Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ด้านงานช่างแกะสลักและช่างไม้ประณีต ผู้แต่ง : กรมศิลปากร จัดทำ E-BOOK : ห้องสมุดประชาชนจังหวัดชลบุรี

ด้านงานช่างแกะสลักและช่างไม้ประณีต ผู้แต่ง : กรมศิลปากร จัดทำ E-BOOK : ห้องสมุดประชาชนจังหวัดชลบุรี

Published by 100bookchonlibrary, 2021-01-26 03:09:17

Description: ETr5nQYDx8YoaROqh5wLu52mReglOqGVYJFS0cPo

Search

Read the Text Version

โครงการสร้างต้นแบบเพอ่ื จดั ทาองค์ความรดู้ า้ นงานศลิ ปกรรม ความรูท้ างด้านงานช่างแกะสลกั และงานชา่ งไม้ประณตี การเขา้ ไมแ้ บบโบราณ พระทีน่ ่ังบษุ บกเกรนิ (จาลอง) กลุ่มวชิ าการด้านช่างศลิ ปะไทย สานักชา่ งสิบหมู่ กรมศลิ ปากร กระทรวงวัฒนธรรม ๒๕๕๓

เอกสาร โครงการสร้างตน้ แบบเพอ่ื จัดทาองคค์ วามรู้ดา้ นศิลปกรรม ความรทู้ างดา้ นงานช่างแกะสลักและช่างไม้ประณตี การเข้าไมแ้ บบโบราณ พระท่ีนงั่ บุษบกเกริน (จาลอง) คณะทป่ี รึกษา นางสาวนิรมล เรืองสม ผอู้ านวยการสานักชา่ งสิบหมู่ - นายนิยม กลน่ิ บุบผา ผเู้ ชี่ยวชาญ - นายธวชั ชยั ปณุ ณลิมปกลุ ผูเ้ ชี่ยวชาญ - นายฉลอง ฉัตรมงคล นกั วิชาการช่างศิลป์ ชานาญการพิเศษ - นางวิจติ ร์ ไชยวชิ ิต นักวิชาการชา่ งศลิ ป์ ชานาญการ - คณะผจู้ ดั ทาต้นแบบช้นิ งานศิลปกรรม ประธานคณะทางาน - นายวิจิตร์ ไชยวชิ ติ คณะทางาน - นายธงฉัตร เลขาวิจติ ร์ คณะทางาน - นายอุดมพร สายประสทิ ธ์ิ คณะทางาน - นายสาโรจน์ แสงสี คณะทางาน - นายชรนิ ทร์ ฉายอรณุ คณะทางาน - นายวรี ะ เหมศรี คณะทางาน - นายสาเรงิ แดงแนวน้อย คณะทางาน - นายเสกสรร สุขศรี คณะทางาน - นายประภา โพธิ์ไพจิตร คณะทางาน - นายขจรศักด์ิ จรสมั ฤทธ์ิ คณะทางาน - นายนิคม มะณีวัน คณะทางาน - นายคานงึ เทศธรรม คณะทางาน - นางจินตนา นมิ่ งาม คณะทางาน - นางสาวชุลีวลั ย์ วงศ์บุญ คณะทางาน - นายเกยี รตศิ ักดิ์ ศลิ ปประดษิ ฐ์ คณะทางาน - นายพชิ ิตษดา สขุ ศรีเมอื ง

ผ้เู รยี บเรียง - นางสาวชตุ นิ ันท์ แสนประเสริฐ - นายธงฉัตร เลขาวิจิตร์ ผบู้ นั ทกึ ภาพ - นางสาวชตุ ินนั ท์ แสนประเสริฐ - นายธงฉตั ร เลขาวจิ ิตร์

คำนำ ศลิ ปกรรมทางด้าน งานไม้เป็นสิง่ ที่อยูค่ ู่คนไทยมาตง้ั แต่คร้งั อดีตกาล เพราะประเทศไทย เปน็ ดินแดนที่อยใู่ นเขตรอ้ นซ่งึ อดุ มสมบรู ณไ์ ปดว้ ยป่าไม้นานาพรรณ ไมจ้ งึ เป็นวสั ดุทีม่ อี ยใู่ นธรรมชาติ หา ไดง้ ่ายและใช้ประโยชน์ได้อยา่ งมากมาย นับตั้งแตใ่ ชส้ รา้ งบา้ นเรือน เครื่องเรอื น เคร่อื งใช้ต่างๆ แตใ่ น ปัจจุบันศลิ ปกรรมทางดา้ นงานไมไ้ ด้ถูกลดความสาคญั ลง เน่ืองจากปัจจัยหลายอยา่ ง ไมว่ า่ จะเป็นราคา ไมท้ ี่สงู ไปตามประเภทของไม้ ย่ิงไมเ้ นอ้ื ดีมีคุณภาพสงู ราคาย่อมสงู ตามไปดว้ ย อาจรวมถงึ สภาพอากาศ ของประเทศไทย ทีม่ ีท้งั ฝนซึง่ เตม็ ไป ด้วยความชื้น จงึ ปัญหาอันก่อให้เกิดความเสียหายตอ่ ไม้ได้รวดเรว็ ไม่คงทนเทา่ วัสดสุ มยั ใหม่ในปัจจบุ นั ท้ังนี้งานไมโ้ บราณบางส่วนยังได้มีการอนรุ ักษแ์ ละถกู เกบ็ รกั ษาไวอ้ ยา่ งดี แต่ก็หนไี มพ่ ้น ปัญหาทางด้านสภาพวะแวดล้อม ด้วยอายุที่ผ่านกาลเวลามาอยา่ งยาวนาน จงึ ทาใ ห้ศิลปวัตถแุ ละ โบราณวัตถุเหล่าน้ันเกิดความเสียหายไปบา้ ง ด้วยความสาคญั ซง่ึ เล็งเห็นคุณค่าของงานศิลปกรรมทางด้านงานไม้นเ้ี อง กรมศิลปากร จึงมอบหมายให้ กลุม่ วิชาการดา้ นชา่ งศลิ ปะไทย สานักชา่ งสิบหมู่ จัดทาโครงการสร้างตน้ แบบเพือ่ จดั ทา องคค์ วามรดู้ า้ นศิลปกรรม ความรทู้ างดา้ นงานชา่ งแกะสลกั และงานช่างไมป้ ระณีต : การเข้าไมแ้ บบ โบราณของพระทน่ี ั่งบุษบกเกริน (จาลอง ) เพอ่ื การเผยแพร่ความรดู้ า้ นศลิ ปกรรมให้เกิดประโยชน์ตอ่ ประชาชนทั่วไปไดศ้ กึ ษาหาความรเู้ บ้ืองตน้ ทางดา้ นงานชา่ งแกะสลักและงานช่างไม้ประณตี เพ่ือนาไป ขยายผลในการทา งานด้านงานชา่ งแกะสลักและงานชา่ งไม้ประณีตให้เกิดคุณคา่ และมลู ค่าต่อสังคมไทย ตอ่ ไป อยา่ งไรก็ตามการทาหนงั สือการจดั สร้างตน้ แบบเพอื่ จัดทาองคค์ วามร้ดู า้ นศิลปกรรม ความรู้ ในเลม่ นีห้ ากมีข้อบกพรอ่ งประการใด ขอใหท้ า่ นผรู้ โู้ ปรดช่วยชี้แจงใหท้ ราบดว้ ย เพือ่ จะได้ ดาเนนิ การปรบั ปรงุ แกไ้ ขใหถ้ กู ต้องต่อไป ชุตนิ นั ท์ แสนประเสริฐ (นกั วชิ าการชา่ งศิลป์ ปฏบิ ตั กิ าร)

สารบัญ เรือ่ ง หน้า บทที่ ๑ ประวตั ิ - ประวัติความเปน็ มาของงานไม้.................................................................................... ๑ - วัตถปุ ระสงคก์ ารเลือกพระที่นงั่ บุษบกเกรินในการจัดทามาตรฐาน............................๑๑ - รายละเอยี ดพระทีน่ ง่ั บุษบกเกริน................................................................................ ๑๒ บทที่ ๒ เครอ่ื งมอื - วสั ดุ - เครอื่ งมอื ทีใ่ ชใ้ นงานแกะสลักและงานไมป้ ระณีต ๑. เคร่ืองมอื สาหรับกาหนดวัดระยะ – จบั ระดับ.............................................๑๖ ๑.๑ ไม้บรรทัด ๑.๒ ไม้ที ๑.๓ บรรทดั สามเหลย่ี ม ๑.๔ ฉาก ๑.๕ ไมโ้ พรแทรกเตอร์ - ชนิดคร่งึ วงกลม - ชนิดสเี่ หลี่ยมผนื ผา้ ๑.๖ เทปวดั หรอื ตลับเมตร ๑.๗ บรรทัดมาตราส่วน ๑.๘ กระดูกงู ๑.๙ ลูกดิง่ ๑.๑๐ เครอ่ื งวดั ระดับนา้ ๒. เครอื่ งมอื สาหรบั กาหนดจดุ – เส้น............................................................... ๒๒ ๒.๑ ดนิ สอเขยี นแบบ ๒.๒ ดินสอขดี ไม้

๒.๓ ขอขีดไม้ ๒.๔ ป๊กั เต้า หรอื เชอื กตีแนว ๒.๕ วงเวยี นถา่ ยขนาด ๓. เครือ่ งมอื สาหรบั ตดั – ผา่ ....................................................... ......................๒๔ เครอ่ื งมอื ประเภทเลือ่ ย ๓.๑ เลอื่ ยฉลุ ๓.๒ เล่อื ยรอ ๓.๓ เล่ือนลนั ดา ๔. เครอื่ งมอื สาหรับไสไม้ – แต่งผิวไม้............................................................... ๒๖ เคร่อื งมอื ประเภทกบ ๔.๑ กบไสไม้ - กบลา้ ง - กบผิว ๔.๒ กบราง ๔.๓ กบบงั ใบ ๔.๔ กบกระด่ี ๔.๕ กบบัว หรอื กบลอกบวั ๔.๖ กบขูด ๕. เครอ่ื งมอื สาหรับเจาะ................................................................................... ๓๐ ๕.๑ บดิ หล่า เครื่องมือประเภทสวา่ น ๕.๒ สวา่ นเฟือง หรอื สวา่ นจานหมนุ ๕.๓ สว่านข้อเสอื ๖. เครื่องมอื สาหรบั แกะ – โกลน...................................................................... ๓๒ เครอ่ื งมอื ประเภทสว่ิ ๖.๑ สวิ่ ปากบาง ๖.๒ สิว่ หนา้ โคง้ หรอื สิ่วเลบ็ มือ

๖.๓ ส่ิวหน้าตรง ๖.๔ ส่ิวปากเส้ยี ว หรอื สวิ่ ชายธง ๖.๕ สงิ่ ตัววี ( V ) หรอื เหลก็ สอย หนิ ลบั เครื่องมือ ๖.๖ หนิ วิทยาศาสตร์ หรือ หนิ สังเคราะห์ ๖.๗ หนิ ธรรมชาติ ๖.๘ หนิ สีเขียว หรอื หนิ มีดโกน ๗. เครือ่ งมือสาหรับตอก.................................................................................... ๓๖ เครื่องมือประเภทคอ้ น ๗.๑ ค้อนไม้ ๗.๒ ค้อนเหล็ก - ค้อนหงอน - ค้อนหางแบน ๘. เครอื่ งมอื สาหรับตกแตง่ ไม.้ .......................................................................... ๓๘ เครอื่ งมือประเภทบงุ้ ๘.๑ บุ้งท้องปลิง ๘.๒ บงุ้ หางหนู ๘.๓ บงุ้ ปลายแหลม หรือ บ้งุ จนี เคร่อื งประเภทตะไบ ๘.๔ ตะไบหางหนู ประเภทกระดาษทราย ๘.๕ กระดาษทรายน้า ๙. เคร่อื งสาหรับจบั ชนิ้ งาน - ถอนตะปู – ตดั ลวด............................................. ๔๑ เครอื่ งมอื ประเภทคมี ๙.๑ คีมปากนกแก้ว ๙.๒ คมี ปากแบน หรอื คีมตดั ลวก ๙.๓ คมี ปากจ้ิงจก

เครอ่ื งมอื ประเภทปากกา ๙.๔ ปากกาตวั ซี ๙.๕ ปากกาหวั โต๊ะ ๙.๖ ปากกาอัดไม้ ๑๐. เคร่อื งมือสาหรับงานกลึง............................................................................ ๔๔ เครอ่ื งมือประเภทสวิ่ ๑๐.๑ ส่วิ หน้าตรง มุมฉาก ๑๐.๒ สว่ิ หน้าตดั ๑๐.๓ สิ่วปลายหอก คมส่ิวแหลมเป็นรูปตัววี ๑๐.๔ สิ่วกลึงไม้ ส้าหรับกว้านภายใน เครอื่ งมอื สาหรบั ตรวจขนาดงาน ๑๐.๕ ไม้กางเวยี นแบบเขาควาย เคร่อื งมอื จบั ไม้ในงานกลึง ๑๐.๖ เครื่องกลึง - วสั ดุ โครงสร้างของไม้................................................................................................ ๔๘ - ไส้ไม้ - แกน่ ไม้ - กระพีไ้ ม้ - เปลือกไม้ - วงปี - เส้นรศั มี การแบง่ ประเภทไม้............................................................................................ ๔๙ - ไมเ้ นื้ออ่อน - ไมเ้ นอ้ื แข็งปานกลาง - ไมเ้ นือ้ แขง็ ไม้สัก.................................................................................................................. ๕๐

- ลกั ษณะของเน้อื ไม้ - ชนดิ ของไมส้ กั ลักษณะของไมท้ มี่ ีตาหนิ..................................................................................๕๑ ๑. ไม้ท่มี ีตาไม้ปรากฏอยบู่ นผวิ ไม้ ๒. ไมท้ ี่มรี อยแตกรา้ ว ๓. ไม้ทม่ี ลี ักษณะเส้ยี นไมบ้ ิด ๔. ไม้ทม่ี ลี กั ษณะเส้ียนไมซ้ น้ ๕. ไม้ที่มีรอยผุ ๖. ไม้ทม่ี ีมด – ปลวกกัดกนิ บทท่ี ๓ ขั้นตอนกระบวนการปฏิบตั ิงาน - ขนั้ ตอนกระบวนการข้ึนโครงสร้างพระท่นี ง่ั บษุ บกเกริน..................................๕๖ ๑. การกา้ หนดแบบ การเขียนแบบ ๒. การเตรยี มไม้ ๓. การถ่ายแบบงาน ๔. การประกอบไม้ - การข้นึ รูป การทา้ เดือย - การทา้ บวั - การท้าบ่าเพ่อื รองรบั ฐานชั้นต่อไป - การทา้ เดือยหางเหยยี่ ว - การท้าเดือยเสายอ่ มมุ - การตอ่ ไมส้ ว่ นเกริน - การท้าลวดบวั ส่วนเกรนิ - การทา้ เสาย่อมุม การตั้งเสาย่อมมุ - การประกอบไม้โครงสร้างสว่ นพนื้ ไม้ - การประกอบไมโ้ ครงสร้างสว่ นชั้นหลังคา

- ขั้นตอนกระบวนการงานแกะสลกั ไม้ (องคป์ ระกอบพระท่นี ง่ั บุษบกเกรนิ ).....๙๒ ๑. การก้าหนดรปู แบบและลวดลาย ๒. การถา่ ยแบบลวดลาย ๓. การโกลนห่นุ ๔. การแกะสลกั ลวดลาย - การขดุ พื้น - การแกะยกช้นั - การปาดหรอื แกะแรลาย - การบ้ารุงรกั ษาเครื่องมอื ของช่างแกะสลกั - การลับสิ่วเคร่ืองมือของช่างแกะสลกั - ขัน้ ตอนกระบวนการกลึงไม้ (องค์ประกอบพระที่นั่งบุษบกเกริน)...................๑๐๔ บทที่ ๔ การเพลาะและเข้าปากไม้ ๑. การเพลาะไม้................................................................................................. ๑๑๐ ๑.๑ การเพลาะโดยใช้ตะปูธรรมดาเป็นเข้ยี วหรือเดอื ย ๑.๒ การเพลาะโดยใชต้ ะปูเกลียวเป็นตวั ยึด ๑.๓ การเพลาะโดยวธิ บี งั ใบ ๑.๔ การเพลาะโดยวธิ ีเข้าลนิ้ ๑.๕ การเพลาะโดยวธิ ีสอดลิ้น ๑.๖ การต่อไม้แบบปากกบสลับขา้ ง หรือ กลบี มะเฟอื ง ๑.๗ การเพลาะเปิดหัวไม้ ๑.๘ การเพลาะไม้ โดยมีไมส้ กัดหวั ๑.๙ การเพลาะไม้เข้ากรอบ ๒. การเข้าปากไม้............................................................................................... ๑๑๕ ๒.๑ การเขา้ ปากชน ๒.๑.๑ การเข้าปากชนมมุ ๙๐ องศา ๒.๑.๒ การเขา้ ปากชนมุม ๙๐ องศา โดยตดั ปาก ๔๕ องศา

๒.๑.๓ การเขา้ ปากชนท่ีต่างจากมมุ ๙๐ องศา หรอื มมุ เฉ ๒.๒ การเข้าบาก................................................................. ...................๑๑๗ ๒.๒.๑ การเข้าบากปากไม้ซอ้ นทับกัน (มมุ เดียว) ๒.๒.๒ การเขา้ บากปากชนบงั ใบหรือเขา้ บ่า ๒.๒.๓ การเขา้ บากปากกากบาท ๒.๒.๔ การเข้าบากปากชนปาก ๔๕ องศา หรอื ปากกบ ๒.๒.๕ การเข้าบากปากบังใบและเข้าปากกบ (มมุ เดยี ว) ๒.๒.๖ การเขา้ บากปากชนมมุ เฉ ๔๕ องศา (มุมเดยี ว) ๒.๒.๗ การเข้าบากปากทาบ (หรอื ซ้อนทบั กัน) มมุ เฉ ๔๕ องศา ๒.๒.๘ การเขา้ บากรปู หางเหยีย่ ว ๒.๒.๙ การเขา้ บากมขี อเก่ยี ว ๒.๒.๑๐ การเขา้ บากปากฉลามมีขอเกีย่ ว ๒.๓ การเขา้ เดอื ย................................................................................... ๑๒๓ ๒.๓.๑ การเข้าเดอื ยปากชน ๒.๓.๒ การเขา้ เดือยปาก ๔๕ องศา (หรือเข้าเดือยปากกบ) ๒.๓.๓ การเข้าเดอื ยหางเหยย่ี วเดอื ยเดี่ยว ๒.๓.๔ การเข้าเดือยหางเหยี่ยวเดือยแถว หรือเดอื ยหางเหยี่ยวประสาน ๒.๓.๕ การเข้าเดอื ยปากกริว

๑ บทท่ี ๑ ประวตั ิ ประวตั ิความเป็นมาของงานเครอื่ งไมจ้ าหลกั งานเครอ่ื งไมจ้ าหลกั คอื งานศลิ ปกรรมทก่ี ระทาบนเน้ือไม้ ดว้ ยวธิ ีการสลกั ฉลกั หรอื จาหลักให้เปน็ รปู รา่ งลวดลาย ดว้ ยเครอ่ื งมือตา่ งๆ เปน็ งานประณีตศลิ ปอ์ ยา่ งหนึ่งที่ช่างผดู้ าเนินงานตอ้ งมี ความรูค้ วามชานาญเฉพาะตวั เพราะตอ้ งใชค้ วามประณตี ในการถา่ ยทอดรปู แบบและลวดลายลงบนวัสดทุ ี่ เปน็ ไม้ ดว้ ยการใชเ้ ครือ่ งมือทที่ าจากโลหะในงานแกะสลกั ดงั นนั้ ช่างตอ้ งมีความรคู้ วามเข้าใจในเรือ่ ง ลวดลายต่างๆอยูพ่ อสมควร จึงจะสามารถทางานใหเ้ กดิ ความงดงามและถูกต้องได้ ในปจั จบุ นั มักเรยี กวิธกี าร ทางานแบบนีว้ ่า การแกะสลัก และเรยี กชา่ งผูท้ างานดา้ นนี้ว่า ชา่ งแกะสลกั เรยี กงานศิลปกรรมทีเ่ กย่ี วกบั การแกะสลักไม้น้ีวา่ เครอื่ งไมจ้ าหลกั ๑ งานจาหลักไมเ้ ปน็ งานทีค่ นไทยทามาตั้ งแตค่ รงั้ โบราณกาล เพราะประเทศไทยเป็นดินแดนที่ อยใู่ นเขตร้อนซ่ึงอดุ ม สมบรู ณ์ไปดว้ ยป่าไมน้ านาพรรณ ไมจ้ งึ เปน็ วสั ดุทมี่ อี ยใู่ นธรรมชาติ หาไดง้ ่ายและใช้ ประโยชนไ์ ดอ้ ย่างมากมาย นับตง้ั แต่ใช้สรา้ งบ้านเรอื น เครอ่ื งเรอื น เครื่องใช้ตา่ งๆ เครื่องไมจ้ าหลกั เปน็ มรดกตกทอดทเี่ กยี่ วข้องอยู่ในวิถีชวี ิตของคนไทยตลอดมา งาน ศิลปกรรมจาหลักไมห้ รือเคร่อื งไม้จาหลกั ที่เก่ียวข้องอยู่ในวถิ ีชีวิตของคนไทยน้ัน มหี ลายส่ิงหลายอยา่ ง อาทิ งานจาหลักไม้สว่ นประกอบประดับตกแต่งสถาปัตยกรรม เช่น บานประตู หนา้ ต่าง หน้าบนั หนา้ จว่ั ช่อฟา้ ใบระกา หางหงส์ คันทวยของโบสถ์ วหิ ารตลอดจนปราสาทราชวัง พระทน่ี ่งั ทป่ี ระทบั ต่างๆ เครอื่ งสงู อ่ืนๆ และเป็นลวดลายประดบั ส่งิ ของเครอ่ื งใช้ตา่ งๆ เชน่ พระทน่ี งั่ บุษบกมาลา สัตภัณฑ์ และเครอื่ งเรอื นต่างๆ ฯลฯ ตลอดจนจาหลักเป็นประติมากรรม เชน่ พระพทุ ธรปู ไม้ เทวรูปไมอ้ กี ดว้ ย และงานเครื่องไม้จาหลกั หรืองานจาหลักไม้ในสมยั อดตี บางส่วนนน้ั ล้วนชารุดเส่ือมสภาพไป ตามกาลเวลา คงเหลอื ไวแ้ ต่เพียงหลกั ฐานทางด้านงานศิลปกรรมไม้จาหลักในศลิ ปะสมัยหลงั ๑ วจิ ิตร์ ไชยวชิ ิต. “ช่างแกะสลกั ”, ช่างศิลป์ไทย. ๑๗๑. และ มรดกชา่ งศิลปไ์ ทย. โครงการสืบสานมรดกวฒั นธรรมไทย, องคก์ ารค้าคุรุสภา, ๒๕๔๒, ๑๕๗.

๒ ศลิ ปะสมัยสโุ ขทยั งานไม้ที่หลงเหลือพอใหศ้ กึ ษาได้ ภาพท่ี ๑.๑ ฝา้ เพดานไม้ คหู าปรางคพ์ ระศรี ยงั ปรากฏอยูห่ ลายชนิ้ เชน่ ฝ้าเพดานไม้จากคูหาปรางคพ์ ระศรีรัต รัตนมหาธาตุ เมืองเชลียง สโุ ขทยั นมหาธาตุ เมอื งเชลียง (ภาพที่ ๑.๑) ซงึ่ ในปจั จุบันถูกเกบ็ รักษาไว้ ในพิพธิ ภัณฑสถานแหง่ ชาติ รามคาแหง ลวดลายในฝา้ เพดานชวน ใหน้ กึ ถึงอิทธิพลของลวดลายจีนซ่งึ คงส่งต่อผา่ นมาทางศลิ ปะลา้ นนา อกี ระลอกหนง่ึ ๒ และอีกช้นิ คอื บานประตูพระปรางค์ วัดพระศรรี ัต นมหาธาตุ เมอื งเชลยี ง ปัจจบุ ันถูกเกบ็ รักษาไว้ในพิพธิ ภณั ฑสถาน แห่งชาติ พิษณุโลก (ภาพที่ ๑.๒) ศลิ ปะสมยั หรภิ ญุ ชยั – ล้านนา วหิ ารโดยท่ัวไปคือ ภาพที่ ๑.๒ บานประตพู ระปรางค์ วดั พระ อาคารหลังคาคลุม ใชไ้ มส้ าหรับเป็นโครงหลงั คาจงึ มอี ายุการใช้งาน ศรรี ัตนมหาธาตุ เมืองเชลียง สุโขทัย จากดั ตอ้ งมีการบูรณปฏิสงั ขรณ์หรือสร้างขึ้นใหมแ่ ทนท่ีวหิ ารเดิมซง่ึ เสอ่ื มสภาพ โดยมีเอกสารหลักฐานในพงศาวดารโยนก ไดก้ ล่าวถึง “กาดโถม” นายช่างเอกของพระเจ้ามังรายได้ปรงุ เครือ่ งไมข้ องวหิ าร ลองประกอบจนเสร็จสมบรู ณ์ แลว้ จึงรื้อออกเปน็ ช้ินสว่ นส่งลงมา ประกอบข้นึ ใหม่ท่เี วยี งกุมกาม๓ ดังท่กี ลา่ วมาน้นั จงึ สะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ ความรคู้ วามเช่ียวชาญในการเข้าไมด้ ้วยสลักร่องเดือยโดยไมต่ อ้ งใช้ ตะปตู รงึ ของช่างชาวล้านนาในอดตี ได้เป็นอย่างดี งานเครือ่ งไมย้ งั ปรากฏใน วหิ ารปจั จุบัน ไดแ้ ก่ วหิ ารลายคา วดั พระสิงห์ เมอื ง เชยี งใหม่ (ภาพที่ ๑.๓) และวหิ ารในวัดบุปผาราม เมอื งเชยี งใหม่ (ภาพที่ ๑.๔) ที่ก่อด้วยอฐิ ครง่ึ ไม้ ๔ ๒ สนั ติ เลก็ สุขมุ . ศิลปะสุโขทัย. พมิ พค์ รั้งท่ี ๒. กรงุ เทพฯ : เมอื งโบราณ, ๒๕๔๙, ๒๑ – ๒๒. ๓ พระยาประชากจิ กรจกั ร (แช่ม บนุ นาค), ผู้เรยี บเรียง. พงศาวดารโยนก, พมิ พ์ครง้ั ที่ ๖. กรุงเทพฯ : สานกั พมิ พ์แพร่พิทยา, ๒๕๑๕, ๒๖๓. ๔ สนั ติ เล็กสุขมุ . ศิลปะภาคเหนอื : หรภิ ญุ ชัย – ลา้ นนา. พมิ พค์ รั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ : เมอื งโบราณ, ๒๕๔๙, ๕๖.

๓ ภาพท่ี ๑.๓ วิหารลายคา วัดพระสงิ ห์ เชยี งใหม่ ภาพที่ ๑.๔ วิหาร วัดบปุ ผาราม เชียงใหม่ นอกจากวหิ ารท่ีประดับด้วยเครือ่ งไมแ้ ลว้ ยงั พบใน ภาพท่ี ๑.๕ หอไตร วดั พระสิงห์ เชียงใหม่ สถาปัตยกรรมทางศาสนาอีกทั่วไป ท้ังปราสาทราชมณเฑียรมัก สรา้ งดว้ ยไม้ โดยในรชั กาลพระเมืองแกว้ โปรดให้นาปราสาทท่ี ประทับซึง่ ปรงุ ดว้ ยเครื่องไมม้ าดัดแปลงเปน็ หอไตรแทนหอไตรเดิม ซึ่งพระเจ้าติโลกราชโปรดให้สรา้ งข้นึ เม่อื ครา วชาระพระไตรปฎิ กใน โอกาสครบรอบ ๒,๐๐๐ ปีของพระพุทธศาสนา โดยสรา้ งไว้ในวัดโพ ธาราม เมอื งเชยี งใหม่ ๕ แต่ปัจจบุ นั ไม่เหลอื ร่องรอยใดๆแลว้ แตย่ งั พบหอไตรท่สี รา้ งดว้ ยไมท้ ง้ั หลงั แลว้ ยังสร้างด้วยอฐิ ครึง่ ไม้ ได้แก่ หอไตรในวัดพระสิงห์ เมืองเชียงใหม่ ๖ (ภาพท่ี ๑.๕) ภาพท่ี ๑.๖ กาแล คุม้ ในเมืองทางเหนือเป็นเรอื นไมช้ ั้นดี สรา้ งอยา่ งประณีต และส่วนมากถกู ร้อื ถอนออกไปหมดแลว้ แตค่ ้มุ ท่มี หี ลกั ฐานปรากฏว่า เคยเปน็ ของเจา้ ผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ท่ี ๕ คือ พระเจา้ มโหตร ประเทศ ยังคงเหลอื ใหศ้ กึ ษาอยู่บา้ งในเมืองเชยี งใหมซ่ ่งึ ต่อมาในสมยั พระเจ้าอินทรวชิ ยานนท์ไดร้ ้ือเอามาสรา้ งถวายเปน็ วิหารทวี่ ัดพันตา แต่เดมิ หอคานใ้ี ชใ้ นการประกอบงานการพิธี เช่นเดียวกบั ท้องพระโรง ของเจา้ นายภาคกลาง ๗ นอกจากนนั้ บ้านเรอื นของชาวลา้ นนาในอดตี ๕ แสง มนวทิ ูร, ผู้แปล. ชินกาลมาลปี กรณ์. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร, ๒๕๐๑, ๑๓๒ – ๑๓๓. ๖ สนั ติ เลก็ สขุ ุม. ศลิ ปะภาคเหนอื : หริภญุ ชัย – ลา้ นนา. ๖๔. ๗ เสนอ นิลเดช. “เรอื นไทยโบราณทางภาคเหนือ,” ใน ศิลปะลา้ นนาไทย. (ทีร่ ะลกึ งานฌาปนกจิ ศพนายจารึก พงศพ์ พิ ัฒน์ นางทิพย์ พงศ์ พพิ ฒั น์ วนั ที่ ๒๖ มนี าคม ๒๕๒๑), ๑๗๙.

๔ ยอ่ มปลกู สรา้ งด้วยเครอื่ งไม้เชน่ กนั และในบรรดาเรือนทางภาคเหนือ ทร่ี จู้ ักกนั ดใี นปัจจุบัน คือ เรอื นกาแล ปลูกขึ้นเม่อื ราว ๕๐ – ๑๒๐ ปที ่ี ผ่านมา ๘ ชอ่ื “เรอื นกาแล ” เรียกตามกนั ตามป้านลมที่ปลายไขว้กัน ซงึ่ เป็นลักษณะท่เี รยี กวา่ “กาแล” (ภาพที่ ๑.๖) และช่างมกั จะนยิ ม สลกั เสลาลวดลายงดง ามไว้หลายแบบ ยงั มงี านสลักเพอ่ื ใชป้ ระดบั บางสว่ นของเรือน ได้แก่ แผงเหนือประตูของตวั เรอื นท่ีเรียกว่า “ หา ยนต์ ” ๙ (ภาพท่ี ๑.๗ และ ๑.๘) ภาพที่ ๑.๗ และ ๑.๘ หายนต์ ศิลปะสมัยอยธุ ยา ในสมัยจดั ได้วา่ เป็นชว่ งยุคสมยั ทเ่ี จรญิ รุ่ งเรอื งของงานเครื่องไมจ้ าหลัก ต้ังแต่สมัยอยธุ ยาตอนต้น งานไมแ้ กะสลกั โดยเฉพาะในส่วนสาคัญของอาคาร หน้าบัน บานประตูโบสถ์ วหิ าร จะเน้นเป็นภาพสลกั นูนสูงและนิยมแกะเปน็ ภาพบคุ คลมากกวา่ ลวดลาย ๑๐ ได้แก่ หน้าบนั พระอุโบสถ วัดหน้าพระเมรุ พระนครศรีอยุธยา (ภาพท่ี ๑.๙) และหนา้ บันวิหารวัดแมน่ างปลม้ื (ภาพท่ี ๑.๑๐) ซ่ึงจัดแสดง อยู่ในพพิ ธิ ภณั ฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา ภาพท่ี ๑.๙ หน้าบนั พระอุโบสถ วัดหน้าพระเมรุ พระนครศรอี ยธุ ยา ภาพท่ี ๑.๑๐ หนา้ บันวิหาร วดั แม่นางปลม้ื พระนครศรีอยุธยา ๘ สนั ติ เล็กสขุ ุม. ศลิ ปะภาคเหนือ : หรภิ ญุ ชยั – ลา้ นนา. ๖๕. ๙ เฉลยี ว ปยิ ะชน. เรือนกาแล. (ไม่ระบุแหล่งท่ีพมิ พ์). ๒๕๓๒, ๑๓๑ – ๑๗๓. ๑๐ กรมศลิ ปากร. “ไมแ้ กะสลกั ในศลิ ปะไทย,” ประณตี ศลิ ป์ไทย. จัดพมิ พ์เน่ืองในมหามงคลเฉลมิ พระเกียรติ ๑๐๐ ปี วันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจา้ อย่หู วั ๘ พฤศจิกายน ๒๕๓๖, ๑๓๖.

๕ หน้าบนั ทเี่ ป็นลายจาหลักไมใ้ นสมัยอยุธยาน้นั คงมีเพยี งแค่สมัยอยุธยาตอนต้นและสมยั อยธุ ยาตอนกลางเทา่ นัน้ ส่วนในสมยั อยุธยาตอนปลายไดเ้ ปล่ยี นแปลงไป เนอ่ื งจากโครงสรา้ งทาง สถาปัตยกรรมไดเ้ ปล่ยี นแปลงแตกต่างจากทผี่ า่ นมาในสมยั ต้น เกดิ มีผนังหมุ้ กลอง คือผนงั ด้านสกัดหน้าและ ดา้ นสกดั หลงั ก่อผนงั ข้นึ ไปจนยนั อกไก่ จากนน้ั ทามมุ สามเหล่ียมลงมาพาดตวั ไม้แปยน่ื ออกมารับปา้ นลม ทา หน้าลวดลายบนหน้าบนั ในสมัยอยุธยาตอนปลายกลายเปน็ งานปนู ปัน้ ท้ังส้นิ ๑๑ ในสมัยอยุธยาตอนกลางจะเรมิ่ ปรากฏรูปทวาร บาลนนู สูง ประดบั บานประตจู ากวดั พระศรสี รรเพชญ์ (ภาพที่ ๑.๑๑) จัดแสดงอยูใ่ นพิพธิ ภัณฑสถานแหง่ ชาติ เจา้ สามพระยา จดั ว่าอยใู่ นชว่ งตอนตน้ ของอยธุ ยาตอนกลาง ลักษณะพิเศษของ งานแกะสลักช้นิ นอี้ ยู่ท่ีลวดลายพันธพ์ุ ฤกษา รูปดอกไมด้ งั กลา่ วนนั้ คงคล่คี ลายมาระดบั หนง่ึ ในลกั ษณะประดิษฐ์มากขน้ึ ปรากฏสลัก ประกอบอยู่กบั เซยี่ วกาง ทวารบาล นกั รบอย่างธรรมเนยี มจนี ของ บานประตสู ลักไมจ้ ากวดั หนั ตรา ๑๒ (ภาพที่ ๑.๑๓) นอกจากบาน ประตวู ัดพระศรีสรรเพชญ์บานดงั กล่าวทีเ่ ปน็ เครอื่ งไม้จาหลักแลว้ ยังปรากฏทวารบาลนูนสูงอีกบานจากวัดเดยี วกนั (ภาพท่ี ๑.๑๒) ภาพที่ ๑.๑๑ ทวารบาลนูนสูงบนบาน ภาพท่ี ๑.๑๒ ทวารบาลนนู สูงบนบาน ภาพท่ี ๑.๑๓ เซ่ียวกาง ทวารบาลนักรบ ประตู วัดพระศรีสรรเพชญ์ ประตู วดั พระศรีสรรเพชญ์ บานประตสู ลกั ไม้ วัดหนั ตรา พระนครศรีอยุธยา พระนครศรีอยุธยา พระนครศรีอยธุ ยา ๑๑ น. ณ ปากนา้ . งานจาหลกั ไม้ ศิลปะและสถาปัตยกรรมไทย. กรุงเทพฯ : เมอื งโบราณ, ๒๕๓๗, ๒๐. ๑๒ สนั ติ เล็กสุขุม. งานชา่ งหลวงแห่งแผน่ ดิน ศลิ ปะอยุธยา. พิมพค์ รงั้ ท่ี ๓, กรุงเพฯ : เมืองโบราณ, ๒๕๕๐, ๑๕๗.

๖ นอกจากงานจาหลกั รูปทวารบาลบนบานประตแู ลว้ น้นั ในสมยั อยุธยาตอนกลางยังมีงาน จาหลักไมท้ ีเ่ ปน็ ลายไทยประเภทลายกระหนกกา้ นขด เทวดามีขนาดเลก็ ลง กลายเปน็ เทพนมโผล่ตรงกลาง ลายก้านขด ดงั เช่น บานประตูจาหลักไม้วิหารน้อย วดั หนา้ พระเมรุ พระนครศรีอยุธยา ๑๓ (ภาพท่ี ๑.๑๔) และบานประตูจาหลกั ไม้อุโบสถ วัดคงคาราม ราชบุรี (ภาพท่ี ๑.๑๕) ภาพท่ี ๑.๑๔ บานประตูวิหารน้อย ภาพที่ ๑.๑๕ บานประตูจาหลักไม้อโุ บสถ วดั หน้าพระเมรุ พระนครศรีอยุธยา วดั คงคาราม ราชบุรี และนอกจาก งานจาหลกั ไม้สว่ นประกอบประดบั ตกแต่งสถาปัตยกรรมแลว้ ยงั ปรากฏงาน ประณีตศิลป์ ทเ่ี กี่ยวกบั เครือ่ งไม้ ซง่ึ เปน็ ลวดลายประดบั สงิ่ ของเครือ่ งใชต้ ่างๆ อกี หลายประเภท เชน่ ธรรมาสนจ์ าหลักไม้ดจู ะเป็นงานเครื่องไมท้ ี่ยงั หลงเหลือไว้ใหศ้ ึกษาอยู่มาก ในสมัยน้ัน เช่น ธรรมาสน์จาหลัก ไม้ วัดโพธเิ์ ผือก พระนครศรอี ยธุ ยา (ภาพท่ี ๑.๑๖ ) ธรรมาสนจ์ าหลกั ไมว้ ัดครุฑ (วดั ครธุ าราม ) พระนครศรอี ยธุ ยา (ภาพท่ี ๑.๑๗) ธรรมาสนจ์ าหลักไม้ วดั ศาลาปูน พระนครศรอี ยุธยา (ภาพท่ี ๑.๑๘) ๑๓ น. ณ ปากน้า. งานจาหลกั ไม้ ศิลปะและสถาปตั ยกรรมไทย. ๒๕.

๗ ภาพที่ ๑.๑๖ ธรรมาสนจ์ าหลักไมว้ ัด ภาพที่ ๑.๑๗ ธรรมาสน์จาหลักไม้ ภาพที่ ๑.๑๘ ธรรมาสน์จาหลกั ไมว้ ัด โพธ์เิ ผอื ก พระนครศรีอยธุ ยา วัดครฑุ พระนครศรอี ยุธยา ศาลาปนู พระนครศรอี ยธุ ยา ในชว่ งต้นรัตนโกสินทร์ งานช่างฝมี อื ในเรือ่ งเครือ่ งไม้ มไิ ดม้ ีฝมี ือแตกต่างไปมากจากช่างใน สมยั อยุธยาตอนปลาย ๑๔ อีกทง้ั ยังคงถ่ายทอดฝีมอื กนั ในรุ่นตอ่ มา ไมแ้ กะสลกั ยงั คงทาขนึ้ เพอื่ ประดบั ตกแตง่ อาคารทางศาสนา ปราสาทราชมณเฑียรของกษตั ริยร์ าชวงศ์ ตลอดจนบา้ นเรือนของขนุ นางหรือผมู้ ฐี านะ นอกจากนั้นเคร่ืองใชไ้ มส้ อย โต๊ะ ตู้ ตัง่ เตยี ง ยานพาหนะในการเดินทาง รปู เคารพทางศาสนาและเรือ่ งของ พธิ กี รรมความเชอื่ หลายๆด้าน กน็ ิยมใช้ไม้ซ่งึ แกะสลกั รปู ลอยตวั ต่างๆ เข้าไปร่วมในพิธกี รรมน้นั ๆด้วย ศลิ ปกรรมเหล่านัน้ บางชิน้ ยงั คงถกู เกบ็ รักษาไว้ใหช้ นรุ่นหลังได้ศึกษา โดยบางส่วนถูกเก็บ ไวภ้ ายในพิพิธภณั ฑสถานแห่งชาติ พระนคร ในหอ้ งจดั แสดงศิลปวตั ถุ โบราณวตั ถุ ๑๕ ดังนี้ มุขเด็จ : อยู่ตอนทา้ ยหรือด้านทิศตะวันตกของหมู่พระวิมาน เป็นห้องจัดแสดงไมแ้ กะสลัก โดยเฉพาะ รวมไว้ซงึ่ ศลิ ปะอยุธยาและศลิ ปะรัตนโกสินทร์ ดังเชน่ บานประตไู มแ้ กะสลกั เดิมของวัดสทุ ศั น์ กรุงเทพฯ (ภาพที่ ๑.๑๙) กลา่ วไว้ว่าเปน็ ฝีพระหตั ถข์ องพระบาทสมเด็จพระพุทธเลศิ หล้านภาลยั และ ธรรมาสน์กลมวัดค้างคาว นนทบรุ ี (ภาพที่ ๑.๒๐) อายรุ ่วมสมยั ศลิ ปะอยุธยาตอนปลาย ๑๔ วิจติ ร์ ไชยวชิ ติ . ช่างศิลป์ไทย. ๑๗๘. ๑๕ สมชาย ณ นครพนม. “ไมแ้ กะสลกั ในศิลปะไทย”, ประณีตศลิ ปไ์ ทย. กรมศิลปากรจัดพิมพ์เนือ่ งในมหามงคลเฉลมิ พระเกยี รติ ๑๐๐ ปี วนั พระบรมราชสมภพ พระบาทสมเดจ็ พระปกเกล้าเจ้าอยหู่ วั ๘ พฤศจิกายน ๒๕๓๖. ๒๕๓๖, ๑๔๒.

๘ ภาพที่ ๑.๑๙ บานประตไู มแ้ กะสลัก วดั สทุ ศั น์ กรงุ เทพฯ ภาพที่ ๑.๒๐ ธรรมาสนก์ ลม วดั ค้างคาว นนทบรุ ี พระทนี่ ัง่ ภิมุขมณเฑยี ร : จัดแสดงราชยาน คานหาม จัดเป็นตวั อย่างของการเสดจ็ ประพาสราชดาเนนิ โดยราชยาน มงี านแกะสลกั ไมอ้ ย่างงดงาม อาทิ พระที่น่งั ราเชนทรยาน พระที่น่งั พุตตาน (ภาพท่ี ๑.๒๑) เสล่ยี งกง (ภาพท่ี ๑.๒๒) สปั คับ (ภาพท่ี ๑.๒๓) ฯลฯ ภาพท่ี ๑.๒๑ พระทนี่ ่ังพตุ ตาน ภาพที่ ๑.๒๒ สปั คบั ภาพท่ี ๑.๒๓ เสลย่ี งกง

๙ พระท่นี ่งั พทุ ไธสวรรย์ : เปน็ ทป่ี ระดิษฐานพระพทุ ธสหิ งิ ค์ นอกจากบุษบกไมซ้ งึ่ แกะสลัก และลงรักปดิ ทองประดบั กระจกแล้ว พระพทุ ธรปู ปางประทา นอภยั ไมแ้ กะสลักทีป่ ระดษิ ฐานอยูด่ า้ นหน้า บริเวณฐานบุษบก อาคาราชรถ : จดั แสดงราชรถและเครอื่ งประกอบในงานพระเมรุ ลว้ นแลว้ แต่เป็นงาน แกะสลกั ท้ังสน้ิ โดยเฉพาะราชรถองค์ สาคญั ได้แก่ มหาพชิ ัยราชรถ (ภาพที่ ๑.๒๔) เวไชยนั ตร์ราชรถ แต่ เคร่อื งประกอบพธิ ใี นงานพระเมรบุ างชนิ้ เปน็ งานฉลุ ได้แก่ พระโกศไม้จันทร์ (ภาพที่ ๑.๒๕) ภาพที่ ๑.๒๔ พระมหาพชิ ัยราชรถ ภาพท่ี ๑.๒๕ พระโกศไมจ้ ันทร์ พระที่นง่ั อศิ ราวินจิ ฉัย : ตอนท้ายพระท่นี ง่ั เปน็ ทปี่ ระดษิ ฐานพระราชบลั ลังกบ์ ษุ บกมาลา (ภาพท่ี ๑.๒๖) ซ่ึงสร้างข้นึ เมือ่ ครัง้ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสงิ หนาท เป็นทปี่ ระทับว่าราชการและรับแขก เมือง รวมทง้ั เป็นสญั ลักษณ์แทนพระองค์ แตถ่ ้าจะเรยี กพระทน่ี ัง่ ซึ่งอยูภ่ ายในพระทนี่ ง่ั อิศราวนิ ิจฉัยวา่ “ พระ ราชบัลลังก์บุษบกมาลา ” น้ันคงจะผิด แต่เนอ่ื งจาก มหี น้าท่ใี ช้สอยเช่นเดียวกับพระท่ีนง่ั บุษบกมาลา ซ่งึ ประดิษฐานอยูภ่ ายในพระทีน่ ง่ั อมรินทรวนิ ิจฉยั เป็นหอ้ งท้องพระโรงของวังหลวง ๑๖ ๑๖ เด่นดาว ศลิ ปานนท์. “ประวัตพิ ระทีน่ ง่ั บุษบกเกรนิ พระราชวงั บวรสถานมงคล”, พระทน่ี ัง่ บุษบกเกริน พระราชวงั บวรสถานมงคล. กรม ศิลปากรจัดพิมพ์ เนื่องในโครงการบรู ณปฏสิ งั ขรณ์พระทนี่ ั่งบษุ บกเกรินภายในพระทนี่ ัง่ อศิ ราวินจิ ฉัย พพิ ิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ปี พทุ ธศักราช ๒๕๔๔ – ๒๕๔๕, ๗.

๑๐ เรอื่ งนามพระทน่ี ่ังบษุ บกวงั หนา้ นนั้ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศ์เธอเจา้ ฟา้ กรมพระยานรศิ รานุวัติ วงศ์ ทรงวินิจฉยั ไว้ในหนังสอื สาสน์ สมเด็จฉบบั วนั ท่ี ๑๒ ตลุ าคม ๒๔๗๘ ว่า “ ...วนิ จิ ฉยั เรื่องบษุ บกสามองค์ ในวังหนา้ เห็นว่าขอ้ ความท้งั นัน้ สมควรจะถกู ต้องดแี ล้ว ติดใจอยู่แต่ดว้ ยคาเพยี งคาเดยี วซง่ึ ตรัสเรยี กว่า “ บษุ บกมาลา ” สงสัยวา่ ชอ่ื น้ีจะเป็นช่ือพระที่นั่งบษุ บกในพระทนี่ ัง่ อมรินทรวินจิ ฉยั โดยจาเพาะ ถ้าเป็นเช่นนั้น เอามาใช้เรยี กพระที่นงั่ บุษบกในวั งหน้าด้วยก็เป็นผดิ เพือ่ จะให้พ้นจากความสงสยั จุงอยากประทานขอให้ เปลีย่ นเรียกเสียใหมว่ ่า “ บุษบกเกริน ” เป็นอนั จะผดิ ไมไ่ ดท้ ้งั จะเขา้ ใจได้ดีกว่าด้วย... ๑๗” ศลิ ปวัตถุ โบราณวตั ถุเหล่านนั้ ได้ ผ่าน ชว่ ง เวลามาเปน็ ระยะเวลานาน และ ดว้ ยวัตถุดิบทช่ี า่ งเลือกใช้สรา้ งสรรคง์ านศิลป์ เหลา่ น้นั คอื ไม้ จงึ ทาใหส้ ภาพของศลิ ปวตั ถุ โบราณวตั ถุเสียหายสึกกรอ่ นลงไป มาก ด้วย เหตนุ เี้ องผูด้ ูแลรักษาจึงมีความจาเป็นต้อง คอยตรวจตราระมัดระวังศิลปวตั ถุ โบราณวัตถุเหลา่ น้นั ให้คงสภาพดีอยูเ่ สมอ หากตรวจพบเจอรอ่ งรอยสาเหตุ แหง่ การ เส่ือมโทรม ตอ้ ง เรง่ ดาเนินการ ตดิ ตอ่ หน่วยงานทเี่ กี่ยวขอ้ งเขา้ มาปรับปรงุ แกไ้ ข ปญั หาท่ีพบ กอ่ นทศ่ี ลิ ปวตั ถุ โบราณวตั ถุ เหล่านน้ั จะถกู ทา ลายจนไมเ่ หลือหลกั ฐาน ไว้ ในอนาคต ภาพที่ ๑.๒๖ พระทน่ี ง่ั บุษบกเกรนิ ๑๗ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานรศิ รานุวตั วิ งศ์, และสมเด็จพระเจา้ บรมวงศ์เธอ กรมพระยาดารงราชานุภาพ. สาส์นสมเด็จ เล่ม ๖. โรงพมิ พ์คุรุสภา, ๒๕๐๔, ๑๐๓.

๑๑ วตั ถปุ ระสงค์การเลอื กพระที่นง่ั บษุ บกเกรนิ ในการจัดทามาตรฐาน ในปีพุทธศักราช ๒๕๔๔ ทางพพิ ิธภณั ฑสถานแหง่ ชาติ พระนครพบวา่ พระทีน่ งั่ บษุ บกเกรนิ มีความชารดุ ทรุดโทรมอย่างมาก โดยเฉพาะโครงสร้างส่วนภายในไมช้ ารุด ผุ เป่อื ยหมดสภาพ เนื่องมากจาก ความชนื้ ที่ซึมขึน้ มาจากใต้ดิน ในสว่ นฐานล่างสดุ ดา้ นทศิ ตะวันตกทตี่ ดิ กบั ปูนบรเิ วณที่อยู่ตา่ จากเตยี งลา ไมม้ ี ความชารุดมากจาเปน็ ต้องทาการถอดองค์ประกอบ พระท่ีนัง่ บุษบกเกรนิ และทาการเปลีย่ นไม้โครงสร้างโดย ต้องเสริมไมส้ ว่ นฐานบางส่วนทดแทนส่วนที่ชารดุ เพอ่ื เพมิ่ ความมนั่ คงแข็งแรงในการรบั น้าหนักส่วนเคร่ืองยอด พระท่นี ่ังบษุ บกเกรนิ ใหม้ ีรูปทรงสมบรู ณ์ดงั เดมิ โดยสว่ นสานักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร เป็นผู้ดาเนินการ ซอ่ มอนรุ ักษ์ เริ่มดา เนินการซ่อมในเดือนกรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔ ถึงเดอื นมถิ นุ ายน พุทธศกั ราช ๒๕๔๕ โดยมีท่านอธิบดกี รมศิลปากร (พลอากาศตรี อาวุธ เงินชกู ล่ิน) ประธานคณะกรรมการการซ่อมพระที่ นั่งบุษบกเกรนิ วังหน้า เนอ่ื งในโครงการ ซ่อมอนรุ กั ษพ์ ระท่นี ัง่ บษุ บกเกรินครงั้ นน้ั เอง ขณะท่ีคณะทางาน ปฏบิ ัติการ ถอดองคป์ ระกอบพระที่นง่ั บุษบกเกริน เพื่อทาการสารวจโครงสรา้ งภายใน ไดพ้ บว่าองคป์ ระกอบ โครงสรา้ ง พระทีน่ ั่งบุษบกเกรินมีรูปแบบการเข้าไม้ภายในน้นั เป็นรปู แบบการเข้าเดือยไมแ้ บบโบราณ ซึ่งไม่สามารถพบได้ โดยทั่วไปในปจั จุบนั คณะทางานได้ทาการคัดลอกรูปแบบและถ่ายทอดออกมาเปน็ รปู เล่มเพื่อเปน็ องคค์ วามรู้ และในปจั จบุ ันคง ยากนกั ทจ่ี ะดาเนินการถอดองคป์ ระกอบชนิ้ ส่วนพระ ท่นี ่ังบุษบกเกรนิ ออกมาศึกษาอกี ดว้ ย ความสาคญั ดงั นี้คณะทางาน จงึ เล็งเห็น ถึงคุณค่าของโครงสร้าง รปู แบบการเข้าไม้แบบโบราณ ของพระที่นง่ั บุษบกเกริน จงึ ไดจ้ ดั ทาเปน็ ค่มู อื มาตรฐานงานดา้ นศิลปกรรม โดยจัดสร้างมาตรฐานชนิ้ งานตน้ แบบพระทน่ี งั่ บษุ บกเกริน (จาลอง) จานวน ๒ ช้นิ ดงั นี้ ชน้ิ ที่ ๑ พระท่นี ่งั บุษบกเกรนิ (จาลอง) เป็นชน้ิ งานมาตรฐานสาหรบั แสดงรปู แบบการเขา้ ไม้ โบราณ ซ่งึ เป็นโครงสรา้ งเตม็ องคพ์ ระที่นง่ั สามารถถอดช้ินส่วนออกมาเห็นโครงสรา้ งโดยรวมทงั้ หมดของพระที่ นง่ั บุษบกเกรนิ เพอ่ื ให้เกดิ ความเข้าใจในเรอ่ื งการเขา้ ไม้ หนา้ ท่ีของเดือยในแตล่ ะช้ัน และการรองรบั น้าหนกั ของโครงสรา้ งทง้ั หมด ซึง่ มลี กั ษณะที่เปน็ ทรงสอบขน้ึ ชน้ิ ท่ี ๒ มาตรฐานชิน้ งานแกะสลกั ลอยตัว ซงึ่ เปน็ องค์ประกอบหลักของพระท่นี งั่ บุษบกเกรนิ (จาลอง) จัดแสดงเป็นลาดับขน้ั ตอนในการทางานแกะสลกั

รายละเอียดพระทน่ี ่งั บษุ บกเกริน ๑๒ ภาพที่ ๑.๒๗ ลายเส้นองค์ประกอบพระทน่ี ่งั บษุ บกเกรนิ พระราชวงั บวรสถานมงคล ๑.พุม่ ขา่ วบณิ ฑ์ ๒. ปลยี อด ๓. บัวกลุ่ม ๔. ลกู แก้ว ๕. บัวกลมุ่ ๖. เหม ๗. บัลลังก์ ๘. ทอ้ งไม้ ๙. องคร์ ะฆัง ๑๐. เชิงกลอนช้นั คู่ ๑๑. สนั ตะเฆ่ ๑๒. บราลี ๑๓. ชอ่ ฟา้ ๑๔. นาคปัก ๑๕. ยอ่ มมุ ไมส้ บิ สอง ๑๖. คันทวย ๑๗. ร่องน้า ๑๘. ยอ่ เกจ็ ๑๙. กระจังตาออ้ ย ๒๐. บันแถลง ๒๑. เชิงกลอน ๒๒. ประจายามรัดอกเสา ๒๓. เสาไมส้ บิ สอง ๒๔. กาบพรหมศร ๒๕. แผงพนัก ๒๖. กระจงั ปฏิญาณ ๒๗. เกรนิ ๒๘. เทพนม ๒๙. ฐานเชิงบาตร ๓๐. ครุฑ ๓๑. ยักษ์ ๓๒. หนา้ กระดาน ๓๓. กระจงั หลังสงิ ห์ ๓๔. บวั หลังสิงห์ ๓๕. เท้าสงิ ห์ ๓๖. ฐานสิงห์ ๓๗. ท้องสิงห์ ๓๘. กระจงั คอเส้อื

๑๓ ลายเสน้ องค์ประกอบพระท่ีน่ังบุษบกเกรนิ พระราชวงั บวรสถานมงคล (ภาพที่ ๑.๒๗) เหล่าน้ี เป็นรายละเอยี ดจากการบันทึก เมอ่ื ครั้งสารวจโครงสรา้ ง ของพระทีน่ ่งั บุษบกเกริน และถอื เปน็ ขน้ั ตอนแรกใน การทางานชา่ งไม้ประณีต คณะทางานตอ้ งทาความเขา้ ใจกบั รายละเอียด ลวดลายและองค์ปร ะกอบของ ชนิ้ งาน กอ่ นจะเรม่ิ วางแผนการทางานในขน้ั ตอนต่อๆไป และนอกจากลายเส้นองคป์ ระกอบพระท่ีน่ังบุษบก เกรินภายนอกแล้วนัน้ คณะทางานต้องบนั ทกึ ลายเสน้ โครงสรา้ งขององค์พระที่นงั่ บษุ บกเกรนิ อีกด้วย (ภาพท่ี ๑.๒๘) ภาพที่ ๑.๒๘ ลายเส้นโครงสร้างขององคพ์ ระทีน่ ั่งบษุ บกเกริน

๑๔ การบันทกึ ลายเส้นโครงสร้างมรี ายละเอยี ดองคป์ ระกอบโดยแบ่งออกเป็น ๒ สว่ น ดังน้ี รายละเอยี ดส่วนยอด (ภาพที่ ๑.๒๙) และรายละเอยี ดส่วนช้นั ฐาน (ภาพท่ี ๑.๓๐) ภาพท่ี ๑.๒๙ ลายเสน้ โครงสร้างสว่ นยอด

๑๕ เสายอ่ มุมไมส้ ิบสอง ภาพท่ี ๑.๓๐ ลายเสน้ โครงสร้างส่วนชั้นฐาน

๔๘ วสั ดุ การท่ีช่างจะทางานไมใ้ หอ้ อกมาสวยงามไดน้ น้ั ช่างตอ้ งรู้จกั ลักษณะการเจรญิ เติบโตของไม้ โครงสรา้ งของไม้ ประเภทไมท้ ี่ตอ้ งการใชง้ าน ตาหนิของไม้ เนอ่ื งจากชา่ งจาเป็นต้องเลอื กไม้มาใช้ในการ ทางานใหถ้ ูกลกั ษณะและเหมาะสมกบั งานจึงจะทาให้ช้นิ งานออกมาไดอ้ ย่างมีมาตรฐาน โครงสรา้ งของไม้ ๘ องคป์ ระกอบและลกั ษณะวงปีของไม้ ไสไ้ ม้ (Pith) : คือสว่ นทเ่ี ป็นศนู ยก์ ลางของลาตน้ เกดิ จากหนอ่ แขนงหรอื ลาต้นอ่อน เป็นระยะที่ ตน้ ไมเ้ จริญเตบิ โตในระยะแรก เมื่อตน้ ไมโ้ ตขึน้ เนือ้ ไมส้ ่วนท่ีเกดิ ภายหลงั จึงห่อหุ้มทาให้ส่วนนีอ้ ยู่ภายในลาตน้ เม่อื ระยะเวลานานเข้ามักจะผสุ ลายไป และเป็นส่วนท่ีอาจทาให้เกดิ ช่องว่างเป็นโพรงในเน้อื ไม้ และเกิดโรค หรอื ขึน้ ราอยู่ภายในลาต้นได้ แกน่ ไม้ (Heartwood) : คอื เปน็ เนอื้ เยอ่ื ซ่ึงเกดิ จากกลุ่มเซลล์ต่างๆ เจริญเติบโตเตม็ ท่ี จนกลายเป็น กลุ่มเซลล์ทต่ี ายแลว้ (Prosenchyma) รวมตัวกนั จึงเรยี กว่า แกน่ ไม้ ซ่งึ เปน็ ส่วนที่อย่ถู ัดออกมาจากไส้ไม้ (Pith) แก่นไม้เปน็ สว่ นที่มนุษย์นาไปใชป้ ระโยชนใ์ นด้านต่างๆ ตามลกั ษณะของงานและคณุ สมบัติของไมแ้ ต่ ละชนดิ ๘ เลิศพงศ์ ชีวพัฒนพนั ธุ์, เครอ่ื งไมท้ ั่วไป, กรงุ เทพฯ : สานกั พิมพ์โอเดียนสโตร์, ๒๕๔๐, ๕ – ๖.

๔๙ กระพไ้ี ม้ (Sapwood) : เปน็ ส่วนที่อยู่ถดั ออกมาจากแกน่ ไม้ (Heartwood) กระพ้ีไม้จะกลายเป็นแก่น หรอื เนอ้ื ไมไ้ ด้เม่อื กลุ่มเซลลใ์ นส่วนกระพ้ไี มไ้ ดต้ ายลง ท้ังน้จี ะข้นึ อยู่กับการเจริญเติบโตของไม้แตล่ ะตน้ หรอื แตล่ ะชนดิ ของไม้ กระพ้ไี ม้สามารถนาไปใชป้ ระโยชน์ได้แต่ความคงทนจะน้อยกวา่ แกน่ ไม้ ผงุ า่ ยเมอ่ื ถกู แดด ถกู ฝนนานๆ กลุ่มเซลล์ในส่วนกระพไี้ ม้เปน็ กลุ่มเซลลท์ ยี่ ังมีชวี ติ อยหู่ ลังจากการเจริญเตบิ โตของต้นไมน้ นั้ เต็มท่ี แลว้ ไดแ้ ก่ กลมุ่ เซลล์ทเ่ี รยี กว่า Parenchyma เปลอื กไม้ (Bark) : เปน็ สว่ นทอ่ี ยภู่ ายนอกลาตน้ หุ้มส่วนตา่ งๆ ภายในลาตน้ – กง่ิ ไม้ไว้ไมใ่ ห้ไดร้ ับ อนั ตรายจากสิ่งแวดล้อมภายนอก และเปน็ ส่วนท่ีทาให้ตน้ ไม้เจริญเตบิ โตอยไู่ ด้ เปลือกไม้จะหอ่ หมุ้ ทอ่ เซลลท์ ่ี เรียกว่า “โพลเอม็ ” (Phloem) เป็นทอ่ ทท่ี าหน้าที่ส่งอาหารไปเลี้ยงต้นไม้ จะอยบู่ ริเวณด้านในของเปลอื กไม้ (Inner Bark) วงปี (Annual Ring) : เปน็ ผลจากการสร้างเซลล์กลมุ่ ตา่ งๆ ของตน้ ไม้ หรอื การเจริญเติบโตของตน้ ไม้ เนื้อไมใ้ นชน้ั เซลลบ์ างชนดิ จะเกดิ ข้ึนในฤดูที่แตกตา่ งกนั เป็นผลให้ไมเ้ จรญิ เตบิ โตต่างกนั ออกไปดว้ ย ในฤดฝู น เซลล์ทเ่ี กิดข้นึ จะเจรญิ เติบโตกว่าเซลล์ทเี่ กดิ ในฤดูร้อน ชั้นที่เกดิ ในฤดู ร้อนจะเจรญิ เติบโตช้าและแนน่ กวา่ กลุ่ม เซลลท์ ีเ่ กิดขึ้นในฤดูฝน รวมทงั้ สกี เ็ ข้มกวา่ ด้วย รอยต่อของกลุ่มเซลลด์ ังกลา่ วนี้ เรียกวา่ “วงปี” หรือ “วงงอก ประจาป”ี เสน้ รศั มี (Wood Ray) : มลี ักษณะเปน็ เส้นเล็กๆ วิ่งจากใจกลางหรอื บริเวณไส้ไมไ้ ปยังเปลอื กไม้ เส้นรศั มเี กิดจากกลุ่มเซลล์ทท่ี อดตวั ตามแนวขวางลาต้น เป็นชอ่ งทางลาเลยี งและสะสมอาหารและเปน็ สว่ น ช่วยยึดโครงสร้างของไม้อีกสว่ นหนึ่งดว้ ย การแบ่งประเภทไม้ ไม้เน้ือออ่ น : ลักษณะของไมเ้ นอื้ อ่อน คือ ไมก้ ลุ่มทมี่ นี า้ หนักเบา เสย้ี นหยาบ สีจาง รับนา้ หนักได้ น้อย โดยทัว่ ไปไม้เนื้ออ่อนจะมีนา้ หนักประมาณ ๕๐๐ – ๘๗๐ กิโลกรมั ตอ่ ปรมิ าตรของไม้ ลกู บาศกเ์ มตร เชน่ ไม้สกั ไม้อินทนลิ ไม้ตะแบก ไมโ้ มกมัน ไมพ้ ดุ ไม้จาปาหรอื ไมจ้ าปาปา่ ไม้เนอ้ื แขง็ ปานกลาง : เปน็ กลุ่มไมท้ ม่ี ีน้าหนักปานกลาง สีค่อนขา้ งเขม้ กวา่ ไมเ้ น้ือออ่ น เสยี้ นของ ไม้ละเอยี ดกว่าไมเ้ น้อื อ่อน นา้ หนักของไม้เนือ้ แขง็ หนกั ประมาณ ๖๙๐ – ๓๐ กโิ ลกรัมตอ่ ปรมิ าตรของไม้ ลูกบาศก์เมตร เช่น ไมเ้ ต็ง ไม้รงั ไมป้ ระดู่ ไม้พยุง ไม้สัก

๕๐ ไมเ้ น้อื แข็ง : เปน็ กล่มุ ไม้ท่มี เี น้ือแข็งมาก เนื้อเหนยี ว มคี วามแขง็ แรงและทนทานต่อการใช้ ทนแดด ทนฝน เน้ือไมม้ ีท้ังชนิดเส้ยี นหยาบหรือเนือ้ หยาบ และเส้ียนละเอยี ดเน้ือแน่น เสยี้ นมที ัง้ เสย้ี นตรงและเสีย้ น ย้อนเน้อื ไม้ ไม้เนอ้ื แขง็ สว่ นมากเปน็ ไมท้ ี่มีนา้ มนั ในตัวเมอื่ ไสกบขดั แตง่ ผวิ แลว้ เน้ือไม้จะมนั เป็นเงา มีน้าหนัก ประมาณ ๗๒๐ – ๒๐๐ กโิ ลกรัมตอ่ ปรมิ าตรของไม้ ลูกบาศกเ์ มตร เชน่ ไม้แดง ไมช้ ิงชนั มาตรฐานประเภทของไม้ท่ีกลมุ่ งานช่างแกะสลักและช่างไมป้ ระณีตนยิ มเลือกใช้ในการปฏิบัติงานการ จัดสรา้ งโครงสรา้ งไมพ้ ระทน่ี ่งั บษุ บกเกรนิ คือ ประเภทไมส้ กั ทมี่ ีเนื้อปานกลางไม่อ่อนไมแ่ ขง็ กาลังพอดี ไมส้ ัก เปน็ ไม้ผลดั ใบขนาดใหญ่ มีลาตน้ ปลายตรง เรือนยอดกลม ลาตน้ มคี วามสงู ตัง้ แต่ ๒๐ เมตรข้ึนไป มี เปลอื กหนาสีเทาหรือนา้ ตาลอ่อน แกมเทา มใี บขนาดใหญ่ กวา้ ง ๒๐ – ๓๐ เซนติเมตร ยาว ๓๐ – ๔๐ เซนติเมตร ดอกมขี นาดเลก็ สีขาวนวล ออกเป็นชอ่ ขนาดใหญ่ บริเวณปลายกิง่ ในชว่ งเดอื นกรกฎาคม - ตลุ าคม ผลสกั รูปรา่ งคอ่ นขา้ งกลม ขนาดเสน้ ผา่ ศนู ย์กลาง -๒ เซนตเิ มตร ผลหน่งึ ๆจะมเี มลด็ – ๔ เมลด็ โดยทัว่ ไปมักจะเรียกผลสกั ว่า “เมล็ดสกั ” ซึ่งเม่อื แก่จดั จะเปน็ สนี ้าตาล ลกั ษณะของเนื้อไม้ : ไมส้ กั เป็น ไม้ทีม่ คี วามแข็งปานกลาง เนอ้ื ไมค้ ่อนขา้ งหยาบ มีผิวละเอยี ด โดยทวั่ ไปมีสีน้าตาลอ่อน สามารถทนต่อดนิ ฟ้าอากาศหรอื พวกแมลงกนิ เนอ้ื ไมไ้ ด้ดกี ว่าไม้อื่นๆ การยดื หดตวั มี ไม่มาก ๙ และสามารถนามาใชไ้ ด้เหมาะสมกับงานทกุ ประเภทของงานไม้ เชน่ งานโครงสร้าง งานแกะสลัก และงานกลงึ ไม้ ชนิดของไมส้ กั : แบ่งออกได้เป็น ๓ ชนิด คอื ๑. ไมส้ ักทอง : เปน็ ไม้สกั ชั้นดี มีคุณสมบัตขิ องเนอ้ื ไม้ สี เส้ียนไม้ สามารถเห็นลายไม้ทเ่ี กิดจากวง งอกประจาปไี ดช้ ัดเจน สขี องเนอื้ ไมม้ ีสีเหลืองทอง จึงเรยี กว่า “สกั ทอง” ๒. ไม้สกั หิน : เปน็ ไม้สกั ท่ีมีคุณสมบัตไิ มด่ ี เน้ือไม้แขง็ สีหม่นแกมเขยี ว เป็นไม้สกั ทไี่ ม่นยิ มมาใช้งาน พน้ื ที่ท่เี จริญเติบโตเปน็ ที่เนนิ สูง ไหล่เขาระดบั สูง ภมู ิประเทศคอ่ นข้างแห้งแล้งทาให้ไม้เจริญช้า เนอื้ ไมแ้ ข็ง เน้อื แน่นกวา่ ไม้สักทองและมนี ้าหนักมาก ๙ กรมศิลปากร, “ไม้แกะสลักในศลิ ปะไทย”, ประณีตศิลป์ไทย, จดั พิมพเ์ นอ่ื งในมหามงคลเฉลมิ พระเกยี รติ ๐๐ ปี วันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจา้ อย่หู ัว ๘ พฤศจกิ ายน ๒๕๓๖, ๒๕๓๖, ๓๙.

๕ ๓. ไมส้ กั ขีค้ วาย : เป็นไม้สักทีม่ ลี กั ษณะต่างไปจากไม้สักทง้ั ๒ ชนดิ ทก่ี ลา่ วแล้ว ไมส้ ักชนดิ น้เี ปน็ ไม้ สักที่มีคณุ สมบัตไิ ม่ดเี ชน่ เดียวกบั ไมส้ กั หนิ ลักษณะของเนอื้ ไ ม้เป็นไม้เนอ้ื อ่อนมากกวา่ ไมส้ ักทองและไมส้ ักหิน นา้ หนักเบา สีคลา้ ค่อนไปทางดา เน้ือไม้เมอื่ เลอ่ื ยผ่าแต่งผวิ แล้วจะไม่ปรากฏลายไม้ใหใ้ ครเห็น ลกั ษณะของไมท้ ี่มตี าหนิ ไม้ท่ที ามาใชง้ านน้ัน นอกจากจะเป็นไมป้ ระเภททีต่ อ้ งการแลว้ องค์ประกอบสาคัญอกี ประการหนงึ่ คอื การเลือกไม้ทไ่ี มม่ ีตาหนิมาใช้งาน “ ตาหนิของไม้ ” ได้แก่ สงิ่ ท่ีทาใหค้ ณุ สมบัติของไม้เสียไป หรือสิง่ ท่ีปรากฏ อยูใ่ นเนื้อไม้ ทาให้ไมเ้ สยี หาย และทาให้คณุ ค่าของไม้ตา่ ลง ตาหนิของไม้มีลกั ษณะตา่ งๆ ดังตอ่ ไปน้ี ๑. ไม้ที่มตี าไม้ปรากฏอยู่บนผิวไม้ : “ ตาไม้ ” คือ บรเิ วณเนอ้ื ไมท้ ีเ่ คยเป็นทแ่ี ตกกิ่งไมอ้ อกมา ลกั ษณะคล้ายหนา้ ตดั ของไมป้ รากฏอยบู่ นแผน่ ไม้ บริเวณที่มตี าไม้จะเป็นอุปสรรคในการใชเ้ ครอ่ื งไม้ปรบั แต่ง ผวิ ไม้ให้เรยี บ เนอื่ งจากตาไมน้ นั้ ทาใหเ้ นือ้ ไมบ้ ริเวณน้ันแขง็ กวา่ ปกติ นอกจากนน้ั ส่วนทเี่ ป็นตาไม้จะหักงา่ ย เพราะเสย้ี นหรอื เซลล์ของมันจะขวางลาต้น เม่ือไมแ้ หง้ หดตวั เส้ยี นไมจ้ ะแตกแยกไม่ประสานต่อกนั ตาแหน่งของกิ่งไม้ซ่งึ ทาใหเ้ กิดตาไม้ ลกั ษณะของตาไมจ้ ะปรากฏบนผิวไม้ เมื่อนาไม้มาไสแตง่ ผิวแลว้

๕๒ ภาพลกั ษณะของตาไม้จะปรากฏบนผิวไม้ เมือ่ นาไม้มาไสแต่งผวิ แล้ว ๒. ไม้ทม่ี รี อยแตกรา้ ว : รอยแตกร้าวของไม้จะมลี กั ษณะและตาแหน่งที่ปรากฏแตกตา่ งกนั ไปตาม สาเหตุทท่ี าใหเ้ กิดขึ้น ไดแ้ ก่ - ไมแ้ ตกร้าวตามแนวเส้นวงปี การเกดิ รอยแตกรา้ วในลักษณะนี้เกิดไดจ้ ากหลายสาเหตุ เชน่ เกิดจากตน้ ไม้ถูกลมพายุพดั ให้โยกเอน และกอ่ นตัดโคน่ เสย้ี นไม้ยงั ประสานกัน ไม่สนิท จงึ ทาให้ไมม้ ตี าหนิอยู่ ภายในลาตน้ ตั้งแตย่ ังไม่ได้โคน่ แลว้ ภาพแสดงหนา้ ตดั ของไมท้ ี่ร้าวตามวงปเี ปน็ วงภายในลาตน้

๕๓ ภาพแสดงการแตกร้าวตามแนวเส้นวงปบี นผิวไม้ เมอ่ื นาไม้มาไสแตง่ ผิวแลว้ - ไมแ้ ตกรา้ วบรเิ วณไส้ไม้ออกมานอกลาต้นหรอื ไมแ้ ตกร้าวจากภายใน ซงึ่ อาจกเกิดจากการ ผิดปกติของตน้ ไม้เอง ขณะทย่ี งั ไมไ่ ด้โค่น เนือ่ งจากไสไ้ ม้ผเุ กิดเป็นช่องว่างขน้ึ ภายใน ลักษณะเปน็ โพรง อณุ หภูมภิ ายในกับกายนอกไมส้ มดุลกันทาใหเ้ กิดปฏกิ ิ รยิ าตอ่ กัน มผี ลทาให้ไม้แตกรา้ วภายใน ออกสู้ภายนอก ลาตน้ เป็นเสน้ รัศมี ภาพแสดงการแตกของไม้ ซ่ึงแตกจากบริเวณไสไ้ มอ้ อกสู่ภายนอก

๕๔ - ไม้แตกรา้ วจากภายนอกเข้าหาภายในลาตน้ การแตกร้าวในลักษณะน้จี ะแตกต่อเม่อื ตน้ ไม้ ได้ถกู โคน่ ลงมาแลว้ ระหวา่ งชว่ งทร่ี อนาไมไ้ ปแปรรูป ไม้ท่ีถูกตดั ใหม่จะยงั สดประกอบด้วยนา้ และยางไม้ เมือ่ ได้รบั ความร้อนจากแสงแดด สว่ นภายนอกของไมจ้ ะหดตัวลงเรว็ กวา่ ภายใน การหดตวั เช่นนเี้ ปน็ การหดตัวที่ ไม่สมดลุ กันจงึ ทาใหเ้ กดิ รอยร้าวแยกออกลักษณะเป็นเส้นรศั มวี ่ิงเข้าหาใจกลางไส้ไม้ ภาพแสดงหน้าตัดของไม้ท่ีแตกจากภายนอกเข้าหาภายในลาต้น ๓. ไมท้ ี่มีลักษณะเสี้ยนไม้บดิ : เกิดจากการทล่ี าต้นบดิ ตัวไปตามแรงลมพายทุ ่พี ดั ผ่านโดยแรง โดย ต้นไม้น้นั มีก่งิ ย่นื ออกมาจากลาต้นมาก ก่งิ นัน้ จะต้านแรงลมทาให้ต้นไมไ้ ดร้ ับผลกระทบกระเทือนไปดว้ ย และ การบิดตัวอยา่ งแรงน้จี ะทาให้เสย้ี นไม้บิดตัวไปด้วย เสี้ยนไม้จงึ ไมข่ นานกบั ลาตน้ จะเฉียงหรอื เฉไปทางใดทาง หนง่ึ ๔. ไม้ทีม่ ลี กั ษณะเสย้ี นไมซ้ น้ : เกดิ จากเสยี้ นหรอื เซลลข์ องไมไ้ ม่อยูใ่ นแนวเดยี วกนั เป็นรอยหักเย้อื ง กนั ตรงท่เี กิดเป็นรอยซ้นของไม้ เหตุเกิดจากการกระแทกอย่างแรงเมื่อขณะท่ียังเป็นตน้ หรือขณะโค่นต้นลงมา กระแทกพืน้ อย่างแรง และ เม่อื ไสแต่งผวิ ไม้แล้วจะสงั เกตเหน็ เปน็ รอยตาหนขิ วางความยาวของเนื้อไม้ หรอื ขวางความยาวของชิ้นไม้ จะไม่สามารถนาไปใช้งานไดเ้ นอ่ื งจากขาดความแข็งแรงของเน้ือไม้ ๕. ไม้ที่มีรอยผุ : ไมผ้ ุ ได้แก่ ไม้ที่มีลักษณะผิดปกติ เน้ือไม้เสอ่ื ม เส้ียนหรือเซลลข์ องเน้ือไม้ยยุ่ เปอ่ื ย อาจเกิดจากเช้ือราเกาะกนิ เนื้อไม้ การผมุ ี ๒ ลกั ษณะ - เกดิ กบั ไม้ท่ีมลี กั ษณะเนอื้ ไม้แหง้ เมื่อปล่อยทงิ้ ไวอ้ าจเกิดการผไุ ด้ โดยระยะแรกจะเกิดจุด ขาวที่แผ่นหรอื ชนิ้ ไมแ้ ล้วจะขยายลุกลามเพม่ิ ข้นึ เชอ้ื ราชนดิ น้จี ะเจริญเพาะตัวขยายบรเิ วณได้รวดเรว็ มากใน อุณหภูมหิ รอื ในลักษณะของอากาศท่ชี ื้นและอบอา้ วสลับกัน

๕๕ - ไมท้ ีผ่ จุ ากการเปลีย่ นแปลงภายในของเนอื้ ไม้ เนอ่ื งจากภายในเน้ือไม้จะมยี าง นา้ หรอื นา้ มนั ของไม้ชุม่ ชนื่ อยู่ ยางไมห้ รือสง่ิ ท่อี ยู่ภายในเนอื้ บางชนดิ จะทาปฏกิ ิรยิ าเม่ือกระทบกับอากาศ เกิดการ เปล่ียนแปลงทาใหค้ ุณภาพของไม้เสอื่ ม การผใุ นลักษณะน้ีเป็นการผุทเี่ กิดจากความชื้นภายในเน้ือไม้ ๖. ไมท้ ีม่ มี ด – ปลวกกัดกิน : ไม้ทม่ี รี อยหรอื ตาหนจิ ากการกัดกินของสตั วแ์ มลงเปน็ ลกั ษณะ ของไมท้ ่ี ดี ส่วนใหญ่จะเกิดจากการเกบ็ รักษาไมไ้ ม่ดี

๑๖ บทท่ี ๒ เคร่ืองมือ - วสั ดุ เครอื่ งมือที่ใช้ในงานแกะสลกั และงานไม้ประณตี เครื่องมือ ทใ่ี ช้สาหรับงานแกะสลกั และงาน ชา่ งไมป้ ระณตี มีมากมายหลายชนดิ และหลายประเภท เครอ่ื งมอื บางชนิดเป็นเคร่ืองมอื ที่ใชก้ นั มาตัง้ แต่ในอดตี จนถึงปัจจุบนั ส่วนบางชิน้ น้นั ในปจั จุบนั มีการคิดคน้ ให้ เปน็ เคร่อื งมือทีใ่ ช้ไฟฟา้ มาเกยี่ วขอ้ งทาใหม้ ีความสะดวกรวดเร็วมีประสทิ ธิภาพสงู ในการทางานมากย่งิ ขนึ้ และ ในคู่มือมาตรฐานงานชา่ งศลิ ปกรรมเล่มน้ี จะกล่า วถึงเฉพาะเครอื่ งมือทใี่ ช้งานในการสร้างโครงสรา้ งบษุ บก เกรนิ ของกลุ่มช่างแกะสลกั และชา่ งไม้ประณีตเทา่ นัน้ ไมว่ า่ จะเปน็ เครือ่ งมือทใ่ี ช้มือในการใช้เปน็ หลักหรือ เคร่อื งมอื ทใี่ ชไ้ ฟฟา้ เปน็ หลัก และจะจาแนกเครอ่ื งมือน้ันๆ ตามประเภทการใชง้ าน ดังจะกล่าวถงึ รายละเอยี ด ตอ่ ไป ๑. เครอ่ื งมอื สาหรับกาหนดวดั ระยะ – จับระดับ ๑.๑ ไม้บรรทัด : เปน็ เครื่องมือสาหรับงานช่างท่วั ไป และมหี ลายขนาด แต่ละขนาดมคี วามยาวไม่ เท่ากัน ในงานไม้ช่างจะนยิ มใช้ไม้บรรทดั ขนาด ๒๔ นว้ิ มากทส่ี ุด เพราะสะดวกกับการใชง้ าน หนว่ ยเป็น ระบบเมตริกท่ีใช้วัด คือ เซนตเิ มตร กบั นิว้ (ภาพที่ ๑.๑.ข) ภาพท่ี ๑.๑.ก ภาพท่ี ๑.๑.ข ๑.๒ ไมท้ ี : ช่ือของ “ ไม้ที ” มาจากรูปร่างของมันท่มี ีรูปเปน็ ตัว ที ( T ) (ภาพที่ ๑.๒.ก) ใช้เปน็ ไกด์ ใหก้ บั สามเหล่ยี มท่เี ขียนเส้นแนวตงั้ ประกอบ ๒ ส่วน คอื ส่วนหวั (Head) และส่วนใบ (Blade) ซึง่ ทงั้ สองส่วน

๑๗ จะยดึ ติดกันโดยทามมุ ฉากตอ่ กนั สว่ นใบจะมีสเกลตดิ ยาวตลอดความยาว โดยทั่วไปจะมีหน่วยเปน็ ระบบ เมตรกิ ที่วัดเปน็ เซนติเมตร (ภาพท่ี ๑.๒.ข) วสั ดุโดยทว่ั ไปจะเป็นไม้และพลาสตกิ ใชส้ าหรับขีดเส้นในแนวนอน และใชป้ ระกอบกับฉากสามเหลย่ี ม ขดี เสน้ ในแนวตัง้ ฉาก และขดี เส้นเอียงทามุมตา่ งๆ ภาพที่ ๑.๒.ก ภาพท่ี ๑.๒.ข ๑.๓ บรรทดั สามเหล่ียม : โดยทว่ั ไปทาจากพลาสติกใส เพื่อจะไดม้ องเห็นส่วนอื่นๆ ของแบบได้ อยา่ งชัดเจน บรรทัดสามเหล่ียมใชส้ าหรับขดี เสน้ ดิง่ และเส้นเอนทามมุ ต่างๆ ปกติจะใชค้ ู่กบั ไมท้ ี มี ๒ แบบ คอื แบบตายตวั ซ่ึงมีค่ามุม ๔๕ – ๙๐ – ๔๕ องศา กบั คา่ มมุ ๓๐ – ๙๐ – ๖๐ องศา และแบบปรับมมุ ตา่ งๆ ได้ แต่เนือ่ งจากงานบางชนิดมีขนาดใหญก่ วา่ ขนาดไมท้ ี่ทาขายตามทอ้ งตลาดท่ัวไป ช่างจึงตอ้ งแก้ปญั หาโดย การประดิษฐบ์ รรทดั สามเหลี่ยมขึ้นใชเ้ อง (ภาพที่ ๑.๓) ภาพที่ ๑.๓ ๑.๔ ฉาก หรอื บรรทดั ฉาก : หรอื ภาษาช่างมกั นิยมเรียกวา่ “ ฉากตาย ” เปน็ เครอ่ื งมือสาหรบั วดั

๑๘ ระยะหรอื จับวดั มมุ ชนิดหน่ึง ใช้ในการสรา้ งมุมฉากและตรวจมุมวา่ ไดฉ้ ากหรือไม่ ใชต้ เี สน้ ท่มี ุมเอียง ฉากจะ มีจานวน ๒ ประเภท แยกตามดา้ มฉาก คอื ฉากดา้ ม ๙๐ องศา (ภาพท่ี ๑.๔.ก) และด้ามฉาก ๔๕ องศา (ภาพท่ี ๑.๔.ข และ ๑.๔.ค) และฉากทก่ี ลุ่มชา่ งไม้ประณีตใช้จะเปน็ ฉากดา้ ม ๔๕ องศา ภาพท่ี ๑.๔.ก ภาพท่ี ๑.๔.ข ภาพที่ ๑.๔.ค ๑.๕ ไมโ้ พรแทรกเตอร์ : เปน็ เครอื่ งมอื ท่ใี ชว้ ัดขนาดของมมุ ส่วนมากใช้ในงานเขยี นแบบ มี ๒ ชนดิ คอื ชนิดคร่ึงวงกลม (ภาพท่ี ๑.๕.ก) และชนิดสเี่ หลย่ี มผืนผา้ (ภาพท่ี ๑.๕.ข) ภาพท่ี ๑.๕.ก ภาพท่ี ๑.๕.ข

๑๙ ภาพท่ี ๑.๕.ค ๑.๖ เทปวดั หรอื ตลบั เมตร : ใช้เม่อื ตอ้ งการวดั ขนาดวตั ถุ และระยะหา่ งระหว่างวตั ถุ ตลอดจนหา จุดก่ึงกลางระหว่างจุดสองจุดดว้ ย เทปวัดท่มี มี าตรฐานน้ันสว่ นใหญ่จะมีขนาดความยาว ๒๕ ฟุต หรือ ๗.๕ เมตร ภาพที่ ๑.๖.ก ภาพท่ี ๑.๖.ข ๑.๗ บรรทัดมาตราส่วน : ใช้วัดขนาดมีความยาวตา่ งกนั (ภาพท่ี ๑.๗.ก) ตงั้ แต่ ๑๕๐, ๓๐๐, ๔๐๐, และ ๖๐๐มิลลเิ มตร มมี าตราส่วนต่างๆ เพอ่ื ใช้เขยี นรปู ไดห้ ลายขนาด คอื - มาตราส่วนขนาดเทา่ ของจรงิ ๑ ต่อ ๑ - มาตราสว่ นย่อ ๑ ต่อ ๒, ๑ ตอ่ ๕, ๑ ต่อ ๑๐, ๑ ต่อ ๑๐๐, ๑ ต่อ ๑๐๐๐ เป็นตน้ - มาตราสว่ นขยาย ๒ ตอ่ ๑, ๕ ตอ่ ๑, ๑๐ ตอ่ ๑, ๑๐๐ ต่อ ๑, ๑๐๐๐ ตอ่ ๑ เปน็ ตน้

๒๐ มาตราส่วนเท่าของจริง, มาตราสว่ นย่อ, หรือมาตราส่วนขยาย จะนาไปใช้งานในแตล่ ะประเภทไม่ เหมอื นกัน ขนึ้ อยูก่ ับลกั ษณะงาน และมาตราส่วนบนบรรทัดจะมี ๑ ตอ่ ๒๕, ๑ ตอ่ ๕๐, ๑ ต่อ ๗๕, ๑ ต่อ ๑๐๐, ๑ ตอ่ ๑๒๕ และ ๑ ตอ่ ๒๐๐ ภาพที่ ๑.๗.ก ภาพท่ี ๑.๗.ข ภาพท่ี ๑.๗.ค ภาพที่ ๑.๗.ง ๑.๘ ไมบ้ รรทดั กระดกู งู : เป็นไม้บรรทัดที่สามารถโคง้ งอบดิ ไดต้ ามรปู ทรงทีต่ ้องการ ใช้สาหรับงาน เขยี นแบบภาพท่ตี ้องการความโคง้ หรือใช้สาหรบั เขียนเส้นโคง้ ท่ีกาหนดขน้ึ เอง ภาพท่ี ๑.๘.ก ภาพที่ ๑.๘.ข

๒๑ ๑.๙ ลกู ดง่ิ : ใช้สาหรบั การหาแนวดง่ิ ท่ตี ้งั ฉากกบั พ้นื โลก เพอ่ื ใชเ้ ปน็ แนว หรอื เสน้ อา้ งอิงสาหรบั งาน กอ่ สรา้ งและงานชา่ งอน่ื ๆ ตุม้ นา้ หนักท่ใี ช้ทาเป็นลกู ด่งิ เดิมทีนิยมใช้ดบี ุกเป็นวัสดหุ ลัก แมใ้ นปัจจบุ ันลูกดิ่งมี รปู แบบทหี่ ลากหลาย แตว่ ัสดุทใี่ ช้ทาตมุ้ น้าหนักยงั นยิ มใช้โลหะเป็นวัสดหุ ลัก ภาพที่ ๑.๙.ก ภาพที่ ๑.๙.ข ๑.๑๐ เครอื่ งวดั ระดับนา้ : ใช้สาหรบั วัดพืน้ ผิววา่ ไดร้ ะดับหรอื ไม่ มีหลอดแก้ว 2 หลอดวางไว้ต้ังฉาก กัน ซึง่ สามารถนาไปทดสอบได้ว่า พื้นผิวอยู่ในแนวดิง่ หรือไม่ โดยสังเกตจากฟองอากาศที่อยภู่ ายในหลอดแกว้ ถ้าฟองอากาศลอยไปอย่ทู ่ตี รงกลางของหลอดแก้วแสดงว่าพ้นื ได้ระดบั ในแนวราบแล้ว แต่ถ้าฟองอากาศไม่อยู่ ตรงกลาง แสดงว่าพน้ื เอยี งไปดา้ นใดดา้ นหน่ึง ภาพที่ ๑.๑๐.ก ภาพที่ ๑.๑๐.ข ภาพท่ี ๑.๑๐.ค ภาพที่ ๑.๑๐.ง

๒๒ ๒. เครอ่ื งมือสาหรับกาหนดจุด – เสน้ ๒.๑ ดินสอเขยี นแบบ : ใชใ้ นงานออกแบบเขยี นแบบจะตอ้ งเลือกใชใ้ ห้เหมาะสมกบั งาน ไสด้ ินสอ แบง่ ออกได้ 3 ชนิด คอื ดนิ สอชนดิ ไสอ้ อ่ น ใชอ้ กั ษร B เปน็ สญั ลักษณ์ ตง้ั แตไ่ สอ้ อ่ นน้อยจนถงึ อ่อนมาก 2B 3B 4B 5B 7B, ดินสอชนดิ ไสแ้ ข็ง ใช้ อักษรH เป็นสัญลกั ษณ์ ในงานเขียนแบบท่ตี ้องการความถูกตอ้ งแม่นยา ลักษณะเสน้ เล็กบาง ไดแ้ ก่ งานเขยี นแบบเคร่อื งกล งานเขียนแบบวิศวกรรม 4H 5H 6H 7H 8H 9H, ดินสอไสแ้ ข็งปานกลาง ใช้ในงานเขยี นแบบทั่วไป งานเขยี นแบบรา่ ง ใช้ อกั ษรHB เปน็ สญั ลกั ษณ์ และดนิ สอเขียนแบบยังแบ่งออกเป็น ๓ ประเภท คอื ดนิ สอเปลอื กไม้ (ภาพท่ี ๒.๑.ก) มี 3 เกรด คือ H, HB และ B, ดนิ สอกดไส้ใหญ่ (ภาพท่ี ๒.๑.ข) สามารถเปล่ียนขนาดความเข้มออ่ นของไส้ไดต้ ามต้องการในด้าม เดยี ว แต่ต้องใช้กับอุปกรณ์เหลาดินสอโดยเฉพาะ (ภาพท่ี ๒.๑.ค) และ ดนิ สอเปล่ียนไส้ (ดนิ สอกดไส้เล็ก) (ภาพที่ ๒.๑.ง) มขี นาด 0.25 mm., 0.35 mm., 0.5 mm แตท่ ่ีนยิ มใช้ในงานเขียนแบบเทคนิคเบอื้ งตน้ คือ 0.5 mm. และ ภาพท่ี ๒.๑.ก ภาพท่ี ๒.๑.ข ภาพที่ ๒.๑.ค ภาพท่ี ๒.๑.ง

๒๓ ๒.๒ ดนิ สอขดี ไม้ : เปน็ เครื่องมอื สาหรบั ขดี ไม้โดยเฉพาะ ดนิ สอขดี ไมจ้ ะต่างจากดินสอทวั่ ไป ตั้งแต่ รปู ทรงทีต่ วั เรือนทาด้วยไมล้ กั ษณะเปน็ วงรี หรอื รปู ไข่ และทาสีแดงเคลอื บ ไสด้ นิ สอก็จะโตกวา่ ดนิ สอท่วั ไป ด้วย ภาพที่ ๒.๒.ก ภาพที่ ๒.๒.ข ๒.๓ ขอขดี ไม้ : (ภาพที่ ๒.๓.ก และ ๒.๓.ข) เปน็ เคร่ืองมือสาหรับขีดเสน้ ลงบนไม้ เส้นที่ขดี จะขนาน กับไม้ ในการขดี เส้นจะขดี โดยใชต้ ะปูท่ตี ดิ อย่ปู ลายไม้ โดยการใชข้ อขดี ไม้นัน้ เป็นการกาหนดเสน้ ทต่ี ้องการจะ ผ่า เลื่อย โกรกไม้ หรอื ปรับไมใ้ นส่วนทีไ่ ม่ตอ้ งการออก ภาพที่ ๒.๓.ก ภาพท่ี ๒.๓.ข ๒.๔ เชือกตีแนว หรือ ป๊ักเต้า : ใช้ตแี นวเส้นตรงยาวบนไม้ ใช้ในกรณีทตี่ ้องการกาหนดเส้นยาวเพ่ือ จะปรบั หน้าไมใ้ ห้ไดข้ นาดตามต้องการ โดยตอ้ งดึงเชือกออกมาจากตลบั ใหไ้ ดค้ วามยาวท่ีตอ้ งการ ขึงใหต้ งึ ก่อน ดึงเชอื กดดี สีทต่ี ิดบนเชือกลงบนเนื้อไม้ (ภาพท่ี ๒.๔)

๒๔ ภาพท่ี ๒.๔ ๒.๕ วงเวยี นถ่ายขนาด : เปน็ วงเวยี นทม่ี ปี ลายแหลม 2 ข้าง วงเวียนชนิดน้ีใช้สาหรบั ถา่ ยขนาด ท่วี ดั ขนาดจากฟุตเหลก็ หรือฉากสามเหล่ียม แลว้ นาไปถ่ายลงบนแบบทาใหส้ ามารถแบ่งเส้นตรง แบ่งวงกลม ใหม้ ี ขนาดเท่าๆ กนั ได้สะดวกและรวดเรว็ งา่ ยต่อการเขยี นแบบ (ภาพท่ี ๒.๕) ภาพที่ ๒.๕ ๓. เคร่ืองมือสาหรบั ตัด - ผ่า เครือ่ งมือประเภทเลอื่ ย เป็นเครอื่ งมือสาหรับใชต้ ัด ผ่า บาก ฉลุไม้ เลอ่ื ยใชค้ มซึ่งมฟี ันลักษณะเป็นซ่ๆี ซึง่ ใบเลอื่ ยมีอยู่หลาย ชนดิ ตา่ งกนั ท้งั รปู แบบและขนาดของซ่ีฟนั เลื่อย และท่ีสาคญั คือ หนา้ ที่การใชง้ านต่างกันตามลกั ษณะของงาน

๒๕ ๓.๑ เลอื่ ยฉลุ : ใช้สาหรับฉลุส่วนท่เี ปน็ ลวดลายในแผ่นไม้ เป็นเคร่ืองมือที่สาหรบั งานขนาดเลก็ และไมท้ ่ใี ชส้ าหรับเล่ือยฉลุต้องไมห่ นาเกนิ ไป (ภาพที่ ๓.๑) ภาพท่ี ๓.๑ ๓.๒ เลื่อยรอ : หนา้ ท่โี ดยตรงของเลื่อยรอ คือ รอปากไม้ หมายถงึ การใชเ้ ลือ่ ยรอเล่อื ยแทรก ระหวา่ งไม้ เพอ่ื ต้องการปรบั ปากไมใ้ ห้เขา้ กนั สนิทตามหลกั วธิ กี ารเข้าปากไม้(ภาพที่ ๓.๒.ก และ ๓.๒.ข) ภาพท่ี ๓.๒.ก ภาพท่ี ๓.๒.ข ๓.๓ เลื่อยลนั ดา : ใชใ้ นการเล่ือยโกรกไม้ จากไมแ้ ผน่ กว้างเล่ือยซอยให้เปน็ ไมช้ น้ิ เล็กลง เป็นการ เลือ่ ยเพือ่ ผลติ งานในขนั้ ตอ่ ไป (ภาพที่๓.๓.ก และ ๓.๓.ข)

๒๖ ภาพท่ี ๓.๓.ก ภาพที่ ๓.๓.ข ๔. เครือ่ งมือสาหรับการไสไม้ - แต่งผวิ ไม้ เคร่ืองมอื ประเภทกบ ๔.๑ กบไสไม้ : เปน็ เครอื่ งมอื สาหรบั ไสแต่งผิวไมใ้ ห้เรียบและไดข้ นาดตามทกี่ าหนดไวใ้ นแบบ กอ่ นท่ี จะนาไม้ไปประกอบเขา้ กับช้ินงาน กบไสไม้เป็นกบทต่ี ้องไสดว้ ยมอื ซะเปน็ ส่วนใหญ่ มีอยู่ ๒ ประเภท คอื “ กบ ฝรั่ง ” กบไสไม้ท่ีรางกบทาด้วยเหลก็ “ กบไทยหรอื กบไสไม้ ” กบไสไมท้ ี่รางกบทาดว้ ยไม้เนอ้ื แข็ง เปน็ กบที่ แพรห่ ลายในประเทศไทยตง้ั แตอ่ ดีตจนถงึ ปจั จุบนั การจาแนกประเภทกบไสไม้ ๒ ชนดิ กบลา้ ง เปน็ เครือ่ งมือสาหรบั ไสผิวไมท้ ่ียงั ไม่เคยผา่ นการไสแต่งดว้ ยกบชนิดอน่ื มาก่อน กบ ล้างจงึ เป็นเครื่องมอื ชนิดแรกท่ที าหน้าทีป่ รับแตง่ ผิวไม้ กบล้างทใ่ี ช้โดยท่ัวไปจะมี ๓ ชนดิ (ภาพท่ี ๔.๑.ก ) ตา่ งกนั ทขี่ นาดและความยาวของกบ ดงั นี้ ภาพท่ี ๔.๑.ก ภาพที่ ๔.๑.ข

๒๗ ๑.๑ กบล้างยาว ความยาวของรางกบล้างยาวประมาณ ๑๖-๒๐ นว้ิ กบลา้ งยาวน้ีมี ความจาเป็นมากสาหรับการผลิตงานเครอ่ื งไม้ ใช้สาหรับไสลา้ งรอยเลอ่ื ยบนผิวไมก้ ่อนใช้กบผวิ หนา้ ทีส่ าคัญ คือใช้สาหรับไสไมใ้ หต้ รงไดแ้ นวและทส่ี าคญั คอื ใช้สาหรับ “เพลาะไม้” ๑.๒ กบล้างกลาง ความยาวของกบล้างกลางยาวประมาณ ๑๒-๑๔ นว้ิ ใช้ไสไม้ เพ่อื ให้ได้ขนาดตามต้องการ สามารถทาหน้าที่แทนกบลา้ งสนั้ และลา้ งยาวได้ แตไ่ ม่ควรจะไสไมท้ มี่ คี วามยาว ใหเ้ ป็นเสน้ ตรง เพราะตอ้ งไสด้วยความระมัดระวงั มิฉะนน้ั จะทาให้เกิดความคดโคง้ ได้ ๑.๓ กบล้างส้ัน ความยาวของกบล้างสั้นยาวประมาณ ๖-๘ น้ิว ใชไ้ สไมใ้ นงานหยาบท่ไี ม่ ต้องการความประณีต หรือไสไม้ลกั ษณะเป็นแผ่นบางโค้ง ท่ไี มอ่ าจใช้กบลา้ งกลางและกบล้างยาวได้ กบผิว เป็นเครื่องมือสาหรับไสแตง่ ผวิ ไม้ให้เรียบ ตรง ได้ระดบั ต้องใช้คู่กบั กบล้าง โดยใช้กบ ลา้ งไสกอ่ นแลว้ ใช้กบผวิ แต่งตาม การไสกบผวิ จะทาใหผ้ วิ ไม้ระเอียด ตรง ได้ระดับมากกว่ากบล้างและเป็น การไสไมด้ ้วยเครื่องมอื ไสแต่งผวิ ไมค้ รัง้ สุดท้าย ก่อนจะใชก้ ระดาษทราบขัดตาม กบผิวท่ีใชโ้ ดย ท่ัวไปจะมี 3 ชนดิ ตา่ งกนั ทีข่ นาดและความยาวของกบ ดังน้ี ๑.๑ กบผวิ ยาว ความยาวประมาณ ๑๖-๒๐ นว้ิ มหี นา้ ท่ีอยา่ งเดียวคอื การไสไม้ให้เรียบเป็น เส้นตรง ตอ่ จากการไสดว้ ยกบลา้ งยาว โดยเฉพาะใช้ไสไมเ้ พอ่ื เพลาะไม้ตัง้ แต่ 2 แผ่นขึน้ ไปเขา้ ดว้ ยกนั ๑.๒ กบผวิ กลาง ความยาวประมาณ ๑๐-๑๔ นว้ิ ใช้สาหรับไสไม้หลังจากไสดว้ ยกบล้างยาว และกบล้างกลางมาแล้ว กบผิวกลางน้ันใช้ไสไม้ทม่ี ขี นาดความยาวไมม่ ากนกั ๑.๓ กบผวิ สั้น ความยาวประมาณ ๖-๘ นิ้ว ใชแ้ ต่งผิวไมเ้ พือ่ ให้ผวิ ไมเ้ รียบละเอยี ดมากข้ึน หลังจากไสดว้ ยกบล้างแล้ว กบผิวสั้น ใช้ไสผวิ ไม้หนา้ กว้างของไม้โดยไสผ่านทัว่ ๆไป ไม่เจาะจงจะไสเพ่อื เปลยี่ นแปลงรปู ลักษณะของไม้ และไม่ตอ้ งการจะไสไม้ใหม้ ลี ักษณะเป็นเสน้ ตรง และการไสตอ้ งไสเฉลี่ย ท่ัวๆไปและตอ้ งระมัดระวงั มิฉะนัน้ จะทาให้ผวิ ไมไ้ ม่เสมอกนั ได้ ความแตกตา่ งระหว่างกบลา้ งและกบผิว ๑. ความลาดเอยี งของสว่ นที่สอดใบกบผวิ ตา่ งจากกบลา้ ง คือ กบผิวความลาดเอยี ง ๖๐ องศาส่วนกบล้างความลาดเอียง ๔๕ – ๕๐ องศา ๒. ปากกบผวิ แคบกวา่ ปากกบลา้ ง เพราะกบผวิ ไมต่ ้องมีฝาประกับและสว่ นท่ีเปน็ คมของใบ

๒๘ กบจะเกือบชดิ กบั ความกวา้ งของช่องปากรางกบซ่งึ จะมเี หล็กฝังไว้ จงึ เป็นสว่ นบังคับให้ช่องปากกบแคบกว่า กบลา้ งซึ่งมฝี าประกับซอ้ น ทาให้เกดิ ความหนาเพ่มิ ข้ึน ๓. บริเวณหน้ารางกบผิวรมิ ชอ่ งปากกบ จะมีเหล็กแผ่นขนาดหนาประมาณ ๑/๔ น้ิว กวา้ ง ๓/๘ นิว้ ฝงั ติดอยใู่ นไมร้ างกบในลกั ษณะขวาง ความกวา้ งของรางกบเสมอเรียบกบั หน้ากบ เหลก็ แผ่นนจ้ี ะทา หน้าทป่ี อ้ งกันไมใ่ ห้รางกบสกึ หรอ เนอื่ งจากคมกบกบั เหลก็ ทฝ่ี ังไวท้ ่ีปากรางกบจะต้องชดิ เกอื บสนิทกนั และ อยูใ่ นสภาพทก่ี ล่าวนี้อย่างคงที่ ฉะน้ัน การฝงั เหลก็ ไวจ้ ะชว่ ยบรรเทาการสึกหรอของไม้ สว่ นทเี่ ป็นหนา้ รางกบ ลงไดร้ ะดับหนึง่ เพราะการสึกหรอหรอของไม้หนา้ กบจะทาให้ชอ่ งปากกบกวา้ งขึ้นด้วย ๔.๒ กบราง : ทาดว้ ยไม้เน้ือแข็งทั้งชุด และมีสว่ นประกอบบางชน้ิ ทาดว้ ยโลหะ มหี นา้ ท่ีสาหรบั ใช้ เซาะร่อง หรือทารางไมใ้ ห้เป็นร่อง ขนาดของรอ่ งทเ่ี ซาะ ใหก้ าหนดความกว้างของใบกบสว่ นท่ีเป็นคมกบ ซ่ึง มีขนาดตา่ งๆกนั (ภาพที่ ๔.๒.ก และ ๔.๒.ข) ภาพที่ ๔.๒.ก ภาพที่ ๔.๒.ข ๔.๓ กบบงั ใบ : เปน็ เคร่อื งมือไสไม้ เพ่ือให้ไมน้ นั้ ลึกตา่ กว่าไม้อกี สว่ นหนึ่ง เป็นการไสไม้เฉพาะสว่ น ในไมช้ ้นิ เดยี วกัน ลักษณะของไม้ที่ไสตา่ ลงไปน้ีเรยี กวา่ “ บังใบ ”

๒๙ ภาพที่ ๔.๓.ก ภาพท่ี ๔.๓.ข ๔.๔ กบกระดี่ : ใชไ้ สไม้ในสว่ นที่ไม่สาม ารถใชก้ บไสอืน่ ได้ เชน่ ด้านขา้ งของชอ่ งบงั ใบหรอื แต่งมุมไม้ ให้มนหรือโค้ง ส่วนความยาวของไม้ไสเปน็ เสน้ ตรง ภาพที่ ๔.๔.ก ภาพที่ ๔.๔.ข ๔.๕ กบบวั หรอื กบลอกบวั : ใชส้ าหรับไสแตง่ มุมหรอื เหล่ยี มไมใ้ หเ้ ป็นเสน้ ตรงลวดลายตามแบบ ต่างๆ ท่ีกาหนดไวใ้ นแบบ ความลาดของใบบัวประมาณ ๕๐ – ๕๕ องศา กบทาบวั โคง้ นอก (ภาพที่ ๔.๕.ก) และกบทาบัวโคง้ ใน (ภาพท่ี ๔.๕.ข)

๓๐ ภาพที่ ๔.๕.ก ภาพที่ ๔.๕.ข ๔.๖ กบขูด : ใชส้ าหรบั ไสแต่งผิวไม้ให้เรยี บ จะตา่ งจาก กบทั่วไปตรงการบังคับตวั กบ สามารถไสไม้ ใหม้ ลี กั ษณะเป็นโคง้ ได้ มลี ักษณะรปู แบบต่างๆกันหลายแบบ แบง่ เป็น 2 ชนิด รางหรือตวั เรือนกบทาด้วย โลหะ (ภาพที่ ๔.๖.ก), รางหรอื ตวั เรอื นกบทาดว้ ยไม้ (ภาพที่ ๔.๖.ข) ภาพท่ี ๔.๖.ก ภาพที่ ๔.๖.ข ๕. เครอ่ื งมอื สาหรบั เจาะ ๕.๑ บดิ หล่า : เครอ่ื งมอื สาหรบั เจาะไมช้ นดิ หนง่ึ (ภาพที่ ๕.๑.ก) เป็นเครื่องมือที่มีมาตง้ั แตโ่ บราณ มกั ใชส้ าหรับเจาะขยายรู คือเมือ่ เจาะรู้ด้วยสว่านแลว้ ตอ้ งการขนาดรูทใ่ี หญก่ ว่าเดิม จะใชบ้ ดิ หล่าเจาะซ้า บรเิ วณสว่ นปลายของบดิ หล่าจะมีเกลียวขนาดเลก็ ตดิ อยู่ (ภาพที่ ๕.๑.ข) เพอื่ ใชใ้ นการเจาะนา