ใบงานที่ 1. ใหน้ กั ศกึ ษาอธิบายทักษะทางวทิ ยาศาสตร์ ประกอบดว้ ยอะไรบ้าง ............................................................................................................................. ............................... ............................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ............................... ............................................................................................................................. ............................... ............................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ............................... ................................................................................................................................................... ......... ......................................................................................................................... ................................... 2. แบง่ กลุ่มและรว่ มกันอภิปราย สรปุ 6 คุณลกั ษณะของบุคคลทมี่ ีจติ วิทยาศาสตร์ ............................................................................................................................. ............................... ................................................................................................... ......................................................... ............................................................................................................................. ............................... ............................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ............................... ............................................................................................................................. ............................... .................................................................................. .......................................................................... ............................................................................................................................. ............................... ..................................................................................................................................................... ....... ........................................................................................................................... ................................. ............................................................................................................................. ............................... ............................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ...............................
แบบทดสอบย่อย จงนาตัวอักษรหนา้ ทักษะตา่ ง ๆ ไปเติมหน้าข้อทสี่ ัมพันธ์กัน ก. ทักษะการสังเกต ข. ทักษะการวัด ค. ทกั ษะการคานวณ ง. ทักษะการจาแนกประเภท จ. ทักษะการทดลอง ............1. ม้ามี 4 ขา สนุ ขั มี4 ขา ไก่มี 2 ขา นกมี 2 ขา ชา้ งมี 4 ขา ............2.ด.ญ.วิไล วดั อณุ หภูมขิ องอากาศได้ 40 C ............3. ด.ญ.อริษากาลังทดสอบวทิ ยาศาสตร์ ............4. ด.ญ. พนิดา กาลังเทสารเคมี ............5. ด.ช. สุบินใชต้ ลับเมตรวดั ความยาวของสนามตะกร้อ ............6. ด.ญ. อพิจติ รแบง่ ผลไม้ได้ 2 กลมุ่ คือ กลุ่มรสเปร้ียวและรสหวาน ............7. วรรณนิภา ดูภาพยนตร์วทิ ยาศาสตร์ 3 มิติ ............8. ด.ญ. นนั ทพร หยดสารละลายไอโอดนี ลงบนข้าวเหนียวท่เี ตรียมไว้ ............9. รูปทรงกระบอกมีความสูงประมาณ 4 นิ้ว ผวิ เรยี บ ............10. นกั วิทยาศาสตรแ์ บง่ พืชออกเปน็ 2 พวก คือ พืชใบเล้ยี งเดี่ยวและพชื ใบเลี้ยงคู่
แผนการจดั การเรยี นรรู้ ายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ ครง้ั ที่ 2 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2565 ระดับมธั ยมศึกษาตอนตน้ กศน.ตาบลเมืองหงส์ 1. สปั ดาห์ที่ 11 วนั ที่ 20 เดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2565 เวลา 09.00-12.00น. 2. วิชา วิทยาศาสตร์ รหัสวิชา พว21001 จานวน 4 หนว่ ยกิต 3. มาตรฐานท่ี 2.2 มคี วามรู้ความเขา้ ใจ และทักษะพืน้ ฐานเก่ียวกบั คณติ ศาสตร์ วทิ ยาศาสตรแ์ ละ เทคโนโลยี 4. หนว่ ยการเรียนร/ู้ เรอ่ื ง โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 5. สาระสาคญั อธบิ ายธรรมชาตแิ ละความสาคญั ของวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี 6. เน้ือหา 1. ประเภทของโครงงาน 2. การเลือกหัวข้อโครงงาน 3. การเขียนโครงงาน 4. การวางแผน และการทาโครงงาน 5. การนาเสนอโครงงาน 7. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้/ผลการเรยี นรทู้ คี่ าดหวงั (ดจู ากผังการออกข้อสอบ) 1. อธิบายประเภท เลอื กหัวข้อ วางแผน วธิ ที า นาเสนอและประโยชน์ของโครงงานได้ 2. วางแผนการทาโครงงานได้ 3. ทาโครงงานวิทยาศาสตร์กลุ่มได้ 4. อธบิ ายและบอกแนวได้ในการนาผลจากโครงงานไปใชไ้ ด้ 5. นาความรเู้ กย่ี วกับวทิ ยาศาสตร์ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และโครงงานไปใช้ได้ 8. การบรู ณาการกับหลกั แนวคดิ ของเศรษฐกิจพอเพียง (2 เงื่อนไข 3 หลักการ การเช่ือมโยงสู่ 4 มิติ) ความรู้ สรุปความ จบั ประเด็นสาคญั ของเรอ่ื งโครงงานวิทยาศาสตร์ คณุ ธรรม - มคี วามรบั ผิดชอบ - มีความขยัน - มีความคดิ สรา้ งสรรค์ พอประมาณ - เนอ้ื หาวชิ าท่เี รียนรู้มคี วามเหมาะสมกับวยั ของผ้เู รียน - ผเู้ รยี นเลือกวิชาทส่ี ามารถศึกษาเองไดเ้ ปน็ การเรียนแบบ กรต. มเี หตผุ ล
- เลือกทาโครงงานทส่ี นใจ - โครงงานทไ่ี ด้เกดิ ประโยชน์ต่อตนเองและผู้อืน่ มภี ูมิคุ้มกนั - มคี วามรู้เรื่องโครงงาน วัตถุ - วสั ดอุ ปุ กรณใ์ นการใช้ประดิษฐโ์ ครงงาน สงั คม - ผู้เรยี นแลกเปลย่ี นความคิดเหน็ ร่วมกนั ได้ - ผ้เู รียนใช้กระบวนการกลุ่มไดอ้ ย่างเหมาะสม ส่งิ แวดล้อม - โครงงานบางโครงงานสามารถใช้วสั ดอุ ปุ กรณท์ ีเ่ หลือใช้ได้ วัฒนธรรม - สามารถใช้วัสดพุ น้ื บา้ นมาประดิษฐ์เปน็ ช้นิ งานโครงงานได้ 9. กระบวนการจัดการเรียนรู้และกจิ กรรมการเรียนรู้ ขนั้ ที่ 1 กาหนดสภาพปัญหาการเรียนรู้ (O : Orientation) 1. ครนู าตวั อย่างโครงงานวทิ ยาศาสตร์มาให้ผ้เู รยี นดู แล้วครูและผเู้ รียนร่วมกนั สนทนาเกี่ยวกับ ความหมาย จุดประสงค์ ประเภท และการจดั ทาโครงงานวิทยาศาสตร์ 2. ผู้เรียนดูแผนภมู ิ วธิ ีการจดั ทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ แลว้ ร่วมกนั สนทนาซักถามในส่งิ ทีส่ งสยั ครู อธิบายเกี่ยวกบั การจัดทาโครงงานวทิ ยาศาสตรใ์ หผ้ ู้เรยี นเข้าใจ ข้นั ท่ี 2 แสวงหาข้อมลู และจัดการเรียนรู้ (N : New ways of learning) 1. ผ้เู รยี นแบง่ กลมุ่ กลุ่มละ 5-6 คน ใหแ้ ต่ละกลุ่มวางแผนการจัดทาโครงงาน โดยเลือก หัวข้อโครงงานท่ีสนใจ และจัดทาเป็นเค้าโครงย่อของโครงงาน เพื่อนาเสนอให้ครูตรวจพิจารณา แลว้ นามาแกไ้ ขปรบั ปรุงตามทค่ี รูเสนอแนะ 2. ผู้เรียนศึกษาเน้อื หาเพมิ่ เติมจากใบความรแู้ ละส่ืออนิ เตอรเ์ น็ต 3. ให้แต่ละกลมุ่ วางแผนการจัดทาโครงงานโดยมีครูเป็นที่ปรึกษาและดาเนินการจัดทา โครงงานตามทีไ่ ด้วางแผนไว้ ขั้นที่ 3 การปฏิบตั ิและการนาไปใช้ (I : Implementation) 1. ตัวแทนแตล่ ะกลมุ่ ออกมานาเสนอผลการจดั ทาโครงงาน 2. ครูและผเู้ รยี นกลุ่มอ่ืนๆ ร่วมกนั สนทนาซักถาม 3. ครูและนักเรยี นรว่ มกนั นาเสนอโครงงาน โดยทาเป็นแผงโครงงาน หรือจดั นิทรรศการรว่ มกนั 4. ผเู้ รยี นร่วมกนั อภิปรายวา่ จะนาความรู้ทีไ่ ด้จากการจัดทาโครงงานวิทยาศาสตร์ไปใช้ประโยชน์ใน ชีวติ ประจาวันไดอ้ ยา่ งไร ขั้นท่ี 4 การประเมินผลการเรยี นรู้ (E : Evaluation)
1. ครูและผู้เรียนช่วยกันสรปุ สาระสาคัญทุกหวั ข้อ/ลงในกระดาษรวบรวมส่งเป็นรปู เลม่ 2. ประเมินผลการจดั กิจกรรม 10. สือ่ /แหล่งเรียนรู้ 1. หนังสือเรยี น 2. แบบฝึกหดั 3. สอื่ อนิ เตอร์เน็ต 11. การวดั และประเมนิ ผล 11.1วธิ ีการวัดและประเมินผล - ใบงาน 11.2 เครือ่ งมือวดั และประเมินผล - ผลจากการตรวจใบงาน 11.3 เกณฑ์การวดั และการประเมนิ ผล - ใบงานคะแนนเตม็ 10คะแนน กจิ กรรมเสนอแนะ ............................................................................................................................. ................................................. ...... ............................................................................................................................. ................................................. ...... .............................................................................................................................................................................. ...... ลงช่ือ…………………………………………….ครูผสู้ อน (นายฤทธชิ ยั ลแี วง) ครู กศน.ตาบล ข้อเสนอแนะของผู้บริหาร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……............................................................................................................................. ........................................... ......................................................................................................................................................... .....................
.............................................................................................................. ........................................................... ..... .............................................. ลงชือ่ ………………………………………………………ผ้อู นุมตั ิแผน (นางป๎ทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผู้อานวยการ กศน.อาเภอจตรุ พักตรพมิ าน บันทึกหลังการจัดการเรียนรู้ กศน.ตาบลเมืองหงส์ ครง้ั ท่ี 11 วัน/เดือน/ปวี นั ที่ 20 เดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2565 ครผู ู้สอนนายฤทธชิ ัย ลีแวง ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น เวลา 09.00-12.00 น. สาระความรู้พื้นฐาน รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ รหัสวชิ า พค21001 จานวนผเู้ รียนทงั้ หมด ............... คนเขา้ เรยี น…………………คน ไมเ่ ข้าเรยี น……………………….คน 1. ผลการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้การประเมนิ โดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรียน - หลังเรียน พบว่า คะแนนการทดสอบหลงั เรียน มากกว่าก่อนเรยี นจานวน ........ คนคิดเป็นร้อยละ............ คะแนนการทดสอบหลังเรยี น นอ้ ยกวา่ ก่อนเรียนจานวน ......... คนคิดเป็นร้อยละ............ 2. เนอ้ื หา/สาระ/รายวชิ า ............................................................................................................................. ...................................... .................................................................................................................................... ............................... 3. กิจกรรมการเรยี นการสอน ................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ...................................... 4. ปญั หา/อุปสรรคการเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ...................................... ................................................................................................................................................................... 5. แนวทางการแกป้ ัญหา ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................................. ...................................... ลงชือ่ .........................................................(ผูบ้ ันทึก) (นายฤทธิชัย ลีแวง)
ครู กศน.ตาบล ความเหน็ /ข้อเสนอของผู้บริหาร ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................ ....................................................................... ลงช่ือ.................................................. (นางปท๎ มาภรณ์ ศรเี นตร) ผู้อานวยการ กศน.อาเภอจตุรพกั ตรพิมาน ใบความรู้ การจดั ทา โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 1. ความหมายของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ให้ความหมายของโครงงานวิทยาศาสตร์ว่า เป็น การศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ของนักเรียนตามความสนใจและระดับความรู้ ความสามารถ ภายใต้วิธีการทาง วิทยาศาสตร์ เพ่อื ตอบปญั หาทส่ี งสยั ได้ผลงานที่มคี วามสมบูรณ์ในตวั เอง การทาโครงงานวิทยาศาสตร์ เป็นส่วนหน่ึงของกิจกรรมส่งเสริมด้านวิทยาศาสตร์หรือเทคโนโลยี โดยผู้เรียนเป็นผู้วางแผนการศึกษาค้นคว้า ดาเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล สรุปผล และเสนอผลการศึกษา ค้นคว้าด้วยตนเอง เพ่ือให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ มีเจตคติทางวิทยาศาสตร์ รวมท้ังได้ฝึกฝนทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ โดยมีครู อาจารย์ หรือผทู้ รงคณุ วฒุ ิ เป็นเพยี งผู้คอยให้คาปรกึ ษา 2. หลกั การของกจิ กรรมโครงงานวทิ ยาศาสตร์ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้ระบุหลักการที่สาคัญของกิจกรรมโครงงาน วิทยาศาสตร์ ไวด้ งั นี้ 1. เนน้ การแสวงหาความรดู้ ้วยตนเอง เปดิ โอกาสให้นักเรียนริเร่ิมวางแผน และดาเนินการศึกษาด้วย ตนเอง โดยมอี าจารย์เป็นผู้ชแี้ นะแนวทางและให้คาปรึกษา 2. เน้นกระบวนการแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ต้ังแต่การกาหนดป๎ญหาหรือ เลือกหัวข้อที่สนใจ การวางแผนการศึกษาค้นคว้า การรวบรวมข้อมูล หรือการทดลอง และการ สรุปผลการศกึ ษาคน้ ควา้
3. เนน้ การคดิ เปน็ ทาเปน็ และการแก้ป๎ญหาดว้ ยตนเอง 4. การทากิจกรรมโครงงานวิทยาศาสตร์มุ่งฝึกให้นักเรียนเรียนรู้วิธีการศึกษาค้นคว้าและแก้ป๎ญหา ด้วยตนเอง มิได้เนน้ การส่งเข้าประกวดเพ่ือรบั รางวลั 3. จุดมุ่งหมายของการทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้ระบุจุดมุ่งหมายของการทาโครงงาน วทิ ยาศาสตร์ ไวด้ งั น้ี 1. เพื่อใหผ้ เู้ รยี นใช้ความรแู้ ละประสบการณ์เลือกทาโครงงานวิทยาศาสตร์ตามทตี่ นสนใจ 2. เพือ่ ให้ผเู้ รยี นได้ศกึ ษาค้นควา้ ข้อมูลจากแหลง่ ความรตู้ า่ งๆ ดว้ ยตนเอง 3. เพื่อใหผ้ เู้ รียนไดแ้ สดงออกซึ่งความคิดรเิ ร่ิมสรา้ งสรรค์ 4. เพื่อให้ผู้เรียนมเี จตคติทางวทิ ยาศาสตร์ และเหน็ คุณค่าของการใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ใน การแก้ป๎ญหา 4. ลกั ษณะทส่ี าคัญของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ 1. เปน็ เรือ่ งทน่ี ักเรียนสนใจ สงสยั ตอ้ งการหาคาตอบ 2. เปน็ การเรยี นรู้ทีม่ ีกระบวนการ มีระบบ ครบกระบวนการ 3. เปน็ การบูรณาการการเรยี นรู้ 4. นกั เรยี นได้ใชค้ วามรู้หลายดา้ น 5. มีความสอดคล้องกบั ชวี ิตจริง 6. มีการศกึ ษาอยา่ งลมุ่ ลึก ดว้ ยวิธกี ารและแหลง่ ขอ้ มลู อย่างหลากหลาย 7. เป็นการแสวงหาความร้แู ละสรปุ ความรดู้ ้วยตนเอง 8. มีการนาเสนอโครงงานดว้ ยวธิ ีการท่เี หมาะสม ในด้านกระบวนการและผลงานท่คี น้ พบ 9. ข้อค้นพบและสิ่งท่ีคน้ พบ สามารถนาไปใช้ในชวี ิตประจาวนั ได้ 5. ประเภทของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ โครงงานวิทยาศาสตร์ แบง่ ออกได้เป็น 4 ประเภทใหญ่ๆ ดังน้ี 1. โครงงานประเภทสารวจรวบรวมข้อมูล การสารวจรวบรวมข้อมลู บางอย่างเพอ่ื จาแนกหมวดหมู่ โครงงานประเภทน้ีไม่กาหนดตัวแปร ในการเก็บข้อมลู อาจเป็นการสารวจในภาคสนาม หรอื ในธรรมชาติ หรอื นามาศึกษาในห้องปฏบิ ัติการ เพ่ือ นาไปใชศ้ ึกษาทดลองต่อ ตวั อยา่ งของโครงงานประเภทน้ี เชน่
การสารวจพืชพันธุ์ไมใ้ นโรงเรยี นหรือในท้องถนิ่ การสารวจพฤตกิ รรมดา้ นต่างๆ ของสตั ว์ การสารวจป๎ญหาส่ิงแวดลอ้ มในชุมชน การศึกษาวฏั จักรชวี ิตของสัตวช์ นดิ ใดชนดิ หนง่ึ การศึกษาลักษณะของสภาพอากาศในท้องถิ่น 2. โครงงานประเภททดลอง โครงงานท่มี ีลกั ษณะออกแบบการทดลอง เพื่อศึกษาผลของตัวแปรตวั หนึง่ โดยควบคุมตัวแปร อืน่ ๆ โครงงานประเภทนนี้ กั เรียนจะได้แกป้ ๎ญหา ปฏบิ ัตจิ รงิ กับป๎ญหาหรือข้อสงสยั ของนักเรียน ดาเนนิ การ อบรม ทดลอง สรุปผล วเิ คราะหผ์ ลทีไ่ ด้ออกมา ซึ่งจะเป็นการใช้ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์อย่าง สมบรู ณ์ ตัวอย่างของโครงงานประเภทนี้ เช่น ศึกษาการตดั ใบข้าวโพดท่ีมีผลกระทบต่อการเจริญเตบิ โตและผลผลิต การปอู งกันการเป็นหนอนของปลาเคม็ โดยใช้สารสกัดจากพืชทีม่ รี สขม การทายากนั ยุงจากพชื ในท้องถน่ิ การใชม้ ูลววั ปูองกนั วัวกนิ ใบพืช การบังคบั ผลแตงโมเปน็ รปู ส่เี หลีย่ ม 3. โครงงานประเภทสง่ิ ประดิษฐ์ โครงงานประเภทน้ี เป็นการประดิษฐ์สิ่งใดส่ิงหนึ่ง เครื่องมือเครื่องใช้หรืออุปกรณ์ เพื่อใช้สอย ต่างๆ สง่ิ ประดษิ ฐ์อาจคิดขนึ้ มาใหม่ ปรบั ปรุง หรือสร้างแบบจาลอง โดยประยุกต์หลักการทางวิทยาศาสตร์ ใช้ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ มีการกาหนดตัวแปรที่จะศึกษาและทดสอบประสิทธิภาพของชิ้นงานด้วย หาก นักเรียนประดิษฐ์ช้ินงานขึ้นมาโดยมิได้ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ถือว่าเป็นส่ิงประดิษฐ์ที่ไม่ใช่โครงงาน วิทยาศาสตร์ ตวั อย่างโครงงานประเภทสิ่งประดษิ ฐ์ เช่น กรงดักแมลง เคร่อื งโรยปยุ๋ ยางพารา เคร่อื งยา่ ยางพารา เครอ่ื งตไี ขส่ าหรับเด็ก เครือ่ งให้อาหารปลา เครอ่ื งแยกไข่แดง ต้อู บพลังงานแสงอาทิตย์ทอู นิ วนั กล่องอบแหง้ พลังงานแสงอาทติ ยร์ ูปทรงแปดเหลย่ี ม 4. โครงงานประเภททฤษฎี โครงงานประเภทนี้ เป็นโครงงานทีเ่ สนอทฤษฎี หลักการหรือแนวคิดใหมๆ่ ซึง่ อาจอย่ใู นรูป ของสูตร สมการ หรือคาอธิบาย โดยผเู้ สนอได้ตง้ั กติกาหรอื ข้อตกลงข้นึ มาเอง แล้วเสนอทฤษฎหี ลกั การ
แนวความคดิ หรือจนิ ตนาการของตนเองตามกติกาหรอื ขอ้ ตกลงนน้ั หรืออาจใชก้ ติกาหรือข้อตกลงมาอธิบายสิ่ง หรอื ปรากฏการณต์ า่ งๆ ในแนวใหม่ ทฤษฎี หลักการ แนวความคิด หรอื จินตนาการท่ีเสนอนี้ อาจจะใหมย่ งั ไม่มใี ครคดิ มาก่อน หรอื อาจขัดแยง้ กบั ทฤษฎีเดมิ หรือเปน็ การขยายทฤษฎหี รือความคิดเดมิ กไ็ ด้ การทาโครงงานประเภทนี้ จดุ สาคัญอยทู่ ่ีผู้ทาต้องมคี วามรู้พื้นฐานในเร่ืองน้ันเป็นอยา่ งดี จึง จะสามารถเสนอโครงงานประเภทนี้ไดอ้ ย่างมเี หตุผลน่าเชื่อถอื โดยท่ัวๆ ไป โครงงานประเภทนี้ มักเปน็ โครงงานทางคณิตศาสตร์ หรือวิทยาศาสตรบ์ รสิ ุทธิ์ ตัวอยา่ งของโครงงานประเภทนี้ เชน่ การอธิบายอวกาศแนวใหม่ ทฤษฎีของจานวนเฉพาะ โครงงานวิทยาศาสตร์ ได้มาจากป๎ญหาหรือข้อสงสัย ซ่ึงควรจะเป็นป๎ญหาท่ีใกล้ตัวของผู้เรียน พยายามอย่าให้ ผู้เรียนคดิ ป๎ญหาทไ่ี กลตวั เกนิ ความสามารถของเด็กท่จี ะทาได้ ตัวอย่างการไดม้ าซงึ่ โครงงานวิทยาศาสตร์ ไดแ้ ก่ ปญ๎ หาใกลต้ ัว ป๎ญหาในท้องถิ่น ความสนใจสว่ นตวั การสงั เกตสง่ิ ต่างๆ ใกล้ตวั คาบอกเลา่ ของผูอ้ ่นื การทดลองเล่น การทาปฏิบัติการ โครงงานอ่ืนที่เคยมีผทู้ าไว้แลว้ การตัง้ คาถามของครใู ห้นกั เรียนคิด ฝกึ ตงั้ ปญ๎ หา การทา Web ระดมความคดิ เพอ่ื หาเรอื่ งท่จี ะทาโครงงาน 7. วธิ ีทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ 2. ตงั้ สมมตุ ิฐาน 3. ออกแบบการทดลอง 1. กาหนดปัญหา 6. นาเสนอ 5. อภปิ รายและสรุปผล 4. ทดลอง ขน้ั ตอนการทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ 1. กาหนดปัญหา 2. ตัง้ สมมุติฐาน ต้งั ปัญหาหรือสมมตุ ิฐานเกี่ยวกบั ปัญหา กาหนดตวั แปรที่สงสยั (ตวั แปรตน้ ) ผล เพื่อ ที่ ตามมาจากการสงสยั (ตวั แปรตาม) และ 3. ออกแบบการทดลอง จะตอ้ งควบคุมตวั แปรใดบา้ ง เพ่อื ใหไ้ ด้ เป็ นการบอกความสัมพนั ธ์ระหว่างตวั 4. ทดลอง แปรท้งั หมดใหเ้ ป็ นรูปธรรมซ่ึงสามารถ ปฏิบตั ิไดจ้ ริงและน่าเช่ือถือวา่ จะตอ้ งใช้ เป็ นการปฏิบตั ิจริง ซ่ึงจะตอ้ งทดลอง ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หลาย ๆ คร้ัง อยา่ งนอ้ ยตอ้ ง 3 คร้งั เพอื่ จะ ไดผ้ ลท่ีน่าเช่ือถือ การทดลองบางคร้ังผลการ
ตัวอยา่ งโครงงานวิทยาศาสตร์ ขัน้ ตอนโครงงานวทิ ยาศาสตร์ โครงงานวิทยาศาสตร์ หมายถงึ การทากิจกรรมทางวทิ ยาศาสตร์ชนดิ หน่งึ ที่ผูท้ าโครงงานจะตอ้ ง นาเอาวธิ กี ารทางวิทยาศาสตร์ (secientific method) และกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ (science process) มาใช้เพ่ือศึกษาหาทางแก้ป๎ญหาเรือ่ งใหม่ ๆ หรือประดิษฐค์ ิดค้นสง่ิ ใหม่ ๆโดยผู้ทาโครงงาน เปน็ ผ้คู ดิ เร่อื งหรือ เลือกเร่ืองทีต่ ้องการศกึ ษามีการวางแผนดาเนินการ (ลงมือปฏิบตั )ิ บนั ทึกผล วิเคราะห์ข้อมูล สรุปผลและเสนอ ผลงานด้วยตนเอง ตง้ั แตต่ น้ จนสาเรจ็ ทุกขัน้ ตอน การทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ขั้นท่ี 1การคดิ และเลอื กช่อื เร่ืองหรือปญ๎ หาทจี่ ะศึกษา ข้นั ตอนนี้เป็นขนั้ ทส่ี าคัญที่สุดและยากท่ีสดุ ตามหลักการแล้วนกั เรียนควรจะเป็นผู้คิดและเลือกหัวข้อเรอื่ งท่ีจะ ศกึ ษาดว้ ยตนเองแต่ครูอาจมีบทบาทหรอื มสี ่วนช่วยเหลอื ใหน้ กั เรียนสามารถคดิ หัวข้อเรื่องได้ดว้ ยตนเอง ดังจะ ได้กล่าวต่อไป การทาโครงงานวิทยาศาสตร์ ขนั้ ท่ี 2การวางแผนในการทาโครงงาน ได้แก่การวางแผนวิธดี าเนินงานในการศึกษาค้นควา้ ท้งั หมด เชน่ วัสดอุ ุปกรณท์ ีจ่ าเป็นต้องใช้ในการออกแบบ การทดลอง และควบคมุ ตัวแปรวิธีดาเนินการรวบรวมข้อมูล การวางแผนปฏิบตั ิงานอยา่ งครา่ ว ๆว่าจะ ดาเนนิ การอย่างไรบ้างเป็นขัน้ ตอน แล้วนาเสนออาจารย์ทป่ี รกึ ษาเพอ่ื ขอคาแนะนาเพิ่มเติม และขอความ เห็นชอบ การทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ขั้นที่ 3การลงมือทาโครงงาน ไดแ้ ก่การลงมือปฏิบัติตามแผนงานทไ่ี ด้วางไว้ล่วงหน้าแลว้ ในข้ันทีส่ องน่ันเองประกอบดว้ ยการเกบ็ รวบรวม ขอ้ มูล การสร้างหรือการประดิษฐ์ การปฏิบตั ิการทดลองซ่ึงสุดแลว้ แต่จะเป็นโครงงานประเภทใดและการ คน้ คว้าจากเอกสารต่าง ๆแลว้ ดาเนนิ การวเิ คราะหข์ ้อมลู แบง่ ความหมายของข้อมูลและสรปุ ผลของการศึกษา คน้ ควา้ การทาโครงงานวิทยาศาสตร์ ขน้ั ที่ 4การเขยี นรายงาน เปน็ การเสนอผลของการศกึ ษาค้นควา้ เปน็ ลายลักษณ์อักษรหรอื เป็นเอกสารเพื่ออธิบายใหผ้ อู้ น่ื ทราบ
รายละเอียดท้งั หมดของการทาโครงงานซงึ่ จะประกอบด้วยป๎ญหาทท่ี าการศึกษาวัตถุประสงค์ของการศึกษา วธิ ีดาเนนิ การศกึ ษาค้นควา้ อุปกรณ์หรือเคร่อื งมือที่ใช้ ข้อมูลต่าง ๆทรี่ วบรวมได้ ผลที่ได้จากการศกึ ษาค้นคว้า ตลอดจนประโยชนแ์ ละข้อเสนอแนะตา่ ง ๆที่ได้จากการทาโครงงานวิทยาศาสตรน์ ั้น ๆวธิ ีเขยี นรายงานโครงงาน วิทยาศาสตร์ก็มีลักษณะและแนวทางในการเขยี นเชน่ เดยี วกับการเขียนรายงานผลการวจิ ยั ทางวิทยาศาสตร์ ของนักวิทยาศาสตร์นน่ั เอง การทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ขั้นที่ 5การแสดงผลงาน เปน็ การเสนอผลงานที่ได้ศกึ ษาค้นควา้ สาเร็จลงแล้วให้ผู้อืน่ ได้รับร้แู ละเข้าใจซึง่ อาจกระทาไดห้ ลายรปู แบบ เช่น การจดั นิทรรศการการสาธติ แสดงประกอบการรายงานปากเปล่า ฯลฯ ในการจัดแสดงผลงานของการทาโครงงานวิทยาศาสตรท์ ่ีครอู าจกระทาได้ในหลายระดับ เช่น 1. การจัดเสนอผลงานภายในช้นั เรียน 2. การจัดแสดงนทิ รรศการภายในโรงเรียนเปน็ การภายใน 3. การจดั แสดงนิทรรศการในงานประจาปขี องโรงเรยี น 4. การสง่ โครงงานเข้ารว่ มในงานแสดงหรอื ประกวดภายนอกโรงเรยี นในระดับต่าง ๆ เชน่ ระดบั กล่มุ โรงเรยี น ระดบั จงั หวดั ระดับเขตการศึกษา และระดบั ชาติ เป็นตน้ ใบงานท่ี 1 ประเภทโครงงานวทิ ยาศาสตร์ จงบอกประเภทของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ 1. ก้านผักตบชวากับการลดปริมาณสารพิษในในควันบุหร่ี ......................................................................................................................................................... 2. เปลอื กผลไมล้ บคาผิด .................................................................................................... ..................................................... 3. เคร่อื งแยกไขแ่ ดงไข่ขาว .................................................................................................... ..................................................... 4. การสารวจลักษณะทางพันธุกรรมของนักเรยี นโรงเรยี นบา้ นบางสาน .................................................................................................... ..................................................... 5. การอธิบายคลน่ื ยักษ์ สนึ ามิ ......................................................................................................................................................... 6. การทากระดาษสาจากใบพืช .................................................................................................... ..................................................... 7. ปิโตรเลียมเกดิ ขึ้นได้อยา่ งไร .................................................................................................... ..................................................... 8. เครื่องให้อาหารปลาดุก .................................................................................................... .....................................................
9. เตาอบพลังงานแสงอาทติ ย์ ......................................................................................................................................................... 10. การวิเคราะหค์ ่ามมุ โดยใชห้ ลักปิโตรเลยี ม .................................................................................................... ..................................................... ชอ่ื – สกลุ …………………………………………………………………รหสั นักศกึ ษา………………………………………… แผนการจัดการเรยี นร้รู ายวิชาวทิ ยาศาสตร์ คร้ังที่ 3 ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2565 ระดับมัธยมศกึ ษาตอนตน้ กศน.ตาบลเมอื งหงส์ 1. สัปดาห์ท่ี 12 วันท่ี 27 เดอื น กรกฎาคม พ.ศ. 2565 เวลา 09.00-12.00น. 2. วชิ า วทิ ยาศาสตร์ รหัสวิชา พว21001 จานวน 4 หนว่ ยกิต 3. มาตรฐานท่ี 2.2 มีความรู้ความเข้าใจ และทักษะพน้ื ฐานเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ วทิ ยาศาสตรแ์ ละ เทคโนโลยี 4. หน่วยการเรียนรู้/เร่ือง เกณฑใ์ นการจาแนกสาร 5. สาระสาคัญ สารเพ่ือชวี ิต การจาแนกสาร ธาตแุ ละสารประกอบ สารละลาย กรด-เบส สารและ ผลติ ภณั ฑในชีวิต 6. เน้อื หา 1. เกณฑ์ ในการจาแนกสาร 2. การใช้สถานะใชเ้ นื้อสาร 3. สมบัติของธาตุ สารประกอบสารละลาย สารผสม 7. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นร้/ู ผลการเรยี นรูท้ ี่คาดหวัง (ดูจากผังการออกข้อสอบ) 1.อธิบายความแตกต่างและจาแนกธาตุ สารประกอบ สารละลาย และสารผสม 2. สามารถจาแนกสารโดยใชเ้ นอ้ื สารและสถานะเป็นเกณฑ์ 8. การบรู ณาการกับหลักแนวคิดของเศรษฐกิจพอเพียง (2 เง่อื นไข 3 หลักการ การเชื่อมโยงสู่ 4 มติ ิ) ความรู้
สรุปความ จบั ประเดน็ สาคัญของเรอื่ งการจาแนกสาร คณุ ธรรม - มคี วามตง้ั ใจ - มคี วามขยัน - มีความคดิ สรา้ งสรรค์ พอประมาณ - เนื้อหาวิชาท่เี รยี นรู้มีความเหมาะสมกบั วยั ของผเู้ รยี นและใช้เวลาเหมาะสมกบั เน้ือหา - ผู้เรยี นเลอื กวิชาทส่ี ามารถศึกษาเองไดเ้ ปน็ การเรยี นแบบ กรต. มเี หตุผล - เลอื กใช้สารเคมีที่เหมาะสมและเกดิ ประโยชน์ มีภมู ิคมุ้ กนั - มคี วามรู้เรื่องการจาแนกสาร - มคี วามรูเ้ รอ่ื งการใชส้ ารเคมี วัตถุ - ได้จาแนกสารโดยวิธีแตกตา่ งกนแล้วแต่ชนดิ ของสาร สงั คม - ผูเ้ รียนแลกเปลีย่ นความคิดเห็นร่วมกนั ได้ - ผู้เรียนใชก้ ระบวนการกลุ่มไดอ้ ย่างเหมาะสม สิ่งแวดล้อม - รจู้ ักการใชส้ ารท่ีอนุรกั ษท์ รพั ยากรสิง่ แวดลอ้ ม วฒั นธรรม - ผลติ ภณั ฑแ์ ละวิธกี ารใชส้ ารเคมที ี่มีการบอกต่อๆกนั 9. กระบวนการจดั การเรียนรูแ้ ละกิจกรรมการเรียนรู้ ขน้ั ที่ 1 กาหนดสภาพปญั หาการเรยี นรู้ (O : Orientation) 1. ครูสร้างความคนุ้ เคยกบั ผเู้ รยี นทาความเขา้ ใจเนื้อหาวิชาวิทยาศาสตรเ์ รือ่ งเกณฑ์ในการ จาแนกสาร ชีแ้ จงตัวช้ีวัดของหนว่ ยการเรยี นรู้ 2. ครูทักทายกลา่ วนาอธบิ ายการกาหนดเปูาหมายและการวางแผนการเรยี นร้เู กณฑใ์ นการ จาแนกสารสมบัติของธาตสุ ารประกอบ สารละลาย สารผสม ขัน้ ท่ี 2 แสวงหาขอ้ มูลและจัดการเรยี นรู้ (N : New ways of learning) 1. ครูและผูเ้ รียนวางแผนวิธกี ารเรยี นรู้เนื้อหาทีก่ าหนด
15 นาที 2. ผู้เรยี นแบง่ กลมุ่ ตามหัวข้อท่ีกาหนดใหโ้ ดยวธิ ีการจบั ฉลาก 1. เกณฑ์ในการจาแนกสาร 2. สมบตั ขิ องธาตุ สารประกอบ สารละลาย สารผสม 3. ผู้เรยี นศกึ ษาใบความรจู้ ากท่ีแต่ละกลุ่มจบั ฉลากได้ และส่อื อินเตอร์เน็ต โดยให้เวลาศึกษา 4. ผเู้ รยี นแตล่ ะกลุม่ ส่งตวั แทนนาเสนอเร่ืองที่ศกึ ษา กลมุ่ ละไมเ่ กนิ 5 นาที หน้าชั้นเรียน 5. ผู้เรียนทาแบบทดสอบเรื่องสมบัตขิ องสาร เพ่ือทดสอบความเข้าใจ ข้นั ท่ี 3 การปฏิบตั แิ ละการนาไปใช้ (I : Implementation) 1. ครแู ละผ้เู รียนสรุปเนื้อหาท่ไี ด้เรียนรรู้ ว่ มกนั ข้นั ท่ี 4 การประเมินผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) 1. ผเู้ รียนมสี ่วนรว่ มในการประเมนิ แบบฝึกหดั ของแต่ละกล่มุ โดยการเขียนชือ่ ตนเองไวใ้ นใบงาน 2. ครูสงั เกตจากการมีส่วนรว่ มของผู้เรยี น 10. สื่อ/แหลง่ เรียนรู้ 1. หนงั สอื เรยี น 2. แบบฝึกหดั 3. ใบงาน 4. ใบความรู้ 5. สือ่ อินเตอรเ์ น็ต 11. การวดั และประเมินผล 10.1วิธกี ารวดั และประเมินผล - ใบงาน - แบบทดสอบก่อนเรยี น – หลงั เรยี น 10.2 เครอ่ื งมือวัดและประเมินผล - ผลจากการตรวจใบงาน - คะแนนแบบทดสอบกอ่ นเรียน – หลังเรียน 10.3 เกณฑ์การวัดและการประเมนิ ผล - ใบงานคะแนนเต็ม 10คะแนน - แบบทดสอบก่อนเรยี น – หลังเรยี นเกณฑ์การประเมิน ผา่ น และไม่ผา่ น กิจกรรมเสนอแนะ ............................................................................................................................. ................................................. ......
............................................................................................................................................... ............................... ...... ............................................................................................. ................................................................................. ...... ลงชอ่ื …………………………………………….ครผู ้สู อน (นายฤทธชิ ัย ลแี วง) ครู กศน.ตาบล ขอ้ เสนอแนะของผู้บรหิ าร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……............................................................................................................................. ........................................... ......................................................................................................................................................... ..................... ................................... ลงชอื่ ………………………………………………………ผอู้ นุมัตแิ ผน (นางป๎ทมาภรณ์ ศรเี นตร) ผอู้ านวยการ กศน.อาเภอจตุรพกั ตรพิมาน บนั ทึกหลังการจัดการเรยี นรู้ กศน.ตาบลเมืองหงส์ ครัง้ ท่ี 12 วัน/เดือน/ปวี ันท่ี 27 เดอื นกรกฎาคม พ.ศ. 2565 ครผู ้สู อนนายฤทธิชัย ลีแวง ระดับ มัธยมศึกษาตอนตน้ เวลา 09.00-12.00 น. สาระความรู้พนื้ ฐาน รายวิชา วทิ ยาศาสตร์ รหัสวชิ า พว21001 จานวนผู้เรยี นทง้ั หมด ............... คนเขา้ เรยี น…………………คน ไม่เขา้ เรยี น……………………….คน 1. ผลการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้การประเมินโดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรยี น - หลังเรยี น พบวา่ คะแนนการทดสอบหลงั เรียน มากกว่ากอ่ นเรยี นจานวน ........ คนคิดเป็นร้อยละ............ คะแนนการทดสอบหลงั เรยี น น้อยกว่าก่อนเรียนจานวน ......... คนคิดเปน็ รอ้ ยละ............ 2. เนื้อหา/สาระ/รายวิชา
......................................................................................... .......................................................................... ............................................................................................................................. ...................................... 3. กจิ กรรมการเรียนการสอน ............................................................................................................................. ...................................... .................................................................................... ............................................................................... 4. ปญั หา/อปุ สรรคการเรียนการสอน ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................................. ...................................... 5. แนวทางการแกป้ ัญหา ................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ...................................... ลงชื่อ.........................................................(ผูบ้ ันทึก) (นายฤทธชิ ัย ลีแวง) ครู กศน.ตาบล ความเห็น/ข้อเสนอของผู้บรหิ าร ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................ ....................................................................... ลงช่ือ.................................................. (นางป๎ทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผู้อานวยการ กศน.อาเภอจตุรพักตรพิมาน ใบความท่ีรู้ 1 เร่อื งเกณฑใ์ นการจาแนกสาร เร่ืองที่ 1 สมบัติของสารและเกณฑใ์ นการจาแนกสาร สมบัติของสารหมายถงึ ลักษณะเฉพาะตวั ของสารเช่นเนื้อสารสกี ลน่ิ รสการนาไฟฟาู การละลายนา้ จดุ เดือด จุดหลอมเหลวความเปน็ กรด – เบสเป็นต้นสารแตล่ ะชนดิ มีสมบัติเฉพาะตวั ทีแ่ ตกตา่ งกันแบง่ เปน็ 2 ประเภท คือ 1. สมบตั ิทางกายภาพของสารเป็นสมบตั ิของสารทส่ี ามารถสังเกตได้ง่ายเพื่อบอกลักษณะของสารอย่าง ครา่ วๆได้แกส่ ถานะความแขง็ ความอ่อนสกี ลนิ่ ลกั ษณะผลึกความหนาแนน่ หรือเปน็ สมบตั ิที่อาจตรวจสอบได้ โดยทาการทดลองอย่างงา่ ยๆไดแ้ กก่ ารละลายนา้ การหาจดุ เดอื ดการหาจุดหลอมเหลวหรือจุดเยือกแข็งการนา ไฟฟาู การหาความถ่วงจาเพาะการหาความรอ้ นแฝง
2. สมบตั ทิ างเคมหี มายถึงสมบัติเฉพาะตวั ของสารที่เกย่ี วข้องกบั การเกิดปฏิกิรยิ าเคมีเช่นการเกิดสารใหม่ การสลายตัวให้ได้สารใหม่การเผาไหม้การระเบิดและการเกิดสนิมของโลหะเป็นตน้ เกณฑ์ในการจาแนกสาร ในการศึกษาเรื่องสารจาเป็นต้องแบง่ สารออกเป็นหมวดหมูเ่ พอ่ื ให้งา่ ยตอ่ การจดจาสารโดยทั่วไปนยิ ม ใชส้ มบัติทางกายภาพด้านใดดา้ นหนึง่ ของสารเป็นเกณฑใ์ นการจาแนกสาร ซงึ่ มหี ลายเกณฑ์ด้วยกนั เช่น 1. ใช้สถานะเปน็ เกณฑจ์ ะแบ่งสารออกไดเ้ ป็น 3 กลุ่มคือ 1.1 ของแข็ง ( solid ) หมายถึงสารทม่ี ีลกั ษณะรูปรา่ งไม่เปลย่ี นแปลงและมีรปู รา่ งเฉพาะตวั เน่อื งจาก อนภุ าคในของแขง็ จัดเรยี งชดิ ติดกันและอดั แนน่ อย่างมรี ะเบียบไมม่ ีการเคล่ือนทีห่ รือเคลื่อนทไี่ ด้นอ้ ยมากไม่ สามารถทะลผุ ่านได้และไม่สามารถบบี หรอื ทาใหเ้ ล็กลงไดเ้ ช่นไม้หินเหล็กทองคาดินทรายพลาสติกกระดาษเปน็ ตน้ 1.2 ของเหลว ( liquid ) หมายถงึ สารทีม่ ลี ักษณะไหลไดม้ รี ูปร่างตามภาชนะทีบ่ รรจเุ นื่องจากอนภุ าค ในของเหลวอยู่ห่างกนั มากกว่าของแขง็ อนุภาคไมย่ ึดตดิ กันจงึ สามารถเคล่ือนท่ีได้ในระยะใกล้และมีแรงดึงดูด ซงึ่ กันและกนั มปี ริมาตรคงท่ีสามารถทะลผุ า่ นได้เช่นน้าแอลกอฮอลน์ า้ มนั พชื น้ามันเบนซินเปน็ ต้น 1.3 แกส๊ ( gas ) หมายถึงสารที่ลักษณะฟงูุ กระจายเต็มภาชนะทีบ่ รรจุเน่ืองจากอนุภาคของแก๊สอยู่ หา่ งกันมากมีพลงั งานในการเคลื่อนท่ีอย่างรวดเรว็ ไปไดใ้ นทกุ ทิศทางตลอดเวลาจึงมีแรงดึงดูดระหวา่ งอนุภาค นอ้ ยมากสามารถทะลุผา่ นได้ง่ายและบีบอัดใหเ้ ลก็ ลงไดง้ ่ายเชน่ อากาศแก๊สออกซิเจนแก๊สหุงตม้ เปน็ ตน้ 2. ใช้ความเปน็ โลหะเปน็ เกณฑแ์ บ่งไดเ้ ป็น 3 กลมุ่ คือ 2.1 โลหะ ( metal) 2.2 อโลหะ ( non-metal ) 2.3 กง่ึ โลหะ ( metaliod ) 3. ใช้การละลายน้าเป็นเกณฑ์แบ่งได้ 2 กลมุ่ คือ 3.1 สารทล่ี ะลายนา้ 3.2 สารทไ่ี ม่ละลายน้า 4. ใช้เนอื้ สารเปน็ เกณฑ์แบง่ ออกเปน็ 2 กลมุ่ คือ 4.1 สารเนอ้ื เดยี ว ( homogeneous substance ) 4.2 สารเนอ้ื ผสม ( heterogeneous substance ใบความรู้ท่ี 2 สมบัตขิ องธาตุสารประกอบสารละลายสารผสม ธาตุ (Element) หมายถึงสารบริสุทธิ์ที่มีองค์ประกอบอย่างเดียวธาตุไม่สามารถจะนามาแยกสลาย ใหก้ ลายเปน็ สารอื่นโดยวิธีการทางเคมีธาตุมีทั้งสถานะที่เป็นของแข็งเช่นธาตุสังกะสี(Zn) ตะก่ัว (Pb) เงิน (Ag) และดีบุก (Sn) , เป็นของเหลวเช่นปรอท (Hg) เป็นก๊าซเช่นไนโตรเจน (N2) ฮีเลียม (He) ออกซิเจน (O2) ไฮโดรเจน (H2) เป็นต้น
สารประกอบ (compound) หมายถงึ “สารบริสทุ ธ์ิเน้ือเดียวท่ีเกิดจากธาตุตั้งแต่สองชนิดขึ้นไปเป็น องค์ประกอบ” สารประกอบเกิดจากการรวมตัวของธาตุโดยวิธีการทางเคมีสามารถแยกสลายให้เกิดเป็นสาร ใหม่หรือกลับคืนเป็นธาตุเดิมได้สารประกอบจะมีสมบัติเฉพาะตัวท่ีแตกต่างจากธาตุเดิมเช่นน้ามี สูตรเคมีเป็น H2O น้าเป็นสารประกอบท่ีเกิดจากธาตุไฮโดรเจน (H) และออกซิเจน (O) แต่มีสมบัติแตกต่างจากไฮโดรเจน และออกซิเจนนา้ ตาลทรายประกอบดว้ ยธาตคุ าร์บอน ( C ),ไฮโดรเจน (H) ,และออกซเิ จน (O) เปน็ ต้น สารละลาย (solution) หมายถึงสารเน้อื เดียวที่ไม่บริสทุ ธเิ์ กิดจากสารต้ังแต่ 2 ชนดิ ขน้ึ ไปมารวมกัน สารผสมหมายถึงสารท่มี ีองค์ประกอบภายในแตกตา่ งกันหรือสารที่เน้อื ไม่เหมือนกันทุกส่วนเช่นพริก เกลือคอนกรีตดินหรืออาจเป็นสารต้ังแต่สองชนิดขึ้นไปผสมกันอยู่โดยที่สารเหล่าน้ียังมีสมบัติเหมือนเดิมและ สามารถแยกออกจากกนั ได้โดยวธิ งี ่ายๆ
แบบฝึกหดั คาชีแ้ จงจงเลอื กคาตอบท่ีคดิ ว่าถกู ต้องท่ีสุดเพียงคาตอบเดียวในแตล่ ะข้อ 1) ขอ้ ใดไม่ใช่สสาร ก. เกลอื แกงใส่ลงในอาหาร ข. เสียงของสนุ ขั หอน ค. น้าแกงกาลงั เดือด ง. สายไฟทที่ าจากพลาสตกิ 2) ทองเหลอื งจดั เปน็ สารประเภทใด ก. ธาตุ ข. สารประกอบ ค. สารละลาย ง. สารเนื้อผสม 3) ขอ้ ใดต่อไปนเ้ี ป็นความหมายของสารประกอบ ก. โมเลกลุ ของสารประกอบด้วยธาตุ 2 อะตอมขึน้ ไป ข. สารที่ธาตเุ ปน็ ชนิดเดยี วกนั ค. สารท่ีเกดิ จากธาตุ 2 ชนิดข้นึ ไปมารวมกนั ง. ผลติ ภณั ฑท์ ีไ่ ด้จากการทาปฏิกริ ิยากนั ของสาร 2 ชนิด 4) ขอ้ ความต่อไปน้ีข้อใดถูกต้อง ก. สารละลายทกุ ชนิดเป็นสารบริสทุ ธิ์ ข. สารบรสิ ุทธบิ์ างชนดิ เปน็ สารเนือ้ เดยี ว ค. สารประกอบทุกชนิดเปน็ สารเน้อื เดียว ง. ธาตุบางชนิดเป็นสารเนอ้ื เดียว 5) ถ้าจดั เหลก็ น้าเชื่อมและสารละลายกรดซัลฟวิ ริกให้อยู่ในกลมุ่ เดียวกนั จะตอ้ งใช้อะไรเป็นเกณฑ์ในการจดั ก. การนาไฟฟูา ข. การละลาย ค. การเป็นสารเนือ้ เดยี วกนั ง. สมบัตเิ ป็นกรด-เบส 6) วิธกี ารกล่นั นา้ ให้บริสุทธ์ิแบบธรรมดาจะไม่เหมาะสมเม่ือนามาใช้กบั อะไร ก. นา้ ทะเล ข. นา้ คลอง ค. นา้ ผสมแอลกอฮอล์ ง. สารละลายโพแทสเซยี มคลอ ไรด์ 7) การแยกน้ามันดบิ สว่ นใหญ่อาศยั วิธกี ารแบบใด ก. การสันดาป ข. การกล่ันลาดับสว่ น ค. การตกตะกอนลาดับสว่ น ง. การสลายตวั ดว้ ยความรอ้ น 8) กรดในข้อใดเปน็ กรดอินทรียท์ ั้งหมด ก. นา้ มะขามกรดไฮโดรคลอริก ข. น้ามะนาวกรดไนตรกิ ค. กรดแอซิตกิ นา้ มะนาว ง. น้ามะขามกรดซัลฟวิ ริก 9) สารใดตอ่ ไปนี้มีสภาพเป็นเบสทงั้ หมด ก. น้ามะนาวน้าอดั ลม ข. นา้ มะขามนา้ เกลือ ค. สารละลายผงซักฟอกน้าข้ีเถา้ ง. สารละลายยาสฟี ๎นนา้ ยาล้างจาน 10) สบู่เกิดจากปฏกิ ิรยิ าเคมีระหวา่ งสิ่งใด ก. แชมพกู ับนา้ มันพชื ข. กรดกบั ไขมันสตั ว์
ค. ไขมนั สัตวก์ ับนา้ ขี้เถา้ ง. ไม่มีข้อใดถูก เฉลยแบบทดสอบเร่ืองสารและการจาแนกสาร 1. ข 6. ง 2. ก 7. ข 3. ค 8. ก 4. ค 9. ค 5. ก 10. ง
แผนการจดั การเรียนรู้รายวิชาวทิ ยาศาสตร์ ครง้ั ที่ 4 ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2565 ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนต้น กศน.ตาบลเมอื งหงส์ 1. สปั ดาห์ที่ 13 วันที่ 3 เดือน สงิ หาคม พ.ศ. 2565 เวลา 09.00-12.00น. 2. วิชา วิทยาศาสตร์ รหัสวิชา พว21001 จานวน 4 หนว่ ยกิต 3. มาตรฐานที่ 2.2 มีความรู้ความเขา้ ใจ และทักษะพน้ื ฐานเกยี่ วกบั คณติ ศาสตร์ วิทยาศาสตรแ์ ละ เทคโนโลยี 4. หนว่ ยการเรยี นรู/้ เรือ่ ง งานและพลงั งาน 5. สาระสาคัญ ความหมายของงานและพลังงาน รปู ของพลังงานประเภทต่าง ๆ พลังงานไฟฟาู กฎของโอห์มการต่อ วงจรความต้านทานแบบต่าง ๆ การคานวณหาคา่ ความต้านทาน การใชป้ ระโยชนจ์ ากไฟฟาู ในชีวิตประจาวนั และการอนุรักษ์พลังงานไฟฟูา แสงและคุณสมบัตขิ องสาร เลนสช์ นิดตา่ ง ๆ ประโยชนแ์ ละโทษของแรงตอ่ ชีวติ แหล่งกาเนิดของพลังงานความร้อน การนาความรอ้ นไปใช้ประโยชน์พลงั งานทดแทน 6. เนือ้ หา เรอื งที่ 1 ความหมายของงานและพลังงาน เรอื งที่ 2 รปู ของพลังงานประเภทตา่ ง ๆ เรืองท่ี 3 ไฟฟูา เรอื งท4ี่ แสง 7. จดุ ประสงค์การเรียนรู/้ ผลการเรียนรทู้ ่คี าดหวัง (ดจู ากผงั การออกข้อสอบ) 1. อธิบายความหมายของงานและพลังงานในรปู แบบต่าง ๆ ได้ 2. ต่อวงจรไฟฟาู อย่างง่ายได้ 3. ใช้กฎของโอหม์ ในการคานวณได้ 4. บอกวิธกี ารอนุรักษ์และประหยดั พลังงานได้ 5. อธิบายสมบตั ิของแสง พลังงานความรอ้ น และนาไปใช้ประโยชนใ์ นชวี ติ ประจาวนั ได้ 6. อธบิ ายพลงั งานทดแทนและเลอื กใช้ได้ 8. การบรู ณาการกบั หลกั แนวคิดของเศรษฐกจิ พอเพียง (2 เงอื่ นไข 3 หลกั การ การเชื่อมโยงสู่ 4 มติ ิ) ความรู้ สรุปความ จับประเด็นสาคญั ของเร่ืองงานและพลังงาน คณุ ธรรม - มคี วามต้ังใจ - มคี วามขยนั - มคี วามซื่อสัตย์
พอประมาณ - เนอ้ื หาวชิ าทเี่ รยี นรูม้ ีความเหมาะสมกบั วัยของผเู้ รียนและใช้เวลาเหมาะสมกบั เนอ้ื หา - ผูเ้ รยี นเลือกวชิ าท่ีสามารถศึกษาเองไดเ้ ปน็ การเรียนแบบ กรต. มเี หตผุ ล - ผู้เรียนนาวสั ดทุ ีม่ ีมาปรบั ใชใ้ นการทาพลงั งานทดแทน มีภมู คิ ุ้มกัน - มคี วามรเู้ รอ่ื งงานและพลังงาน - มคี วามรเู้ รอ่ื งการใช้ประโยชนจ์ ากพลงั งานแต่ละประเภท วตั ถุ - การใช้วสั ดอุ ปุ กรณ์แต่ละชนิดจนทาใหเ้ กิดประเภทของงานและพลังงานแตล่ ะ ประเภท สังคม - ผู้เรียนแลกเปล่ยี นความคดิ เห็นรว่ มกนั ได้ - ผเู้ รียนใช้กระบวนการกลุ่มได้อยา่ งเหมาะสม ส่ิงแวดล้อม - ใช้วสั ดอุ ุปกรณ์ทม่ี ีในท้องถนิ่ และอนุรกั ษส์ ิ่งแวดลอ้ มได้ วัฒนธรรม - ใช้วัสดใุ นท้องถ่นิ นามาประดษิ ฐแ์ ละใชใ้ หเ้ กิดแรงต่างๆ 9. กระบวนการจัดการเรียนรูแ้ ละกจิ กรรมการเรยี นรู้ ข้ันท่ี 1 กาหนดสภาพปญั หาการเรียนรู้ 1. ครูสร้างความคนุ้ เคยกับผู้เรียนทาความเขา้ ใจเน้ือหาวชิ าวิทยาศาสตรเ์ รื่องงานและพลังงาน ชี้แจงตวั ชี้วดั ของหน่วยการเรียนรู้ 2. ครูทกั ทายกล่าวนาอธบิ ายการกาหนดเปาู หมายและการวางแผนการเรียนรู้เรอ่ื งงานและ พลงั งาน ขัน้ ท่ี 2 แสวงหาข้อมลู และจัดการเรียนรู้ 1. ครอู ธิบายเรอ่ื งงานและพลังงาน และประโยชนข์ องการนาไปใช้ 2. ผ้เู รยี นศึกษาใบความรู้ และสือ่ อนิ เตอรเ์ นต็ 3. ผ้เู รียนแต่ละกลุ่มส่งตัวแทนนาเสนอเรื่องท่ีศึกษา กลุ่มละไม่เกิน 5 นาที หนา้ ชั้นเรียน 4. ผู้เรยี นทาแบบทดสอบเร่ืองงานและพลงั งานเพ่ือทดสอบความเข้าใจ ขนั้ ที่ 3 การปฏิบตั แิ ละการนาไปใช้ 1. ครูและผเู้ รียนสรุปเน้ือหาทไ่ี ด้เรียนรู้รว่ มกัน ขน้ั ท่ี 4 การประเมนิ ผลการเรียนรู้
1. ผู้เรียนมีส่วนรว่ มในการประเมินแบบฝึกหัดของแต่ละกลุม่ โดยการเขียนชอ่ื ตนเองไว้ในใบงาน 2. ครูสงั เกตจากการมีส่วนรว่ มของผู้เรียน 10. ส่อื /แหล่งเรียนรู้ 1. หนังสือเรยี น 2. แบบฝกึ หัด 3. สือ่ อินเตอรเ์ น็ต 11. การวดั และประเมนิ ผล 11.1วิธีการวัดและประเมินผล - ใบงาน - แบบทดสอบก่อนเรยี น – หลงั เรียน 11.2 เครอื่ งมอื วดั และประเมินผล - ผลจากการตรวจใบงาน - คะแนนแบบทดสอบก่อนเรียน – หลังเรียน 11.3 เกณฑก์ ารวัดและการประเมนิ ผล - ใบงานคะแนนเต็ม 10คะแนน - แบบทดสอบก่อนเรยี น – หลังเรียนเกณฑ์การประเมนิ ผา่ น และไมผ่ า่ น กจิ กรรมเสนอแนะ ............................................................................................................................. ................................................. ...... .............................................................................................................................................................................. ...... ............................................................................................................................. ................................................. ...... ลงชื่อ…………………………………………….ครูผูส้ อน (นายฤทธิชัย ลีแวง) ครู กศน.ตาบล ขอ้ เสนอแนะของผู้บริหาร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……............................................................................................................................. ........................................... .............................................................................................................................................................................. .................................. ลงชอื่ ………………………………………………………ผอู้ นมุ ตั ิแผน (นางปท๎ มาภรณ์ ศรเี นตร) ผอู้ านวยการ กศน.อาเภอจตรุ พกั ตรพมิ าน บันทึกหลังการจัดการเรยี นรู้ กศน.ตาบลเมืองหงส์ คร้งั ที่ 13 วัน/เดอื น/ปีวันท่ี 3 เดอื นสงิ หาคม พ.ศ. 2565 ครูผูส้ อนนายฤทธิชยั ลีแวง ระดับ มธั ยมศึกษาตอนต้น เวลา 09.00-12.00 น. สาระความรู้พื้นฐาน รายวิชา วิทยาศาสตร์ รหสั วชิ า พว21001 จานวนผู้เรียนทั้งหมด ............... คนเขา้ เรียน…………………คน ไม่เขา้ เรียน……………………….คน 1. ผลการจดั กิจกรรมการเรียนรู้การประเมินโดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรยี น - หลังเรยี น พบวา่ คะแนนการทดสอบหลงั เรยี น มากกว่ากอ่ นเรยี นจานวน ........ คนคดิ เปน็ ร้อยละ............ คะแนนการทดสอบหลังเรยี น นอ้ ยกวา่ ก่อนเรียนจานวน ......... คนคดิ เปน็ ร้อยละ............ 2. เนอ้ื หา/สาระ/รายวชิ า ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................................. ...................................... 3. กิจกรรมการเรียนการสอน ................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ...................................... 4. ปญั หา/อปุ สรรคการเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................................. ...................................... 5. แนวทางการแกป้ ัญหา ................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ......................................
ลงชื่อ.........................................................(ผู้บันทกึ ) (นายฤทธชิ ัย ลแี วง) ครู กศน.ตาบล ความเหน็ /ข้อเสนอของผู้บริหาร ................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ...................................... ลงชื่อ.................................................. (นางป๎ทมาภรณ์ ศรเี นตร) ผู้อานวยการ กศน.อาเภอจตรุ พกั ตรพมิ าน ใบความรู้ เร่ือง งานและพลังงาน งานและพลงั งาน งาน (Work) คือ ปริมาณของพลังงานท่เี ปน็ ผลมาจากแรงซ่ึงกระทาตอ่ วัตถุ ก่อนส่งผลใหว้ ตั ถดุ ังกล่าว เคลอ่ื นท่ีไปตามแนวแรงได้ในระยะทางหนึง่ ซ่ึงในระบบเอสไอ (SI) งานเปน็ ปรมิ าณสเกลาร์ (Scalar) เช่นเดยี วกับพลงั งาน มหี น่วยเปน็ นวิ ตันเมตร (N•m) หรอื จูล (J) สามารถคานวณได้จากความสมั พันธ์ ดังตอ่ ไปน้ี W=Fxs เมอื่ W = งานทเ่ี กิดขึ้นจากแรงกระทา F = แรงที่กระทาตอ่ วัตถุ มหี นว่ ยเป็นนิวตนั (N) s = ระยะทางทว่ี ัตถุเคลื่อนที่ไปตามแนวแรง มีหนว่ ยเป็นเมตร (m) ในทางฟสิ กิ ส์ งานจะเกิดขน้ึ ได้ ตอ่ เมื่อมแี รงมากระทาต่อวัตถุ แลว้ ทาใหว้ ตั ถุมีการกระจัดอยใู่ นทิศทาง หรือในแนวเดียวกนั กับแรง เช่น เม่อื ยกกลอ่ งที่มีนา้ หนัก 30 นิวตนั ขึ้นจากพื้นไปวางบนชนั้ หนังสอื ท่ีสงู จากพืน้ 1.2 เมตร งานทีเ่ กิดขนึ้ จากแรงกระทาดังกลา่ ว สามารถคานวณไดจ้ ากสตู ร W = F x s ตวั อย่างเชน่ จากแรงกระทา หรือ F = 30 นวิ ตัน และระยะทาง หรอื s = 1.2 เมตร W = 30 นวิ ตัน x 1.2 เมตร = 36 จลู ดงั นัน้ งานที่ทาไดม้ ีคา่ เทา่ กับ 36 จูล ซึง่ จากนยิ ามดงั กลา่ ว งานที่เกดิ ข้นึ จะมีคา่ เปน็ บวก (+) เมือ่ แรงและการกระจัดเปน็ ไปในทิศทาง เดยี วกนั โดยงานทีไ่ ด้จะมีค่าเปน็ ลบ (-) ต่อเม่ือแรงและการกระจัดเป็นไปในทิศทางตรงกันข้าม ขณะที่งานจะมี ค่าเป็นศูนย์ (0) หากแรงและการกระจดั เกิดขึ้นในระนาบซึ่งตง้ั ฉากต่อกนั และกนั เนื่องจากแรงท่ีกระทาไม่ สามารถทาให้วตั ถุเคล่ือนท่ีไปจากตาแหนง่ เดิมได้
กาลงั (Power) คือ อัตราของงานท่ีทาไดใ้ นหนึ่งหนว่ ยเวลา โดยกาลังเป็นตัวชี้วัดความสามารถในการทางาน ของท้งั เครื่องยนต์ มนุษย์ สัตว์ หรือสง่ิ มีชีวิตอื่น ๆ โดยสามารถคานวณได้จากความสมั พันธ์ ดงั ต่อไปน้ี P = W/t เมือ่ P = กาลงั มหี น่วยเป็นวัตต์ (W) W = งานท่ีทาได้ มีหนว่ ยเปน็ นิวตันเมตร หรอื จูล (J) t = ระยะเวลาของการทางาน มีหนว่ ยเปน็ วนิ าที (s) พลงั งาน (Energy) คือ ความสามารถในการทางานของส่ิงมีชวี ิต วัตถุ หรอื สสารตา่ ง ๆ เชน่ การ หายใจ การเคลื่อนที่ หรือการเปลีย่ นแปลงสถานะของสสาร กระบวนการเหลา่ นส้ี ามารถดาเนินตอ่ ไปไดเ้ พราะ พลังงานในธรรมชาติ พลังงานเป็นปรมิ าณพ้ืนฐานของระบบ ซึ่งไม่มวี ันสญู สลาย แต่สามารถเปลีย่ นไปอยู่ใน รปู แบบตา่ ง ๆ ของพลงั งาน ตาม “กฎการอนุรกั ษพ์ ลงั งาน” (Law of Conservation of Energy) เชน่ พลงั งานนิวเคลยี ร์ พลังงานความร้อน หรอื พลังงานไฟฟูา เปน็ ตน้ ประเภทของพลงั งาน พลังงานแบ่งออกเป็น 6 ประเภท ตามลักษณะท่ีเหน็ ไดช้ ัดเจน ซง่ึ ไดแ้ ก่ 1. พลงั งานเคมี พลังงานเคมเี ปน็ พลงั งานท่สี ะสมอยใู่ นสารต่างๆ โดยอยู่ในพนั ธะระหว่างอะตอมในโมเลกลุ เมือ่ พันธะ แตกสลาย พลงั งานสะสมจะถูกปลอ่ ยออกมาในรูปของความร้อนและแสงสว่าง เชน่ พลงั งานทถ่ี ูกเก็บไว้ใน แบตเตอร่ี พลังงานในกองฟืน พลงั งานในขนมชอ็ กโกแลต พลงั งานในถงั นา้ มัน เมอ่ื ไมล้ ุกไหม้แล้วจะให้ คารบ์ อนไดออกไซด์และไอนา้ รวมถึงผลติ ของเสยี อนื่ ๆ เช่น ขีเ้ ถ้า เนือ่ งจากเชื้อเพลิงทใ่ี ชแ้ ตล่ ะชนิด มโี ครงสร้างทางเคมที ตี่ ่างกัน เม่อื ใชใ้ นปริมาณเชื้อเพลิงทเี่ ท่ากนั จึงใหค้ วาม รอ้ นไม่เท่ากัน ซึ่งกา๊ ซธรรมชาตนิ น้ั ให้ความร้อนมากกว่าน้ามัน และน้ามันนนั้ ก็ให้ความรอ้ นมากกวา่ ถา่ นหนิ 2. พลังงานความรอ้ น แหลง่ กาเนดิ พลังงานความรอ้ น มนษุ ยเ์ ราได้พลังงานความร้อนมาจากหลายแห่งดว้ ยกัน เช่น จากดวง อาทติ ย์, พลงั งานในของเหลวร้อนใต้พน้ื พิภพ การเผาไหมข้ องเชื้อเพลิง พลังงานไฟฟาู พลงั งานนิวเคลยี ร์ พลงั งานนา้ ในหม้อต้มนา้ พลังงานเปลวไฟ ผลของความร้อนทาให้สารเกิดการเปลย่ี นแปลง เชน่ อณุ หภมู สิ ูงข้ึน หรือมกี ารเปลยี่ นสถานะไป
นอกจากนี้ พลงั งานความร้อน ยังสามารถทาให้เกดิ การเปล่ียนแปลงทางเคมีไดอ้ ีกดว้ ย หน่วยทใี่ ช้วัดปริมาณ ความร้อน คือ แคลอรี่ โดยใชเ้ ครือ่ งมือที่เรยี กวา่ แคลอรี่มเิ ตอร์ 3. พลังงานกล พลงั งานกลเป็นพลงั งานที่เกยี่ วข้องกับการเคล่ือนที่โดยตรง เช่น ก้อนหนิ ที่อยูบ่ นยอดเนนิ จะมี พลังงานศักย์กล (Potential mechanical energy) อยจู่ านวนหนง่ึ ขณะท่ีกอ้ นหินกล้งิ ลงมาตามทางลาดของ เนนิ พลังงานศักยจ์ ะลดลง และเกดิ พลังงานจลนก์ ลของการเคล่ือนที่ (Kinetic mechanical energy) ขนึ้ แทน ส่ิงมีชวี ติ อาศัยพลังงานรูปนใี้ นการทางานที่ต้องมีการ เคลื่อนไหวเปน็ ประจา เชน่ การเดิน การขยับแขนขา การหยบิ วตั ถุ เปน็ ต้น 4. พลงั งานจากการแผร่ งั สี พลังงานท่ีมาในรปู ของคลน่ื เช่น แสง ความรอ้ น คลื่นวิทยุ อนิ ฟาเรด อัลตราไวโอเลต รังสีเอกซ์ รังสี คอสมิก สิง่ มชี ีวิตต้องอาศยั พลังงานรปู น้ี ในกระบวนการท่ีสาคญั ต่างๆ เชน่ การมองเห็นภาพ การสงั เคราะห์ ดว้ ยแสง การขยายพันธชุ์ นดิ ทขี่ น้ึ อยกู่ ับช่วงแสง อาจสรปุ ได้วา่ เปน็ พลงั งานจากคลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟูานน้ั เอง ซึ่ง พลังงานรูปนม้ี บี ทบาทต่อความเปน็ อยปู่ กติของสิ่งมีชวี ิต และอาจจะได้พลงั งานทไี่ ด้รบั จากดวงอาทิตย์ พลงั งานจากเสาสง่ สญั ญาณทีวี พลังงานจากหลอดไฟ พลงั งานจากเตาไมโครเวฟ และพลงั งานจากเลเซอรท์ ีใ่ ช้ อ่านแผน่ ซีดี เป็นตน้ 5. พลงั งานไฟฟ้า พลงั งานท่ีได้จากปฏกิ ิริยาเคมีแบบหนงึ่ อนั มีผลให้เกดิ กระแสไฟฟูาข้นึ ได้ และกระแสไฟฟูาท่เี กิดขึ้นน้ี จะไหลผ่านความต้านทานไฟฟาู ได้ถา้ ต่อให้เป็นวงจร ผลจากกระแสไฟฟาู ดังกล่าวอาจทาใหเ้ กิดผลต่างๆ เชน่ กอ่ ให้เกิดอานาจแม่เหล็ก เกิดความร้อนหรือแสงสว่าง พลังงานทีเ่ กิดจากการผ่านขดลวดไปในสนามแมเ่ หลก็ พลังงานท่ีใชข้ ับเครื่องคอมพิวเตอร์ และพลังงานท่ีได้จากเซลลแ์ สงอาทติ ย์ เปน็ ตน้ 6. พลงั งานนวิ เคลียร์ พลงั งานที่ถูกปล่อยออกจากสารกัมมนั ตภาพรังสี ท่ีมีอยู่ในธรรมชาตหิ รือทเ่ี กิดในเตาปฏิกรณ์ปรมาณู หรอื ระเบิดปรมาณู การเกิดฟิวชนั ของนวิ เคลียรเ์ ลก็ มีหลกั อยู่ว่า ถา้ นาเอาธาตุเบาๆ ต้ังแต่ 2 ธาตขุ นึ้ ไป มา รวมกนั โดยมพี ลังงานความร้อนอย่างสงู เข้าชว่ ย จะทาใหธ้ าตุเบาๆ น้รี วมกนั กลายเปน็ ธาตใุ หม่ ซ่ึงหนัก กวา่ เดิม สว่ นฟิสชนั เกิดจากปฏกิ ริ ยิ าระหวา่ งการยิงอนุภาคบางชนิดกับนวิ เคลียสของธาตุหนักๆ ทาใหน้ วิ เคลียสของ ธาตหุ นกั แตกแยกออกเปน็ 2 ส่วน ซึง่ แตล่ ะสว่ นเป็นธาตุทเ่ี บากว่าเดมิ และขนาดเกือบเท่าๆ กนั พลังงานรปู น้ี มบี ทบาทต่อความเปน็ อยูป่ กติของส่ิงมีชีวิตน้อย
ประเภทของพลงั งานกล (Mechanical Energy) พลังงานศกั ย์ (Potential Energy : Ep) คือ พลังงานท่ีสะสมอยู่ในวัตถุหรือสสารท่หี ยุดนงิ่ อย่กู ับที่ โดยพลังงานศักย์สามารถจาแนกออกเปน็ 2 ประเภท ได้แก่ พลงั งานศกั ย์โนม้ ถ่วง (Gravitational Potential Energy) คือ พลงั งานท่ีสะสมอยู่ในวตั ถุ เน่อื งจากแรง โนม้ ถ่วงของโลก เช่น พลงั งานของนา้ ในเข่ือน หรอื ก้อนหินบนภูเขาสงู ซ่ึงทาให้พลงั งานศกั ยโ์ น้มถว่ งสามารถ คานวณไดจ้ ากความสัมพนั ธ์ ดังน้ี Ep = mgh เมือ่ Ep = พลังงานศกั ย์โนม้ ถ่วง มีหน่วยเปน็ นิวตนั เมตร หรือจลู (J) m = มวล มีหนว่ ยเปน็ กิโลกรมั (kg) g = ความเร่งจากแรงโน้มถ่วงโลก มีค่าราว 9.8 เมตรต่อวินาทีกาลังสอง (m/s2) h = ระยะความสูงของวัตถุ มหี น่วยเปน็ เมตร (m) พลงั งานศกั ย์ยืดหยนุ่ (Elastic Potential Energy) คือ พลงั งานท่ีสะสมอยู่ในวตั ถทุ ่ีมีความหยืด หยุ่น โดยพลงั งานจะสะสมอยู่ในรปู ของการหดตวั บดิ เบย้ี ว หรือโคง้ งอ จากการได้รับแรงกระทา ก่อน มแี รงดงึ ตัวกลับเพื่อคนื สู่สภาพเดิม เช่น สปรงิ ขดลวด หรอื นาฬิกาไขลาน พลงั งานจลน์ (Kinetic Energy : Ek) คอื พลงั งานทเี่ กิดขึ้นในขณะท่วี ัตถุกาลังเคล่ือนที่ เชน่ การไหลของ กระแสน้า การบินของนก และการเคล่ือนที่ของรถยนต์ ซึง่ พลังงานจลนส์ ามารถคานวณได้จากความสัมพันธ์ ดังนี้ Ek = ½ mv^2 เมื่อ Ek = พลังงานจลน์ มหี นว่ ยเป็นนิวตันเมตร หรอื จลู (J) m = มวล มีหน่วยเป็นกโิ ลกรมั (kg) v = ความเรว็ มีหน่วยเปน็ เมตรต่อวินาที (m/s) ปัจจยั ที่มผี ลต่อพลังงานจลน์ คือ มวลของวัตถุและความเร็วในการเคลอ่ื นที่ ซึ่งโดยท่วั ไปแลว้ วตั ถทุ ี่ เคล่ือนท่ีดว้ ยความเร็วสงู มักมีพลงั งานจลน์มากกวา่ วัตถซุ ึ่งเคล่อื นที่ดว้ ยความเร็วต่า แตถ่ ้าวตั ถุดงั กล่าวเคลื่อนท่ี ด้วยความเรว็ เทา่ กนั วัตถทุ ี่มีมวลมากกว่าจะมีพลงั งานจลนม์ ากกว่า
ใบงานวชิ าวิทยาศาสตร์ เรื่อง พลังงานศกั ย์โน้มถ่วง พลังงานจลน์ พลังงานกลและกฎการอนุรักษ์พลังงาน ชื่อ....................................................สกลุ ........................................ระดับ............................................ คาชแี้ จง : จงตอบคาถามต่อไปนใ้ี หถ้ กู ต้องสมบูรณ์ 1. พลงั งานกลคือ................................................................................................................. ........................ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. พลังงานศกั ย์โนม้ ถว่ งคือ.......................................................................................................................... …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. พลังงานจลนค์ อื ............................................................................................................... .......................
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. พลงั งานจลนข์ องวตั ถุจะมากหรือน้อยขน้ึ อยูก่ ับ...................................................................................... …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 5. พลังงานศกั ย์ของวตั ถจุ ะมากหรอื น้อยขน้ึ อยู่กับ...................................................................................... 6. จงหาพลังงานจลนข์ องวัตถุมวล 4 กิโลกรมั เมื่อเคล่ือนท่ดี ้วยความเรว็ 20 เมตรต่อวนิ าที …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 7. วตั ถุมวล 4 กโิ ลกรมั อยูส่ งู จากพนื้ ดิน 10 เมตร จะมีพลังงานศักยเ์ ท่าใด (กาหนดคา่ g = 9.8 m/s2 ) …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… คาชีแ้ จง ใช้ข้อมูลต่อไปน้ีตอบคาถามขอ้ 8 – 9 วตั ถุมวล 10 กิโลกรมั ปล่อยจากตึกสูงจากพื้นดนิ 20 เมตร 8. จงหาพลงั งานศักยข์ องวตั ถุ (กาหนดค่า g = 9.8 m/s2 ) …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
แผนการจดั การเรยี นรรู้ ายวชิ าทักษะการพฒั นาอาชีพ ครั้งท่ี 1 ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2565 ระดบั มัธยมศึกษาตอนต้น กศน.ตาบลหวั ชา้ ง 1. สัปดาห์ท่ี 14 วนั ที่ 10 เดอื น สงิ หาคม พ.ศ. 2565 เวลา 09.00-12.00น. 2. วิชา ทกั ษะการพัฒนาอาชีพ รหสั วิชา อช21002 จานวน 4 หนว่ ยกติ 3. มาตรฐานที่ 3.4 มคี วามรู้ ความเขา้ ใจ ในการพัฒนาอาชพี ใหม้ คี วามมนั่ คง 4. หน่วยการเรียนรู้/เร่ือง ความจาเป็นในการฝึกทักษะ กระบวนการผลิตกระบวนการตลาดท่ีใช้ นวัตกรรม เทคโนโลยีเพอื่ พัฒนาอาชีพ 5. สาระสาคัญ การประกอบอาชีพจาเป็นต้องมกี ารพัฒนาท้ังด้านกระบวนการผลติ และกระบวนการตลาดอยา่ ง ต่อเน่ือง เพ่ือให้สนิ ค้าอยใู่ นตลาดไดน้ าน โดยนานวัตกรรมเทคโนโลยีมาประยกุ ต์ใช้กบั ภูมิปญ๎ ญาให้เหมาะสม นอกจากจะมีความรู้ ความสามารถในทักษะกระบวนการผลิตและกระบวนการตลาดแล้ว ผู้ประกอบ ธรุ กิจจาเป็นต้องมคี วามสามารถดา้ นอื่นๆ ประกอบด้วย ได้แก่ การหาแหล่งท่ีเอื้อต่อการพัฒนาอาชีพ ความ เขา้ ใจในปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและการพฒั นาตนเองอยา่ งสมา่ เสมอ จงึ จะทาให้อาชีพมีความเขม้ แขง็ ก่อนทีจ่ ะฝกึ ทกั ษะเพือ่ พฒั นาอาชีพจะตอ้ งทราบว่า จะฝกึ ทักษะอะไรบา้ ง แล้ววางแผนการฝึกวา่ จะ ฝกึ อย่างไร ที่ไหน เมื่อไร ระหว่างการฝึกควรมีการจดบันทึกเพื่อสรปุ เป็นองค์ความรู้ 6. เนอ้ื หา 1. ความจาเป็นในการฝึกทักษะ เพ่ือพัฒนาอาชีพ 2. ความจาเปน็ ในการพัฒนาการผลิต 3. ความจาเป็นในการพัฒนากระบวนการตลาด 7. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นร/ู้ ผลการเรยี นรทู้ ่ีคาดหวัง 1.อธิบายความจาเปน็ ในการฝึกทกั ษะ กระบวนการผลิต กระบวนการตลาดที่ใช้ นวตั กรรม เทคโนโลยี 8.การบูรณาการกับหลักแนวคิดของเศรษฐกิจพอเพยี ง (2 เง่อื นไข 3 หลกั การ การเชอื่ มโยงสู่ 4 มิติ) ความรู้ ความจาเป็นในการฝกึ ทักษะ เพ่ือพัฒนาอาชพี ความจาเปน็ ในการพัฒนาการผลติ ความจาเป็นในการ พัฒนากระบวนการตลาด คณุ ธรรม - มีความขยัน - มีความสามัคคใี นการทางานร่วมกัน - มคี วามซือ่ สตั ย์ พอประมาณ - การมีสติ และคิดพจิ ารณาความเหมาะสม / ความจาเป็นในการประกอบอาชพี
มเี หตุผล - มีทักษะในการในการพัฒนาอาชีพสามารถวางแผนการผลิตและการตลาดได้ - สามารถผลติ สินค้าและการตลาดท่ีมีคุณภาพ มภี มู คิ ุ้มกัน - ลดการลดทุนท่ีเกิดความเสยี่ ง - ลดความเสีย่ งในการขาดทุน วัตถุ - มีสินค้าทมี่ ีคุณภาพ - มอี าชพี ท่ีม่นั คง สงั คม - มกี ารทางานร่วมกันเป็นกลุ่มแลกเปล่ียนความคดิ และวิเคราะหร์ ว่ มกัน สิง่ แวดล้อม - มีอาชีพทีใ่ ช้ทรัพยากรที่มีความคุมค่า วัฒนธรรม - ส่งเสรมิ การประกอบอาชีพให้เหมาะสมกับชมุ ชนทีต่ นอาศัย 9. กระบวนการจดั การเรียนรู้และกิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นที่ 1 กาหนดสภาพปัญหาการเรยี นรู้ 1. ครพู ูดคยุ เกีย่ วกับสภาพปญ๎ หาในการประกอบอาชีพ วา่ มีป๎ญหาอะไรบ้าง และสามารถนา ทกั ษะและกระบวนการผลติ คอื ทุน แรงงาน สถานที่ การจัดการเข้ามาบรหิ ารจัดการโดยใชน้ วัตกรรมและ เทคโนโลยี พรอ้ มกบั กระบวนการตลาดท่จี ะแนะนาผลิตภัณฑเ์ ข้าสตู่ ลาดได้อย่างไร ขั้นท่ี 2 แสวงหาข้อมลู และจัดการเรยี นรู้ 1. ครนู าสินคา้ ชนดิ เดยี วกนั แต่คนละยห่ี ้อมาให้ผู้เรยี นเปรยี บเทียบสินค้าท้ังสองชนิดในช้ันเรยี นใน เร่ือง 1.1 ราคา 1.2 ผลติ ภัณฑ์ 1.3 ช่องทางการจัดจาหน่าย 1.4 การส่งเสริมการขาย 2.ครูใหผ้ เู้ รียน แบง่ เปน็ 3 กลุม่ ๆละ เท่าๆ กัน โดยกาหนดประเด็นการศึกษาคน้ ควา้ 1 ความจาเป็นในการพฒั นาการผลิต 2 ความจาเปน็ ในการพฒั นากระบวนการตลาด 3 ความจาเป็นในการฝึกทักษะเพื่อพัฒนาอาชีพ 3. ผเู้ รยี นศกึ ษาเนื้อหาเพิ่มเติมจากใบความร้แู ละส่ืออินเตอรเ์ น็ต
ข้นั ที่ 3 การปฏบิ ัตแิ ละการนาไปใช้ 1. ใหน้ กั ศกึ ษาวิเคราะหอ์ าชีพที่สนใจ ให้ครอบคลุมเน้ือหาความจาเป็นท้งั สามหวั ข้อ พร้อมนาเสนอ หน้าชนั้ เรียน ขนั้ ที่ 4 การประเมนิ ผลการเรียนรู้ 1. ใหผ้ ูเ้ รยี นประเมนิ ผลเนื้อหาและการนาเสนอของเพ่ือนดว้ ยการยกมือใหค้ ะแนน 2. ครูและผูเ้ รียนสรปุ เนือ้ หาพร้อมแลกเปล่ียนเรียนรู้ร่วมกัน 10. ส่ือ/แหลง่ เรยี นรู้ 1. หนังสือเรียนรายวิชาทักษะการพัฒนาอาชีพ (อช21002) 2. ใบงาน 3. ใบความรู้ 4. ส่ืออินเตอรเ์ น็ต 11. การวัดและประเมินผล 11.1วธิ ีการวัดและประเมนิ ผล - ใบงาน 11.2 เคร่ืองมือวดั และประเมินผล - ผลจากการตรวจใบงาน 11.3 เกณฑก์ ารวัดและการประเมนิ ผล - ใบงาน กจิ กรรมเสนอแนะ ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ...................... ลงชือ่ …………………………………………….ครูผูส้ อน (นางวไิ ลวรรณ รตั นสังข)์ ครู กศน.ตาบล ขอ้ เสนอแนะของผู้บรหิ าร .............................................................................................................................. ................................................ .............................................................................................................................................................................. ......................
ลงชื่อ………………………………………………………ผู้อนุมตั ิแผน (นางป๎ทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผู้อานวยการ กศน.อาเภอจตรุ พักตรพมิ าน บนั ทึกหลังการจัดการเรยี นรู้ กศน.ตาบลหัวช้าง ครง้ั ที่ 14 วนั /เดอื น/ปวี นั ท่ี 10 เดือน สิงหาคม พ.ศ. 2565 ครผู สู้ อนนางวิไลวรรณ รัตนสงั ข์ ระดับ มัธยมศึกษาตอนต้น เวลา 09.00-12.00 น. สาระการประกอบอาชีพ รายวิชา ทักษะการพฒั นาอาชีพ รหัสวชิ า อช21002 จานวนผู้เรียนท้ังหมด ............... คนเขา้ เรยี น…………………คน ไม่เขา้ เรียน……………………….คน 1. ผลการจดั กิจกรรมการเรียนรู้การประเมนิ โดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรยี น - หลังเรียน พบว่า คะแนนการทดสอบหลังเรียน มากกว่ากอ่ นเรยี นจานวน ........ คนคิดเปน็ ร้อยละ............ คะแนนการทดสอบหลังเรยี น นอ้ ยกวา่ ก่อนเรียนจานวน ......... คนคดิ เป็นรอ้ ยละ............ 2. เนื้อหา/สาระ/รายวิชา ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................ ....................................................................... 3. กจิ กรรมการเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................................. ...................................... 4. ปญั หา/อุปสรรคการเรียนการสอน ................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ...................................... 5. แนวทางการแกป้ ัญหา ............................................................................................................................. ...................................... ................................................................................................................................................................... ลงช่ือ.........................................................(ผบู้ ันทึก) (นางวไิ ลวรรณ รัตนสงั ข์) ครู กศน.ตาบล ความเห็น/ข้อเสนอของผบู้ ริหาร ............................................................................................................................. ...................................... .................................................................................................................................................................
ลงช่ือ.................................................. (นางป๎ทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผอู้ านวยการ กศน.อาเภอจตรุ พักตรพิมาน ใบความรู้ เร่ืองท่ี 1 ความจาเปน็ ในการฝกึ ทกั ษะกระบวนการผลติ กระบวนการตลาด ทีใ่ ชน้ วัตกรรมเทคโนโลยีเพือ่ พัฒนาอาชพี 1.1 ความจาเป็นในการฝกึ ทกั ษะเพอ่ื พัฒนาอาชีพ การพัฒนาทกั ษะอาชพี ด้านต่าง ๆ ใหท้ ันต่อการเปลยี่ นแปลงของตลาด ไดแ้ ก่ ความรู้ ความสามารถ ในกระบวนการผลติ และกระบวนการการตลาด การพฒั นาอาชีพมีความสาคัญและจาเป็น ดังน้ี 1. ด้านเศรษฐกิจ จากการแข่งขนั ทางธรุ กิจทมี่ กี ารแข่งขนั ทางการตลาดสงู จงึ เกดิ การรวมกลมุ่ การคา้ ตา่ ง ๆ เชน่ เขตการค้าเสรีอาเซียน เขตเศรษฐกิจยโุ รป ดังนน้ั การพัฒนาอาชีพจงึ เป็นมีการพัฒนาสินคา้ ให้ สามารถเขา้ สตู่ ลาดการแขง่ ขัน และเปน็ ท่ียอมรบั ของตา่ งประเทศ 2. ดา้ นสงั คม ประเทศท่ีมเี ศรษฐกจิ ดจี ะสง่ ผลให้สภาพของสังคมดขี ึ้น เชน่ ปราศจากโจรผรู้ ้าย 3. ด้านการศึกษา ครอบครวั ที่มีเศรษฐกิจดจี ะสามารถสง่ บุตรหลานเขา้ รับการศึกษาได้ตามความ ต้องการ และในอนาคตเยาวชนเหล่าน้กี ็จะเปน็ ประชากรท่ีมีคุณภาพ มีความสามารถในการประกอบอาชีพ สง่ ผลต่อเศรษฐกิจ สงั คมให้มีความเจริญกา้ วหน้าต่อไป 1.2 ความจาเปน็ ในการพัฒนากระบวนการผลติ จากสภาพสังคมทมี่ ีการเปล่ียนแปลงอย่ตู ลอดเวลา ส่งผลให้ความตอ้ งการสินคา้ ของผูบ้ รโิ ภคมีความ แตกต่างกนั ทัง้ ทางดา้ นปริมาณและด้านคุณภาพ ดังน้ัน การพัฒนาอาชีพจงึ มีความจาเป็นเพอ่ื รองรบั การ เปลีย่ นแปลงนน้ั เทคนิคและวิธีการในการพฒั นากระบวนการผลติ และกระบวนการตลาด โดยการนาภูมิ ปญ๎ ญา นวตั กรรม/เทคโนโลยี มาประยกุ ต์ใชใ้ นการพฒั นาการประกอบอาชพี กระบวนการผลติ เป็นการบริหารจัดการด้านทนุ แรงงาน ที่ดินหรือสถานที่ใหเ้ กิดผลผลิตหรอื สนิ คา้ ท่ี มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพ่ือให้ตรงกบั ความต้องการของตลาด องค์ประกอบของกระบวนการผลติ นาเสนอ ได้ตามแผนภมู ิ ดังนี้ 1. ทนุ หมายถึง ป๎จจัยท่ีเป็นเงนิ ทนุ วัสดุ อุปกรณ์ วัตถดุ ิบ เคร่อื งมือ เคร่ืองจักร ซึง่ ต้องศึกษาวา่ มี ทนุ ใดเขา้ มาเกี่ยวข้องและถา้ จะปรบั ปรุงแกไ้ ขต้องพิจารณาวา่ ต้องใช้ทนุ ประเภทใดมากน้อยเพยี งใด ลดจานวนที่ ใช้ไปบ้างได้หรอื ไม่ หรอื ใชส้ ง่ิ ทดแทนที่มรี าคาถกู แทนสิง่ ที่มีราคาแพงไดห้ รอื ไม่ หรือเนน้ ใช้ทุนท่มี ีอยู่ในท้องถ่นิ เพราะถา้ ใช้ทุนจากท่ีอื่นจะมีค่าใช้จา่ ยสูงขึน้ เช่น ค่าขนส่ง คา่ แรงงาน ถ้าเปน็ เงนิ ท่ีตอ้ งใช้ในการลงทุนท่ตี ้องไป กูย้ ืม เสยี ดอกเบี้ยในอตั ราท่สี ูงจะทาอยา่ งไรถึงจะลดดอกเบี้ยให้ตา่ ลง ซงึ่ จะมผี ลต่อการลดตน้ ทนุ 2. แรงงาน หมายถงึ แรงงานคน สัตว์ เครอ่ื งจกั รตา่ ง ๆ ทใ่ี ชใ้ นการผลติ ผูเ้ รียนจะตอ้ งศึกษา วเิ คราะห์ การใช้แรงงานวา่ ใช้แรงงานคุ้มคา่ กับเงนิ ทุนและเวลาหรือไม่ ใชแ้ รงงานเหมาะสมกับงานหรอื ขนาด ของพื้นที่หรือไม่ เชน่ พื้นท่ีนอ้ ยกค็ วรใชแ้ รงงานคนไม่ควรใชเ้ ครอื่ งจักรขนาดใหญ่ แรงงานทใี่ ช้มคี ุณภาพ หรอื ไม่ มีการให้ขวญั กาลงั ใจแกแ่ รงงานที่ใช้หรอื ไม่
3. สถานที่ หมายถึง ท่ดี ินทากิน หรอื สถานที่ต่าง ๆ เช่น หา้ งสรรพสนิ คา้ รา้ นค้า ซึ่งเป็นสถานที่ ประกอบการ ถ้าเปน็ ท่ีดนิ ทากินอาชีพเกษตรก็อาจจะพิจารณาวา่ ไดใ้ ช้ท่ดี นิ คุ้มค่ากบั การลงทนุ หรอื ไม่ ใช้ ทง้ั หมด หรือใช้อยา่ งเหมาะสมกบั การปลูกพืชหรือเลย้ี งสตั วห์ รือไม่ มีการทานุบารุงท่ดี ินทากนิ บ้างหรือไม่ เชน่ บารงุ ดินโดยปลูกพชื ตระกูลถั่ว แล้วไถกลบเพ่ือบารุงดิน สาหรับอาชีพบรกิ าร เช่น ขายอาหาร เปดิ ร้านเสรมิ สวย ซ่อมรองเท้า นวดแผนโบราณ ซงึ่ ตอ้ งอาศยั ทาเลทต่ี ้ัง เช่น อยใู่ นยา่ นชุมชน การเดินทางสะดวกสบาย มที ีจ่ อดรถให้ลกู คา้ ส่ิงตา่ งๆ เหลา่ นี้ตอ้ งนามา พิจารณาเพือ่ พัฒนาให้ดีขนึ้ 4. การจัดการ เปน็ การนาทนุ แรงงาน และที่ดนิ หรอื สถานทไี่ ปบรหิ ารจัดการให้เกิดผลผลิตอยา่ ง ค้มุ คา่ และไดป้ ระโยชนส์ งู สดุ ดังนัน้ การจัดการจงึ เปน็ สิง่ สาคัญและจาเป็นตอ่ การประกอบธุรกจิ ถา้ มี กระบวนการจดั การท่ผี า่ นการคิด วิเคราะห์ วางแผนอยา่ งเปน็ ข้ันตอน รอบคอบบนฐานขอ้ มูลที่เป็นจรงิ และ ตามสถานการณ์ในขณะนนั้ ก็นบั วา่ ไดเ้ ปรียบกวา่ บคุ คลอ่นื ๆ ท่ไี ม่ได้ใหค้ วามสาคัญ แต่ทาดว้ ยความเคยชิน ทา ใหข้ าดการพฒั นาอย่างต่อเนือ่ ง จึงทาใหธ้ ุรกจิ มีแต่คงทีห่ รือถอยหลัง เพื่อให้อาชพี ดาเนนิ ต่อไปได้ มีรายไดใ้ ห้ ครอบครัวมีกนิ มีใชใ้ นครัวเรอื น ควรต้องคานึงถงึ การออมเงินเพื่อเปน็ หลักประกันของครอบครัวต่อการ ดารงชีวติ ของลูกหลานและการศกึ ษาต่อ การประกอบอาชีพจาเป็นต้องมีการจดั การในการนานวัตกรรมหรือ เทคโนโลยมี าใช้ในการผลติ เพอื่ ใหผ้ ลผลติ มีคณุ ภาพและมีปริมาณเพยี งพอต่อความต้องการของตลาด 1.3 ความจาเป็นในการพัฒนากระบวนการตลาด เปน็ การบรหิ ารจดั การด้านการตลาด เร่มิ ตง้ั แตก่ ารศึกษา ความต้องการของลูกคา้ การกาหนดเปาู หมาย การทาแผนการตลาด การส่งเสริมการขาย การกาหนดราคา ขาย การขาย การส่งมอบสนิ ค้าให้กับลูกค้า ผู้ผลิตก็ต้องศึกษาวิเคราะห์จดุ อ่อน จดุ แข็งของกระบวนการตลาด ทกุ ขั้นตอนเพื่อนาข้อมูลมาใช้พฒั นาอาชีพ การตลาดเป็นเร่ืองยากของผู้ประกอบอาชีพใหม่ รวมถึงผู้ที่ประกอบอาชีพอยู่แลว้ การศึกษาข้อมูล และการทาความเขา้ ใจในวธิ ีการตลาดจะสามารถนามาปรบั ใชเ้ พือ่ การพัฒนากระบวนการตลาด สามารถแสดง กระบวนการไดต้ ามแผนภูมิ ดังน้ี 1. ผลติ ภัณฑ์ / สนิ ค้า หมายถึง ผลผลติ /ผลิตภณั ฑ/์ การบรกิ าร เช่น ผลผลติ การเกษตร ผลิตภณั ฑ์ แปรรปู ตา่ ง ๆ หรือเปน็ สนิ ค้าประเภทบรกิ าร เชน่ ขายอาหาร เสรมิ สวย นวดแผนโบราณ ซ่ึงผ้ปู ระกอบการ ตอ้ งพิจารณาความตอ้ งการของลกู ค้าอย่ตู ลอดเวลาว่า ความต้องการนน้ั ลดลงหรอื เพมิ่ ข้ึน ถ้าลดลงจะต้องมี การศกึ ษา วิเคราะห์ ลักษณะของผลผลิต/ผลติ ภณั ฑ์ เช่น รูปลักษณ์ ความสวยงาม ความต่ืนตาตน่ื ใจ ประโยชนข์ องการใชส้ อย โดยยึดความตอ้ งการของกลุ่มลูกค้าเป็นสาคัญ สาหรับอาชีพบริการต้องให้ ความสาคญั กบั การบริการด้วย เชน่ มารยาทการบรกิ าร ความรบั ผิดชอบ การมมี นุษยสัมพนั ธ์ 2. ราคา หมายถงึ การต้งั ราคาขายสินคา้ ซึง่ ข้ึนอยู่กบั ตน้ ทุนการผลติ เชน่ ค่าวัสดอุ ปุ กรณ์ คา่ ดอกเบยี้ คา่ เช่าสถานท่ี ค่าแรงงาน ค่าประชาสัมพนั ธ์ คา่ ขนสง่ คา่ น้ามัน ถา้ ส่งไปขายตา่ งประเทศจะมรี าคาแพงกวา่ ขายในประเทศไทย แต่อย่างไรกต็ ามผ้ขู ายควรเน้นการตงั้ ราคาให้เหมาะสมกับคณุ ภาพของสนิ คา้ และควรให้
ใกล้เคยี งกับคู่แข่งขัน ถ้าสนิ ค้าใดคแู่ ขง่ นอ้ ย ผขู้ ายก็ควรตั้งราคาใหย้ ุตธิ รรมกบั ผบู้ รโิ ภค ไม่ควรเอาเปรียบลูกคา้ เกนิ ไป ดังนัน้ ผ้ปู ระกอบการควรศึกษา วเิ คราะหว์ า่ ราคาของปจ๎ จยั การผลติ ผันแปรอย่างไรลดลงหรอื เพิม่ ข้ึน หรอื จดั หาวัสดุทม่ี ีราคาถกู ทดแทนวสั ดทุ ี่ราคาแพงได้ เพ่ือให้ต้นทนุ ลดลงได้ หรอื สามารถปรบั ลดอตั ราดอกเบยี้ คา่ เช่าสถานท่ี ค่าขนส่ง หรือลดการประชาสัมพนั ธก์ ็จะทาให้ตน้ ทุนการผลิตลดลง ซึง่ จะมผี ลต่อการกาหนด ราคาขายผลิตภณั ฑ์ ถา้ กาหนดราคาขายต่ากวา่ คู่แข่ง แต่ปริมาณการขายมากจะดกี ว่าขายราคาแพง ซึ่งผล กาไรโดยรวมสงู กวา่ ก็นา่ จะยดึ หลักการนี้ 3. ช่องทางการจัดจาหนา่ ย เป็นการกระจายสินคา้ ให้ไปถงึ ผบู้ ริโภคอย่างปลอดภยั ซงึ่ มีหลายวิธี เช่น การขายผา่ นคนกลาง การขายปลกี ซึ่งผปู้ ระกอบการจะต้องพจิ ารณาความรู้ ความสามารถและศกึ ษาศักยภาพ ของตนเองในการเลือกช่องทางการจดั จาหนา่ ยสนิ คา้ ซึ่งไม่จาเป็นต้องมีช่องทางจาหนา่ ยสนิ คา้ เพียงวิธเี ดียว อาจใชห้ ลาย ๆ วธิ เี พอื่ ให้เหมาะสม เชน่ แตเ่ ดิมขายผลไม้ผ่านคนกลางเพยี งอยา่ งเดยี ว ต่อมาเพ่มิ วธิ ีการขาย ปลีก ทาใหม้ ีชอ่ งทางการจดั จาหนา่ ยท้งั ขายผ่านคนกลางและขายปลกี 4. การส่งเสริมการขาย เปน็ การใช้เทคนิคหรือวธิ ีการใหล้ ูกค้ารู้จกั และต้องการซื้อสินค้าโดยวธิ ีตา่ ง ๆ เช่น การจัดให้มีการชงิ รางวลั การมีส่วนลด ซอื้ 1 แถม 1 การส่งเสริมการขายอาจจะประชาสมั พันธ์โดยวิธตี า่ ง ๆ เช่น แจกแผ่นปลิว ประกาศลงในหนงั สือพมิ พ์ วิทยุ โทรทศั น์ นอกจากจะสง่ เสริมการขายด้วยวธิ ีตา่ ง ๆ แลว้ การบรกิ ารหลังการขายก็เป็นเรือ่ งสาคญั เพราะการท่ี ลกู ค้าสั่งซ้ือสินคา้ ครั้งหนึง่ นนั้ ไมไ่ ดห้ มายความว่าผู้ขายจะขายไดค้ รัง้ เดียว แต่หากมีการบรกิ ารหลงั การขายทด่ี ี ลูกค้าก็สามารถกลับมาซ้ือใหม่ หรืออาจบอกต่อคนอ่ืน ๆ ให้มาใชบ้ รกิ ารก็ได้ ดงั นนั้ ผปู้ ระกอบการจะต้อง ศึกษา วิเคราะห์ การส่งเสรมิ การขายที่ดาเนินการอยู่ว่ามขี ้อดีข้อเสียอย่างไร ควรมีการปรบั ปรงุ วธิ กี ารหรอื ไม่ อย่างไร 1.4 การพฒั นาอาชพี ตอ่ ยอดและประยุกตใ์ ชภ้ มู ปิ ัญญา ในป๎จจุบนั การพัฒนาอาชีพต่อยอดเปน็ เรื่องสาคัญสาหรับผู้ผลติ เพราะการท่ีมผี ู้ผลติ จานวนมาก ท่ี ผลติ สินคา้ ซา้ ๆ กนั จะทาใหเ้ กิดตวั เลือกในการบรโิ ภคผลติ ภณั ฑ์ ซึ่งเป็นการดสี าหรับผูบ้ รโิ ภค แตไ่ ม่ดสี าหรบั ผู้ผลติ เพราะจะทาให้เกดิ สว่ นแบ่งตลาดมากขึ้น ดงั นัน้ ผผู้ ลิตตอ้ งมีความคิดริเรมิ่ สรา้ งสรรค์ในการพัฒนาต่อ ยอดจากผลิตภัณฑ์เดิมให้มีความแตกต่างและน่าสนใจสาหรับผ้บู รโิ ภค ภูมิป๎ญญา หมายถงึ ความรู้ ความสามารถ ความชาญฉลาด ทกั ษะและเทคนิคอันเกิดจากพนื้ ความรูท้ ี่ ผ่านกระบวนการสบื ทอด เลือกสรร ปรบั ปรงุ พัฒนา การสรา้ งงาน ดว้ ยประสบการณ์ที่สะสมมาเปน็ เวลานาน อยา่ งเหมาะสม สอดคล้องกบั ยคุ สมยั การพฒั นาอาชีพโดยการประยกุ ตใ์ ช้ภูมิปญ๎ ญา เป็นการนาภูมปิ ๎ญญามาเชือ่ มโยงใหส้ อดคล้องกับ อาชพี เดิม จงึ จาเปน็ ต้องศึกษา วเิ คราะห์ จดุ อ่อน จดุ แข็งของอาชพี ถงึ แม้เรอ่ื งใดจะเปน็ จดุ แข็งอยู่แล้วก็ต้อง วเิ คราะห์วา่ ควรจะพฒั นาอะไรได้อีก ส่วนจดุ ออ่ นยิ่งตอ้ งวเิ คราะห์อย่างรอบคอบ ถ่ีถ้วนเพอ่ื ให้ดีขนึ้ กว่าเดิม เชน่
ปจ๎ จุบนั นิยมใช้ของโบราณ ก็อาจจะนามาประยุกต์ใชใ้ นการพฒั นาอาชีพ เชน่ มอี าชีพขายกาแฟอยูแ่ ลว้ ก็ อาจจะนาวธิ ีชงกาแฟแบบโบราณมาประยกุ ต์ใช้ เพือ่ ใหเ้ ปน็ จุดขายและเป็นการอนรุ กั ษ์ของดดี งั้ เดิม 1.5 ทักษะการใช้นวัตกรรม/เทคโนโลยเี พื่อการพัฒนาอาชพี นวตั กรรม หมายถึง ความคิด การปฏิบตั ิ หรอื ส่งิ ประดิษฐใ์ หมท่ ี่ยังไมเ่ คยใชม้ าก่อนหรอื เป็นการ พฒั นา ดัดแปลง มาจากของเดิมท่มี ีอยู่แลว้ เทคโนโลยี หมายถึง การใช้ความรู้ เครือ่ งมือ ความคดิ หลกั การ เทคนิค ระเบียบวิธกี าร ตลอดจน กระบวนการ ที่มนษุ ย์พฒั นาขึ้นเพื่อชว่ ยในการทางานหรือแกป้ ๎ญหาต่างๆ เช่น อุปกรณ์ เครอื่ งจักร วัสดุ หรอื แมก้ ระทัง่ ส่ิงที่ไม่สามารถจบั ต้องได้ การท่จี ะยอมรบั หรือปฏเิ สธนวตั กรรม/เทคโนโลยี อาจจะต้องพิจารณาประสทิ ธิภาพของนวตั กรรม/ เทคโนโลยี ส่วนใหญ่กจ็ ะดูองคป์ ระกอบ 4 ดา้ น คอื 1. ความสามารถในการทางาน 2. ประหยดั คา่ ใช้จา่ ย 3. ทางานไดร้ วดเรว็ 4. ไม่ทาลายสงิ่ แวดลอ้ ม ความสามารถในการทางาน ได้ตรงตามวตั ถุประสงค์ของนวัตกรรม/เทคโนโลยี ได้มากน้อยเพียงใด แต่ จาเป็นตอ้ งมีเกณฑ์ชวี้ ดั เพ่ือการยอมรบั ว่าเท่าใดจงึ จะยอมรับได้ อาจจะเปรียบเทียบกับความสามารถเดิม ทีเ่ คยใชม้ า แต่อยา่ งไรก็ตามการนานวตั กรรม เทคโนโลยมี าใช้ตอ้ งดีขึน้ กว่าเดมิ อาจกาหนดเป็นร้อย ละก็ได้ เชน่ การใช้เครอ่ื งนวดข้าวเครอื่ งใหม่สามารถนวดข้าวได้มากกวา่ เดิมร้อยละ 20 ซ่ึงยอมรบั ได้ ประหยัดคา่ ใชจ้ า่ ย เป็นการมุ่งประเมนิ เทยี บเคียงระหว่างนวัตกรรม/เทคโนโลยีของใหม่ที่จะนาเข้ามา ใช้แทนเทคโนโลยเี ก่า โดยพิจารณาเปรียบเทยี บราคานวัตกรรม/เทคโนโลยใี หมท่ ่ีต้องจา่ ยเปน็ เงนิ และการลด รายจา่ ยจากเดมิ การทางานได้รวดเร็ว เปน็ การประเมนิ เทียบเคียงความรวดเรว็ ในการทางานใชเ้ วลาสนั้ ระหว่าง นวัตกรรม/เทคโนโลยีเก่ากับใหม่ ไมท่ าลายส่งิ แวดลอ้ ม ผปู้ ระกอบการต้องคานงึ อยู่เสมอว่านวตั กรรม/เทคโนโลยจี ะนามาใช้ตอ้ งเป็น มติ รกับส่งิ แวดลอ้ ม และไมท่ าใหผ้ ู้ทีอ่ ยู่อาศัยใกลเ้ คียงเดือดร้อน
ใบงาน เกณฑก์ ารประเมนิ ประสิทธิภาพนวตั กรรม/เทคโนโลยี ให้ผู้เรยี นกาหนดเกณฑ์การประเมนิ ประสิทธภิ าพนวตั กรรม/เทคโนโลยใี นการพัฒนาอาชพี ตาม องค์ประกอบการประเมินท่กี าหนด แบบบนั ทกึ อาชีพ ............................................................................................. องค์ประกอบการประเมนิ ลักษณะบ่งชี้ เกณฑก์ ารยอมรบั ความสาเรจ็ ความสามารถในการทางาน การประหยัดค่าใชจ้ า่ ย ทางานได้รวดเรว็
ไมท่ าลายสง่ิ แวดลอ้ ม แผนการจัดการเรยี นรู้รายวชิ าทกั ษะการพัฒนาอาชีพ ครงั้ ที่ 2 ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศกึ ษา 2565 ระดับมธั ยมศึกษาตอนต้น กศน.ตาบลหวั ชา้ ง 1. สัปดาห์ที่ 15 วันท่ี 17 เดือน สิงหาคม พ.ศ. 2565 เวลา 09.00-12.00น. 2. วชิ า ทกั ษะการพัฒนาอาชพี รหัสวชิ า อช21002 จานวน4หน่วยกติ 3. มาตรฐานที่ 3.4 มีความรู้ ความเขา้ ใจ ในการพัฒนาอาชพี ให้มคี วามมนั่ คง 4. หน่วยการเรียนร้/ู เรื่องความหมาย ความสาคัญของการจดั การอาชีพ 5. สาระสาคญั การประกอบอาชพี จาเป็นต้องมีการพฒั นาทง้ั ดา้ นกระบวนการผลติ และกระบวนการตลาดอย่าง ตอ่ เน่อื ง เพื่อให้สินคา้ อยใู่ นตลาดไดน้ าน โดยนานวตั กรรมเทคโนโลยมี าประยกุ ต์ใช้กับภูมิปญ๎ ญาใหเ้ หมาะสม นอกจากจะมีความรู้ ความสามารถในทักษะกระบวนการผลิตและกระบวนการตลาดแล้ว ผปู้ ระกอบ ธรุ กิจจาเป็นต้องมคี วามสามารถด้านอ่ืนๆ ประกอบดว้ ย ได้แก่ การหาแหล่งทีเ่ อ้ือต่อการพฒั นาอาชีพ ความ เขา้ ใจในปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียงและการพฒั นาตนเองอย่างสม่าเสมอ จงึ จะทาให้อาชีพมีความเขม้ แข็ง กอ่ นทจี่ ะฝกึ ทกั ษะเพื่อพฒั นาอาชีพจะตอ้ งทราบวา่ จะฝึกทักษะอะไรบ้าง แล้ววางแผนการฝึกว่าจะ ฝกึ อย่างไร ท่ีไหน เมือ่ ไร ระหวา่ งการฝกึ ควรมีการจดบันทึกเพ่อื สรุปเป็นองค์ความรู้ 6. เน้ือหา อธบิ ายความหมายความสาคัญของการจดั การอาชีพ 7. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้/ผลการเรียนรู้ทีค่ าดหวงั อธิบายความหมาย ความสาคัญของการจดั การอาชีพ และระบบการจัดการ เพ่ือการพฒั นาอาชพี โดย ประยกุ ต์ใชภ้ มู ิปญ๎ ญา 8. การบูรณาการกบั หลกั แนวคดิ ของเศรษฐกจิ พอเพยี ง (2 เงื่อนไข 3 หลักการ การเช่ือมโยงสู่ 4 มิติ) ความรู้ อธิบายความหมายความสาคัญของการจัดการอาชีพ คุณธรรม - มีความขยัน - มีความสามัคคใี นการทางานรว่ มกัน
- มคี วามต้งั ใจและมุ่งม่นั พอประมาณ - ความถนดั ในการประกอบอาชีพ - ตน้ ทุน - เวลา มีเหตุผล - เกิดอาชพี ทเ่ี หมาะสมกับตนเอง - บรหิ ารอาชีพได้อยา่ งมีประสิทธภิ าพ มีภมู ิคุ้มกัน - มอี าชพี ท่ีสร้างรายได้ ลดความเส่ยี งในการขาดทุน วัตถุ - อาชพี ทเี่ หมาะสมและมน่ั คง - มที รพั ยากรในการผลิตสนิ ค้าทีเ่ หมาะสม สงั คม - มีการทางานรว่ มกันเปน็ กลุ่มแลกเปลี่ยนความคดิ และวเิ คราะห์รว่ มกัน สิ่งแวดล้อม - ใชท้ รัพยากรท่เี ป็นธรรมชาติในการผลติ สนิ ค้าเพ่อื มลพิษ วัฒนธรรม - มีอาชีพที่ใช้ภูมิป๎ญญาในท้องถน่ิ และทรัพยากรในท้องถ่นิ 9. กระบวนการจัดการเรยี นร้แู ละกจิ กรรมการเรยี นรู้ ขนั้ ที่ 1 กาหนดสภาพปญั หาการเรียนรู้ 1. ครแู ละผเู้ รยี นพดู คุยเร่ืองภูมปิ ญ๎ ญาในท้องถน่ิ และยกตัวอยา่ งผลิตภัณฑข์ องภูมปิ ๎ญญาใน ทอ้ งถิน่ ทผี่ ู้เรียนรจู้ กั 2. ครูและผู้เรียนร่วมกนั พูดคยุ เก่ยี วกับสินคา้ ของภูมปิ ญ๎ ญาชุมชน ผลติ ภณั ฑท์ เี่ กดิ จากภูมิป๎ญญา ของคนในชมุ ชน ขัน้ ที่ 2 แสวงหาข้อมลู และจัดการเรยี นรู้ 1. ครใู ห้ผเู้ รยี นศึกษาคน้ คว้าความหมายความสาคญั ของการจดั อาชพี และระบบการจัดการเพื่อ พัฒนาอาชีพโดยประยุกตใ์ ช้ภูมิป๎ญญา จากอนิ เตอรเ์ น็ต หนังสอื แบบเรยี น และสอ่ื ภายใน กศน.ตาบล
ขัน้ ท่ี 3 การปฏบิ ตั แิ ละการนาไปใช้ 1. ให้นกั ศกึ ษาวเิ คราะหอ์ าชีพท่สี นใจ ใหค้ รอบคลุมเนื้อหา พร้อมนาเสนอหนา้ ชั้นเรยี น ขัน้ ที่ 4 การประเมินผลการเรยี นรู้ 1. ใหผ้ ูเ้ รยี นประเมินผลเน้ือหาและการนาเสนอของเพื่อนดว้ ยการยกมอื ใหค้ ะแนน 2. ครแู ละผเู้ รยี นสรปุ เนอื้ หาพร้อมแลกเปล่ยี นเรียนรรู้ ว่ มกนั 9. สื่อ/แหล่งเรยี นรู้ 1. หนังสอื เรยี นรายวิชาทกั ษะการพัฒนาอาชีพ (อช21002) 2. ใบงาน 3. ใบความรู้ 4. ส่อื อนิ เตอร์เน็ต 11. การวัดและประเมนิ ผล 11.1วิธกี ารวดั และประเมนิ ผล - ใบงาน 11.2 เคร่ืองมือวดั และประเมินผล - ผลจากการตรวจใบงาน 11.3 เกณฑ์การวัดและการประเมนิ ผล - ใบงาน กจิ กรรมเสนอแนะ ............................................................................................................................. ................................................. ..................................................................................................................................................... ......................... ...................... ลงชือ่ …………………………………………….ครูผสู้ อน (นางวิไลวรรณ รัตนสงั ข)์ ครู กศน.ตาบล ขอ้ เสนอแนะของผู้บรหิ าร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………............................................................................................................................. ..................................... ....................... ลงช่ือ………………………………………………………ผูอ้ นมุ ตั แิ ผน (นางป๎ทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผู้อานวยการ กศน.อาเภอจตรุ พักตรพิมาน บนั ทึกหลังการจัดการเรียนรู้ กศน.ตาบลหัวช้าง ครั้งที่ 15 วนั /เดอื น/ปีวันที่ 17 เดอื น สงิ หาคม พ.ศ. 2565 ครูผู้สอนนางวิไลวรรณ รัตนสงั ข์ ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้ เวลา 09.00-12.00 น. สาระการประกอบอาชีพ รายวิชา ทกั ษะการพฒั นาอาชีพ รหัสวิชา อช21002 จานวนผู้เรยี นท้ังหมด ............... คนเขา้ เรียน…………………คน ไมเ่ ขา้ เรียน……………………….คน 1. ผลการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้การประเมนิ โดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรยี น - หลงั เรยี น พบวา่ คะแนนการทดสอบหลงั เรียน มากกว่ากอ่ นเรียนจานวน ........ คนคิดเป็นรอ้ ยละ............ คะแนนการทดสอบหลังเรยี น นอ้ ยกวา่ ก่อนเรยี นจานวน ......... คนคิดเปน็ ร้อยละ............ 2. เน้อื หา/สาระ/รายวิชา ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................ ....................................................................... 3. กิจกรรมการเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................ ....................................................................... 4. ปญั หา/อปุ สรรคการเรียนการสอน ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................................. ...................................... 5. แนวทางการแกป้ ญั หา ................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ......................................
ลงชอ่ื .........................................................(ผู้บนั ทึก) (นางวไิ ลวรรณ รตั นสงั ข์) ครู กศน.ตาบล ความเหน็ /ข้อเสนอของผู้บรหิ าร ................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ...................................... ลงชอื่ .................................................. (นางปท๎ มาภรณ์ ศรเี นตร) ผอู้ านวยการ กศน.อาเภอจตุรพกั ตรพิมาน ใบความรู้ เรือ่ งท่ี 2 ความหมายความสาคัญของการจัดการอาชีพ การจัดการอาชพี หมายถึง กระบวนการจัดกจิ กรรมงานอาชีพ นับตงั้ แต่การวางแผนการจัดการ องค์การ การตัดสนิ ใจ การสั่งการ การควบคุม การติดตามผล เพื่อใหไ้ ดผ้ ลผลิตหรือบรกิ ารทเี่ ปน็ ที่ต้องการของ ลกู ค้า และไดร้ ับการยอมรับจากสังคม ความสาคัญของการจัดการอาชีพ จากคาจากัดความของการจดั การอาชีพ ทาให้ทราบถึงความสาคัญ ของการจัดการอาชพี เพราะทาให้ผ้บู ริหารสามารถพฒั นากิจการใหม้ ุ่งไปสคู่ วามมปี ระสิทธภิ าพและสมารถ ดาเนินการให้บรรลุวัตถปุ ระสงค์ของกจิ การได้ กลา่ วคอื กิจการสามารถผลิตสินคา้ หรือบรกิ ารทม่ี ีคณุ ภาพ ทนั เวลาตามความต้องการของลูกคา้ และกิจการไดร้ บั ผลตอบแทนคือกาไรสงู สุด สามารถขยายกิจการได้ หรือ เพ่ิมพูนในการดาเนินการได้ จากการศึกษาวจิ ัยพบว่า การจดั การอาชีพใหป้ ระสบความสาเรจ็ ประกอบดว้ ย 1. การจัดการอย่างมีคณุ ภาพ หมายถงึ ผบู้ รหิ ารมคี วามรูป้ ระสบการณ์ สามารถทางานให้บรรลุผล สาเร็จอย่างมีประสิทธิภาพ 2. ผลติ ภัณฑ์ท่ีมีคณุ ภาพ หมายถึง การผลติ สินค้าท่ีมคี ุณภาพ อาจกระทาไดโ้ ดยการใช้เทคนิคตา่ งๆ เร่ิมต้งั แต่การใชว้ ตั ถุดบิ กระบวนการผลติ การตรวจคณุ ภาพสนิ ค้าก่อนส่งมอบใหล้ ูกค้า 3. ผลิตภัณฑ์ทท่ี นั สมยั ดว้ ยนวตั กรรมใหม่ 4. การลงทนุ ระยะยาวอย่างมีคณุ ค่า 5. สถานภาพการเงนิ มน่ั คง 6. มคี วามสามารถในการดงึ ดูดใจลูกค้าใหส้ นใจผลติ ภัณฑ/์ สินคา้ 7. คานงึ ถงึ ความรับผดิ ชอบต่อสังคมและส่งิ แวดล้อม 8. การใชท้ รพั ย์สินอย่างคุ้มค่า เรอ่ื งท่ี 3 แหล่งเรียนรูแ้ ละสถานท่ีฝึกอาชีพ
จากการทีผ่ ูเ้ รยี นได้ศึกษาเก่ียวกับการพัฒนากระบวนการผลิต กระบวนการตลาด การประยกุ ตใ์ ช้ภมู ิ ป๎ญญาและนวตั กรรม/เทคโนโลยีแล้ว ทาให้รวู้ ่าตอ้ งพัฒนาอาชีพด้านใดบ้าง ในการพัฒนาความรู้ เพ่ือการ พฒั นาอาชีพ จาเป็นทผ่ี ปู้ ระกอบการอาชพี ต้องศึกษาข้อมลู จากแหล่งเรียนรู้เฉพาะ เช่น ตอ้ งการเงินทุนเพอื่ นาไปซื้อเครื่องจกั รกต็ อ้ งศกึ ษาจากแหล่งเงินทุน หรอื ขาดแรงงานกต็ ้องจดั เตรียมหาแรงงานในช่วงท่ตี ้องการ เป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรบั การพัฒนาอาชีพ ผ้ทู ม่ี ีความสามารถในการบรหิ ารจดั การธุรกิจได้อย่างมีประสทิ ธิภาพ จาเป็นจะต้องรู้จักเลอื กใช้ ได้แก่ 1. แหล่งเรยี นรู้และสถานที่ฝึกอาชพี แหล่งเรยี นรแู้ ละสถานที่ฝึกอาชีพ หมายถงึ แหลง่ ที่มขี ้อมูล ขา่ วสาร ความรู้ ประสบการณ์ สารสนเทศ และเทคโนโลยี สาหรบั ผ้เู รียนใช้ในการแสวงหาความรู้และหรอื ฝึกทักษะในการประกออาชพี ซึ่งมีอยตู่ าม ธรรมชาติ และมนุษยส์ ร้างขึ้น แหลง่ ในที่นอี้ าจจะเป็นเอกสาร สถานที่ ตวั บคุ คล ผรู้ ู้ แหลง่ เรียนรู้ธรรมชาติ เชน่ ทะเล ปาุ ภเู ขา แหล่งเรยี นรู้ท่มี นษุ ยส์ รา้ งข้ึน เชน่ ห้องสมดุ พพิ ธิ ภัณฑ์ อินเทอรเ์ น็ต เว็บไซต์ตา่ ง ๆ แหลง่ เรยี นรู้และสถานทีฝ่ ึกอาชพี มคี วามสาคัญต่อการจดั กิจกรรมการเรยี นรูส้ าหรบั ผเู้ รยี น โดย เฉพาะผ้เู รยี นท่ีอยู่นอกระบบโรงเรียนทีต่ ้องศึกษาหาความรู้ดว้ ยตนเองเปน็ ส่วนใหญ่ จึงต้องอาศยั แหล่งเรยี นรู้ ตา่ ง ๆ ใกล้ตวั เช่น หอ้ งสมุดอาเภอ ศูนย์การเรยี นชมุ ชน ภมู ิปญ๎ ญา แหลง่ ธรรมชาตติ ่าง ๆ ผ้เู รียนสามารถ ศกึ ษาหาความรไู้ ด้ด้วยตนเอง แหลง่ เหลา่ น้ีเป็นขมุ ทรัพยท์ างป๎ญญาท่สี ามารถค้นหาความรู้ได้ไมร่ ู้จบ ปจ๎ จุบนั สถานทฝ่ี กึ อาชพี มีหลากหลายทงั้ ภาครัฐและเอกชนทีจ่ ัดใหก้ บั ประชาชนท่ัวไป เชน่ สานักงาน กศน. กระทรวงแรงงาน สานักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โรงเรียนของ เอกชนตา่ ง ๆ ทเี่ ปิดสอนหลกั สูตรวชิ พี ระยะสั้น 2. แหล่งเงินทนุ แหล่งเงนิ ทุน หมายถึง แหล่งทส่ี ามารถให้กยู้ มื เงนิ เพื่อการประกอบอาชีพได้ ซึ่งมที ้ังแหลง่ เงนิ ทนุ ของ ภาครฐั และเอกชน เช่น ธนาคารพาณิชยต์ ่าง ๆ สหกรณ์ กองทนุ ก้ยู มื ต่าง ๆ การทจ่ี ะกู้ยืมได้ต้องมีโครงการ รองรับ เพ่ือใหแ้ หลง่ เงินทนุ พิจารณาความเป็นไปไดใ้ นการสง่ ใชเ้ งนิ คืน 3. แหลง่ วสั ดุ อุปกรณ์ เครอ่ื งจกั ร แหลง่ วสั ดุ อุปกรณ์ เคร่ืองจักร หมายถึง แหลง่ ขายหรือแหล่งทจ่ี ะได้มาของวัสดุ อปุ กรณ์ เครอื่ งจักร ท่เี กี่ยวข้องกับการประกอบอาชพี เช่น ประกอบอาชีพการเกษตรจะต้องมวี สั ดอุ ุปกรณ์ เครอื่ งจักรทเี่ ก่ยี วข้อง เช่น พนั ธุ์พชื ปุ๋ย รถแทรกเตอร.์ 4. แหล่งแรงงาน แหล่งแรงงาน หมายถงึ แหล่งท่ีจะได้แรงงานมาใช้ ได้แก่ แรงงานจาก คน สัตว์ และเครื่องจักรที่ใช้ - แรงงานคน หมายถึง แรงงานเจ้าของกับแรงงานนอกท่จี า้ งมาทางาน - แรงงานสัตว์ หมายถึง แรงงานสตั วท์ ่ีใช้ในการประกอบอาชพี เชน่ แรงงานจากววั ควาย ช้าง ม้า ที่ นามาใช้ในการประกอบอาชพี
- เครื่องจักร บางอาชพี มกี ารใช้เคร่อื งจักรในการประกอบอาชีพ เชน่ อาชพี ทานาอาจจะตอ้ งใชร้ ถไถ อาชพี ทาเหลก็ ดัดประตู หน้าต่าง อาจจะใชเ้ ครื่องเช่ือม ต้องพจิ ารณาวา่ อาชีพของตนเองใช้เครอ่ื งจักร อะไรบา้ ง ที่มีอยลู่ ้าสมัยหรือไมอ่ ยา่ งไร ขนาดหรือจานวนพอเพียงกับการผลิตหรือไม่ 5. ตลาด คอื แหลง่ ที่มที ัง้ ผูซ้ ้ือและผูข้ ายสนิ คา้ ต่าง ๆ จากผู้ผลิตไปสู่ผบู้ ริโภคหรือผู้ใชบ้ รกิ ารน้ันๆ ได้รบั ความ พอใจ รว่ มถึงการพัฒนาอาชีพมีวตั ถุประสงค์ในการขยายตลาดขายสนิ ค้าให้มากขน้ึ โดยพิจารณาตลาดเดิมว่า สามารถรับสนิ คา้ ที่พฒั นาขน้ึ ใหมไ่ ดห้ รอื ไม่ ถ้าไม่ได้จะต้องหาตลาดใหมร่ องรับ ใบงาน อาชพี ....................................................................................................................... ชื่อผู้รู้ ........................................................................................................................ การวางแผนการประกอบอาชพี ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………ระบบการจดั การอาชีพ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………คุณธรรมในการประกอบอาชีพ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………การนาความรู้ทไ่ี ด้รับจากภมู ิปัญญา นาไปประยกุ ต์ใชใ้ นการดาเนนิ ชวี ิตไดอ้ ย่างไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………
แผนการจดั การเรียนรู้รายวิชาทักษะการเรยี นรู้ ครงั้ ท่ี 1 ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศึกษา 2565 ระดับมัธยมศึกษาตอนตน้ กศน.ตาบลหัวช้าง 1. สปั ดาห์ท่ี 16 วนั ที่ 24 เดอื น สิงหาคม พ.ศ. 2565 เวลา 09.00-12.00น. 2. วิชา ทักษะการเรียนรู้ รหสั วชิ า ทร21001 จานวน 1 หนว่ ยกติ 3. มาตรฐานท่ี 1.1 มีความรู้ความเขา้ ใจ ทักษะ และเจตคตทิ ่ดี ตี อ่ การเรียนรูด้ ว้ ยตนเอง 4. หนว่ ยการเรียนรู้/เรอื่ งการจดั การความรู้ 5. สาระสาคัญ การจัดการความรเู้ ปน็ เครื่องมือของการพัฒนาคุณภาพของงาน หรือสร้างวตั กรรมในการทางาน การ จัดการความรู้จงึ เป็นการจดั การกบั ความรู้และประสบการณท์ ่มี ีอยู่ในตัวคน และความรเู้ ด่นชดั นามาแบง่ ป๎น ใหเ้ กดิ ประโยชนต์ ่อตนเองและองค์กรด้วยการผสมผสานความสามารถของคนเข้าดว้ ยกนั อย่างเหมาะสม มี เปาู หมายเพื่อการพัฒนางาน พัฒนาคนและพฒั นาองค์กรให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ 6. เนอื้ หา ความหมาย ความสาคญั หลกั การกระบวนการจดั การความรู้ การรวมกลุ่มเพื่อต่อยอดความรู้ การ พฒั นาขอบขา่ ยความรขู้ องกลุ่มและการจัดทาสารสนเทศเผยแพรค่ วามรู้ 7. จดุ ประสงค์การเรียนร/ู้ ผลการเรยี นร้ทู ค่ี าดหวัง 1. วิเคราะหผ์ ลทเี่ กดิ ขึ้นของขอบเขตความรู้ ตัดสนิ คุณคา่ กาหนดแนวทางพัฒนา 1.1 อธิบายความหมาย ความสาคญั หลกั การ กระบวนการจดั การความรู้ การรวมกล่มุ เพ่ือต่อยอด ความรู้ การพัฒนาขอบขา่ ยความรขู้ องกลมุ่ และจัดทาสารสนเทศเผยแพร่ความรู้ - บอกความหมายของการจัดการความรู้ได้
- บอกความสาคัญของการจัดการความรใู้ นระดบั ชุมชนได้ - อธบิ ายหลักการจดั การความรู้ได้ - อธบิ ายวิธีการหาความรดู้ ้วยวิธีการจัดความรู้ โดยการรวมกลมุ่ ได้ - อธิบายวิธกี ารหาความรเู้ พ่ิมเติม (ต่อยอด) ด้วยการจดั การความรไู้ ด้ - บอกวธิ ีการจัดทาสารสนเทศเพ่ือการเผยแพร่ความรู้โดยการใชส้ อื่ ท่หี ลากหลายได้ 8.การบรู ณาการกบั หลกั แนวคดิ ของเศรษฐกิจพอเพียง (2 เงื่อนไข 3 หลกั การ การเชอื่ มโยงสู่ 4 มติ )ิ ความรู้ อธบิ ายความหมาย ความสาคัญ และการจดั การความรู้ คุณธรรม - มีความขยนั - มีความสามคั คีในการทางานรว่ มกนั - มีความตง้ั ใจและมงุ่ มน่ั . พอประมาณ - ความถนัดในการศกึ ษาหาความรจู้ ากแหลง่ เรยี นรู้ - ต้นทุน - เวลา มีเหตผุ ล - มคี วามรูเ้ พื่อพฒั นาตนเอง - บรหิ ารเวลาในการศึกษาหาความรไู้ ด้อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ มภี มู ิค้มุ กนั - นาความรู้ที่ได้มาพฒั นาทักษะดา้ นต่างๆไดเ้ หมาะสมกับตนเอง วตั ถุ - มที รพั ยากรในการศึกษาหาความรู้ที่หลากหลาย สงั คม - มีการทางานร่วมกนั เป็นกลุ่มแลกเปลี่ยนความคิดและวเิ คราะห์รว่ มกนั ส่ิงแวดล้อม - ใช้ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดล้อมในการศกึ ษาหาความรู้ วัฒนธรรม - มคี วามรู้ท่ไี ดจ้ ากภูมปิ ญ๎ ญาในทอ้ งถนิ่ และทรัพยากรในท้องถน่ิ
9. กระบวนการจดั การเรยี นรแู้ ละกิจกรรมการเรียนรู้ ขน้ั ที่ 1 กาหนดสภาพปญั หาการเรยี นรู้(O : Orientation) 1. ครูทักทาย/สวสั ดผี เู้ รียน ชแี่ จงบอกวัตถปุ ระสงค์การเรียนรู้ 2. ครตู ัง้ คาถามให้ผ้เู รียนชว่ ยกนั ตอบวา่ ผเู้ รียนคิดวา่ ความร้คู อื อะไร? และการจัดการ หมายถึงอะไร? โดยครูเขียนทุกคาตอบของผูเ้ รยี นไว้บนกระดาน 3. ครูนาส่อื ตัวอยา่ งการจดั การความร้ขู องการรวมกลุ่มทปี่ ระสบผลสาเร็จ จากหนังสือพิมพ์ มาแสดงใหผ้ ้เู รียนดู และแลกเปลีย่ นความคดิ เหน็ กัน 4. ให้ผเู้ รยี นทาแบบทดสอบก่อนเรียน ขั้นท่ี 2 แสวงหาข้อมลู และจัดการเรียนรู(้ N : New ways of learning) 1. ครูทักทาย/สวัสดีผู้เรียน ชีแ่ จงบอกวตั ถปุ ระสงค์การเรยี นรู้ 2. ครตู ้ังคาถามให้ผูเ้ รียนช่วยกันตอบว่า ผเู้ รยี นคดิ วา่ ความรู้คืออะไร? และการจดั การหมายถึงอะไร? โดยครเู ขียนทุกคาตอบของผเู้ รียนไวบ้ นกระดาน 3. ครนู าส่ือตัวอยา่ งการจดั การความรขู้ องการรวมกลมุ่ ท่ปี ระสบผลสาเรจ็ จากหนงั สือพิมพ์ มาแสดง ใหผ้ เู้ รยี นดู และแลกเปลี่ยนความคิดเหน็ กนั 4. ให้ผู้เรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน ข้ันที่ 3 การปฏบิ ัติและการนาไปใช้(I : Implementation) 1. ครูให้ผู้เรียนระดมความคดิ ถอดบทเรยี นใหส้ อดคลอ้ งกับหลกั เศรษฐกจิ พอเพยี ง 2. ครแู ละผู้เรยี นรว่ มกนั แลกเปล่ยี นเรยี นรแู้ ละสรปุ ความรู้เบ้ืองตน้ ที่ได้จากแบบสอบถาม เพ่อื นามา วิเคราะห์สรุปผล และจดั ทารายนาเสนอ ขนั้ ท่ี 4 การประเมนิ ผลการเรียนร(ู้ E : Evaluation) 1. ใหน้ กั ศกึ ษาออกมาหน้าชน้ั เรียน เพอื่ นาเสนอการถอดบทเรยี นใหส้ อดคล้องกับหลักเศรษฐกิจ พอเพียง จากน้ันครูให้คะแนน 2. แบบทดสอบหลงั เรียน 10. สื่อ/แหลง่ เรียนรู้ 1. หนังสอื เรียนรายวิชาทกั ษะการเรยี นรู้ (ทร2100๑) ระดับมัธยมศึกษาตอนตน้ 2. ใบงาน 3. ใบความรู้ 4. สอ่ื อินเตอรเ์ น็ต
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186