1. กาหนดปัญหา 2. ตงั้ สมมตุ ิฐาน 3. ออกแบบการทดลอง 6. นาเสนอ 5. อภิปรายและสรุปผล 4. ทดลอง ขน้ั ตอนการทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ 1. กาหนดปัญหา 2. ตัง้ สมมุตฐิ าน ต้งั ปัญหาหรือสมมตุ ิฐานเก่ียวกบั ปัญหา กาหนดตวั แปรที่สงสยั (ตวั แปรตน้ ) ผล เพื่อ ท่ี ตอบคาถามของปัญหาน้นั ตามมาจากการสงสยั (ตวั แปรตาม) และ 3. ออกแบบการทดลอง จะตอ้ งควบคุมตวั แปรใดบา้ ง เพอ่ื ใหไ้ ด้ เป็ นการบอกความสัมพนั ธ์ระหว่างตัว ข4อ้. มูลททดี่นลอ่าง แปรท้งั หมดให้เป็ นรูปธรรมซ่ึงสามารถ เชื่อถเปือ็ น(กตาวั รแปปฏริบควตั บิจรคิงุมซ) ่ึงจะตอ้ งทดลอง ปฏิบตั ิไดจ้ ริงและน่าเช่ือถือวา่ จะตอ้ งใช้ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หลาย ๆ คร้ัง อยา่ งนอ้ ยตอ้ ง 3 คร้ัง เพือ่ จะ ใดบ้าง จะเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างไร ไดผ้ ลท่ีน่าเช่ือถือ การทดลองบางคร้ังผลการ 5. ผแออยเูล้ รภา่ะียงิปกนไรลรนาุ่มยาขแคลอ้วะมบสลู ครตุปุม่าผหงลๆรือทกี่ไลดุ่มจ้ ทากดกลาอรงเป็ น ทดลองอาจขดั แยง้ กนั ตอ้ งเพ่มิ การทดลอง ใหม้ ากข้ึนเป็น 5 คร้ัง หรือ 10 คร้ัง แลว้ จึงใช้ วธิ ีเฉลี่ยขอ้ มลู หรือเลือกคร้งั ที่เป็นไปไดม้ าก ทดลองมาประเมินผลและอภิปรายโดย ที่สุด เป็ นผลการทดลอง การศึกษาจากเอกสารหรือหลกั ฐาน เพอ่ื ขอ้ มลู ท่ีไดจ้ ะตอ้ งบนั ทึกและนาเสนอ นามาประกอบในการหาเหตผุ ลหรือขอ้ ท้งั หมด มิใช่เลือกเฉพาะขอ้ มลู ที่เป็ นไปตาม สมมุติฐานเท่าน้นั สรุปผลการทดลอง หากครูท่ีปรึกษาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ 6. นาเสนอ ผเู้ รียนนาเสนอขอ้ มลู ท่ีไดม้ าของความรู้ใหม่ ให้ กระบวนการทางาน โดยการเขียนรายงานและ นกั เรียนนาเสนอแต่เฉพาะขอ้ มูลดงั กล่าว จดั ป้ายนิเทศ เพ่อื แสดงโครงงานวทิ ยาศาสตร์ท่ี แลว้ อาจทาใหน้ กั เรียนเป็ นคนไมซ่ ื่อสตั ย์ ไดจ้ ดั ทา ตวั อย่างโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ขนั้ ขตาอดนเจโตคครตงิทงา่ีดนีทวาิทงวยทิ ายศาาศสาสตตรร์ ์ โครงงานวทิ ยาศาสตร์ หมายถึงการทากจิ กรรมทางวิทยาศาสตร์ชนิดหน่งึ ทีผ่ ทู้ าโครงงานจะตอ้ ง นาเอาวธิ ีการทางวิทยาศาสตร์ (secientific method) และกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ (science process) มาใช้เพื่อศึกษาหาทางแกป้ ญ๎ หาเรื่องใหม่ ๆ หรือประดิษฐค์ ิดคน้ สิ่งใหม่ ๆโดยผูท้ าโครงงาน เป็นผ้คู ิดเรอื่ งหรือ เลือกเรื่องที่ต้องการศึกษามีการวางแผนดาเนินการ (ลงมอื ปฏิบัติ) บันทึกผล วิเคราะห์ข้อมลู สรุปผลและเสนอ ผลงานด้วยตนเอง ตั้งแต่ต้นจนสาเร็จทุกขั้นตอน การทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ขนั้ ที่ 1การคิดและเลือกช่ือเร่ืองหรอื ปญ๎ หาทีจ่ ะศกึ ษา ข้นั ตอนนี้เป็นขัน้ ที่สาคัญทีส่ ดุ และยากทสี่ ุดตามหลกั การแล้วนักเรียนควรจะเปน็ ผู้คิดและเลือกหัวข้อเรือ่ งทจี่ ะ ศกึ ษาดว้ ยตนเองแต่ครูอาจมีบทบาทหรือมีส่วนช่วยเหลือให้นักเรียนสามารถคิดหัวขอ้ เร่ืองได้ด้วยตนเอง ดงั จะ ได้กลา่ วต่อไป
การทาโครงงานวิทยาศาสตร์ ข้นั ท่ี 2การวางแผนในการทาโครงงาน ได้แก่การวางแผนวิธีดาเนินงานในการศึกษาคน้ ควา้ ทั้งหมด เชน่ วสั ดุอปุ กรณท์ ่ีจาเป็นต้องใชใ้ นการออกแบบ การทดลอง และควบคมุ ตวั แปรวธิ ีดาเนินการรวบรวมขอ้ มูล การวางแผนปฏบิ ตั งิ านอยา่ งครา่ ว ๆวา่ จะ ดาเนินการอย่างไรบ้างเปน็ ขน้ั ตอน แล้วนาเสนออาจารยท์ ีป่ รกึ ษาเพ่ือขอคาแนะนาเพ่ิมเติม และขอความ เหน็ ชอบ การทาโครงงานวิทยาศาสตร์ ขน้ั ที่ 3การลงมอื ทาโครงงาน ได้แก่การลงมือปฏบิ ัติตามแผนงานท่ไี ด้วางไว้ล่วงหน้าแลว้ ในขัน้ ท่สี องนน่ั เองประกอบดว้ ยการเกบ็ รวบรวม ข้อมลู การสรา้ งหรอื การประดิษฐ์ การปฏิบัตกิ ารทดลองซึ่งสดุ แล้วแต่จะเป็นโครงงานประเภทใดและการ ค้นควา้ จากเอกสารตา่ ง ๆแล้วดาเนินการวเิ คราะหข์ ้อมลู แบ่งความหมายของขอ้ มลู และสรุปผลของการศกึ ษา คน้ คว้า การทาโครงงานวิทยาศาสตร์ ขั้นที่ 4การเขยี นรายงาน เป็นการเสนอผลของการศึกษาค้นควา้ เป็นลายลกั ษณ์อักษรหรือเป็นเอกสารเพ่ืออธิบายใหผ้ ู้อน่ื ทราบ รายละเอียดทง้ั หมดของการทาโครงงานซงึ่ จะประกอบดว้ ยป๎ญหาทที่ าการศึกษาวตั ถุประสงคข์ องการศกึ ษา วธิ ดี าเนนิ การศึกษาค้นควา้ อุปกรณห์ รือเคร่ืองมือท่ใี ช้ ข้อมูลตา่ ง ๆท่ีรวบรวมได้ ผลท่ีไดจ้ ากการศกึ ษาค้นคว้า ตลอดจนประโยชน์และขอ้ เสนอแนะตา่ ง ๆที่ไดจ้ ากการทาโครงงานวิทยาศาสตรน์ ั้น ๆวธิ เี ขยี นรายงานโครงงาน วทิ ยาศาสตรก์ ม็ ลี ักษณะและแนวทางในการเขยี นเชน่ เดียวกับการเขยี นรายงานผลการวิจยั ทางวทิ ยาศาสตร์ ของนักวทิ ยาศาสตร์นั่นเอง การทาโครงงานวิทยาศาสตร์ ขั้นท่ี 5การแสดงผลงาน เป็นการเสนอผลงานที่ได้ศึกษาคน้ ควา้ สาเร็จลงแลว้ ให้ผอู้ ่นื ได้รับรแู้ ละเขา้ ใจซง่ึ อาจกระทาได้หลายรูปแบบ เช่น การจดั นทิ รรศการการสาธติ แสดงประกอบการรายงานปากเปลา่ ฯลฯ ในการจัดแสดงผลงานของการทาโครงงานวิทยาศาสตรท์ คี่ รอู าจกระทาไดใ้ นหลายระดับ เช่น 1. การจดั เสนอผลงานภายในช้นั เรียน 2. การจัดแสดงนิทรรศการภายในโรงเรียนเป็นการภายใน 3. การจดั แสดงนทิ รรศการในงานประจาปขี องโรงเรียน 4. การส่งโครงงานเข้ารว่ มในงานแสดงหรือประกวดภายนอกโรงเรยี นในระดบั ต่าง ๆ เชน่ ระดบั กลุ่มโรงเรยี น ระดับจงั หวดั ระดบั เขตการศึกษา และระดบั ชาติ เป็นต้น
ใบงานที่ 1 ประเภทโครงงานวทิ ยาศาสตร์ จงบอกประเภทของโครงงานวิทยาศาสตร์ 1. ก้านผักตบชวากับการลดปริมาณสารพิษในในควนั บุหร่ี ..................................................................................................... .................................................... 2. เปลอื กผลไม้ลบคาผิด .................................................................................................... ..................................................... 3. เครอ่ื งแยกไข่แดงไข่ขาว ......................................................................................................................................................... 4. การสารวจลักษณะทางพันธกุ รรมของนักเรียนโรงเรียนบ้านบางสาน .................................................................................................... ..................................................... 5. การอธบิ ายคลน่ื ยักษ์ สึนามิ .................................................................................................... ..................................................... 6. การทากระดาษสาจากใบพืช ......................................................................................................................................................... 7. ปิโตรเลยี มเกดิ ขนึ้ ไดอ้ ย่างไร ........................................................................................... .............................................................. 8. เคร่ืองให้อาหารปลาดุก .................................................................................................... ..................................................... 9. เตาอบพลังงานแสงอาทิตย์ .................................................................................................... ..................................................... 10. การวเิ คราะหค์ ่ามมุ โดยใชห้ ลักปิโตรเลียม ......................................................................................................................................................... ชือ่ – สกุล …………………………………………………………………รหัสนกั ศกึ ษา…………………………………………
แผนการจดั การเรยี นรูร้ ายวิชาวิทยาศาสตร์ ครั้งที่ 3 ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2565 ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนต้น กศน.ตาบลศรีโคตร 1. สปั ดาหท์ ่ี 12 วนั ท่ี 27 เดอื น กรกฎาคม พ.ศ. 2565 เวลา 09.00-12.00น. 2. วิชา วิทยาศาสตร์ รหัสวชิ า พว21001 จานวน 4 หนว่ ยกติ 3. มาตรฐานที่ 2.2 มคี วามรู้ความเข้าใจ และทักษะพ้ืนฐานเกย่ี วกับคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตรแ์ ละ เทคโนโลยี 4. หน่วยการเรยี นรู้/เร่อื ง เกณฑ์ในการจาแนกสาร 5. สาระสาคัญ สารเพื่อชวี ิต การจาแนกสาร ธาตแุ ละสารประกอบ สารละลาย กรด-เบส สารและ ผลิตภณั ฑในชวี ติ 6. เนื้อหา 1. เกณฑ์ ในการจาแนกสาร 2. การใชส้ ถานะใชเ้ น้อื สาร 3. สมบัตขิ องธาตุ สารประกอบสารละลาย สารผสม 7. จดุ ประสงคก์ ารเรียนร้/ู ผลการเรยี นร้ทู คี่ าดหวัง (ดจู ากผงั การออกข้อสอบ) 1.อธิบายความแตกต่างและจาแนกธาตุ สารประกอบ สารละลาย และสารผสม 2. สามารถจาแนกสารโดยใชเ้ นอ้ื สารและสถานะเปน็ เกณฑ์ 8. การบูรณาการกับหลักแนวคดิ ของเศรษฐกิจพอเพยี ง (2 เง่ือนไข 3 หลักการ การเชื่อมโยงสู่ 4 มติ )ิ ความรู้ สรุปความ จับประเดน็ สาคญั ของเรอ่ื งการจาแนกสาร คณุ ธรรม - มคี วามตง้ั ใจ - มีความขยัน - มคี วามคดิ สรา้ งสรรค์ พอประมาณ - เนือ้ หาวชิ าทเ่ี รียนรู้มคี วามเหมาะสมกับวยั ของผู้เรยี นและใช้เวลาเหมาะสมกับ เน้อื หา - ผู้เรียนเลือกวชิ าทีส่ ามารถศึกษาเองได้เป็นการเรียนแบบ กรต. มเี หตผุ ล - เลือกใชส้ ารเคมที ี่เหมาะสมและเกดิ ประโยชน์ มภี ูมิคมุ้ กนั - มีความรเู้ รอื่ งการจาแนกสาร - มคี วามรเู้ รอ่ื งการใช้สารเคมี วัตถุ - ไดจ้ าแนกสารโดยวธิ ีแตกต่างกนแล้วแต่ชนิดของสาร สังคม
- ผู้เรยี นแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกนั ได้ - ผูเ้ รยี นใชก้ ระบวนการกลุ่มไดอ้ ยา่ งเหมาะสม สิ่งแวดล้อม - รจู้ กั การใช้สารท่ีอนุรกั ษท์ รพั ยากรส่ิงแวดลอ้ ม วัฒนธรรม - ผลิตภัณฑแ์ ละวธิ ีการใชส้ ารเคมที ่ีมีการบอกต่อๆกัน 9. กระบวนการจัดการเรยี นรู้และกจิ กรรมการเรยี นรู้ ข้นั ท่ี 1 กาหนดสภาพปัญหาการเรียนรู้ (O : Orientation) 1. ครสู รา้ งความคุ้นเคยกบั ผเู้ รยี นทาความเข้าใจเน้ือหาวิชาวทิ ยาศาสตร์เรื่องเกณฑใ์ นการ จาแนกสาร ช้ีแจงตวั ชวี้ ดั ของหนว่ ยการเรยี นรู้ 2. ครูทกั ทายกลา่ วนาอธบิ ายการกาหนดเปาู หมายและการวางแผนการเรยี นรเู้ กณฑ์ในการ จาแนกสารสมบตั ขิ องธาตุสารประกอบ สารละลาย สารผสม ขั้นท่ี 2 แสวงหาขอ้ มูลและจัดการเรียนรู้ (N : New ways of learning) 1. ครูและผู้เรยี นวางแผนวิธีการเรียนร้เู นื้อหาทกี่ าหนด 2. ผเู้ รียนแบง่ กล่มุ ตามหวั ข้อที่กาหนดให้โดยวธิ กี ารจับฉลาก 1. เกณฑใ์ นการจาแนกสาร 2. สมบัตขิ องธาตุ สารประกอบ สารละลาย สารผสม 3. ผูเ้ รยี นศึกษาใบความร้จู ากท่แี ต่ละกลุ่มจับฉลากได้ และสอ่ื อินเตอร์เน็ต โดยให้เวลาศกึ ษา 15 นาที 4. ผู้เรยี นแตล่ ะกลุ่มสง่ ตวั แทนนาเสนอเรื่องท่ีศกึ ษา กลมุ่ ละไม่เกนิ 5 นาที หนา้ ชน้ั เรียน 5. ผ้เู รยี นทาแบบทดสอบเรือ่ งสมบตั ิของสาร เพื่อทดสอบความเข้าใจ ขั้นท่ี 3 การปฏิบตั แิ ละการนาไปใช้ (I : Implementation) 1. ครแู ละผู้เรียนสรุปเนื้อหาทไี่ ด้เรียนรูร้ ่วมกัน ข้นั ท่ี 4 การประเมินผลการเรยี นรู้ (E : Evaluation) 1. ผู้เรียนมสี ว่ นรว่ มในการประเมนิ แบบฝึกหัดของแตล่ ะกล่มุ โดยการเขยี นช่อื ตนเองไวใ้ นใบ งาน 2. ครสู ังเกตจากการมีสว่ นร่วมของผ้เู รียน 10. สื่อ/แหล่งเรยี นรู้ 1. หนงั สือเรียน 2. แบบฝึกหัด 3. ใบงาน 4. ใบความรู้ 5. สือ่ อนิ เตอร์เนต็ 11. การวัดและประเมนิ ผล 10.1วธิ ีการวัดและประเมนิ ผล
- ใบงาน - แบบทดสอบก่อนเรยี น – หลังเรยี น 10.2 เครื่องมือวดั และประเมินผล - ผลจากการตรวจใบงาน - คะแนนแบบทดสอบกอ่ นเรียน – หลงั เรยี น 10.3 เกณฑ์การวดั และการประเมินผล - ใบงานคะแนนเต็ม 10คะแนน - แบบทดสอบก่อนเรยี น – หลังเรียนเกณฑ์การประเมิน ผา่ น และไมผ่ ่าน กิจกรรมเสนอแนะ .............................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................... ........................................... ......................................................................................................................................... ..................................... .................. ลงชอ่ื …………………………………………….ครผู ู้สอน (นายปรเรศ นามโคตร) ครู กศน.ตาบล ข้อเสนอแนะของผู้บริหาร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……....................................................................................................................... ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ................................... ลงช่อื ………………………………………………………ผ้อู นุมตั ิแผน (นางปท๎ มาภรณ์ ศรีเนตร) ผอู้ านวยการ กศน.อาเภอจตุรพักตรพิมาน
บันทกึ หลังการจัดการเรยี นรู้ กศน.ตาบลศรโี คตร ครั้งที่ 12 วนั /เดือน/ปีวันท่ี 27 เดอื นกรกฎาคม พ.ศ. 2565 ครูผสู้ อนนายปรเรศ นามโคตร ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น เวลา 09.00-12.00 น. สาระความรู้พื้นฐาน รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ รหสั วิชา พว21001 จานวนผู้เรียนทง้ั หมด ............... คนเขา้ เรียน…………………คน ไมเ่ ขา้ เรยี น……………………….คน 1. ผลการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้การประเมนิ โดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรยี น - หลังเรยี น พบว่า คะแนนการทดสอบหลังเรยี น มากกว่ากอ่ นเรียนจานวน ........ คนคิดเปน็ รอ้ ยละ............ คะแนนการทดสอบหลังเรียน น้อยกว่าก่อนเรียนจานวน ......... คนคดิ เปน็ ร้อยละ............ 2. เนอ้ื หา/สาระ/รายวิชา ................................................................................................................................................................. .. ............................................................................................................................. ...................................... 3. กจิ กรรมการเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................................................................ ....... 4. ปญั หา/อปุ สรรคการเรียนการสอน ............................................................................................ ....................................................................... ............................................................................................................................. ...................................... 5. แนวทางการแกป้ ัญหา ............................................................................................................................. ...................................... ........................................................................................... ........................................................................ ลงช่อื .........................................................(ผบู้ ันทึก) (นายปรเรศ นามโคตร) ครู กศน.ตาบล ความเห็น/ข้อเสนอของผู้บรหิ าร ................................................................................................................................. .................................. ................................................................................................ ................................................................... ลงชอื่ .................................................. (นางป๎ทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผอู้ านวยการ กศน.อาเภอจตุรพักตรพิมาน
ใบความทรี่ ู้ 1 เร่ืองเกณฑใ์ นการจาแนกสาร เร่ืองที่ 1 สมบัติของสารและเกณฑ์ในการจาแนกสาร สมบตั ขิ องสารหมายถงึ ลักษณะเฉพาะตัวของสารเช่นเน้ือสารสกี ลน่ิ รสการนาไฟฟาู การละลายนา้ จดุ เดอื ด จุดหลอมเหลวความเป็นกรด – เบสเป็นต้นสารแตล่ ะชนิดมีสมบัติเฉพาะตวั ท่แี ตกต่างกนั แบง่ เป็น 2 ประเภท คือ 1. สมบัติทางกายภาพของสารเป็นสมบตั ิของสารทสี่ ามารถสงั เกตได้งา่ ยเพื่อบอกลักษณะของสารอย่าง คร่าวๆไดแ้ ก่สถานะความแขง็ ความอ่อนสกี ล่นิ ลักษณะผลกึ ความหนาแนน่ หรอื เปน็ สมบัติท่ีอาจตรวจสอบได้ โดยทาการทดลองอย่างงา่ ยๆได้แกก่ ารละลายน้าการหาจดุ เดือดการหาจุดหลอมเหลวหรือจดุ เยอื กแข็งการนา ไฟฟาู การหาความถว่ งจาเพาะการหาความร้อนแฝง 2. สมบัติทางเคมหี มายถึงสมบัติเฉพาะตวั ของสารท่เี ก่ยี วข้องกับการเกิดปฏกิ ริ ิยาเคมีเชน่ การเกิดสารใหม่ การสลายตวั ใหไ้ ด้สารใหม่การเผาไหมก้ ารระเบิดและการเกิดสนิมของโลหะเปน็ ตน้ เกณฑ์ในการจาแนกสาร ในการศึกษาเรื่องสารจาเป็นต้องแบง่ สารออกเป็นหมวดหมูเ่ พ่ือให้ง่ายต่อการจดจาสารโดยท่วั ไปนิยม ใชส้ มบัติทางกายภาพด้านใดด้านหน่ึงของสารเป็นเกณฑใ์ นการจาแนกสาร ซึ่งมหี ลายเกณฑ์ด้วยกนั เช่น 1. ใชส้ ถานะเปน็ เกณฑจ์ ะแบ่งสารออกไดเ้ ปน็ 3 กลุ่มคือ 1.1 ของแข็ง ( solid ) หมายถงึ สารที่มีลักษณะรปู รา่ งไมเ่ ปลี่ยนแปลงและมีรูปรา่ งเฉพาะตัวเนอ่ื งจาก อนภุ าคในของแขง็ จัดเรียงชดิ ติดกนั และอดั แน่นอยา่ งมรี ะเบยี บไมม่ ีการเคลื่อนทห่ี รือเคล่ือนทไ่ี ดน้ อ้ ยมากไม่ สามารถทะลุผา่ นได้และไมส่ ามารถบีบหรอื ทาให้เลก็ ลงได้เชน่ ไม้หินเหล็กทองคาดินทรายพลาสตกิ กระดาษเป็น ตน้ 1.2 ของเหลว ( liquid ) หมายถงึ สารที่มีลักษณะไหลไดม้ ีรูปรา่ งตามภาชนะทบี่ รรจุเนื่องจากอนภุ าค ในของเหลวอยหู่ า่ งกันมากกว่าของแข็งอนุภาคไมย่ ดึ ตดิ กันจึงสามารถเคล่ือนท่ีได้ในระยะใกล้และมแี รงดงึ ดูด ซึ่งกนั และกนั มีปริมาตรคงทส่ี ามารถทะลุผา่ นไดเ้ ช่นน้าแอลกอฮอลน์ ้ามนั พืชนา้ มันเบนซินเป็นต้น 1.3 แกส๊ ( gas ) หมายถึงสารท่ลี ักษณะฟูุงกระจายเตม็ ภาชนะท่บี รรจุเนอื่ งจากอนุภาคของแก๊สอยู่ หา่ งกนั มากมีพลงั งานในการเคลอ่ื นที่อยา่ งรวดเรว็ ไปไดใ้ นทุกทิศทางตลอดเวลาจึงมแี รงดึงดูดระหว่างอนภุ าค นอ้ ยมากสามารถทะลุผา่ นไดง้ ่ายและบบี อัดใหเ้ ล็กลงได้ง่ายเชน่ อากาศแกส๊ ออกซิเจนแก๊สหงุ ต้มเปน็ ต้น 2. ใช้ความเปน็ โลหะเป็นเกณฑแ์ บ่งไดเ้ ป็น 3 กลุ่มคือ 2.1 โลหะ ( metal) 2.2 อโลหะ ( non-metal ) 2.3 กึง่ โลหะ ( metaliod ) 3. ใชก้ ารละลายน้าเปน็ เกณฑ์แบง่ ได้ 2 กลุ่มคอื 3.1 สารที่ละลายน้า 3.2 สารทไ่ี มล่ ะลายน้า 4. ใชเ้ นือ้ สารเป็นเกณฑ์แบ่งออกเป็น 2 กลมุ่ คอื 4.1 สารเน้อื เดยี ว ( homogeneous substance ) 4.2 สารเนอ้ื ผสม ( heterogeneous substance
ใบความร้ทู ่ี 2 สมบัติของธาตุสารประกอบสารละลายสารผสม ธาตุ (Element) หมายถึงสารบริสุทธิ์ท่ีมีองค์ประกอบอย่างเดียวธาตุไม่สามารถจะนามาแยกสลาย ใหก้ ลายเปน็ สารอ่นื โดยวิธีการทางเคมีธาตุมีท้ังสถานะที่เป็นของแข็งเช่นธาตุสังกะสี(Zn) ตะก่ัว (Pb) เงิน (Ag) และดีบุก (Sn) , เป็นของเหลวเช่นปรอท (Hg) เป็นก๊าซเช่นไนโตรเจน (N2) ฮีเลียม (He) ออกซิเจน (O2) ไฮโดรเจน (H2) เป็นต้น สารประกอบ (compound) หมายถึง “สารบรสิ ุทธิ์เนื้อเดียวที่เกิดจากธาตุต้ังแต่สองชนิดข้ึนไปเป็น องค์ประกอบ” สารประกอบเกิดจากการรวมตัวของธาตุโดยวิธีการทางเคมีสามารถแยกสลายให้เกิดเป็นสาร ใหม่หรือกลับคืนเป็นธาตุเดิมได้สารประกอบจะมีสมบัติเฉพาะตัวท่ีแตกต่างจากธาตุเดิมเช่นน้ามีสูตรเคมีเป็น H2O น้าเป็นสารประกอบที่เกิดจากธาตุไฮโดรเจน (H) และออกซิเจน (O) แต่มีสมบัติแตกต่างจากไฮโดรเจน และออกซิเจนน้าตาลทรายประกอบด้วยธาตคุ ารบ์ อน ( C ),ไฮโดรเจน (H) ,และออกซเิ จน (O) เปน็ ตน้ สารละลาย (solution) หมายถงึ สารเนือ้ เดยี วท่ีไม่บรสิ ุทธเ์ิ กิดจากสารตงั้ แต่ 2 ชนิดข้ึนไปมารวมกัน สารผสมหมายถึงสารท่ีมีองคป์ ระกอบภายในแตกต่างกันหรือสารทีเ่ นอื้ ไม่เหมือนกันทุกส่วนเช่นพริก เกลือคอนกรีตดินหรืออาจเป็นสารตั้งแต่สองชนิดขึ้นไปผสมกันอยู่โดยที่สารเหล่านี้ยังมีสมบัติเหมือนเดิมและ สามารถแยกออกจากกันได้โดยวิธงี ่ายๆ
แบบฝกึ หดั คาชแี้ จงจงเลือกคาตอบท่ีคดิ ว่าถกู ต้องท่สี ดุ เพียงคาตอบเดยี วในแต่ละข้อ 1) ข้อใดไม่ใชส่ สาร ก. เกลอื แกงใส่ลงในอาหาร ข. เสยี งของสุนขั หอน ค. นา้ แกงกาลังเดือด ง. สายไฟที่ทาจากพลาสติก 2) ทองเหลืองจัดเปน็ สารประเภทใด ก. ธาตุ ข. สารประกอบ ค. สารละลาย ง. สารเนอื้ ผสม 3) ขอ้ ใดตอ่ ไปนเ้ี ปน็ ความหมายของสารประกอบ ก. โมเลกุลของสารประกอบด้วยธาตุ 2 อะตอมข้นึ ไป ข. สารท่ธี าตเุ ปน็ ชนิดเดียวกัน ค. สารที่เกดิ จากธาตุ 2 ชนิดข้นึ ไปมารวมกัน ง. ผลติ ภัณฑท์ ่ไี ด้จากการทาปฏิกริ ิยากันของสาร 2 ชนิด 4) ข้อความตอ่ ไปนข้ี ้อใดถูกต้อง ก. สารละลายทุกชนิดเป็นสารบริสุทธ์ิ ข. สารบริสุทธบิ์ างชนิดเปน็ สารเนอื้ เดยี ว ค. สารประกอบทุกชนดิ เปน็ สารเนอ้ื เดยี ว ง. ธาตุบางชนดิ เปน็ สารเนอ้ื เดียว 5) ถ้าจดั เหล็กนา้ เชอ่ื มและสารละลายกรดซัลฟิวริกใหอ้ ยู่ในกล่มุ เดียวกนั จะตอ้ งใชอ้ ะไรเป็นเกณฑ์ในการจดั ก. การนาไฟฟาู ข. การละลาย ค. การเปน็ สารเนื้อเดียวกนั ง. สมบตั ิเป็นกรด-เบส 6) วิธีการกล่ันนา้ ให้บรสิ ทุ ธ์ิแบบธรรมดาจะไม่เหมาะสมเมื่อนามาใช้กับอะไร ก. นา้ ทะเล ข. น้าคลอง ค. นา้ ผสมแอลกอฮอล์ ง. สารละลายโพแทสเซยี มคลอ ไรด์ 7) การแยกน้ามันดิบสว่ นใหญอ่ าศัยวธิ กี ารแบบใด ก. การสันดาป ข. การกลน่ั ลาดับสว่ น ค. การตกตะกอนลาดบั สว่ น ง. การสลายตัวด้วยความรอ้ น 8) กรดในข้อใดเป็นกรดอนิ ทรยี ์ท้งั หมด ก. น้ามะขามกรดไฮโดรคลอริก ข. นา้ มะนาวกรดไนตรกิ ค. กรดแอซิตกิ นา้ มะนาว ง. นา้ มะขามกรดซัลฟวิ ริก 9) สารใดต่อไปน้มี สี ภาพเป็นเบสทั้งหมด ก. น้ามะนาวนา้ อัดลม ข. นา้ มะขามน้าเกลือ ค. สารละลายผงซักฟอกน้าข้ีเถา้ ง. สารละลายยาสีฟ๎นน้ายาลา้ งจาน 10) สบ่เู กิดจากปฏิกริ ิยาเคมีระหวา่ งสิง่ ใด ก. แชมพกู บั น้ามันพืช ข. กรดกับไขมนั สัตว์ ค. ไขมนั สตั ว์กับน้าขีเ้ ถ้า ง. ไม่มขี ้อใดถกู
เฉลยแบบทดสอบเร่ืองสารและการจาแนกสาร 1. ข 6. ง 2. ก 7. ข 3. ค 8. ก 4. ค 9. ค 5. ก 10. ง
แผนการจัดการเรยี นรรู้ ายวิชาวิทยาศาสตร์ ครงั้ ท่ี 4 ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2565 ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น กศน.ตาบลศรโี คตร 1. สปั ดาห์ที่ 13 วันที่ 3 เดือน สิงหาคม พ.ศ. 2564 เวลา 09.00-12.00น. 2. วิชา วิทยาศาสตร์ รหสั วิชา พว21001 จานวน 4 หนว่ ยกิต 3. มาตรฐานท่ี 2.2 มีความรู้ความเข้าใจ และทักษะพน้ื ฐานเก่ยี วกบั คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี 4. หนว่ ยการเรยี นร้/ู เร่ือง งานและพลงั งาน 5. สาระสาคญั ความหมายของงานและพลงั งาน รูปของพลังงานประเภทต่าง ๆ พลังงานไฟฟูา กฎของโอห์มการตอ่ วงจรความต้านทานแบบตา่ ง ๆ การคานวณหาคา่ ความต้านทาน การใชป้ ระโยชนจ์ ากไฟฟูาในชวี ติ ประจาวัน และการอนุรักษพ์ ลงั งานไฟฟูา แสงและคุณสมบัตขิ องสาร เลนส์ชนิดต่าง ๆ ประโยชนแ์ ละโทษของแรงตอ่ ชีวิต แหล่งกาเนดิ ของพลังงานความร้อน การนาความร้อนไปใช้ประโยชนพ์ ลงั งานทดแทน 6. เนอ้ื หา เรอื งที่ 1 ความหมายของงานและพลังงาน เรืองท่ี 2 รปู ของพลงั งานประเภทต่าง ๆ เรอื งที่ 3 ไฟฟาู เรอื งที่4 แสง 7. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้/ผลการเรยี นรู้ทค่ี าดหวงั (ดูจากผงั การออกข้อสอบ) 1. อธบิ ายความหมายของงานและพลังงานในรูปแบบต่าง ๆ ได้ 2. ต่อวงจรไฟฟูาอยา่ งงา่ ยได้ 3. ใชก้ ฎของโอห์มในการคานวณได้ 4. บอกวธิ ีการอนรุ ักษ์และประหยัดพลังงานได้ 5. อธบิ ายสมบตั ิของแสง พลังงานความร้อน และนาไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจาวนั ได้ 6. อธบิ ายพลงั งานทดแทนและเลอื กใช้ได้ 8. การบรู ณาการกับหลักแนวคิดของเศรษฐกจิ พอเพยี ง (2 เงอ่ื นไข 3 หลกั การ การเช่ือมโยงสู่ 4 มิต)ิ ความรู้ สรุปความ จับประเดน็ สาคญั ของเรื่องงานและพลงั งาน คณุ ธรรม - มคี วามตง้ั ใจ - มคี วามขยนั - มคี วามซ่ือสัตย์ พอประมาณ - เน้อื หาวชิ าที่เรยี นรู้มคี วามเหมาะสมกับวัยของผูเ้ รียนและใชเ้ วลาเหมาะสมกับ เนอ้ื หา - ผูเ้ รยี นเลือกวชิ าทสี่ ามารถศึกษาเองได้เป็นการเรยี นแบบ กรต. มเี หตผุ ล
- ผู้เรียนนาวัสดุที่มมี าปรบั ใช้ในการทาพลงั งานทดแทน มภี มู ิคุ้มกนั - มคี วามร้เู รอื่ งงานและพลังงาน - มีความรู้เรื่องการใช้ประโยชนจ์ ากพลงั งานแต่ละประเภท วัตถุ - การใช้วัสดอุ ุปกรณ์แต่ละชนิดจนทาให้เกิดประเภทของงานและพลงั งานแตล่ ะ ประเภท สังคม - ผเู้ รยี นแลกเปลีย่ นความคิดเห็นรว่ มกนั ได้ - ผูเ้ รียนใชก้ ระบวนการกลุ่มไดอ้ ย่างเหมาะสม สง่ิ แวดล้อม - ใช้วสั ดุอปุ กรณท์ ี่มีในท้องถ่ินและอนุรกั ษ์สิ่งแวดลอ้ มได้ วฒั นธรรม - ใช้วสั ดุในท้องถ่นิ นามาประดิษฐแ์ ละใช้ให้เกิดแรงต่างๆ 9. กระบวนการจดั การเรียนรู้และกจิ กรรมการเรียนรู้ ข้ันที่ 1 กาหนดสภาพปญั หาการเรียนรู้ 1. ครสู รา้ งความคนุ้ เคยกับผู้เรยี นทาความเข้าใจเน้ือหาวชิ าวทิ ยาศาสตรเ์ ร่ืองงานและพลงั งาน ช้แี จงตัวช้วี ัดของหนว่ ยการเรียนรู้ 2. ครูทักทายกล่าวนาอธบิ ายการกาหนดเปาู หมายและการวางแผนการเรียนรเู้ รือ่ งงานและ พลงั งาน ข้นั ท่ี 2 แสวงหาข้อมลู และจัดการเรียนรู้ 1. ครอู ธิบายเร่ืองงานและพลังงาน และประโยชนข์ องการนาไปใช้ 2. ผเู้ รยี นศึกษาใบความรู้ และสื่ออนิ เตอร์เน็ต 3. ผเู้ รยี นแตล่ ะกลุ่มส่งตัวแทนนาเสนอเร่ืองท่ศี ึกษา กลมุ่ ละไมเ่ กนิ 5 นาที หน้าชั้นเรยี น 4. ผู้เรียนทาแบบทดสอบเรือ่ งงานและพลงั งานเพื่อทดสอบความเข้าใจ ขัน้ ท่ี 3 การปฏบิ ตั ิและการนาไปใช้ 1. ครูและผูเ้ รียนสรุปเนอ้ื หาทไ่ี ด้เรียนรรู้ ว่ มกัน ขั้นที่ 4 การประเมินผลการเรยี นรู้ 1. ผู้เรยี นมสี ว่ นรว่ มในการประเมนิ แบบฝึกหัดของแต่ละกลมุ่ โดยการเขยี นชอ่ื ตนเองไว้ในใบงาน 2. ครสู งั เกตจากการมีสว่ นร่วมของผเู้ รียน 10. สือ่ /แหล่งเรียนรู้ 1. หนังสอื เรยี น 2. แบบฝกึ หดั 3. สือ่ อนิ เตอร์เนต็
11. การวัดและประเมินผล 11.1วิธกี ารวดั และประเมนิ ผล - ใบงาน - แบบทดสอบก่อนเรยี น – หลงั เรียน 11.2 เครือ่ งมือวดั และประเมินผล - ผลจากการตรวจใบงาน - คะแนนแบบทดสอบกอ่ นเรียน – หลงั เรียน 11.3 เกณฑ์การวัดและการประเมินผล - ใบงานคะแนนเต็ม 10คะแนน - แบบทดสอบก่อนเรยี น – หลังเรียนเกณฑ์การประเมิน ผา่ น และไมผ่ ่าน กิจกรรมเสนอแนะ ....................................................................................................................... ....................................................... ................................................................................................................................... ........................................... ........................................................................................................................................................ ...................... ................. ลงช่อื …………………………………………….ครูผสู้ อน (นายปรเรศ นามโคตร) ครู กศน.ตาบล ขอ้ เสนอแนะของผู้บรหิ าร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……............................................................................................................................. ........................................... ............................................................................................................................. ................................................. .................................. ลงชื่อ………………………………………………………ผ้อู นุมัตแิ ผน (นางปท๎ มาภรณ์ ศรเี นตร) ผู้อานวยการ กศน.อาเภอจตุรพักตรพิมาน
บนั ทกึ หลังการจดั การเรียนรู้ กศน.ตาบลศรีโคตร ครัง้ ท่ี 13 วนั /เดอื น/ปวี ันท่ี 3 เดอื นสิงหาคม พ.ศ. 2565 ครูผสู้ อนนายปรเรศ นามโคตร ระดับ มัธยมศึกษาตอนตน้ เวลา 09.00-12.00 น. สาระความรู้พ้ืนฐาน รายวชิ า วิทยาศาสตร์ รหัสวชิ า พว21001 จานวนผ้เู รยี นทั้งหมด ............... คนเข้าเรยี น…………………คน ไม่เข้าเรยี น……………………….คน 1. ผลการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้การประเมินโดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรียน - หลังเรียน พบวา่ คะแนนการทดสอบหลังเรียน มากกว่าก่อนเรยี นจานวน ........ คนคิดเปน็ ร้อยละ............ คะแนนการทดสอบหลังเรียน น้อยกว่าก่อนเรยี นจานวน ......... คนคดิ เปน็ ร้อยละ............ 2. เนือ้ หา/สาระ/รายวชิ า ................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ...................................... 3. กจิ กรรมการเรียนการสอน ............................................................................................................................. ...................................... ................................................................................................................................................................... 4. ปญั หา/อุปสรรคการเรียนการสอน ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................................. ...................................... 5. แนวทางการแก้ปัญหา ................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ...................................... ลงช่ือ.........................................................(ผบู้ นั ทึก) (นายปรเรศ นามโคตร) ครู กศน.ตาบล ความเหน็ /ข้อเสนอของผู้บริหาร ................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ...................................... ลงชอ่ื .................................................. (นางป๎ทมาภรณ์ ศรเี นตร) ผู้อานวยการ กศน.อาเภอจตรุ พักตรพิมาน
ใบความรู้ เรอ่ื ง งานและพลังงาน งานและพลงั งาน งาน (Work) คือ ปรมิ าณของพลังงานทีเ่ ป็นผลมาจากแรงซึ่งกระทาตอ่ วัตถุ ก่อนส่งผลให้วัตถุดังกล่าว เคลื่อนท่ีไปตามแนวแรงได้ในระยะทางหน่ึง ซึ่งในระบบเอสไอ (SI) งานเปน็ ปริมาณสเกลาร์ (Scalar) เช่นเดียวกับพลังงาน มหี น่วยเป็นนิวตันเมตร (N•m) หรอื จูล (J) สามารถคานวณได้จากความสัมพันธ์ ดงั ต่อไปนี้ W=Fxs เมือ่ W = งานทเ่ี กดิ ขึ้นจากแรงกระทา F = แรงที่กระทาต่อวัตถุ มีหน่วยเปน็ นิวตนั (N) s = ระยะทางท่ีวตั ถุเคลอ่ื นทีไ่ ปตามแนวแรง มีหน่วยเป็นเมตร (m) ในทางฟิสิกส์ งานจะเกิดขึ้นได้ ตอ่ เมื่อมแี รงมากระทาต่อวัตถุ แล้วทาให้วัตถมุ ีการกระจัดอยใู่ นทิศทาง หรอื ในแนวเดยี วกนั กบั แรง เช่น เมื่อยกกลอ่ งท่ีมีนา้ หนัก 30 นวิ ตัน ขนึ้ จากพ้ืนไปวางบนชน้ั หนังสือทส่ี งู จาก พืน้ 1.2 เมตร งานที่เกิดขึน้ จากแรงกระทาดังกลา่ ว สามารถคานวณไดจ้ ากสูตร W = F x s ตัวอย่างเช่น จากแรงกระทา หรือ F = 30 นวิ ตัน และระยะทาง หรือ s = 1.2 เมตร W = 30 นิวตนั x 1.2 เมตร = 36 จลู ดงั น้นั งานทีท่ าได้มีค่าเทา่ กับ 36 จลู ซง่ึ จากนิยามดงั กล่าว งานที่เกดิ ขน้ึ จะมีคา่ เป็นบวก (+) เมอื่ แรงและการกระจดั เป็นไปในทิศทาง เดยี วกัน โดยงานท่ไี ดจ้ ะมีค่าเปน็ ลบ (-) ต่อเมื่อแรงและการกระจดั เป็นไปในทิศทางตรงกันข้าม ขณะที่งานจะมี คา่ เป็นศนู ย์ (0) หากแรงและการกระจดั เกิดขน้ึ ในระนาบซ่ึงตงั้ ฉากตอ่ กนั และกัน เนือ่ งจากแรงที่กระทาไม่ สามารถทาให้วัตถุเคล่ือนทไ่ี ปจากตาแหนง่ เดิมได้ กาลงั (Power) คือ อตั ราของงานท่ีทาได้ในหน่งึ หน่วยเวลา โดยกาลังเปน็ ตัวช้วี ดั ความสามารถในการทางาน ของทัง้ เครื่องยนต์ มนุษย์ สัตว์ หรอื ส่ิงมีชวี ิตอื่น ๆ โดยสามารถคานวณได้จากความสัมพันธ์ ดงั ตอ่ ไปนี้ P = W/t เมือ่ P = กาลัง มหี นว่ ยเป็นวตั ต์ (W) W = งานทท่ี าได้ มหี นว่ ยเป็นนวิ ตนั เมตร หรอื จูล (J) t = ระยะเวลาของการทางาน มหี นว่ ยเป็นวินาที (s) พลังงาน (Energy) คอื ความสามารถในการทางานของสิ่งมีชวี ิต วัตถุ หรือสสารตา่ ง ๆ เชน่ การ หายใจ การเคลื่อนที่ หรอื การเปล่ยี นแปลงสถานะของสสาร กระบวนการเหล่าน้สี ามารถดาเนนิ ต่อไปไดเ้ พราะ พลังงานในธรรมชาติ พลังงานเป็นปริมาณพน้ื ฐานของระบบ ซ่ึงไมม่ วี ันสูญสลาย แต่สามารถเปลี่ยนไปอยู่ใน รปู แบบตา่ ง ๆ ของพลังงาน ตาม “กฎการอนรุ กั ษ์พลังงาน” (Law of Conservation of Energy) เช่น พลงั งานนวิ เคลยี ร์ พลงั งานความร้อน หรอื พลังงานไฟฟาู เปน็ ต้น ประเภทของพลังงาน พลังงานแบ่งออกเป็น 6 ประเภท ตามลักษณะที่เหน็ ได้ชัดเจน ซ่งึ ได้แก่ 1. พลังงานเคมี
พลังงานเคมเี ป็นพลงั งานที่สะสมอยใู่ นสารตา่ งๆ โดยอยู่ในพนั ธะระหว่างอะตอมในโมเลกลุ เม่ือพันธะ แตกสลาย พลงั งานสะสมจะถูกปลอ่ ยออกมาในรปู ของความรอ้ นและแสงสวา่ ง เชน่ พลังงานทถ่ี ูกเก็บไวใ้ น แบตเตอรี่ พลังงานในกองฟนื พลงั งานในขนมชอ็ กโกแลต พลังงานในถังน้ามัน เม่ือไมล้ กุ ไหม้แลว้ จะให้ คารบ์ อนไดออกไซด์และไอน้า รวมถึงผลติ ของเสยี อ่ืนๆ เชน่ ขเ้ี ถา้ เนื่องจากเชื้อเพลงิ ทใ่ี ชแ้ ต่ละชนดิ มีโครงสรา้ งทางเคมที ีต่ ่างกัน เม่ือใชใ้ นปริมาณเช้ือเพลงิ ทเ่ี ทา่ กนั จงึ ใหค้ วาม รอ้ นไมเ่ ท่ากัน ซึ่งกา๊ ซธรรมชาตินั้นให้ความร้อนมากกวา่ นา้ มัน และน้ามันนนั้ ก็ให้ความรอ้ นมากกว่าถ่านหนิ 2. พลังงานความร้อน แหลง่ กาเนิดพลงั งานความรอ้ น มนุษย์เราได้พลังงานความร้อนมาจากหลายแห่งดว้ ยกนั เช่น จากดวง อาทิตย์, พลงั งานในของเหลวร้อนใต้พืน้ พภิ พ การเผาไหมข้ องเชอื้ เพลงิ พลังงานไฟฟาู พลังงานนวิ เคลียร์ พลงั งานน้าในหม้อต้มน้า พลงั งานเปลวไฟ ผลของความร้อนทาใหส้ ารเกดิ การเปลยี่ นแปลง เชน่ อุณหภมู ิสูงขน้ึ หรือมกี ารเปล่ยี นสถานะไป นอกจากนี้ พลังงานความรอ้ น ยงั สามารถทาให้เกดิ การเปล่ียนแปลงทางเคมีไดอ้ ีกดว้ ย หนว่ ยทใ่ี ชว้ ัดปริมาณ ความรอ้ น คือ แคลอรี่ โดยใชเ้ ครือ่ งมอื ท่ีเรียกวา่ แคลอรี่มิเตอร์ 3. พลงั งานกล พลงั งานกลเปน็ พลงั งานท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การเคลื่อนที่โดยตรง เชน่ กอ้ นหินที่อยู่บนยอดเนินจะมี พลังงานศักย์กล (Potential mechanical energy) อยู่จานวนหนึง่ ขณะท่ีก้อนหนิ กลิ้งลงมาตามทางลาดของ เนิน พลังงานศักยจ์ ะลดลง และเกดิ พลงั งานจลนก์ ลของการเคลือ่ นท่ี (Kinetic mechanical energy) ข้ึน แทน ส่ิงมีชวี ิตอาศยั พลงั งานรูปนี้ในการทางานทีต่ ้องมกี าร เคลอ่ื นไหวเป็นประจา เชน่ การเดิน การขยบั แขนขา การหยิบวัตถุ เป็นตน้ 4. พลงั งานจากการแผร่ ังสี พลงั งานที่มาในรปู ของคลน่ื เช่น แสง ความร้อน คลนื่ วทิ ยุ อินฟาเรด อัลตราไวโอเลต รังสีเอกซ์ รงั สี คอสมิก สิง่ มีชวี ติ ต้องอาศัยพลังงานรปู นี้ ในกระบวนการท่ีสาคญั ตา่ งๆ เชน่ การมองเหน็ ภาพ การสงั เคราะห์ ดว้ ยแสง การขยายพันธช์ุ นิดทข่ี นึ้ อยู่กับช่วงแสง อาจสรปุ ได้ว่า เปน็ พลังงานจากคล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟาู นัน้ เอง ซ่ึง พลงั งานรปู นี้มบี ทบาทต่อความเป็นอย่ปู กติของส่ิงมีชีวติ และอาจจะได้พลังงานทีไ่ ดร้ บั จากดวงอาทติ ย์ พลงั งานจากเสาสง่ สัญญาณทีวี พลงั งานจากหลอดไฟ พลงั งานจากเตาไมโครเวฟ และพลงั งานจากเลเซอรท์ ใ่ี ช้ อา่ นแผน่ ซีดี เปน็ ต้น 5. พลังงานไฟฟา้ พลงั งานที่ไดจ้ ากปฏกิ ิริยาเคมีแบบหนึง่ อนั มีผลให้เกิดกระแสไฟฟาู ขนึ้ ได้ และกระแสไฟฟูาที่เกดิ ขึน้ น้ี จะไหลผ่านความต้านทานไฟฟูาได้ถ้าต่อให้เป็นวงจร ผลจากกระแสไฟฟาู ดงั กลา่ วอาจทาให้เกดิ ผลตา่ งๆ เชน่ กอ่ ใหเ้ กิดอานาจแม่เหล็ก เกดิ ความร้อนหรือแสงสว่าง พลงั งานท่ีเกิดจากการผ่านขดลวดไปในสนามแมเ่ หล็ก พลังงานที่ใช้ขับเคร่ืองคอมพิวเตอร์ และพลังงานทีไ่ ด้จากเซลลแ์ สงอาทิตย์ เป็นตน้ 6. พลงั งานนวิ เคลยี ร์ พลังงานท่ีถูกปล่อยออกจากสารกัมมันตภาพรงั สี ทม่ี ีอยใู่ นธรรมชาติหรือทเ่ี กิดในเตาปฏกิ รณ์ปรมาณู หรอื ระเบิดปรมาณู การเกิดฟิวชนั ของนิวเคลียรเ์ ลก็ มีหลักอยูว่ า่ ถ้านาเอาธาตเุ บาๆ ตง้ั แต่ 2 ธาตขุ ึ้นไป มา รวมกนั โดยมพี ลงั งานความร้อนอยา่ งสงู เข้าชว่ ย จะทาให้ธาตุเบาๆ น้ีรวมกนั กลายเปน็ ธาตใุ หม่ ซง่ึ หนกั กวา่ เดมิ
สว่ นฟสิ ชนั เกดิ จากปฏิกริ ิยาระหวา่ งการยิงอนุภาคบางชนิดกบั นวิ เคลยี สของธาตุหนกั ๆ ทาใหน้ วิ เคลียสของ ธาตุหนักแตกแยกออกเปน็ 2 สว่ น ซง่ึ แต่ละส่วนเป็นธาตุทเ่ี บากว่าเดมิ และขนาดเกือบเท่าๆ กัน พลังงานรปู นี้ มีบทบาทต่อความเป็นอยูป่ กติของสงิ่ มีชวี ติ น้อย ประเภทของพลงั งานกล (Mechanical Energy) พลงั งานศักย์ (Potential Energy : Ep) คือ พลังงานทส่ี ะสมอยู่ในวตั ถหุ รือสสารทีห่ ยุดนงิ่ อยู่กบั ที่ โดยพลงั งานศักยส์ ามารถจาแนกออกเปน็ 2 ประเภท ได้แก่ พลงั งานศักยโ์ น้มถ่วง (Gravitational Potential Energy) คือ พลังงานทส่ี ะสมอยู่ในวตั ถุ เนอื่ งจากแรง โน้มถ่วงของโลก เชน่ พลงั งานของน้าในเขื่อน หรือ ก้อนหินบนภูเขาสงู ซึ่งทาให้พลังงานศักย์โน้มถว่ งสามารถ คานวณได้จากความสัมพนั ธ์ ดังนี้ Ep = mgh เมอ่ื Ep = พลังงานศกั ยโ์ น้มถ่วง มีหน่วยเป็นนิวตันเมตร หรอื จูล (J) m = มวล มหี นว่ ยเป็นกิโลกรมั (kg) g = ความเร่งจากแรงโนม้ ถว่ งโลก มีค่าราว 9.8 เมตรต่อวินาทกี าลังสอง (m/s2) h = ระยะความสงู ของวัตถุ มีหนว่ ยเปน็ เมตร (m) พลงั งานศกั ย์ยืดหยุ่น (Elastic Potential Energy) คือ พลงั งานทส่ี ะสมอยู่ในวัตถทุ ่ีมีความหยดื หยุน่ โดยพลงั งานจะสะสมอยู่ในรูปของการหดตวั บิดเบ้ยี ว หรือโคง้ งอ จากการไดร้ บั แรงกระทา กอ่ น มแี รงดึงตวั กลับเพ่ือคืนส่สู ภาพเดมิ เช่น สปรงิ ขดลวด หรือนาฬิกาไขลาน พลงั งานจลน์ (Kinetic Energy : Ek) คอื พลงั งานท่เี กิดข้ึนในขณะทว่ี ัตถุกาลงั เคล่ือนที่ เช่น การไหลของ กระแสน้า การบนิ ของนก และการเคล่ือนท่ีของรถยนต์ ซง่ึ พลงั งานจลน์สามารถคานวณได้จากความสมั พันธ์ ดงั น้ี Ek = ½ mv^2 เมื่อ Ek = พลงั งานจลน์ มีหนว่ ยเปน็ นวิ ตันเมตร หรือ จูล (J) m = มวล มหี นว่ ยเปน็ กิโลกรมั (kg) v = ความเร็ว มหี นว่ ยเป็นเมตรตอ่ วนิ าที (m/s) ปจั จัยท่ีมีผลต่อพลังงานจลน์ คือ มวลของวตั ถุและความเร็วในการเคลือ่ นท่ี ซึ่งโดยทว่ั ไปแลว้ วัตถทุ ี่ เคล่ือนท่ดี ว้ ยความเรว็ สงู มกั มีพลงั งานจลนม์ ากกว่าวัตถซุ ึ่งเคลื่อนทดี่ ว้ ยความเรว็ ต่า แต่ถ้าวตั ถดุ ังกลา่ วเคลื่อนท่ี ด้วยความเรว็ เทา่ กนั วตั ถุท่ีมีมวลมากกวา่ จะมีพลงั งานจลนม์ ากกวา่
ใบงานวชิ าวิทยาศาสตร์ เร่ือง พลังงานศกั ยโ์ น้มถว่ ง พลังงานจลน์ พลังงานกลและกฎการอนุรักษพ์ ลังงาน ชือ่ ....................................................สกลุ ........................................ระดับ............................................ คาชี้แจง : จงตอบคาถามต่อไปน้ีใหถ้ กู ต้องสมบูรณ์ 1. พลังงานกลคอื ................................................................................................................. ........................ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. พลังงานศกั ย์โน้มถ่วงคือ.......................................................................................................................... …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. พลังงานจลนค์ ือ............................................................................................................... ....................... …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. พลังงานจลน์ของวัตถุจะมากหรอื น้อยข้นึ อยู่กบั ...................................................................................... …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 5. พลังงานศักย์ของวัตถุจะมากหรอื น้อยขึน้ อยกู่ ับ...................................................................................... 6. จงหาพลงั งานจลน์ของวัตถมุ วล 4 กโิ ลกรัมเมอ่ื เคลอ่ื นทดี่ ว้ ยความเร็ว 20 เมตรต่อวินาที …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 7. วัตถมุ วล 4 กิโลกรัม อยสู่ ูงจากพน้ื ดนิ 10 เมตร จะมีพลังงานศกั ยเ์ ทา่ ใด (กาหนดค่า g = 9.8 m/s2 ) …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… คาชี้แจง ใช้ขอ้ มูลต่อไปน้ีตอบคาถามข้อ 8 – 9 วตั ถมุ วล 10 กโิ ลกรมั ปลอ่ ยจากตึกสูงจากพนื้ ดนิ 20 เมตร 8. จงหาพลงั งานศกั ย์ของวัตถุ (กาหนดคา่ g = 9.8 m/s2 ) …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
แผนการจัดการเรยี นรูร้ ายวิชาทกั ษะการพฒั นาอาชีพ ครง้ั ท่ี 1 ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2565 ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนต้น กศน.ตาบลศรโี คตร 1. สัปดาห์ที่ 14วนั ที่ 10 เดือน สงิ หาคม พ.ศ. 2565 เวลา 09.00-12.00น. 2. วชิ า ทกั ษะการพัฒนาอาชพี รหัสวชิ า อช21002 จานวน 4 หน่วยกติ 3. มาตรฐานท่ี 3.4 มีความรู้ ความเข้าใจ ในการพัฒนาอาชพี ใหม้ คี วามมนั่ คง 4. หน่วยการเรียนรู้/เรื่อง ความจาเป็นในการฝึกทักษะ กระบวนการผลิตกระบวนการตลาดท่ีใช้ นวัตกรรม เทคโนโลยเี พอ่ื พัฒนาอาชพี 5. สาระสาคญั การประกอบอาชพี จาเป็นตอ้ งมกี ารพฒั นาทงั้ ดา้ นกระบวนการผลิต และกระบวนการตลาดอยา่ ง ตอ่ เนื่อง เพ่ือใหส้ นิ ค้าอยู่ในตลาดได้นาน โดยนานวตั กรรมเทคโนโลยมี าประยกุ ต์ใชก้ ับภูมิปญ๎ ญาให้เหมาะสม นอกจากจะมีความรู้ ความสามารถในทักษะกระบวนการผลิตและกระบวนการตลาดแล้ว ผู้ประกอบ ธุรกิจจาเป็นต้องมคี วามสามารถดา้ นอ่นื ๆ ประกอบด้วย ได้แก่ การหาแหล่งทเ่ี อื้อต่อการพัฒนาอาชีพ ความ เข้าใจในปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียงและการพัฒนาตนเองอย่างสมา่ เสมอ จงึ จะทาให้อาชีพมคี วามเขม้ แข็ง ก่อนทจ่ี ะฝึกทกั ษะเพอ่ื พัฒนาอาชีพจะตอ้ งทราบว่า จะฝึกทักษะอะไรบ้าง แล้ววางแผนการฝกึ ว่าจะ ฝึกอย่างไร ท่ีไหน เมอื่ ไร ระหวา่ งการฝึกควรมีการจดบนั ทึกเพ่อื สรปุ เปน็ องค์ความรู้ 6. เนือ้ หา 1. ความจาเป็นในการฝึกทักษะ เพ่ือพฒั นาอาชพี 2. ความจาเปน็ ในการพฒั นาการผลิต 3. ความจาเปน็ ในการพัฒนากระบวนการตลาด 7. จุดประสงค์การเรียนร้/ู ผลการเรยี นรูท้ ค่ี าดหวัง 1.อธบิ ายความจาเปน็ ในการฝึกทักษะ กระบวนการผลิต กระบวนการตลาดที่ใช้ นวัตกรรม เทคโนโลยี 8.การบรู ณาการกบั หลักแนวคดิ ของเศรษฐกิจพอเพยี ง (2 เง่อื นไข 3 หลักการ การเช่ือมโยงสู่ 4 มิต)ิ ความรู้ ความจาเป็นในการฝกึ ทักษะ เพ่ือพัฒนาอาชพี ความจาเปน็ ในการพฒั นาการผลติ ความจาเปน็ ในการ พฒั นากระบวนการตลาด คุณธรรม - มคี วามขยัน - มคี วามสามัคคีในการทางานร่วมกัน - มีความซือ่ สัตย์ พอประมาณ - การมีสติ และคดิ พจิ ารณาความเหมาะสม / ความจาเป็นในการประกอบอาชีพ มเี หตุผล - มีทักษะในการในการพฒั นาอาชพี สามารถวางแผนการผลิตและการตลาดได้
- สามารถผลติ สนิ ค้าและการตลาดทีม่ ีคุณภาพ มีภมู คิ ุ้มกนั - ลดการลดทนุ ท่เี กดิ ความเสย่ี ง - ลดความเส่ยี งในการขาดทนุ วตั ถุ - มีสินคา้ ทม่ี คี ุณภาพ - มอี าชพี ที่ม่นั คง สังคม - มีการทางานร่วมกนั เป็นกลุ่มแลกเปล่ียนความคดิ และวิเคราะห์ร่วมกัน ส่ิงแวดล้อม - มอี าชีพท่ใี ช้ทรัพยากรที่มีความคุมค่า วัฒนธรรม - ส่งเสรมิ การประกอบอาชพี ให้เหมาะสมกับชมุ ชนท่ตี นอาศัย 9. กระบวนการจดั การเรยี นรู้และกจิ กรรมการเรยี นรู้ ขั้นที่ 1 กาหนดสภาพปัญหาการเรยี นรู้ 1. ครูพูดคยุ เกี่ยวกับสภาพป๎ญหาในการประกอบอาชีพ ว่ามีปญ๎ หาอะไรบา้ ง และสามารถนา ทกั ษะและกระบวนการผลิต คอื ทนุ แรงงาน สถานที่ การจัดการเข้ามาบรหิ ารจัดการโดยใช้นวัตกรรมและ เทคโนโลยี พรอ้ มกับกระบวนการตลาดทีจ่ ะแนะนาผลติ ภัณฑ์เข้าส่ตู ลาดได้อย่างไร ขน้ั ท่ี 2 แสวงหาข้อมูลและจัดการเรียนรู้ 1. ครนู าสนิ คา้ ชนิดเดียวกัน แตค่ นละยีห่ ้อมาใหผ้ ู้เรยี นเปรยี บเทยี บสินคา้ ทัง้ สองชนดิ ในช้ันเรยี นใน เรอ่ื ง 1.1 ราคา 1.2 ผลิตภัณฑ์ 1.3 ช่องทางการจัดจาหน่าย 1.4 การสง่ เสริมการขาย 2.ครใู ห้ผู้เรยี น แบง่ เปน็ 3 กลมุ่ ๆละ เท่าๆ กนั โดยกาหนดประเดน็ การศกึ ษาค้นควา้ 1 ความจาเป็นในการพัฒนาการผลติ 2 ความจาเปน็ ในการพัฒนากระบวนการตลาด 3 ความจาเป็นในการฝึกทกั ษะเพ่ือพัฒนาอาชีพ 3. ผูเ้ รียนศกึ ษาเน้ือหาเพม่ิ เติมจากใบความรู้และสื่ออนิ เตอรเ์ นต็ ข้ันท่ี 3 การปฏิบตั แิ ละการนาไปใช้ 1. ใหน้ ักศกึ ษาวเิ คราะห์อาชีพทส่ี นใจ ให้ครอบคลุมเน้ือหาความจาเปน็ ท้ังสามหวั ขอ้ พร้อมนาเสนอ หนา้ ช้ันเรียน ขน้ั ที่ 4 การประเมินผลการเรยี นรู้ 1. ใหผ้ ู้เรยี นประเมินผลเนื้อหาและการนาเสนอของเพื่อนดว้ ยการยกมือให้คะแนน 2. ครูและผู้เรยี นสรุปเนื้อหาพร้อมแลกเปลี่ยนเรยี นรู้ร่วมกัน 10. สือ่ /แหล่งเรยี นรู้ 1. หนงั สอื เรียนรายวชิ าทักษะการพฒั นาอาชพี (อช21002)
2. ใบงาน 3. ใบความรู้ 4. ส่อื อนิ เตอรเ์ นต็ 11. การวดั และประเมนิ ผล 11.1วธิ ีการวัดและประเมินผล - ใบงาน 11.2 เคร่อื งมอื วัดและประเมินผล - ผลจากการตรวจใบงาน 11.3 เกณฑ์การวดั และการประเมนิ ผล - ใบงาน กจิ กรรมเสนอแนะ ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ...................... ลงช่อื …………………………………………….ครูผ้สู อน (นายปรเรศ นามโคตร) ครู กศน.ตาบล ขอ้ เสนอแนะของผู้บรหิ าร ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ...................... ลงช่ือ………………………………………………………ผอู้ นมุ ัติแผน (นางปท๎ มาภรณ์ ศรีเนตร) ผูอ้ านวยการ กศน.อาเภอจตุรพกั ตรพมิ าน
บันทึกหลังการจัดการเรียนรู้ กศน.ตาบลศรโี คตร คร้งั ท่ี 14 วัน/เดอื น/ปีวันที่ 10 เดือน สงิ หาคม พ.ศ. 2565 ครผู สู้ อนนายปรเรศ นามโคตร ระดบั มัธยมศึกษาตอนต้น เวลา 09.00-12.00 น. สาระการประกอบอาชีพ รายวิชา ทักษะการพฒั นาอาชีพ รหสั วชิ า อช21002 จานวนผเู้ รียนทัง้ หมด ............... คนเข้าเรียน…………………คน ไมเ่ ขา้ เรยี น……………………….คน 1. ผลการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้การประเมนิ โดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรียน - หลังเรยี น พบว่า คะแนนการทดสอบหลังเรยี น มากกว่ากอ่ นเรียนจานวน ........ คนคดิ เป็นรอ้ ยละ............ คะแนนการทดสอบหลงั เรยี น นอ้ ยกวา่ ก่อนเรียนจานวน ......... คนคิดเป็นรอ้ ยละ............ 2. เนอื้ หา/สาระ/รายวิชา ................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ...................................... 3. กิจกรรมการเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ...................................... ................................................................................................................................................................... 4. ปญั หา/อุปสรรคการเรยี นการสอน ...................................................................................................................... ............................................. ............................................................................................................................. ...................................... 5. แนวทางการแกป้ ัญหา ...................................................................................................................................................... ............. ..................................................................................................................... .............................................. ลงชอ่ื .........................................................(ผู้บันทึก) (นายปรเรศ นามโคตร) ครู กศน.ตาบล ความเห็น/ข้อเสนอของผบู้ รหิ าร ........................................................................................................................................................... ........ .......................................................................................................................... ......................................... ลงช่ือ.................................................. (นางป๎ทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผู้อานวยการ กศน.อาเภอจตุรพักตรพิมาน
ใบความรู้ เรื่องท่ี 1 ความจาเป็นในการฝกึ ทกั ษะกระบวนการผลิต กระบวนการตลาด ท่ใี ช้นวัตกรรมเทคโนโลยีเพอ่ื พัฒนาอาชีพ 1.1 ความจาเป็นในการฝึกทักษะเพอ่ื พัฒนาอาชีพ การพัฒนาทกั ษะอาชพี ด้านต่าง ๆ ใหท้ นั ตอ่ การเปลย่ี นแปลงของตลาด ได้แก่ ความรู้ ความสามารถ ในกระบวนการผลิต และกระบวนการการตลาด การพัฒนาอาชีพมีความสาคัญและจาเป็น ดงั น้ี 1. ดา้ นเศรษฐกจิ จากการแข่งขนั ทางธุรกิจที่มีการแขง่ ขันทางการตลาดสงู จึงเกดิ การรวมกลุม่ การค้า ตา่ ง ๆ เชน่ เขตการค้าเสรีอาเซยี น เขตเศรษฐกจิ ยโุ รป ดังนัน้ การพัฒนาอาชีพจึงเป็นมีการพัฒนาสินคา้ ให้ สามารถเขา้ สตู่ ลาดการแขง่ ขัน และเปน็ ท่ียอมรับของต่างประเทศ 2. ดา้ นสังคม ประเทศท่ีมีเศรษฐกจิ ดีจะส่งผลใหส้ ภาพของสงั คมดีขึน้ เช่น ปราศจากโจรผู้รา้ ย 3. ด้านการศกึ ษา ครอบครวั ทีม่ ีเศรษฐกิจดีจะสามารถสง่ บุตรหลานเข้ารบั การศกึ ษาไดต้ ามความ ตอ้ งการ และในอนาคตเยาวชนเหล่านี้ก็จะเปน็ ประชากรท่ีมีคณุ ภาพ มีความสามารถในการประกอบอาชีพ สง่ ผลตอ่ เศรษฐกจิ สังคมใหม้ ีความเจรญิ ก้าวหนา้ ต่อไป 1.2 ความจาเป็นในการพฒั นากระบวนการผลติ จากสภาพสงั คมทีม่ ีการเปลีย่ นแปลงอยตู่ ลอดเวลา ส่งผลใหค้ วามต้องการสนิ ค้าของผบู้ รโิ ภคมีความ แตกตา่ งกันทงั้ ทางดา้ นปริมาณและดา้ นคณุ ภาพ ดังน้นั การพัฒนาอาชีพจงึ มีความจาเป็นเพอื่ รองรบั การ เปล่ยี นแปลงน้ัน เทคนิคและวิธกี ารในการพัฒนากระบวนการผลิต และกระบวนการตลาด โดยการนาภูมิ ป๎ญญา นวตั กรรม/เทคโนโลยี มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาการประกอบอาชีพ กระบวนการผลิต เป็นการบริหารจัดการดา้ นทุน แรงงาน ท่ีดินหรือสถานท่ีให้เกิดผลผลติ หรือสนิ ค้า ที่ มีการพฒั นาอย่างตอ่ เน่ือง เพ่ือให้ตรงกับความต้องการของตลาด องคป์ ระกอบของกระบวนการผลติ นาเสนอ ไดต้ ามแผนภมู ิ ดงั น้ี 1. ทุน หมายถงึ ป๎จจยั ทเี่ ปน็ เงินทนุ วสั ดุ อปุ กรณ์ วตั ถุดิบ เคร่ืองมือ เคร่ืองจักร ซ่ึงต้องศึกษาวา่ มี ทุนใดเขา้ มาเกย่ี วข้องและถา้ จะปรับปรงุ แก้ไขตอ้ งพิจารณาว่าต้องใชท้ ุนประเภทใดมากน้อยเพยี งใด ลดจานวน ทใี่ ช้ไปบา้ งไดห้ รอื ไม่ หรือใชส้ งิ่ ทดแทนทม่ี รี าคาถกู แทนสิง่ ที่มีราคาแพงได้หรือไม่ หรือเนน้ ใชท้ นุ ท่ีมีอยูใ่ น ท้องถน่ิ เพราะถา้ ใชท้ นุ จากที่อน่ื จะมีคา่ ใชจ้ ่ายสงู ขึ้น เช่น ค่าขนสง่ ค่าแรงงาน ถา้ เปน็ เงินทต่ี ้องใชใ้ นการลงทนุ ทต่ี ้องไปกู้ยืม เสียดอกเบีย้ ในอัตราที่สงู จะทาอยา่ งไรถงึ จะลดดอกเบ้ยี ใหต้ า่ ลง ซงึ่ จะมผี ลตอ่ การลดต้นทนุ 2. แรงงาน หมายถึง แรงงานคน สตั ว์ เครอื่ งจกั รตา่ ง ๆ ทใ่ี ชใ้ นการผลิต ผู้เรยี นจะต้องศึกษา วเิ คราะห์ การใชแ้ รงงานว่าใช้แรงงานคมุ้ คา่ กับเงินทุนและเวลาหรือไม่ ใชแ้ รงงานเหมาะสมกับงานหรอื ขนาด ของพนื้ ท่ีหรือไม่ เช่น พ้นื ทนี่ อ้ ยก็ควรใช้แรงงานคนไม่ควรใชเ้ ครือ่ งจักรขนาดใหญ่ แรงงานท่ีใชม้ คี ณุ ภาพ หรอื ไม่ มีการให้ขวญั กาลังใจแกแ่ รงงานทใี่ ชห้ รอื ไม่ 3. สถานที่ หมายถงึ ท่ดี นิ ทากิน หรือสถานท่ีตา่ ง ๆ เชน่ หา้ งสรรพสินคา้ ร้านค้า ซึ่งเปน็ สถานที่ ประกอบการ ถ้าเปน็ ท่ีดนิ ทากินอาชพี เกษตรก็อาจจะพิจารณาวา่ ไดใ้ ช้ที่ดินคมุ้ ค่ากบั การลงทุนหรอื ไม่ ใช้ ทัง้ หมด หรือใช้อยา่ งเหมาะสมกบั การปลูกพืชหรือเล้ียงสตั ว์หรอื ไม่ มีการทานุบารุงท่ดี ินทากินบ้างหรือไม่ เชน่ บารงุ ดินโดยปลกู พชื ตระกลู ถั่ว แล้วไถกลบเพ่ือบารุงดนิ สาหรับอาชพี บริการ เช่น ขายอาหาร เปิดรา้ นเสรมิ สวย ซ่อมรองเทา้ นวดแผนโบราณ ซึง่ ตอ้ งอาศยั ทาเลที่ตง้ั เช่น อยใู่ นยา่ นชุมชน การเดนิ ทางสะดวกสบาย มที ่จี อดรถให้ลูกคา้ สงิ่ ต่างๆ เหล่าน้ีต้องนามา พจิ ารณาเพอ่ื พัฒนาใหด้ ีขึน้
4. การจดั การ เป็นการนาทุน แรงงาน และที่ดนิ หรอื สถานที่ไปบริหารจัดการให้เกิดผลผลิตอย่าง คมุ้ ค่าและได้ประโยชนส์ ูงสุด ดงั น้ัน การจัดการจึงเป็นส่ิงสาคัญและจาเป็นตอ่ การประกอบธุรกิจ ถา้ มี กระบวนการจดั การท่ีผ่านการคดิ วิเคราะห์ วางแผนอยา่ งเป็นข้นั ตอน รอบคอบบนฐานข้อมลู ท่ีเป็นจรงิ และ ตามสถานการณใ์ นขณะนั้นก็นบั วา่ ได้เปรียบกวา่ บคุ คลอ่ืน ๆ ทไี่ ม่ได้ให้ความสาคัญ แต่ทาด้วยความเคยชิน ทา ให้ขาดการพฒั นาอยา่ งต่อเนื่อง จงึ ทาใหธ้ รุ กิจมีแตค่ งทหี่ รอื ถอยหลัง เพ่ือให้อาชพี ดาเนนิ ต่อไปได้ มรี ายไดใ้ ห้ ครอบครวั มีกนิ มีใชใ้ นครวั เรอื น ควรต้องคานงึ ถึงการออมเงินเพอ่ื เปน็ หลักประกันของครอบครัวตอ่ การ ดารงชวี ติ ของลูกหลานและการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพจาเปน็ ต้องมีการจัดการในการนานวตั กรรมหรือ เทคโนโลยมี าใชใ้ นการผลติ เพ่ือใหผ้ ลผลติ มีคุณภาพและมีปรมิ าณเพยี งพอต่อความต้องการของตลาด 1.3 ความจาเปน็ ในการพฒั นากระบวนการตลาด เปน็ การบรหิ ารจัดการด้านการตลาด เร่มิ ตงั้ แต่การศกึ ษา ความตอ้ งการของลูกคา้ การกาหนดเปาู หมาย การทาแผนการตลาด การส่งเสรมิ การขาย การกาหนดราคา ขาย การขาย การสง่ มอบสนิ ค้าให้กบั ลูกค้า ผผู้ ลิตก็ต้องศึกษาวิเคราะหจ์ ดุ อ่อน จดุ แข็งของกระบวนการตลาด ทุกขั้นตอนเพ่ือนาข้อมูลมาใช้พัฒนาอาชีพ การตลาดเป็นเร่อื งยากของผู้ประกอบอาชีพใหม่ รวมถึงผทู้ ่ีประกอบอาชีพอยู่แลว้ การศึกษาข้อมลู และการทาความเขา้ ใจในวธิ กี ารตลาดจะสามารถนามาปรับใชเ้ พ่อื การพัฒนากระบวนการตลาด สามารถแสดง กระบวนการได้ตามแผนภูมิ ดังน้ี 1. ผลติ ภณั ฑ์ / สินค้า หมายถงึ ผลผลติ /ผลิตภณั ฑ/์ การบรกิ าร เชน่ ผลผลติ การเกษตร ผลิตภัณฑ์ แปรรูปต่าง ๆ หรอื เปน็ สนิ ค้าประเภทบรกิ าร เช่น ขายอาหาร เสรมิ สวย นวดแผนโบราณ ซง่ึ ผ้ปู ระกอบการ ต้องพจิ ารณาความต้องการของลกู ค้าอยู่ตลอดเวลาว่า ความตอ้ งการนนั้ ลดลงหรือเพ่ิมข้ึน ถา้ ลดลงจะต้องมี การศกึ ษา วเิ คราะห์ ลกั ษณะของผลผลติ /ผลติ ภณั ฑ์ เชน่ รูปลักษณ์ ความสวยงาม ความต่ืนตาตน่ื ใจ ประโยชน์ของการใชส้ อย โดยยึดความต้องการของกลุ่มลูกค้าเปน็ สาคญั สาหรบั อาชพี บริการต้องให้ ความสาคญั กับการบริการดว้ ย เช่น มารยาทการบรกิ าร ความรบั ผดิ ชอบ การมีมนุษยสัมพนั ธ์ 2. ราคา หมายถึง การตง้ั ราคาขายสินคา้ ซ่งึ ข้นึ อยู่กบั ตน้ ทุนการผลติ เช่น คา่ วัสดุอปุ กรณ์ ค่า ดอกเบี้ย ค่าเชา่ สถานที่ ค่าแรงงาน ค่าประชาสัมพนั ธ์ ค่าขนสง่ ค่านา้ มัน ถ้าสง่ ไปขายต่างประเทศจะมีราคา แพงกว่าขายในประเทศไทย แต่อย่างไรกต็ ามผูข้ ายควรเนน้ การตงั้ ราคาใหเ้ หมาะสมกับคุณภาพของสนิ ค้าและ ควรใหใ้ กลเ้ คียงกับคู่แขง่ ขนั ถ้าสินค้าใดคู่แขง่ น้อย ผู้ขายก็ควรต้งั ราคาใหย้ ตุ ิธรรมกับผู้บริโภค ไมค่ วรเอา เปรยี บลูกคา้ เกินไป ดังนน้ั ผปู้ ระกอบการควรศึกษา วิเคราะหว์ า่ ราคาของปจ๎ จยั การผลิตผนั แปรอยา่ งไรลดลงหรือเพ่มิ ข้นึ หรือจัดหาวสั ดทุ ี่มีราคาถกู ทดแทนวสั ดทุ ่รี าคาแพงได้ เพ่ือใหต้ ้นทุนลดลงได้ หรือสามารถปรับลดอัตราดอกเบีย้ คา่ เช่าสถานท่ี ค่าขนสง่ หรอื ลดการประชาสมั พนั ธก์ ็จะทาให้ตน้ ทนุ การผลิตลดลง ซงึ่ จะมีผลตอ่ การกาหนด ราคาขายผลติ ภณั ฑ์ ถา้ กาหนดราคาขายต่ากว่าคู่แข่ง แตป่ รมิ าณการขายมากจะดีกว่าขายราคาแพง ซ่ึงผล กาไรโดยรวมสูงกวา่ ก็น่าจะยึดหลกั การนี้ 3. ชอ่ งทางการจัดจาหนา่ ย เปน็ การกระจายสนิ คา้ ให้ไปถงึ ผ้บู รโิ ภคอยา่ งปลอดภัย ซึ่งมหี ลายวธิ ี เช่น การขายผา่ นคนกลาง การขายปลกี ซงึ่ ผูป้ ระกอบการจะต้องพิจารณาความรู้ ความสามารถและศกึ ษาศักยภาพ ของตนเองในการเลือกชอ่ งทางการจัดจาหนา่ ยสนิ คา้ ซึ่งไม่จาเปน็ ตอ้ งมีช่องทางจาหน่ายสนิ ค้าเพยี งวธิ ีเดยี ว อาจใชห้ ลาย ๆ วธิ เี พอ่ื ใหเ้ หมาะสม เชน่ แตเ่ ดิมขายผลไมผ้ ่านคนกลางเพียงอยา่ งเดียว ต่อมาเพ่ิมวธิ กี ารขาย ปลีก ทาใหม้ ีชอ่ งทางการจัดจาหนา่ ยทัง้ ขายผา่ นคนกลางและขายปลกี
4. การส่งเสริมการขาย เป็นการใช้เทคนิคหรือวธิ ีการให้ลูกค้าร้จู ักและต้องการซ้ือสนิ คา้ โดยวิธีตา่ ง ๆ เช่น การจดั ให้มกี ารชิงรางวัล การมีส่วนลด ซื้อ 1 แถม 1 การสง่ เสรมิ การขายอาจจะประชาสัมพันธ์โดยวิธี ต่าง ๆ เช่น แจกแผน่ ปลิว ประกาศลงในหนังสือพิมพ์ วทิ ยุ โทรทศั น์ นอกจากจะสง่ เสริมการขายด้วยวธิ ีตา่ ง ๆ แลว้ การบริการหลังการขายก็เปน็ เรือ่ งสาคัญเพราะการท่ี ลกู ค้าส่ังซ้ือสนิ คา้ คร้ังหน่งึ นัน้ ไม่ได้หมายความว่าผู้ขายจะขายได้ครงั้ เดียว แต่หากมีการบริการหลังการขายท่ดี ี ลกู ค้าก็สามารถกลับมาซ้ือใหม่ หรืออาจบอกตอ่ คนอื่น ๆ ใหม้ าใชบ้ รกิ ารก็ได้ ดงั นนั้ ผปู้ ระกอบการจะต้อง ศกึ ษา วิเคราะห์ การสง่ เสรมิ การขายท่ีดาเนนิ การอยวู่ ่ามีข้อดีข้อเสียอย่างไร ควรมีการปรบั ปรุงวิธีการหรอื ไม่ อยา่ งไร 1.4 การพัฒนาอาชีพตอ่ ยอดและประยุกตใ์ ช้ภมู ปิ ัญญา ในป๎จจบุ นั การพัฒนาอาชีพต่อยอดเป็นเรือ่ งสาคัญสาหรับผู้ผลติ เพราะการท่มี ีผู้ผลติ จานวนมาก ที่ ผลิตสนิ ค้าซ้าๆ กันจะทาใหเ้ กิดตวั เลือกในการบริโภคผลิตภัณฑ์ ซง่ึ เป็นการดสี าหรับผู้บรโิ ภค แตไ่ มด่ ีสาหรับ ผผู้ ลิตเพราะจะทาให้เกดิ ส่วนแบ่งตลาดมากขึ้น ดังนน้ั ผ้ผู ลิตตอ้ งมีความคดิ ริเร่มิ สรา้ งสรรคใ์ นการพัฒนาต่อ ยอดจากผลิตภณั ฑเ์ ดมิ ให้มีความแตกต่างและนา่ สนใจสาหรับผู้บรโิ ภค ภูมปิ ญ๎ ญา หมายถงึ ความรู้ ความสามารถ ความชาญฉลาด ทกั ษะและเทคนิคอนั เกิดจากพ้ืนความรทู้ ่ี ผ่านกระบวนการสืบทอด เลอื กสรร ปรับปรงุ พัฒนา การสร้างงาน ด้วยประสบการณ์ท่ีสะสมมาเป็นเวลานาน อย่างเหมาะสม สอดคลอ้ งกับยคุ สมยั การพฒั นาอาชพี โดยการประยกุ ต์ใชภ้ ูมปิ ๎ญญา เปน็ การนาภมู ิปญ๎ ญามาเช่อื มโยงใหส้ อดคล้องกับ อาชพี เดิม จึงจาเป็นต้องศึกษา วเิ คราะห์ จุดอ่อน จุดแข็งของอาชพี ถงึ แม้เร่ืองใดจะเป็นจดุ แข็งอยแู่ ล้วกต็ ้อง วิเคราะห์วา่ ควรจะพัฒนาอะไรได้อีก สว่ นจดุ อ่อนย่งิ ต้องวเิ คราะห์อย่างรอบคอบ ถ่ีถ้วนเพือ่ ให้ดขี ้นึ กวา่ เดิม เชน่ ป๎จจบุ นั นิยมใช้ของโบราณ ก็อาจจะนามาประยุกต์ใช้ในการพฒั นาอาชีพ เชน่ มีอาชพี ขายกาแฟอย่แู ลว้ ก็ อาจจะนาวิธชี งกาแฟแบบโบราณมาประยกุ ต์ใช้ เพอ่ื ให้เปน็ จดุ ขายและเปน็ การอนรุ ักษ์ของดดี ้งั เดิม 1.5 ทกั ษะการใช้นวัตกรรม/เทคโนโลยเี พอื่ การพฒั นาอาชีพ นวัตกรรม หมายถึง ความคดิ การปฏบิ ตั ิ หรอื ส่งิ ประดิษฐใ์ หม่ท่ียังไม่เคยใช้มาก่อนหรือเป็นการ พัฒนา ดัดแปลง มาจากของเดมิ ที่มีอยู่แลว้ เทคโนโลยี หมายถงึ การใช้ความรู้ เครอ่ื งมือ ความคิด หลกั การ เทคนคิ ระเบียบวธิ ีการ ตลอดจน กระบวนการ ท่ีมนษุ ย์พฒั นาข้ึนเพ่อื ช่วยในการทางานหรือแกป้ ญ๎ หาต่างๆ เชน่ อุปกรณ์ เครือ่ งจักร วสั ดุ หรือ แมก้ ระทัง่ ส่ิงท่ีไมส่ ามารถจบั ต้องได้ การท่ีจะยอมรบั หรือปฏิเสธนวตั กรรม/เทคโนโลยี อาจจะต้องพจิ ารณาประสิทธภิ าพของนวัตกรรม/ เทคโนโลยี สว่ นใหญ่กจ็ ะดอู งคป์ ระกอบ 4 ดา้ น คอื 1. ความสามารถในการทางาน 2. ประหยดั ค่าใช้จา่ ย 3. ทางานได้รวดเรว็ 4. ไม่ทาลายสิ่งแวดลอ้ ม ความสามารถในการทางาน ได้ตรงตามวตั ถปุ ระสงค์ของนวัตกรรม/เทคโนโลยี ได้มากน้อยเพียงใด แต่ จาเปน็ ตอ้ งมีเกณฑช์ ้วี ัดเพ่ือการยอมรบั วา่ เท่าใดจงึ จะยอมรับได้ อาจจะเปรยี บเทียบกับความสามารถเดิม ทีเ่ คยใชม้ า แต่อยา่ งไรก็ตามการนานวตั กรรม เทคโนโลยมี าใช้ต้องดีขนึ้ กวา่ เดมิ อาจกาหนดเป็นร้อย ละก็ได้ เชน่ การใชเ้ คร่อื งนวดขา้ วเครอ่ื งใหมส่ ามารถนวดขา้ วไดม้ ากกวา่ เดมิ ร้อยละ 20 ซ่ึงยอมรบั ได้
ประหยัดค่าใชจ้ า่ ย เปน็ การมุ่งประเมนิ เทียบเคียงระหวา่ งนวัตกรรม/เทคโนโลยีของใหม่ท่ีจะนาเข้ามา ใชแ้ ทนเทคโนโลยเี กา่ โดยพิจารณาเปรียบเทยี บราคานวัตกรรม/เทคโนโลยใี หม่ที่ต้องจ่ายเปน็ เงิน และการลด รายจ่ายจากเดิม การทางานไดร้ วดเรว็ เปน็ การประเมินเทยี บเคียงความรวดเร็วในการทางานใชเ้ วลาสั้นระหว่าง นวตั กรรม/เทคโนโลยเี กา่ กับใหม่ ไมท่ าลายส่ิงแวดล้อม ผปู้ ระกอบการต้องคานงึ อย่เู สมอวา่ นวตั กรรม/เทคโนโลยีจะนามาใชต้ อ้ งเปน็ มิตรกับส่งิ แวดลอ้ ม และไม่ทาใหผ้ ทู้ ีอ่ ยู่อาศัยใกล้เคยี งเดือดร้อน
ใบงาน เกณฑ์การประเมนิ ประสิทธิภาพนวตั กรรม/เทคโนโลยี ให้ผูเ้ รยี นกาหนดเกณฑ์การประเมนิ ประสทิ ธิภาพนวตั กรรม/เทคโนโลยีในการพัฒนาอาชพี ตาม องค์ประกอบการประเมินทีก่ าหนด แบบบันทึก อาชีพ ............................................................................................. องค์ประกอบการประเมนิ ลักษณะบ่งชี้ เกณฑ์การยอมรบั ความสาเรจ็ ความสามารถในการทางาน การประหยัดค่าใช้จ่าย ทางานได้รวดเรว็ ไม่ทาลายส่งิ แวดล้อม
แผนการจัดการเรียนรรู้ ายวิชาทักษะการพฒั นาอาชีพ ครง้ั ที่ 2 ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2565 ระดับมัธยมศกึ ษาตอนต้น กศน.ตาบลศรีโคตร 1. สปั ดาหท์ ี่ 15วันท่ี 17 เดือน สงิ หาคม พ.ศ. 2565 เวลา 09.00-12.00น. 2. วชิ า ทักษะการพัฒนาอาชพี รหัสวิชา อช21002 จานวน4หนว่ ยกติ 3. มาตรฐานที่ 3.4 มีความรู้ ความเขา้ ใจ ในการพัฒนาอาชพี ใหม้ ีความมั่นคง 4. หนว่ ยการเรยี นร/ู้ เรอ่ื งความหมาย ความสาคัญของการจดั การอาชพี 5. สาระสาคญั การประกอบอาชีพจาเป็นต้องมกี ารพฒั นาทง้ั ดา้ นกระบวนการผลติ และกระบวนการตลาดอย่าง ตอ่ เนื่อง เพื่อให้สินค้าอยใู่ นตลาดไดน้ าน โดยนานวตั กรรมเทคโนโลยมี าประยุกต์ใชก้ ับภูมปิ ๎ญญาใหเ้ หมาะสม นอกจากจะมีความรู้ ความสามารถในทักษะกระบวนการผลติ และกระบวนการตลาดแล้ว ผู้ประกอบ ธรุ กิจจาเปน็ ต้องมคี วามสามารถดา้ นอ่ืนๆ ประกอบด้วย ได้แก่ การหาแหล่งท่เี อื้อต่อการพัฒนาอาชีพ ความ เขา้ ใจในปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งและการพฒั นาตนเองอยา่ งสมา่ เสมอ จึงจะทาให้อาชีพมคี วามเขม้ แข็ง ก่อนที่จะฝกึ ทักษะเพ่ือพัฒนาอาชพี จะตอ้ งทราบวา่ จะฝกึ ทักษะอะไรบา้ ง แลว้ วางแผนการฝกึ วา่ จะ ฝกึ อยา่ งไร ท่ไี หน เมือ่ ไร ระหว่างการฝึกควรมีการจดบนั ทึกเพ่ือสรุปเปน็ องค์ความรู้ 6. เนื้อหา อธิบายความหมายความสาคัญของการจดั การอาชีพ 7. จุดประสงค์การเรียนรู้/ผลการเรยี นรทู้ ีค่ าดหวงั อธบิ ายความหมาย ความสาคัญของการจดั การอาชีพ และระบบการจดั การ เพื่อการพัฒนาอาชพี โดย ประยกุ ตใ์ ชภ้ ูมปิ ญ๎ ญา 8. การบูรณาการกบั หลกั แนวคิดของเศรษฐกจิ พอเพยี ง (2 เงื่อนไข 3 หลกั การ การเช่ือมโยงสู่ 4 มติ )ิ ความรู้ อธบิ ายความหมายความสาคัญของการจดั การอาชีพ คุณธรรม - มีความขยนั - มคี วามสามคั คีในการทางานร่วมกนั - มีความตงั้ ใจและม่งุ ม่นั พอประมาณ - ความถนดั ในการประกอบอาชพี - ต้นทนุ - เวลา มีเหตผุ ล - เกดิ อาชพี ทเ่ี หมาะสมกบั ตนเอง - บรหิ ารอาชีพได้อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ
มภี มู ิคมุ้ กนั - มอี าชพี ที่สร้างรายได้ ลดความเส่ยี งในการขาดทนุ วตั ถุ - อาชีพที่เหมาะสมและมน่ั คง - มีทรพั ยากรในการผลิตสินค้าท่ีเหมาะสม สังคม - มกี ารทางานรว่ มกนั เป็นกลุ่มแลกเปลีย่ นความคดิ และวเิ คราะหร์ ว่ มกัน สงิ่ แวดล้อม - ใชท้ รัพยากรทีเ่ ป็นธรรมชาติในการผลติ สนิ คา้ เพ่อื มลพษิ วัฒนธรรม - มีอาชีพที่ใช้ภมู ิปญ๎ ญาในท้องถิ่นและทรัพยากรในท้องถนิ่ 9. กระบวนการจัดการเรยี นร้แู ละกิจกรรมการเรยี นรู้ ข้ันที่ 1 กาหนดสภาพปญั หาการเรยี นรู้ 1. ครูและผู้เรียนพดู คยุ เรื่องภูมปิ ๎ญญาในท้องถน่ิ และยกตวั อย่างผลิตภณั ฑข์ องภมู ิป๎ญญาใน ท้องถิ่นทผี่ เู้ รยี นร้จู กั 2. ครูและผู้เรยี นรว่ มกนั พดู คยุ เกย่ี วกบั สินคา้ ของภมู ิป๎ญญาชุมชน ผลติ ภัณฑ์ทีเ่ กดิ จากภูมิปญ๎ ญา ของคนในชุมชน ขน้ั ท่ี 2 แสวงหาขอ้ มูลและจัดการเรยี นรู้ 1. ครูให้ผ้เู รียนศกึ ษาค้นคว้าความหมายความสาคญั ของการจดั อาชีพและระบบการจดั การเพื่อ พัฒนาอาชีพโดยประยุกต์ใชภ้ มู ิป๎ญญา จากอินเตอรเ์ น็ต หนังสือแบบเรียน และสอ่ื ภายใน กศน.ตาบล ขน้ั ท่ี 3 การปฏิบตั แิ ละการนาไปใช้ 1. ใหน้ กั ศึกษาวเิ คราะห์อาชีพท่ีสนใจ ใหค้ รอบคลุมเน้อื หา พร้อมนาเสนอหนา้ ชนั้ เรียน ขนั้ ที่ 4 การประเมนิ ผลการเรียนรู้ 1. ใหผ้ ูเ้ รียนประเมนิ ผลเน้ือหาและการนาเสนอของเพื่อนดว้ ยการยกมอื ให้คะแนน 2. ครแู ละผเู้ รยี นสรุปเนื้อหาพร้อมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน 9. ส่อื /แหลง่ เรยี นรู้ 1. หนงั สือเรยี นรายวชิ าทักษะการพัฒนาอาชีพ (อช21002) 2. ใบงาน 3. ใบความรู้ 4. สือ่ อนิ เตอรเ์ น็ต 10. การวดั และประเมนิ ผล 11.1วิธกี ารวดั และประเมินผล - ใบงาน
11.2 เคร่อื งมอื วดั และประเมินผล - ผลจากการตรวจใบงาน 11.3 เกณฑ์การวดั และการประเมนิ ผล - ใบงาน กิจกรรมเสนอแนะ ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ...................... ลงช่อื …………………………………………….ครูผ้สู อน (นายปรเรศ นามโคตร) ครู กศน.ตาบล ข้อเสนอแนะของผู้บริหาร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………............................................................................................................................. ..................................... ....................... ลงชือ่ ………………………………………………………ผอู้ นุมตั ิแผน (นางป๎ทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผู้อานวยการ กศน.อาเภอจตรุ พักตรพิมาน
บนั ทกึ หลังการจัดการเรียนรู้ กศน.ตาบลศรโี คตร ครั้งที่ 15 วนั /เดือน/ปีวันท่ี 17 เดือน สิงหาคม พ.ศ. 2565 ครผู สู้ อนนายปรเรศ นามโคตร ระดบั มัธยมศึกษาตอนตน้ เวลา 09.00-12.00 น. สาระการประกอบอาชีพ รายวิชา ทักษะการพัฒนาอาชพี รหสั วิชา อช21002 จานวนผู้เรียนทงั้ หมด ............... คนเขา้ เรยี น…………………คน ไม่เข้าเรียน……………………….คน 1. ผลการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้การประเมนิ โดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรียน - หลังเรยี น พบวา่ คะแนนการทดสอบหลังเรียน มากกวา่ กอ่ นเรียนจานวน ........ คนคดิ เป็นรอ้ ยละ............ คะแนนการทดสอบหลงั เรียน นอ้ ยกวา่ ก่อนเรียนจานวน ......... คนคดิ เป็นร้อยละ............ 2. เนอื้ หา/สาระ/รายวิชา ....................................................................................................................................................... ............ ...................................................................................................................... ............................................. 3. กิจกรรมการเรียนการสอน ............................................................................................................................. ...................................... .................................................................................................................................................. ................. 4. ปญั หา/อปุ สรรคการเรยี นการสอน .................................................................................. ................................................................................. ............................................................................................................................. ...................................... 5. แนวทางการแกป้ ัญหา ............................................................................................................................. ...................................... ................................................................................................................................................................... ลงช่อื .........................................................(ผ้บู ันทึก) (นายปรเรศ นามโคตร) ครู กศน.ตาบล ความเห็น/ข้อเสนอของผู้บรหิ าร ............................................................................................................................. ...................................... ...................................................................................... ............................................................................. ลงชื่อ.................................................. (นางป๎ทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผู้อานวยการ กศน.อาเภอจตุรพกั ตรพิมาน
ใบความรู้ เรอื่ งที่ 2 ความหมายความสาคญั ของการจัดการอาชีพ การจัดการอาชพี หมายถึง กระบวนการจดั กิจกรรมงานอาชีพ นบั ต้งั แต่การวางแผนการจัดการ องค์การ การตัดสนิ ใจ การสง่ั การ การควบคุม การตดิ ตามผล เพอ่ื ใหไ้ ด้ผลผลติ หรอื บริการทีเ่ ป็นท่ตี ้องการของ ลูกค้า และได้รับการยอมรบั จากสังคม ความสาคญั ของการจัดการอาชพี จากคาจากัดความของการจดั การอาชีพ ทาใหท้ ราบถงึ ความสาคญั ของการจดั การอาชีพ เพราะทาใหผ้ บู้ รหิ ารสามารถพฒั นากจิ การให้มุ่งไปสู่ความมีประสิทธภิ าพและสมารถ ดาเนินการให้บรรลวุ ตั ถปุ ระสงคข์ องกิจการได้ กลา่ วคือ กิจการสามารถผลิตสินคา้ หรือบรกิ ารที่มีคุณภาพ ทันเวลาตามความต้องการของลกู ค้า และกิจการได้รับผลตอบแทนคือกาไรสูงสุด สามารถขยายกจิ การได้ หรือ เพ่ิมพนู ในการดาเนนิ การได้ จากการศึกษาวจิ ัยพบว่า การจดั การอาชีพใหป้ ระสบความสาเรจ็ ประกอบด้วย 1. การจดั การอยา่ งมคี ุณภาพ หมายถงึ ผบู้ รหิ ารมคี วามรปู้ ระสบการณ์ สามารถทางานใหบ้ รรลุผล สาเร็จอยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ 2. ผลติ ภณั ฑท์ ่มี คี ณุ ภาพ หมายถงึ การผลิตสนิ ค้าทมี่ ีคุณภาพ อาจกระทาไดโ้ ดยการใชเ้ ทคนิคต่างๆ เริม่ ต้งั แต่การใช้วัตถุดบิ กระบวนการผลิต การตรวจคุณภาพสนิ ค้าก่อนส่งมอบให้ลูกค้า 3. ผลติ ภัณฑท์ ี่ทันสมัยดว้ ยนวัตกรรมใหม่ 4. การลงทนุ ระยะยาวอย่างมีคณุ ค่า 5. สถานภาพการเงินม่นั คง 6. มคี วามสามารถในการดึงดูดใจลกู คา้ ใหส้ นใจผลติ ภัณฑ/์ สนิ ค้า 7. คานึงถึงความรบั ผดิ ชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม 8. การใช้ทรัพยส์ นิ อยา่ งคมุ้ ค่า เรื่องที่ 3 แหล่งเรียนรูแ้ ละสถานที่ฝึกอาชพี จากการท่ีผู้เรียนไดศ้ ึกษาเก่ยี วกับการพัฒนากระบวนการผลติ กระบวนการตลาด การประยกุ ต์ใชภ้ ูมิ ป๎ญญาและนวตั กรรม/เทคโนโลยีแล้ว ทาให้รู้ว่าตอ้ งพฒั นาอาชพี ดา้ นใดบา้ ง ในการพฒั นาความรู้ เพื่อการ พัฒนาอาชีพ จาเป็นทีผ่ ปู้ ระกอบการอาชพี ต้องศึกษาข้อมลู จากแหล่งเรยี นรเู้ ฉพาะ เชน่ ต้องการเงินทุนเพ่ือ นาไปซ้ือเคร่ืองจกั รก็ตอ้ งศึกษาจากแหลง่ เงินทุน หรอื ขาดแรงงานกต็ ้องจดั เตรียมหาแรงงานในชว่ งทตี่ ้องการ เปน็ การเตรียมความพร้อมเพ่ือรองรบั การพัฒนาอาชีพ ผูท้ ี่มีความสามารถในการบรหิ ารจดั การธุรกิจได้อย่างมีประสิทธภิ าพ จาเป็นจะต้องรูจ้ กั เลือกใช้ ได้แก่ 1. แหล่งเรียนรแู้ ละสถานทฝี่ ึกอาชีพ แหล่งเรยี นรู้และสถานท่ีฝกึ อาชพี หมายถงึ แหลง่ ที่มขี ้อมลู ขา่ วสาร ความรู้ ประสบการณ์ สารสนเทศ และเทคโนโลยี สาหรับผูเ้ รยี นใชใ้ นการแสวงหาความรู้และหรอื ฝึกทักษะในการประกออาชีพ ซึง่ มีอยู่ตาม ธรรมชาติ และมนุษยส์ รา้ งข้ึน แหล่งในที่นอี้ าจจะเปน็ เอกสาร สถานที่ ตัวบุคคล ผู้รู้ แหล่งเรยี นร้ธู รรมชาติ เช่น ทะเล ปาุ ภเู ขา แหล่งเรยี นรู้ทีม่ นุษยส์ รา้ งข้นึ เชน่ หอ้ งสมดุ พิพิธภณั ฑ์ อนิ เทอร์เน็ต เวบ็ ไซตต์ ่าง ๆ แหลง่ เรียนรแู้ ละสถานทีฝ่ ึกอาชีพมีความสาคัญตอ่ การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้สาหรบั ผูเ้ รียน โดย เฉพาะผ้เู รยี นทอ่ี ย่นู อกระบบโรงเรียนทต่ี ้องศึกษาหาความรู้ด้วยตนเองเป็นส่วนใหญ่ จงึ ต้องอาศัยแหล่งเรยี นรู้ ตา่ ง ๆ ใกลต้ วั เช่น ห้องสมดุ อาเภอ ศนู ยก์ ารเรียนชมุ ชน ภูมปิ ๎ญญา แหล่งธรรมชาตติ ่าง ๆ ผู้เรียนสามารถ ศกึ ษาหาความรู้ได้ดว้ ยตนเอง แหลง่ เหลา่ นเ้ี ป็นขมุ ทรัพย์ทางปญ๎ ญาท่ีสามารถค้นหาความรู้ได้ไม่รจู้ บ
ปจ๎ จุบนั สถานท่ฝี ึกอาชีพมีหลากหลายทงั้ ภาครัฐและเอกชนทจ่ี ัดให้กับประชาชนทั่วไป เช่น สานักงาน กศน. กระทรวงแรงงาน สานักงานคณะกรรมการอาชวี ศึกษา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โรงเรียนของ เอกชนต่าง ๆ ท่ีเปิดสอนหลักสูตรวิชีพระยะส้ัน 2. แหล่งเงินทนุ แหลง่ เงินทุน หมายถึง แหล่งท่ีสามารถให้ก้ยู มื เงินเพื่อการประกอบอาชีพได้ ซึ่งมีท้ังแหลง่ เงินทนุ ของ ภาครัฐและเอกชน เชน่ ธนาคารพาณชิ ยต์ ่าง ๆ สหกรณ์ กองทุนกยู้ มื ต่าง ๆ การท่ีจะกยู้ ืมไดต้ ้องมีโครงการ รองรบั เพ่ือให้แหลง่ เงินทุนพิจารณาความเปน็ ไปไดใ้ นการสง่ ใช้เงินคืน 3. แหล่งวสั ดุ อุปกรณ์ เครื่องจักร แหลง่ วสั ดุ อุปกรณ์ เคร่ืองจักร หมายถงึ แหล่งขายหรือแหลง่ ท่จี ะได้มาของวสั ดุ อปุ กรณ์ เครอื่ งจกั ร ท่เี กย่ี วข้องกบั การประกอบอาชพี เช่น ประกอบอาชีพการเกษตรจะตอ้ งมวี สั ดอุ ปุ กรณ์ เครือ่ งจักรที่เกี่ยวข้อง เช่น พันธพุ์ ชื ป๋ยุ รถแทรกเตอร์. 4. แหล่งแรงงาน แหล่งแรงงาน หมายถงึ แหลง่ ทจ่ี ะไดแ้ รงงานมาใช้ ไดแ้ ก่ แรงงานจาก คน สัตว์ และเคร่ืองจักรที่ใช้ - แรงงานคน หมายถึง แรงงานเจ้าของกับแรงงานนอกที่จ้างมาทางาน - แรงงานสัตว์ หมายถงึ แรงงานสัตว์ท่ีใช้ในการประกอบอาชพี เช่น แรงงานจากววั ควาย ช้าง ม้า ที่ นามาใช้ในการประกอบอาชพี - เครือ่ งจกั ร บางอาชพี มีการใชเ้ ครอ่ื งจกั รในการประกอบอาชีพ เช่น อาชีพทานาอาจจะต้องใชร้ ถไถ อาชีพทาเหล็กดัดประตู หน้าต่าง อาจจะใช้เครอื่ งเชอื่ ม ต้องพจิ ารณาวา่ อาชพี ของตนเองใชเ้ ครื่องจักร อะไรบา้ ง ที่มีอยลู่ ้าสมัยหรือไม่อยา่ งไร ขนาดหรือจานวนพอเพยี งกับการผลิตหรอื ไม่ 5. ตลาด คือ แหล่งที่มีทง้ั ผซู้ ื้อและผขู้ ายสนิ คา้ ต่าง ๆ จากผู้ผลิตไปสู่ผบู้ รโิ ภคหรือผู้ใชบ้ ริการนนั้ ๆ ได้รบั ความ พอใจ ร่วมถึงการพฒั นาอาชพี มวี ัตถปุ ระสงคใ์ นการขยายตลาดขายสินคา้ ให้มากขน้ึ โดยพิจารณาตลาดเดมิ วา่ สามารถรับสนิ คา้ ที่พัฒนาข้นึ ใหม่ไดห้ รือไม่ ถ้าไม่ไดจ้ ะตอ้ งหาตลาดใหมร่ องรับ
ใบงาน อาชีพ ....................................................................................................................... ชื่อผรู้ ู้ ........................................................................................................................ การวางแผนการประกอบอาชพี ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………ระบบการจัดการอาชพี ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………คณุ ธรรมในการประกอบอาชีพ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………การนาความรทู้ ไี่ ดร้ ับจากภมู ปิ ัญญา นาไปประยกุ ต์ใชใ้ นการดาเนินชีวิตไดอ้ ยา่ งไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………
แผนการจดั การเรียนรูร้ ายวิชาทักษะการเรียนรู้ ครั้งท่ี 1 ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2565 ระดับมธั ยมศึกษาตอนตน้ กศน.ตาบลศรีโคตร 1. สปั ดาห์ท่ี 16 วันที่ 24 เดอื น สิงหาคม พ.ศ. 2565 เวลา 09.00-12.00น. 2. วชิ า ทกั ษะการเรยี นรู้ รหัสวชิ า ทร21001 จานวน 1 หนว่ ยกิต 3. มาตรฐานที่ 1.1 มีความรู้ความเขา้ ใจ ทักษะ และเจตคตทิ ดี่ ีตอ่ การเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง 4. หนว่ ยการเรียนรู้/เรอ่ื งการจดั การความรู้ 5. สาระสาคญั การจัดการความรู้เปน็ เครื่องมือของการพัฒนาคุณภาพของงาน หรือสร้างวตั กรรมในการทางาน การ จดั การความรจู้ ึงเปน็ การจดั การกับความร้แู ละประสบการณ์ท่มี ีอยใู่ นตวั คน และความรู้เด่นชัด นามาแบ่งป๎น ใหเ้ กิดประโยชนต์ ่อตนเองและองค์กรดว้ ยการผสมผสานความสามารถของคนเขา้ ดว้ ยกนั อยา่ งเหมาะสม มี เปาู หมายเพ่ือการพฒั นางาน พฒั นาคนและพฒั นาองค์กรให้เป็นองค์กรแห่งการเรยี นรู้ 6. เนื้อหา ความหมาย ความสาคญั หลักการกระบวนการจดั การความรู้ การรวมกลมุ่ เพื่อต่อยอดความรู้ การ พฒั นาขอบข่ายความรู้ของกลุ่มและการจัดทาสารสนเทศเผยแพร่ความรู้ 7. จดุ ประสงคก์ ารเรียนร/ู้ ผลการเรยี นรทู้ ่คี าดหวัง 1. วเิ คราะหผ์ ลทเ่ี กิดข้ึนของขอบเขตความรู้ ตดั สนิ คุณค่า กาหนดแนวทางพัฒนา 1.1 อธิบายความหมาย ความสาคญั หลักการ กระบวนการจัดการความรู้ การรวมกลุ่มเพอื่ ต่อยอด ความรู้ การพัฒนาขอบขา่ ยความร้ขู องกลุม่ และจดั ทาสารสนเทศเผยแพร่ความรู้ - บอกความหมายของการจัดการความรู้ได้ - บอกความสาคัญของการจัดการความรูใ้ นระดบั ชุมชนได้ - อธิบายหลกั การจัดการความรูไ้ ด้ - อธิบายวิธีการหาความรดู้ ว้ ยวธิ ีการจัดความรู้ โดยการรวมกลมุ่ ได้ - อธิบายวธิ กี ารหาความรู้เพ่ิมเตมิ (ต่อยอด) ดว้ ยการจดั การความรูไ้ ด้ - บอกวิธกี ารจัดทาสารสนเทศเพื่อการเผยแพรค่ วามรโู้ ดยการใชส้ ่ือทหี่ ลากหลายได้ 8.การบรู ณาการกบั หลกั แนวคิดของเศรษฐกจิ พอเพยี ง (2 เงือ่ นไข 3 หลักการ การเชอื่ มโยงสู่ 4 มติ )ิ ความรู้ อธบิ ายความหมาย ความสาคัญ และการจัดการความรู้ คุณธรรม - มคี วามขยัน - มีความสามคั คใี นการทางานร่วมกนั - มคี วามตง้ั ใจและม่งุ ม่นั . พอประมาณ - ความถนัดในการศึกษาหาความรู้จากแหลง่ เรียนรู้ - ตน้ ทนุ - เวลา
มเี หตุผล - มคี วามรเู้ พื่อพฒั นาตนเอง - บรหิ ารเวลาในการศกึ ษาหาความรไู้ ด้อย่างมีประสิทธภิ าพ มภี มู คิ ุ้มกนั - นาความร้ทู ่ีได้มาพฒั นาทกั ษะด้านต่างๆไดเ้ หมาะสมกับตนเอง วัตถุ - มีทรพั ยากรในการศกึ ษาหาความรู้ทห่ี ลากหลาย สงั คม - มกี ารทางานร่วมกันเป็นกลุ่มแลกเปลีย่ นความคดิ และวเิ คราะห์ร่วมกัน ส่ิงแวดล้อม - ใชท้ รัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดล้อมในการศึกษาหาความรู้ วฒั นธรรม - มีความรู้ทีไ่ ด้จากภูมิป๎ญญาในท้องถ่ินและทรัพยากรในท้องถ่นิ 9. กระบวนการจดั การเรยี นรู้และกิจกรรมการเรียนรู้ ขัน้ ที่ 1 กาหนดสภาพปัญหาการเรียนรู้(O : Orientation) 1. ครทู กั ทาย/สวสั ดผี เู้ รยี น ชแ่ี จงบอกวัตถุประสงค์การเรียนรู้ 2. ครูตัง้ คาถามให้ผูเ้ รียนชว่ ยกันตอบว่า ผเู้ รียนคดิ ว่า ความรู้คอื อะไร? และการจดั การ หมายถงึ อะไร? โดยครเู ขยี นทุกคาตอบของผเู้ รยี นไวบ้ นกระดาน 3. ครูนาสอ่ื ตวั อย่างการจดั การความรขู้ องการรวมกลมุ่ ท่ปี ระสบผลสาเรจ็ จากหนังสือพิมพ์ มาแสดงใหผ้ ู้เรียนดู และแลกเปลีย่ นความคิดเห็นกัน 4. ใหผ้ ้เู รยี นทาแบบทดสอบก่อนเรยี น ขนั้ ท่ี 2 แสวงหาขอ้ มูลและจัดการเรยี นร(ู้ N : New ways of learning) 1. ครูทกั ทาย/สวัสดผี ู้เรยี น ชี่แจงบอกวตั ถปุ ระสงคก์ ารเรยี นรู้ 2. ครตู ้งั คาถามใหผ้ เู้ รียนชว่ ยกันตอบวา่ ผ้เู รยี นคิดวา่ ความรูค้ อื อะไร? และการจดั การหมายถงึ อะไร? โดยครเู ขียนทกุ คาตอบของผ้เู รยี นไว้บนกระดาน 3. ครนู าสื่อตัวอยา่ งการจัดการความรูข้ องการรวมกลมุ่ ทปี่ ระสบผลสาเรจ็ จากหนังสือพิมพ์ มาแสดง ให้ผู้เรียนดู และแลกเปล่ยี นความคดิ เหน็ กนั 4. ใหผ้ เู้ รยี นทาแบบทดสอบก่อนเรียน ข้ันท่ี 3 การปฏิบตั ิและการนาไปใช้(I : Implementation) 1. ครใู หผ้ ูเ้ รยี นระดมความคดิ ถอดบทเรยี นให้สอดคล้องกบั หลกั เศรษฐกิจพอเพียง 2. ครูและผูเ้ รยี นร่วมกันแลกเปลีย่ นเรยี นรู้และสรปุ ความรเู้ บือ้ งต้นท่ีได้จากแบบสอบถาม เพื่อนามา วเิ คราะห์สรุปผล และจัดทารายนาเสนอ
ข้นั ที่ 4 การประเมนิ ผลการเรียนร(ู้ E : Evaluation) 1. ใหน้ กั ศึกษาออกมาหนา้ ชั้นเรียน เพอื่ นาเสนอการถอดบทเรียนใหส้ อดคล้องกับหลักเศรษฐกิจ พอเพียง จากน้นั ครใู ห้คะแนน 2. แบบทดสอบหลังเรยี น 10. สอ่ื /แหล่งเรียนรู้ 1. หนงั สอื เรียนรายวชิ าทกั ษะการเรียนรู้ (ทร2100๑) ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนต้น 2. ใบงาน 3. ใบความรู้ 4. ส่อื อนิ เตอรเ์ นต็ 11. การวดั และประเมนิ ผล 11.1 วธิ กี ารวัดและประเมินผล - แบบประเมินผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานร่วมกบั ผู้อืน่ ของนักศึกษารายบคุ คล - ใบงาน 11.2 เคร่ืองมอื วดั และประเมินผล. - ประเมินผลการสงั เกตพฤตกิ รรมการทางานร่วมกบั ผ้อู ่ืน ของนกั ศกึ ษารายบคุ คล - ผลจากการตรวจใบงาน 11.3 เกณฑก์ ารวดั และการประเมินผล - แบบประเมนิ ผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานรว่ มกบั ผู้อื่นของนักศึกษารายบคุ คล ระดบั ดี พอใช้ และควรปรับปรุง - ใบงานคะแนนเต็ม 10 คะแนน
กจิ กรรมเสนอแนะ ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................................................................. . ............................... ลงชือ่ …………………………………………….ครผู ู้สอน (นายปรเรศ นามโคตร) ครู กศน.ตาบล ข้อเสนอแนะของผู้บริหาร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………............................................................................................................................. ..................................... ............................................................................................................................. ................................................. ................................ ลงชือ่ ………………………………………………………ผู้อนมุ ัติแผน (นางป๎ทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผูอ้ านวยการ กศน.อาเภอจตรุ พกั ตรพมิ าน
บนั ทึกหลังการจดั การเรียนรู้ กศน.ตาบลศรโี คตร ครงั้ ที่ 16 วนั /เดือน/ปวี นั ที่ 24 เดอื น สงิ หาคม พ.ศ. 2565 ครูผสู้ อนนายปรเรศ นามโคตร ระดบั มัธยมศึกษาตอนต้น เวลา 09.00-12.00 น. สาระทกั ษะการเรียนรู้ รายวิชา ทกั ษะการเรียนรู้ รหสั วิชา ทร21001 จานวนผเู้ รียนทั้งหมด ............... คนเขา้ เรยี น…………………คน ไม่เข้าเรยี น……………………….คน 1. ผลการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้การประเมินโดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรยี น - หลงั เรียน พบวา่ คะแนนการทดสอบหลังเรยี น มากกวา่ กอ่ นเรยี นจานวน ........ คนคิดเป็นรอ้ ยละ............ คะแนนการทดสอบหลงั เรยี น น้อยกวา่ ก่อนเรียนจานวน ......... คนคดิ เปน็ ร้อยละ............ 2. เนอ้ื หา/สาระ/รายวิชา ................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ...................................... 3. กจิ กรรมการเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ...................................... ................................................................................................................................................................... 4. ปญั หา/อุปสรรคการเรียนการสอน ........................................................................................................ ........................................................... ............................................................................................................................. ...................................... 5. แนวทางการแกป้ ัญหา ........................................................................................................................................ ........................... ....................................................................................................... ........................................................... ลงช่อื .........................................................(ผ้บู ันทึก) (นายปรเรศ นามโคตร) ครู กศน.ตาบล ความเห็น/ข้อเสนอของผู้บรหิ าร ............................................................................................................................. ...................................... ................................................................................................................................................................... ลงช่ือ.................................................. (นางปท๎ มาภรณ์ ศรเี นตร) ผอู้ านวยการ กศน.อาเภอจตรุ พกั ตรพมิ าน
ใบความรู้ท่ี 1 ความหมายของการจดั การความรู้ การจัดการ (Management) หมายถงึ กระบวนการในการเขา้ ถึงความร้แู ละการถ่ายทอดความรทู้ ต่ี ้อง ดาเนนิ การรว่ มกนั กบั ผปู้ ฏิบตั ิงานซึ่งอาจเร่ิมต้นจากการบ่งช้คี วามรู้ทตี่ อ้ งการใช้การสรา้ งและแสวงหาความรู้ การประมวลเพอ่ื กลั่นกรองความร้กู ารจดั การความรใู้ ห้เป็นระบบการสร้างช่องทางเพ่ือการสอ่ื สารกบั ผ้เู กีย่ วข้องการแลกเปลี่ยนความรู้การจดั การสมัยใหม่ใช้กระบวนการทางปญ๎ ญาเป็นส่งิ สาคญั ในการคดิ ตดั สินใจและสง่ ผลใหเ้ กิดการกระทาการจัดการจึงเน้นไปท่ีการปฏิบัติ ความรู้ (Knowledge) หมายถึงความร้ทู ี่ควบคู่กับการปฏิบัตซิ ่งึ ในการปฏิบัตจิ าเปน็ ต้องใชค้ วามรู้ที่หลากหลาย สาขาวิชามาเชอ่ื มโยงบูรณาการเพือ่ การคดิ และตดั สนิ ใจและลงมือปฏบิ ัตจิ ุดกาเนิดของความรู้คือสมองของคน เปน็ ความรทู้ ฝ่ี ง๎ ลกึ อยู่ในสมองชี้แจงออกมาเป็นถ้อยคาหรือตวั อักษรได้ยากความรนู้ นั้ เมื่อนาไปใช้จะไมห่ มดไป แต่จะยง่ิ เกดิ ความรูเ้ พ่มิ พนู มากข้ึนอยู่ในสมองของผปู้ ฏิบตั ิ ในยคุ แรกๆมองวา่ ความรหู้ รือทนุ ทางปญ๎ ญามาจากการจดั ระบบและการตคี วามสารสนเทศซงึ่ สารสนเทศกม็ า จากการประมวลข้อมลู ข้นั ของการเรยี นรู้เปรยี บดงั พีระมิดตามรูปแบบน้ี ความรูแ้ บ่งไดเ้ ปน็ 2 ประเภทคือ 1. ความรเู้ ดน่ ชัด(Explicit Knowledge) เป็นความรทู้ ่ีเปน็ เอกสารตาราคมู่ ือปฏบิ ตั ิงานสื่อตา่ งๆกฎเกณฑ์ กตกิ าข้อตกลงตารางการทางานบนั ทึกจากการทางานความร้เู ดน่ ชดั จงึ มชี อ่ื เรียกอีกอย่างหน่ึงว่า “ความร้ใู น กระดาษ” 2. ความรู้ซอ่ นเรน้ /ความรู้ฝงั ลกึ (Tacit Knowledge) เป็นความร้ทู ี่แฝงอยูใ่ นตัวคนพัฒนาเปน็ ภมู ปิ ๎ญญาฝ๎ง อย่ใู นความคิดความเชือ่ คา่ นยิ มทีค่ นไดม้ าจากประสบการณ์ส่งั สมมานานหรือเปน็ พรสวรรค์อันเปน็ ความสามารถพเิ ศษเฉพาะตวั ที่มีมาแตก่ าเนดิ หรือเรียกอีกอย่างหนง่ึ ว่า “ความร้ใู นคน” แลกเปล่ยี นความรูก้ ัน ไดย้ ากไม่สามารถแลกเปล่ยี นมาเปน็ ความรทู้ ่ีเปิดเผยได้ทงั้ หมดตอ้ งเกดิ จากการเรียนรรู้ ว่ มกันผา่ นการเปน็ ชมุ ชนเช่นการสังเกตการแลกเปล่ียนเรยี นร้รู ะหว่างการทางาน หากเปรียบความรเู้ หมอื นภเู ขานา้ แข็งจะมีลกั ษณะดังนี้
สว่ นของน้าแข็งที่ลอยพ้นน้าเปรยี บเหมอื นความรทู้ ีเ่ ด่นชดั คอื ความรูท้ ี่อยู่ในเอกสารตาราซีดีวดี โี อหรือสอ่ื อื่นๆ ทีจ่ ับตอ้ งไดค้ วามรูน้ ้ีมเี พยี ง 20 เปอร์เซน็ ต์ ส่วนของนา้ แข็งทจ่ี มอยู่ใตน้ า้ เปรยี บเหมือนความรู้ทีย่ งั ฝ๎งลกึ อยู่ในสมองคนมีความรู้จากสิ่งที่ตนเองได้ปฏิบัติ ไมส่ ามารถถา่ ยทอดออกมาเป็นตวั หนังสอื ใหค้ นอื่นได้รบั รู้ไดค้ วามรู้ที่ฝ๎งลึกในตัวคนนี้มปี ระมาณ 80 เปอรเ์ ซ็นต์ ความรู้ 2 ยคุ ความรยู้ คุ ท่ี 1 เนน้ ความรใู้ นกระดาษเนน้ ความรู้ของคนสว่ นนอ้ ยความร้ทู ีส่ รา้ งขึน้ โดยนักวิชาการที่มีความ ชานาญเช่ียวชาญเฉพาะด้านเรามกั เรียกคนเหลา่ นัน้ ว่า “ผมู้ ีปญ๎ ญา” ซ่งึ เชอ่ื วา่ คนสว่ นใหญ่ไม่มีความรูไ้ มม่ ี ป๎ญญาไมส่ นใจท่จี ะใช้ความรู้ของคนเหล่าน้ันโลกทศั นใ์ นยุคท่ี 1 เปน็ โลกทศั นท์ ่ีคับแคบ ความรยู้ ุคที่ 2 เป็นความรใู้ นคนหรอื อยู่ในความสมั พันธ์ระหว่างคนเป็นการคน้ พบ “ภูมิปญ๎ ญา” ที่อยู่ในตัวคน ทกุ คนมคี วามรู้เพราะทุกคนทางานทุกคนมสี ัมพนั ธ์กับผู้อืน่ จึงย่อมมีความรทู้ ่ีฝง๎ ลึกในตัวคนท่เี กิดจากการทางาน และการมีความสัมพันธก์ นั นนั้ เรียกวา่ “ความรู้อนั เกิดจากประสบการณ์” ซ่ึงความร้ยู ุคที่ 2 นมี้ ีคณุ ประโยชน์ 2 ประการคือประการแรกทาใหเ้ ราเคารพซึง่ กันและกันว่าต่างก็มีความรปู้ ระการที่ 2 ทาให้หนว่ ยงานหรือ องค์กรที่มีความเชื่อเช่นนี้สามารถใชศ้ ักยภาพแฝงของทุกคนในองค์กรมาสรา้ งผลงานสร้างนวัตกรรมใหก้ ับ องค์กรทาให้องค์กรมีการพฒั นามากข้ึน
ใบความรทู้ ่ี 2 กระบวนการในการจดั การความรู้ การจัดการความรู้นั้นมีหลายรูปแบบหรอื ท่ีเรยี กกนั วา่ “โมเดล” มีหลากหลายโมเดลหัวใจของการจัดการ ความรคู้ ือการจัดการความรูท้ ี่อยู่ในตวั คนในฐานะผู้ปฏิบตั แิ ละเปน็ ผมู้ คี วามรู้การจดั การความรู้ท่ีทาใหค้ น เคารพในศักดิ์ศรีของคนอนื่ การจดั การความรนู้ อกจากการจัดการความร้ใู นตนเองเพื่อให้เกดิ การพัฒนางาน และพฒั นาตนเองแล้วยังมองรวมถงึ การจดั การความรู้ในกลุ่มหรือองคก์ รด้วยรปู แบบการจัดการความรู้จึงอยู่ บนพน้ื ฐานของความเชื่อทว่ี ่าทุกคนมคี วามรู้ปฏบิ ัติในระดบั ความชานาญที่ต่างกันเคารพความรู้ทีอ่ ยู่ในตัวคน ดร.ประพนธ์ผาสุกยึดได้คิดค้นรปู แบบการจัดการความรู้ไว้ 2 แบบคอื รปู แบบปลาทูหรอื ทเ่ี รยี กวา่ “โมเดลปลา ทู” และรูปแบบปลาตะเพยี นหรอื ท่ีเรยี กว่า“โมเดลปลาตะเพยี น” แสดงใหเ้ ห็นถึงรูปแบบการจดั การความร้ใู น ภาพรวมของการจดั การทคี่ รอบคลุมท้ังความร้ทู ่ชี ัดแจง้ และความร้ทู ฝ่ี ง๎ ลึกดงั นี้ โมเดลปลาทู เพ่ือให้การจัดการความรู้หรือ KM เป็นเร่ืองท่ีเข้าใจง่ายจงึ กาหนดให้การจัดการความรเู้ ปรยี บ เหมือนกับปลาทูตวั หนง่ึ มสี ่ิงท่ีตอ้ งดาเนินการจดั การความรู้อยู่ 3 สว่ นโดยกาหนดว่าสว่ นหัวคอื การกาหนด เปาู หมายของการจัดการความร้ทู ช่ี ดั เจนสว่ นตวั ปลาคอื การแลกเปล่ยี นความรูซ้ ่ึงกนั และกนั และสว่ นหางปลา คอื ความรทู้ ่ไี ด้รบั จากการแลกเปล่ยี นเรยี นรู้ รูปแบบการจัดการความรู้ตาม “โมเดลปลาทู” สว่ นท่ี 1 “หวั ปลา” หมายถึง “Knowledge Vision” หรอื KV คอื เปาู หมายของการจดั การความรู้ผ้ใู ช้ต้องรู้ ว่าจะจัดการความร้เู พื่อบรรลเุ ปาู หมายอะไรเกี่ยวข้องหรือสอดคล้องกบั วสิ ัยทัศนพ์ นั ธกิจและยุทธศาสตร์ของ องค์กรอยา่ งไรเชน่ จดั การความรเู้ พื่อเพิ่มประสิทธภิ าพของงานจดั การความรเู้ พ่ือพฒั นาทักษะชีวิตด้านยาเสพ ติดจัดการความรู้เพ่ือพัฒนาทักษะชีวติ ด้านสง่ิ แวดล้อมจดั การความรู้เพื่อพัฒนาทักษะชวี ิตดา้ นชวี ติ และ ทรัพย์สินจดั การความร้เู พ่ือฟื้นฟูขนบธรรมเนียมประเพณีด้ังเดิมของคนในชมุ ชนเป็นตน้ ส่วนที่ 2 “ตัวปลา” หมายถงึ “Knowledge Sharing” หรอื KS เปน็ การแลกเปล่ียนเรียนรูห้ รอื การแบ่งปน๎ ความรูท้ ่ีฝง๎ ลึกในตวั คนผู้ปฏบิ ัตเิ ป็นการแลกเปลยี่ นวธิ ีการทางานทีป่ ระสบผลสาเร็จไม่เน้นทปี่ ๎ญหาเครื่องมือใน การแลกเปล่ียนเรียนรู้มีหลากหลายแบบอาทิการเล่าเร่ืองการสนทนาเชงิ ลกึ การชน่ื ชมหรือการสนทนาในเชงิ บวกเพื่อนชว่ ยเพื่อนการทบทวนการปฏิบตั ิงานการถอดบทเรยี นการถอดองค์ความรู้ ส่วนที่3 “หางปลา” หมายถึง “Knowledge Assets” หรือ KA เปน็ ขมุ ความรู้ที่ได้จากการแลกเปลีย่ นเรียนรู้ มเี ครื่องมอื ในการจัดเก็บความร้ทู ี่มีชีวิตไมห่ ยุดน่ิงคือนอกจากจัดเก็บความรูแ้ ล้วยงั งา่ ยในการนาความรู้ออกมา ใช้จริงงา่ ยในการนาความรูอ้ อกมาต่อยอดและง่ายในการปรับข้อมลู ไมใ่ ห้ล้าสมยั ส่วนน้ีจึงไม่ใช่สว่ นทีม่ ีหนา้ ที่ เกบ็ ข้อมลู ไวเ้ ฉยๆไม่ใชห่ อ้ งสมุดสาหรับเก็บสะสมข้อมูลที่นาไปใช้จริงไดย้ ากดังน้ันเทคโนโลยกี ารสื่อสารและ สารสนเทศจงึ เป็นเคร่ืองมือจัดเกบ็ ความรู้อนั ทรงพลงั ย่ิงในกระบวนการจดั การความรู้ ตัวอย่างการจดั การความรู้เรื่อง“พัฒนากลุ่มวสิ าหกิจชุมชน” ในรปู แบบปลาทู
โมเดลปลาตะเพียน จากโมเดล“ปลาท”ู ตัวเดยี วมาสโู่ มเดล“ปลาตะเพียน” ทีเ่ ป็นฝูงโดยเปรยี บแม่ปลา “ปลาตัวใหญ่” ได้กับ วิสยั ทัศนพ์ นั ธกิจขององค์กรใหญ่ในขณะท่ปี ลาตัวเล็กหลายๆตัวเปรยี บไดก้ บั เปาู หมายของการจัดการความรู้ที่ ตอ้ งไปตอบสนองเปาู หมายใหญ่ขององค์กรจงึ เปน็ ปลาทงั้ ฝงู เหมือน“โมบายปลาตะเพียน” ของเล่นเดก็ ไทย สมยั โบราณที่ผ้ใู หญส่ านเอาไว้แขวนเหนือเปลเด็กเปน็ ฝงู ปลาท่หี นั หนา้ ไปในทิศทางเดียวกันและมคี วามเพียร พยายามทจ่ี ะว่ายไปในกระแสน้าทีเ่ ปลีย่ นแปลงอยู่ตลอดเวลาปลาใหญอ่ าจเปรยี บเหมอื นการพฒั นาอาชีพตาม แนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี งในชุมชนซึง่ การพัฒนาอาชพี ดงั กล่าวต้องมกี ารแกป้ ๎ญหาและพฒั นารว่ มกัน ไปท้ังระบบเกิดกลุ่มต่างๆข้ึนในชุมชนเพื่อการเรยี นร้รู ว่ มกันทงั้ การทาบญั ชคี รัวเรือนการทาเกษตรอนิ ทรียก์ าร ทาปุ๋ยหมักการเลย้ี งปลาการเล้ยี งกบการแปรรูปผลติ ภณั ฑ์เพอ่ื ใชใ้ นครอบครัวหรอื จาหน่ายเพื่อเพิม่ รายไดเ้ ปน็ ต้นเหลา่ นีถ้ ือเป็นปลาตวั เล็กหากการแก้ป๎ญหาทป่ี ลาตวั เล็กประสบผลสาเร็จจะสง่ ผลให้ปลาตัวใหญ่หรือ เปูาหมายในระดบั ชุมชนประสบผลสาเรจ็ ดว้ ยเชน่ กันน่ันคือปลาว่ายไปข้างหนา้ อย่างพร้อมเพรียงกนั ที่สาคญั ปลาแต่ละตวั ไม่จาเปน็ ต้องมีรูปรา่ งและขนาดเหมือนกันเพราะการจดั การความรู้ของแตล่ ะเรือ่ งมีสภาพของ ความยากง่ายในการแก้ป๎ญหาทแ่ี ตกตา่ งกนั รูปแบบของการจัดการความรู้ของแต่ละหน่วยยอ่ ยจึงสามารถ สรา้ งสรรค์ปรบั ใหเ้ ข้ากบั แตล่ ะทไ่ี ดอ้ ย่างเหมาะสมปลาบางตวั อาจมีท้องใหญ่เพราะอาจมีสว่ นของการ
แลกเปล่ียนเรียนร้มู ากบางตัวอาจเปน็ ปลาทีห่ างใหญ่เดน่ ในเรื่องของการจดั ระบบคลงั ความรู้เพ่ือใชใ้ นการ ปฏิบัตมิ ากแต่ทกุ ตัวต้องมีหวั และตาท่ีมองเหน็ เปาู หมายทจ่ี ะไปอยา่ งชัดเจน การจดั การความรไู้ ด้ให้ความสาคญั กบั การเรียนร้ทู ่เี กิดจากการปฏิบตั ิจริงเป็นการเรียนร้ใู นทุกขน้ั ตอนของการ ทางานเชน่ ก่อนเริ่มงานจะต้องมกี ารศึกษาทาความเข้าใจในสิ่งที่กาลงั จะทาจะเป็นการเรียนร้ดู ว้ ยตนเองหรอื อาศยั ความชว่ ยเหลอื จากเพอื่ นรว่ มงานมีการศกึ ษาวิธกี ารและเทคนิคต่างๆทีใ่ ช้ไดผ้ ลพร้อมท้งั ค้นหาเหตุผลด้วย ว่าเป็นเพราะอะไรและจะสามารถนาสงิ่ ที่ได้เรยี นรู้นั้นมาใชง้ านที่กาลงั จะทาน้ีได้อย่างไรในระหว่างทีท่ างานอยู่ เชน่ กันจะต้องมีการทบทวนการทางานอยู่ตลอดเวลาเรยี กไดว้ ่าเปน็ การเรยี นรู้ท่ีไดจ้ ากการทบทวนกจิ กรรม ย่อยในทุกๆขน้ั ตอนหมน่ั ตรวจสอบอยูเ่ สมอว่าจดุ มุ่งหมายของงานที่ทาอยนู่ ค้ี ืออะไรกาลังเดนิ ไปถูกทางหรือไม่ เพราะเหตุใดป๎ญหาคืออะไรจะตอ้ งทาอะไรให้แตกตา่ งไปจากเดิมหรือไม่และนอกจากน้ันเม่อื เสร็จส้ินการ ทางานหรือเมอ่ื จบโครงการก็จะต้องมีการทบทวนส่งิ ต่างๆทไ่ี ดม้ าแลว้ วา่ มอี ะไรบ้างทที่ าไดด้ มี ีอะไรบา้ งทีต่ อ้ ง ปรับปรุงแก้ไขหรอื รบั ไวเ้ ปน็ บทเรยี นซึง่ การเรียนร้ตู ามรูปแบบปลาทูนถี้ อื เป็นหัวใจสาคัญของกระบวนการ เรยี นรทู้ ีเ่ ปน็ วงจรอยู่ส่วนกลางของรปู แบบการจัดการความรนู้ ่ันเอง
ใบงานที่ 1 เร่ืองการจดั การความรู้ กจิ กรรมท่ี 1 ใหอ้ ธบิ ายความหมายของ “การจัดการความรู้” มาพอสังเขป ............................................................................................................................. ............................................. ............................................................................................................................. ............................................. .......................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............................................. กิจกรรมที่ 2 ใหอ้ ธิบายความสาคญั ของ “การจัดการความรู้” มาพอสังเขป ............................................................................................................................. ............................................. ....................................................................................................................................... ................................... ............................................................................................... ........................................................................... ............................................................................................................................. ............................................. กิจกรรมที่ 3 ใหอ้ ธิบายหลักการของ “การจดั การความรู้” มาพอสังเขป ............................................................................................................................. ............................................. ............................................................................................................................................................ .............. .................................................................................................................... ...................................................... ชอื่ ............................................................นามสกุล............................................ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้
แผนการจดั การเรียนรู้รายวิชาทกั ษะการเรยี นรู้ ครงั้ ที่ 2 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2565 ระดบั มัธยมศึกษาตอนต้น กศน.ตาบลศรโี คตร 1. สัปดาห์ท่ี 17 วันที่ 31 เดอื น สิงหาคม พ.ศ. 2565 เวลา 09.00-12.00น. 2. วิชา ทกั ษะการเรียนรู้ รหัสวิชา ทร21001 จานวน 2 หนว่ ยกิต 3. มาตรฐานท่ี 1.1 มีความรู้ความเขา้ ใจ ทักษะ และเจตคติทดี่ ีตอ่ การเรียนร้ดู ้วยตนเอง 4. หน่วยการเรียนรู้/เรอื่ ง คิดเป็น 5. สาระสาคญั ทบทวนทาความเข้าใจกับความเชอื่ พนื้ ฐานทางการศึกษาผใู้ หญ่ และเชอ่ื มโยงไปสู่การเรยี นร้เู รอ่ื งการ คดิ เป็น กระบวนการแกป้ ๎ญหาของคนคิดเป็นและปรชั ญาคิดเปน็ ศกึ ษาวิเคราะห์ลักษณะของข้อมลู ท้งั ดา้ น วชิ าการ ตนเอง และสังคม สง่ิ แวดลอ้ ม รวมทัง้ เทคนิคการเก็บข้อมูล เพ่ือนาไปใช้ในการเลอื กเกบ็ ข้อมลู ดงั กล่าวมาใช้ประกอบการตดั สนิ ใจอยา่ งคนคดิ เปน็ 6. เน้อื หา 1. ความเชอ่ื พื้นฐานทางการศึกษาผใู้ หญ่/ การศึกษานอกระบบ ทเ่ี ชื่อมโยงมาสู่ปรัชญา คิดเป็น 2. ความหมาย ความสาคญั ของการคดิ เป็น - ศัพทเ์ ฉพาะ - การเชือ่ มโยงของความเช่ือพ้ืนฐานทางการศึกษาผ้ใู หญ่ /กศน.สปู่ รัชญาคดิ เปน็ 7. จดุ ประสงค์การเรยี นร/ู้ ผลการเรียนรู้ท่ีคาดหวงั มีความรู้ ความเข้าใจ และวจิ ารณห์ รือแสดงความคดิ เหน็ และความร้สู ึกต่อการแสดงประเภทตา่ งๆ ได้ 1. อธิบายหรือทบทวนปรัชญาคิดเปน็ และการใชร้ ะบบขอ้ มูลทางวิชาการ ตนเอง และสังคมส่งิ แวดลอ้ ม มา วเิ คราะห์ สังเคราะห์ เพื่อประกอบกระบวนการคิด การตัดสนิ ใจในการแก้ปญ๎ หา 1.1 วเิ คราะห์ความสัมพันธ์ ระหวา่ งความเชื่อพ้ืนฐานทางการศกึ ษาผู้ใหญ/่ การศกึ ษานอก ระบบกบั ปรัชญาคดิ เปน็ 1.2 อธบิ ายความสาคัญของการคดิ เปน็ ท่ีมตี ่อตนเอง ครอบครวั ชมุ ชน 2. อธบิ ายและปฏิบัติการใชเ้ ทคนคิ วธิ กี ารฝึกทักษะการคิดเป็นที่ซบั ซ้อนและนาคุณธรรม จริยธรรม ท่ี เก่ยี วข้องมาส่งเสรมิ กระบวนการคดิ เปน็ ให้มากขน้ึ 2.1 อธบิ ายวธิ กี ารรวบรวม ป๎ญหาของตนเอง ครอบครวั และชมุ ชน 2.2 อธบิ ายการวเิ คราะหป์ ญ๎ หา ของตนเอง ครอบครัวและชุมชนดว้ ย กระบวนการคิดเป็น 2.3 บอกวิธีและกระบวนการรวบรวมข้อมูลด้านตนเอง ดา้ นวิชาการ และด้านสงั คมส่ิงแวดล้อม เพื่อ นามาใช้ในกระบวนการคิดเป็น 2.4 วิเคราะห์ข้อมูลวชิ าการ ขอ้ มูลตนเอง และข้อมูล สงั คมส่ิงแวดล้อม เพ่อื ตัดสนิ ใจเลือกแนว ทางการแกไ้ ขปญ๎ หาตนเอง ครอบครวั และชุมชน 2.5 เลือกแนวทางในการแก้ไขปญ๎ หาด้วยกระบวนการคดิ เปน็ ไดอ้ ย่างมคี ุณธรรม จริยธรรม 2.6 วางแผนแกไ้ ขปญ๎ หาของชุมชนตามเหตุการณ์ทีกาหนดให้ โดยใชก้ ระบวนการคิดเป็น 3. อภิปราย ถกแถลงถึงป๎ญหาและอุปสรรคในการใช้กระบวนการคดิ เปน็ ประกอบการแกป้ ญ๎ หา 3.1 อภปิ รายและระบุป๎ญหาท่เี ป็นอปุ สรรคต่อการพัฒนากระบวนการคิดเป็น 3.2 บอกแนวทางการแก้ปญ๎ หาท่เี ป็นอปุ สรรคต่อการพฒั นากระบวนการคดิ เป็น
8. การบูรณาการกบั หลักแนวคดิ ของเศรษฐกจิ พอเพยี ง (2 เง่อื นไข 3 หลักการ การเชอื่ มโยงสู่ 4 มิติ) ความรู้ ความร้เู รอื่ ง ความหมาย ความสาคญั ของการคิดเปน็ ความเชื่อพ้นื ฐานในการศึกษาผู้ใหญ่ คุณธรรม - มคี วามขยัน - มคี วามสามคั คใี นการทางานรว่ มกนั - มีความตง้ั ใจและมุ่งมน่ั พอประมาณ - ความถนัดในการศกึ ษาหาความรู้จากแหลง่ เรยี นรู้ - ต้นทุน - เวลา มเี หตผุ ล - มคี วามรู้เพ่ือพัฒนาตนเอง - บริหารเวลาในการศึกษาหาความร้ไู ด้อย่างมีประสทิ ธภิ าพ มีภูมิคมุ้ กัน - นาความรทู้ ี่ได้มาพัฒนาทกั ษะดา้ นต่างๆได้เหมาะสมกบั ตนเอง วัตถุ - มีทรัพยากรในการศึกษาหาความรู้ท่หี ลากหลาย สงั คม - มกี ารทางานร่วมกันเปน็ กลุ่มแลกเปลย่ี นความคิดและวเิ คราะหร์ ่วมกนั สง่ิ แวดล้อม - ใช้ทรพั ยากรธรรมชาติและสิง่ แวดล้อมในการศกึ ษาหาความรู้ วฒั นธรรม - มีความรทู้ ่ไี ดจ้ ากภมู ิป๎ญญาในท้องถนิ่ และทรัพยากรในท้องถ่นิ 9. กระบวนการจัดการเรยี นรู้และกิจกรรมการเรียนรู้ ข้นั ที่ 1 กาหนดสภาพปญั หาการเรียนรู้(O : Orientation) 1. ครูทักทาย/สวัสดีผเู้ รียน ชี่แจงบอกวตั ถุประสงคก์ ารเรยี นรู้ 2. ให้ผเู้ รยี นทาแบบทดสอบก่อนเรียน ขน้ั ที่ 2 แสวงหาขอ้ มูลและจัดการเรยี นรู้(N : New ways of learning) 1. ครูทกั ทาย/สวัสดีผูเ้ รียน ชแ่ี จงบอกวตั ถุประสงค์การเรยี นรู้ 2. ส่มุ ตวั อยา่ งผเู้ รียน 2-3 คนให้เลา่ ถงึ กระบวนการคดิ เป็นที่ผูเ้ รยี นพอเขา้ ใจให้เพ่ือนๆฟง๎ ว่า มกี ระบวนการและขน้ั ตอนอย่างไร และตอบข้อคาถามของครแู ละเพือ่ นๆได้ 3. ครใู ห้ผเู้ รยี นทกุ คนออกแบบในเรือ่ งของกระบวนการคิดเป็นวา่ มขี ั้นตอนและกระบวนการ อยา่ งไรตามความเขา้ ใจของผเู้ รียน ข้นั ท่ี 3 การปฏบิ ตั ิและการนาไปใช้ (I : Implementation) 1. ครูให้ผเู้ รียนระดมความคิด ถอดบทเรยี นให้สอดคลอ้ งกับหลักเศรษฐกิจพอเพยี ง 2. ใหแ้ ต่ละคนนาเสนอผลการออกแบบข้ันตอนและกระบวนการคดิ เปน็ หนา้ ช้นั เรียน 3. ครูสรุปหลงั จากทุกคนนาเสนอหนา้ ช้นั เรียนเรยี บรอ้ ยแล้ว
4. ครูใหค้ วามร้เู พ่ิมเติมในสว่ นที่ผู้เรยี นขาดหาย ครเู ชอ่ื มโยงจากส่ิงที่ผู้เรยี นนาเสนอกับ เน้อื หาในเร่ืองของกระบวนการคิดเป็น 5. แจกใบงานใหท้ ดสอบความรู้ ความเขา้ ใจ และทดสอบหลังเรยี น ข้ันที่ 4 การประเมนิ ผลการเรียนรู้(E : Evaluation) 1. ใหน้ ักศึกษาออกมาหนา้ ช้นั เรยี น เพอ่ื นาเสนอการถอดบทเรียนให้สอดคล้องกับหลักเศรษฐกจิ พอเพียง จากนนั้ ครูใหค้ ะแนน 2. ครแู ละผเู้ รยี นร่วมกนั สรปุ หลงั จากทุกกลุ่มนาเสนอผลงานหน้าชั้นเรียน 3. ครเู ช่อื มโยงกิจกรรมทผ่ี ูเ้ รียนไดป้ ฏิบัตกิ บั เนื้อหาในเรื่องการคดิ เป็น 4. แบบทดสอบหลังเรยี น 10. ส่ือ/แหล่งเรียนรู้ 1. หนงั สือเรยี นรายวชิ าทกั ษะการเรียนรู้ (ทร2100๑) ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนต้น 2. ใบงาน 3. ใบความรู้ 4. สอื่ อนิ เตอรเ์ น็ต 11. การวดั และประเมินผล 11.1 วิธกี ารวดั และประเมนิ ผล - แบบประเมินผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานร่วมกับผ้อู น่ื ของนักศึกษารายบคุ คล - ใบงาน 11.2 เคร่อื งมอื วดั และประเมินผล. - ประเมนิ ผลการสังเกตพฤตกิ รรมการทางานรว่ มกับผู้อืน่ ของนกั ศกึ ษารายบคุ คล - ผลจากการตรวจใบงาน 11.3 เกณฑ์การวดั และการประเมนิ ผล - แบบประเมนิ ผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรว่ มกับผอู้ ่ืนของนกั ศึกษารายบุคคล ระดับดี พอใช้ และควร ปรบั ปรงุ - ใบงานคะแนนเต็ม 10 คะแนน
กจิ กรรมเสนอแนะ ...................................................................................................................................... ........................................ ........................................................................................... ................................................................................... ............................................................................................................................. ................................................. ................................ ลงช่ือ…………………………………………….ครผู ้สู อน (นายปรเรศ นามโคตร) ครู กศน.ตาบล ขอ้ เสนอแนะของผู้บริหาร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………............................................................................................................................. ..................................... .............................................................................................................................................................................. ............................... ลงชอื่ ………………………………………………………ผอู้ นมุ ัติแผน (นางปท๎ มาภรณ์ ศรเี นตร) ผอู้ านวยการ กศน.อาเภอจตุรพักตรพมิ าน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172