๎ ท่ี ปลูกกันมาก ไดแ๎ กํ ยางพารา มะพร๎าว เป็นตน๎ ไม๎ผล ไดแ๎ กํ เงาะ ทุเรียน ลางสาด เป็นต๎น มีการเลี้ยงโคและกระบอื มากกวําเขตอนื่ ๆ มกี ารทาประมงน้าเค็มในทุกจงั หวัดท่ีมพี ้ืนท่ตี ิดชายฝงั่ ทะเล 2. การอตุ สาหกรรม อตุ สาหกรรมขนาดใหญํ ได๎แกํ โรงงานถลงุ แรดํ ีบกุ อตุ สาหกรรมทาปลากระป๋อง สวํ นโรงงาน อุตสาหกรรมขนาดเลก็ ได๎แกํ การแปรรปู ไม๎ เปน็ ต๎น 3. การทาเหมอื งแร่ ภาคใตม๎ ีการผลติ แรํทสี่ าคัญหลายชนดิ 4. การคมนาคมขนส่ง การขนสงํ ทางถนน ทางหลวงสายหลักคอื ถนนเพชรเกษม มีการคมนาคมขนสํงทางรถไฟ ทาง น้า และทางอากาศซ่งึ เปน็ บริการของบริษัทการบินไทย

150 5. การท่องเที่ยว แหลํงทํองเทย่ี วตามธรรมชาติทดี่ ึงดูดความสนใจของนักทํองเทย่ี วทง้ั ภายในและ ภายนอกประเทศ มีธรรมชาติสวยงามทัง้ ที่เปน็ เกาะ ถ้า นา้ ตก แหลงํ ทํองเท่ียวทสี่ าคญั ไดแ๎ กํ หาดใหญํ ภูเกต็ พังงา สุราษฎรธ์ านี สมุ ใบงานท่ี 1 ๑. ใหผ๎ เ๎ู รยี นอธบิ ายวาํ สภาพภมู ิศาสตรข์ องประเทศไทย ท้งั 6 เขต มี อะไรบา๎ ง และแตลํ ะเขตสํวนมากประกอบ อาชีพอะไร .................................................................................................................................................... ........................ ........................................................................................................... ................................................................. ............................................................................................................................. ............................................... ................................................................................................................................................ ............................ ....................................................................................................... ..................................................................... ............................................................................................................................. ............................................... ............................................................................................................................................ ................................ .................................................................................................. .......................................................................... ............................................................................................................................. ............................................... ....................................................................................................................................... ..................................... .............................................................................................. ............................. ๒. ผเู๎ รียนคิดวํา ประเทศไทยมีทรพั ยากรอะไรท่มี ากทีส่ ดุ บอกมา 5 ชนดิ แตลํ ะชนิดสงํ ผลตํอการดาเนินชวี ติ ของ ประชากรอยํางไรบ๎าง ............................................................................................................. ............................................................... ............................................................................................................................. ............................................... .................................................................................................................................................. .......................... ......................................................................................................... ................................................................... ............................................................................................................................. ............................................... .............................................................................................................................................. .............................. ..................................................................................................... ....................................................................... ............................................................................................................................. ............................................... .......................................................................................................................................... .................................. ................................................................................................ ............................................................................ ............................................................................................................................. ............................................... ..................................................................................................................................... ....................................... ............................................................................................ ................................................................................ ............................................................................................................. ........................................................... .


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook