51 - แนฟทาเบา (C5 – C7) ประโยชน์ : ใชท๎ าตวั ทาละลาย – แนฟทาหนัก (C6 – C12) หรอื เรยี กวําน้า - มันเบนซนิ ประโยชน์ : ใช๎ทาเชื้อเพลิงรถยนต์ - นา้ มันก๏าด (C10 – C14) ประโยชน : ใชท๎ าเชือ้ เพลงิ สาหรับตะเกียงและเคร่อื งยนต์ - นา้ มันดีเซล (C14 – C19) ประโยชน์ : ใชํ ทาเชือ้ เพลิงเครอื่ งยนต์ดเี ซล ไดแ๎ กํ รถบรรทุก, เรือ - นา้ มนั หลอํ ล่นื (C19 – C35) ประโยชน:์ ใชํทานา้ มนั หลํ อลนื่ เคร่ืองยนตเคร่ืองจักรกล - ไขนา้ มันเตาและยางมะตอย (C > C35) 2.3.4 การสกดั โดยการกลั่นด้วยไอนา้ เป็นวิธีการสกัดสารออก จากของผสมโดยใช๎ไอน้าเป็นตัวทาละลาย วิธีนี้ใช๎สาหรับแยกสารที่ละเหยงําย ไมํ ละลายน้า และไมํทาปฏิกิริยากับน้า ออกจากสารที่ระเหยยาก การสกัดโดยการกล่ันด๎วยไอน้านอกจากใช๎สกัดสาร ระเหยงํายออกจากสารระเหยยาก แล๎วยังสามารถใช๎แยกสารที่มีจุดเดือดสูงและสลายตัวท่ีจุดเดือดของมันได๎อีก เพราะการกลั่นโดยวิธีนี้ความดันไอเป็นความดันไอของไอน้าบวกความดันไอของของ เหลวที่ต๎องการแยก จึงทาให๎ ความดนั ไอเทํากบั ความดนั ของบรรยากาศกอํ นท่ีอณุ หภูมิจะถึงจดุ เดือด ของของเหลวท่ีต๎องการแยก ของ ผสมจึงกล่ัน ออกมาที่อุณหภูมิต่ากวําจุดเดือดของของเหลวท่ีต๎องการแยก เชํน สาร A มีจุดเดือด 150 C เมื่อสกัดโดยการกล่ัน ด๎วยไอน้าจะได๎สาร A กลายเป็นไอออกมา ณ อุณหภูมิ 95 C ที่ความดัน 760 มิลลิเมตรของปรอท อธิบายได๎วํา ที่ 95 C ถ๎าความดันไอของสาร A เทํากับ 120 มิลลิเมตรของปรอท และไอน้าเทํากับ 640 มิลลิเมตรของปรอท เม่ือ ความดนั ไอของสาร A รวมกับไอน้าจะเทํากับ 760 มลิ ลิเมตรของปรอท หรือเทํากับความดันบรรยากาศ จึงทาให๎สาร A และนา้ กลายเป็นไอออกมาได๎ท่ีอุณหภูมิต่ากวําจุดเดือดของสาร Aตัวอยํางการแยกสารโดยการกล่ันด๎วยไอน้าได๎แกํ การแยกน้ามันหอมระเหยออกจาก สํวนตํางๆของพืชเชํนการแยกน้ามันยูคาลิปตัสออกจากใบยูคาลิปตัสการแยก นา้ มนั มะกรดู ออกจากผวิ มะกรดู การแยกนา้ มนั อบเชยจากเปลอื กต๎นอบเชยเป็นตน๎ ในการกลั่น ไอน้าจะไปทาให๎น้ามัน หอมระเหยกลายเป็นไอแยกออกมาพร๎อมกับไอน้าเมื่อทาให๎ไอ ของของผสมควบแนํนโดยผํานเคร่ืองควบแนํนก็จะได๎ นา้ และน้ามนั หอมระเหยปนกนั แตํ แยกชั้นกนั อยทูํ าใหส๎ ามารถแยกเอานา้ มนั หอมระเหยออกจากน้าได๎งาํ ย 2.4 การตกผลึก (Crystallization) คือกระบวนการเกิดผลึกของแข็งจากสารละลาย(solution) จากของเหลว (melt) หรือไอ (vapor)โดย กระบวนการดังกลําว อาจเกดิ ขนึ้ เองในธรรมชาติหรือเกิดขึน้ จากการทดลองในห๎องปฏิบัติการตัวอยําง การเกิดผลึกใน ธรรมชาติ เชนํ ผลกึ น้าแขง็ (ice crystals) หิมะ (snow) เป็นตน๎ ผลึกของสารอินทรียเ์ ชนํ อินซูลินและนา้ ตาล ผลึกของ ธาตุเชํน แกลเลียม และซิลกิ อน ซง่ึ สามารถเกิดในธรรมชาติและถกู สงั เคราะห์ การเลอื กตัวทาละลายที่เหมาะสมต่อการตกผลึก มีหลกั ในการเลือกดังนี้ 1. ละลายสารท่ีต๎องการตกผลกึ ในขณะรอ๎ นได๎ดี และละลายไดน๎ อ๎ ยหรือไมํละลายเลยที่อุณหภูมิต่า(ขณะเย็น) 2. ไมลํ ะลายสารปนเปือ้ นขณะรอ๎ นหรือละลายไดน๎ ๎อยขณะร๎อน แตํละลายได๎ดขี ณะเยน็ 3. ควรมจี ดุ เดือดตา่ เพื่อสามารถกาจดั ออกจากผลึกไดง๎ าํ ย 4. ไมํทาปฏิกริ ิยากบั สารทตี่ อ๎ งการตกผลกึ 5. ควรทาใหส๎ ารที่ท่ตี ๎องการทาให๎บริสทุ ธเิ์ กดิ เป็นผลกึ ท่ีมีรูปรํางชัดเจน
52 6. ไมํเปน็ พษิ 7. หางําย และราคาถูก แบบทดสอบกอ่ นเรยี น-หลังเรยี น เรื่องการแยกสาร คาช้ีแจง จงเลอื กคาตอบท่ีถูกตอ๎ งท่สี ดุ เพียงคาตอบเดยี ว 1. ขอ๎ ใดเปน็ หลกั การแยกสารด๎วย “การกรอง” ก. แยกสารเนื้อผสมที่องคป์ ระกอบของของแข็งทไ่ี มํละลายในของเหลว ข. แยกสารเนอ้ื ผสมท่ีมีอนภุ าคของแก๏ส ปนอยูใํ นสารละลาย ค. แยกสารเนอื้ ผสมที่องค์ประกอบของสารทล่ี ะลายน้าได๎ ง. แยกสารเนอ้ื ผสมที่มีอนุภาคของของเหลวปนอยใํู นสารละลาย 2. ขอ๎ ใดเปน็ หลักการแยกสารด๎วย “การกลั่น” ก. แยกสารที่มีจดุ เดือดตาํ งกัน ข. แยกสารท่ีมสี ภาพการละลายตํางกัน ค. แยกสารทม่ี ีขนาดของอนภุ าคแตกตาํ งกัน ง. แยกสารท่มี คี วามสามารถในการละลายและถกู ดูดซบั บนตัวดดู ซับแตกตํางกัน 3. ข๎อใดเป็นหลกั การแยกสารดว๎ ย “สกดั ด๎วยตัวทาละลาย” ก. แยกสารท่ีมีจดุ เดอื ดตํางกัน ข. แยกสารที่มีสภาพการละลายตาํ งกัน ค. แยกสารที่มีขนาดของอนภุ าคแตกตํางกัน
53 ง. แยกสารที่มคี วามสามารถในการ ละลายและถูกดดู ซับบนตัวดดู ซับแตกตาํ งกัน 4. ข๎อใดเป็นหลักการแยกสารดว๎ ย “โครมาโตกราฟี” ก. แยกสารที่มีจดุ เดอื ดตาํ งกัน ข. แยกสารท่ีมสี ภาพการละลายตาํ งกัน ค. แยกสารท่มี ีขนาดของอนภุ าคแตกตาํ งกนั ง. แยกสารที่มีความสามารถในการ ละลายและถูกดดู ซับบนตวั ดูดซับแตกตํางกัน 5. การแยกสารเน้ือเดยี วด๎วยวิธีโครมาโทกราฟีพบวาํ บนกระดาษกรองมสี ีปรากฏ3 สี สารนี้คอื สารอะไร ก. ธาตุ ข. สารละลาย ค. สารบรสิ ทุ ธิ์ ง. สารประกอบ 6. การสีเขียวจากใบเตย ควรใช๎วธิ ีใด ก.การกลั่นธรรมดา ข. การกล่นั ด๎วยไอน้า ค. การกลน่ั ลาดบั สวํ น ง. การใช๎ตวั ทาละลาย 7. ผลกึ เกิดจากสารในขอ๎ ใด ก. สารละลายอ่มิ ตัว ข. สารละลายเขม๎ ขน๎ ค. สารละลายเจือจาง ง. สารเน้อื ผสม 8. ถ๎าตัง้ ถ๎วยสารละลายคอปเปอรซ์ ัลเฟตไว๎ในห๎องนานถึง 7 วนั ก็ยังไมํตกผลกึ ขอ๎ ใดกลําวถูกต๎อง ก.สารละลายน้ันมฝี นุ ละอองปลวิ มาผสม ข.สารละลายนัน้ อิม่ ตวั แตํอุณหภูมิไมํ เย็นจัด ค.สารละลายนน้ั ไมํอ่มิ ตวั จึงไมสํ ามารถ ตกผลกึ ได๎ ง.สารละลายไมํตกผลกึ เพราะตัวถูก ละลายเปน็ ของเหลว 9. สมชาย สมคั ร และอภิสทิ ธิ์ แบงํ สารละลายอ่มิ ตวั ของคอปเปอร์ซลั เฟต (จนุ ส)ี ไปทาใหต๎ กผลกึ ในกลํอง พลาสติกคนละกลํอง ปรากฏวําผลกึ จนุ สที ี่ได๎มีรูปรํางเป็นสี่เหลย่ี มขนมเปียกปูน ไมเํ หมือนรปู ในหนังสอื แบบเรยี น เขา ทง้ั 3 คน ควรสรปุ ผลการทดลองตามข๎อใด ก. ผลกึ จนุ สมี ีรูปราํ งได๎หลายอยาํ ง
54 ข. ผลการทดลองแสดงวําไมํใชจํ ุนสี ค. ผลกึ จุนสีมรี ปู รํางสี่เหล่ยี มขนม เปียกปนู ง. ผลึกจุนสมี รี ปู รํางเหมือนรูปในหนังสอื แบบเรียน 10. ถ๎ามีฝุนผงอยูํในนา้ เช่ือม เราควรแยกฝุนผงออกด๎วยวิธีใด ก. การกรอง ข. การกลนั่ ค.การระเหย ง.การตกตะกอน เฉลยแบบทดสอบ 1. ก 2. ก 3.ข 4.ง 5.ข 6. ก 7.ก 8. ค 9.ข 10. ก แผนการจัดการเรียนรู้ รายวิชาคุณธรรมและจริยธรรมในการใช้ส่อื สงั คมออนไลน์ ครั้งที่ 5 ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2565 กศน.ตาบลลน้ิ ฟ้า ระดับประถมศกึ ษา ๑. สัปดาหท์ ี่ 5 วันท่ี 14 เดือน มถิ ุนายน พ.ศ. 2565 เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐น. ๒. วิชา คณุ ธรรมและจรยิ ธรรมในการใชส้ ่อื สงั คมออนไลน์ รหสั วชิ า สค0200035 จานวน 3 หนวํ ยกิต ๓. มาตรฐานท่ี 5.2 มีความร๎ู ความเขา๎ ใจ เหน็ คุณคํา และสบื ทอดศาสนา วฒั นธรรม ประเพณี เพื่อการอยํู รํวมกันอยาํ งสนั ติสุข ๔. หน่วยการเรียนรู้/เร่ือง การสื่อสารในยคุ ดิจิทัล ๕. สาระสาคญั 1. บอกความหมาย องค์ประกอบ และวตั ถุประสงคข์ องการสือ่ สาร ได๎ 2. บอกความหมายและรูปแบบ ของการสอื่ สารในยุคดิจทิ ัลได๎ 3. บอกความหมายและ ความสาคญั ของเครอื ขํายตอํ สังคมออนไลนไ์ ด๎ 4. ตระหนักถึงความสาคญั ของ เครือขาํ ยสังคมออนไลน์ 5. ระบุประเภทของเครือขําย สังคมออนไลน์ทนี่ ยิ มใช๎ใน ปัจจุบัน เชนํ FACEBOOK INSTARGRAM TWITTER เปน็ ตน๎ 6. บอกประโยชนแ์ ละข๎อจากัด ของเครือขาํ ยสังคมออนไลนไ์ ด๎ ๖. เน้ือหา 1. ความหมายองค์ประกอบ และวตั ถุประสงคข์ องการ สือ่ สาร 2. ความหมายและรปู แบบ ของการสื่อสารในยคุ ดิจิทัล 3. เครอื ขาํ ยสังคมออนไลน์ (Social Network) 3.1 ความหมายและ ความสาคัญของเครือขําย สงั คมออนไลน์
55 3.2 ประเภทของ เครอื ขํายสังคมออนไลน์ที่ นิยมใชใ๎ นปัจจุบนั 3.3 ประโยชน์และ ข๎อจ ากัดของเครอื ขํายสังคม ออนไลน์ 4. มารยาทการสอื่ สารในยุค ดิจทิ ัล 5. แนวโนม๎ สอ่ื ดจิ ทิ ลั ใน อนาคต 6. กรณศี ึกษา : การใช๎ ประโยชนก์ ารส่ือสารในยคุ ดิจิทัล 7. จุดประสงคก์ ารเรียนร้/ู ผลการเรยี นร้ทู ี่คาดหวงั 1. การสอ่ื สารในยุคดจิ ิทัล ความหมาย องค์ประกอบ และวัตถุประสงคข์ องการสื่อสาร ความหมาย และ รูปแบบของ การสื่อสารในยคุ ดิจิทลั เครอื ขํายสังคมออนไลน์ (Social Network ) มารยาทการสือ่ สารในยุคดิจทิ ลั แนวโนม๎ ส่อื ดิจทิ ัล และกรณีศึกษา : การใช๎ประโยชนก์ ารสื่อสารในยคุ ดจิ ิทัล 2. คุณธรรมและจริยธรรมในการใชส๎ ื่อสงั คมออนไลน์ ความหมายและความสาคัญของคุณธรรม จรยิ ธรรม และจรรยาบรรณในการใช๎ส่อื สงั คม ออนไลน์ ความสาคญั การรูเ๎ ทําทันสื่อ ความรับผดิ ชอบในการใชส๎ ือ่ สังคมออนไลน์ กฎหมายเกยี่ วกบั การ ใชส๎ อื่ สงั คมออนไลน์ ความแตกตาํ งระหวํางคณุ ธรรมจริยธรรมและกฎหมายเกี่ยวกับการใช๎สอ่ื สังคม ออนไลน์ และกรณีศกึ ษา : การละเมดิ คุณธรรมและจรยิ ธรรมในการใชส๎ อื่ สงั คมออนไลน์ 8. การบูรณาการกบั หลกั แนวคดิ ของเศรษฐกจิ พอเพยี ง (2 เงอื่ นไข 3 หลักการ การเชือ่ มโยงสูํ 4 มติ )ิ ความรู้ - นกั ศกึ ษามีความรู๎ เรื่อง การสอ่ื สารในยุคดจิ ทิ ลั - นักศึกษามีความร๎ูเร่ือง คุณธรรมและจรยิ ธรรมในการใช๎ส่ือสังคมออนไลน์ คุณธรรม - มคี วามมงํุ มัน่ ในการทางาน - มคี วามสามัคคีในหมํูคณะ - ใฝุหาความรเ๎ู พอื่ พฒั นาอยูํเสมอ พอประมาณ - มคี วามพอประมาณในเร่ืองของเวลาการแบงํ เวลาในการศกึ ษาหาความร๎ูและการใช๎สอื่ สังคมออนไลน์ได๎อยํางเหมาะสม - พอประมาณในเครื่องมอื ส่ือสารในยุคดจิ ทิ ัล มเี หตผุ ล - ได๎ความรเู๎ ก่ียวกบั เคร่ืองมือสอื่ สารในยคุ ดจิ ิทัล - ไดค๎ วามรเู๎ กยี่ วกับคุณธรรมและจริยธรรมในการใช๎ส่ือสังคมออนไลน์ มภี ูมิคุ้มกนั - ร๎ูจกั เคร่ืองมือส่ือสารในยุคดิจทิ ัล เพ่ือนาไปปรบั ใช๎ในการดารงชวี ติ - มีคณุ ธรรมและจริยธรรมในการใชส๎ ื่อสงั คมออนไลน์ เพ่ือเตรียมความพร๎อมในการ เปล่ียนแปลงดา๎ นการสื่อสารในยุคดิจิทัล วัตถุ - รจ๎ู กั เลอื กเคร่ืองมือส่อื สารในยุคดจิ ิทัล เพื่อใช๎ในการดารงชวี ิต - มีทักษะในการเลือกและการใช๎เครื่องมือสื่อสารในยคุ ดจิ ิทลั ทเ่ี ปน็ ประโยชน์มาใช๎ในการ ดาเนินชีวิตของตัวเองในชุมชนและสงั คม สังคม - มที ักษะการอยูํรวํ มกันในกลุํม และทางานรํวมกับผ๎ูอน่ื ได๎อยํางมีความสุข
56 - สามารถนาความรู๎ที่ได๎ไปเผยแพรใํ ห๎กับครอบครัวและชมุ ชน สิง่ แวดล้อม - รู๎จักการนาความรู๎เกยี่ วกับเครื่องมือสอ่ื สารในยุคดิจิทลั เพือ่ พฒั นาสง่ิ แวดล๎อมให๎นําอยํู - มคี ณุ ธรรมและจริยธรรมในการใช๎ส่ือสงั คมออนไลน์ เพอ่ื นาไปใช๎ในชีวิตประจาวัน วฒั นธรรม - สบื ทอดและเผยแพรขํ ๎อมูล สํูครอบครวั ชุมชน และสังคม 9. กระบวนการจดั การเรยี นรู้และกิจกรรมเพิม่ เติม ขัน้ ตอนที่ 1 การกาหนดสภาพ ปญั หา ความต้องการในการเรียนรู้ (O : Orientation) ครูอธิบายความหมายองค์ประกอบ และวตั ถปุ ระสงค์ของการ สื่อสาร และรูปแบบ ของการส่อื สาร ในยคุ ดจิ ิทัล ความสาคัญของเครือขาํ ยตํอ สงั คมออนไลนไ์ ด๎ ข้ันตอนที่ 2 การแสวงหาข้อมลู และจัดการเรียนรู้ (N : New ways of learning) 1. ครูแบงํ ผเ๎ู รียนกลุมํ ละ 3-5 คน 2. ครใู ห๎ผู๎เรียน ดู VCD เรื่องการใช๎สอ่ื การใช๎โซเชยี ลมีเดยี ให๎ปลอดภัย เว็บไซต์ https://www.youtube.com/watch?v=TcKZGckHDbE 3. ครแู ละผ๎ูเรยี นสรุปสิ่งที่ได๎เรยี นร๎ูรวํ มกัน และผ๎ูเรยี นบนั ทึกสรุปส่งิ ได๎เรียนรูล๎ งในสมดุ บันทึก กิจกรรม ข้นั ตอนท่ี 3 การปฏิบตั ิและนาไปประยกุ ต์ใช้(I : Implementation) 1. ครูให๎ผ๎ูเรยี นออกมานาเสนอประโยชน์ของสอื่ ออนไลน์ 2. ใหผ๎ ูเ๎ รยี นแสดงความคดิ เห็นเพ่มิ เติมจากการนาเสนอของแตลํ ะคนวาํ จะนาไปประยุกต์ใช๎ใน ชีวิตประจาวนั ได๎อยาํ งไร 1. ครแู ละผเู๎ รยี นสรุปสง่ิ ที่ไดเ๎ รียนรรู๎ ํวมกนั และผ๎เู รยี นบนั ทึกสรุปสง่ิ ได๎เรยี นรลู๎ งในสมุดบันทึก กิจกรรม ขัน้ ตอนท่ี 4 การประเมนิ ผล (E : Evaluation) 1. ครูสุํมผู๎เรยี นประมาณ 3-5 คน ให๎ตอบคาถามในประเดน็ ผู๎เรยี นจะนาสง่ิ ที่ได๎เรียนรเู๎ ร่ืองสอื่ การใช๎ โซเชยี ลมเี ดียใหป๎ ลอดภัย 2. ครูและผ๎ูเรียนสรุปส่ิงทีไ่ ด๎เรยี นรู๎รํวมกัน และผู๎เรียนบนั ทึกสรปุ ส่ิงได๎เรียนรลู๎ งในสมุดบันทกึ กิจกรรม 3. ใบงาน 10.สอื่ /แหล่งเรียนรู้ 1. คลปิ วีดีทศั น์เรื่องการใช๎สือ่ ออนไลน์ 2. คลิปวดี ที ศั น์ ประโยชน์การใชส๎ ่ือออนไลน์ 3. ใบความรู๎ 4. ใบงาน ๑1. การวดั และประเมนิ ผล ๑1.๑วิธีการวดั และประเมนิ ผล - การสงั เกตพฤตกิ รรมการทางานรํวมกับผอู๎ ่ืน ของผ๎ูเรียนรายบุคคล - ใบงาน ๑๐.๒ เครื่องมอื วดั และประเมินผล - แบบบันทึกผลการสังเกตพฤตกิ รรมการทางานรํวมกับผอ๎ู ื่น ของผเ๎ู รียนรายบุคคล
57 - ผลจากการตรวจใบงาน ๑๐.๓ เกณฑ์การวัดและการประเมินผล - ผลการสังเกตพฤตกิ รรมการทางานรํวมกบั ผ๎ูอืน่ ของผ๎ูเรยี นรายบคุ คล ระดบั ดี พอใช๎ ควร ปรบั ปรุง - ใบงานคะแนนเต็ม ๑๐ คะแนน กิจกรรมเสนอแนะ ..................................................................................................................................................................................... ลงชือ่ …………………………………………….ครูผสู๎ อน (นางพรวรกานต์ ลีแวง) ครู กศน.ตาบล ข้อเสนอแนะของผู้บรหิ าร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………......................………........ ลงช่ือ………………………………………………………ผ๎ูอนมุ ัตแิ ผน (นางปทั มาภรณ์ ศรเี นตร) ผ๎อู านวยการ กศน.อาเภอจตรุ พักตรพิมาน บนั ทึกหลังการจัดการเรยี นรู้ กศน.ตาบลลิน้ ฟา้ ครั้งที่ 5 วนั ที่ 14 เดอื น มิถุนายน พ.ศ. 2565 ครผู ูส๎ อน นางพรวรกานต์ ลแี วง ระดบั ประถมศึกษา เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐ น. สาระความร๎ูพื้นฐาน รายวชิ าคุณธรรมและจริยธรรมในการใชส้ อื่ สังคมออนไลน์ รหัสวชิ า สค0200035 จานวนผเู๎ รียนท้ังหมด ............... คนเขา๎ เรียน…………………คน ไมํเข๎าเรียน……………………….คน ๑. ผลการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้การประเมนิ โดยใช๎ แบบทดสอบกํอนเรียน - หลังเรยี น พบวาํ คะแนนการทดสอบหลังเรยี น มากกวาํ กํอนเรยี นจานวน ........ คนคิดเปน็ ร๎อยละ............ คะแนนการทดสอบหลังเรยี น น๎อยกวํากํอนเรียนจานวน ......... คนคดิ เป็นร๎อยละ............ ๒. เนื้อหา/สาระ ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ..................................................................................................................................... ........................... ๓. กิจกรรมการเรียนการสอน ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ............................................... .............................................................................................................................. ......... ๔. ปญั หา/อปุ สรรค การเรียนการสอน ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................... ................................................................. ............................................................................................................................. ...................................
58 ๕. แนวทางการแก้ปญั หา .................................................................................................................................... ............................ ...................................................................................................... .......................................................... ............................................................................................................................. ................................... ลงชอื่ ....................................................... (นางพรวรกานต์ ลีแวง) ครผู ๎ูสอน วันที่.............../.................../............... ความคิดเห็น/ข้อเสนอแนะของผูบ้ ริหาร ............................................................................................................................. ............................................................ ......................................................................................................................................................................................... .............................................................................................................. ......................................... ลงชอื่ .................................................................. (นางปทั มาภรณ์ ศรเี นตร) ผอู๎ านวยการ กศน.อาเภอจตุรพักตรพมิ าน ใบความรู้ เรื่อง เทคโนโลยีดจิ ทิ ลั ความรู๎เกีย่ วกับยุคดจิ ทิ ัล ปัจจุบนั กลํุมคนที่เกดิ และเติบโตในยุคเทคโนโลยีดิจทิ ลั เรยี กวาํ Digital native ซง่ึ เดก็ และ เยาวชนเกย่ี วข๎องกบั ส่ิงตาํ ง ๆ ทเี่ ปน็ ดจิ ทิ ัลด๎วยรูปแบบและชํองทางทแ่ี สนงํายดายในทกุ ทแ่ี ละทุกเวลา ท่ี ต๎องการ ตัวอยํางการมีสวํ นรํวมแบบออนไลน์ อาทเิ ชํน Social networking Instant-massing (IM) Video- streaming การแชรภ์ าพ และการใช๎อินเทอรเ์ น็ตแบบเคล่ือนท่ี การแนะนา เกี่ยวกบั การใช๎เทคโนโลยอี ินเทอรเ์ น็ตจะ ไมํใชเํ รอ่ื งจาเปน็ สาหรับเด็กและ เยาวชนยุคดจิ ิทลั เพราะพวกเขาสามารถพัฒนาทกั ษะเก่ียวกับเทคโนโลยีอินเทอรเ์ น็ต ได๎อยาํ งรวดเร็ว เม่ือเปรียบเทียบกับกลํุมคนท่มี ีอายุมากกวํา แตทํ วาํ การใชง๎ านทีป่ ราศจากคาแนะนาก็ทาให๎พวกเค๎า ยงั คงเปน็ เพยี งผ๎ูใช๎เทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอ่ื สารมือสมัครเลนํ ซึ่งอาจนาไปสูํข๎อกังวลและ ปัญหาตํางๆ เกี่ยวกบั การใชเ๎ ทคโนโลยีสารสนเทศและการสอื่ สารที่เหมาะสมและถกู ต๎อง เพอื่ ให๎ ความรู๎ในเรื่องดังกลําวแกเํ ด็กและ เยาวชน เดก็ และเยาวชนจาเปน็ ต๎องพฒั นาความรู๎ การคดิ เชงิ วิเคราะห์ รวมถึงทักษะการสื่อสารและการจัดการ สารสนเทศสาหรับยคุ ดิจิทัล 1. ความหมายการร๎ูดจิ ิทลั การรด๎ู จิ ิทลั (Digital Literacy) คือ การผนวกกันของทักษะความรู๎และความเขา๎ ใจ ทผี่ ู๎เรยี น ต๎องเรยี นรู๎เพื่อทจี่ ะมีสวํ นรวํ มอยํางเต็มท่ีและมีความปลอดภัยในโลกยคุ ดิจิทลั มากข้นึ ทกั ษะความรู๎ และ ความเข๎าใจน้ีเปน็ กุญแจสาคัญของหลักสตู รการศึกษาขน้ั พ้ืนฐานท้งั ระดบั ประถมศึกษาและ มธั ยมศกึ ษา และควรจะ ผสานใหอ๎ ยใูํ นการเรยี นการสอนของทุกรายวิชาทุกระดับชั้น นอกจากน้ียัง เกี่ยวข๎องกับความร๎คู วามสามารถและ ทักษะของบุคคลในการเขา๎ ถงึ ดิจิทัล ประเมินคุณภาพของดิจิทัล และใชด๎ จิ ิทัลอยาํ งมปี ระสทิ ธิภาพทุกรูปแบบ ผู๎ร๎ู
59 ดจิ ิทลั จะต๎องมที ักษะในดา๎ นตํางๆ เชํน ทกั ษะการคิด วเิ คราะหแ์ ละ/หรือ การคิดอยํางมีวิจารณญาณ ทักษะการใช๎ ภาษา ทกั ษะการใช๎คอมพวิ เตอร์ เป็นตน๎ นอกจากนี้ Digital literacy หมายถึงทกั ษะความเขา๎ ใจและใชเ๎ ทคโนโลยี ดจิ ทิ ัล โดยเปน็ ทักษะในการนาเครื่องมอื อุปกรณ์ และเทคโนโลยีดจิ ิทัลที่มอี ยํใู นปัจจุบัน อาทิ คอมพวิ เตอร์ โทรศัพท์ แทปเลต โปรแกรมคอมพวิ เตอร์ และสอ่ื ออนไลน์ มาใชใ๎ หเ๎ กดิ ประโยชนส์ งู สดุ ในการสื่อสาร การ ปฏบิ ตั งิ าน และ การท างานรวํ มกัน หรือใชเ๎ พ่ือพัฒนากระบวนการทางาน หรอื ระบบงานในองค์กรให๎มี ความทนั สมัยและมี ประสิทธิภาพ ทกั ษะดังกลําวครอบคลุมความสามารถ 4 มิติ ไดแ๎ กํ การใช๎(Use) เขา๎ ใจ (Understand) การสรา๎ ง (create) และเขา๎ ถึง (Access) เทคโนโลยดี จิ ิทลั ไดอ๎ ยาํ งมีประสทิ ธภิ าพ ท้ังน้คี าทีแ่ สดงลักษณะความรู๎สามารถดจิ ิทลั คือ รู๎ใช๎ ร๎ู เขา๎ ใจ รู๎สร๎างสรรค์ซงึ่ ถอื เป็น ความสามารถสาหรับการรูด๎ ิจิทลั โดยมรี ายละเอยี ดดงั นี้ ใช๎ (Use) แสดงถึงความ คลอํ งแคลํวทางเทคนิคทจี่ าเป็นในการใช๎กับคอมพวิ เตอร์และ อินเทอรเ์ นต็ ชดุ รูปแบบพ้ืนฐานสาหรับการพฒั นาทักษะ ทางเทคนิคทจี่ าเป็น รวมถึงความสามารถใน การใชโ๎ ปรแกรมคอมพวิ เตอร์ เชนํ โปรแกรมประมวลผล เวบ็ เบราเซอร์E- mail และการสือ่ สารอน่ื ๆ เครื่องมือคน๎ หาและฐานข๎อมูลออนไลน์ เข๎าใจ (Understand) คอื ความสามารถทจ่ี ะเข๎าใจ บริบททเี่ ก่ียวข๎อง และประเมินสอ่ื ดจิ ิทัล ตระหนักถงึ ความสาคญั ของการประเมนิ ผลที่สาคัญในการทาความเข๎าใจ ดจิ ทิ ลั เนือ้ หาของส่ือ และการ ประยกุ ต์ใชส๎ ามารถสะท๎อนใหเ๎ ห็นถงึ รปู ราํ งการเพ่มิ หรือจัดการกับความรูส๎ กึ ความเชอ่ื ของเราและ ความรู๎สกึ เกย่ี วกับโลกรอบตวั เราความเข๎าใจความสาคญั ของส่ือดิจิทัลทชี่ วํ ยให๎บคุ คลเก็บเก่ียว ผลประโยชน์และลดความเสยี่ ง การมสี วํ นรํวมในสังคมเตม็ รูปแบบดจิ ิทัล ทักษะชดุ นีย้ งั รวมถงึ การ พัฒนาทักษะการ จดั กาสารสนเทศและการแขง็ คําของสิทธิคนและความรับผิดชอบในการไปถึง ทรัพยส์ นิ ทางปัญญา ในเศรษฐกิจความรู๎ ชาวแคนาดาจาเป็นต๎องรูว๎ ธิ กี ารหาประเมินผลและมี ประสทิ ธิภาพใช๎ข๎อมลู เพื่อการส่ือสารการท างานรวํ มกนั และ แก๎ปัญหาในชวี ติ สํวนตัวและเปน็ มืออาชพี ของพวกเขา สร๎างสรรค์ (Create) ความสามารถในการสรา๎ งเนื้อหาและมี ประสิทธภิ าพ การติดตอํ ส่ือสารโดยใช๎ความหลากหลายของสอ่ื ดจิ ิทัลเป็นเครื่องมอื การสรา๎ งสอ่ื ดจิ ทิ ัลมีความหมาย มากกวํา ความสามารถในการใช๎โปรแกรมประมวลผลหรือเขียนอีเมล์ รวมถึงความสามารถในการปรบั การสื่อสารกับ สถานการณ์และผ๎รู บั สารการสรา๎ งและตดิ ตํอสื่อสารโดยใช๎สื่อผสม เชํน ภาพวดี ิโอและ เสียงประกอบอยํางมี ประสทิ ธภิ าพและมคี วามรับผิดชอบ ประกอบกับเนอื้ หาเว็บไซต์ทีผ่ ๎ูเรยี นสร๎าง เชํนบล็อกและเวทสี นทนา วดี โิ อและ ภาพถาํ ยรํวมกนั เลนํ เกมทางสงั คม และรปู แบบอื่นๆ ของส่ือ สังคม แนวคดิ นีย้ ังตระหนักถึงส่งิ ท่ีเปน็ ความร๎ูในโลก ดิจทิ ลั ทไ่ี มํเพียงแตสํ ร๎างความชานาญทางด๎าน เทคโนโลยีเทาํ น้นั แตยํ งั คานงึ ถงึ จริยธรรม การปฏิบตั ทิ างสงั คมและการ สะทอ๎ นสง่ิ ท่ฝี ังอยูํในการ เรียนรู๎ การใชเ๎ วลาวําง และการใชช๎ วี ิตประจาวนั ภายใต๎การรู๎ดจิ ิทัล คือความหลากหลายของ ทักษะตาํ ง ๆ ทีเ่ ก่ยี วข๎องสมั พันธ์กนั ซึง่ ทักษะ เหลํานั้นอยํูภายใตก๎ ารรูส๎ ่ือ (Media literacy) การรูเ๎ ทคโนโลยี (Technology literacy) การร๎ู สารสนเทศ (Information literacy) การร๎ูเกี่ยวกบั สง่ิ ท่ีเหน็ (Visual literacy) การรกู๎ ารสื่อสาร (Communication literacy) และการรสู๎ ังคม (Social literacy การร๎สู อื่ (Media Literacy) การรูส๎ ่อื สะท๎อนความสามารถของผ๎ูเรยี นเก่ยี วกบั การเข๎าถึง การวิเคราะห์ และ การผลติ ส่อื ผาํ นความเข๎าใจและการตระหนกั เกีย่ วกับ 1.ศลิ ปะ
60 ความชานาญในเทคโนโลยสี ํวนใหญมํ ักจะเก่ยี วข๎องกับความรูด๎ ิจทิ ัล ซ่ึงครอบคลมุ จากทักษะคอมพิวเตอรข์ ั้นพืน้ ฐานสูํ ทกั ษะท่ซี บั ซอ๎ นมากขึน้ เชํนการแกไ๎ ขภาพยนตร์ดจิ ิทลั หรอื การเขยี นรหัสคอมพวิ เตอร์ การรสู๎ ารสนเทศ (Information literacy) การรสู๎ ารสนเทศเป็นอีกสง่ิ ทส่ี าคญั ของการร๎ูดิจทิ ลั ซง่ึ ครอบคลุมความสามารถในการ ประเมนิ วาํ สารสนเทศใดทผี่ ๎เู รียน ต๎องการ การรูว๎ ธิ ีการทจ่ี ะคน๎ หาสารสนเทศท่ตี ๎องกาแบบรออนไลน์ และการร๎ูการประเมินและการใช๎สารสนเทศท่ี สบื คน๎ ได๎ การรสู๎ ารสนเทศถูกพฒั นาเพื่อการใชห๎ ๎องสมดุ มันยังสามารถเข๎าไดด๎ ีกบั ยคุ ดจิ ิทลั ซง่ึ เป็นยุคท่ีมขี ๎อมลู สารสนเทศออนไลนม์ หาศาลซ่งึ ไมํไดม๎ ีการกรอง ดงั นั้นการร๎วู ธิ ีการคิดวิเคราะหเ์ ก่ียวกับแหลํงทมี่ าและเนื้อหานบั เปน็ สิง่ จาเปน็ การรู๎เกย่ี วกับสิง่ ทเ่ี ห็นสะท๎อนความสามารถของของผ๎ูเรยี นเก่ียวกับความเข๎าใจ การแปล ความหมายสง่ิ ท่ี เห็น การวิเคราะห์ การเรียนร๎ู การแสดงความคิดเหน็ และความสามารถในการใชส๎ ิ่งที่ เห็นนน้ั ในการท างานและการ ดารงชวี ติ ประจาวันของตนเองได๎ รวมถงึ การผลิตข๎อความภาพไมํวาํ จะผาํ นวตั ถุ การกระทา หรือสัญลักษณ์ การร๎ู เกีย่ วกบั สง่ิ ท่ีเห็นเป็นสิง่ จาเป็นสาหรับการเรยี นรู๎และ การส่อื สารในสงั คมสมัยใหมํ การรกู๎ ารส่อื สาร (Communication literacy การร๎กู ารส่อื สารเป็นรากฐานสาหรับการคิด การจดั การ และการเชอื่ มตอํ กับคนอื่นๆ ใน สังคมเครือขําย ทุกวันน้ีเดก็ และเยาวชนไมเํ พียงจาเปน็ ต๎องเข๎าใจการบรู ณาการความร๎จู ากแหลํงตาํ งๆ เชํน เพลง วดิ โี อ ฐานขอ๎ มูลออนไลน์ และ สื่ออ่ืนๆ พวกเคา๎ ยังจาเปน็ ต๎องรู๎วธิ ีการใชแ๎ หลงํ สารสนเทศ เหลาํ นัน้ เพื่อเผยแพรํและแลกเปลีย่ นความรู๎ การรส๎ู งั คม (Social literacy) การรู๎สงั คมหมายถงึ วฒั นธรรมแบบการมีสวํ นรวํ ม ซ่งึ ถูกพฒั นาผํานความรํวมมือและ เครอื ขาํ ย เยาวชน ต๎องการทักษะสาหรับการท างานภายในเครือขาํ ยทางสงั คม เพ่อื การรวบรวมความร๎ู การเจรจาขา๎ มวฒั นธรรมที่ แตกตาํ ง และการผสานความขดั แย๎งของข๎อมูล 1. ความสาคญั ของการร๎ูดิจิทัล เทคโนโลยีใหโ๎ อกาสในการมสี ํวนรํวมของการเรยี นร๎ู ชมุ ชน สงั คม และ กิจกรรมการทางาน ทุกคนจะตอ๎ งมีความรู๎ดิจทิ ลั เพ่อื ใช๎ประโยชน์สูงสุด ดงั นี้ 2. ดา๎ นการศึกษา การรู๎ดิจทิ ัลเป็นสิง่ จาเปน็ สาหรบั การศึกษาของบุคคลทุกระดับ ทัง้ การศึกษาในระบบ โรงเรียน การศกึ ษานอกระบบโรงเรียน การศกึ ษาตามอัธยาศยั และการเรยี นร๎ูตลอดชีวิต โดยเฉพาะ อยาํ งยง่ิ การศึกษาในปัจจบุ นั ที่ มีการปฏริ ูปการเรยี นร๎ูทีเ่ นน๎ ผ๎ูเรียนเป็นสาคัญ ดังน้ันบทบาทของผ๎ูสอน จึงเปลีย่ นเป็นผู๎ให๎ คาแนะนาชีแ้ นะโดยอาศยั ทรัพยากรเป็นพน้ื ฐานสาคญั รวมไปถึงทรัพยากรทาง เทคโนโลยดี ว๎ ย 3. ดา๎ นการดารงชีวิตประจาวัน การรดู๎ ิจิทลั เปน็ สง่ิ สาคญั ยิง่ ในการดารงชวี ิตประจาวนั เพราะผร๎ู ๎ดู จิ ทิ ลั จะเป็น ผท๎ู ี่สามารถ วเิ คราะหป์ ระเมนิ และใช๎งานเทคโนโลยีสารสนเทศให๎เกิดประโยชนส์ งู สดุ แกตํ นเอง เม่ือตอ๎ งการ ตดั สินใจ เรอ่ื งใดเร่ืองหน่ึงได๎อยํางมีประสทิ ธภิ าพ ก็สามารถใช๎ความรจ๎ู ากการรด๎ู จิ ทิ ัลเข๎ามาชํวยในการ หาขอ๎ มูล แล๎วจึงคํอย ตัดสินใจ เป็นต๎น 4. ดา๎ นการประกอบอาชีพ การรูด๎ จิ ทิ ัลมีความสาคัญตํอการประกอบอาชีพของบุคคล เพราะสามารถแสวงหา ดจิ ทิ ัล เพือ่ เป็นตัวชวํ ยด๎านสารสนเทศ ท่มี ีความจาเปน็ ตํอการประกอบอาชพี ของตนเองได๎ เชนํ เกษตรกร เมอ่ื ประสบ
61 ปัญหาโรคระบาดกบั พชื ผลทางการเกษตรของตน สามารถใช๎ความรด๎ู ๎านการร๎ูดิจิทัลเข๎ามา ชวํ ยในการหาตัวยาหรือ สารเคมีเพื่อมากา จัดโรคระบาด ดงั กลาํ วได๎ เป็นตน๎ 5. ด๎านสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง การรูด๎ จิ ทิ ัลเป็นสิง่ สาคญั โดยเฉพาะสงั คมในยุคเทคโนโลยีสารสนเทศ บุคคลจาเปน็ ต๎องร๎ู ดิจิทลั ร๎สู ารสนเทศเพ่ือปรบั ตนเองใหเ๎ ข๎ากบั สงั คม เศรษฐกิจ และการเมอื ง เชนํ การอยํูรวํ มกันใน สงั คม การบริหารจดั การ การดาเนนิ ธรุ กิจและการแขงํ ขนั การบรหิ ารบ๎านเมืองของผ๎นู าประเทศ เปน็ ตน๎ การรด๎ู ิจิทัล จะทาให๎กา๎ วหนา๎ มากกวาํ ผ๎ูอืน่ หน่ึงก๎าวเสมออาจกลาํ วได๎วําผ๎ูร๎ูดิจิทัล คือ ผู๎ทม่ี ี อานาจ สามารถาช้วี ดั ความสามารถของ องค์กรหรือประเทศชาตไิ ด๎ ดงั นั้นประชากรที่เป็นผ๎ูรูด๎ จิ ทิ ัล จึงถือวําเป็นทรัพยากรทีม่ ีคาํ มากทีส่ ุดของประเทศ 3. ผลกระทบของการร๎ดู จิ ิทลั การร๎ดู ิจทิ ัลมคี วามสาคญั มาก ในยุคเทคโนโลยีสารสนเทศ เพราะมีการนามา ประยกุ ต์อยูํใน ทกุ ดา๎ น ตลอดจนชีวิตประจาวัน จงึ สงํ ผลกระทบหลายดา๎ น ทั้งดา๎ นการเรียน ด๎านสงั คม ด๎านเมืองการ ปกครอง การประกอบอาชพี เพราะทกุ ด๎านล๎วนแลว๎ แตํใชเ๎ ทคโนโลยเี ข๎ามา ชวํ ยเพิ่มโอกาสและการใช๎ ให๎เกิด ประโยชนส์ ูงสดุ นอกจากน้ียังชํวยให๎ออนไลน์อยาํ งปลอดภยั หากแตลํ ะบุคคลมีความสามารถในการตัดสินใจ ที่ เหมาะสมและมีข๎อมูลเก่ียวกบั การใชเ๎ ทคโนโลยที ่ีจะสงํ ผลกระทบ ตํอการศึกษาตลอดชีวติ รวมถงึ ชวี ติ การท างานใน อนาคตดว๎ ย หากขาดทักษะการร๎ดู ิจิทัล อาจจะสงํ ผล กระทบ ดังนี้ -โอกาสหรือขอบเขตทางการศกึ ษาแคบลง -โอกาสในการประกอบอาชพี ท่ีดีลดนอ๎ ยลง -พัฒนาศกั ยภาพของตนเองได๎ไมเํ ตม็ ท่ี เนื่องจากไมํมีการตดิ ตามข๎อมูลขําวสารที่ทนั สมัย -อาจเกดิ ความไมปํ ลอดภัยในการใชเ๎ ทคโนโลยี เนอ่ื งจากความรเ๎ู ทาํ ไมํถงึ กาล และขาด ทกั ษะการร๎ูดจิ ทิ ลั จน สํงผล กระทบไปในทางทีไ่ มํดไี ด๎ 4. ทักษะสาคัญในการรด๎ู ิจทิ ัล ในยคุ แหํงการแขํงขันทางสงั คมคํอนขา๎ งสงู ในปจั จุบนั สํงผลตอํ การปรบั ตวั ให๎ ทดั เทยี มและ เทําทันกบั ความเปลี่ยนแปลงทเี่ กิดข้ึนในบริบททางสังคมในทุกมิตริ อบดา๎ น ดงั น้ันการเสริมสร๎างองค์ ความร๎ู (Content Knowledge) ทกั ษะเฉพาะทาง (Specific Skills) ความเช่ยี วชาญเฉพาะดา๎ น (Expertise) และ สมรรถนะของการรูเ๎ ทําทนั (Literacy) จึงเป็นตัวแปรสาคญั ที่ตอ๎ งเกิดขึน้ กับตวั ผู๎เรียนในการเรยี นร๎ยู ุคสงั คมแหงํ การ เปล่ยี นแปลงในศตวรรษที่ 21 นไ้ี ดอ๎ ยํางมปี ระสิทธิภาพ ทักษะ 3R4C ประกอบด๎วย 3R ได๎แกํ Reading (อาํ นออก) ความสามารถด๎านภาษา (Literacy) หมายถงึ ความสามารถในการอาํ น เพ่ือรู๎ เข๎าใจ วิเคราะห์ สรุปสาระสาคัญ ประเมนิ สิง่ ท่ีอํานจากส่ือประเภทตาํ งๆ รจู๎ กั เลอื กอํานตามวัตถุประสงค์ นาไปใช๎ในชีวิตประจาวนั และการอยรํู ํวมกันใน สังคม ใชก๎ ารอํานเพื่อการศึกษาตลอดชวี ติ และส่ือสาร เป็นภาษาเขยี นได๎ถูกต๎องตามหลกั การใช๎ภาษาและอยําง สร๎างสรรค์ 1. ความสามารถในการอาํ น หมายถงึ พฤติกรรมการร๎ู ความเขา๎ ใจ การสรุปสาระสาคัญ การวเิ คราะห์ และ การประเมินได๎ 2. ร๎ู หมายถึง ความสามารถบอกความหมาย เร่ืองราว ขอ๎ เท็จจรงิ และเหตกุ ารณต์ าํ งๆ 3. เข๎าใจ หมายถึง ความสามารถในการแปลความ ตีความ ขยายความ และสรปุ อา๎ งองิ 4. สรปุ สาระสาคัญ หมายถงึ ความสามารถในการสรปุ ใจความสาคญั ของเนื้อเรอื่ งได๎อยาํ ง ส้นั ๆ กระชบั และครอบคลุม 5. วิเคราะห์ หมายถึง ความสามารถในการแยกแยะเรื่องราว ขอ๎ เทจ็ จริง เหตผุ ล ข๎อคิดเหน็ คุณคาํ และ สํวนประกอบอื่น ๆ 6. ประเมิน หมายถึง ความสามารถในการตดั สินความถกู ต๎อง ความชดั เจน ความเหมาะสม คณุ คํา ตาม เกณฑ์ท่กี าหนด
62 ความรู๎พ้นื ฐานเกี่ยวกับการเขียน การเขยี นเปน็ การสอ่ื สารด๎วยอกั ษร ถํายทอดความร๎ู ความคดิ อารมณ์ ความร๎ูสกึ ประสบการณข์ องผ๎ูเขยี นไปสูํผ๎ูอําน ทกั ษะการเขียนเปน็ ทกั ษะท่เี ป็นท้งั ศลิ ป์และศาสตร์ กลําวคือ การ เขยี น ต๎องใชภ๎ าษาทไ่ี พเราะประณีต สอ่ื ได๎ทั้งอารมณ์ ความคิด ความร๎ู ต๎องใชศ๎ ลิ ปะ ท่ีกลําววําเปน็ ศาสตร์เพราะการเขียน ทกุ ชนดิ ต๎องประกอบด๎วยความรู๎ หลกั การและวธิ กี าร การเขียนมคี วามสาคัญสาหรบั มนุษย์ ยง่ิ โลกในปัจจบุ ันมีความ เจริญก๎าวหนา๎ ไปอยําง รวดเร็ว การเขียนย่งิ ทวีความสาคญั มากขึ้นตามไปด๎วยซ่งึ สามารถสรปุ ความสาคญั ของการเขียน ได๎ ดังน้ี 1. การเขยี นเป็นการส่ือสารอยํางหน่งึ 2. การเขียนเปน็ การแสดงออกซึ่งภมู ปิ ญั ญาของมนุษย์ 3. การเขียน เป็นเครื่องมือถาํ ยทอดมรดกทางสตปิ ัญญา 4. การเขียนเป็นเครือ่ งมือสร๎างความสามัคคีและความเจรญิ รุงํ เรือง ในทาง ตรงกนั ขา๎ มกใ็ ช๎ เปน็ เครอ่ื งบํอนท าลายไดเ๎ ชํนกนั การเขยี นจะบรรลผุ ลตามวตั ถุประสงค์หรอื ไมนํ ้ัน สิง่ สาคัญอยํางหน่ึง คอื การเขียนต๎องมี จุดมงุํ หมายซงึ่ สามารถจาแนกได๎ดงั น้ี 1. การเขียนเพ่ือการเลําเร่ือง > เป็นการน าเรือ่ งราวทีส่ าคัญมาถํายทอดเป็นข๎อเขยี น เชํน การเขยี นเลํา ประวตั ิ 2. การเขยี นเพื่ออธบิ าย > เป็นการเขยี นเพอ่ื ชีแ้ จงอธิบายวิธใี ช๎ วิธที า ขน้ั ตอนการท า เชํน อธิบายการใช๎ เครือ่ งมอื ตํางๆ 3. การเขยี นเพอื่ แสดงความคดิ เห็น > เปน็ การเขยี นเพ่อื วิเคราะห์ วิจารณ์ แนะนา หรอื แสดงความคดิ เหน็ เกยี่ วกบั เร่อื งใดเร่ืองหนง่ึ 4. การเขียนเพื่อโน๎มนา๎ วใจ > เปน็ การเขียนทีผ่ เ๎ู ขียนมจี ุดประสงค์ท่ีจะชกั จงู โนม๎ น๎าวใจให๎ ผอู๎ ํานยอมรบั ใน สงิ่ ทผ่ี ๎ูเขียนเสนอ 5. การเขยี นเพอ่ื กจิ ธุระ > เป็นการเขยี นทผี่ ๎เู ขียนมจี ุดประสงค์อยํางใดอยาํ งหน่งึ การเขยี น ชนดิ นี้จะมี รูปแบบการเขยี นและลักษณะการใชภ๎ าษาที่แตกตํางกนั ไปตามประเภทของการเขียน (A)Rithmetics (คดิ เลขเปน็ ) ความสามารถในการน าความรูท๎ างคณิตศาสตร์ไปประยุกตใ์ ชใ๎ นสถานการณต์ ําง ๆ ใน ชวี ติ ประจ าวัน ได๎แกํ ความสามารถในการแก๎ปัญหาด๎วยวธิ ีการที่หลากหลาย การให๎เหตุผล การ ส่ือสาร การสือ่ ความหมายทางคณิตศาสตร์ การนาเสนอ การเชื่อมโยงความรแ๎ู ละการมคี วามคดิ ริเริ่ม สรา๎ งสรรค์ คณติ ศาสตร์ในชวี ิตประจาวัน หมาย ถึงการนาความร๎ู เน้อื หา หลกั การทางคณิตศาสตร์ ใน ระดับทเี่ หมาะสม กับผเู๎ รยี น ไปประยุกตใ์ ช๎ในกิจกรรมทเี่ กี่ยวข๎องกับผ๎เู รยี น หรอื ใชอ๎ ธิบาย ปรากฏการณ์ เหตุการณใ์ กลต๎ ัวทีส่ ามารถพบ เหน็ ไดใ๎ นชวี ติ ประจาวันท่วั ไป ทกุ เหตุการณท์ ี่เกิดขน้ึ ไมํ วําจะเกดิ ขนึ้ ทกุ วนั หรือนาน ๆ คร้ัง ทั้งทเ่ี ก่ียวข๎องกับเรา โดยตรงหรือโดยอ๎อม ลว๎ นแตํสามารถโยง ใหเ๎ ข๎ากับคณติ ศาสตร์ได๎ท้งั สิน้ 4C ได๎แกํ Critical Thinking การคิด วิเคราะห์ การเรยี นรู๎ทกั ษะการคดิ วเิ คราะห์ควรมเี ปาู หมายและวธิ ีการดงั ตํอไปน้ี เปาู หมาย : สามารถใช๎เหตผุ ล คิดได๎ อยํางเปน็ เหตเุ ปน็ ผลหลากหลายแบบ ได๎แกํ คดิ แบบอปุ นยั (inductive) คิด แบบอนุมาน (deductive) เป็นตน๎ แลว๎ แตํสถานการณ์ เปาู หมาย : สามารถใชก๎ ารคดิ กระบวนระบบ (systems thinking) วเิ คราะห์ได๎วําปัจจัยยอํ ยมี ปฏิสมั พันธ์กันอยาํ งไร จนเกดิ ผลในภาพรวมเปูาหมาย วเิ คราะห์และประเมินขอ๎ มลู หลักฐาน การโต๎แย๎ง การกลาํ วอ๎าง และความเชื่อ วเิ คราะห์เปรยี บเทียบและประเมินความเหน็ หลกั ๆ สังเคราะหแ์ ละเชื่อมโยงระหวาํ งสารสนเทศกบั ข๎อ โต๎แย๎ง แปลความหมายของสารสนเทศและสรปุ บนฐานของการวิเคราะห์ ตีความและทบทวนอยาํ งจรงิ จัง (critical reflection) ในด๎านการเรยี นรู๎ และกระบวนการ เปูาหมาย : สามารถแก๎ปญั หาได๎ ฝึกแก๎ปัญหาทไี่ มํค๎ุนเคยหลากหลาย แบบ ท้ังโดยแนวทางทีย่ อมรับกนั ทั่วไป และแนวทางท่ี แหวกแนว ต้ังคาถามสาคัญทีช่ วํ ยทาความกระจํางใหแ๎ กํมุมมอง ตาํ ง ๆ เพ่ือน าไปสํทู างออกที่ดีกวาํ การเรยี นทักษะเหลําน้ีทาโดย PBL (Project-Based Learning) Communication การสือ่ สาร การออกแบบการเรียนรท๎ู ักษะการสื่อสาร ควรมีเปูาหมายและวิธกี ารดังตํอไปนี้ เปาู หมาย : ทักษะในการสอ่ื สารอยาํ งชัดเจน เรียบเรียงความคดิ และมมุ มอง (idea) ได๎เป็นอยํางดีสอื่ สารออกมาให๎
63 เขา๎ ใจงาํ ยและ งดงาม และมีความสามารถสอื่ สารไดห๎ ลายแบบ ทั้งดว๎ ยวาจา ขอ๎ เขียน และภาษาท่ีไมใํ ชํภาษาพูดและ เขียน (เชํน ทําทาง สีหน๎า) ฟังอยาํ งมีประสทิ ธิผล เกดิ การสอ่ื สารจากการตั้งใจฟังใหเ๎ ห็น ความหมาย ท้งั ดา๎ นความร๎ู คุณคํา ทัศนคติ และความต้ังใจใชก๎ ารสอื่ สารเพ่ือบรรลุเปูาหมายหลายด๎าน เชนํ แจ๎งให๎ทราบบอกใหท๎ า จงู ใจ และ ชกั ชวน สอ่ื สารอยํางไดผ๎ ลในสภาพแวดล๎อมที่หลากหลาย รวมท้งั ในสภาพที่สื่อสารกนั ด๎วยหลาย ภาษา เปูาหมาย : ทักษะในการรํวมมือกบั ผ๎อู น่ื แสดงความสามารถในการท างานอยาํ งได๎ผล และแสดงความเคารพให๎เกียรติทีมงานท่ีมี ความ หลากหลาย แสดงความยืดหยนํุ และชวํ ยประนปี ระนอมเพือ่ บรรลุเปูาหมายรํวมกัน แสดงความรับผิดชอบ รํวมกนั ในงานที่ตอ๎ งทารวํ มกนั เปน็ ทีมและเห็นคุณคําของบทบาทของผู๎ รํวมทมี คนอื่น ๆ Collaboration การรวํ มมือ การออกแบบการเรยี นรท๎ู ักษะการรวํ มมือ ควรมเี ปาู หมายและวธิ กี ารดังตํอไปนี้ เปาู หมาย : ทักษะในการรวํ มมือกบั ผู๎อ่นื แสดงความสามารถในการท างานอยํางไดผ๎ ล และแสดงความเคารพให๎เกียรตทิ ีมงานทม่ี ี ความหลากหลาย แสดง ความยืดหยํนุ และชํวยประนีประนอมเพ่ือบรรลเุ ปูาหมายรํวมกัน แสดงความรบั ผดิ ชอบรํวมกันในงานที่ตอ๎ งทารํวมกัน เปน็ ทีมและเห็นคุณคาํ ของบทบาทของ ผูร๎ ํวมทีมคนอนื่ ๆ Creativity ความคิดสร๎างสรรค์ การออกแบบการเรียนร๎ู ทกั ษะความคดิ สรา๎ งสรรค์ ควรมีเปูาหมายและวธิ ีการดังตํอไปน้ี เปูาหมาย : ทกั ษะการความคดิ สร๎างสรรค์ ใชเ๎ ทคนิค สรา๎ งมุมมองหลากหลายเทคนิค เชนํ การระดมความคิด (brainstorming) สรา๎ งมุมมองแปลกใหมํ ท้งั ทเ่ี ป็นการ ปรบั ปรงุ เล็กนอ๎ ยจากของเดิม หรือเป็นหลักการท่แี หวก แนวโดยส้ินเชงิ ชกั ชวนกนั ทาความเขา๎ ใจ ปรับปรุง วิเคราะห์ และประเมินมุมมองของตนเอง เพื่อพฒั นา ความเขา๎ ใจเกีย่ วกบั การคดิ อยาํ งสร๎างสรรค์ 5. สรปุ ในอนาคตเนอื้ หาการ เรยี นร๎ูแบบดจิ ติ อลจะเข๎ามาแทนทแี่ ละบทบาทในการศึกษา หนังสอื ทว่ั ไปจะกลายเปน็ เอกสารประกอบในเนื้อหา รายวชิ าทเี่ ปน็ ทฤษฏพี ื้นฐาน เพราะเนื้อหาไมคํ ํอยมีการ เปล่ียนแปลง แตสํ าหรับเน้ือหารายวชิ าท่ีมกี ารเปล่ียนแปลงได๎ ตลอดเวลา เชํนเนื้อหาดา๎ นคอมพวิ เตอร์และวิทยาการตาํ งๆ เนอ้ื หาการเรยี นรแ๎ู บบดิจติ อลจะเข๎ามาแทนที่ได๎เพราะ สามารถแก๎ไขเนื้อหาได๎ สะดวก อกี ท้งั ข้ันตอนการผลิตหนังสอื ทัว่ ไปจะใช๎ เวลานาน เน้อื หาการเรยี นรูแ๎ บบดจิ ิตอลจะ ทาใหผ๎ ท๎ู ี่ สนใจในเนือ้ หาตาํ ง ๆได๎มีความรูจ๎ ากเนื้อหาน้นั ๆ โดยทไ่ี มจํ าเปน็ ต๎องเข๎าเรยี นในสถานศึกษา อนาคต ของ เนื้อหาการเรียนร๎ูแบบดจิ ิตอลไมํได๎ขน้ึ อยํูกับผ๎ูอาํ นเทาํ น้นั แตยํ ังขึ้นอยํูกบั การพัฒนาและการ คดิ ค๎นรปู แบบใหมํ ๆ เพอื่ ทาให๎มีความสะดวกในการอาํ นใหม๎ ากขนึ้ และทาให๎เน้ือหามีความนําสนใจ มากขน้ึ นอกจากน้ันแลว๎ เน้อื หาการ เรียนรูแ๎ บบดจิ ติ อลจะเขา๎ ไปทาใหเ๎ กิดการเปล่ียนแปลงในตลาด สง่ิ พมิ พเ์ ชํน หนังสือพิมพ์ วารสาร นติ ยสาร เป็นต๎น จะถกู ผลิตมาในรปู แบบที่เปน็ แบบดิจติ อลมาก ขน้ึ ในอนาคต แ
64 ใบงานที่ ๑ ๑. จงอธิบายความหมายของการรดู้ ิจทิ ัล …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………......................................................................………………………………… ๒. จงอธิบายความหมายของการรู้การส่อื สาร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
65 …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………......................................................................………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………….......................................................................………………… ช่ือ.............................................................นามสกลุ ..............................................ระดบั ประถมศกึ ษา ใบงานท่ี ๒ ๑. จงอธบิ ายความสาคัญของการรูด้ ิจิทัล …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………… ๒. จงยกตวั อย่างผลกระทบจากการรดู้ ิจิทลั
66 …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………… ชอื่ .............................................................นามสกุล..............................................ระดบั ประถมศกึ ษา แผนการจดั การเรียนรู้ รายวิชาสุขศึกษาพลศกึ ษา คร้งั ท่ี ๑ การจัดทาหน่วยเรียนร้บู ูรณาการหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2565 กศน.ตาบลลนิ้ ฟ้า ระดับประถมศกึ ษา 1. สัปดาหท์ ่ี ๖ วนั ที่ 2๑ เดือน พฤษภาคม พ.ศ.2565 เวลา 09.00 - 12.00 น. 2. วชิ า สุขศกึ ษาพลศกึ ษา รหัสวิชา ทช1100๒ จานวน 2 หนํวยกติ 3. มาตรฐานท่ี 4.2 มีความรู๎ ความเข๎าใจ ทักษะและเจตคตทิ ดี่ เี ก่ยี วกับการดูแล สํงเสริมสขุ ภาพอนามัย และ ความปลอดภยั ในการดาเนนิ ชีวติ 4. หนว่ ยการเรยี นร/ู้ เรอื่ งร่างกายของเรา 5. สาระสาคัญ โครงสรา๎ งหนา๎ ท่กี ารทางานของระบบอวยั วะในรํางกายท่สี าคัญ ระบบสามารถปฏิบัตติ นในการดูแลรกั ษาและ ปูองกันอาการผดิ ปกติของระบบอวยั วะสาคัญ ระบบอธิบายพฒั นาการและการเปล่ยี นแปลงตามวยั ของมนษุ ย์ด๎าน ราํ งกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม สตปิ ัญญาได๎อยํางถูกต๎อง 6. เนือ้ หา ๑. วฎั จักรของชวี ิตมนษุ ย์ ๒. โครงสร๎างหน๎าทแ่ี ละการทางานของอวยั วะสาคัญ ของรํางกาย -อวยั วะภายนอกได๎แกํ ผิวหนงั หู ตาคอ จมูก ฟนั ผม เลบ็ ฯลฯ - อวัยวะภายใน ได๎แกํ หวั ใจ ปอด กระเพาะ ลาไส๎ ตับ ไต ๓. การดูแลรักษา ปอู งกนั ความผิดปกติ ของราํ งกาย 7. จุดประสงค์การเรยี นรู้/ผลการเรียนรู้ท่ีคาดหวัง (ดจู ากผังการออกข๎อสอบ)
67 ๑. อธบิ ายการเปล่ยี นแปลงและพฒั นาการตามวัยของราํ งกายได๎ ๒. อธิบายโครงสรา๎ งและการทางานของอวัยวะภายใน และภายนอก ๓. อธิบายวิธกี ารดูแลรักษาปูองกันความผิดปกติของอวยั วะทส่ี าคญั ของราํ งกายท้ังภายในและภายนอกได๎ 8. การบูรณาการกบั หลกั แนวคดิ ของเศรษฐกจิ พอเพียง (2 เง่อื นไข 3 หลักการการเชอ่ื มโยงสู่ 4 มิติ) ความรู้ รว๎ู ําควรว่งิ อยํางไรจึงจะถกู กตกิ า และมคี วามระมดั ระวงั ไมํให๎หกล๎มหรอื เป็นอันตราย คณุ ธรรม รแู๎ พ๎ รชู๎ นะ รู๎อภัย พอประมาณ - นกั เรียนรูว๎ าํ วง่ิ เตม็ ที่ได๎เร็วแคํไหนไมํเกินกาลงั ของตนเองจงึ เปน็ ประโยชน๑ตํอตนเองและกลํุมเพื่อน มเี หตผุ ล - รจ๎ู ักวธิ กี ารและกตกิ าของเกมอยํางถูกตอ๎ ง มีภมู คิ ุม้ กนั - ราํ งกายทแี่ ข็งแรงทาใหไ๎ มมํ โี รคภัยไข๎เจบ็ วัตถุ - ชํวยใหร๎ าํ งกายแข็งแรง - ฝึกความคลอํ งแคลํงในการเคลื่อนไหน - มคี วามร๎ูความ เขา๎ ใจในการเลนํ เกมว่ิงเป้ียวได๎อยาํ งถูกวิธี สังคม - มคี วามสามคั คีในหมํผู เ๎ู ลนํ เปน็ อยาํ งดี สิ่งแวดล้อม - สามารถนาอุปกรณใ๑ นทอ๎ งถิ่นมาใชป๎ ระโยชนไ๑ ด๎อยํางเหมาะสม วฒั นธรรม - มีระเบยี บวินยั และร๎จู กั เคารพกฎกติกา 9. กระบวนการจัดการเรียนร้แู ละกจิ กรรมการเรยี นรู้ ขน้ั ที่ 1 กาหนดสภาพปัญหาการเรียนรู้ ๑.ครสู อบถามนักศึกษาเร่ืองเกยี่ วกบั พัฒนาการทางราํ งกาย ๒.ชี้แจงจุดประสงคก์ ารเรยี นรู๎ ขั้นท่ี 2 แสวงหาข้อมูลและจัดการเรยี นรู้
68 ๑.ครอู ธบิ ายเรอ่ื งเก่ียวกบั ราํ งกายของเราและการวางแผนชีวติ ขัน้ ท่ี 3 การปฏบิ ตั แิ ละการนาไปใช้ ๑. ครูสรุปองคค์ วามรูใ๎ นเน้ือหาเรอื่ งเก่ียวกบั ราํ งกายของเราและการวางแผนชีวิต ๒. นักศกึ ษาซักถาม และแลกเปลีย่ นความร๎ู กิจกรรมเพ่ิมเติม ให๎นักศึกษาทารายงานค๎นคว๎าเพมิ่ เติมเก่ยี วกับหนา๎ ท่ี การทางานของอวัยวะ ตํางๆของราํ งกาย ข้ันที่ 4 การประเมินผลการเรียนรู้ 1. ประเมนิ ผลจากการทาใบงาน 2. การสังเกตการมสี ํวนรวํ ม 10. สอ่ื /แหล่งเรียนรู้ - โปสเตอร์ระบบอวัยวะทสี่ าคัญของรํางกาย - สื่อ Internet - ใบงานที่ 1 เรอ่ื ง การพัฒนาการของราํ งกาย - ห๎องสมดุ 11. การวัดผลและประเมนิ ผล 1. วธิ กี ารวัดและประเมินผล - แบบประเมินผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกับผูอ๎ ื่นของนกั ศึกษารายบคุ คล - ใบงาน - แบบทดสอบกํอนเรียน-หลงั เรียน 2. เครอ่ื งมือวดั และประเมนิ ผล. - ประเมินผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกบั ผอ๎ู ่ืน ของนักศกึ ษารายบคุ คล - ผลจากการตรวจใบงาน - คะแนนแบบทดสอบกํอนเรียนและหลงั เรยี น 3. เกณฑ์การวัดและการประเมินผล - แบบประเมนิ ผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรํวมกบั ผ๎อู น่ื ของนักศึกษารายบคุ คล ระดบั ดี พอใช๎ และควรปรบั ปรงุ - ใบงานคะแนนเต็ม 10 คะแนน - แบบทดสอบกํอนเรียน-หลังเรยี น เกณฑผ์ าํ นและไมํผาํ น กิจกรรมเสนอแนะ ............................................................................................................................. ............................................................ ................................................................................................................................................................... ลงช่ือ…………………………………………….ครผู ๎สู อน (นางพรวรกานต์ ลีแวง)
69 ครู กศน.ตาบล ข้อเสนอแนะของผู้บริหาร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………........ ลงชอื่ ………………………………………………………ผ๎ูอนมุ ัติแผน (นางปทั มาภรณ์ ศรเี นตร) ผ๎ูอานวยการ กศน.อาเภอจตรุ พักตรพมิ าน บนั ทึกหลังการจัดการเรยี นรู้ การจัดทาหน่วยเรยี นรบู้ รู ณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง คร้งั ที่ 6 วนั ที่ 21 เดือน มถิ ุนายน พ.ศ. 2565 ครผู ูส๎ อน นางพรวรกานต์ ลแี วง ระดบั ประถมศึกษา เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐ น. สาระการดาเนนิ ชวี ิต รายวิชา สขุ ศกึ ษาพลศึกษา รหสั วชิ า ทช1๑๐๐2 จานวนผ๎เู รียนทั้งหมด ............... คนเขา๎ เรยี น…………………คน ไมเํ ข๎าเรยี น……………………….คน ๑. ผลการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้การประเมนิ โดยใช๎ แบบทดสอบกํอนเรยี น - หลังเรียน พบวํา คะแนนการทดสอบหลงั เรยี น มากกวาํ กํอนเรียนจานวน ........ คนคิดเปน็ ร๎อยละ............ คะแนนการทดสอบหลงั เรยี น น๎อยกวาํ กํอนเรียนจานวน ......... คนคดิ เป็นรอ๎ ยละ............ ๒. เน้ือหา/สาระ .......................................................................................................... ...................................................... ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................. ................................... ๓. กิจกรรมการเรยี นการสอน
70 ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ............................................... ............................................................................................................................. .......... ๔. ปัญหา/อุปสรรค การเรยี นการสอน ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................................ .................... ๕. แนวทางการแก้ปัญหา ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................. ................................... ลงชอ่ื ....................................................... (นางพรวรกานต์ ลแี วง) ครผู ๎ูสอน วันที่.............../.................../............... ความคดิ เหน็ /ข้อเสนอแนะของผบู้ ริหาร ............................................................................................................................. ............................................................ ......................................................................................................................................................................................... .............................................................................................................. ......................................... ลงช่ือ.................................................................. (นางปทั มาภรณ์ ศรีเนตร) ผ๎ูอานวยการ กศน.อาเภอจตุรพกั ตรพมิ าน วนั ที.่ ............../.................../............... ใบคามรู้ เรื่องร่างกายของเรา รา่ งกายมนษุ ยโ์ คร่งกระดกู ท่ใี หญ่ เปน็ โครงสร๎างท้งั หมดของมนุษย์ ประกอบด๎วยเซลลเ์ มจมนุษยห์ ลายชนดิ ท่ี รวมกันเปน็ เนื้อเย่ือซึง่ รวมกันเปน็ ระบบอวัยวะ ส่งิ เหลํานีค้ งอับดุลและความแข็งแรงของรํางกายมนุษย์ ราํ งกายมนษุ ย์ ประกอบดว๎ ยศีรษะ, คอ, ลาตัว (ซ่ึงรวมถงึ กล๎ามเน้ือหนา๎ อกใหญํและหนา๎ ท๎องใตผ๎ ิวหนังมีกล๎ามเน้ือมัดและมี กล๎ามเนื้อ ท่ีแขนและมือ, ขา เทา๎ และมีไขกระดูกสันหลงั เตมิ โปรตีนใหร๎ าํ งกาย2เทาํ การศกึ ษาราํ งกายมนุษย์เชื่อมโยงกับกายวภิ าคศาสตร์ สรีรวทิ ยา มญิ ชวทิ ยา และคัพภวทิ ยา รํางกายมีความ แตกตํางทางกายวภิ าคแบบตําง ๆ สรรี วทิ ยามุํงไปทีร่ ะบบและอวัยวะของมนษุ ยแ์ ละการทางานของอวัยวะ หลาย ระบบและกลไกมปี ฏิกิรยิ าตํอกนั เพื่อคงภาวะธารงดลุ โดยมรี ะดบั ทป่ี ลอดภัยของสารตาํ ง ๆ เชํน นา้ ตาลและออกซเิ จน ในเลอื ด
71 องคป์ ระกอบ ธาตติ ําง ๆ ของรํางกายมนุษย์โดยมวล จุลธาตุท้งั หมดมจี านวนนอ๎ ยกวําร๎อยละ 1 โดยแตํละอยาํ งมีจานวนน๎อยกวาํ ร๎อยละ 0.1 รํางกายมนุษย์ประกอบด๎วยธาตุครบตําง ๆ เชํน ไฮโดรเจน ออกซิเจน คารบ์ อน แคลเซียม และฟอสฟอรสั [] ธาตุเหลาํ นีอ้ ยํูในเซลล์นบั ลา๎ นลา๎ นและสวํ นประกอบท่ีไมใํ ชํเซลล์ในราํ งกายมนุษย์ ประมาณร๎อยละ 60 ของราํ งกายชายโตเตม็ วัยเป็นนา้ คิดเปน็ ปรมิ าณประมาณ 42 ลิตร ในจานวนน้ี 19 ลติ ร เปน็ น้าภายนอกเซลล์รวมถึงน้าเลอื ดปริมาณ 3.2 ลิตร และสารน้าแทรกปรมิ าณ 8.4 ลติ ร และสวํ นทีเ่ หลือเป็นนา้ ภายในเซลล์จานวน 23 ลติ ร[2] สํวนประกอบและความเป็นกรดของน้าท้งั ในและนอกเซลลถ์ กู รกั ษาไวอ๎ ยําง ดี อเิ ลก็ โทรไลต์หลกั ของน้าภายนอกเซลลใ์ นรํางกายได๎แกํ โซเดยี ม และคลอไรด์ สํวนสาหรับนา้ ภายในเซลล์ไดแ๎ กํ โพแทสเซยี มและฟอสเฟตอนื่ [3] เซลล์ ราํ งกายประกอบดว๎ ยเซลลน์ บั ลา๎ นลา๎ นซง่ึ เปน็ หนวํ ยพ้นื ฐานของสง่ิ มีชวี ิต[4] ขณะโตเตม็ วัย มนษุ ย์มเี ซลล์ ประมาณ 30[5]–37[6] ล๎านลา๎ นเซลลใ์ นราํ งกาย ปริมาณจากจานวนเซลล์ทง้ั หมดในอวยั วะตาํ ง ๆ และเซลล์ประเภท ตําง ๆ นอกจากนี้รํางกายยังเป็นทอ่ี าศยั ของเซลลท์ ่ีไมํใชมํ นุษย์จานวนเทาํ ๆ กัน[5] รวมถึงสิ่งมีชีวติ หลายเซลล์ซงึ่ อาศยั ในทางเดนิ อาหารและบนผิวหนงั [7] รํางกายไมํได๎ประกอบไปดว๎ ยเซลลเ์ พยี งอยาํ งเดยี ว เซลลต์ ้งั อยํูในเมจสารเปลี่ยน เซลล์ผิวที่ประกอบด๎วยโปรตนี เชนํ คอลลาเจน ลอ๎ มรอบด๎วยนา้ ภายนอกเซลล์ มนษุ ยท์ ี่น้าหนกั 70 กโิ ลกรัมมเี ซลลท์ ่ี ไมใํ ชํเซลลม์ นุษย์และวัสดทุ ี่ไมํใชเํ ซลล์ เชํน กระดูกและเน้อื เยื่อเกี่ยวพนั น้าหนกั เกือบ 25 กโิ ลกรัม[5] เซลล์ในรํางกายทางานไดด๎ ว๎ ยดเี อน็ เอซ่งึ อยูํในนวิ เคลียสของเซลล์ ขา๎ งในนวิ เคลียส สวํ นของดีเอน็ เอถกู คัดลอก และสํงไปยงั ตัวของเซลล์ในรูปแบบของอาร์เอ็นเอ[8] จากน้ันอารเ์ อ็นเอถูกใช๎เพอ่ื สร๎างโปรตีนซ่งึ เป็นสํวนประกอบ พ้นื ฐานสาหรับเซลล์ กิจกรรมของเซลล์ และผลิตภัณฑข์ องเซลล์ โปรตีนเป็นตัวกาหนดหน๎าของเซลลแ์ ละการ แสดงออกของยีน เซลลส์ ามารถควบคมุ ตวั เองได๎จากปริมาณโปรตีนที่ผลติ [9] อยํางไรก็ตาม ไมํใชํทุกเซลล์ที่จะมีดีเอน็ เอ เซลลบ์ างชนดิ เชํน เซลลเ์ มด็ เลือดแดงสญู เสียนิวเคลียสเมอ่ื โตเตม็ ท่ี
72 เนอื้ เย่อื รํางกายประกอบไปดว๎ ยเนื้อเย่อื หลายแบบ โดยเนอื้ เยื่อถูกให๎ความหมายวําคือกลํุมเซลลท์ ม่ี ีหนา๎ ที่เฉพาะ การศึกษาเก่ียวกบั เนอ้ื เย่ือเรยี กวาํ มญิ ชวิทยาและมักศึกษาผาํ นกล๎องจุลทรรศน์ รํางกายประกอบไปดว๎ ยเน้ือเย่อื ส่ชี นิด หลัก คอื เนอื้ เย่อื บผุ วิ เนือ้ เย่อื เกีย่ วพนั เน้ือเยื่อประสาท และเนื้อเยื่อกลา๎ มเนือ้ เซลล์ที่ตั้งอยูํบนพ้นื ผวิ ท่ีพบกับโลกภายนอกหรือในทางเดนิ อาหาร (เนื้อเยือ่ บผุ ิว) หรือเนอ้ื เย่ือบุ โพรง (endothelium) มีหลายรูปแบบและรูปรําง ตั้งแตํเซลล์แบนชัน้ เดียว ไปจนถงึ เซลลใ์ นปอดท่ีมีซเี ลยี คลา๎ ยเสน๎ ผม ไปจนถงึ เซลลแ์ ทงํ ทรงกระบอกที่บุกระเพาะอาหาร เซลลเ์ นอ้ื เยือ่ บุโพรงเป็นเซลล์ทบี่ ชุ ํองภายในรวมทัง้ เสน๎ เลือดและ ตํอมตาํ ง ๆ เซลล์บุควบคุมวําสิง่ ไหนสามารถผํานหรือไมสํ ามารถผาํ นเขา๎ ไปได๎ ปกปูองโครงสรา๎ งภายใน และทาหน๎าที่ เป็นพ้ืนผิวรับความรูส๎ กึ อวัยวะ ดเู พมิ่ เติมท:่ี รายการอวัยวะของรา่ งกายมนษุ ย์ อวยั วะเป็นกลมํุ เซลล์ท่มี ีโครงสรา๎ งและหน๎าที่เฉพาะ[12] ซง่ึ ตง้ั อยภํู ายในราํ งกาย ตัวอยาํ งเชนํ หวั ใจ ปอด และ ตบั อวัยวะหลายอยํางอยูํในชํองวาํ งภายในรํางกายรวมถงึ ชํองวาํ งในลาตัวและโพรงเย่ือห๎มุ ปอด ดูเพมิ่ เติมท:่ี รายการระบบของร่างกายมนุษย์ ระบบไหลเวียน ดูบทความหลกั ท่ี: ระบบไหลเวยี น ระบบไหลเวยี นประกอบด๎วยหัวใจ หลอดเลือด (หลอดเลือดแดง หลอดเลอื ดดา และหลอดเลือดฝอย) หัวใจทา หนา๎ ทข่ี ับเคลื่อนการไหลเวียนของเลือด โดยเลอื ดเป็นด่ัง \"ระบบขนสํง\" ในการขนยา๎ ยออกซิเจน เช้ือเพลิง สารอาหาร ของเสยี เซลลใ์ นระบบภูมิคุ๎มกัน และตวั นาสงํ สารเคมี (เชนํ ฮอร์โมน) จากสวํ นหน่ึงของราํ งกายไปยังอีกสํวน เลอื ด ประกอบด๎วยนา้ ทีข่ นสงํ เซลล์ในระบบไหลเวียน รวมถึงบางเซลลท์ ี่เดินทางจากเน้อื เย่ือไปกลับหลอดเลือด รวมทงั้ ไปยัง และจากมา๎ มและไขกระดกู ระบบย่อยอาหาร ดบู ทความหลักท่:ี ระบบย่อยอาหาร
73 ระบบยํอยอาหารประกอบดว๎ ยปากรวมถงึ ล้นิ และฟนั , หลอดอาหาร, กระเพาะอาหาร, ทางเดนิ อาหาร, ลาไส๎ เล็กและใหญํ รวมถึงไสต๎ รง รวมถงึ ตบั , ตบั อํอน, ถุงนา้ ดี และตํอมน้าลาย ทาหน๎าท่เี ปลยี่ นอาหารเป็นโมเลกุลทีเ่ ล็ก มี คณุ คําทางอาหาร และไมเํ ป็นพิษ เพื่อใหส๎ ามารถกระจายและดดู ซมึ ได๎ในราํ งกาย[16] ระบบต่อมไร้ทอ่ ดบู ทความหลักท่:ี ระบบตอ่ มไร้ทอ่ ระบบตอํ มไร๎ทํอประกอบด๎วยตํอมไร๎ทอํ หลัก รวมถึง ตํอมใตส๎ มอง ตํอมไทรอยด์ ตํอมหมวกไต ตบั ออํ น ตํอม พาราไทรอยด์ และตํอมบงํ เพศ ทวาํ อวัยวะและเนอื้ เย่ือเกือบท้ังหมดผลิตฮอร์โมนตํอมไร๎ทอํ เฉพาะเชนํ กนั ฮอร์โมน ตอํ มไรท๎ ํอทาหนา๎ ทเ่ี ป็นตัวสํงสัญญาณจากระบบรํางกายหน่งึ ไปยังอกี ระบบหนงึ่ เพ่อื บอกถึงสถานะตาํ ง ๆ ทาใหเ๎ กิด การเปล่ียนแปลงการทางาน[17] ระบบภมู ิคุ้มกนั ดบู ทความหลักที่: ระบบภูมคิ ุ้มกัน ระบบภมู ิค๎ุมกันประกอบด๎วยเซลลเ์ มด็ เลอื ดขาวและแดงทางานปกติ ตอํ มไทมัส ตํอมนา้ เหลอื ง และทางเดนิ นา้ เหลือง ซ่งึ เป็นสํวนหนง่ึ ของระบบนา้ เหลอื ง ระบบภูมิค๎ุมกันทาให๎รํางกายสามารถแยกแยะเซลล์และเนอ้ื เยื่อตนเอง ออกจากเซลลแ์ ละสงิ่ ภายนอก เพ่ือตํอต๎านหรอื ทาลายเซลล์หรือส่ิงแปลกปลอมจากภายนอกโดยใชโ๎ ปรตีนเฉพาะและ เชนํ แอนตบิ อดี ไซโตไคน์, toll-like receptors และอน่ื ๆ ระบบผิวหนัง ดูบทความหลกั ท่ี: ระบบผวิ หนงั
74 ระบบผวิ หนงั ประกอบดว๎ ยผวิ หนังท่ีปกคลุมราํ งกาย รวมถงึ เส๎นผม และเล็บรวมถึงโครงสรา๎ งอ่ืน ๆ ที่มีหนา๎ ที่ สาคัญ เชนํ ตํอมเหงื่อและตอํ มไขมนั ผิวหนังทาหนา๎ ทห่ี ํอหุํม เปน็ โครงสรา๎ ง และปูองกนั อวยั วะอน่ื และยงั เป็นตัวรับรู๎ ถึงโลกภายนอก[18][19] ระบบน้าเหลือง ดูบทความหลักท่ี: ระบบน้าเหลือง ระบบน้าเหลืองสกดั ขนสํง และเปล่ยี นแปลงน้าเหลอื ง หรือน้าที่อยํูระหวาํ งเซลล์ ระบบนา้ เหลืองคล๎ายกับ ระบบไหลเวยี นทง้ั ในเชงิ โครงสร๎างและหน๎าที่พื้นฐานซึง่ คือการขนสงํ นา้ ในรํางกาย[20] ระบบกล้ามเนือและกระดูก ดบู ทความหลักที:่ ระบบกล้ามเนอื และกระดกู ระบบกล๎ามเน้ือและกระดูกประกอบดว๎ ยโครงกระดูกมนษุ ย์ (รวมถงึ กระดกู เอน็ ยึด เอ็นกล๎ามเน้อื และกระดูก อํอน) และกลา๎ มเน้อื ที่ยดึ ตดิ ระบบนเ้ี ป็นโครงสรา๎ งพ้นื ฐานของรํางกายและเป็นตวั ให๎ความสามารถในการขยับ นอกจากจะทาหนา๎ ท่เี ป็นโครงสร๎างแล๎ว กระดูกชิ้นใหญํในรํางกายยงั บรรจุไขกระดูก ซ่ึงเปน็ ท่ีผลติ เซลล์เมด็ เลือด นอกจากน้ี กระดูกทุกชน้ิ ยังเป็นทเ่ี ก็บสะสมหลักของแคลเซียมและฟอสเฟต ระบบนี้สามารถแบงํ ออกเป็นระบบกลา๎ ม เน้อื และระบบกระดูก ระบบประสาท ดบู ทความหลกั ท่ี: ระบบประสาท ระบบประสาทประกอบด๎วยระบบประสาทกลาง (สมองและไขสนั หลัง) และระบบประสาทนอกสํวนกลาง ประกอบด๎วยเสน๎ ประสาทและปมประสาทนอกสมองและไขสันหลงั สมองเปน็ อวยั วะแหํงความคดิ อารมณ์ ความทรง จา และการประมวนทางประสาทสมั ผัส และทาหนา๎ ที่ในหลายมมุ มองของการส่ือสารและควบคมุ ระบบและหนา๎ ท่ีตําง ๆ ความรู๎สึกพเิ ศษประกอบด๎วย การมองเห็น การได๎ยนิ การรบั ร๎รู ส และการดมกล่นิ ซึง่ ตา,ห,ู ลิ้น, และจมูกรวบรวม ข๎อมลู จากสิง่ รอบตวั [22]
75 ระบบสบื พันธ์ุ ดบู ทความหลกั ที:่ ระบบสบื พันธม์ุ นุษย์ ระบบสืบพนั ธุ์ประกอบด๎วยตํอมบงํ เพศและอวยั วะเพศทั้งภายในและภายนอก ระบบสบื พันธผ์ุ ลติ เซลลส์ บื พนั ธุ์ ในแตลํ ะเพศ, ให๎กลไกสาหรับการรวมกันของเซลล์สบื พันธุ์, และสาหรับเพศหญงิ ยงั ใหส๎ ่งิ แวดล๎อมในการพัฒนาทารก ในเกา๎ เดือนแรก[23] ระบบหายใจ ดบู ทความหลกั ท:ี่ ระบบหายใจ ระบบหายใจประกอบด๎วยจมูก คอหอย หลอดลม และปอด อวยั วะเหลาํ นน้ี าออกซิเจนจากอากาศและขบั คาร์บอนไดออกไซด์และนา้ กลบั ไปยังอากาศ ระบบทางเดินปสั สาวะ ดบู ทความหลักที่: ระบบทางเดนิ ปสั สาวะ ระบบทางเดนิ ปสั สาวะประกอบดว๎ ยไต ทํอไต กระเพาะปสั สาวะ และทํอปัสสาวะ โดยทาหนา๎ ท่ขี ับสง่ิ เปน็ พิษ ออกจากเลือดเพื่อผลติ ปัสสาวะซง่ึ ขนสงํ โมเลกุลของเสียและไอออนสํวนเกนิ และนา้ ออกจากราํ งกาย ใบงาน ๑ เร่อื ง การพัฒนาการของร่างกาย ชื่อ.........................................................................………………………………………………………………………ช้นั .............. คาชแ้ี จง ๑.จับคู่กบั เพือ่ นแล้วเปรียบเทียบลักษณะการเจรญิ เตบิ โตของตนเองและเพ่ือน รายการเปรยี บเทียบ ตวั เรา เพื่อน 1.ด้านร่างกาย
76 ๒.ดา้ นจติ ใจ ๒. ให้นกั ศึกษาวาดภาพจินตนาการว่าเมื่อนกั ศึกษาอยู่ชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 5 นักศึกษาจะมีลักษณะ อยา่ งไร แผนการจดั การเรียนรู้ รายวิชาสขุ ศึกษาพลศกึ ษา คร้ังที่ ๗ การจดั ทาหนว่ ยเรียนรบู้ ูรณาการหลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2565 กศน.ตาบลล้นิ ฟ้า ระดบั ประถมศึกษา 1. สปั ดาห์ที่ ๗ วนั ท่ี 2๘ เดือน พฤษภาคม พ.ศ.2565 เวลา 09.00 - 12.00 น. 2. วชิ า สุขศึกษาพลศึกษา รหัสวชิ า ทช1100๒ จานวน 2 หนวํ ยกติ 3. มาตรฐานที่ 4.2 มคี วามรู๎ ความเขา๎ ใจ ทักษะและเจตคตทิ ี่ดีเกีย่ วกบั การดูแล สํงเสริมสขุ ภาพอนามยั และ ความปลอดภยั ในการดาเนินชีวิต 4. หนว่ ยการเรียนรู้/เร่ืองการวางแผนครอบครวั และพัฒนาการทางเพศ 5. สาระสาคัญ การเปล่ยี นแปลงเม่ือเขา๎ วัยหนุํมสาววธิ ีการหลีกเลีย่ งพฤติกรรมที่นาไปสํูการมเี พศสัมพนั ธ์ การลํวงละเมิดทาง เพศและการต้ังครรภ์ท่ไี มพํ ึงประสงค์และวิธกี ารดูแลสุขภาพทางเพศท่ีเหมาะสมและไมํทาใหเ๎ กิดปญั หาทางเพศ
77 6. เนื้อหา ๑. การวางแผนชวี ติ และครอบครวั -การวางแผนชีวิต -การเลือกคูค๎ รอง -การปรบั ตวั ในชีวติ สมรส -การต้งั ครรภ์ การมีบุตร การเลีย้ งดบู ตุ ร ๒. ปัญหาและสาเหตกุ ารรนุ แรงในครอบครวั ๓. การสรา๎ งสมั พันธภาพทีด่ ีระหวาํ งพํอแมลํ ูก และคูสํ ามภี รรยา (การสื่อสารเรื่องเพศในครอบครวั ) 7. จดุ ประสงค์การเรยี นร/ู้ ผลการเรยี นรทู้ ่ีคาดหวงั (ดูจากผงั การออกข๎อสอบ) ๑. ร๎ูและวเิ คราะห์ตนเอง และวางแผนการดาเนนิ ชวี ติ ได๎อยํางเหมาะสม ๒. เรียนรวู๎ ธิ สี ร๎างสมั พันธ์ภาพทีด่ ีระหวํางครอบครัวและวธิ ีการสือ่ สารเรอ่ื งเพศในครอบครัว ๓. เรยี นรพ๎ู ฒั นาการทางเพศในแตํละชวํ งวัย ๔. เรยี นร๎ูวิธีปูองกนั โรคติดตํอทางเพศสัมพันธ์ ๘. การบรู ณาการกับหลกั แนวคิดของเศรษฐกจิ พอเพียง (2 เงื่อนไข 3 หลกั การการเชือ่ มโยงสู่ 4 มติ ิ) ความรู้ - ความร๎ูการดาเนินชีวติ การวางแผนชวี ิต การปรับตัวในการใชช๎ ีวิต - ความร๎ใู นการปูองกันตวั เองในสงั คม คุณธรรม - มคี วามรบั ผดิ ชอบ ความมสี ติ ความสามคั คี อดทน และตรงตํอเวลา พอประมาณ - มกี ารใช๎จํายในครอบครัว แบบพอเพียง ไมฟํ ุมเฟอื ย พอกิน พอใช๎ มเี หตผุ ล - ผ๎เู รียนรจ๎ู กั เลือกใช๎ วัสดุอุปกรณ๑ท่มี ีอยูํ อยาํ งประหยัดและ ค๎ุมคํา ในการดาเนนิ ชีวติ ประจาวัน มีภูมิคุม้ กัน -รู๎จักการวางแผน กระบวนการดาเนินชีวิตอยํางเป็นระบบ ให๎ประสบความสาเร็จ และปลอดภัย - ปรบั ตัวในการดาเนินชวี ติ พร๎อมรับ การเปลย่ี นแปลงใน สงั คม วตั ถุ - วิธีการข้ันตอนในการดูแลตนเองเร่ืองเพศศึกษา การใช๎ชีวิตในสังคม ในภาวะเศรษฐกิจ คาํ เงิน ลอยตวั ของกิน ของใช๎แพงมาก สงั คม
78 - ร๎ูจักแบํงหน๎าที่ รับผิดชอบในครอบครวั -แลกเปลยี่ น เรยี นรจู๎ ากเพื่อนบ๎านในชุมชน สงิ่ แวดล้อม - คนในครอบครวั มีชีวติ ความเป็นอยทูํ ่ีดี จะทาให๎เกิดสภาพแวดล๎อมชวี ิตคนในครอบครวั สงํ ผลทาใหค๎ นในสงั คมดีข้นึ ด๎วย วฒั นธรรม - บคุ คลในครอบครัวชุมชน มีชีวิตความเปน็ อยํูทด่ี ี เกดิ การแบํงปันจากรุนํ สํูรุํนตํอกันไป 9. กระบวนการจดั การเรยี นรู้และกิจกรรมการเรยี นรู้ ขัน้ ท่ี 1 กาหนดสภาพปญั หาการเรยี นรู้ ๑. ครูสอบถามนักศึกษาเร่อื งเก่ยี วกบั การวางแผนชวี ิต และครอบครัว ๒. ช้แี จงจดุ ประสงค์การเรียนร๎ู ขน้ั ที่ 2 แสวงหาข้อมลู และจัดการเรยี นรู้ ๑. ครอู ธิบายเร่อื งการวางแผนชวี ิต ๒. นกั ศึกษาแบํงกลํุม ๓ กลุํม ให๎นกั ศกึ ษา ค๎นคว๎า เรื่องการวางแผนชีวติ และสรปุ เน้ือหาท่ีได๎ ออกมาในรปู แบบผงั มโนทัศน์ (Mapping) ๓. ตัวแทนนักศกึ ษาแตลํ ะกลุํม นาเสนอหนา๎ ชน้ั เรียน ในรูปแบบผงั มโนทศั น์ (Mapping) ๔. เรยี นรู๎วิธปี ูองกันโรคตดิ ตอํ ทางเพศสมั พันธ์ ขัน้ ที่ 3 การปฏิบัติและการนาไปใช้ ๑. ครสู รปุ องค์ความรู๎ในเนือ้ หาเรื่องเกย่ี วกับราํ งกายของเราและการวางแผนชวี ิต ๒. นกั ศึกษาซักถาม และแลกเปลี่ยนความร๎ู 3. ครูและผ๎เู รยี นชวํ ยกนั สรุปเน้ือหาสาระสาคัญของเร่ืองและจดบนั ทึก ข้นั ท่ี 4 การประเมินผลการเรยี นรู้ 1. ประเมนิ ผลจากการทาใบงาน 2. การสังเกตการมสี ํวนรวํ ม 3. แบบทดสอบกํอนเรยี น – หลงั เรียน 10. ส่ือ/แหล่งเรยี นรู้ - ส่อื Internet - ใบงานท่ี 1 เรอ่ื ง สุขภาพทางเพศ - แบบทดสอบกํอนเรียน – หลังเรียน เรอ่ื ง สขุ ภาพทางเพศ - หอ๎ งสมุด - ศึกษาใน Youtube ลิงค์ https://www.youtube.com/watch?v=R5GG08upIcs 11. การวดั และประเมินผล 1. วธิ ีการวัดและประเมินผล - แบบประเมินผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกบั ผู๎อนื่ ของผเ๎ู รยี นรายบคุ คล - ใบงาน
79 - แบบทดสอบกํอนเรียน-หลังเรียน 2. เครื่องมือวัดและประเมินผล. - ประเมนิ ผลการสังเกตพฤตกิ รรมการทางานรํวมกับผ๎อู น่ื ของผ๎เู รียนรายบุคคล - ผลจากการตรวจใบงาน - คะแนนแบบทดสอบกอํ นเรียนและหลงั เรยี น 3. เกณฑ์การวัดและการประเมินผล - แบบประเมนิ ผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกับผู๎อ่ืนของผ๎ูเรยี นรายบุคคล ระดับดี พอใช๎ ควรปรับปรงุ - ใบงานคะแนนเตม็ 10 คะแนน - แบบทดสอบกํอนเรียน-หลังเรียน เกณฑ์ผาํ นและไมผํ ําน กิจกรรมเสนอแนะ ............................................................................................................................. ............................................................ ................................................................................................................................................................... ลงช่อื …………………………………………….ครผู ส๎ู อน (นางพรวรกานต์ ลีแวง) ครู กศน.ตาบล ข้อเสนอแนะของผู้บริหาร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………........ ลงช่อื ………………………………………………………ผู๎อนมุ ัตแิ ผน (นางปทั มาภรณ์ ศรีเนตร) ผอ๎ู านวยการ กศน.อาเภอจตุรพักตรพมิ าน บนั ทึกหลังการจดั การเรียนรู้ การจดั ทาหน่วยเรียนร้บู รู ณาการหลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง ครัง้ ที่ 7 วนั ที่ 28 เดือน มิถนุ ายน พ.ศ.2565 ครูผ๎สู อน นางพรวรกานต์ ลแี วง ระดบั ประถมศึกษาเวลา 09.00-12.00 น. สาระทกั ษะการดาเนนิ ชวี ิต รายวชิ า สุขศกึ ษาพลศึกษา รหัสวชิ า ทช11002 จานวนผ๎เู รียนทงั้ หมด ............... คนเขา๎ เรียน…………………คน ไมํเข๎าเรยี น……………………….คน 1. ผลการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................... ................................................................. 2. เน้ือหา/สาระ
80 ............................................................................................................................. ................................... .......................................................................................................................................... ...................... ............................................................................................................ .................................................... 3. กจิ กรรมการเรียนการสอน ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................. ............................................... .................................................................................... ................................................... 4. ปัญหา/อุปสรรค การเรียนการสอน ............................................................................................................................. ................................... ........................................................................................................................................ ........................ .......................................................................................................... ...................................................... 5. แนวทางการแก้ปญั หา ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................................... ................. ลงชือ่ ....................................................... (นางพรวรกานต์ ลีแวง) ครูผู๎สอน วันท.่ี ............../.................../............... ความคิดเห็น/ข้อเสนอแนะของผบู้ ริหาร ............................................................................................................................. ............................................................ ......................................................................................................................................................................................... .............................................................................................................. ......................................... ลงชื่อ.................................................................. (นางปัทมาภรณ์ ศรีเนตร) ผ๎ูอานวยการ กศน.อาเภอจตรุ พักตรพิมาน วนั ที.่ ............../.................../............... ใบความรู้ เร่ืองเพศศึกษา เมื่อรํางกายเจรญิ เตบิ โตผาํ นเขา๎ สแูํ ตลํ ะชํวงวัย ยํอมเกดิ การเปลี่ยนแปลงทกุ ดา๎ น ไมวํ ําจะเปน็ พัฒนาการทางกาย จติ ใจ รวมถึงด๎านสังคม ชํวงวยั รนํุ เป็นชวํ งสาคัญของการเปล่ยี นแปลงอยํางรวดเรว็ และยังมีเรื่องของฮอรโ์ มนเพศเข๎า มาเก่ียวข๎อง วัยรุนํ จงึ ควรทาความเขา๎ ใจกบั รํางกาย จิตใจของตนเอง รวมทัง้ ควรได๎รับการสํงเสริมการเรียนร๎เู ร่อื งเพศ ซึง่ เป็นสวํ นหนึง่ ของชวี ติ มนุษย์ตั้งแตํเกิดจนตายก็วาํ ได๎ ขณะเดยี วกันสง่ิ แวดลอ๎ มรอบ ๆ ตวั ก็มขี ๎อมลู เร่ืองเพศทีส่ ํงตํอกนั มา เม่ือวัยรํนุ ได๎รบั รู๎อาจเช่อื ไปตามน้นั โดยมไิ ด๎ไตรํตรองหรือไมํกลา๎ สอบถามข๎อเทจ็ จริง จากผอ๎ู ่นื เพราะความอาย
81 ดังนั้น การศึกษาเพอ่ื ให๎วยั รํนุ \"ร๎ูจักตนเอง” จงึ สาคญั และจาเปน็ อยาํ งย่งิ เพ่ือให๎ได๎ก๎าวเดินไป ชวํ งวัยตํอไปอยําง มั่นคงและม่นั ใจ ดังคาพูดของทาํ น กฤษณมรู ติ นักปราชญ์ชาวอินเดีย ทกี่ ลาํ วไว๎วํา “กํอนจะเดนิ ทางไกล เธอตอ๎ ง เดินทางใกล๎กอํ น ใกล๎ที่สุดนั้นคอื ตัวเธอ กํอนจะทาสงิ่ ใด ๆ เธอตอ๎ งเขา๎ ใจตัวเอง” 1.1 รจู้ ักเพศศึกษา องคก์ ารอนามัยโลก (World Health Organization หรือ WHO) ได๎นยิ ามคาวาํ เพศศึกษาไวด๎ งั น้ี เพศศึกษา หรือ Sexuality Education หมายถงึ เพศศาสตรศ์ กึ ษา คอื การสอนความเป็นเพศชาย ความเปน็ เพศ หญงิ พัฒนาการของรํางกาย และการแสดงออกในเร่ืองเพศตามวยั ตามเพศเม่ือพฒั นาไปถึง จดุ หนึง่ จะเกิดอะไร เปลย่ี นแปลงอยาํ งไร ควรประพฤติปฏบิ ตั ิอยาํ งไร ปูองกันอยํางไร แก๎ไขอยํางไร เม่ือถึง วัยหมดฮอร์โมนสมรรถภาพ หยอํ นยาน ควรปฏิบตั ิอยํางไร เรยี กได๎วําเป็นการเรียนรู๎เร่อื งความเปน็ เพศ ตงั้ แตวํ ยั เดก็ จนถงึ วยั ชรา กระทรวงพัฒนาสงั คมและความมน่ั คงของมนุษย์ให๎ความหมายเพศศกึ ษาวํา “เปน็ กระบวนการ เรยี นรคู๎ วามเปน็ เพศ ชาย ความเป็นเพศหญงิ พฒั นาการของราํ งกาย และการแสดงออกในเรื่องเพศของคน ทุกเพศทกุ วยั ตลอดชํวงชวี ิตได๎ อยาํ งเหมาะสม สอดคลอ๎ งกับวถิ ชี วี ิต ภาษา วฒั นธรรม เพื่อใหเ๎ กดิ ความ เข๎าใจและยอมรับนับถือตนเอง เคารพให๎ เกยี รติกัน โดยคานงึ ถึงสิทธสิ ํวนบคุ คล สามารถคิดตัดสนิ ใจเลอื ก และดาเนินชีวติ ทางเพศของตนได๎อยํางที่ตนพงึ ประสงค์ มีความภาคภมู ใิ จ นับถอื ตนเอง ได๎รบั การปฏิบัติ และปฏบิ ตั ติ อํ ผู๎อ่ืนเก่ยี วกับเพศอยาํ งเคารพ ใหเ๎ กียรติ นับ ถอื เปน็ อิสระ ปลอดภัย มีความรบั ผดิ ชอบ ตอํ ตนเองและคนทกุ เพศ\" องค์การแพทย์ กลาํ วไวว๎ ํา \"เพศศึกษาเปน็ กระบวนการจดั การเรียนรู๎เกย่ี วกบั เพศทค่ี รอบ พัฒนาการทางราํ งกาย จติ ใจ การทางานของสรีระ และการดูแลสขุ อนามัย ทศั นคติ คํานยิ ม สมั พนั ธภาพ พฤติกรรมทางเพศ มติ ทิ างสงั คม และวฒั นธรรมทีม่ ผี ลตํอวิถชี ีวิตทางเพศ เป็นกระบวนการพัฒนาทั้งด๎าน ความร๎ู ความคดิ ทศั นคติ อารมณ์ และทักษะ ทจี่ าเปน็ สาหรับบคุ คล ท่จี ะชํวยใหส๎ ามารถเลือกดาเนินชีวิต ทางเพศอยํางเป็นสุขและปลอดภัย สามารถพัฒนาและ ดารงความสมั พันธก์ บั ผอ๎ู ื่นได๎อยาํ งมี ความรับผดิ ชอบและสมดุล\" สรุป เพศศึกษา หมายถึง การเรยี นรูว๎ ิถีชีวติ มนุษยต์ ั้งแตํเกิดจนตาย หรอื เรยี กวําการเรยี นร๎ู ตลอดชีวติ ในเรอ่ื งเพศที่มี หลากหลายมิตเิ ขา๎ มาเก่ียวข๎องเพอ่ื ให๎มนุษย์ได๎พัฒนาความรู๎ ความคดิ อารมณ์ ทัศนคติ รวมถึงทกั ษะทีส่ าคญั และ จาเปน็ ในการดารงชวี ิต เพื่อรักษาสัมพนั ธภาพในการอยรํู วํ มกบั ผูอ๎ ื่น อยาํ งเป็นสุข เพศศึกษาไมใํ ชเํ ฉพาะเปน็ เรอ่ื งของ การมีเพศสมั พันธอ์ ยํางทห่ี ลายคนคดิ และเข๎าใจ แตเํ พศศึกษามีเน้ือหาครอบคลมุ ดังตํอไปนี้ 1.1.1 พฒั นาการของมนุษย์ การเปลีย่ นแปลงทางสรรี ะเมื่อเข๎าสูวํ ัยหนมํุ สาว พัฒนาการทางเพศ การสบื พันธ์ุ ภาพลักษณ์ ตอํ รํางกาย ตัวตนทาง เพศ และรสนิยมทางเพศ พฒั นาการของมนุษย์ หมายถึง กระบวนการเปลีย่ นแปลงของมนุษย์ทุกสวํ น ท้ังในโครงสรา๎ ง (Structure) และแบบ แผน (Pattern) ทตี่ ํอเนื่องกันตงั้ แตแํ รกเกิดจนตลอดชีวติ ซ่ึงเป็นกระบวนการ ท่ีเปลี่ยนแปลงท้ังทางรํางกายและจติ ใจ ผสมผสานกันเปน็ ช้นั ๆ จากระยะหน่ึงไปสํูอีกระยะหนึ่ง เพ่ือจะไปสูํ วฒุ ิภาวะทาใหเ๎ กิดความเจรญิ งอกงามตามลาดบั องคป์ ระกอบท่ีมีผลต่อการพัฒนาการของมนษุ ย์ 1. พนั ธกุ รรม หมายถงึ ลักษณะทางกายและพฤติกรรมท่ีถํายทอดจากบรรพบุรุษสลูํ ูกหลาน จากพํอแมํถํายทอดสลูํ ูก โดยทางเซลล์สืบพันธทุ์ ่เี รียกวํา “โครโมโซม” (Chromosome) พนั ธุกรรม ที่มผี ลตอํ มนุษย์ เชํน เป็นตัวกาหนดรปู ราํ ง เพศ สีผม ผวิ และระดบั สตปิ ัญญา เป็นต๎น และพนั ธกุ รรม ทม่ี ีอิทธิพลตํอพัฒนาการของมนษุ ยท์ ่ีสาคัญ คอื “ยนี ” (Gene) ท่เี ปน็ ตวั กาหนดใหแ๎ ตํละบุคคลมีพัฒนาการ ทแี่ ตกตาํ งกัน 2. วฒุ ภิ าวะ เปน็ กระบวนการพฒั นาการท่ีเกิดขึน้ ตามธรรมชาตขิ องมนุษย์ โดยท่ีไมํต๎อง อาศัยการฝกึ ประสบการณ์ เชนํ การเปลงํ เสียง การยนื การเดนิ และการวงิ่ เปน็ ต๎น เป็นพฒั นาการตามปกติ เม่อื ถึงวยั ก็จะทาไดเ๎ อง
82 3. การเรียนร๎ู เป็นกระบวนการพัฒนาการทเ่ี กดิ ขนึ้ จากพน้ื ฐานการฝึกหดั ประสบการณเ์ ปน็ สาคญั ส่งิ ทสี่ นบั สนุนการ เรียนร๎ูได๎เป็นอยํางดคี ือความพร๎อมที่เกดิ ขน้ึ เองตามธรรมชาตแิ ละความพร๎อมที่ เกิดจากการกระต๎นุ 4. สิง่ แวดล๎อม คือ สิง่ ท่ีอยํรู อบตัวบุคคลน้นั ๆ ท้ังมชี ีวิตและไมํมชี ีวติ รวมถึงระบบครอบครวั สังคมและระบบ วัฒนธรรม 1.1.2 สัมพันธภาพ สัมพันธภาพในมติ ิของครอบครัว เพื่อน การคบเพอื่ นตาํ งเพศ ความรัก การใชช๎ ีวิตคูํ การแตงํ งาน การเป็นพํอแมํ ความสัมพนั ธ์ระหวํางคน 2 คน อาจเปน็ คนระหวํางครอบครัวเดียวกัน เชํน สามภี รรยา แมํกับ ลกู พ่กี ับน๎อง เป็นต๎น คนสวํ นใหญมํ ีความต๎องการท่ีจะมีสัมพันธภาพทดี่ ตี ํอกนั มีความรกั ความเข๎าใจกนั ชํวยเหลือกันในเร่ืองตําง ๆ น้นั มี ปจั จยั ทสี่ งํ เสริมใหเ๎ กดิ สัมพนั ธภาพทด่ี ตี ํอกนั คือ การชมเชยหรอื ชน่ื ชม ทีเ่ หมาะสม การติเพ่อื กํอ และการแก๎ไขความ ขัดแย๎งในเชิงสรา๎ งสรรค์ นอกจากน้ีมีปจั จยั หรือองคป์ ระกอบ อื่น ๆ ทีช่ วํ ยสร๎างสัมพนั ธภาพ เชํน ความใกล๎ชิด การ สอื่ สาร เปน็ ต๎น องค์ประกอบพ้ืนฐานของการสร้างสัมพนั ธภาพระหวา่ งบุคคลเกิดจากองคป์ ระกอบ 3 ประการ คอื 1. ความใกลช๎ ิด การทีบ่ ุคคลใกลช๎ ิดกันกํอใหเ๎ กิดความสัมพันธม์ ากกวําบคุ คลท่ีอยูหํ าํ งไกลกัน 2. ความเหมือนกนั หรือความคลา๎ ยกัน โดยทฤษฎแี ล๎วมนุษย์มีแนวโน๎มทจ่ี ะสร๎าง ความสัมพันธ์และมีความชอบพอกับ คนท่มี คี วามเหมือนหรือคลา๎ ยกบั ตวั เอง 3. สถานการณ์ เป็นตวั แปรหน่ึงทท่ี าให๎มนษุ ย์เกิดความสมั พนั ธท์ ่ีดีตํอกนั เชํน การมีโอกาส ได๎แลกเปล่ียนความรสู๎ ึกท่ี ดรี วํ มกัน การมโี อกาสปรับตวั เขา๎ กับบุคคลอน่ื และการเติมเตม็ ความต๎องการของ กนั และกนั เป็นตน๎ 1.1.3 พฤติกรรมทางเพศ พฤตกิ รรมทางเพศทพี่ ฒั นาไปตามชํวงชวี ติ การเรยี นรู๎อารมณท์ างเพศ การจดั การอารมณเ์ พศ การชํวยตนเอง จินตนาการทางเพศ การแสดงออกทางเพศ การละเว๎นการมีเพศสัมพันธ์ การตอบสนองทางเพศ การเสื่อมสมรรถภาพ ทางเพศ พฤติกรรมทางเพศ หมายถงึ การกระทาหรอื การปฏิบัติตนที่เกีย่ วข๎องกบั เร่ืองเพศ หมาย รวมถึง พฤติกรรมท่ี แสดงออกภาพนอกท่สี ามารถมองเห็นไดด๎ ว๎ ยตาเปลํา ปจั จัยทมี่ ีอิทธพิ ลต่อพฤติกรรมทางเพศ เมอื่ พจิ ารณาปจั จัยทมี่ ีอิทธพิ ลตํอพฤตกิ รรมทางเพศ สามารถแบํงออกเปน็ 3 ดา๎ น คือ ด๎านชีววิทยา ด๎าน จิตสงั คม และด๎านวฒั นธรรม 1. ปจั จัยด๎านชวี วิทยา เป็นปัจจัยทม่ี ีผลตอํ พฤติกรรมของบุคคลตามพัฒนาการของมนษุ ย์ ซ่ึงพฤติกรรมวัยรนํุ จะมกี าร เปลยี่ นแปลงสัมพันธ์กันระหวํางการเจรญิ เติบโต ราํ งกาย และจติ ใจ 2. ปัจจัยด๎านจติ สังคม โดยธรรมชาตแิ ล๎วพฤติกรรมมนษุ ย์นอกจากจะเกิดจากแรงขบั ทางเพศตามธรรมชาติแลว๎ ยัง ข้นึ อยกูํ ับสง่ิ อ่ืน ๆ ทางสังคมด๎วย ในปัจจุบนั สภาพแวดล๎อมจะมอี ิทธพิ ล เหนือจิตใจและอารมณ์ของเด็กวยั รุํน เน่ืองจากเปน็ วัยแหํงการเรยี นรแ๎ู ละการสังเกตพฤตกิ รรมบุคคลใน สังคมและเป็นวัยท่ีมีความรส๎ู ึกไวตํอสง่ิ กระต๎ุน 3. ปัจจัยด๎านวัฒนธรรม วฒั นธรรมทางเพศ หมายถงึ ระบบของการใหค๎ วามหมาย ความร๎ู และความเช่ือตําง ๆ รวมทั้งการปฏิบัติที่มีผลตํอโครงสรา๎ งของระบบความคดิ ความเชอ่ื และพฤติกรรมทาง เพศของบุคคล ในบรบิ ทของ สงั คมทีแ่ ตกตํางกันผํานบทบาททางสงั คม บรรทัดฐาน และทศั นคติจากสถาบัน ตาํ ง ๆ ในสงั คม 1.1.4 สุขภาพทางเพศ เพือ่ หลกี เลยี่ งผลกระทบท่ไี มํพึงประสงค์จากความสมั พนั ธ์ทางเพศ การให๎ความรเ๎ู กยี่ วกับ การมเี พศสมั พันธ์ที่ ปลอดภยั วิธกี ารคุมกาเนิด การทาแทง๎ การปอู งกนั โรคตดิ ตํอทางเพศสัมพนั ธ์และเอดส์ การลํวงละเมิดทางเพศ ความ รนุ แรงทางเพศ และอนามยั เจรญิ พันธุ์
83 วัยรํนุ เป็นวยั ท่ีต๎องการเรยี นรูเ๎ รอ่ื งเพศศึกษามากกวําวัยอ่ืน เนอื่ งจากวยั รํุนเปน็ วัยของ การเปลีย่ นแปลงท้งั ทางดา๎ น ราํ งกาย จติ ใจ อารมณ์ และสังคม เปน็ อยํางมาก เปน็ วัยหัวเล้ียวหวั ตอํ แตกํ ลบั ไมํคอํ ยได๎รบั ขอ๎ มลู และบรกิ ารเกยี่ วกบั สุขภาพทางเพศทถ่ี ูกตอ๎ งและเหมาะสม เพราะสังคมไทยยงั มองเรื่อง เพศศึกษาเปน็ เรื่องไกลตัว ยังไมจํ าเป็นทจี่ ะต๎อง ใหค๎ วามรู๎ หรอื มองเห็นวําเป็นเร่ืองท่ีไมํเหมาะสม จึงทาใหเ๎ กิดปัญหาทางเพศกบั วยั รนํุ มากมายอยาํ งทเ่ี ห็นในปจั จุบนั ดังนนั้ การใหค๎ วามรู๎เร่ืองเพศศกึ ษาทถ่ี ูกต๎องกับ วยั รุนํ จงึ เป็นเร่อื งที่สาคัญมาก 1.1.5 สงั คมและวัฒนธรรม วธิ ีการเรียนรแ๎ู ละแสดงออกในเรอ่ื งเพศของบุคคลได๎รบั อิทธพิ ลจากสง่ิ แวดล๎อม บรรยากาศ ทางสังคม และสังคม เพศศึกษาจึงควรเปดิ โลกทัศน์ใหเ๎ ขา๎ ใจบทบาททางเพศ เรือ่ งเพศในบรบิ ทของสงั คม วฒั นธรรม กฎหมาย ศลิ ปะ และ สอ่ื ตาํ ง ๆ . 1. ดา๎ นสังคม มปี ัจจยั ท่เี ก่ยี วข๎องคือ สถานท่ีพกั อาศยั แหลํงบนั เทงิ สิง่ พมิ พ์ สอื่ กระตุ๎นทาง เพศและส่ือมวลชน 2. ดา๎ นวัฒนธรรม ทมี่ ีอิทธิพลตอํ พฤติกรรมทางเพศทีส่ าคัญ คือ ความเช่ือเกีย่ วกบั บทบาท ทางเพศและการปฏบิ ัตติ น ตํอเพศตรงข๎าม และคาํ นยิ มทางเพศ 1.1.6 ทักษะทีจ่ าเปน็ ในการดาเนินชวี ติ เพราะความรแู๎ ละข๎อมูลท่ไี ดร๎ ับเก่ียวกบั เพศน้นั ไมเํ พยี งพอที่จะชํวยใหเ๎ ยาวชนสามารถรับมอื กับเหตุการณ์และแรง กดดนั ตาํ ง ๆ ทีป่ ระสบในชวี ติ จรงิ เพศศึกษา ควรนาไปสํกู ารพฒั นาใหเ๎ ยาวชน เกิดทักษะทีจ่ าเปน็ ในการดาเนินชีวิต ไดแ๎ กํ 1. การใหค๎ ุณคํากบั สง่ิ ตาํ ง ๆ ซ่งึ ระบบการให๎คุณคํานี้เป็นตัวชนี้ าพฤตกิ รรม เปูาหมาย และ การดาเนนิ ชวี ติ ของเรา 2. การสอื่ สาร การรับฟงั การแลกเปลยี่ นความรูส๎ ึกนึกคดิ ทส่ี อดคล๎องหรือแตกตํางกนั 3. การตดั สนิ ใจ การตํอรอง การทาความตกลงเพื่อบรรลุความต้ังใจหรอื ทางเลือกทตี่ น สามารถรบั ผิดชอบได๎ 4. การรกั ษาและยนื ยนั ในความเปน็ ตัวของตัวเอง สามารถแสดงความรูส๎ ึกความตอ๎ งการของ ตนเอง โดยเคารพใน สิทธิของผอู๎ นื่ 5. การจัดการกับแรงกดดันจากเพื่อน สง่ิ แวดล๎อม และอคติทางเพศ 6. การแสวงหาคาแนะนา ความชวํ ยเหลอื การจาแนกแยกแยะข๎อมลู ท่ถี ูกตอ๎ งและไมํถูกต๎อง ใบงานท่ี 1 รูจ้ ักตนเอง ตอนที่ 1 จงตอบคาถามต่อไปน้ี 1. ตามนยิ ามขององคก์ ารอนามัยโลก (WHO) เพศศึกษาหมายถึงอะไร ............................................................................................................................. ................................................... ................................................................................................................................................................................
84 ............................................................................................................................. .................................................. 2. เร่ืองเพศศึกษามีเน้ือหาครอบคลมุ เกยี่ วกบั เรื่องใดบา๎ ง ............................................................................................................................. ................................................... ................................................................................................................................ ................................................ .................................................................................. .............................................................................................. 3. จงอธิบายการเปลี่ยนแปลงและการเจริญเติบโตของวัยรนํุ ทงั้ ทางรํางกาย จติ ใจและอารมณ์ สังคม และ สตปิ ญั ญา ................................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................................... ............................................................................................................................. ................................................... 4. จงอธิบายการดูแลรักษาความสะอาดระบบอวัยวะสบื พันธข์ุ องเพศชาย ............................................................................................................................. ................................................... ............................................................................................................................. ................................................... ................................................................................................................................................................................ 5. จงอธบิ ายการดูแลรักษาความสะอาดระบบอวัยวะสืบพันธข์ุ องเพศหญิง ............................................................................................. .................................................................................. ............................................................................................................................. .................................................. ............................................................................................................................. .................................................. ใบงานที่ 2 ตอบคาถามพัฒนาการคิดเกย่ี วกับอทิ ธิพลทม่ี ผี ลตํอพฤติกรรมทางเพศแล๎วนาเสนอครผู ส๎ู อน 1. อิทธพิ ลของครอบครวั มผี ลต่อพฤติกรรมทางเพศและการดาเนินชวี ติ อยา่ งไร วิเคราะหอ์ ิทธพิ ลของครอบครัว เพ่อื น สงั คม และวัฒนธรรมท่มี ผี ลตอํ พฤติกรรมทางเพศและการดาเนินชีวิต
85 ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... .............................................................................................................................................................................. 2. อิทธิพลของเพื่อนมีผลต่อพฤตกิ รรมทางเพศและการดาเนินชวี ิตของนกั เรียนอย่างไร วิเคราะห์อิทธพิ ลของครอบครัว เพอ่ื น สงั คม และวฒั นธรรมทมี่ ผี ลตอํ พฤติกรรมทางเพศและการดาเนนิ ชวี ิต ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... .............................................................................................................................................................................. 3. วัฒนธรรมมีผลตอ่ พฤตกิ รรมทางเพศอย่างไร วิเคราะหอ์ ิทธิพลของครอบครัว เพือ่ น สังคม และวัฒนธรรมท่มี ผี ลตอํ พฤติกรรมทางเพศและการดาเนินชีวิต ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... .............................................................................................................................................................................. 4. อทิ ธพิ ลของสังคมมีผลต่อพฤตกิ รรมทางเพศอย่างไร วเิ คราะห์อิทธพิ ลของครอบครัว เพื่อน สังคม และวัฒนธรรมที่มีผลตํอพฤติกรรมทางเพสและการดาเนินชวี ิต ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... .............................................................................................................................................................................. 5. นกั เรยี นมแี นวคดิ หรือวถิ ีทางในการสร้างชวี ติ ใหม้ ีความสุขอย่างไร วเิ คราะหอ์ ิทธิพลของครอบครัว เพื่อน สงั คม และวฒั นธรรมทมี่ ีผลตอํ พฤติกรรมทางเพศและการดาเนนิ ชวี ติ ............................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... .............................................................................................................................................................................. แบบทดสอบก่อนเรียน เรือ่ งเพศ คาชีแ้ จง เลือกคาตอบทถ่ี ูกต้องท่ีสุดเพยี งคาตอบเดียว จานวน ๑๐ ข้อ ๑. ข๎อใดเป็นทัศนคตทิ างเพศทผี่ ิดตอํ วัฒนธรรมไทย
86 ก. การไมสํ วมถุงยางอนามยั ข. การมีคูํนอนหลายคน ค. การมเี พศสมั พันธก์ บั ทุกคนไมํเลือกหนา๎ ง. ถูกทุกข๎อ ๒. ขอ๎ ใดเปน็ ทัศนคตเิ รื่องเพศเชิงลบท่ไี มถํ ูกต๎อง ก. การคมุ กาเนิดกับคํูนอน ข. การกั นวลสงวนตัว ค. การมเี พศสัมพันธท์ ่ปี ลอดภัยรูจ๎ กั ปอู งกนั ง. การแสดงออกทางเพศสัมพันธ์อยํางเสรี ๓. ข๎อใดหมายถึงเจตคติในเรื่องเพศเชงิ บวก ก. แก๎ม มเี พศสมั พันธก์ บั เพอ่ื นชาย ข. หมึก ศกึ ษาเกย่ี วกับเร่อื งทางเพศ ค. ปุก คิดวาํ เรื่องทางเพศเป็นเรือ่ งท่ีนํารังเกยี จ ง. ถกู ทุกขอ๎ ๔. ทัศนคตทิ างเพศในเชงิ ลบหมายถึงข๎อใด ก. ความร๎สู ึกเสอ่ื มเสีย เกลยี ดชงั ข. การตอํ ต๎านกกระเบยี บของสงั คม ค. ความคดิ ในแงลํ บในเร่อื งใดเรื่องหนึง่ ง. ถกู ทุกข๎อ ๕. นอ๎ ยยอมมีเพศสมั พนั ธ์กบั บุคคลท่แี กํกวําเพอื่ ต๎องการโทรศัพท์มือถือเครื่องใหมํ นกั เรียนคดิ วํา พฤติกรรมของน๎อย ถกู ต๎องหรือไมํ เพราะเหตุใด ก. ไมถํ ูกต๎อง เพราะน๎อยมีเพศสมั พันธก์ ับคนท่ี แกํกวาํ ข. ไมํถูกตอ๎ ง เพราะนอ๎ ยมีเพศสัมพนั ธ์กับคนที่ ไมํไดร๎ ัก ค. ไมํถูกตอ๎ ง เพราะน๎อยควรได๎รบั เงินเปน็ คําตอบแทน มากกวาํ ง. ไมํถูกต๎อง เพราะน๎อยมีคํานยิ มทีผ่ ิดและอยากได๎ ของตอบแทน ๖. หากจาเปน็ ตอ๎ งทาแผลและสมั ผสั เลือดของผู๎อนื่ ควรปูองกนั ตนเองอยํางไร ก. ลา๎ งมือกํอนและหลังทาแผล ข. สวมเส้อื ผา๎ ใหม๎ ดิ ชิดและสะอาด ค. สวมถงุ มือยางทุกครั้งกํอนทาแผล ง. ใชแ๎ อลกอฮอล์เชด็ มอื และเคร่อื งมือกอํ น ๗. พฤติกรรมใดไมํทาให๎ตดิ โรคเอดส์ ก. กอดกบั ผ๎ตู ดิ เช้ือเอดส์ ข. มีเพศสัมพนั ธ์กบั ผ๎ูปวุ ยโดยไมํปูองกัน ค. รบั ประทานขา๎ วกบั ผ๎ูตดิ เช้ือเอดส์เป็นประจา
87 ง. ถกู ทงั้ ข๎อ ก และ ค ๘. กลมํุ เพ่อื นแบบใดท่ีมกี ารแสดงออกทางเพศอยาํ ง เหมาะสม ก. ไกแํ ละตกุ๏ พาเพื่อนไปนั่งด่ืมสุรา ข. นกและแอน พาเพื่อนไปมั่วสมุ เสพสารเสพตดิ ค. แตนและแจํม จบั กลํุมหยอกล๎อเพือ่ นผห๎ู ญงิ ง. ก๎อยและก๎ุง ชวนเพื่อนเลํนฟุตบอลหลัง เลิกเรียน ๙. คํานิยมใดของไทยทช่ี ํวยลดปัญหาเพศสมั พันธ์ ในวัยเรยี น ก. การเอ้ือเฟ้ือเผ่อื แผํ ข. การกตัญญูกตเวที ค. อยาํ ชิงสกุ กํอนหําม ง. เห็นอกเหน็ ใจกนั ๑๐. โรคซิฟลิ ิสเปน็ โรคทีเ่ กิดมาจากเชอ้ื ชนดิ ใด ก. เชอ้ื รา ข. เช้ือปรสติ ค. เช้ือแบคทเี รยี ง. เช้ือปรสติ เฉลย 1.ง. 2. ง. 3.ข. 4.ง. 5.ค. 6.ค. 7.ง. 8.ค. 9.ค. 10.ค. แผนการจัดการเรียนรู้ รายวิชาภาษาไทย ครัง้ ท่ี 8 การจดั ทาหน่วยเรียนรู้บูรณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2565 ระดบั ประถมศึกษา กศน.ตาบลลิ้นฟ้า ๑. สปั ดาห์ที่ 8 วนั ที่ 5 เดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2565 เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐น.
88 ๒. วิชา ภาษาไทย รหสั วชิ า พท1๑๐๐๑ จานวน 3 หนํวยกิต ๓. มาตรฐานที่ ๒.1 มีความร๎ู ความเขา๎ ใจ และทักษะพ้นื ฐานเก่ยี วกับภาษาและการส่ือสาร ๔. หน่วยการเรียนรู/้ เรือ่ งการอําน ๕. สาระสาคัญ 5.1 เห็นความสาคัญของการอาํ นทงั้ การอํานออกเสียงและอํานในใจ 5.1 สามารถอํานได๎อยํางถูกต๎อง และอํานไดเ๎ ร็ว เขา๎ ใจความหมายของถ๎อยคา ข๎อความ เนอ้ื เรอื่ งที่อาํ น 5.2มมี ารยาทในการอําน และนสิ ัยรกั การอําน ๖. เนื้อหา ๑. ความสาคญั หลกั การ และ จดุ มงุํ หมายของการอําน ออกเสยี งและการอํานในใจ 2. การอํานร๎อยแกว 3. การอํานร๎อยกรอง 4. การเลอื กอํานหนังสือ และประโยชนของการอําน 5. การสร๎างนิสัยรกั การอําน และมารยาทในการอํานท่ีดี 7. จดุ ประสงค์การเรียนรู/้ ผลการเรียนรทู้ ี่คาดหวัง ๑. เข๎าใจความสาคัญ หลักการและจดุ มํุงหมายของการอาํ นทัง้ อํานออกเสียงและอํานในใจ ๒. อํานออกเสียงคา ข๎อความ บทความ บทสนทนา เร่ืองส้ัน บทรอ๎ ยกรองและบทร๎องเลํน บทกลอมเด็ก ๓. อธิบายความหมายของคาและข๎อความท่อี ําน ๔. ปฏบิ ตั ิตนเปน็ ผ๎มู ีมารยาทในการอํานและมีนสิ ัยรักการอําน 8. การบูรณาการกับหลักแนวคดิ ของเศรษฐกิจพอเพียง (2 เง่ือนไข 3 หลกั การ การเช่อื มโยงสู่ 4 มิติ) ความรู้ -การสืบค๎นและระบบการจัดหนงั สอื ในกิจกรรมกศน.ตาบล -ระเบียบการใชก๎ ศน.ตาบล การยมื หนงั สอื คณุ ธรรม - ความรับผดิ ชอบตํอหนังสือท่อี าํ นหรือยืมกลบั มาอาํ น - การตรงตอํ เวลาในการเขา๎ กิจกรรม รวมทง้ั การคืนหนังสือทีย่ ืมมาดว๎ ย - ความเกรงใจผ๎อู ืน่ ท่ใี ช๎หนงั สือหรือสถานทรี่ ํวมกับเรา - การแบํงปันให๎ผ๎ูอืน่ ได๎มโี อกาสใชบ๎ ริการของกศน.ตาบล เพ่ือการศกึ ษาคน๎ คว๎าหรือการบันเทงิ อยาํ ง เทําเทยี มกนั พอประมาณ - พอกบั เวลาวํางท่ีมีอยํู - พอประมาณกับชวํ งเวลา วําเวลาใดควรเขา๎ ไมํควรอาํ นหนังสือ - พอประมาณกับสถานท่ที ีจ่ ะรองรบั ผใ๎ู ช๎บรกิ ารได๎ มีเหตผุ ล
89 - เปน็ การใช๎เวลาวาํ งให๎เปน็ ประโยชน์ - เปน็ การแสวงหาความรู๎ด๎วยตนเอง - สรา๎ งนิสยั รักการอาํ น เป็นบุคคลแหํงการเรยี นรู๎ มีภูมคิ มุ้ กนั -ต๎องตระหนักและเห็นประโยชนข์ องการอํานหนังสือท้ังในและนอกหอ๎ งสมดุ -ต๎องฝกึ นิสยั ใฝุรแ๎ู ละเกิดความสุขความสุขในการอาํ น วัตถุ - การใช๎บริการหนังสอื และสอ่ื ตํางๆ จากกศน.ตาบล โดยไมํต๎องซื้อหามาเองทาให๎ประหยัดคําใช๎จําย และเกดิ ประโยชน์กบั การเรยี นรู๎อยาํ งมาก สงั คม - การเขา๎ ใช๎บรกิ ารกศน.ตาบลบํอยๆ ทาให๎ไดร๎ ๎ูจกั การปรบั ตัวในการเขา๎ สังคมรวํ มกบั ผ๎ูอืน่ ทจี่ ะไมทํ า ใหต๎ นเองเดือดร๎อน ไมํทาใหส๎ ังคมเดือดรอ๎ น มีความรจู๎ ากการอํานหนังสือในกศน.ตาบล เรอื่ งการเมอื ง การปกครองท่ี ทันยุค ทันเหตกุ ารณ์สามารถให๎คาปรึกษากบั ชมุ ชนในเร่ืองราวตาํ งๆโดยอยํบู นพ้ืนฐานของหลักวชิ าการท่ีถูกตอ๎ ง สง่ิ แวดล้อม - กศน.ตาบลมบี รรยายกาศ สภาพแวดล๎อม นําอํานหนงั สือ วัฒนธรรม - วัฒนธรรมการแบํงปัน การเคารพสถานท่ี กฎ กติกาของสังคม 9. กระบวนการจัดการเรียนรู้และกจิ กรรมการเรียนรู้ ขั้นท่ี ๑ กาหนดสภาพปัญหาการเรียนรู้ (O : Orientation) ๑. ใหผ๎ ูเ๎ รียนอําน บทร๎อยกรอง และรวํ มกนั สรปุ ใจความสาคัญ ของบทร๎อยกรอง 2. ผเ๎ู รยี นและครรู ํวมกันสรา๎ งความเข๎าใจเกี่ยวกบั หลกั การเขียนประเภทตาํ ง ๆ และรวํ มกนั กาหนด วิธกี ารเรียน ขั้นที่ 2 แสวงหาขอ้ มลู และจัดการเรยี นรู้ (N : New ways of learning) 1. อธิบายการอาํ นบทร๎อยกรอง มปี ระโยชนอ์ ยาํ งไร และมวี ธิ กี ารอยํางไร 2. อธิบาย เรอื่ ง หลกั ความสาคัญและจุดมุงํ หมายของการอําน 3. นกั ศกึ ษาทาแบบทดสอบยํอยเพ่ือประเมนิ ผเู๎ รยี นวํามคี วามเข๎าใจหรือไมํ 4. อธิบายถงึ หลกั การเขยี นส่อื สาร การเขยี นเรยี งความและยอํ ความ การเขียนเพื่อการส่ือสาร การ เขียนรายงาน การเขียนกรอกแบบรายการ มารยาทในการเขยี น และการสร๎างนิสยั รักการอาํ น ขั้นที่ ๓ การปฏิบัติและการนาไปใช้ (I : Implementation) 1. ผ๎ูเรียนและผู๎สอนรวํ มกนั สรปุ ในตอนทา๎ ยเพื่อเป็นการทบทวนและสรปุ ความร๎ู 2. นักศึกษาและครูชํวยการสรปุ ความรท๎ู ่ีได๎รับจากการเรยี นร๎ูในบทเรยี นน้ี สามารถนาไป ประยุกตใ์ ชใ๎ นชวี ติ ประจาวนั ไดอ๎ ยาํ งไร ขั้นท่ี ๔ การประเมินผลการเรยี นรู้ (E : Evaluation) ๑. ใบงาน ๒. ค๎นควา๎ เพ่ิมเติม 3. เร่ือง วรรณคดีและวรรณกรรม 4. เรื่อง ภาษาไทยกับชํองทางการประกอบอาชีพ
90 10. ส่ือ/แหล่งเรียนรู้ 1. หนงั สอื แบบเรียน 2. แบบทดสอบกํอนเรียน/หลงั เรยี น 3. ใบงาน 4. อินเทอร์เนต็ 11. การวดั และประเมนิ ผล 1. วธิ ีการวัดและประเมินผล - แบบประเมินผลการสังเกตพฤติกรรมการทางานรํวมกับผ๎อู นื่ ของนักศึกษารายบุคคล - ใบงาน - แบบทดสอบกํอนเรยี น-หลงั เรยี น 2. เครื่องมือวัดและประเมนิ ผล. - ประเมินผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรํวมกบั ผู๎อน่ื ของนกั ศกึ ษารายบคุ คล - ผลจากการตรวจใบงาน - คะแนนแบบทดสอบกอํ นเรียนและหลงั เรียน 3. เกณฑก์ ารวดั และการประเมินผล - แบบประเมนิ ผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกับผ๎ูอน่ื ของนักศึกษารายบุคคล ระดับดี พอใช๎ และควรปรบั ปรุง - ใบงานคะแนนเตม็ 10 คะแนน แบบทดสอบกํอนเรียน-หลังเรียน เกณฑผ์ ํานและไมํผําน กิจกรรมเสนอแนะ ............................................................................................................................. ............................................................ ................................................................................................................................................................... ลงชื่อ…………………………………………….ครูผูส๎ อน (นางพรวรกานต์ ลีแวง) ครู กศน.ตาบล ข้อเสนอแนะของผู้บรหิ าร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………............................. ลงช่อื ………………………………………………………ผ๎อู นุมัตแิ ผน (นางปทั มาภรณ์ ศรีเนตร) ผอ๎ู านวยการ กศน.อาเภอจตรุ พกั ตรพมิ าน บันทกึ หลังการจัดการเรยี นรู้ การจัดทาหน่วยเรยี นร้บู รู ณาการหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง กศน.ตาบลลิน้ ฟา้ ครั้งท่ี 8 วนั ที่ 5 เดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2565 ครูผ๎ูสอน นางพรวรกานต์ ลีแวง ระดับ ประถมศึกษา เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐ น.
91 สาระความรู๎พื้นฐาน รายวชิ าภาษาไทย รหัสวิชา พท1๑๐๐๑ จานวนผ๎ูเรียนทง้ั หมด ............... คนเขา๎ เรียน…………………คน ไมํเข๎าเรียน……………………….คน ๑. ผลการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้การประเมนิ โดยใช๎ แบบทดสอบกํอนเรยี น - หลงั เรียน พบวํา คะแนนการทดสอบหลงั เรียน มากกวํากํอนเรียนจานวน ........ คนคดิ เปน็ ร๎อยละ............ คะแนนการทดสอบหลังเรยี น นอ๎ ยกวํากํอนเรยี นจานวน ......... คนคดิ เป็นร๎อยละ............ ๒. เนอ้ื หา/สาระ ............................................................................................................... ................................................. ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................. ................................... ๓. กิจกรรมการเรียนการสอน ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ............................................... ............................................................................................................................. .......... ๔. ปัญหา/อปุ สรรค การเรยี นการสอน ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................................ .................... ๕. แนวทางการแก้ปัญหา ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................... ................................................................. ............................................................................................................................. ................................... ลงช่อื ....................................................... (นางพรวรกานต์ ลแี วง) ครูผ๎ูสอน วันที.่ ............../.................../............... ความคดิ เหน็ /ข้อเสนอแนะของผ้บู ริหาร ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................. ............................................................ ....................................................................................................................................................... ลงชอื่ .................................................................. (นางปทั มาภรณ์ ศรีเนตร) ผ๎ูอานวยการ กศน.อาเภอจตรุ พักตรพมิ าน แผนการจัดการเรยี นรู้ รายวิชาภาษาไทย ครั้งท่ี 9 การจดั ทาหน่วยเรียนร้บู รู ณาการหลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2565 ระดับประถมศึกษา กศน.ตาบลลิ้นฟ้า
92 ๑. สปั ดาห์ท่ี 9 วันท่ี 12 เดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2565 เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐น. ๒. วชิ า ภาษาไทย รหัสวิชา พท1๑๐๐๑ จานวน 3 หนวํ ยกิต ๓. มาตรฐานที่ ๒.1 มีความร๎ู ความเข๎าใจ และทกั ษะพื้นฐานเก่ยี วกับภาษาและการส่ือสาร ๔. หน่วยการเรียนร้/ู เรอ่ื ง วรรณคดี วรรณกรรม ๕. สาระสาคญั มนษุ ยใ์ ช๎ภาษาสร๎างมนุษย์สัมพนั ธ์ พฒั นาความคิด แสวงหาความร๎ูหากเข๎าใจหลักการใช๎ภาษา และนาไปใช๎ในการสื่อสาร ได๎อยาํ งถูกต๎องทงั้ การพูดการเขียนและกํอให๎เกิดประโยชน์ ท้ังสวํ นตนและ สวํ นรวม ๖. เน้อื หา 1. เร่ืองราว นิทาน นิทานพ้นื บา๎ นและ วรรณกรรมท๎องถิน่ 2. เรื่องราววรรณคดีท่มี ี ความหลากหลาย - กลอนบทละคร (สงั ข์ทอง) - กลอนนิทาน (พระอภยั มณ)ี - กลอนเสภา (ขนุ ชา๎ ง ขุนแผน) 7. จดุ ประสงค์การเรยี นร้/ู ผลการเรียนรทู้ ่ีคาดหวงั อธิบายถึงประโยชน และคุณคาํ ของนทิ าน นิทานพ้นื บ๎าน วรรณกรรม และวรรณกรรมในทอ๎ งถน่ิ 8. การบรู ณาการกบั หลักแนวคิดของเศรษฐกิจพอเพียง (2 เงื่อนไข 3 หลักการ การเชื่อมโยงสู่ 4 มิต)ิ ความรู้ - การสืบค๎นนิทานพืน้ บ๎าน ในกจิ กรรมกศน.ตาบล - เรือ่ งเลาํ นทิ านพ้ืนบ๎านจากชนรุนํ หลงั - ความรู๎หากเข๎าใจหลักการใช๎ภาษาในการส่ือสาร คณุ ธรรม - การตรงตอํ เวลาในการเข๎ากิจกรรม -ศึกษาค๎นคว๎าวรรณกรรมท๎องถนิ่ หรอื การบนั เทิงอยาํ งเทําเทียมกัน พอประมาณ - พอกับเวลาวํางท่ีมอี ยํู - พอประมาณกบั ชวํ งเวลาการอาํ นนิทานพน้ื บ๎าน มีเหตผุ ล - เป็นการใช๎เวลาวาํ งให๎เปน็ ประโยชน์ - เป็นการแสวงหาความรด๎ู ๎วยตนเอง มีภมู ิคุม้ กัน -ตอ๎ งตระหนักและเห็นประโยชน์ของวรรณคดี -ตอ๎ งฝกึ นสิ ยั ใฝุร๎ูและเกดิ ความสขุ ความสขุ ในการอําน วัตถุ - ประหยัดคาํ ใชจ๎ ํายและเกิดประโยชนก์ ับการเรียนรู๎อยาํ งมาก สังคม
93 - การเข๎าใชบ๎ ริการกศน.ตาบลบอํ ยๆ ทาให๎ไดร๎ ๎ูจักการปรบั ตัวในการเขา๎ สังคมรํวมกับผู๎อื่นท่จี ะไมํทา ให๎ตนเองเดือดร๎อน ไมํทาให๎สังคมเดือดรอ๎ น มคี วามรจู๎ ากการอาํ นหนงั สือในกศน.ตาบล เรอ่ื งวรรณคดี วรรณกรรม สิง่ แวดล้อม - บรรยายกาศ สภาพแวดล๎อม นําอาํ นหนังสือ วฒั นธรรม - วฒั นธรรมการแบงํ ปัน การเคารพสถานท่ี กฎ กติกาของสังคม 9. กระบวนการจัดการเรียนรแู้ ละกิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นที่ ๑ กาหนดสภาพปญั หาการเรียนรู้ (O : Orientation) ผ๎ูเรียนและครูรวํ มกันพดู คุยเร่ืองการใช๎ภาษาถิ่นของชมุ ชน และให๎ผู๎เรียนได๎แสดงความคิดเห็นถึง ประเดน็ การใชภ๎ าษาถิน่ พ้นื บ๎าน พรอ๎ มยกตัวอยําง ขน้ั ท่ี 2 แสวงหาขอ้ มลู และจัดการเรียนรู้ (N : New ways of learning) 1. ครอู ธบิ ายถงึ ลักษณะนิทาน นทิ านพ้นื บา๎ นและ วรรณกรรมทอ๎ งถิน่ และวรรณคดที มี่ ี ความ หลากหลาย 2. ครูอธบิ าย รปู แบบชองกลอนบทละคร 3. ครอู ธบิ าย รปู แบบชองกลอนนทิ าน 4. ครอู ธิบาย รูปแบบกลอนเสภา ขน้ั ที่ ๓ การปฏิบัติและการนาไปใช้ (I : Implementation) ๑. นกั ศึกษาทาแบบทดสอบกํอน - หลังเรียน ๒. ครูสรปุ องคค์ วามร๎ูในเนื้อหา ๓. นักศึกษาซักถาม และแลกเปล่ียนความรู๎ ข้ันที่ ๔ การประเมินผลการเรยี นรู้ (E : Evaluation) งานมอบหมาย ให๎นักศึกษาค๎นคว๎าเพ่ิมเตมิ เรื่องการแยกสาร จากแหลํงเรียนรู๎ ห๎องสมุด, กศน.ตาบล,อินเตอรเ์ น็ต 10. สอ่ื /แหล่งเรียนรู้ 1. หนังสอื เรียนสาระความรูพ๎ ้ืนฐาน รายวิชาภาษาไทย ระดับประถมศกึ ษา รหสั พท11001 2. ใบความร๎ู 3. อินเทอร์เนต็ 11. การวัดและประเมนิ ผล 1. วิธกี ารวัดและประเมินผล - แบบประเมนิ ผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรํวมกบั ผ๎ูอน่ื ของนักศึกษารายบุคคล - ใบงาน - แบบทดสอบกํอนเรยี น-หลงั เรียน 2. เครื่องมอื วดั และประเมินผล. - ประเมินผลการสังเกตพฤตกิ รรมการทางานรวํ มกบั ผูอ๎ ่ืน ของนกั ศึกษารายบคุ คล - ผลจากการตรวจใบงาน
94 - คะแนนแบบทดสอบกอํ นเรียนและหลังเรยี น 3. เกณฑก์ ารวดั และการประเมินผล - แบบประเมนิ ผลการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรวํ มกบั ผ๎ูอ่ืนของนกั ศึกษารายบคุ คล ระดับดี พอใช๎ และควรปรับปรงุ - ใบงานคะแนนเตม็ 10 คะแนน - แบบทดสอบกํอนเรยี น-หลงั เรยี น เกณฑผ์ าํ นและไมผํ ําน กิจกรรมเสนอแนะ ......................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ลงชือ่ …………………………………………….ครผู ู๎สอน (นางพรวรกานต์ ลีแวง) ครู กศน.ตาบล ขอ้ เสนอแนะของผู้บริหาร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………............................. ลงช่ือ………………………………………………………ผอ๎ู นุมัตแิ ผน (นางปทั มาภรณ์ ศรเี นตร) ผูอ๎ านวยการ กศน.อาเภอจตุรพกั ตรพิมาน บันทกึ หลังการจัดการเรียนรู้ การจัดทาหนว่ ยเรยี นรบู้ ูรณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง กศน.ตาบลล้นิ ฟ้า
95 คร้ังท่ี 8 วนั ที่ 5 เดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2565 ครูผส๎ู อน นางพรวรกานต์ ลแี วง ระดับ ประถมศึกษา เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐ น. สาระความรู๎พ้นื ฐาน รายวชิ าภาษาไทย รหัสวิชา พท1๑๐๐๑ จานวนผเู๎ รยี นท้ังหมด ............... คนเข๎าเรยี น…………………คน ไมเํ ข๎าเรียน……………………….คน ๑. ผลการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้การประเมินโดยใช๎ แบบทดสอบกํอนเรียน - หลังเรยี น พบวาํ คะแนนการทดสอบหลังเรยี น มากกวาํ กอํ นเรยี นจานวน ........ คนคิดเปน็ ร๎อยละ............ คะแนนการทดสอบหลงั เรยี น นอ๎ ยกวาํ กํอนเรยี นจานวน ......... คนคิดเปน็ รอ๎ ยละ............ ๒. เนอื้ หา/สาระ ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................. ................................... ๓. กจิ กรรมการเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................... ............................................................................. ............................................................................................................................. .......... ๔. ปญั หา/อุปสรรค การเรียนการสอน ........................................................................................................................................ ........................ .......................................................................................................... ...................................................... ............................................................................................................................. ................................... ๕. แนวทางการแก้ปญั หา ............................................................................................................................................... ................. ................................................................................................................. ............................................... ............................................................................................................................. ................................... ลงช่ือ....................................................... (นางพรวรกานต์ ลีแวง) ครูผู๎สอน วันท.่ี ............../.................../............... ความคิดเหน็ /ข้อเสนอแนะของผ้บู ริหาร ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................. ............................................................ ....................................................................................................................................................... ลงช่ือ.................................................................. (นางปทั มาภรณ์ ศรเี นตร) ผูอ๎ านวยการ กศน.อาเภอจตรุ พักตรพิมาน ใบความรู้ เร่ือง วรรณกรรมปจั จุบนั และวรรณกรรมทอ้ งถิน่ 1. ความหมาย
96 วรรณกรรมทอ้ งถน่ิ หมายถึง วรรณกรรมทป่ี รากฎอยูํในท๎องถนิ่ ภาคตําง ๆ ของไทย ทั้งทเี่ ป็นลาย ลกั ษณ์ หรือมขุ ปาฐะ ซ่งึ แตกตาํ งไปจากวรรณกรรมแบบฉบับ เพราะวรรณกรรมท๎องถ่นิ นั้นชาวท๎องถิ่นสร๎าง ขึ้นมา ชาวท๎องถ่ินใช๎ (อาํ น, ฟัง) และชาวทอ๎ งถิ่นเป็นผ๎อู นุรกั ษ์ โดยมวี ัดเปน็ ศนู ยก์ ลาง รูปแบบของฉนั ทลกั ษณจ์ ึง เป็นไปตามความนยิ มของทอ๎ งถิ่นน้ัน ๆวรรณกรรมท๎องถนิ่ มีเน้อื หาสาระ และคตนิ ยิ มเกย่ี วกับพุทธศาสนาเปน็ สวํ น ใหญํ เนอ่ื งจากคนไทยทุกภาพในอดตี มีคตนิ ยิ มในการสรา๎ งหนังสอื ถวายวดั โดยเชอ่ื กันวาํ จะได๎อานิสงส์อยํางแรง อกี ประการหนึ่งวดั กเ็ ป็นสานกั เลําเรยี นของกุลบุตร กลุ ธดิ าของประชาชน ฉะนนั้ การสรา๎ งสรรค์วรรณกรรมท๎องถนิ่ ยังมี สวํ นใหน๎ กั เรยี นได๎ฝึกอํานหรอื ทวบทวนนอกเหนือไปจากแบบเรียน (จินดามณี ปฐมมาลา ปฐม ก.กา) ซึง่ สํวนใหญํ เปน็ วรรณกรรมประเภทนิทานคติธรรม 2. ความเปน็ มาของการศกึ ษาวรรณกรรมทอ้ งถิ่น การศึกษาวรรณกรรมไทยนัน้ เราจะมาเรมิ่ ศกึ ษากนั เมอ่ื สมยั รชั กาลท่ี 5 กลําวคอื มีการจัดตง้ั โบราณคดี สโมสรขนึ้ เมื่อ พ.ศ. 2450 ในครัง้ นน้ั ได๎รวบรวม ชาระ ซํอมแซมวรรณกรรมที่กระจดั กระจาย และมีการพิมพ์ เผยแพรํ ซึ่งเป็นการอนุรักษ์วรรณกรรมโบราณของไทยไวไ๎ ดส๎ วํ นหนง่ึ คณะกรรมการโบราณคดีสโมสรได๎ศึกษา รวบรวมวรรณกรรมทที่ ํานมีประสบการณ์ คอื รูจ๎ ักและเคยอาํ นสมัยเลาํ เรียน ซ่งึ สวํ นใหญํเป็นวรรณกรรมที่แพรหํ ลาย อยูํในกลุํมชนชนั้ นาคือ ขนุ นาง นักปราชญ์ ราชบณั ฑติ สํวนวรรณกรรมทีแ่ พรํหลายอยูํในกลํุมชาวบา๎ น หรอื ชาว วัด หรอื ในท๎องถน่ิ ท่ีหํางไกล เขา๎ ใจวําทาํ นเหลํานัน้ คงยังมิได๎ศึกษารวบรวม อกี ประการหน่ึงในช่วั ระยะเวลาอันสนั้ ท่ี จดั ตัง้ โบราณคดสี โมสรนั้น ข๎อมูลในสวํ นกลางหรือราชสานกั คงมีมากเกนิ กวาํ ทจ่ี ะศึกษารวบรวมในระยะเวลาอนั ส้นั ในสมัยรัชกาลที่6 แหํงกรงุ รัตนโกสนิ ทร์ ได๎จัดตัง้ วรรณคดีสโมสรขึ้น เม่อื พ.ศ. 2457 คงจะสบื เน่อื งมาจากโบราณคดีสโมสรนัน่ เอง คณะกรรมการชดุ นไี้ ดพ๎ ยายามทีจ่ ะจัดจาแนกวรรณกรรม โดยพจิ ารณาวาํ เป็น ระยะเวลาใดควรแกํการยกยํอง ในสมัยจดั ตั้งวรรณคดีสโมสรนน้ั เป็นระยะเวลาไมํนานนักก็สิ้นสมยั รชั กาลที่ 6 จากนัน้ ก็ขาดแรงสนบั สนุนการศึกษารวบรวมวรรณกรรม จงึ อยใํู นวงจากัด ยงั มไิ ด๎ขยายขอบเขตไปศึกษา วรรณกรรมท่ีแพรํหลายอยูํในกลุมํ ชาวบา๎ น ชาววัดและวรรณกรรมในทอ๎ งถ่ินทหี่ าํ งไกล หลังจากนัน้ เปน็ ตน๎ มารวมเวลาประมาณกง่ึ ศตวรรษ กลุ บตุ ร กลุ ธิดาชาวไทย ก็ได๎ศึกษาเลาํ เรยี นเฉพาะ วรรณกรรมที่ไดศ๎ ึกษารวบรวมชาระกันในคร้ังนน้ั เทํานัน้ ไมปํ รากฎวาํ ไดม๎ ีการศกึ ษาชาระ รวบรวมวรรณกรรมอื่น ๆ ใหก๎ วา๎ งขวางตํอไป วรรณกรรมชาวบ๎าน ชาววดั เหลาํ น้นั จงึ ถกู ทอดทิ้งมาเปน็ เวลาเนน่ิ นาน ตํอมาเมื่อราว พ.ศ. 2502 สถาบนั การศึกษาระดับอุดมศึกษาไดแ๎ นวคดิ มาจากตะวันตกทีน่ ิยมศึกษา เรอื่ งราวทางพ้นื บ๎าน และเสนอเป็นวทิ ยากรในหลกั สตู รเรียกชอ่ื วํา Folklore จึงนาวิธกี ารเหลํานั้นมาจัดเข๎าใน หลกั สตู รระดบั อุดมศึกษา เรียกช่ือวํา \"คติชาวบ๎าน\" บ๎าง \"คติชนวทิ ยา\" บ๎าง จากการศึกษาวชิ าสาขาคตชิ นวิทยานน้ั ทาให๎เราทราบถึงแนวคิด คตนิ ิยม ปรัชญาชีวติ ของสังคมในทอ๎ งถนิ่ ตํางๆ ของไทย ซงึ่ มรี ายละเอียดปลีกยํอยตาํ งไปจากคตนิ ยิ ม ปรัชญาชีวติ และสังคมของภาคกลางเกือบ สน้ิ เชิง ฉะน้ันจึงมกี ารศกึ ษาท่ลี ึกซึง้ ลงไป ในเอกสารทอ๎ งถน่ิ ตาํ งๆ จึงพบวําในเอกสารทอ๎ งถิน่ เหลํานั้น เป็นคลังของ แนวคิด คํานิยมของสังคมท๎องถิน่ อนั แอบแฝงอยํใู นรูปนทิ านเหลํานั้น ฉะนัน้ จงึ ทาให๎นักวชิ าการในสาขาอน่ื ๆ เร่มิ ตระหนักถึงคณุ คาํ ความสาคญั ของข๎อมลู ทางคติชนวทิ ยาโดยเฉพาะวรรณกรรม ประจวบกับ เมอื่ ชวํ งปี พ.ศ.2510- พ.ศ.2520 นกั ศึกษาเร่ิมมปี ฏิกิรยิ าตอํ ต๎านการศึกษาวรรณคดี โดยมที ัศนคตติ อํ วรรณคดีท่ีอยํใู นหลักสูตรระดับ ประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษาน้ัน เปน็ วรรณคดีของชนชั้นสูง หรอื วรรณกรรมเพื่อรบั ใช๎ศกั ดนิ า ไมํ กํอให๎เกิดแนวคดิ สร๎างสรรค์ใดๆ รังแตใํ หเ๎ กิดความเบ่ือหนํายฉะน้นั เมื่อตอนปลายปี พ.ศ.2519 จงึ มกี ารจัดรายวชิ า วรรณกรรมท๎องถิน่ ในสถานศกึ ษาระดับอุดมศกึ ษา สวํ นระดบั ประถมศึกษา และมัธยมศึกษา มีการเสนอให๎อําน วรรณกรรมท๎องถน่ิ ของภาคตําง ๆ เปน็ หนังสืออํานประกอบอยํบู ๎าง 3. ขอ้ แตกตา่ งระหว่างวรรณกรรมแบบฉบับกับวรรณกรรมท้องถน่ิ
97 จากการศึกษาวรรณกรรมท๎องถิน่ ของภาคเหนือ ภาคอสี าน ภาคใต๎ และภาคกลางแลว๎ พบวํามรี ูปแบบตําง ไปจากวรรณกรรมแบบฉบับอยํมู าก ตามลาดบั ความใกล๎ชิดกบั รฐั บาลกลางหรอื ราชสานักท่เี ป็นเชํนนี้ เพราะวาํ พ้นื ฐานของสงั คม มโนทัศนข์ องกวี ตลอดจนบันทกึ สภาพสังคมในสมัยท่ีกาเนิดวรรณกรรมน้นั ๆ ตามมโนทศั น์ของ กวี วทิ ย์ ศวิ ะศรียานนท์ (2504 : 183) กลําววาํ กวีคนเดยี วกเ็ ปรียบเหมือน 3 คน คือ นอกจากเป็นผู๎แตํงหนังสือ แล๎ว ยังเปน็ หนํวยหนึง่ ของคนรนุํ นน้ั และเป็นพลเมืองด๎วย เน่อื งจากเหตนุ ี้ นอกจากจะตอ๎ งสังวรในอาชีพประพนั ธ์ ของตนในฐานะท่ีเป็นกวี ในฐานะทีเ่ ปน็ หนวํ ยหนึ่งของคนสมยั นน้ั ก็ยํอมจะทาเอาหูไปนาเอาตาไปไรํเสียกบั เหตุการณท์ ี่ตนเห็นตาตาประจักษอ์ ยูํแกํใจหาได๎ไมํ และในฐานะทเี่ ป็นพลเมืองอีกเลํา ก็จะต๎องใสใํ จเหตุการณ์ บ๎านเมอื ง ความเคลื่อนไหวของประเทศชาติ ตลอดจนชนชัน้ และอาชีพที่ตนเปน็ หนํวยหน่งึ อกี ด๎วย กวหี รอื ผเ๎ู ขยี นยํอมสอดแทรกสภาพของสงั คมสมัยนนั้ ๆ ลงไปในวรรณกรรมทเี่ ขาไดส๎ ร๎างสรรค์ และใน ฐานะทเี่ ปน็ หนวํ ยหนง่ึ ของประชาคมน้นั ยํอมจะใสคํ วามคิดเหน็ มโนทัศน์ของตนลงไปด๎วย แตํในขณะเดียวกันใน บทบาทของกวหี รอื นักประพันธ์ จงึ เสนอทัศนคตใิ นบทบาทฐานะนัน้ อีกดว๎ ย ฉะนั้นปัจจัยดงั กลําวขา๎ งต๎น จงึ มีสวํ น สาคัญท่แี ยกรปู แบบของวรรณกรรมแบบฉบบั กับวรรณกรรมทอ๎ งถนิ่ ให๎แตกตํางกัน เม่อื พิจารณารูปแบบของวรรณกรรมแบบฉบบั กบั วรรณกรรมทอ๎ งถน่ิ ทแ่ี ตกตาํ งกันไปน้ัน ทาให๎เหน็ วํา วรรณกรรมแบบฉบับเปน็ วรรณกรรมท่ีแพรหํ ลาย และเจริญอยูใํ นราชสานกั เร่ิมตั้งแตกํ วีผสู๎ ร๎างสรรค์ ซึ่งเป็นผ๎ูคงแกํ เรยี น พ้นื ฐานการศึกษาสงู และอยํูในฐานะเหนือกวําทางดา๎ นสงั คม ฉะนน้ั คาํ นยิ ม สภาวะของสังคม จนทศั นะท่ีกวี สอดแทรกในวรรณกรรมนน้ั จึงเป็นมโนทศั น์ของสงั คมช้ันสูง ซ่ึงตํางไปจากวรรณกรรมทอ๎ งถ่นิ ทก่ี วีเปน็ ชาวบา๎ น ธรรมดาหรอื ภกิ ษุ และอยใํู นภาวะของสังคมแบบชาวบา๎ นโดยทัว่ ไป ฉะนน้ั คํานยิ ม สภาวะของสังคม และทัศนะที่กวี สอดแทรกลงไปในวรรณกรรมทเี่ ขาสรา๎ งสรรคน์ ้ันจะเปน็ มโนทศั น์(คาบาลี สนั สกฤต) หรือบทกวีนิพนธ์ที่ ซบั ซ๎อน เชนํ ฉันท์ สวํ นใหญํจะใชก๎ วีนพิ นธท์ น่ี ยิ มในท๎องถิ่นนั้น ๆ 4. ประโยชน์ของการศึกษาวรรณกรรมทอ้ งถิ่น ขอ๎ มลู ทางคตชิ นวทิ ยา เป็นทสี่ นใจของนักศึกษาทางดา๎ นมานุษยวทิ ยามาโดยตลอด เพราะข๎อมลู เหลํานเ้ี ป็น ขอ๎ มูลเบื้องต๎นทส่ี บื ทอดกันมาในประชาคมท๎องถ่ินตํางๆ ในการวเิ คราะห์ขอ๎ มูลทางด๎านคตชิ นนั้นทาใหน๎ กั มานษุ ยวิทยาสามารถเขา๎ ใจลักษณะของสงั คม คํานยิ ม ปรชั ญาชีวติ และวถิ ที างแหงํ ชีวติ ตลอดจนระบบของสงั คมของ กลุํมชนนั้นๆ วรรณกรรมท๎องถ่นิ เป็นข๎อมลู สาคัญในข๎อมูลท้ังหลาย ทางด๎านคติชนวทิ ยา ทจี่ ะสะท๎อนใหเ๎ ห็นสภาวะ ของประชาคมนนั้ ๆ เปน็ อยาํ งดปี ระโยชน์ในการศึกษาวรรณกรรมท๎องถิ่น สรุปได๎ 3 ประการ ดังนี้ 4.1 ประโยชนท์ างดา้ นวิชาการ ผ๎ศู กึ ษาวรรณกรรมทอ๎ งถ่ินจะเข๎าใจในสง่ิ ตํอไปน้ี 4.1.1 ปรชั ญาชีวติ และสังคมของทอ๎ งถิน่ อนั เป็นพ้นื ฐานของสงั คม เชํน ความเชื่อ คตินยิ ม จารตี ประเพณี เป็นต๎น 4.1.2 การจดั ระเบยี บสงั คม หรือการควบคุมสังคม อนั เปน็ พนั ธกรณีของกลมุํ ชนต๎องประพฤติ ปฏบิ ัติ เพ่ือความสงบสุขของประชาคมนั้นๆ บทบญั ญัตติ ํางๆ อันเป็นปทสั ฐานของสังคมนน้ั ไดส๎ ั่งสอนสืบตํอกันมา โดยมิได๎มีการจดบันทึกไว๎ แตํกป็ รากฎอยํูในวรรณกรรมท๎องถน่ิ เหลาํ นน้ั ในขอ๎ น้ีตอ๎ งเข๎าใจรวํ มกันวาํ สงั คมชนบทใน สมยั อดีต กฎหมายของของรัฐบาลกลางมไิ ด๎มสี วํ นเก่ียวขอ๎ งในการควบคุมสงั คมมากนัก แตํปรชั ญาพทุ ธศาสนา จารีต ความเช่ือ คตินิยม ซง่ึ เปน็ ทยี่ อมรับของประชาคมจะมีบทบาทควบคมุ สงั คมอยํางยิ่ง 4.1.3 ประวัติศาสตร์สงั คมของท๎องถ่นิ วรรณกรรมท๎องถ่ินเป็นข๎อมูลสาคัญในการศึกษา ประวตั ศิ าสตรส์ งั คมของท๎องถ่ิน โดยเฉพาะทางดา๎ นการจัดระบบสังคมการควบคุมสงั คมตลอดจนจารีตประเพณีของ สังคมนนั้ 4.1.4 ภาษาถ่นิ วรรณกรรมทอ๎ งถิ่นโดยเฉพาะวรรณกรรมลายลักษณ์ทไี่ ด๎บันทกึ ไวต๎ ง้ั แตสํ มัยอดีต จาเปน็ คลงั แหํงคาภาษาถิ่น ถึงแม๎บางคาจะเลกิ ใช๎ไปแล๎วในปัจจุบนั แตํก็ยงั ปรากฎในเอกสารวรรณกรรมท๎องถ่ิน
98 เหลาํ น้ัน นอกจากให๎นักภาษาศาสตร์ ยงั สามารถเหน็ การคลีค่ ลายของคาภาษาไทยไดด๎ ีจากเอกสารวรรณกรรม ท๎องถิน่ ตําง ๆ ของไทย 4.1.5 เป็นการก๎าวหนา๎ ทางวิชาการ การตระหนกั ถงึ คุณคาํ ของวรรณกรรมท๎องถ่ิน จนได๎มกี าร นามาจัดอยํูในหลกั สูตรการศึกษาระดับอุดมศึกษา ซึง่ มีแนวโน๎มในการทจี่ ะสํงเสรมิ การศึกษารวบรวมค๎นคว๎า วรรณกรรมท๎องถน่ิ เหลาํ นั้นใหก๎ ว๎างขวางยงิ่ ข้นึ อนั เป็นปจั จัยสาคัญในการอนรุ ักษ์ศลิ ปวัฒนธรรมท๎องถ่นิ ซึ่งหมายถงึ เอกลักษณ์ของชนชาติไทย 4.1.6 เปน็ การอนุรักษว์ รรณกรรมท๎องถ่ินตาํ ง ๆ ของไทยไมํใหส๎ าปสญู กํอนภาวะอนั ควร 4.2 ประโยชนท์ างดา้ นปัจเจกบุคคล 4.2.1 เพื่อให๎นกั ศึกษาหรอื ผ๎ูศกึ ษาวรรณกรรมท๎องถน่ิ มมี โนทัศน์อนั กว๎าง ยอมรับแนวคดิ ปรัชญาชีวิตของชนทกุ ชั้น ทุกท๎องถ่นิ ทุกสงั คม 4.2.2 ผศ๎ู กึ ษาวรรณกรรมท๎องถ่นิ จะทราบถงึ ความเป็นอจั ฉริยะของบรรพบรุ ุษของตน และของ ทอ๎ งถิ่นอืน่ อีกดว๎ ย 4.2.3 ยอมรบั แนวคิดของชนชาติตํางท๎องถิ่น ตํางสงั คมและตํางยุคสมัย 4.2.4 ได๎รบั ประสบการณข์ องชวี ติ กวา๎ งขวางยงิ่ ข้นึ 4.2.5 มีโอกาสไดเ๎ รียนร๎ภู าษาถ่ิน วฒั นธรรมของท๎องถิ่นอ่ืน ๆ อกี ด๎วย 4.3 ประโยชนท์ างด้านการเมอื งการปกครอง 4.3.1 ผู๎ศึกษาวรรณกรรมท๎องถิน่ จะเกดิ ความรัก ความเข๎าใจ ความภูมิใจในอดีตของท๎องถิ่นที่ตน มีภูมลิ าเนาอยํูและท๎องถิน่ อ่ืน ๆ ของคติดว๎ ย ซึง่ กํอใหเ๎ กิดชาตินยิ ม ภูมิใจในวฒั นธรรมของชาติ 4.3.2 ผศ๎ู กึ ษาวรรณกรรมท๎องถนิ่ จะเกิดความรกั ความเข๎าใจในท๎องถ่ินของตน ผศ๎ู ึกษาวรรณกรรม ทอ๎ งถิน่ จะตระหนักในคุณคาํ และยํอมมีความหวงแหนซึ่งจะกํอใหเ๎ กิดการอนุรกั ษ์วรรณกรรมท๎องถิน่ อีกดว๎ ย 4.3.3 ทาใหค๎ วามเข๎าใจอันดีระหวาํ งชนในชาติ และยํอมมีความสมานสามัคคีกนั 4.3.4 กอํ ให๎เกิดการพัฒนา ระบบสังคมของชาติยอํ มมีทิศทาง โดยอาศัยระบบสงั คม ทอ๎ งถิ่น ปรัชญาชีวติ ในสงั คมท๎องถิ่น อนั เป็นพื้นฐานในการพฒั นาการเปรียบเทียบความแตกตาํ งระหวาํ งวรรณกรรม แบบฉบับกบั วรรณกรรมท๎องถิ่นมีดงั น้ี วรรณกรรมแบบฉบับ วรรณกรรมทอ้ งถิน่ 1. ชนช้ันสูง เจ๎านาย ขา๎ ราชสานกั มีสิทธมิ สี ํวนเปน็ 1. ชาวบา๎ นทัว่ ไปมีสทิ ธิเปน็ เจา๎ ของ เจา๎ ของ - ผู๎สร๎างสรรค์ - ผ๎ูใช๎ - ผ๎สู ร๎างสรรค์ รวมถึงจดบันทกึ คดั ลอก - ผอ๎ู นรุ กั ษ์ - ผ๎ใู ช๎ (อําน, ฟงั - ผอ๎ู นุรักษ์ - แพรหํ ลายในหมํบู ๎าน - แพรํหลายในราชสานัก 2. กวีประพนั ธ์เปน็ นักปราชญ์ ราชบัณฑิต หรือ 2. กวี ผปู๎ ระพนั ธ์ เปน็ ชาวพื้นบา๎ น หรอื พระภกิ ษุ สรา๎ งสรรค์ เจ๎านาย ฉะน้ัน คํานิยม มโนทัศน์ ทเ่ี ห็นสงั คมสมยั น้ัน จงึ วรรณกรรมขึ้นมาดว๎ ยใจรกั มากกวาํ \"บาเรอทา๎ วไธธ๎ ริ าชผมู๎ ี จากัดอยูํในรั้วในวังหรือมีการสอดแทรกสภาวะของสังคมก็ บุญ\"ฉะนนั้ มโนทัศนเ์ กย่ี วกับสภาวะของสังคม จึงเป็นสงั คม เป็นแบบมองเห็นสงั คมแบบเบ้อื งบน ชาวบ๎านแบบประชาคมทอ๎ งถ่ิน 3. ภาษาและกวโี วหารนยิ มการใชค๎ าศัพท์บาลี 3. ภาษาท่ใี ช๎เปน็ ภาษางําย เรยี บ ๆ มงํุ การสือ่ ความหมาย
99 สันสกฤต โดยเชอื่ วาํ เป็นการแสดงภูมิปัญญาของกวีแพรว เป็นสาคญั สวํ นใหญเํ ป็นภาษาทอ๎ งถน่ิ นั้น ละเว๎นคาศัพท์ พราวไปดว๎ ยกวโี วหารท่เี ขา๎ ใจยาก บาลี สันสกฤต โวหารนยิ มสานวนทใ่ี ช๎ในทอ๎ งถนิ่ 4. เนื้อหาสํวนใหญํ มํงุ ในการยอพระเกยี รติ ทง้ั ทางตรง 4. เนือ้ หาสํวนใหญํมงุํ ในทางระบายอารมณ์ บันเทงิ ใจ แตแํ ฝง และทางอ๎อม แตํก็มีเนอ้ื หาท่ีเกีย่ วกบั การผํอนคลาย คติธรรมทางพุทธศาสนา แม๎วาํ ตวั เอกของเร่ืองจะเปน็ กษัตริย์ ทางด๎านอารมณ์ และศาสนาอยํูไมํน๎อย ก็ตามแตํมไิ ด๎มงํุ ยอพระเกียรติมากนกั 5. เหมือนกับวรรณกรรมแบบฉบบั ยกยํองสถาบันกษัตรยิ ์ 5. คํานิยม อุดมคติ ยึดปรชั ญาชวี ติ แบบสังคมชาว แตไํ มเํ นน๎ มากนัก พุทธ และยกยํองสถาบนั กษัตริยอ์ ีกดว๎ ย ใบงาน
100 เรอ่ื งวรรณคดี วรรณกรรม -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- 1. จงสรุปความหมายของ “วรรณคดี” ............................................................................................................................. ............................................................ ......................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ........................................................... 2. วรรณคดี วรรณกรรมไทยปจั จุบันและวรรณท๎องถ่นิ มีความสาคญั อยาํ งไร ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................. ............................................................ .............................................................................................................................................. .......................................... ....................................................................................................... ................................................................................. 3. วรรณคดี วรรณกรรมไทยปัจจุบนั และวรรรณกรรมทอ๎ งถ่ิน แบงํ เป็นกป่ี ระเภท ประเภทใดบา๎ ง (พรอ๎ มยกตวั อยําง) ............................................................................................................................. ............................................................ ......................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................. ............................................................ ....................................................................................................................................................... .................................. ................................................................................................. ........................................................ ............................... ............................................................................................................................. .......................................................... แผนการจัดการเรียนรู้ รายวิชาศาสนาและหน้าท่พี ลเมือง ครง้ั ที่ 10
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190