151 ใบงานท่ี 2 ๑. ใหผ๎ ๎ูเรียนอธบิ ายวาํ ในภาคเหนือของไทย ประชากรจะอาศัยอยํหู นาแนํนในบริเวณใดบ๎างพร๎อมใหเ๎ หตผุ ล และสวํ นมากจะประกอบอาชีพอะไร ............................................................................................................................. ........................................ ............................................................................................................................. ........................................ ..................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ........................................ ............................................................................................................................. ........................................ ..................................................................................................................................................................... ๒. ผู๎เรยี นคิดวําภาคใดของไทยที่สามารถสรา๎ งรายไดจ๎ ากการทํองเทยี่ วมากทีส่ ุด พรอ๎ มให๎เหตุผล และ สถานท่ที ํองเทีย่ วดังกลําว คดิ อะไรบ๎าง พร๎อมยกตวั อยาํ ง ............................................................................................................................................... ...................... ............................................................................................................. ........................................................ ............................................................................................................................. ........................................ ................................................................................................................................................................ ..... ............................................................................................................................. ........................................ ............................................................................................................................. ........................................ ..................................................................................................................................................................... ๓. ปัจจยั ใดทีท่ าให๎มปี ระชากรอพยพเขา๎ มาอาศัยอยํใู นภาคตะวนั ออกมากขนึ้ ..................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ........................................ ................................................................................................................................ ..................................... .............................................................................................. ....................................................................... ............................................................................................................................. ........................................ ................................................................................................................................................. .................... ............................................................................................................... ...................................................... ............................................................................................................................. ........................................ .................................................................................................................................................................. ... ............................................................................................................................. ........................................
152 แผนการจดั การเรียนรู้ รายวิชาประวัติศาสตรช์ าติไทย คร้ังที่ 15 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2565 ระดับประถมศึกษา กศน.ตาบลหัวชา้ ง 1. สัปดาห์ท่ี 15 วันท่ี 23 เดือน สงิ หาคม พ.ศ. 2565 เวลา 09.00-12.00 น. 2. วชิ า ประวัติศาสตร์ชาติไทย รหสั วิชา สค12024 จานวน 3 หนํวยกิต 3. มาตรฐานที่ 5.1 มีความร๎ู ความเขา๎ ใจ และตระหนักถงึ ความสาคญั เกย่ี วกับภูมศิ าสตร์ ประวตั ิศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเมือง การปกครอง สามารถนามาปรับใช๎ในการดารงชีวติ 4. หนว่ ยการเรียนรู้/เร่ือง บทเรียนจากเหตกุ ารณ์ทางประวัติศาสตร์ในสมยั กรุงศรีอยธุ ยาและกรงุ ธนบุรี 5. สาระสาคัญ เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ในสมยั กรุงศรีอยุธยา และกรุงธนบุรี มเี หตกุ ารณส์ าคญั ทเี่ กิดข้นึ มากมายในเร่ือง สงครามช๎างเผือก การเสียกรุงศรอี ยุธยาคร้ังท่ี 1 และครั้งท่ี 2 สงครามยุทธหตั ถีของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช การ กอบก๎เู อกราชของสมเดจ็ พระเจ๎าตากสินมหาราช 6. เนื้อหา เรอ่ื งที่ 1 สงครามช๎างเผอื ก เรื่องท่ี 2 การเสียกรุงศรีอยธุ ยา ครง้ั ท่ี 1 เร่ืองที่ 3 สงครามยุทธหตั ถีของสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช เรอื่ งท่ี 4 การเสยี กรุงศรีอยธุ ยา คร้ังท่ี 2 เรอื่ งที่ 5 การกอบก๎ูเอกราชของสมเด็จพระเจ๎าตากสินมหาราช 7. จดุ ประสงค์การเรียนรู้/ผลการเรยี นรทู้ คี่ าดหวงั 1. เลําเหตกุ ารณท์ ี่สาคัญทางประวตั ิศาสตร์ในสมัยกรุงศรีอยุธยา และกรุงธนบรุ ี 2. เลือกแนวทางในการนาบทเรียนจากเหตุการณ์ทางประวัติศาสตรท์ ไ่ี ด๎มาปรบั ใช๎ในการดาเนินชวี ติ 8. การบรู ณาการกับหลักแนวคดิ ของเศรษฐกจิ พอเพยี ง (2 เง่ือนไข 3 หลกั การ การเชื่อมโยงสู่ 4 มิต)ิ ความรู้ - นกั ศกึ ษามีความรเ๎ู ร่ือง ประวัตศิ าสตร์ในสมยั กรุงศรีอยุธยา และกรุงธนบุรี คุณธรรม - มีความมงุํ มน่ั ในการทางาน - มีความสามคั คีในหมูํคณะ - ใฝหุ าความรู๎เพ่ือพฒั นาอยเูํ สมอ พอประมาณ - รู๎จักแบํงเวลาในการศึกษาหาความร๎ู - รจ๎ู กั นาเอาวิถีการดาเนนิ ชีวิตของคนสมัยกรุงศรอี ยธุ ยา และกรุงธนบุรี มาปรบั ใช๎ในชีวิต ประวันเพื่อความประหยัด มเี หตผุ ล - ได๎ความรเ๎ู ก่ียวกบั ประวตั ิศาสตรใ์ นสมัยกรงุ ศรีอยุธยา และกรุงธนบรุ ี มีภมู คิ ้มุ กัน -รูจ๎ กั ประวัติศาสตร์ในสมยั กรุงศรีอยธุ ยา และกรงุ ธนบุรี เพื่อนาไปปรบั ใช๎ในการดารงชีวิต เตรยี มพร๎อมรบั ทุกสถานการณก์ ารท่ีจะเปล่ียนแปลง
153 วัตถุ - รจ๎ู ักเลือกวิถีการดารงของคนในสมัยกรุงศรอี ยุธยา และกรงุ ธนบุรี เพ่ือมาปรับใช๎ในการ ดารงชีวติ -มีทกั ษะในการเลือกวถิ ีการดารงของคนในสมัยกรงุ ศรีอยุธยาและกรงุ ธนบรุ ี ที่มปี ระโยชน์ มาใช๎ในการวางแผนการดาเนินชวี ติ ของตวั เองในชมุ ชนและสงั คม สังคม - มีทกั ษะการอยํรู วํ มกนั ในกลํุม และทางานรํวมกบั ผู๎อน่ื ได๎อยาํ งมคี วามสุข - สามารถนาความรทู๎ ี่ได๎ไปเผยแพรํให๎กับครอบครัวและชมุ ชน สิง่ แวดล้อม - รูจ๎ ักการนาความรูเ๎ ก่ยี วกับประวตั ศิ าสตร์ในสมยั กรุงศรีอยุธยา และกรงุ ธนบรุ ี ของประเทศ ไทย เพอ่ื เป็นข๎อมูลในการเทิดทูนบรรพบุรษุ ไทย วัฒนธรรม - สบื ทอดความร๎ู เร่อื งประวัติศาสตร์ในสมยั กรุงศรีอยธุ ยา และกรงุ ธนบรุ ี สู๎คนรํุนหลงั สืบ ตํอไป 9. กระบวนการจัดการเรยี นรูแ้ ละกิจกรรมการเรียนรู้ ขนั้ ที่ 1 กาหนดสภาพปญั หาการเรียนร๎ู (O : Orientation) 1. ครเู ปดิ ตวั อยาํ งภาพยนตรเ์ ร่อื งตานานสมเด็จพระนเรศวร จากสอื่ อินเตอร์เนต็ ให๎ผเู๎ รยี นดู และสนทนา กับผูเ๎ รยี นเรือ่ งบทเรยี นจากเหตกุ ารณท์ างประวตั ิศาสตรใ์ นสมยั กรงุ ศรีอยธุ ยาและกรงุ ธนบรุ ี 2. ครูและผู๎เรียนรวํ มกันวเิ คราะหค์ วามสาคัญเกีย่ วกับบทเรยี นจากเหตุการณท์ างประวตั ิศาสตรใ์ นสมัย กรงุ ศรีอยุธยาและกรงุ ธนบรุ ี ข้นั ท่ี 2 แสวงหาข๎อมลู และจัดการเรียนร๎ู (N : New ways of learning) 1. ครูอธบิ ายเร่ือง สงครามช๎างเผือก การเสียกรุงศรีอยุธยา คร้ังที่ 1 สงครามยทุ ธหตั ถีของสมเดจ็ พระ นเรศวรมหาราช การเสยี กรงุ ศรอี ยธุ ยา คร้งั ท่ี 2 และการกอบกูเ๎ อกราชของสมเด็จพระเจ๎าตากสนิ มหาราชและให๎ ผู๎เรยี นศกึ ษาจากสือ่ อินเตอร์เนต็ และใบความรทู๎ ่ี 1 เรอื่ ง บทเรียนจากเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ในสมยั กรุงศรี อยธุ ยาและกรงุ ธนบุรี 2. ครใู หผ๎ ๎เู รยี นแบํงกลุมํ ออกเปน็ กลุมํ ยํอย ๆ 5 กลุํมๆ ละ 4–5 คน คน๎ ควา๎ ในหวั ข๎อดังตํอไปนี้ เรอ่ื งที่ 1 สงครามช๎างเผือก เรือ่ งที่ 2 การเสียกรุงศรีอยุธยา ครง้ั ที่ 1 เรื่องที่ 3 สงครามยุทธหตั ถีของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เร่ืองที่ 4 การเสียกรุงศรีอยุธยา ครง้ั ที่ 2 เรือ่ งที่ 5 การกอบก๎ูเอกราชของสมเด็จพระเจา๎ ตากสินมหาราช และสรุปองคค์ วามรูใ๎ นกระดาษบร๏ูฟ พร๎อมนาเสนอหนา๎ ชัน้ เรยี น ขน้ั ท่ี 3 การปฏิบัตแิ ละการนาไปใช๎ (I : Implementation) 1. ให๎ตวั แทนกลุํมนาเสนอผลงานทีศ่ ึกษาค๎นควา๎ ให๎กลํุมอื่นฟัง 2. ผเ๎ู รยี นทาใบงาน 3. ครูและผ๎ูเรยี นชํวยกันสรปุ เนอ้ื หาสาระสาคัญของเร่ืองและจดบันทึก
154 ขนั้ ที่ 4 การประเมนิ ผลการเรียนรู๎ (E : Evaluation) ประเมินผลจากการทาใบงาน 10. สื่อ/แหล่งเรียนรู้ - หนังสอื เรียนรายวิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย รหสั รายวชิ า สค22020 - สอื่ Internet - ใบความร๎ู 11. การวดั และประเมินผล 11.1 วิธกี ารวัดและประเมนิ ผล - ใบงาน - การสงั เกตพฤตกิ รรมการทางานรํวมกบั ผูอ๎ ืน่ ของผูเ๎ รยี นรายบุคคล 11.2 เครอ่ื งมอื วดั และประเมินผล. - ใบงาน - ผลจากการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกับผอ๎ู ่นื ของผูเ๎ รียนรายบคุ คล 11.3 เกณฑก์ ารวัดและการประเมินผล - การสงั เกตพฤตกิ รรมการทางานรวํ มกบั ผอู๎ นื่ ของผเ๎ู รียนรายบคุ คล ระดับดี พอใช๎ ควรปรับปรุง - ใบงานคะแนนเต็ม ๑๐ คะแนน กิจกรรมเสนอแนะ ........................................................................................................................................................... .............................. ................................................................................................................................................................... ลงชอื่ …………………………………………….ครผู ๎ูสอน (นางสาววาสนา พานชิ ย์) ครู กศน.ตาบล ขอ้ เสนอแนะของผู้บรหิ าร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………........ ลงช่อื ………………………………………………………ผ๎อู นมุ ตั แิ ผน (นางปัทมาภรณ์ ศรเี นตร) ผอู๎ านวยการ กศน.อาเภอจตุรพกั ตรพิมาน
155 บันทึกหลังการจดั การเรียนรู้ กศน.ตาบลหัวช้าง ครั้งท่ี 15 วันท่ี 23 เดอื น สิงหาคม พ.ศ. 2565 ครูผสู๎ อน นางสาววาสนา พานิชย์ ระดบั ประถมศึกษา เวลา 09.00-12.00 น. สาระการพฒั นาสงั คม รายวิชา ประวัติศาสตรช์ าติไทย รหัสวิชา สค12024 จานวนผเู๎ รยี นท้งั หมด ....... คน เขา๎ เรียน…………………คน ไมเํ ขา๎ เรยี น……………………….คน 1. ผลการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ การประเมนิ โดยใช๎ แบบทดสอบกอํ นเรยี น - หลงั เรียน พบวํา คะแนนการทดสอบหลังเรยี น มากกวาํ กอํ นเรียนจานวน ........ คน คดิ เปน็ รอ๎ ยละ ............ คะแนนการทดสอบหลงั เรยี น นอ๎ ยกวํากํอนเรยี น จานวน ......... คน คิดเปน็ ร๎อยละ ............ 2. เน้ือหา/สาระ ............................................................................................................................. ................................... ....................................................................................... ......................................................................... ............................................................................................................................. ................................... 3. กิจกรรมการเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ................................... ........................................................................................... ................................................................................. ............................................................................................................................. .......... 4. ปญั หา/อปุ สรรค การเรยี นการสอน .................................................................................................................................... ............................ ...................................................................................................... .......................................................... 5. แนวทางการแก้ปัญหา ............................................................................................................................. ................................... ......................................................................................................................................... ....................... ลงช่ือ.......................................................ครูผส๎ู อน (นางสาววาสนา พานิชย์) วันท.ี่ ............../.................../............... ความคิดเห็น/ขอ้ เสนอแนะของผูบ้ ริหาร ....................................................................................................................................................................... .................. ................................................................................................................. .............................................................. ลงช่ือ.................................................................. (นางปัทมาภรณ์ ศรเี นตร) ผ๎ูอานวยการ กศน.อาเภอจตรุ พักตรพิมาน วนั ที.่ ............../.................../..............
156 ใบความรู้ อาณาจักรอยุธยา อาณาจกั รธนบรุ ี อาณาจักรอยธุ ยา กํอกาเนิดขึน้ ในบริเวณท่ีราบลุํมแมํนา้ ซ่ึงมแี มนํ ้าเจ๎าพระยา แมํน้าลพบุรี และแมนํ ้าปุาสัก ไหลลงมาบรรจบ กัน สนั นษิ ฐานวาํ พระเจา๎ อํูทอง หรือ สมเดจ็ พระรามาธบิ ดีที่ 1 แหงํ ละโว๎ เป็นผน๎ู าในการรวมแคว๎นสพุ รรณภูมิ และ แควน๎ ละโว๎เข๎าเปน็ อาณาจักรเดยี วกนั และสถาปนากรุงศรีอยธุ ยาข้นึ ทต่ี าบลหนองโสน (บึงพระราม) ในดา๎ นสงั คม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และการเมืองของอยุธยามีดงั ตํอไปน้ี ดา๎ นสังคม ชนชนั้ ในสังคมอยุธยา ประกอบด๎วย พระมหากษัตรยิ ์ เจา๎ นาย ขุนนาง พระสงฆ์ ไพรํ และทาส ลกั ษณะเป็น ความสมั พนั ธแ์ บบอุปถัมภ์ พระพุทธศาสนามคี วามสาคัญ โดยพระมหากษตั ริยต์ ๎องเอาพระราชหฤทยั ใสใํ นเร่ืองการ ทานุบารุงพุทธศาสนา ด๎านวัฒนธรรม ด๎านประติมากรรมมลี กั ษณะเดนํ คือ พระพุทธรูปศลิ ปะอํทู อง พระพทุ ธรปู ทรงเครอื่ ง ดา๎ น สถาปัตยกรรม มีลักษณะเดนํ คือ เรอื นเครอื่ งสบั เปน็ เรือนท่ีสร๎างดว๎ ยไมจ๎ รงิ เรือนเครอื่ งผูก เจดียย์ อํ เหลยี่ มไม๎สบิ สอง ด๎านวรรณกรรมทสี่ าคัญ ได๎แกํ ลลิ ติ โองการแชงํ นา้ ลลิ ติ ยวนพําย ลลิ ิตพระลอ กาพยเ์ หเํ รอื จนิ ดามณี ด๎านเศรษฐกจิ มีการค๎าขายกับตํางประเทศ โดยผาํ นทางพระคลังสินค๎า เป็นผู๎มีหน๎าที่รับผดิ ชอบดาเนินการค๎าผกู ขาด ของรัฐบาล โดยมีกรมทาํ ขวาทาหนา๎ ทตี่ ิดตํอกบั ชาติท่อี ยูํทางดา๎ นขวา หรือทางตะวันตกของอาํ วไทย เชนํ อินเดีย อิหราํ น และกรมทาํ ซา๎ ยทาหน๎าท่ตี ดิ ตอํ กับชาติท่ีอยทูํ างด๎านซา๎ ยหรอื ทางตะวันออกของอาํ วไทย เชนํ จีน ญป่ี ุน โดยมี สินค๎าขาออกสาคญั คือ สินค๎าประเภทของปุา ดา๎ นการเมืองการปกครอง มีแนวคิดวําพระมหากษัตริย์เป็นสมมตเิ ทพ หรือ “เทวราชา” ในสมยั สมเดจ็ พระรามาธิบดี ท่ี 1 (พระเจา๎ อูทํ อง) มีการจัดการปกครองเป็นแบบจตสุ ดมภ์ แบงํ การบริหารออกเปน็ 4 กรม คือ กรม “เวยี ง” ทา หน๎าท่ีในการรักษาความสงบภายใน กรม “วัง” ทางานในสํวนของพระราชสานักและงานด๎านยุตธิ รรม กรม “คลงั ” ทาหน๎าท่ีในการรักษาพระราชทรพั ย์ ดูแลการค๎า และกรม “นา” ทาหนา๎ ท่ใี นงานดา๎ นการเกษตร ตอํ มามีการปฏิรูป การปกครองเกิดข้นึ ในสมยั สมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ โดยดาเนินการบนหลัก 3 ประการ ไดแ๎ กํ การดึงอานาจเข๎าสูํ ศูนย์กลาง การแบงํ แยกหน๎าท่ี และการถํวงดลุ อานาจ อาณาจักรธนบรุ ี ภายหลงั เสยี กรงุ ศรอี ยธุ ยาครั้งที่ 2 สมเดจ็ พระเจ๎าตากสิน ทรงกอบกบ๎ู ๎านเมืองพร๎อมกับปราบชมุ นุมตํางๆ ที่ตั้งตวั เปน็ แคว๎นอสิ ระได๎สาเร็จ และเนื่องจากการฟ้นื กรุงศรีอยธุ ยาซ่ึงเสยี หายอยํางยํอยยับจากภัยสงคราม ต๎องใชก๎ าลังคนและ กาลังทรพั ย์มาก ไมเํ หมาะสมกบั สภาพท่ีบา๎ นเมอื งเพ่ิงจะฟ้ืนตัวจากสงคราม พระเจ๎าตากสินจงึ ทรงตดั สนิ พระทยั ย๎าย ราชธานลี งมาทางใต๎ของกรุงศรีอยุธยา พระองคไ์ ด๎ทรงสถาปนาอาณาจักรใหมํขนึ้ มาโดยทรงขนานนามวาํ “อาณาจักร ธนบุรี” ท่ตี ้งั ของกรุงธนบรุ เี หมาะสมกับการเป็นเมืองทาํ หน๎าดาํ น งาํ ยตํอการควบคุมการเดนิ เรือในทะเล สงํ ผลดีตอํ เศรษฐกิจ รวมถงึ เปน็ เมอื งขนาดเลก็ เหมาะแกํการปอู งกันรักษาพระนคร
157 ในด๎านสังคม วฒั นธรรม เศรษฐกจิ และการเมืองของธนบุรีมีดงั ตํอไปนี้ ด๎านสังคม มีการสักเลกข๎อมอื เพอื่ ประโยชน์ในการเกณฑแ์ รงงานทั้งยามสงบ และยามสงคราม ด๎านวัฒนธรรม วรรณกรรมท่ีสาคัญ ไดแ๎ กํ กลอนบทละครเร่อื งรามเกียรต์ิ ลลิ ิตเพชรมงกุฎ โคลงยอพระเกยี รตสิ มเด็จ พระเจ๎ากรงุ ธนบรี นิราศพระยามหานภุ าพไปเมืองจีน ด๎านเศรษฐกจิ เกิดปัญหาการขาดแคลนแรงงาน อนั เป็นผลมาจากการท่แี รงงานไพรํจานวนหนึง่ ถูกกวาดต๎อนไปเป็น เชลยศึกเมือ่ คราวเสยี กรุงฯ สินคา๎ ขาออกสาคัญยังคงเปน็ สินคา๎ ประเภทของปาุ เชนํ เดิม ระบบการค๎าสมยั ธนบรุ ยี ังคง เปน็ ระบบผูกขาดโดยพระคลังสินคา๎ ด๎านการเมืองการปกครอง ยังคงยดึ แบบอยํางการปกครองตามแบบอยธุ ยา การปกครองสวํ นกลางมีอคั รมหาเสนาบดี ทีส่ าคญั 2 ตาแหนงํ คือ สมหุ นายก และสมหุ กลาโหม รวมถงึ จตุสดมภ์ทัง้ 4 กรม อาณาจักรของไทยทง้ั อยธุ ยาและธนบุรนี ้ัน ล๎วนแตมํ ีความเปลยี่ นแปลงตลอดระยะเวลาทีผ่ าํ นมา ปัจจัยทสี่ าคญั ทีส่ ํงผล ตํอการเปล่ยี นแปลงของอารยธรรมทัง้ สองนนั้ หากพิจารณาแล๎วมีลกั ษณะที่คล๎ายคลงึ กันอยํางนาํ สนใจ กลําวคือ 1. ปจั จัยภายนอกที่มีผลตํอการเปลี่ยนแปลง อารยธรรรมทง้ั สองของไทย มีปัญหาเรื่องการรกุ รานจากศัตรภู ายนอกประเทศอยาํ งตํอเนื่อง สมัยอยธุ ยามี การรุกรานจากพมํา และประเทศเพ่ือนบ๎านแทบจะตลอดชํวงสมัยของอาณาจักร ในขณะท่ีการรุกรานดังกลาํ ว ก็ยงั ปรากฏในพงศาวดารของอาณาจักรธนบรุ ี สมเด็จพระเจ๎าตากสิน และกองทัพทหารของอาณาจกั รธนบรุ ี ยงั คงต๎อง รบั มอื กบั การรกุ รานของพมําอยาํ งตํอเน่ือง 2. ปัจจัยภายในทมี่ ผี ลตอํ การเปล่ียนแปลง การเมืองในราชสานกั เป็นปัจจยั ภายในท่ีมีความสาคัญตํออารยธรรมทั้งสอง โดยเฉพาะอยํางยง่ิ ในสมัยกรุงศรี อยธุ ยาเปน็ ราชธานี การเกิดกบฎอยํางตํอเนื่อง นาไปสูกํ ารเปลีย่ นแปลงในเชิงโครงสรา๎ งทางอานาจของอาณาจกั ร ความไรเ๎ สถียรภาพของระบบการเมืองของอาณาจักรอยุธยา เปน็ อีกหนึ่งในมูลเหตสุ าคัญที่ทาให๎ประเทศเพื่อนบ๎าน สามารถเข๎ามารุกรานอยธุ ยาได๎ แตํถงึ อยาํ งไรกต็ าม แมก๎ ารเปลี่ยนแปลงทางการเมอื งหรือปัญหาทางความม่นั คงภายในของราชอาณาจักรจะ สงํ ผลอยํางยิง่ ตํอความม่นั คง แตหํ ากพจิ ารณาในเชิงวัฒนธรรม หรอื ภมู ิปัญญา อาณาจักรทัง้ สองนนั้ กลับมไิ ดส๎ ญู ส้นิ หรือสาบสูญไปพรอ๎ มกับการลมํ สลายของอาณาจักร ศิลปะ วฒั นธรรม และภูมปิ ญั ญาตํางๆ ได๎ถูกถํายทอดมาสํู อาณาจักรใหมํ คือ กรุงรัตนโกสนิ ทร์ ภมู ิปญั ญาที่สงํ ผํานมาอยํางไมํขาดตกบกพรํองนั้น เมอื่ ผํานกาลเวลายาวนาน ก็ เกิดตกผลึกกลายเป็นเอกลกั ษณ์ของชนชาตไิ ทย ทช่ี ํวยเสรมิ สรา๎ งความเข๎มแขง็ ความม่ันคง และความเจรญิ รุํงเรอื ง ของกรุงรัตนโกสนิ ทรต์ ราบจนปัจจบุ นั
158 ใบความรู้ สงครามยทุ ธหตั ถี ในปี พ.ศ. 2135 (ค.ศ.1592) พระเจ๎านนั ทบเุ รง โปรดให๎พระมหาอุปราชา นากองทัพทหารสองแสนสี่ หมื่นคน มาตีกรงุ ศรีอยุธยาหมายจะชนะศึกในครัง้ นี้ สมเด็จพระนเรศวร ทรงทราบวํา พมําจะยกทัพใหญํมาตี จงึ ทรง เตรยี มไพรํพล มีกาลังหนึ่งแสนคนเดนิ ทางออกจากบา๎ นปุาโมกไปสุพรรรบุรีขา๎ มนา้ ตรงทําทา๎ วอูํทอง และตงั้ คาํ ยหลวง บรเิ วณหนองสาหรําย เชา๎ ของวนั จันทร์ แรม 2 ค่า เดอื นย่ี ปีมะโรง พ.ศ. 2135 สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระ เอกาทศรถทรงเคร่ืองพิชยั ยทุ ธ สมเดจ็ พระนเรศวรทรงชา๎ ง นามวาํ เจ๎าพระยาไชยานภุ าพ สํวนพระสมเดจ็ พระเอกา ทศรถ ทรงชา๎ งนามวํา เจ๎าพระยาปราบไตรจกั ร ช๎างทรงของท้งั สองพระองค์น้นั เปน็ ชา๎ งชนะงา คือช๎างมงี าที่ได๎รับการ ฝึกใหร๎ ๎จู ักการตํอสมู๎ าแล๎วหรือเคยผาํ นสงครามชนชา๎ ง ชนะช๎างตวั อื่นมาแลว๎ ซง่ึ เปน็ ช๎างที่กาลงั ตกมนั ในระหวํางการ รบจงึ ว่ิงไลํตามพมําหลงเข๎าไปในแดนพมํา มเี พียงทหารรักษาพระองค์และจาตุรงคบ์ าทเทําน้นั ท่ตี ิดตามไปทัน สมเดจ็ พระนเรศวรทอดพระเนตรเหน็ พระมหาอุปราชาทรงพระคชสารอยํูในรํมไม๎กับเหลาํ ทา๎ วพระยา จงึ ทราบได๎วาํ ชา๎ งทรงของสองพระองคห์ ลงถลาเข๎ามาถงึ กลางกองทัพ และตกอยูํในวงลอ๎ มข๎าศึกแลว๎ แตดํ ว๎ ยพระ ปฏภิ าณไหวพริบของสมเดจ็ พระนเรศวร ทรงเห็นวาํ เป็นการเสยี เปรยี บข๎าศกึ จึงไสชา๎ งเข๎าไปใกล๎ แลว๎ ตรสั ถามดว๎ ย คุ๎นเคยมากอํ นแตํวัยเยาวว์ ํา \"พระเจา๎ พเี่ ราจะยืนอยํใู ยในรมํ ไม๎เลาํ เชิญออกมาทายุทธหัตถดี ว๎ ยกนั ใหเ๎ ปน็ เกียรตยิ ศไว๎ ในแผนํ ดินเถิด ภายหนา๎ ไปไมํมพี ระเจา๎ แผํนดนิ ที่จะไดย๎ ุทธหัตถีแลว๎ \"พระมหาอปุ ราชาได๎ยินดงั น้ัน จงึ ไสช๎างนามวํา พลายพัทธกอเขา๎ ชนเจา๎ พระยาไชยานุภาพเสยี หลกั พระมหาอปุ ราชาทรงฟันสมเด็จพระนเรศวรด๎วย พระแสงของา๎ ว แตํสมเด็จพระนเรศวรทรงเบี่ยงหลบทนั จึงฟนั ถูกพระมาลาหนงั ขาด จากน้นั เจ๎าพระยาไชยานภุ าพชนพลายพทั ธกอ เสียหลกั สมเด็จพระนเรศวรทรงฟนั ด๎วยพระแสงของ๎าวถูกพระมหาอปุ ราชาเข๎าท่ีองั สะขวา สนิ้ พระชนมอ์ ยบูํ นคอช๎าง
159 ใบงาน คาชแ้ี จง ใหน๎ กั เรยี นชํวยกันทายวาํ เหตกุ ารณเ์ หลาํ นีเ้ กิดขึ้นในสมัยกษตั รยิ พ์ ระองคใ์ ด หรอื เป็นผลงาน ของบคุ คลใด 1. ปฐมกษตั ริย์ทรงสถาปนาอาณาจักรอยธุ ยามพี ระนามวํา………………………………………… 2. หัวหนา๎ คณะทตู จากอยธุ ยาไปเจริญสัมพนั ธไมตรีกับฝร่งั เศสในสมยั พระเจา๎ หลยุ สท์ ี่ 14 คอื ใคร ………………………………………………………………………………………………… 3. เปน็ พระมเหสขี องสมเดจ็ พระมหาจกั รพรรดิ มีความกล๎าหาญทรงชา๎ งศกึ ออกรบเพอื่ ชํวยพระสวามี และอาณาจกั รอยธุ ยาใหร๎ อดพน๎ จากข๎าศึก …………………………………………………………… 4. ถูกสํงไปเปน็ ตวั ประกันทพ่ี มํานานถึง 7 ปี ……………………………………………………. 5. อยธุ ยาต๎องสูญเสียเอกราชให๎กับพมาํ คร้งั ท่ี 1 ในสมยั ………………………………………. 6. ในขณะท่คี รองราชยพ์ ระองค์ไดท๎ าการยา๎ ยเมืองหลวงจากกรงุ ศรอี ยุธยาไปพิษณุโลก ……………………………………............................................................................................. 7. ชาวฮอลันดาไดเ๎ ขา๎ มาต้ังสถานีการคา๎ ข้นึ ในกรงุ ศรีอยุธยาเปน็ ครัง้ แรกในสมยั …………………………. 8. หวั หนา๎ คณะทูตฝรงั่ เศสท่ีเดนิ ทางมาอยธุ ยาเพื่อเจรจาเกย่ี วกับเร่อื งศาสนาและการค๎าของฝรั่งเศส ………………………………………………………………………………………………… 9. กษัตริย์พระองค์ใดไมํพอพระทยั และไมํอนุญาตให๎ฮอลนั ดาผกู ขาดสนิ ค๎าฝางและหนังกวางแตํเพยี งผเู๎ ดียว ……………………………………………………………………………………………………. 10. ทรงทาการปฏริ ปู การปกครองในพ.ศ. 2006 เพือ่ ใหเ๎ หมาะสมกับบ๎านเมอื งในภาวะนน้ั …………………………………………………………………………………………………………… 11. พระมหากษัตริย์พระองค์ใดท่ีทรงทายทุ ธหัตถีกบั พระมหาอุปราชาจนไดร๎ บั ชัยชนะ…………………………. 12. กษัตรยิ ์พระองคใ์ ดท่ใี หจ๎ บั ตวั ฟอนคอนไปประหารชีวิตโทษฐานที่เปน็ กบฏ ดว๎ ยการสํงขาํ วให๎ พระเจา๎ หลยุ สท์ ่ี 14 ทรงกองทพั มายดึ กรงุ ศรอี ยธุ ยา ………………………………………………………. 13. พระมหากษัตรยิ ์ท่ที รงนาความเจริญตามแบบอยํางฝรงั่ มาปรับใช๎กับอยธุ ยา เชํน ทางการชําง การคา๎ การทหาร……………………………………………………………………………………………….. 14. สงครามชา๎ งเผอื ก เกิดขนึ้ ในรชั สมัย …………………………………………………………………. 15. สงครามชา๎ งเผอื กเกดิ ในรชั สมยั ……………………………………………………………………… 16. กลมุํ ชาวบ๎านทไี่ มํพอใจและโกรธแคน๎ ขา๎ ศึกทปี่ ลน๎ สะดมชาวบ๎าน ฉุดหญงิ สาว จึงรวบรวมกาลัง ชาวบ๎านและโจมตีขา๎ ศกึ จนได๎รบั ชัยชนะถงึ 7 คร้ัง …………………………………………………. ช่ือ.................................................นามสกุล......................................... ....
160 ใบงาน เรอื่ ง การสถาปนาราชธานี คาช้แี จง ให๎นกั เรยี นตอบคาถามตอํ ไปน้ีใหถ๎ ูกต๎องสมบรู ณ์ 1. หลงั จากท่กี รงุ ศรีอยุธยาเสยี เอกราชให๎กับขา๎ ศึก แลว๎ สภาพบา๎ นเมืองขณะนนั้ นาํ จะเป็นอยาํ งไร 2. สมเดจ็ พระเจา๎ ตากสิมหาราชมวี ิธีการกเู๎ อกราชอยาํ งไร 3. เหตใุ ดสมเดจ็ พระเจา๎ ตากสนิ มหาราชจึงทรงยา๎ ยราชธานีมาอยทํู ี่กรุงธนบรุ แี ทนที่จะอยทูํ ี่อยธุ ยาตามเดิม 4. กรุงธนบรุ มี ีความเหมาะสมตํอการตง้ั เปน็ ราชธานีแหงํ ใหมํอยาํ งไร 5. สมเด็จพระเจ๎าตากสนิ มหาราชทรงรวบรวมประเทศใหเ๎ ป็นปกึ แผํนได๎อยาํ งไร ชอ่ื .................................................นามสกลุ ..............................................
161 แผนการจัดการเรยี นรู้รายวิชาสงั คมศึกษา ครัง้ ท่ี 16 ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2565 ระดับประถมศึกษา กศน.ตาบลหัวช้าง ๑. สัปดาห์ท่ี 16 วนั ที่ 30 เดือน สิงหาคม พ.ศ.2565 เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐น. 2. วชิ า สงั คมศกึ ษา รหสั สค 11001 จานวน 2 หนว่ ยกติ 3. มาตรฐานการเรียนรทู้ ่ี 5.1 มคี วามรู๎ ความเขา๎ ใจ ตระหนักถึงความสาคัญเกยี่ วกับภูมิศาสตร์ ประวตั ิศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเมือง การปกครอง สามารถนามาปรับใช๎ในการดารงชวี ติ 4. หนว่ ยการเรยี นร้/ู เร่ือง : การเมอื งการปกครอง 5. สาระสาคญั : ผเู๎ รยี นเข๎าใจและสามารถวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหวาํ งอานาจนติ ิบัญญตั ิกบั อานาจบรหิ ารและอานาจตุลา การ 6. เน้ือหา : 1. โครงสรา๎ งการบริหารราชการแผนํ ดินสํวนกลาง สวํ นภมู ิภาค สวํ นทอ๎ งถ่นิ 2. ความสัมพันธร์ ะหวํางอานาจนิตบิ ัญญัติ อานาจบริหารอานาจตุลาการ 7. จดุ ประสงค์การเรยี นร้/ู ผลการเรียนรู้ทค่ี าดหวงั 1. อธบิ ายความสัมพนั ธ์ระหวํางอานาจนิตบิ ัญญตั ิ อานาจบรหิ าร อานาจตุลาการได๎ 2. อธิบายลกั ษณะของการใช๎อานาจนติ ิบญั ญัติ อานาจบรหิ าร อานาจตุลาการได๎ 8. การบูรณาการกับหลักแนวคิดของเศรษฐกิจพอเพียง (2 เงอื่ นไข 3 หลักการ การเชือ่ มโยงสูํ 4 มิติ) ความรู้ - นกั ศึกษามคี วามรเู๎ รื่อง การเมอื งการปกครอง - นักศกึ ษามีความรูเ๎ รือ่ ง โครงสร๎างการบรหิ ารราชการแผํนดินสํวนกลาง สวํ นภูมภิ าค สวํ น ท๎องถ่ิน และ ความสัมพันธร์ ะหวาํ งอานาจนิติบญั ญัติ อานาจบรหิ ารอานาจตุลาการ คณุ ธรรม - มคี วามมุงํ มั่นในการทางาน - มคี วามสามคั คใี นหมูํคณะ - ใฝหุ าความรูเ๎ พื่อพฒั นาอยเํู สมอ พอประมาณ - มีความพอประมาณในเร่ืองของเวลาการแบํงเวลาในการศกึ ษาหาความรู๎ มีเหตผุ ล - ไดค๎ วามรู๎เกี่ยวกับการเมืองการปกครองประเทศไทย - ได๎ความร๎เู กย่ี วกับโครงสร๎างการบริหารราชการแผนํ ดินสํวนกลาง สํวนภมู ภิ าค สวํ น ท๎องถน่ิ และ ความสัมพันธ์ระหวํางอานาจนติ ิบญั ญัติ อานาจบรหิ ารอานาจตลุ าการ มภี ูมคิ มุ้ กัน -รูจ๎ ักการเมืองการปกครองของประเทศไทยเพ่ือนาไปปรบั ใชใ๎ นการดารงชวี ติ และเตรยี ม รับมือกบั สถานการณท์ ี่อาจจะเปล่ียนแปลงในอนาคตตํอไป วตั ถุ - ร๎จู ักเลือกการเมืองการปกครองประเทศไทย เพ่อื ปรบั ใช๎ในการดารงชวี ิตในครอบครัวของ ตนเอง
162 - มที ักษะในเรื่องเมืองการปกครอง ทเ่ี ปน็ ประโยชน์มาใชใ๎ นการวางแผนการดาเนินชวี ติ ของ ตวั เองในชุมชนและสงั คม สงั คม - มีทักษะการอยูํรวํ มกนั ในกลํุม และทางานรํวมกับผู๎อ่นื ได๎อยาํ งมีความสขุ - สามารถนาความร๎ทู ่ีได๎ไปเผยแพรใํ หก๎ ับครอบครวั และชุมชน สงิ่ แวดล้อม - รู๎จักการนาความรูเ๎ ก่ยี วกบั การเมืองการปกครองของประเทศไทย เพ่ือเปน็ ข๎อมลู ในการ ดแู ลรักษารวมไปถึงการอนุรักส่งิ แวดล๎อม ของชมุ ชนและประเทศชาติให๎นําอยํู วฒั นธรรม - สืบสานอนรุ ักษภ์ ูมิปัญญาท๎องถนิ่ ประเพณี และแหลํงเรียนรู๎สค๎ู นรํนุ หลัง 9. กระบวนการจัดการเรียนรแู้ ละกิจกรรมเพม่ิ เติม ขัน้ ที่ ๑ กาหนดสภาพปัญหาการเรียนรู๎ (O : Orientation) 1. ครชู แี้ จงวัตถปุ ระสงค์ของการเรียนร๎ู 2. ใหผ๎ ๎เู รยี นเรียนรู๎เรอ่ื ง หลักการสาคญั ของการปกครองระบอบประชาธปิ ไตย จากสอื่ วีดีทศั น์ ขั้นท่ี ๒ แสวงหาขอ๎ มูลและจัดการเรยี นรู๎ (N : New ways of learning) 1. ครูใหผ๎ ๎ูเรียนเขยี นตามความเข๎าใจวาํ อานาจนิติบัญญัติ อานาจบริหารและอานาจตลุ า การ คอื อะไร จากนัน้ ครอู ธิบายเพม่ิ เติมเสริมความร๎ู 2.ครูใหผ๎ ูเ๎ รยี นทาใบงาน เรอ่ื ง ความหมาย ความสาคัญของการเมือง การปกครอง 3. ครอู ธบิ ายหัวข๎อตาํ ง ๆ ตามเนอื้ หา จากนน้ั ให๎ผเ๎ู รยี นแบํงกลุมํ ศึกษาคน๎ ควา๎ จากหนังสอื แบบเรียนตามหัวข๎อทค่ี รูกาหนดให๎ ข้ันท่ี ๓ การปฏบิ ตั ิและการนาไปใช๎ (I : Implementation) 1. ผ๎เู รียนและผู๎สอนรวํ มกันสรุปในตอนท๎ายเพ่ือเปน็ การทบทวนและสรุปความร๎ู 2. นักศกึ ษาและครูชํวยการสรปุ ความรท๎ู ่ีได๎รับจากการเรยี นร๎ูในบทเรียนน้ี สามารถนาไป ประยุกต์ใช๎ในชวี ติ ประจาวนั ไดอ๎ ยํางไร ขั้นท่ี ๔ การประเมนิ ผลการเรียนรู๎ (E : Evaluation) งานมอบหมาย ๑. ใบงาน ๒. ศึกษาคน๎ คว๎าดว๎ ยตนเอง ๒.๑ ครูใหผ๎ เ๎ู รยี นทาใบงาน เร่ือง โครงสรา๎ งการบริหารราชการแผนํ ดนิ สวํ นกลาง สวํ น ภูมิภาค และสวํ นท๎องถน่ิ 10. ส่อื /แหล่งเรยี นรู้ - หนงั สอื แบบเรียน - ใบงาน - อนิ เทอร์เนต็ สอื่ วีดที ัศน์ 11. การวัดและประเมนิ ผล ๑1.๑วธิ ีการวดั และประเมินผล - การสงั เกตพฤติกรรมการทางานรํวมกบั ผอ๎ู ่นื ของผูเ๎ รยี นรายบุคคล
163 - ใบงาน ๑1.๒ เคร่อื งมอื วดั และประเมนิ ผล - ผลการสังเกตพฤตกิ รรมการทางานรํวมกับผ๎ูอน่ื ของผเ๎ู รียนรายบุคคล - ผลจากการตรวจใบงาน ๑1.๓ เกณฑ์การวดั และการประเมินผล - ผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกบั ผ๎ูอน่ื ของผูเ๎ รียนรายบุคคล ระดับดี พอใช๎ ควรปรบั ปรุง - ใบงานคะแนนเต็ม ๑๐ คะแนน กจิ กรรมเสนอแนะ ............................................................................................................................. ............................................................ ................................................................................................................................................................... ลงชื่อ…………………………………………….ครผู ูส๎ อน (นางสาววาสนา พานิชย์ ครู กศน.ตาบล ข้อเสนอแนะของผู้บริหาร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………........ ลงช่ือ………………………………………………………ผูอ๎ นมุ ัตแิ ผน (นางปทั มาภรณ์ ศรเี นตร) ผอ๎ู านวยการ กศน.อาเภอจตุรพักตรพิมาน
164 บนั ทกึ หลังการจัดการเรียนรู้ กศน.ตาบลหวั ชา้ ง ครัง้ ท่ี 9 วันที่ 30 เดอื น สงิ หาคม พ.ศ.2565 ครผู ๎ูสอน นางสาววาสนา พานิชย์ ระดับ ประถมศึกษา เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐ น. สาระการพัฒนาสังคม รายวิชาสังคมศกึ ษา รหัสวชิ า สค1๑๐๐๑ จานวนผเู๎ รียนทัง้ หมด ............... คนเข๎าเรียน…………………คน ไมํเขา๎ เรยี น……………………….คน ๑. ผลการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้การประเมินโดยใช๎ แบบทดสอบกํอนเรียน - หลังเรยี น พบวาํ คะแนนการทดสอบหลงั เรยี น มากกวาํ กํอนเรยี นจานวน ........ คนคิดเป็นร๎อยละ............ คะแนนการทดสอบหลังเรยี น นอ๎ ยกวาํ กํอนเรยี นจานวน ......... คนคดิ เปน็ รอ๎ ยละ............ ๒. เนื้อหา/สาระ ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ๓. กจิ กรรมการเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. .......... ๔. ปัญหา/อุปสรรค การเรียนการสอน ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ๕. แนวทางการแก้ปญั หา ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ลงช่ือ.......................................................ครผู ๎สู อน (นางสาววาสนา พานิชย์) วนั ท.่ี ............../.................../............... ความคดิ เห็น/ข้อเสนอแนะของผ้บู ริหาร ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................. ............................................................ ....................................................................................................................................................... ลงชือ่ .................................................................. (นางปัทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผ๎ูอานวยการ กศน.อาเภอจตรุ พกั ตรพิมาน
165 ใบความรู้ เรื่อง ความหมาย ความสาคัญของการเมอื ง การปกครอง การเมือง (Politics) หมายถึง เรอื่ งที่เก่ียวกับการแขงํ ขันเพ่ือแสวงหาอานาจ หรือเรื่องทเ่ี กี่ยวกบั การแสวงหา อานาจ ซง่ึ สงํ ผลกระทบตํอสังคมสวํ นรวมหรือสํวน ใหญขํ องสงั คม การปกครอง (Government) หมายถึง เร่อื งที่ เก่ียวกบั การบริหารวาง ระเบียบกฎเกณฑส์ าหรบั สังคม เพ่ือสรา๎ งความเสมอภาค เป็นธรรมแกสํ งั คม เพื่อให๎ สงั คมมี ความสงบสขุ หรอื เพ่อื ให๎เกดิ การบาบดั ทุกขบ์ ารุงสขุ การเมอื งและการปกครองจะมีความเกี่ยวข๎องเชอื่ มโยงกนั เพราะ การ ปกครองจาเป็นต๎องอาศัยอานาจคือการเมอื งจึงจะสามารถดาเนนิ การได๎สาเรจ็ ดงั นัน้ การศกึ ษาเรอื่ งการเมือง การปกรองจึงหมายถึง การศึกษาเก่ยี วกบั องค์กรท่ใี ชอ๎ านาจ และระเบยี บกฎเกณฑ์การใชอ๎ านาจทางการบรหิ าร อา นาจอธปิ ไตย (Sovereignty) หมายถงึ อานาจเดด็ ขาดและเตม็ ทท่ี ่จี ะ บญั ญตั ิ บงั คบั และตดั สนิ กฎหมายสาหรับ ภาครัฐและประชาชนภายในอาณาเขต ของตนเอง คือ สามารถทจี่ ะดาเนนิ กิจการภายในหรือภายนอกประเทศได๎โดย อสิ ระ ไมํถูกบงั คับ ควบคุม หรือเทรกแซงโดยประเทศอื่น ความสาคญั ของการเมืองการปกครอง การเมืองและการปกครองเป็นเรอ่ื งท่ีจาเป็นและมีความสาคัญกบั มนุษย์ เน่อื งจากเปน็ เร่ืองที่มีความสัมพันธ์ เก่ยี วกบั มนษุ ย์ ในสถานภาพของมนษุ ย์หนง่ึ คนสามารถอยํูในของสถานะของผปู๎ กครองและผ๎ูถูกปกครอง เชนํ ในสงั คม ของครอบครวั มสี ถานะเป็นผ๎ูปกครอง แตใํ นสงั คมของการทางานอาจมสี ถานะเป็นผูถ๎ ูกปกครอง ดังนน้ั จึงจาเป็นที่ จะต๎องศึกษาเกี่ยวกับเรอ่ื งการเมอื งการปกครอง เพ่ือทจี่ ะสามารถปรับตัวได๎และมีประโยชนต์ อํ สงั คม สรุปการเมอื งการปกครอง การเมืองการปกครองเปน็ เร่ืองเก่ียวกบั การใชอ๎ านาจในการปกครองในการบรหิ ารประเทศ เปน็ สิ่งท่ีมคี วาม เกี่ยวขอ๎ งกับชวี ติ ประจาวนั ของมนษุ ย์เนื่องจากมนุษย์เปน็ สัตวส์ งั คม การที่มนษุ ยม์ าอยูํรวมกนั ในสงั คม สงั คมหน่ึงจึง จาเป็นที่จะต๎องมีการปกครองเกดิ ข้ึน เพ่อื ใหส๎ ังคมเกดิ การพัฒนาและดาเนนิ ไปในทิศทางเดียวกัน นอกจากนีก้ ารเมือง การปกครองยังมคี วามเก่ียวข๎องกบั สงั คมในทุก ๆ ดา๎ น สังคมจะมกี ารพฒั นาหรือด๎อยพัฒนากข็ ้ึนอยํูกบั การบริหารงาน ของการเมืองการปกครอง
166 ใบความรู้ ความสัมพนั ธ์ระหวํางอานาจนิติบญั ญัติ อานาจบรหิ าร และอานาจตลุ าการ มีดังนี้ 1. อ้านาจนิติบัญญตั ิ หรอื สถาบนั นติ บิ ัญญัติ หมายถงึ สถาบันทที่ าหนา๎ ที่ออกกฎหมาย คอื รฐั สภา ซึ่งมีรูปแบบเป็น สภาคํู หรอื 2 สภา ประกอบดว๎ ย 1.1 สภาผแ๎ู ทนราษฎร สมาชิกมาจากการเลือกตง้ั แบบแบํงเขต จานวน 400 คน และการเลือกต้งั แบบบญั ชี รายช่ือ จานวน 100 คน รวม 500 คน มีอานาจหน๎าที่ในการออกกฎหมาย 1.2 วฒุ สิ ภา สมาชกิ วฒุ ิสภามาจากการเลือกต้ังโดยตรงของประชาชน มจี านวน 200 คน มีหนา๎ ท่ีในการ พจิ ารณากลน่ั กรองพระราชบัญญัติโดยถถี่ ๎วนไมตํ ๎องผกู พันกับฝุายรฐั บาล นอกจากน้ียงั มีอานาจหนา๎ ทีใ่ นการแตํงตั้ง และถอดถอนผ๎ูดารงตาแหนงํ สาคญั ของบา๎ นเมือง เชํน นายกรัฐมนตรี สมาชกิ สภาผูแ๎ ทนราษฎร สมาชิกวฒุ ิสภา ประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนญู ประธานศาลปกครอง อยั การสูงสุด เปน็ ตน๎ 2. อ้านาจบรหิ าร หรอื สถาบันบรหิ าร หมายถงึ บคุ คล คณะบุคคล กลมํุ บคุ คล หรอื องค์กรทน่ี านโยบายของรัฐไป ดาเนินการและนาไปปฏบิ ัติ สถาบนั บรหิ ารนัน้ นอกจากจะเปน็ สถาบนั สร๎างกฎหมายแลว๎ ยังเปน็ สถาบันสรา๎ งนโยบาย บรหิ ารประเทศดว๎ ย สถาบันบริหารจะนานโยบาย และกฎหมายท่ีผาํ นความเป็นชอบของรฐั สภาแลว๎ ไปดาเนินหรอื ไป ปฏิบตั ิ องคป์ ระกอบของสถาบันบรหิ ารประกอบดว๎ ย 2.1 ขา๎ ราชการการเมือง คือข๎าราชการซ่งึ ได๎รบั การเลอื กต้งั จากประชาชนใหม๎ าทาหน๎าที่เป็นนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี เพื่อบรหิ ารบ๎านเมอื ง 2.2 ข๎าราชการประจา คอื บุคลากรซ่ึงเปน็ กลไกหรือเครื่องมือในการนานโยบายและกฎหมายไปปฏิบตั ิ ซ่ึงต๎อง ปฏบิ ตั ิงานอยาํ งตรงไปตรงมา มีประสทิ ธภิ าพสงู มีความรอบร๎ใู นหลักวิชาการ มีประสบการณ์ และมรี ะเบียบประเพณี การประพฤตปิ ฏิบัติ ท่เี ป็นแบบอยําง มสี ายการบงั คับบญั ชาของขา๎ ราชการประจาอยาํ งชัดเจน มกี ารแบํงงานกันทาเฉพาะอยาํ งตามความ ชานาญ 3. อา้ นาจตุลาการ หรือ สถาบันตลุ าการ หมายถึง ศาลและผ๎ูพิพากษาที่ปฏิบัติหนา๎ ท่ีในนามของรัฐ หรือในพระ ปรมาภิไธยของพระมหากษตั ริย์ อานาจตลุ าการตามบทบัญญตั ขิ องรัฐธรรมนูญมสี าระสาคญั 2 ประการดังน้ี 3.1 อานาจตุลาการในระบอบประชาธปิ ไตย รฐั ธรรมนญู ของไทยในอดตี ได๎แยกอานาจระหวํางอานาจตุลาการ และอานาจนิติบัญญตั ิไวอ๎ ยํางชัดเจน โดยจัดอานาจตลุ าการใหม๎ ีความอสิ ระจากฝุายบริหารและนติ บิ ัญญัติ รฐั สภาจะ กา๎ วกํายอานาจของศาลไมํได๎ 3.2 ศาล รัฐธรรมนูญฉบับปัจจบุ ันไดว๎ างหลกั ทั่วไปเกี่ยวกับหลกั การพจิ ารณาพพิ ากษาอรรถคดวี าํ เป็นอานาจศาล ซึ่งศาลในที่น้หี มายถึง ศาลรฐั ธรรมนญู ศาลปกครอง ศาลทหาร ศาลยุติธรรม และศาลอ่ืนๆ
167 ใบงาน ใหผ๎ เ๎ู รยี นเขยี นโครงสรา๎ งการบริหารราชการแผํนดิน สํวนทอ๎ งถิ่น (Mind Mappimg) ช่อื .................................................นามสกลุ ..............................................
168 แผนการจัดการเรียนรู้ รายวชิ าการพัฒนาตนเอง สังคม ชมุ ชน ครั้งที่ 17 ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศกึ ษา 2565 ระดับประถมศกึ ษา กศน.ตาบลหวั ช้าง ๑. สปั ดาห์ท่ี 17 วันท่ี 6 เดอื น กนั ยายน พ.ศ. 2565 เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐น. 2. วชิ า การพฒั นาตนเอง สังคม ชมุ ชน รหัสวิชา สค11003 จานวน 2 หน่วยกติ 3. มาตรฐานท่ี 5.4 มคี วามรู๎ ความเข๎าใจ เหน็ ความสาคัญของหลักการพฒั นา และสามารถพัฒนาตนเอง ครอบครัว ชุมชน สงั คม 4. หนว่ ยการเรยี นร้/ู เรื่อง ความหมายความสาคัญประโยชนข์ องขอ๎ มลู ดา๎ นตํางๆ 5. สาระสาคัญ ขอ๎ มูล (Data) หมายถึง กลมุํ ตวั อกั ขระทเี่ มื่อนามารวมกันแล๎วมคี วามหมายอยํางใดอยาํ งหนง่ึ และมี ความสาคญั ควรคําแกํการจัดเกบ็ เพื่อนาไปใช๎ในโอกาสตอํ ๆ ไป ขอ๎ มูลมกั เปน็ ข๎อความที่อธิบายถึงสิง่ ใดสิ่งหน่ึง อาจ เปน็ ตวั อักษร ตวั เลข หรือสัญลกั ษณ์ใด ๆ ทส่ี ามารถนาไปประมวลผลด๎วยคอมพิวเตอร์ได๎ 6. เน้อื หา บอกความหมายความสาคัญประโยชน์ของขอ๎ มลู ได๎ - ภมู ิศาสตร์ - ประวัติศาสตร์ - เศรษฐศาสตร์ - การเมือง การปกครอง - ศาสนา วัฒนธรรมประเพณี - หน๎าทีพ่ ลเมือง - ทรพั ยากร สิ่งแวดลอ๎ ม - สาธารณสุข - การศกึ ษา 7. จุดประสงคก์ ารเรียนร/ู้ ผลการเรยี นรทู้ ่คี าดหวัง เมอ่ื ศึกษาจบแล๎ว ผเ๎ู รียนสามารถ - บอกความหมายของข๎อมลู ได๎ - อธบิ ายความสาคญั ของข๎อมูลดา๎ นตาํ งๆ ๘. การบูรณาการกับหลักแนวคิดของเศรษฐกิจพอเพยี ง (2 เงอ่ื นไข 3 หลักการ การเชือ่ มโยงสํู 4 มิติ) ความรู้ - นักศกึ ษามีความรู๎เรอื่ ง ความหมายความสาคัญประโยชน์ ของข๎อมูลด๎านตํางๆในชุมชน ของตนเอง คณุ ธรรม - มีความมงุํ มน่ั ในการทางาน - มีความสามคั คีในหมํูคณะ - ใฝหุ าความรเู๎ พอื่ พัฒนาอยเํู สมอ พอประมาณ - มีความพอประมาณในเรื่องของเวลาการแบงํ เวลาในการศกึ ษาหาความร๎ู มเี หตุผล - ไดค๎ วามรเ๎ู ก่ียวกับความหมายและความสาคัญของข๎อมลู ด๎านตาํ งๆในชมุ ชน
169 มีภมู ิคมุ้ กัน -ร๎จู ักขอ๎ มลู ด๎านตํางๆในชมุ ชนสามารถนาไปวางแผนการดาเนนิ ชวี ติ ของตวั เองและชมุ ชน เพ่อื เตรียมพร๎อมรบั สถานการณ์การเปลีย่ นแปลงของชมุ ชนและสงั คม วัตถุ - ร๎จู กั เลอื กข๎อมลู ด๎านตํางๆในชุมชน -มีทกั ษะในการเลือกข๎อมูลท่ีสาคัญและเปน็ ประโยชน์มาใชใ๎ นการวางแผนการดาเนนิ ชีวิต ของตัวเองในชมุ ชนและสังคม สังคม - มที กั ษะการอยํรู ํวมกันในกลํุม และทางานรํวมกบั ผ๎ูอนื่ ได๎อยาํ งมีความสขุ - สามารถนาความรท๎ู ่ีได๎ไปเผยแพรํใหก๎ ับครอบครัวชุมชนและสังคม สิ่งแวดล้อม - ร๎จู กั นาความร๎ูทีไ่ ดจ๎ ากข๎อมูลไปพฒั นาชุมชนและสังคมให๎นําอยูํ วฒั นธรรม - สบื สานภมู ิปัญญาทอ๎ งถนิ่ และแหลงํ เรยี นรูส๎ คู๎ นรุนํ หลัง 9. กระบวนการจัดการเรยี นรูแ้ ละกิจกรรมการเรยี นรู้ ขน้ั ที่ ๑ กาหนดสภาพปญั หาการเรยี นร๎ู (O : Orientation) ครตู ั้งคาถาม เพื่อให๎ผู๎เรยี นสะท๎อนความคดิ เหน็ และประสบการณใ์ นเร่ืองความหมายความสาคัญ ประโยชน์ของข๎อมลู ด๎านตํางๆ ขั้นที่ ๒ แสวงหาข๎อมลู และการจดั การเรยี นร๎ู (N : New ways of learning) 1.ครใู ห๎ผ๎ูเรียนศึกษาจากใบความร๎ู หาความรู๎เพิม่ เตมิ จากสอื่ อืน่ ๆ เชํน ส่อื หนงั สือเรียน ส่อื อิเล็กทรอนิกส์ เว็บไซด์ และแหลํงเรียนร๎ู 2.ให๎ผเู๎ รียน ทาใบงานท่ี 1 บอกความหมายความสาคญั ประโยชน์ของข๎อมลู ดา๎ นตาํ งๆ ขน้ั ท่ี ๓ การปฏิบัติและการนาไปใช๎ (I : Implementation) ครูและผู๎เรยี นสรุปเนอื้ หารํวมกันและนาความรู๎ที่ได๎รับ ทาใบงานที่ได๎รบั มอบหมาย ขน้ั ท่ี ๔ การประเมนิ ผลการเรียนรู๎ (E : Evaluation) ๑. ผ๎เู รียนสรปุ สาระสาคญั ตามเนื้อหาการเรยี นรไ๎ู ด๎ ๒. บันทึกการเรยี นรู๎ ๓. ใบงาน 10. ส่ือ/แหล่งเรยี นรู้ - หนงั สอื แบบเรยี น - ใบความร๎ู - สื่ออนิ เตอร์เน็ต - แหลํงเรยี นร๎ู ๑1. การวดั และประเมนิ ผล ๑1.๑วิธีการวดั และประเมินผล - การสงั เกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกบั ผูอ๎ ่นื ของผ๎เู รยี นรายบุคคล - ใบงาน ๑1.๒ เครื่องมือวัดและประเมินผล
170 - ประเมนิ ผลการสังเกตพฤตกิ รรมการทางานรํวมกบั ผู๎อื่น ของผ๎ูเรียนรายบุคคล - ผลจากการตรวจใบงาน ๑1.๓ เกณฑก์ ารวดั และการประเมินผล - ผลการสังเกตพฤตกิ รรมการทางานรวํ มกับผู๎อนื่ ของผเ๎ู รยี นรายบคุ คล ระดับดี พอใช๎ ควรปรับปรงุ - ใบงานคะแนนเต็ม ๑๐ คะแนน กิจกรรมเสนอแนะ ............................................................................................................................. ............................................................ ................................................................................................................................................................... ลงช่อื ………………………………………….ครผู ๎สู อน (นางสาววาสนา พานิชย์) ครู กศน.ตาบล ขอ้ เสนอแนะของผู้บรหิ าร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………........ ลงชื่อ………………………………………………………ผ๎ูอนุมตั แิ ผน (นางปทั มาภรณ์ ศรเี นตร) ผอู๎ านวยการ กศน.อาเภอจตรุ พกั ตรพิมาน
171 บันทึกหลังการจัดการเรยี นรู้ กศน.ตาบลหัวชา้ ง ครง้ั ที่ ๑7 วนั ท่ี 6 เดือน กนั ยายน พ.ศ. 2565 ครูผูส๎ อน นางสาววาสนา พานชิ ย์ ระดับ ประถมศึกษา เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐ น. สาระการประกอบอาชีพ รายวิชาการพัฒนาตนเอง สงั คม ชมุ ชน รหสั วชิ า สค11003 จานวนผเ๎ู รียนท้ังหมด ............... คนเข๎าเรียน…………………คน ไมเํ ข๎าเรียน……………………….คน ๑. ผลการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้การประเมนิ โดยใช๎ แบบทดสอบกํอนเรยี น - หลังเรียน พบวาํ คะแนนการทดสอบหลังเรยี น มากกวาํ กํอนเรยี นจานวน ........ คนคดิ เปน็ รอ๎ ยละ............ คะแนนการทดสอบหลังเรยี น นอ๎ ยกวํากํอนเรยี นจานวน ......... คนคิดเปน็ ร๎อยละ............ ๒. เน้อื หา/สาระ ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................. ................................... ......................................................................................... ....................................................................... ๓. กจิ กรรมการเรียนการสอน ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................. ............................................... .................................................................................. ..................................................... ๔. ปัญหา/อปุ สรรค การเรียนการสอน ............................................................................................................................. ................................... ...................................................................................................................................... .......................... ........................................................................................................ ........................................................ ๕. แนวทางการแก้ปัญหา ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................................. ................... ............................................................................................................... ................................................. ลงชอ่ื .......................................................ครผู สู๎ อน (นางสาววาสนา พานิชย์) วันท่.ี ............../.................../............... ความคดิ เหน็ /ขอ้ เสนอแนะของผูบ้ ริหาร ....................................................................................................................... .................................................................. ............................................................................................................................. ............................................................ .............................................................................................................. ......................................... ลงชือ่ .................................................................. (นางปัทมาภรณ์ ศรเี นตร) ผู๎อานวยการ กศน.อาเภอจตรุ พักตรพิมาน วนั ที.่ ............../.................../...............
172 ใบความรูท้ ่ี 1 ความหมายความสาคญั ประโยชนข์ องข้อมูลดา้ นตา่ งๆ เร่ืองที่ 1 ความหมาย ความสาคัญ และประโยชน์ของข้อมลู ข๎อมลู (Data) หมายถงึ กลมํุ ตวั อกั ขระที่เมอ่ื นามารวมกันแล๎วมคี วามหมายอยํางใดอยาํ งหน่ึงและมี ความสาคัญควรคาํ แกํการจัดเก็บเพื่อนาไปใช๎ในโอกาสตอํ ๆ ไป ข๎อมลู มกั เป็นขอ๎ ความท่ีอธบิ ายถงึ สง่ิ ใดส่ิง หนงึ่ อาจเปน็ ตัวอักษร ตวั เลข หรือสญั ลกั ษณ์ใด ๆ ท่ีสามารถนาไปประมวลผลด๎วยคอมพิวเตอร์ได๎ (IT Destination Tech Archive [00005] : 1) ข้อมูล (Data) หมายถงึ ข๎อเทจ็ จรงิ ของสิง่ ตาํ ง ๆ ที่อยรูํ อบตัวเรา ไมํวําจะเป็นคน สัตว์ ส่ิงของ สถานทีต่ ําง ๆ ธรรมชาติทวั่ ไป ลว๎ นแลว๎ แตมํ ีขอ๎ มลู ในตนเอง ทาใหเ๎ รารคู๎ วามเปน็ มา ความสาคญั และประโยชน์ของส่งิ เหลํานน้ั ดงั นนั้ ขอ๎ มูลของทกุ ๆ สง่ิ จงึ มคี วามสาคญั มาก (ภิรมย์ เกตขวัญชัย, 2552 : 1 ) ไพโรจน์ ชลารกั ษ์ (2552 : 1) กลา่ วว่า ข๎อมลู (data) หมายถึง ขอ๎ เท็จจรงิ (facts) หรือปรากฏการณ์ ธรรมชาติ(phenomena) หรอื เหตุการณ์ (events) ทเี่ กิดขนึ้ หรือมีอยํเู ป็นอยเํู องแล๎วตามปกตแิ ละได๎รับการตรวจพบ และบันทึกหรอื เก็บรวบรวมไว๎ใชป๎ ระโยชน์ หากขอ๎ เทจ็ จริง หรือปรากฏการณ์หรอื เหตุการณเ์ หลาํ นั้นไมมํ ผี ู๎ใดได๎พบ เหน็ ไดม๎ ีการบันทกึ รวบรวมไวด๎ ๎วยวิธีการใด ๆ กต็ าม ความเปน็ ขอ๎ มูลก็ไมํเกิดขน้ึ ตวั อยาํ งเชํน ทุก ๆ เช๎า มีนกั ศึกษา เดินทางไปเรียน คนทง้ั หลายไปทางาน มีลมพดั แรงบ๎าง เบาบ๎าง อากาศร๎อนบา๎ ง เย็นบ๎าง เป็นปกตแิ ตหํ ากมีใครบาง คนทาการสังเกตแลว๎ บนั ทึกวําโรงเรียนใดมนี ักเรยี นไปเรยี นกคี่ นในแตํละวนั มผี โู๎ ดยสารรถไปทางานวันละกี่คน มีรถวิ่ง กเ่ี ทยี่ ว ลมพดั ด๎วยความเรว็ เทําใด เวลาใด อุณหภมู ิแตลํ ะวันสูง ตา่ เพียงใด ซง่ึ ที่ตรวจพบและบนั ทึกไวน๎ เี้ รียกวาํ ข๎อมูล กลั ยา วานชิ ย์บญั ชา (2549 : 9) กล่าวว่า ข้อมลู หมายถึง ความจรงิ ท่ีเกดิ ขน้ึ ซึ่งอาจจะเป็นตัวเลขหรือ ขอ้ ความ หรอื ประกอบด้วยข้อมูลท้งั ข้อความ และตัวเลข เช่น 1. “นางกัลยา วานชิ ยบ์ ัญชา จบปริญญาเอก สาขาสถติ ิ จาก University of Georgia ประเทศ สหรฐั อเมริกา” ซ่งึ เปน็ ข๎อมูลทแี่ สดงความจริงของนางกัลยา ซงึ่ อยูใํ นรปู ขอ๎ ความเพียงอยํางเดียว 2. “นางกัลยา วานชิ ย์บัญชา รับราชการเปน็ อาจารย์ทีจ่ ุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย และมี เงนิ เดอื น 25,000 บาท” ซึง่ เปน็ ข๎อมลู ท่อี ยใํู นรูปข๎อความและตวั เลข 3. “ยอดขายรายวันของหา๎ งสรรพสนิ ค๎า ก. ในสัปดาหท์ ่ีผาํ นมาเป็น 5.4, 3, 4.1, 6, 3.5, และ 4.3 ลา๎ น บาท” เปน็ ขอ๎ มลู ท่ีอยใูํ นรูปตัวเลข สรุปไดว๎ ํา ขอ๎ มูล (Data) หมายถึง ขอ๎ เทจ็ จริงของคน สัตว์ วัตถุ ส่ิงของที่ได๎จากการสงั เกตปรากฏการณ์ การ กระทาหรือลักษณะตาํ ง ๆ แล๎วนามาบันทึกเป็นตวั เลข สัญลกั ษณ์ เสยี ง หรือภาพ ชนดิ ของขอ้ มลู 1. จาแนกตามลักษณะของข๎อมลู จาแนกออกได๎เป็น 2 ชนิด คอื 1.1 ขอ๎ มลู เชิงคณุ ภาพ (Qualitative Data) หมายถงึ ข๎อมูลที่ไมํสามารถบอกไดว๎ าํ มคี ํา มากหรอื น๎อย แตํสามารถบอกไดว๎ ําดหี รือไมํดี หรือบอกลกั ษณะความเปน็ กลํุมของข๎อมลู เชํน เพศ ศาสนา สี ผม อาชีพ คุณภาพสินคา๎ ความพึงพอใจ ฯลฯ 1.2 ข๎อมูลเชิงปริมาณ (Quantitative Data) หมายถึง ข๎อมลู ท่สี ามารถวดั คําได๎วํามีคาํ มากหรือน๎อย ซง่ึ สามารถวัดคาํ ออกมาเปน็ ตัวเลขได๎ เชนํ อายุ สํวนสงู นา้ หนกั อณุ หภูมิ ฯลฯ 2. จาแนกตามแหลํงที่มาของขอ๎ มูล แบงํ ออกได๎เปน็ 2 ชนดิ คือ
173 2.1 ข๎อมูลปฐมภมู ิ (Primary Data) หมายถึง ขอ๎ มูลท่ผี ๎ใู ช๎เปน็ ผ๎ูเกบ็ รวบรวมข๎อมลู เอง เชนํ การเก็บ แบบสอบถาม การทดลองในหอ๎ งทดลอง การสงั เกต การสัมภาษณ์ เป็นตน๎ 2.2 ขอ๎ มูลทุตยิ ภมู ิ (Second Data) หมายถงึ ข๎อมูลท่ีผใู๎ ช๎นามาจากหนํวยงานอืน่ หรือผ๎อู ่ืนทไี่ ด๎ทา การเก็บรวบรวมไวแ๎ ลว๎ ในอดีต เชํน รายงานประจาปขี องหนํวยงานตําง ๆ ข๎อมลู ทอ๎ งถน่ิ ซง่ึ แตลํ ะ อบต. เป็น ผรู๎ วบรวมไว๎ เป็นตน๎ ตัวอยา่ งข้อมูลในด้านต่าง ๆ ข้อมูลดา้ นภมู ิศาสตร์ คอื ข๎อมูลเก่ยี วกบั ความสัมพันธ์ระหวํางส่ิงแวดลอ๎ มทางธรรมชาตกิ บั สังคม เชนํ จานวนประชากร ลกั ษณะ ของภูมิประเทศ ลักษณะภมู ิอากาศ เขตการปกครองตาบล/อาเภอ/เทศบาล จังหวดั ทรพั ยากรธรรมชาติ เชํน ปาุ ไม๎ แรธํ าตุ แหลํงน้า การคมนาคมขนสํงทางบก ทางน้า ทางอากาศ สังคมและวฒั นธรรม เชนํ เช้อื ชาตขิ องประชากร การ นับถือศาสนา การตั้งถ่ินฐานของประชากร ความเชือ่ ขอบเขตของสถานที่ สภาพแวดลอ๎ มทางธรรมชาติ สภาพปัญหา และภัยธรรมชาติ ข้อมูลด้านประวตั ิศาสตร์ คือ ข๎อมลู เหตุการณ์ทเี่ ปน็ มาหรือเรื่องราวของประเทศชาติตามท่ีบนั ทึกไวเ๎ ป็นหลักฐาน เชํน ประวตั คิ วาม เป็นมาของหมํูบ๎าน/ตาบล/ชุมชน/จังหวดั สภาพความเปน็ อยขํู องคนในอดตี การปกครองในอดีต สถานทีส่ าคัญทาง ประวตั ศิ าสตร์ เป็นตน๎ ข้อมูลด้านเศรษฐศาสตร์ คอื ขอ๎ มลู การผลติ การบรโิ ภค การกระจายสินค๎าและบรกิ าร ขอ้ มูลดา้ นการเมอื ง การเมอื ง คือ กระบวนการและวธิ ีการ ทจี่ ะนาไปสกูํ ารตัดสินใจของกลมํุ คน คานมี้ ักจะถูกนาไปประยุกต์ใชก๎ ับ 3รัฐบาล3 แตกํ ิจกรรมทางการเมอื งสามารถเกิดขึ้นได๎ทว่ั ไปในทกุ กลํมุ คนท่ีมปี ฏสิ ัมพนั ธ์กัน ซึ่งรวมไปถึงใน 3บรรษทั 3, แวดวงวิชาการ และในวงการ3ศาสนา3 ข้อมูลดา้ นการเมือง เชํน ผน๎ู าชมุ ชน ผ๎ูนาท๎องถนิ่ อาสาสมัคร พรรคการเมือง คณะกรรมการเลือกตัง้ การ แบงํ เขตเลือกตง้ั องค์การบริหารสวํ นตาบล การมีสํวนรํวมของประชาชนในกิจกรรมทางการเมอื ง เป็นตน๎ ข้อมูลด้านการปกครอง เชํน ผู๎บริหารองค์กรท๎องถ่ิน องค์กรท๎องถ่ิน ผูน๎ าในดา๎ นตําง ๆ ของท๎องถิ่น เชํน กานนั ผใ๎ู หญบํ า๎ น การแบํง เขตการปกครอง ท่ตี ง้ั และอาณาเขตของการปกครอง ขอ้ มูลด้านศาสนา วฒั นธรรม ประเพณี ด้านศาสนา เชํน ศาสนาที่ประชาชนนับถือ ศาสนสถาน สถานทต่ี ง้ั ศาสนสถาน วันสาคัญทางศาสนา ดา้ นวฒั นธรรม เชํน คํานิยม ความเช่อื ภาษา โบราณสถาน โบราณวตั ถุ ความรู๎และระบบการถาํ ยทอด ความรู้ สภาพปญั หาทีเ่ กีย่ วข๎องกับวัฒนธรรม ด้านประเพณี เชํน การเกิด การบวชนาค การแตงํ งาน การทาบุญขึน้ บ๎านใหมํ พธิ ีกรรมในวนั สาคัญ สภาพ ปญั หาท่เี ก่ยี วข๎องกบั ประเพณี ข้อมูลด้านหน้าท่พี ลเมือง หนา้ ที่ หมายถงึ ภาระรับผดิ ชอบของบคุ คลทต่ี ๎องปฏิบตั กิ ิจที่ต๎องทา กจิ ท่ีควรทา เป็นสง่ิ ทก่ี าหนดให๎ทา หรือ หา๎ มมิให๎กระทา พลเมือง หมายถึง พละกาลงั ของประเทศซึ่งมีส่วนเปน็ เจ้าของประเทศ ขอ้ มูลด้านหนา้ ท่พี ลเมือง เชํน ความจงรกั ภกั ดตี ํอชาติ ศาสนา พระมหากษตั ริย์ ความรับผดิ ชอบตํอหน๎าที่ ความมีระเบียบวินยั ความซอื่ สัตย์ ความเสียสละ ความอดทน การไมํทาบาป ความสามัคคี การรักษาชาติ ศาสนา
174 พระมหากษัตริย์ การปฏบิ ตั ติ ามกฎหมาย การไปใช๎สิทธิ์เลือกตัง้ การพฒั นาประเทศ การปูองกันประเทศ การรบั ราชการทหาร การเสยี ภาษีอากร การชวํ ยเหลือราชการ การศกึ ษาอบรม การพิทกั ษ์ปกปูองและสืบสานศิลปะ วัฒนธรรมของชาติ และภูมปิ ัญญาท๎องถ่ิน การอนรุ ักษ์ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดล๎อม ขอ้ มูลดา้ นสิ่งแวดล้อม ทรพั ยากร สิง่ แวดล๎อม 5 หมายถึง ส่ิงตําง ๆ ท่อี ยรูํ อบตวั เรา ทง้ั สง่ิ ที่มีชวี ติ สง่ิ ไมํมชี ีวิต เหน็ ได๎ดว๎ ยตาเปลํา และไมํ สามารถเห็นได๎ด๎วยตาเปลํา รวมทง้ั สง่ิ ที่เกิดขน้ึ โดยธรรมชาติและส่ิงทมี่ นุษย์เปน็ ผู๎สรา๎ งขึ้น หรืออาจจะกลาํ วได๎วํา ส่งิ แวดล๎อมจะประกอบดว๎ ยทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละทรัพยากรทมี่ นษุ ย์สรา๎ งข้นึ ในชํวงเวลาหนงึ่ เพ่ือสนองความ ต๎องการของมนุษยน์ ่ันเอง 5 ส่งิ แวดล๎อมที่มนุษยส์ ร๎างขึน้ ได๎แกํ สาธารณปู การตําง ๆ เชนํ ถนน เข่อื นกัน้ น้า ฯลฯ หรือระบบของสถาบันสงั คม มนษุ ยท์ ี่ดาเนนิ ชีวิตอยูํ ฯลฯ สงิ่ แวดลอ๎ มท่ีเกดิ ขึน้ โดยธรรมชาติ ไดแ๎ กํบรรยากาศ น้า ดนิ แรธํ าตุ และสิ่งมีชวี ติ ที่อาศยั อยํบู นโลก (พชื และสัตว์) ฯลฯ ทรัพยากรธรรมชาติ 5 ขอ้ มูลด้าน สิง่ แวดล้อม ทรัพยากร หมายถึง สง่ิ ต่าง ๆ(ส่ิงแวดล้อม) ทเ่ี กิดข้ึนเองตามธรรมชาตแิ ละมนุษย์สามารถนามาใช้ประโยชนไ์ ด้ เช่น บรรยากาศ ดนิ น้า ปา่ ไม้ ทุ่งหญา้ สตั วป์ า่ แรธ่ าตุ พลงั งาน และกาลังแรงงานมนษุ ย์ เปน็ ต้น 1. กลํมุ ข๎อมลู ดา๎ นธรณวี ิทยา เชํน โครงสร๎างของโลก สํวนประกอบของโลก คุณสมบัติของดนิ แผนํ ดินไหว ภูเขาไฟ นา้ พรุ อ๎ น แหลํงแรํ หนิ และวัฏจักร การเคลื่อนทข่ี องแผํนเปลอื กโลก 2. กลุมํ ข๎อมลู ทางทะเล เชํน อณุ หภูมิของนา้ ทะเล ตาแหนํงท่ีตรวจวัดอุณหภูมิ ตวั เลขทีแ่ สดงอุณหภูมิ 3. กลุํมข๎อมูลนเิ วศวิทยา เชํน ตาแหนํงทต่ี ้ังของสตั ว์หายาก สภาพภูมิประเทศ สภาพภูมิอากาศท่ีมักพบสตั ว์ หายาก ลักษณะการตงั้ ถิ่นฐาน ฤดกู าลที่อพยพ 4. กลุํมข๎อมูลเกยี่ วกับนา้ เชนํ ปรมิ าณฝนตก ปรมิ าณความช้ืนสมั พทั ธใ์ นอากาศ ตาแหนํงท่ตี ั้งสถานวี ัด ปริมาณน้าฝนในแตลํ ะภาค 5. กลุํมข๎อมูลอากาศ เชํน อุณหภูมอิ ากาศทร่ี ะดับความสงู ตําง ๆ 6. กลุํมข๎อมูลเสน๎ เชํน ข๎อมลู เสน๎ รอบจงั หวดั ข๎อมูลเสน๎ ถนน และทางรถไฟ 7. กลํมุ ข๎อมูลโทรสมั ผัส (Remote Sensing) เชนํ ขอ๎ มูลภาพถํายจากดาวเทียม ขอ๎ มูลทางดาวเทยี มท่ีแสดง ขอ๎ เทจ็ จริงของสภาพพืน้ ท่ีของเกาะ หรือภเู ขา ขอ้ มูลด้านสาธารณสุข เชนํ จานวนโรงพยาบาลของรัฐและเอกชน สถานีอนามัยประจาตาบล จานวนแพทย์ พยาบาล เจ๎าหน๎าท่ี สาธารณสขุ จานวนคนเกิด คนตาย สาเหตุการตาย โรคท่ีพบบํอย โรคระบาด ข้อมูลด้านการศกึ ษา เชํน จานวนสถานศึกษาในระดบั ตําง ๆ รายชือ่ สถานศึกษา จานวนครู จานวนนักเรยี นในสถานศึกษานัน้ ๆ จานวนผู๎จบการศึกษา สภาพปญั หาดา๎ นการศึกษา 1.2 ความสาคญั ของขอ๎ มูล ความสาคัญของข้อมลู ต่อตนเอง 1. ทาใหม๎ นุษยส์ ามารถดารงชีวิตอยํรู อดปลอดภัย มนษุ ย์ร๎ูจกั นาข๎อมูลมาใช๎ในการดารงชีวติ แตโํ บราณแลว๎ มนุษย์รจ๎ู กั สงั เกตสิง่ ตําง ๆ ทอี่ ยํูรอบตวั เชนํ สังเกตวาํ ดนิ อากาศ ฤดูกาลใดทีเ่ หมาะสมกบั การปลูกพืชผักกิน ไดช๎ นิดใด พชื ชนิดใดใช๎เป็นยารักษาโรคได๎ สะสมเปน็ องค์ความรูแ๎ ลว๎ ถาํ ยทอดสืบตํอกนั มา ข๎อมลู ตําง ๆ ทาให๎ มนษุ ย์สามารถนาทรัพยากรธรรมชาติมาใชเ๎ ปน็ อาหาร สิง่ ของเครื่องใช๎ ท่อี ยูํอาศัย และยารกั ษาโรคเพือ่ การ ดารงชีพได๎
175 2. ชวํ ยใหเ๎ รามคี วามร๎ูความเข๎าใจเร่อื งราวตําง ๆ ทีเ่ กดิ ขน้ึ รอบตัว เชํน เร่ืองราํ งกาย จติ ใจ ความตอ๎ งการ พฤติกรรมของตนเอง และผอ๎ู ่ืน ทาให๎มนษุ ย์สามารถปรับตัวเอง ให๎อยูํรํวมกับคนในครอบครวั และสงั คมได๎ อยาํ งมีความสงบสุข 3. ทาใหต๎ นเองสามารถแก๎ปัญหาตาํ ง ๆ ที่เกดิ ข้นึ ให๎ผํานพ๎นไปได๎ดว๎ ยดี การตดั สินใจตํอการกระทาหรอื ไมํ กระทาส่งิ ใดที่ไมํมีข๎อมูลหรือมีขอ๎ มลู ไมํถูกต๎องอาจทาให๎เกิดการผิดพลาดเสียหายได๎ ความสาคญั ของข้อมลู ตอ่ ชมุ ชน/สังคม 1. ทาให๎เกิดการศึกษาเรียนรู๎ ซ่งึ การศึกษาเป็นสิ่งจาเป็นตอํ การพัฒนาชมุ ชน/สังคมเปน็ อยาํ งยิ่ง ชมุ ชน/สงั คม ใดทม่ี ผี ูไ๎ ด๎รบั การศึกษา การพัฒนากจ็ ะเข๎าไปสํชู มุ ชน/สงั คมนัน้ ได๎งาํ ยและรวดเร็ว 2. ขอ๎ มูลตําง ๆ ท่สี ะสมเป็นองคค์ วามรูน๎ น้ั สามารถรกั ษาไว๎และถาํ ยทอดความร๎ไู ปสูํคนรํุนตํอ ๆ ไปในชมุ ชน/ สังคม ทาใหเ๎ กิดความร๎ูความเขา๎ ใจ วฒั นธรรมของชุมชน/สงั คม ตนเอง และตาํ งสงั คมได๎กอํ ให๎เกิดการอยูํ รํวมกันได๎อยํางสงบสขุ 3. ชํวยเสรมิ สร๎างความรู๎ ความสามารถใหมํ ๆ ในดา๎ นตาํ ง ๆ ทง้ั ทางดา๎ นเทคโนโลยี การศึกษา เศรษฐศาสตร์ การคมนาคม การเกษตร การพาณชิ ย์ ฯลฯ ที่เป็นพื้นฐานตํอการพฒั นาชมุ ชน/สงั คม 1.3 ประโยชนข์ องข้อมลู 1. เพื่อการเรยี นรู๎ 2. เพื่อการศึกษาคน๎ คว๎า 3. เพ่ือใช๎เปน็ แนวทางในการพัฒนา 4. เพื่อใช๎ในการนามาปรับปรุงแก๎ไข 5. เพ่ือใช๎เปน็ หลกั ฐานสาคญั ตาํ ง ๆ 6. เพ่ือการสอื่ สาร 7. เพ่ือการตดั สนิ ใจ ข๎อมลู ในชวี ิตประจาวนั มีจานวนมากทนี่ าไปใชป๎ ระโยชนต์ ําง ๆ กัน เชนํ ข๎อมูลภมู ิอากาศ ใชป๎ ระโยชน์ในดา๎ นการพยากรณ์อากาศ ข๎อมูลประชากร ใชป๎ ระโยชนท์ างด๎านการวางแผนพฒั นาประเทศ ข๎อมูลดา๎ นการเงนิ ใชป๎ ระโยชนใ์ นการพฒั นาเศรษฐกจิ ข๎อมลู วทิ ยาศาสตร์ ใช๎ประโยชน์ในด๎านการวิจัย ขอ๎ มลู ด๎านทรพั ยากร สง่ิ แวดล๎อม ใช๎ประโยชน์ในด๎านการติดตามสถานภาพของสิ่งแวดล๎อม การตรวจสอบความเปล่ยี นแปลงของทรพั ยากร การวางแผนการพัฒนาท๎องถ่ินหรอื การทอํ งเท่ยี ว การ วางแผนการจัดการด๎านสง่ิ แวดลอ๎ ม ขอ๎ มูลด๎านภูมิศาสตร์ ใช๎ประโยชน์ในการประเมินคาํ ความเสยี หายของการเกิดภัยทางธรรมชาติ ประเมนิ ภาษีปูาย โรงเรอื น ท่ีดนิ วิเคราะห์การลงทนุ สรา๎ งสาธารณปู โภค เร่อื งท่ี2 ข้อมูลตนเอง ครอบครัว 2.1 ข้อมลู ตนเอง คือ ข๎อมลู ความเปน็ ตวั เราซึ่งมีสง่ิ ทีแ่ สดงให๎เห็นถึงความแตกตํางจากผ๎ูอน่ื ท้งั ภายนอกท่สี ามารถมองเห็นได๎ เชนํ ชือ่ – นามสกลุ วนั เดอื น ปเี กดิ อายุ สญั ชาติ เชอ้ื ชาติ สถานภาพ สผี ิว รปู ราํ ง สํวนสูง น้าหนัก อาชีพ รายได๎ และภายในตัว เรา เชนํ อารมณ์ บคุ ลิกลกั ษณะ ความคดิ ความรูส๎ ึก และความเชื่อ เป็นต๎น 2.2 ข้อมลู ครอบครวั เปน็ ข๎อมูลของกลุํมคนต้งั แตํ 2 คนข้นึ ไปที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวขอ๎ งกนั ทางสายโลหิต การสมรส หรอื การรบั ผ๎ูอ่ืนไวใ๎ น ความอุปการะ เชํน บตุ รบุญธรรม คนใช๎ ญาตพิ ี่น๎อง มาอาศยั อยํดู ๎วยกันในครัวเรอื นเดียวกัน
176 ข๎อมลู ครอบครัว เชนํ จานวนสมาชิกในครอบครวั ข๎อมลู ตนเองของทุกคนในครอบครัว สภาพท่ีพักอาศยั และ ส่ิงแวดลอ๎ ม ระยะเวลาที่อาศัยอยํูในชมุ ชน รายได๎ – รายจํายรวมของครอบครัว : เดือน ปี เป็นตน๎ เร่ืองท่ี 3 ข้อมูลชุมชน สงั คม 3.1 ขอ้ มลู ชมุ ชน ชุมชน หมายถึง อาณาเขตบริเวณหนงึ่ ท่ีมกี ลุํมคนซึง่ มวี ถิ ชี ีวติ เกี่ยวข๎องกนั อาศยั อยํรู ํวมกันมาเปน็ เวลานาน มี การตดิ ตํอสอื่ สารกันเปน็ ปกติอยาํ งตํอเนอื่ ง มวี ัฒนธรรม ความเชอื่ จารีตประเพณีเดยี วกัน ใช๎สาธารณสถานและ สถาบนั รํวมกันชุมชนมลี กั ษณะหลายประการเหมือนกบั สังคม แตมํ ขี นาดเลก็ กวํา มคี วามสนใจรํวมที่ประสานสมั พันธ์ กันในวงแคบกวําข๎อมูลชุมชน ประกอบดว๎ ยข๎อมูลดา๎ นตาํ ง ๆ ดงั น้ี คือ ขอ๎ มลู ดา๎ นภมู ิศาสตร์ ประวัตศิ าสตร์และความ เป็นมา ขอ๎ มลู ดา๎ นเศรษฐกจิ – สังคม ข๎อมลู ดา๎ นการเมืองและการปกครอง ขอ๎ มูลด๎านศาสนาและวฒั นธรรม และ ข๎อมลู ด๎านสิง่ แวดลอ๎ ม เปน็ ต๎น 3.2 ขอ้ มลู สังคม สงั คม หมายถึง กลมุํ คนมากกวาํ สองคนข้ึนไปอยูํอาศัยรํวมกันเปน็ เวลาอนั ยาวนานในพ้นื ที่ที่กาหนด คนใน กลมุํ มคี วามสัมพันธ์เกยี่ วข๎องกนั มีระเบยี บแบบแผนรวํ มกันเพือ่ ให๎การดารงอยเํู ปน็ ไปด๎วยดี มกี จิ กรรมรวํ มกนั มี ประเพณแี ละวฒั นธรรมท่ีเหมือนกนั เปน็ แนวทางในการดาเนินชีวิตอยูํรํวมกันในสงั คมอยํางสงบสุข ข๎อมูลทางสังคม เชนํ ข๎อมูลด๎านการศึกษา ศาสนา วฒั นธรรม ประเพณี สาธารณสขุ อาชญากรรม สาธารณภัย ทรพั ยากรธรรมชาติ สงิ่ แวดลอ๎ ม เศรษฐศาสตร์ การเมืองการปกครอง หน๎าทพี่ ลเมือง ประวตั ศิ าสตร์ ภมู ศิ าสตร์ เป็น ตน๎
177 ใบงานที่ 1 เรือ่ ง บอกความหมายความสาคญั ประโยชนข์ องข๎อมลู ด๎านตํางๆ 1.ข๎อมูล หมายถงึ ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... .................................................................................................................... 2.ให๎นกั ศกึ ษาอธบิ ายความสาคญั และประโยชน์ ของข๎อมลู ดา๎ นตาํ งๆในชุมชน ตนเอง ความหมายความสาคญั ………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………….. 2.1 ด๎านภมู ิศาสตร์ ประโยชน์………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………… 2.2 ดา๎ นเศรษฐศาสตร์ ความหมายความสาคัญ………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………….. ประโยชน์……………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………… 2.3 ด๎านการเมือง การปก ความหมายความสาคัญ…………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………… ประโยชน์…………………………………………………..……………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………
2.4 ด๎านศาสนา วฒั นธรรมประเพณี 178 ความหมายความสาคัญ…………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………… ประโยชน์……………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… 2.5 ด๎านหน๎าท่พี ลเมือง ความหมายความสาคญั …………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………................ ประโยชน์…………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… 2.6 ด๎านทรพั ยากร สิ่งแวดล๎อม ความหมายความสาคญั ………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………… ประโยชน์………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… 2.7 ด๎านสาธารณสุข ความหมายความสาคัญ………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………………… ประโยชน์……………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………… 2.8 ด๎านการศึกษา ความหมายความสาคญั ………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………… ประโยชน์……………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………… 3. นกั ศึกษาสามารถนาข๎อมูลดา๎ นตํางๆไปใช๎ในชวี ติ ประจาวนั อยาํ งไรบ๎าง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
179 แผนการจดั การเรียนรู้ รายวชิ าการพัฒนาตนเอง สงั คม ชมุ ชน คร้งั ท่ี 18 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2565 ระดับประถมศกึ ษา กศน.ตาบลหัวช้าง ๑. สัปดาห์ที่ 18 วนั ท่ี 13 เดอื น กนั ยายน พ.ศ. 2565 เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐น. 2. วิชา การพัฒนาตนเอง สังคม ชมุ ชน รหสั วิชา สค11003 จานวน 2 หน่วยกิต 3. มาตรฐานท่ี 5.4 มีความร๎ู ความเขา๎ ใจ เห็นความสาคัญของหลักการพฒั นา และสามารถพฒั นาตนเอง ครอบครวั ชุมชน สังคม 4. หน่วยการเรยี นร/ู้ เรอ่ื ง การจดั เกบ็ วเิ คราะหข์ ๎อมูลอยาํ งงาํ ยและเผยแพรขํ อ๎ มูล 5. สาระสาคัญ ขอ๎ มลู (Data) หมายถงึ กลุํมตัวอกั ขระท่ีเมื่อนามารวมกันแล๎วมีความหมายอยํางใดอยาํ งหน่งึ และมี ความสาคัญควรคําแกํการจดั เก็บเพ่ือนาไปใชใ๎ นโอกาสตํอ ๆ ไป ขอ๎ มูลมกั เป็นขอ๎ ความท่ีอธบิ ายถึงสง่ิ ใดสง่ิ หน่ึง อาจ เปน็ ตัวอกั ษร ตวั เลข หรือสัญลกั ษณใ์ ด ๆ ทีส่ ามารถนาไปประมวลผลดว๎ ยคอมพิวเตอร์ได๎ 6. เน้ือหา บอกความหมายความสาคัญประโยชนข์ องข๎อมูลได๎ วิธีการจดั เกบ็ วิเคราะห์ข๎อมูลอยํางงํายและเผยแพรํ ข๎อมูล 7. จดุ ประสงค์การเรียนร/ู้ ผลการเรยี นรูท้ ี่คาดหวัง เมอ่ื ศึกษาจบแล๎ว ผ๎เู รียนสามารถ - บอกความหมายของข๎อมูลได๎ - อธบิ ายความสาคญั ของข๎อมูลด๎านตํางๆ ๘. การบรู ณาการกับหลักแนวคดิ ของเศรษฐกิจพอเพียง (2 เงือ่ นไข 3 หลักการ การเช่อื มโยงสูํ 4 มิต)ิ ความรู้ - นกั ศกึ ษามีความรเ๎ู ร่ือง ความหมายความสาคัญประโยชนแ์ ละวธิ กี ารจัดเก็บ ของข๎อมูล ด๎านตํางๆ คุณธรรม - มีความมํงุ มัน่ ในการทางาน - มีความสามคั คีในหมํูคณะ - ใฝหุ าความร๎ูเพ่ือพัฒนาอยเํู สมอ พอประมาณ - มีความพอประมาณในเรือ่ งของเวลาการแบงํ เวลาในการศกึ ษาหาความร๎ู มเี หตุผล - ไดค๎ วามรู๎เกี่ยวกับวธิ กี ารจัดเกบ็ วิเคราะห์ข๎อมลู อยํางงํายและเผยแพรํข๎อมลู ได้ มภี ูมคิ ุ้มกนั -รู๎จักวิธีการจัดเก็บ วเิ คราะห์ขอ๎ มลู อยํางงาํ ยและเผยแพรขํ ๎อมลู ได้ เพือ่ นาไปปรับใช๎ในการ ดารงชวี ิต และเตรยี มความพร๎องในสถานการณ์ทเ่ี ปลีย่ นแปลง วตั ถุ - รู๎จักเลอื กใช๎วสั ดุ-อุปกรณ์ ในการจัดเกบ็ ขอ๎ มูล ได๎อยํางคุ๎มคาํ และเหมาะสม - มที ักษะในการใชว๎ สั ดุ-อุปกรณ์ และการดูแลรกั ษา สงั คม - มที ักษะการอยรํู วํ มกันในกลํุม และทางานรวํ มกบั ผู๎อื่นได๎อยํางมคี วามสุข
180 - สามารถนาความร๎ูท่ีได๎ไปเผยแพรใํ หก๎ ับครอบครวั และชุมชน ส่งิ แวดล้อม - รจ๎ู กั นาข๎อมูลที่ได๎ไปปรับใช๎ในครอบครัว ชุมชน สังคม ให๎นําอยูํอาศยั - วัสด-ุ อุปกรณ์ ในการจดั เก็บข๎อมลู ไมเํ ปน็ พษิ ตํอส่งิ แวดลอ๎ ม วฒั นธรรม - สืบทอดและเผยแพรํข๎อมลู ภมู ปิ ญั ญา แหลงํ เรียนร๎ู สํูครอบครวั ชุมชน และสงั คม 9. กระบวนการจัดการเรยี นรู้และกจิ กรรมการเรยี นรู้ ข้นั ท่ี ๑ กาหนดสภาพปัญหาการเรียนรู๎ (O : Orientation) ครตู ั้งคาถาม เพ่ือให๎ผเ๎ู รียนสะทอ๎ นความคิดเหน็ และประสบการณ์ในเรื่องความหมายความสาคัญ ประโยชนข์ องข๎อมลู ได๎ วธิ กี ารจดั เกบ็ วเิ คราะห์ข๎อมูลอยาํ งงํายและเผยแพรขํ ๎อมูล ขน้ั ที่ ๒ แสวงหาข๎อมูลและการจดั การเรยี นรู๎ (N : New ways of learning) 1.ครใู ห๎ผูเ๎ รยี นศึกษาใบความร๎ู และหาความรู๎เพิม่ เติมจากส่ืออืน่ ๆ เชนํ สอ่ื หนังสือเรียน สื่อ อิเล็กทรอนิกส์ เวบ็ ไซด์ แหลํงเรยี นรู๎ 2.ให๎ผ๎เู รียน ทาใบงานท่ี 1 บอกความหมายความสาคัญประโยชนข์ องขอ๎ มลู ดา๎ นตํางๆ ข้ันที่ ๓ การปฏิบตั ิและการนาไปใช๎ (I : Implementation) ครแู ละผ๎เู รียนสรุปเนอื้ หารํวมกันและนาความร๎ูท่ีได๎รับ ทาใบงานทไี่ ด๎รับมอบหมาย ข้ันท่ี ๔ การประเมนิ ผลการเรียนร๎ู (E : Evaluation) ๑. ผูเ๎ รียนสรุปสาระสาคัญตามเนอื้ หาการเรยี นรไ๎ู ด๎ ๒. บนั ทกึ การเรียนรู๎ ๓. ใบงาน 10. สอ่ื /แหล่งเรยี นรู้ - หนงั สือแบบเรียน - สื่ออินเตอร์เน็ต - แหลํงเรยี นรู๎ ๑1. การวดั และประเมนิ ผล ๑1.๑ วธิ กี ารวดั และประเมนิ ผล - ผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกับผ๎ูอืน่ ของผ๎ูเรียนรายบคุ คล - ใบงาน ๑1.๒ เครอ่ื งมือวดั และประเมินผล - ผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานรํวมกับผ๎ูอื่น ของผู๎เรยี นรายบคุ คล - ผลจากการตรวจใบงาน ๑1.๓ เกณฑก์ ารวัดและการประเมนิ ผล - ผลการสังเกตพฤตกิ รรมการทางานรํวมกบั ผู๎อืน่ ของผเ๎ู รยี นรายบุคคล ระดับดี พอใช๎ ควรปรบั ปรงุ - ใบงานคะแนนเตม็ ๑๐ คะแนน
181 กิจกรรมเสนอแนะ ............................................................................................................................. ............................................................ ........................................................................................................................................................................................ ลงชือ่ ………………………………………….ครผู สู๎ อน (นางสาววาสนา พานิชย์) ครู กศน.ตาบล ขอ้ เสนอแนะของผู้บริหาร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………............................. ลงชอ่ื ………………………………………………………ผู๎อนุมตั แิ ผน (นางปทั มาภรณ์ ศรเี นตร) ผูอ๎ านวยการ กศน.อาเภอจตรุ พักตรพมิ าน
182 บนั ทึกหลังการจัดการเรยี นรู้ กศน.ตาบลหัวชา้ ง ครัง้ ที่ ๑8 วนั ที่ 13 เดอื น กันยายน พ.ศ. 2565 ครผู ส๎ู อน นางสาววาสนา พานชิ ย์ ระดับ ประถมศึกษา เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐ น. สาระการประกอบอาชพี รายวิชาการพฒั นาตนเอง สงั คม ชมุ ชน รหัสวิชา สค11003 จานวนผ๎เู รยี นทงั้ หมด ............... คนเข๎าเรียน…………………คน ไมเํ ขา๎ เรียน……………………….คน ๑. ผลการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้การประเมินโดยใช๎ แบบทดสอบกํอนเรียน - หลังเรียน พบวาํ คะแนนการทดสอบหลงั เรียน มากกวาํ กอํ นเรียนจานวน ........ คนคิดเปน็ ร๎อยละ............ คะแนนการทดสอบหลงั เรยี น นอ๎ ยกวํากํอนเรยี นจานวน ......... คนคิดเปน็ ร๎อยละ............ ๒. เน้อื หา/สาระ ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................. ................................... ...................................................................................... .......................................................................... ๓. กิจกรรมการเรียนการสอน ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................. ............................................... ....................................................................................................................................... ๔. ปญั หา/อุปสรรค การเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................... ............................. ..................................................................................................... ........................................................... ๕. แนวทางการแก้ปัญหา ............................................................................................................................. ................................... .......................................................................................................................................... ...................... ............................................................................................................ .................................................... ลงชอ่ื .......................................................ครูผส๎ู อน (นางสาววาสนา พานิชย์) วนั ท.ี่ ............../.................../............... ความคิดเห็น/ข้อเสนอแนะของผู้บริหาร .................................................................................................................... ..................................................................... ............................................................................................................................. ............................................................ .............................................................................................................. ......................................... ลงชอ่ื .................................................................. (นางปัทมาภรณ์ ศรเี นตร) ผู๎อานวยการ กศน.อาเภอจตรุ พกั ตรพมิ าน วันท.่ี ............../.................../...........
183 ใบความร้ทู ี่ 1 เร่อื ง การจดั เก็บและวเิ คราะห์ขอ้ มลู เร่อื งที่ 1 การจัดเกบ็ ข๎อมลู การเก็บรวบรวมข๎อมลู เป็นข้ันตอนทีใ่ ห๎ได๎มาซง่ึ ข๎อมลู ทต่ี ๎องการมคี วามหมายรวมท้ังการเกบ็ ข๎อมลู ขึ้นมาใหมํ และการรวบรวมข๎อมลู จากผ๎ูอ่ืนที่ได๎เก็บไวแ๎ ลว๎ หรือไดร๎ ายงานไวใ๎ นเอกสารตาํ ง ๆ เพือ่ นามาศึกษาตํอไป ตวั อยําง เชํน เมอื่ ต๎องการเกบ็ รวบรวมข๎อมูลพ้ืนฐานเร่ืองอาชีพและรายได๎ครัวเรอื นของคนในหมํบู า๎ น อาจเรม่ิ ตน๎ ดว๎ ยการออก แบบสอบถามสาหรบั การไปสารวจขอ๎ มลู เพอื่ ให๎ครอบครัวตํางๆ ในหมํบู ๎านกรอกข๎อมลู มกี ารสงํ แบบสอบถามไปยังผู๎ กรอกขอ๎ มลู เพื่อทาการกรอกรายละเอียด มีการเก็บรวบรวมขอ๎ มลู ซึ่งการเกบ็ รวบรวมขอ๎ มลู มีเทคนิคและวธิ กี ารหลาย วธิ ี ดงั นี้ 1. การเก็บรวบรวมข๎อมูลจากรายงาน (Reporting System) เป็นผลพลอยได๎จากระบบการบริหารงาน เป็น การเกบ็ รวบรวมข๎อมลู จากรายงานที่ทาไว๎หรือจากเอกสารประกอบการทางาน ซ่ึงการเก็บรวบรวมข๎อมลู จากรายงาน สํวนมากใช๎เพยี งครั้งเดยี ว จากรายงานดังกลําว อาจมีขอ๎ มูลเบ้ืองตน๎ บางประเภทที่สามารถนามาประมวลเปน็ ยอด รวมขอ๎ มูลสถิติได๎ วิธเี กบ็ รวบรวมขอ๎ มลู จากรายงานของหนํวยบรหิ าร นับวาํ เปน็ วิธีการรวบรวมขอ๎ มูลสถิตโิ ดยไมํต๎อง ส้นิ เปลอื งคาํ ใชจ๎ าํ ยในการดาเนนิ งานมากนัก คาํ ใช๎จาํ ยทใ่ี ช๎สวํ นใหญกํ เ็ พื่อการประมวลผล พมิ พแ์ บบฟอร์มตาํ ง ๆ ตลอดจนการพิมพร์ ายงาน วิธกี ารนใ้ี ช๎กนั มากทงั้ ในหนํวยงานรฐั บาลและเอกชน 2 หนํวยงานของรฐั ทีม่ ขี ๎อมูลสถิติท่ี รวบรวมจากรายงาน ได๎แกํ กรมศลุ กากรมีระบบการรายงานเกี่ยวกบั การสํงสินคา๎ ออก และการนาสินค๎าเข๎า และ กระทรวงศกึ ษาธิการ มรี ายงานผลการปฏิบตั ิงานของโรงเรยี นภายในสงั กดั ซงึ่ สามารถนามาใช๎ในการประมวลผลสถิติ ทางการศึกษาได๎ 2. การเกบ็ รวบรวมข๎อมูลจากทะเบยี น (Registration) เปน็ ขอ๎ มลู สถติ ิทรี่ วบรวมจากระบบทะเบยี น มี ลกั ษณะคล๎ายกับการรวบรวมจากรายงานตรงที่เปน็ ผลพลอยได๎เชํนเดียวกนั จะตาํ งกนั ตรงท่ี แหลงํ เบ้ืองตน๎ ของข๎อมูล เปน็ เอกสารการทะเบียนซงึ่ การเก็บมีลักษณะตํอเนื่อง มกี ารปรบั แกห๎ รอื เปล่ยี นแปลง ให๎ถูกต๎องทนั สมยั ทาใหไ๎ ด๎สถิติ ท่ตี ํอเนื่องเปน็ อนุกรมเวลา ขอ๎ มลู ท่เี กบ็ โดยวิธกี ารทะเบยี น มขี ๎อรายการไมมํ ากนกั เนอ่ื งจากระบบทะเบียนเป็นระบบ ข๎อมูลท่ีคอํ นขา๎ งใหญํ ตัวอยํางข๎อมูลสถิติที่รวบรวมจากระบบทะเบียน ได๎แกํ สถิติจานวนประชากรท่ีกรมการปกครอง ดาเนินการเก็บรวบรวมจากทะเบียนราษฎร์ ประกอบดว๎ ย จานวนประชากร จาแนกตามเพศเป็นรายจงั หวดั อาเภอ ตาบล นอกจากทะเบียนราษฎร์แล๎วก็มที ะเบยี นยานพาหนะของกรมตารวจทจี่ ะทาใหไ๎ ด๎ข๎อมูลสถิติจานวนรถยนต์ จาแนกตามชนิดหรือประเภทของรถยนต์ เป็นต๎น 3. การเก็บรวบรวมข๎อมูลโดยวิธีสามะโน ( Census ) เปน็ การเก็บรวบรวมข๎อมลู สถิติของทกุ ๆ หนํวยของประชากรที่สนใจศึกษาภายในพ้นื ที่ท่ีกาหนด และภายใน ระยะเวลาที่กาหนด การเกบ็ รวบรวมขอ๎ มลู สถิตดิ ๎วยวธิ นี ้ี จะทาให๎ได๎ข๎อมูลในระดับพน้ื ท่ียํอย เชํน หมูบํ า๎ น ตาบล อาเภอ และทาให๎ได๎ข๎อมลู ที่เปน็ คําจริง ตามพระราชบญั ญตั ิสถิติ พ . ศ .2508 ไดบ๎ ัญญัติไว๎วาํ สานักงานสถิตแิ หํงชาตเิ ปน็ หนวํ ยงานเดยี วท่สี ามารถจดั ทาสา มะโนได๎ และการเกบ็ รวบรวมขอ๎ มูลสถิติดว๎ ยวิธีการสามะโน เปน็ งานทีต่ ๎องใช๎เงินงบประมาณ เวลาและกาลงั คนเปน็ จานวนมาก สํวนใหญํจะจดั ทาสามะโนทกุ ๆ 10 ปี หรือ 5 ปี 4. การเก็บรวบรวมข๎อมูลโดยวิธีสารวจ (Sample Survey) เป็นการเก็บรวบรวมข๎อมลู สถิติ จากบางหนํวย ของประชากรด๎วยวธิ กี ารเลอื กตวั อยําง การเกบ็ รวบรวมข๎อมูลสถติ ดิ ว๎ ยวิธีนี้ จะทาให๎ได๎ข๎อมูลในระดับรวม เชํน จังหวัด ภาค เขตการปกครอง และรวมทว่ั ประเทศ และขอ๎ มูลทไี่ ด๎จะเป็นคําโดยประมาณ การสารวจเป็นวธิ ีการเกบ็ รวบรวม ขอ๎ มูลท่ีใช๎งบประมาณ เวลา และกาลังคนไมํมากนกั จึงสามารถจัดทาไดเ๎ ป็นประจาทุกปี หรอื ทุก 2 ปี ปัจจุบันการ สารวจเปน็ วิธกี ารเกบ็ รวบรวมขอ๎ มลู สถติ ิทม่ี ีความสาคัญ และใช๎กันอยํางแพรํหลายมากที่สุด ทง้ั ในวงการราชการและ
184 เอกชน ไมํวําจะเปน็ การสารวจเพ่อื หาขอ๎ มลู ทางดา๎ นการเกษตร อตุ สาหกรรม สาธารณสขุ การคมนาคม การศึกษา และข๎อมูลทางเศรษฐกจิ และสังคมอ่ืน ๆ เป็นตน๎ 5. วธิ ีการสงั เกตการณ์ (Observation) เป็นวิธเี กบ็ ขอ๎ มูลโดยการสงั เกตโดยตรงจากปฏิกริ ยิ า ทาํ ทาง หรอื เหตุการณ์ หรอื ปรากฏการณ์ ท่ีเกิดขึ้นในขณะใดขณะหนงึ่ และจดบนั ทึกไว๎โดยไมํมีการสัมภาษณ์ วธิ นี ้ใี ช๎กันอยาํ ง กวา๎ งขวางในการวิจยั เชนํ จะศึกษาดปู ฏกิ ริ ิยาของผ๎ูขบั รถยนตบ์ นท๎องถนนภายใต๎สภาพการณ์จราจรตําง ๆ กนั ก็ อาจจะสํงเจา๎ หนา๎ ท่ไี ปยืนสงั เกตการณ์ได๎ การสงั เกตจานวนลกู คา๎ และบันทึกปริมาณการขายของสถานประกอบการ โดยพนกั งานเก็บภาษีของกรมสรรพากร เนอ่ื งจากการไปสัมภาษณ์ผป๎ู ระกอบการถงึ ปริมาณการขาย ยํอมไมํไดข๎ ๎อมูลที่ แทจ๎ รงิ 6. วิธกี ารบันทึกข๎อมลู จากการวดั หรอื นบั วิธนี จ้ี ะมอี ุปกรณ์เพอ่ื ใชใ๎ นการวัดหรือนับตามความจาเปน็ และ ความเหมาะสม เชํน การนบั จานวนรถยนตท์ ี่แลนํ ผาํ นทจ่ี ุดใดจุดหนึ่ง ก็อาจใชเ๎ ครอื่ งนับโดยใหร๎ ถแลํนผาํ นเคร่ืองนับ หรือ การเก็บข๎อมูลจานวนผ๎มู าใชบ๎ รกิ ารในหอ๎ งสมุดประชาชน ก็ใชเ๎ ครื่องนบั เมอ่ื มคี นเดินผํานเครอ่ื ง เป็นตน๎
185 ใบงานท่ี 1 เรอื่ ง การจดั เก็บและวิเคราะหข์ ้อมลู 1. ข๎อมูลคือ............................................................................................................................................................ ...................................................................................................................................... .................................... 2. ความสาคัญและคุณสมบัติทด่ี ีคือ........................................................................................................................ ............................................................................................................................. ............................................... ........................................................................................................................................................................... 3. ให๎นกั ศึกษาบอกวิธกี ารจัดเก็บ และรวบรวมขอ๎ มลู มาอยาํ งละเอยี ด ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................... ............................................................................. ............................................................................................................................. ............................................... ............................................................................................................................................................................ 4. ให๎นกั ศึกษาบอกความหมายการวิเคราะหข์ ๎อมลู ตนเอง ครอบครวั ชุมชน สังคม ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................... ............................................................................ ............................................................................................................................. ............................................... ........................................................................................................................................................................... 5. นักศกึ ษาสามารถนาขอ๎ มูล มาจดั ทาแผนชวี ติ ชมุ ชน สังคม ไดอ๎ ยํางไร ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................... ............................................................................. 6. เม่ือนักศกึ ษาหาข๎อมูลไดแ๎ ลว๎ นกั ศึกษาจะมวี ธิ ีการเผยแพรขํ ๎อมูลดา๎ นตํางๆได๎อยาํ งไร ............................................................................................................................. ............................................... ............................................................................................... ............................................................................. ........................................................... .............................................................................................................. .. 7. เทคนิคการวเิ คราะห์ข๎อมลู น้ันจาเปน็ ต๎องมีหลักเกณฑ์ในการเลอื กหวั ข๎อซงึ่ มอี งคป์ ระกอบ 5 ประการคือบ๎าง พร๎อม อธิบาย ........................................................................................................................................................... ................. ............................................................................................... ............................................................................. ............................................................................................................................. ............................................... ...................................................................................................................................................... .....................
186 แผนการจดั การเรียนรู้ ปจั ฉิมนเิ ทศ ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2565 ระดบั ประถมศกึ ษา กศน.ตาบลหวั ช้าง 1. สปั ดาห์ที่ 19 วนั ที่ 16 เดอื น กนั ยายน พ.ศ. 2565 เวลา 09.00-12.00 น. 2. วิชา ปัจฉิมนิเทศ 3. มาตรฐาน 4. หน่วยการเรยี นรู/้ เร่อื ง แจ๎งการทดสอบผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น (สอบปลายภาค) 5. สาระสาคญั การทดสอบผลสัมฤทธ์ขิ องผูเ๎ รียนทางการเรยี นของผู๎เรยี นเปน็ เร่ืองท่ีจาเป็นและสาคัญมาก หลังจากทผ่ี เ๎ู รยี น ไดล๎ งทะเบียน และได๎รับการเรยี นรู๎จาเปน็ ตอ๎ งมีการทดสอบวดั ผลประเมนิ ผลความร๎ู ผเ๎ู รยี นจะได๎ทราบผลการเรียนร๎ู ของผู๎เรียนเอง ซ่ึงในการทดสอบปลายภาคเรยี นแตลํ ะภาคเรียนนั้นมีทั้งนักศึกษาเกํา และใหมํ จาเป็นต๎องมีการเตรียม ความพร๎อมสาหรับนกั ศกึ ษาใหมํในการทาแบบทดสอบ และการเตรยี มความพรอ๎ มใหถ๎ ูกระเบียบในการสอบทุกภาค เรียน 6. เนือ้ หา 1. การเตรยี มตัวทดสอบปลายภาค 2. การปฏิบัติตนในการเข๎าห๎องสอบ 3. ระเบียบในการเขา๎ ห๎องสอบ 7. จดุ ประสงค์การเรียนร/ู้ ผลการเรยี นรทู้ ค่ี าดหวงั (ดจู ากผงั การออกข๎อสอบ) ผ๎ูเรียนสามารถปฏบิ ัตติ นในการเขา๎ รบั การทดสอบปลายภาคได๎อยํางถกู ตอ๎ ง 8. กระบวนการจดั การเรียนรู้และกจิ กรรมการเรียนรู้ ขั้นท่ี 1 กาหนดสภาพปัญหาการเรยี นรู้ 1. ครสู นทนากบั ผ๎ูเรยี นเร่ืองการสอบปลายภาคเรียน และแจง๎ วตั ถุประสงค์ของกิจกรรม 2. ครูและผเ๎ู รียนสอบถามผเู๎ รยี นด๎านความพร๎อมของการเรยี นรท๎ู ่ผี าํ นมา ขนั้ ท่ี 2 แสวงหาข้อมูลและจัดการเรียนรู้ 1. ครูอธิบายวิธีทาแบบทดสอบให๎ผู๎เรียนทราบข้ันตอนการปฏบิ ัติในการสอบวัดผลสัมฤทธข์ิ องผ๎ูเรียนใน ภาคเรียนทผ่ี ํานมา ปญั หา และอปุ สรรคในการสอบ 2. ครูตดิ ตามงานของผ๎ูเรียนท่ีผาํ นมา ขน้ั ท่ี 3 การปฏบิ ัตแิ ละการนาไปใช้ สอบถามติดตามตารางสอบปลายภาคเรยี น ขั้นที่ 4 การประเมินผลการเรียนรู้ - 9. ส่อื /แหล่งเรียนรู้ - คูํมอื นกั ศกึ ษา - ส่อื Internet 10. การวดั และประเมนิ ผล 10.1 วธิ กี ารวดั และประเมนิ ผล - สมุดบนั ทกึ กจิ กรรมการเรยี นรู๎ 10.2 เครอ่ื งมือวดั และประเมินผล.
187 - ผลจากการตรวจสมุดบันทึกกจิ กรรมการเรียนร๎ู 10.3 เกณฑ์การวดั และการประเมินผล - สมดุ บันทึกกจิ กรรมการเรียนร๎ปู ระกอบชดุ วิชา คะแนนเต็ม 10 คะแนน กิจกรรมเสนอแนะ ......................................................... ............................................................................................................................. ... ................................................................................................................................................................... ลงชื่อ…………………………………………….ครผู ๎ูสอน (นางสาววาสนา พานชิ ย์) ครู กศน.ตาบล ข้อเสนอแนะของผู้บรหิ าร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………........ ลงชื่อ………………………………………………………ผอู๎ นมุ ตั แิ ผน (นางปทั มาภรณ์ ศรเี นตร) ผู๎อานวยการ กศน.อาเภอจตรุ พกั ตรพมิ าน
188 บนั ทึกหลังการจัดการเรียนรู้ กศน.ตาบลหัวช้าง คร้ังท่ี 19 วันท่ี 16 เดือน กันยายน พ.ศ. 2565 ครผู ๎สู อน นางสาววาสนา พานิชย์ ระดบั ประถมศึกษา เวลา 09.00-12.00 น. โครงสร๎างหลกั สูตรการศกึ ษานอกระบบ ระดับการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน พ.ศ. 2551 จานวนผูเ๎ รยี นท้งั หมด ........... คน เขา๎ เรียน…………………คน ไมเํ ขา๎ เรียน……………………….คน 1. ผลการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ การประเมนิ โดยใช๎ แบบทดสอบกํอนเรียน - หลังเรียน พบวาํ คะแนนการทดสอบหลังเรียน มากกวํากอํ นเรยี นจานวน ........ คน คดิ เป็นรอ๎ ยละ ............ คะแนนการทดสอบหลงั เรียน น๎อยกวาํ กํอนเรยี น จานวน ......... คน คิดเป็นร๎อยละ ............ 2. เนื้อหา/สาระ ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................... ................................................................. ............................................................................................................................. ................................... 3. กิจกรรมการเรียนการสอน ................................................................................................................................. ............................... ................................................................................................... ......................................................................... ............................................................................................................................. .......... 4. ปญั หา/อุปสรรค การเรียนการสอน ............................................................................................................................................ .................... .............................................................................................................. .................................................. 5. แนวทางการแก้ปัญหา ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................. ............... ลงช่ือ.......................................................ครูผ๎สู อน (นางสาววาสนา พานชิ ย์) วนั ที.่ ............../.................../............... ความคิดเหน็ /ข้อเสนอแนะของผบู้ ริหาร ................................................................................................... ...................................................................................... ............................................................................................................................. ............................................................ .............................................................................................................. ......................................... ลงชื่อ.................................................................. (นางปัทมาภรณ์ ศรเี นตร) ผ๎ูอานวยการ กศน.อาเภอจตรุ พักตรพิมาน วันท.่ี ............../.................../...........
189 คณะผจู้ ัดทา ทีป่ รกึ ษา ผ๎อู านวยการ กศน.อาเภอจตรุ พักตรพมิ าน นางปัทมาภรณ์ ศรเี นตร ครู นายพรทวี เกตบตุ ตา ครผู ๎ูชวํ ย นางสาวนิภาพร คณุ ศริ ิ ครู กศน.ตาบล ผูจ้ ดั ทา นางสาววาสนา พานชิ ย์
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189