บนั ทึกหลังการจดั การเรียนรู้ กศน.ตาบลศรีโคตร ครัง้ ท่ี 6 วนั /เดือน/ปีวนั ท่ี 15 เดือน มถิ ุนายน พ.ศ. 2565 ครูผูส้ อนนายปรเรศ นามโคตร ระดับ มัธยมศึกษาตอนตน้ เวลา 09.00-12.00 น. สาระความรู้พ้นื ฐาน รายวชิ า ภาษาไทย รหัสวชิ า พท 21001 1. ผลการจดั กิจกรรมการเรียนรู้การประเมินโดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรียน - หลงั เรียน พบวา่ คะแนนการทดสอบหลงั เรียน มากกว่ากอ่ นเรยี นจานวน ........ คนคดิ เป็นรอ้ ยละ............ คะแนนการทดสอบหลังเรยี น น้อยกวา่ ก่อนเรียนจานวน ......... คนคดิ เป็นรอ้ ยละ............ 2. เน้อื หา/สาระ/รายวชิ า ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................................. ...................................... 3. กจิ กรรมการเรยี นการสอน ................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ...................................... 4. ปัญหา/อุปสรรคการเรียนการสอน ............................................................................................................................. ...................................... ................................................................................................................................................................... 5. แนวทางการแก้ปัญหา ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................................. ...................................... ลงชอ่ื .........................................................(ผูบ้ นั ทึก) (นายปรเรศ นามโคตร) ครู กศน.ตาบล ความเหน็ /ข้อเสนอของผบู้ รหิ าร ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................................. ...................................... ลงชื่อ.................................................. (นางปท๎ มาภรณ์ ศรเี นตร) ผู้อานวยการ กศน.อาเภอจตรุ พักตรพิมาน
ใบความรู้ เรื่อง สรุปความ จับประเด็นสาคัญของเรอ่ื งที่ฟงั และดู การฟงั และดูเพ่อื จับประเด็นและสรุปความ การจบั ประเดน็ หมายถงึ การจับข้อความสาคัญหรือใจความสาคญั ของเร่ือง ความหมายของการสรปุ ความ การสรุปความ คอื การหยิบยกเอาความคิดหลกั หรือประเดน็ ทส่ี าคญั ของเร่ืองมากลา่ วย้าให้เด่นชดั โดยใชป้ ระโยคสัน้ ๆ แลว้ เรียบเรยี งให้เป็นระเบยี บ มารยาทในการฟงั และดู 1. มองสบตาผู้พดู ไม่มองออกนอกหอ้ งหรอื มองไปท่อี นื่ อนั เป็นการแสดงว่าไม่สนใจเรอ่ื งท่ีพดู และ ไมเ่ อาหนังสอื ไปอ่านขณะท่ีฟ๎งหรอื ดู 2. รักษาความสงบ ไมส่ ่งเสยี งรบกวนผู้อื่น ไมเ่ อาของขบเค้ยี วเข้าไปทาลายสมาธิของผูอ้ ่ืน การชม ภาพยนตรค์ วรปดิ โทรศัพท์มือถือจะได้ไม่รบกวนความสุขของผู้อืน่ ไมค่ วรพาเด็กเล็กๆไปในโรงภาพยนตรห์ รอื ในทีท่ ่ตี ้องการความสงบ 3. แสดงกิรยิ าอาการทเ่ี หมาะสม วยั รนุ่ ไมค่ วรน่ังเกยี้ วพาราสกี นั ในทสี่ าธารณชนทตี่ ้องการความสงบ ในการฟ๎งและการดู เพราะนอกจากจะรบกวนสายตาคนอื่นแล้วยงั เป็นการแสดงกริ ยิ าท่ีขัดตอ่ ขนบธรรมเนยี ม ของไทยอกี ดว้ ย 4. ในการดภู าพไม่ควรขดี เขียนหรอื ฉีกภาพซ่ึงแสดงถงึ ความไม่มีวัฒนธรรมทดี่ งี าม หลกั การฟงั และดเู พื่อสรุปความและจบั ประเดน็ การฟ๎งและดเู พอ่ื จบั ประเดน็ และสรุปความ เปน็ ทักษะเบื้องต้นทที่ ุกคนจะต้องฝึกฝน เราจะต้อง ตดิ ตามฟ๎ง ดูเรอ่ื งราวโดยตลอด ดังนัน้ จงึ ตอ้ งมีสมาธใิ นการฟ๎งและสามารถแยกแยะไดว้ า่ ข้อความใดเปน็ ใจความสาคัญ และข้อความใดเปน็ พลความ ถา้ เราเข้าใจเรอื่ งราวไดโ้ ดยตลอดแล้วเรายอ่ มจดจาเร่ืองราวท่ีฟง๎ และสามารถถ่ายทอดให้คนอื่นฟ๎งได้ด้วย ในการฟ๎งแต่ละครั้ง เราตอ้ งจับประเด็นของเรื่องท่ีฟ๎งได้ คือ ร้วู ่าผู้พดู ตอ้ งการส่ือสารอะไร เป็น ประเด็นสาคัญ และรูจ้ กั ว่าอะไรคือประเด็นรองซ่ึงขยายประเดน็ สาคญั การฟ๎งเชน่ นเ้ี ป็นการฟ๎งเพื่อจับ ใจความสาคัญและใจความรองและรายละเอยี ดของเร่ือง มวี ิธกี ารฟ๎งดงั น้ี 1. ฟง๎ เร่ืองราวใหเ้ ขา้ ใจ พยายามจบั ใจความสาคัญของเร่ืองเปน็ ตอนๆ วา่ เร่ืองอะไร ใครทาอะไร ท่ี ไหน เม่ือไร อย่างไร 2. ฟง๎ เร่ืองราวทีเ่ ป็นใจความสาคัญแลว้ หารายละเอียดของเร่ืองที่เปน็ ลกั ษณะปลีกยอ่ ยของใจความ สาคญั หรอื ทเี่ ปน็ ส่วนขยายใจความสาคัญ สรุปความโดยรวบรวมเนอ้ื หาสาระสาคัญอยา่ งครบถ้วน วิธกี ารสรุปความจากการฟง๎ นนั้ เราจะตอ้ งค้นหาให้พบว่าสารใดเป็นความคดิ สาคญั ในเรอ่ื งน้ันๆ แลว้ สรุปไว้เฉพาะใจความสาคัญ โดยเขยี นชอ่ื เรื่อง ผพู้ ูด โอกาสท่ฟี ๎ง วัน เวลา และสถานทที่ ี่ได้ฟ๎งหรือดูไว้เป็น หลักฐานเครือ่ งเตือนความทรงจาต่อไป การฟ๎งและดเู พ่ือจับประเดน็ และสรุปความ เปน็ การฟง๎ ในชวี ติ ประจาวันเพื่อให้ได้สาระสาคัญของ เร่อื งท่ีฟง๎ เชน่ ฟง๎ การสนทนา ฟ๎งเรือ่ งราวข้อมลู ขา่ วสารตา่ งๆ ฟ๎งโทรศัพท์ ฟง๎ ประกาศ ฟ๎งการ บรรยาย ฟ๎งการอภิปราย ฟ๎งการเลา่ เรื่อง เป็นต้น
วธิ ีสรปุ ความตามลาดบั ข้ัน 1. ข้นั อา่ น ฟงั และดู - อ่าน ฟ๎งและดูให้เข้าใจอย่างน้อย 2 เท่ียว เพื่อให้ได้แนวคดิ ท่สี าคัญ 2. ขน้ั คิด - คิดเป็นคาถามว่าอะไรเป็นจดุ สาคญั ของเรอื่ ง - คดิ ตอ่ ไปวา่ จุดสาคญั ของเรื่องมีความสัมพันธก์ บั สง่ิ ใดบา้ ง จดสงิ่ นนั้ ๆ ไว้เปน็ ขอ้ ความ สนั้ ๆ - คดิ วิธที ี่จะเขียนสรุปความใหก้ ะทัดรัดและชดั เจน 3. ขน้ั เขยี น - เขียนร่างข้อความส้นั ๆทีจ่ ดไว้ - ขัดเกลาและตบแต่งร่างข้อความท่ีสรุปให้เปน็ ภาษาท่ีดสี ื่อความหมายได้แจ่มแจ้งชัดเจน ตัวอย่างการสรุปความ เรอ่ื ง เราคอื บทเรยี นของเดก็ การศกึ ษาเปน็ เร่ืองสาคัญของชีวติ ทกุ คนเกดิ มาจะโง่ จะฉลาด จะดจี ะชั่วข้นึ อยู่กับการศึกษา พอ่ แมท่ กุ คนปรารถนาจะให้บตุ รหลานของตนเป็นคนดี จนถงึ กับยอมทนลาบากตรากตราทาการงานหาทรัพยส์ นิ เงินทองมาเปน็ ค่าใชจ้ า่ ย เพ่ือการศึกษาของบตุ รหลาน นบั วา่ เปน็ หน้าทีแ่ ละสง่ิ ที่ควรไดร้ ับการยกย่องในการ เสียสละน้นั แต่ยงั มสี ิ่งท่ีมคี ุณค่าที่สดุ ในชวี ติ เดก็ ก็คือบทเรียนอนั เป็นจรยิ ศึกษาซ่งึ เกิดจากการปฏิบัตติ ัวของพ่อแม่ ผ้ปู กครองของเดก้ นั่นคอื การประพฤติปฏบิ ตั ิดงี าม เพราะส่งิ ทเ่ี ด็กไดย้ นิ ได้ฟ๎ง ได้รู้ไดเ้ ห็นจากพ่อแมผ่ ปู้ กครอง ของตน เชน่ การพดู จาไพเราะ การงานเป็นระเบียบเรยี บร้อยเปน็ ต้น ส่งิ เหลา่ นเ้ี ป็นบทเรยี นอยา่ งสาคญั ทีจ่ ะ ซึมซาบเข้าไปในจิตใจของเด็กดีย่ิงกวา่ หนังสือบทเรยี นอน่ื ๆ นน้ั เปน็ การให้การศึกษาท่ีมคี ่ายงิ่ เป็นการปลูก สร้างนสิ ัยท่ดี ีให้แกเ่ ด็ก ถา้ พ่อแม่ ผู้ปกครองเป็นคนดี มีนสิ ยั ดี เอ้ือเฟื้อเผอื่ แผ่ มีเมตตา มคี วามยตุ ิธรรม มีความรัก ความ สามคั คีในครอบครัว เป็นแบบอย่างที่ดี ก็จะทาให้เด็กเอาอยา่ งในทางดี เป็นคนดขี องพ่อ แม่ ผู้ปกครอง สม ความปรารถนาทุกประการ ถา้ ปรารถนาดี หวังดีตอ่ บุตรหลาน อยา่ เพยี งแตจ่ ะให้ทนุ การศกึ ษาอย่าง เดยี ว ต้องทาตนให้เปน็ ตวั อย่างท่ีดี เปน็ บทเรียนที่มคี ่าของบุตรหลานดว้ ย แลว้ ความปรารถนาของเราก็จะ สมหวงั การสรุปความ 1. ขัน้ อ่าน ฟงั และ คดิ จับแนวคดิ ไดด้ งั นี้ “ พ่อแม่ หาเงินทองมาใหล้ กู เรยี นอย่างเดียวยังไม่พอ ต้องปฏิบตั ติ นเปน็ ตัวอยา่ งท่ดี ีแก่ลูกด้วยจงึ จะนบั วา่ ไดใ้ ห้การศกึ ษาท่ีถูกต้องแก่ลูก” 2. ขัน้ เขยี น 2.1 ข้อความท่ีจดไวช้ ว่ ยจา “การศึกษา เร่ืองสาคญั – คนจะดจี ะชว่ั โง่ ฉลาดเพราะ การศึกษา พ่อแมห่ าเงินมาให้ลกู เรียนเสียสละควรยกยอ่ ง ส่งิ ทีม่ ีค่าต่อเด็ก – บทเรียนจริย ศกึ ษา คณุ ธรรม การปฏิบตั ิตนดงี าม เปน็ ตวั อยา่ งทดี่ ี รกั ลกู ต้องทาให้เป็นตวั อย่างทด่ี ีด้วย” 2.2 ข้อความทส่ี รุปแลว้ “การศึกษามีความสาคญั ต่อชวี ติ เด็ก เพราะสามารถทาให้เดก็ ฉลาด และเปน็ คนดีได้ พ่อแม่ทีร่ ักลูก อยากให้ลุกเปน็ คนดนี ัน้ ไม่ควรจะพอใจเพยี งการทาหนา้ ทหี่ าเงนิ มาให้ลูกเรียน เทา่ นั้น แตค่ วรคานึงถงึ บทเรียน จริยศึกษาอนั มคี ุณค่ายิ่งต่อชวี ิตของเด็ก อันไดแ้ กก่ ารท่ีพ่อแมเ่ ปน็ ผู้มี คุณธรรมและปฏิบัตติ นเป็นแบบอยา่ งในทางท่ีดงี ามแก่ลูกด้วย”
ใบงาน เรอ่ื งการฟงั ดู คาช้แี จง 1. ใหผ้ ู้เรยี นแบ่งกลมุ่ ๆ 5 – 7 คน โดยใหม้ ีทงั้ วัยรนุ่ ผู้สูงวัย และเพศหญิง เพศชาย ในกลุ่ม ตาม ความเหมาะสมและแตง่ ตงั้ คณะกรรมการการทางานรว่ มกัน 2. ให้ผู้เรียนแตล่ ะกล่มุ ได้ศกึ ษาเน้อื หาสาระจากเร่ืองการฟ๎ง ดู ในบทเรียนหรอื จาก ส่อื การเรยี นรทู้ ี่มี จากนน้ั ให้ปฏิบตั ิดงั นี้ 2.1 ศึกษาข่าวจากหนงั สือพิมพ์ 1 ข่าว 2.2 ศึกษาบทร้อยกรองทส่ี นใจ 1 เรอื่ ง 2.3 ศกึ ษาละครจาก VCD ทีส่ นใจ 1 เรื่อง 3. ให้สรุป และวเิ คราะห์เรื่องที่ศึกษา ตามหลักการท่ีได้เรียนรมู้ า 4. ให้ตวั แทนกลมุ่ ออกมานาเสนอผลงาน
แผนการจัดการเรียนร้รู ายวิชาภาษาไทย ครง้ั ท่ี 2 ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2565 ระดับมัธยมศกึ ษาตอนตน้ กศน.ตาบลศรโี คตร 1. สัปดาหท์ ่ี 7 วันที่ 22 เดอื น มิถนุ ายน พ.ศ. 2564 เวลา 09.00-12.00น. 2. วิชา ภาษาไทย รหัสวิชา พท21001 จานวน4หนว่ ยกิต 3. มาตรฐานที่ 2.1 มีความรคู้ วามเขา้ ใจ และทกั ษะพ้ืนฐานเกย่ี วกับภาษาและการส่ือสาร 4. หน่วยการเรียนรู้/เร่อื ง หลกั การใชภ้ าษา 5. สาระสาคญั ชนิดและหน้าทีข่ องคา พยางค์ วลี ประโยค การใช้เคร่ืองหมายวรรคตอน อักษรย่อ พจนานุกรม คา ราชาศพั ท์ ความแตกตา่ ง และความหมายของสานวน สุภาษิต คาพังเพย 6. เน้อื หา 1. ความหมายของคา พยางค์ วลี ประโยค และการสะกดคา 2. หลกั ในการสะกดคา 3. การใชค้ าและการสร้างคาในภาษาไทย 3.1 การสรา้ งคา 3.2 คาประสม 3.3 คาซ้อน 3.4 คาสมาส คาสนธิ 3.5 หลักการสงั เกตคาภาษาอ่นื ๆ ที่ใชใ้ นภาษาไทย 7. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู/้ ผลการเรียนร้ทู ่คี าดหวงั (ดูจากผังการออกข้อสอบ) 1. อธบิ ายความแตกต่างของคาพยางค์ วลี ประโยค การสะกดคาได้ถกู ต้อง 2. อธบิ ายความแตกตา่ งระหว่างภาษาพูดและภาษาเขยี น 8. การบูรณาการกับหลักแนวคิดของเศรษฐกจิ พอเพยี ง (2 เงอ่ื นไข 3 หลักการ การเชอื่ มโยงสู่ 4 มิต)ิ ความรู้ สรุปความ จบั ประเด็นสาคญั ของเรอ่ื งการใชห้ ลกั ภาษา คณุ ธรรม - มคี วามตงั้ ใจ - มคี วามขยนั - มีความรับผดิ ชอบ พอประมาณ - เนอื้ หาวิชาทเี่ รียนร้สู อดคลอ้ งกบั เวลาเรียนในแตล่ ะชว่ั โมง - เนอ้ื หาทเ่ี หลือให้จัดการเรยี นการสอนแบบ กรต.ได้ มเี หตผุ ล - ผ้เู รยี นมีความรใู้ นเรือ่ งหลักการใช้ภาษา - สามารถวเิ คราะห์และสังเคราะหเ์ ร่ืองการใช้หลกั ภาษาได้อย่างถกู ต้อง มีภูมคิ มุ้ กนั - การใช้คาทถ่ี ูกต้องตามหลักภาษา - สามารถอ่านออกเขยี นได้ วัตถุ
- ผเู้ รียนมีสอ่ื การเรยี นทเ่ี หมาะสมกบั เน้ือหาทเ่ี รียน สังคม - ผเู้ รียนสามารถทางานรว่ มกับคนอืน่ ไดอ้ ย่างมคี วามสุข - ผเู้ รียนสามารถแลกเปลย่ี นความคิดเหน็ กันภายในกลุ่มและห้องเรียน สิ่งแวดล้อม - ผเู้ รียนจัดบรรยากาศทด่ี ีในห้องเรียนท่เี อื้อต่อการเรียนการสอน วัฒนธรรม - ผู้เรยี นมกี ารเรยี นรวู้ ัฒนธรรมการใชภ้ าษาต่อๆกันมาตามหลกั ภาษา 9. กระบวนการจดั การเรยี นร้แู ละกิจกรรมการเรียนรู้ ขน้ั ที่ 1 กาหนดสภาพปัญหาการเรียนรู้ (O : Orientation) 1. ครสู มุ่ ตวั อยา่ งผเู้ รยี นให้เขียนช่อื บนกระดาน จานวน 10 คน และใหผ้ เู้ รยี นในกลมุ่ ช่วยกันบอกคา รายชอ่ื ท้ัง 10 คนมกี ่ีพยางค์ จากนนั้ ครูจงึ สอบถามผ้เู รียนถงึ วธิ ีการนบั พยางค์วา่ มีวิธีการอย่างไรเพื่อทจ่ี ะวดั ความร้เู บ้อื งตน้ ของผเู้ รยี น ขน้ั ที่ 2 แสวงหาขอ้ มูลและจัดการเรียนรู้ (N : New ways of learning) 1. ครอู ธิบายความหมายของคา พยางค์ วลี ประโยค การสะกดคา หลักการสะกดคาและการใช้ คาการสร้างคาในภาษาไทย คาประสม คาซ้า คาซ้อน คาสมาส คาสนธิ 2. ให้ผเู้ รยี นเลอื กบทความทเ่ี ก่ยี วกับคณุ ธรรมพร้อมบอกว่าในบทความดังกล่าวใชม้ าตรา ตวั สะกดในและใหข้ ้อคิดอะไรกบั เราบ้าง 3. ผ้เู รยี นศึกษาเนื้อหาเพ่ิมเตมิ จากใบความรู้และสอื่ อนิ เตอร์เน็ต ให้ผเู้ รยี นแบ่งกลุ่ม ๆ ละ 5 – 7 คน จานวน 4 กลมุ่ ดงั น้ี 3.1 กลมุ่ คาประสม 3.2 กลมุ่ คาซ้อน 3.3 กลุ่มคาสมาส คาสนธิ โดยให้แตล่ ะกลุ่มสรา้ งบัตรคาใหต้ รงตามชนิดของคาท่ีตนเองได้รับตามชื่อกลุ่มจานวน 10 คา 4. ครผู สู้ อนนาบัตรคามารวมกันและใหผ้ ู้เรยี นทากิจกรรมการเรยี นรู้ชนิดของคาโดยวธิ กี ารดังนี้ 4.1 ผู้เรยี นแต่ละกลุ่มแขง่ ขันนาบัตรคาไปติดไวท้ บ่ี อร์ดให้ประเภทเชน่ แมย่ าย เปน็ คา ประสม นาไปตดิ ให้ถูกต้อง 4.2 กลมุ่ ไหนทาเวลาไดด้ ีและได้จานวนบัตรท่ีตดิ ถูกตอ้ งท่ีสดุ คือทีมผชู้ นะ 4.3 ครูมอบของรางวลั แก่กลมุ่ ผู้ชนะ ขน้ั ท่ี 3 การปฏบิ ัตแิ ละการนาไปใช้ (I : Implementation) 1. ครูสรุปผลกจิ กรรมการเรียนรู้ และข้อคดิ /ความรู้นี้ไดจ้ ากกิจกรรมการเรยี นรู้ ข้นั ท่ี 4 การประเมินผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) 1. แบบประเมนิ ผลงาน 2. สงั เกตพฤติกรรมการเรียนรู้ 10. สือ่ /แหล่งเรยี นรู้ 1. หนงั สือเรียน
2. แบบฝกึ หัด 3. สือ่ อินเตอร์เน็ต 11. การวดั และประเมินผล 11.1วิธีการวัดและประเมนิ ผล - ใบงาน 11.2 เครอื่ งมือวดั และประเมินผล - ผลจากการตรวจใบงาน 11.3 เกณฑ์การวดั และการประเมินผล - ใบงานคะแนนเต็ม 10คะแนน กิจกรรมเสนอแนะ ................................................................................................................................ .............................................. .............................................................................................................................................................................. ...................... ลงชอ่ื …………………………………………….ครูผสู้ อน (นายปรเรศ นามโคตร) ครู กศน.ตาบล ขอ้ เสนอแนะของผู้บรหิ าร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………….................................................................................................................................................................. …………............................................................................................................................. ..................................... .................................. ลงชื่อ………………………………………………………ผู้อนุมตั แิ ผน (นางป๎ทมาภรณ์ ศรเี นตร) ผู้อานวยการ กศน.อาเภอจตรุ พักตรพิมาน
บนั ทกึ หลังการจัดการเรียนรู้ กศน.ตาบลศรีโคตร ครง้ั ที่ 7 วัน/เดือน/ปีวันท่ี 22 เดือน มิถุนายน พ.ศ. 2565 ครผู ู้สอนนายปรเรศ นามโคตร ระดับ มธั ยมศึกษาตอนตน้ เวลา 09.00-12.00 น. สาระความรู้พื้นฐาน รายวิชา ภาษาไทย รหสั วิชา พท 21001 1. ผลการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้การประเมนิ โดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรียน - หลงั เรยี น พบว่า คะแนนการทดสอบหลงั เรยี น มากกว่าก่อนเรียนจานวน ........ คนคดิ เป็นร้อยละ............ คะแนนการทดสอบหลงั เรยี น นอ้ ยกว่าก่อนเรยี นจานวน ......... คนคดิ เปน็ ร้อยละ............ 2. เนือ้ หา/สาระ/รายวชิ า .............................................................................................................. ..................................................... ............................................................................................................................. ...................................... 3. กิจกรรมการเรียนการสอน .......................................................................................................................................... ......................... ......................................................................................................... .......................................................... 4. ปัญหา/อปุ สรรคการเรียนการสอน ............................................................................................................................. ...................................... ................................................................................................................................................................... 5. แนวทางการแกป้ ัญหา ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................................. ...................................... ลงชื่อ.........................................................(ผบู้ ันทึก) (นายปรเรศ นามโคตร) ครู กศน.ตาบล ความเหน็ /ข้อเสนอของผ้บู รหิ าร ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................................. ...................................... ลงชอื่ .................................................. (นางป๎ทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผู้อานวยการ กศน.อาเภอจตุรพกั ตรพมิ าน
ใบความรู้ เร่ือง หลกั การใช้ภาษาไทย ธรรมชาติของภาษา 1. ภาษาในความหมายอยา่ งแคบ คือ ภาษาพูดของคน 2. ทกุ วันน้ี ยงั มีอีกหลายภาษาทีไ่ มม่ ภี าษาเขยี น 3. แต่ละกลุ่มกาหนดภาษากันเอง เสียงในแต่ละภาษาจึงมคี วามหมายไมต่ รงกัน 4. ลักษณะของภาษาทั่ว ๆ ไป 1. มเี สียงสระและพยัญชนะ (วรรณยกุ ต์มีบางภาษาเช่น ไทย,จีน) 2. ขยายใหใ้ หญข่ ึ้นได้ 3. มีคานาม, กริยา, คาขยาย 4. เปลยี่ นแปลงได้ 5. ภาษาเปลย่ี นแปลงได้ เพราะสาเหตหุ ลายข้อ เช่น สิ่งแวดลอ้ มเปล่ยี น เช่น ขายตัว ศกั ดนิ า จรติ สา สอ่ น แกลง้ ห่ม การพูด ได้แก่ การกรอ่ นเสียง และกลมกลืนเสยี ง กรอ่ นเสยี ง เชน่ \"หมากพรา้ ว\" กร่อนเปน็ \"มะพร้าว\" กลมกลนื เสยี ง เช่น\"อย่างไร\" กลนื เสียงเป็น \"ยังไง\" เสียงในภาษาไทย อกั ษรควบ - อกั ษรนา อักษรควบ มี 2 แบบ คือ ควบแท้ -> ออกเสยี งพยัญชนะตน้ ท้งั 2 เสียง เช่น ปลา ครมี เป็นต้น ควบไม่แท้ -> ออกเสยี งพยญั ชนะต้นตัวแรกตวั เดียว มี 2 กรณี ดงั น้ี - แสร้ง จริง เศรษฐี เศร้า - ออกเสียง ทร เป็นซ เช่น ไทร ทราย ทรดุ อักษรนา คอื คาท่ี - อา่ นหรอื เขียนแบบ มี \"ห\" นาพยัญชนะตน้ อกี ตวั เช่น หลอก หรู หนี หวาด ตลาด(ตะ-หลาด) ปรอท(ปะ- หรอด) ตลก(ตะ-หลก) ดิเรก(ดิ-เหรก) - รวมทั้งคาว่า \" อย่า อยู่ อยา่ ง อยาก” เสยี งพยญั ชนะตน้ เสยี งพยัญชนะต้น คอื เสียงทีน่ าเสยี งสระ เสียงพยญั ชนะตน้ มีอยู่ 2 ประเภท คือ 1. เสยี งพยญั ชนะเด่ียว = ออกเสยี งเสียงพยัญชนะตน้ เสยี งเดยี ว เชน่ มา วนิ ตี นุก หมู 2.เสยี งพยัญชนะประสม ออกเสยี งเสียงพยัญชนะตน้ สองเสียงควบกนั เชน่ กราบ ความ ปราม ไตร - ผิ ออกเสียงพยัญชนะต้น 1 เสยี ง คอื /ผ/ - ผลิ ออกเสยี งพยัญชนะต้น 1 เสยี ง คอื /ผล/ - ผลติ ออกเสยี งพยัญชนะตน้ 2 เสยี ง คือ /ผ/ , /ล/ (คอื เวลาออกต้องแยกวา่ ผะ-หลดิ ).เสยี งพยัญชนะ ตวั สะกด (พยญั ชนะท้าย) เสยี งพยัญชนะท้าย เสยี งพยัญชนะที่อย่หู ลังเสียงสระ
เสยี งพยญั ชนะท้าย มี 8 เสียง คอื แมก่ ก แทนดว้ ยเสยี ง /ก/ แม่กด แทนดว้ ยเสียง /ต/ แม่กบ แทนด้วยเสียง /ป/ แมก่ ม แทนด้วยเสียง /ม/ แม่ กน แทนดว้ ยเสียง /น/ แม่กง แทนด้วยเสยี ง /ง/ แม่เกย แทนด้วยเสยี ง /ย/ แมเ่ กอว แทนดว้ ยเสียง /ว/ เชน่ นาค เสยี งพยัญชนะท้าย ช /ก/ รด เสียงพยญั ชนะทา้ ย = /ต/ เสยี งสระ 1.เสียงสระสัน้ ยาวใหด้ ูตอนที่ออกเสียงอย่าดทู ่รี ูปเชน่ วัด ออกเสยี งสระสั้น ชา่ ง สระสน้ั เท้า สระยาว เน่า สระสน้ั นา้ สระยาว ช้า สระสนั้ 2.เสยี งสระ มี 2 ประเภท คอื สระประสม มี 6 เสยี ง คือ อัวะ อวั เอือะ เอือ เอียะ เอยี สระเด่ยี ว มี 18 เสียง คอื สระที่ไมใ่ ช่ อัวะ อวั เอือะ เอือ เอียะ เอยี 5.เสยี งวรรณยกุ ต์ มี 5 ระดับ คือ สามัญ เอก โท ตรี จตั วา 6.พยางค์ คือ เสียงท่อี อกมา 1 ตรั้ง มี 2 ประเภท คอื พยางค์เปิด พยางคท์ ่ีไมม่ ีตวั สะกด เช่น เธอ มา ลา สู่ พยางคป์ ิด พยางคท์ มี่ เี สยี งตัวสะกด เชน่ ไป รบ กับ เขา คา 1.คามูล = คาด้งั เดมิ เช่น กา เธอ ว่งิ ว่นุ ไป มา 2.คาซา้ = คามลู 2 คาท่ีเหมอื นกันทกุ ประการ คาทสี่ องเราใส่ไมย้ มกแทนได้ เช่น วงิ่ วิง่ (วง่ิ ๆ) น้องน้อง (น้องๆ) บางทีคาที่เหมือนกนั มาชิดกัน ไม่ใชค่ าซา้ เพราะความหมายไมเ่ หมือนกัน เชน่ เขามีที่ทบี่ างนา 3.คาซ้อน (คาคู่) คามูลท่ีมีความหมายเหมือนหรือคล้ายไมก่ ็ตรงขา้ มมารวมกนั เช่น เกบ็ ออก จติ ใจ ผคู้ น สร้างสรรค์ ขนมนมเนย ถ้วยชาม แขง็ แรง เด็ดขาด ตดั สนิ ดึงดัน ชัว่ ดี ถีห่ ่าง 4.คาประสม คามูล 2 คามารวมกันเป็นคาใหม่ และคาใหม่นั้นมีเคา้ ความของคาเดิมทนี่ ามารวมกันเชน่ น้า พรปิ ลาทู ขนมป๎ง ไส้กรอก ไก่ยา่ ง ผ้าพนั คอ เข็มฮีกยา เลือกตง้ั เจาะข่าว โหมโรง ปากหวาน 5.คาสมาส คาบาลี+สันสกฤต 2 คามารวมกัน (บาลีท้ังคกู่ ไ็ ด้ สันสกฤตท้ังคกู่ ็ได้ คาบาล+ี สันสกฤตกไ็ ด้) ถ้า คาท่เี อามารวมกันเปน็ คาภาษาอ่ืนที่ไมใ่ ชภ่ าษาบาลี สันสกฤต กจ็ ะไม่ใช่คาสมาส วิธีสงั เกตคาสมาสอย่างงา่ ย คือคาสมาสจะอา่ นเนื่องเสียงระหวา่ งคา ก็คือเวลาอา่ นตรงกลางจะออกเสยี งสระ ดว้ ย เช่น ราช(ชะ)การ อุบตั (ิ ติ)เหตุ 6.คาสนธิ คาสมาสประเภททเ่ี ราเอาพยญั ชนะตัวสุดท้ายของคาหนา้ ไปแทนท่ี\"อ\"ตวั แรกของคาหลัง เช่น ชล+อาลยั = ชลาลยั ศลิ ป + อากร = ศิลปากร วิธีการจะดวู ่าคาไหนเปน็ คาสมาสหรือสนธิ คือแยกคา 2 คาออกจากกัน - ถ้าแยกออกเป็นคาได้เลย = คาสมาส - ถา้ แยกแลว้ ต้องเตมิ \"อ\" ไปทค่ี าหลงั = คาสนธิ ชนิดของคา 1.คานาม คือคาทใี่ ช้เรยี กชอ่ื ส่งิ ต่าง ๆ เช่นตู้ โต๊ะ เก้าอ้ี 2.คากรยิ า คือ คาแสดงการกระทา เชน่ เดิน น่งั วง่ิ นอน คยุ กนิ
4.คาวเิ ศษณ์ คอื คา ขยาย เชน่ แดง ดา สงู ตา่ เปร้ยี ว หวาน 5.คาเชื่อม มี 2 ประเภท คอื บุพบท สนั ธาน วิธีดูใหด้ ูข้อความทตี่ ามมา สนั ธานจะต้องตามดว้ ยประโยค เช่น ปลาหมอตายเพราะปากไม่ดี บพุ บทจะตามด้วยข้อความที่ ไม่ใช่ประโยค เชน่ ปลาหมอตายเพราะปาก โครงสร้างของคา ชนดิ ของคาเอามารวมกัน เชน่ แมบ่ า้ น = แม่ + บา้ น = นาม + นาม ทองแดง = ทอง + แดง = นาม + วิเศษณ์ ตม้ ยา = ตม้ + ยา = กริยา + กริยา สามลอ้ = สาม + ลอ้ =วเิ ศษณ์ + นาม ห้องรบั แขก = ห้อง + รบั +แขก = นาม + กริยา + นาม ประโยค 1.เจตนาประโยคมี 3 อย่าง = แจ้งใหท้ ราบ (บอกเล่า) ถามใหต้ อบ (คาถาม) บอกให้ทา (คาสั่ง) 2.โครงสร้างของประโยค หมายถึง สว่ นประกอบของประโยค คอื ประธาน กรยิ า กรรม สว่ นขยาย เชน่ พอ่ ฉนั กันขา้ งเกง่ มาก ( ประธาน ขยาย(พ่อ) กริยา กรรม ขยาย(กนิ ) ขยาย(เก่ง) ) 3.ชนดิ ของประโยค มี 3 ชนิด - ประโยคความเดียว : มปี ระธาน กรยิ า กรรม อย่างละตวั - ประโยคความซ้อน : มี 2 ประโยคมารวมกนั ใชค้ าเชอ่ื วา่ ท่ี ซ่งึ อัน ว่า ให้ - ประโยคความรวม : มี 2 ประโยคมารวมกนั ด้วยคาเชอื่ มคาใดก็ได้ ยกเว้น ที่ ซึ่ง อัน วา่ ให้ (ถ้าใช้ ท่ี ซงึ่ อัน วา่ ให้ เชื่อม จะเปน็ ประโยคความซ้อน) 4.จานวนประโยค - ปกตจิ บ 1 ประโยค = นับเปน็ 1 ประโยค - ถ้ามีคาเชื่อมเราคือวา่ ประโยคน้นั ยงั เป็นประโยคเดยี วกับขา้ งหนา้ เชน่ เขากินขา้ วแลว้ 1 , เขากินขา้ วแลว้ ตอนนี้เขาเข้านอนแล้ว 2 , เขากนิ ขา้ วก่อนจะเข้านอน 1 5.วลี คอื กลุม่ คาที่ไมใ่ ช่ประโยค บางทีก้อยาวจนเกือบจะเป็นประโยค แต่ก้อไม่ใช่ประโยค วธิ ีดูว่าจะเป็นวลี หรือประโยค ถ้าอ่านแล้วเหมือนจะไมจ่ บ (ประมาณว่ารู้สึกต้องมอี ะไรตอ่ นะ) แสดงวา่ เป็นวลี แตถ่ า้ อ่านแลว้ ร้สู ึกวา่ มันจบก็ คอื ประโยค เชน่ แมน้ เราจะอ่านหนังสือสอบมากขนานไหน = วลี เธอว่ิงซะจน = วลี กระดาษทวี่ างบนโต๊ะตัวน้นั = วลี เธอกลับบ้านไปแลว้ = ประโยค ทกุ ทุกคราวท่ีมองฟาู = วลี ระดบั ภาษา 1.ระดับภาษามี 5 ระดบั 1.พธิ ีการ ใช้ในพิธี คาพูดจะดูหรูหรา อลังการ ดูเป็นพธิ ี เช่น ในศภุ วาระดิถขี ้ึนปีใหม่ 2.ทางการ ใช้ในเชงิ วิชากร ประชมุ ใหญๆ่ เรื่องท่ีต้องการแบบแผน คาพูดจะเปน็ ภาษาเขยี น เช่น ทา่ นเคย
คดิ หรือไมว่ า่ การทาเชน่ น้นั จะมผี ลเช่นไร 3.ก่ึงทางการ ใช้ในท่ปี ระชมุ เลก็ ๆ เรือ่ งที่ต้องมีแบบแผนบ้าง คาพจู ะมีท้ังภาษาเขียนและภาษาพโุ ปน ๆ กัน 4.สนทนา ใช้คยุ กนั ทั่ว ๆ ไปแต่ก้อมีความสภุ าพด้วยภาษากจ็ ะเปน็ ภาษาทเ่ี ราใชค้ ุยกัน 5.กนั เอง ใช้คุยกนั กบั คนซี้ ๆ หลกั การใชภ้ าษาไทยเพื่อการสื่อสารในอินเตอร์เนต็ 1.ใช้คาให้ถกู ต้องตรงตามความหมาย กลา่ วคอื ก่อนนาคาไปเรยี งเข้าประโยค ควรทราบความหมายของ คาคานัน้ ก่อน เชน่ คาวา่ “ปอก” กับ “ปลอก” สองคาน้ีมคี วามหมายไม่เหมือนกนั คาว่า “ปอก” เป็นคากริยา แปลว่า เอาเปลือกหรือสงิ่ ท่ีห่อหุ้มออก แตค่ าว่า “ปลอก” เปน็ คานาม แปลวา่ สงิ่ ทีท่ าสาหรับสวมหรือรดั ของ ต่างๆ เปน็ ต้น ลองพิจารณาตัวอยา่ งตอ่ ไปนี้ “วนั น้ีได้พบกบั ทา่ นอธกิ ารบดี ผมขอฉวยโอกาสอันงดงามนีเ้ ล้ียงตอ้ นรบั ทา่ นนะครบั ” (ทจี่ รงิ แลว้ ควรใช้ ถือโอกาส เพราะฉวยโอกาสใช้ในความหมายที่ไม่ดี 2. ใชค้ าใหเ้ หมาะสม เลอื กใชค้ าให้เหมาะสมกับกาลเทศะและเหมาะสมกับบุคคล เช่นโอกาสท่เี ปน็ ทางการ โอกาสท่เี ป็นกันเอง หรือโอกาสทีเ่ ปน็ ภาษาเขียน เช่น “ขา้ พเจ้าไม่ทราบว่าท่านจะคิดยงั ไง” (คาว่า “ยงั ไง” เปน็ ภาษาพดู ถา้ เป็นภาษาเขียนควรใช้ “อยา่ งไร” 3. การใชค้ าลักษณนาม ใช้คาท่ีบอกลกั ษณะของนามต่างๆ ใหถ้ กู ต้อง เชน่ ปากกา มีลกั ษณนามเป็น ดา้ ม เลอ่ื ย มลี กั ษณะนามเปน็ ปื้น ฤๅษี มีลักษณะนามเป็น ตน เปน็ ตน้ 4. การเรียงลาดบั คา เปน็ เรอ่ื งที่สาคญั มากในภาษาไทย หากเรยี งผดิ ที่ความหมายก็จะเปลย่ี นไปดว้ ย ทัง้ น้ี เพราะคาบางคาอาจมคี วามหมายได้หลายความหมายซง่ึ ข้ึนอยกู่ ับตาแหน่งทจ่ี ดั เรียงไวใ้ นประโยค เชน่ แมเ่ กลียดคนใช้ฉนั ฉนั เกลยี ดคนใชแ้ ม่ คนใช้เกลยี ดแม่ฉัน แม่คนใชเ้ กลียดฉนั ฉันเกลยี ดแม่คนใช้ แมฉ่ นั เกลยี ดคนใช้ ขอ้ บกพร่องในการเรียงลาดบั คามกั ปรากฏดงั น้ี - เรยี งลาดบั คาผดิ ตาแหน่ง เช่น เขาไม่ทราบส่ิงท่ดี งี ามนนั้ ว่า คอื อะไร (ควรเรียงวา่ เขาไม่ทราบ ว่า สิ่งที่ดีงามนนั้ คืออะไร) - เรียงลาดบั คาขยายผดิ ที่ เช่น ขอขอบคณุ มา ณ โอกาสน้ีดว้ ย เปน็ อยา่ งสงู (ควรเรยี งว่า ขอขอบคุณ เป็นอย่างสูง มา ณ โอกาสน้ดี ว้ ย) 5. แต่งประโยคให้จบกระแสความ หมายถงึ แต่งประโยคให้มีความสมบรู ณค์ รบถ้วนทัง้ ส่วนทเ่ี ปน็ ภาค ประธานและภาค แสดง ซงึ่ ประโยคท่ีจบกระแสความน้ันจะต้องตอบคาถามวา่ ใคร ทาอะไร ได้ชดั เจน สาเหตุ ทที่ าให้ประโยคไมจ่ บกระแสความอาจเกดิ จากขาดคาบางคาหรือขาดสว่ นประกอบ ของประโยคบางส่วนไป เช่น เมื่อตอนยังเด็กเขาชอบนอนหนนุ ตกั แม่ บัดน้เี ขาอายยุ ่ีสบิ กวา่ แล้ว (ควรแก้เปน็ เมื่อตอนยงั เด็กเขาชอบนอนหนนุ ตักแม่ บัดนี้เขาอายุย่ีสบิ กว่าแลว้ กย็ งั ชอบอยูเ่ หมอื นเดิม) 6. ใชภ้ าษาให้ชดั เจน ใช้ ภาษาที่ใหค้ วามหมายเพียงความหมายเดยี ว เป็นความหมายท่ไี มส่ ามารถจะแปล ความเปน็ อยา่ งอ่ืนได้ เชน่ “คุณแม่ไม่ชอบคนใชฉ้ ัน” อาจแปลได้ 2 ความหมายคือ คุณแม่ไม่ชอบใครก็ตามที่ ใช้ใหฉ้ ันทาโนน่ ทานี่ หรือคณุ แม่ไม่ชอบคนรบั ใชข้ องฉนั ทั้งนีเ้ พราะคาว่า “คนใช้” เปน็ คาท่ีมีหลายความหมาย
นน่ั เอง 7. ใชภ้ าษาใหส้ ละสลวย ใชภ้ าษาอยา่ งไพเราะราบรืน่ ฟง๎ ไมข่ ัดหู และมีความกะทดั รัด - ไม่ใชค้ าฟุมเฟือย หมายถงึ การใชค้ าที่ไมจ่ าเปน็ หรือใช้คาทม่ี ีความหมายซา้ ซ้อน เชน่ “วันนอ้ี าจารย์ไมม่ าทาการสอน” คาว่า “ทาการ” เป็นคาท่ีไม่จาเปน็ เพราะแมจ้ ะคงไวก้ ็ไม่ได้ชว่ ยให้ความหมายชัดเจนขึ้นกวา่ เดิม ดังนัน้ จึง ควรแกไ้ ขเป็น “วนั น้อี าจารย์ไม่มาสอน” - ใชค้ าใหค้ งท่ี หมายถึง ในประโยคเดยี วกัน หรือในเน้อื ความเดยี วกัน ควรใช้คาเดียวกันใหต้ ลอด ดัง ประโยคต่อไปนี้ “หมอถือว่าคนปวุ ยทกุ คนเปน็ คนไข้ของหมอเหมือนกนั ” ควรแกเ้ ปน็ “หมอถือว่าคนไข้ทุกคนเปน็ คนไขข้ องหมอเหมอื นกนั ” - ไมใ่ ชส้ านวนต่างประเทศ เช่น “มนั เปน็ ความจาเป็นอยา่ งย่งิ ทเี่ ขาต้องจากไป” ควรแกเ้ ปน็ “เขาจาเป็นอย่างยิ่งทตี่ ้องจากไป” ภาษาแชททม่ี กั ใช้ผิด 1. คาที่สะกดผิดไดง้ า่ ย เป็นรูปแบบของคาทีม่ ีการสะกดผิด ซง่ึ เกิดจากคาท่ีมีการผันอกั ษรและเสยี งไมต่ รงกบั รปู วรรณยกุ ต์ เชน่ สน้กุ เกอร์ = สนุ๊กเกอร์ โน้ต = โนต้ 2. คาทส่ี ะกดผดิ เพือ่ ใหแ้ ปลกตา หรอื งา่ ยตอ่ การพมิ พ์ (ทาให้พมิ พไ์ ด้เรว็ ขน้ึ ) เช่น หนู=นู๋ ผม = ปม๋ ใช่ไหม = ชิมิ เป็น = เปง ก็ = กอ้ ค่ะ,ครับ = คร่ะ,คับ 3. การลดรปู คา เป็นรูปแบบของคาที่ลดรูปให้ส้นั ลงมีใช้ในภาษาพดู เช่น มหาวทิ ยาลยั = มหา’ลยั ,มหาลัย โรงพยาบาล = โรงบาล 4. คาที่สะกดผิดเพื่อใหต้ รงกับเสียงอา่ น เช่น ใชไ่ หม = ใชม่ ย้ั 5. คาทส่ี ะกดผิดเพอ่ื แสดงอารมณ์ เช่น ไม่ = มา่ ย ไปไหน = ปายหนาย
นะ = นา้ ค่ะ,ครับ =ครา่ ,ครา๊ บ นอกจากนยี้ ังสามารถแบง่ ออกเปน็ กลุ่มทใี่ ชใ้ นการพูด และกลุม่ ท่ีใช้ในการเขยี น 1. กลมุ่ ทใ่ี ชเ้ วลาพูด เปน็ ประเภทของภาษาวิบัติที่ใชใ้ นเวลาพดู กนั ซ่ึงบางครั้งกป็ รากฏขึน้ ในการเขียนด้วย แต่น้อยกวา่ ประเภท กลมุ่ ทีใ่ ช้ในเวลาเขยี น โดยมักพูดให้มเี สยี งสั้นลง หรือยาวข้ึน หรอื ไม่ออกเสียงควบกล้าเลย ประเภทน้เี รยี กได้ อกี อย่างว่ากลุ่มเพ้ยี นเสยี ง เช่น ตัวเอง - ตะเอง 2. กลุ่มทใ่ี ชใ้ นเวลาเขียน รูปแบบของภาษาวบิ ตั ชิ นิดน้ี โดยทัง้ หมดจะเปน็ คาพ้องเสียงท่หี ลายๆคามักจะผิดหลักของภาษาอย่เู สมอ โดยส่วนใหญก่ ลุ่มน้จี ะใชใ้ นเวลาเขียนเทา่ นัน้ โดยยงั แบง่ ได้เป็นอกี สามประเภทย่อย 2.1 กลมุ่ พ้องเสยี ง รูป แบบของภาษาวบิ ัตชิ นิดนี้ จะเป็นคาพอ้ งเสียง โดยส่วนใหญก่ ลุม่ นี้จะใชใ้ นเวลาเขยี นเท่าน้ัน และคาท่ี นามาใชแ้ ทนกันนีม้ ักจะเปน็ คาทีไ่ ม่มใี นพจนานกุ รม เธอ = เทอ ใจ = จัย ไง = งยั กรรม = กา 2.2 กลมุ่ ท่ีรบี ร้อนในการพมิ พ์ กล่มุ นจี้ ะคล้ายๆกับกลุ่มคาพ้องเสยี ง เพียงแต่ว่าบางครั้งการกด Shift อาจทาใหเ้ สยี เวลา เลยไมก่ ด แล้ว เปลยี่ นคาท่ีต้องการเปน็ อีกคาท่อี อกเสยี งคล้ายๆกันแทน เชน่ รู้ = รุ้ เห็น = เหน เปน็ = เปน 2.3 กลุ่มทใ่ี ช้ส่อื สารในเกมส์ (ใช้ตัวอกั ษรภาษาอื่นทม่ี ลี ักษณะคลา้ ยตวั อกั ษรไทย) เทพ = Inw นอน = uou เกรยี น = เกรีeu ขอ้ สังเกตและจดจาในการเขียนภาษาไทย 1. หลกั การประวิสรรชนีย์ในภาษาไทย - คาท่ขี น้ึ ต้นด้วยกระ/กะ ในภาษาไทยให้ประวิสรรชนีย์ เช่น กระเช้า กระเซา้ กระแส กระโปรง กระทรวง กระทะ กระพริบ กะปิ เป็นตน้ 2. คาที่เป็นคาประสมท่คี าหน้าก่อนเปน็ เสยี งอะ ให้ประวิสรรชนยี ์ - เชน่ ตาวัน เป็น ตะวนั , ฉนั นัน้ เป็น ฉะนัน้ , ฉนั นี้ เปน็ ฉะน้ี, หมากม่วง เป็น มะมว่ ง, สาวใภ้ เป็น สะใภ,้ วับวับ เปน็ วะวับ, เรอื่ ยเรื่อย เปน็ ระเรอ่ื ย เปน็ ตน้ 3. คาท่ยี มื มาจากภาษาบาลี สันสกฤต ตวั ท้ายที่ออกเสยี ง อะ ต้องประวสิ รรชนยี ์ - เช่น ศิลปะ มรณะ สาธารณะ วาระ เป็นต้น
4. คาท่ีพยัญชนะตน้ ออกเสยี งอะ แต่ไม่ใชอ่ ักษรนา ต้องประวิสรรชณีย์ - เช่น ขะมุกขะมอม ขะมกั เขมน้ ทะเลอ่ ทะลา่ เปน็ ตน้ การใช้คา ให้เหมาะสม การใชค้ าในภาษาไทยใชต้ ่างกันตามความเหมาะสม ประกอบดว้ ยเสยี งและความหมาย การรู้ จกั เลอื กคามา ใชใ้ หถ้ กู ต้อง ควรคานึงถงึ เร่ืองตอ่ ไปนี้ 1. การใชค้ าให้ถกู ต้องตามความหมาย ความหมายของคา ทจ่ี ะกล่าวถึงมดี ังน้ีคอื 1.1 คาทมี่ คี วามหมายตรงและความหมายโดยนัย - ความหมายตรง คือ ความหมายท่ีเป็นท่ีรับรู้ เขา้ ใจ ตรงกันในหมผู่ ู้ใชภ้ าษาไมต่ ้องตี ความเป็นอย่างอน่ื - ความหมายแฝง คือ ความหมายที่ซ่อนเร้นอย่ใู น ความหมายของคานน้ั ๆ เป็นความ หมายทเี่ พ่ิมขนึ้ จากความหมายตรง จะเข้าใจตรงกันหรอื ไม่ข้นึ อยู่กบั พืน้ ฐานความร้ปู ระสบการณข์ อง แตล่ ะบคุ คล ตลอดจนคาแวดลอ้ ม 1.2 คาบางคาอาจมไี ดห้ ลายความหมาย คือ เมื่ออยู่ในประโยคหน่ึง คาบางคาอาจมี ความแตกตา่ งไปจาก เมอ่ื อยใู่ นอีกประโยคหนงึ่ ๑.๓ คาบางคามีความหมายใกล้เคยี งกนั อาจทาให้ผูใ้ ช้ภาษาเกิดความสบั สนได้ ... ตัวอยา่ งคาทีม่ ีความหมายใกล้เคยี งกนั >> 2. การใช้คาให้ถูกต้องตามไวยากรณ์ ไวยากรณ์ หมายถึง หลักว่าด้วยรปู และระเบยี บวิธีการประกอบรูปคาให้ เปน็ ประโยค ชนดิ ของคาแบ่งออกเปน็ 7 ชนดิ ได้แก่ - คานาม - คาสรรพนาม - คากริยา - คาวิเศษณ์ - คาบุพบท - คาสนั ธาน - คาอุทาน 3. การเขยี นสะกดการันต์ให้ถูกต้อง การเขียนสะกดคาเนเรื่องสาคัญ เพราะถ้าเขีนยสะกดบกพร่องหรือผดิ ควา มาหมายก็อาจจะ เปลีย่ นแปลงไปได้ ดังนน้ั ในการเขียนจงึ ต้องอาศัยการสงั เกตและการจดจาหลกั การเขียนคา ประเภท ตา่ งๆ ดังน้ี - คาสมาส - คาพ้องเสยี ง - คาที่ใช้ ซ, ทร - คาที่ใช้ ใ-, ไ- - คาทีอ่ อกเสยี ง อะ - การใช้วรรณยุกต์ - คาที่มีตวั การันต์ - คาทบั ศัพท์ภาษาต่างประเทศ 4. การออกเสยี งใหถ้ ูกตอ้ งและชัดเจน พยางคห์ น่ึงๆ ในภาษาไทยประกอบดว้ ย พยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์ ถา้ เสยี งพยญั ชนะ สระ และวรรณยกุ ต์เปล่ยี นไป ความหมายก็จะเปลย่ี นไปดว้ ย ซ่งึ จะทาให้ส่อื ความหมาย ผดิ พลาดได้ เรื่องนีต้ ้องอาศัยการสงั เกตและจดจาเป็นสาคัญ ...ตัวอย่างการออกเสียงให้ถกู ต้องและชัดเจน>> การใช้คาในภาษาไทยใชต้ า่ งกันตามความเหมาะสมหรือตามระดับของคา เวลานาคาไปใช้จะตอ้ ง คานึงถึง ความเหมาะสมของบุคคล กาลเทศะ โอกาส และความรู้สึก ระดบั ของภาษาแบ่งอย่างกว้างๆ ได้ ๓ ระดับคือ 1. ภาษาปาก เปน็ ภาษาที่ใชพ้ ูดหรือเขยี น เพื่อความเข้าใจในกลมุ่ คนทม่ี ีความใกล้ชดิ สนิทสนม กัน ถ้อยคา
ท่ใี ชไ้ มต่ ้องพถิ ีพถิ นั กนั มากนกั 2. ภาษากงึ่ แบบแผน เป็นภาษาทใ่ี ชท้ ั้งในการพดู และเขียน 3. ภาษาแบบแผน เป็นภาษาทย่ี อมรับกันโดยทว่ั ไปว่าถูกตอ้ งและประณีต มักใชใ้ นการพูดและ เขยี นท่ีเป็น ทางการ ...ตัวอย่างการใช้ภาษาระดับต่างๆ การใชค้ าใหเ้ หมาะสม ควรคานงึ ถงึ เรื่องต่อไปนี้ 1. การใช้คาใหเ้ หมาะสมกบั บุคคลและกาลเทศะ การใชค้ าทีส่ ภุ าพหรือคาทเ่ี หมาะสมกบั บคุ คลเปน็ เร่อื ง ท่ีคนไทยถือเปน็ เรื่องสาคัญ ควรใช้ให้ถูกต้องและเหมาะสม 2. การใชค้ าใหเ้ หมาะสมกับความรสู้ ึก คาบางคาในภาษาไทยจะแสดงความรู้สกึ ของผใู้ ช้ภาษาได้ ว่ารูส้ ึก เชน่ ใด ในขณะเดียวกนั ก็จะส่งผลต่อความรูส้ ึกของผูร้ ับสารได้เช่นกัน หวังวา่ ท่านจะนาหลักการเหล่านไี้ ปเปน็ พ้ืนฐานในการใช้ภาษาไทยในชวี ติ ประจาวันได้ อยา่ งถกู ต้อง
ใบงาน เร่อื งหลกั การใชภ้ าษา คาชแี้ จง 1. ผูเ้ รียนแต่ละกลมุ่ แข่งขนั นาบัตรคาไปติดไวท้ ่บี อรด์ ให้ประเภทเชน่ แม่ยาย เป็นคา ประสม นาไปตดิ ให้ถูกตอ้ ง 2. ให้ผู้เรยี นเลือกบทความเกี่ยวกับคุณธรรมพร้อมบอกว่าในบทความใชม้ าตราตัวสะกดใด และใหข้ ้อคดิ อะไรกบั เราบ้างโดยอธิบายโดยสงั เขป 3. กลุ่มไหนทาเวลาไดด้ ีและได้จานวนบตั รทตี่ ิดถูกตอ้ งทีส่ ุดคอื ทีมผู้ชนะ
แผนการจัดการเรยี นรรู้ ายวิชาภาษาไทย ครั้งที่ 3 ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น กศน.ตาบลศรโี คตร 1. สปั ดาห์ที่ 8 วันที่ 29 เดือนมถิ ุนายน พ.ศ. 2565 เวลา 09.00-12.00น. 2. วิชา ภาษาไทย รหัสวชิ า พท21001 จานวน4หน่วยกติ 3. มาตรฐานที่ 2.1 มีความรูค้ วามเขา้ ใจ และทักษะพน้ื ฐานเก่ียวกบั ภาษาและการสอื่ สาร 4. หน่วยการเรียนร้/ู เรอ่ื ง ประโยค 5. สาระสาคญั ชนิดและหนา้ ที่ของคา พยางค์ วลี ประโยค การใช้เครื่องหมายวรรคตอน อกั ษรย่อ พจนานกุ รม คา ราชาศพั ท์ ความแตกตา่ ง และความหมายของสานวน สภุ าษติ คาพังเพย 6. เน้ือหา 1. ความหมายและส่วนประกอบของประโยค 2. ชนดิ ของประโยค 2.1 ประโยคความเดยี ว 2.2 ประโยคความรวม 2.3 ประโยคความซอ้ น 3. หนา้ ทีข่ องประโยค 7. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นร/ู้ ผลการเรยี นรู้ทคี่ าดหวัง (ดูจากผังการออกข้อสอบ) 1. อธิบายความแตกตา่ งประโยคชนดิ ต่าง ๆ ได้ 8. การบรู ณาการกับหลักแนวคิดของเศรษฐกิจพอเพยี ง (2 เงือ่ นไข 3 หลักการ การเชือ่ มโยงสู่ 4 มติ )ิ ความรู้ สรปุ ความ จับประเด็นสาคัญของเรอ่ื งการใชห้ ลักภาษา การรู้จักประโยค คณุ ธรรม - มคี วามตรงต่อเวลา - มีความขยนั - มคี วามรับผดิ ชอบ พอประมาณ - เน้ือหาวิชาที่เรยี นรมู้ คี วามเหมาะสมกบั ชัว่ โมงทจี่ ดั การเรียนการสอน - เนอื้ หาท่ีไม่ไดจ้ ัดการเรยี นการสอนผเู้ รยี นสามารถเรียนรแู้ บบ กรต.ได้ มีเหตผุ ล - ผเู้ รยี นมคี วามรู้ ความเข้าใจและการนาไปใชใ้ นเรื่องหลักการใช้ภาษา การเขียน ประโยค - สามารถวเิ คราะห์และสงั เคราะหเ์ ร่ืองการใชห้ ลักภาษาได้อยา่ งถูกต้อง มภี มู ิคุม้ กนั - สามารถใช้คาได้ตอ้ งตามหลักภาษา - ผูเ้ รียนอ่านออกเขยี นได้ตามหลักภาษา
วัตถุ - ผเู้ รียนมสี อื่ การเรยี นทเี่ หมาะสมกับเน้ือหาทเ่ี รียน สังคม - ผเู้ รียนสามารถทางานรว่ มกับคนอ่ืนไดอ้ ยา่ งมคี วามสุข - ผ้เู รียนสามารถแลกเปล่ียนความคิดเห็นกันภายในกลุม่ และหอ้ งเรียน สิ่งแวดล้อม - เนอ้ื หาบางเรื่องสามารถเรยี นผ่านสอ่ื ออนไลน์ วัฒนธรรม - ผเู้ รยี นมกี ารเรยี นรวู้ ฒั นธรรมการใชภ้ าษาต่อๆกนั มาตามหลกั ภาษา 9. กระบวนการจดั การเรยี นรแู้ ละกจิ กรรมการเรียนรู้ ขน้ั ท่ี 1 กาหนดสภาพปญั หาการเรียนรู้ (O : Orientation) 1. ครใู ช้บัตรคาท่ีมที ั้ง คา วลี และประโยคให้ผ้เู รียนแยกประเภท เมื่อแยกประเภทแล้ว ใหค้ รนู า บัตรคาทเ่ี ป็นประโยคถามผ้เู รยี นวา่ บัตรคานน้ั เป็นประโยคประเภทใด และครูเชอ่ื มโยงให้เหน็ ถึงความสาคัญที่ ตอ้ งเรียนรูเ้ รื่องชนดิ ของประโยค ขั้นท่ี 2 แสวงหาข้อมลู และจัดการเรียนรู้ (N : New ways of learning) 1. ครูมอบหมายให้ผเู้ รยี นศึกษาใบความรเู้ ร่ืองชนิดของประโยค 2. ผเู้ รยี นศึกษาเน้ือหาเพม่ิ เตมิ จากใบความรู้และสอื่ อินเตอร์เน็ต 3. ครูตอบขอ้ สงสัยและอธบิ ายเพ่มิ เตมิ ขัน้ ท่ี 3 การปฏบิ ัตแิ ละการนาไปใช้ (I : Implementation) 1. ครูให้ผูเ้ รยี นปฏบิ ตั ติ ามใบงาน โดยเขยี นเรยี งความเรอื่ งเศรษฐกิจพอเพยี งโดยในเรยี งความ ดงั กล่าวจะต้องประกอบไปด้วยประโยคความเดียว ประโยคความรวมและประโยคความซ้อน พร้อมแยกให้ เหน็ ชดั เจนและอธิบายวา่ ประโยคทีเ่ ขียนเปน็ ประโยคชนดิ ใด ขั้นท่ี 4 การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ (E : Evaluation) 1. สงั เกตพฤตกิ รรมการเรียนรูร้ ายบุคคล(ตามสภาพจริง) 2. แบบประเมนิ ใบงาน 11. สอื่ /แหล่งเรียนรู้ 1. หนงั สือเรียน 2. แบบฝึกหัด 3. สอื่ อินเตอรเ์ น็ต 11. การวัดและประเมินผล 11.1วิธกี ารวัดและประเมนิ ผล - ใบงาน
11.2 เครื่องมอื วัดและประเมินผล - ผลจากการตรวจใบงาน 11.3 เกณฑ์การวัดและการประเมินผล - ใบงานคะแนนเตม็ 10คะแนน กจิ กรรมเสนอแนะ .............................................................................................................................. ................................................ .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................... ลงช่อื …………………………………………….ครผู ูส้ อน (นายปรเรศ นามโคตร) ครู กศน.ตาบล ขอ้ เสนอแนะของผู้บรหิ าร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………….............................................................................................................................................................. .... ............................................................................................................................. ................................................. .................................. ลงช่ือ………………………………………………………ผู้อนุมัติแผน (นางป๎ทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผ้อู านวยการ กศน.อาเภอจตุรพักตรพมิ าน
บนั ทกึ หลังการจดั การเรียนรู้ กศน.ตาบลศรโี คตร ครง้ั ท่ี 8 วัน/เดอื น/ปีวนั ที่ 29 เดอื นมถิ นุ ายน พ.ศ. 2564 ครูผ้สู อนนายปรเรศ นามโคตร ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ เวลา 09.00-12.00 น. สาระความรพู้ น้ื ฐาน รายวชิ า ภาษาไทย รหสั วิชา พท21001 1. ผลการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้การประเมนิ โดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรียน - หลงั เรียน พบวา่ คะแนนการทดสอบหลงั เรียน มากกวา่ ก่อนเรยี นจานวน ........ คนคิดเป็นร้อยละ............ คะแนนการทดสอบหลังเรียน น้อยกวา่ ก่อนเรยี นจานวน ......... คนคดิ เปน็ ร้อยละ............ 2. เนอ้ื หา/สาระ/รายวิชา ......................................................................................................................... .......................................... ............................................................................................................................. ...................................... 3. กจิ กรรมการเรียนการสอน ..................................................................................................................................................... .............. .................................................................................................................... ............................................... 4. ปญั หา/อุปสรรคการเรียนการสอน ............................................................................................................................. ...................................... ................................................................................................................................................................... 5. แนวทางการแกป้ ัญหา ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................................. ...................................... ลงช่อื .........................................................(ผบู้ นั ทึก) (นายปรเรศ นามโคตร) ครู กศน.ตาบล ความเหน็ /ข้อเสนอของผ้บู ริหาร ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................................. ...................................... ลงชอ่ื .................................................. (นางปท๎ มาภรณ์ ศรีเนตร) ผู้อานวยการ กศน.อาเภอจตุรพกั ตรพิมาน
ใบความรู้ เรอื่ ง ประโยค ประโยค หมายถึง ข้อความท่มี ีท้ังภาคประธาน และภาคแสดง มีใจความสมบรู ณ์ครบถว้ น รู้ว่าใครทา อะไร ท่ีไหน อยา่ งไร ประโยคแบง่ ตามจานวนเน้ือความได้ ๓ ชนิด คือ ๑. ประโยคความเดียว (เอกัตถประโยค) คือประโยคทมี่ ใี จความเดียว คือมีบทประธานบทเดียว และ บทกริยาเพียงบทเดียว เช่น - กอ้ ยเล่นแบดมินตนั ทส่ี โมสร - รถของคุณแม่เสียบอ่ ย ๆ - เจ้าแตม้ สุนัขข้างบา้ นจะกัดเจ้าว่นุ ของฉนั - ฉนั กาลงั อา่ นหนังสอื สารคดีดว้ ยความสนใจ - นอ้ ง ๆ ชนั้ ปีท่ี ๑ เชือ่ ฟง๎ พวกเราพ่ีช้นั ปี ๒ อย่างดี ขอ้ สงั เกต ประโยคความเดียว สันธานท่ใี ชเ้ ชอื่ มบทกรรมหรือวเิ ศษณ์เป็นการเชือ่ มคา ๒. ประโยคความรวม (อเนกัตถประโยค) คอื ประโยคท่ีรวมประโยคความเดยี วตงั้ แต่ ๒ ประโยคข้ึนไป เขา้ ด้วยกัน โดยมีสันธานเป็นเครื่องเชือ่ ม เชน่ - เกง่ ทางานบ้านและร้องเพลงเบา ๆ - อาหารและยาเป็นสง่ิ จาเป็นสาหรับมนษุ ย์ - หลานชว่ ยพยาบาลยา่ จงึ หายปวุ ยเร็ว - ดีทูบเี ป็นนักร้องแต่คัทรียาเปน็ ดาราภาพยนตร์ - เธอจะทานผลไมห้ รือขนมหวาน ขอ้ สังเกต สนั ธานใช้เช่ือมประธานหรือกริยาเปน็ การเช่อื มประโยค ๓. ประโยคความซอ้ น (สังกรประโยค) ประโยคความซ้อน (สังกรประโยค) หมายถงึ ประโยคท่รี วม ประโยคความเดยี ว ๑ ประโยคเป็นประโยคหลกั แลว้ มปี ระโยคความเดียวอืน่ มาเสรมิ มีข้อสังเกตคอื ประโยค หลัก (มุขยประโยค) กับ ประโยคย่อย (อนปุ ระโยค) ของประโยคความช้อนมี นา้ หนังไมเ่ ท่ากนั ลกั ษณะของ ประโยคความซ้อน ๑. เป็นประโยคท่รี วมเอาประโยคความเดยี ว ๒ ประโยคไว้ด้วยกัน และมีสันธานเปน็ เครอื่ งเช่ือม ๒. เมอ่ื แยกประโยคความซ้อนออกจากกนั แล้ว จะมีน้าหนกั หรอื ความสาคัญไม่เท่ากัน ประโยค หนึง่ จะเปน็ ประโยคหลัก อีกประโยคหนงึ่ จะเป็นประโยคย่อย ๓. ประโยคยอ่ ยทาหนา้ ทเ่ี ปน็ - ประธานของประโยค - กรรมของประโยค - วิเศษณ์ขยายกรยิ า หรือวิเศษณ์ของประโยค - วเิ ศษณ์ขยายประธานหรือกรรม
ตัวอยา่ งของประโยคความซ้อน ๑. คณุ ลงุ เอ็นดหู ลานซึ่งเปน็ กาพร้าต้ังแต่อายุ ๗ ปี ๒. คณุ ปุูฟ๎งเพลงไทยเดิมมันมีลีลาเนบิ นาบ ๓. คุณตารับประทานยาที่ไดม้ าจากโรงพยาบาล ๔. บุคคลผู้มอี ายุครบ ๑๕ ปี ต้องทาบตั รประจาตัวประชาชน ๕. สมบตั ิอนั มีค่ามหาศาลถูกฝ๎งอยู่ในนี้ ๖. ปูาแก้วทากับขา้ วเล้ียงแขกทมี่ าจากท่ีอื่น ประโยคความซ้อนมี ๓ ประเภท ดงั น้ี ๑. ประโยคความซ้อนท่ีประโยคย่อยทาหน้าท่ีเหมือนคานาม (นามานุประโยค) เชน่ ๑. ฉนั ไมช่ อบคนรบั ประทานอาหารมมู มาม (กรรม) ๒. คนขาดมารยาทเป็นคนน่ารังเกียจ (ประธาน) ๓. ฉนั ไมไ่ ด้บอกเธอว่าเขาเป็นคนฉลาดมาก (กรรม) ๔. คนไมท่ างานเป็นคนเอาเปรยี บผูอ้ นื่ (ประธาน) ๕. คนทะเลาะกันกอ่ ความราคาญใหเ้ พอื่ นบา้ น (ประธาน) ๖. ฉันไมช่ อบคนเอาเปรยี บผูอ้ นื่ (กรรม) ๗. ผมถามคุณ พีส่ าวหายปวุ ยแลว้ หรอื ยงั (กรรม) ๘. สนุ ันท์เลา่ วา่ เขาไปเทีย่ วทางเหนอื สนุกมาก (กรรม) ๒. ประโยคความซอ้ นที่มีประโยคย่อยทาหน้าทค่ี ล้ายคาวิเศษณ์ขยายคานามหรือขยายสรรพนาม และมีสนั ธาน ท่ี ซงึ่ อัน เป็นเครอ่ื งเช่ือม เชน่ ๑. ทา่ นที่รอ้ งเพลงอวยพรโปรดมารบั รางวลั ๒. เราหวงแหนแผน่ ดนิ ไทยอนั เป็นบา้ นเกิดเมืองนอนของเรา ๓. ฉนั เห็นภูเขาซ่งึ มนี ้าขังอยู่ขา้ งใต้ ๔. ครทู ใ่ี กลช้ ดิ กบั นักเรียนมากย่อมทราบอุปนสิ ยั ของนักเรียน ๕. คนทีป่ ระพฤติดยี ่อมมคี วามเจรญิ ในชีวิต ๖. ก้อยคอยไล่นกกระจอกที่มาขโมยข้าว ๗. พวกทอ่ี อกมาตนี กอีลุ้มได้นาเรือเข้ามาหลบฝน คาท่ีเชอ่ื มประโยคหลักกบั ประโยคยอ่ ยใหเ้ ป็นประโยคความซ้อนแบบนี้ได้แก่ ที่ ซ่งึ อนั เรา เรยี กวา่ ประพนั ธส์ รรพนาม หรอื สรรพนามเช่ือมประโยค ๓. ประโยคความซอ้ นทม่ี ปี ระโยคหลักและประโยคยอ่ ย และประโยคย่อยนน้ั ๆ อาจทาหน้าทีเ่ หมอื นคานามก็ ได้ ทาหนา้ ท่ีเหมอื นคาวิเศษณ์ก็ได้ จะมสี ันธาน เมอ่ื , จน, เพราะ, ตาม, ราวกับ, ให้, ทว่า, ระหวา่ งท่ี, เพราะ เหตุวา่ , เหมอื น, ดจุ ดัง, เสมอื น, ฯลฯ เปน็ ตวั เชือ่ ม เช่น ๑. เพือ่ น ๆ กลบั ไปเมื่องานเลกิ แล้ว ๒. ปลัดอาเภอทางานหนักจนปุวยไปหลายวนั ๓. เธอนอนตวั สน่ั เพราะกลัวเสียงปืน ๔. คนปุวยกนิ ยาตามหมอสง่ั ๕. ฉนั อ่านหนังสอื พิมพร์ ะหว่างที่น่ังรอเพื่อน ๖. วนั น้เี จา้ นายไมม่ าเนือ่ งจากเขาเป็นไขห้ วัดใหญ่ ๗. ก้อยทางานเรยี บร้อยกวา่ เกง่
ใบงาน เรื่องชนดิ ของประโยค คาช้ีแจง ใหผ้ ู้เรยี นเขียนเรียงความเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง มีความยาวประมาณ 1 หน้ากระดาษ A4 โดยใหเ้ รยี งความดงั กล่าวประกอบไปดว้ ยประโยคความเดยี ว ประโยคความรวม และประโยคความซอ้ น พรอ้ มทั้งแยกใหเ้ ห็นชัดเจนและอธิบายวา่ ประโยคทเี่ ขียนเป็นประโยคชนิดใด
แผนการจดั การเรียนรู้รายวิชาภาษาไทย คร้ังท่ี 4 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศกึ ษา 2565 ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ กศน.ตาบลศรโี คตร 1. สปั ดาหท์ ี่ 9 วันที่ 6 เดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2565 เวลา 09.00-12.00น. 2. วิชา ภาษาไทย รหัสวชิ า พท21001 จานวน 4 หน่วยกิต 3. มาตรฐานที่ 2.1 มีความรู้ความเข้าใจ และทกั ษะพืน้ ฐานเกย่ี วกับภาษาและการสอ่ื สาร 4. หนว่ ยการเรยี นรู้/เร่ืองหลักการใชภ้ าษา 5. สาระสาคัญ ชนดิ และหนา้ ทข่ี องคา พยางค์ วลี ประโยชน์ การใชเ้ ครอ่ื งหมายวรรคตอน อกั ษรย่อ พจนานุกรม คา ราชาศัพท์ ความแตกตา่ ง และความหมายของสานวน สุภาษติ คาพังเพย 6. เนอื้ หา 1. หลักการแตง่ คาประพนั ธ์ประเภทตา่ ง เช่น 1.1 กาพยย์ านี 11 1.2 กาพย์ฉบัง 16 1.3 กลอนแปดสุภาพ 7. จุดประสงค์การเรียนรู้/ผลการเรียนรู้ที่คาดหวงั (ดูจากผงั การออกข้อสอบ) 1. อธิบายหลักการและสามารแตง่ คาประพนั ธป์ ระเภทต่าง ๆ 8. การบูรณาการกับหลกั แนวคิดของเศรษฐกิจพอเพยี ง (2 เงือ่ นไข 3 หลักการ การเชือ่ มโยงสู่ 4 มติ ิ) ความรู้ สรุปความ จับประเดน็ สาคัญของเรื่องการใชห้ ลกั ภาษาเพ่ือนามาแตง่ คาประพนั ธ์ ประเภทตา่ งๆ คณุ ธรรม - มคี วามต้ังใจในการเรยี นรู้ - มคี วามขยัน - มีความรบั ผดิ ชอบ พอประมาณ - เน้ือหาวชิ าท่ีเรียนรมู้ คี วามเหมาะสมกบั ช่วั โมงท่ีจดั การเรียนการสอน - ผเู้ รียนใช้วิธีคิดแบบการสรุปองค์ความรเู้ พ่ือให้สอดคล้องกับเนื้อหาและเวลาเรยี น มีเหตผุ ล - ผู้เรยี นมีความรู้ ความเขา้ ใจและสามารถแต่งประคาประพันธไ์ ด้ทุกประเภท - นาความรูเ้ รอ่ื งประโยคมาประยกุ ต์คาในการแตง่ คาประพันธ์ มีภูมิคมุ้ กนั - แตง่ คาประพันธ์ไดส้ อดคล้องตามหลกั การ วัตถุ - ผเู้ รียนมีสอื่ การเรียนท่ีเหมาะสมกบั เน้ือหาทเ่ี รยี น สังคม
- ผูเ้ รียนสามารถทางานรว่ มกับคนอืน่ ไดอ้ ย่างมีความสุข - ผู้เรียนสามารถแลกเปลีย่ นความคดิ เหน็ กนั ภายในกล่มุ และห้องเรียน ส่ิงแวดล้อม - เนื้อหาบางเรื่องสามารถเรียนผา่ นสอื่ ออนไลน์ วฒั นธรรม - ผ้เู รยี นได้แต่งคาประพนั ธป์ ระเภทต่างๆซงึ่ เป็นเน้ือหาทศ่ี ึกษาตอ่ ๆกนั มา 9. กระบวนการจดั การเรยี นรแู้ ละกจิ กรรมการเรยี นรู้ ขน้ั ที่ 1 กาหนดสภาพปญั หาการเรยี นรู้ (O : Orientation) 1. ครคู ดิ แผ่นกระดาษตัวอย่างคาประพันธ์ประเภทต่าง ๆ และอ่านเป็นทานองเสนาะให้ผ้เู รียน ฟ๎ง 2. ใหผ้ เู้ รยี นแสดงความคดิ เหน็ เรอื่ งคาประพันธด์ งั กล่าว 3. ครชู ี้ให้เห็นถงึ ความสาคัญท่ีจะตอ้ งศึกษาคาประพันธท์ ีม่ ีคุณค่าและความจาเป็นที่จะต้องแต่ง คาประพันธป์ ระเภทต่าง ๆ ได้ ข้นั ที่ 2 แสวงหาขอ้ มูลและจัดการเรยี นรู้ (N : New ways of learning) 1. ครูทาแผนผงั คาประพันธป์ ระเภทต่าง ๆ อธบิ ายลักษณะบงั คบั และฉันทลกั ษณ์ พรอ้ ม ยกตัวอย่างประกอบ 2. ผู้เรยี นศกึ ษาเนอ้ื หาเพม่ิ เติมจากใบความร้แู ละสื่ออินเตอรเ์ นต็ ขั้นท่ี 3 การปฏบิ ตั แิ ละการนาไปใช้ (I : Implementation) 1. แบ่งกลุ่มผเู้ รยี นเปน็ กลุม่ ยอ่ ย 4 กลุม่ ปฏิบตั ิตามใบงาน โดยให้ผูเ้ รยี น 2 กลมุ่ แตง่ กาพย์ยานี 11 ผเู้ รียนอีก 2 กลมุ่ แต่งกลอนแปดสุภาพ ทุกกลุ่มแต่งคาประพนั ธ์ 4 บทตามหัวข้อทกี่ าหนดในใบงาน 2. ให้ผเู้ รยี นจัดทาใบงานเร่อื งหลกั การแตง่ คาประพนั ธ์ลงในใบงานท่ีส่งครู ขั้นท่ี 4 การประเมนิ ผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) 1. สงั เกตพฤตกิ รรมการเรียนรู้รายบุคคล(ตามสภาพจริง) 2. แบบประเมินใบงาน 10. สือ่ /แหล่งเรยี นรู้ 1. หนังสือเรยี น 2. แบบฝึกหดั 3. ส่อื อินเตอรเ์ นต็ 11. การวัดและประเมนิ ผล 11.1วิธกี ารวดั และประเมินผล - ใบงาน 11.2 เครอื่ งมอื วัดและประเมินผล - ผลจากการตรวจใบงาน 11.3 เกณฑ์การวดั และการประเมนิ ผล
- ใบงานคะแนนเต็ม 10คะแนน กจิ กรรมเสนอแนะ ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................. ................................................ .............................................................................................................................................................................. ............................... ลงช่อื …………………………………………….ครผู ู้สอน (นายปรเรศ นามโคตร) ครู กศน.ตาบล ข้อเสนอแนะของผู้บริหาร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………..……………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………........................................................................................................................................ .......................... ................................... ลงช่อื ………………………………………………………ผู้อนุมัติแผน (นางปท๎ มาภรณ์ ศรเี นตร) ผอู้ านวยการ กศน.อาเภอจตุรพักตรพมิ าน
บนั ทกึ หลังการจัดการเรียนรู้ กศน.ตาบลศรีโคตร ครงั้ ที่ 9 วัน/เดือน/ปวี ันท่ี 6 เดอื น กรกฎาคม พ.ศ. 2565 ครูผสู้ อนนายปรเรศ นามโคตร ระดับ มธั ยมศึกษาตอนตน้ เวลา 09.00-12.00 น. สาระความรู้พืน้ ฐาน รายวิชา ภาษาไทย รหสั วชิ า พท21001 1. ผลการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้การประเมนิ โดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรียน - หลังเรียน พบว่า คะแนนการทดสอบหลังเรียน มากกวา่ กอ่ นเรียนจานวน ........ คนคดิ เป็นร้อยละ............ คะแนนการทดสอบหลังเรียน นอ้ ยกวา่ ก่อนเรียนจานวน ......... คนคิดเปน็ ร้อยละ............ 2. เนือ้ หา/สาระ/รายวชิ า ............................................................................................................................. ...................................... ................................................................................................................................................... ................ 3. กิจกรรมการเรยี นการสอน ......................................................................................... .......................................................................... ............................................................................................................................. ...................................... 4. ปัญหา/อปุ สรรคการเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ...................................... ................................................................................................................................................................... 5. แนวทางการแก้ปัญหา ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................................. ...................................... ลงช่ือ.........................................................(ผ้บู ันทึก) (นายปรเรศ นามโคตร) ครู กศน.ตาบล ความเหน็ /ข้อเสนอของผบู้ รหิ าร ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................................. ...................................... ลงชอื่ .................................................. (นางปท๎ มาภรณ์ ศรเี นตร) ผู้อานวยการ กศน.อาเภอจตรุ พกั ตรพิมาน
ใบความรู้ หลกั การแต่งคาประพันธ์ คาประพนั ธห์ รือร้อยกรองมหี ลายประเภท เชน่ โคลง กลอน กาพย์ ฉันท์ และ ร่ายบทร้อยกรองเปน็ ขอ้ ความทปี่ ระดิดประดอยตกแตง่ คาภาษาอยา่ งมีแบบแผนและมเี ง่ือนไขพิเศษบังคบั ไว้ เชน่ บงั คับจานวนคา บังคับวรรค บังคบั สมั ผสั เรียกว่า “ฉันทลกั ษณ์” แนวทางการเขียนบทร้อยกรองมดี ังนี้ 1. ศึกษาฉนั ทลักษณ์ของคาประพันธน์ ัน้ ๆ ใหเ้ ข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง 2. คิดหรอื จินตนาการวา่ จะเขียนเรื่องอะไร สรา้ งภาพใหเ้ กิดขนึ้ ในหว้ งความคดิ 3. ลาดบั ภาพหรือลาดบั ข้อความให้เป็นอย่างสมเหตผุ ล 4. ถ่ายทอดความรสู้ ึกหรือจนิ ตนาการนั้นเป็นบทร้อยกรอง 5. เลอื กใช้คาทีส่ อ่ื ความหมายไดช้ ัดเจน ทาใหผ้ ู้อ่านเกดิ ภาพพจน์และจนิ ตนาการรว่ มกับผู้ประพนั ธ์ 6. พยายามเลือกใชค้ าท่ีไพเราะ เชน่ คดิ ใชค้ าว่า ถวลิ ผหู้ ญงิ ใชค้ าวา่ นารี 7. แตง่ ใหถ้ ูกต้องตามฉนั ทลกั ษณข์ องคาประพันธ์ การเขียนโคลงสสี่ ุภาพ มหี ลักการเขียนดงั นี้ บทหนงึ่ มี 4 บาท บาทหนงึ่ มี 2 วรรค เรยี กวรรคหนา้ กับวรรคหลงั วรรคหนา้ มี 5 พยางค์ทกุ บาท วรรคหลงั ของบาททห่ี น่ึงท่ีสองและที่สามมี 2 พยางค์ วรรคหลงั ของบาทที่ส่ีมี 4 พยางค์ และอาจมีคาสร้อยได้ ในวรรคหลังของบาททีห่ น่งึ และบาทท่สี าม มีสัมผัสบังคับตามที่กาหนดไวใ้ นผังของโคลง ไม่นิยมใช้สมั ผัสสระ ใช้แต่สัมผัสอักษร โคลงบทหนึ่งบังคบั ใช้คาทมี่ ีวรรณยุกตเ์ อก 7 แห่ง และวรรณยุกตโ์ ท 4 แห่ง คาเอกผอ่ นผนั ใหใ้ ช้คาตายแทนได้
การเขยี นกาพย์ แบ่งออกเปน็ กาพย์ยานี กาพย์ฉบัง กาพยส์ ุรางคนางค์ กาพย์ขับไม้ (1) กาพยย์ านี 11 มลี กั ษณะบังคับของบทร้อยกรอง ดังน้ี คณะ คณะของกาพย์ยานีมดี งั นี้ กาพย์บทหนึ่งที่ 2 บาท บาทท่ี 1 เรียกวา่ บาทเอก บาทที่ 2 เรียกวา่ บาทโท แตล่ ะบาทมี 2 วรรค คือ วรรคแรกและวรรคหลงั พยางค์ พยางคห์ รือคาในวรรคแรกมี 5 คา วรรคหลงั มี 6 คา เปน็ เช่นนี้ทัง้ บาทเอกและบาทโท จึงนบั จานวน ได้บาทละ 11 คา เลข 11 ซ่งึ เขยี นไว้หลงั ชอื่ กาพย์ยานีนน้ั เพ่ือบอกจานวนคา
กาพย์ฉบัง 16 มลี กั ษณะบังคับของบทร้อยกรอง ดงั น้ี คณะ กาพย์ฉบงั บทหนึ่งมเี พียง 1 บาท แต่มี 3 วรรค คือ วรรคตน้ วรรคกลาง และวรรคทา้ ย พยางค์ พยางค์หรือคาในวรรคต้นมี 6 คา วรรคกลางมี 4 คา วรรคทา้ ยมี 6 คา รวมท้งั บทมี 16 คา จึงเขียน เลข 16 ไวห้ ลังช่ือกาพย์ฉบงั กาพย์สรุ างคนาง28 มลี กั ษณะบังคบั ของบทร้อยกรอง ดังนี้ คณะ บทหนง่ึ มี 7 วรรค เรียงได้ 2 วิธีตามผัง ดงั น้ี สรุ างคนางคนางค์ เจด็ วรรคจักวาง ให้ถูกวธิ ี วรรคหนึง่ สี่คา จงจาไวใ้ ห้ดี บทหน่ึงจึงมี ยส่ี บิ แปดคา หากแตง่ ต่อไป สมั ผสั ตรงไหน จงให้แมน่ ยา คาท้ายวรรคสาม ตดิ ตามประจา สมั ผสั กับคา ท้ายบทต้นแล อ.ฐปนยี ์ นาครทรรพ ประพันธ์
ฉนั ท์ แบ่งเปน็ หลายชนดิ เชน่ อินทรวเิ ชยี รฉนั ท์ ภชุ งคประยาตฉันท์ วิชชุมมาลาฉนั ท์ มาณวกฉนั ท์ วสนั ตดิลกฉันท์ อทิ ิ ฉันท์ เป็นต้น และยังมีฉันท์ทีม่ ีผปู้ ระดิษฐข์ น้ึ ใหม่อีก เชน่ สยามมณีฉันท์ ของ น.ม.ส. เปน็ ตน้
ใบงาน เรอ่ื งหลกั การแต่งคาประพนั ธ์ 1. ให้ผู้เรยี นแบง่ กล่มุ แตง่ คาประพนั ธ์ประเภทกาพยย์ านี 11 หรือกลอนแปดสภุ าพ (ตามท่ีตนเอง ได้รับ)ในหัวข้ออาเซียนน่ารู้ โดยต้องสมั ผัสคาใหถ้ ูกต้องตามรูปแบบของบทร้อยกรองประเภทน้นั ๆ อยา่ งน้อย 2 บท 2. ใหผ้ ู้เรยี นบอกลักษณะบงั คบั ของบทร้อยกรองประเภทต่าง ๆ ดังน้โี ดยสรปุ มาโดยละเอียด 2.1 กาพยย์ านี 11 2.2 กาพยฉ์ บงั 16 2.3 กลอนแปด 3. ให้ผู้เรียนศึกษาบทประพันธ์ต่อไปนีแ้ ล้วบอกวา่ เป็นบทประพันธป์ ระเภทใด 3.1 ไม่เมาเหล้าแตเ่ รายังเมารกั สดุ จะหกั ห้ามจิตคิดไฉน ถึงเมาเหล้าเชา้ สายกห็ มายไป แต่เมาใจนป้ี ระจาทุกคาคนื 3.2 หมูยา่ งอร่อยล้นิ ตะละชิน้ อร่ามเหลือง เกี๊ยวซา่ กะแหนมเนืองมะระตม้ จะสมกัน 3.3 เมือ่ คืนฉันฝน๎ วา่ เธอกับฉันชวนกนั ขค่ี วายมันไล่ขวดิ หลุดหวิดเจยี นตายฝ๎นดหี รอื ร้ายทานายใหท้ ี 3.4 ปรารถนาแห่งน้าใสถกั สายใยทสี ดสวยระลอกน้าระรินรายละยับพริบระยบิ พราว 3.5 อนั ท่ีจรงิ คนเรขอยากใหเ้ ราดี แต่ถา้ เดน่ ขึ้นทกุ ทีเขาหมน่ั ใส้ จงทาดแี ต่อยา่ เดน่ จะเปน็ ภัยไม่มี ใคร อยากเห็นเราเดน่ เกิน
แผนการจัดการเรยี นรรู้ ายวิชาวทิ ยาศาสตร์ ครัง้ ท่ี 1 ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2565 ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น กศน.ตาบลศรีโคตร 1. สปั ดาห์ที่ 10 วันที่ 15 เดอื น กรกฎาคม พ.ศ. 2565 เวลา 09.00-12.00น. 2. วิชา วิทยาศาสตร์ รหัสวิชา พว21001 จานวน 4 หนว่ ยกิต 3. มาตรฐานท่ี 2.2 มีความรคู้ วามเข้าใจ และทักษะพืน้ ฐานเกีย่ วกับคณิตศาสตร์ วทิ ยาศาสตรแ์ ละ เทคโนโลยี 4. หน่วยการเรียนรู้/เรอ่ื งธรรมชาตทิ างวทิ ยาศาสตรแ์ ละทักษะทางวิทยาศาสตร์ 5. สาระสาคัญ อธบิ ายธรรมชาตแิ ละความสาคญั ของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 6. เนอื้ หา 1. กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 1.1 ความหมายและความสาคัญของวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี 1.2 กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 1.2.1 วิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ 5 ข้นั 1.2.2 ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 13 ทักษะ 1.2.3 เจตคตทิ างวิทยาศาสตร์ 6 ลักษณะ 1.2.4 จติ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี 7. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้/ผลการเรยี นรทู้ ีค่ าดหวงั (ดจู ากผังการออกข้อสอบ) 1. อธบิ ายธรรมชาตแิ ละความสาคัญของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยไี ด้ 2. อธบิ ายกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ วิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และเจตคติทางวิทยาศาสตร์ได้ 3. นาความรู้ และกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ไปใช้แก้ปญ๎ หาตา่ งๆ ได้ 4. อธบิ ายความหมาย ความสาคญั และความสัมพนั ธ์ของเทคโนโลยีตอ่ ชีวิต และสงั คมได้ 5. นาความรู้ และเลอื กใช้เทคโนโลยีได้อยา่ งเหมาะสม 6. เลอื กใช้วสั ดุ และอุปกรณ์ทางวทิ ยาศาสตร์ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม 7. เกดิ เจตคตทิ างวทิ ยาศาสตร์ 8. มจี ติ วิทยาศาสตร์ 8. การบูรณาการกับหลักแนวคดิ ของเศรษฐกิจพอเพียง (2 เงือ่ นไข 3 หลกั การ การเชื่อมโยงสู่ 4 มติ ิ) ความรู้ สรุปความ จับประเดน็ สาคญั ของเรื่องทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ คณุ ธรรม - มคี วามอดทน - มีความขยัน - มีความซ่อื สัตย์ พอประมาณ - เน้อื หาวชิ าที่เรยี นรมู้ คี วามเหมาะสมกับช่วั โมงทีจ่ ดั การเรียนการสอน - ผูเ้ รียนเลอื กวิชาที่สามารถศึกษาเองไดเ้ ป็นการเรยี นแบบ กรต.
มเี หตผุ ล - นาทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาปรับใช้ในชีวติ ประจาวนั - นาข้ันตอนกระบวนการคดิ มาใช้เพ่อื ใหเ้ กดิ ลาดบั ขั้น มภี มู คิ มุ้ กนั - คิดอย่างมลี าดับขั้นตอน วตั ถุ - ผู้เรยี นมีสือ่ การเรียนทีเ่ หมาะสมกบั เน้ือหาทีเ่ รียน สังคม - ผเู้ รยี นสามารถทางานรว่ มกับคนอ่ืนไดอ้ ยา่ งมีความสุข - ผู้เรียนใชก้ ระบวนการกลุ่มได้อยา่ งเหมาะสม สงิ่ แวดล้อม - เน้อื หาบางเร่ืองสามารถเรียนผา่ นสื่อออนไลน์ วัฒนธรรม - มีหลกั การคดิ ทถี่ า่ ยทอดกนั มาเร่อื ยๆ 9. กระบวนการจดั การเรยี นรู้และกิจกรรมการเรียนรู้ ข้ันท่ี 1 กาหนดสภาพปญั หาการเรยี นรู้ (O : Orientation) 1. ครูพดู คุยกบั นักศึกษา ถึงเทคโนโลยีสมัยใหม่และสิง่ อานวยความสะดวกในการดาเนินชีวติ ของ คนเรา เช่น ดา้ นการสื่อสาร เทคโนโลยดี า้ นการแพทย์ เทคโนโลยีดา้ นอวกาศ ขั้นท่ี 2 แสวงหาขอ้ มูลและจัดการเรยี นรู้ (N : New ways of learning) 1. ครกู บั ผเู้ รียนร่วมกนั วางแผนการเรยี นรใู้ นเรื่อง ธรรมชาติและความสาคัญของวทิ ยาศาสตรแ์ ละ เทคโนโลยี 2. ครสู นทนากับผ้เู รยี นเก่ียวกบั ความสาคญั ของวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 3. ผู้เรยี นศกึ ษาเนอ้ื หาเพิ่มเติมจากใบความรู้และส่ืออินเตอรเ์ น็ต ขัน้ ท่ี 3 การปฏิบัตแิ ละการนาไปใช้ (I : Implementation) 1. แบ่งกลุ่มผู้เรยี นกลุม่ ละ 3 คน ใหร้ ่วมกนั แลกเปลี่ยนเรียนรศู้ กึ ษาใบความรู้ เรื่อง ธรรมชาติทาง วิทยาศาสตร์และทกั ษะทางวทิ ยาศาสตร์ แลว้ ทากจิ กรรมในใบงาน 2. ผเู้ รยี นแตล่ ะกลุ่มร่วมกันสรุปกจิ กรรมจากใบความรู้ ครกู บั ผูเ้ รียนรว่ มกันสรปุ ความรู้ ทไ่ี ด้รับ ขน้ั ที่ 4 การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ (E : Evaluation) 1. ครแู ละผ้เู รยี นรว่ มกนั สรุปเรื่องกระบวนทางวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยีทางวทิ ยาศาสตร์ 2. ใหผ้ ู้เรียนทาแบบทดสอบยอ่ ย 10. สอ่ื /แหล่งเรียนรู้ 1. หนังสอื เรียน 2. แบบฝึกหดั 3. ส่ืออินเตอรเ์ นต็ 11. การวัดและประเมินผล
11.1วิธีการวดั และประเมินผล - ใบงาน 11.2 เครื่องมอื วดั และประเมินผล - ผลจากการตรวจใบงาน 11.3 เกณฑ์การวัดและการประเมินผล - ใบงานคะแนนเต็ม 10คะแนน กจิ กรรมเสนอแนะ ............................................................................................................................. ................................................. ..................................................................................................................................... ......................................... ................................................................................................................................................................. ............. ........................... ลงชื่อ…………………………………………….ครผู ้สู อน (นายปรเรศ นามโคตร) ครู กศน.ตาบล ข้อเสนอแนะของผู้บริหาร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………..……………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………...................................................................................................................................... ............................ ..................................... ลงชื่อ………………………………………………………ผูอ้ นุมตั ิแผน (นางปท๎ มาภรณ์ ศรีเนตร) ผู้อานวยการ กศน.อาเภอจตุรพกั ตรพิมาน
บันทกึ หลังการจัดการเรยี นรู้ กศน.ตาบลศรีโคตร ครง้ั ท่ี 10 วัน/เดือน/ปีวนั ท่ี 15 เดอื น กรกฎาคม พ.ศ. 2565 ครผู สู้ อนนายปรเรศ นามโคตร ระดับ มธั ยมศึกษาตอนต้น เวลา 09.00-12.00 น. สาระความรู้พ้นื ฐาน รายวิชา วทิ ยาศาสตร์ รหัสวิชา พว21001 1. ผลการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้การประเมินโดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรียน - หลังเรียน พบวา่ คะแนนการทดสอบหลังเรียน มากกว่ากอ่ นเรยี นจานวน ........ คนคดิ เป็นรอ้ ยละ............ คะแนนการทดสอบหลงั เรยี น นอ้ ยกว่าก่อนเรียนจานวน ......... คนคดิ เป็นรอ้ ยละ............ 2. เนอื้ หา/สาระ/รายวชิ า ............................................................................................................................. ...................................... ................................................................................................................................................. .................. 3. กิจกรรมการเรียนการสอน ....................................................................................... ............................................................................ ............................................................................................................................. ...................................... 4. ปัญหา/อุปสรรคการเรียนการสอน ............................................................................................................................. ...................................... ................................................................................................................................................................... 5. แนวทางการแกป้ ัญหา ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................................. ...................................... ลงชอ่ื .........................................................(ผู้บนั ทกึ ) (นายปรเรศ นามโคตร) ครู กศน.ตาบล ความเห็น/ข้อเสนอของผู้บรหิ าร ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................................. ...................................... ลงชื่อ.................................................. (นางปท๎ มาภรณ์ ศรีเนตร) ผู้อานวยการ กศน.อาเภอจตรุ พกั ตรพมิ าน
ใบความรู้ เรอ่ื งธรรมชาติของวทิ ยาศาสตรแ์ ละทักษะทางวิทยาศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์เปน็ เร่อื งของการเรียนรเู้ กยี่ วกับธรรมชาติ โดยมนษุ ยใ์ ช้กระบวนการสงั เกตสารวจ ตรวจสอบ ทดลองเก่ียวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และนาผลมาจัดเป็นระบบหลักการ แนวคดิ และ ทฤษฎี แนวคดิ และทฤษฎี ดังนนั้ ทกั ษะวทิ ยาศาสตร์ จึงเปน็ การปฏบิ ัติเพื่อให้ได้มาซ่งึ คาตอบในข้อสงสยั หรอื ข้อสมมตฐิ านตา่ ง ๆ ของมนุษยต์ ั้งไว้ ทกั ษะทางวิทยาศาสตร์ ประกอบด้วย 1. การสงั เกตเป็นวธิ กี ารไดม้ าของข้อสงสัยรับรู้ข้อมูลพิจารณาข้อมูลจากปรากฏการณ์ ทางธรรมชาตทิ เี่ กิดขึ้น 2. ต้ังสมมตฐิ านเปน็ การการระดมความคดิ สรปุ ส่งิ ทคี่ าดวา่ จะเปน็ คาตอบของป๎ญหาหรือขอ้ สงสยั นน้ั ๆ 3. ออกแบบการทดลองเพอื่ ศึกษาผลของตวั แปรทตี่ ้องศึกษาโดยควบคมุ ตัวแปรอื่น ๆ ที่ อาจมผี ลตอ่ ตัวแปรทตี่ ้องการศกึ ษา 4. ดาเนินการทดลองเป็นการจักกระทากับตัวแปรท่ีกาหนดซ่ึงได้แก่ตัวแปรต้นตัวแปรตาม และตวั แปรท่ีต้องควบคุม 5. รวบรวมข้อมลู เปน็ การบันทกึ รวบรวมผลการทดลองหรือผลจากการกระทาของตัวแปรท่กี าหนด 6. แปลและสรุปผลการทดลอง ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ประกอบด้วย 13 ทักษะ ดงั น้ี 1. ทักษะขนั้ มูลฐาน 8 ทกั ษะ ได้แก่ 1.1 ทกั ษะการสังเกต ( Observing ) 1.2 ทกั ษะการวดั ( Measuring ) 1.3 ทกั ษะการจาแนกหรือทักษะการจัดประเภทส่ิงของ ( Classifying ) 1.4 ทักษะการใชค้ วามสัมพันธร์ ะหวา่ งสเปสกบั เวลา( Using Space/Relationship ) 1.5 ทักษะการคานวณและการใช้จานวน ( Using Numbers ) 1.6 ทักษะการจดั กระทาและสือ่ ความหมายข้อมลู ( Communication ) 1.7 ทักษะการลงความเหน็ จากข้อมูล ( Inferring ) 1.8 ทักษะการพยากรณ์ ( Predicting ) 2. ทักษะขัน้ สูงหรือทักษะขั้นผสม 5 ทกั ษะ ได้แก่ 2.1ทกั ษะการตั้งสมมุติฐาน ( Formulating Hypothesis ) 2.2ทักษะการควบคุมตัวแปร ( Controlling Variables ) 2.3ทกั ษะการตีความและลงข้อสรปุ ( Interpreting data ) 2.4ทกั ษะการกาหนดนิยามเชิงปฏิบัตกิ าร ( Defining Operationally )
2.5ทกั ษะการทดลอง ( Experimenting ) รายละเอียดทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรท์ ง้ั 13 ทักษะ มรี ายละเอียดโดยสรปุ ดงั นี้ ทักษะการสังเกต (Observing)หมายถึง การใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ในการสังเกต ได้แก่ ใช้ตาดู รปู ร่าง ใชห้ ูฟ๎งเสียง ใชล้ ้นิ ชมิ รส ใชจ้ มกู ดมกล่นิ และใชผ้ ิวกายสัมผัสความร้อนเย็น หรือใช้มือจับต้องความอ่อน แขง็ เปน็ ตน้ การใช้ประสาทสัมผสั เหลา่ นจ้ี ะใช้ทลี ะอย่างหรอื หลายอยา่ งพร้อมกนั เพื่อรวบรวมข้อมูลก็ได้โดยไม่ เพิม่ ความคดิ เหน็ ของผ้สู ังเกตลงไป ทักษะการวัด (Measuring) หมายถึง การเลือกและการใช้เครื่องมือวัดปริมาณของส่ิงของออกมา เป็นตัวเลขท่ีแน่นอนได้อย่างเหมาะสม และถูกต้องโดยมีหน่วยกากับเสมอในการวัดเพื่อหาปริมาณของส่ิงท่ีวัด ต้องฝกึ ให้ผ้เู รียนหาคาตอบ 4 ค่า คอื จะวดั อะไร วดั ทาไม ใชเ้ คร่อื งมอื อะไรวัดและจะวัดได้อย่างไร ทักษะการจาแนกหรือทักษะการจัดประเภทสิ่งของ (Classifying) หมายถึง การแบ่งพวกหรือการ เรียงลาดับวัตถุ หรือส่ิงที่อยู่ในปรากฏการณ์โดยการหาเกณฑ์หรือสร้างเกณฑ์ในการจาแนกประเภท ซึ่งอาจใช้ เกณฑ์ความเหมือนกัน ความแตกต่างกัน หรือความสัมพันธ์กันอย่างใดอย่างหน่ึงก็ได้ ซึ่งแล้วแต่ผู้เรียนจะ เลือกใช้เกณฑ์ใด นอกจากน้ีควรสร้างความคิดรวบยอดให้เกิดข้ึนด้วยว่าของกลุ่มเดียวกันนั้น อาจแบ่งออกได้ หลายประเภท ท้ังนี้ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่เลือกใช้ และวัตถุช้ินหนึ่งในเวลาเดียวกันจะต้องอยู่เพียงประเภทเดียว เทา่ นั้น ทักษะการใช้ความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับเวลา (Using Space/Relationship) หมายถึง การ หาความสัมพันธ์ระหว่างมิติต่างๆ ท่ีเกี่ยวกับสถานที่ รูปทรง ทิศทาง ระยะทาง พื้นท่ี เวลา ฯลฯ เช่น การหา ความสัมพันธ์ระหว่าง สเปสกับสเปส คือ การหารูปร่างของวัตถุโดยสังเกตจากเงาของวัตถุ เมื่อให้แสงตก กระทบวัตถใุ นมมุ ต่างๆกนั ฯลฯ การหาความสัมพันธ์ระหว่าง เวลากับเวลา เช่น การหาความสัมพันธ์ระหว่างจังหวะการแกว่ง ของลูกตุ้มนาฬกิ ากบั จงั หวะการเตน้ ของชีพจร ฯลฯ การหาความสัมพันธ์ระหว่าง สเปสกับเวลา เช่น การหาตาแหน่งขอวัตถุท่ีเคลื่อนท่ีไปเมื่อเวลา เปลี่ยนไป ฯลฯ ทกั ษะการคานวณและการใช้จานวน (Using Numbers) หมายถึง การนาเอาจานวนที่ได้จากการ วดั การสงั เกต และการทดลองมาจดั กระทาใหเ้ กดิ คา่ ใหม่ เชน่ การบวก ลบ คูณ หาร การหาค่าเฉล่ีย การหาค่า ต่างๆ ทางคณิตศาสตร์ เพื่อนาค่าท่ีได้จากการคานวณ ไปใช้ประโยชน์ในการแปลความหมาย และการลง ขอ้ สรุป ซึง่ ในทางวิทยาศาสตร์เราต้องใช้ตัวเลขอยู่ตลอดเวลา เช่น การอ่าน เทอร์โมมิเตอร์ การตวงสารต่าง ๆ เป็นตน้ ทักษะการจัดกระทาและสื่อความหมายข้อมูล (Communication) หมายถึงการนาเอาข้อมูล ซึ่ง ได้มาจากการสังเกต การทดลอง ฯลฯ มาจัดกระทาเสยี ใหม่ เชน่ นามาจดั เรยี งลาดบั หาค่าความถ่ี แยกประเภท คานวณหาค่าใหม่ นามาจัดเสนอในรูปแบบใหม่ ตัวอย่างเช่น กราฟ ตาราง แผนภูมิ แผนภาพ วงจร ฯลฯ การนา ขอ้ มูลอย่างใดอย่างหนึ่ง หรอื หลาย ๆ อย่างเช่นนี้เรยี กว่า การสอื่ ความหมายขอ้ มลู ทักษะการลงความเห็นจากขอ้ มลู (Inferring) หมายถึง การเพ่ิมเติมความคิดเห็นให้กับข้อมูลท่ีมีอยู่ อยา่ งมเี หตุผลโดยอาศยั ความรหู้ รอื ประสบการณ์เดมิ มาชว่ ย ขอ้ มูลอาจจะได้จากการสังเกต การวัด การทดลอง การลงความเหน็ จากขอ้ มูลเดยี วกันอาจลงความเห็นได้หลายอยา่ ง
ทกั ษะการพยากรณ์ (Predicting) หมายถึง การคาดคะเนหาคาตอบล่วงหน้าก่อนการทดลองโดยอาศัย ข้อมูลท่ีได้จากการสังเกต การวัด รวมไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรท่ีได้ศึกษามาแล้ว หรืออาศัย ประสบการณ์ทเี่ กดิ ซ้า ๆ ทักษะการต้ังสมมุติฐาน (Formulating Hypothesis) หมายถึง การคิดหาค่าคาตอบล่วงหน้าก่อนจะ ทาการทดลอง โดยอาศัยการสังเกต ความรู้ ประสบการณ์เดิมเป็นพื้นฐาน คาตอบท่ีคิดล่วงหน้ายังไม่เป็น หลกั การ กฎ หรอื ทฤษฎีมากอ่ น คาตอบทค่ี ิดไว้ลว่ งหนา้ นี้ มักกล่าวไวเ้ ป็นข้อความที่บอกความสัมพันธ์ ระหว่าง ตวั แปรตน้ กบั ตัวแปรตามเชน่ ถา้ แมลงวนั ไปไขบ่ นก้อนเนื้อ หรือขยะเปยี กแลว้ จะทาใหเ้ กดิ ตวั หนอน ทักษะการควบคุมตัวแปร (ControllingVariables) หมายถึงการควบคุมสิ่งอ่ืน ๆ นอกเหนือจากตัวแปร อิสระ ท่ีจะทาให้ผลการทดลองคลาดเคลื่อน ถ้าหากว่าไม่ควบคุมให้เหมือนๆกัน และเป็นการปูองกันเพื่อมิให้มี ข้อโต้แย้ง ข้อผิดพลาดหรอื ตัดความไมน่ ่าเชอื่ ถือออกไป ตวั แปรแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คอื 1. ตวั แปรอสิ ระหรือตัวแปรต้น 2. ตัวแปรตาม 3. ตวั แปรท่ีต้องควบคมุ ทกั ษะการตคี วามและลงขอ้ สรุป ( Interpreting data ) ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของลักษณะตาราง รูปภาพ กราฟ ฯลฯ การนา ข้อมูลไปใชจ้ งึ จาเปน็ ต้องตีความใหส้ ะดวกท่จี ะสื่อความหมายได้ถูกต้องและเขา้ ใจตรงกนั การตคี วามหมายขอ้ มูล คอื การบรรยายลกั ษณะและคณุ สมบตั ิ การลงข้อสรุป คือ การบอกความสัมพันธ์ของข้อมูลท่ีมีอยู่ เช่น ถ้า ความดันน้อย น้าจะเดือด ท่ี อณุ หภูมิตา่ หรอื น้าจะเดอื ดเรว็ ถ้าความดันมากน้าจะเดือดที่อุณหภูมสิ งู หรอื น้าจะเดือดชา้ ลง ทักษะการกาหนดนิยามเชิงปฏิบัติการ (DefiningOperationally) หมายถึง การกาหนด ความหมาย และขอบเขตของคาต่าง ๆท่ีมีอยู่ในสมมุติฐานที่จะทดลองให้มีความรัดกุม เป็นที่เข้าใจตรงกันและ สามารถสังเกตและวัดได้ เช่น “การเจริญเติบโต” หมายความว่าอย่างไร ต้องกาหนดนิยามให้ชัดเจน เช่น การ เจรญิ เติบโดหมายถึง มีความสงู เพ่มิ ขน้ึ เปน็ ต้น ทักษะการทดลอง (Experimenting) หมายถึง กระบวนการปฏบิ ัตกิ ารโดยใชท้ ักษะต่าง ๆ เช่น การ สงั เกต การวัด การพยากรณ์ การตั้งสมมุติฐาน ฯลฯ มาใช้ร่วมกันเพ่ือหาคาตอบ หรือทดลองสมมุติฐานที่ต้ังไว้ ซึง่ ประกอบดว้ ยกจิ กรรม 3 ขน้ั ตอน 1. การออกแบบการทดลอง 2. การปฏิบตั กิ ารทดลอง 3. การบนั ทกึ ผลการทดลอง การใช้กระบวนการวิทยาศาสตร์ แสวงหาความรู้ หรือแก้ป๎ญหาอย่างส่าเสมอ ช่วยพัฒนาความคิด สร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์ เกิดผลผลิตหรือผลิตภัณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ เกิดผลผลิตหรือผลิตภัณฑ์ทาง วทิ ยาศาสตร์ ที่แปลกใหม่ และมคี ุณค่าต่อการดารงชวี ิตของมนษุ ยม์ ากขึน้ คณุ ลกั ษณะของบคุ คลท่ีมจี ิตวทิ ยาศาสตร์ 6 ลกั ษณะ 1.เปน็ คนทม่ี เี หตุผล 1) จะตอ้ งเป็นคนท่ียอมรบั และเชือ่ ในความสาคญั ของเหตผุ ล
2) ไมเ่ ชอ่ื โชคลาง คาทานาย หรอื ส่งิ ศกั ด์สิ ทิ ธิ์ต่าง ๆ 3)ค้นหาสาเหตขุ องปญ๎ หาหรือเหตกุ ารณ์และหาความสัมพนั ธข์ องสาเหตกุ บั ผลทเ่ี กิดขึน้ 4) ต้องเป็นบุคคลท่ีสนใจปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดข้ึน และจะต้องเป็นบุคคลที่พยายามค้นหา คาตอบวา่ ปรากฏการณต์ า่ ง ๆ นัน้ เกดิ ขึน้ ได้อย่างไร และทาไมจึงเกิดเหตุการณเ์ ชน่ นั้น 2.เปน็ คนที่มีความอยากรู้อยากเหน็ 1) มคี วามพยายามทจ่ี ะเสาะแสวงหาความรู้ในสถานการณ์ใหม่ ๆ อย่เู สมอ 2) ตระหนกั ถึงความสาคัญของการแสวงหาข้อมูลเพ่ิมเติมเสมอ 3) จะตอ้ งเปน็ บุคคลที่ชอบซักถาม คน้ หาความร้โู ดยวิธกี ารต่าง ๆ อยู่เสมอ 3. เปน็ บคุ คลที่มีใจกว้าง 1)เป็นบคุ คลท่ีกล้ายอมรับการวิพากษว์ ิจารณจ์ ากบุคคลอ่นื 2)เปน็ บคุ คลทจ่ี ะรบั รู้และยอมรบั ความคดิ เหน็ ใหม่ ๆ อยู่เสมอ 3)เป็นบคุ คลท่เี ตม็ ใจทจ่ี ะเผยแพรค่ วามรู้และความคิดให้แกบ่ ุคคลอนื่ 4)ตระหนกั และยอมรบั ข้อจากดั ของความรู้ท่คี ้นพบในปจ๎ จุบัน 4. เปน็ บุคคลท่ีมีความซ่ือสตั ย์ และมใี จเปน็ กลาง 1) เปน็ บคุ คลที่มีความซ่ือตรง อดทน ยุตธิ รรม และละเอยี ดรอบคอบ 2) เปน็ บุคคลทมี่ ีความมนั่ คง หนักแน่นตอ่ ผลท่ีได้จากการพสิ ูจน์ 3) สงั เกตและบันทกึ ผลตา่ ง ๆ อยา่ งตรงไปตรงมา ไมล่ าเอียง และมีอคติ 5. มีความเพียรพยายาม 1) ทากจิ กรรมทไี่ ด้รบั มอบหมายใหเ้ สร็จสมบูรณ์ 2) ไมท่ ้อถอยเม่ือผลการทดลองลม้ เหลว หรอื มีอุปสรรค 3) มคี วามต้งั ใจแน่วแน่ต่อการค้นหาความรู้ 6. มคี วามละเอยี ดรอบคอบ 1) รู้จักใช้วจิ ารณญาณก่อนที่จะตดั สนิ ใจใด ๆ 2) ไม่ยอมรบั สิ่งหน่ึงส่งิ ใดจนกวา่ จะมีการพสิ จู น์ทเี่ ช่ือถือได้ 3) หลีกเล่ยี งการตัดสินใจ และการสรุปผลทย่ี งั ไม่มีการวเิ คราะหแ์ ล้วเป็นอยา่ งดี
ใบงานท่ี 1. ให้นักศกึ ษาอธิบายทักษะทางวทิ ยาศาสตร์ ประกอบดว้ ยอะไรบา้ ง ............................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ............................... ............................................................................................................................. ............................... ........................................................................................ .................................................................... ............................................................................................................................. ............................... ........................................................................................................................................................... . ............................................................................................................................. ............................... ............................................................................................................................. ............................... 2. แบง่ กลมุ่ และรว่ มกันอภปิ ราย สรุป 6 คุณลักษณะของบุคคลทม่ี จี ติ วิทยาศาสตร์ ............................................................................................................................. ............................... .............................................................................................. .............................................................. ............................................................................................................................. ............................... ............................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ............................... ............................................................................................................................. ............................... ............................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ............................... ................................................................................................................................................ ............ ...................................................................................................................... ...................................... ............................................................................................................................. ............................... ............................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ...............................
แบบทดสอบย่อย จงนาตวั อกั ษรหน้าทกั ษะต่าง ๆ ไปเติมหนา้ ขอ้ ทีส่ มั พนั ธก์ นั ก. ทักษะการสงั เกต ข. ทักษะการวัด ค. ทกั ษะการคานวณ ง. ทักษะการจาแนกประเภท จ. ทักษะการทดลอง ............1. มา้ มี 4 ขา สนุ ขั ม4ี ขา ไกม่ ี 2 ขา นกมี 2 ขา ช้างมี 4 ขา ............2.ด.ญ.วไิ ล วัดอณุ หภมู ิของอากาศได้ 40 C ............3. ด.ญ.อริษากาลังทดสอบวิทยาศาสตร์ ............4. ด.ญ. พนิดา กาลงั เทสารเคมี ............5. ด.ช. สุบนิ ใช้ตลับเมตรวัดความยาวของสนามตะกรอ้ ............6. ด.ญ. อพิจติ รแบง่ ผลไมไ้ ด้ 2 กลุ่ม คอื กลุม่ รสเปร้ียวและรสหวาน ............7. วรรณนิภา ดูภาพยนตรว์ ิทยาศาสตร์ 3 มิติ ............8. ด.ญ. นันทพร หยดสารละลายไอโอดีน ลงบนข้าวเหนียวทเ่ี ตรยี มไว้ ............9. รปู ทรงกระบอกมีความสูงประมาณ 4 นิ้ว ผิวเรียบ ............10. นักวิทยาศาสตร์แบง่ พืชออกเปน็ 2 พวก คือ พชื ใบเลี้ยงเดย่ี วและพืชใบเลี้ยงคู่
แผนการจัดการเรยี นรรู้ ายวิชาวิทยาศาสตร์ คร้ังท่ี 2 ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2565 ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนต้น กศน.ตาบลศรีโคตร 1. สัปดาห์ท่ี 11 วนั ท่ี 20 เดอื น กรกฎาคม พ.ศ. 2565 เวลา 09.00-12.00น. 2. วิชา วิทยาศาสตร์ รหสั วิชา พว21001 จานวน 4 หนว่ ยกิต 3. มาตรฐานท่ี 2.2 มคี วามรคู้ วามเขา้ ใจ และทักษะพื้นฐานเก่ยี วกับคณติ ศาสตร์ วิทยาศาสตรแ์ ละ เทคโนโลยี 4. หนว่ ยการเรยี นร/ู้ เร่ือง โครงงานวิทยาศาสตร์ 5. สาระสาคญั อธิบายธรรมชาติและความสาคญั ของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 6. เนือ้ หา 1. ประเภทของโครงงาน 2. การเลือกหวั ข้อโครงงาน 3. การเขยี นโครงงาน 4. การวางแผน และการทาโครงงาน 5. การนาเสนอโครงงาน 7. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้/ผลการเรียนรทู้ ่ีคาดหวงั (ดจู ากผังการออกข้อสอบ) 1. อธบิ ายประเภท เลอื กหัวข้อ วางแผน วิธีทา นาเสนอและประโยชน์ของโครงงานได้ 2. วางแผนการทาโครงงานได้ 3. ทาโครงงานวทิ ยาศาสตรก์ ลมุ่ ได้ 4. อธบิ ายและบอกแนวได้ในการนาผลจากโครงงานไปใช้ได้ 5. นาความรู้เก่ียวกบั วิทยาศาสตร์ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และโครงงานไปใชไ้ ด้ 8. การบรู ณาการกบั หลักแนวคดิ ของเศรษฐกิจพอเพียง (2 เงอื่ นไข 3 หลักการ การเชอื่ มโยงสู่ 4 มิต)ิ ความรู้ สรปุ ความ จบั ประเดน็ สาคญั ของเร่ืองโครงงานวิทยาศาสตร์ คณุ ธรรม - มคี วามรบั ผดิ ชอบ - มคี วามขยนั - มคี วามคิดสร้างสรรค์ พอประมาณ - เนือ้ หาวิชาทีเ่ รยี นรมู้ คี วามเหมาะสมกับวัยของผเู้ รียน - ผู้เรียนเลือกวิชาทส่ี ามารถศึกษาเองไดเ้ ป็นการเรียนแบบ กรต. มเี หตุผล - เลือกทาโครงงานทสี่ นใจ - โครงงานท่ไี ดเ้ กิดประโยชนต์ ่อตนเองและผู้อื่น มีภมู คิ ุ้มกัน - มีความรเู้ ร่ืองโครงงาน
วัตถุ - วัสดุอปุ กรณใ์ นการใชป้ ระดิษฐ์โครงงาน สังคม - ผ้เู รยี นแลกเปลี่ยนความคดิ เหน็ ร่วมกันได้ - ผ้เู รยี นใช้กระบวนการกลุ่มได้อยา่ งเหมาะสม สง่ิ แวดล้อม - โครงงานบางโครงงานสามารถใชว้ ัสดุอุปกรณ์ทีเ่ หลือใชไ้ ด้ วฒั นธรรม - สามารถใช้วสั ดุพนื้ บา้ นมาประดษิ ฐเ์ ป็นชนิ้ งานโครงงานได้ 9. กระบวนการจดั การเรยี นร้แู ละกิจกรรมการเรยี นรู้ ขน้ั ที่ 1 กาหนดสภาพปัญหาการเรยี นรู้ (O : Orientation) 1. ครูนาตัวอย่างโครงงานวิทยาศาสตร์มาใหผ้ เู้ รียนดู แลว้ ครแู ละผู้เรียนรว่ มกันสนทนาเก่ยี วกับ ความหมาย จุดประสงค์ ประเภท และการจดั ทาโครงงานวิทยาศาสตร์ 2. ผเู้ รียนดูแผนภูมิ วิธกี ารจดั ทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ แลว้ ร่วมกนั สนทนาซักถามในส่ิงที่สงสยั ครู อธิบายเกี่ยวกับการจดั ทาโครงงานวิทยาศาสตรใ์ ห้ผู้เรยี นเข้าใจ ขั้นที่ 2 แสวงหาข้อมูลและจัดการเรียนรู้ (N : New ways of learning) 1. ผู้เรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 5-6 คน ให้แต่ละกลุ่มวางแผนการจัดทาโครงงาน โดย เลือกหัวข้อโครงงานท่ีสนใจ และจัดทาเป็นเค้าโครงย่อของโครงงาน เพ่ือนาเสนอให้ครูตรวจ พจิ ารณา แลว้ นามาแกไ้ ขปรบั ปรุงตามทค่ี รูเสนอแนะ 2. ผู้เรียนศึกษาเนอื้ หาเพมิ่ เตมิ จากใบความรู้และสื่ออินเตอร์เนต็ 3. ให้แต่ละกลมุ่ วางแผนการจัดทาโครงงานโดยมีครูเป็นท่ีปรึกษาและดาเนินการจัดทา โครงงานตามท่ไี ด้วางแผนไว้ ข้นั ท่ี 3 การปฏิบตั ิและการนาไปใช้ (I : Implementation) 1. ตวั แทนแต่ละกลุ่มออกมานาเสนอผลการจัดทาโครงงาน 2. ครูและผเู้ รียนกลมุ่ อ่นื ๆ รว่ มกันสนทนาซกั ถาม 3. ครูและนกั เรียนรว่ มกันนาเสนอโครงงาน โดยทาเป็นแผงโครงงาน หรือจดั นทิ รรศการร่วมกนั 4. ผู้เรียนรว่ มกนั อภปิ รายวา่ จะนาความรทู้ ไ่ี ด้จากการจัดทาโครงงานวิทยาศาสตร์ไปใช้ประโยชน์ใน ชวี ติ ประจาวันได้อย่างไร ขน้ั ท่ี 4 การประเมินผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) 1. ครแู ละผเู้ รยี นช่วยกันสรุปสาระสาคัญทกุ หวั ขอ้ /ลงในกระดาษรวบรวมส่งเป็นรูปเล่ม 2. ประเมนิ ผลการจดั กจิ กรรม 10. ส่อื /แหล่งเรียนรู้ 1. หนังสือเรยี น 2. แบบฝกึ หัด 3. ส่ืออินเตอรเ์ นต็
11. การวดั และประเมนิ ผล 11.1วธิ กี ารวัดและประเมนิ ผล - ใบงาน 11.2 เคร่ืองมือวัดและประเมินผล - ผลจากการตรวจใบงาน 11.3 เกณฑ์การวดั และการประเมนิ ผล - ใบงานคะแนนเตม็ 10คะแนน กจิ กรรมเสนอแนะ ............................................................................................................................. ................................................. ...................................................................................................................................................... ........................ ........................................................................................................... ................................................................... .................. ลงชอื่ …………………………………………….ครผู ้สู อน (นายปรเรศ นามโคตร) ครู กศน.ตาบล ข้อเสนอแนะของผู้บริหาร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……........................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................. ลงชือ่ ………………………………………………………ผูอ้ นุมัติแผน (นางป๎ทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผอู้ านวยการ กศน.อาเภอจตุรพกั ตรพมิ าน
บนั ทกึ หลังการจดั การเรยี นรู้ กศน.ตาบลศรีโคตร ครง้ั ท่ี 11 วัน/เดอื น/ปีวนั ที่ 20 เดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2565 ครผู ู้สอนนายปรเรศ นามโคตร ระดับ มัธยมศึกษาตอนต้น เวลา 09.00-12.00 น. สาระความรู้พ้นื ฐาน รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ รหัสวชิ า พค21001 จานวนผู้เรยี นทัง้ หมด ............... คนเขา้ เรียน…………………คน ไม่เขา้ เรยี น……………………….คน 1. ผลการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้การประเมนิ โดยใช้ แบบทดสอบก่อนเรียน - หลงั เรยี น พบว่า คะแนนการทดสอบหลงั เรียน มากกวา่ ก่อนเรียนจานวน ........ คนคดิ เปน็ รอ้ ยละ............ คะแนนการทดสอบหลงั เรยี น นอ้ ยกว่าก่อนเรียนจานวน ......... คนคดิ เป็นร้อยละ............ 2. เน้ือหา/สาระ/รายวิชา ................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ...................................... 3. กจิ กรรมการเรียนการสอน ............................................................................................................................. ...................................... .................................................................................................................................................................. . 4. ปญั หา/อปุ สรรคการเรยี นการสอน .................................................................................................. ................................................................. ............................................................................................................................. ...................................... 5. แนวทางการแกป้ ัญหา .................................................................................................................................. ................................. ................................................................................................. .................................................................. ลงชอ่ื .........................................................(ผบู้ นั ทกึ ) (นายปรเรศ นามโคตร) ครู กศน.ตาบล ความเหน็ /ข้อเสนอของผูบ้ รหิ าร ....................................................................................................................................... ............................ ...................................................................................................... ............................................................. ลงช่ือ.................................................. (นางป๎ทมาภรณ์ ศรเี นตร) ผู้อานวยการ กศน.อาเภอจตรุ พักตรพมิ าน
ใบความรู้ การจดั ทา โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 1. ความหมายของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ให้ความหมายของโครงงานวิทยาศาสตร์ว่า เป็น การศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ของนักเรียนตามความสนใจและระดับความรู้ ความสามารถ ภายใต้วิธีการทาง วิทยาศาสตร์ เพอื่ ตอบปญั หาที่สงสัย ไดผ้ ลงานทม่ี ีความสมบูรณใ์ นตัวเอง การทาโครงงานวิทยาศาสตร์ เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมส่งเสริมด้านวิทยาศาสตร์หรือเทคโนโลยี โดยผู้เรียนเป็นผู้วางแผนการศึกษาค้นคว้า ดาเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล สรุปผล และเสนอผลการศึกษา ค้นคว้าด้วยตนเอง เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ มีเจตคติทางวิทยาศาสตร์ รวมท้ังได้ฝึกฝนทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ โดยมคี รู อาจารย์ หรือผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นเพยี งผู้คอยให้คาปรึกษา 2. หลกั การของกจิ กรรมโครงงานวทิ ยาศาสตร์ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้ระบุหลักการที่สาคัญของกิจกรรมโครงงาน วิทยาศาสตร์ ไว้ดังนี้ 1. เนน้ การแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง เปิดโอกาสให้นักเรียนริเร่ิมวางแผน และดาเนินการศึกษาด้วย ตนเอง โดยมอี าจารยเ์ ป็นผู้ช้แี นะแนวทางและใหค้ าปรึกษา 2. เน้นกระบวนการแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ต้ังแต่การกาหนดป๎ญหาหรือ เลือกหัวข้อท่ีสนใจ การวางแผนการศึกษาค้นคว้า การรวบรวมข้อมูล หรือการทดลอง และการ สรปุ ผลการศึกษาคน้ ควา้ 3. เนน้ การคดิ เป็น ทาเป็น และการแก้ป๎ญหาด้วยตนเอง 4. การทากิจกรรมโครงงานวิทยาศาสตร์มุ่งฝึกให้นักเรียนเรียนรู้วิธีการศึกษาค้นคว้าและแก้ป๎ญหา ดว้ ยตนเอง มไิ ดเ้ น้นการส่งเขา้ ประกวดเพ่ือรบั รางวลั 3. จุดมุ่งหมายของการทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้ระบุจุดมุ่งหมายของการทาโครงงาน วทิ ยาศาสตร์ ไว้ดังนี้ 1. เพอ่ื ใหผ้ ู้เรียนใช้ความรูแ้ ละประสบการณเ์ ลือกทาโครงงานวิทยาศาสตรต์ ามท่ีตนสนใจ 2. เพื่อให้ผเู้ รยี นได้ศึกษาค้นคว้าข้อมูลจากแหล่งความรู้ต่างๆ ด้วยตนเอง 3. เพอื่ ให้ผเู้ รียนไดแ้ สดงออกซ่ึงความคิดรเิ ริ่มสรา้ งสรรค์ 4. เพ่ือให้ผูเ้ รียนมีเจตคติทางวทิ ยาศาสตร์ และเห็นคุณค่าของการใชก้ ระบวนการทางวิทยาศาสตร์ใน การแก้ป๎ญหา 5.
4. ลกั ษณะทสี่ าคัญของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ 1. เปน็ เรอื่ งทน่ี ักเรียนสนใจ สงสยั ตอ้ งการหาคาตอบ 2. เปน็ การเรียนรู้ทมี่ กี ระบวนการ มีระบบ ครบกระบวนการ 3. เป็นการบรู ณาการการเรยี นรู้ 4. นักเรยี นได้ใช้ความร้หู ลายดา้ น 5. มีความสอดคล้องกับชวี ติ จริง 6. มีการศึกษาอยา่ งลมุ่ ลึก ดว้ ยวธิ กี ารและแหลง่ ขอ้ มูลอย่างหลากหลาย 7. เป็นการแสวงหาความร้แู ละสรุปความรู้ด้วยตนเอง 8. มีการนาเสนอโครงงานด้วยวิธกี ารทเ่ี หมาะสม ในดา้ นกระบวนการและผลงานท่คี ้นพบ 9. ขอ้ ค้นพบและสิ่งท่ีค้นพบ สามารถนาไปใช้ในชีวิตประจาวันได้ 5. ประเภทของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ โครงงานวิทยาศาสตร์ แบง่ ออกไดเ้ ป็น 4 ประเภทใหญ่ๆ ดงั นี้ 1. โครงงานประเภทสารวจรวบรวมขอ้ มลู การสารวจรวบรวมขอ้ มลู บางอย่างเพือ่ จาแนกหมวดหมู่ โครงงานประเภทนี้ไม่กาหนดตัวแปร ในการเกบ็ ขอ้ มลู อาจเปน็ การสารวจในภาคสนาม หรอื ในธรรมชาติ หรอื นามาศึกษาในห้องปฏิบตั ิการ เพอื่ นาไปใชศ้ ึกษาทดลองต่อ ตวั อย่างของโครงงานประเภทนี้ เชน่ การสารวจพชื พนั ธุไ์ มใ้ นโรงเรียนหรอื ในท้องถิ่น การสารวจพฤติกรรมด้านต่างๆ ของสัตว์ การสารวจป๎ญหาส่ิงแวดล้อมในชมุ ชน การศกึ ษาวัฏจกั รชวี ิตของสตั ว์ชนิดใดชนิดหนึ่ง การศกึ ษาลกั ษณะของสภาพอากาศในท้องถิน่ 2. โครงงานประเภททดลอง โครงงานทมี่ ีลักษณะออกแบบการทดลอง เพ่ือศึกษาผลของตัวแปรตัวหนึ่งโดยควบคุมตวั แปร อื่นๆ โครงงานประเภทน้ีนกั เรียนจะไดแ้ ก้ป๎ญหา ปฏิบตั ิจรงิ กับปญ๎ หาหรือข้อสงสยั ของนักเรยี น ดาเนนิ การ อบรม ทดลอง สรปุ ผล วเิ คราะห์ผลทไี่ ด้ออกมา ซ่ึงจะเปน็ การใช้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์อย่าง สมบูรณ์ ตัวอยา่ งของโครงงานประเภทน้ี เชน่ ศกึ ษาการตดั ใบข้าวโพดท่ีมผี ลกระทบต่อการเจริญเติบโตและผลผลติ การปอู งกันการเป็นหนอนของปลาเค็ม โดยใชส้ ารสกดั จากพืชทม่ี รี สขม การทายากันยุงจากพืชในท้องถิ่น การใชม้ ลู วัวปูองกันวัวกนิ ใบพืช การบังคบั ผลแตงโมเปน็ รูปสเี่ หลย่ี ม 3. โครงงานประเภทส่ิงประดิษฐ์
โครงงานประเภทน้ี เป็นการประดิษฐ์สิ่งใดสิ่งหนึ่ง เครื่องมือเครื่องใช้หรืออุปกรณ์ เพื่อใช้สอย ต่างๆ สง่ิ ประดิษฐอ์ าจคิดข้นึ มาใหม่ ปรบั ปรุง หรือสร้างแบบจาลอง โดยประยุกต์หลักการทางวิทยาศาสตร์ ใช้ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ มีการกาหนดตัวแปรท่ีจะศึกษาและทดสอบประสิทธิภาพของชิ้นงานด้วย หาก นักเรียนประดิษฐ์ช้ินงานข้ึนมาโดยมิได้ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ถือว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ไม่ใช่โครงงาน วิทยาศาสตร์ ตวั อย่างโครงงานประเภทส่ิงประดิษฐ์ เชน่ กรงดกั แมลง เครื่องโรยปยุ๋ ยางพารา เคร่อื งยา่ ยางพารา เครือ่ งตไี ขส่ าหรับเด็ก เคร่ืองให้อาหารปลา เคร่อื งแยกไข่แดง ตอู้ บพลงั งานแสงอาทิตยท์ ูอนิ วนั กล่องอบแห้งพลงั งานแสงอาทิตย์รปู ทรงแปดเหลี่ยม 4. โครงงานประเภททฤษฎี โครงงานประเภทนี้ เป็นโครงงานท่ีเสนอทฤษฎี หลักการหรือแนวคดิ ใหมๆ่ ซ่ึงอาจอยใู่ นรปู ของสูตร สมการ หรือคาอธบิ าย โดยผเู้ สนอไดต้ ัง้ กตกิ าหรือข้อตกลงขน้ึ มาเอง แล้วเสนอทฤษฎีหลักการ แนวความคิด หรอื จินตนาการของตนเองตามกติกาหรือข้อตกลงนั้นหรอื อาจใช้กติกาหรือข้อตกลงมาอธบิ ายส่ิง หรือปรากฏการณต์ ่างๆ ในแนวใหม่ ทฤษฎี หลกั การ แนวความคิด หรอื จนิ ตนาการท่เี สนอน้ี อาจจะใหมย่ ังไม่มีใครคดิ มาก่อน หรืออาจขดั แย้งกบั ทฤษฎเี ดมิ หรอื เปน็ การขยายทฤษฎีหรอื ความคดิ เดิมกไ็ ด้ การทาโครงงานประเภทน้ี จดุ สาคัญอยู่ทผ่ี ู้ทาต้องมคี วามรู้พ้ืนฐานในเรื่องนน้ั เป็นอยา่ งดี จึง จะสามารถเสนอโครงงานประเภทนี้ไดอ้ ยา่ งมีเหตุผลน่าเชื่อถอื โดยทัว่ ๆ ไป โครงงานประเภทน้ี มกั เปน็ โครงงานทางคณติ ศาสตร์ หรือวิทยาศาสตร์บริสทุ ธ์ิ ตัวอยา่ งของโครงงานประเภทน้ี เช่น การอธิบายอวกาศแนวใหม่ ทฤษฎีของจานวนเฉพาะ โครงงานวิทยาศาสตร์ ได้มาจากป๎ญหาหรือข้อสงสัย ซึ่งควรจะเป็นป๎ญหาที่ใกล้ตัวของผู้เรียน พยายามอย่าให้ ผู้เรยี นคิดปญ๎ หาทไี่ กลตวั เกินความสามารถของเดก็ ทจ่ี ะทาได้ ตวั อยา่ งการได้มาซง่ึ โครงงานวทิ ยาศาสตร์ ไดแ้ ก่ ปญ๎ หาใกลต้ ัว ปญ๎ หาในท้องถน่ิ ความสนใจสว่ นตัว การสงั เกตสิง่ ตา่ งๆ ใกล้ตัว คาบอกเลา่ ของผู้อนื่ การทดลองเลน่ การทาปฏบิ ัตกิ าร โครงงานอื่นท่ีเคยมีผทู้ าไว้แล้ว การต้งั คาถามของครูใหน้ ักเรยี นคดิ ฝึกตัง้ ปญ๎ หา การทา Web ระดมความคิด เพือ่ หาเร่ืองทจี่ ะทาโครงงาน 7. วธิ ีทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172