Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนการจัดการเรียนรู้ คุณครูพรวรกานต์ ลีแ ประถม

แผนการจัดการเรียนรู้ คุณครูพรวรกานต์ ลีแ ประถม

Published by rujiraoopkaew, 2022-06-28 03:16:10

Description: แผนการจัดการเรียนรู้ คุณครูพรวรกานต์ ลีแ ประถม

Search

Read the Text Version

101 การจัดทาหน่วยเรยี นรบู้ รู ณาการหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2565 กศน.ตาบลล้ินฟา้ ระดบั ประถมศึกษา ๑. สปั ดาห์ท่ี 10 วนั ท่ี 19 เดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2565 เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐น. ๒. วชิ า ศาสนาและหน้าทพ่ี ลเมอื ง รหัสวิชา สค1๑๐๐2 จานวน 2 หนํวยกติ ๓. มาตรฐานท่ี 5.2 มคี วามรู๎ ความเข๎าใจ เหน็ คุณคําและสืบทอดศาสนา วัฒนธรรม ประเพณขี องประเทศใน ทวปี เอเชยี ๔. หน่วยการเรยี นรู้/เรื่องศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี ๕. สาระสาคญั จัดใหม๎ กี ารคน๎ ควา๎ หาความร๎ู จากสอื่ เอกสาร ตารา สอ่ื อิเล็กทรอนิกส์ ภูมปิ ญั ญา สถาบันทางศาสนา การฝึก ปฏิบตั ิ การทาโครงงาน การจดั กลุํมอภิปรายแลกเปล่ยี นเรียนรู๎ การวเิ คราะห์ สถานการณ์จาลอง การสรปุ ผลการ เรยี นร๎ู และนาเสนอในรูปแบบตาํ งๆ ๖. เนอื้ หา 1. ความเป็นมาของศาสนาในประเทศไทยและในทวปี เอเชีย ดังนี้ ศาสนาพุทธ ศาสนาครสิ ต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนาฮนิ ดู 2. หลกั ธรรมในแตลํ ะศาสนาท่ีทาให๎อยรํู วํ มกบั ศาสนาอื่นไดอ๎ ยาํ งมีความสุข 3. วัฒนธรรมประเพณีในประเทศไทยและประเทศในเอเชีย ภาษา, การแตงํ กาย, อาหาร, ประเพณี ๗. จดุ ประสงคก์ ารเรียนร/ู้ ผลการเรียนรทู้ ีค่ าดหวงั (ดูจากผังการออกข๎อสอบ) เอเชยี 1. มีความร๎ู ความเขา๎ ใจเกย่ี วกบั ความเปน็ มาของศาสนาตาํ งๆ ในประเทศไทย และประเทศในทวปี อยาํ งสันตสิ ุข 2. นาหลักธรรมสาคัญๆในศาสนาของตนมาประพฤตปิ ฏิบัติใหส๎ ามารถอยูํรํวมกนั กบั ศาสนาอนื่ ได๎ 3. เห็นประโยชนใ์ นการนาหลักธรรม คาสอนในศาสนาทีต่ นนับถือ มาประพฤติปฏบิ ัตเิ พ่ือให๎เป็นคน ดีในสงั คม 4. มีความรู๎ ความเข๎าใจในวฒั นธรรมประเพณขี องประเทศไทยและประเทศในเอเชยี ๘. การบรู ณาการกับหลกั แนวคิดของเศรษฐกจิ พอเพยี ง (2 เง่ือนไข 3 หลกั การ การเชื่อมโยงสู่ 4 มติ )ิ ความรู้ - นกั ศกึ ษามีความร๎เู ร่ืองเกี่ยวกับความเปน็ มาของศาสนาตํางๆ ในประเทศไทย และประเทศ ในทวปี เอเชยี - นกั ศกึ ษามีความรู๎ในวัฒนธรรมประเพณขี องประเทศไทยและประเทศในเอเชีย คณุ ธรรม - หลักธรรม คาสอน - การประพฤติปฏบิ ัตติ น พอประมาณ

102 -รจู๎ ักนาหลักธรรมสาคญั ๆในศาสนาของตนมาประพฤตปิ ฏิบัตใิ ห๎สามารถอยรูํ วํ มกนั กบั ศาสนาอ่นื ไดอ๎ ยํางสนั ติสุข มเี หตุผล - ไดค๎ วามร๎ู ความเข๎าใจในวัฒนธรรมประเพณีของประเทศไทยและประเทศในเอเชยี มภี ูมคิ ุ้มกัน - เหน็ คณุ คําและประโยชน์ในการนาหลักธรรม คาสอนในศาสนาทีต่ นนับถือ มาประพฤติ ปฏิบัตเิ พื่อใหเ๎ ป็นคน ดีในสงั คม วัตถุ - มีความรู๎ เรือ่ งศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี ท่สี อดคล๎องกบั วถิ ีชวี ิตของคนในชุมชน สังคม - มที ักษะการอยรูํ วํ มกันในชุมชน และยอมรับฟังความคดิ เหน็ ของผูอ๎ ่ืน สิ่งแวดล้อม - เหน็ คุณคําของการรกั ษาศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี ในชุมชนของผเ๎ู รยี น วฒั นธรรม - มีความร๎เู รอื่ งวฒั นธรรมประเพณี - ปฏิบัตติ นตามขนมธรรมเนียมประเพณไี ทยได๎อยาํ งเหมาะสม 9. กระบวนการจดั การเรียนรูแ้ ละกจิ กรรมการเรยี นรู้ ขน้ั ท่ี 1 กาหนดสภาพปัญหาการเรยี นรู้ (O : Orientation) 1. ครสู ร๎างความคน๎ุ เคยกบั ผ๎ูเรยี นโดยการเปดิ ประเดน็ เร่ืองศาสนาทีน่ กั เรียนสวํ นใหญํนบั ถือแล๎วถามถงึ ความสาคัญและเหตผุ ลทต่ี ๎องนบั ถือศาสนานน้ั ๆ 2. ครูทาความเขา๎ ใจกบั วชิ าพร๎อมมาตรฐานและช้ีแจงตัวชวี้ ัดของหนํวยการเรียนร๎ู 3. ครูทกั ทายกลําวนาและอธิบายการกาหนดเปูาหมายและการวางแผนการเรียนรเ๎ู กี่ยวกบั ความเปน็ มาของ ศาสนาในประเทศไทยและในทวีปเอเชยี 4. ครูและผู๎เรยี นรวํ มกันอภปิ รายถงึ ประวตั คิ วามเปน็ มาของศาสนาทีค่ นไทยนบั ถือและศาสนาอน่ื ๆทีร่ ูจ๎ ักใน สังคม 5. ครูเปิดโอกาสให๎ผูเ๎ รยี นซักถามข๎อสงสัยกํอนเขา๎ สูํบทเรียนข้ันตอํ ไป ข้ันที่ 2 แสวงหาขอ้ มลู และจัดการเรยี นรู้ (N : New ways of learning) 1. ครูและผเู๎ รียนวางแผนวธิ กี ารเรยี นรเู๎ นอื้ หาเร่ืองความเป็นมาและหลกั ธรรมของศาสนาในประเทศ ไทยและในทวปี เอเชีย 2. ครแู จกใบความรู๎ เร่ือง ศาสนาพุทธ ครสิ ต์ อิสลาม ฮินดู 3. ครูแจกใบความร๎ู เร่ือง วัฒนธรรม ประเพณีของไทยและเอเชยี 4. ครูแจกใบความร๎ู เร่ือง หลักธรรมของศาสนาพุทธ ศาสนาครสิ ต์ ศาสนาอสิ ลาม และศาสนาฮินดู 5. ครจู ัดทาฉลากแยกเป็นศาสนา พุทธ ครสิ ต์ อสิ ลาม ฮินดู แล๎วแบงํ กลํุมผ๎ูเรียนออกเป็น 4 กลํุม จากน้นั ครูให๎ตวั แทนกลมุํ ออกมาจับฉลากเพือ่ ศึกษาประวัติความเป็นมาและความสาคญั หลักคาสอน ศาสนา ของแตํ ละศาสนาท่ีจับฉลากได๎

103 6. ครูกาหนดการเรยี นรู๎ท่เี กี่ยวกับวัฒนธรรม ประเพณีของไทยและเอเชยี แลว๎ แบงํ กลํุมผ๎ูเรยี น ออกเปน็ 4 กลุมํ จากนัน้ ครใู หต๎ ัวแทนกลํมุ ออกมาจบั ฉลากเพื่อศึกษาประวัตคิ วามเปน็ มาและความสาคัญของ วฒั นธรรม ประเพณขี องไทยและเอเชียทจี่ บั ฉลากได๎ 7. ครูใหผ๎ ๎เู รียนเขียนแผนภาพความคดิ เกีย่ วกับหวั ข๎อท่ตี นเองได๎รบั มอบหมาย 8. ครูให๎ผเ๎ู รยี นสํงตัวแทนกลมุํ ออกมานาเสนอหน๎าช้นั เรียนในเรือ่ งที่ตนเองได๎ศึกษาค๎นควา๎ ขน้ั ที่ 3 การปฏิบตั แิ ละการนาไปใช้ ( I : Implementation) 1. ครแู ละผูเ๎ รียนสรปุ เน้ือหาที่ได๎เรียนรรู๎ วํ มกัน 2. ครูให๎ผเู๎ รียนรํวมกันจัดปูายนิเทศแสดงผลงานของตนเอง ขั้นที่ 4 การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ (E : Evaluation) 1. ครูให๎ผ๎ูเรียนมีสวํ นรํวมในการประเมนิ ผลชนิ้ งานของแตํละกลํุมโดยการเขยี นชื่อของตนเองในชน้ิ งานท่ี ตนเองช่นื ชอบ 2. ครสู ังเกตจากการมีสํวนรํวมของผ๎ูเรียน 10. สอ่ื /แหล่งเรยี นรู้ 1. ใบความร๎ู 2. หนังสือเรยี น 3. ใบงาน 11. การวัดและประเมนิ ผล 11.1 วธิ กี ารวัดและประเมินผล - แบบประเมนิ ผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกับผ๎ูอื่นของนักศึกษารายบคุ คล - ใบงาน 11.2 เครอ่ื งมือวดั และประเมินผล. - ประเมนิ ผลการสังเกตพฤตกิ รรมการทางานรวํ มกับผ๎อู ื่น ของนกั ศกึ ษารายบคุ คล - ผลจากการตรวจใบงาน 11.3 เกณฑก์ ารวัดและการประเมนิ ผล - แบบประเมนิ ผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกบั ผ๎อู ื่นของนกั ศึกษารายบุคคล ระดับดี พอใช๎ และควรปรับปรงุ - ใบงานคะแนนเต็ม 10 คะแนน กจิ กรรมเสนอแนะ ............................................................................................................................. ............................................................ ลงชื่อ…………………………………………….ครูผสู๎ อน (นางพรวรกานต์ ลีแวง) ครู กศน.ตาบล ข้อเสนอแนะของผู้บริหาร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชอ่ื ……………………………………………ผ๎อู นุมัติแผน (นางปทั มาภรณ์ ศรีเนตร) ผอ๎ู านวยการ กศน.อาเภอจตรุ พักตรพมิ าน

104 บนั ทึกหลังการจัดการเรียนรู้ การจดั ทาหนว่ ยเรียนรูบ้ รู ณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง กศน.ตาบลล้นิ ฟา้ ครงั้ ที่ 10 วนั ที่ 19 เดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2565 ครผู ๎สู อน นางพรวรกานต์ ลีแวง ระดับ ประถมศึกษา เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐ น. สาระพฒั นาสังคม รายวชิ าศาสนาและหนา๎ ท่ีพลเมอื ง รหสั วชิ า สค1๑๐๐2 จานวนผเ๎ู รยี นทง้ั หมด ............... คนเขา๎ เรยี น…………………คน ไมํเขา๎ เรยี น……………………….คน ๑. ผลการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้การประเมินโดยใช๎ แบบทดสอบกํอนเรยี น - หลังเรยี น พบวํา คะแนนการทดสอบหลงั เรียน มากกวํากํอนเรียนจานวน ........ คนคิดเป็นรอ๎ ยละ............ คะแนนการทดสอบหลังเรยี น นอ๎ ยกวํากํอนเรียนจานวน ......... คนคิดเป็นร๎อยละ............ ๒. เนอ้ื หา/สาระ ................................................................................................. ........................................................ ............................................................................................................................. ............................ ............................................................................................................................. ............................ ๓. กจิ กรรมการเรยี นการสอน ......................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............................................... .................................................................................................................................... .. ๔. ปัญหา/อุปสรรค การเรียนการสอน ................................................................................................ ......................................................... ............................................................................................................................. ............................ ............................................................................................................................. ............................ ๕. แนวทางการแก้ปัญหา ......................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............................ ลงช่ือ....................................................... (นางพรวรกานต์ ลแี วง) ครผู สู๎ อน วันท.ี่ ............../.................../............... ความคิดเหน็ /ขอ้ เสนอแนะของผู้บริหาร ............................................................................................................................. ............................................................ ................................................................................................................................................... ลงชื่อ.................................................................. (นางปัทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผูอ๎ านวยการ กศน.อาเภอจตรุ พักตรพิมาน

105 ใบความรทู้ ่ี 1 เร่ือง ศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี หลกั ธรรมของศาสนาต่างๆ ของโลก ศาสนามีความสาคัญตํอการดาเนินชีวิตของบุคคลในสังคม เพราะศาสนาทุกศาสนามีจุดมุํงหมายเพ่ือให๎ทา ความดีละเว๎นความช่ัว ศาสนาจงึ มอี ทิ ธิพลตอํ คนในสงั คม องค์ประกอบของศาสนา มีดังน้ี 1. ศาสดา คอื ผกู๎ ํอตัง้ ศาสนา 2. คมั ภีร์ คอื หลกั คาสอนเกยี่ วกับศีลธรรมจรรยา 3. นกั บวช คือผูส๎ ืบทอดคาสอน 4. พธิ กี รรม คือ การปฏิบัติในการทาพิธที างศาสนา 5. ศาสนสถาน คือ สถานที่ควรเคารพบูชาและใช๎ประกอบพิธีทางศาสนา ศาสนาอิสลาม ไมํมีนักบวช แตํมี ศาสดา มีคมั ภีร์ มศี าสนสถาน และพิธกี รรม นบั เป็นศาสนาเชํนกนั ความสาคญั ของศาสนา 1. เป็นพื้นฐานของกฎศลี ธรรมของสังคม 2. เปน็ แหลงํ กาเนดิ จริยธรรม 3. เป็นแหลงํ ทที่ าให๎เกดิ ศิลปวัฒนธรรม และประเพณี 4. เป็นกลไกของรัฐในการควบคมุ สังคม 5. เปน็ บรรทดั ฐานของสังคมท่ีใช๎ในการปฏิบตั ิเพ่ือใหเ๎ ปน็ ไปในแนวเดียวกนั ที่มา :http://www.baanjomyut.com/library_2/extension-3/human_society/01.html ความหมายของวัฒนธรรม \"วฒั นธรรม\" หมายถึง \"แบบอยํางหรือวิถีการดาเนินชีวิตของชุมชนแตํละกลํุม เป็นตัวกาหนดพฤติกรรมการ อยูํรํวม กันอยํางปกติสุขในสังคม\" วัฒนธรรมแตํละสังคมจะแตกตํางกัน ข้ึนอยํูกับข๎อจากัดทางภูมิศาสตร์ และ ทรัพยากร ตํางๆ ลักษณะอีกประการหนึ่งของวัฒนธรรมคือ เป็นการส่ังสมความคิด ความเชื่อ วิธีการ จากสังคมรํุน กํอนๆ มกี ารเรียนรู๎ และสามารถถาํ ยทอดไปยงั รํนุ ตํอๆ ไปได๎ วฒั นธรรมใดท่ีมีรูปแบบ หรือแนวความคิดท่ีไมํเหมาะสม ก็อาจจะเลือนหายไป วฒั นธรรม เปน็ สิ่งที่แสดงความเป็นชาติให๎ปรากฏชัดเจนขึ้น ประเทศไทยมีวัฒนธรรมท่ีโดดเดํนทาให๎คนไทย แตกตํางจากชาติอื่น ๆ มีเอกลักษณ์ประจาชาติท่ีเห็นได๎จากภาษาที่ใช๎ อุปนิสัยใจคอ ความร๎ูสึกนึกคิดตลอดจนการ แสดงออกที่นํุมนวล อันมีผลมาจากสังคมไทยที่เป็นสังคมแบบประเพณีนา และเป็นสังคมเกษตรกรรม เนื่องจาก ประชากรสํวนใหญํใชช๎ ีวติ อยูํในชนบท สภาพของสิ่งแวดล๎อมที่ดี กลํอมเกลาจิตใจมีความโอบอ๎อมอารี มีน้าใจเอื้อเฟ้ือ เกือ้ กลู ซึง่ กนั และกนั ตลอดมา หากแบงํ วฒั นธรรมด๎วยมิตทิ างการทอํ งเท่ยี วแลว๎ จะสามารถแบํงออกได๎เป็น 2 ประเภท ได๎แกํ วัฒนธรรมที่เป็นนามธรรม หมายถึงสิ่งท่ีไมํใชํวัตถุ ไมํสามารถมองเห็น หรือจับต๎องได๎ เป็นการแสดงออกใน ด๎าน ความคิด ประเพณี ขนบธรรมเนียม แบบแผนของพฤติกรรมตําง ๆ ที่ปฏิบัติสืบตํอกันมา เป็นท่ียอมรับกันในกลํุม ของ ตนวําเป็นสงิ่ ที่ดงี ามเหมาะสม เชํน ศาสนา ความเช่ือ ความสนใจ ทัศนคติ ความร๎ู และความสามารถ วัฒนธรรม ประเภทนี้เป็นสํวนสาคัญที่ทาให๎เกิด วัฒนธรรมท่ีเป็นรูปธรรมขึ้นได๎และในบางกรณีอาจพัฒนาจนถึงขั้นเป็น อารย ธรรม (Civilization) ก็ได๎ เชํน การสร๎างศาสนสถานในสมัยกํอน เม่ือเวลาผํานไปจึงกลายเป็นโบราณสถาน ที่มี ความสาคัญทางประวตั ศิ าสตร์

106 หากพจิ ารณาความหมาย และลกั ษณะของวฒั นธรรมทีก่ ลาํ วไว๎ข๎างตน๎ แล๎ว ทรัพยากรการทํองเที่ยวประเภทที่ 2 เป็นผลผลิตของวัฒนธรรมที่มีตัวตน เป็นรูปธรรมเห็นได๎ชัดเจน สํวนประเภทท่ี 3 มีสภาพแรกเริ่มมาจาก แนวความคิด ความเชื่อและวิถีชวี ติ ซง่ึ เป็นนามธรรม แตไํ ดม๎ กี ารพัฒนาจนมลี กั ษณะทางวัฒนธรรมท่เี ปน็ รูปแบบขึ้นมา ทาให๎นัก ทอํ งเท่ียวสามารถสมั ผัสทรพั ยากรการทํองเทยี่ วประเภทนี้ไดโ๎ ดยตรง จึงเห็นได๎ชัดเจนวํา วัฒนธรรมท่ีเป็นแนวความคิด ความเช่ือ เป็นนามธรรมล๎วน ๆ แตํเพียงอยํางเดียว ไมํถือ วําเป็น ทรัพยากรทางการทํองเท่ียว วัฒนธรรมท่ีเป็นรูปธรรมเทํานั้น จึงจะสามารถพัฒนาให๎เป็นจุดสนใจของ นกั ทอํ งเทยี่ วได๎ ตัวอยาํ งวัฒนธรรมทีจ่ ะนามาใช๎ประโยชน์ในการทํองเทย่ี ว ไดแ๎ กํ แหลงํ ทํองเท่ียวประเภทโบราณสถาน อุทยาน ประวตั ศิ าสตร์ ศาสนสถาน โบราณวัตถุ งานศลิ ปกรรม สถาปัตยกรรม นาฏศิลป์ การละเลํนพ้ืนบ๎าน เทศกาล และงาน ประเพณี งานศลิ ปหัตถกรรมท่ีพัฒนามาเปน็ สนิ คา๎ ประจาท๎องถ่ิน ตลอดจนวิถีชีวิตความเป็นอยํู และอัธยาศัย ไมตรขี อง คนไทย ล๎วนแล๎วแตํเป็นทรัพยากรการทํองเที่ยวท่ีสาคัญของประเทศไทย เป็นเสมือนตัวเสริมการทํองเท่ียว ให๎มีความ สมบูรณ์ เป็นจุดเดํนหรือจุดขายของแหลํงทํองเที่ยวน้ันๆ เพ่ิมความประทับใจให๎นักทํองเท่ียวได๎มากข้ึน ถึงแม๎วํา ประเทศไทยจะมีทรัพยากรประเภทศิลปวัฒนธรรมท่ีหลากหลาย แตํก็มีการผสมผสานสอดคล๎องเป็น วัฒนธรรมไทย ได๎อยํางกลมกลืน ความหมายของประเพณี ประเพณีไทย มีความหมายรวมถึง แบบความเช่ือ ความคิด การกระทา คํานิยม ทัศนคติ ศีลธรรม จารีต ระเบียบ แบบแผน และวิธีการกระทาสิ่งตํางๆ ตลอดจนถึงการประกอบพิธีกรรมในโอกาสตํางๆ ที่กระทากันมาแตํใน อดีต ลักษณะสาคัญของประเพณี คือ เป็นสิ่งท่ีปฏิบัตเิ ช่อื ถือมานานจนกลายเปน็ แบบอยํางความคิด หรือการ กระทาท่ี สบื ตอํ กันมา และยงั มอี ทิ ธิพลอยใูํ นปัจจบุ นั ประเพณีเกิดจากความเชอื่ ในส่ิงทมี่ ีอานาจเหนอื มนษุ ย์ เชํน อานาจของดินฟูาอากาศ และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยไมํทราบสาเหตุตํางๆ ฉะน้ัน ประเพณี คือ ความประพฤติของคนสํวนรวมท่ีถือกันเป็นธรรมเนียม หรือ เป็น ระเบียบแบบแผน และสืบตํอกันมาจนเป็นพิมพ์เดียวกัน และยังคงอยํูได๎ก็เพราะมีสิ่งใหมํเข๎ามาชํวยเสริม สร๎างสิ่งเกํา อยูํเสมอ และกลมกลืนเข๎ากนั ไดด๎ ี ประเพณี คือ ระเบยี บแบบแผนในการปฏิบตั ิทีเ่ ห็นวําดีกวํา ถกู ต๎องกวํา หรือเป็นทยี่ อมรบั ของคนสํวนใหญใํ น สังคมและมีการปฏิบตั ิสบื ตํอกันมา ประเพณี คือ ความประพฤติที่สืบตํอกันมาจนเป็นท่ียอมรับของคนสํวนใหญํในหมํูคณะ เป็นนิสัยสังคม ซึ่ง เกดิ ขึ้นจากการที่ต๎องเอาอยํางบุคคลอ่ืน ๆ ที่อยูํรอบๆ ตน หากจะกลําวถึงประเพณีไทยก็หมายถึง นิสัยสังคม ของคน ไทยซ่ึงได๎รับมรดกตกทอดมาแตํดั้งเดิมและมองเห็นได๎ในทุกภาคของไทย ประเพณี เป็นเรื่องของความประพฤติของ กลุํมชน ยึดถือเป็นแบบแผนสืบตํอกันมานาน ถ๎าใครประพฤตินอก แบบ ถือเป็นการผิดประเพณี เป็นการแสดงถึง เอกลักษณข์ องชาตอิ ีกอยํางหน่ึง โดยเน้อื หาสาระแลว๎ ประเพณี กบั วัฒนธรรมเปน็ สง่ิ ท่ีกลุํมชนในสังคมรํวมกันสร๎างขึ้น แตํประเพณีเป็นวัฒนธรรมที่มีเง่ือนไขท่ีคํอนข๎าง ชัดเจน กลําวคือเป็นส่ิงท่ีสังคมสร๎างขึ้นเป็นมรดก คนรุํนหลังจะต๎อง รับไว๎ และปรบั ปรุงแกไ๎ ขให๎ดยี งิ่ ๆ ขน้ึ ไป รวมทง้ั มกี ารเผยแพรแํ กํคนในสงั คมอื่นๆ ด๎วย ท่มี า :https://www.gotoknow.org/posts/508581

107 ใบงานที่ 1 เรื่อง ศาสนา วฒั นธรรม ประเพณี เรอ่ื ง ความหมาย ความสาคัญของวฒั นธรรมประเพณี …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. เร่อื ง วัฒนธรรมประเพณที ีส่ าคญั ของท๎องถ่ิน และของประเทศ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. เรื่อง การอนรุ ักษ์ สบื สานวัฒนธรรมประเพณไี ทย …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. เรอ่ื ง คํานิยมที่พงึ ประสงค์ของไทยและของท๎องถนิ่ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… เรื่อง การประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ นตามคํานิยมทพ่ี ึงประสงค์ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

108 แผนการจัดการเรยี นรู้ รายวิชาศาสนาและหน้าทพ่ี ลเมือง ครั้งที่ 11 การจดั ทาหน่วยเรียนรู้บรู ณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศกึ ษา 2565 กศน.ตาบลลิน้ ฟา้ ระดบั ประถมศกึ ษา ๑. สัปดาห์ท่ี 11 วันท่ี 26 เดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2565 เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐น. ๒. วิชาศาสนาและหน้าท่ีพลเมอื ง รหัสวชิ า สค1๑๐๐2 จานวน 2 หนวํ ยกิต ๓. มาตรฐานที่ 5.3 ปฏิบัตติ นเป็นพลเมืองดตี ามวถิ ีประชาธปิ ไตย มจี ิตสาธารณะ เพ่ือความสงบสขุ ของสังคม ๔. หนว่ ยการเรยี นรู้/เรอื่ งหนา๎ ท่พี ลเมืองไทย ๕. สาระสาคญั เปน็ สาระท่เี ก่ยี วกับความหมายของประชาธปิ ไตย สิทธิ เสรภี าพ บทบาทหนา๎ ท่ขี องพลเมืองใน วถิ ปี ระชาธปิ ไตย การมสี ํวนรวํ มในการปฏบิ ตั ติ นตามกฎหมาย มคี ณุ ธรรมและคํานยิ มพน้ื ฐานในการอยู รวํ มกนั อยํางปรองดองสมานฉันท์ ปัญหา และสถานการณการเมอื งการปกครองที่เป็นกรณตี วั อยํางที่ เกิดข้นึ ในชุมชน กฎหมายท่เี กี่ยวข๎องกับตนเองและครอบครัว กฎหมายทีเ่ กย่ี วข๎องกบั ชมุ ชน กฎหมายอน่ื ๆ เชํน กฎหมายแรงงานและสวัสดกิ าร กฎหมายวําด๎วยสิทธเิ ด็กและสตรี และการมีสวํ นรํวมของประชาชน ในการปูองกันและปราบปรามการทุจรติ ๖. เน้อื หา เรื่องท่ี 1 รฐั ธรรมนญู เร่ืองท่ี 2 ความรูเบื้องตน๎ เกย่ี วกับกฎหมาย เรอ่ื งที่ 3 กฎหมายทเ่ี กี่ยวข๎องกับตนเองและครอบครัว เร่ืองที่ 4 กฎหมายท่เี กี่ยวกบั ชมุ ชน เรือ่ งท่ี 5 กฎหมายอื่น ๆ ๗. จดุ ประสงค์การเรียนรู้/ผลการเรียนรูท้ ่คี าดหวงั (ดจู ากผังการออกข๎อสอบ) 1. รแู ละเขา๎ ใจในเร่อื ง สิทธิ เสรภี าพ บทบาทหนา๎ ที่ และคุณคาํ ของความเป็นพลเมอื งดี ตามแนวทางประชาธปิ ไตย 2. ตระหนักในคุณคําของการปฏบิ ตั ิตนเปน็ พลเมืองดีตามวถิ ีประชาธปิ ไตยและมคี ุณธรรม คานยิ มพ้ืนฐาน ในการอยูรวํ มกันอยํางปรองดองสมานฉันท์ 3. แยกแยะปัญหา และสถานการณการเมอื งการปกครองท่ีเกิดขนึ้ ในชมุ ชน 4. รแู ละเขา๎ ใจสาระทว่ั ไปเกี่ยวกบั กฎหมาย 5. นาความรูกฎหมายทีเ่ กยี่ วข๎องกับตนเอง ครอบครัว ชุมชน และประเทศชาตไิ ปใช๎ในชวี ิตประจาวันได 6. เหน็ คุณคํา และประโยชนของการปฏิบัตติ นตามกฎหมาย 7. มจี ติ สานกึ ในการปูองกนั ปัญหาการทุจรติ ๘. การบรู ณาการกับหลักแนวคดิ ของเศรษฐกจิ พอเพยี ง (2 เง่อื นไข 3 หลกั การ การเชอื่ มโยงสู่ 4 มติ )ิ ความรู้ - นกั ศึกษามีความร๎ูเร่ือง สิทธิ เสรภี าพ บทบาทหนา๎ ที่ และคณุ คาํ ของความเปน็ พลเมืองดี ตามแนวทางประชาธิปไตย - ความรูเ๎ รื่องกฎหมายที่เก่ยี วข๎องกับตนเอง ครอบครวั ชมุ ชน และประเทศชาติไปใชใ๎ น ชวี ิตประจาวันได

109 คุณธรรม - เคารพในระเบียบกฎหมายและปฏิบตั อิ ยํางมีคณุ ธรรมตํอตนเองและชมุ ชน เชนํ การ ชํวยเหลอื การไมํเบียดเบียน การยดึ ถอื ประเพณี คํานิยมและสังคม พอประมาณ - รู๎จักบทบาทและหนา๎ ท่ีความเปน็ พลเมืองดี และการวิเคราะหแ์ นวทางการสร๎างเสรมิ ความ เปน็ พลเมืองดขี องตนเองและชุมชน มเี หตผุ ล - การเรยี นถึงเหตุผลและความจาเปน็ ของกฎหมายทคี่ วรรใู๎ นการดารงชวี ิตประจาวนั - เขา๎ ใจในการปกครองและการเมอื งตามแนวทางเศรษฐกจิ พอเพียง - การวิเคราะห์เปรียบเทียบการเมืองการปกครองระบอบประชาธปิ ไตย ตามแนวทาง เศรษฐกจิ พอเพยี งกบั การปกครองในระบบอื่น ๆ มีภมู คิ ุ้มกนั - เขา๎ ใจและหาแนวทางการสรา๎ งเสริมความเป็นพลเมืองดใี ห๎กับตนเองและคนอ่นื ได๎ - ทาตนเปน็ ประโยชนต์ ํอครอบครัวชุมชนและสงั คม วัตถุ - รูจ๎ ักเคารพในระเบียบกฎหมายและปฏิบตั อิ ยํางมีคุณธรรมตํอตนเองและชุมชน สังคม - มที ักษะการอยํรู วํ มกนั ในชุมชน และทางานรวํ มกบั ผู๎อืน่ ได๎อยาํ งมีความสุข สง่ิ แวดล้อม - นาความรูกฎหมายท่ีเก่ียวข๎องกบั ตนเอง ครอบครวั ชมุ ชน และประเทศชาติไปใช๎ใน ชวี ิตประจาวัน วฒั นธรรม - เหน็ คณุ คาํ ของการปฏบิ ตั ิตนเป็นพลเมอื งดีตามวถิ ีประชาธปิ ไตยและมีคณุ ธรรม - เหน็ คณุ คาํ และประโยชนของการปฏิบตั ิตนตามกฎหมาย 9. กระบวนการจัดการเรียนรูแ้ ละกิจกรรมการเรียนรู้ ขัน้ ที่ ๑ กาหนดสภาพปัญหาการเรียนรู้ (O : Orientation) 1. ครชู วนผเู๎ รยี นพูดคยุ เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญวาํ มคี วามสาคญั และเกี่ยวข๎องกับการดาเนิน ชีวติ ประจาวนั อยาํ งไร 2. ครแู ละผูเ๎ รยี นรวํ มกนั อภปิ รายเรอ่ื งโครงสรา๎ งและสาระสาคัญของรัฐธรรมนญู แหงํ ราชอาณาจักร ไทยพร๎อมกับพูดคยุ เรื่องบทบาท หนา๎ ทใี่ นการปฏิบัติเปน็ พลเมอื งดี 3. ครูเปดิ โอกาสให๎ผเ๎ู รียนซักถามข๎อสงสัยกํอนเข๎าสบูํ ทเรยี นขัน้ ตํอไป ขน้ั ท่ี ๒ แสวงหาขอ้ มูลและจัดการเรยี นรู้ (N : New ways of learning) 1. ครแู จกใบความรูเ๎ รื่อง ความเป็นมา หลกั การ เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ 2. ครูให๎ผเู๎ รียนศกึ ษาใบความร๎ู พรอ๎ มทัง้ สรปุ ใจความสาคญั มาตามความเข๎าใจของนกั ศึกษา 3. ครูสุมํ ตวั อยาํ งผูเ๎ รยี นออกมาแสดงความความคิดเห็นตามทีต่ นเองสรุปไว๎

110 4. ครแู บํงกลํุมผเ๎ู รียนออกเป็น 2 กลมํุ เพอื่ ศึกษากรณีตวั อยํางเกีย่ วกับเหตุการณ์ 14 ตุลา และ พฤษภาทมฬิ วาํ เกดิ การเปลย่ี นแปลงอยํางไรจากกรณตี ัวอยํางท่ี 2 กรณี 5. ครูให๎ผู๎เรยี นสํงตัวแทนกลมํุ นาเสนอความรูจ๎ ากการศกึ ษากรณตี วั อยําง พร๎อมถกแถลงรวํ มกนั 6. ครใู ห๎ผ๎ูเรียนทาใบงาน เรอ่ื ง ความเป็นมา หลักการ เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนญู 7. ครแู จกใบความร๎ู เรื่อง โครงสรา๎ งและสาระสาคัญของรัฐธรรมนูญ 8. ครูแบงํ กลํุมผู๎เรียนออกเป็น 3 กลํุม แลว๎ ให๎แตลํ ะกลุมํ คัดเลอื กหัวหนา๎ กลุํม รองหัวหน๎ากลุมํ และเลขานุการการ จากนัน้ ใหห๎ ัวหน๎ากลุมํ ออกมาจบั ฉลากเพื่อเลือกหัวข๎อของรฐั ธรรมนูญแหํงราชอาณาจกั รไทยท่ี จะตอ๎ งนาไปศึกษาคน๎ ควา๎ พร๎อมยกตวั อยํางรฐั ธรรมนูญทจ่ี าเปน็ และการนาไปใช๎สาหรบั การดาเนินชีวิตในสงั คม ปัจจบุ ันดังน้ี ดังน้ี หมวด 3 สิทธเิ สรีภาพของชนชาวไทย หมวด 4 หนา๎ ท่ีของชนชาวไทย หมวด 14 การปกครองสํวนทอ๎ งถน่ิ 9. ครูใหผ๎ ู๎เรียนแตํละกลํมุ จัดบอร์ดแสดงผลงานของแตลํ ะกลมุํ ตามหวั ข๎อที่ไดไ๎ ปศกึ ษาแล๎วนาผลงาน มานาเสนอหนา๎ ช้ันเรียน 10. ครูแจกใบความร๎ู เร่ืองสทิ ธิ เสรีภาพและหน๎าที่ของประชาชน 11. ครใู หผ๎ ู๎เรียนศกึ ษาค๎นคว๎าขอ๎ มูลทเี่ ก่ียวกบั สทิ ธิเสรีภาพและหนา๎ ท่ีของประชาชนจาก ใบงาน หนงั สอื สอื่ สงิ่ พิมพห์ รือแหลงํ เรียนร๎ู เชนํ อนิ เตอร์เนต็ แล๎วสรปุ เป็นใบงานสํงครู 12. ครใู หผ๎ ๎เู รยี นนาผลการศกึ ษาคน๎ ควา๎ มานาเสนอในกลุํมผ๎ูเรียนให๎เพือ่ นฟงั โดยการสมํุ ตัวอยําง พร๎อมทง้ั ใหผ๎ ู๎เรยี นนาใบงานสํงครู ขั้นท่ี ๓ การปฏบิ ัตแิ ละการนาไปใช้ (I : Implementation) ครแู ละผูเ๎ รยี นรวํ มกันแลกเปลี่ยนเรียนรูแ๎ ละสรุปความร๎ูเบื้องต๎นท่ีไดจ๎ ากแบบสอบถาม เพื่อนามา วิเคราะห์สรปุ ผล และจดั ทารายงานรวบรวมเป็นแฟูมสะสมงาน ขน้ั ที่ ๔ การประเมนิ ผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) 1. ครูสงั เกตจากการมสี ํวนรวํ มของผู๎เรียน 2. ตรวจใบงาน 10. สอื่ /แหล่งเรียนรู้ - หนงั สือแบบเรียน - ใบงาน - ใบความร๎ู - สื่ออินเตอรเ์ น็ต ๑1. การวัดและประเมนิ ผล 11.1 วิธกี ารวดั และประเมินผล - แบบประเมินผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกบั ผอ๎ู ื่นของนักศึกษารายบคุ คล - ใบงาน 11.2 เครอื่ งมอื วดั และประเมินผล. - ประเมินผลการสังเกตพฤตกิ รรมการทางานรํวมกับผ๎ูอ่ืน ของนักศกึ ษารายบคุ คล - ผลจากการตรวจใบงาน

111 11.3 เกณฑก์ ารวดั และการประเมินผล - แบบประเมินผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานรํวมกับผ๎ูอน่ื ของนักศึกษารายบคุ คล ระดับดี พอใช๎ และควรปรบั ปรุง - ใบงานคะแนนเต็ม 10 คะแนน กจิ กรรมเสนอแนะ ............................................................................................................................. ............................................................ ......................................................................................................................................................................................... ลงช่ือ……………………………………ครผู ูส๎ อน (นางพรวรกานต์ ลีแวง) ครู กศน.ตาบล ขอ้ เสนอแนะของผู้บริหาร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ลงช่อื ……………………………………………ผู๎อนุมตั ิแผน (นางปทั มาภรณ์ ศรีเนตร) ผอู๎ านวยการ กศน.อาเภอจตุรพกั ตรพมิ าน

112 บันทึกหลังการจัดการเรียนรู้ การจัดทาหน่วยเรยี นรูบ้ ูรณาการหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง กศน.ตาบลลิน้ ฟ้า ครัง้ ท่ี ๑1 วันที่ 26 เดอื น กรกฎาคม พ.ศ. 2565 ครูผสู๎ อน นางพรวรกานต์ ลแี วง ระดบั ประถมศึกษา เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐ น. สาระพัฒนาสงั คม รายวิชาศาสนาและหนา๎ ที่พลเมือง รหัสวิชา สค1๑๐๐2 จานวนผูเ๎ รียนทั้งหมด ............... คนเข๎าเรียน…………………คน ไมเํ ขา๎ เรยี น……………………….คน ๑. ผลการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้การประเมินโดยใช๎ แบบทดสอบกํอนเรยี น - หลังเรียน พบวํา คะแนนการทดสอบหลังเรียน มากกวํากํอนเรียนจานวน ........ คนคดิ เปน็ รอ๎ ยละ............ คะแนนการทดสอบหลงั เรยี น น๎อยกวาํ กํอนเรียนจานวน ......... คนคิดเปน็ ร๎อยละ............ ๒. เน้ือหา/สาระ ......................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............................ ............................................................................................................................. ............................ ๓. กิจกรรมการเรยี นการสอน ......................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............................................... ............................................................................................................................. ......... ๔. ปญั หา/อุปสรรค การเรียนการสอน ......................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............................ ๕. แนวทางการแก้ปญั หา .................................................................................................................................... ..................... ............................................................................................................................. ............................ ลงชื่อ....................................................... (นางพรวรกานต์ ลแี วง) ครผู ๎ูสอน วนั ท่ี.............../.................../............... ความคิดเห็น/ขอ้ เสนอแนะของผบู้ ริหาร ............................................................................................................................. ............................................................ ................................................................................................................................................... ลงชือ่ .................................................................. (นางปทั มาภรณ์ ศรเี นตร) ผูอ๎ านวยการ กศน.อาเภอจตรุ พกั ตรพมิ าน วันท.ี่ ............../.................../...............

113 ใบความรู้ท่ี 1 เรือ่ ง สทิ ธิ เสรภี าพบทบาทหนา้ ทขี่ องพลเมืองในวถิ ีประชาธปิ ไตย พ้ืนฐานความเป็นพลเมอื งในระบอบประชาธปิ ไตย สิ่งหน่ึงท่ีจะทาให๎สังคมไทยมีความสงบสุขและเกิดสันติสุขได๎ คือ คนไทยทุกคนต๎องปฏิบัติตนเป็นพลเมืองใน ระบบประชาธิปไตย มีหลักประประชาธิปไตยในการดารงชีวิต ปฏิบัติตนตามกฎหมาย และดารงตนเป็นประโยชน์ตํอ สังคม ซ่ึงการสร๎างความเป็นพลเมืองไมํใชํการทาให๎ประชาชนร๎ูถึงสิทธิและหน๎าที่ที่ตนเองมี แตํสิ่งที่จะต๎องทาให๎ ประชาชนได๎เรียนรู๎และเข๎าใจอยํางถูกต๎องส่ิงแรกคือ “พื้นฐานความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย มีหลัก 3 ประการ คอื 1. เคารพศักดิศ์ รีความเป็นมนษุ ย์ ทท่ี กุ คนเกิดมามีคุณคําเทํากันมิอาจลํวงละเมิดได๎ การมีอิสรภาพและความ เสมอภาค การยอมรับในเกียรติภูมิของแตํละบุคคล โดยไมํคานึงถึงสถานภาพทางสังคม ยอมรับความแตกตํางของทุก คน 2. เคารพสิทธิ เสรีภาพ และกฎกติกาของสังคมที่เป็นธรรม โดยให๎ความสาคัญตํอสิทธิ เสรีภาพ การมีกฎ กตกิ าทว่ี างอยํบู นความยุติธรรมและชอบธรรม มหี ลกั นติ ริ ัฐในการค๎ุมครองสิทธิเสรภี าพมใิ หถ๎ กู ละเมิด 3. รับผิดชอบตํอตนเอง ผู๎อื่น และสังคม โดยตระหนักถึงบทบาท หน๎าที่ของความเป็นพลเมืองในระบอบ ประชาธปิ ไตยท่มี ุํงเน๎นเนอื้ หาทม่ี ีคณุ ลักษณะสาคญั ในหน๎าท่แี ละความรับผิดชอบของตนเองตํอสังคม การดารงตนเป็น ประโยชนต์ อํ สงั คมชํวยเหลือเก้อื กลู กนั ใช๎สติปัญญาในการแก๎ไขปัญหาด๎วยเหตุและผล ดังนั้น หากประชาชนได๎เข๎าใจ ในหลักพน้ื ฐานความเป็นพลเมอื ง ท้งั 3 หลกั การท่ีกลําวขา๎ งตน๎ อยาํ งถูกต๎องแล๎ว และสามารถนาไปปฏิบัติให๎เกิดผลได๎ กจ็ ะทาให๎สงั คมไทยพฒั นาเป็นสงั คมประชาธิปไตยอยํางแท๎จรงิ หลักพ้นื ฐานความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย การปกครองในระบอบประชาธิปไตย เป็นการปกครองที่ประชาชนทุกคนมีสํวนรํวมในการปกครองประเทศ การปกครองในระบอบประชาธิปไตยจะประสบความสาเร็จได๎นั้นจะต๎องสร๎าง “ความเป็นพลเมือง” ให๎ประชาชน สามารถปกครองตนเองได๎ ดังนั้น ความเป็น “พลเมืองในระบอบประชาธิปไตย” จึงมีคุณลักษณะที่สาคัญ คือ เป็น บุคคลท่ีสามารถแสดงบทบาทหน๎าท่ีและความรับผิดชอบของตนเองตํอสังคม อีกท้ังดารงตนเป็นประโยชน์ตํอสังคม ชํวยเหลือเก้อื กูลกัน อนั จะกํอใหเ๎ กดิ การพฒั นาสงั คมและประเทศชาติ ให๎เป็นสงั คมประชาธิปไตย ซึ่งการสร๎างพลเมือง ใหม๎ คี วามเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยนัน้ มีหลกั พนื้ ฐานอยูํ 3 ประการ ดงั น้ี 1.เคารพศักดิ์ศรคี วามเปน็ มนุษย์ 2. เคารพสิทธิ เสรีภาพ และกฎกติกาของสงั คมท่เี ป็นธรรม 3. รับผิดชอบตอํ ตนเอง ผู๎อื่น และสังคม ท้ังน้ี หลักพ้ืนฐานดังกลําว จะเป็นแนวทางในการปฏิบัติตนของการเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย ที่ มํุงเน๎นถึงการดาเนนิ ชวี ิตในสังคมประชาธปิ ไตย โดยในแตลํ ะหลกั การมรี ายละเอยี ดดังนี้ หลกั การที่ 1 เคารพศกั ด์ศิ รคี วามเป็นมนุษย์ได๎แกํ การยอมรับในเกียรติภูมิของแตํละบุคคล โดยไมํคานึงถึง สถานภาพทางสงั คม หลกั การนมี้ อี งค์ประกอบยอํ ย ดังน้ี 1.สานกึ รู๎ในคุณคาํ ศักดศ์ิ รคี วามเปน็ มนุษย์ 2. ตระหนกั ในความเสมอภาคของความเป็นมนษุ ย์

114 3. เคารพในความหลากหลายทางสังคมวฒั นธรรม 4. ยึดหลกั อดทน อดกลัน้ ตํอความคดิ เหน็ ทแ่ี ตกตาํ ง ศกั ดิ์ศรีความเปน็ มนษุ ย์ คืออะไร มนุษย์นอกเหนือจากต๎องมีปัจจัยสี่เพ่ือการดารงชีวิตแล๎วมนุษย์ยังถูกผลักดันด๎วยความปรารถนาท่ีจะเป็นที่ ยอมรับของคนในสังคม เพื่อให๎เกิดความเคารพตนเอง (Self esteem) และในสํวนนี้ได๎นาไปสูํความร๎ูสึกของความ ต๎องการมศี กั ดิ์ศรีนนั่ คอื “ศกั ดิ์ศรคี วามเปน็ มนษุ ย์” ศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์เป็นคุณคําที่มีลักษณะเฉพาะ อันสืบเนื่องมาจากความเป็นมนุษย์และเป็นคุณคําท่ี ผกู พนั อยูเํ ฉพาะกบั ความเป็นมนษุ ย์เทาํ นัน้ โดยไมขํ ึ้นอยํูกับเงื่อนไขอนื่ ใดท้ังส้นิ เชํน เช้อื ชาติ ศาสนา ศักดิ์ศรีความเป็น มนุษย์น้ันจะได๎รับความเคารพเสมอไมํวําบุคคลนั้นจะมีสถานะทางสังคมอยํางไร และยังคงมีติดตัวบุคคลตลอดไป ท้ัง ในเวลาท่ียังมีชีวิตอยํูหรือได๎สิ้นชีวิตไปแล๎ว ศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์มีฐานะเหนือกวําสิทธิเสรีภาพทั่วไป และเป็นคุณ คําที่มิอาจจะลวํ งละเมดิ ได๎ การเคารพศกั ด์ศิ รคี วามเปน็ มนษุ ย์เป็นการยอมรับในเกยี รตภิ ูมิของแตํละบุคคล โดยไมํคานึงถึงสถานภาพทาง สังคม สังคมปัจจุบันมักจะละเลยศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์ เพราะมีการให๎คุณคําของคนแตกตํางกัน สังคมท่ัวไปให๎ คุณคาํ ของความเป็นคนทสี่ ถานภาพทางสังคมของผู๎น้ัน เชํน เป็นกานัน นายทหาร นกยกรัฐมนตรี ผู๎พิพากษา เป็นต๎น สถานภาพทางสงั คมของคนแตลํ ะคน ไมใํ ชํตัวชี้วดั วาํ มนุษย์หรือคนนั้นมีศักด์ิศรีของมนุษย์หรือไมํ แตํศักดิ์ศรีความเป็น มนุษย์ คือ การใหค๎ ณุ คาํ ความเป็นคนตามธรรมชาติของมนุษย์ไมํวําจะเกิดมาพิการ เป็นเด็ก ผ๎ูหญิง ผู๎ชาย และเกิดมา เป็นคนปัญญาอํอน หรือยากจน คนทุกคนที่เกิดมาถือวํามีคุณคําเทํากัน ต๎องปฏิบัติตํอกันอยํางเสมอภาคกัน เพราะ การปฏิบัติตํอกันของผู๎คนในสังคมอยํางเสมอภาคกันเป็นการเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และหากมีผ๎ูกระทา ความผิดก็ต๎องวําไปตามกระบวนการกฎหมาย ผู๎ใดที่ละเมิดศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ของผู๎อื่น ผู๎นั้นกระทาผิด กฎหมายอยาํ งรนุ แรง กระทาผิดตํอหลักศาสนา และกระทาผิดตํอศีลธรรม การธารงไว๎ซึ่งศักด์ิศรีของความเป็นมนุษย์ จะต๎องกระทาโดยรัฐในเบื้องต๎น ได๎แกํ การพยายามขจัดตัวแปรที่จะนาไปสํูความเหล่ือมล๎าในสังคม สิ่งที่รัฐต๎องทาให๎ เกิดขึน้ ให๎ได๎กค็ อื ต๎องทาให๎มนุษยท์ ี่อยํูในสังคมอยภูํ ายใต๎การปกครองของรฐั ดารงชีวิตอยํางมีความสุข กลําวไดว๎ าํ ศักดิ์ศรคี วามเป็นมนุษย์ หมายถึง ความมีอิสรภาพในการท่ีจะกาหนดชะตาชีวิตของตนเองทั้งสิทธิ ในชีวิตและรํางกาย และสิทธิในความเสมอภาคในด๎านตํางๆ การได๎รับการยอมรับให๎เป็นสํวนหน่ึงของสังคม โดย ปราศจากเงอื่ นไข อาทิ เชื้อชาติ ศาสนา วัย และวัฒนธรรมท่ีแตกตํางกัน อันจะนามาซ่ึงการถูกลิดรอนสิทธิและความ เสมอภาคทางสังคม รวมไปถึงการถูกเลือกปฏิบัติจากคนในสังคมนั้นๆ โดยศักด์ิศรีของความเป็นมนุษย์ถือวําเป็นสิ่งท่ี ติดตัวทุกคนมาตั้งแตํกาหนด ไมํมีใครสามารถพรากสิทธิดงกลําวจากปัจเจกบุคคล (ความเป็นตัวตน) ได๎มนุษย์ทุกคน ลว๎ นมคี ุณคาํ ในตนเองซึง่ ควรจะได๎รบั การปฏิบัติอยาํ งเทําเทียมกนั ความเสมอภาคของความเป็นมนุษย์หมายถึงอะไร ความเสมอภาค เริ่มจากแนวคิดท่ีวําคนเรามีคุณคําและ ศกั ด์ศิ รเี ทาํ เทียมกนั ตง้ั แตเํ กิด มีศกั ยภาพ มีความสามารถที่จะเรียนรไู๎ ด๎ เปลย่ี นแปลงได๎ มนุษย์ตํางชํวยเหลือเก้ือกูลกัน จนทาให๎สังคมอยูํรอดจนทุกวันนี้ แตํละคนล๎วนมีคุรูปการ (การอุดหนุนทาความดี) ตํอมวลมนุษย์ตามกาลัง และ ความสามารถซึ่งแตํละคน รักชีวิต รักเกียรติศักด์ิของตน และต๎องการมีชีวิตอยูํรอดปลอดภัย มีความสุข สังคมต๎อง สร๎างคณุ คาํ ใหมํท่เี คารพคณุ คําและศักด์ิศรีความเป็นมนษุ ย์ ไมวํ ําจะแตกตํางหรือเหมอื นกันประการใด

115 ความเสมอภาค เปน็ คาทมี่ ักไดย๎ นิ พรอ๎ มกับคาวํา สทิ ธเิ สรีภาพ และศกั ดศิ์ รีความเป็นมนษุ ย์ กลุํมคาดังกลําวมี นยั สาคญั ตอํ การพิทักษ์ประโยชน์ สรา๎ งความสงบ และการอยํูอยาํ งสนั ติสาหรับมนุษย์ทกุ คนพึงได๎รับนับแตํการปฏิสนธิ ไปจนถงึ สิ้นชวี ิต ความเสมอภาคเป็นหลักสาคญั ในการเช่อื มประสานสิทธิ เสรีภาพและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ให๎เป็น จริงไดใ๎ นทางปฏิบัติ ความเสมอภาค (Equality)คืออะไร ความหมายตามหลักสิทธิมนุษยชน หมายถึง ความเทําเทียมของมนุษย์ ทุกคนในการได๎รับสิทธิพ้ืนฐานตามหลักสิทธิมนุษยชน โดยผํานการปฏิบัติตํอกันระหวํางมนุษย์ตํอมนุษย์ ด๎วยความ เคารพตํอสิทธิและศักดศิ์ รคี วามเปน็ มนุษย์ ความหมายตามหลกั กฎหมาย หมายถงึ หลักการพนื้ ฐานของความยุตธิ รรม ท่ีกาหนดให๎มีการปฏิบัติตํอบุคคล ทเี่ ก่ียวข๎องกับเรือ่ งน้นั ๆ อยํางเทาํ เทียมกัน ความหมายตามระบบประชาธิปไตย หมายถึง การท่ีประชาชนทุกคนในประเทศมีความเสมอภาค หรือความ เทําเทียมกันในเร่ืองสิ่งจาเป็นขั้นพ้ืนฐาน ในท่ีนี้หมายถึง ส่ิงท่ีจาเป็นข้ันพ้ืนฐานตํอการอยูํรอด และพัฒนาตัวเองตาม หลักสิทธิมนุษยชนคือ ปัจจัยสี่ ความม่ันคงปลอดภัยในชีวิตและรํางกาย การนับถือศาสนา การศึกษาและการรับรู๎ ขําวสาร การเข๎าถึงบริการสาธารณะและสวัสดิการสังคม การประกอบอาชีพ การมีสํวนรํวมทางการเมือง และการ ได๎รบั ความค๎ุมครองตามกฎหมาย ความหลากหลายทางสังคมวฒั นธรรม การสรา๎ งความเป็นพลเมอื งในสงั คมไทยที่สงํ เสรมิ ความเป็นประชาธปิ ไตย ยํอมต๎องสอดคล๎องกับ “วัฒนธรรม ของสังคมไทย” หากไมํสอดคล๎องกันแล๎ว ความเป็นพลเมืองก็ไมํมีความหมาย หรือไมํเป็นที่ยอมรับของคนในสังคม ดังนั้น การสร๎างความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยของไทย จึงต๎องกระทาควบคูํกันไปกับการ สร๎าง “วฒั นธรรมของสังคมไทย” ทีส่ อดคล๎องกับความเปน็ พลเมืองในระบอบประชาธปิ ไตยของไทยด๎วย การสรา๎ งวฒั นธรรมให๎กับพลเมอื งที่สาคัญคือ การสร๎าง “วัฒนธรรมทางจิตใจ” เป็นการสร๎างพลเมืองให๎มีจิต สาธารณะรักความเป็นธรรม สานึกในพันธะหน๎าที่ตํอสังคมและเพื่อนมนุษย์และมีความรู๎มากพอท่ีจะประเมินวําการ กระทาหน่ึงๆ ของตนจะมผี ละกระทบตอํ สํวนรวมอยาํ งไร เพ่ือจะเลอื กดที ่สี ุดวําตนควรจะทาอะไร และทาอยํางไร เพ่ือ สร๎างประโยชน์ให๎สังคมหรือสํวนรวม ขณะเดียวกันก็มีความกล๎าหาญทางจริยธรรมคือ กล๎าพูด กล๎าเขียน หรือกล๎า กระทาในสิ่งท่ีตนเชื่อวําถูกต๎องดีงามแม๎วําตนเองจะต๎องได๎รับผลร๎ายจากการพูด การเขียน การกระทาในส่ิงท่ีตนเชื่อ วําถูกต๎องดีงามก็ตาม นอกจากน้ียังต๎องใจกว๎าง รับฟังความคิดเห็นที่แตกตําง โดยพร๎อมท่ีจะพิจารณาความเห็นที่ แตกตาํ ง โดยพร๎อมท่จี ะพจิ ารณาความเห็นท่ีแตกตํางด๎วยใจที่เป็นธรรมใจกว๎างมากพอที่จะเปลี่ยนความคิดเม่ือได๎รับรู๎ เหตุผลและข๎อเท็จจริงที่ดีกวํา และเปิดโอกาสให๎ผู๎อื่นได๎มีสํวนรํวมในความสาเร็จตํางๆ วัฒนธรรมทางจิตใจจะเกิดข้ึน ได๎ก็ตํอเม่ือ “พลเมืองไทย” เป็นผู๎ท่ี “เห็นคุณคําความเป็นมนุษย์” บนพ้ืนฐานของความร๎ูความเข๎าใจคือ มีความร๎ู ความเขา๎ ใจมนษุ ยใ์ นบรบิ ททางสังคมหรอื ในเงือ่ นไขสภาพแวดลอ๎ มทีต่ ํางกัน ไมํใช๎มาตรฐานของตนเองในการตัดสินคน อื่นอยํางงํายๆ ยอมรับความแตกตํางหลากหลาย และมีความเห็นอกเห็นใจผ๎ูอื่นที่อยํูในบริบทหรือเงื่อนไข สภาพแวดล๎อมที่แตกตําง ไมํวําจะเป็นเรื่องของทัศนคติทางการเมือง หรื อความผิดพลาดที่เกิดจากความ ร๎ูเทาํ ไมํถึงการณ์ หรอื เกดิ จากสถานการณท์ กี่ ดดัน เป็นต๎น

116 การสร๎างวัฒนธรรมความเป็นพลเมืองอีกอยํางหน่ึงคือการสร๎างให๎พลเมืองมี “วัฒนธรรมทางความรู๎” เป็น การเสริมสรา๎ งใหม๎ ีความร๎ู ใหร๎ ูจ๎ ักใช๎วจิ ารณญาณ หรอื ทัศนะวิพากษ์ ความคิดเห็น และนโยบายของทุกฝุาย สามารถมี สํวนรํวมทางการเมืองอยํางฉลาดสร๎างสรรค์ ก็จะทาให๎สังคมไทยเป็นสังคมที่ใช๎ความรู๎ และใช๎สติปัญญาในการ แก๎ปัญหา แทนการใช๎อานาจเป็นหลักเป็นการเปลี่ยน “วิถีไทย” จาก “อานาจนิยม” เป็น “ความรู๎นิยม” หรือ “ปญั ญานิยม” ในปัจจุบันการนิยาม คาวํา“ความจริง ความดี ความงาม” ในสังคมไทยได๎แปรเปลี่ยนไปเพราะบริบททาง เศรษฐกจิ สงั คมและวฒั นธรรมเปล่ียนแปลงไป โดยเฉพาะเทคโนโลยีสารสนเทศ ทาให๎เกิดการ “คิดตําง” คือ คิดตําง บนฐานความเชื่ออีกแบบหน่ึง โดยไมํพยายามที่จะทาความเข๎าใจปรากฏการณ์ตํางๆ ที่ซับซ๎อนและรอบด๎าน นั่น หมายถึง เป็นการ “คิดในกรอบ” หรือ “มองมิตเิ ดยี ว” ความร๎ูเกยี่ วกบั การเปลี่ยนแปลงจะชํวยให๎พลเมืองไทยสามารถ ทีจ่ ะเข๎าใจ และมีทศั นะวพิ ากษ์ ตํอความคิด และตํอความเคล่ือนไหวในเร่ืองตําง ๆ มากย่ิงขึ้น วัฒนธรรมเดิมของไทย เรายงั มีทศั นะตํอความร๎ู คือ การทอํ งจา ประเด็นความร๎ูที่กลําวถึง คือ การเปลี่ยนจารีตทางความรู๎หรือวัฒนธรรมเดิม ของไทย เป็นวัฒนธรรมทางความร๎ูของพลเมืองในระบบประชาธิปไตย จะต๎องทาให๎การเรียนการสอนไมํเน๎นการ ทํองจาเน้ือหาวิชา แตํจะต๎องใช๎เน้ือหาวิชาเป็นเคร่ืองมือในการพัฒนาวิธีคิดวิธีการสร๎างความร๎ู ตลอดจนวิธีการ ประยกุ ต์ใชค๎ วามรูท๎ ี่ตระหนกั วาํ คนสามารถมองเห็น “ความจริง” ตาํ งกัน หรือมี “ความจริง” จากหลายมุมมอง ซึ่งแตํ ละคนต๎องสามารถมองจากมุมมองของคนอื่นๆ หรือสามารถมองจากมุมมองของคนท่ีมีฐานคิดตํางกัน ไมํคิดวําเรื่อง หนึ่งๆ จะต๎องมีคาตอบถูกหรือผิดท่ีตายตัว แตํพร๎อมจะเปลี่ยนความคิดหรือมุมมองของตนเม่ือพบคาอธิบายใหมํท่ี ดีกวาํ ความอดทน อดกลนั้ ในความแตกต่าง ความอดทน มาจากคาวํา ขันติ หมายถึง การรักษาปกติภาวะของตนไว๎ได๎ ไมํวําจะถูกกระทบกระทั่งด๎วยสิ่ง อันเป็นที่พึงปรารถนา หรือไมํพึงปรารถนาก็ตาม มีความม่ันคงหนักแนํนเหมือนแผํนดิน ซ่ึงไมํหว่ันไหววําจะมีคนเท อะไรลงไปไมํวําจะเป็นของเสีย ของหอม ของสกปรกหรือของดีงามก็ตาม งานทุกช้ินในโลกไมํวําจะเป็นงานเล็กงาน ใหญํ ที่สาเร็จขึ้นมาได๎นอกจากจะอาศัยปัญญาเป็นตัวนาแล๎ว ล๎วนต๎องอาศัยคุณธรรมประการหนึ่งเป็นพื้นฐานจึง สาเรจ็ ได๎ คุณธรรมนั้นกค็ อื “ขนั ต”ิ อดกลั้นในความแตกตําง หมายถึง การยอมรับความแตกตํางของกันและกันวําเป็นส่ิงที่ปกติของมนุษย์ ท้ัง ความแตกตํางในเรื่องกายภาพและในเรื่องพฤติกรรม ความร๎ูสึกนึกคิดการแสดงออกซึ่งความคิดเห็น และตราบใดที่ ความแตกตํางนั้นไมํทาความเดือดร๎อนเสียหายแกํผ๎ูใด การไมํกลําวหาใครงําย ๆ โดยไมํคิดใครํครวญให๎รอบคอบ เสียกํอน ซ่ึงการอดกล้ันในความแตกตํางจะเกิดข้ึนได๎ก็ตํอเม่ือคนเรามีความเคารพซ่ึงกันและกัน อันนามาซ่ึงการเห็น พ๎องต๎องกันที่จะไมํเห็นด๎วยกันได๎ และสามารถสร๎างเอกภาพในความแตกตํางของการอยํูรํวมกันในสังคมได๎ และ แนํนอนวาํ ความอดทน อดกล้นั ของแตํละคนยํอมไมํเหมือนกัน ขีดจากัดของคนก็ตํางกัน การท่ีจะตัดสินวําคนนั้น คน นี้ ไมํมคี วามอดทน อดกล้ัน จะตอ๎ งพจิ ารณาองคป์ ระกอบหลายๆ ดา๎ นด๎วยกนั จากทก่ี ลาํ วขา๎ งต๎น ในหลักพื้นฐานความเป็นพลเมอื ง ของการเคารพศกั ด์ิศรีความเป็นมนุษย์จึงเป็นการเคารพ ในความเป็นคน ในความเป็นมนุษย์โดยไมํแบํงชั้นวรรณะ ไมํดูถูก ดูแคลนกัน ไมํถือยศ ถือศักด์ิ ถือชาติตระกูล ถือชน ช้ัน และเคารพในความสามารถของกันและกัน เปิดโอกาสให๎แสดงความสามารถ แสดงความคิดเห็น ให๎การยกยํอง ชมเชย ยอมรับในความแตกตํางและพร๎อมท่ีจะอดทน อดกลั้น และถ๎าคนเราเคารพซ่ึงกันและกันมากข้ึนเทําใด ก็จะ

117 เกิดความเชื่อถือ ศรัทธา อันจะทาให๎เกิดความรักความปรารถนาดีตํอกัน เกิดความรํวมมือที่ดีตํอกันในสังคม เพื่อ สรา๎ งสรรค์สิง่ ดีๆ และรํวมกันแกไ๎ ขปญั หาตาํ งๆ ใหส๎ าเรจ็ ลลุ วํ งไปได๎ หลักการท่ี 2 การเคารพสทิ ธิ เสรีภาพ และกฎกติกาของสงั คมท่ีเปน็ ธรรมได๎แกํ การให๎ความสาคัญตํอสิทธิ เสรีภาพ กฎกติกา ของสังคมทีท่ กุ คนมสี ํวนกาหนดข้นึ หลักการนมี้ อี งค์ประกอบยํอยดังนี้ 1. รู๎จักสิทธิ และเสรีภาพของตนเอง โดยรู๎วาํ ตนเองเปน็ เจา๎ ของอธปิ ไตยและเปน็ สมาชกิ คนหนึ่งของสงั คม 2. เคารพและปกปอู งสทิ ธิและเสรภี าพของตนเอง ของผ๎ูอ่นื และของชมุ ชน โดยไมํให๎ผู๎ในลํวงละเมิดอันขัดตํอ กฎหมาย 3. เคารพกฎกติกาสังคม โดยกฎกติกาน้ันต๎องต้ังอยํูบนความยุติธรรมและความชอบธรรม หากยังมีกฎกติกา ใดไมํยุติธรรมและไมํชอบธรรม ก็ยํอมสามารถปรับปรุง แก๎ไข หรือยกเลิกตามครรลองหรือเง่ือนไขที่กาหนดไว๎ใน กฎหมาย มิใชํใช๎วิธกี ารอ่ืนใดท่ไี มํถูกตอ๎ งตามกฎหมาย 4. ยดึ หลกั นติ ิรัฐ (Rule of Law) โดยมีหลกั การพื้นฐานในการค๎ุมครองสิทธิ เสรีภาพของพลเมือง มิให๎ถูกลํวง ละเมิดโดยบุคคล กลํุมคน หรือรฐั สิทธิ เสรีภาพ คืออะไร สิทธิ (Rights)หมายถึง สิทธิเป็นส่ิงท่ีติดตัวมนุษย์ทุกคนตามธรรมชาติท่ีได๎เกิดมาเป็นมนุษย์ ซ่ึงไมํมีใครลํวง ละเมิดไดท๎ กุ คนที่เกดิ มามสี ิทธทิ ่ีจะมชี ีวติ อยูํรอด และต๎องมีชีวิตอยูํอยํางสมเกียรติและมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ความ มอี ยํขู องสิทธติ ามธรรมชาติน้ี แมเ๎ มอื่ ยงั ไมํมกี ฎหมายรองรับสทิ ธกิ ย็ ังมีอยูํ เสรภี าพ (Freedom)หมายถึง การที่มนุษย์สามารถทาอะไรก็ได๎ภายใต๎ของเขตของศีลธรรมอันดีงาม โดยไมํ เบยี ดเบียนสังคม หรือไมํลวํ งลา๎ สทิ ธิของบุคคลอนื่ หรือสทิ ธขิ องสํวนรวม เราจึงเห็นวํามีการใช๎คา 2 คานี้พร๎อมกัน คือ สิทธิและเสรีภาพ ในปฏิญญาสากลวําด๎วยสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ (Universal Declaration of Human Rights) มักจะใช๎คาวําสิทธิเสรีภาพท่ีจะแสดงความคิดเห็นและแสดงออก หรือสิทธิและเสรีภาพในการเลือกคูํครอง และสรา๎ งครอบครับ เปน็ ตน๎ สิทธิ เสรีภาพในความเปน็ พลเมอื ง เป็นสทิ ธิ เสรีภาพเกยี่ วกับการท่ีสามารถเรียกร๎องความต๎องการข้ันพื้นฐาน จากรัฐในฐานะที่เป็นราษฎรของรัฐได๎ ซึ่งรัฐมีหน๎าที่ให๎การสนองตอบในรูปของบริการสาธารณะ ถือเป็นสิทธิที่จะร๎อง ของได๎ จะรบั เอาได๎หรือเปน็ สิทธิที่ติดตัวมา โดยเกิดขึ้นมาจากความเป็นพลเมืองหรือราษฎรของรัฐ โดยที่รัฐไมํอาจจะ ปฏิเสธความรบั ผิดชอบหรอื ความชวํ ยเหลือดว๎ ยการเพิกเฉยไมกํ ระทาการตอบสนองตามข๎อเรียกร๎องของประชาชน ซ่ึง สิทธิและเสรภี าพที่รฐั มหี นา๎ ท่ใี นการให๎ความค๎งุ ครองได๎ เชนํ - สทิ ธแิ ละเสรีภาพในการศกึ ษา - สทิ ธขิ องผูบ๎ รโิ ภค - เสรีภาพในการชุมนมุ - เสรภี าพในการรวมตวั เป็นหมํูคณะ - สิทธิการรบั ขอ๎ มูลขาํ วสารจากรัฐ - เสรีภาพการจัดตั้งพรรคการเมือง

118 - สิทธิในการไดร๎ ับการบรกิ ารสาธารณสุข และสวสั ดีการจากรฐั - สทิ ธใิ นการฟอู งหนํวยราชการ - สิทธใิ นการมสี วํ นรํวมกับรัฐ - สิทธิในการคดั ค๎านการเลือกตง้ั - สทิ ธิในการเขา๎ ชอื่ เสนอกฎหมายและข๎อบญั ญตั ทิ ๎องถนิ่ - สทิ ธิในการเขา๎ ช่อื ถอดถอนผ๎ดู ารงตาแหนงํ ทางการเมืองทงั้ ระดับชาติ และระดับท๎องถิน่ ทง้ั นี้ การใช๎สิทธิในการเขา๎ ช่ือเสนอกฎหมายนนั้ มีขอบเขตจากัดตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแหํงราชอาณาจักร ไทยพุทธศักราช 2550 เฉพาะกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทยตามหมวด 3 และเก่ียวกับ แนวนโยบายพ้ืนฐานแหํงรฐั ตามหมวด 5 เทาํ นน้ั จากท่ีกลําวข๎างตน๎ สทิ ธเิ ปน็ สิ่งทจี่ ะร๎องขอได๎ หรือจะรับเอาได๎ หรือเป็นสิทธิที่ติดตัวมาโดยเกิดขึ้นมาจากความ เป็นพลเมืองของรัฐ ซ่ึงการได๎รับความยุติธรรมจากการใช๎สิทธิสาคัญกวําการได๎รับประโยชน์จากสิทธิที่เทํากัน เชํน พลเมืองท่ีเป็นเด็กได๎รับสิทธิการศึกษาภาคบังคับฟรี แตํพลเมืองท่ีเป็นผู๎ใหญํได๎รับสิทธิในการออกเสียงเลือกต้ัง และ สมัครรับเลือกต้ัง ขณะที่พลเมืองที่ด๎อยโอกาสจะได๎รับสิทธิการสงเคราะห์จากรัฐ ท้ังที่คนปกติทั่วไปไมํได๎รับสิทธิ ดังกลาํ ว ดังน้ัน สิทธิเสรีภาพในความเป็นพลเมือง จึงเป็นสิทธิของพลเมืองท่ีไมํจาเป็นวําทุกคนจะต๎องได๎รับประโยชน์ เทํากนั หากแตเํ ป็นสทิ ธิอะไรของใครก็เป็นหนา๎ ทขี่ องรฐั ทจ่ี ะต๎องรบั ผิดชอบในการสนองตอบตํอการใช๎สิทธินั้น กลําวคือ พลเมอื งที่เปน็ เดก็ ยํอมสามารถเรยี กรอ๎ งการศกึ ษาฟรีในภาคบังคับจากรัฐได๎ เชํนเดียวกับผู๎ใหญํก็ยํอมสามารถเรียกร๎อง การใช๎สิทธิออกเสียงเลือกต้ังได๎ ดังนั้น สิทธิเสรีภาพของพลเมืองจึงเป็นสิทธิที่สงวนไว๎ให๎ซ่ึงเป็นหน๎าที่ของรัฐท่ีจะต๎อง จดั หาใหป๎ ระชาชน ประชาธิปไตยคือการปกครองระบอบโดย “กติกา” ท่ีมาจากประชาชน ระบอบประชาธิปไตย ต๎องใช๎ “กติกา” การปกครองโดย “กติกา” คือการปกครองโดยกฎหมาย (The Rule of Law) หรอื ที่เรียกวาํ “นิตริ ัฐ” ซ่ึงหมายถึง รฐั ท่มี ีการปกครองดว๎ ยกฎหมาย และหลักแหํงกฎหมายที่เป็นธรรม หรือ รฐั ที่ปกครองโดยกติกา มิใชํปกครองโดยอาเภอใจ หรือใช๎กาลัง โดยทุกคนจะต๎องอยํูภายใต๎กฎหมาย และจะมีอานาจ กระทาการใดทกี่ ระทบตอํ สิทธเิ สรภี าพประชาชนได๎ ตํอเมอื่ มกี ฎหมายให๎อานาจไว๎เทํานั้น และเน่ืองจากประชาธิปไตย คือ การปกครองโดยประชาชน กฎหมายที่ใช๎ในการปกครอง จึงต๎องมาจากประชาชน กฎหมายในระบอบ ประชาธิปไตยจงึ มใิ ชคํ าส่ังของผ๎ูมอี านาจ หากเปน็ การตกลงกนั ของประชาชน วาํ จะอยูํรํวมกันโดยมีกติกาอยํางไร และ โดยเหตุที่มีประชาชนจานวนมากจนไมํสามารถจะไปออกกฎหมายด๎วยตนเองโดยตรงได๎ การออกกฎหมายจึงทาโดย ผํานผแู๎ ทน และนค่ี ืออานาจหน๎าทีข่ องสภาผ๎ูแทนราษฎรท่ี “ราษฎร” ไดเ๎ ลอื กเขา๎ ไปทาหน๎าที่ออกกฎหมายแทนตนเอง การปกครองในระบอบประชาธิปไตยมีการแบํงอานาจออกเป็นอานาจนิติบัญญัติ (ตรากฎหมาย) อานาจ บรหิ าร (ใช๎กฎหมาย) และอานาจตุลาการ (ตีความกฎหมาย) เพ่ือให๎เกิดการตรวจสอบและถํวงดุลอานาจ (checks & balances) ไมํให๎ผู๎มีอานาจใช๎อานาจได๎ตามอาเภอใจ หากต๎องใช๎ภายใต๎กฎหมายหรือกติกาที่มาจากประชาชน ประเทศที่ปกครองด๎วยระบอบประชาธิปไตยจะต๎องนาหลักการทั้งหลายเหลํานี้มาบัญญัติไว๎ในรัฐธรรมนูญ การ ปกครองในระบอบประชาธิปไตยรฐั ธรรมนญู จึงเปน็ “กฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ” หลักการท่ี 3 รบั ผดิ ชอบตอ่ ตนเอง ผอู้ นื่ และสังคม

119 เปน็ การตระหนกั ถงึ บทบาท หน๎าทีแ่ ละพันธกจิ ของความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย มีองค์ประกอบ ยํอยดังน้ี 1.ทาหน๎าที่ของตนเองในฐานะสมาชิกของสังคม เชนํ การเสยี ภาษี การเกณฑท์ หาร เปน็ ตน๎ 2.กาหนดทศิ ทางของสงั คมรํวมกนั เพอ่ื นาไปสูสํ ังคมที่เปน็ ธรรมและสันติสขุ เชนํ การไปใช๎สิทธิเลือกต้ัง การมี สํวนรวํ มในการประชาพจิ ารณ์ เปน็ ตน๎ 3. ใชห๎ ลกั การประชาธปิ ไตยในการแกป๎ ัญหาของสงั คม เชํน การมสี วํ นรวํ มในการแก๎ปัญหาด๎วยเหตุและผลใน เวทสี าธารณะ เป็นต๎น 4. ยอมรับหลกั เสยี งข๎างมากและเคารพสทิ ธิเสยี งข๎างน๎อย เชนํ การเคารพมติท่ีประชมุ เป็นตน๎ หน้าท่แี ละความรับผดิ ชอบของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย การอยูํรํวมกันในสังคมประชาธิปไตยนั้น นอกจากจะมีสิทธิเสรีภาพแล๎ว ส่ิงท่ีจะขาดไมํได๎อีกประการหน่ึงคือ หน๎าท่ีและความรับผิดชอบ ในสังคมประชาธิปไตยนอกจากได๎กาหนดในเร่ืองของสิทธิเสรีภาพไว๎แล๎ว ยังได๎กาหนด หน๎าท่ีของประชาชนไว๎อีกด๎วย การที่ต๎องกาหนดหน๎าท่ีของประชาชนในสํวนท่ีเกี่ยวข๎องกับรัฐไว๎เชํนนี้ก็เพื่อให๎ ประชาชนในระบอบประชาธิปไตยได๎เกิดความตระหนักวํา ภายใต๎การปกครองน้ีประชาชนจะต๎องเสียสละความรู๎ ความสามารถของตนเองเพื่อประโยชน์ตํอสํวนรวมและความเจริญก๎าวหน๎าของการปกครองระบอบประชาธิปไตย รฐั ธรรมนูญแหงํ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช 2550 ได๎กาหนดหน๎าที่สาคัญๆ อันจะเป็นประโยชน์แกํสํวนรวมของ ชนชาวไทยไว๎ในหลายๆ ด๎าน เชนํ กาหนดให๎บุคคลมีหน๎าที่รักษาไว๎ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครอง ในระบอบประชาธปิ ไตยอันมพี ระมหากษตั ริยท์ รงเปน็ ประมุขและยงั มีหนา๎ ท่ีทีส่ าคัญอื่นๆ อาทิ 1. บคุ คลมีหนา๎ ทปี่ ฏิบตั ิตามกฎหมาย 2. บุคคลมหี นา๎ ทไ่ี ปใชส๎ ทิ ธิเลอื กตั้ง 3. บุคคลมีหน๎าท่ีปูองกันประเทศ รับราชการทหาร เสียภาษีอากร ชํวยเหลือราชการ รับการศึกษาอบรม พิทักษ์ปกปูอง และสบื สานศิลปวฒั นธรรมของชาติ ภมู ิปญั ญาทอ๎ งถิ่น อนุรกั ษ์ทรัพยากรธรรมชาติและส่งิ แวดลอ๎ ม 4. บุคคลผู๎เป็นข๎าราชการ พนักงาน หรือลูกจ๎างของหนํวยราชการ หนํวยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือ ของราชการสํวนท๎องถ่ิน และเจ๎าหน๎าที่อื่นของรัฐ มีหน๎าท่ีดาเนินการให๎เป็นไปตามกฎหมายเพื่อรักษาประโยชน์ สวํ นรวม อานวยความสะดวกและให๎บรกิ ารแกํประชาชน การปกครองในระบอบประชาธิปไตยจะมีความเจริญก๎าวหน๎าไปมากน๎อยเพียงใดหรือไมํน้ัน สํวนหน่ึงก็อยํูที่ ความรับผิดชอบของประชาชน ถ๎าพ้ืนฐานความรับผิดชอบของประชาชนสํวนใหญํยังไมํดีแล๎ว การปกครองระบอบ ประชาธิปไตยก็มักจะขาดเสถียรภาพตามไปด๎วย ในเรื่องความรับผิดชอบนั้นสามารถจาแนกได๎ออกเป็น 2 สํวนคือ ความรบั ผิดชอบตํอตนเองและความรับผิดชอบตอํ สังคม ความรบั ผดิ ชอบต่อตนเอง หมายถึง การรับรูฐ๎ านะและบทบาทของตนทเ่ี ป็นสํวนหนึ่งของสังคมจะต๎องดารงตนให๎อยํูในฐานะท่ีชํวยเหลือ ตัวเองได๎ รู๎จักวําสิ่งใดถูก สิ่งใดผิด ยอมรับผลการกระทาของตนเองทั้งท่ีเป็นผลดีและผลเสีย เพราะฉะนั้นบุคคลที่มี ความรับผดิ ชอบในตนเองยํอมจะไตรตํ รองดูใหร๎ อบคอบกํอนวาํ สิ่งทจี่ ะกํอให๎เกิดผลดีเทาํ นัน้ ความรบั ผดิ ชอบตอํ ตนเอง มีระดับแตกตาํ งกันไป เชํน เด็ก เยาวชนต๎องรบั ผดิ ชอบในเร่ืองการศึกษาหาความรู๎ การชํวยเหลือครอบครัวเทําที่จะทาได๎ ท้ังนี้ รวมถึงความรับผิดชอบในการเอาใจใสํดูแลพํอ แมํ ปูุ ยํา ตา ยาย หรือ

120 เครือญาติตามแบบวัฒนธรรมไทย ในวัยหนุํมสาวย่ิงต๎องมีความรับผิดชอบตํอตนเองมากย่ิงขึ้นไปอีก เชํน การ ขวนขวายหางานทา การคิดพัฒนาวิชาชีพให๎เกิดความเจริญก๎าวหน๎า วัยสูงอายุ ต๎องมีความรับผิดชอบในการนา ประสบการณ์ชีวิตที่ตนเองผํานพบมาถํายทอดให๎กับเยาวชนรํุนหลังได๎ศึกษา หรือแม๎แตํการอบรมส่ังสอนให๎ลูกหลาน เครอื ญาตปิ ระพฤติปฏบิ ตั ิตนเป็นคนดี ความรบั ผดิ ชอบต่อสงั คม หมายถึง ภาระหนา๎ ที่ของบคุ คลทจ่ี ะต๎องเกยี่ วขอ๎ ง และมีสํวนรํวมตํอสวัสดิภาพของสังคมที่ตนเองดารงอยํู ซ่ึง เป็นเรื่องท่ีเก่ียวข๎องกับหลายสิ่งหลายอยํางตั้งแตํสังคมขนาดเล็กๆ จนถึงสังคมขนาดใหญํ การกระทาของบุคคลใด บุคคลหนึ่งยํอมมีผลกระทบตํอสังคมไมํมากก็น๎อย บุคคลทุกคนจึงต๎องมีภาระหน๎าท่ีและความรับผิดชอบที่จะต๎อง ปฏบิ ตั ติ อํ สงั คม ดังตอํ ไปน้ี 1. ความรับผิดชอบตํอหน๎าท่ีพลเมือง ได๎แกํ การปฏิบัติตามกฎระเบียบของสังคม การรักษาทรัพย์สินของ สงั คม การชํวยเหลอื ผอ๎ู ่ืน และการใหค๎ วามรํวมมือกบั ผอ๎ู ืน่ 2. ความรับผิดชอบตํอครอบครัว ได๎แกํ การเคารพเช่ือฟังผ๎ูปกครอง การชํวยเหลืองานบ๎านและการรักษา ชือ่ เสียงของครอบครัว 3. ความรับผิดชอบตํอโรงเรียน ได๎แกํ ความตั้งใจเรียน การเช่ือฟังครู – อาจารย์ การปฏิบัติตากฎของ โรงเรยี นและการรักษาสมบตั ขิ องโรงเรยี น 4. ความรับผิดชอบตํอเพื่อน ได๎แกํ การชํวยตักเตือนแนะนาเม่ือเพื่อนกระทาผิด การชํวยเหลือเพ่ือนอยําง เหมาะสม การใหอ๎ ภัยเมื่อเพอ่ื นทาผดิ การไมํทะเลาะและเอาเปรยี บเพอ่ื น และการเคารพสทิ ธซิ งึ่ กันและกัน ทั้งน้ี ถ๎าหากประชาชนสํวนใหญํไมํเข๎าใจบทบาทหน๎าท่ีและความรับผิดชอบของตนเองแล๎ว การพัฒนา ประชาธิปไตยก็จะไมํเกิดขึ้น ด๎วยเหตุนี้ประเทศใดก็ตามที่ต๎องการให๎การปกครองระบอบประชาธิปไตยมีความเป็น ปึกแผํนม่ันคงแล๎วประเทศน้ันจะต๎องเรํงจัดการศึกษาให๎กับประชาชนอยํางท่ัวถึง ซึ่งประชาธิปไตยจะเจริญก๎าวหน๎า ตํอไปได๎น้ัน ประชาชนจะต๎องพัฒนาส่ิงเหลําน้ีด๎วย คือ การพัฒนาตนเอง การมีวินัยในตนเอง การเสียสละเพ่ือ ประโยชน์สวํ นรวม และการใชส๎ ติปญั ญาและเหตุผล การพัฒนาตนเอง ประชาธิปไตยจะพัฒนาก๎าวหน๎าไปได๎มากน๎อยเพียงใดนั้น ปัจจัยสาคัญอยูํท่ีการพัฒนา ตนเองของประชาชนเป็นหลัก การพัฒนาตนเองของประชาชน หมายถึง การพัฒนาในหลายๆ ด๎าน แตํการพัฒนา เบื้องต๎นท่ีสาคัญท่ีสุดก็คือ การพัฒนาตนเองทางด๎านการศึกษา คนท่ีมีการศึกษานั้นจะเป็นคนที่มีระบบและระเบียบ ทางความคิดอยํางเป็นเหตุเป็นผล เมื่อพบกับปัญหาใดปัญหาหน่ึงท่ีจะต๎องตัดสินใจก็จะใช๎ความรู๎ที่ส่ังสมมาน้ัน ไตรตํ รองเพอ่ื การตัดสินใจได๎อยํางมหี ลักมีเกณฑ์ การปกครองระบอบประชาธิปไตย มีความจาเป็นที่จะต๎องอาศัยคนท่ี มีความรู๎มากเป็นพิเศษ ท้ังน้ีเพราะความร๎ูของคนจะชํวยให๎การวิเคราะห์ส่ิงท่ีปรากฏขึ้นในสังคมเป็นไปอยํางถูกต๎อง มากข้นึ และมีความเป็นตัวของตัวเองสูงทจี่ ะตดั สินใจสง่ิ ใดไดด๎ ๎วยความเชอ่ื มัน่ โดยไมํต๎องมีใครมาโน๎มน๎าว การมวี ินยั ในตนเอง สังคมประชาธิปไตยเป็นสังคมของการอยํูรํวมกันโดยอาศัยกฎเกณฑ์ที่ประชาชนชํวยกัน เสนอแนวคิด โดยผํานผู๎แทนท่ีตนเลือกเข๎าไปทาหน๎าที่แทน แล๎วนากฎเกณฑ์นั้นประกาศให๎ทุกคนรับร๎ูรํวมกันวํา

121 จะตอ๎ งปฏบิ ตั ิรวํ มกันอยํางไร การที่ประชาชนยอมรับและปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ดังกลําวจนกํอให๎เกิดความเป็นระเบียบ เรียบรอ๎ ยขึน้ ในสังคมประชาธิปไตย ลกั ษณะเชนํ นีเ้ รยี กได๎วาํ ประชาชนในสังคมนน้ั เปน็ ผทู๎ มี่ ีระเบยี บวินัย วินัยในตนเอง หมายถึง การท่ีบุคคลใดบุคคลหนึ่งเลือกข๎อประพฤติปฏิบัติสาหรับตนโดยสมัครใจ ไมํมีใคร บังคับหรือถูกควบคุมจากอานาจใดๆ ข๎อประพฤติปฏิบัตินี้ต๎องไมํขัดกับความสงบสุขของสังคม วินัยในตนเองเกิดจาก ความสมคั รใจของบุคคลท่ผี าํ นการเรยี นรูอ๎ บรม และเลือกสรรไวเ๎ ปน็ หลกั ปฏิบตั ิประจาตน การเสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวม คนที่อยูํรํวมกันเพ่ือความสงบสุข ควรจะมีคุณธรรมคือ ความเสียสละ นั่นหมายถึงการเสียสละความสุขสํวนตัวเพื่อสํวนรวม เพราะถ๎าตํางคนตํางเห็นแกํตัว ไมํเห็นแกํคนอื่นแล๎ว สํวนรวมก็ จะเดอื ดรอ๎ นเมื่อสวํ นรวมเกิดความเดอื ดร๎อนเสยี แล๎ว ความสุขความสงบจะเกิดข้นึ ไดอ๎ ยํางไร ความเสียสละเป็นคุณธรรมข้ันพ้ืนฐานของผ๎ูท่ีอยูํรํวมกันในสังคม ทุกคนในสังคมต๎องมีน๎าใจเอื้อเฟ้ือ เสียสละ แบํงปันให๎แกํกัน ไมํมีจิตใจคับแคบ เห็นแกํตัว ความเสียสละจึงเป็นคุณธรรมเครื่องผูกมิตรไมตรี ยึดเหน่ียวจิตใจไว๎ เปน็ เคร่อื งมอื สรา๎ งลกั ษณะนสิ ยั ใหเ๎ ป็นคนทเี่ หน็ แกปํ ระโยชน์สุขสํวนรวมมากกวาํ ประโยชนส์ ขุ สวํ นตัว การเสียสละเป็นกิจกรรมสาคัญอยํางหนึ่งในสังคม เริ่มตั้งแตํครอบครัวท่ีเป็นหนํวยเล็ก ๆ ของสังคม ต๎อง เสียสละความสุขสํวนตัว เสียสละทรัพย์สินท่ีหามาได๎ด๎วยความเหนื่อยยากลาบากให๎แกํกัน ท้ังในยามปกติและคราว จาเปน็ ดังทเ่ี ห็นไดจ๎ ากการเสียสละ บริจาคทรพั ย์ สง่ิ ของเพือ่ ชํวยเหลือกนั มกั จะมีการรับบริจาคเพอื่ นาเงินหรือส่ิงของ ไปชํวยเหลือผู๎ที่ได๎รับความเสียหายอันเกิดจากภัยพิบัติตําง ๆ เชํน อุทกภัย วาตภัย เป็นต๎น หรือไมํก็มีการรับบริจาค ส่ิงของเพ่ือนาไปสร๎างเป็นสาธารณะประโยชน์ให๎แกํสังคมสํวนรวม บุคคลผู๎มีน๎าใจเสียสละมีจิตใจโอบอ๎อมอา รี เอ้ือเฟื้อเผื่อแผํทุกคนในสังคม ชํวยเหลือเทําท่ีเห็นวําสมควรจะชํวยเหลือได๎ เห็นใครควรแกํการชํวยเหลือก็ชํวยเหลือ ตามกาลังมากบ๎างน๎อยบ๎าง หรือบางคร้ังก็ชํวยเหลือด๎วยกาลังกาย กาลังทรัพย์ ซึ่งบางครั้งก็ด๎วยกาลังสติปัญญา โดย ทกุ ๆ คร้งั ทีช่ วํ ยเหลือมุํงจะปลดเปลื้องความทุกข์ของผ๎ูอื่นด๎วยความเต็มใจ ผู๎ที่ฝึกฝนมาดีในเรื่องของการเสียสละ ยํอม สละได๎โดยงําย ไมํต๎องฝืนใจ สามารถท่ีจะทาได๎อยํางสม่าเสมอ ความเอ้ือเฟ้ือเผ่ือแผํและการเสียสละท่ีเหมาะสม ยํอม ให๎ผลทด่ี เี สมอ กํอใหเ๎ กดิ ความชื่นชมยนิ ดตี ํอกนั ไมํวาํ จะเป็นผ๎ูให๎หรือผู๎รับ คนท่ีมีน๎าใจเสียสละคิดจะเฉลี่ยแบํงปันลาภ ผลและความสุขของแกํผ๎ูอ่ืน อยูํเสมอนั้น ใครๆ ก็อยากคบหาสมาคมด๎วย ดังน้ัน ผู๎ท่ีมองการณ์ไกลควรพยายาม เสียสละแบํงปันวันละนิด เป็นการสร๎างนิสัย อุปนิสัยและอัธยาศัยท่ีดีให๎แกํตนเอง ซึ่งอุปกนิสัยน้ีจะคํอยๆ ฝังลึกลงใน จติ ใจ กลายเป็นอุปนสิ ยั ทีม่ ่นั คงทาลายได๎โดยยาก สาหรับประชาชนในฐานะเป็นเจ๎าของประเทศ ท่ีมีหน๎าที่ต๎องเสียสละ รัฐได๎กาหนดให๎ประชาชนมีหน๎าท่ีเสีย ภาษีให๎กับรัฐด๎วยเหตุที่ประชาชนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดีจึงต๎องเสียภาษีให๎กับรัฐด๎วยจานวนเงินมากน๎อยตามที่รัฐ กาหนด ซ่ึงบางคนอาจจะเสียภาษีด๎วยจานวนเงินท่ีมาก บางคนอาจจะเสียภาษีเพียงเล็กน๎อย หรือบางคนที่มีรายได๎ น๎อยอาจจะไมํต๎องเสียภาษีแตํอยํางใด การเสียภาษีนับเป็นการเสียสละอยํางหนึ่งของประชาชนภายใต๎การปกครอง ระบอบประชาธิปไตย เงินภาษีดังกลําวจะเป็นเงินท่ีรัฐนาไปพัฒนาประเทศ เชํน สร๎างถนน จัดให๎มีน๎าประปา ไฟฟูา โรงพยาบาล ปรับปรุงสภาพแวดล๎อม เป็นต๎น ซึ่งส่ิงเหลํานี้จะเป็นประโยชน์ตํอสังคมโดยสํวนรวม การเสียสละเพื่อ ประโยชนส์ วํ นรวมเชํนน้ี บางคนตอ๎ งเสียสละมาก บางคนเสียสละนอ๎ ย ตามกฎเกณฑท์ ไ่ี ด๎กาหนดไวใ๎ นสงั คม การใช้สติปัญญาและเหตุผล การปกครองในระบอบประชาธิปไตย จาเป็นจะต๎องอาศัยความร๎ูความสามารถ ของประชาชนในการชํวยเหลือเก้ือกูลกัน เพื่อให๎เกิดการพัฒนาเจริญมากยิ่งข้ึนไป ซ่ึงการปกครองในระบบ

122 ประชาธิปไตยจะเจรญิ หรือเสอื่ มถอยขน้ึ อยูํกบั สตปิ ัญญาและการใช๎เหตุผลของประชาชนเปน็ สาคัญ โดยท่ัวไปแล๎ว คา วํา“สติ” กับ “ปญั ญา” นนั้ มักจะนาไปพดู ในความหมายทร่ี วมกนั เป็น “สติปญั ญา” “สติ”ท่ีเราพูดกันโดยทัว่ ไป หมายถึง การระลกึ ได๎ การไมพํ ลั้งเผลอ “ปัญญา”หมายถึง ความรอบรู๎ ปัจจุบันคาวํา“ปัญญา” ยังหมายถึง การรู๎เหตุรู๎ผล ร๎ูดีร๎ูชั่ว ร๎ูถูกรู๎ผิด รู๎ถึงการ ควรไมํควร รู๎คณุ รู๎โทษ ร๎พู นิ จิ พจิ ารณา รจ๎ู กั การวนิ ิจฉัย รู๎จักการจาแนกแยกแยะ เปน็ ต๎น การท่ีสังคมเกิดปัญหาความวํุนวายในทุกวันนี้ สาเหตุหนึ่งก็เพราะมนุษย์ขาดสิตยั้งคิด ทาให๎เกิดความ พลัง้ เผลอไปสรา๎ งความเดอื ดร๎อนใหก๎ บั ผู๎อนื่ เอารดั เอาเปรยี บผอู๎ ื่น จนเกดิ ความวนํุ วาย นอกจากสติแล๎ว สังคมของการ ปกครองในระบอบประชาธิปไตยยังต๎องการปัญญาของประชาชนในสังคมมาชํวยกันสร๎างสรรค์ประชาธิปไตยอีกด๎วย ปญั ญาเปน็ สิ่งจาเป็นสาหรับการปกครองในระบอบประชาธปิ ไตยเปน็ อยาํ งย่งิ เพราะปญั ญาของมนุษย์จะทาให๎เกิดการ พัฒนาสิง่ ตํางๆ ให๎เจริญกา๎ วหน๎ามากมาย มีการคดิ ค๎นระบอบการปกครองและใชป๎ ญั ญาคํอยปรับเปลี่ยนคํอยพัฒนาให๎ ระบอบการปกครองเหมาะสมตามยุคตามสมัยมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากใช๎สติปัญญาแล๎ว ยังจะต๎องใช๎เหตุผลเข๎ามา ชํวยในการตัดสนิ ใจในเรือ่ งท่จี ะนามาใชเ๎ ป็นหลกั เกณฑ์กาหนดให๎ทุกคนอยํรู วํ มกนั อยํางมคี วามสุข เหตุผล เป็นเร่ืองทีม่ ีความสาคญั ไมํน๎อยไปกวาํ เรื่องสติ ปญั ญา ท้งั สติ ปญั ญาและเหตุผล ตํางก็เปน็ องค์ประกอบของ กนั และกัน นนั่ คือ เม่อื รูจ๎ ักใช๎สติ แตถํ า๎ ขาดปัญญาแลว๎ สติเพียงอยํางเดียวก็ไมสํ ามารถสรา๎ งความเจรญิ ให๎กบั สังคมได๎ ในขณะเดยี วกันถ๎ามแี ตํปัญญาแตขํ าดสติ มนุษยก์ ็อาจจะใช๎ปัญญาไปในทางท่ีเอารดั เอาเปรยี บหรือสร๎างความ เดอื ดร๎อนแกสํ งั คมได๎ หรือถา๎ มีทั้งสตแิ ละปัญญา แตํไมํรจ๎ู ักการไตรํตรองดว๎ ยเหตุดว๎ ยผลแล๎ว สตกิ บั ปญั ญาก็อาจจะทา ให๎เกิดการตัดสินใจในเรื่องตาํ งๆ ไมํวาํ จะเป็นเรื่องชีวติ สังคม การเมือง หรือเรื่องอื่นๆ เกิดความผิดพลาดได๎เชํนกัน

123 ใบงาน เรือ่ ง หนา้ ท่ีพลเมอื ง เรือ่ ง ความร๎เู บ้ืองต๎นเกยี่ วกบั กฎหมาย …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. เรื่อง กฎหมายท่ีเก่ียวข๎องกบั ตนเองและครอบครวั …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. เรื่อง กฎหมายทเ่ี กี่ยวข๎องกับชมุ ชน …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. เรอ่ื ง กฎหมายอื่นๆ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. เรอ่ื ง การปฏิบัตติ นตามกฎหมายและการรักษาสทิ ธิ เสรภี าพ ของคนในกรอบของกฎหมาย …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

124 แผนการจดั การเรยี นรู้ รายวชิ าช่องทางการเขา้ สอู่ าชพี ครงั้ ที่ 12 การจดั ทาหนว่ ยเรยี นรู้บรู ณาการหลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2565 กศน.ตาบลลนิ้ ฟ้า ระดับประถมศึกษา ๑. สปั ดาห์ที่ 12 วนั ที่ 2 เดอื น มถิ นุ ายน พ.ศ. 2565 เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐น. ๒. วชิ า ชอ่ งทางการเขา้ สู่อาชีพ รหสั วิชา อช1๑๐๐๑ จานวน 2 หนวํ ยกิต 3. มาตรฐานท่ี ๓.๑ มคี วามร๎ู ความเข๎าใจและเจตคติทด่ี ีในงานอาชพี มองเหน็ ชํองทางและตดั สนิ ใจประกอบ อาชพี ไดต๎ ามความต๎องการและศักยภาพของตนเอง 4. หน่วยการเรียนร/ู้ เร่อื งช่องทางการประกอบอาชพี 5. สาระสาคัญ อาชพี ตา่ ง ๆที่อยู่ในท้องถิ่น ประเทศ ภูมภิ าค มีมากมายหลายอาชีพ แตล่ ะอาชีพตอ้ งใชค้ วามรคู้ วามสามารถ ทักษะต่างกนั 6. เน้ือหา ๑. ความสาคัญและความจาเป็นในการมองเห็นชอ่ งทางการประกอบอาชีพ ๒. ความเป็นไปไดใ้ นการเขา้ สู่อาชพี ในชุมชน ๓. การลาดบั อาชพี และเหตผุ ล 7. จุดประสงคก์ ารเรียนร้/ู ผลการเรยี นรทู้ ค่ี าดหวัง (ดจู ากผงั การออกข๎อสอบ) เมื่อศึกษาจบแล้ว ผ้เู รียนสามารถ ๑. อธิบายความสาคญั และความจาเป็นในการมองเหน็ ช่องทางการประกอบอาชพี ๒. ศกึ ษาอาชีพในชุมชน เพ่ือวิเคราะห์ ความเปน็ ไปได้ ๓. การลาดบั อาชพี โดยพจิ ารณา ความเป็นไปได้ 8. การบรู ณาการกับหลกั แนวคดิ ของเศรษฐกจิ พอเพยี ง (2 เงอ่ื นไข 3 หลักการ การเชอ่ื มโยงสู่ 4 มิติ) ความรู้ - นกั ศึกษามีความรเู๎ ร่ือง ชอ่ งทางการประกอบอาชพี - รจู้ กั วิธใี นการเลือกประกอบอาชีพ คุณธรรม - ซอื่ สัตย์ สุจรติ อดทน มคี วามเพียร ใช้สติปัญญาในการประกอบอาชีพ พอประมาณ - ความพอประมาณในการเลือกช่องทางประกอบอาชีพใหเ้ หมาะสมกับทนุ ทรัพย์ แรงงาน วชิ าชีพ อายุ เวลา ความชอบและความสนใจ มีเหตผุ ล -ความมีเหตผุ ลในการวางเป้าหมายของชีวิตในการประกอบอาชพี มภี มู ิคุ้มกนั

125 - มีงานทา มรี ายได้ มีเงินออม สามารถใชเ้ วลาว่างให้เกิดประโยชนส์ ูงสดุ วัตถุ - มีทักษะในการเลือกชอํ งทางการประกอบอาชีพได๎อยาํ งเหมาะสม สังคม - มกี ารอยูํรวํ มกันในชมุ ชน และทางานรํวมกับผอู๎ ่ืนได๎อยํางมีความสุข - สามารถนาความร๎ูเรื่องชอํ งทางการประกอบอาชพี ไปใช๎ในการดาเนนิ ชวี ิต สิ่งแวดล้อม - ประกอบอาชีพท่ีสุจริต ไมํเบียดเบียนผู๎อนื่ ทาใหช๎ มุ ชนนําอยํู วฒั นธรรม - การอยํูรวํ มกนั ในสงั คม ไมํเบียดเบียนผ๎ูอ่ืน 9. กระบวนการจดั การเรยี นรู้และกิจกรรมการเรยี นรู้ ข้ันท่ี ๑ กาหนดสภาพปญั หาการเรียนรู้ (O : Orientation) ๑. ครูอธิบายความสาคญั และความจาเปน็ ในการประกอบอาชีพ ในการทางานอาชพี ของตนเองได้ ๒. ให้นกั ศึกษาทาแบบทดสอบก่อนเรยี น ข้ันท่ี ๒ แสวงหาขอ้ มูลและจัดการเรียนรู้ (N : New ways of learning) ๑.ครู อธบิ ายความสาคัญและความจาเป็นในการมองเหน็ ช่องทางการประกอบอาชีพ ศึกษาอาชีพใน ชมุ ชน เพือ่ วเิ คราะห์ ความเป็นไปได้ การลาดับอาชีพ โดยพจิ ารณา ความเปน็ ไปได้ ๒.ทาแบบทดสอบหลงั การพบกลมุ่ ข้ันที่ ๓ การปฏบิ ัตแิ ละการนาไปใช้ (I : Implementation) ครสู รปุ ความสาคญั และความจาเปน็ ในการประกอบอาชีพ ลกั ษณะช่องทางการประกอบอาชีพ และ อาชีพในชมุ ชน สงั คม ประเทศ ขั้นท่ี ๔ การประเมินผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) ผู๎เรียนสามารถนาความรู๎ และประสบการณ์ในการประกอบอาชพี ที่ผู๎เรียนสนใจมาประยุกตใ์ ช๎ได๎ ใหน้ ักศึกษาทาใบงาน ช่องทางการประกอบอาชีพ 10. สอ่ื /แหล่งเรยี นรู้ - หนังสือแบบเรียน -ใบความร๎ู - ใบงาน - สือ่ อินเตอร์เน็ต ๑1. การวดั และประเมินผล 11.1 วธิ กี ารวดั และประเมนิ ผล - แบบประเมนิ ผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกบั ผ๎อู น่ื ของนกั ศึกษารายบคุ คล - ใบงาน 11.2 เคร่อื งมือวดั และประเมินผล.

126 - ประเมนิ ผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกบั ผอู๎ ่ืน ของนักศกึ ษารายบคุ คล - ผลจากการตรวจใบงาน 11.3 เกณฑ์การวัดและการประเมินผล - แบบประเมนิ ผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรํวมกับผ๎อู ่ืนของนกั ศึกษารายบคุ คล ระดบั ดี พอใช๎ และควรปรบั ปรงุ - ใบงานคะแนนเตม็ 10 คะแนน กิจกรรมเสนอแนะ ............................................................................................................................. ............................................................ ......................................................................................................................................................................................... …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชอ่ื ………………………………………ครผู ส๎ู อน (นางพรวรกานต์ ลีแวง) ครู กศน.ตาบล ขอ้ เสนอแนะของผู้บรหิ าร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ลงชอ่ื ……………………………………………ผูอ๎ นมุ ตั ิแผน (นางปัทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผู๎อานวยการ กศน.อาเภอจตรุ พักตรพิมาน

127 บนั ทึกหลังการจดั การเรียนรู้ การจัดทาหนว่ ยเรียนรบู้ ูรณาการหลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง กศน.ตาบลลน้ิ ฟ้า คร้งั ท่ี 12 วนั ท่ี 2 เดือน สงิ หาคม พ.ศ. 2565 ครูผสู๎ อน นางพรวรกานต์ ลแี วง ระดบั ประถมศึกษา เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐ น. สาระการประกอบอาชีพ รายวชิ าชอํ งทางการเข๎าสูํอาชีพ รหสั วชิ า อช1๑๐๐๑ จานวนผเู๎ รยี นท้งั หมด ............... คนเข๎าเรียน…………………คน ไมเํ ข๎าเรียน……………………….คน ๑. ผลการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้การประเมนิ โดยใช๎ แบบทดสอบกํอนเรียน - หลังเรียน พบวาํ คะแนนการทดสอบหลังเรียน มากกวํากอํ นเรียนจานวน ........ คนคดิ เป็นร๎อยละ............ คะแนนการทดสอบหลงั เรยี น นอ๎ ยกวํากํอนเรียนจานวน ......... คนคดิ เป็นร๎อยละ............ ๒. เนอื้ หา/สาระ ................................................................................................. ........................................................ ............................................................................................................................. ............................ ......................................................................................................................................................... ๓. กจิ กรรมการเรียนการสอน .......................................................................................................................... ............................... ............................................................................................................................. ............................................... ...................................................................................................................................... ๔. ปญั หา/อุปสรรค การเรียนการสอน ............................................................................................................................. ............................ ............................................................................................................................. ............................ ......................................................................................... ................................................................ ๕. แนวทางการแก้ปัญหา ............................................................................................................................. ............................ ............................................................................................................................................ ............. ลงช่ือ....................................................... (นางพรวรกานต์ ลีแวง) ครผู ๎สู อน วนั ท.่ี ............../.................../............... ความคิดเหน็ /ข้อเสนอแนะของผู้บริหาร ............................................................................................................................. ............................................................ ................................................................................................................................................... ลงชื่อ.................................................................. (นางปทั มาภรณ์ ศรเี นตร) ผอู๎ านวยการ กศน.อาเภอจตุรพักตรพิมาน

128 ใบความรู้ เร่อื ง ความสาคัญและความจาเป็นในการประกอบอาชีพ อาชพี หมายถึง การทากจิ กรรม การทางาน การประกอบการที่ไมเํ ป็นโทษแกํสังคม และมีรายไดต๎ อบแทน โดย อาศยั แรงงาน ความร๎ู ทักษะ อุปกรณ์ เครื่องมอื วิธกี าร แตกตํางกันไป กลุํมอาชีพตามลักษณะการประกอบอาชีพ มี ๒ลักษณะ คือ อาชีพอสิ ระ และอาชีพรบั จ๎าง ๑. อาชีพอิสระ หมายถงึ อาชีพทุกประเภทท่ผี ปู๎ ระกอบการดาเนินการด๎วยตนเอง แตเํ พียงผ๎ูเดยี วหรอื เป็นกลมํุ อาชีพอสิ ระเป็นอาชพี ท่ีไมตํ ๎องใช๎คนจานวนมาก แตหํ ากมีความจาเปน็ อาจมีการจา๎ งคนอ่ืนมาชวํ ยงานได๎ เจ๎าของ กิจการเปน็ ผูล๎ งทนุ และจาหนํายเอง คิดและตัดสินใจด๎วยตนเองทุกเรอ่ื ง ซ่ึงชวํ ยให๎การพัฒนางานอาชีพ เป็นไปอยาํ ง รวดเรว็ ทันตอํ เหตกุ ารณ์ การประกอบอาชีพอสิ ระ เชนํ ขายอาหาร ขายของชา ซํอมรถจักรยานยนต์ ฯลฯ ในการ ประกอบอาชีพอิสระ ผูป๎ ระกอบการจะต๎องมีความรู๎ ความสามารถในเรื่อง การบรหิ าร การจดั การ เชนํ การตลาด ทาเล ทตี่ งั้ เงนิ ทนุ การตรวจสอบ และประเมนิ ผล เปน็ ตน๎ นอกจากนยี้ ังตอ๎ งมีความอดทนตํองานหนัก ไมถํ ๎อถอยตอํ ปัญหาอปุ สรรคที่เกิดข้นึ มีความคดิ รเิ ร่มิ สร๎างสรรค์ และมองเห็นภาพการดาเนินงาน ของตนเองได๎ทะลุปรุโปรํง ๒. อาชีพรบั จา้ ง หมายถงึ อาชพี ทม่ี ีผ๎อู ืน่ เป็นเจ๎าของกิจการ โดยตัวเองเป็นผ๎รู ับจา๎ ง ทางานให๎ และไดร๎ ับ คําตอบแทน เป็นคาํ จ๎าง หรือเงินเดอื น อาชีพรบั จา๎ งประกอบดว๎ ย บุคคล ๒ฝุาย ซึง่ ได๎ตกลงวําจา๎ งกนั บคุ คลฝุายแรก เรยี กวาํ \"นายจ๎าง\" หรอื ผว๎ู ําจ๎าง บุคคลฝาุ ยหลงั เรียกวํา \"ลกู จา๎ ง\" หรอื ผู๎รบั จ๎าง มคี ําตอบแทนที่ผู๎วาํ จ๎างจะตอ๎ งจําย ให๎แกํ ผูร๎ บั จ๎างเรยี กวํา \"คําจ๎าง\" การประกอบอาชพี รับจา๎ ง โดยท่วั ไปมลี กั ษณะ เปน็ การรับจ๎างทางานในสถาน ประกอบการหรือโรงงาน เป็นการรบั จา๎ งในลักษณะการขายแรงงาน โดยได๎รบั คําตอบ แทนเปน็ เงินเดอื น หรือ คําตอบแทนที่คิดตามช้ินงานท่ีทาได๎ อัตราคําจา๎ งขึ้นอยํกู ับการกาหนด ของเจา๎ ของสถานประกอบการ หรือนายจา๎ ง การทางานผ๎รู บั จา๎ งจะทาอยํภู ายในโรงงาน ตามเวลาที่นายจา๎ งกาหนด การประกอบอาชีพรับจา๎ งในลกั ษณะน้ีมีข๎อดี คอื ไมํตอ๎ งเสีย่ ง กับการลงทุน เพราะลกู จา๎ งจะใช๎เครอ่ื งมอื อปุ กรณ์ทน่ี ายจ๎างจัดไวใ๎ หท๎ างานตามทีน่ ายจ๎าง กาหนด แตมํ ีข๎อเสยี คือ มกั จะเปน็ งานที่ทาซา้ ๆ เหมือนกนั ทุกวนั และต๎องปฏบิ ัติตามกฎ ระเบียบของนายจา๎ ง ในการ ประกอบอาชีพรับจา๎ งนัน้ มปี ัจจยั หลายอยํางที่เอือ้ อานวยให๎ผปู๎ ระกอบอาชีพ รับจา๎ งมคี วามเจริญกา๎ วหน๎าได๎ เชนํ ความร๎ู ความชานาญในงาน มีนิสัยการทางานที่ดี มีความกระตอื รือร๎น มานะ อดทน ในการทางาน ยอมรับกฎเกณฑ์ และเชือ่ ฟงั คาส่ัง มคี วามซ่ือสัตย์ สุจริต ความขยันหม่ันเพยี ร รบั ผิดชอบ มีมนุษย์สัมพันธท์ ่ดี ี รวมทั้ง สขุ ภาพอนามยั ที่ ดี อาชพี ตาํ ง ๆ ในโลกมีมากมาย หลากหลายอาชพี ซ่งึ บุคคลสามารถจะเลือกประกอบ อาชีพได๎ตามความถนัด ความ ตอ๎ งการ ความชอบ และความสนใจ ไมํวาํ จะเปน็ อาชีพ ประเภทใด จะเป็นอาชีพอสิ ระ หรืออาชีพรับจา๎ ง ถา๎ หากเป็น อาชพี ที่สจุ ริตยํอมจะทาให๎ เกิดรายได๎มาสูตํ นเอง และครอบครัว ถ๎าบคุ คลผูน๎ นั้ มีความมุํงมนั่ ขยนั อดทน ตลอดจน มี ความร๎ู ข๎อมูลเกี่ยวกบั อาชีพตําง ๆ จะทาให๎มองเห็นโอกาสในการเขา๎ สูํอาชพี และพฒั นา อาชีพใหมํ ๆ ให๎เกิดข้นึ อยํู เสมอ ความหมายและความสาคัญของการประกอบอาชีพ การประกอบอาชีพเป็นท่ีมาของรายได๎ เพื่อนาไปใชจ๎ ํายในการดารงชีวิต ซง่ึ จาเป็นตอ๎ งอาศัยปจั จัยสี่ ไดแ๎ กํ อาหาร ที่อยํูอาศัย เครือ่ งนํงุ หํม และยารกั ษาโรค ในอดีตส่ิงของตํางๆเหลาํ นเี้ ป็นหน๎าทขี่ องพํอแมํ

129 เปน็ ผ๎ูจดั หาใหแ๎ กสํ มาชิก ด๎วยการผลิตข้ึนใชเ๎ องในครอบครัว โดยไมจํ าเปน็ ต๎องใช๎เงนิ ซื้อหา ปจั จุบันการดารงชวี ิตใน สังคมไดเ๎ ปลี่ยนแปลงไป ประชาชนมีการศึกษามกข้ึน ความรทู๎ ไี่ ดร๎ ับจะเป็นพน้ื ฐานในการประกอบอาชีพ เพ่ือให๎มี รายได๎มาซ้ือปจั จัยส่ีและสงิ่ ของอื่นๆในการดารงชีวิตและสร๎างมาตรฐานทีด่ ีให๎แกตํ นเอง ครอบครัว และสังคม อาชีพ มีอยํมู ากมาย ควรพิจารณาเลอื กประกอบอาชีพทีม่ ีความถนดั และความสนใจ สจุ ริต มีความมั่นคงในชีวติ และมี รายได๎เพียงพอความจาเปน็ ของการประกอบอาชพี มีดงั นี้ ๑. เพ่อื ตนเอง เป็นการประกอบอาชพี เพ่ือให๎ไดเ๎ งนิ หรอื รายไดม๎ าจบั จํายใชส๎ อยสาหรบั การดาเนินชวี ิต และตอบสนอง ความตอ๎ งการของตนเอง เชํน ซ้อื เครอ่ื งซกั ผา๎ เครือ่ งตดั หญ๎า เตาไมโครเวฟ รถยนต์ ฯลฯ ซอ้ื สิง่ สรา๎ งความบันเทงิ และการพกั ผํอน เชนํ วทิ ยุ โทรทศั น์ วีดิทัศนต์ ลอดจนซื้อสินค๎า ฟมุ เฟือย เชนํ เครื่องประดบั ราคาแพง นา้ หอม เครอ่ื งสาอาง เป็นตน๎ ๒. เพีอ่ ครอบครัว ครอบครัวเป็นหนวํ ยสังคมทเ่ี ล็กทีส่ ุด สมาชิกของครอบครวั ประกอบด๎วย พํอ แมํ ลูก ซึ่งมภี าระหน๎าท่ีที่ จะตอ๎ งปฏิบตั ิตํอกัน เชนํ พอํ แมํมีหนา๎ ทเ่ี ลย้ี งดูลกู และให๎การศึกษา เพ่อื ประกอบอาชีพในอนาคต ลูกมหี นา๎ ท่ีศึกษา เลาํ เรียนจนสาเร็จการศกึ ษา แลว๎ แสวงหาอาชพี เพ่ือหารายไดม๎ าเล้ยี งดูตนเอง พํอแมํ และทุกคนในครอบครวั ให๎ มีมาตรฐานความเปน็ อยทํู ี่ดีข้ึน ๓. เพอ่ื ชมุ ชน ครอบครวั เปน็ สํวนหนงึ่ ของชุมชนหรือสงั คม หากสมาชิกแตลํ ะครอบครัวประกอบอาชีพที่สดุ จรติ ถูกต๎องตาม กฎหมาย และมีอาชีพท่มี นั่ คง รายไดด๎ ี และมโี อกาสก๎าวหน๎าภายในชมุ ชน ทาให๎ชุมชนเขม๎ แข็ง เศรษฐกิจของ ชมุ ชนเจริญรงุํ เรืองสามารถพ่ึงพาตนเองได๎ ๔. เพือ่ ประเทศชาติ เมอ่ื ประชาชนในชาตมิ กี ารประกอบอาชีพ มีรายได๎มาเลีย้ งตนเองและครอบครัว ทาให๎อัตราการวาํ งงานลด น๎อยลง ยอํ มเป็นการแกไ๎ ขปัญหาสงั คมให๎กับรัฐบาล สภาพสงั คมมคี วามเปน็ อยํูท่ีดี มีการใชท๎ รพั ยากรภายใน ชุมชน รายไดเ๎ กดิ การหมนุ เวียน ทาให๎เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศกา๎ วหนา๎ ผลจากการท่ปี ระชาชนประกอบ อาชพี มีงานทา มีรายได๎ ชุมชนมีความเข๎าแข็งและชาระภาษใี ห๎แกํรฐั เพื่อรฐั จะได๎นาไปพัฒนาประเทศในดา๎ น ตํางๆ เชํน การสรา๎ งถนน สะพาน เข่ือน โรงไฟฟูา เปน็ ตน๎ การประกอบอาชีพของประชาชน ในชมุ ชนและใน ประเทศ จึงเป็นการชวํ ยพัฒนาประเทศชาตไิ ด๎อีกทางหนงึ่ จากความจาเปน็ ดังกลาํ ว ทาให๎ทกุ คนในชาติตอ๎ งประกอบอาชพี เพอื่ ให๎มีรายได๎เลยี้ งตนเองและ ครอบครัว ซง่ึ จะนาพาความสขุ มาสํูชมุ ชนหรือสังคมโดยรวม และกอํ ให๎เกิดผลดตี ํอประเทศชาติในดา๎ นการสร๎าง ความเจรญิ และความม่นั คงทางเศรษฐกิจ การแก๎ไขปัญหาทางสงั คมและการพฒั นาประเทศใหก๎ ๎าวไกล สามารถ แขงํ ขันในระดับมาตรฐานสากลได๎ สรปุ อาชพี หมายถงึ การประกอบการทีม่ ีรายได๎ตอบแทนโดยใช๎แรงงาน ความรู๎ ทักษะอปุ กรณ์ เคร่อื งมือ สถานท่ี วธิ กี ารต๎องเป็นอาชีพสุจรติ และไมํมีผลเสยี ตํอชมุ ชนสงั คมและประเทศชาตมิ นุษย์เราจาเปน็ ตอ๎ งมีปจั จัยตํางๆ เพื่อ

130 ต๎องการดารงชีวติ เชนํ มที อ่ี ยํูอาศยั มีอาหารรบั ประทาน มีเครอื่ งนงํุ หํม มียารกั ษาโรคตาํ งๆ ซ่งึ ทัง้ ๔อยาํ งนจี้ ะเปน็ พ้ืนฐานของการดารงชวี ติ ทวั่ ไป แตํบางคนก็อาจมคี วามจาเปน็ อนื่ ๆ อีก เชํน รถยนต์ โทรศพั ท์มือถอื ข้นึ อยูํกบั ความ จาเป็นในการประกอบอาชีพ หรอื ความจาเป็นตํอการดารงชวี ติ ประจาวนั การจะมีปัจจัยตํางๆเหลาํ นี้ ขน้ึ อยูํกับฐานะ ทางการเงิน ซึ่งก็คอื ความสามารถในการหารายได๎ของแตลํ ะบคุ คล ใบงาน เรอ่ื ง ช่องทางการประกอบอาชพี ให้ผ้เู รยี นสรุปความร้ทู ี่ได้เรยี น ตอบคาถามในหัวข้อตอ่ ไปน้ี 1. เพราะเหตุใดคนทุกคนจะต้องมีอาชพี ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 2. ชุมชนจะได้ประโยชน์อย่างไรกับการท่ีคนในชุมชน มรี ายได้จากการประกอบอาชพี ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. ประเทศจะไดป้ ระโยชน์อะไรจากการที่คนในประเทศ มีรายได้จากการประกอบอาชีพ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 4. เพราะอะไรจึงต้องมีความรู้ ในเร่ืองอาชีพในชุมชน ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...

131 แผนการจัดการเรียนรู้ รายวิชาช่องทางการเขา้ สอู่ าชพี ครงั้ ท่ี 13 การจดั ทาหนว่ ยเรียนรู้บูรณาการหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2565 กศน.ตาบลลิน้ ฟ้า ระดับประถมศึกษา ๑. สปั ดาห์ท่ี 13 วันท่ี 9 เดือน สิงหาคม พ.ศ. 2565 เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐น. ๒. วชิ าชอ่ งทางการเข้าสู่อาชพี รหสั วิชา อช1๑๐๐๑ จานวน 2 หนวํ ยกติ 3. มาตรฐานท่ี ๓.๑ มีความรู๎ ความเข๎าใจและเจตคติท่ีดีในงานอาชีพ มองเหน็ ชํองทางและตัดสนิ ใจประกอบ อาชีพไดต๎ ามความต๎องการและศักยภาพของตนเอง 4. หน่วยการเรียนรู/้ เรอื่ งการงานอาชีพ 5. สาระสาคญั การงานอาชพี แบํงกลํมุ ได๎ดังนี้ อาชีพเกษตรกรรม งานอาชีพด๎านอุตสาหกรรม งานอาชีพด๎านพานิชยกรรม งานอาชพี ด๎านสร๎างสรรค์ และอาชีพยํอย ๆ อีกมากมาย ดังน้นั ควรศกึ ษาวิเคราะห์ ขอบขาํ ยอาชีพกระบวนการทางาน ให๎เข๎าใจ 6. เนอ้ื หา ๑. ความสาคญั และความจาเป็นในการประกอบอาชีพ ๒. อาชพี ในชมุ ชน ๓. การประกอบอาชพี ในภูมิภาค หา๎ ทวีป 7. จุดประสงคก์ ารเรียนรู/้ ผลการเรียนรทู้ ีค่ าดหวงั (ดูจากผงั การออกข๎อสอบ)เม่ือศกึ ษาจบแลว๎ ผู๎เรยี นสามารถ ๑. อธิบายความสาคญั และความจาเป็นในการประกอบอาชีพ ๒. อธิบายวิเคราะหล์ ักษณะขอบขาํ ยกระบวนการผลิตงานอาชพี ในชมุ ชน สงั คม ประเทศได๎ ๓. อธบิ ายการจัดงานอาชีพในชุมชนสงั คม ประเทศและภมู ิภาค ห๎าทวปี ได๎ ๔. อธิบายคุณธรรมจรยิ ธรรมในการทางาน ดา๎ นอาชีพได๎ ๕. อธบิ ายการอนุรักษพ์ ลังงานและสงิ่ แวดล๎อม ในการทางานอาชีพได๎ 8. การบูรณาการกบั หลกั แนวคดิ ของเศรษฐกิจพอเพียง (2 เงอ่ื นไข 3 หลกั การ การเช่ือมโยงสู่ 4 มติ )ิ ความรู้ - นกั ศึกษามคี วามรูเ๎ รื่อง ความสาคัญและความจาเปน็ ในการประกอบอาชีพ คณุ ธรรม - ซอ่ื สตั ย์ สจุ รติ อดทน มีความเพียร ใช๎สตปิ ัญญาในการประกอบอาชีพ พอประมาณ

132 - ความพอประมาณในการประกอบอาชีพใหเ๎ หมาะสมกับทุนทรพั ย์ แรงงาน วิชาชพี อายุ วัย ทาเลท่ตี ั้ง เวลาความชอบและความสนใจ มเี หตุผล - ความมีเหตุผลในการวางเปาู หมายของชวี ิตในการประกอบอาชีพ มภี ูมิคมุ้ กนั - มงี านทา มรี ายได๎ มีเงินออม สามารถใช๎เวลาวํางใหเ๎ กิดประโยชนส์ ูงสุด วัตถุ - ร๎จู กั เลือกประกอบอาชีพได๎อยํางเหมาะสมและค๎ุมคาํ - มีทักษะในการเลือกประกอบอาชพี สังคม - มที ักษะการอยูรํ ํวมกนั ในกลุํม และทางานรํวมกับผู๎อนื่ ได๎อยาํ งมีความสุข - สามารถนาความรูเ๎ ร่ืองการประกอบอาชีพ ไปใช๎ในการดาเนนิ ชีวิต สิ่งแวดล้อม -รูจ๎ กั ประกอบอาชีพทสี่ ุจรติ ไมํเบยี ดเบยี นผู๎อื่น ทาให๎ชมุ ชนนาํ อยํู วัฒนธรรม - การอยรํู วํ มกันในสังคม ไมํเบียดเบยี นผูอ๎ ่นื 9. กระบวนการจดั การเรยี นรแู้ ละกจิ กรรมการเรยี นรู้ ขนั้ ที่ ๑ กาหนดสภาพปญั หาการเรียนรู้ (O : Orientation) ๑. ครอู ธิบายความสาคัญและความจาเป็นในการประกอบอาชพี ในการทางานอาชีพของตนเองได๎ ๒. ให๎นกั ศึกษาทาแบบทดสอบกํอนเรยี น ขน้ั ที่ ๒ แสวงหาขอ้ มูลและจัดการเรยี นรู้ (N : New ways of learning) ๑. ครูอธบิ ายความสาคัญและความจาเปน็ ในการประกอบอาชีพ ลกั ษณะขอบขํายกระบวนการผลิต งานอาชีพในชุมชน สังคม ประเทศ การจดั งานอาชีพในชมุ ชนสงั คม ประเทศและภมู ิภาค ห๎าทวีป คุณธรรมจริยธรรม ในการทางาน ดา๎ นอาชีพได๎ อธิบายการอนุรักษ์พลงั งานและส่ิงแวดล๎อม ในการทางานอาชพี ได๎ ๒. ทาแบบทดสอบหลงั การพบกลุมํ ขั้นที่ ๓ การปฏิบัติและการนาไปใช้ (I : Implementation) ครสู รุปความสาคัญและความจาเปน็ ในการประกอบอาชีพ ลักษณะขอบขาํ ยกระบวนการผลิตงาน อาชพี ในชมุ ชน สงั คม ประเทศ ข้นั ท่ี ๔ การประเมินผลการเรยี นรู้ (E : Evaluation) ผูเ๎ รียนสามารถนาความรู๎ และประสบการณ์ในการประกอบอาชพี ท่ีผู๎เรียนสนใจมาประยุกต์ใชไ๎ ด๎ ใหน๎ กั ศึกษาทาใบงาน การงานอาชพี 10. สือ่ /แหล่งเรียนรู้ - หนังสอื แบบเรียน - ใบความร๎ู - ใบงาน - ส่อื อนิ เตอรเ์ น็ต 11. การวัดและประเมนิ ผล

133 11.1 วธิ ีการวดั และประเมินผล - แบบประเมินผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรํวมกบั ผู๎อน่ื ของนักศึกษารายบุคคล - ใบงาน 11.2 เครอื่ งมือวดั และประเมินผล. - ประเมนิ ผลการสังเกตพฤตกิ รรมการทางานรํวมกับผูอ๎ ื่น ของนกั ศึกษารายบุคคล - ผลจากการตรวจใบงาน 11.3 เกณฑ์การวัดและการประเมินผล - แบบประเมนิ ผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกบั ผ๎ูอน่ื ของนกั ศึกษารายบคุ คล ระดับดี พอใช๎ และควรปรบั ปรุง - ใบงานคะแนนเต็ม 10 คะแนน กจิ กรรมเสนอแนะ ............................................................................................................................. ............................................................ ......................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................ ......................................... ........................................................................................................................................................................................ ลงชอื่ ……………………………………ครูผู๎สอน (นางพรวรกานต์ ลแี วง ครู กศน.ตาบล ข้อเสนอแนะของผู้บรหิ าร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ............................................................................................................................. ............................................................ ......................................................................................................................................................................................... ลงชอ่ื ……………………………………………ผอู๎ นมุ ัติแผน (นางปทั มาภรณ์ ศรเี นตร) ผอู๎ านวยการ กศน.อาเภอจตรุ พกั ตรพมิ าน

134 บนั ทึกหลังการจัดการเรยี นรู้ การจดั ทาหนว่ ยเรียนร้บู ูรณาการหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง กศน.ตาบลลิ้นฟ้า คร้ังที่ 13 วันท่ี 9 เดอื น สงิ หาคม พ.ศ. 2565 ครูผู๎สอน นางพรวรกานต์ ลีแวง ระดับ ประถมศึกษา เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐ น. สาระการประกอบอาชพี รายวิชาชอํ งทางการเขา๎ สูํอาชีพ รหสั วชิ า อช1๑๐๐๑ จานวนผเ๎ู รยี นทง้ั หมด ............... คนเข๎าเรียน…………………คน ไมํเข๎าเรยี น……………………….คน ๑. ผลการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้การประเมนิ โดยใช๎ แบบทดสอบกํอนเรยี น - หลังเรียน พบวํา คะแนนการทดสอบหลังเรียน มากกวาํ กอํ นเรียนจานวน ........ คนคดิ เปน็ รอ๎ ยละ............ คะแนนการทดสอบหลงั เรยี น น๎อยกวํากํอนเรยี นจานวน ......... คนคดิ เป็นร๎อยละ............ ๒. เนอ้ื หา/สาระ ............................................................................................................................. ............................ ......................................................................................... ................................................................ ............................................................................................................................. ............................ ๓. กจิ กรรมการเรยี นการสอน ......................................................................................................................................... ................ .................................................................................................................. .......................................................... ............................................................................................................................. .......................... ๔. ปัญหา/อปุ สรรค การเรยี นการสอน ........................................................................................................................................... .............. .................................................................................................................... ..................................... ............................................................................................................................. ............................ ๕. แนวทางการแก้ปญั หา ............................................................................................................................. ............................ ...................................................................................................... ................................................... ลงช่อื ....................................................... (นางพรวรกานต์ ลีแวง) ครูผสู๎ อน วนั ท.ี่ ............../.................../............... ความคิดเห็น/ข้อเสนอแนะของผู้บริหาร

135 ............................................................................................................................. ............................................................ .......................................................................................................................................................................... ลงชื่อ.................................................................. (นางปัทมาภรณ์ ศรเี นตร) ผ๎อู านวยการ กศน.อาเภอจตรุ พักตรพมิ าน ใบความรู้ เร่ือง การงานอาชีพ เร่ือง อาชีพในชุมชน การเปล่ียนแปลงทางดา๎ นสงั คมและสิ่งแวดล๎อมความเจริญก๎าวหนา๎ ทางด๎านเทคโนโลยีมผี ลตํอชวี ติ ความ เปน็ อยูแํ ละโดยเฉพาะการประกอบอาชีพของคนในหมํบู ๎านได๎แกํการเกิดอาชีพใหมหํ รือการอนุรกั ษ๑อาชพี เดมิ ให๎อยูใํ น ท๎องถน่ิ ดงั น้ี ๑. การสรา๎ งอาชพี จากชํองวาํ งระหวํางอาชีพโดยอาศัยชํองวํางระหวํางอาชีพ๒ อาชีพเชํนอาชพี ขยายลาไม๎ไผํ โดยซอื้ จากแหลํงปลูกไปขายให๎กบั แหลงํ ทาเคร่อื งจักสาน ๒. การสร๎างอาชีพจากผลของการประกอบอาชพี โดยอาศัยผลพลอยไดจ๎ ากอาชีพเดิมเชนํ ทาภาชนะใสํของ จากทางมะพรา๎ วจากตน๎ มะพรา๎ วทปี่ ลกู เปน็ อาชีพอยูแํ ล๎ว ๓. การสรา๎ งอาชีพจากทรัพยากรทอ๎ งถ่ินเป็นการสรา๎ งอาชีพใหมโํ ดยการนาทรัพยากรทม่ี ีอยใูํ นท๎องถ่ินมาใชใ๎ ห๎ เป็นประโยชน๑เชนํ ทาอิฐจากดินเหนียวทม่ี ีอยูใํ นท๎องถ่นิ ๔. การสร๎างอาชพี จากความต๎องการของตลาดเป็นการสร๎างอาชพี ใหมํโดยอาศัยข๎อมลู ทางการตลาดเชํนเลี้ยง กบเพราะตลาดมีความต๎องการมากหรือปลูกผักปลอดสารพิษ ๕. การสร๎างอาชพี ที่ขาดแคลนในท๎องถ่ินเป็นการสร๎างอาชีพใหมํโดยอาศัยข๎อมลู ในทอ๎ งถนิ่ เชํนอาชพี รบั ซํอม มอเตอรไ๑ ซค๑เกิดขึน้ เพราะชํางในหมบํู ๎านขาดแคลน ๖. ประกอบอาชีพตามบรรพบุรษุ พํอแมํปุยู าํ ตายายทาอาชีพอะไรรุนํ ลกู รนํุ หลานก็จะดาเนินการตํอเชํนอาชพี ขายกว๐ ยเตี๋ยวถ๎ามชี ่ือเสียงกจ็ ะขายจนกระทั่งรุนํ ลกู รุํนหลาน ๗. ประกอบอาชีพตามสภาพภมู ปิ ระเทศซง่ึ ในประเทศไทยประกอบด๎วยสภาพพ้ืนทท่ี ี่เป็นภูเขาทีร่ าบลมํุ ทีด่ อน ดงั น้นั การเพาะปลูกขนึ้ อยกํู ับสภาพพนื้ ทีด่ ๎วย เชนํ ทีร่ าบลมํุ สามารถทานาได๎อยูใํ กล๎ทะเลประกอบอาชีพด๎านประมง หรอื บางทาเล สามารถจดั เป็นแหลํงทํองเที่ยวได๎ ๘. ประกอบอาชพี ตามนโยบายของรัฐบาลหรือของผปู๎ ระกอบการเองซงึ่ ในพืน้ ทีไ่ มํเคยทามากํอนเชนํ นา ยางพาราไปปลูกทางภาคอีสานแตํเดิมยางพาราจะปลูกกันทางภาคใต๎เปน็ สวํ นใหญํอาชีพในโลกนีม้ ีหลากหลายและ

136 คนเราต๎องมอี าชพี เพื่อให๎มีรายไดเ๎ ล้ียงตนเองครอบครัวการมีอาชพี ของตนเองต๎องอาศัยปัจจัยหลายอยํางเชํนความรู๎ ความสามารถเงนิ ทีใ่ ช๎ในการลงทุนมสี ถานท่มี ตี ลาดรองรบั อาชพี เหลําน้ไี ดแ๎ กงํ านบา๎ นงานเกษตรงานประดิษฐ๑และงาน ธุรกิจ งานบ้าน เปน็ อาชพี ท่ีเก่ียวกับงานบ๎านเชนํ ผ๎าและเคร่ืองแตงํ กายอาหารและโภชนาการผา๎ และเครื่องแตํงกายงานผา๎ และเครื่องแตงํ กายสิ่งสาคัญคือผา๎ สาหรบั ใช๎เปน็ วัสดุทสี่ าคัญในการนาผา๎ มาทาเครอ่ื งนงํุ หํมแลว๎ ยงั มปี ระโยชนใ๑ ช๎สอย อยาํ งอ่ืนอีกเชนํ ผ๎าปโู ต๏ะหมอนอิงทนี่ อนผา๎ มาํ นดังน้นั จงึ ควรมีความรู๎ความเข๎าใจเก่ยี วกบั ผา๎ นอกจากน้อี าจจะมงี าน บรกิ ารทเี่ กย่ี วข๎องตํางๆเชนํ งานซกั รดี งานรบั ปะชนุ เสื้อผา๎ ผ๎าท่ีนิยมเลือกใช๎ชนดิ ของผา๎ ทเี่ รารจู๎ กั กันแพรหํ ลายได๎แกํผ๎า ฝาู ยผ๎าลินนิ ผ๎าไหมผา๎ ขนสตั ว๑และผา๎ ทีท่ าจากเสน๎ ใยสังเคราะห๑ อาหารและโภชนาการ ความหมายของอาหาร อาหารหมายถึงสิง่ ทค่ี นรับประทานหรือกนิ เข๎าไปแล๎วมีผลทาให๎ราํ งกายเจริญเติบโตแข็งแรงและทาใหร๎ าํ งกาย ดาเนินชีวิตอยไูํ ดซ๎ ึ่งอาหารน้นั รวมไปถึงน้าดว๎ ย ความสาคญั ของอาหาร ๑. ทาใหร้ ่างกายมีการเจริญเติบโตเป็นสงิ่ ท่สี าคญั สาหรบั การเจรญิ เติบโตของเด็กหากรับประทานอาหารไมํ เพยี งพอกบั ความต๎องการของรํางกายอาจทาให๎เกิดโรคตาํ งๆไดแ๎ ละมสี ภาพราํ งกายไมํสมบูรณ๑ ๒. ทาให้ร่างกายมภี ูมติ ้านทานโรคเม่อื ไดร๎ ับอาหารที่เหมาะสมตามหลักโภชนาการแลว๎ ราํ งกายสามารถทจ่ี ะ ตํอสู๎กับเชือ้ โรคตํางๆได๎ ๓. มอี ายยุ ืน เม่ือรับประทานอาหารครบถ๎วนราํ งกายแข็งแรงทาให๎สุขภาพดแี ละมผี ลทาใหอ๎ ายยุ นื ยาว อาหารหลกั ๕หมู่ หมทู่ ๑่ี ไดแ๎ กอํ าหารประเภทเน้ือสัตว๑ตํางๆไขํปลานมถ่วั เมล็ดแหง๎ เป็นแหลํงของสารอาหารประเภทโปรตีน หมทู่ ๒่ี ได๎แกํอาหารประเภทข๎าวแปงู นา้ ตาลเผือกมนั ขา๎ วโพดเปน็ แหลงํ ของสารอาหารประเภทคาร๑โบไฮเดรต หมู่ท๓ี่ ไดแ๎ กํอาหารประเภทผักใบเขียวพืชผกั ตํางๆเปน็ แหลํงของสารอาหารประเภทแรํธาตุตาํ งๆและวิตามนิ หมู่ท๔่ี ได๎แกอํ าหารประเภทผลไมต๎ าํ งๆเป็นแหลงํ ของสารอาหารประเภทคาร๑โบไฮเดรตเพราะมีน้าตาลมาก จงึ ทาใหไ๎ ด๎พลังงานมากกวําผักและเปน็ แหลงํ ของแรธํ าตแุ ละวติ ามนิ ตาํ งๆ หมทู่ ๕่ี ไดแ๎ กอํ าหารประเภทไขมันที่ไดจ๎ ากสัตวแ๑ ละพชื เชนํ น้ามันหมูน้ามันถว่ั น้ามันงาน้ามันราขา๎ วเป็นแหลํง ของสารอาหารประเภทไขมัน อาหารหลัก๕หมทํู ี่กาหนดขนึ้ อยํูกับผบ๎ู รโิ ภคควรรบั ประทานให๎ครบประจาทุกวนั และได๎สดั สวํ นที่เหมาะสมกับ ความตอ๎ งการของรํางกายเพื่อรํางกายมสี ขุ ภาพท่ีดีไมํเปน็ โรคขาดสารอาหาร

137 อาชพี ทีเ่ ก่ียวขอ้ งกบั อาหารและโภชนาการ ๑. อาชีพเปดิ ร้านขายอาหาร เชํนขายขา๎ วแกงขายอาหารตามสง่ั ขายก๐วยเต๋ยี วขายขนมจนี บางรา๎ นอาจจะ ขายเฉพาะอยาํ งหรือหลายอยํางอยูใํ นร๎านเดยี วกนั ขนาดของร๎านขน้ึ อยํูกับการลงทนุ และจานวนลกู ค๎าดงั นั้นการตัง้ รา๎ นอาหารจะต๎องเลือกทาเล สารวจลักษณะของลูกค๎าเชํนรายไดข๎ องลกู คา๎ ความชอบชนิดและรสชาตขิ องอาหารการ เปิดรา๎ นอาหารต๎องควบคํไู ปกับการขายเครือ่ งดื่ม ๒. อาชพี ขายเครอื่ งดื่ม ร๎านประเภทนีจ้ ะเน๎นเครื่องด่มื เป็นหลกั ถา๎ เคร่ืองด่ืมขนาดเลก็ อาจจะขายเฉพาะ เครื่องดื่มประเภทกาแฟซงึ่ มหี ลากหลายชนดิ อาจขายตามข๎างทางหรือห๎างก็ได๎ถ๎าขายเครื่องดื่มทีม่ ีแอลกอฮอลก๑ ็อาจจะ มีอาหารประเภทของวาํ งใหแ๎ กลม๎ ดว๎ ยสํวนใหญกํ ็จะมดี นตรีและอาจมีสถานท่สี าหรบั เตน๎ ราได๎ท่เี รยี กกันวาํ Pub (ผบั ) ๓. อาชีพขายขนม อาจมีบางคนทต่ี ๎องการเปดิ ร๎านขายขนมอยํางเดยี วเชํนขายขนมทมี่ ีความเย็นขายขนม ประเภทไขขํ ายขนมไทยเชนํ บัวลอยเผือกเต๎าสวํ นขายประเภทเบเกอร่ีซึ่งอาจควบกับการขายเครื่องดมื่ ด๎วยการเรยี กชื่อ อาจแตกตาํ งกันเชนํ ร๎านขายข๎าวแกงอาจจะอยูขํ ๎างถนนในตึกแถวภตั ตาคารบางรา๎ นก็มีดนตรดี ว๎ ย ๔. อาชพี ขายอาหารปน่ิ โต อาชีพนี้ไมจํ าเปน็ ต๎องเปดิ รา๎ นขายอาหารแตํใช๎วิธีประชาสมั พนั ธใ๑ ห๎ทราบวํามี ธุรกิจประเภทนเ้ี พ่ือใหล๎ กู คา๎ ส่ังจองราคาและชนดิ ของอาหารขน้ึ อยูกํ ับการตกลงกนั บางคนรับอาหารเฉพาะวนั ทางาน และสามารถเลือกอาหารได๎อาชีพนี้ต๎องอาศยั รสชาติของอาหารเป็นหลกั การสํงตรงตํอเวลาการเลอื กสถานท่ีก็ไมํ จาเปน็ อาจจะใชส๎ ถานทีใ่ นบ๎านได๎ ๕. อาชีพถนอมอาหาร การถนอมอาหารเหมือนการเก็บอาหารใหม๎ อี ายยุ นื คงทน เชนํ การตากแห๎งการ รมควนั การดองการทาเค็มการใชน๎ ้าตาลอาชีพนี้ขึ้นอยํูกบั วัสดทุ รัพยากรทมี่ ีอยูํในท๎องถ่ินเชํนอยูใํ กล๎ทะเลก็อาจจะทา ปลาเค็มปลาแดดเดียวหอยดองหรือในท๎องถิน่ ท่ีมพี ชื ผักมากกจ็ ะถนอมผกั โดยการดองผัก หรือมผี ลไม๎มากกใ็ ชว๎ ิธีเช่อื มเชํนทามะตูมเช่ือม ๖. อาชีพบริการจัดเลย้ี ง เป็นอาชีพที่มบี รกิ ารจดั เลยี้ งอาหารนอกสถานที่เชํนจดั แบบบุฟเฟุตโ๑ ต๏ะจนี รายละเอยี ดเก่ยี วกับราคาและชนิดของอาหารข้นึ อยูํกับการตกลง งานเกษตร งานเกษตรหมายถึงงานที่เกย่ี วกับการปลกู พชื เลยี้ งสัตวแ๑ ละอาชพี ท่เี กีย่ วข๎องตามกระบวนการผลิตและการ จดั การผลผลิตมกี ารใชเ๎ ทคโนโลยีเพ่ือการเพ่ิมผลผลติ ปลกู ฝงั ความรับผิดชอบขยนั อดทนการอนุรกั ษ๑พลงั งานและ ส่งิ แวดลอ๎ มงานเกษตรสํวนใหญเํ ก่ยี วข๎องกบั การปลกู พชื จะเหน็ วาํ ในอดีตเรามีพืชหลายชนดิ ท่สี ามารถสํงออกไปขาย ตํางประเทศได๎ เชนํ ข๎าวยางพาราข๎าวโพดมันสาปะหลังสวํ นสัตว๑และการประมงยังน๎อยโดยเฉพาะการประมงตอ๎ งอาศัย สภาพพน้ื ที่ท่ีตดิ ชายทะเลการประกอบอาชีพเกษตรจะกา๎ วหนา๎ อยาํ งไรตอ๎ งเขา๎ ใจพ้ืนฐานเกษตรโดยเฉพาะเรอื่ งดนิ และ ปุ๋ยจึงเป็นสง่ิ สาคัญในการเจริญเตบิ โตของพืช อาชีพท่ีเกี่ยวขอ้ งกับงานเกษตร

138 ๑. อาชีพปลูกพืช อาจจะปลูกพชื ชนดิ เดียวหรือปลกู พชื หลายชนดิ ผสมกันเชนํ ปลกู พชื ผกั แตมํ ีหลายชนดิ หรอื ปลกู พืชประเภทตํางๆเชนํ ปลูกผักปลกู ผลไม๎และทานาด๎วย ๒. อาชีพเล้ียงสัตว เปน็ อาชีพทที่ าได๎ท่วั ประเทศการเลี้ยงสัตว๑บางชนดิ ขึ้นอยํูกบั สภาพพน้ื ท่ที รัพยากรและ สิ่งแวดลอ๎ มเชํนอยตูํ ดิ ทะเลก็ประกอบอาชีพประมงจับปลาจับหอย ๓. อาชีพเกษตรผสมผสาน เป็นอาชีพเกษตรประกอบด๎วยหลายประเภทท่มี ีการเก้ือกลู กันเชํนมีการปลูกพชื รวมกับการเล้ียงสัตว๑โดยเอาเศษพืชมาให๎สตั ว๑กินเอามลู สตั ว๑ไปใสํพชื หรอื ผสมผสานกันระหวาํ งพชื เชํนเก้ือกลู กันโดย อาศยั รํมเงาจากต๎นไม๎ทีใ่ หญํกวาํ ๔. อาชพี แปรรูปผลผลติ ทางการเกษตร โดยเอาผลผลติ ทางการเกษตรท่เี หลือจากการขายหรือเปน็ ชํวงที่มี ราคาตกตา่ กน็ ามาแปรรปู ได๎เชนํ การตากแหง๎ การดองการรมควนั การเช่ือม ๕. อาชพี พ่อค้าคนกลาง เปน็ อาชพี ทร่ี บั ซอ้ื สินค๎าจากอีกท่หี น่ึงไปยังอีกท่ีหนง่ึ ซง่ึ ไมํต๎องเป็นผูผ๎ ลติ เองเชนํ มี การรบั ซ้ือสินค๎าหลากหลายจากผผู๎ ลิตไปขายตลาด ๑. การปลกู พืช ประเภทของการปลกู พืช สามารถแบงํ พชื ออกตามลกั ษณะการใชด๎ งั นี้ (๑) พชื ไรํคือพืชทีป่ ลกู โดยอาศัยสภาพดนิ ฟูาอากาศในพืน้ ท่ีสวํ นใหญํอาศัยนา้ ฝนเชํนการปลูกข๎าวโพดอ๎อย ขา๎ วมันสาปะหลงั (๒) พชื สวนเชนํ ปลูกผกั ผลไม๎ไม๎ดอกไม๎ประดบั ต๎องมกี ารดแู ลรักษาอยาํ งใกลช๎ ดิ มนุษย๑ต๎องดแู ลมากกวําพชื ไรํ เชนํ ให๎น้าการปูองกันกาจัดศตั รพู ืช (๓) พืชปุาเปน็ พืชทีไ่ มํต๎องการดูแลรักษาหรือมนุษยป๑ ลูกขึ้นโดยอาศัยธรรมชาติทส่ี อดคล๎องกบั พืชชนิดท่ี เกิดขึน้ เองในปุาเชนํ การปลกู สักปลกู ไผํ (๔) พชื สมนุ ไพรหมายถึงพืชท่ีมสี รรพคุณในการรักษาโรคได๎ท้ังหมดพชื และสัตวบ๑ างชนิดยังนามาสกัดเป็น เครือ่ งสาอางเชํนวํานหางจระเข๎อญั ชันขมน้ิ เปน็ อาหารเสริมเชํนกระชายกระเทียมเปน็ เคร่ืองด่ืม เชํนบวั บกคาฝอยตะไคร๎ใชป๎ รุงแตํงอาหารเชํนหอมแดงมะนาว ๒. การเล้ยี งสตั ว ประเภทของการเล้ยี งสตั วแบํงตามลกั ษณะของสตั วไ๑ ด๎ดังนี้ (๑) สตั วใ๑ หญนํ ิยมเลี้ยงกันแพรํหลายเปน็ สตั ว๑ท่เี ล้ียงไว๎เพื่อใชง๎ านใชเ๎ ป็นพาหนะเลย้ี งเป็นอาชีพเชํนโคเนอ้ื โค กระบือ (๒) สัตวเ๑ ล็กนิยมเลี้ยงในครวั เรอื นเป็นอาชีพเปน็ อาหารหรือเพ่อื ความเพลดิ เพลินเชํนสุกรแพะกระตําย (๓) สัตว๑ปีกเป็นสัตว๑ประเภทมีปกี เชนํ ไกํเปด็ หํานนก (๔) สัตว๑น้าเปน็ สัตว๑ทอ่ี าศยั ในน้าหรือครึง่ บกคร่งึ น้าเชนํ ปลากุ๎งกบและตะพาบน้า

139 งานชา่ ง งานชา่ งหมายถึงงานหรอื สิ่งที่เกดิ ขน้ึ จากการทางานของชาํ งท่ีมีความร๎ูความชานาญในงานนั้นๆ ทกั ษะเปน็ สิ่งจาเป็นในการเป็นชํางเพราะเปน็ การสรา๎ งความรู๎ความชานาญในการทางานสิ่งใดสิ่งหนง่ึ โดยมีขั้นตอนดังนี้ ๑. การศึกษาหาความร๎ูกบั งานชาํ งนน้ั ๆกํอนที่จะลงมอื ปฏิบัติงานน้นั ๆเพ่ือให๎ทราบธรรมชาติของงานเชนํ งาน ไฟฟาู ต๎องเข๎าใจเก่ียวกับธรรมชาติของกระแสไฟฟูาการทางานของอปุ กรณ๑ตํางๆจากคูํมอื ประกอบของอปุ กรณน๑ ัน้ ๆ ๒.การวเิ คราะห๑สาเหตขุ องการชารดุ เสียหายของชนิ้ สวํ นอุปกรณ๑หรือส่ิงกอํ สร๎างศกึ ษาชนิดของวสั ดุและหน๎าท่ี ของชิ้นสวํ นอปุ กรณ๑ในแตํละสํวนกอํ นทาการถอดหรอื แก๎ไขซํอมแซม ๓. การจัดเตรียมอปุ กรณ๑ในการถอดประกอบช้นิ สวํ นในแตํละอปุ กรณ๑เคร่ืองมือในการซํอมเชนํ ค๎อนคีมไขควง ตลับเมตรฯลฯใหเ๎ หมาะสมกับลกั ษณะงานน้นั ๔. การวางแผนและกาหนดข้ันตอนการปฏิบตั งิ านในแตํละสํวนใหเ๎ หมาะสมและการใชว๎ ัสดอุ ปุ กรณ๑อะไรบา๎ ง งบประมาณทใี่ ช๎ความค๎มุ คํากับการซํอมบารงุ ๕. การปฏบิ ตั ิงานคอื การทางานทีละข้นั ตอนตามที่ได๎ศึกษาวเิ คราะห๑และวางแผนไว๎เปน็ การฝกึ ใหม๎ กี ารสังเกต ตรวจสอบและคน๎ คว๎าเพื่อทาการทดลองและแก๎ไขข๎อบกพรํองหรอื จดุ เสียให๎ดีข้ึนหรืออยูํในสภาพเดมิ ที่สามารถใช๎ได๎ ตํอไป ๖. เมอื่ ทาการซํอมแซมเรยี บร๎อยแล๎วให๎ตรวจสภาพความเรียบร๎อยอุปกรณ๑ใสํครบถ๎วนถูกตอ๎ งหรือไมํแล๎วจงึ ทาการทดลองวําสามารถใชไ๎ ด๎หรือไมหํ รือต๎องทาการปรับปรุงแกไ๎ ขให๎ดตี ํอไปประเภทของงานชําง ๑. ชํางไฟฟาู เปน็ ผู๎มีความชานาญเกีย่ วกับธรรมชาติและการทางานของระบบไฟฟูาประโยชน๑และโทษของ ไฟฟาู เชนํ เดนิ สายไฟในอาคารชํางวิทยโุ ทรทศั น๑ ๒. ชาํ งไมเ๎ ปน็ ผูม๎ ีความชานาญเกยี่ วกับงานไม๎เชนํ การทาเฟอรน๑ ิเจอรจ๑ ากไมท๎ าโต๏ะเก๎าอ้ีหรอื งานกํอสรา๎ งจาก ไม๎ ๓. ชาํ งยนตเ๑ ปน็ ผู๎มีความชานาญเกีย่ วกับเคร่ืองยนต๑กลไกการทางานของเครอ่ื งยนต๑เชํนเป็นชาํ งซํอมรถยนต๑ รถจักรยานยนต๑ ๔. ชาํ งประปาเปน็ ผมู๎ ีความชานาญเก่ยี วกับการวางทํอประปาธรรมชาตกิ ารไหลของน้าการเช่อื มตอํ ทํอใน ลักษณะตาํ งๆ ๕. ชํางปูนเป็นผูม๎ ีความชานาญเกย่ี วกับการกํออิฐถือปูนการฉาบการเทพน้ื คอนกรีต ๖. ชํางทาสเี ป็นผ๎มู คี วามชานาญเกย่ี วกับการทาสีกบั วสั ดุตํางๆแลว๎ ยังมีความชานาญเกยี่ วกบั การเลือกใช๎สีกบั วัสดุตํางๆ ๗. ชาํ งเชอ่ื มเป็นผู๎มีความชานาญเกยี่ วกับงานเชื่อมการใชเ๎ ครือ่ งมือเคร่ืองจักรในการเชอ่ื มอาชพี ทเี่ กยี่ วข๎อง เชนํ อาชพี ทาเหล็กดดั ประตูหน๎าตําง

140 อาชพี ทีเ่ ก่ียวขอ้ งกบั งานช่าง ๑. เปน็ อาชพี ตามความชานาญเชนํ ชํางไฟฟาู ชาํ งไมช๎ ํางยนตช๑ าํ งประปาชาํ งปูนชํางทาสีชาํ งเช่อื มโดยอาจใช๎ ความรู๎ความสามารถรบั งานเองมีการบริหารจัดการคดิ ราคาไดเ๎ องติดตามการทางานเองจัดการหาลูกคา๎ เองหรือบางคน ใชค๎ วามชานาญเป็นลูกจ๎างงานกอํ สร๎าง ๒. เปดิ ร๎านซํอมเชํนซอํ มเครื่องไฟฟูาซํอมเครือ่ งรถยนต๑ขึน้ อยกูํ ับความชานาญของแตํละคน งานประดิษฐ๑ งานประดษิ ฐ๑หมายถงึ สงิ่ ทที่ าขึ้นใหมํโดยใช๎วสั ดุตาํ งๆทั้งทเ่ี ป็นวัสดุเหลือใช๎หรือวสั ดทุ ่ัวๆไปแล๎วนาไปใชใ๎ ห๎เกิด ประโยชนเ๑ ชํน ๑. เป็นกจิ กรรมทช่ี ํวยใหเ๎ กดิ ความคิดรเิ รม่ิ สรา๎ งสรรค๑ ๒. เป็นการใชเ๎ วลาวาํ งให๎เกิดประโยชน๑ ๓. เป็นการฝึกให๎ร๎ูจักสังเกตส่ิงรอบๆตวั และนามาใช๎ประโยชนไ๑ ด๎ ๔. สรา๎ งความภาคภมู ใิ จกบั ผ๎ูประดิษฐ๑ ๕. สามารถสร๎างงานและสรา๎ งรายไดเ๎ พอ่ื เปน็ พน้ื ฐานการประกอบอาชีพได๎ขอบขาํ ยของงานประดษิ ฐ๑ งานประดิษฐตา่ งๆ สามารถเลือกทาไดต๎ ามความต๎องการและประโยชน๑ใชส๎ อยซงึ่ แบงํ เป็น๔ประเภทไดด๎ ังน้ี ๑. ประเภทของเลนํ เป็นของเลํนเพ่ือความเพลดิ เพลนิ ของเลนํ เพ่ือการคดิ เชํน งานปนั้ งานจักสานวสั ดทุ ่ใี ช๎เชํน กระดาษผ๎าเชือกพลาสติก ๒. ประเภทของใช๎อาจทาข้นึ เพ่ือใชใ๎ นชวี ิตประจาวนั เชํนตะกรา๎ กระบุงงานไม๎ไผํผา๎ เชด็ เท๎าผา๎ ปโู ตะ๏ วสั ดทุ ่ใี ช๎ เชํนกระดาษไม๎ไผดํ ินผา๎ เหลก็ ใบตอง ๓. ประเภทของตกแตํงใชต๎ กแตํงสถานท่บี ๎านเรือนใหม๎ ีความสวยงามเชํนการประดิษฐด๑ อกไมแ๎ จกันภาพวาด งานแกะสลัก ๔. ประเภทเครื่องใชง๎ านพิธที าขึน้ เพ่ือใช๎ในพธิ ีทางศาสนาในชํวงโอกาสตํางๆและงานประเพณเี ชนํ ลอยกระทง งานเข๎าพรรษางานออกพรรษางานศพเคร่อื งใชใ๎ นงานพธิ ที างศาสนาเชนํ พานพมํุ มาลยั เครื่องแขวนบายศรกี ารจดั ดอกไม๎ในงานศพ วัสดอุ ุปกรณ๑ทใี่ ชใ๎ นงานประดิษฐ๑จะเปน็ ของใชเ๎ ลก็ ๆเชํนกรรไกรเข็มด๎ายกาวมดี ตะปูค๎อนแปรงสีเล่ือย จกั รเย็บผ๎ากระดาษ อาชีพท่เี กี่ยวข้องกับงานประดษิ ฐ อาชพี นกั ประดิษฐ๑เปน็ อาชีพท่ีผลติ สง่ิ ของเคร่ืองใช๎ซ่ึงจะต๎องเปน็ ผ๎ทู มี่ คี วามคดิ สร๎างสรรคท๑ ันตอํ ความต๎องการ ของตลาด ลกั ษณะการประกอบอาชีพได๎แกํผลติ เสรจ็ แล๎วขายความคดิ ให๎กับบริษัทหรอื คิดแล๎ว ผลติ เองสงํ ขายใหร๎ า๎ นค๎าหรือผลติ เองแลว๎ ขายเองโดยตรงกระบวนการผลติ งานประดิษฐ๑

141 ใบงาน เรอ่ื ง การงานอาชีพ ๑. ใหผ๎ ๎ูเรียนสารวจอาชพี ในชุมชน ภมู ภิ าค และในโลก มา ๑๐ อาชพี ลงในแบบสารวจโดยดาเนินการดังตอํ ไปนี้ 1. ช่อื อาชพี ....................................................................................................................................... 2. ทีต่ ั้ง.............................................................................................................................................. 3. การประกอบอาชพี (ให๎มีรายละเอยี ดระยะเวลาการประกอบอาชีพตั้งแตเํ ร่ิมตน๎ จนถึงปัจจุบัน) ๒. ให๎ผเ๎ู รยี นเลือกอาชพี ท่ีสนใจมา ๑อาชพี พรอ๎ มด๎วยเหตุผลท่ีเลอื กประกอบอาชีพนน้ั ............................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ............................................... ............................................................................................................................. ............................................... .......................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ...........................................

142 แผนการจดั การเรียนรู้รายวิชาสงั คมศกึ ษา คร้งั ที่ 14 ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2565 ระดับประถมศกึ ษา กศน.ตาบลล้ินฟา้ ๑. สปั ดาหท์ ่ี 14 วันท่ี 16 เดอื น สงิ หาคม พ.ศ.2565 เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐น. ๒. วิชา สังคมศึกษา รหสั วชิ า สค1๑๐๐๑ จานวน 2 หนวํ ยกิต ๓. มาตรฐานที่ 5.3 ปฏิบตั ิตนเปน็ พลเมืองดีตามวถิ ปี ระชาธิปไตย มจี ิตสาธารณะ เพือ่ ความสงบสขุ ของสงั คม ๔. หน่วยการเรียนร้/ู เรอื่ ง ภมู ศิ าสตร์ทางกายภาพประเทศไทย ๕. สาระสาคญั ลักษณะทางกายภาพและสรรพส่ิงในโลก มีความสัมพันธ์ซง่ึ กนั และกนั และมีผลกระทบตํอระบบ นเิ วศ ธรรมชาติ การนาแผนที่และเครื่องมือภมู ิศาสตร์มาใช๎ในการคน๎ หาขอ๎ มูล จะชวํ ยใหไ๎ ดรับข๎อมูลทีช่ ัดเจนและ นาไปสูการใชก๎ ารจัดการไดอยํางมปี ระสทิ ธภิ าพ การปฏิสัมพันธร์ ะหวาํ งมนุษยก์ ับสภาพแวดล๎อมทางกายภาพ ทาให๎ เกดิ สรา๎ งสรรค์วฒั นธรรมและจิตสานึกรวํ มกันในการอนรุ ักษท์ รพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดลอ๎ ม เพ่ือการ พฒั นาท่ี ย่ังยืน ๖. เน้ือหา เรอ่ื งที่ 1 ลักษณะทางภูมศิ าสตร์กายภาพของชุมชน เรือ่ งท่ี 2 ลักษณะทางภูมิศาสตรก์ ายภาพของประเทศไทย เรื่องท่ี 3 การใช๎ข๎อมูลภูมิศาสตร์กายภาพชุมชน ทองถิน่ เพ่ือใชใ๎ นการดารงชวี ิต เรอ่ื งที่ 4 ทรพั ยากรธรรมชาติและการอนุรักษท์ รัพยากรธรรมชาติ เรื่องท่ี 5 ศกั ยภาพของประเทศไทย ๗. จุดประสงค์การเรียนร้/ู ผลการเรียนรู้ท่คี าดหวัง (ดจู ากผงั การออกข๎อสอบ) 1. อธิบายลักษณะภูมิศาสตร์ทางกายภาพของประเทศไทยได 2. บอกความสัมพันธ์ระหวํางปรากฏการณทางธรรมชาตกิ ับการดาเนินชีวิตได 3. ใช๎แผนท่ีและเครือ่ งมือภูมิศาสตร์ได๎อยาํ งเหมาะสม 4. วเิ คราะห์สภาพแวดลอ๎ มทางกายภาพ วฒั นธรรมและกระบวนการเปลย่ี นแปลทาง ลกั ษณะกายภาพและลักษณะวฒั นธรรมทอ๎ งถิน่ ได 5. วิเคราะห์ศกั ยภาพของชุมชนทอ๎ งถ่ินเพือ่ เชื่อมโยงเขาสูอาชพี 8. การบูรณาการกบั หลกั แนวคิดของเศรษฐกจิ พอเพียง (2 เงอื่ นไข 3 หลักการ การเชือ่ มโยงสํู 4 มติ )ิ ความรู้ - นกั ศกึ ษามีความร๎ูเร่ือง ลกั ษณะทางภูมศิ าสตร์กายภาพของชมุ ชนและประเทศไทย - นกั ศึกษามีความรูเ๎ ร่ือง ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติของชุมชน และประเทศไทย - นักศกึ ษามคี วามรู๎เรื่อง ประวัติศาสตรต์ ัง้ แตํยุคอดตี ถงึ ยุคปัจจุบัน คณุ ธรรม - มคี วามมํงุ ม่ันในการทางาน - มคี วามสามคั คีในหมูํคณะ - ใฝหุ าความรเู๎ พื่อพัฒนาอยเูํ สมอ พอประมาณ

143 - มีความพอประมาณในเรอ่ื งของเวลาการแบํงเวลาในการศกึ ษาหาความร๎ู มเี หตุผล - ได๎ความร๎ูเกีย่ วกบั ลักษณะทางภูมิศาสตร์กายภาพของชุมชนและประเทศไทย - ไดค๎ วามร๎เู กี่ยวกบั ประวตั ิศาสตรต์ ้งั แตยํ ุคอดตี ถึงยุคปัจจุบัน มีภูมิคุ้มกัน -รู๎จักลักษณะทางภูมศิ าสตรก์ ายภาพของชุมชนและประเทศไทยเพื่อนาไปปรับใช๎ในการ ดารงชวี ติ วตั ถุ - ร๎จู กั เลือกภูมศิ าสตร์กายภาพชุมชน ทองถนิ่ เพ่ือใช๎ในการดารงชีวติ -มที ักษะในการเลอื กภูมิศาสตร์กายภาพชมุ ชนท่ีเป็นประโยชนม์ าใชใ๎ นการวางแผนการ ดาเนินชวี ติ ของตวั เองในชมุ ชนและสงั คม สังคม - มที กั ษะการอยรํู ํวมกันในกลุํม และทางานรํวมกบั ผู๎อ่ืนได๎อยาํ งมคี วามสขุ - สามารถนาความรท๎ู ี่ได๎ไปเผยแพรใํ ห๎กับครอบครวั และชุมชน ส่งิ แวดล้อม - ร๎ูจกั การนาความรูเ๎ กย่ี วกบั ลักษณะทางภมู ิศาสตร์กายภาพของชมุ ชนและประเทศไทย เพ่ือ เปน็ ขอ๎ มูลในการรักษาสมดลุ รวมไปถงึ การอนรุ ักสง่ิ แวดลอ๎ ม ของชุมชนและประเทศไทย วัฒนธรรม - สบื สานภมู ปิ ัญญาท๎องถนิ่ และแหลํงเรยี นร๎สู ูค๎ นรุนํ หลงั 9. กระบวนการจัดการเรยี นรู้และกจิ กรรมการเรยี นรู้ ขั้นที่ ๑ กาหนดสภาพปัญหาการเรยี นรู๎ (O : Orientation) ๑. ครทู กั ทายผ๎เู รยี น บอกวัตถปุ ระสงค์การเรียนรู๎ ๒. ครทู กั ทายกลําวนาและสรา๎ งความค๎ุนเคยกับผเ๎ู รียนพร๎อมกับเปดิ ประเดน็ พูดคยุ กบั ผู๎เรยี นเรื่องความร๎ู เบื้องตน๎ เก่ยี วกับประวัติศาสตรข์ องผเู๎ รียนแตํละคน และรํวมกันอภปิ รายความรู๎เบอื้ งตน๎ เกี่ยวกับ ประวตั ศิ าสตร์เพื่อนาเขา๎ สํบู ทเรียน ๓. ครูเปดิ ภาพยนตรเ์ ร่ืองพระนเรศวรใหผ๎ ๎ูเรยี นดู และสร๎างความเข๎าใจรํวมกนั และวเิ คราะห์การ เปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตรต์ งั้ แตํยคุ อดีตถึงยคุ ปัจจุบนั ๔. ครแู ละผูเ๎ รยี นรวํ มกนั อภิปรายและสรา๎ งความเข๎าใจเก่ยี วกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์โดย เรยี งลาดบั เหตุการณ์กํอน-หลงั ๕. ครเู ปิดโอกาสใหผ๎ เ๎ู รยี นซักถามขอ๎ สงสัยกํอนเข๎าสูบํ ทเรียนในขนั้ ตํอไป ๖. สอบถามความรเู๎ รอื่ งลักษณะทางภูมศิ าสตร์กายภาพของชุมชน ทองถ่ิน ขนั้ ท่ี ๒ แสวงหาข๎อมลู และจดั การเรียนร๎ู (N : New ways of learning) 1. ครแู ละผ๎ูเรียนวางแผนวิธีการเรยี นร๎เู นื้อหาท่ีกาหนด 2. ครแู จกใบความร๎ใู หผ๎ เ๎ู รียนศึกษา 3. ครแู บํงกลมํุ ผู๎เรียน 5 กลํุม แล๎วใหแ๎ ตลํ ะกลํุมคดั เลอื กหัวหนา๎ กลมํุ รองหัวหน๎ากลํุม และ เลขานกุ าร และสมาชิก จากนั้นใหห๎ วั หน๎ากลํมุ ออกมาจบั ฉลากเพื่อเลือกหัวขอ๎ ทง้ั หมด 5 เรือ่ ง เรอื่ งที่ 1 ลักษณะทางภูมศิ าสตร์กายภาพของชมุ ชน เรอ่ื งที่ 2 ลักษณะทางภมู ิศาสตรก์ ายภาพของประเทศไทย

144 เร่อื งท่ี 3 การใช๎ข๎อมลู ภมู ิศาสตร์กายภาพชุมชน ทองถิ่น เพ่ือใช๎ในการดารงชวี ิต เรื่องที่ 4 ทรัพยากรธรรมชาติและการอนุรกั ษท์ รัพยากรธรรมชาติ เร่ืองท่ี 5 ศักยภาพของประเทศไทย แล๎วให๎ผเู๎ รยี นนาเอาความรู๎ท่ีศกึ ษาตามเร่ืองที่กาหนดใหแ๎ ล๎วนามาปรับใชใ๎ นการดาเนินชีวติ ในสงั คม ปัจจุบันในดา๎ นใดบ๎าง และนาเสนอเพ่ือแลกเปลย่ี นเรยี นรหู๎ นา๎ ชน้ั เรยี น ข้ันที่ ๓ การปฏิบัติและการนาไปใช๎ (I : Implementation) ๑. ผเู๎ รียนสงํ ตวั แทนนาเสนอความรู๎ที่จับฉลากไดแ๎ ล๎วนาความร๎นู ้นั มาปรบั ใชใ๎ นการดาเนินชวี ติ ใน สงั คมปจั จบุ นั 2. ผ๎ูเรียนสรุปสาระสาคญั ทไ่ี ด๎รับจากการนาเสนอของแตลํ ะกลุํมลงในสมดุ แล๎วสํงครู ๓. ครูเพิ่มเตมิ ความรใู๎ หแ๎ กผํ ๎เู รียน ๔. ให๎ผูเ๎ รียนทาแบบทดสอบความร๎หู ลังเรยี น ขน้ั ท่ี ๔ การประเมนิ ผลการเรียนรู๎ (E : Evaluation) ๑.ใหผ๎ เ๎ู รยี นแตลํ ะคนสรุปความรท๎ู ่ีได๎จากการวเิ คราะห์ของแตํละกลํมุ มาสงํ ครใู นลักษณะของใบงาน ๒. ครูและผู๎เรยี นรํวมกนั สรปุ ความรทู๎ ี่ได๎รบั 10. สอ่ื /แหล่งเรยี นรู้ - แบบเรียนวิชาสงั คมศึกษา - ใบความร๎ู /ใบงาน - กระดาษปร๏ูฟ / ปากกาเมจิก - สถานที่พบกลํุม - ภูมิปญั ญาชาวบ๎าน และแหลงํ เรียนรูใ๎ นทอ๎ งถ่ิน ๑1. การวัดและประเมนิ ผล ๑1.๑ วธิ กี ารวดั และประเมนิ ผล - การสงั เกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกับผ๎อู นื่ ของผู๎เรียนรายบคุ คล - ใบงาน ๑1.๒ เคร่ืองมอื วัดและประเมินผล - ผลการสังเกตพฤตกิ รรมการทางานรํวมกับผ๎ูอน่ื ของผเู๎ รียนรายบคุ คล - ผลจากการตรวจใบงาน ๑๐.๓ เกณฑก์ ารวัดและการประเมนิ ผล - การสงั เกตพฤตกิ รรมการทางานรํวมกบั ผอ๎ู ืน่ ของผเ๎ู รียนรายบคุ คล ระดบั ดี พอใช๎ ควรปรบั ปรงุ - ใบงานคะแนนเต็ม ๑๐ คะแนน

145 กจิ กรรมเสนอแนะ ............................................................................................................................. ............................................................ ................................................................................................................................................................... ลงชอ่ื …………………………………………….ครผู ๎ูสอน (นางพรวรกานต์ ลแี วง) ครู กศน.ตาบล ขอ้ เสนอแนะของผู้บริหาร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………........ ลงชอื่ ………………………………………………………ผ๎ูอนมุ ตั ิแผน (นางปทั มาภรณ์ ศรีเนตร) ผอ๎ู านวยการ กศน.อาเภอจตรุ พกั ตรพมิ าน

146 บนั ทึกหลังการจดั การเรยี นรู้ กศน.ตาบลลนิ้ ฟ้า ครั้งท่ี 14 วันที่ 16 เดือน สิงหาคม พ.ศ.2565 ครผู ๎สู อน นางพรวรกานต์ ลีแวง ระดบั ประถมศึกษา เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐ น. สาระการพฒั นาสงั คม รายวิชาสงั คมศกึ ษา รหัสวชิ า สค1๑๐๐๑ จานวนผูเ๎ รียนท้ังหมด ............... คนเข๎าเรียน…………………คน ไมเํ ข๎าเรยี น……………………….คน ๑. ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การประเมินโดยใช๎ แบบทดสอบกํอนเรียน - หลงั เรยี น พบวาํ คะแนนการทดสอบหลังเรียน มากกวาํ กอํ นเรยี นจานวน ........ คนคิดเป็นร๎อยละ............ คะแนนการทดสอบหลังเรยี น น๎อยกวํากํอนเรยี นจานวน ......... คนคดิ เป็นรอ๎ ยละ............ ๒. เน้อื หา/สาระ ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................... ................................. ................................................................................................. ............................................................... ๓. กิจกรรมการเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................... ......................................... .......................................................................................... ............................................. ๔. ปัญหา/อุปสรรค การเรียนการสอน ............................................................................................................................. ................................... .............................................................................................................................................. .................. ............................................................................................................................. ................................... ๕. แนวทางการแก้ปัญหา ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................. ................................... ลงชื่อ.......................................................ครผู ส๎ู อน (นางพรวรกานต์ ลีแวง) วันท.ี่ ............../.................../............... ความคดิ เหน็ /ข้อเสนอแนะของผู้บริหาร ................................................................................................................................................. ........................................ ........................................................................................... .............................................................................................. .............................................................................................................. ........................................................................... ลงชอ่ื .................................................................. (นางปทั มาภรณ์ ศรเี นตร) ผอู๎ านวยการ กศน.อาเภอจตรุ พักตรพิมาน

147 ใบความรู้ ลักษณะทางกายภาพของประเทศไทย ทตี่ ้งั และลักษณะท่ัวไปของประเทศไทย ทีต่ ั้ง ประเทศไทยต้งั อยูํบรเิ วณตอนกลางของคาบสมทุ รอินโดจนี มที ี่ตง้ั ตามพกิ ัดภูมิศาสตรด์ งั น้ี ตัง้ อยปูํ ระมาณระหวํางละติจูด 5 องสา 37 ลปิ ดาเหนือ กบั 20 องสา 27 ลิปดาเหนือและระหวาํ ง ลองจิจูด 97 องศา 22 ลปิ ดาตะวนั ออก กับ 105 องศา 37 ลิปดาตะวนั ออก หรือบริเวณซีกโลกเหนือในเขต ละติจูดต่า ระหวํางเสน๎ ศนู ยส์ ูตร กับเสน๎ ทรอปิกออกฟเคนเซอร์ นนั่ เอง จึงจัดอยใํู นประเทศเขตร๎อน จากท่ปี ระเทศไทยทาเลทีต่ ั้งเป็นคาบสมุทร จึงสงํ ผลดตี ํอการเพาะปลูกของประเทศตลอดมา และ ประเทศไทยต้ังอยํูทํามกลางดินแดนของภาคพ้ืนเอเชียตะวันออกเฉียงใต๎ นับเปน็ จดุ ยุทธศาสตร์สาคญั แหงํ หนึ่งของโลก อาณาเขตตดิ ต่อ 1. อาณาเขตตดิ ตอ่ กบั สหภาพพม่า มดี นิ แดนดินตอํ กับพมําในภาคเหนือ ภาคตะวันตกและภาคใต๎รวม 10 จังหวัด แนวพรมแดนอาศยั ทิวเขาและแมํนา้ เป็นเส๎นกั้นเขตแดนตามธรรมชาติ 2. อาณาเขตตดิ ต่อกับสาธารณรฐั ประชาธิปไตยประชาชนลาว มพี รมแดนตดิ ตํอกับสาธารณรัฐ ประชาธิปไตยประชาชนลาวในภาคเหนอื และภาคตะวนั ออก เฉียงเหนอื รวม 11 จังหวดั มแี มนํ า้ โขงเป็นเส๎นก้ัน พรมแดนทางนา้ ทสี่ าคัญ สวํ นพรมแดนทางบกมที วิ เขาหลวงพระบางกัน้ ทางตอนบน และทิวเขาพนมดงรักบางสํวนกน้ั เขตแดนตอนลําง 3. อาณาเขตติดต่อกบั ราชอาณาจกั รกัมพชู า มีพรมแดนติดตํอกับราชอาณาจกั รกัมพชู าในภาค ตะวันออกเฉียงเหนอื และภาคตะวนั ออก รวม 7 จังหวัด 4. อาณาเขตตดิ ตอ่ กบั มาเลเซยี มพี รมแดนติดตอํ กับมาเลเซยี ในภาคใต๎ 4 จังหวดั มเี ทือกเขาสนั กาลา คีรีและแมนํ าโก – ลก จงั หวัดนราธิวาสเป็นเสน๎ กน้ั แดน 5. อาณาเขตทางทะเล ติดตํอกบั ทะเลท้ังด๎านอาํ วไทยและด๎านทะเลอันดามนั รวมเปน็ ระยะทาง 2,705 กิโลเมตร 1 ) อาณาเขตติดตํอกบั อําวไทย มีท้งั สิ้น 16 จงั หวดั อยูํในภาคกลาง 3 จงั หวดั ภาคตะวันออก 4 จงั หวด ภาคตะวนั ตก 2 จงั หวดั ภาคใต๎ 7 จงั หวัด 2 ) อาณาเขตติดตอํ กบั ทะเลอนั ดามนั มที ้งั สิ้น 6 จงั หวดั อยูํในภาคใต๎ ลกั ษณะทางกายภาพของประเทศไทย ลกั ษณะภูมิประเทศ คือ สภาพทั่วๆ ไปบนผิวโลก มลี ักษณะทางภูมปิ ระเทศทีแ่ ตกตาํ งกัน ในแตํละ ทอ๎ งถ่นิ ซึง่ มลี ักษณะที่แตกตํางกนั ไป ปจั จัยท่กี ่อใหเ้ กดิ ลักษณะภมู ิประเทศ เกดิ จากการผันแปรของเปลือกโลกเนื่องจากพลงั งานภายในโลก ทาให๎เปลอื กโลกถูกบบี อัดยกตวั สูงข้ึน หรือทะเลต่าลงและอีกประการหนึง่ เกดิ จาก การกระทาของตวั กระทาตํางๆ นอกจากการเปลีย่ นแปลงอันเกิดจากกระบวนการทางธรรมชาติแล๎ว การกระทาของมนุษยก์ ็มสี ํวนในการ ทาให๎เกิดลักษณะภูมปิ ระเทศบางอยํางไดเ๎ ชนํ กัน แตํมขี อบเขตจากัดกวาํ การกระทาตามกระบวนการทางธรรมชาติ

148 ลกั ษณะโครงสรา้ งภมู ิประเทศของไทย มี ลักษณะโครงสร๎าง ภมู ิประเทศท่เี กดิ จากการเคลอ่ื นไหวของเปลือกโลกกับการกระทาของแมํน้าลาธาร ใน ระยะเวลาทีผ่ าํ นมา และเขตภูมิภาคทางภมู ิศาสตรข์ องคณะกรรมการภูมิศาสตร์ โดยแบงํ ออกเป็น 6 เขตใหญํ ดังน้ี 1. เขตภเู ขาและหบุ เขาภาคเหนือ บรเิ วณ ทีส่ ูงและภเู ขาทั้งหมดในภาคเหนือ ภูมิประเทศบริเวณทส่ี ูง ของภาคน้ี มลี กั ษณะเปน็ ภูเขาและหุบเขาสลบั กนั เป็นแนวยาว บรเิ วณท่สี งู ภาคเหนอื นี้ถือวําเป็นแหลํงกาเนิดของ แมนํ า้ สายสาคัญของประเทศ ภาคเหนอื เปน็ แหลงํ ทรพั ยากรธรรมชาติท่สี าคัญหลายชนดิ อาชพี ของประชากรในภาคน้ี ได๎แกํ กา เพาะปลูก การเลี้ยงสัตว์ และการทาเหมืองแรํ 2. เขตทร่ี าบลุ่มภาคกลาง บรเิ วณท่ีราบตอนกลางและตอนลํางของลุํมแมนํ ้าทั้งหมดทีไ่ หลลงสํอู ําวไทย จงึ ทาใหบ๎ ริเวณแอํงแผนํ ดนิ ที่ตา่ ถกู ทับถมด๎วยโคลนตะกอนสูงๆ ข้ึน จนในทีส่ ดุ อยํเู หนือระดับนา้ กลายเป็นท่รี าบ ซึง่ เป็นบรเิ วณทรี่ าบกวา๎ งขาวงท่ีสดุ ในประเทศ เขตทีร่ าบภาคกลางอาจแบงํ ได๎เป็น 2 บรเิ วณ 2.1 บรเิ วณท่รี าบลํมุ นา้ ตอนบนและบริเวณขอบท่รี าบตอนลําง 2.2 บริเวณทร่ี าบลมํุ นา้ ตอนลําง 3. เขตเทือกเขาและหุบเขาภาคตะวันตก บริเวณน้ีอยูทํ างด๎านตะวันตกของเขตที่ราบภาคตะวนั ตก ลกั ษณะภูมปิ ระเทศสวํ นใหญํเป็นทิวเขาและหบุ เขาสลบั ซับซ๎อน มีลักษณะเปน็ เทือกเขาและหุบเขามากกวําทร่ี าบซง่ึ คล๎ายกับภาคเหนือ ประชากรในภาคนีม้ ีไมํมากนักเพราะเปน็ เขตปาุ เขา ภาคตะวนั ตกเป็นดนิ แดนท่ีอดุ มไปด๎วย ทรพั ยากรธรรมชาตหิ ลายประเภทมีความสาคัญ ตํอการพฒั นาเศรษฐกิจ มีแหลงํ น้าที่สมบรู ณ์ท่เี หมาะแกกํ ารทา เกษตรกรรม มปี ุาไม๎และสตั วป์ าุ นานาชนิด เป็นแหลํงผลติแรโํ ลหะและอโลหะท่ีสาคญั ในด๎านอตุ สาหกรรม รวมทง้ั เป็น แหลงํ พลังงานน้ามันท่ีนามาพัฒนาและใช๎ประโยชนไ์ ด๎อยํางมหาศาล 4. เขตชายฝง่ั ตะวนั ออกของอา่ วไทย เป็นเขตท่ีมีเน้อื ทนี่ ๎อยทส่ี ุด ภมู ิประเทศโดยท่ัวไปจะเปน็ ที่ราบลมํุ แมํน้าและที่ ราบชายฝง่ั ทะเล มีฝนตกชกุ และมปี าุ ไม๎เหมือนภาคใต๎และภาคเหนือมีการเพาะปลูกพชื ไรแํ ละการค๎า เหมือนภาค กลางและภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ ยังเป็นแหลงํ ทรัพยากรธรรมชาตทิ ่ีสาคัญทางเศรษฐกิจหลายอยําง 5. เขตทร่ี าบภาคตอวันออกเฉยี งเหนือ พื้นท่ี สํวนใหญํเปน็ ทีร่ าบสงู ลกั ษณะของพนื้ ที่เป็นแอํงคล๎าย จานลาดเอียงไปทางตะวนั ออกเฉียงใต๎ไปทางบรเิ วณ แมนํ า้ โขง แม๎วาํ ภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื จะเปน็ ภาคทีม่ ีพ้นื ท่ี กวา๎ งใหญทํ ี่สุด หากทางด๎านทรัพยากรธรรมชาติทีสาคญั เป็นพ้ืนฐานในการพฒั นาเศรษฐกิจแลว๎ อาจด๎อยกวําภาคอืน่ ๆ 6. เขตคาบสมุทรภาคใต้ เป็นพ้นื ท่รี าบ บรเิ วณชายฝ่งั ทะเล และภูเขาที่เปน็ แกนหรอื สันของคาบสมุทร มีลกั ษณะภมู ปิ ระเทศและภมู ิอากาศแตกตาํ งจากภาคอนื่ ๆ อยาํ งชดั เจน พ้ืนที่สํวนใหญํประกอบด๎วยเทอื กเขา ซ่งึ เป็น แกนกลางเขตคาบสมทุ รทีส่ าคัญ ลกั ษณะชายฝ่ังทางภาคใต๎มีลกั ษณะของพืน้ แผนํ ดินที่มีการยกตวั สูงขน้ึ ดว๎ ยเหตุนี้ ชายฝั่งอําวไทยจงึ มที ีร่ าบชายฝ่งั เปน็ บรเิ วณกวา๎ งจึงเป็นแหลํงเพาะปลูกที่สาคัญของภาคใต๎ ภาคใตเ๎ ปน็ แหลงํ ที่อดุ ม ดว๎ ยทรพั ยากรธรรมชาตทิ ี่มคี ําหลายชนดิ โดยเฉพาะตามแนวชายฝ่งั ทะเลและนาํ นนา้ ทัง้ 2 ดา๎ น เป็นแหลงํ สตั ว์น้า และแรธํ าตทุ ่มี ีความสมบูรณท์ ้ังยังเป็นแหลํงผลิตพชื เศรษฐกจิ ที่สาคญั หลายชนิด ลกั ษณะภมู ิอากาศ ปัจจัยท่ีมผี ลต่อภมู อิ ากาศของประเทศไทย 1. ทต่ี ้งั ตามแนวละติจดู ประเทศไทยตัง้ อยํเู หนอื เสน๎ ศนู ยส์ ตู ร โดยมรี ะยะหํางตามแนวละติจดู จากเสน๎ ศูนยส์ ตู รไมํมากนัก จึงได๎รบั ความร๎อนจากแสงอาทิตยต์ ลอดทัง้ ปแี ละถอื วาํ เปน็ เขตร๎อน

149 2. ความใกล้ไกลจากทะเล สํวนตอนบนของประเทศอยูใํ นพนื้ ที่แผนํ ดินใหญํ สวํ นตอนลาํ งเปน็ คาบสุ ทรอยตูํ ดิ ทะเล จึงทาใหภ๎ ูมิอากาศแตลํ ะภาคแตกตาํ งกนั ไมํวาํ จะเป็นอุณหภูมิปรมิ าณนา้ ฝนหรือฤดกู าล 3. ลกั ษณะภูมปิ ระเทศ ที่มีอทิ ธพิ ลต่อสภาพภูมอิ ากาศ 3.1 ความสูงของพื้นท่ี 3.2 การวางตัวของภูเขา 3.3 ทิศทางของลมประจา ลมมรสมุ ท่ีพัดผาํ นประเทศไทยมี 2 ชนดิ ตามทศิ ทางลมท่ีพัดมาคือ 1 ) ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต๎ 2 ) ลมมรสมุ ตะวันออกเฉยี งเหนอื องค์ประกอบของภมู อิ ากาศ 1. อุณหภมู ิ อุณหภูมใิ นประเทศไทยแบํงออกเป็น 2 บรเิ วณอยํางกว๎างๆ ตามลักษณะภูมิอากาศ คือ 1.1 ประเทศไทยตอนบน ไดแ๎ กํ ภาคเหนือ ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื ภาคกลาง และภาคตะวันออก 1.2 ประเทศไทยตอนล่าง ไดแ๎ กํ ภาคใต๎ อุณหภมู ิตลอดท้ังปจี ะไมเํ ปลีย่ นแปลงมากนัก 2. ปรมิ าณนา้ ฝน มคี อํ นข๎างมาก สํวนใหญมํ กั เกดิ ในรปู ของฝนตกหนักในระยะสนั้ และมกั พบในเวลา เยน็ หรอื เช๎าตรํู การพิจารณาฝนในประเทศไทยอาจแบํงออกไดเ๎ ปน็ 2 บริเวณ คือ 2.1 ประเทศไทยตอนบน 2.2 ประเทศไทยตอนลาํ ง 3. ฤดกู าล ประเทศไทยแบงํ ฤดูกาลออกเป็น 3 ฤดู ดังน้ี 3.1 ฤดูฝน เร่ิมต้งั แตํประมาณกลางเดือนพฤษภาคมจนถึงเดือนเมษายน มรี ะยะเวลา 5 – 6 เดือน โดยลมมรสุมตะวันตกเฉยี งใต๎ไดพ๎ ัดปกคลุมประเทศไทยแล๎ว 3.2 ฤดหู นาว เรม่ิ ตัง้ แตกํ ลางเดือนพฤศจกิ ายน ไปจนถึงกลางเดอื นกมุ ภาพันธ์ มรี ะยะเวลา 3 เดือน ในระยะนี้ลมมรสมุ ตะวันออกเฉยี งเหนือได๎พัดปกคลุมประเทศไทยทาให๎อุณหภูมลิ ดลง 3.3 ฤดูร้อน เร่ิมตง้ั แตํกลางเดอื นภุมภาพนั ธ์ไปจนถงึ กลางเดือนพฤษภาคม มีระยะเวลา 3 เดอื น เป็น ระยะท่ลี มมรสุมตะวนั ออกเฉียงเหนอื อํอนกาลังลง กิจกรรมทางเศรษฐกจิ ในแต่ละภาค ภาคเหนอื ประชากรสวํ นใหญํประกอบอาชีพเกษตรกรรมและรองลงมาคืออตุ สาหกรรม 1. การเกษตรกรรม สํวนใหญํประกอบอาชีพเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ ทาปุาไม๎ 2. การอุตสาหกรรม อตุ สาหกรรมสํวนใหญเํ ป็นอุตสาหกรรมขัน้ ตน๎ 3. การทาเหมืองแร่ โดยเฉพาะแรํแมงกานีส ซีไลต์ ฟลูออไรต์ และดนิ ขาว เปน็ แรทํ ี่ผลติ ได๎มากกวําภาคอื่นๆ ของ ประเทศ 4. การคมนาคมขนสง่ มรี ะบบการคมนาคมขนสํงทางถนน ทางรถไฟ และทางอากาศ 5. การท่องเท่ียว การทํองเท่ยี วมีความสาคัญคํอนข๎างมาก มแี หลํองทํองเท่ียว ท้งั ภายในประเทศและตาํ งประเทศ ภาคกลาง 1. การเกษตรกรรม มี แมนํ ้าสายสาคัญไหลผาํ น และทีการชลประทานที่มปี ระสทิ ธิภาพ ทาใหเ๎ ป็นแหลํงปลกู ขา๎ วที่

150 สาคญั ของประเทศ การเลี้ยงสตั ว์ จงั หวัดนครปฐมเปน็ แหลงํ เล้ยี งสกุ รท่สี าคญั ท่สี ดุ ของประเทศ 2. การอตุ สาหกรรม โรงงานผลิตอาหารสาเร็จรูปที่เปน็ โรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญตํ ้ังอยูใํ นเขตกรุงเทพมหานคร 3. การทาเหมอื งแร่ ภาคกลางเปน็ เขตหินใหมํทเี่ กดิ จากการทับถมของโคลนตะกอน แรํทผี่ ลติ ได๎สวํ นใหญเํ ป็นแรํ อโลหะและแรเํ ช้ือเพลงิ 4. การคมนาคมขนสง่ เปน็ จดุ รวมของการคมนาคมขนสํงทัง้ ทางถนน ทางรถไฟ ทางน้า และทางอากาศ 5. การทอ่ งเท่ียว มีแหลงํ ทํองเทย่ี วทางประวตั ิศาสตร์และวัฒนธรรมท่ีเปน็ ท่สี นใจของนักทอํ งเท่ียวท้ังชาวไทยและ ตาํ งประเทศ ภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื 1. การเกษตรกรรม มีการเลี้ยงสัตว์มากกวําภาคอ่ืนๆ นอกจากน้กี ็จะมกี ารทานา การปลูกพืชไรํท่ที นความแห๎งแล๎งได๎ ดี 2. การอตุ สาหกรรม สํวนใหญํเปน็ โรงงานแปรรปู ผลผลิตทางการเกษตร โรงงานจะต้งั อยใํู นจงั หวดั ใหญๆํ ของภาค 3. การทาเหมอื งแรํ มแี รเํ พยี ง 2 –3 ชนิด จังหวัดทีม่ กี ารทาเหมืองแรคํ ือ เลย นครราชสีมา อุดรธานี และ หนองบัวลาภู 4. การคมนาคมขนสง่ มกี ารคมนาคมขนสงํ ทางถนน ทางรถไฟ ทางน้า และทางอากาศ 5. การทอ่ งเที่ยว ทสี่ าคญั ในภาคนี้จะเกยี่ วข๎องสัมพนั ธก์ ับประวตั ศิ าสตร์ และวัฒนธรรม ภาคตะวันออก 1. การเกษตรกรรม สํวนใหญํจะมีการปลกู พชื ไรํ มกี ารทานาบรเิ วรลํมุ แมนํ า้ ปราจีนบุรี และแมํน้าปางปะกง มกี ารทา สวนผลไมแ๎ ละยางพาราท่จี งั หวัด จันทบรุ ี ตราด ปราจนี บรุ ี และมีการประมงทัง้ ประมงน้าจืดและประมงนา้ เค็ม 2. การอุตสาหกรรม มมี ากในจังหวดั ชลบุรแี ละรองลงมาคือระยอง 3. การทาเหมอื งแร่ แรํที่สาคัญมี 3 ชนดิ รตั นชาติ ทรายแก๎ว พลวง 4. การคมนาคมขนสง่ มีการคมนาคมขนสํงทางถนน ทางรถไฟ ทางน้า และทางอากาศ 5. การท่องเท่ียว แหลงํ ทํองเที่ยวทีร่ ๎จู ักจกั กนั ดที ัง้ ในหมูํนกั ทํองเทยี่ วชาวไทยและชาวตํางชาติ ภาคตะวันตก 1. การเกษตรกรรม มีการทานาบริเวณทร่ี าบลมํุ แมํน้า การปลกู พชื ไรํ การทาสวนผลไม๎ การเล้ียงสตั ว์ การประมง แหลํงประมงน้าจืดทากนั มากบริเวณเขื่อนและแมนํ ้าสายใหญๆํ มีการทาประมงน้าเค็มในพ้นื ที่ 2 จังหวดั คอื เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ 2. การอุตสาหกรรม มกี ารทาอุตสาหกรรมน้าตาลมาก การผลติ เคร่ืองป้นั ดินเผา และอุตสาหกรรมแปรรูปสับปะรด 3. การทาเหมืองแร่ มีทิวเขาซงึ่ เปน็ หนิ เกาํ แกํมีแหลํงแรํท่เี กดิ จากหินอคั นี เชํน แรํดกุ แรตํ ะกว่ั แรํสงั กะสี แรํ เฟลดส์ ปาร์ แรํฟลูออไรต์ และแรํรัตนชาติ 4. การคมนาคมขนสง่ มกี ารคมนาคมขนสงํ ทางถนน ทางรถไฟ ทางน้า 5. การท่องเที่ยว แหลงํ ทอํ งเทีย่ วทางธรรมชาติและทางวัฒนธรรมมากในจังหวดั กาญจนบรุ ี สถานท่ตี ากอากาศตาม ชายฝัง่ ทะเล และตลาดน้าดาเนินสะดวก ภาคใต้ 1. การเกษตรกรรม มีการปลูกข๎าว แหลงํ ปลูกข๎าวที่ดีทส่ี ดุ คอื จงั หวดั นครศรธี รรมราชา พทั ลงุ และสงขลา ไมยํ ืนต๎นท่ี ปลูกกันมาก ได๎แกํ ยางพารา มะพร๎าว เป็นต๎น ไมผ๎ ล ไดแ๎ กํ เงาะ ทเุ รยี น ลางสาด เป็นต๎น มกี ารเลยี้ งโคและกระบือ มากกวาํ เขตอน่ื ๆ มกี ารทาประมงน้าเคม็ ในทุกจังหวัดที่มีพื้นทต่ี ิดชายฝัง่ ทะเล


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook