11. การวัดและประเมินผล 11.1 วิธีการวดั และประเมินผล - แบบประเมนิ ผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรว่ มกบั ผูอ้ ่นื ของนักศึกษารายบคุ คล - ใบงาน 11.2 เคร่อื งมอื วดั และประเมินผล. - ประเมินผลการสงั เกตพฤตกิ รรมการทางานร่วมกบั ผ้อู ืน่ ของนักศกึ ษารายบคุ คล - ผลจากการตรวจใบงาน 11.3 เกณฑ์การวดั และการประเมินผล - แบบประเมนิ ผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานร่วมกบั ผอู้ ื่นของนักศึกษารายบุคคล ระดบั ดี พอใช้ และควรปรับปรงุ - ใบงานคะแนนเต็ม 10 คะแนน กจิ กรรมเสนอแนะ ............................................................................................................................. ................................................. .................................................................................. ............................................................................................ ............................................................................................................................. ................................................. ............................... ลงชอ่ื …………………………………………….ครูผสู้ อน (นางวไิ ลวรรณ รัตนสงั ข์) ครู กศน.ตาบล ขอ้ เสนอแนะของผู้บริหาร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………............................................................................................................................. ..................................... .............................................................................................................................................................................. ................................ ลงชือ่ ………………………………………………………ผอู้ นมุ ตั ิแผน (นางปท๎ มาภรณ์ ศรีเนตร) ผอู้ านวยการ กศน.อาเภอจตุรพกั ตรพมิ าน
บนั ทกึ หลังการจดั การเรียนรู้ กศน.ตาบลหัวชา้ ง ครั้งที่ 16 วัน/เดือน/ปีวันที่ 24 เดือน สิงหาคม พ.ศ. 2565 ครผู ู้สอนนางวไิ ลวรรณ รตั นสังข์ ระดับ มัธยมศึกษาตอนต้น เวลา 09.00-12.00 น. สาระทกั ษะการเรยี นรู้ รายวชิ า ทกั ษะการเรียนรู้ รหัสวชิ า ทร21001 จานวนผเู้ รยี นทั้งหมด ............... คนเขา้ เรยี น…………………คน ไม่เข้าเรยี น……………………….คน 1. ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การประเมนิ โดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรียน - หลังเรยี น พบว่า คะแนนการทดสอบหลังเรยี น มากกวา่ กอ่ นเรยี นจานวน ........ คนคดิ เป็นรอ้ ยละ............ คะแนนการทดสอบหลงั เรยี น นอ้ ยกวา่ ก่อนเรยี นจานวน ......... คนคิดเปน็ ร้อยละ............ 2. เนอ้ื หา/สาระ/รายวิชา ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................................. ...................................... 3. กจิ กรรมการเรียนการสอน ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................ ....................................................................... 4. ปญั หา/อุปสรรคการเรียนการสอน ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................................. ...................................... 5. แนวทางการแกป้ ัญหา
................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ..................................... ลงชือ่ .........................................................(ผู้บนั ทกึ ) (นางวไิ ลวรรณ รัตนสังข์) ครู กศน.ตาบล ความเห็น/ข้อเสนอของผบู้ รหิ าร ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................ ....................................................................... ลงชือ่ .................................................. (นางปท๎ มาภรณ์ ศรเี นตร) ผอู้ านวยการ กศน.อาเภอจตรุ พักตรพิมาน ใบความรู้ท่ี 1 ความหมายของการจดั การความรู้ การจดั การ (Management) หมายถึงกระบวนการในการเขา้ ถึงความร้แู ละการถา่ ยทอดความรู้ทตี่ ้อง ดาเนินการรว่ มกนั กบั ผู้ปฏิบัติงานซึง่ อาจเริ่มตน้ จากการบง่ ชคี้ วามรู้ท่ตี อ้ งการใช้การสร้างและแสวงหาความรู้ การประมวลเพ่อื กลนั่ กรองความร้กู ารจดั การความรใู้ หเ้ ปน็ ระบบการสร้างช่องทางเพื่อการสอ่ื สารกับ ผู้เกี่ยวข้องการแลกเปลย่ี นความรกู้ ารจดั การสมยั ใหม่ใช้กระบวนการทางปญ๎ ญาเป็นส่ิงสาคัญในการคดิ ตดั สินใจและสง่ ผลให้เกิดการกระทาการจดั การจงึ เน้นไปท่ีการปฏบิ ัติ ความรู้ (Knowledge) หมายถึงความร้ทู ี่ควบคู่กับการปฏบิ ัติซ่ึงในการปฏบิ ตั จิ าเปน็ ต้องใช้ความรู้ที่หลากหลาย สาขาวชิ ามาเช่ือมโยงบูรณาการเพือ่ การคดิ และตัดสินใจและลงมือปฏบิ ตั ิจดุ กาเนิดของความรคู้ ือสมองของคน เป็นความรู้ท่ฝี ๎งลกึ อยใู่ นสมองชี้แจงออกมาเป็นถ้อยคาหรอื ตวั อักษรไดย้ ากความร้นู น้ั เม่ือนาไปใช้จะไม่หมดไป แต่จะย่ิงเกดิ ความรูเ้ พ่ิมพนู มากข้ึนอยู่ในสมองของผูป้ ฏบิ ัติ ในยุคแรกๆมองวา่ ความรหู้ รอื ทุนทางป๎ญญามาจากการจัดระบบและการตีความสารสนเทศซ่งึ สารสนเทศกม็ า จากการประมวลข้อมลู ขนั้ ของการเรยี นรู้เปรยี บดงั พรี ะมดิ ตามรูปแบบน้ี
ความรแู้ บง่ ได้เปน็ 2 ประเภทคือ 1. ความรู้เดน่ ชัด(Explicit Knowledge) เป็นความรทู้ เี่ ปน็ เอกสารตาราคู่มือปฏบิ ตั งิ านสื่อตา่ งๆกฎเกณฑ์ กตกิ าข้อตกลงตารางการทางานบันทึกจากการทางานความรู้เด่นชดั จงึ มีชื่อเรียกอีกอยา่ งหนึ่งว่า “ความรใู้ น กระดาษ” 2. ความรซู้ ่อนเร้น /ความรฝู้ ังลึก (Tacit Knowledge) เป็นความรู้ทแ่ี ฝงอยูใ่ นตวั คนพฒั นาเป็นภูมิป๎ญญาฝ๎ง อยู่ในความคดิ ความเช่อื ค่านยิ มทีค่ นได้มาจากประสบการณ์ส่งั สมมานานหรือเปน็ พรสวรรคอ์ นั เปน็ ความสามารถพเิ ศษเฉพาะตัวที่มมี าแตก่ าเนิดหรือเรยี กอีกอย่างหน่ึงว่า “ความรู้ในคน” แลกเปล่ียนความร้กู ัน ไดย้ ากไมส่ ามารถแลกเปล่ียนมาเป็นความรู้ทเี่ ปดิ เผยได้ทงั้ หมดตอ้ งเกิดจากการเรยี นรู้ร่วมกนั ผ่านการเป็น ชุมชนเช่นการสงั เกตการแลกเปล่ียนเรยี นร้รู ะหว่างการทางาน หากเปรยี บความรู้เหมือนภูเขานา้ แขง็ จะมลี ักษณะดงั นี้ ส่วนของน้าแข็งทลี่ อยพ้นน้าเปรียบเหมอื นความร้ทู เ่ี ด่นชดั คอื ความรูท้ ่อี ยู่ในเอกสารตาราซีดวี ีดีโอหรอื สอ่ื อืน่ ๆ ที่จับต้องไดค้ วามรนู้ ี้มีเพียง 20 เปอรเ์ ซ็นต์ สว่ นของนา้ แขง็ ทจ่ี มอยใู่ ต้น้าเปรยี บเหมือนความรู้ทย่ี งั ฝง๎ ลกึ อยู่ในสมองคนมคี วามรูจ้ ากสง่ิ ที่ตนเองได้ปฏิบัติ ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นตัวหนงั สอื ให้คนอ่ืนได้รับรู้ได้ความรู้ที่ฝ๎งลกึ ในตัวคนนี้มปี ระมาณ 80 เปอรเ์ ซ็นต์
ความรู้ 2 ยคุ ความรยู้ ุคที่ 1 เนน้ ความรใู้ นกระดาษเน้นความรู้ของคนส่วนนอ้ ยความรทู้ ่สี ร้างขึ้นโดยนักวิชาการทมี่ ีความ ชานาญเช่ยี วชาญเฉพาะด้านเรามักเรยี กคนเหลา่ นัน้ วา่ “ผมู้ ปี ๎ญญา” ซ่งึ เชือ่ ว่าคนส่วนใหญไ่ ม่มีความร้ไู ม่มี ป๎ญญาไมส่ นใจทจ่ี ะใช้ความรู้ของคนเหล่านั้นโลกทัศน์ในยุคที่ 1 เป็นโลกทศั น์ท่ีคบั แคบ ความรูย้ คุ ท่ี 2 เป็นความรใู้ นคนหรอื อยู่ในความสัมพันธ์ระหว่างคนเป็นการค้นพบ “ภมู ปิ ญ๎ ญา” ท่ีอย่ใู นตัวคน ทุกคนมีความรเู้ พราะทกุ คนทางานทุกคนมีสมั พนั ธ์กับผู้อนื่ จึงยอ่ มมีความรทู้ ี่ฝ๎งลึกในตัวคนทเ่ี กดิ จากการทางาน และการมีความสัมพันธก์ ันน้ันเรียกว่า “ความรู้อนั เกดิ จากประสบการณ์” ซ่ึงความรยู้ ุคที่ 2 นมี้ คี ณุ ประโยชน์ 2 ประการคือประการแรกทาให้เราเคารพซ่ึงกนั และกนั ว่าตา่ งก็มคี วามร้ปู ระการท่ี 2 ทาใหห้ น่วยงานหรือองค์กร ที่มคี วามเชื่อเชน่ นส้ี ามารถใช้ศักยภาพแฝงของทุกคนในองค์กรมาสร้างผลงานสร้างนวตั กรรมใหก้ ับองคก์ รทา ใหอ้ งค์กรมีการพฒั นามากข้ึน ใบความรทู้ ี่ 2 กระบวนการในการจดั การความรู้ การจัดการความรู้นน้ั มหี ลายรูปแบบหรือทเ่ี รยี กกนั วา่ “โมเดล” มีหลากหลายโมเดลหัวใจของการจดั การ ความรู้คือการจดั การความรทู้ ่ีอยู่ในตวั คนในฐานะผูป้ ฏบิ ัตแิ ละเป็นผู้มคี วามรู้การจัดการความรทู้ ีท่ าใหค้ น เคารพในศักด์ิศรขี องคนอน่ื การจัดการความรู้นอกจากการจัดการความรใู้ นตนเองเพ่ือใหเ้ กดิ การพัฒนางาน และพัฒนาตนเองแล้วยังมองรวมถงึ การจดั การความรใู้ นกล่มุ หรือองคก์ รดว้ ยรูปแบบการจัดการความร้จู งึ อยู่ บนพืน้ ฐานของความเช่ือที่วา่ ทุกคนมคี วามรู้ปฏิบัตใิ นระดบั ความชานาญท่ีตา่ งกนั เคารพความร้ทู อ่ี ยู่ในตัวคน ดร.ประพนธ์ผาสุกยึดได้คิดคน้ รปู แบบการจดั การความรู้ไว้ 2 แบบคือรูปแบบปลาทูหรือท่เี รียกวา่ “โมเดลปลา ทู” และรปู แบบปลาตะเพยี นหรือทีเ่ รียกว่า“โมเดลปลาตะเพยี น” แสดงใหเ้ ห็นถงึ รูปแบบการจดั การความรู้ใน ภาพรวมของการจัดการทคี่ รอบคลมุ ทั้งความรูท้ ่ชี ดั แจง้ และความรทู้ ่ฝี ง๎ ลกึ ดงั นี้ โมเดลปลาทู เพ่ือใหก้ ารจดั การความรหู้ รอื KM เป็นเร่ืองที่เขา้ ใจงา่ ยจึงกาหนดให้การจัดการความรเู้ ปรยี บ เหมอื นกับปลาทูตัวหนง่ึ มสี ิง่ ที่ต้องดาเนินการจัดการความรู้อยู่ 3 สว่ นโดยกาหนดวา่ สว่ นหัวคือการกาหนด เปูาหมายของการจัดการความรู้ทช่ี ัดเจนส่วนตวั ปลาคอื การแลกเปล่ยี นความรู้ซ่งึ กนั และกนั และสว่ นหางปลา คือความร้ทู ีไ่ ด้รับจากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ รปู แบบการจัดการความร้ตู าม “โมเดลปลาทู” ส่วนที่ 1 “หวั ปลา” หมายถึง “Knowledge Vision” หรอื KV คอื เปาู หมายของการจดั การความรู้ผใู้ ช้ตอ้ งรู้ ว่าจะจัดการความร้เู พ่ือบรรลุเปูาหมายอะไรเกีย่ วข้องหรือสอดคล้องกับวสิ ัยทัศน์พันธกิจและยทุ ธศาสตร์ของ องค์กรอย่างไรเช่นจดั การความรเู้ พื่อเพิ่มประสทิ ธิภาพของงานจัดการความรูเ้ พื่อพัฒนาทักษะชวี ติ ดา้ นยาเสพ
ติดจัดการความรู้เพื่อพฒั นาทักษะชวี ติ ด้านสิง่ แวดล้อมจดั การความร้เู พื่อพฒั นาทักษะชวี ิตดา้ นชีวิตและ ทรพั ย์สินจดั การความรเู้ พ่ือฟ้ืนฟขู นบธรรมเนยี มประเพณดี ั้งเดมิ ของคนในชมุ ชนเปน็ ต้น สว่ นท่ี 2 “ตัวปลา” หมายถงึ “Knowledge Sharing” หรอื KS เป็นการแลกเปลี่ยนเรยี นรู้หรือการแบ่งปน๎ ความรูท้ ฝ่ี ๎งลกึ ในตวั คนผปู้ ฏิบตั เิ ปน็ การแลกเปลย่ี นวิธีการทางานที่ประสบผลสาเร็จไม่เน้นทป่ี ๎ญหาเคร่ืองมือใน การแลกเปลี่ยนเรยี นรมู้ ีหลากหลายแบบอาทิการเล่าเรื่องการสนทนาเชิงลึกการช่นื ชมหรือการสนทนาในเชิง บวกเพอ่ื นชว่ ยเพื่อนการทบทวนการปฏิบัตงิ านการถอดบทเรยี นการถอดองค์ความรู้ ส่วนท่ี3 “หางปลา” หมายถงึ “Knowledge Assets” หรือ KA เปน็ ขมุ ความรทู้ ่ีได้จากการแลกเปล่ยี นเรยี นรู้ มีเครอ่ื งมือในการจดั เกบ็ ความรู้ทีม่ ีชีวิตไมห่ ยุดนิ่งคือนอกจากจดั เก็บความรแู้ ล้วยงั งา่ ยในการนาความรู้ออกมา ใช้จรงิ ง่ายในการนาความรอู้ อกมาต่อยอดและง่ายในการปรับขอ้ มูลไมใ่ ห้ลา้ สมัยสว่ นนีจ้ งึ ไมใ่ ช่ส่วนที่มีหน้าท่ี เก็บข้อมูลไวเ้ ฉยๆไม่ใช่หอ้ งสมุดสาหรับเก็บสะสมขอ้ มลู ทน่ี าไปใช้จริงไดย้ ากดังน้ันเทคโนโลยีการส่ือสารและ สารสนเทศจงึ เปน็ เครื่องมือจัดเก็บความรู้อนั ทรงพลงั ย่ิงในกระบวนการจดั การความรู้ ตัวอย่างการจัดการความร้เู รื่อง“พัฒนากลุ่มวสิ าหกจิ ชุมชน” ในรูปแบบปลาทู โมเดลปลาตะเพียน
จากโมเดล“ปลาท”ู ตวั เดียวมาสู่โมเดล“ปลาตะเพียน” ทีเ่ ปน็ ฝูงโดยเปรยี บแม่ปลา “ปลาตัวใหญ่” ได้กับ วสิ ยั ทศั น์พนั ธกจิ ขององค์กรใหญใ่ นขณะท่ีปลาตัวเล็กหลายๆตัวเปรยี บไดก้ บั เปูาหมายของการจดั การความรูท้ ่ี ตอ้ งไปตอบสนองเปูาหมายใหญข่ ององค์กรจงึ เป็นปลาทัง้ ฝูงเหมอื น“โมบายปลาตะเพยี น” ของเลน่ เดก็ ไทย สมัยโบราณท่ีผ้ใู หญส่ านเอาไว้แขวนเหนอื เปลเด็กเป็นฝงู ปลาทีห่ ันหนา้ ไปในทศิ ทางเดยี วกันและมีความเพียร พยายามทจ่ี ะวา่ ยไปในกระแสนา้ ทีเ่ ปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาปลาใหญ่อาจเปรียบเหมือนการพัฒนาอาชีพตาม แนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี งในชุมชนซง่ึ การพฒั นาอาชีพดงั กลา่ วต้องมกี ารแก้ป๎ญหาและพัฒนาร่วมกนั ไปท้งั ระบบเกิดกลุ่มตา่ งๆขึ้นในชมุ ชนเพื่อการเรียนรูร้ ว่ มกันท้ังการทาบญั ชีครัวเรอื นการทาเกษตรอินทรยี ก์ าร ทาป๋ยุ หมกั การเล้ียงปลาการเลย้ี งกบการแปรรปู ผลิตภัณฑเ์ พอ่ื ใช้ในครอบครวั หรอื จาหน่ายเพ่อื เพม่ิ รายได้เป็น ต้นเหล่าน้ีถอื เป็นปลาตวั เล็กหากการแก้ปญ๎ หาท่ีปลาตวั เล็กประสบผลสาเรจ็ จะส่งผลใหป้ ลาตัวใหญ่หรอื เปาู หมายในระดับชุมชนประสบผลสาเรจ็ ดว้ ยเช่นกนั นนั่ คือปลาวา่ ยไปข้างหนา้ อย่างพร้อมเพรียงกันท่สี าคญั ปลาแต่ละตวั ไมจ่ าเปน็ ต้องมรี ูปร่างและขนาดเหมือนกันเพราะการจัดการความรู้ของแตล่ ะเรอื่ งมสี ภาพของ ความยากง่ายในการแกป้ ๎ญหาท่ีแตกต่างกนั รปู แบบของการจดั การความรู้ของแตล่ ะหนว่ ยย่อยจงึ สามารถ สร้างสรรคป์ รับใหเ้ ขา้ กบั แตล่ ะท่ไี ดอ้ ย่างเหมาะสมปลาบางตัวอาจมที ้องใหญเ่ พราะอาจมีส่วนของการ แลกเปลี่ยนเรียนรมู้ ากบางตัวอาจเปน็ ปลาท่ีหางใหญ่เด่นในเรื่องของการจัดระบบคลงั ความร้เู พื่อใช้ในการ ปฏบิ ัตมิ ากแต่ทุกตวั ต้องมหี วั และตาท่ีมองเหน็ เปาู หมายที่จะไปอยา่ งชัดเจน
การจดั การความรูไ้ ด้ให้ความสาคัญกับการเรยี นรทู้ ่เี กิดจากการปฏิบัตจิ ริงเปน็ การเรียนร้ใู นทกุ ขนั้ ตอนของการ ทางานเชน่ ก่อนเรม่ิ งานจะต้องมกี ารศึกษาทาความเขา้ ใจในส่งิ ท่กี าลังจะทาจะเปน็ การเรยี นรู้ด้วยตนเองหรอื อาศยั ความช่วยเหลือจากเพอื่ นร่วมงานมกี ารศึกษาวธิ กี ารและเทคนิคต่างๆท่ีใชไ้ ด้ผลพร้อมท้งั คน้ หาเหตผุ ลดว้ ย วา่ เป็นเพราะอะไรและจะสามารถนาสงิ่ ทไ่ี ด้เรียนรู้น้ันมาใช้งานทก่ี าลังจะทานี้ไดอ้ ย่างไรในระหว่างทท่ี างานอยู่ เชน่ กนั จะต้องมีการทบทวนการทางานอยู่ตลอดเวลาเรียกไดว้ ่าเปน็ การเรียนรู้ท่ไี ดจ้ ากการทบทวนกจิ กรรม ย่อยในทุกๆขั้นตอนหมัน่ ตรวจสอบอยู่เสมอว่าจดุ มุง่ หมายของงานที่ทาอยนู่ ีค้ ืออะไรกาลังเดนิ ไปถูกทางหรือไม่ เพราะเหตุใดปญ๎ หาคอื อะไรจะตอ้ งทาอะไรให้แตกตา่ งไปจากเดิมหรอื ไม่และนอกจากนนั้ เม่ือเสรจ็ สน้ิ การ ทางานหรือเม่ือจบโครงการก็จะต้องมีการทบทวนสง่ิ ต่างๆท่ีได้มาแล้ววา่ มีอะไรบา้ งท่ีทาได้ดีมีอะไรบ้างทต่ี ้อง ปรับปรงุ แก้ไขหรือรับไว้เป็นบทเรียนซ่ึงการเรียนรตู้ ามรูปแบบปลาทนู ้ีถอื เป็นหัวใจสาคญั ของกระบวนการ เรยี นรทู้ เี่ ปน็ วงจรอยสู่ ่วนกลางของรปู แบบการจดั การความร้นู ัน่ เอง ใบงานท่ี 1 เรื่องการจดั การความรู้ กิจกรรมท่ี 1 ใหอ้ ธบิ ายความหมายของ “การจดั การความรู้” มาพอสงั เขป
............................................................................................................................. ............................................. .......................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............................................. ............................................................................................................................. ............................................. กจิ กรรมที่ 2 ให้อธิบายความสาคญั ของ “การจัดการความรู้” มาพอสังเขป ............................................................................................................................. ............................................. .......................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............................................. ............................................................................................................................. ............................................. กิจกรรมท่ี 3 ให้อธบิ ายหลักการของ “การจดั การความรู้” มาพอสงั เขป ....................................................................................................................................... ................................... ............................................................................................... ........................................................................... ............................................................................................................................. ............................................. ชอื่ ............................................................นามสกุล............................................ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนต้น แผนการจัดการเรียนรรู้ ายวชิ าทักษะการเรียนรู้ ครง้ั ท่ี 2 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2565 ระดับมธั ยมศึกษาตอนตน้ กศน.ตาบลหัวช้าง
1. สปั ดาห์ที่ 17 วันที่ 31 เดือน สงิ หาคม พ.ศ. 2565 เวลา 09.00-12.00น. 2. วิชา ทักษะการเรยี นรู้ รหัสวชิ า ทร21001 จานวน 2 หน่วยกติ 3. มาตรฐานที่ 1.1 มคี วามรู้ความเข้าใจ ทักษะ และเจตคติทดี่ ตี อ่ การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง 4. หน่วยการเรยี นร/ู้ เร่ือง คิดเป็น 5. สาระสาคัญ ทบทวนทาความเขา้ ใจกบั ความเช่ือพืน้ ฐานทางการศกึ ษาผูใ้ หญ่ และเชื่อมโยงไปสกู่ ารเรยี นร้เู รื่องการ คิดเป็น กระบวนการแกป้ ญ๎ หาของคนคดิ เป็นและปรชั ญาคิดเป็น ศกึ ษาวเิ คราะหล์ ักษณะของข้อมลู ทั้งด้าน วชิ าการ ตนเอง และสังคม ส่งิ แวดลอ้ ม รวมทงั้ เทคนิคการเกบ็ ข้อมลู เพ่ือนาไปใช้ในการเลือกเกบ็ ข้อมูล ดังกลา่ วมาใช้ประกอบการตดั สนิ ใจอยา่ งคนคิดเป็น 6. เนอ้ื หา 1. ความเชื่อพ้นื ฐานทางการศึกษาผ้ใู หญ่/ การศกึ ษานอกระบบ ทเ่ี ชือ่ มโยงมาส่ปู รชั ญา คิดเป็น 2. ความหมาย ความสาคัญของการคิดเปน็ - ศัพท์เฉพาะ - การเช่อื มโยงของความเช่ือพื้นฐานทางการศึกษาผู้ใหญ่ /กศน.สู่ปรชั ญาคดิ เปน็ 7. จุดประสงค์การเรียนร/ู้ ผลการเรยี นรทู้ คี่ าดหวัง มคี วามรู้ ความเข้าใจ และวจิ ารณ์หรือแสดงความคิดเห็นและความรู้สกึ ต่อการแสดงประเภทตา่ งๆ ได้ 1. อธิบายหรือทบทวนปรัชญาคดิ เป็น และการใช้ระบบขอ้ มลู ทางวชิ าการ ตนเอง และสังคมส่งิ แวดล้อม มา วิเคราะห์ สังเคราะห์ เพื่อประกอบกระบวนการคิด การตัดสินใจในการแก้ป๎ญหา 1.1 วิเคราะหค์ วามสมั พันธ์ ระหวา่ งความเชอ่ื พ้ืนฐานทางการศึกษาผู้ใหญ่/การศกึ ษานอก ระบบกบั ปรัชญาคดิ เป็น 1.2 อธิบายความสาคัญของการคิดเปน็ ท่ีมตี ่อตนเอง ครอบครวั ชุมชน 2. อธิบายและปฏบิ ัตกิ ารใช้เทคนิค วธิ ีการฝกึ ทักษะการคิดเป็นทซ่ี บั ซอ้ นและนาคณุ ธรรม จริยธรรม ท่ี เกีย่ วขอ้ งมาสง่ เสริมกระบวนการคิดเปน็ ให้มากขน้ึ 2.1 อธิบายวธิ ีการรวบรวม ปญ๎ หาของตนเอง ครอบครวั และชุมชน 2.2 อธิบายการวเิ คราะหป์ ญ๎ หา ของตนเอง ครอบครัวและชุมชนดว้ ย กระบวนการคดิ เป็น 2.3 บอกวิธีและกระบวนการรวบรวมข้อมลู ด้านตนเอง ด้านวิชาการ และดา้ นสังคมสง่ิ แวดลอ้ ม เพ่ือ นามาใช้ในกระบวนการคิดเป็น 2.4 วิเคราะห์ข้อมูลวชิ าการ ข้อมูลตนเอง และขอ้ มูล สังคมส่ิงแวดล้อม เพื่อตดั สนิ ใจเลือกแนว ทางการแกไ้ ขป๎ญหาตนเอง ครอบครัวและชมุ ชน 2.5 เลือกแนวทางในการแก้ไขป๎ญหาด้วยกระบวนการคดิ เปน็ ได้อยา่ งมีคุณธรรม จรยิ ธรรม 2.6 วางแผนแก้ไขปญ๎ หาของชุมชนตามเหตุการณ์ทีกาหนดให้ โดยใช้กระบวนการคิดเปน็ 3. อภปิ ราย ถกแถลงถึงปญ๎ หาและอปุ สรรคในการใช้กระบวนการคดิ เปน็ ประกอบการแก้ป๎ญหา 3.1 อภิปรายและระบปุ ญ๎ หาทีเ่ ปน็ อปุ สรรคต่อการพฒั นากระบวนการคิดเป็น
3.2 บอกแนวทางการแกป้ ญ๎ หาทเี่ ป็นอุปสรรคตอ่ การพัฒนากระบวนการคดิ เปน็ 8. การบรู ณาการกบั หลักแนวคดิ ของเศรษฐกิจพอเพยี ง (2 เงื่อนไข 3 หลักการ การเช่ือมโยงสู่ 4 มิติ) ความรู้ ความรูเ้ ร่อื ง ความหมาย ความสาคัญของการคดิ เป็น ความเช่ือพนื้ ฐานในการศึกษาผู้ใหญ่ คุณธรรม - มคี วามขยัน - มคี วามสามคั คใี นการทางานรว่ มกัน - มีความต้ังใจและมงุ่ มัน่ พอประมาณ - ความถนดั ในการศึกษาหาความรูจ้ ากแหล่งเรยี นรู้ - ตน้ ทุน - เวลา มีเหตผุ ล - มคี วามรูเ้ พื่อพัฒนาตนเอง - บริหารเวลาในการศึกษาหาความรไู้ ด้อย่างมีประสทิ ธิภาพ มภี มู ิคมุ้ กัน - นาความรูท้ ไี่ ด้มาพัฒนาทกั ษะดา้ นต่างๆได้เหมาะสมกับตนเอง วตั ถุ - มีทรัพยากรในการศึกษาหาความรู้ที่หลากหลาย สงั คม - มีการทางานร่วมกันเปน็ กลุ่มแลกเปลยี่ นความคดิ และวิเคราะหร์ ่วมกนั ส่งิ แวดล้อม - ใชท้ รัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในการศึกษาหาความรู้ วฒั นธรรม - มีความรู้ที่ได้จากภมู ปิ ญ๎ ญาในทอ้ งถิ่นและทรพั ยากรในท้องถิ่น 9. กระบวนการจดั การเรียนรู้และกิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นที่ 1 กาหนดสภาพปญั หาการเรยี นรู้(O : Orientation) 1. ครทู ักทาย/สวสั ดีผู้เรียน ชีแ่ จงบอกวัตถปุ ระสงค์การเรียนรู้ 2. ให้ผเู้ รยี นทาแบบทดสอบก่อนเรียน ขนั้ ที่ 2 แสวงหาขอ้ มูลและจัดการเรยี นรู้(N : New ways of learning) 1. ครทู กั ทาย/สวัสดีผเู้ รียน ชี่แจงบอกวัตถปุ ระสงคก์ ารเรียนรู้ 2. สมุ่ ตวั อยา่ งผู้เรียน 2-3 คนให้เล่าถงึ กระบวนการคิดเปน็ ที่ผู้เรียนพอเขา้ ใจให้เพ่ือนๆฟ๎งวา่ มี กระบวนการและขัน้ ตอนอย่างไร และตอบข้อคาถามของครแู ละเพื่อนๆได้
3. ครใู ห้ผู้เรยี นทุกคนออกแบบในเร่อื งของกระบวนการคดิ เป็นวา่ มขี น้ั ตอนและกระบวนการ อยา่ งไรตามความเข้าใจของผเู้ รียน ขน้ั ท่ี 3 การปฏิบัติและการนาไปใช้ (I : Implementation) 1. ครใู หผ้ ้เู รียนระดมความคิด ถอดบทเรยี นใหส้ อดคล้องกับหลกั เศรษฐกจิ พอเพยี ง 2. ใหแ้ ตล่ ะคนนาเสนอผลการออกแบบข้ันตอนและกระบวนการคิดเป็นหนา้ ชน้ั เรยี น 3. ครูสรปุ หลังจากทุกคนนาเสนอหน้าชัน้ เรยี นเรียบร้อยแล้ว 4. ครูใหค้ วามร้เู พ่ิมเติมในสว่ นทผี่ เู้ รยี นขาดหาย ครูเชื่อมโยงจากสิ่งท่ผี ูเ้ รียนนาเสนอกับ เน้ือหาในเรื่องของกระบวนการคิดเปน็ 5. แจกใบงานให้ทดสอบความรู้ ความเขา้ ใจ และทดสอบหลงั เรยี น ข้ันที่ 4 การประเมินผลการเรียนรู(้ E : Evaluation) 1. ให้นักศกึ ษาออกมาหน้าชน้ั เรยี น เพ่อื นาเสนอการถอดบทเรียนให้สอดคล้องกบั หลกั เศรษฐกิจ พอเพียง จากน้นั ครใู หค้ ะแนน 2. ครแู ละผู้เรียนร่วมกนั สรุปหลังจากทกุ กลมุ่ นาเสนอผลงานหนา้ ช้นั เรียน 3. ครเู ช่ือมโยงกิจกรรมท่ผี เู้ รียนได้ปฏิบตั ิกับเนื้อหาในเร่ืองการคดิ เป็น 4. แบบทดสอบหลังเรยี น 10. สื่อ/แหล่งเรียนรู้ 1. หนังสอื เรยี นรายวิชาทักษะการเรียนรู้ (ทร2100๑) ระดบั มัธยมศึกษาตอนตน้ 2. ใบงาน 3. ใบความรู้ 4. ส่ืออินเตอรเ์ น็ต 11. การวดั และประเมินผล 11.1 วธิ กี ารวดั และประเมนิ ผล - แบบประเมนิ ผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานรว่ มกบั ผ้อู ื่นของนกั ศึกษารายบคุ คล - ใบงาน 11.2 เครอ่ื งมอื วดั และประเมินผล. - ประเมินผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรว่ มกบั ผอู้ นื่ ของนักศกึ ษารายบุคคล - ผลจากการตรวจใบงาน 11.3 เกณฑ์การวัดและการประเมินผล - แบบประเมนิ ผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานร่วมกบั ผอู้ ื่นของนักศึกษารายบคุ คล ระดับดี พอใช้ และควร ปรบั ปรุง - ใบงานคะแนนเตม็ 10 คะแนน กจิ กรรมเสนอแนะ
............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .................................................................................................................................................................... .......... ................................ ลงช่อื …………………………………………….ครผู ้สู อน (นางวไิ ลวรรณ รัตนสังข)์ ครู กศน.ตาบล ข้อเสนอแนะของผู้บริหาร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………............................................................................................................................. ..................................... .............................................................................................. ................................................................................ ............................... ลงชอื่ ………………………………………………………ผอู้ นมุ ัติแผน (นางปท๎ มาภรณ์ ศรีเนตร) ผอู้ านวยการ กศน.อาเภอจตุรพกั ตรพมิ าน ใบความรู้
“การศึกษาคอื กระบวนการที่ทาใหค้ นและสังคมเจริญงอกงาม ยิง่ เรยี นยง่ิ ขยนั ยิง่ เรยี นยิ่งอดทน ยิ่ง เรยี นย่งิ ซือ่ สตั ย์ ยิ่งเรียนย่ิงมคี วามกตญั ํู ยง่ิ เรยี นย่ิงรักปูุยา่ ตายาย ดแู ลปุูย่าตายาย ไปไหนกด็ แู ลซึ่งกันและกัน บา้ นเมืองก็จะมแี ต่ความสขุ ” เนอ้ื หาในสว่ นนไ้ี ดร้ วบรวมสาระ แนวคิด บทความของทา่ น ดร.โกวิท วรพพิ ัฒน์ ทเ่ี ปน็ ผใู้ ห้นยิ าม คา ว่า คดิ เปน็ \"กระบวนการคดิ เพ่ือตดั สนิ ใจ\" โดยใช้ข้อมลู 3 ดา้ น คือ ข้อมลู สว่ นตัว ขอ้ มลู ทาง สังคมหรอื ส่งิ แวดลอ้ ม และขอ้ มูลทางวชิ าการ ปรัชญา \"คดิ เปน็ \" มรี ายละเอยี ดและสาระที่น่าศึกษา แนวคดิ \"คดิ เปน็ \" ของ ดร. โกวิท วรพิพัฒน์ ดร.โกวิท วรพพิ ัฒน์และคณะ ไดป้ ระยุกตแ์ นวความคดิ ในเร่ือง“คดิ เป็น” และนามาเป็นเปาู หมาย สาคัญในการให้บรกิ ารการศึกษาผู้ใหญ่ต้ังแต่ปี พ.ศ. 2513 เปน็ ตน้ มีหลกั การที่เปน็ หัวใจสาคัญดังน้ี การ วเิ คราะหป์ ๎ญหาและแสวงหาคาตอบหรือทางเลือกเพื่อแก้ป๎ญหา คิดอย่างรอบคอบโดยอาศยั ข้อมลู ตนเอง ขอ้ มลู สงั คม สิง่ แวดล้อมและข้อมลู ทางวิชาการประกอบการตัดสนิ ใจ แก้ปญ๎ หาหรือหาทางเลือกเพื่อนาไป ปฏิบัติ รู้จักคิดเพื่อแกป้ ๎ญหา ด้วยการกระทาการอยา่ งเหมาะสมและพอดี จากหลักการดังที่กล่าวมา พอจะสรูปความหมายของคาวา่ คดิ เปน็ ดงั นี้ \"คดิ เปน็ \" หมายถงึ กระบวนการท่ีคนเรานามาใช้ในการตัดสนิ ใจ โดยต้องแสวงหาขอ้ มลู ของตนเอง ข้อมลู ของสภาพแวดลอ้ มในชุมชนและสงั คม และข้อมูลทางหลักวิชาการ แลว้ นามาวิเคราะห์หาทางเลือกใน การตดั สินใจท่เี หมาะสม มีความพอดรี ะหวา่ งตนเองและสงั คม เม่อื ครงั้ ดร.โกวิท วรพิพฒั น์ ปฏบิ ัตงิ านในตาแหนง่ หัวหน้ากองการศึกษาผู้ใหญ่ กรมสามัญศกึ ษา (ระหว่างปี พ.ศ.2511-2518) ทา่ นได้ริเริม่ โครงการการศึกษาผใู้ หญแ่ บบเบด็ เสร็จ (Functional Literacy) แบบไทย มุ่งให้ผูเ้ ขา้ รบั การศึกษาระดบั ชาวบา้ นไดร้ ู้จักคิดแกไ้ ขป๎ญหา ให้สอดคล้องกับสภาพสถานะของตน และของกลมุ่ ที่เรยี กว่า \"คดิ เป็น\" โดยมหี ลักการวา่ เรียนแล้วสามารถนาข้อมลู ทางวิชาการ ขอ้ มลู ข้อจากัด สว่ นตัวของแตล่ ะบุคคล และข้อมูลเก่ียวกับสังคม มาประมวลแลว้ คิดหาคาตอบให้กับป๎ญหาของแตล่ ะคนหรอื สังคม ซงึ่ จะได้คาตอบทห่ี ลากหลายและตรงกบั สภาพของแตล่ ะบุคคลหรือสงั คม ไมใ่ ช่ว่าหนงั สอื บอกไวอ้ ยา่ งไร แล้วตอ้ งทาตามเหมือนกนั หมด คิดเองไม่เปน็ แต่ถา้ คิดเป็นแลว้ คาถามหรือปญ๎ หาเดียวกันอาจได้คาตอบไม่ เหมอื นกันก็เปน็ ได้ ผลสาเรจ็ ของโครงการ \"คดิ เป็น\" ทาให้ ดร.โกวิท วรพิพัฒน์ ไดร้ บั เชญิ จากองค์การยูเนสโกให้ไปเสนอผลงาน ดังกลา่ ว ท่ีประเทศสหรัฐอเมริกา ปรากฏว่าไดร้ ับความสนใจจากประเทศต่างๆ อย่างมาก จนองค์การยูเนสโก นาเร่อื งนี้ ไปเผยแพรท่ ั่วโลก ทาให้ ดร.โกวิทไดร้ ับฉายาจากตา่ งประเทศว่า \"นายคดิ เปน็ \" (Mr.Khit Pen) ใบงาน
คาส่งั ให้ทา่ นคัดเลือกข่าวเก่ยี วกับสภาพสงั คมป๎จจุบนั ท่ที า่ นสนใจมา 1 ขา่ ว และดาเนินการ วิเคราะห์ว่าข่าวน้ีดี หรอื ไม่ เหมาะสม อยา่ งไร พร้อมให้เหตผุ ลในการวิเคราะห์ข่าววา่ ไดน้ าข้อมลู ดา้ นตนเอง ดา้ นสงั คมสงิ่ แวดล้อม และด้านวชิ าการ มาใชป้ ระกอบในการวเิ คราะห์ เขียนตามแบบกาหนด 1. เขยี นหวั ขอ้ ข่าว………………………………………….. 2. รายละเอียดของขา่ ว (ตัดขา่ วมาตดิ ไว)้ 3. สงั เคราะห์ข่าวไดด้ งั น้ี …………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… ชื่อ..............................................นามสกุล............................................ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น บนั ทึกหลังการจดั การเรยี นรู้
กศน.ตาบลหัวช้าง คร้ังที่ 17 วนั /เดอื น/ปวี ันที่ 31 เดือน สิงหาคม พ.ศ. 2565 ครผู ้สู อน นางวไิ ลวรรณ รตั นสังข์ ระดบั มัธยมศึกษาตอนตน้ เวลา 09.00-12.00 น. สาระทกั ษะการเรียนรู้ รายวชิ า ทกั ษะการเรยี นรู้ รหัสวชิ า ทร21001 จานวนผู้เรียนท้ังหมด ............... คนเขา้ เรยี น…………………คน ไม่เข้าเรยี น……………………….คน 1. ผลการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้การประเมนิ โดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรียน - หลงั เรยี น พบว่า คะแนนการทดสอบหลงั เรยี น มากกว่าก่อนเรียนจานวน ........ คนคดิ เปน็ รอ้ ยละ............ คะแนนการทดสอบหลงั เรียน นอ้ ยกว่าก่อนเรยี นจานวน ......... คนคดิ เปน็ ร้อยละ............ 2. เนอ้ื หา/สาระ/รายวิชา ............................................................................................................................. ...................................... .................................................................................................................................... ............................... 3. กิจกรรมการเรยี นการสอน ................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ...................................... 4. ปัญหา/อปุ สรรคการเรียนการสอน ............................................................................................................................. ...................................... ................................................................................................................................................................... 5. แนวทางการแก้ปญั หา ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................................. ...................................... ลงชอ่ื .........................................................(ผู้บันทึก) (นางวไิ ลวรรณ รัตนสังข์) ครู กศน.ตาบล ความเหน็ /ข้อเสนอของผู้บริหาร ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................ ....................................................................... ลงชอ่ื .................................................. (นางปท๎ มาภรณ์ ศรีเนตร) ผอู้ านวยการ กศน.อาเภอจตุรพกั ตรพมิ าน แผนการจัดการเรียนรรู้ ายวิชาทักษะการเรยี นรู้ ครงั้ ที่ 3 ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2565
ระดับมธั ยมศึกษาตอนตน้ กศน.ตาบลหัวช้าง 1. สัปดาห์ที่ 18 วันท่ี 7 เดอื น กันยายน พ.ศ. 2565 เวลา 09.00-12.00น. 2. วชิ า ทกั ษะการเรยี นรู้ รหสั วชิ า ทร2101 จานวน 1 หนว่ ยกติ 3. มาตรฐานท่ี 1.1 มคี วามรู้ความเข้าใจ ทักษะ และเจตคตทิ ี่ดตี ่อการเรยี นรู้ด้วยตนเอง 4. หนว่ ยการเรยี นรู้/เรอื่ ง คิดเป็น 5. สาระสาคญั ทบทวนทาความเข้าใจกบั ความเชอ่ื พน้ื ฐานทางการศึกษาผู้ใหญ่ และเชอื่ มโยงไปสูก่ ารเรียนรเู้ รอ่ื งการ คิดเปน็ กระบวนการแกป้ ญ๎ หาของคนคดิ เป็นและปรัชญาคิดเปน็ ศึกษาวิเคราะห์ลักษณะของขอ้ มูลทง้ั ดา้ น วชิ าการ ตนเอง และสงั คม สง่ิ แวดล้อม รวมทง้ั เทคนิคการเก็บข้อมลู เพ่ือนาไปใช้ในการเลอื กเก็บขอ้ มลู ดงั กลา่ วมาใช้ประกอบการตดั สินใจอยา่ งคนคิดเป็น 6. เนื้อหา การรวบรวมและวิเคราะห์สภาพปญ๎ หา ของตนเอง ครอบครวั ชมุ ชน และคิดวเิ คราะห์ โดยใช้ ข้อมูลดา้ นตนเอง ด้านวิชาการ และ ดา้ นสังคมสิ่งแวดลอ้ ม 7. จุดประสงค์การเรยี นรู/้ ผลการเรียนรทู้ ค่ี าดหวัง มีความรู้ ความเขา้ ใจ และวิจารณห์ รือแสดงความคดิ เหน็ และความรสู้ ึกต่อการแสดงประเภทตา่ งๆ ได้ 1. อธบิ ายหรือทบทวนปรชั ญาคดิ เปน็ และการใชร้ ะบบขอ้ มลู ทางวิชาการ ตนเอง และสังคมส่ิงแวดล้อม มา วเิ คราะห์ สงั เคราะห์ เพื่อประกอบกระบวนการคดิ การตัดสินใจในการแกป้ ญ๎ หา 1.1 วเิ คราะห์ความสัมพันธ์ ระหวา่ งความเช่ือพ้นื ฐานทางการศึกษาผู้ใหญ/่ การศึกษานอก ระบบกบั ปรัชญาคดิ เปน็ 1.2 อธิบายความสาคัญของการคิดเปน็ ทีม่ ตี ่อตนเอง ครอบครวั ชุมชน 2. อธิบายและปฏบิ ัตกิ ารใช้เทคนคิ วธิ ีการฝึกทักษะการคิดเป็นท่ซี ับซ้อนและนาคณุ ธรรม จรยิ ธรรม ที่ เกยี่ วข้องมาส่งเสรมิ กระบวนการคดิ เปน็ ให้มากขนึ้ 2.1 อธบิ ายวิธกี ารรวบรวม ป๎ญหาของตนเอง ครอบครวั และชุมชน 2.2 อธบิ ายการวิเคราะห์ปญ๎ หา ของตนเอง ครอบครวั และชมุ ชนด้วย กระบวนการคดิ เป็น 2.3 บอกวิธีและกระบวนการรวบรวมขอ้ มูลด้านตนเอง ดา้ นวชิ าการ และดา้ นสังคมสิง่ แวดลอ้ ม เพ่ือ นามาใช้ในกระบวนการคิดเป็น 2.4 วิเคราะห์ข้อมลู วชิ าการ ข้อมูลตนเอง และขอ้ มลู สงั คมสิ่งแวดล้อม เพ่ือตดั สนิ ใจเลือกแนว ทางการแกไ้ ขปญ๎ หาตนเอง ครอบครัวและชุมชน 2.5 เลอื กแนวทางในการแก้ไขปญ๎ หาด้วยกระบวนการคดิ เป็นได้อยา่ งมคี ุณธรรม จรยิ ธรรม 2.6 วางแผนแก้ไขปญ๎ หาของชมุ ชนตามเหตุการณ์ทีกาหนดให้ โดยใชก้ ระบวนการคิดเป็น 3. อภปิ ราย ถกแถลงถงึ ปญ๎ หาและอุปสรรคในการใช้กระบวนการคิดเปน็ ประกอบการแก้ป๎ญหา 3.1 อภปิ รายและระบุปญ๎ หาที่เป็นอปุ สรรคต่อการพัฒนากระบวนการคิดเป็น
3.2 บอกแนวทางการแก้ปญ๎ หาท่ีเป็นอปุ สรรคตอ่ การพัฒนากระบวนการคดิ เปน็ 8. การบรู ณาการกับหลักแนวคิดของเศรษฐกจิ พอเพยี ง (2 เงอื่ นไข 3 หลักการ การเช่อื มโยงสู่ 4 มติ ิ) ความรู้ ความรู้เรือ่ งการคิดเป็น วิเคราะหส์ ภาพปญ๎ หา ของตนเอง ครอบครวั ชมุ ชน คุณธรรม - มคี วามขยนั - มคี วามสามัคคใี นการทางานร่วมกนั - มคี วามตง้ั ใจและมุง่ มั่น พอประมาณ - ความถนดั ในการศกึ ษาหาความรจู้ ากแหล่งเรยี นรู้ - ต้นทุน - เวลา มเี หตผุ ล - มีความรู้เพื่อพฒั นาตนเอง - บรหิ ารเวลาในการศึกษาหาความร้ไู ด้อย่างมีประสทิ ธภิ าพ มีภมู ิคมุ้ กัน - นาความรู้ท่ีได้มาพฒั นาทักษะด้านต่างๆได้เหมาะสมกับตนเอง วตั ถุ - มที รพั ยากรในการศกึ ษาหาความรู้ทห่ี ลากหลาย สังคม - มกี ารทางานร่วมกนั เปน็ กลุ่มแลกเปลย่ี นความคิดและวิเคราะหร์ ่วมกนั สิง่ แวดล้อม - ใชท้ รัพยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดล้อมในการศึกษาหาความรู้ วฒั นธรรม - มคี วามรู้ท่ีได้จากภมู ปิ ญ๎ ญาในทอ้ งถิ่นและทรัพยากรในท้องถนิ่ 9. กระบวนการจัดการเรยี นรู้และกิจกรรมการเรียนรู้ ขัน้ ท่ี 1 กาหนดสภาพปัญหาการเรียนรู้(O : Orientation) 1. ครูทักทาย/สวัสดีผูเ้ รียน ชแ่ี จงบอกวัตถปุ ระสงค์การเรยี นรู้ 2. ใหผ้ ู้เรยี นทาแบบทดสอบก่อนเรียน ข้นั ท่ี 2 แสวงหาข้อมลู และจัดการเรียนรู(้ N : New ways of learning)
1. ครูทักทาย/สวัสดผี ู้เรยี น ชแ่ี จงบอกวตั ถุประสงคก์ ารเรียนรู้ 2. สุม่ ตวั อย่างผู้เรียน 2-3 คนใหเ้ ล่าถงึ กระบวนการคดิ เปน็ ท่ผี ู้เรยี นพอเข้าใจให้เพ่ือนๆฟ๎งวา่ มี กระบวนการและข้นั ตอนอย่างไร และตอบข้อคาถามของครแู ละเพ่ือนๆได้ 3. ครใู ห้ผู้เรียนทุกคนออกแบบในเรื่องของกระบวนการคิดเป็นว่ามขี ั้นตอนและกระบวนการ อย่างไรตามความเข้าใจของผ้เู รียน ขั้นท่ี 3 การปฏิบัตแิ ละการนาไปใช้(I : Implementation) 1. ครใู หผ้ ู้เรียนระดมความคิด ถอดบทเรียนให้สอดคลอ้ งกับหลักเศรษฐกจิ พอเพยี ง 2. ให้แตล่ ะคนนาเสนอผลการออกแบบขัน้ ตอนและกระบวนการคิดเป็นหน้าชัน้ เรียน 3. ครูสรุปหลงั จากทกุ คนนาเสนอหนา้ ช้ันเรียนเรียบรอ้ ยแล้ว 4. ครูใหค้ วามรูเ้ พ่ิมเตมิ ในส่วนทีผ่ ูเ้ รยี นขาดหาย ครเู ช่ือมโยงจากสงิ่ ที่ผ้เู รยี นนาเสนอกับ เน้อื หาในเรือ่ งของกระบวนการคิดเป็น 5. แจกใบงานให้ทดสอบความรู้ ความเข้าใจ และทดสอบหลังเรยี น ขั้นที่ 4 การประเมนิ ผลการเรียนรู้(E : Evaluation) 1. ให้นักศึกษาออกมาหน้าชั้นเรยี น เพื่อนาเสนอการถอดบทเรียนใหส้ อดคล้องกบั หลกั เศรษฐกิจ พอเพียง จากนนั้ ครูใหค้ ะแนน 2. ครแู ละผู้เรียนรว่ มกนั สรุปหลงั จากทกุ กลมุ่ นาเสนอผลงานหน้าชั้นเรียน 3. ครูเชือ่ มโยงกิจกรรมทผ่ี เู้ รียนได้ปฏบิ ตั ิกับเนื้อหาในเรื่องการคิดเปน็ 4. แบบทดสอบหลังเรยี น 10. ส่ือ/แหลง่ เรียนรู้ 1. หนงั สือเรียนรายวชิ าทกั ษะการเรยี นรู้ (ทร2100๑) ระดับมธั ยมศึกษาตอนตน้ 2. ใบงาน 3. ใบความรู้ 4. ส่ืออนิ เตอร์เน็ต 11. การวัดและประเมนิ ผล 11.1 วธิ ีการวัดและประเมินผล - แบบประเมนิ ผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานร่วมกับผู้อ่นื ของนกั ศึกษารายบุคคล - ใบงาน 11.2 เครื่องมอื วดั และประเมินผล. - ประเมินผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานร่วมกับผ้อู น่ื ของนกั ศกึ ษารายบุคคล - ผลจากการตรวจใบงาน 11.3 เกณฑ์การวดั และการประเมนิ ผล
- แบบประเมนิ ผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานร่วมกบั ผู้อน่ื ของนักศึกษารายบคุ คล ระดบั ดี พอใช้ และควร ปรับปรุง - ใบงานคะแนนเตม็ 10 คะแนน กจิ กรรมเสนอแนะ ............................................................................................................................. ................................................. .................................................................................. ............................................................................................ ............................................................................................................................. ................................................. ................................ ลงชอื่ …………………………………………….ครผู ู้สอน (นางวิไลวรรณ รัตนสังข์) ครู กศน.ตาบล ข้อเสนอแนะของผู้บรหิ าร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………............................................................................................................................. ..................................... ........................................................................................................................................................................... ... ................................ ลงชอ่ื ………………………………………………………ผู้อนมุ ัติแผน (นางปท๎ มาภรณ์ ศรีเนตร) ผู้อานวยการ กศน.อาเภอจตรุ พกั ตรพิมาน บนั ทึกหลังการจัดการเรยี นรู้
กศน.ตาบลหวั ชา้ ง ครัง้ ที่ 18 วนั /เดอื น/ปีวนั ที่ 7 เดือน กนั ยายน พ.ศ. 2565 ครูผูส้ อน นางวไิ ลวรรณ รัตนสงั ข์ ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น เวลา 09.00-12.00 น. สาระทักษะการเรยี นรู้ รายวชิ า ทกั ษะการเรียนรู้ รหสั วชิ า ทร2100๑ จานวนผ้เู รยี นท้งั หมด ............... คนเข้าเรียน…………………คน ไม่เข้าเรียน……………………….คน 1. ผลการจดั กิจกรรมการเรียนรู้การประเมินโดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรยี น - หลังเรียน พบว่า คะแนนการทดสอบหลงั เรียน มากกว่าก่อนเรียนจานวน ........ คนคดิ เป็นร้อยละ............ คะแนนการทดสอบหลังเรยี น นอ้ ยกวา่ ก่อนเรียนจานวน ......... คนคดิ เป็นร้อยละ............ 2. เน้อื หา/สาระ/รายวิชา ........................................................................................................................ ........................................... ............................................................................................................................. ...................................... 3. กิจกรรมการเรียนการสอน .................................................................................................................................................... ............... ................................................................................................................... ................................................ 4. ปัญหา/อุปสรรคการเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ...................................... ......................................................................................................................................... .......................... 5. แนวทางการแก้ปัญหา ................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ...................................... ลงช่ือ.........................................................(ผ้บู ันทกึ ) (นางวิไลวรรณ รตั นสงั ข์) ครู กศน.ตาบล ความเห็น/ข้อเสนอของผ้บู รหิ าร .............................................................................................................................. ..................................... ............................................................................................. ...................................................................... ลงชอ่ื .................................................. (นางปท๎ มาภรณ์ ศรีเนตร) ผู้อานวยการ กศน.อาเภอจตุรพักตรพิมาน ใบความรู้
“การเรียนรดู้ ้วยตนเอง” การเรยี นรเู้ ป็นเรอ่ื งของทกุ คนศักด์ศิ รีของผูเ้ รียนจะมีไดเ้ มื่อมีโอกาสในการเลอื กเรยี นในเรื่องที่ หลากหลายและมีความหมายแก่ตนเองการเรียนรู้มอี งคป์ ระกอบ 2 ดา้ นคอื องคป์ ระกอบภายนอกไดแ้ ก่ สภาพแวดล้อมโรงเรยี นสถานศึกษาส่ิงอานวยความสะดวกและครูองค์ประกอบภายในได้แกก่ ารคดิ เปน็ พ่งึ ตนเองได้มีอิสรภาพใฝุร้ใู ฝุสรา้ งสรรค์มคี วามคิดเชิงเหตผุ ลมจี ิตสานึกในการเรยี นรู้มเี จตคตเิ ชิงบวกต่อการ เรยี นรกู้ ารเรยี นรูท้ เ่ี กดิ ขึ้นมิได้เกิดข้ึนจากการฟ๎งคาบรรยายหรอื ทาตามทีค่ รูผสู้ อนบอกแต่อาจเกดิ ขึ้นได้ใน สถานการณ์ต่างๆต่อไปนี้ 1. การเรียนรู้โดยบังเอิญการเรียนรแู้ บบนี้เกิดข้ึนโดยบงั เอิญมิได้เกิดจากความตง้ั ใจ 2. การเรียนรดู้ ว้ ยตนเองเป็นการเรยี นร้ดู ้วยความต้ังใจของผเู้ รยี นซึ่งมีความปรารถนาจะรูใ้ นเร่ืองนนั้ ผเู้ รยี นจึงคดิ หาวิธกี ารเรยี นดว้ ยวิธกี ารต่างๆหลงั จากนัน้ จะมีการประเมนิ ผลการเรียนรดู้ ้วยตนเองจะเปน็ รูปแบบการเรยี นรูท้ ี่ทวคี วามสาคัญในโลกยคุ โลกาภิวัตน์บุคคลซึ่งสามารถปรับตนเองให้ตามทันความก้าวหนา้ ของโลกโดยใชส้ อื่ อุปกรณย์ ุคใหมไ่ ดจ้ ะทาให้เปน็ คนท่ีมีคณุ ค่าและประสบความสาเรจ็ ได้อย่างดี 3. การเรียนรโู้ ดยกลมุ่ การเรียนรแู้ บบนี้เกดิ จากการทผ่ี ้เู รียนรวมกลุ่มกันแล้วเชิญผู้ทรงคุณวฒุ มิ า บรรยายใหก้ บั สมาชกิ ทาใหส้ มาชิกมีความรู้เรื่องท่ีวทิ ยากรพูด 4. การเรียนรู้จากสถาบันการศึกษาเปน็ การเรยี นแบบเป็นทางการมหี ลกั สตู รการประเมินผลมี ระเบยี บการเข้าศึกษาทช่ี ดั เจนผเู้ รียนต้องปฏบิ ตั ิตามกฎระเบยี บทีก่ าหนดเมื่อปฏบิ ัติครบถ้วนตามเกณฑท์ ่ี กาหนดกจ็ ะได้รับปริญญาหรอื ประกาศนยี บตั รจากสถานการณก์ ารเรียนรู้ดงั กล่าวจะเห็นได้วา่ การเรียนรู้อาจ เกดิ ไดห้ ลายวิธแี ละการเรียนรู้นั้นไม่จาเป็นต้องเกิดขนึ้ ในสถาบนั การศึกษาเสมอไปการเรียนรูอ้ าจเกิดขนึ้ ไดจ้ าก การเรียนรดู้ ้วยตนเองหรือจากการเรยี นโดยกลุ่มก็ไดแ้ ละการทีบ่ ุคคลมีความตระหนกั เรียนรอู้ ย่ภู ายในจติ สานึก ของบุคคลน้นั การเรยี นรู้ดว้ ยตนเองจงึ เป็นตวั อยา่ งของการเรียนรูใ้ นลกั ษณะทเี่ ปน็ การเรยี นรู้ท่ที าใหเ้ กิดการ เรียนรู้ตลอดชวี ติ ซ่งึ มีความสาคญั สอดคลอ้ งกบั การเปล่ียนแปลงของโลกป๎จจุบันและสนบั สนุนสภาพ “สงั คม แหง่ การเรียนรู้” ได้เป็นอย่างดี การเรยี นรู้ดว้ ยตนเองคืออะไร เมื่อกล่าวถึงการเรยี นด้วยตนเองแล้วบคุ คลโดยทั่วไปมกั จะเข้าใจว่าเป็นการเรียนท่ีผเู้ รียน ทาการศึกษาคน้ ควา้ ด้วยตนเองตามลาพังโดยไม่ต้องพงึ่ พาผสู้ อนแตแ่ ท้ท่จี ริงแลว้ การเรยี นด้วยตนเองท่ตี ้องการ ใหเ้ กิดขึ้นในตวั ผเู้ รยี นน้นั เปน็ กระบวนการเรียนร้ทู ี่ผู้เรียนริเรมิ่ การเรียนรูด้ ว้ ยตนเองตามความสนใจความ ตอ้ งการและความถนดั มีเป้าหมายรจู้ กั แสวงหาแหล่งทรัพยากรของการเรียนรเู้ ลือกวิธกี ารเรยี นรูจ้ นถงึ การ ประเมนิ ความกา้ วหน้าของการเรยี นร้ขู องตนเองโดยจะดาเนินการด้วยตนเองหรือรว่ มมือช่วยเหลือกับผู้อน่ื หรอื ไม่ก็ได้ซ่ึงผ้เู รยี นจะต้องมีความรับผดิ ชอบและเป็นผ้คู วบคุมการเรยี นของตนเอง ทง้ั นีก้ ารเรียนด้วยตนเองน้ันมีแนวคิดพน้ื ฐานมาจากแนวคิดทฤษฎกี ลมุ่ มนุษยนิยมท่ีมีความเชอ่ื ในเร่ือง ความเปน็ อิสระและความเป็นตวั ของตัวเองของมนุษย์ว่ามนุษย์ทกุ คนเกิดมาพร้อมกับความดมี ีความเป็นอสิ ระ
เป็นตัวของตัวเองสามารถหาทางเลือกของตนเองมีศักยภาพและสามารถพัฒนาศักยภาพของตนเองได้อย่างไม่ มขี ดี จากัดรวมทั้งมีความรับผิดชอบตอ่ ตนเองและผู้อื่นซึง่ การเรียนด้วยตนเองก่อใหเ้ กดิ ผลในทางบวกต่อการ เรียนโดยจะสง่ ผลใหผ้ เู้ รียนมคี วามเช่ือมั่นในตนเองมีแรงจูงใจในการเรียนมากข้ึนมผี ลสัมฤทธท์ิ างการเรียน สงู ขึน้ และมีการใช้วธิ กี ารเรียนทหี่ ลากหลายการเรียนดว้ ยตนเองจึงเปน็ มาตรฐานการศกึ ษาท่คี วรสง่ เสริมให้ เกดิ ขึน้ ในตัวผู้เรยี นทุกคนเพราะเม่ือใดก็ตามที่ผู้เรยี นมีใจรกั ทจ่ี ะศึกษาค้นควา้ จากความต้องการของตนเอง ผู้เรยี นก็จะมีการศึกษาคน้ ควา้ อยา่ งต่อเนือ่ งต่อไปโดยไม่ตอ้ งมีใครบอกหรือบงั คบั เปน็ แรงกระตนุ้ ใหเ้ กิดความ อยากรู้อยากเห็นตอ่ ไปไมม่ ีท่สี ิ้นสดุ ซึง่ จะนาไปสกู่ ารเป็นผเู้ รียนรู้ตลอดชีวิตตามเปาู หมายของการศึกษาต่อไป การเรียนดว้ ยตนเองมอี ยู่ 2 ลกั ษณะคือลกั ษณะทเ่ี ปน็ การจัดการเรียนรทู้ ี่มีจุดเนน้ ใหผ้ ู้เรียนเป็นศูนยก์ ลางใน การเรียนโดยเป็นผูร้ บั ผดิ ชอบและควบคุมการเรียนของตนเองโดยการวางแผนปฏบิ ตั ิการเรยี นรแู้ ละประเมิน การเรยี นรูด้ ว้ ยตนเองซ่ึงไมจ่ าเปน็ จะต้องเรียนดว้ ยตนเองเพียงคนเดียวตามลาพังและผู้เรยี นสามารถถ่ายโอน การเรยี นรูแ้ ละทักษะท่ีไดจ้ ากสถานการณ์หนง่ึ ไปยังอีกสถานการณ์หนึ่งไดใ้ นอีกลกั ษณะหนึง่ เป็นลกั ษณะทาง บคุ ลิกภาพที่มอี ยู่ในตวั ผ้ทู เ่ี รยี นด้วยตนเองทุกคนซง่ึ มีอยู่ในระดบั ที่ไมเ่ ท่ากนั ในแต่ละสถานการณก์ ารเรยี นโดย เปน็ ลักษณะที่สามารถพฒั นาให้สงู ข้ึนได้และจะพฒั นาได้สงู สดุ เมอ่ื มีการจัดสภาพการจดั การเรยี นรู้ท่ีเอ้ือกัน การเรียนรดู้ ว้ ยตนเองมีความสาคัญอย่างไร การเรียนรดู้ ว้ ยตนเอง (Self-Directed Learning) เป็นแนวทางการเรียนรู้หนึ่งทสี่ อดคลอ้ งกับการ เปลี่ยนแปลงของสภาพปจ๎ จบุ ันและเป็นแนวคิดที่สนบั สนนุ การเรียนรูต้ ลอดชีวิตของสมาชิกในสังคมสกู่ ารเป็น สงั คมแห่งการเรยี นรูโ้ ดยการเรียนรู้ด้วยตนเองเปน็ การเรยี นรู้ทท่ี าให้บุคคลมีการริเรมิ่ การเรียนรดู้ ว้ ยตนเองมี เปาู หมายในการเรียนรูท้ ี่แน่นอนมีความรับผดิ ชอบในชวี ติ ของตนเองไม่พ่งึ คนอ่นื มีแรงจงู ใจทาใหผ้ ้เู รยี นเป็น บุคคลท่ีใฝรุ ูใ้ ฝเุ รียนท่ีมีการเรียนรู้ตลอดชวี ติ เรียนรู้วธิ เี รียนสามารถเรยี นรู้เรอื่ งราวต่างๆได้มากกว่าการเรียนท่ีมี ครูปูอนความรูใ้ หเ้ พยี งอยา่ งเดียวการเรยี นรู้ดว้ ยตนเองได้นับว่าเป็นคุณลักษณะท่ดี ที ส่ี ดุ ซึ่งมอี ยใู่ นตัวบุคคลทุก คนผเู้ รียนควรจะมีคุณลกั ษณะของการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเองการเรยี นรูด้ ้วยตนเองจดั เป็นกระบวนการเรียนร้ตู ลอด ชวี ิตยอมรบั ในศักยภาพของผู้เรยี นวา่ ผเู้ รยี นทกุ คนมีความสามารถทจี่ ะเรียนรูส้ ง่ิ ต่างๆได้ดว้ ยตนเองเพือ่ ทีต่ นเอง สามารถที่ดารงชวี ติ อยู่ในสงั คมทมี่ กี ารเปลีย่ นแปลงอยู่ตลอดเวลาได้อย่างมีความสุขดังน้ันการเรยี นรู้ดว้ ยตนเอง มีความสาคัญดงั น้ี 1. บคุ คลทีเ่ รียนรู้ดว้ ยการรเิ ริ่มของตนเองจะเรียนไดม้ ากกว่าดกี วา่ มคี วามตงั้ ใจมีจุดมุ่งหมายและมี แรงจงู ใจสูงกวา่ สามารถนาประโยชนจ์ ากการเรียนรูไ้ ปใช้ได้ดกี วา่ และยาวนานกว่าคนที่เรียนโดยเป็นเพยี งผรู้ ับ หรือรอการถา่ ยทอดจากครู 2. การเรียนรู้ดว้ ยตนเองสอดคลอ้ งกับพัฒนาการทางจิตวทิ ยาและกระบวนการทางธรรมชาตทิ าให้ บคุ คลมีทิศทางของการบรรลุวุฒิภาวะจากลักษณะหน่งึ ไปสูอ่ กี ลักษณะหน่ึงคือเม่ือตอนเด็กๆเป็นธรรมชาตทิ ี่ จะตอ้ งพ่ึงพงิ ผอู้ ื่นต้องการผ้ปู กครองปกปูองเล้ียงดูและตัดสินใจแทนใหเ้ ม่ือเติบโตมีพัฒนาการข้ึนเร่ือยๆพัฒนา ตนเองไปส่คู วามเปน็ อิสระไม่ต้องพึง่ พิงผู้ปกครองครูและผู้อ่ืนการพฒั นาเป็นไปในสภาพทเ่ี พิ่มความเปน็ ตวั ของ ตวั เอง
3. การเรยี นรดู้ ว้ ยตนเองทาให้ผเู้ รยี นมีความรับผดิ ชอบซึ่งเป็นลกั ษณะทสี่ อดคล้องกับพัฒนาการใหมๆ่ ทางการศกึ ษาเช่นหลกั สูตรห้องเรยี นแบบเปิดศูนยบ์ ริการวิชาการการศึกษาอยา่ งอิสระมหาวิทยาลยั เปดิ ลว้ น เนน้ ให้ผู้เรยี นรับผิดชอบการเรยี นรเู้ อง 4. การเรยี นรดู้ ้วยตนเองทาใหม้ นษุ ย์อยู่รอดการมีความเปลี่ยนแปลงใหมๆ่ เกิดขึ้นเสมอทาใหม้ ีความ จาเปน็ ทจ่ี ะต้องศึกษาเรยี นรูก้ ารเรียนร้ดู ว้ ยตนเองจึงเปน็ กระบวนการต่อเนื่องตลอดชีวติ การเรียนร้ดู ว้ ยตนเองมลี กั ษณะอย่างไรการเรียนร้ดู ้วยตนเองสามารถจาแนกออกเป็น 2 ลักษณะสาคัญดงั น้ี 1. ลกั ษณะที่เป็นบคุ ลิกคณุ ลักษณะส่วนบุคคลของผูเ้ รียนในการเรยี นดว้ ยตนเองจัดเป็นองคป์ ระกอบ ภายในทจี่ ะทาใหผ้ เู้ รยี นมแี รงจูงใจอยากเรยี นต่อไปโดยผู้เรียนท่ีมีคณุ ลักษณะในการเรียนดว้ ยตนเองจะมคี วาม รับผดิ ชอบตอ่ ความคิดและการกระทาเก่ียวกบั การเรียนรวมทั้งรบั ผดิ ชอบในการบริหารจัดการตนเองซึง่ มี โอกาสเกิดข้นึ ไดส้ งู สดุ เมอื่ มกี ารจดั สภาพการเรยี นรู้ทส่ี ง่ เสริมกนั 2. ลักษณะทีเ่ ป็นการจดั การเรียนรูใ้ หผ้ ้เู รยี นไดเ้ รียนดว้ ยตนเองประกอบดว้ ยขน้ั ตอนการวางแผนการ เรียนการปฏิบตั ิตามแผนและการประเมินผลการเรยี นจัดเป็นองคป์ ระกอบภายนอกทส่ี ง่ ผลต่อการเรยี นดว้ ย ตนเองของผูเ้ รียนซ่งึ การจัดการเรียนรแู้ บบนีผ้ ู้เรยี นจะไดป้ ระโยชนจ์ ากการเรียนมากท่สี ุด Knowles (1975) เสนอใหใ้ ช้สัญญาการเรียน (Learning contracts) เปน็ การมอบหมายภาระงานให้แกผ่ ้เู รียนวา่ จะต้องทา อะไรบา้ งเพื่อใหไ้ ดร้ บั ความรู้ตามเปาู ประสงคแ์ ละผ้เู รยี นจะปฏบิ ัติตามเงื่อนไขน้ัน องค์ประกอบของการเรยี นรดู้ ้วยตนเองมีอะไรบา้ งองค์ประกอบของการเรยี นรูด้ ้วยตนเองมีดังนี้ 1. การวเิ คราะห์ความต้องการของตนเองจะเร่ิมจากใหผ้ ู้เรยี นแต่ละคนบอกความต้องการ และความสนใจของตนในการเรียนกับเพื่อนอีกคนทาหน้าท่ีเป็นทป่ี รกึ ษาแนะนาและเพ่อื นอีกคน ทาหน้าทจี่ ดบันทึกและให้กระทาเชน่ นหี้ มุนเวยี นทัง้ 3 คนแสดงบทบาทครบทง้ั 3 ดา้ นคือผู้เสนอ ความต้องการผใู้ หค้ าปรึกษาและผู้คอยจดบนั ทกึ การสงั เกตการณเ์ พ่อื ประโยชน์ในการเรียน รว่ มกันและช่วยเหลอื ซ่งึ กนั และกนั ในทุกๆด้าน 2. การกาหนดจดุ มุ่งหมายในการเรียนโดยเรม่ิ จากบทบาทของผ้เู รียนเป็นสาคัญผ้เู รียน ควรศกึ ษาจุดมงุ่ หมายของวชิ าแล้วเขียนจดุ มงุ่ หมายในการเรียนของตนใหช้ ดั เจนเนน้ พฤติกรรมที่ คาดหวังวัดได้มีความแตกตา่ งของจดุ มงุ่ หมายในแต่ละระดับ 3. การวางแผนการเรยี นใหผ้ เู้ รียนกาหนดแนวทางการเรียนตามวตั ถปุ ระสงค์ท่รี ะบไุ ว้ จดั เนอื้ หาใหเ้ หมาะสมกบั สภาพความต้องการและความสนใจของตนระบุการจัดการเรยี นรู้ให้ เหมาะสมกบั ตนเองมากทส่ี ุด 4. การแสวงหาแหลง่ วิทยาการทัง้ ท่ีเป็นวสั ดแุ ละบุคคล 4.1 แหลง่ วิทยาการท่ีเปน็ ประโยชน์ในการศกึ ษาค้นควา้ เช่นหอ้ งสมดุ พิพิธภณั ฑ์เปน็ ต้น 4.2 ทักษะตา่ งๆทีม่ ีสว่ นชว่ ยในการแสวงแหล่งวิทยาการได้อยา่ งสะดวกรวดเร็วเช่น ทักษะการตง้ั คาถามทักษะการอ่านเป็นตน้ 5. การประเมินผลควรประเมินผลการเรยี นดว้ ยตนเองตามทก่ี าหนดจดุ มุ่งหมายของการ เรียนไวแ้ ละให้สอดคลอ้ งกับวัตถุประสงค์เก่ียวกบั ความร้คู วามเขา้ ใจทกั ษะทัศนคติค่านิยมมี
ขัน้ ตอนในการประเมินคือ 5.1 กาหนดเปาู หมายวัตถปุ ระสงคใ์ หช้ ดั เจน 5.2 ดาเนนิ การใหบ้ รรลวุ ตั ถุประสงค์ซง่ึ เป็นส่งิ สาคญั 5.3 รวบรวมหลักฐานจากผลการประเมนิ เพื่อตดั สนิ ใจซึ่งต้องตงั้ อยู่บนพน้ื ฐานของข้อมูลทส่ี มบรู ณแ์ ละ เชื่อถือได้ 5.4 เปรยี บเทียบข้อมลู ก่อนเรียนกับหลังเรยี นเพื่อดูวา่ ผู้เรียนมีความก้าวหนา้ เพียงใด 5.5 ใชแ้ หล่งขอ้ มลู จากครแู ละผเู้ รียนเป็นหลักในการประเมิน
ใบงาน เร่อื ง การเรียนร้ดู ว้ ยตนเองน้นั สาคัญไฉน ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ชื่อ…………………………………………….………นามสกลุ ………………………………………………ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้ แผนการจดั การเรียนรรู้ ายวิชาเศรษฐกิจพอเพียง ครั้งที่ 1 ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศกึ ษา 2565 ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ กศน.ตาบลหัวชา้ ง 1. สปั ดาห์ท่ี 19 วันที่ 14 เดือน กันยายน พ.ศ. 2565 เวลา 09.00-12.00น. 2. วิชา เศรษฐกจิ พอเพยี ง รหสั วชิ า ทช 21001 จานวน1หน่วยกิต 3. มาตรฐานที่ 2.2 รู้ เขา้ ใจ ยอมรบั เห็นคณุ ค่า ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียงและสามารถประยุกต์ใช้ใน การประกอบอาชีพและมภี มู คิ ุ้มกันในการดาเนินชวี ิตของตนเอง ครอบครวั และชุมชนอย่างมคี วามสุข 4. หนว่ ยการเรยี นรู้/เรอื่ งความพอเพียง 5. สาระสาคัญ เศรษฐกิจพอเพยี งเปน็ หลักคดิ หลกั ปฏบิ ัตใิ นการดาเนนิ ชีวิตตามแนวทางสายกลางของกลุ่ม บุคคลทุก ระดบั ตัง้ แต่ระดบั ครอบครวั ชุมชน และระดับประเทศ โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกจิ ให้ กา้ วทนั ตอ่ ความ เปล่ยี นแปลงในยคุ โลกาภิวัฒนด์ ว้ ยความพอเพยี ง คอื มีความพอประมาณ ความมีเหตุผล มีระบบภมู ิคุ้มกันใน ตวั ทีดตี อ่ การมีผลกระทบตา่ งๆ อนั เกิดจากการเปล่ียนแปลงทงั ภายนอกและ ภายในประเทศ โดยจะต้องมี ความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวัง ควบคไู่ ปกับการมีความรู้ ทเี หมาะสม มคี วามสานกึ ใน คุณธรรม เพื่อใหส้ มดุลและพร้อมรองรบั การเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็วและ กว้างขวางท้ังทางดา้ นวัตถุ สงั คม สงิ่ แวดล้อม และวัฒนธรรมจากโลกภายนอกไดเ้ ป็นอย่างดี 6. เนื้อหา 1. ความเปน็ มาความหมาย หลักการแนวคดิ ของปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง 2. การแสวงหาความรู้ 2.1 ความหมาย ความสาคัญของการแสวงหาความรู้ 2.2 แหล่งความรู้และวิธีการแสวงหาความรู้ 7. จุดประสงค์การเรยี นรู้/ผลการเรยี นรู้ท่คี าดหวัง (ดูจากผงั การออกข้อสอบ) อธบิ ายแนวคิด หลกั การ ความหมาย ความสาคัญของปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียงได้ 8. การบูรณาการกบั หลักแนวคิดของเศรษฐกจิ พอเพยี ง (2 เงือ่ นไข 3 หลกั การ การเชอื่ มโยงสู่ 4 มติ ิ) ความรู้ ความเปน็ มาความหมาย หลกั การแนวคิดของปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง การ แสวงหาความรู้ คุณธรรม - มคี วามขยัน - มีความสามัคคีในการทางานร่วมกัน - มีความอดทน
พอประมาณ - การใชช้ วิ ติ อย่างเหมาะสม มีเหตุผล - มแี นวคิดและตัดสินใจในการใชช้ ีวิตประจาวนั ไดอ้ ยา่ งถูกต้ มีภูมิคมุ้ กัน - สามารถใชช้ ีวิตในสงั คมปจ๎ จุบันที่มีการเปล่ยี นแปลงตลอดเวลาได้ วตั ถุ - ดาเนนิ ชีวติ ได้อย่างมีแบบแผน สงั คม - เปน็ ตัวอยา่ งการดารงชวี ติ ให้กบั ผู้อนื่ ส่ิงแวดล้อม - อนรุ ักษส์ ิ่งแวดล้อมดว้ ยการใชท้ รพั ยากรในชุมชนห่างไกลการใช้สารเคมี วัฒนธรรม - อนรุ กั ษ์วถี ชี วี ติ และประเพณีในท้องถน่ิ 9. กระบวนการจดั การเรยี นร้แู ละกิจกรรมการเรียนรู้ ขัน้ ท่ี 1 กาหนดสภาพปัญหาการเรยี นรู้(O : Orientation) 1. ครอู ธิบายรายละเอียดสาระสาคัญและผลการเรยี นรทู้ ่ีคาดหวงั ในรายวชิ า ทช21001 เศรษฐกิจพอเพียง พร้อมท้งั แจกเอกสารใบความรู้ท่ี 1 ให้ผเู้ รียนทาความเข้าใจเกยี่ วกับเน้ือหาสาระ ของรายวชิ านี้ โดยใชเ้ วลา 15 นาที 2. ครตู ั้งคาถามชวนคดิ ใหก้ ับผเู้ รยี น ได้แลกเปลีย่ นเรยี นรดู้ ้วยคาถาม “เศรษฐกิจพอเพียงมี ประโยชน์ ต่อการดารงชวี ิตอย่างไร?” โดยผูเ้ รยี นร่วมกนั แสดงความคิดเหน็ และคดิ คาตอบ จากนัน้ ครู เชอ่ื มโยงเขา้ ส่เู น้ือหาความเป็นมาของหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี งมคี วามสาคญั และจาเป็นตอ่ การดาเนนิ ชวี ติ โดยกลา่ วถงึ วา่ เศรษฐกจิ พอเพยี งเป็นปรัชญาท่พี ระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมี พระราชดารชิ แี้ นะแนวทางการดาเนินชีวิต เพือ่ แก้ไขใหร้ อดพ้นวิกฤตทางด้านเศรษฐกิจ และสามารถ ดารงชวี ิตอยไู่ ด้อย่างม่ันคงและยงั่ ยนื หลักการของเศรษฐกิจพอเพียงตงั้ อยู่บนพนื้ ฐานของทางสาย กลางและความไม่ประมาท โดยคานึงถงึ ความพอประมาณ ความมเี หตุผล การสร้างภูมคิ ุ้มกนั ในตัวท่ีดี ตลอดจนใช้ความรู้ ความรอบคอบ และคณุ ธรรมประกอบการวางแผนการตัดสินใจและการกระทา สามารถนาไปประยุกตใ์ ช้ในการดาเนินชีวิตได้ 3. ครแู บ่งกลุ่มผู้เรียนกลุ่มละ 3 คน ให้ศึกษาคน้ คว้า“ความหมายและความเป็นมาหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง” จากหนงั สือแบบเรยี นวชิ า ทช21001 เศรษฐกิจพอเพียง ระดับ มัธยมศึกษาตอนตน้ และตอบคาถามจากใบงานท่ี 1 เร่อื ง เศรษฐกิจพอเพียง คืออะไร
ขน้ั ที่ 2 แสวงหาข้อมลู และจัดการเรียนรู้ (N : New ways of learning) 1. ครูให้ผเู้ รยี นดูวีดที ศั นเ์ ก่ยี วกับเศรษฐ์กจิ พอเพยี ง เรื่อง พอเพียง..ตามรอยพ่อ สารคดี โทรทศั น์ขบั เคลือ่ นเศรษฐกิจพอเพียง ผลิตโดยโครงการสนับสนนุ การขบั เคลื่อนเศรษฐกิจพอเพยี งด้าน การศกึ ษาและเยาวชน สานักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตรยิ ์ เป็นเวลา 20 นาที 2. ครูชกั ชวนผเู้ รยี นพดู คยุ ถงึ เรอ่ื งราวจากการชมวดี ที ัศน์ โดยยกตัวอยา่ งบางชว่ งบ้างตอน ของวดี ีทัศน์มากลา่ วถึงอาทเิ ช่น “เศรษฐกิจพอเพยี งเปน็ เสมือนรากฐานของชีวติ รากฐานความมั่นคง ของแผน่ ดิน เปรยี บเสมือนเสาเขม็ ท่ีถูกตอกรองรบั บา้ นเรือนตัวอาคารไว้นั่นเอง สงิ่ ก่อสร้างจะม่นั คงได้ ก็อยทู่ ่ีเสาเขม็ แต่คนสว่ นมากมองไมเ่ หน็ เสาเข็มและลมื เสาเข็มเสียดว้ ยซา้ ไป..”(พระราชดารัสจาก พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หวั : 4 ธันวาคม 2542) 3. ครใู ห้ผ้เู รียนสรปุ ความรูท้ ี่ได้รบั จากการชมวดี ีทัศน์เกยี่ วกับเศรษฐกิจพอเพียงเร่ือง พอเพียง ..ตามรอยพ่อ โดยเขยี นเปน็ เรียงความลงบนกระดาษทค่ี รแู จกให้ ข้ันที่ 3 การปฏบิ ัตแิ ละการนาไปใช้(I : Implementation) 1. ครูใหผ้ ู้เรียนทาใบงานเรื่อง เพอ่ื นบ้าน...พอเพียง โดยให้ผ้เู รียนยกตัวอยา่ งเพอ่ื นบ้านหรือบคุ คลท่ี ผเู้ รียนรจู้ กั ท่นี าหลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี งมาใชใ้ นชวี ติ ประจาวนั จากนั้นตอบคาถามตามหวั ข้อท่ี ครูกาหนดใหด้ ังนี้ 1.1 ชอ่ื ..............นามสกลุ .............ทอ่ี ยู่.........................(ของเพือ่ นบ้าน....พอเพยี ง) 1.2 วิธปี ฏบิ ตั ติ นในการดาเนินชีวติ แบบพอเพียงของเพ่อื นบา้ น....พอเพยี งเป็นอย่างไร 1.3 ผู้เรียนคิดวา่ การดาเนนิ ชวี ิตตามหลกั ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียงของเพ่ือนบา้ น...พอเพยี ง สามารถนามาปรบั ใช้กับตนเองได้อย่างไรบ้าง 2. ครูจบั ฉลากหากลมุ่ ผูโ้ ชคดีออกมาเลา่ ถึงเพื่อนหรือบุคคลทีต่ นเองกล่าวถึง 3. ครูพรอ้ มผเู้ รยี นสรุปเนื้อหาร่วมกนั พรอ้ มใหท้ ุกคนนาผลงานไปติดไวท้ ีบ่ อร์ดหนา้ หอ้ งเรียน ขน้ั ที่ 4 การประเมินผลการเรยี นรู้(E : Evaluation) 1. ประเมนิ ผลจากการทาใบงาน 2. การสงั เกตการมสี ่วนรว่ ม 10. ส่ือ/แหล่งเรยี นรู้ 1. หนงั สือแบบเรยี น วชิ า ทช21001 เศรษฐกิจพอเพยี ง ระดับมธั ยมศึกษาตอนตน้ 2. ใบความรู้ 3. ใบงาน 4.วีดีทัศน์ เรอ่ื ง พอเพียง...ตามรอยพ่อ 11.การวดั และประเมินผล 11.1 วธิ ีการวัดและประเมนิ ผล
- แบบประเมนิ ผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานรว่ มกับผอู้ ่ืน ของผู้เรียนรายบุคคล - ใบงาน 11.2 เครื่องมอื วัดและประเมินผล. - ประเมนิ ผลการสังเกตพฤตกิ รรมการทางานรว่ มกบั ผูอ้ ืน่ ของผ้เู รยี นรายบคุ คล - ผลจากการตรวจใบงาน 11.3 เกณฑ์การวัดและการประเมินผล - แบบประเมนิ ผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานรว่ มกับผ้อู ืน่ ของผเู้ รยี นรายบุคคล ระดบั ดี พอใช้ ควรปรับปรุง - ใบงานคะแนนเต็ม 10 คะแนน กจิ กรรมเสนอแนะ ............................................................................................................................. ................................................. .................................................................................. ............................................................................................ ..................... ลงช่อื …………………………………………….ครผู สู้ อน (นางวิไลวรรณ รตั นสังข์) ครู กศน.ตาบล ขอ้ เสนอแนะของผู้บรหิ าร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………........ ..................... ลงชือ่ ………………………………………………………ผอู้ นมุ ัตแิ ผน (นางปท๎ มาภรณ์ ศรเี นตร) ผู้อานวยการ กศน.อาเภอจตุรพักตรพมิ าน
บนั ทกึ หลังการจดั การเรยี นรู้ ครง้ั ที่ 19 วันท่ี 14 เดือน กันยายน พ.ศ. 2565 ครูผ้สู อน นางวิไลวรรณ รตั นสงั ข์ ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น เวลา 09.00-12.00 น. สาระทกั ษะการดาเนนิ ชีวติ รายวิชาเศรษฐกิจพอเพยี ง รหัสวิชา ทช21001 จานวนผูเ้ รียนทงั้ หมด ............... คนเขา้ เรียน…………………คน ไม่เขา้ เรยี น……………………….คน 1. ผลการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้การประเมนิ โดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรียน - หลังเรียน พบว่า คะแนนการทดสอบหลังเรยี น มากกวา่ กอ่ นเรยี นจานวน ........ คนคิดเป็นร้อยละ............ คะแนนการทดสอบหลังเรียน นอ้ ยกวา่ ก่อนเรียนจานวน ......... คนคิดเป็นรอ้ ยละ............ 2. เนอ้ื หา/สาระ/รายวิชา ............................................................................................................................. ...................................... .................................................................................................................................... ............................... 3. กิจกรรมการเรยี นการสอน ................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ...................................... 4. ปัญหา/อปุ สรรคการเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ...................................... ................................................................................................................................................................... 5. แนวทางการแก้ปัญหา ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................................. ...................................... ลงช่ือ.........................................................(ผบู้ ันทึก) (นางวไิ ลวรรณ รัตนสังข์) ครู กศน.ตาบล ความเหน็ /ข้อเสนอของผ้บู รหิ าร ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................ .......................................................................
ลงชือ่ .................................................. (นางป๎ทมาภรณ์ ศรเี นตร) ผู้อานวยการ กศน.อาเภอจตรุ พักตรพมิ าน ใบความรู้ที่ 1 โครงสร้างรายวชิ า ทช 21001 เศรษฐกจิ พอเพยี ง ระดับมธั ยมศึกษาตอนต้น สาระสาคัญ เศรษฐกิจพอเพยี ง เปน็ ปรัชญาทีพ่ ระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัว ทรงมีพระราชดารัสช้ีแนะแนวทางการ ดาเนนิ ชวี ติ แก่พสกนกิ รมาโดยตลอดตั้งแต่ก่อนวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกจิ เป็นปรัชญาช้ีถึงแนวทางการดาเนิน ชีวิตและปฏิบัติตนของประชาชนทุกระดับ ตามวิถีไทยแบบเรียบง่าย เดินทางสายกลางนาไปใช้จัดการ ทรัพยากรท่ีมีอยู่ทั้งของตนเอง ครอบครัว ประยุกต์ใช้ประกอบอย่างเหมาะสม มีข้อมูลในการวางแผน การ ดาเนินงาน บนพืน้ ฐานของความพอประมาณ ความมีเหตุผล ความภมู ิคุ้มกันท่ีดี เง่ือนไขของความรู้ และ เง่ือนไขของคุณธรรม อาศัยเครือข่ายชุมชนท่ีประสบความสาเร็จในการดาเนินชีวิตแบบพอเพียง เพื่อเป็น แบบอยา่ งในการดาเนนิ การสรา้ งอาชพี ที่จะต้องอาศยั พลังงานทกุ ภาคส่วนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อให้พร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทั้งด้านวัตถุ สังคม ส่ิงแวดล้อม และวัฒนธรรมจาก ภายนอกไดเ้ ป็นอยา่ งดี ผลการเรียนรู้ทคี่ าดหวัง 1. อธิบายแนวคดิ หลักการ ความหมาย ความสาคญั ของปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี งได้ 2. บอกแนวทางในการนาปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ไปประยกุ ต์ใชใ้ นการประกอบอาชีพ 3. เหน็ คุณคา่ และปฏบิ ตั ติ ามหลักเศรษฐกิจพอเพยี ง 4. แนะนาส่งเสรมิ สมาชกิ ในครอบครวั และชุมชนให้เหน็ คุณค่าและนาไปปฏบิ ตั ิในการดาเนนิ ชวี ติ
ช่ือ-สกุล................................................................. รหสั นกั ศึกษา........................................................ จงตอบคาถามต่อไปนี้ 1. เศรษฐกิจพอเพียงมีความเป็ นมาอยา่ งไร ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................... ใหอ้ ธิบายความหมายของ “ความพอเพยี ง” ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................... ใหย้ กตวั อยา่ งหลกั การปฏิบตั ิตนตามหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมา 5 ขอ้ ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................... ...............................................................................................................................................................
ช่ือ- สกลุ ................................................... รหสั นกั ศึกษา............................................ ใหผ้ เู้ รยี นสรุปความรูท้ ่ีไดร้ บั จากการชมวีดที ศั น์ เร่ือง พอเพียง....ตามรอยพอ่ ................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................
ช่ือ- สกลุ ................................................... รหสั นกั ศึกษา............................................ ให้ผู้เรียนเลือกเพ่ือนในห้องหรือเพ่ือนบ้าน ท่ีนาหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดาเนินชีวิต พรอ้ มตอบคาถามท่ีกาหนดใหต้ อ่ ไปนี้ 1. ช่ื อ . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . น า ม ส กุ ล ....................................................................... อาย.ุ .............................ปี เพศ.......................................อาชีพ................................................ ท่ีอย.ู่ ................................................................................................................................................................. .......................................................................................................................................................................... . 2. วิธีปฏิบตั ิตนในการดาเนนิ ชีวิตแบบพอเพียงของเพ่ือนบา้ น....พอเพียงเป็นอยา่ งไร .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... 3. ผเู้ รียนคิดวา่ การดาเนินชีวติ ตามหลกั ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียงของเพ่ือนบา้ น...พอเพียง .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... ..........................................................................................................................................................................
ท่ปี รึกษา ผูจ้ ัดทา นางปท๎ มาภรณ์ ศรเี นตร ผ้อู านวยการ กศน.อาเภอจตุรพกั ตรพมิ าน นายพรทวี เกตบุตตา ครูชานาญการ นางสาวนภิ าพร คณุ ศิริ ครูผู้ช่วย ผูจ้ ัดทา ครู กศน.ตาบล นายฤทธิชยั ลีแวง ครู กศน.ตาบล รวบรวมและจัดพิมพ์ นายฤทธชิ ยั ลแี วง
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186