Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนการจัดการเรียนรู้ คุณครูวาสนา พานิชย์ ป.ถม

แผนการจัดการเรียนรู้ คุณครูวาสนา พานิชย์ ป.ถม

Published by rujiraoopkaew, 2022-06-28 03:16:06

Description: แผนการจัดการเรียนรู้ คุณครูวาสนา พานิชย์ ป.ถม

Search

Read the Text Version

51 หอมระเหยกลายเป็นไอแยกออกมาพร๎อมกับไอน้าเมื่อทาให๎ไอ ของของผสมควบแนํนโดยผํานเครื่องควบแนํนก็จะได๎ นา้ และนา้ มันหอมระเหยปนกนั แตํ แยกชัน้ กันอยํทู าใหส๎ ามารถแยกเอาน้ามนั หอมระเหยออกจากน้าได๎งําย 2.4 การตกผลกึ (Crystallization) คือกระบวนการเกิดผลึกของแข็งจากสารละลาย(solution) จากของเหลว (melt) หรือไอ (vapor)โดย กระบวนการดังกลาํ ว อาจเกิดข้ึนเองในธรรมชาตหิ รอื เกิดขนึ้ จากการทดลองในห๎องปฏิบัติการตัวอยําง การเกิดผลึกใน ธรรมชาติ เชํน ผลึกนา้ แข็ง(ice crystals) หมิ ะ (snow) เปน็ ตน๎ ผลกึ ของสารอินทรยี เ์ ชนํ อินซลู นิ และนา้ ตาล ผลึกของ ธาตุเชํน แกลเลียม และซลิ กิ อน ซึง่ สามารถเกิดในธรรมชาติและถกู สงั เคราะห์ การเลือกตวั ทาละลายทเ่ี หมาะสมต่อการตกผลกึ มหี ลกั ในการเลอื กดงั นี้ 1. ละลายสารทต่ี ๎องการตกผลึกในขณะรอ๎ นได๎ดี และละลายได๎น๎อยหรือไมํละลายเลยที่อุณหภมู ติ ่า(ขณะเย็น) 2. ไมํละลายสารปนเปอ้ื นขณะร๎อนหรือละลายไดน๎ ๎อยขณะรอ๎ น แตลํ ะลายไดด๎ ขี ณะเย็น 3. ควรมีจุดเดอื ดตา่ เพ่ือสามารถกาจัดออกจากผลกึ ไดง๎ าํ ย 4. ไมทํ าปฏกิ ิริยากับสารทตี่ ๎องการตกผลึก 5. ควรทาใหส๎ ารทที่ ่ตี อ๎ งการทาให๎บริสุทธเ์ิ กิดเปน็ ผลึกทมี่ รี ูปรํางชัดเจน 6. ไมเํ ป็นพษิ 7. หางําย และราคาถูก

52 แบบทดสอบก่อนเรยี น-หลงั เรยี น เรื่องการแยกสาร คาชี้แจง จงเลือกคาตอบท่ีถูกตอ๎ งทส่ี ุด เพยี งคาตอบเดยี ว 1. ข๎อใดเป็นหลักการแยกสารด๎วย “การกรอง” ก. แยกสารเนื้อผสมที่องค์ประกอบของของแข็งที่ไมํละลายในของเหลว ข. แยกสารเน้ือผสมที่มีอนุภาคของแก๏ส ปนอยํใู นสารละลาย ค. แยกสารเนื้อผสมท่ีองค์ประกอบของสารทลี่ ะลายน้าได๎ ง. แยกสารเน้อื ผสมท่ีมีอนุภาคของของเหลวปนอยํใู นสารละลาย 2. ข๎อใดเปน็ หลกั การแยกสารด๎วย “การกลั่น” ก. แยกสารทม่ี จี ุดเดอื ดตาํ งกนั ข. แยกสารทม่ี สี ภาพการละลายตํางกัน ค. แยกสารที่มีขนาดของอนุภาคแตกตาํ งกัน ง. แยกสารทมี่ ีความสามารถในการละลายและถูกดูดซบั บนตวั ดดู ซับแตกตํางกนั 3. ข๎อใดเป็นหลกั การแยกสารดว๎ ย “สกดั ด๎วยตวั ทาละลาย” ก. แยกสารทมี่ ีจดุ เดือดตาํ งกัน ข. แยกสารท่มี ีสภาพการละลายตาํ งกนั ค. แยกสารทมี่ ีขนาดของอนภุ าคแตกตาํ งกนั ง. แยกสารทีม่ ีความสามารถในการ ละลายและถูกดดู ซับบนตวั ดดู ซับแตกตาํ งกนั 4. ข๎อใดเปน็ หลักการแยกสารด๎วย “โครมาโตกราฟี” ก. แยกสารทมี่ จี ดุ เดือดตํางกัน ข. แยกสารทมี่ สี ภาพการละลายตํางกัน ค. แยกสารท่มี ีขนาดของอนภุ าคแตกตํางกัน ง. แยกสารที่มีความสามารถในการ ละลายและถูกดดู ซับบนตวั ดูดซบั แตกตํางกัน 5. การแยกสารเน้ือเดยี วดว๎ ยวิธีโครมาโทกราฟพี บวาํ บนกระดาษกรองมีสีปรากฏ3 สี สารน้ีคอื สารอะไร ก. ธาตุ ข. สารละลาย ค. สารบรสิ ุทธ์ิ ง. สารประกอบ

53 6. การสีเขยี วจากใบเตย ควรใชว๎ ธิ ีใด ก.การกลนั่ ธรรมดา ข. การกล่นั ด๎วยไอน้า ค. การกลัน่ ลาดับสํวน ง. การใช๎ตวั ทาละลาย 7. ผลึกเกิดจากสารในข๎อใด ก. สารละลายอิม่ ตัว ข. สารละลายเข๎มข๎น ค. สารละลายเจอื จาง ง. สารเนื้อผสม 8. ถ๎าต้ังถ๎วยสารละลายคอปเปอรซ์ ัลเฟตไว๎ในห๎องนานถึง 7 วัน ก็ยงั ไมํตกผลึก ขอ๎ ใดกลําวถูกต๎อง ก.สารละลายน้ันมีฝุนละอองปลวิ มาผสม ข.สารละลายนน้ั อ่มิ ตวั แตอํ ุณหภูมิไมํ เย็นจดั ค.สารละลายน้ันไมํอิ่มตัว จงึ ไมสํ ามารถ ตกผลกึ ได๎ ง.สารละลายไมตํ กผลกึ เพราะตวั ถูก ละลายเปน็ ของเหลว 9. สมชาย สมัคร และอภสิ ิทธ์ิ แบงํ สารละลายอม่ิ ตวั ของคอปเปอรซ์ ัลเฟต (จุนส)ี ไปทาให๎ตกผลกึ ในกลํอง พลาสติกคนละกลํอง ปรากฏวาํ ผลึกจนุ สีทีไ่ ดม๎ ีรูปรํางเป็นสี่เหลีย่ มขนมเปียกปูน ไมํเหมอื นรูปในหนังสอื แบบเรยี น เขา ทงั้ 3 คน ควรสรุปผลการทดลองตามข๎อใด ก. ผลึกจุนสีมีรูปรํางได๎หลายอยําง ข. ผลการทดลองแสดงวําไมใํ ชจํ ุนสี ค. ผลกึ จุนสมี รี ปู รํางสเ่ี หลยี่ มขนม เปียกปูน ง. ผลึกจนุ สมี ีรปู รํางเหมือนรปู ในหนงั สือ แบบเรียน 10. ถา๎ มีฝุนผงอยูํในนา้ เชือ่ ม เราควรแยกฝุนผงออกดว๎ ยวธิ ใี ด ก. การกรอง ข. การกล่ัน ค.การระเหย ง.การตกตะกอน เฉลยแบบทดสอบ 1. ก 2. ก 3.ข 4.ง 5.ข 6. ก 7.ก 8. ค 9.ข 10. ก

54 แผนการจดั การเรยี นรู้ รายวิชาคณุ ธรรมและจริยธรรมในการใช้ส่อื สงั คมออนไลน์ ครั้งที่ 5 ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศกึ ษา 2565 กศน.ตาบลหัวช้าง ระดับประถมศึกษา ๑. สปั ดาหท์ ่ี 5 วันที่ 14 เดือน มิถนุ ายน พ.ศ. 2565 เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐น. ๒. วชิ า คณุ ธรรมและจรยิ ธรรมในการใช้สอ่ื สงั คมออนไลน์ รหัสวิชา สค0200035 จานวน 3 หนวํ ยกิต ๓. มาตรฐานท่ี 5.2 มีความรู๎ ความเข๎าใจ เหน็ คุณคํา และสืบทอดศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี เพ่ือการอยูํ รวํ มกนั อยํางสนั ตสิ ุข ๔. หนว่ ยการเรยี นร/ู้ เร่ือง การสื่อสารในยุคดิจทิ ัล ๕. สาระสาคัญ 1. บอกความหมาย องค์ประกอบ และวัตถปุ ระสงค์ของการสอื่ สาร ได๎ 2. บอกความหมายและรปู แบบ ของการส่ือสารในยุคดิจทิ ัลได๎ 3. บอกความหมายและ ความสาคญั ของเครอื ขาํ ยตํอ สังคมออนไลนไ์ ด๎ 4. ตระหนักถงึ ความสาคญั ของ เครอื ขํายสังคมออนไลน์ 5. ระบปุ ระเภทของเครือขําย สังคมออนไลน์ทน่ี ยิ มใชใ๎ น ปัจจุบนั เชํน FACEBOOK INSTARGRAM TWITTER เปน็ ตน๎ 6. บอกประโยชนแ์ ละข๎อจากัด ของเครือขํายสงั คมออนไลนไ์ ด๎ ๖. เน้อื หา 1. ความหมายองค์ประกอบ และวัตถปุ ระสงคข์ องการ ส่อื สาร 2. ความหมายและรปู แบบ ของการส่ือสารในยคุ ดจิ ิทัล 3. เครือขํายสังคมออนไลน์ (Social Network) 3.1 ความหมายและ ความสาคญั ของเครือขาํ ย สงั คมออนไลน์ 3.2 ประเภทของ เครอื ขํายสังคมออนไลน์ท่ี นิยมใช๎ในปัจจุบัน 3.3 ประโยชน์และ ขอ๎ จ ากดั ของเครือขาํ ยสงั คม ออนไลน์ 4. มารยาทการสื่อสารในยุค ดจิ ิทลั 5. แนวโน๎มส่อื ดิจทิ ลั ใน อนาคต 6. กรณีศึกษา : การใช๎ ประโยชนก์ ารสื่อสารในยคุ ดิจทิ ัล 7. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้/ผลการเรยี นร้ทู ค่ี าดหวัง 1. การสอื่ สารในยุคดจิ ทิ ัล ความหมาย องค์ประกอบ และวัตถปุ ระสงค์ของการส่ือสาร ความหมาย และ รปู แบบของ การสื่อสารในยุคดิจิทัล เครอื ขํายสงั คมออนไลน์ (Social Network ) มารยาทการสอื่ สารในยุคดจิ ทิ ัล แนวโน๎มสื่อดิจทิ ัล และกรณีศึกษา : การใชป๎ ระโยชน์การส่ือสารในยุคดิจิทัล 2. คณุ ธรรมและจริยธรรมในการใช๎สือ่ สังคมออนไลน์ ความหมายและความสาคัญของคุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณในการใชส๎ ่ือสังคม ออนไลน์ ความสาคัญ การร๎ูเทําทนั ส่ือ ความรับผดิ ชอบในการใช๎สือ่ สังคมออนไลน์ กฎหมายเก่ียวกบั การ ใช๎ส่อื สังคมออนไลน์ ความแตกตาํ งระหวํางคุณธรรมจริยธรรมและกฎหมายเกี่ยวกับการใชส๎ ่ือ สงั คม ออนไลน์ และกรณีศึกษา : การละเมิดคณุ ธรรมและจรยิ ธรรมในการใชส๎ อ่ื สังคมออนไลน์ 8. การบรู ณาการกับหลักแนวคิดของเศรษฐกจิ พอเพียง (2 เงื่อนไข 3 หลกั การ การเช่อื มโยงสูํ 4 มิติ) ความรู้ - นกั ศึกษามคี วามรู๎ เร่ือง การสือ่ สารในยคุ ดิจิทัล - นักศกึ ษามคี วามร๎เู รื่อง คุณธรรมและจริยธรรมในการใชส๎ ื่อสังคมออนไลน์

55 คุณธรรม - มีความมํงุ มนั่ ในการทางาน - มคี วามสามคั คีในหมํูคณะ - ใฝุหาความรเู๎ พอ่ื พฒั นาอยเํู สมอ พอประมาณ - มีความพอประมาณในเรือ่ งของเวลาการแบงํ เวลาในการศกึ ษาหาความร๎ูและการใช๎สอ่ื สังคมออนไลน์ได๎อยํางเหมาะสม - พอประมาณในเครื่องมอื สอื่ สารในยุคดิจทิ ัล มเี หตุผล - ได๎ความรูเ๎ ก่ยี วกบั เครื่องมือสอ่ื สารในยคุ ดจิ ิทัล - ได๎ความรเ๎ู กี่ยวกบั คุณธรรมและจริยธรรมในการใช๎สอ่ื สงั คมออนไลน์ มีภูมคิ ุม้ กัน - รู๎จักเคร่ืองมือส่ือสารในยุคดิจทิ ัล เพือ่ นาไปปรับใช๎ในการดารงชวี ิต - มีคุณธรรมและจริยธรรมในการใชส๎ ื่อสงั คมออนไลน์ เพื่อเตรียมความพร๎อมในการ เปล่ียนแปลงดา๎ นการสื่อสารในยคุ ดิจทิ ลั วตั ถุ - รจ๎ู กั เลือกเครื่องมือสอื่ สารในยคุ ดิจิทัล เพื่อใช๎ในการดารงชวี ิต - มที กั ษะในการเลือกและการใช๎เคร่ืองมือสื่อสารในยคุ ดจิ ิทัล ทเี่ ปน็ ประโยชนม์ าใช๎ในการ ดาเนนิ ชวี ติ ของตัวเองในชมุ ชนและสงั คม สงั คม - มที กั ษะการอยํูรวํ มกนั ในกลุํม และทางานรํวมกบั ผู๎อ่ืนได๎อยาํ งมคี วามสขุ - สามารถนาความรู๎ที่ได๎ไปเผยแพรํใหก๎ ับครอบครัวและชมุ ชน สงิ่ แวดล้อม - รจู๎ ักการนาความร๎ูเก่ยี วกับเคร่ืองมือสอ่ื สารในยุคดจิ ทิ ัล เพือ่ พฒั นาส่งิ แวดลอ๎ มให๎นําอยํู - มคี ณุ ธรรมและจริยธรรมในการใชส๎ ่อื สงั คมออนไลน์ เพ่อื นาไปใชใ๎ นชีวิตประจาวนั วฒั นธรรม - สบื ทอดและเผยแพรํข๎อมลู สูํครอบครวั ชุมชน และสังคม 9. กระบวนการจัดการเรยี นรูแ้ ละกิจกรรมเพ่มิ เติม ขน้ั ตอนที่ 1 การกาหนดสภาพ ปญั หา ความต้องการในการเรียนรู้ (O : Orientation) ครูอธิบายความหมายองคป์ ระกอบ และวัตถุประสงค์ของการ สอื่ สาร และรปู แบบ ของการสอ่ื สาร ในยคุ ดจิ ิทัล ความสาคัญของเครือขาํ ยตอํ สงั คมออนไลนไ์ ด๎ ขนั้ ตอนท่ี 2 การแสวงหาข้อมูลและจดั การเรียนรู้ (N : New ways of learning) 1. ครูแบงํ ผ๎ูเรียนกลุํมละ 3-5 คน 2. ครูให๎ผ๎เู รียน ดู VCD เรอื่ งการใช๎สื่อการใช๎โซเชียลมเี ดยี ให๎ปลอดภยั เวบ็ ไซต์ https://www.youtube.com/watch?v=TcKZGckHDbE 3. ครูและผ๎ูเรยี นสรุปส่งิ ท่ีไดเ๎ รยี นร๎ูรวํ มกัน และผเู๎ รยี นบนั ทึกสรปุ สง่ิ ได๎เรียนรลู๎ งในสมุดบันทึก กิจกรรม ขน้ั ตอนที่ 3 การปฏิบัติและนาไปประยกุ ตใ์ ช้(I : Implementation) 1. ครใู หผ๎ ๎ูเรยี นออกมานาเสนอประโยชนข์ องส่ือออนไลน์

56 2. ใหผ๎ ู๎เรยี นแสดงความคดิ เห็นเพ่มิ เติมจากการนาเสนอของแตํละคนวําจะนาไปประยุกต์ใชใ๎ น ชวี ิตประจาวนั ได๎อยํางไร 1. ครแู ละผ๎ูเรียนสรุปสง่ิ ที่ไดเ๎ รียนร๎ูรํวมกัน และผูเ๎ รียนบนั ทึกสรปุ ส่ิงได๎เรยี นรูล๎ งในสมุดบันทกึ กิจกรรม ขน้ั ตอนท่ี 4 การประเมินผล (E : Evaluation) 1. ครสู มํุ ผเ๎ู รียนประมาณ 3-5 คน ใหต๎ อบคาถามในประเดน็ ผเู๎ รยี นจะนาสิง่ ที่ไดเ๎ รยี นรู๎เรอื่ งส่อื การใช๎ โซเชียลมเี ดียใหป๎ ลอดภัย 2. ครูและผู๎เรยี นสรุปสิ่งท่ีไดเ๎ รยี นรู๎รวํ มกนั และผ๎ูเรยี นบันทึกสรุปสิ่งได๎เรยี นร๎ลู งในสมุดบันทึก กิจกรรม 3. ใบงาน 10.สื่อ/แหล่งเรยี นรู้ 1. คลิปวีดีทศั นเ์ รอื่ งการใช๎สือ่ ออนไลน์ 2. คลปิ วีดีทัศน์ ประโยชนก์ ารใช๎สือ่ ออนไลน์ 3. ใบความร๎ู 4. ใบงาน ๑1. การวดั และประเมนิ ผล ๑1.๑วิธีการวดั และประเมินผล - การสังเกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกบั ผู๎อ่นื ของผ๎ูเรียนรายบุคคล - ใบงาน ๑๐.๒ เครื่องมอื วดั และประเมินผล - แบบบนั ทึกผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรํวมกับผอ๎ู ื่น ของผเ๎ู รียนรายบุคคล - ผลจากการตรวจใบงาน ๑๐.๓ เกณฑ์การวัดและการประเมนิ ผล - ผลการสังเกตพฤตกิ รรมการทางานรวํ มกบั ผ๎ูอน่ื ของผ๎เู รยี นรายบคุ คล ระดบั ดี พอใช๎ ควร ปรบั ปรงุ - ใบงานคะแนนเต็ม ๑๐ คะแนน กิจกรรมเสนอแนะ ..................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ......................................................... ลงช่อื …………………………………………….ครผู ส๎ู อน (นางสาววาสนา พานชิ ย์) ครู กศน.ตาบล ข้อเสนอแนะของผู้บรหิ าร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………......................………........ ลงชือ่ ………………………………………………………ผอ๎ู นมุ ัติแผน (นางปัทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผอ๎ู านวยการ กศน.อาเภอจตุรพกั ตรพิมาน

57 บันทกึ หลังการจัดการเรียนรู้ กศน.ตาบลหัวช้าง ครง้ั ท่ี 5 วนั ท่ี 14 เดอื น มถิ ุนายน พ.ศ. 2565 ครูผสู๎ อน นางสาววาสนา พานิชย์ ระดบั ประถมศึกษา เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐ น. สาระความรู๎พ้นื ฐาน รายวชิ าคณุ ธรรมและจริยธรรมในการใชส้ ื่อสงั คมออนไลน์ รหัสวชิ า สค0200035 จานวนผ๎ูเรียนท้ังหมด ............... คนเข๎าเรยี น…………………คน ไมเํ ข๎าเรียน……………………….คน ๑. ผลการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้การประเมินโดยใช๎ แบบทดสอบกํอนเรยี น - หลงั เรยี น พบวํา คะแนนการทดสอบหลงั เรียน มากกวาํ กอํ นเรยี นจานวน ........ คนคดิ เป็นรอ๎ ยละ............ คะแนนการทดสอบหลังเรยี น น๎อยกวาํ กํอนเรียนจานวน ......... คนคดิ เปน็ รอ๎ ยละ............ ๒. เนอื้ หา/สาระ ......................................................................................................................................................... ....... ........................................................................................................................... ..................................... ............................................................................................................................. ................................... ๓. กจิ กรรมการเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. .......... ๔. ปญั หา/อุปสรรค การเรียนการสอน ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ๕. แนวทางการแก้ปญั หา ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ลงชอ่ื ....................................................... (นางสาววาสนา พานชิ ย์) ครูผู๎สอน วนั ที.่ ............../.................../............... ความคิดเห็น/ขอ้ เสนอแนะของผบู้ ริหาร ............................................................................................................................. ............................................................ .................................................................................................................................... ..................................................... ....................................................................................................................................................... ลงช่อื .................................................................. (นางปทั มาภรณ์ ศรเี นตร) ผอ๎ู านวยการ กศน.อาเภอจตุรพักตรพิมาน

58 ใบความรู้ เรอื่ ง เทคโนโลยดี จิ ทิ ัล ความรู๎เกี่ยวกับยุคดจิ ิทลั ปจั จุบนั กลมํุ คนท่เี กิดและเตบิ โตในยคุ เทคโนโลยดี จิ ิทลั เรยี กวาํ Digital native ซง่ึ เด็กและ เยาวชนเกย่ี วขอ๎ งกับสง่ิ ตาํ ง ๆ ทเ่ี ป็นดจิ ทิ ลั ดว๎ ยรปู แบบและชอํ งทางท่ีแสนงํายดายในทกุ ทีแ่ ละทุกเวลา ที่ ต๎องการ ตวั อยํางการมีสํวนรํวมแบบออนไลน์ อาทิเชนํ Social networking Instant-massing (IM) Video- streaming การแชร์ภาพ และการใช๎อนิ เทอร์เนต็ แบบเคลื่อนท่ี การแนะนา เก่ียวกับการใชเ๎ ทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตจะ ไมใํ ชเํ รื่องจาเปน็ สาหรับเด็กและ เยาวชนยคุ ดิจทิ ัล เพราะพวกเขาสามารถพัฒนาทกั ษะเกี่ยวกบั เทคโนโลยีอินเทอรเ์ นต็ ได๎อยาํ งรวดเร็ว เมื่อเปรยี บเทียบกบั กลํุมคนทมี่ ีอายมุ ากกวํา แตํทวาํ การใชง๎ านทีป่ ราศจากคาแนะนาก็ทาให๎พวกเค๎า ยงั คงเป็นเพียงผ๎ใู ช๎เทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสารมือสมัครเลนํ ซึง่ อาจนาไปสขูํ ๎อกังวลและ ปัญหาตาํ งๆ เกย่ี วกับการใชเ๎ ทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารที่เหมาะสมและถูกต๎อง เพ่ือให๎ ความรใ๎ู นเร่อื งดังกลําวแกํเด็กและ เยาวชน เดก็ และเยาวชนจาเปน็ ต๎องพฒั นาความร๎ู การคดิ เชงิ วิเคราะห์ รวมถึงทักษะการส่อื สารและการจัดการ สารสนเทศสาหรับยุคดิจิทัล 1. ความหมายการรู๎ดจิ ทิ ัล การรด๎ู ิจทิ ลั (Digital Literacy) คอื การผนวกกันของทักษะความร๎ูและความเข๎าใจ ทีผ่ ๎ูเรยี น ตอ๎ งเรยี นรเ๎ู พ่ือท่จี ะมีสวํ นรํวมอยํางเตม็ ท่ีและมีความปลอดภยั ในโลกยุคดิจิทลั มากขนึ้ ทกั ษะความร๎ู และ ความเข๎าใจนี้เปน็ กุญแจสาคัญของหลักสูตรการศึกษาข้นั พื้นฐานทัง้ ระดบั ประถมศกึ ษาและ มัธยมศกึ ษา และควรจะ ผสานให๎อยํใู นการเรยี นการสอนของทุกรายวชิ าทุกระดบั ชนั้ นอกจากน้ียัง เกีย่ วข๎องกบั ความรูค๎ วามสามารถและ ทกั ษะของบุคคลในการเข๎าถงึ ดจิ ทิ ลั ประเมนิ คุณภาพของดิจทิ ลั และใช๎ดจิ ทิ ัลอยํางมปี ระสิทธภิ าพทกุ รูปแบบ ผู๎รู๎ ดิจิทัลจะตอ๎ งมที ักษะในด๎านตํางๆ เชํน ทกั ษะการคดิ วิเคราะหแ์ ละ/หรือ การคิดอยาํ งมวี ิจารณญาณ ทักษะการใช๎ ภาษา ทักษะการใชค๎ อมพิวเตอร์ เปน็ ตน๎ นอกจากนี้ Digital literacy หมายถึงทกั ษะความเข๎าใจและใช๎เทคโนโลยี ดจิ ิทลั โดยเปน็ ทกั ษะในการนาเครอ่ื งมือ อปุ กรณ์ และเทคโนโลยีดจิ ทิ ัลทม่ี ีอยูํในปัจจุบัน อาทิ คอมพวิ เตอร์ โทรศัพท์ แทปเลต โปรแกรมคอมพิวเตอร์ และสอื่ ออนไลน์ มาใช๎ใหเ๎ กดิ ประโยชน์สูงสุด ในการสื่อสาร การ ปฏบิ ัติงาน และ การท างานรวํ มกัน หรอื ใชเ๎ พ่ือพัฒนากระบวนการทางาน หรอื ระบบงานในองค์กรใหม๎ ี ความทันสมยั และมี ประสทิ ธิภาพ ทักษะดงั กลําวครอบคลมุ ความสามารถ 4 มิติ ได๎แกํ การใช๎(Use) เขา๎ ใจ (Understand) การสรา๎ ง (create) และเขา๎ ถึง (Access) เทคโนโลยดี ิจิทลั ไดอ๎ ยํางมีประสิทธิภาพ ทั้งนีค้ าท่แี สดงลักษณะความร๎สู ามารถดิจิทลั คือ รู๎ใช๎ รู๎ เขา๎ ใจ รสู๎ รา๎ งสรรคซ์ งึ่ ถือเป็น ความสามารถสาหรบั การรด๎ู ิจิทัลโดยมีรายละเอยี ดดังน้ี ใช๎ (Use) แสดงถงึ ความ คลอํ งแคลวํ ทางเทคนิคทจ่ี าเป็นในการใช๎กับคอมพวิ เตอร์และ อนิ เทอรเ์ นต็ ชดุ รูปแบบพ้นื ฐานสาหรับการพฒั นาทักษะ ทางเทคนิคทีจ่ าเปน็ รวมถงึ ความสามารถใน การใช๎โปรแกรมคอมพวิ เตอร์ เชนํ โปรแกรมประมวลผล เวบ็ เบราเซอร์E- mail และการสอ่ื สารอนื่ ๆ เครอ่ื งมือคน๎ หาและฐานข๎อมลู ออนไลน์ เข๎าใจ (Understand) คือความสามารถทจ่ี ะเข๎าใจ บรบิ ทท่ีเก่ยี วข๎อง และประเมินส่ือดจิ ทิ ัล ตระหนักถึงความสาคัญของการประเมนิ ผลท่สี าคัญในการทาความเข๎าใจ ดจิ ิทลั เนื้อหาของสื่อ และการ ประยุกต์ใชส๎ ามารถสะท๎อนให๎เหน็ ถงึ รูปราํ งการเพิม่ หรือจัดการกบั ความรูส๎ ึกความเช่อื ของเราและ ความร๎ูสกึ เกี่ยวกับโลกรอบตวั เราความเขา๎ ใจความสาคัญของสื่อดจิ ิทัลท่ีชํวยใหบ๎ ุคคลเก็บเก่ยี ว

59 ผลประโยชนแ์ ละลดความเสยี่ ง การมีสํวนรวํ มในสังคมเต็มรูปแบบดิจิทัล ทักษะชุดน้ียงั รวมถงึ การ พัฒนาทักษะการ จัดกาสารสนเทศและการแข็งคาํ ของสิทธคิ นและความรบั ผิดชอบในการไปถึง ทรัพยส์ นิ ทางปัญญา ในเศรษฐกจิ ความร๎ู ชาวแคนาดาจาเปน็ ต๎องร๎ูวธิ ีการหาประเมนิ ผลและมี ประสิทธภิ าพใชข๎ ๎อมลู เพ่ือการส่ือสารการท างานรํวมกันและ แก๎ปญั หาในชวี ติ สวํ นตวั และเปน็ มืออาชพี ของพวกเขา สรา๎ งสรรค์ (Create) ความสามารถในการสร๎างเนื้อหาและมี ประสทิ ธิภาพ การติดตอํ สือ่ สารโดยใชค๎ วามหลากหลายของสอ่ื ดจิ ทิ ัลเปน็ เคร่ืองมือ การสร๎างสื่อดจิ ทิ ัลมคี วามหมาย มากกวํา ความสามารถในการใชโ๎ ปรแกรมประมวลผลหรือเขยี นอเี มล์ รวมถึงความสามารถในการปรับ การสอ่ื สารกับ สถานการณ์และผรู๎ บั สารการสรา๎ งและตดิ ตํอสอ่ื สารโดยใช๎สื่อผสม เชํน ภาพวดี ิโอและ เสียงประกอบอยํางมี ประสิทธิภาพและมคี วามรบั ผิดชอบ ประกอบกับเนือ้ หาเวบ็ ไซตท์ ผ่ี ูเ๎ รียนสรา๎ ง เชํนบล็อกและเวทสี นทนา วดี ิโอและ ภาพถาํ ยรํวมกนั เลํนเกมทางสังคม และรปู แบบอนื่ ๆ ของสื่อ สังคม แนวคดิ น้ียังตระหนักถึงส่งิ ท่เี ปน็ ความรใ๎ู นโลก ดจิ ิทัลที่ไมํเพยี งแตสํ ร๎างความชานาญทางดา๎ น เทคโนโลยีเทํานั้น แตยํ งั คานงึ ถึงจรยิ ธรรม การปฏิบัตทิ างสังคมและการ สะทอ๎ นสิ่งทฝี่ ังอยํูในการ เรียนรู๎ การใชเ๎ วลาวําง และการใชช๎ ีวิตประจาวัน ภายใตก๎ ารรู๎ดจิ ทิ ัล คอื ความหลากหลายของ ทกั ษะตําง ๆ ทีเ่ กย่ี วข๎องสัมพันธ์กันซ่ึงทักษะ เหลําน้ันอยูํภายใต๎การรส๎ู อื่ (Media literacy) การร๎ูเทคโนโลยี (Technology literacy) การรู๎ สารสนเทศ (Information literacy) การร๎ูเกี่ยวกับส่งิ ท่ีเหน็ (Visual literacy) การรู๎การส่ือสาร (Communication literacy) และการร๎สู ังคม (Social literacy การร๎สู ื่อ (Media Literacy) การร๎สู ือ่ สะท๎อนความสามารถของผ๎เู รยี นเก่ียวกบั การเข๎าถงึ การวเิ คราะห์ และ การผลติ สือ่ ผํานความเข๎าใจและการตระหนักเกยี่ วกบั 1.ศลิ ปะ ความชานาญในเทคโนโลยีสวํ นใหญมํ ักจะเกยี่ วข๎องกับความรด๎ู ิจทิ ัล ซึง่ ครอบคลมุ จากทักษะคอมพิวเตอรข์ ้ันพื้นฐานสํู ทกั ษะที่ซบั ซอ๎ นมากขนึ้ เชนํ การแกไ๎ ขภาพยนตรด์ จิ ิทลั หรือ การเขยี นรหสั คอมพิวเตอร์ การรส๎ู ารสนเทศ (Information literacy) การรสู๎ ารสนเทศเป็นอกี สงิ่ ท่สี าคัญของการรูด๎ จิ ทิ ัลซ่งึ ครอบคลมุ ความสามารถในการ ประเมินวาํ สารสนเทศใดท่ีผ๎ูเรียน ต๎องการ การร๎วู ธิ กี ารท่ีจะค๎นหาสารสนเทศทีต่ ๎องกาแบบรออนไลน์ และการรู๎การประเมินและการใช๎สารสนเทศท่ี สบื คน๎ ได๎ การรสู๎ ารสนเทศถูกพัฒนาเพ่ือการใชห๎ อ๎ งสมดุ มันยงั สามารถเข๎าได๎ดีกับยคุ ดจิ ิทลั ซ่ึงเปน็ ยุคท่ีมีข๎อมูล สารสนเทศออนไลนม์ หาศาลซง่ึ ไมํได๎มีการกรอง ดงั นัน้ การรวู๎ ธิ กี ารคิดวเิ คราะห์เกี่ยวกบั แหลงํ ท่มี าและเน้ือหานับเปน็ สิ่งจาเปน็ การรเ๎ู กยี่ วกบั สงิ่ ทเี่ ห็นสะทอ๎ นความสามารถของของผ๎เู รยี นเกีย่ วกบั ความเข๎าใจ การแปล ความหมายส่ิงท่ี เหน็ การวิเคราะห์ การเรยี นรู๎ การแสดงความคดิ เหน็ และความสามารถในการใชส๎ งิ่ ท่ี เหน็ นน้ั ในการท างานและการ ดารงชีวิตประจาวนั ของตนเองได๎ รวมถึงการผลิตข๎อความภาพไมํวาํ จะผํานวัตถุ การกระทา หรือสญั ลักษณ์ การรู๎ เกีย่ วกับสิง่ ทเ่ี หน็ เป็นสิง่ จาเป็นสาหรบั การเรยี นรู๎และ การส่อื สารในสงั คมสมยั ใหมํ การรก๎ู ารสอื่ สาร (Communication literacy การร๎กู ารสื่อสารเป็นรากฐานสาหรับการคิด การจดั การ และการเชือ่ มตอํ กบั คนอื่นๆ ใน สงั คมเครือขําย ทุกวนั นเี้ ดก็ และเยาวชนไมํเพยี งจาเปน็ ต๎องเข๎าใจการบูรณาการความรู๎จากแหลงํ ตาํ งๆ เชนํ เพลง วิดโี อ ฐานข๎อมลู ออนไลน์ และ สอ่ื อน่ื ๆ พวกเคา๎ ยังจาเป็นต๎องรวู๎ ธิ กี ารใช๎แหลงํ สารสนเทศ เหลํานน้ั เพอื่ เผยแพรํและแลกเปลยี่ นความรู๎

60 การรู๎สังคม (Social literacy) การรส๎ู ังคมหมายถึงวฒั นธรรมแบบการมสี วํ นรวํ ม ซ่ึงถูกพัฒนาผํานความรํวมมือและ เครอื ขาํ ย เยาวชน ต๎องการทักษะสาหรับการท างานภายในเครอื ขาํ ยทางสังคม เพ่ือการรวบรวมความร๎ู การเจรจาข๎ามวัฒนธรรมท่ี แตกตาํ ง และการผสานความขัดแย๎งของข๎อมลู 1. ความสาคัญของการรดู๎ ิจิทัล เทคโนโลยใี ห๎โอกาสในการมีสํวนรวํ มของการเรียนร๎ู ชมุ ชน สงั คม และ กจิ กรรมการทางาน ทกุ คนจะตอ๎ งมีความรู๎ดิจิทัลเพอ่ื ใชป๎ ระโยชน์สงู สุด ดงั นี้ 2. ด๎านการศึกษา การร๎ูดจิ ิทัลเปน็ สง่ิ จาเปน็ สาหรับการศึกษาของบุคคลทุกระดับ ท้ังการศึกษาในระบบ โรงเรยี น การศึกษานอกระบบโรงเรยี น การศึกษาตามอธั ยาศยั และการเรียนร๎ูตลอดชีวิต โดยเฉพาะ อยํางย่ิง การศึกษาในปัจจบุ ันที่ มีการปฏริ ูปการเรียนรทู๎ เ่ี น๎นผู๎เรยี นเปน็ สาคัญ ดงั นั้นบทบาทของผู๎สอน จึงเปลี่ยนเป็นผูใ๎ ห๎ คาแนะนาช้แี นะโดยอาศยั ทรัพยากรเป็นพ้นื ฐานสาคญั รวมไปถึงทรัพยากรทาง เทคโนโลยดี ว๎ ย 3. ดา๎ นการดารงชีวิตประจาวัน การรูด๎ ิจทิ ลั เป็นส่งิ สาคญั ยงิ่ ในการดารงชวี ติ ประจาวัน เพราะผ๎รู ด๎ู จิ ทิ ลั จะเป็น ผท๎ู ส่ี ามารถ วเิ คราะห์ประเมนิ และใช๎งานเทคโนโลยสี ารสนเทศให๎เกิดประโยชนส์ งู สุดแกํตนเอง เม่ือต๎องการ ตดั สินใจ เร่ืองใดเรื่องหนึง่ ได๎อยํางมีประสทิ ธภิ าพ ก็สามารถใชค๎ วามร๎จู ากการรด๎ู ิจิทัลเข๎ามาชวํ ยในการ หาข๎อมลู แล๎วจงึ คอํ ย ตัดสินใจ เปน็ ตน๎ 4. ดา๎ นการประกอบอาชพี การรูด๎ ิจิทัลมคี วามสาคัญตอํ การประกอบอาชีพของบคุ คล เพราะสามารถแสวงหา ดจิ ิทลั เพือ่ เป็นตวั ชวํ ยดา๎ นสารสนเทศ ทีม่ คี วามจาเปน็ ตํอการประกอบอาชพี ของตนเองได๎ เชํน เกษตรกร เมือ่ ประสบ ปญั หาโรคระบาดกับพชื ผลทางการเกษตรของตน สามารถใชค๎ วามรด๎ู ๎านการรูด๎ ิจทิ ัลเขา๎ มา ชวํ ยในการหาตวั ยาหรอื สารเคมีเพื่อมากา จดั โรคระบาด ดังกลําวได๎ เปน็ ตน๎ 5. ด๎านสังคม เศรษฐกจิ และการเมือง การรูด๎ ิจิทัลเป็นส่ิงสาคญั โดยเฉพาะสงั คมในยุคเทคโนโลยีสารสนเทศ บคุ คลจาเป็นต๎องรู๎ ดจิ ทิ ลั รูส๎ ารสนเทศเพ่ือปรับตนเองใหเ๎ ข๎ากับสงั คม เศรษฐกจิ และการเมือง เชํน การอยรูํ วํ มกนั ใน สงั คม การบริหารจัดการ การดาเนินธุรกจิ และการแขํงขนั การบริหารบา๎ นเมืองของผ๎นู าประเทศ เป็น ตน๎ การร๎ูดิจิทลั จะทาให๎กา๎ วหนา๎ มากกวาํ ผูอ๎ นื่ หน่ึงกา๎ วเสมออาจกลาํ วได๎วําผู๎ร๎ดู จิ ิทลั คือ ผูท๎ ่ีมี อานาจ สามารถาช้วี ดั ความสามารถของ องค์กรหรือประเทศชาติได๎ ดังน้นั ประชากรท่ีเปน็ ผร๎ู ด๎ู จิ ทิ ลั จงึ ถอื วาํ เป็นทรัพยากรที่มีคํามากทีส่ ดุ ของประเทศ 3. ผลกระทบของการร๎ูดิจทิ ลั การร๎ูดจิ ิทลั มีความสาคัญมาก ในยคุ เทคโนโลยสี ารสนเทศ เพราะมีการนามา ประยกุ ต์อยใูํ น ทกุ ดา๎ น ตลอดจนชวี ติ ประจาวนั จึงสํงผลกระทบหลายดา๎ น ท้ังด๎านการเรียน ดา๎ นสงั คม ดา๎ นเมืองการ ปกครอง การประกอบอาชีพ เพราะทุกด๎านลว๎ นแลว๎ แตํใชเ๎ ทคโนโลยีเขา๎ มา ชํวยเพิ่มโอกาสและการใช๎ ให๎เกิด ประโยชนส์ ูงสุด นอกจากน้ียังชวํ ยให๎ออนไลน์อยํางปลอดภัยหากแตํละบุคคลมีความสามารถในการตัดสนิ ใจ ท่ี เหมาะสมและมีขอ๎ มลู เก่ยี วกบั การใช๎เทคโนโลยที จ่ี ะสงํ ผลกระทบ ตํอการศึกษาตลอดชีวติ รวมถงึ ชวี ิตการท างานใน อนาคตดว๎ ย หากขาดทักษะการรูด๎ ิจิทัล อาจจะสงํ ผล กระทบ ดังนี้ -โอกาสหรือขอบเขตทางการศึกษาแคบลง -โอกาสในการประกอบอาชีพที่ดีลดนอ๎ ยลง -พัฒนาศักยภาพของตนเองได๎ไมเํ ตม็ ท่ี เนื่องจากไมํมีการติดตามข๎อมูลขําวสารที่ทันสมัย

61 -อาจเกิดความไมํปลอดภัยในการใชเ๎ ทคโนโลยี เน่อื งจากความร๎เู ทําไมํถึงกาล และขาด ทักษะการรด๎ู ิจทิ ลั จน สํงผล กระทบไปในทางทไ่ี มํดไี ด๎ 4. ทกั ษะสาคัญในการร๎ดู จิ ทิ ัล ในยุคแหํงการแขํงขนั ทางสังคมคํอนข๎างสูงในปัจจบุ ันสํงผลตํอการปรับตวั ให๎ ทดั เทียมและ เทําทันกบั ความเปลย่ี นแปลงทีเ่ กิดขน้ึ ในบรบิ ททางสังคมในทุกมติ ริ อบดา๎ น ดงั นั้นการเสริมสรา๎ งองค์ ความร๎ู (Content Knowledge) ทักษะเฉพาะทาง (Specific Skills) ความเชย่ี วชาญเฉพาะด๎าน (Expertise) และ สมรรถนะของการรู๎เทาํ ทนั (Literacy) จึงเป็นตัวแปรสาคัญท่ีต๎องเกดิ ข้ึนกับตวั ผ๎ูเรยี นในการเรยี นรยู๎ ุคสงั คมแหํงการ เปลีย่ นแปลงในศตวรรษที่ 21 นไ้ี ด๎อยํางมีประสทิ ธภิ าพ ทักษะ 3R4C ประกอบด๎วย 3R ไดแ๎ กํ Reading (อํานออก) ความสามารถด๎านภาษา (Literacy) หมายถงึ ความสามารถในการอาํ น เพ่ือร๎ู เข๎าใจ วเิ คราะห์ สรปุ สาระสาคัญ ประเมนิ สง่ิ ที่อํานจากสอื่ ประเภทตาํ งๆ รู๎จกั เลือกอํานตามวัตถุประสงค์ นาไปใช๎ในชีวิตประจาวนั และการอยรํู วํ มกนั ใน สังคม ใช๎การอาํ นเพ่ือการศึกษาตลอดชีวิต และสื่อสาร เปน็ ภาษาเขียนได๎ถกู ตอ๎ งตามหลกั การใชภ๎ าษาและอยําง สรา๎ งสรรค์ 1. ความสามารถในการอําน หมายถึง พฤติกรรมการรู๎ ความเข๎าใจ การสรปุ สาระสาคญั การวเิ คราะห์ และ การประเมินได๎ 2. รู๎ หมายถงึ ความสามารถบอกความหมาย เร่ืองราว ขอ๎ เทจ็ จริง และเหตกุ ารณ์ตํางๆ 3. เข๎าใจ หมายถึง ความสามารถในการแปลความ ตีความ ขยายความ และสรุปอา๎ งองิ 4. สรุปสาระสาคญั หมายถึง ความสามารถในการสรปุ ใจความสาคญั ของเนื้อเรือ่ งได๎อยาํ ง ส้นั ๆ กระชบั และครอบคลมุ 5. วเิ คราะห์ หมายถึง ความสามารถในการแยกแยะเร่ืองราว ข๎อเทจ็ จรงิ เหตุผล ข๎อคดิ เหน็ คุณคํา และ สวํ นประกอบอืน่ ๆ 6. ประเมิน หมายถึง ความสามารถในการตัดสนิ ความถูกต๎อง ความชัดเจน ความเหมาะสม คณุ คาํ ตาม เกณฑ์ทีก่ าหนด ความร๎ูพื้นฐานเกี่ยวกับการเขียน การเขยี นเปน็ การส่ือสารด๎วยอักษร ถาํ ยทอดความรู๎ ความคิด อารมณ์ ความรู๎สึก ประสบการณข์ องผ๎ูเขียนไปสํผู ๎ูอําน ทักษะการเขียนเปน็ ทกั ษะทเี่ ป็นท้ังศิลป์และศาสตร์ กลําวคือ การ เขยี น ตอ๎ งใช๎ภาษาที่ไพเราะประณีต ส่ือได๎ทงั้ อารมณ์ ความคิด ความร๎ู ต๎องใช๎ศลิ ปะ ที่กลาํ ววําเป็น ศาสตร์เพราะการเขียน ทกุ ชนดิ ตอ๎ งประกอบดว๎ ยความร๎ู หลกั การและวิธีการ การเขยี นมคี วามสาคัญสาหรบั มนุษย์ ย่งิ โลกในปัจจุบันมคี วาม เจรญิ กา๎ วหน๎าไปอยาํ ง รวดเรว็ การเขยี นยิง่ ทวคี วามสาคัญมากขึ้นตามไปด๎วยซ่งึ สามารถสรปุ ความสาคญั ของการเขียน ได๎ ดงั น้ี 1. การเขยี นเปน็ การส่อื สารอยาํ งหน่ึง 2. การเขียนเป็นการแสดงออกซง่ึ ภมู ิปัญญาของมนษุ ย์ 3. การเขียน เป็นเคร่อื งมือถํายทอดมรดกทางสติปัญญา 4. การเขียนเป็นเครอ่ื งมือสร๎างความสามัคคแี ละความเจรญิ รุํงเรือง ในทาง ตรงกันขา๎ มกใ็ ช๎ เป็นเครอื่ งบํอนท าลายไดเ๎ ชนํ กัน การเขียนจะบรรลุผลตามวตั ถุประสงค์หรอื ไมํนัน้ ส่ิงส าคัญอยําง หน่งึ คอื การเขยี นต๎องมี จุดมุํงหมายซ่งึ สามารถจาแนกไดด๎ ังนี้ 1. การเขียนเพื่อการเลําเร่ือง > เปน็ การน าเรอื่ งราวทีส่ าคัญมาถํายทอดเปน็ ข๎อเขียน เชํน การเขียนเลํา ประวัติ 2. การเขยี นเพ่ืออธบิ าย > เป็นการเขียนเพอ่ื ชีแ้ จงอธบิ ายวิธีใช๎ วิธที า ข้นั ตอนการท า เชํน อธบิ ายการใช๎ เครอื่ งมอื ตํางๆ 3. การเขยี นเพอ่ื แสดงความคิดเหน็ > เป็นการเขียนเพื่อวิเคราะห์ วิจารณ์ แนะนา หรอื แสดงความคิดเห็น เก่ียวกบั เร่ืองใดเร่ืองหนึ่ง 4. การเขียนเพ่อื โนม๎ น๎าวใจ > เปน็ การเขยี นทีผ่ ู๎เขียนมีจดุ ประสงค์ท่จี ะชักจูง โนม๎ นา๎ วใจให๎ ผูอ๎ ํานยอมรับใน สิ่งทผ่ี เ๎ู ขยี นเสนอ

62 5. การเขียนเพ่ือกจิ ธุระ > เปน็ การเขียนท่ผี ๎ูเขยี นมจี ดุ ประสงค์อยํางใดอยํางหน่ึง การเขียน ชนิดน้ีจะมี รปู แบบการเขยี นและลักษณะการใชภ๎ าษาทีแ่ ตกตาํ งกนั ไปตามประเภทของการเขยี น (A)Rithmetics (คิดเลขเป็น) ความสามารถในการน าความรูท๎ างคณิตศาสตร์ไปประยุกตใ์ ชใ๎ นสถานการณ์ตําง ๆ ใน ชีวติ ประจ าวัน ได๎แกํ ความสามารถในการแกป๎ ัญหาด๎วยวธิ ีการท่หี ลากหลาย การให๎เหตุผล การ สือ่ สาร การส่ือความหมายทางคณติ ศาสตร์ การนาเสนอ การเชอ่ื มโยงความร๎แู ละการมีความคดิ รเิ ร่ิม สรา๎ งสรรค์ คณติ ศาสตร์ในชีวิตประจาวนั หมาย ถงึ การนาความร๎ู เนอื้ หา หลักการทางคณติ ศาสตร์ ใน ระดบั ที่เหมาะสม กบั ผ๎ูเรียน ไปประยุกตใ์ ช๎ในกิจกรรมทเ่ี ก่ยี วข๎องกบั ผูเ๎ รยี น หรอื ใชอ๎ ธบิ าย ปรากฏการณ์ เหตกุ ารณใ์ กล๎ตัวท่ีสามารถพบ เห็นได๎ในชีวติ ประจาวันท่ัวไป ทุกเหตกุ ารณท์ ่ีเกิดขึน้ ไมํ วําจะเกิดขึน้ ทุกวนั หรือนาน ๆ คร้ัง ทง้ั ทีเ่ กยี่ วข๎องกับเรา โดยตรงหรือโดยออ๎ ม ล๎วนแตํสามารถโยง ให๎เขา๎ กบั คณติ ศาสตรไ์ ดท๎ ั้งสนิ้ 4C ไดแ๎ กํ Critical Thinking การคิด วิเคราะห์ การเรยี นรทู๎ กั ษะการคดิ วิเคราะห์ควรมีเปูาหมายและวธิ กี ารดังตํอไปน้ี เปูาหมาย : สามารถใชเ๎ หตุผล คดิ ได๎ อยาํ งเป็นเหตุเป็นผลหลากหลายแบบ ไดแ๎ กํ คดิ แบบอุปนัย (inductive) คิด แบบอนมุ าน (deductive) เปน็ ตน๎ แล๎วแตํสถานการณ์ เปูาหมาย : สามารถใชก๎ ารคิดกระบวนระบบ (systems thinking) วเิ คราะห์ไดว๎ ําปัจจยั ยํอยมี ปฏิสมั พันธก์ นั อยาํ งไร จนเกดิ ผลในภาพรวมเปาู หมาย วเิ คราะหแ์ ละประเมินขอ๎ มลู หลักฐาน การโต๎แยง๎ การกลําวอา๎ ง และความเช่ือ วิเคราะหเ์ ปรยี บเทยี บและประเมินความเหน็ หลัก ๆ สังเคราะห์และเชื่อมโยงระหวาํ งสารสนเทศกบั ข๎อ โตแ๎ ย๎ง แปลความหมายของสารสนเทศและสรปุ บนฐานของการวิเคราะห์ ตีความและทบทวนอยํางจรงิ จัง (critical reflection) ในดา๎ นการเรียนรู๎ และกระบวนการ เปาู หมาย : สามารถแก๎ปัญหาได๎ ฝกึ แก๎ปญั หาทีไ่ มํคุ๎นเคยหลากหลาย แบบ ท้ังโดยแนวทางทย่ี อมรับกนั ทั่วไป และแนวทางที่ แหวกแนว ต้ังคาถามสาคัญที่ชวํ ยทาความกระจาํ งใหแ๎ กํมุมมอง ตาํ ง ๆ เพ่ือน าไปสทํู างออกท่ีดีกวาํ การเรียนทักษะเหลาํ น้ีทาโดย PBL (Project-Based Learning) Communication การส่ือสาร การออกแบบการเรยี นร๎ูทักษะการส่อื สาร ควรมีเปาู หมายและวธิ ีการดังตํอไปนี้ เปูาหมาย : ทกั ษะในการสอื่ สารอยาํ งชัดเจน เรยี บเรียงความคดิ และมุมมอง (idea) ไดเ๎ ป็นอยํางดสี อื่ สารออกมาให๎ เข๎าใจงํายและ งดงาม และมีความสามารถส่ือสารได๎หลายแบบ ทง้ั ด๎วยวาจา ขอ๎ เขยี น และภาษาที่ไมใํ ชภํ าษาพดู และ เขียน (เชํน ทําทาง สีหน๎า) ฟังอยํางมีประสทิ ธิผล เกิดการสื่อสารจากการตั้งใจฟังใหเ๎ ห็น ความหมาย ทั้งดา๎ นความรู๎ คุณคาํ ทัศนคติ และความตั้งใจใชก๎ ารสื่อสารเพื่อบรรลุเปาู หมายหลายดา๎ น เชํน แจ๎งใหท๎ ราบบอกใหท๎ า จูงใจ และ ชักชวน ส่ือสารอยาํ งไดผ๎ ลในสภาพแวดล๎อมทห่ี ลากหลาย รวมทัง้ ในสภาพทสี่ ื่อสารกนั ด๎วยหลาย ภาษา เปาู หมาย : ทกั ษะในการรํวมมือกบั ผ๎ูอนื่ แสดงความสามารถในการท างานอยํางไดผ๎ ล และแสดงความเคารพให๎เกยี รติทีมงานท่ีมี ความ หลากหลาย แสดงความยืดหยนํุ และชํวยประนปี ระนอมเพ่ือบรรลเุ ปูาหมายรํวมกนั แสดงความรบั ผิดชอบ รํวมกนั ในงานที่ตอ๎ งทารวํ มกนั เปน็ ทมี และเห็นคุณคําของบทบาทของผ๎ู รํวมทีมคนอ่ืน ๆ Collaboration การรวํ มมือ การออกแบบการเรยี นรูท๎ ักษะการรํวมมือ ควรมเี ปูาหมายและวธิ กี ารดังตํอไปนี้ เปูาหมาย : ทักษะในการรํวมมือกับ ผูอ๎ ่นื แสดงความสามารถในการท างานอยาํ งได๎ผล และแสดงความเคารพใหเ๎ กียรติทีมงานทม่ี ี ความหลากหลาย แสดง ความยดื หยํนุ และชวํ ยประนปี ระนอมเพื่อบรรลุเปาู หมายรํวมกนั แสดงความรบั ผิดชอบรํวมกนั ในงานท่ีต๎องทารํวมกัน เป็นทมี และเห็นคุณคําของบทบาทของ ผูร๎ วํ มทมี คนอ่ืน ๆ Creativity ความคิดสร๎างสรรค์ การออกแบบการเรยี นรู๎ ทกั ษะความคิดสรา๎ งสรรค์ ควรมเี ปูาหมายและวธิ ีการดงั ตํอไปนี้ เปาู หมาย : ทักษะการความคิดสร๎างสรรค์ ใชเ๎ ทคนคิ สร๎างมมุ มองหลากหลายเทคนิค เชนํ การระดมความคดิ (brainstorming) สร๎างมมุ มองแปลกใหมํ ทัง้ ท่ีเป็นการ ปรับปรงุ เล็กนอ๎ ยจากของเดิม หรือเปน็ หลักการท่แี หวก แนวโดยส้นิ เชิง ชักชวนกนั ทาความเขา๎ ใจ ปรบั ปรงุ วิเคราะห์

63 และประเมินมมุ มองของตนเอง เพอื่ พัฒนา ความเข๎าใจเก่ียวกับการคิดอยาํ งสร๎างสรรค์ 5. สรุป ในอนาคตเนือ้ หาการ เรยี นรู๎แบบดิจิตอลจะเข๎ามาแทนที่และบทบาทในการศกึ ษา หนังสอื ทว่ั ไปจะกลายเปน็ เอกสารประกอบในเนื้อหา รายวิชาท่ีเป็นทฤษฏพี ้ืนฐาน เพราะเน้ือหาไมํคํอยมีการ เปล่ียนแปลง แตํสาหรบั เน้ือหารายวชิ าทม่ี กี ารเปลีย่ นแปลงได๎ ตลอดเวลา เชํนเนอ้ื หาดา๎ นคอมพวิ เตอร์และวทิ ยาการตาํ งๆ เนอื้ หาการเรยี นรูแ๎ บบดจิ ิตอลจะเข๎ามาแทนที่ได๎เพราะ สามารถแก๎ไขเนื้อหาได๎ สะดวก อกี ทงั้ ขัน้ ตอนการผลติ หนงั สือท่ัวไปจะใช๎ เวลานาน เน้ือหาการเรียนรู๎แบบดจิ ิตอลจะ ทาให๎ผู๎ท่ี สนใจในเนื้อหาตาํ ง ๆได๎มีความรู๎จากเนื้อหานั้น ๆ โดยทไ่ี มจํ าเป็นต๎องเข๎าเรียนในสถานศกึ ษา อนาคต ของ เนือ้ หาการเรียนร๎ูแบบดจิ ติ อลไมํได๎ข้ึนอยกูํ ับผ๎ูอาํ นเทํานั้น แตํยังขึน้ อยํูกบั การพฒั นาและการ คดิ ค๎นรูปแบบใหมํ ๆ เพ่อื ทาใหม๎ ีความสะดวกในการอาํ นใหม๎ ากข้นึ และทาให๎เน้ือหามคี วามนาํ สนใจ มากขึ้น นอกจากน้ันแล๎วเนอื้ หาการ เรียนร๎ูแบบดิจิตอลจะเข๎าไปทาให๎เกดิ การเปลี่ยนแปลงในตลาด สิง่ พิมพ์เชํน หนังสือพิมพ์ วารสาร นิตยสาร เป็นต๎น จะถูกผลิตมาในรปู แบบทีเ่ ปน็ แบบดิจติ อลมาก ขึ้นในอนาคต

64 ใบงานที่ ๑ ๑. จงอธบิ ายความหมายของการรู้ดิจทิ ลั …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………......................................................................………………………………… ๒. จงอธิบายความหมายของการร้กู ารสอ่ื สาร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………......................................................................………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………….......................................................................………………… ชือ่ .............................................................นามสกลุ ..............................................ระดับประถมศึกษา

65 ใบงานท่ี ๒ ๑. จงอธบิ ายความสาคัญของการรดู้ จิ ิทัล …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………… ๒. จงยกตัวอยา่ งผลกระทบจากการร้ดู จิ ิทลั …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………… ชือ่ .............................................................นามสกลุ ..............................................ระดบั ประถมศึกษา

66 แผนการจัดการเรยี นรู้ รายวิชาสขุ ศึกษาพลศกึ ษา ครัง้ ที่ ๑ การจดั ทาหน่วยเรยี นรู้บูรณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2565 กศน.ตาบลหวั ช้าง ระดับประถมศึกษา 1. สัปดาห์ท่ี ๖ วันท่ี 2๑ เดือน พฤษภาคม พ.ศ.2565 เวลา 09.00 - 12.00 น. 2. วิชา สขุ ศกึ ษาพลศกึ ษา รหสั วชิ า ทช1100๒ จานวน 2 หนํวยกติ 3. มาตรฐานท่ี 4.2 มคี วามรู๎ ความเข๎าใจ ทักษะและเจตคตทิ ีด่ เี ก่ียวกบั การดูแล สงํ เสริมสขุ ภาพอนามัย และ ความปลอดภยั ในการดาเนินชีวิต 4. หน่วยการเรียนรู/้ เร่ืองร่างกายของเรา 5. สาระสาคญั โครงสรา๎ งหน๎าที่การทางานของระบบอวยั วะในราํ งกายทีส่ าคญั ระบบสามารถปฏิบตั ิตนในการดแู ลรักษาและ ปอู งกันอาการผิดปกติของระบบอวัยวะสาคญั ระบบอธิบายพฒั นาการและการเปล่ยี นแปลงตามวยั ของมนุษยด์ ๎าน ราํ งกาย จติ ใจ อารมณ์ สงั คม สติปญั ญาได๎อยํางถูกต๎อง 6. เนื้อหา ๑. วฎั จกั รของชีวิตมนษุ ย์ ๒. โครงสร๎างหน๎าทแี่ ละการทางานของอวัยวะสาคัญ ของรํางกาย -อวยั วะภายนอกได๎แกํ ผิวหนัง หู ตาคอ จมูก ฟัน ผม เล็บ ฯลฯ - อวัยวะภายใน ไดแ๎ กํ หัวใจ ปอด กระเพาะ ลาไส๎ ตบั ไต ๓. การดแู ลรักษา ปอู งกนั ความผดิ ปกติ ของรํางกาย 7. จดุ ประสงค์การเรียนร/ู้ ผลการเรยี นร้ทู ค่ี าดหวัง (ดจู ากผังการออกข๎อสอบ) ๑. อธิบายการเปลี่ยนแปลงและพฒั นาการตามวยั ของรํางกายได๎ ๒. อธบิ ายโครงสร๎างและการทางานของอวยั วะภายใน และภายนอก ๓. อธบิ ายวธิ ีการดแู ลรกั ษาปูองกันความผิดปกติของอวัยวะที่สาคัญของราํ งกายทงั้ ภายในและภายนอกได๎ 8. การบรู ณาการกบั หลกั แนวคิดของเศรษฐกิจพอเพียง (2 เงอ่ื นไข 3 หลักการการเชอ่ื มโยงสู่ 4 มิติ) ความรู้ รว๎ู าํ ควรวง่ิ อยาํ งไรจงึ จะถูกกตกิ า และมีความระมดั ระวังไมํใหห๎ กลม๎ หรือเป็นอนั ตราย คุณธรรม รู๎แพ๎ รช๎ู นะ รอ๎ู ภยั พอประมาณ - นกั เรียนรวู๎ ําวิ่งเตม็ ท่ีได๎เรว็ แคํไหนไมํเกินกาลังของตนเองจึงเป็นประโยชน๑ตํอตนเองและกลํุมเพ่ือน มีเหตุผล - ร๎ูจกั วธิ กี ารและกติกาของเกมอยํางถูกตอ๎ ง

67 มีภูมคิ ุ้มกนั - รํางกายทแี่ ขง็ แรงทาใหไ๎ มมํ ีโรคภยั ไขเ๎ จบ็ วัตถุ - ชํวยใหร๎ าํ งกายแขง็ แรง - ฝึกความคลอํ งแคลงํ ในการเคลอื่ นไหน - มคี วามร๎ูความ เข๎าใจในการเลํนเกมวง่ิ เปย้ี วได๎อยาํ งถูกวธิ ี สังคม - มีความสามัคคีในหมูผํ ๎ูเลนํ เป็นอยาํ งดี สงิ่ แวดล้อม - สามารถนาอุปกรณใ๑ นท๎องถิ่นมาใช๎ประโยชน๑ได๎อยํางเหมาะสม วฒั นธรรม - มรี ะเบียบวินัย และร๎ูจักเคารพกฎกติกา 9. กระบวนการจดั การเรียนร้แู ละกจิ กรรมการเรียนรู้ ขน้ั ที่ 1 กาหนดสภาพปัญหาการเรยี นรู้ ๑.ครูสอบถามนักศึกษาเรื่องเก่ียวกับพฒั นาการทางรํางกาย ๒.ชแ้ี จงจุดประสงคก์ ารเรยี นรู๎ ขั้นท่ี 2 แสวงหาข้อมูลและจัดการเรียนรู้ ๑.ครอู ธิบายเรื่องเกย่ี วกบั ราํ งกายของเราและการวางแผนชีวติ ขั้นท่ี 3 การปฏบิ ัตแิ ละการนาไปใช้ ๑. ครูสรปุ องคค์ วามรู๎ในเนื้อหาเรื่องเกีย่ วกบั รํางกายของเราและการวางแผนชวี ิต ๒. นกั ศึกษาซักถาม และแลกเปลีย่ นความรู๎ กจิ กรรมเพิม่ เติม ใหน๎ ักศึกษาทารายงานคน๎ ควา๎ เพ่ิมเติมเกยี่ วกบั หน๎าที่ การทางานของอวยั วะ ตํางๆของรํางกาย ขน้ั ท่ี 4 การประเมินผลการเรยี นรู้ 1. ประเมินผลจากการทาใบงาน 2. การสังเกตการมีสํวนรวํ ม 10. สอ่ื /แหล่งเรยี นรู้ - โปสเตอร์ระบบอวยั วะท่สี าคัญของรํางกาย - ส่อื Internet - ใบงานท่ี 1 เรือ่ ง การพฒั นาการของราํ งกาย - ห๎องสมุด 11. การวัดผลและประเมินผล 1. วธิ กี ารวัดและประเมินผล - แบบประเมินผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกับผ๎อู น่ื ของนกั ศึกษารายบุคคล

68 - ใบงาน - แบบทดสอบกํอนเรยี น-หลงั เรียน 2. เครื่องมือวดั และประเมนิ ผล. - ประเมินผลการสงั เกตพฤตกิ รรมการทางานรํวมกบั ผอ๎ู น่ื ของนักศกึ ษารายบคุ คล - ผลจากการตรวจใบงาน - คะแนนแบบทดสอบกอํ นเรียนและหลงั เรียน 3. เกณฑ์การวัดและการประเมนิ ผล - แบบประเมินผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรํวมกับผอ๎ู ่นื ของนักศึกษารายบคุ คล ระดบั ดี พอใช๎ และควรปรบั ปรงุ - ใบงานคะแนนเต็ม 10 คะแนน - แบบทดสอบกํอนเรยี น-หลงั เรียน เกณฑ์ผาํ นและไมํผาํ น กิจกรรมเสนอแนะ ....................................................................................................................................................... .................................. ................................................................................................................................................................... ลงช่ือ…………………………………………….ครผู ูส๎ อน (นางสาววาสนา พานชิ ย์) ครู กศน.ตาบล ขอ้ เสนอแนะของผู้บรหิ าร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………........ ลงช่ือ………………………………………………………ผูอ๎ นมุ ตั แิ ผน (นางปัทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผู๎อานวยการ กศน.อาเภอจตุรพักตรพิมาน

69 บันทกึ หลังการจดั การเรยี นรู้ การจัดทาหน่วยเรยี นรบู้ รู ณาการหลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง คร้ังท่ี 6 วนั ท่ี 21 เดอื น มถิ ุนายน พ.ศ. 2565 ครผู ู๎สอน นางสาววาสนา พานชิ ย์ ระดับ ประถมศึกษา เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐ น. สาระการดาเนนิ ชีวติ รายวชิ า สุขศึกษาพลศึกษา รหัสวชิ า ทช1๑๐๐2 จานวนผเู๎ รียนทงั้ หมด ............... คนเข๎าเรียน…………………คน ไมเํ ขา๎ เรยี น……………………….คน ๑. ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การประเมนิ โดยใช๎ แบบทดสอบกํอนเรียน - หลังเรยี น พบวํา คะแนนการทดสอบหลงั เรียน มากกวํากอํ นเรยี นจานวน ........ คนคิดเป็นร๎อยละ............ คะแนนการทดสอบหลงั เรียน น๎อยกวํากํอนเรียนจานวน ......... คนคดิ เปน็ รอ๎ ยละ............ ๒. เนื้อหา/สาระ ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................ .................................................................... ............................................................................................................................. ................................... ๓. กจิ กรรมการเรยี นการสอน .............................................................................................................................. .................................. ................................................................................................ ............................................................................ ............................................................................................................................. .......... ๔. ปญั หา/อุปสรรค การเรียนการสอน ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ๕. แนวทางการแก้ปญั หา ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ลงช่อื ....................................................... (นางสาววาสนา พานิชย์) ครูผ๎ูสอน วนั ท.ี่ ............../.................../............... ความคดิ เห็น/ขอ้ เสนอแนะของผบู้ ริหาร ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................. ............................................................ ....................................................................................................................................................... ลงชื่อ.................................................................. (นางปทั มาภรณ์ ศรเี นตร) ผู๎อานวยการ กศน.อาเภอจตรุ พักตรพมิ าน วันท.่ี ............../.................../...............

70 ใบคามรู้ เรอ่ื งร่างกายของเรา ร่างกายมนุษย์โครง่ กระดกู ท่ีใหญ่ เป็นโครงสรา๎ งท้ังหมดของมนุษย์ ประกอบดว๎ ยเซลลเ์ มจมนษุ ยห์ ลายชนิดที่ รวมกันเปน็ เน้อื เย่ือซ่งึ รวมกันเปน็ ระบบอวัยวะ สง่ิ เหลาํ น้คี งอบั ดลุ และความแขง็ แรงของรํางกายมนุษย์ ราํ งกายมนษุ ย์ ประกอบดว๎ ยศรี ษะ, คอ, ลาตัว (ซึง่ รวมถึงกล๎ามเนอ้ื หนา๎ อกใหญแํ ละหน๎าท๎องใตผ๎ วิ หนงั มีกลา๎ มเน้ือมัดและมี กลา๎ มเนือ้ ทีแ่ ขนและมือ, ขา เท๎า และมีไขกระดูกสันหลงั เตมิ โปรตีนให๎รํางกาย2เทาํ การศึกษารํางกายมนุษย์เช่อื มโยงกบั กายวภิ าคศาสตร์ สรีรวทิ ยา มิญชวิทยา และคพั ภวิทยา ราํ งกายมีความ แตกตํางทางกายวภิ าคแบบตําง ๆ สรีรวทิ ยามุํงไปทรี่ ะบบและอวัยวะของมนุษย์และการทางานของอวัยวะ หลาย ระบบและกลไกมปี ฏกิ ริ ิยาตํอกันเพื่อคงภาวะธารงดลุ โดยมรี ะดับท่ีปลอดภยั ของสารตําง ๆ เชํน น้าตาลและออกซเิ จน ในเลอื ด องคป์ ระกอบ ธาติตําง ๆ ของรํางกายมนุษย์โดยมวล จลุ ธาตุทง้ั หมดมีจานวนน๎อยกวํารอ๎ ยละ 1 โดยแตํละอยํางมีจานวนนอ๎ ยกวํา รอ๎ ยละ 0.1 ราํ งกายมนุษยป์ ระกอบด๎วยธาตุครบตาํ ง ๆ เชนํ ไฮโดรเจน ออกซเิ จน คารบ์ อน แคลเซยี ม และฟอสฟอรัส [] ธาตุเหลาํ นอี้ ยํูในเซลลน์ บั ลา๎ นล๎านและสํวนประกอบท่ีไมํใชเํ ซลล์ในรํางกายมนุษย์ ประมาณร๎อยละ 60 ของราํ งกายชายโตเตม็ วยั เป็นนา้ คิดเป็นปรมิ าณประมาณ 42 ลิตร ในจานวนนี้ 19 ลติ ร เป็นน้าภายนอกเซลล์รวมถึงน้าเลือดปริมาณ 3.2 ลติ ร และสารน้าแทรกปรมิ าณ 8.4 ลติ ร และสวํ นที่เหลือเป็นนา้ ภายในเซลล์จานวน 23 ลิตร[2] สวํ นประกอบและความเป็นกรดของน้าทั้งในและนอกเซลลถ์ ูกรกั ษาไว๎อยาํ ง ดี อิเลก็ โทรไลต์หลักของน้าภายนอกเซลล์ในรํางกายไดแ๎ กํ โซเดียม และคลอไรด์ สวํ นสาหรบั นา้ ภายในเซลลไ์ ด๎แกํ โพแทสเซยี มและฟอสเฟตอืน่ [3]

71 เซลล์ ราํ งกายประกอบดว๎ ยเซลล์นับลา๎ นลา๎ นซง่ึ เป็นหนวํ ยพน้ื ฐานของส่ิงมชี วี ติ [4] ขณะโตเต็มวยั มนษุ ย์มเี ซลล์ ประมาณ 30[5]–37[6] ลา๎ นลา๎ นเซลลใ์ นราํ งกาย ปริมาณจากจานวนเซลล์ท้ังหมดในอวัยวะตําง ๆ และเซลลป์ ระเภท ตาํ ง ๆ นอกจากน้ีรํางกายยังเปน็ ทอ่ี าศัยของเซลล์ท่ีไมใํ ชํมนุษยจ์ านวนเทํา ๆ กัน[5] รวมถึงส่งิ มีชวี ติ หลายเซลล์ซ่ึงอาศยั ในทางเดนิ อาหารและบนผวิ หนงั [7] ราํ งกายไมํไดป๎ ระกอบไปด๎วยเซลล์เพียงอยาํ งเดียว เซลล์ตั้งอยูใํ นเมจสารเปลยี่ น เซลลผ์ วิ ที่ประกอบดว๎ ยโปรตนี เชํน คอลลาเจน ล๎อมรอบด๎วยน้าภายนอกเซลล์ มนษุ ยท์ ่ีนา้ หนัก 70 กโิ ลกรมั มเี ซลล์ที่ ไมํใชํเซลลม์ นุษย์และวสั ดุท่ีไมํใชํเซลล์ เชํน กระดกู และเนอื้ เยอ่ื เกย่ี วพัน น้าหนักเกือบ 25 กโิ ลกรัม[5] เซลล์ในราํ งกายทางานไดด๎ ว๎ ยดเี อ็นเอซ่ึงอยํูในนวิ เคลียสของเซลล์ ขา๎ งในนิวเคลียส สํวนของดีเอน็ เอถูกคัดลอก และสํงไปยังตวั ของเซลลใ์ นรูปแบบของอาร์เอน็ เอ[8] จากนั้นอารเ์ อ็นเอถูกใช๎เพือ่ สรา๎ งโปรตีนซง่ึ เปน็ สวํ นประกอบ พ้นื ฐานสาหรบั เซลล์ กิจกรรมของเซลล์ และผลิตภณั ฑ์ของเซลล์ โปรตีนเปน็ ตวั กาหนดหนา๎ ของเซลล์และการ แสดงออกของยีน เซลลส์ ามารถควบคุมตัวเองได๎จากปริมาณโปรตีนท่ผี ลิต[9] อยํางไรกต็ าม ไมํใชทํ ุกเซลลท์ จ่ี ะมดี ีเอ็น เอ เซลล์บางชนดิ เชนํ เซลลเ์ มด็ เลอื ดแดงสญู เสียนวิ เคลียสเม่ือโตเตม็ ท่ี เนอื้ เยอื่ รํางกายประกอบไปดว๎ ยเนื้อเย่ือหลายแบบ โดยเน้ือเยื่อถูกใหค๎ วามหมายวําคือกลํุมเซลล์ทีม่ หี น๎าท่เี ฉพาะ การศกึ ษาเกีย่ วกบั เนือ้ เย่ือเรยี กวาํ มญิ ชวทิ ยาและมกั ศกึ ษาผาํ นกลอ๎ งจุลทรรศน์ รํางกายประกอบไปด๎วยเนื้อเยอ่ื สชี่ นิด หลกั คือ เนื้อเยอื่ บุผิว เนือ้ เยื่อเกยี่ วพัน เน้ือเยื่อประสาท และเน้ือเย่ือกลา๎ มเน้อื เซลลท์ ่ตี งั้ อยูบํ นพน้ื ผวิ ทพี่ บกับโลกภายนอกหรือในทางเดนิ อาหาร (เนื้อเยื่อบผุ วิ ) หรือเนื้อเยอ่ื บุ โพรง (endothelium) มหี ลายรูปแบบและรปู ราํ ง ต้ังแตํเซลล์แบนชน้ั เดยี ว ไปจนถงึ เซลล์ในปอดที่มีซีเลียคลา๎ ยเสน๎ ผม ไปจนถึงเซลลแ์ ทํงทรงกระบอกท่ีบุกระเพาะอาหาร เซลล์เนือ้ เย่ือบโุ พรงเปน็ เซลล์ทีบ่ ชุ อํ งภายในรวมท้งั เสน๎ เลอื ดและ ตอํ มตาํ ง ๆ เซลลบ์ คุ วบคมุ วาํ สงิ่ ไหนสามารถผาํ นหรือไมํสามารถผํานเขา๎ ไปได๎ ปกปูองโครงสร๎างภายใน และทาหน๎าท่ี เป็นพื้นผวิ รับความรสู๎ กึ อวัยวะ ดเู พมิ่ เติมที่: รายการอวยั วะของรา่ งกายมนษุ ย์ อวยั วะเป็นกลํมุ เซลล์ที่มโี ครงสรา๎ งและหนา๎ ท่เี ฉพาะ[12] ซง่ึ ตง้ั อยภํู ายในราํ งกาย ตัวอยาํ งเชนํ หัวใจ ปอด และ ตบั อวัยวะหลายอยาํ งอยํูในชํองวํางภายในราํ งกายรวมถึงชํองวํางในลาตัวและโพรงเย่ือห๎มุ ปอด ดเู พมิ่ เติมท:่ี รายการระบบของร่างกายมนุษย์

72 ระบบไหลเวียน ดูบทความหลกั ท่ี: ระบบไหลเวียน ระบบไหลเวยี นประกอบด๎วยหัวใจ หลอดเลือด (หลอดเลือดแดง หลอดเลอื ดดา และหลอดเลอื ดฝอย) หัวใจทา หนา๎ ท่ขี บั เคล่ือนการไหลเวียนของเลือด โดยเลอื ดเป็นด่ัง \"ระบบขนสงํ \" ในการขนยา๎ ยออกซเิ จน เชอื้ เพลงิ สารอาหาร ของเสยี เซลล์ในระบบภูมคิ มุ๎ กัน และตวั นาสงํ สารเคมี (เชํน ฮอรโ์ มน) จากสํวนหน่ึงของรํางกายไปยังอีกสํวน เลือด ประกอบด๎วยนา้ ทขี่ นสํงเซลลใ์ นระบบไหลเวียน รวมถงึ บางเซลลท์ เ่ี ดนิ ทางจากเน้ือเย่ือไปกลับหลอดเลือด รวมทัง้ ไปยัง และจากมา๎ มและไขกระดกู ระบบย่อยอาหาร ดูบทความหลักที่: ระบบยอ่ ยอาหาร ระบบยอํ ยอาหารประกอบดว๎ ยปากรวมถงึ ลิน้ และฟนั , หลอดอาหาร, กระเพาะอาหาร, ทางเดนิ อาหาร, ลาไส๎ เลก็ และใหญํ รวมถึงไส๎ตรง รวมถึงตบั , ตบั อํอน, ถงุ นา้ ดี และตํอมน้าลาย ทาหน๎าท่เี ปลี่ยนอาหารเปน็ โมเลกุลที่เล็ก มี คุณคําทางอาหาร และไมเํ ป็นพษิ เพื่อให๎สามารถกระจายและดูดซมึ ไดใ๎ นรํางกาย[16] ระบบต่อมไร้ทอ่ ดบู ทความหลกั ท่ี: ระบบตอ่ มไรท้ อ่ ระบบตอํ มไร๎ทอํ ประกอบดว๎ ยตอํ มไร๎ทํอหลัก รวมถงึ ตอํ มใตส๎ มอง ตอํ มไทรอยด์ ตํอมหมวกไต ตบั ออํ น ตํอม พาราไทรอยด์ และตํอมบํงเพศ ทวําอวัยวะและเน้อื เย่ือเกือบท้ังหมดผลติ ฮอร์โมนตํอมไร๎ทอํ เฉพาะเชํนกัน ฮอร์โมน ตอํ มไร๎ทํอทาหน๎าทเี่ ปน็ ตัวสงํ สญั ญาณจากระบบราํ งกายหน่ึงไปยังอีกระบบหน่ึงเพอื่ บอกถงึ สถานะตําง ๆ ทาให๎เกดิ การเปลี่ยนแปลงการทางาน[17]

73 ระบบภูมิค้มุ กนั ดูบทความหลกั ท:ี่ ระบบภมู คิ ุ้มกัน ระบบภูมิคม๎ุ กนั ประกอบดว๎ ยเซลลเ์ มด็ เลอื ดขาวและแดงทางานปกติ ตํอมไทมสั ตอํ มน้าเหลอื ง และทางเดนิ นา้ เหลอื ง ซึ่งเป็นสํวนหนึ่งของระบบนา้ เหลือง ระบบภูมิคม๎ุ กันทาให๎รํางกายสามารถแยกแยะเซลล์และเน้ือเย่ือตนเอง ออกจากเซลล์และส่ิงภายนอก เพื่อตํอต๎านหรือทาลายเซลลห์ รอื ส่ิงแปลกปลอมจากภายนอกโดยใชโ๎ ปรตนี เฉพาะและ เชนํ แอนตบิ อดี ไซโตไคน์, toll-like receptors และอ่นื ๆ ระบบผิวหนัง ดบู ทความหลกั ท่ี: ระบบผิวหนัง ระบบผิวหนังประกอบดว๎ ยผวิ หนงั ทปี่ กคลุมรํางกาย รวมถึง เสน๎ ผม และเล็บรวมถงึ โครงสรา๎ งอ่ืน ๆ ท่ีมีหนา๎ ท่ี สาคญั เชนํ ตอํ มเหง่ือและตํอมไขมัน ผวิ หนังทาหน๎าท่ีหอํ หุํม เป็นโครงสร๎าง และปูองกนั อวัยวะอื่น และยงั เปน็ ตวั รบั ร๎ู ถึงโลกภายนอก[18][19] ระบบนา้ เหลอื ง ดบู ทความหลักที:่ ระบบน้าเหลือง ระบบน้าเหลืองสกัด ขนสงํ และเปล่ยี นแปลงน้าเหลือง หรือนา้ ท่ีอยรํู ะหวํางเซลล์ ระบบน้าเหลืองคล๎ายกับ ระบบไหลเวียนทั้งในเชิงโครงสร๎างและหนา๎ ท่ีพืน้ ฐานซง่ึ คือการขนสํงนา้ ในราํ งกาย[20] ระบบกลา้ มเนือและกระดูก ดูบทความหลักที:่ ระบบกลา้ มเนอื และกระดูก ระบบกล๎ามเน้ือและกระดูกประกอบดว๎ ยโครงกระดูกมนุษย์ (รวมถงึ กระดูก เอน็ ยึด เอน็ กล๎ามเนอ้ื และกระดูก อํอน) และกลา๎ มเนอื้ ท่ยี ึดตดิ ระบบน้ีเปน็ โครงสรา๎ งพน้ื ฐานของราํ งกายและเปน็ ตัวใหค๎ วามสามารถในการขยับ นอกจากจะทาหนา๎ ทีเ่ ป็นโครงสรา๎ งแลว๎ กระดูกชนิ้ ใหญํในรํางกายยงั บรรจุไขกระดูก ซง่ึ เป็นท่ผี ลิตเซลลเ์ มด็ เลอื ด

74 นอกจากนี้ กระดูกทุกชน้ิ ยงั เป็นทีเ่ ก็บสะสมหลักของแคลเซียมและฟอสเฟต ระบบน้สี ามารถแบํงออกเปน็ ระบบกลา๎ ม เนื้อและระบบกระดูก ระบบประสาท ดูบทความหลกั ที่: ระบบประสาท ระบบประสาทประกอบด๎วยระบบประสาทกลาง (สมองและไขสนั หลัง) และระบบประสาทนอกสวํ นกลาง ประกอบด๎วยเสน๎ ประสาทและปมประสาทนอกสมองและไขสันหลงั สมองเป็นอวัยวะแหํงความคดิ อารมณ์ ความทรง จา และการประมวนทางประสาทสมั ผสั และทาหนา๎ ที่ในหลายมุมมองของการส่อื สารและควบคุมระบบและหนา๎ ที่ตําง ๆ ความร๎สู ึกพิเศษประกอบดว๎ ย การมองเหน็ การไดย๎ นิ การรับร๎รู ส และการดมกล่นิ ซึง่ ตา,ห,ู ลน้ิ , และจมูกรวบรวม ขอ๎ มูลจากสงิ่ รอบตวั [22] ระบบสบื พนั ธุ์ ดบู ทความหลักท่ี: ระบบสบื พันธ์มุ นุษย์ ระบบสบื พนั ธุ์ประกอบดว๎ ยตํอมบงํ เพศและอวยั วะเพศทงั้ ภายในและภายนอก ระบบสบื พนั ธ์ผุ ลติ เซลลส์ บื พันธุ์ ในแตํละเพศ, ใหก๎ ลไกสาหรับการรวมกันของเซลล์สืบพันธ์ุ, และสาหรบั เพศหญิงยังให๎ส่งิ แวดล๎อมในการพัฒนาทารก ในเกา๎ เดือนแรก[23] ระบบหายใจ ดูบทความหลกั ที่: ระบบหายใจ ระบบหายใจประกอบดว๎ ยจมูก คอหอย หลอดลม และปอด อวยั วะเหลํานีน้ าออกซิเจนจากอากาศและขบั คารบ์ อนไดออกไซด์และนา้ กลับไปยังอากาศ ระบบทางเดินปัสสาวะ ดบู ทความหลักท:่ี ระบบทางเดินปสั สาวะระบบทางเดินปัสสาวะประกอบดว๎ ยไต ทอํ ไต กระเพาะปัสสาวะ และทํอ ปสั สาวะ โดยทาหน๎าท่ขี บั ส่งิ เป็นพษิ ออกจากเลือดเพ่อื ผลิตปสั สาวะซ่งึ ขนสงํ โมเลกลุ ของเสยี และไอออนสํวนเกินและ น้าออกจากราํ งกาย

75 ใบงาน ๑ เรือ่ ง การพัฒนาการของร่างกาย ชอ่ื .........................................................................………………………………………………………………………ชนั้ .............. คาช้ีแจง ๑.จับคกู่ ับเพอ่ื นแลว้ เปรียบเทียบลักษณะการเจริญเตบิ โตของตนเองและเพือ่ น รายการเปรียบเทยี บ ตัวเรา เพ่ือน 1.ด้านรา่ งกาย ๒.ดา้ นจิตใจ ๒. ใหน้ กั ศกึ ษาวาดภาพจินตนาการว่าเม่ือนกั ศกึ ษาอยู่ช้ันประถมศกึ ษาปที ี่ 5 นกั ศึกษาจะมีลักษณะ อยา่ งไร

76 แผนการจัดการเรียนรู้ รายวิชาสุขศึกษาพลศกึ ษา ครั้งท่ี ๗ การจดั ทาหนว่ ยเรยี นรบู้ ูรณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2565 กศน.ตาบลหัวชา้ ง ระดับประถมศึกษา 1. สปั ดาหท์ ่ี ๗ วนั ท่ี 2๘ เดือน พฤษภาคม พ.ศ.2565 เวลา 09.00 - 12.00 น. 2. วชิ า สขุ ศึกษาพลศึกษา รหัสวิชา ทช1100๒ จานวน 2 หนํวยกิต 3. มาตรฐานท่ี 4.2 มคี วามร๎ู ความเข๎าใจ ทักษะและเจตคติทีด่ เี ก่ียวกบั การดแู ล สํงเสริมสุขภาพอนามยั และ ความปลอดภยั ในการดาเนินชีวิต 4. หน่วยการเรยี นร/ู้ เรอื่ งการวางแผนครอบครัวและพัฒนาการทางเพศ 5. สาระสาคญั การเปล่ยี นแปลงเม่ือเข๎าวัยหนํมุ สาววิธีการหลีกเล่ยี งพฤติกรรมท่นี าไปสํูการมเี พศสัมพันธ์ การลํวงละเมิดทาง เพศและการต้ังครรภ์ที่ไมพํ ึงประสงค์และวิธีการดูแลสขุ ภาพทางเพศท่เี หมาะสมและไมทํ าให๎เกิดปญั หาทางเพศ 6. เน้ือหา ๑. การวางแผนชีวิต และครอบครัว -การวางแผนชวี ิต -การเลอื กคค๎ู รอง -การปรบั ตัวในชวี ติ สมรส -การตงั้ ครรภ์ การมีบุตร การเลยี้ งดูบตุ ร ๒. ปัญหาและสาเหตุการรนุ แรงในครอบครัว ๓. การสรา๎ งสัมพนั ธภาพทดี่ ีระหวํางพํอแมํลูก และคูํสามีภรรยา (การสื่อสารเร่ืองเพศในครอบครวั ) 7. จุดประสงคก์ ารเรียนร้/ู ผลการเรียนรู้ทีค่ าดหวงั (ดูจากผังการออกข๎อสอบ) ๑. รูแ๎ ละวเิ คราะห์ตนเอง และวางแผนการดาเนินชีวิตได๎อยํางเหมาะสม ๒. เรียนร๎วู ธิ สี รา๎ งสัมพนั ธภ์ าพทีด่ ีระหวาํ งครอบครัวและวธิ กี ารส่อื สารเรื่องเพศในครอบครัว ๓. เรียนร๎พู ัฒนาการทางเพศในแตลํ ะชวํ งวัย ๔. เรียนรูว๎ ธิ ปี อู งกนั โรคตดิ ตอํ ทางเพศสมั พันธ์ ๘. การบูรณาการกับหลักแนวคิดของเศรษฐกจิ พอเพียง (2 เงอ่ื นไข 3 หลกั การการเชอื่ มโยงสู่ 4 มติ ิ) ความรู้ - ความร๎ูการดาเนนิ ชวี ิต การวางแผนชวี ติ การปรับตัวในการใช๎ชีวิต - ความรู๎ในการปูองกันตัวเองในสังคม คุณธรรม - มีความรบั ผดิ ชอบ ความมีสติ ความสามคั คี อดทน และตรงตํอเวลา พอประมาณ - มีการใช๎จาํ ยในครอบครวั แบบพอเพยี ง ไมฟํ มุ เฟือย พอกิน พอใช๎ มเี หตผุ ล - ผู๎เรยี นร๎จู กั เลือกใช๎ วสั ดุอุปกรณท๑ ีม่ ีอยํู อยํางประหยัดและ ค๎มุ คาํ

77 ในการดาเนินชวี ติ ประจาวนั มภี มู คิ ุม้ กนั -ร๎ูจักการวางแผน กระบวนการดาเนินชีวิตอยํางเป็นระบบ ให๎ประสบความสาเร็จ และปลอดภัย - ปรบั ตัวในการดาเนนิ ชีวิตพร๎อมรับ การเปลยี่ นแปลงใน สงั คม วตั ถุ - วิธีการขั้นตอนในการดูแลตนเองเรื่องเพศศึกษา การใช๎ชีวิตในสังคม ในภาวะเศรษฐกิจ คําเงนิ ลอยตวั ของกนิ ของใช๎แพงมาก สงั คม - รจ๎ู ักแบงํ หน๎าท่ี รับผิดชอบในครอบครวั -แลกเปล่ยี น เรยี นรจู๎ ากเพื่อนบ๎านในชุมชน ส่ิงแวดล้อม - คนในครอบครวั มชี วี ิตความเปน็ อยทํู ี่ดี จะทาให๎เกดิ สภาพแวดล๎อมชวี ติ คนในครอบครวั สํงผลทาให๎คนในสังคมดขี ึน้ ด๎วย วฒั นธรรม - บคุ คลในครอบครัวชุมชน มีชวี ติ ความเป็นอยํูท่ดี ี เกดิ การแบํงปนั จากรุนํ สรํู นํุ ตํอกันไป 9. กระบวนการจัดการเรยี นรู้และกจิ กรรมการเรยี นรู้ ขั้นท่ี 1 กาหนดสภาพปญั หาการเรยี นรู้ ๑. ครสู อบถามนักศกึ ษาเรอื่ งเกยี่ วกับการวางแผนชวี ิต และครอบครัว ๒. ชีแ้ จงจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู๎ ขั้นท่ี 2 แสวงหาข้อมลู และจัดการเรียนรู้ ๑. ครูอธบิ ายเร่ืองการวางแผนชวี ิต ๒. นักศึกษาแบํงกลํมุ ๓ กลํมุ ให๎นกั ศกึ ษา ค๎นควา๎ เร่ืองการวางแผนชีวติ และสรปุ เน้ือหาท่ีได๎ ออกมาในรูปแบบผังมโนทัศน์ (Mapping) ๓. ตัวแทนนกั ศึกษาแตํละกลํุม นาเสนอหนา๎ ชั้นเรยี น ในรปู แบบผังมโนทัศน์ (Mapping) ๔. เรียนรูว๎ ิธปี ูองกันโรคตดิ ตํอทางเพศสมั พันธ์ ขน้ั ที่ 3 การปฏิบัติและการนาไปใช้ ๑. ครสู รุปองค์ความรู๎ในเนอ้ื หาเรื่องเก่ียวกับรํางกายของเราและการวางแผนชีวิต ๒. นกั ศึกษาซักถาม และแลกเปล่ียนความรู๎ 3. ครแู ละผเ๎ู รยี นชวํ ยกันสรปุ เนื้อหาสาระสาคัญของเร่ืองและจดบันทึก ขน้ั ที่ 4 การประเมินผลการเรยี นรู้ 1. ประเมินผลจากการทาใบงาน 2. การสังเกตการมสี วํ นรํวม 3. แบบทดสอบกํอนเรยี น – หลงั เรยี น

78 10. สือ่ /แหล่งเรียนรู้ - สื่อ Internet - ใบงานที่ 1 เรือ่ ง สุขภาพทางเพศ - แบบทดสอบกํอนเรยี น – หลังเรยี น เรื่อง สขุ ภาพทางเพศ - ห๎องสมุด - ศกึ ษาใน Youtube ลิงค์ https://www.youtube.com/watch?v=R5GG08upIcs 11. การวัดและประเมนิ ผล 1. วธิ ีการวดั และประเมนิ ผล - แบบประเมินผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานรํวมกบั ผ๎อู ่นื ของผเ๎ู รียนรายบคุ คล - ใบงาน - แบบทดสอบกํอนเรยี น-หลังเรยี น 2. เคร่อื งมือวดั และประเมินผล. - ประเมินผลการสังเกตพฤตกิ รรมการทางานรํวมกบั ผู๎อืน่ ของผ๎เู รียนรายบุคคล - ผลจากการตรวจใบงาน - คะแนนแบบทดสอบกอํ นเรียนและหลงั เรียน 3. เกณฑ์การวัดและการประเมนิ ผล - แบบประเมนิ ผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกับผู๎อ่นื ของผูเ๎ รียนรายบุคคล ระดับดี พอใช๎ ควรปรบั ปรุง - ใบงานคะแนนเต็ม 10 คะแนน - แบบทดสอบกํอนเรียน-หลังเรียน เกณฑผ์ ํานและไมผํ ําน กจิ กรรมเสนอแนะ .................................................................................................. ....................................................................................... ................................................................................................................................................................... ลงช่ือ…………………………………………….ครูผส๎ู อน (นางสาววาสนา พานิชย์) ครู กศน.ตาบล ขอ้ เสนอแนะของผู้บรหิ าร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………........ ลงชอื่ ………………………………………………………ผู๎อนุมัติแผน (นางปัทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผอ๎ู านวยการ กศน.อาเภอจตุรพักตรพิมาน

79 บนั ทึกหลังการจดั การเรยี นรู้ การจัดทาหน่วยเรียนรบู้ ูรณาการหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง คร้งั ท่ี 7 วนั ท่ี 28 เดือน มิถุนายน พ.ศ.2565 ครผู ๎ูสอน นางสาววาสนา พานชิ ย์ ระดับ ประถมศึกษาเวลา 09.00-12.00 น. สาระทักษะการดาเนนิ ชีวติ รายวิชา สุขศกึ ษาพลศึกษา รหัสวชิ า ทช11002 จานวนผูเ๎ รียนทงั้ หมด ............... คนเข๎าเรยี น…………………คน ไมเํ ขา๎ เรียน……………………….คน 1. ผลการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ ............................................................................................................................. ................................... .................................................................................... ............................................................................ 2. เนื้อหา/สาระ ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................... ................................. ................................................................................................. ............................................................... 3. กจิ กรรมการเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. .......... 4. ปัญหา/อปุ สรรค การเรียนการสอน ............................................................................................................................. ................................... .................................................................................... ............................................................................ ............................................................................................................................. ................................... 5. แนวทางการแก้ปัญหา ............................................................................................................................. ................................... ........................................................................................... ..................................................................... ............................................................................................................................. ................................... ลงชอ่ื ....................................................... (นางสาววาสนา พานชิ ย์) ครูผู๎สอน วนั ที่.............../.................../............... ความคิดเห็น/ข้อเสนอแนะของผบู้ ริหาร ............................................................................................................................. ............................................................ ...................................................................................................................................... ................................................... ....................................................................................................................................................... ลงชือ่ .................................................................. (นางปทั มาภรณ์ ศรเี นตร) ผู๎อานวยการ กศน.อาเภอจตุรพกั ตรพมิ าน วันที่.............../.................../...............

80 ใบความรู้ เรือ่ งเพศศึกษา เมือ่ ราํ งกายเจริญเตบิ โตผาํ นเข๎าสแูํ ตลํ ะชวํ งวัย ยํอมเกดิ การเปล่ียนแปลงทุกด๎าน ไมวํ าํ จะเป็น พัฒนาการทางกาย จิตใจ รวมถงึ ด๎านสงั คม ชํวงวัยรํนุ เป็นชํวงสาคัญของการเปลย่ี นแปลงอยํางรวดเร็ว และยังมีเร่อื งของฮอร์โมนเพศเข๎า มาเกี่ยวข๎อง วยั รํุนจงึ ควรทาความเข๎าใจกับรํางกาย จติ ใจของตนเอง รวมทงั้ ควรไดร๎ บั การสํงเสริมการเรียนรูเ๎ รือ่ งเพศ ซงึ่ เป็นสํวนหนึ่งของชวี ติ มนุษย์ตงั้ แตํเกดิ จนตายก็วําได๎ ขณะเดยี วกันสิ่งแวดล๎อมรอบ ๆ ตวั ก็มขี ๎อมลู เร่ืองเพศที่สงํ ตํอกนั มา เมื่อวัยรุนํ ไดร๎ ับร๎ูอาจเชอ่ื ไปตามนน้ั โดยมิได๎ไตรตํ รองหรือไมํกลา๎ สอบถามข๎อเทจ็ จริง จากผอู๎ ืน่ เพราะความอาย ดังนน้ั การศกึ ษาเพ่ือใหว๎ ัยรํนุ \"รูจ๎ กั ตนเอง” จงึ สาคัญและจาเปน็ อยาํ งย่ิง เพื่อใหไ๎ ด๎ก๎าวเดินไป ชวํ งวยั ตํอไปอยาํ ง ม่นั คงและม่นั ใจ ดังคาพูดของทาํ น กฤษณมรู ติ นักปราชญ์ชาวอินเดยี ที่กลําวไว๎วาํ “กํอนจะเดนิ ทางไกล เธอตอ๎ ง เดนิ ทางใกล๎กํอน ใกล๎ทสี่ ดุ นั้นคือตัวเธอ กํอนจะทาสิ่งใด ๆ เธอตอ๎ งเข๎าใจตวั เอง” 1.1 รู้จกั เพศศกึ ษา องคก์ ารอนามยั โลก (World Health Organization หรอื WHO) ไดน๎ ยิ ามคาวําเพศศึกษาไวด๎ ังนี้ เพศศึกษา หรือ Sexuality Education หมายถงึ เพศศาสตรศ์ ึกษา คือ การสอนความเปน็ เพศชาย ความเป็นเพศ หญงิ พฒั นาการของราํ งกาย และการแสดงออกในเรือ่ งเพศตามวยั ตามเพศเม่ือพฒั นาไปถึง จุดหนึ่ง จะเกิดอะไร เปลีย่ นแปลงอยาํ งไร ควรประพฤตปิ ฏิบัติอยาํ งไร ปูองกนั อยาํ งไร แก๎ไขอยํางไร เม่ือถงึ วัยหมดฮอรโ์ มนสมรรถภาพ หยอํ นยาน ควรปฏิบตั อิ ยํางไร เรียกไดว๎ าํ เป็นการเรียนรเู๎ รอื่ งความเป็นเพศ ตง้ั แตํวยั เด็กจนถงึ วัยชรา กระทรวงพฒั นาสงั คมและความมั่นคงของมนษุ ย์ให๎ความหมายเพศศกึ ษาวํา “เปน็ กระบวนการ เรียนรค๎ู วามเปน็ เพศ ชาย ความเป็นเพศหญิง พัฒนาการของรํางกาย และการแสดงออกในเร่ืองเพศของคน ทุกเพศทุกวยั ตลอดชวํ งชวี ิตได๎ อยาํ งเหมาะสม สอดคลอ๎ งกบั วถิ ีชีวติ ภาษา วัฒนธรรม เพ่ือให๎เกดิ ความ เข๎าใจและยอมรับนบั ถอื ตนเอง เคารพให๎ เกียรติกัน โดยคานงึ ถึงสทิ ธิสํวนบุคคล สามารถคิดตดั สินใจเลอื ก และดาเนินชวี ิตทางเพศของตนได๎อยํางท่ีตนพงึ ประสงค์ มีความภาคภมู ิใจ นับถือตนเอง ไดร๎ ับการปฏบิ ัติ และปฏบิ ัติตอํ ผู๎อนื่ เกี่ยวกับเพศอยํางเคารพ ให๎เกยี รติ นบั ถือ เปน็ อสิ ระ ปลอดภัย มีความรบั ผดิ ชอบ ตอํ ตนเองและคนทุกเพศ\" องคก์ ารแพทย์ กลําวไว๎วาํ \"เพศศึกษาเป็นกระบวนการจดั การเรยี นรู๎เก่ียวกบั เพศท่ีครอบ พัฒนาการทางรํางกาย จิตใจ การทางานของสรรี ะ และการดูแลสขุ อนามยั ทศั นคติ คํานิยม สมั พันธภาพ พฤติกรรมทางเพศ มิตทิ างสงั คม และวัฒนธรรมทม่ี ีผลตํอวถิ ชี ีวิตทางเพศ เป็นกระบวนการพัฒนาท้งั ด๎าน ความร๎ู ความคิด ทัศนคติ อารมณ์ และทักษะ ท่จี าเป็นสาหรบั บุคคล ที่จะชวํ ยให๎สามารถเลอื กดาเนินชวี ติ ทางเพศอยํางเปน็ สขุ และปลอดภยั สามารถพฒั นาและ ดารงความสมั พันธก์ ับผู๎อื่นได๎อยาํ งมี ความรับผิดชอบและสมดุล\" สรุป เพศศึกษา หมายถึง การเรียนรว๎ู ถิ ีชีวติ มนุษย์ตง้ั แตเํ กิดจนตาย หรอื เรยี กวําการเรียนร๎ู ตลอดชวี ติ ในเร่ืองเพศที่มี หลากหลายมิติเข๎ามาเกีย่ วข๎องเพื่อใหม๎ นษุ ย์ได๎พฒั นาความร๎ู ความคดิ อารมณ์ ทัศนคติ รวมถงึ ทกั ษะท่ีสาคญั และ จาเป็นในการดารงชวี ติ เพื่อรักษาสัมพันธภาพในการอยรูํ ํวมกับผู๎อนื่ อยาํ งเปน็ สขุ เพศศึกษาไมํใชเํ ฉพาะเป็นเร่ืองของ การมีเพศสัมพันธอ์ ยาํ งท่หี ลายคนคิดและเขา๎ ใจ แตํเพศศึกษามีเนื้อหาครอบคลมุ ดังตํอไปนี้ 1.1.1 พัฒนาการของมนุษย์ การเปล่ียนแปลงทางสรรี ะเมื่อเข๎าสวํู ัยหนุํมสาว พัฒนาการทางเพศ การสบื พนั ธ์ุ ภาพลกั ษณ์ ตอํ รํางกาย ตัวตนทาง เพศ และรสนิยมทางเพศ พัฒนาการของมนุษย์ หมายถงึ กระบวนการเปล่ยี นแปลงของมนุษยท์ ุกสํวน ท้งั ในโครงสร๎าง (Structure) และแบบ แผน (Pattern) ที่ตํอเนื่องกนั ต้งั แตแํ รกเกิดจนตลอดชีวิต ซ่ึงเปน็ กระบวนการ ทีเ่ ปลย่ี นแปลงท้ังทางรํางกายและจติ ใจ ผสมผสานกนั เป็นช้ัน ๆ จากระยะหนึง่ ไปสํูอีกระยะหนง่ึ เพ่ือจะไปสูํ วุฒภิ าวะทาใหเ๎ กิดความเจรญิ งอกงามตามลาดบั

81 องคป์ ระกอบที่มีผลต่อการพัฒนาการของมนุษย์ 1. พันธุกรรม หมายถึง ลักษณะทางกายและพฤติกรรมที่ถํายทอดจากบรรพบรุ ุษสํูลูกหลาน จากพํอแมํถาํ ยทอดสํลู ูก โดยทางเซลลส์ บื พนั ธ์ุท่ีเรยี กวํา “โครโมโซม” (Chromosome) พันธกุ รรม ท่ีมผี ลตอํ มนุษย์ เชํน เป็นตวั กาหนดรูปรําง เพศ สผี ม ผิว และระดับสตปิ ัญญา เปน็ ต๎น และพนั ธกุ รรม ทม่ี ีอิทธิพลตอํ พฒั นาการของมนุษย์ทีส่ าคัญ คอื “ยีน” (Gene) ที่เป็นตวั กาหนดใหแ๎ ตํละบุคคลมพี ัฒนาการ ทีแ่ ตกตํางกัน 2. วุฒิภาวะ เป็นกระบวนการพฒั นาการท่ีเกดิ ขน้ึ ตามธรรมชาตขิ องมนุษย์ โดยท่ีไมตํ ๎อง อาศัยการฝึกประสบการณ์ เชนํ การเปลํงเสียง การยนื การเดนิ และการวิง่ เปน็ ต๎น เป็นพฒั นาการตามปกติ เมอื่ ถงึ วัยกจ็ ะทาได๎เอง 3. การเรียนร๎ู เป็นกระบวนการพัฒนาการทเี่ กิดขน้ึ จากพื้นฐานการฝกึ หัดประสบการณเ์ ปน็ สาคัญ สิ่งทีส่ นับสนนุ การ เรยี นร๎ูไดเ๎ ป็นอยํางดคี ือความพรอ๎ มที่เกิดขนึ้ เองตามธรรมชาตแิ ละความพร๎อมที่ เกิดจากการกระตน๎ุ 4. สง่ิ แวดล๎อม คือ สิง่ ทอ่ี ยํูรอบตวั บุคคลนน้ั ๆ ทั้งมีชีวิตและไมํมชี ีวติ รวมถึงระบบครอบครวั สงั คมและระบบ วัฒนธรรม 1.1.2 สมั พันธภาพ สมั พนั ธภาพในมติ ิของครอบครวั เพอ่ื น การคบเพอ่ื นตํางเพศ ความรัก การใช๎ชวี ติ คูํ การแตํงงาน การเป็นพํอแมํ ความสัมพันธ์ระหวํางคน 2 คน อาจเป็นคนระหวํางครอบครวั เดียวกัน เชํน สามภี รรยา แมํกบั ลูก พ่ีกบั น๎อง เปน็ ตน๎ คนสํวนใหญํมีความต๎องการท่ีจะมีสัมพันธภาพที่ดีตํอกัน มีความรกั ความเขา๎ ใจกัน ชํวยเหลอื กันในเรื่องตําง ๆ นนั้ มี ปจั จยั ท่ีสํงเสรมิ ให๎เกิดสมั พันธภาพทดี่ ีตํอกัน คือ การชมเชยหรือชนื่ ชม ท่ีเหมาะสม การติเพ่ือกอํ และการแก๎ไขความ ขัดแยง๎ ในเชิงสรา๎ งสรรค์ นอกจากนี้มปี จั จัยหรือองค์ประกอบ อื่น ๆ ทีช่ ํวยสร๎างสัมพันธภาพ เชํน ความใกล๎ชดิ การ ส่อื สาร เป็นตน๎ องค์ประกอบพนื้ ฐานของการสร้างสัมพนั ธภาพระหว่างบุคคลเกิดจากองคป์ ระกอบ 3 ประการ คือ 1. ความใกล๎ชดิ การท่ีบุคคลใกลช๎ ดิ กันกํอใหเ๎ กิดความสัมพันธ์มากกวาํ บคุ คลทีอ่ ยํหู าํ งไกลกัน 2. ความเหมือนกันหรือความคล๎ายกนั โดยทฤษฎแี ล๎วมนุษยม์ ีแนวโนม๎ ทจี่ ะสรา๎ ง ความสัมพนั ธแ์ ละมีความชอบพอกับ คนที่มคี วามเหมือนหรือคล๎ายกบั ตัวเอง 3. สถานการณ์ เปน็ ตวั แปรหนึ่งท่ีทาให๎มนุษยเ์ กิดความสมั พนั ธท์ ีด่ ีตํอกัน เชํน การมีโอกาส ไดแ๎ ลกเปล่ยี นความรสู๎ ึกท่ี ดรี วํ มกัน การมีโอกาสปรับตวั เข๎ากับบุคคลอืน่ และการเติมเต็มความต๎องการของ กนั และกนั เปน็ ต๎น 1.1.3 พฤติกรรมทางเพศ พฤตกิ รรมทางเพศที่พฒั นาไปตามชํวงชีวิต การเรียนรูอ๎ ารมณท์ างเพศ การจัดการอารมณเ์ พศ การชํวยตนเอง จนิ ตนาการทางเพศ การแสดงออกทางเพศ การละเว๎นการมีเพศสัมพนั ธ์ การตอบสนองทางเพศ การเสื่อมสมรรถภาพ ทางเพศ พฤตกิ รรมทางเพศ หมายถงึ การกระทาหรือการปฏิบตั ิตนทเี่ กีย่ วข๎องกับเรื่องเพศ หมาย รวมถึง พฤติกรรมที่ แสดงออกภาพนอกทีส่ ามารถมองเหน็ ไดด๎ ว๎ ยตาเปลํา ปจั จัยที่มีอทิ ธพิ ลต่อพฤตกิ รรมทางเพศ เมือ่ พิจารณาปัจจยั ท่ีมอี ิทธิพลตํอพฤตกิ รรมทางเพศ สามารถแบํงออกเปน็ 3 ด๎าน คือ ด๎านชีววิทยา ดา๎ น จติ สังคม และด๎านวฒั นธรรม 1. ปัจจัยด๎านชวี วิทยา เป็นปัจจยั ท่ีมีผลตํอพฤติกรรมของบุคคลตามพฒั นาการของมนษุ ย์ ซ่งึ พฤติกรรมวัยรนํุ จะมีการ เปลีย่ นแปลงสมั พนั ธก์ ันระหวาํ งการเจริญเติบโต รํางกาย และจติ ใจ 2. ปจั จยั ดา๎ นจิตสงั คม โดยธรรมชาติแลว๎ พฤติกรรมมนุษย์นอกจากจะเกิดจากแรงขับ ทางเพศตามธรรมชาติแลว๎ ยงั ขนึ้ อยูกํ ับส่ิงอื่น ๆ ทางสังคมด๎วย ในปัจจบุ ันสภาพแวดล๎อมจะมีอิทธิพล เหนือจิตใจและอารมณข์ องเด็กวัยรนํุ เนอ่ื งจากเป็นวัยแหงํ การเรียนรู๎และการสงั เกตพฤติกรรมบคุ คลใน สังคมและเปน็ วยั ทีม่ ีความร๎ูสกึ ไวตํอสิง่ กระต๎ุน

82 3. ปัจจยั ด๎านวฒั นธรรม วฒั นธรรมทางเพศ หมายถงึ ระบบของการให๎ความหมาย ความร๎ู และความเชื่อตําง ๆ รวมท้งั การปฏิบัติที่มีผลตอํ โครงสร๎างของระบบความคิด ความเชอ่ื และพฤติกรรมทาง เพศของบุคคล ในบรบิ ทของ สังคมทแ่ี ตกตาํ งกนั ผํานบทบาททางสงั คม บรรทัดฐาน และทศั นคติจากสถาบนั ตาํ ง ๆ ในสังคม 1.1.4 สขุ ภาพทางเพศ เพ่ือหลีกเล่ียงผลกระทบที่ไมํพงึ ประสงค์จากความสัมพนั ธท์ างเพศ การให๎ความร๎ูเก่ยี วกับ การมีเพศสมั พันธ์ท่ี ปลอดภยั วิธีการคุมกาเนิด การทาแทง๎ การปูองกนั โรคตดิ ตอํ ทางเพศสัมพนั ธ์และเอดส์ การลํวงละเมิดทางเพศ ความ รุนแรงทางเพศ และอนามัยเจรญิ พันธุ์ วยั รุํนเป็นวยั ทตี่ ๎องการเรียนร๎เู รอื่ งเพศศึกษามากกวําวยั อื่น เนื่องจากวัยรํนุ เป็นวัยของ การเปลย่ี นแปลงทัง้ ทางดา๎ น รํางกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม เป็นอยํางมาก เป็นวัยหัวเล้ยี วหวั ตอํ แตํกลบั ไมํคอํ ยได๎รบั ข๎อมูลและบริการเกีย่ วกับ สุขภาพทางเพศทถ่ี ูกตอ๎ งและเหมาะสม เพราะสงั คมไทยยังมองเร่ือง เพศศึกษาเป็นเรื่องไกลตัว ยังไมํจาเป็นทจ่ี ะต๎อง ให๎ความร๎ู หรือมองเหน็ วาํ เปน็ เร่ืองที่ไมํเหมาะสม จึงทาให๎เกิดปญั หาทางเพศกับวยั รุํนมากมายอยํางทเ่ี ห็นในปจั จุบัน ดงั น้นั การให๎ความร๎ูเร่ืองเพศศกึ ษาทีถ่ ูกต๎องกับ วัยรํนุ จงึ เป็นเรอื่ งท่ีสาคัญมาก 1.1.5 สงั คมและวฒั นธรรม วิธกี ารเรียนร๎ูและแสดงออกในเร่ืองเพศของบุคคลไดร๎ บั อิทธพิ ลจากสิ่งแวดลอ๎ ม บรรยากาศ ทางสังคม และสังคม เพศศึกษาจึงควรเปิดโลกทัศน์ให๎เขา๎ ใจบทบาททางเพศ เร่ืองเพศในบริบทของสงั คม วัฒนธรรม กฎหมาย ศิลปะ และ สอื่ ตําง ๆ . 1. ดา๎ นสงั คม มีปจั จยั ที่เกี่ยวข๎องคือ สถานที่พักอาศยั แหลงํ บนั เทงิ สิง่ พมิ พ์ สอื่ กระตุ๎นทาง เพศและส่ือมวลชน 2. ดา๎ นวฒั นธรรม ที่มอี ทิ ธิพลตํอพฤตกิ รรมทางเพศทีส่ าคัญ คือ ความเช่ือเกีย่ วกบั บทบาท ทางเพศและการปฏบิ ัตติ น ตํอเพศตรงข๎าม และคาํ นยิ มทางเพศ 1.1.6 ทักษะทจ่ี าเป็นในการดาเนินชีวติ เพราะความรู๎และข๎อมลู ทไี่ ด๎รับเกี่ยวกับเพศน้นั ไมเํ พยี งพอที่จะชํวยให๎เยาวชนสามารถรบั มือ กับเหตุการณ์และแรง กดดันตําง ๆ ท่ปี ระสบในชีวิตจริง เพศศึกษา ควรนาไปสกูํ ารพฒั นาใหเ๎ ยาวชน เกดิ ทักษะทจ่ี าเปน็ ในการดาเนินชวี ิต ไดแ๎ กํ 1. การให๎คุณคํากับสง่ิ ตาํ ง ๆ ซึง่ ระบบการให๎คณุ คํานเ้ี ปน็ ตัวชี้นาพฤตกิ รรม เปาู หมาย และ การดาเนนิ ชวี ติ ของเรา 2. การสื่อสาร การรบั ฟัง การแลกเปลีย่ นความร๎ูสึกนึกคดิ ที่สอดคล๎องหรือแตกตํางกัน 3. การตดั สินใจ การตํอรอง การทาความตกลงเพือ่ บรรลุความตงั้ ใจหรือทางเลอื กท่ีตน สามารถรับผิดชอบได๎ 4. การรกั ษาและยนื ยันในความเปน็ ตวั ของตัวเอง สามารถแสดงความรู๎สกึ ความตอ๎ งการของ ตนเอง โดยเคารพใน สิทธขิ องผอู๎ ื่น 5. การจดั การกบั แรงกดดันจากเพ่ือน ส่ิงแวดล๎อม และอคตทิ างเพศ 6. การแสวงหาคาแนะนา ความชวํ ยเหลือ การจาแนกแยกแยะข๎อมูลที่ถูกต๎องและไมํถูกต๎อง

83 ใบงานท่ี 1 ร้จู กั ตนเอง ตอนท่ี 1 จงตอบคาถามต่อไปน้ี 1. ตามนยิ ามขององคก์ ารอนามัยโลก (WHO) เพศศึกษาหมายถงึ อะไร ............................................................................................................................. ................................................... ............................................................................................................................. ................................................... ............................................................................................................................................................................... 2. เรอื่ งเพศศึกษามีเนื้อหาครอบคลุมเก่ยี วกับเร่ืองใดบา๎ ง ............................................................................................................................. ................................................... .................................................................................................................................................... ............................ ...................................................................................................... .......................................................................... 3. จงอธบิ ายการเปลีย่ นแปลงและการเจรญิ เตบิ โตของวยั รุํนทัง้ ทางรํางกาย จติ ใจและอารมณ์ สังคม และ สตปิ ัญญา ............................................................................................................................. ................................................... ............................................................................................................................. ................................................... ................................................................................................................................................................................ 4. จงอธิบายการดูแลรกั ษาความสะอาดระบบอวัยวะสืบพันธุข์ องเพศชาย ............................................................................................................................. ................................................... ............................................................................................................................................... ................................. ................................................................................................. ............................................................................... 5. จงอธบิ ายการดูแลรักษาความสะอาดระบบอวยั วะสืบพันธ์ุของเพศหญงิ ............................................................................................................................. .................................................. .............................................................................................................................................. ................................. ................................................................................................. ..............................................................................

84 ใบงานท่ี 2 ตอบคาถามพฒั นาการคิดเก่ียวกบั อทิ ธพิ ลทีม่ ผี ลตํอพฤติกรรมทางเพศแลว๎ นาเสนอครูผ๎สู อน 1. อิทธพิ ลของครอบครวั มผี ลต่อพฤตกิ รรมทางเพศและการดาเนินชีวติ อย่างไร วิเคราะห์อิทธพิ ลของครอบครัว เพื่อน สังคม และวฒั นธรรมท่ีมีผลตํอพฤติกรรมทางเพศและการดาเนนิ ชวี ติ ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... .............................................................................................................................................................................. 2. อิทธพิ ลของเพ่ือนมีผลตอ่ พฤตกิ รรมทางเพศและการดาเนนิ ชีวติ ของนักเรียนอยา่ งไร วิเคราะห์อิทธพิ ลของครอบครัว เพื่อน สังคม และวฒั นธรรมทมี่ ีผลตํอพฤติกรรมทางเพศและการดาเนนิ ชีวติ ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... .............................................................................................................................................................................. 3. วฒั นธรรมมีผลต่อพฤตกิ รรมทางเพศอย่างไร วิเคราะหอ์ ิทธพิ ลของครอบครัว เพือ่ น สังคม และวฒั นธรรมทม่ี ผี ลตํอพฤติกรรมทางเพศและการดาเนนิ ชวี ิต ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... .............................................................................................................................................................................. 4. อิทธิพลของสงั คมมีผลต่อพฤติกรรมทางเพศอย่างไร วิเคราะหอ์ ิทธิพลของครอบครัว เพื่อน สงั คม และวัฒนธรรมท่มี ผี ลตํอพฤติกรรมทางเพสและการดาเนินชีวิต ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... .............................................................................................................................................................................. 5. นักเรยี นมแี นวคดิ หรือวถิ ีทางในการสรา้ งชวี ิตให้มคี วามสุขอยา่ งไร วเิ คราะหอ์ ิทธพิ ลของครอบครัว เพื่อน สังคม และวฒั นธรรมทม่ี ผี ลตํอพฤติกรรมทางเพศและการดาเนินชีวติ ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... ..............................................................................................................................................................................

85 แบบทดสอบกอ่ นเรียน เรือ่ งเพศ คาช้ีแจง เลือกคาตอบท่ถี ูกต้องท่ีสดุ เพียงคาตอบเดยี ว จานวน ๑๐ ข้อ ๑. ข๎อใดเป็นทัศนคตทิ างเพศทผ่ี ิดตอํ วัฒนธรรมไทย ก. การไมสํ วมถุงยางอนามยั ข. การมคี นูํ อนหลายคน ค. การมีเพศสัมพันธก์ บั ทุกคนไมเํ ลือกหน๎า ง. ถูกทกุ ขอ๎ ๒. ขอ๎ ใดเป็นทัศนคตเิ รื่องเพศเชิงลบท่ไี มํถูกต๎อง ก. การคมุ กาเนิดกับคํูนอน ข. การักนวลสงวนตวั ค. การมเี พศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยรจ๎ู กั ปอู งกนั ง. การแสดงออกทางเพศสัมพันธอ์ ยาํ งเสรี ๓. ขอ๎ ใดหมายถึงเจตคติในเร่ืองเพศเชิงบวก ก. แกม๎ มเี พศสมั พนั ธก์ บั เพ่อื นชาย ข. หมึก ศกึ ษาเก่ียวกับเร่อื งทางเพศ ค. ปกุ คดิ วําเร่ืองทางเพศเป็นเรอื่ งที่นํารงั เกียจ ง. ถูกทุกข๎อ ๔. ทัศนคตทิ างเพศในเชงิ ลบหมายถงึ ข๎อใด ก. ความรู๎สึกเสื่อมเสยี เกลียดชัง ข. การตอํ ต๎านกกระเบียบของสงั คม ค. ความคิดในแงํลบในเรื่องใดเรือ่ งหน่ึง ง. ถกู ทกุ ข๎อ ๕. นอ๎ ยยอมมีเพศสมั พนั ธ์กับบคุ คลท่แี กํกวาํ เพ่ือต๎องการโทรศพั ท์มือถือเครอ่ื งใหมํ นักเรียนคดิ วํา พฤติกรรมของน๎อย ถูกต๎องหรอื ไมํ เพราะเหตุใด ก. ไมํถูกตอ๎ ง เพราะนอ๎ ยมเี พศสมั พนั ธก์ บั คนที่ แกกํ วาํ ข. ไมํถูกต๎อง เพราะน๎อยมเี พศสัมพนั ธ์กบั คนท่ี ไมไํ ดร๎ ัก ค. ไมํถูกต๎อง เพราะนอ๎ ยควรได๎รบั เงินเป็น คําตอบแทน มากกวาํ ง. ไมถํ กู ต๎อง เพราะน๎อยมีคํานยิ มทผี่ ดิ และอยากได๎ ของตอบแทน ๖. หากจาเปน็ ต๎องทาแผลและสัมผสั เลอื ดของผ๎ูอ่นื ควรปอู งกนั ตนเองอยาํ งไร ก. ลา๎ งมือกํอนและหลงั ทาแผล ข. สวมเส้อื ผ๎าให๎มดิ ชดิ และสะอาด ค. สวมถุงมือยางทกุ ครง้ั กํอนทาแผล ง. ใช๎แอลกอฮอล์เช็ดมอื และเครอ่ื งมือกอํ น

86 ๗. พฤติกรรมใดไมํทาให๎ติดโรคเอดส์ ก. กอดกับผต๎ู ดิ เช้ือเอดส์ ข. มเี พศสัมพนั ธก์ บั ผ๎ูปวุ ยโดยไมปํ ูองกนั ค. รบั ประทานขา๎ วกบั ผ๎ูตดิ เชอ้ื เอดส์เป็นประจา ง. ถูกทงั้ ข๎อ ก และ ค ๘. กลมํุ เพือ่ นแบบใดท่ีมีการแสดงออกทางเพศอยาํ ง เหมาะสม ก. ไกํและตกุ๏ พาเพ่ือนไปน่งั ดื่มสุรา ข. นกและแอน พาเพ่ือนไปมั่วสุมเสพสารเสพตดิ ค. แตนและแจมํ จบั กลมํุ หยอกลอ๎ เพ่ือนผูห๎ ญิง ง. กอ๎ ยและกงุ๎ ชวนเพอื่ นเลนํ ฟตุ บอลหลงั เลิกเรียน ๙. คาํ นิยมใดของไทยทช่ี วํ ยลดปญั หาเพศสัมพันธ์ ในวยั เรียน ก. การเอื้อเฟ้ือเผ่ือแผํ ข. การกตญั ญูกตเวที ค. อยาํ ชิงสุกกํอนหําม ง. เห็นอกเหน็ ใจกัน ๑๐. โรคซฟิ ิลิสเปน็ โรคทีเ่ กิดมาจากเชอื้ ชนิดใด ก. เชอื้ รา ข. เชือ้ ปรสติ ค. เช้อื แบคทเี รยี ง. เชอ้ื ปรสิต เฉลย 1.ง. 2. ง. 3.ข. 4.ง. 5.ค. 6.ค. 7.ง. 8.ค. 9.ค. 10.ค.

87 แผนการจดั การเรียนรู้ รายวิชาภาษาไทย ครัง้ ท่ี 8 การจดั ทาหนว่ ยเรียนรู้บรู ณาการหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2565 ระดบั ประถมศึกษา กศน.ตาบลหัวชา้ ง ๑. สปั ดาหท์ ่ี 8 วนั ที่ 5 เดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2565 เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐น. ๒. วชิ า ภาษาไทย รหัสวชิ า พท1๑๐๐๑ จานวน 3 หนํวยกติ ๓. มาตรฐานท่ี ๒.1 มีความร๎ู ความเขา๎ ใจ และทักษะพน้ื ฐานเกีย่ วกบั ภาษาและการสื่อสาร ๔. หน่วยการเรยี นรู/้ เรือ่ งการอําน ๕. สาระสาคัญ 5.1 เหน็ ความสาคญั ของการอํานท้ังการอํานออกเสียงและอาํ นในใจ 5.1 สามารถอาํ นได๎อยาํ งถูกต๎อง และอาํ นได๎เรว็ เขา๎ ใจความหมายของถ๎อยคา ข๎อความ เนือ้ เร่อื งที่อาํ น 5.2มีมารยาทในการอาํ น และนสิ ัยรักการอาํ น ๖. เน้อื หา ๑. ความสาคัญ หลักการ และ จดุ มํงุ หมายของการอําน ออกเสยี งและการอํานในใจ 2. การอํานร๎อยแกว 3. การอํานร๎อยกรอง 4. การเลือกอํานหนังสือ และประโยชนของการอําน 5. การสร๎างนิสยั รกั การอําน และมารยาทในการอํานท่ีดี 7. จุดประสงค์การเรยี นรู/้ ผลการเรยี นรทู้ ีค่ าดหวัง ๑. เข๎าใจความสาคัญ หลักการและจุดมงุํ หมายของการอาํ นทง้ั อํานออกเสยี งและอํานในใจ ๒. อํานออกเสียงคา ข๎อความ บทความ บทสนทนา เร่ืองสั้น บทร๎อยกรองและบทร๎องเลํน บทกลอมเดก็ ๓. อธบิ ายความหมายของคาและข๎อความที่อําน ๔. ปฏิบัติตนเป็นผ๎มู มี ารยาทในการอาํ นและมนี ิสัยรักการอําน 8. การบูรณาการกับหลักแนวคิดของเศรษฐกจิ พอเพียง (2 เงอ่ื นไข 3 หลกั การ การเชอ่ื มโยงสู่ 4 มติ ิ) ความรู้ -การสืบคน๎ และระบบการจดั หนังสอื ในกิจกรรมกศน.ตาบล -ระเบียบการใช๎กศน.ตาบล การยืมหนงั สอื คณุ ธรรม - ความรบั ผดิ ชอบตอํ หนงั สือทอ่ี าํ นหรือยมื กลบั มาอําน - การตรงตอํ เวลาในการเข๎ากิจกรรม รวมท้งั การคืนหนังสอื ที่ยืมมาด๎วย - ความเกรงใจผ๎อู ่ืนท่ีใช๎หนงั สือหรอื สถานที่รวํ มกับเรา - การแบํงปันให๎ผู๎อ่ืนไดม๎ โี อกาสใช๎บรกิ ารของกศน.ตาบล เพื่อการศึกษาคน๎ ควา๎ หรือการบันเทิงอยาํ ง เทาํ เทียมกัน

88 พอประมาณ - พอกบั เวลาวํางท่ีมอี ยูํ - พอประมาณกับชวํ งเวลา วําเวลาใดควรเขา๎ ไมํควรอํานหนงั สอื - พอประมาณกบั สถานท่ีทจี่ ะรองรบั ผู๎ใชบ๎ ริการได๎ มีเหตผุ ล - เปน็ การใชเ๎ วลาวาํ งให๎เป็นประโยชน์ - เป็นการแสวงหาความรู๎ด๎วยตนเอง - สรา๎ งนสิ ยั รักการอําน เปน็ บุคคลแหงํ การเรียนร๎ู มีภมู ิคมุ้ กัน -ต๎องตระหนักและเห็นประโยชนข์ องการอาํ นหนังสือทง้ั ในและนอกห๎องสมุด -ตอ๎ งฝกึ นิสัยใฝรุ ูแ๎ ละเกิดความสุขความสขุ ในการอาํ น วัตถุ - การใชบ๎ ริการหนงั สือและสอื่ ตํางๆ จากกศน.ตาบล โดยไมํต๎องซื้อหามาเองทาให๎ประหยัดคําใช๎จําย และเกิดประโยชนก์ บั การเรียนรู๎อยาํ งมาก สังคม - การเข๎าใช๎บรกิ ารกศน.ตาบลบํอยๆ ทาให๎ไดร๎ ๎ูจกั การปรับตัวในการเขา๎ สังคมรวํ มกบั ผ๎ูอืน่ ท่จี ะไมํทา ใหต๎ นเองเดือดร๎อน ไมํทาใหส๎ ังคมเดือดร๎อน มีความร๎จู ากการอํานหนงั สือในกศน.ตาบล เรอื่ งการเมอื ง การปกครองท่ี ทันยคุ ทันเหตุการณส์ ามารถให๎คาปรึกษากบั ชมุ ชนในเรื่องราวตํางๆโดยอยบํู นพ้นื ฐานของหลักวชิ าการท่ถี กู ต๎อง สงิ่ แวดล้อม - กศน.ตาบลมบี รรยายกาศ สภาพแวดลอ๎ ม นําอาํ นหนงั สอื วัฒนธรรม - วัฒนธรรมการแบงํ ปนั การเคารพสถานท่ี กฎ กติกาของสังคม 9. กระบวนการจัดการเรียนรแู้ ละกจิ กรรมการเรยี นรู้ ขั้นที่ ๑ กาหนดสภาพปัญหาการเรียนรู้ (O : Orientation) ๑. ให๎ผเู๎ รยี นอาํ น บทร๎อยกรอง และรํวมกนั สรุปใจความสาคัญ ของบทร๎อยกรอง 2. ผ๎เู รยี นและครรู ํวมกันสร๎างความเขา๎ ใจเกย่ี วกับหลกั การเขยี นประเภทตาํ ง ๆ และรํวมกันกาหนด วธิ กี ารเรยี น ข้นั ที่ 2 แสวงหาข้อมูลและจัดการเรียนรู้ (N : New ways of learning) 1. อธบิ ายการอํานบทร๎อยกรอง มีประโยชน์อยาํ งไร และมวี ธิ ีการอยํางไร 2. อธบิ าย เรอ่ื ง หลักความสาคญั และจดุ มุํงหมายของการอําน 3. นกั ศึกษาทาแบบทดสอบยํอยเพ่ือประเมินผเู๎ รียนวํามีความเข๎าใจหรือไมํ 4. อธิบายถงึ หลักการเขยี นส่ือสาร การเขียนเรยี งความและยอํ ความ การเขยี นเพื่อการส่ือสาร การ เขียนรายงาน การเขยี นกรอกแบบรายการ มารยาทในการเขยี น และการสรา๎ งนสิ ยั รักการอําน ขั้นที่ ๓ การปฏิบตั ิและการนาไปใช้ (I : Implementation) 1. ผ๎ูเรยี นและผ๎สู อนรวํ มกันสรุปในตอนท๎ายเพื่อเปน็ การทบทวนและสรปุ ความรู๎ 2. นกั ศึกษาและครชู วํ ยการสรปุ ความร๎ูทไ่ี ดร๎ ับจากการเรยี นรูใ๎ นบทเรียนน้ี สามารถนาไป ประยุกตใ์ ชใ๎ นชวี ติ ประจาวันไดอ๎ ยาํ งไร

89 ข้นั ท่ี ๔ การประเมินผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) ๑. ใบงาน ๒. คน๎ คว๎าเพมิ่ เติม 3. เรอ่ื ง วรรณคดีและวรรณกรรม 4. เร่อื ง ภาษาไทยกับชํองทางการประกอบอาชีพ 10. สื่อ/แหล่งเรยี นรู้ 1. หนงั สอื แบบเรียน 2. แบบทดสอบกํอนเรียน/หลังเรียน 3. ใบงาน 4. อนิ เทอรเ์ นต็ 11. การวัดและประเมนิ ผล 1. วธิ ีการวดั และประเมนิ ผล - แบบประเมนิ ผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกับผู๎อ่นื ของนักศึกษารายบคุ คล - ใบงาน - แบบทดสอบกํอนเรียน-หลงั เรียน 2. เครื่องมอื วัดและประเมินผล. - ประเมินผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกบั ผ๎อู น่ื ของนักศกึ ษารายบุคคล - ผลจากการตรวจใบงาน - คะแนนแบบทดสอบกอํ นเรียนและหลงั เรยี น 3. เกณฑ์การวดั และการประเมินผล - แบบประเมินผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานรํวมกับผ๎ูอน่ื ของนกั ศึกษารายบคุ คล ระดับดี พอใช๎ และควรปรบั ปรุง - ใบงานคะแนนเตม็ 10 คะแนน แบบทดสอบกํอนเรียน-หลังเรยี น เกณฑ์ผํานและไมํผําน กิจกรรมเสนอแนะ ............................................................................................... .......................................................................................... ................................................................................................................................................................... ลงช่อื …………………………………………….ครผู ๎ูสอน (นางสาววาสนา พานิชย์) ครู กศน.ตาบล ข้อเสนอแนะของผู้บริหาร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………............................. ลงชอ่ื ………………………………………………………ผ๎อู นมุ ัตแิ ผน (นางปทั มาภรณ์ ศรเี นตร) ผ๎ูอานวยการ กศน.อาเภอจตรุ พกั ตรพิมาน

90 บันทึกหลังการจดั การเรยี นรู้ การจัดทาหน่วยเรยี นรู้บรู ณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง กศน.ตาบลหวั ช้าง ครั้งท่ี 8 วนั ที่ 5 เดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2565 ครผู ูส๎ อน นางสาววาสนา พานิชย์ ระดบั ประถมศึกษา เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐ น. สาระความร๎ูพืน้ ฐาน รายวิชาภาษาไทย รหัสวชิ า พท1๑๐๐๑ จานวนผเ๎ู รยี นทง้ั หมด ............... คนเขา๎ เรยี น…………………คน ไมเํ ข๎าเรยี น……………………….คน ๑. ผลการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้การประเมนิ โดยใช๎ แบบทดสอบกํอนเรยี น - หลงั เรียน พบวํา คะแนนการทดสอบหลังเรยี น มากกวาํ กอํ นเรยี นจานวน ........ คนคิดเปน็ รอ๎ ยละ............ คะแนนการทดสอบหลงั เรยี น น๎อยกวาํ กํอนเรียนจานวน ......... คนคดิ เปน็ รอ๎ ยละ............ ๒. เนือ้ หา/สาระ ............................................................................................................................. ................................... .......................................................................................... ...................................................................... ............................................................................................................................. ................................... ๓. กิจกรรมการเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ................................... .............................................................................................. .............................................................................. ............................................................................................................................. .......... ๔. ปญั หา/อุปสรรค การเรียนการสอน ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ๕. แนวทางการแก้ปญั หา ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ลงช่อื ....................................................... (นางสาววาสนา พานิชย์) ครูผ๎ูสอน วนั ท.่ี ............../.................../............... ความคดิ เห็น/ข้อเสนอแนะของผบู้ ริหาร ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................. ............................................................ ....................................................................................................................................................... ลงช่อื .................................................................. (นางปัทมาภรณ์ ศรเี นตร) ผ๎อู านวยการ กศน.อาเภอจตุรพักตรพิมาน

91 แผนการจดั การเรยี นรู้ รายวิชาภาษาไทย ครง้ั ท่ี 9 การจัดทาหน่วยเรยี นรบู้ รู ณาการหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2565 ระดับประถมศึกษา กศน.ตาบลหัวช้าง ๑. สปั ดาห์ท่ี 9 วันที่ 12 เดอื น กรกฎาคม พ.ศ. 2565 เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐น. ๒. วชิ า ภาษาไทย รหัสวชิ า พท1๑๐๐๑ จานวน 3 หนวํ ยกิต ๓. มาตรฐานท่ี ๒.1 มคี วามรู๎ ความเขา๎ ใจ และทกั ษะพ้นื ฐานเกยี่ วกบั ภาษาและการสื่อสาร ๔. หน่วยการเรยี นร้/ู เรื่อง วรรณคดี วรรณกรรม ๕. สาระสาคญั มนษุ ย์ใชภ๎ าษาสรา๎ งมนุษยส์ ัมพนั ธ์ พฒั นาความคดิ แสวงหาความรห๎ู ากเขา๎ ใจหลกั การใชภ๎ าษา และนาไปใช๎ในการสื่อสาร ได๎อยาํ งถูกต๎องทงั้ การพูดการเขียนและกํอใหเ๎ กิดประโยชน์ ทั้งสวํ นตนและ สวํ นรวม ๖. เนอื้ หา 1. เร่อื งราว นทิ าน นิทานพน้ื บา๎ นและ วรรณกรรมท๎องถิน่ 2. เร่ืองราววรรณคดีท่มี ี ความหลากหลาย - กลอนบทละคร (สงั ข์ทอง) - กลอนนิทาน (พระอภัยมณี) - กลอนเสภา (ขนุ ช๎าง ขนุ แผน) 7. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นร/ู้ ผลการเรยี นรูท้ ่คี าดหวัง อธิบายถึงประโยชน และคณุ คําของนทิ าน นทิ านพ้ืนบ๎าน วรรณกรรม และวรรณกรรมในทอ๎ งถนิ่ 8. การบรู ณาการกับหลักแนวคิดของเศรษฐกิจพอเพียง (2 เงือ่ นไข 3 หลักการ การเชือ่ มโยงสู่ 4 มติ )ิ ความรู้ - การสบื คน๎ นิทานพ้ืนบ๎าน ในกิจกรรมกศน.ตาบล - เรอื่ งเลํานิทานพ้ืนบ๎านจากชนรนุํ หลัง - ความร๎หู ากเขา๎ ใจหลักการใช๎ภาษาในการสื่อสาร คณุ ธรรม - การตรงตอํ เวลาในการเขา๎ กิจกรรม -ศึกษาคน๎ ควา๎ วรรณกรรมทอ๎ งถน่ิ หรอื การบนั เทงิ อยาํ งเทําเทียมกนั พอประมาณ - พอกบั เวลาวํางท่ีมอี ยํู - พอประมาณกับชวํ งเวลาการอํานนทิ านพ้นื บ๎าน มีเหตผุ ล - เป็นการใช๎เวลาวํางใหเ๎ ปน็ ประโยชน์ - เป็นการแสวงหาความรดู๎ ว๎ ยตนเอง มภี มู ิค้มุ กัน -ตอ๎ งตระหนักและเหน็ ประโยชน์ของวรรณคดี

92 -ตอ๎ งฝกึ นสิ ัยใฝุรูแ๎ ละเกดิ ความสขุ ความสุขในการอาํ น วตั ถุ - ประหยดั คําใชจ๎ าํ ยและเกดิ ประโยชนก์ บั การเรยี นรอ๎ู ยาํ งมาก สังคม - การเข๎าใชบ๎ ริการกศน.ตาบลบํอยๆ ทาให๎ไดร๎ ูจ๎ ักการปรบั ตัวในการเข๎าสงั คมรํวมกบั ผู๎อ่นื ท่จี ะไมํทา ใหต๎ นเองเดือดร๎อน ไมํทาใหส๎ ังคมเดือดรอ๎ น มคี วามรูจ๎ ากการอํานหนงั สอื ในกศน.ตาบล เรอ่ื งวรรณคดี วรรณกรรม สิง่ แวดล้อม - บรรยายกาศ สภาพแวดลอ๎ ม นาํ อํานหนังสอื วัฒนธรรม - วัฒนธรรมการแบงํ ปนั การเคารพสถานที่ กฎ กติกาของสังคม 9. กระบวนการจดั การเรยี นรู้และกจิ กรรมการเรียนรู้ ขนั้ ท่ี ๑ กาหนดสภาพปัญหาการเรยี นรู้ (O : Orientation) ผูเ๎ รียนและครรู ํวมกนั พดู คุยเรื่องการใช๎ภาษาถิน่ ของชุมชน และให๎ผเู๎ รียนได๎แสดงความคิดเห็นถึง ประเด็นการใชภ๎ าษาถนิ่ พืน้ บา๎ น พรอ๎ มยกตวั อยาํ ง ขน้ั ที่ 2 แสวงหาขอ้ มลู และจัดการเรียนรู้ (N : New ways of learning) 1. ครูอธิบายถงึ ลกั ษณะนิทาน นทิ านพื้นบา๎ นและ วรรณกรรมทอ๎ งถิ่น และวรรณคดีทีม่ ี ความ หลากหลาย 2. ครูอธบิ าย รูปแบบชองกลอนบทละคร 3. ครูอธิบาย รปู แบบชองกลอนนิทาน 4. ครูอธบิ าย รปู แบบกลอนเสภา ขน้ั ท่ี ๓ การปฏิบตั ิและการนาไปใช้ (I : Implementation) ๑. นกั ศึกษาทาแบบทดสอบกํอน - หลังเรยี น ๒. ครสู รุปองค์ความรูใ๎ นเนื้อหา ๓. นักศึกษาซักถาม และแลกเปลย่ี นความร๎ู ขนั้ ที่ ๔ การประเมินผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) งานมอบหมาย ให๎นกั ศึกษาค๎นคว๎าเพ่ิมเติม เรื่องการแยกสาร จากแหลงํ เรยี นรู๎ ห๎องสมุด, กศน.ตาบล,อินเตอร์เน็ต 10. สอ่ื /แหล่งเรียนรู้ 1. หนังสอื เรยี นสาระความรูพ๎ ้ืนฐาน รายวชิ าภาษาไทย ระดับประถมศกึ ษา รหัส พท11001 2. ใบความร๎ู 3. อนิ เทอรเ์ น็ต 11. การวดั และประเมินผล 1. วธิ ีการวัดและประเมนิ ผล - แบบประเมินผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรํวมกับผู๎อนื่ ของนกั ศึกษารายบคุ คล - ใบงาน

93 - แบบทดสอบกํอนเรยี น-หลังเรยี น 2. เครอื่ งมือวดั และประเมนิ ผล. - ประเมินผลการสงั เกตพฤตกิ รรมการทางานรํวมกับผู๎อน่ื ของนักศกึ ษารายบุคคล - ผลจากการตรวจใบงาน - คะแนนแบบทดสอบกอํ นเรียนและหลงั เรียน 3. เกณฑ์การวัดและการประเมนิ ผล - แบบประเมินผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรํวมกับผ๎ูอ่ืนของนักศึกษารายบุคคล ระดบั ดี พอใช๎ และควรปรบั ปรุง - ใบงานคะแนนเต็ม 10 คะแนน - แบบทดสอบกํอนเรียน-หลงั เรยี น เกณฑผ์ ํานและไมผํ าํ น กิจกรรมเสนอแนะ ......................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ลงช่อื …………………………………………….ครผู ส๎ู อน (นางสาววาสนา พานิชย์) ครู กศน.ตาบล ขอ้ เสนอแนะของผู้บริหาร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………............................. ลงชือ่ ………………………………………………………ผอู๎ นมุ ตั แิ ผน (นางปทั มาภรณ์ ศรีเนตร) ผู๎อานวยการ กศน.อาเภอจตรุ พกั ตรพมิ าน

94 บันทกึ หลังการจัดการเรยี นรู้ การจัดทาหน่วยเรยี นรูบ้ รู ณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง กศน.ตาบลหวั ช้าง ครั้งท่ี 8 วันที่ 5 เดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2565 ครูผ๎ูสอน นางสาววาสนา พานิชย์ ระดบั ประถมศึกษา เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐ น. สาระความร๎ูพืน้ ฐาน รายวชิ าภาษาไทย รหัสวิชา พท1๑๐๐๑ จานวนผเ๎ู รยี นทัง้ หมด ............... คนเข๎าเรยี น…………………คน ไมํเข๎าเรียน……………………….คน ๑. ผลการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้การประเมนิ โดยใช๎ แบบทดสอบกํอนเรียน - หลงั เรยี น พบวํา คะแนนการทดสอบหลังเรยี น มากกวํากอํ นเรียนจานวน ........ คนคิดเป็นร๎อยละ............ คะแนนการทดสอบหลงั เรยี น นอ๎ ยกวาํ กํอนเรยี นจานวน ......... คนคิดเป็นรอ๎ ยละ............ ๒. เนือ้ หา/สาระ ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ๓. กิจกรรมการเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. .......... ๔. ปญั หา/อุปสรรค การเรียนการสอน ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ๕. แนวทางการแก้ปญั หา ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................... ................................................................. ............................................................................................................................. ................................... ลงช่ือ....................................................... (นางสาววาสนา พานชิ ย์) ครูผส๎ู อน วนั ท่.ี ............../.................../............... ความคดิ เหน็ /ข้อเสนอแนะของผบู้ ริหาร ............................................................................................................................. ............................................................ ........................................................................................................................................... .............................................. ....................................................................................................................................................... ลงช่อื .................................................................. (นางปัทมาภรณ์ ศรเี นตร) ผอ๎ู านวยการ กศน.อาเภอจตุรพักตรพมิ าน

95 ใบความรู้ เรือ่ ง วรรณกรรมปจั จบุ นั และวรรณกรรมท้องถิ่น 1. ความหมาย วรรณกรรมทอ้ งถิ่น หมายถงึ วรรณกรรมท่ีปรากฎอยูํในทอ๎ งถน่ิ ภาคตาํ ง ๆ ของไทย ทง้ั ทีเ่ ป็นลาย ลกั ษณ์ หรอื มุขปาฐะ ซง่ึ แตกตํางไปจากวรรณกรรมแบบฉบบั เพราะวรรณกรรมทอ๎ งถ่ินนั้นชาวทอ๎ งถิ่นสรา๎ ง ข้ึนมา ชาวท๎องถิ่นใช๎ (อําน, ฟงั ) และชาวท๎องถ่นิ เป็นผ๎ูอนรุ กั ษ์ โดยมวี ดั เป็นศูนยก์ ลาง รูปแบบของฉนั ทลักษณ์จึง เปน็ ไปตามความนยิ มของท๎องถิ่นนัน้ ๆวรรณกรรมท๎องถ่นิ มีเนอื้ หาสาระ และคตนิ ิยมเก่ยี วกับพุทธศาสนาเป็นสวํ น ใหญํ เนอ่ื งจากคนไทยทุกภาพในอดีตมคี ตนิ ิยมในการสรา๎ งหนงั สือถวายวัด โดยเชือ่ กันวาํ จะได๎อานิสงส์อยาํ งแรง อีก ประการหนง่ึ วัดกเ็ ปน็ สานักเลําเรยี นของกลุ บตุ ร กลุ ธดิ าของประชาชน ฉะนน้ั การสรา๎ งสรรค์วรรณกรรมท๎องถ่ินยังมี สํวนให๎นกั เรียนได๎ฝึกอาํ นหรอื ทวบทวนนอกเหนือไปจากแบบเรียน (จนิ ดามณี ปฐมมาลา ปฐม ก.กา) ซง่ึ สํวนใหญํ เป็นวรรณกรรมประเภทนิทานคตธิ รรม 2. ความเป็นมาของการศกึ ษาวรรณกรรมท้องถิ่น การศกึ ษาวรรณกรรมไทยน้นั เราจะมาเริ่มศึกษากนั เมื่อสมยั รัชกาลที่ 5 กลาํ วคือมีการจัดต้งั โบราณคดี สโมสรข้นึ เมอ่ื พ.ศ. 2450 ในครั้งน้นั ได๎รวบรวม ชาระ ซอํ มแซมวรรณกรรมที่กระจัดกระจาย และมีการพมิ พ์ เผยแพรํ ซง่ึ เปน็ การอนรุ ักษ์วรรณกรรมโบราณของไทยไว๎ไดส๎ ํวนหนง่ึ คณะกรรมการโบราณคดสี โมสรไดศ๎ ึกษา รวบรวมวรรณกรรมที่ทํานมีประสบการณ์ คอื ร๎ูจกั และเคยอาํ นสมัยเลาํ เรยี น ซง่ึ สํวนใหญํเป็นวรรณกรรมท่ีแพรหํ ลาย อยใํู นกลมํุ ชนช้ันนาคือ ขนุ นาง นกั ปราชญ์ ราชบณั ฑิต สวํ นวรรณกรรมท่แี พรหํ ลายอยใูํ นกลํมุ ชาวบ๎าน หรอื ชาว วัด หรือในทอ๎ งถน่ิ ทีห่ ํางไกล เข๎าใจวาํ ทํานเหลาํ นั้นคงยังมิได๎ศึกษารวบรวม อีกประการหน่ึงในช่วั ระยะเวลาอันสนั้ ท่ี จดั ต้ังโบราณคดีสโมสรนน้ั ข๎อมูลในสวํ นกลางหรือราชสานกั คงมีมากเกนิ กวําทจี่ ะศึกษารวบรวมในระยะเวลาอันสนั้ ในสมยั รชั กาลที่6 แหงํ กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ ไดจ๎ ัดตง้ั วรรณคดสี โมสรขึน้ เมอื่ พ.ศ. 2457 คงจะสบื เนอ่ื งมาจากโบราณคดสี โมสรน่ันเอง คณะกรรมการชดุ นี้ได๎พยายามที่จะจดั จาแนกวรรณกรรม โดยพจิ ารณาวําเป็น ระยะเวลาใดควรแกํการยกยํอง ในสมยั จดั ตง้ั วรรณคดีสโมสรน้นั เปน็ ระยะเวลาไมํนานนักกส็ นิ้ สมัยรชั กาลท่ี 6 จากนน้ั ก็ขาดแรงสนบั สนนุ การศกึ ษารวบรวมวรรณกรรม จึงอยูํในวงจากัด ยงั มิได๎ขยายขอบเขตไปศึกษา วรรณกรรมท่ีแพรํหลายอยํูในกลุํมชาวบา๎ น ชาววดั และวรรณกรรมในทอ๎ งถ่นิ ทหี่ ํางไกล หลังจากนัน้ เป็นต๎นมารวมเวลาประมาณกงึ่ ศตวรรษ กลุ บุตร กลุ ธดิ าชาวไทย กไ็ ด๎ศึกษาเลาํ เรยี นเฉพาะ วรรณกรรมทไ่ี ด๎ศึกษารวบรวมชาระกนั ในคร้ังน้นั เทําน้ัน ไมํปรากฎวาํ ได๎มกี ารศกึ ษาชาระ รวบรวมวรรณกรรมอื่น ๆ ใหก๎ ว๎างขวางตํอไป วรรณกรรมชาวบ๎าน ชาววัด เหลาํ นนั้ จงึ ถกู ทอดทิ้งมาเปน็ เวลาเนนิ่ นาน ตอํ มาเมื่อราว พ.ศ. 2502 สถาบันการศกึ ษาระดับอุดมศึกษาได๎แนวคิดมาจากตะวนั ตกท่นี ยิ มศึกษา เรื่องราวทางพนื้ บา๎ น และเสนอเป็นวิทยากรในหลักสูตรเรียกช่อื วํา Folklore จงึ นาวิธีการเหลํานั้นมาจดั เขา๎ ใน หลักสูตรระดบั อุดมศึกษา เรยี กช่อื วาํ \"คตชิ าวบ๎าน\" บา๎ ง \"คตชิ นวทิ ยา\" บ๎าง จากการศึกษาวชิ าสาขาคตชิ นวิทยานั้น ทาใหเ๎ ราทราบถึงแนวคิด คตินิยม ปรชั ญาชวี ติ ของสงั คมในท๎องถน่ิ ตํางๆ ของไทย ซึ่งมีรายละเอยี ดปลีกยํอยตาํ งไปจากคตินิยม ปรัชญาชวี ติ และสงั คมของภาคกลางเกือบ ส้ินเชงิ ฉะนัน้ จึงมกี ารศกึ ษาที่ลึกซง้ึ ลงไป ในเอกสารท๎องถ่ินตํางๆ จึงพบวาํ ในเอกสารทอ๎ งถนิ่ เหลาํ น้ัน เปน็ คลงั ของ แนวคดิ คาํ นยิ มของสังคมท๎องถน่ิ อันแอบแฝงอยํูในรปู นทิ านเหลาํ นน้ั ฉะนนั้ จงึ ทาให๎นักวิชาการในสาขาอืน่ ๆ เรม่ิ ตระหนกั ถึงคุณคําความสาคญั ของขอ๎ มูลทางคติชนวิทยาโดยเฉพาะวรรณกรรม ประจวบกบั เมอื่ ชวํ งปี พ.ศ.2510- พ.ศ.2520 นักศึกษาเร่ิมมีปฏกิ ิริยาตอํ ต๎านการศึกษาวรรณคดี โดยมที ศั นคตติ ํอวรรณคดที ี่อยใํู นหลักสตู รระดบั ประถมศึกษา มธั ยมศึกษา และอดุ มศึกษานัน้ เป็นวรรณคดขี องชนชน้ั สงู หรอื วรรณกรรมเพอ่ื รับใช๎ศักดินา ไมํ กํอให๎เกิดแนวคดิ สรา๎ งสรรคใ์ ดๆ รงั แตใํ ห๎เกิดความเบ่ือหนาํ ยฉะน้นั เม่ือตอนปลายปี พ.ศ.2519 จงึ มีการจดั รายวิชา

96 วรรณกรรมท๎องถนิ่ ในสถานศกึ ษาระดบั อดุ มศึกษา สวํ นระดบั ประถมศกึ ษา และมัธยมศกึ ษา มีการเสนอให๎อําน วรรณกรรมท๎องถน่ิ ของภาคตําง ๆ เปน็ หนังสืออํานประกอบอยูบํ า๎ ง 3. ข้อแตกต่างระหวา่ งวรรณกรรมแบบฉบบั กับวรรณกรรมท้องถ่ิน จากการศึกษาวรรณกรรมท๎องถนิ่ ของภาคเหนือ ภาคอสี าน ภาคใต๎ และภาคกลางแล๎ว พบวํามรี ปู แบบตําง ไปจากวรรณกรรมแบบฉบบั อยํูมาก ตามลาดบั ความใกลช๎ ิดกับรัฐบาลกลางหรือราชสานักทีเ่ ป็นเชนํ น้ี เพราะวาํ พืน้ ฐานของสังคม มโนทศั น์ของกวี ตลอดจนบนั ทึกสภาพสงั คมในสมัยที่กาเนิดวรรณกรรมน้ัน ๆ ตามมโนทัศนข์ อง กวี วทิ ย์ ศวิ ะศรยี านนท์ (2504 : 183) กลําววาํ กวคี นเดยี วก็เปรยี บเหมอื น 3 คน คือ นอกจากเปน็ ผ๎ูแตงํ หนังสอื แล๎ว ยังเป็นหนวํ ยหน่งึ ของคนรุนํ น้ัน และเป็นพลเมืองด๎วย เน่อื งจากเหตนุ ้ี นอกจากจะต๎องสงั วรในอาชพี ประพันธ์ ของตนในฐานะท่ีเปน็ กวี ในฐานะทเ่ี ป็นหนวํ ยหนงึ่ ของคนสมัยนั้น ก็ยํอมจะทาเอาหไู ปนาเอาตาไปไรเํ สียกบั เหตุการณ์ที่ตนเห็นตาตาประจักษ์อยํูแกใํ จหาได๎ไมํ และในฐานะทีเ่ ป็นพลเมืองอีกเลํา ก็จะต๎องใสใํ จเหตุการณ์ บา๎ นเมือง ความเคลอื่ นไหวของประเทศชาติ ตลอดจนชนช้ันและอาชีพที่ตนเป็นหนวํ ยหน่ึงอกี ดว๎ ย กวีหรอื ผเ๎ู ขยี นยํอมสอดแทรกสภาพของสงั คมสมัยนน้ั ๆ ลงไปในวรรณกรรมทีเ่ ขาได๎สรา๎ งสรรค์ และใน ฐานะท่เี ปน็ หนํวยหนงึ่ ของประชาคมน้ัน ยอํ มจะใสํความคดิ เห็น มโนทศั นข์ องตนลงไปดว๎ ย แตใํ นขณะเดยี วกันใน บทบาทของกวหี รือนักประพันธ์ จงึ เสนอทัศนคติในบทบาทฐานะน้ันอีกด๎วย ฉะนัน้ ปัจจยั ดงั กลาํ วข๎างตน๎ จงึ มสี วํ น สาคัญทแ่ี ยกรูปแบบของวรรณกรรมแบบฉบับกับวรรณกรรมทอ๎ งถ่ินให๎แตกตํางกัน เมอื่ พิจารณารูปแบบของวรรณกรรมแบบฉบบั กบั วรรณกรรมทอ๎ งถิน่ ทแ่ี ตกตํางกนั ไปนน้ั ทาให๎เหน็ วํา วรรณกรรมแบบฉบับเป็นวรรณกรรมท่ีแพรํหลาย และเจริญอยูใํ นราชสานัก เรมิ่ ตัง้ แตํกวผี ๎ูสรา๎ งสรรค์ ซงึ่ เปน็ ผคู๎ งแกํ เรยี น พ้นื ฐานการศกึ ษาสูง และอยูํในฐานะเหนือกวําทางดา๎ นสงั คม ฉะน้ันคํานิยม สภาวะของสังคม จนทัศนะทก่ี วี สอดแทรกในวรรณกรรมน้นั จึงเป็นมโนทศั นข์ องสังคมชน้ั สูง ซง่ึ ตาํ งไปจากวรรณกรรมทอ๎ งถน่ิ ท่ีกวเี ปน็ ชาวบา๎ น ธรรมดาหรือภกิ ษุ และอยใํู นภาวะของสงั คมแบบชาวบา๎ นโดยทั่วไป ฉะนน้ั คํานยิ ม สภาวะของสังคม และทัศนะทก่ี วี สอดแทรกลงไปในวรรณกรรมท่ีเขาสรา๎ งสรรคน์ ัน้ จะเปน็ มโนทัศน(์ คาบาลี สันสกฤต) หรือบทกวนี พิ นธ์ท่ี ซับซอ๎ น เชนํ ฉันท์ สํวนใหญจํ ะใชก๎ วนี พิ นธท์ ่ีนยิ มในท๎องถิ่นนั้น ๆ 4. ประโยชน์ของการศกึ ษาวรรณกรรมทอ้ งถน่ิ ข๎อมลู ทางคติชนวทิ ยา เปน็ ที่สนใจของนักศึกษาทางด๎านมานุษยวิทยามาโดยตลอด เพราะข๎อมลู เหลาํ น้ีเปน็ ข๎อมลู เบื้องตน๎ ท่สี ืบทอดกนั มาในประชาคมท๎องถิ่นตาํ งๆ ในการวเิ คราะห์ข๎อมลู ทางดา๎ นคตชิ นนน้ั ทาให๎นัก มานษุ ยวิทยาสามารถเขา๎ ใจลกั ษณะของสงั คม คํานยิ ม ปรัชญาชวี ิตและวิถีทางแหงํ ชีวติ ตลอดจนระบบของสงั คมของ กลํุมชนน้ันๆ วรรณกรรมท๎องถน่ิ เปน็ ข๎อมูลสาคญั ในข๎อมูลทั้งหลาย ทางด๎านคติชนวทิ ยา ทจี่ ะสะท๎อนให๎เหน็ สภาวะ ของประชาคมนั้นๆ เป็นอยาํ งดีประโยชนใ์ นการศึกษาวรรณกรรมท๎องถิ่น สรุปได๎ 3 ประการ ดังน้ี 4.1 ประโยชน์ทางดา้ นวิชาการ ผ๎ศู ึกษาวรรณกรรมท๎องถิน่ จะเข๎าใจในส่ิงตํอไปนี้ 4.1.1 ปรชั ญาชวี ติ และสังคมของท๎องถิน่ อนั เปน็ พนื้ ฐานของสังคม เชํน ความเชื่อ คตินิยม จารตี ประเพณี เปน็ ต๎น 4.1.2 การจัดระเบยี บสงั คม หรอื การควบคมุ สังคม อันเป็นพันธกรณขี องกลุํมชนต๎องประพฤติ ปฏิบัติ เพอ่ื ความสงบสุขของประชาคมนน้ั ๆ บทบัญญัติตํางๆ อนั เปน็ ปทัสฐานของสังคมนัน้ ได๎ส่งั สอนสืบตํอกนั มา โดยมไิ ด๎มีการจดบนั ทึกไว๎ แตํกป็ รากฎอยํูในวรรณกรรมท๎องถ่ินเหลําน้ัน ในข๎อน้ีต๎องเขา๎ ใจรํวมกนั วํา สงั คมชนบทใน สมยั อดตี กฎหมายของของรัฐบาลกลางมิไดม๎ ีสํวนเกี่ยวข๎องในการควบคุมสงั คมมากนัก แตํปรชั ญาพทุ ธศาสนา จารตี ความเช่อื คตนิ ยิ ม ซงึ่ เปน็ ทย่ี อมรบั ของประชาคมจะมีบทบาทควบคมุ สงั คมอยํางย่ิง 4.1.3 ประวัติศาสตรส์ ังคมของท๎องถิน่ วรรณกรรมท๎องถิน่ เปน็ ข๎อมลู สาคัญในการศึกษา ประวัตศิ าสตรส์ งั คมของท๎องถ่ิน โดยเฉพาะทางดา๎ นการจัดระบบสังคมการควบคมุ สงั คมตลอดจนจารตี ประเพณีของ สังคมน้นั

97 4.1.4 ภาษาถ่นิ วรรณกรรมท๎องถิน่ โดยเฉพาะวรรณกรรมลายลักษณ์ทไ่ี ด๎บนั ทกึ ไว๎ตง้ั แตสํ มัยอดตี จาเป็นคลงั แหํงคาภาษาถ่ิน ถึงแม๎บางคาจะเลิกใช๎ไปแล๎วในปจั จุบนั แตกํ ็ยังปรากฎในเอกสารวรรณกรรมท๎องถน่ิ เหลํานั้น นอกจากให๎นักภาษาศาสตร์ ยงั สามารถเห็นการคล่ีคลายของคาภาษาไทยไดด๎ จี ากเอกสารวรรณกรรม ท๎องถิ่นตําง ๆ ของไทย 4.1.5 เป็นการก๎าวหน๎าทางวชิ าการ การตระหนักถึงคุณคาํ ของวรรณกรรมท๎องถ่นิ จนได๎มีการ นามาจดั อยูํในหลักสูตรการศึกษาระดับอุดมศึกษา ซ่งึ มีแนวโน๎มในการทจ่ี ะสํงเสรมิ การศกึ ษารวบรวมคน๎ ควา๎ วรรณกรรมท๎องถ่นิ เหลาํ น้นั ให๎กวา๎ งขวางย่งิ ข้นึ อันเป็นปัจจัยสาคญั ในการอนรุ ักษศ์ ลิ ปวฒั นธรรมท๎องถน่ิ ซ่ึงหมายถึง เอกลกั ษณ์ของชนชาติไทย 4.1.6 เปน็ การอนุรกั ษว์ รรณกรรมท๎องถน่ิ ตําง ๆ ของไทยไมํใหส๎ าปสญู กํอนภาวะอนั ควร 4.2 ประโยชน์ทางด้านปัจเจกบคุ คล 4.2.1 เพ่ือใหน๎ กั ศึกษาหรอื ผู๎ศกึ ษาวรรณกรรมท๎องถ่นิ มีมโนทศั นอ์ ันกว๎าง ยอมรับแนวคดิ ปรชั ญาชวี ติ ของชนทุกช้นั ทุกท๎องถ่ิน ทุกสงั คม 4.2.2 ผศู๎ กึ ษาวรรณกรรมท๎องถน่ิ จะทราบถงึ ความเปน็ อัจฉรยิ ะของบรรพบุรุษของตน และของ ทอ๎ งถ่ินอ่ืนอกี ด๎วย 4.2.3 ยอมรบั แนวคดิ ของชนชาติตาํ งท๎องถน่ิ ตํางสังคมและตาํ งยุคสมัย 4.2.4 ได๎รับประสบการณ์ของชีวติ กว๎างขวางย่งิ ข้ึน 4.2.5 มโี อกาสไดเ๎ รยี นร๎ูภาษาถนิ่ วฒั นธรรมของท๎องถิ่นอ่ืน ๆ อกี ดว๎ ย 4.3 ประโยชนท์ างดา้ นการเมืองการปกครอง 4.3.1 ผศู๎ กึ ษาวรรณกรรมท๎องถนิ่ จะเกดิ ความรกั ความเข๎าใจ ความภูมิใจในอดีตของทอ๎ งถิ่นท่ตี น มีภูมลิ าเนาอยํแู ละท๎องถนิ่ อืน่ ๆ ของคตดิ ๎วย ซึ่งกํอใหเ๎ กิดชาตินิยม ภมู ใิ จในวัฒนธรรมของชาติ 4.3.2 ผ๎ูศกึ ษาวรรณกรรมท๎องถ่ินจะเกดิ ความรกั ความเข๎าใจในท๎องถ่นิ ของตน ผศู๎ กึ ษาวรรณกรรม ท๎องถนิ่ จะตระหนักในคุณคํา และยอํ มมีความหวงแหนซึ่งจะกํอให๎เกิดการอนุรักษ์วรรณกรรมทอ๎ งถ่นิ อีกด๎วย 4.3.3 ทาให๎ความเขา๎ ใจอันดีระหวาํ งชนในชาติ และยํอมมีความสมานสามัคคกี ัน 4.3.4 กอํ ใหเ๎ กิดการพัฒนา ระบบสงั คมของชาตยิ ํอมมีทศิ ทาง โดยอาศัยระบบสังคม ท๎องถิน่ ปรชั ญาชีวิตในสังคมทอ๎ งถิ่น อนั เป็นพืน้ ฐานในการพัฒนาการเปรยี บเทียบความแตกตํางระหวาํ งวรรณกรรม แบบฉบบั กบั วรรณกรรมท๎องถ่นิ มีดังน้ี วรรณกรรมแบบฉบับ วรรณกรรมท้องถ่นิ 1. ชนชั้นสงู เจ๎านาย ข๎าราชสานกั มีสทิ ธิมสี ํวนเปน็ 1. ชาวบา๎ นทั่วไปมีสทิ ธิเป็นเจ๎าของ เจ๎าของ - ผูส๎ รา๎ งสรรค์ - ผูใ๎ ช๎ - ผูส๎ รา๎ งสรรค์ รวมถงึ จดบันทกึ คัดลอก - ผ๎อู นุรักษ์ - ผใู๎ ช๎ (อําน, ฟงั - ผู๎อนรุ ักษ์ - แพรํหลายในหมูํบ๎าน - แพรหํ ลายในราชสานัก 2. กวีประพันธ์เปน็ นกั ปราชญ์ ราชบณั ฑิต หรือ 2. กวี ผูป๎ ระพนั ธ์ เป็นชาวพ้ืนบ๎าน หรือพระภกิ ษุ สรา๎ งสรรค์ เจา๎ นาย ฉะนนั้ คาํ นิยม มโนทัศน์ ทเ่ี หน็ สังคมสมัยน้ัน จงึ วรรณกรรมขน้ึ มาด๎วยใจรักมากกวาํ \"บาเรอทา๎ วไธธ๎ ริ าชผ๎มู ี จากดั อยูํในร้ัวในวงั หรอื มีการสอดแทรกสภาวะของสังคมก็ บุญ\"ฉะนน้ั มโนทัศน์เก่ยี วกับสภาวะของสังคม จึงเป็นสังคม เป็นแบบมองเห็นสังคมแบบเบอื้ งบน ชาวบ๎านแบบประชาคมท๎องถ่ิน

98 3. ภาษาและกวีโวหารนยิ มการใชค๎ าศัพท์บาลี 3. ภาษาทใ่ี ชเ๎ ป็นภาษางาํ ย เรยี บ ๆ มํงุ การสื่อความหมาย สันสกฤต โดยเชอ่ื วําเปน็ การแสดงภูมปิ ญั ญาของกวแี พรว เปน็ สาคัญ สวํ นใหญเํ ปน็ ภาษาทอ๎ งถ่ินน้ัน ละเวน๎ พราวไปดว๎ ยกวีโวหารท่ีเขา๎ ใจยาก คาศัพทบ์ าลี สันสกฤต โวหารนิยมสานวนทใ่ี ช๎ในท๎องถิน่ 4. เน้ือหาสวํ นใหญํ มุํงในการยอพระเกยี รติ ท้ังทางตรง 4. เนือ้ หาสวํ นใหญํมงุํ ในทางระบายอารมณ์ บันเทิงใจ แตํแฝง และทางอ๎อม แตกํ ม็ เี นอ้ื หาทีเ่ กย่ี วกบั การผํอนคลาย คตธิ รรมทางพทุ ธศาสนา แม๎วําตวั เอกของเรื่องจะเป็นกษัตริย์ ทางดา๎ นอารมณ์ และศาสนาอยํไู มนํ ๎อย กต็ าม แตํมไิ ด๎มํงุ ยอพระเกยี รติมากนัก 5. เหมือนกับวรรณกรรมแบบฉบบั ยกยํองสถาบนั กษัตรยิ ์ 5. คาํ นยิ ม อดุ มคติ ยดึ ปรชั ญาชีวติ แบบสงั คมชาว แตํไมํเนน๎ มากนัก พทุ ธ และยกยํองสถาบันกษัตริย์อกี ดว๎ ย

99 ใบงาน เรือ่ งวรรณคดี วรรณกรรม -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- 1. จงสรุปความหมายของ “วรรณคดี” ............................................................................................................................................................................ ............. ...................................................................................................................... ................................................................... ............................................................................................................................. ........................................................... 2. วรรณคดี วรรณกรรมไทยปจั จุบันและวรรณท๎องถน่ิ มีความสาคัญอยํางไร ............................................................................................................................. ............................................................ ..................................................................................................................................... .................................................... ........................................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ........................................................... 3. วรรณคดี วรรณกรรมไทยปัจจบุ ันและวรรรณกรรมทอ๎ งถ่ิน แบํงเปน็ กี่ประเภท ประเภทใดบ๎าง (พร๎อมยกตวั อยาํ ง) ............................................................................................................ ............................................................................. ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................. ............................................................ ......................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................. ........................................................... ................................................................................................................................................. ......................................

100 แผนการจัดการเรยี นรู้ รายวิชาศานาและหน้าทีพ่ ลเมอื ง ครัง้ ท่ี 10 การจัดทาหน่วยเรียนรบู้ ูรณาการหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2565 กศน.ตาบลหัวช้าง ระดบั ประถมศกึ ษา ๑. สปั ดาหท์ ่ี 10 วันท่ี 19 เดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2565 เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐น. ๒. วชิ า ศาสนาและหนา้ ทพ่ี ลเมือง รหสั วิชา สค1๑๐๐2 จานวน 2 หนวํ ยกติ ๓. มาตรฐานท่ี 5.2 มคี วามร๎ู ความเข๎าใจ เหน็ คุณคําและสืบทอดศาสนา วฒั นธรรม ประเพณีของประเทศใน ทวีปเอเชีย ๔. หน่วยการเรยี นรู้/เร่อื งศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี ๕. สาระสาคญั จัดให๎มกี ารคน๎ คว๎าหาความรู๎ จากสื่อเอกสาร ตารา ส่ืออเิ ล็กทรอนิกส์ ภมู ปิ ัญญา สถาบันทางศาสนา การฝกึ ปฏบิ ัติ การทาโครงงาน การจดั กลมุํ อภปิ รายแลกเปล่ยี นเรียนรู๎ การวิเคราะห์ สถานการณ์จาลอง การสรุปผลการ เรยี นร๎ู และนาเสนอในรูปแบบตาํ งๆ ๖. เนอ้ื หา 1. ความเป็นมาของศาสนาในประเทศไทยและในทวปี เอเชีย ดงั น้ี ศาสนาพทุ ธ ศาสนาครสิ ต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนาฮนิ ดู 2. หลกั ธรรมในแตํละศาสนาทที่ าให๎อยรํู วํ มกับศาสนาอื่นไดอ๎ ยาํ งมีความสขุ 3. วัฒนธรรมประเพณีในประเทศไทยและประเทศในเอเชีย ภาษา, การแตงํ กาย, อาหาร, ประเพณี ๗. จุดประสงคก์ ารเรยี นร/ู้ ผลการเรยี นรทู้ คี่ าดหวงั (ดูจากผังการออกข๎อสอบ) 1. มีความร๎ู ความเข๎าใจเกี่ยวกบั ความเป็นมาของศาสนาตาํ งๆ ในประเทศไทย และประเทศในทวีป เอเชยี 2. นาหลักธรรมสาคญั ๆในศาสนาของตนมาประพฤตปิ ฏบิ ัตใิ หส๎ ามารถอยํูรํวมกันกบั ศาสนาอนื่ ได๎ อยํางสนั ติสขุ 3. เห็นประโยชนใ์ นการนาหลักธรรม คาสอนในศาสนาท่ตี นนบั ถอื มาประพฤตปิ ฏบิ ัติเพ่ือใหเ๎ ปน็ คน ดใี นสงั คม 4. มคี วามร๎ู ความเขา๎ ใจในวฒั นธรรมประเพณขี องประเทศไทยและประเทศในเอเชยี ๘. การบรู ณาการกับหลกั แนวคิดของเศรษฐกจิ พอเพียง (2 เงื่อนไข 3 หลกั การ การเช่ือมโยงสู่ 4 มิติ) ความรู้ ในทวปี เอเชยี - นักศกึ ษามคี วามร๎ูเร่ืองเกีย่ วกับความเปน็ มาของศาสนาตํางๆ ในประเทศไทย และประเทศ - นักศึกษามีความรู๎ในวฒั นธรรมประเพณีของประเทศไทยและประเทศในเอเชยี คุณธรรม - หลกั ธรรม คาสอน - การประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ น


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook