สตรีวิถีพทุ ธ WOMAN ON BUDDHIST WAY ภิกษณุ ี อบุ าสกิ า ภรรยา มารดา ธดิ า โสเภณี หญงิ หมาย มนตรี ววิ าหสขุ
สตรีวิถีพทุ ธ WOMAN ON BUDDHIST WAY อุบาสิกา ภกิ ษุณี ภรรยา โสเภณี มารดา ธดิ า หญิง หมาย ดาวนโ์ หลดหนงั สอื ไดท้ ล่ี งิ ก์ หรอื สแกนควิ อารโ์ คด้ https://anyflip.com/homepage/wbqna มนตรี ววิ าหส ขุ
สตรีวถิ ีพุทธ WOMAN ON BUDDHIST WAY หนงั สือเลมน้ีไดรับทุนสนับสนุนจากงบประมาณเงินรายได 2561 ครงั้ ท่ี 3 คณะมนษุ ยศาสตรแ ละสังคมศาสตร มหาวิทยาลัยบรู พา ขอ มูลทางบรรณานกุ รมของหอสมุดแหง ชาติ National Library of Thailand Cataloging in Publication Data มนตรี ววิ าหสขุ สตรวี ถิ ีพทุ ธ.-- ชลบรุ ี : รานตน บญุ การพมิ พ, 2564 180 หนา. 1. สตรีในพทุ ธศาสนา. l. ชื่อเรื่อง. 294.30924 ISBN 978-616-582-647-1 พิมพค รัง้ ที่ 1 พ.ศ. 2564 จำนวน 50 เลม ผูเ ขียน ผชู ว ยศาสตราจารย ดร.มนตรี วิวาหสขุ สาขาวชิ าไทยศกึ ษา คณะมนุษยศาสตรแ ละสงั คมศาสตร มหาวิทยาลัยบรู พา ลขิ สิทธิ์ คณะมนษุ ยศาสตรและสังคมศาสตร มหาวิทยาลัยบรู พา จัดทำโดย ผูชวยศาสตราจารย ดร.มนตรี วิวาหสขุ พิมพท่ี รา นตนบุญการพมิ พ 418 ถนนสุขุมวิท ตำบลแสนสขุ อำเภอเมอื ง จังหวดั ชลบุรี 20130
คำนำ หนังสือเลมนี้เผยแพรครั้งแรกเมื่อป 2561 ตามเงื่อนไขการรับทุน ซึ่งอยูใน วงจำกัด และยังไมไดขอกำหนดเลขมาตรฐานสากลประจำหนังสือ (ISBN) ในการพิมพ ครั้งนี้จึงถือเปนครั้งแรกซึ่งไดปรับโครงสราง เนื้อหา และระบบการอางอิงตามท่ี ผูทรงคณุ วฒุ ิแนะนำสอดคลองกบั จดุ เนนของหนงั สือ จุดเนน ของหนังสือเลม นค้ี ือการนำเสนอหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาสำหรับ สตรี ครอบคลุมสถานภาพของสตรีผูครองเรือนตามวิถีพุทธที่เรียกวาอุบาสิกาในฐานะ ธิดา ภรรยา มารดา หญิงหมาย และโสเภณี และ สตรีผูออกบวชจากเรือนคือภิกษุณี หนังสือเลมนี้จึงถือวาเปนหลักสังคมวิทยาแนวพุทธสำหรับการดำเนินชีวิตของสตรีใน สังคม คำวา “พุทธ” ในหนังสือเลมนี้ หมายถึง “พระพุทธเจา” ดังนั้น แหลงขอมูล หลักที่ใชในการอางอิงจึงคือ “พระไตรปฎก” ซึ่งเปนคัมภีรหรือแหลงรวบรวมคำสอน ของพระพุทธเจาไวอยางสมบูรณที่สุด และ “อรรถกา” ซึ่งเปนคัมภีรที่อธิบาย พระไตรปฎก ผูเขียนปรารถนาทำหนาที่เปนเพียงสะพานนำผูอานเขาเฝาฟงธรรมจาก พระพุทธเจาเปนหลัก แตถึงกระนั้น ก็ไดแสดงทัศนะเชิงวิพากษและวิจารณ ประกอบดว ยตามความเหมาะสม อนึ่ง ชื่อและเนื้อหาของหนังสือเลมนี้ แมจะมุงไปที่ “สตรี” ก็หาใชเหมาะสม สำหรับสตรีเทานั้นไม แตยังเหมาะสำหรับคนทุกเพศที่ดำเนินชีวิตอยูในสังคม เพราะ สตรีเปนสวนหนึ่งของสังคมที่ทกุ คนตอ งสัมพันธดวยตั้งแตเ กดิ จนตาย การรูแนวทางใน การดำเนินชีวติ ของเธอ จะชว ยใหป ฏบิ ัติตอ เธอไดอยางเหมาะสม สดุ ทา ยน้ี ผเู ขยี นขอขอบคณุ คณะมนุษยศาสตรและสงั คมศาสตร มหาวทิ ยาลัย บูรพา ที่ไดใหทุนสนับสนุนในการผลิตหนังสือเลมนี้ และหวังอยางยิ่งวาหนังสือเลมน้ี จะเปน ประโยชนท ั้งในเชงิ วชิ าการ และการดำเนินชวี ิตของสตรี ตลอดจนการปฏิบัติตอ สตรไี ดอยา งเหมาะสมตอไป มนตรี วิวาหสขุ 2564
(2) สัญลักษณและคำยอ แหลงขอมูลปฐมภมู ิของหนงั สือเลมน้ี คือ พระไตรปฎก ท่ีอา งองิ ในหนังสือเลม นี้ มี 3 ฉบับ คือ 1) พระไตรปฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เม่ือ อางอิงจะมีเครื่องหมายวงเล็บ (มจร.) กำกับ 2) พระไตรปฎกบาลี ฉบับสยามรัฐ เม่ือ อางอิงจะมีเครื่องหมายวงเล็บ (บาลี) กำกับ และ 3) พระไตรปฎกและอรรถกถา ภาษาไทย ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย ใชอางเฉพาะเนื้อความสวนที่เปนอรรถกถา เทา นนั้ เมื่ออา งองิ จะมีเครือ่ งหมายวงเลบ็ (มมร.) กำกับ วิธีอางอิงเนื้อความจากพระไตรปฎก ใชรูปแบบ เลม/ขอ/หนา เชน อัง.ติก. (มจร.) 20/66/255–263 หมายถึง สุตตันตปฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต (พระไตรปฎ กภาษาไทย ฉบับมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย) เลม 20 ขอ 66 หนา 255– 263 วิธีอางอิงเนื้อความสวนที่เปนอรรถกถา ใชรูปแบบ เลม/ขอ เชน ขุ.ขุ. (มมร.) 39/10–11 หมายถึง สุตตันตปฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ (พระไตรปฎกและอรรถ กถาภาษาไทย ฉบับมหามกฏุ ราชวทิ ยาลัย) เลม 39 หนา 10–11 อกั ษรยอสำหรบั พระไตรปฎกภาษาไทย พระวนิ ยั ปฎ ก ว.ิ จู. วินัยปฎ ก จฬู วรรค ว.ิ ภกิ ขุน.ี วนิ ัยปฎก ภิกขุนีวิภังค วิ.มหา. วนิ ัยปฎ ก มหาวภิ ังค พระสุตตนั ตปฎ ก ข.ุ ขุ. สุตตันตปฎก ขทุ ทกนกิ าย ขุททกปาฐะ ขุ.จฬู . สุตตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย จูฬนทิ เทส
ข.ุ ชา. สตุ ตันตปฎ ก (3) ขุ.เถร. สุตตันตปฎก ขุททกนิกาย ชาดก ข.ุ เถรี. สตุ ตันตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย เถรคาถา ข.ุ ธ. สตุ ตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย เถรคี าถา ข.ุ ว.ิ สตุ ตันตปฎก ขุททกนกิ าย ธรรมบท ข.ุ สุ. สุตตันตปฎ ก ขุททกนกิ าย วิมานวตั ถุ ข.ุ อป. สตุ ตันตปฎก ขทุ ทกนิกาย สุตตนิบาต ขุ.อุ. สตุ ตันตปฎ ก ขุททกนิกาย อปทาน ท.ี ปา. สุตตนั ตปฎก ขทุ ทกนกิ าย อุทาน ท.ี ม. สตุ ตันตปฎ ก ทีฆนิกาย ปาฏกิ วรรค ม.ม.ู สตุ ตันตปฎก ทีฆนกิ าย มหาวรรค ม.อุ. สุตตันตปฎ ก มชั ฌิมนิกาย มลู ปณณาสก สัง.ส. สุตตันตปฎก มชั ฌมิ นิกาย อปุ ริปณ ณาสก สัง.สฬา. สุตตันตปฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค องั .จตุกก. สตุ ตนั ตปฎ ก สังยุตตนกิ าย สฬายตนวรรค องั .ฉกั ก. สตุ ตันตปฎ ก อังคุตตรนิกาย จตุกกนบิ าต องั .ตกิ . สตุ ตันตปฎ ก อังคุตตรนิกาย ฉกั กนบิ าต อัง.ทสก. สุตตนั ตปฎก องั คตุ ตรนิกาย ติกนิบาต อัง.ทกุ . สตุ ตนั ตปฎก องั คตุ ตรนิกาย ทสกนบิ าต องั .ปญ จก. สุตตนั ตปฎก อังคุตตรนิกาย ทุกนบิ าต อัง.สัตตก. สุตตันตปฎก อังคตุ ตรนิกาย ปญจกนิบาต องั .อัฐฺ ก. สตุ ตันตปฎก อคั ตุ ตรนิกาย สตั ตกนบิ าต องั .เอกก. สตุ ตันตปฎก องั คุตตรนิกาย อัฏฐกนบิ าต องั คุตตรนิกาย เอกกนิบาต อักษรยอสำหรบั พระไตรปฎ กบาลี พระสตุ ตันตปฎก ขุ.ข.ุ สุตตฺ นฺตปฏก ขทุ ฺทกนกิ าย ขุททฺ กปาฐ องฺ.ตกิ . สตุ ฺตนฺตปฏ ก องฺคุตตฺ รนิกาย ตกิ นิปาต
(4)
(5) สารบญั หนา คำนำ ................................................................................................................... (1) สัญลักษณแ ละคำยอ .......................................................................................... (2) สารบญั ............................................................................................................... (5) บทที่ 1 บทนำ ....................................................................................................... 1 เนื้อหาเชิงลบตอสตรี ……………...........................................................…… 2 1. กรณกี ณุ าลชาดก ….…….....……………......................................…… 2 2. กรณีทตุ ิยกัณหสัปปสตู ร …..................................…………….....…… 2 3. กรณพี หธุ าตุกสูตร …...........................................…………….....…… 2 4. กรณกี ัมโพชสูตร …..............................................…………….....…… 3 5. กรณีอสิ สรสูตร …................................................…………….....…… 3 เนอ้ื หาเชิงบวกตอสตรี .............................................................................. 3 1. กรณมี หาหังสชาดก …............................................…………….....…… 3 2. กรณธี ีตุสตู ร ….....................................................…………….....…… 4 3. กรณสี ุลสาชาดก ….................................................…………….....…… 4 เนอื้ หาทม่ี ลี ักษณะเปน กลาง ..................................................................... 4 1. กรณอี โยฆรชาดก ….............................................…………….....…… 4 2. กรณจี ูฬกัมมวภิ ังคสตู ร .......................................…………….....…… 5 3. กรณอี ุโบสถสตู ร …..............................................…………….....…… 5 4. กรณีอจั ฉราสูตร …...............................................…………….....…… 5 คำวจิ ารณเนอื้ หาของพระไตรปฎกเกี่ยวกบั สตรี ………………...............…… 7 ทาทที ี่ตงั้ อยบู นหลกั คดิ รว มสมัยปจ จุบัน ………...……………………..…… 7
(6) หนา สารบัญ (ตอ ) ทา ทที ่ีตั้งอยูบ นหลกั คิดรวมสมัยพทุ ธกาล …………………...............…… 9 ขอ สรุป ………………………………………................................………………….. 10 บทท่ี 2 ธิดา: สตรที ี่เปนอนาคตของมนษุ ยชาติ ………………………………….…..…. 12 ความนำ ………………….............................…………………………………...…… 12 ความเปน ไปรว มสมยั ……………………………………………….........……...…… 13 การเปลีย่ นแปลงความหมายและสถานภาพ ……………………………......... 15 ความหมาย …………………………..............................…………..….….…. 15 สถานภาพ ……………………………………………………..…................……. 16 สิทธแิ ละหนา ที่ ……………….................................………………………….….. 18 สทิ ธิ ………........................................................……………………..…… 18 หนา ที่ ………........................................................…………………..…… 19 พลวัตของครอบครัว ………………………..................................…..…… 22 ตัวชวี้ ัดความสำเรจ็ ของสิทธิและหนาที่ …………...................…………..….. 25 ตัวชวี้ ัดความสำเร็จภายนอก (บุพการี) ………………………………..…… 25 ตวั ชี้วัดความสำเร็จภายใน (กตัญกู ตเวที) ………………..…….….…… 27 ตวั ชี้วดั ความสำเร็จเชงิ โครงสรา ง ………………..............…………..…… 27 ขอ สรุป …………………………………..............................................……..…… 30 บทท่ี 3 ภรรยา: สตรีที่เปน ยอดสหาย ………………….........................….……..…… 32 ความนำ …………………………………………………...........…………………...…… 32 ความเปนไปรวมสมัย ……………………………………………………………...…… 33 การเปลย่ี นแปลงโครงสรา งและบทบาท …………………………………………. 35 โครงสรางของคชู ีวติ ………………........................…………………...…… 35 บทบาท ………...................……….......................……...….………...…… 36 ประเภทและฐานะ ..............................................................................… 37 ประเภท ……………….........................................……...….………...…… 37 ฐานะ …………………………………………...…………..........................…… 43
(7) หนา สารบัญ (ตอ) ภรรยาท่ีพงึ ประสงคแ ละไมพึงประสงค ………...................................…… 47 ภรรยาท่พี งึ ประสงค ……………………………………............…...………… 47 ภรรยาท่ไี มพ ึงประสงค ………………………………………………..………… 48 หลักปฏบิ ตั ิของสามีภรรยา ……………………………….....................………… 48 ขอ หา ม …………………………………………………................…………...…. 49 ขออนญุ าต …………………………………………….................…………...…. 49 คูสามีภรรยาในอุดมคติ …………………………………………...........………...…. 52 ขอ สรุป …………………………………………............……………………………...…. 55 บทท่ี 4 มารดา: สตรีท่ีมีรักบริสุทธิ์ ………………......................…………..…...…..…. 57 ความนำ …………………………………………..........................……………...…… 57 ความเปนไปรวมสมยั ……………………………………………………….…….……. 58 การเปลี่ยนแปลงอำนาจอนั ศักดสิ์ ิทธ์ิ …………………………….....…......……. 60 เทพกับมนุษย ……………......................................................…...……. 60 มนุษยกบั มนษุ ย ……………..................................................…...……. 61 ฐานะและหนาที่ ……………………...............................………………………… 63 ฐานะ ………………………………………………………..........................…… 64 หนา ที่ …………………………......................................………...........…… 68 การตอบแทนคุณพอแม ………………………………………….................……… 70 ขอสรปุ …………………………………………………......................…………..…… 72 บทที่ 5 หญงิ หมา ย และโสเภณ:ี สตรที ่มี ีฐานะพิเศษในสังคม …...............….…. 74 ความนำ ………………………………...........……………………………………...…… 74 ความเปน ไปรว มสมยั ……………………………………………............………..…. 75 หญงิ หมา ย: ความหมายและทางออก ……………………………..……..………. 77 ความหมาย ………………………………………….....................………...….. 77 ทางออก ………………………………………............................………...….. 78 สตี: ประเพณีการเผาตวั ตายตามสามี …………………….....………....…. 82
(8) หนา สารบัญ (ตอ ) โสเภณ:ี ความหมายและทางออก ……………………......................…...…… 83 ความหมาย ……………………………............………………...………...…….. 83 ทางออก ………………………………...........................................……..... 85 พ้ืนทท่ี างศาสนาของหญิงหมา ย และโสเภณี …………...................……..... 87 ขอ สรุป ………………………………………………………..............…………...…….. 90 บทท่ี 6 อุบาสิกา: สตรที ่ีศรทั ธาในพระรตั นตรัย ….........................…….…....….. 92 ความนำ ………………………………………….............……….……………......…… 92 ความหมาย ………………………………………………………….....................…… 93 สมบตั ิและวบิ ตั ิของอุบาสิกา ………………………………..................….....….. 95 กำเนดิ อุบาสกิ า …………………………………………................…......……. 95 สมบัติ ……………………….........................……………………..…..….……. 95 วิบัติ …………………………….........................……………..………..….……. 97 การถึงและการขาดสรณะ ………………………...............................…..……. 99 ความหมายของสรณะ ………………………………......………..…..….……. 99 เปา หมายของสรณคมน …………………………..................……..….……. 99 ประเภทของผูเขา ถงึ สรณคมน …………………………................….……. 99 วิธีเขา ถงึ สรณะ ……………......……………………..............……..….……. 101 การขาดจากสรณะ …………………………………..............……..….……. 102 บทบาทอบุ าสกิ าตัวอยา ง ………………………………………...…………….….. 102 อบุ าสิกาตัวอยาง …………………………………........……………..….……. 102 บทบาท …………………………………...................………………..….……. 103 ขอ สรปุ ……………………………………………..………..............................….. 108 บทที่ 7 ภกิ ษณุ :ี สตรีที่บวชเปนพระ ……………….......................................……. 110 ความนำ …………………………………..............................…………….....…… 110 ความหมายและกำเนิด …………………………………………...........………….. 111 ความหมาย ………………................................…..……………...…….... 111
(9) หนา สารบญั (ตอ) กำเนดิ …………………..……….................................................…….... 112 สกิ ขาบท …………………..…............................................................. 114 รปู แบบการบวชภกิ ษณุ ี …………………………………….........................….. 118 ครุธรรมปฏิคคหณูปสัมปทา ………............................…….……….... 118 ญัตติจตุตถกรรมอปุ สัมปทา …….............................………...….….... 119 อัฏฐวาจกิ าอุปสมั ปทา …………………..……………......................….... 120 ทูเตนุปสัมปทา …………………..........................…………...…...…….... 120 บทบาทพระเถรตี วั อยาง ……………………..................……………………..... 121 พระเถรีผูกลาวคำภาษติ …………………...............……………...…….... 121 พระเถรีผูมคี วามรูความสามารถพเิ ศษ …………............….....…….... 123 ภมู ิหลังและสาเหตแุ หง การออกบวช …………………....................... 123 บทบาท …………………..…………......................................…...…….... 125 นานาทศั นะตอ ครุธรรม ……......................................…………..………..... 127 ขอสรุป ……………………………………………….......................…………….…. 129 บทท่ี 8 บทสรปุ …………............................................………….........………………. 130 บรรณานุกรม …………………………………….……..................................…………...… 132 ดชั นี …………………………………………...............................................………..…...… 145 ประวัตผิ เู ขียน ………………………………………….............................………....…...… 166
(10)
1 บทที่ 1 บทนำ พระพทุ ธศาสนามีตน กำเนดิ ที่ประเทศอินเดียที่มปี ระวัติศาสตรยาวนานมากกวา 5,000 ป ตลอดระยะเวลาอันยาวนานนั้นสถานภาพสตรีอินเดียแตละยุคสมัยมีทั้งสูง และต่ำ ยคุ ท่ีสถานภาพสตรีอินเดียเทา เทยี มกบั บุรุษคือยุคอารยันเร่ือยมาถึงยุคพระเวท จากนั้นก็เริ่มตกต่ำลงตามลำดับจนถึงยุคพราหมณ สถานภาพสตรีอินเดียไดตกต่ำถึง ที่สุดซึ่งอยูในสมัยเดยี วกันกับพระพุทธเจา พระพุทธเจาจึงทรงแนะแนวทางปฏิรูปและ ปฏิวัติโครงสรางทางสังคมใหส ตรีมีฐานะเทาเทยี มกับบุรุษ และกลายเปน วิถีการดำเนิน ชีวติ อีกแบบหนึง่ ของสตรี ซง่ึ รายละเอยี ดปรากกฎอยใู นพระไตรปฎก อยางไรกต็ าม เนือ้ หาของพระไตรปฎกทีเ่ กย่ี วของกบั สตรี มนตรี สริ ะโรจนานนั ท (สืบดวง) (2557) ระบุวามีทั้งดานลบ ดานบวก และเปนกลาง แมเนื้อหาดานลบหรอื ดู หมิ่นสตรีจะมีจำนวนนอยมากและสวนใหญปรากฏอยูในชาดก ก็จำเปนตองพิจารณา เน้ือความและบริบทของเนอ้ื ความน้นั เพื่อความเขา ใจทศั นะของพระพทุ ธศาสนา ท่ีมตี อ สตรีอยา งถูกตอง เนื้อหาของพระไตรปฎกที่กลาวถึงขอเสียของสตรีซึ่งมนตรียกมาเปน ตัวอยางมี 5 กรณี ไดแก 1) กุณาลชาดก 2) ทุติยกัณหสัปปสูตร 3) พหุธาตุกสูตร 4) กมั โพชสูตร 5) อสิ สรสตู ร เนอื้ หาทกี่ ลา วถงึ ขอ ดขี องสตรถี ูกยกมาเปนตัวอยาง 3 กรณี ไดแ ก 1) มหา หังสชาดก 2) ธตี สุ ตู ร 3) สลุ สาชาดก เนื้อหาที่มีลักษณะเปนกลางคือทั้งไมดูหมิ่นและไมยกยองถูกยกมาเปน ตัวอยา ง 4 กรณี ไดแ ก 1) อโยฆรชาดก 2) จฬู กัมมวภิ ังคสตู ร 3) อโุ บสถสตู ร 4) อัจฉรา สตู ร แตละกรณีมเี นื้อหาดังนี้
2 เนอื้ หาเชิงลบตอ สตรี 1. กรณีกณุ าลชาดก (ชาดกวาดว ยนกดุเหวา) ดงั ความตอนหนึง่ ทน่ี กดเุ หวา ช่ือกุณาละกลาวกับนกดุเหวา ชอื่ ปุณณมุขวา ...ขนึ้ ชอื่ วา หญิงทัง้ หลายในโลก เปนคนชั่วราย ไมมีขอบเขต กำหนัดจัด และคกึ คะนอง กินทุกอยางเหมือนเปลวไฟ ธรรมดาวา บุรุษ เปนทร่ี ักของหญิงไมมี ไมเ ปนทรี่ ักก็ไมมี เพราะวา หญิงท้งั หลาย ยอมคบบุรุษไดท้ังทเี่ ปนคนรักและมิใชคนรัก เหมือนเรือจอดไดท ้งั ฝง น้ีและฝง โนน ... [ขุ.ชา. (มจร.) 28/335/152] 2. กรณีทตุ ยิ กัณหสัปปสูตร (สูตรวา ดว ยงูเหา สตู รที่ 2) ดงั ความที่ พระพุทธเจา ตรสั กบั ภกิ ษทุ ัง้ หลายวา ภิกษุทง้ั หลาย งูเหา มีโทษ 5 ประการ คือ 1) มักโกรธ 2) มัก ผูกโกรธ 3) มพี ษิ ราย 4) มีลิน้ สองแฉก 5) มักทำรายมติ ร ภกิ ษุ ท้งั หลาย ในทำนองเดยี วกนั มาตุคาม (สตรี) มีโทษ 5 ประการ คือ 1) มักโกรธ 2) มักผกู โกรธ 3) มพี ิษรา ย 4) มลี ิ้นสองแฉก 5) มักทำ รายมิตร ภกิ ษุทัง้ หลาย การท่ีมาตุคามมพี ิษราย หมายถงึ สวนมาก มาตุคามมรี าคะจัด การท่มี าตุคามมีลิ้นสองแฉก หมายถึง สวนมาก มาตุคามมักพดู สอเสยี ด การที่มาตุคามมกั ทำรา ยมิตร หมายถงึ สวนมากมาตคุ ามมักนอกใจ [องั .ปญ จก.(มจร.) 22/230/371-372] 3. กรณพี หุธาตุกสูตร (สตู รวา ดว ยธาตมุ ากอยาง) มขี อความดงั ท่ี พระพทุ ธเจา ตรสั กบั พระอานนทว า เปน ไปไมไ ดที่สตรพี ึงเปน พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจา ... เปน พระเจาจักรพรรดิ ...เปน ทาวสกั กะ ...เปนมาร ...เปนพรหม แต เปนไปไดทบ่ี รุ ุษพึงเปนพระอรหันตสมั มาสัมพุทธเจา ...เปนพระเจา จักรพรรดิ ...เปนทา วสกั กะ ...เปนมาร ...เปน พรหม [ม.อุ. (มจร.) 14/130/167]
3 4. กรณีกัมโพชสูตร (สูตรวาดวยเหตุใหสตรีไปแควนกัมโพชะไมได) ดังความ ที่พระอานนททูลถาม พระพทุ ธเจา ตรัสตอบดังนี้ พระอานนททลู ถามวา อะไรเปน เหตุปจจยั ทำใหม าตุคาม (สตรี) นง่ั ในสภาไมได ทำงานใหญไมได ไปแควนกัมโพชะก็ไมไ ด พระพุทธเจา ตรัสวา มาตคุ าม มกั โกรธ ชอบริษยา ตระหน่ี ไมมปี ญ ญา จึงทำใหน ง่ั ในสภาไมได ทำงานใหญไ มได เดินทางไป แควนกัมโพชะก็ไมได [องั .จตุกก. (มจร.) 21/80/125] 5. กรณีอสิ สรสตู ร (สตู รวาดว ยความเปนใหญ) ดังความทเี่ ทวดาทลู ถาม พระพุทธเจาตรัสตอบดังนี้ อะไรเลาเปน ใหญในโลก เปน สิ่งสูงสดุ กวา บรรดาภณั ฑะ เปน ดงั สนมิ ศัตราในโลก เปนเสนียดจัญไรในโลก ใครนำของไปยอม ถูกหาม แตใครกลบั เปน ท่ีรัก ใครมาบอย ๆ บัณฑติ ยอมยินดี พระผูมีพระภาคเจา ตรสั ตอบวา อำนาจเปนใหญในโลก หญิง เปน สง่ิ สงู สุดบรรดาภัณฑะท้งั หลาย ความโกรธเปนดงั สนมิ ศัตรา ในโลก พวกโจรเปน เสนยี ดจัญไรในโลก โจรนำของไป ยอมถกู หาม แตส มณะนำของไปกลบั เปนท่ีรกั สมณะมาบอ ย ๆ บณั ฑิตยอมยนิ ดี [สงั .ส. (มจร.) 15/77/84] เนือ้ หาเชิงบวกตอ สตรี 1. กรณีมหาหังสชาดก (สูตรวาดวยพญาหงสติดบวง) มีขอความดังที่พญา หงสธตรฏั ฐกลา วกบั หงสส ุมขุ วา สง่ิ ใดที่ทา นผูเจริญรูจ ักกนั ดี ใครควรจะตเิ ตยี นสงิ่ น้ันเลา ขนึ้ ช่อื วาหญิงท้ังหลายเปน ผูมีคณุ มาก เกิดข้นึ กอนในโลก การเลน คะนองอันบุคคลตัง้ ไวแ ลวในหญิงเหลา นนั้ ความยนิ ดีในหญงิ เหลา นั้น บคุ คลกต็ ้ังไวเ ฉพาะแลว พชื ท้ังหลายก็งอกงามในหญงิ เหลา นน้ั คอื สัตวท ้งั หลายยอมเกดิ ในหญิงเหลา นน้ั ชีวิตกับชวี ติ มาเกี่ยวของกนั
4 แลวใครเลาจะพึงเบ่ือหนายหญงิ เหลา น้ัน [ข.ุ ชา. (มจร.) 28/119- 120/103] 2. กรณีธีตุสูตร (สูตรวาดวยพระธิดา) มีขอความดังที่พระพุทธเจาตรัสกับ พระเจาปเสนทโิ กศลวา มหาบพติ รผเู ปนใหญกวาปวงชน แทจ รงิ แมห ญิงบางคนก็ยัง ดกี วา (บรุ ษุ ) ขอพระองคจงชบุ เล้ยี งไวเ ถิด หญิงผมู ีปญญา มศี ีล บำรุง แมผ ัวพอ ผัวดุจเทวดา จงรักภักดีตอสามี ยงั มีอยู บรุ ษุ ที่เกิดจาก หญงิ นั้น ยอมแกลว กลา เปน ใหญใ นทศิ ได บุตรของภรรยาดีเชน นนั้ กค็ รองราชสมบัติได [สงั .ส. (มจร.) 15/127/150] 3. กรณีสุลสาชาดก (ชาดกวาดวยนางสุลสาหญิงงามเมือง) ดังความที่เทวดา กลา ววา ใชว า ชายจะเปน บณั ฑิตในที่ทุกสถานกห็ าไม แมห ญงิ มปี ญ ญาเหน็ ประจักษในเรอื่ งน้นั ๆ กเ็ ปน บณั ฑิตได ใชว า ชายจะเปน บณั ฑิตในท่ีทกุ สถานกห็ าไม แมหญิงมีปญ ญาคดิ เน้ือความไดฉบั พลนั กเ็ ปน บัณฑติ ได [ขุ.ชา. (มจร.) 27/22-23/288] เนอ้ื หาทมี่ ีลักษณะเปนกลาง 1. กรณีอโยฆรชาดก (ชาดกวาดวยมหาสัตวหรือพระโพธิสัตวอโยฆรราช) ดงั ความที่พระโพธิสตั วอ โยฆรราชกราบทลู พระราชบิดาวา แทจรงิ ชวี ติ ของเหลาสตั วท้ังปวงทั้งหญิงชายในโลกนม้ี ี สภาพหว่นั ไหวปน ปวนเหมือนแผนผาของนักเลง เหมือนตน ไมทเี่ กิด ใกลฝ ง เพราะเหตุน้ัน ขาพระพุทธเจาจงึ มีความคิดวา จะประพฤติ ธรรม ทงั้ คนหนมุ ทั้งคนแก ทั้งหญิง ท้ังชาย ทงั้ บัณเฑาะก (กะเทย) ยอมมีกายแตกทำลายไปเหมือนผลไมห ลน จากตน เพราะเหตนุ น้ั ขาพระพุทธเจา จึงมีความคดิ วา จะประพฤตธิ รรม [ข.ุ ชา. (มจร.) 27/371-372/534-535]
5 2. กรณจี ูฬกัมมวภิ ังคสูตร (สูตรวา ดวยการจำแนกกรรมสูตรเลก็ ) ดังความท่ี พระผมู ีพระภาคเจาตรัสกบั สุภมาณพโตไทยยบตุ รวา มาณพ บุคคลบางคนในโลกน้ี เปนสตรีกต็ าม เปนบุรษุ กต็ าม เปน ผูฆ า สตั ว เปนคนหยาบชา มมี ือเปอนเลือด ฝกใฝใ นการประหัต ประหาร ไมมีความกรณุ าในสัตวท ้งั หลาย เพราะกรรมนั้นท่ีเขา ใหบรบิ รู ณ ยดึ มัน่ ไวอยา งนนั้ หลงั จากตายแลว เขาจึงไปเกิดในอบาย ทุคติ วนิ ิบาต นรก หลงั จากตายแลว ถา ไมเ กดิ ในอบาย ทคุ ติ วนิ บิ าต นรก กลับมาเกดิ เปนมนุษยใ นทใ่ี ด ๆ เขากจ็ ะเปนคนอายสุ ้ัน [ม.อ.ุ (มจร.) 14/290/350] 3. กรณอี โุ ปสถสตู ร (สูตรวา ดว ยอุโบสถ) พระผูม พี ระภาคเจาตรสั กับนางวิสาขาวา เรอื่ งน้ีเปนสิ่งทเี่ ปน ไปได คือ สตรหี รือบุรษุ บางคนในโลกน้ี รกั ษาอโุ บสถทป่ี ระกอบดวยองค 8 หลังจากตายแลว พึงเขา ถงึ ความ เปนผอู ยรู วมกับเทวดาชน้ั จาตุมหาราช...ชัน้ ดาวดงึ ส. ..ชั้นยามา... ชนั้ ดสุ ิต...ชัน้ นิมมานรด.ี ..ชนั้ ปรนิมมิตวสวัตด.ี ..[องั .ทุก. (มจร.) 20/71/288–289] 4. กรณอี จั ฉราสูตร (สตู รวา ดว ยนางอปั สร) พระผูมพี ระภาคเจาตรสั กับเทวดาวา ทางน้นั ชอ่ื วา เปนทางตรง ทิศนั้นชอ่ื วา ไมม ภี ัย รถชอื่ วา ไมมี เสยี งดงั ประกอบดว ยลอคอื ธรรม หิริเปน ฝาประทนุ ของรถนน้ั สติ เปน เกราะก้ันของรถนน้ั เรากลาวธรรม มีสัมมาทฏิ ฐนิ ำหนา วา เปน นายสารถี ยานชนิดนี้มอี ยแู กผใู ด จะเปนสตรหี รอื บรุ ุษก็ตาม ผนู ้นั ไปใกลนิพพานดวยยานนแ้ี ล [สงั .ส. (มจร.) 15/46/60] ตารางท่ี 1-1 ตวั อยา งทศั นะตอสตรีในพระไตรปฎ ก ลกั ษณะเนอ้ื หา กรณี ผูแ สดง ผูสดับ เชงิ ลบ 1. กณุ าลชาดก นก (ดุเหวา) นก (ดุเหวา) 2. ทตุ ิยกัณหสัปปสตู ร พระพุทธเจา ภิกษทุ งั้ หลาย
6 ลกั ษณะเนือ้ หา กรณี ผูแสดง ผูส ดบั 3. พหธุ าตกุ สตู ร พระพุทธเจา พระอานนท 4. กัมโพชสูตร พระพทุ ธเจา พระอานนท 5. อิสสรสูตร พระพทุ ธเจา เทวดา เชิงบวก 6. มหาหังสชาดก นก (หงส) นก (หงส) 7. ธตี สุ ตู ร พระพทุ ธเจา พระเจาปเสนทโิ กศล 8. สลุ สาชาดก เทวดา - เปนกลาง 9. อโยฆรชาดก พระโพธสิ ัตวน ามวา พระราชา (บดิ า) อโยฆรราช (บตุ ร) สภุ มาณพโตไทยยบตุ ร 10. จูฬกัมมวภิ งั คสูตร พระพุทธเจา นางวสิ าขา 11. อโุ ปสถสตู ร พระพุทธเจา เทวดา 12. อจั ฉราสูตร พระพุทธเจา จากเนื้อหาที่ยกมาเปนตัวอยางขางตนแสดงใหเห็นวาสตรีมีทั้งดีและไมดี ปะปนกันไปในสังคมยคุ น้นั เน้อื หาบางสว นสะทอนพฤติกรรมของสตรี ในขณะท่ีเน้ือหา บางสวนสะทอนทาทีท่ีสงั คมมีตอสตรี พระพทุ ธเจา ทรงยกเรื่องราวของสตรีที่ปรากฏใน สังคมเหลานั้นมาเพื่อสื่อสารกับคนรวมสมัยกับพระองคแลวสอนวาคนทำดียอมไดรับ ผลดี คนทำชวั่ ยอ มไดรับผลชวั่ โดยไมจ ำกัดเพศ กลา วคอื คนไมวา จะเปน เพศหญิง เพศ ชาย หรือเพศทางเลือกก็ยอมไดรับผลจากการกระทำเชนเดียวกัน และไมวาใครก็ตาม หากมศี ีล สมาธิ และปญ ญาครบถวนก็ลวนบรรลุนิพพานไดทกุ คน อนึ่ง เนื้อหาที่ปรากฏในพระไตรปฎกเกือบทั้งหมดเปนขอความที่ พระพุทธเจาตรัสไวซึ่งบางเรื่องพระองคยกคำกลาวของผูอื่นมา เชน กรณีกุณาลชาดก มหาหังสชาดก สลุ สาชาดก และอโยฆรชาดก บางเรอื่ งพระองคต รสั ตอบคำทลู ถาม เชน กรณีพหุธาตุกสูตร กัมโพชสูตร อิสสรสูตร จูฬกัมมวิภังคสูตร อุโปสถสูตร อัจฉราสูตร บางเรื่องพระองคตรัสเพื่อปลดเปลื้องความเศราใจคือกรณีธีตุสูตร บางเรื่องพระองค ตรัสกับภิกษุทั้งหลาย คือ ทุติยกัณหสัปปสูตร คำถามคือ 1) ทำไมพระพุทธเจาจึงทรง ยกเรอื่ งเหลา น้นั มาตรัสไว 2) ทำไมพระอานนท เทวดา สภุ มาณพโตไทยยบตุ ร และนาง วิสาขา จึงทูลถามเรื่องเหลานั้นกับพระองค 3) ทำไมพระเจาปเสนทิโกศลจึงเศรา พระทัยจนเปนเหตุใหพระพุทธเจาทรงมีพระดำรัสเพื่อปลดเปลื้อง และ 4) ทำไม พระพทุ ธเจา จงึ ทรงตรสั ถึงสตรีเปรียบกบั งูเหา ใหภ ิกษุทัง้ หลายฟง เพราะเหตุนี้ ในแตละ
7 บทของหนังสือเลมนี้ จึงกลาวถึงบริบทรวมสมัยในยุคพุทธกาลดวยเพื่อความเขาใจ ทัศนะทถ่ี ูกตอ งของพระพุทธเจา คำวิจารณเนื้อหาของพระไตรปฎกเกี่ยวกับสตรี เน้ือหาของพระไตรปฎ กมีเปน จำนวนมากทำใหผูศึกษาพระไตรปฎ กจนแตกฉาน มีจำนวนคอนขางนอย ชาวพุทธสวนใหญเรียนรูจากอาจารยทั้งที่เปนบรรพชิตและ ฆราวาสผานทางการฟงธรรม และการอานหนังสือ เปนตน หลักคำสอนโดยทั่วไปก็มุง ไปที่หลักปฏิบัติอันเปนหัวใจของพระพุทธศาสนา คือ ทาน ศีล สมาธิ และปญญา จน ทำใหอาจเขาใจวาเนื้อหาในพระไตรปฎกมีแตเรื่องราวเกี่ยวกับการสั่งสมบุญกุศล พอ ไดรับขอมูลวามีเนื้อหาเชิงลบตอสตรีก็ทำใหคิดเห็นไปตาง ๆ อยางนอย 2 แบบ คือ แบบทีต่ อ งอยบู นหลักคดิ รว มสมัยปจจุบัน และรว มสมัยพุทธกาล ทา ทที ่ีตัง้ อยบู นหลักคดิ รว มสมยั ปจ จบุ ัน เนื้อหาและเรื่องราวเกี่ยวกับผูหญิงที่ปรากฏในคัมภีรพระพุทธศาสนาทั้งดูหม่ิน ยกยอง และเปนกลางนั้น ทัศนะที่ยกยองและเปนกลางไมคอยมีใครกลาวถึงหรือ วิจารณมากนัก ในขณะที่ทัศนะเชิงดูหมิ่นผูหญิงถูกวิพากษวิจารณซึ่งสามารถแบง ออกเปน 3 แนวทาง [มนตรี สิระโรจนานนั ท (สบื ดวง), 2557] ไดแ ก 1) ขอความเหลานี้ไมใชพุทธพจนแตถูกเพิ่มเติมในภายหลังดวยอิทธิพล ของวัฒนธรรมพราหมณที่เลือกปฏิบัติตอสตรี (เมตฺตานนฺโทภิกฺขุ, 2545; ภิกษุณีธัมม นนั ทา, 2547) 2) ขอ ความเหลา นเี้ ปน พทุ ธพจนแตเ ปนลักษณะทว่ั ไปท่มี นุษยคนหนึ่งจะมี ทั้งความคิดบวกและลบตอเรื่องใดเรื่องหนึ่งไมเวนแมแตพระพุทธเจาเพราะพระองคก็ ทรงเปนมนษุ ย (ปารชิ าต นนทกานันท, 2523) 3) ขอความเหลานี้อาจไมใชพุทธพจนหรือเปนพุทธพจนก็ไดแตถูก รวบรวมไวในพระไตรปฎกตามความพึงพอใจสวนตนของผูบันทึกซึ่งผูที่บันทึก พระไตรปฎก คือพระภิกษุลวนเปนผูชายยอมพึงพอใจที่จะบันทึกเรื่องราวของผูชาย เปน อยางดี (ฉตั รสมุ าลย กบลิ สงิ ห ษฏั เสน, 2541) ทา ทีเหลานม้ี ีแนวคดิ หลักรวมกัน คือ ยนื อยูบ นหลกั การบางอยางแลววินิจฉัยไป ตามหลักการนั้นโดยเฉพาะหลักการที่พัฒนาขึ้นและใชอ ยูในปจจุบัน เชน หลักคิดตาม
8 แนวมนุษยนิยม และหลักคิดตามแนวสตรีนิยม เมื่อนำหลักการเหลานี้ไปพิจารณา เนื้อหาของพระไตรปฎกก็จะเห็นเนื้อหาบางอยางเปนไปตามหลักการบาง เนื้อหา บางอยางไมเปนไปตามหลักการบาง จากนั้นก็นำไปสูการวินิจฉัยวาเนื้อหาใดที่เขากับ หลักการ เนื้อหานั้นก็ถูกตอง ใชได สวนเนื้อหาใดไมเขากับหลักการจะถูกวินิจฉัยวา ไมถูกตอง ใชไมได หรืออยางนอยก็จัดลำดับของเนื้อหาเหลานั้นใหตางชั้นจากเนื้อหา เหลา อนื่ แมจ ะมีทีม่ าจากแหลง เดียวกัน คือ พระไตรปฎก พระไตรปฎกเปนแหลงทม่ี าของเนอื้ หาท้ังเชงิ ลบ เชงิ บวก และเปนกลาง แตท าที ทตี่ ัง้ อยบู นหลักคิดรว มสมัยปจจุบนั กลับไมว ิพากษว ิจารณทาทีที่มลี ักษณะบวกและเปน กลาง แตมุงกระทำกับเนื้อหาเชิงลบเทานั้น ทำใหถูกตั้งคำถามกลับดวยหลักการที่ใช วิพากษวิจารณนั่นเองวา แลวรูไดอยางไรหรือเชื่อไดอยางไรวาหลักการดังกลาวนั้น ถูกตองเพราะเนื้อหาไมวาเชิงลบ เชิงบวก และเปนกลางมีที่มาจากแหลงเดียวกันคือ พระไตรปฎก หลักการที่นำมาวินิจฉัยนาเชื่อถือเพียงใด และผูวินิจฉัยเองมีความ นา เชอ่ื ถอื เพียงใด โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบความนาเช่ือถือของผูวิพากษวิจารณกับผู บันทึกพระไตรปฎก ใครนาจะมีความนาเชื่อถือมากกวาประการหนึ่ง และอีกประการ หนึ่ง หากการวินิจฉัยนั้นถูกตอง กลาวคือ เนื้อหาของพระไตรปฎกเชิงลบตอสตรีเปน วัฒนธรรมพรามณไมใชวัฒนธรรมพุทธ และพระพุทธเจาเปนเพียงมนุษยคนหนึ่งซึ่งไม ตางจากมนุษยทั่วไป รวมทั้งพระไตรปฎกถูกบันทึกตามความพึงพอใจของผูชาย จะ มั่นใจไดอยางไรวาเนื้อหาของพระไตรปฎกสวนอื่นเปนวัฒนธรรมพุทธเพราะพิสูจนให เห็นแลววามีเนื้อหาที่เปนวัฒนธรรมพราหมณอยูในพระไตรปฎกซึ่งอาจมาจาก พระพุทธเจาเพราะอิทธิพลการเลี้ยงดูแบบวัฒนธรรมพราหมณและหรือผูสืบทอด พระไตรปฎกซึ่งก็ไดรับการเลี้ยงดูแบบวัฒนธรรมพราหมณเชนกัน รวมทั้งเนื้อหา ทั้งหมดในพระไตรปฎกก็มีผูชายซึ่งหมายถึงพระภิกษุนั่นเองเปนผูบันทึก ในที่สุด พระไตรปฎ กกไ็ มนาเช่ือถือนักเพราะเปนเพยี งบนั ทึกของมนุษยคนหน่ึงหรอื กลุมหน่ึงซึ่ง ไมตางไปจากมนุษยคนอื่นหรือกลุมอื่นแตอยางใด เมื่อพระไตรปฎไมนาเชื่อถือแลวผูท่ี อางวาเปนชาวพุทธจะใชอะไรเปนหลักยึดหลักปฏิบัติเพราะหลักเหลานั้นก็มาจาก พระไตรปฎก การวพิ ากษว ิจารณท ตี่ ง้ั อยบู นหลกั คดิ รว มสมัยปจ จุบนั นาสนใจเพราะเปน การสะทอนสิ่งที่มีอยูในปจจุบัน แตการวินิจฉัยดวยหลักการปจจุบันเทานั้น ไมนาจะ เพยี งพอเพราะพระไตรปฎกบันทึกไวซ ่ึงเร่ืองราวทเี่ กดิ ขึ้นเมื่อกวา 2,600 ปม าแลว สิ่งที่ ควรทำประกอบการวินจิ ฉยั คือการทำความเขาใจบริบทรว มสมัยพุทธกาลเปนหลักและ พิจารณาไปตามบริบทรวมสมัยนั้น ๆ จึงจะถือไดบางวา เปนธรรมกบั พระพุทธเจา พระ ผูสืบทอดพระไตรปฎก และพระผูบันทึกพระไตรปฎ ก โดยเฉพาะเมื่อทานเหลานั้นไมมี
9 โอกาสแสดงความคิดเหน็ อะไรไดอีกแลว จึงตองระมดั ระวังวาผูวินิจฉัยดว ยหลักคิดรวม สมัยปจจุบันเขาใจพระไตรปฎกและบริบททางสังคมเปนอยางดีเพียงพอที่จะวินิจฉัย แลวหรือยัง หาไมแลวไมวาการวินิจฉยั น้ันจะทำดวยความปรารถนาดีหรือไมก็ตาม ผล ที่ตามมายอมไมตางกันเทาใดนัก คือ การบิดเบือนความจริงซึ่งถือเปนการบอนทำลาย พระพทุ ธศาสนานน่ั เอง ทาทีที่ตั้งอยูบนหลกั คิดรว มสมัยพุทธกาล ทาทีตอเนื้อหาของพระไตรปฎกอีกชุดหนึ่งตั้งอยูบนหลักคิดรวมสมัยพุทธกาล คือ การทำความเขาใจเนื้อหาของพระไตรปฎกไปตามบริบทไมวาจะเปนเวลา สถานท่ี บุคคล ความเชื่อ การเมือง เศรษฐกิจ สภาพแวดลอมทั้งทางกายภาพและทางสังคม อันเปนสาเหตใุ หมีเนื้อความเชนนั้นปรากฏในพระไตรปฎกรวมทั้งเปา หมายของเน้อื หา กรณีนั้น ๆ ดวย เมื่อพิจารณาตามหลักคิดนี้จะทำใหผูวินจิ ฉัยมมี ุมมองที่กวางทัง้ ตัวเอง ก็ไมถูกตีกรอบความคิดและตัวเองก็ไมตีกรอบถูกผิดไวลวงหนา จะทำใหเห็นเนื้อหา พระไตรปฎ กแยกออกเปน 2 สว น คือ สวนทีเ่ ปน โลกยิ ะ และทีเ่ ปน โลกุตตระ เนื้อหาสวนที่เปนโลกิยะเปนขอความเชิงประจักษแสดงสภาพการณของ วัฒนธรรม คือ การดำเนินชีวิตรวมทั้งความคิดและวิธีปฏิบัติของคนในยุคนั้น และ เนื้อหาสวนที่เปนโลกุตตระ เปนขอความเชิงอุตระที่ไมขึ้นกับบรบิ ททางสังคมพรอมทัง้ อยูเหนือกาลเทศะและเพศภาวะ (สมภาร พรมทา, 2537) เนื้อหาเชิงอุตระนี้เองคือ คำสอนของพระพุทธเจาซึ่งมีเปาหมายอยูที่นิพพานและนิพพานนี้ทุกคนสามารถเขาถงึ ได ทา ทแี บบนจ้ี ะทำใหเห็นโครงสรางเนื้อหาในพระไตรปฎ กเปน 3 สวน คอื สวนท่ีเปน โลกิยะอันเปนวัฒนธรรมแหงยุคสมัย สวนที่เปนโลกุตตระอันเปนเปาหมายของ พระพทุ ธศาสนา และเทคนิคการสอ่ื สารหรอื กลวธิ ีการสอนของพระพทุ ธเจา ยกตวั อยา งหากมคี ำถามวาปจ จบุ นั สตรีเปน อยางไร คำตอบที่ไดก็จะเปนวา สตรี ไมดีก็มี เชน สตรีบางคนเปนฆาตกรฆาไดกระทั่งลูกตนเอง เพราะฉะนั้น จงอยาไวใจ สตรี ในขณะเดียวกันสตรีทด่ี ีกม็ ี เชน สตรบี างคนยอมสละไดก ระทง่ั ชีวิตเพื่อลกู แมส ามี จะทิ้งไป เพราะฉะนั้น น้ำใจสตรีจึงควรแกการยกยอง อยางไรก็ตาม สตรีทั้งหมดเม่ือ เกิดมาแลวก็ลวนตองแกเจ็บและตาย ฉะนั้น ในเมื่อไมวาคนดีหรือไมก็ตองตาย เหมือนกนั ทางทดี่ ีคอื ไมต องเกิดเพื่อทีจ่ ะไมต อ งมาพบกบั ความแกเ จบ็ และตายอีก ตัวอยางขางตนมีเนือ้ หาทัง้ ที่เปนโลกิยะแสดงความจริงเชิงประจักษคือสตรมี ีทงั้ ดีและไมดี และเนื้อหาที่เปนโลกุตตระคือทุกคนไมเพียงสตรีท่ีดีและไมดีแตรวมทั้งบรุ ษุ
10 ดวยที่เมื่อเกิดมาแลวก็ตองตาย เพราะฉะนั้น อยาไดเวียนมาเกิดอีกเลย เนื้อหาของ พระไตรปฎกจะมีลักษณะดังกลาวนี้ทั้งหมดยกเวนพระอภิธรรม เพราะตลอดระยะท่ี ทรงพระชนมอยู พระพุทธเจาทรงจาริกแสดงธรรมไปตามหมูบาน ตำบล เมือง และ แวนแควนตาง ๆ ไดพบกับผูคนจำนวนมากจากทุกระดับของสังคม เพื่อทำความเขาใจ กับผูคนเหลานั้นพระพุทธเจาจึงตองแสดงสภาพการณที่ผูคนเหลานั้นเขาใจไดกอนวา พระองคก็ทรงทราบเชนเดียวกันและทรงรูยิ่งกวาที่เขารูอีกประการหนึ่ง อีกประการ หนึ่ง เมื่อเขายอมรับในความรูความสามารถของพระองคจนเกิดศรัทธาแลวพระองคก็ แสดงธรรมที่อยูเหนือโลกิยวิสัย ทั้งนี้ ไมไดหมายความวาพระพุทธเจาไมแสดงธรรม ระดับโลกียเลย แตเมื่อใดที่พระองคแสดงหลักปฏิบัติอันเปนของพระองค ขอความ เหลานั้นจะเปนจริงเสมอและกับทุกคนไมวาชายหรือหญิงพรอมทั้งไมจำกัดดวย กาลเทศะ นอกจาก เน้ือหาสองประเภทนี้แลว ยังมเี นื้อหาประเภทท่สี าม คอื นทิ าน อุปมา หรือเรื่องประกอบการสอน ซึ่งก็คือ ชาดกที่เปนเหตุการณเคยมีมากอนแลวและสังคม ยังรับรูอยูทั่วไป การเปรียบเทียบสิ่งหนึ่งกับอีกสิ่งหนึ่งไมวาจะเปนระหวางคน คนกับ สัตว คนกับส่ิงของ คนกับแผนดิน เปนตน ซึ่งนิทานและชาดกนี้ ไมใชคำสอนของ พระพุทธเจา แตเปนกลวิธีการสอนของพระองคที่เมื่อจะสื่อสารใหคนในยุคนัน้ เขาใจก็ ตองยกเรื่องท่ีคนในยุคนนั้ รูจ ักกันดีมาสนทนา จากนั้นพระองคก็จะนำไปสูขอสรุปที่ทรง ประสงคซ ่งึ เปนเปา หมายทแ่ี ทจ ริงของพระองค เชน หากพระพุทธเจากำลังจะทรงสอน เรอ่ื งความฉลาดและคุณธรรม ในปจจบุ นั พระองคก อ็ าจยกเร่ืองศรธี นญชยั มาเลาแลวก็ สรุปวา ความฉลาดที่ขาดคุณธรรมเปนอยางไร จากนั้นก็จะกำกับวา คุณธรรมที่คน ฉลาดและทุกคนควรมีคืออะไร การทำเชนนี้ นอกจากจะทำใหผูคนรวมสมัยเห็นวา พระองคร ูเรอื่ งเดียวกันกับเขาแลวยังจะทำใหเขาเขาใจไดงายข้ึนและพรอมจะฟงเร่ืองท่ี พระองคป ระสงคจ ะตรัสตอ ไปดวย ขอ สรุป คนแมอยูในยุคเดียวกันแตตางรุนกันก็ยงั มีชองวา งระหวางกนั เชน ยายอายุเจ็ด สิบกับหลานอายุสิบหา ดูหนังคนละแนว ฟงเพลงคนละแบบ แตงกายคนละสไตล กิน อาหารคนละรสชาติ และอื่น ๆ อีกมากมายที่ตางกันโดยเฉพาะมุมมองตอคุณคาของ ชีวิตแตกตางกันแทบจะส้ินเชงิ ซึ่งก็พอเขาใจไดเพราะบริบททางสังคมของคนสองรุน น้ี
11 ตางกนั แมจ ะยงั ไมถึงรอ ยป เมือ่ เปน เชน นย้ี อ มไมแ ปลกอะไรท่ีมุมมองตอคุณคาของชีวิต ระหวางคนยคุ ปจ จบุ ันกับยุคโบราณทีผ่ านมาเปน ระยะเวลายาวนานมากกวาสองพันหา รอยปยอมจะแตกตางกัน ดังนั้น การจะทำความเขาใจมุมมองของชีวิตคนยุคโบราณ จะตองไมใชมาตรฐานการดำเนินชีวิตในยุคปจจุบันเปนบรรทัดฐานชี้วัดวาเหมาะสม หรือไมอยางไร เพราะการกระทำหนึ่งอาจจะเหมาะสมกับคนกลุมหนึ่งในยุคสมัยหนึ่ง ในขณะที่การกระทำเชนเดียวกันนั้นอาจไมเหมาะสมกับคนอีกกลุมหนึ่งในยุคสมัย เดียวกันหรือในยุคสมัยอื่น ทั้งนี้ เปนเพราะวาสภาพแวดลอมโดยเฉพาะทางภูมิศาสตร เปลี่ยนแปลงไป คานิยมของคนก็เปลี่ยนแปลงไป เพื่อใหความเปนธรรมกับคนยุค โบราณ กอนจะวิพากษวิจารณหรือตัดสินวาการกระทำนั้น เหมาะสมหรือไมอยางไรจึง จำเปนตองศึกษาบริบทของสังคมนั้นใหเขาใจอยางถองแทหรือมากที่สุดเทาที่จะทำได เพราะคนในยคุ โบราณไมม โี อกาสทจ่ี ะมาแกตา งอะไรไดเลย อยา งไรก็ตาม ภายใตก ารเปลี่ยนแปลงทั้งทางภูมิศาสตรและสงั คมศาสตรน ้นั จะ เห็นวามีสิ่งหนึ่งที่ไมเปลี่ยนไปตาม คือ การที่มนุษยคนหนึง่ เม่ือเกิดมาแลวก็ตองแกเ จ็บ และตายไปตามกาลเวลา ความไมเที่ยงแทของชีวิตนีน้ ำความทุกขมาใหกับผูที่ไมเขาใจ และตองการใหชีวิตเปนไปตามที่ตนปรารถนาที่ขัดกับความจรงิ พระพุทธเจาจึงทรงสง่ั สอนผูคนใหเห็นชวี ิตตามทีม่ ันเปนไมใ ชตามที่คนตองการใหเ ปน คำสอนเหลานีจ้ ึงใชได ทุกยคุ สมยั ตราบใดทค่ี นเกิดมาแลว ตองเกิดแกเ จ็บตาย เนื้อหาคำสอนเหลาน้ีปรากฏอยู ในพระไตรปฎ ก ดงั นัน้ พระไตรปฎกจึงมีทั้งขอความท่ีเปนอุตระ คือ อยูเหนือกาลเวลา เขาไดกับทุกยุคสมัย และขอความที่เปนความจริงเชิงโลกิยะอันแสดงใหเห็นความ เปนไปของสังคมและการดำเนนิ ชีวิตรวมท้งั มมุ มองทมี่ ีตอชวี ติ และสังคมซ่ึงเปลีย่ นแปลง ไปตามกาลเวลา เพราะเหตุนี้ ผูศึกษาพระไตรปฎกพึงพิจารณาดวยความระมัดระวงั วา สวนใดเปนคำสั่งสอนของพระพุทธเจา และสวนใดเปนขอเท็จจริงของสังคมท่ี พระพุทธเจากลาวถึง หาไมแลวจะทำใหเขาใจทัศนะของพระพุทธศาสนาตอสตรี คลาดเคล่อื นไป จนไมอาจหาขอ สรุปได และไมเกิดประโยชนอ นั ใดเลย
12 บทที่ 2 ธดิ า: สตรีท่ีเปนอนาคตของมนุษยชาติ พระพุทธเจาทรงถือวาลูกสาวไมเพียงดีเทา แตอาจดีกวาลูกชายก็ไดหากให โอกาสเธอไดพัฒนาศักยภาพพรอมกันนี้ก็ไดเสนอหลักการวาดวยสิทธิและหนาที่ สำหรับลูกทั้งชายและหญิงซึ่งไมไดดำรงอยูในฐานะลูกของพอแมเทานั้น แตยังเปน เยาวชนผซู ึ่งเปนอนาคตของมนุษยชาตอิ กี ดว ย ความนำ แมเปาหมายของพระพุทธศาสนาคือนิพพาน แตตลอดระยะเวลาที่พระพุทธเจา ทรงพระชนมอยูไดพบปะสนทนากับผูคนทุกชั้นวรรณะทุกสถานภาพ สิ่งที่พระองค สนทนากับคนเหลานั้นก็มีความหลากหลายไปตามความสนใจของคูสนทนารวมไปถึง เรื่องเกีย่ วกบั ลูกทัง้ ชายและหญิง ทนั ทที ีพ่ ดู ถึงลูกก็เทากับกำลังพูดถึงเด็กดวยเพราะลูก ของพอแมคูหนึ่งก็คือเด็กคนหนึ่งของสังคม ดังนั้น การศึกษาสถานภาพของลูกสาวจึง ควรควบคูไปกับเด็กหญิงดวย การศึกษาทั้งสองมิติจะชวยใหเขาใจไมเพียงทัศนะของ พระพุทธศาสนาตอลูกสาวและเด็กหญิง แตจะทำใหเขาใจโครงสรางทางสังคมหรือ บริบทแหงยุคสมัยดวย สิ่งที่นาสนใจคือในขณะที่พระพุทธศาสนามีสามเณรและ สามเณรี คอื เดก็ ชายและเด็กหญิงที่อายุตั้งแต 7 ขวบขนึ้ ไปบวชในพระธรรมวินัย แตก็ มีเพียงกรณีเดียวที่พระพุทธเจาทรงชวนใหมาบวช คือ สามเณรราหุลซึ่งเปนพระโอรส ทำไมพระพุทธเจาไมทรงชักชวนใหเด็กทั้งชายและหญิงเขามารับการบวชเปนสามเณร และสามเณรีใหมาก อนึ่ง ไมเพียงแตสามเณรและสามเณรีเทานั้นที่ไมปรากฏวา พระพุทธเจาทรงชักชวน แมแตกรณีภิกษุและภิกษุณี เวนกรณีพระนันทะซึ่งเปนพระ อนุชาตางพระมารดาเทานั้น ที่เหลือพระพุทธเจาก็ไมไดชักชวนใครใหมาบวชเลย เชนกัน เปนไปไดหรือไมวาเพราะการบวชไมไดเหมาะกับทุกคน ชีวิตนักบวชใน พระพุทธศาสนานาจะมีเปาหมายเฉพาะและตองเปนคนที่มีคณุ สมบัติเฉพาะเหมาะสม กับเปาหมายเทานั้นจึงควรบวช เปาหมายที่วานี้ คือ การกำจัดกิเลสสวนตนใหหมดสน้ิ จนบรรลุเปนพระอรหันตอันเปนหนาที่ความรับผิดชอบหลักซึ่งจะทำใหกลายเปนเสรี
13 ชนอยางสมบูรณ คือ กลายเปนคนที่ไมมีอะไรเปนของตนเองอีกตอไปแมแตลมหายใจ จึงไมจำตองพูดถึงชีวิตครอบครัว และเมื่อบรรลุเปาหมายสวนตนแลวตองจาริกไปเพอื่ ประกาศหลักการดำเนินชีวิตอันประเสริฐเพื่อประโยชนสุขของมวลมนุษย ดังนั้น ถา เปาหมายในชีวติ ของใครกต็ ามตางออกไปจากนี้แมแ ตเปน พระอริยบุคคลแลวหากยังไม บรรลุเปนพระอรหันตก็ยังถือวายังไมสำเร็จพันธกิจในการบวช และถายิ่งไมปรารถนา เปนพระอรหันตก็ยิ่งไมสมควรบวชตั้งแตตน เพราะเหตุนี้ พระพุทธเจาจึงทรงคัดคนที่ จะเขามาบวชเพื่อเปนกำลังขับเคลื่อนสังคมไปสูเปาหมายของพระพุทธศาสนา ดังนั้น พุทธศาสนิกชนที่ครองเรือนจึงมจี ำนวนมากกวาอยางไมตองสงสัย คำสอนเกี่ยวกับการ ครองเรือนจึงปรากฏอยูในพระไตรปฎก และในบทนี้จะศึกษาเฉพาะทัศนะของ พระพทุ ธเจาทมี่ ีตอลกู สาว ความเปน ไปรว มสมัย สถานภาพของธิดา หรือ ลูกสาว ซึ่งก็คือเด็กหญิงชาวอินเดียสมัยกอนพุทธกาล จนถึงสมัยพุทธกาลคอนขางต่ำและไมเปนที่ปรารถนาของสังคมเพราะในชวงเวลานั้น สังคมมีความเชือ่ วาคนมีหน้ีตอบรรพบุรุษ และการจะปลดเปลือ้ งหนี้ตอบรรพบุรุษไดก ็ ตอเมื่อมีลูกชาย (Radhakrishna, 1966) ทุกครอบครัวจึงปรารถนาที่จะมีลูกชายให มากที่สุดเทาที่จะเปนไปไดพรอมกับไมตองการมีลูกสาวเลย และเพื่อใหไดลูกชายจึงมี กระทั่งการประกอบพิธีบวงสรวง แมที่ไมมีลูก หรือมีแตลูกสาว ไมมีลูกชายเลยถือเปน ความวิบัติทั้งแกต นและครอบครัว (สุวิมล ประกอบไวทยกิจ, 2521) สถานภาพของลกู สาวอาจกลาวไดวาไมมีที่ยนื เลยในระดับครอบครัว ไมเพียงเทานี้ในระดับสังคมที่กวาง ขึ้นคือศาสนายังมีสวนทำใหฐานะของลูกสาวตกต่ำลงและไมเปนที่ปรารถนายิ่งขึ้นเมื่อ ศาสนาพราหมณซึ่งเปนศาสนาที่กำหนดความเปนไปของสังคมยุคนั้นเชื่อวาลูกชายจะ ชวยใหพ อแมพ น จากการตกนรกขุมปุตตะ (ฉัตรสมุ าลย กบิลสิงห ษัฏเสน, 2539) ความ เชื่อนี้ทรงอิทธิพลมากถึงขั้นที่พระราชาผูเรืองอำนาจพระองคหนึ่งในยุคนั้นคือพระเจา ปเสนทิโกศล ทันทีที่ทรงทราบขาววาพระมเหสีประสูติพระธิดาก็ทรงเศราพระทัย เม่ือ พระพุทธเจาทรงทราบความไมเบิกบานพระทัยของพระราชาซึ่งเขาเฝาพระองคอยูจึง ตรัสใหพระราชาเบาพระทัยโดยชี้ใหเห็นวาสตรีที่ดีก็มี และอาจดีกวาบุรุษดวยซ้ำไป หากเธอเปนคนเกงและดี ลูกชายที่เกิดจากสตรีเชนเธอก็อาจครองราชสมบัติได ดังความในพระไตรปฎ กวา [ธีตสุ ูตร สงั .ส. (มจร.) 15/127/150]
14 มหาบพิตรผเู ปน ใหญกวาปวงชน แทจ ริง แมห ญงิ บางคนก็ยงั ดกี วา (บรุ ษุ ) ขอพระองคจ งชบุ เลี้ยงไวเถดิ หญงิ ผมู ีปญญา มศี ีล บำรุงแมผ ัวพอ ผวั ดุจเทวดา จงรกั ภกั ดตี อ สามี ยงั มอี ยู บุรษุ ท่เี กดิ จากหญงิ นน้ั ยอ มแกลว กลา เปนใหญใ นทศิ ได บตุ รของภรรยาดเี ชนนั้น ก็ครองราชสมบัตไิ ด แนนอนวาเหตุผลสำคัญที่ทำใหพระเจาปเสนทิโกศลเศราพระทัยก็เพราะเปนธรรมดา อยูเองที่พระราชาจำตองมีพระโอรสเพื่อชวยราชกิจและสืบราชบัลลังก พระพุทธเจา แทนที่จะตรัสใหพระราชามีพระโอรสใหมแตกลับตรัสใหพระราชาเลี้ยงดูพระราชธิดา ใหด เี พราะเธออาจดกี วาบรุ ุษและใหก ำเนิดพระราชาองคใหมสบื ราชสมบัตกิ ็ได หากอิทธิพลของศาสนาพรามหณครอบงำพระพุทธเจาดวย พระองคอาจตรัส ทำนองวา พระราชาจะทรงเศราพระทัยไปใย พระองคทรงมพี ระมเหสีหลายองค และมี ทั้งทรัพยและอำนาจจะหามเหสีใหมกี่องคก็ได และจะใหมเหสีเหลานั้นประสูติจนกวา จะไดพระโอรสตามที่ปรารถนาก็ได หากพระพุทธเจาทรงแนะนำเชนนั้นก็ไมนาจะ แปลกอะไรในสังคมยุคนัน้ แตสถานภาพความเปนอยูของพระธดิ าท่ปี ระสูติใหมจะเปน เชนใด การที่พระพุทธเจาไมทรงแนะนำเชนน้ัน จึงนอกจากจะแสดงใหเห็นวาพระองค อยูเหนืออิทธิพลของศาสนาพราหมณแลว ยังชวยคุมครองใหพระธิดาใหมไดรับการ ปฏิบัตอิ ยา งดีดว ย ซึ่งนับเปน เหตุการณห นึ่งท่ีแสดงใหเ ห็นทาทีของพระพุทธศาสนาที่มี ตอลูกสาวตางไปจากศาสนารวมสมัย นอกจากกรณีนีแ้ ลวยังมีเหตุการณเกีย่ วกับลูกท้งั หญิงและชายที่พระพุทธเจาทรงแสดงไวเมื่อประมวลแลวอาจพอเห็นทาทีของ พระพุทธศาสนาตอลูกสาวที่เปลี่ยนแปลงตางไปจากแนวคิดความเชื่อรวมสมัยได ดังตอไปนี้
15 การเปล่ียนแปลงความหมายและสถานภาพ ความหมาย 1. ความหมายโดยตรงของคำ การเปลี่ยนแปลงที่นาจะเห็นไดชัดเจนที่สุด ประการหนึ่ง คือ ความหมายของคำวา “บุตร” ซึ่งเดิมนั้นเปน ชื่อนรกขุมหนึ่งของลัทธิ พราหมณ พวกพราหมณถือวาชายใดไมมีลูกชาย ชายนั้นตายไปตองตกนรกขุม “ปุตตะ” ถามีลูกชาย ลูกชายนั้นชวยปองกันไมใหตกนรกขุมนั้นได ศัพทวาบุตร จึงใช เปน คำเรียกลูกชายสบื มา แปลวา “ลูกผูปองกนั พอจากขุมนรกปุตตะ” [พระธรรมปฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), 2546] แตคำวา บตุ รทใี่ ชในพระพุทธศาสนามีความหมายวา ลูกชาย คือ ลูกที่มีเพศชาย คูกับ ธดิ าซึง่ แปลวา ลูกสาวเพียงเทานน้ั และไมไดต ้ังอยบู นฐานความเชื่อ ที่วาลูกชายจะชวยใหพอแมพนจากขุมนรก แตเชื่อวาลูกที่จะชวยใหพอแมพนจากขุม นรกไดนั้นคือลูกที่ชวยใหพอแมพัฒนาตนจากที่ไมมีคุณธรรมใหเปนคนมีคุณธรรม เรียกวา “อติชาตบุตร” ซึ่งแปลวาลูกที่มีคุณธรรมยิ่งกวาพอแมแลวทำใหพอแมมี คุณธรรมตามไปดวย ลูกที่ชวยใหพอแมขึ้นสวรรคหรือตกนรกตามทัศนะของ พระพุทธศาสนาจึงไมไดอยูทีเ่ พศแตขึน้ อยูกับพฤติกรรม นอกจากอติชาตบุตรแลวยังมี ลูกแบบ “อวชาตบุตร” และ “อนุชาตบตุ ร” ดว ย ซง่ึ แปลวาลกู ทม่ี ีคณุ ธรรมเลวกวาพอ แม และมีคุณธรรมเสมอกับพอแมตามลำดับ [ปุตตสูตร ขุ.อิติ. (มจร.) 25/74/431- 433] 2. ความหมายโดยออมของคำ คำวาบุตรที่อยูทา ยของทั้งอวชาต อนุชาต และ อติชาต หมายถึง ลูกทั้งชายและหญงิ ไมไดมีความหมายวาลูกชายเทา นัน้ ประการหนงึ่ อีกประการหนึ่งคือการแสดงหลกั การของพระพุทธศาสนาที่ต้ังอยูบนฐานของกรรมคือ หลักความเชื่อที่วาพฤติกรรมเปนเครื่องมือตัดสินคนไมใชเพศหรือชาติกำเนิด ถา พิจารณาจากความหมายของคำวาบุตรซึ่งไมไดมีความหมายเพียงลูกชายเทานั้นแตยัง หมายถึงลูกทั้งชายและหญิงก็ไดนี้อาจตรงกับคำวา “แมน” (man) ในภาษาอังกฤษ ท่ี แปลวาผูชายคกู บั “วแู มน” (woman) ซึ่งแปลวา ผหู ญงิ แตหากที่ใดไมมีคำวาวูแมนอยู ดวย ในที่นั้นคำวาแมนอาจหมายถึงคนทั่วไปทั้งชายและหญิงก็ได นอกจากเนื้อหาใน ปตุ ตสูตรท่ียกมาขางตน แลว ยงั มีเนอื้ หาในพหุปตุ ตกิ าเถรีวตั ถุ [ขุ.ธ. (มจร.) 25/115/66]
16 และมงคลสูตร [ขุ.ขุ. (มจร.) 25/6/7] เปนตน ที่คำวาบุตรใชหมายถึงลูกทั้งหญิงและ ชาย ในเนื้อเรื่องแหงพหุปุตติกาเถรีวัตถุ ถูกอธิบายความไวในอรรถกถา [ขุ.ธ. (มมร.) 41/505] วา กอ นบวช พระเถรรี ูปนี้มลี ูกชาย 7 คน และลูกสาว 7 คน เมื่อบวช แลวจึงถูกเรียกวา “พหุปุตติกาเถรี” แปลวา พระเถรีผูมีลูกหลายคน คำวา “บุตร” ที่ อยูใ นชอ่ื ของทาน จึงไมไดหมายเฉพาะลูกชาย เพราะหากหมายถึงลูกชายเทาน้ันจะทำ ใหขัดตอความจริงเชิงประจักษที่ทานไมใชมีเพียงลูกชายหลายคนแตยังมีลูกสาวอีก หลายคนดวย ดังนั้น คำวาบุตรในที่นี้จึงใชหมายถึงลูกทั้งเพศชายและหญิง ตอมาใน มงคลสูตร คำบาลีวา “ปุตฺตทารสฺส สงฺคโห” [ขุ.ขุ. (บาลี) 25/6/3–4] แปลวา การ สงเคราะหลูกและภรรยา ตามความแหงอรรถกถามงคลสูตร [ขุ.ขุ. (มมร.) 39/189] อธิบายความหมายของคำวา “บุตร” ในพระบาลีนั้นวา ไมวาลูกชายหรือลูกสาวก็ เรียกวา “บุตร” ทั้งนั้น นั่นหมายความวา ในที่ที่คำวา “บุตร” มาโดยลำพังยอม หมายถึง “ลูก” ทั้งชายและหญิง ดังนั้น การสงเคราะหลูกทั้งชายและหญิงจึงเสมอกัน ในฐานะเปนมงคลขอหนึ่งซึ่งนำความสุขความสำเร็จมาแกผูปฏิบัติ แสดงใหเห็นชัด ยิ่งขึ้นวา ลูกชายไมไดเกิดมามีคุณคากวาลูกสาวแตอยางใดตามทัศนะขอ พระพุทธศาสนา คุณคาของลูกวัดที่พฤติกรรมของลูกเอง ดังนั้น การสงเคราะหลูกท้ัง ชายและหญิงจึงมีคุณคาเทากัน แมในคัมภีรอธิบายมงคลสูตรชื่อมังคลัตถทีปนี (2549 หนา 311) เมือ่ กลา วถงึ “บตุ ร” ก็ไมไดหมายถงึ ลูกชาย แตหมายถึงลูกทั้งหญิงและชาย เชนกัน สถานภาพ สถานภาพ กลาวคอื ฐานะของลกู ชายและลูกสาวตามทัศนะของพระพุทธศาสนา เปลยี่ นไปจากความเชอ่ื รว มสมยั อยางนอย 2 ประการ (มนตรี ววิ าหส ุข, 2553) ดงั นี้ 1. ฐานะของลูกตอมนุษยชาติ ตามความเชื่อเดิมของศาสนาพราหมณตอลูก ชายคืออยูในฐานะผูประกอบพิธีกรรมทำใหพอ แมพนจากนรกขุมปุตตะ สวนฐานะของ ลกู สาวคือเปน ภาระของครอบครวั และสังคมทีจ่ ะตองอยูใ นความคุมครองของผูชายตาม ชวงวัยตั้งแตเกิดจนตาย กลาวคือ เมื่อเปนเด็กหญิงตองอยูในความคุมครองของพอแม หากพอ แมไ มมี ตองอยูในความคุมครองของพ่นี องชาย เมอ่ื แตง งานแลว ตอ งอยใู นความ คุมครองของสามี เมอื่ สามตี ายไปตองใชชวี ิตหมา ยอยางลำเค็ญหรืออยใู นความคุมครอง ของลูกชาย แตตามทัศนะของพระพุทธศาสนาลูกไมวาชายหรือหญิงดำรงอยูในฐานะ
17 วัตถุคือที่ตั้งมั่นของเผาพันธุมนุษย [วัตถุสูตร สัง.ส. (มจร.) 15/54/69] หากไมมีลูก มนุษยชาติยอมจะสูญสิ้นเผาพันธุ ทัศนะนี้สามารถเชื่อมโยงไปถึงการมีเพศสัมพันธุ หมายความวา การมีเพศสัมพันธควรตอ งมีเปา หมายเพื่อการมีลกู ที่จะมาดำรงเผาพนั ธ มนุษย เพราะในยุคพุทธกาลนาจะมีความเปนไปไดอยางเดียวทีท่ ำใหคนมีลกู ไดคอื การ มีเพศสัมพนั ธ 2. ฐานะของลูกตอวงศตระกูล ในยุคพุทธกาลมีการบูชาไฟเพราะถือวาเปนส่ิง ศักดสิ์ ทิ ธิ์ตอ งรกั ษาไฟท่ีจุดเพื่อบชู าใหติดอยตู ลอดจึงถือเปน หนาท่ีของครอบครวั บูชาไฟ ท่ีจะตองมีคนรับหนา ที่ไปเปนการเฉพาะหรือชวยกันดูแลตามการบรหิ ารจัดการของแต ละครอบครัว หรือการบูชายัญไฟที่ทำขึ้นเปนการพิเศษเฉพาะก็มี แตพระพุทธเจา เปลี่ยน “ไฟ” จากที่เปนเปลวความรอนซึ่งเกิดจากการเผาไหมเปน “คน” คือ พอแม เปนไฟของลูก และลูกเปนไฟของพอแม เรียกวา “อาหุไนยยัคคิ” และ “คหปตัคคิ” ตามลำดับ กลาวคือ พอแมเปนไฟหรือสิ่งศักดิสิทธิ์สำหรับลูก ในขณะที่ลูกก็เปนไฟคือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์สำหรับพอแม ที่ตางฝายตองดูแลกันใหเปนสุขอยูเสมอ ดังความใน พระไตรปฎ ก [ทตุ ยิ อคั คสิ ตู ร อัง.สตั ตก. (มจร.) 23/47/73-74] วา อาหุไนยยัคคิ เปน อยา งไร บตุ รในโลกนมี้ มี ารดาหรือบิดา นเ้ี รียกวา อาหไุ นยยัคคิ ขอนั้น เพราะเหตุไร เพราะบตุ รเกิดมาจาก มารดาบดิ าน้ี ฉะนั้น อาหุไนยยคั คนิ ี้ จงึ เปน ผทู ีค่ วรสักการะ เคารพ นับถอื บชู า บรหิ ารใหเ ปน สุขโดยชอบ คหปตัคคิ เปน อยา งไร คือ คหบดใี นโลกนีม้ บี ุตร ภรรยา ทาส คนใช หรอื กรรมกร นเี้ รียกวา คหปตคั คิ ฉะน้นั คหปตัคคนิ ี้ จงึ เปน ผู ที่ควรสกั การะ เคารพ นับถือ บูชา บรหิ ารใหเ ปนสขุ โดยชอบ พอแมที่ไมดีก็จะเผาไหมใหลูกรอน สวนลูกที่ไมดีไมวาชายหรือหญิงก็จะเผาไหมใหพอ แมรอนและวงศตระกูลวอดวาย แตหากตางฝายตางดีตอกันก็ทำใหวงศตระกูล เจริญรุง เรือง เพราะเหตุนี้ ลกู ท่ีเปน ยอดปรารถนาของครอบครวั จึงไมไดจำกัดอยูที่เพศ ชายหรือหญิง แตคืออนุชาตบุตร และอติชาตบุตร ไดแก ลูกที่เกิดมาเพื่อรักษาความดี ของวงศต ระกูล หรอื สรา งเสรมิ เกียรติประวัติใหกับวงศตระกูลย่ีงขึ้นพรอมกับนำพาพอ แมไปสูทางที่เจริญงอกงามขึ้นโดยคุณธรรม ในทำนองเดียวกันลูกไมวาชายหรือหญิงที่ เปนอวชาตบุตร คือ ลูกที่เกิดมาลางผลาญวงศตระกูลทั้งดานเกียรติคุณและทรัพย
18 สมบัติยอมไมเปนที่ปรารถนาของพอแม ดังความในพระไตรปฎก [ปุตตสูตร ขุ.อิติ. (มจร.) 25/74/431-433] วา บณั ฑิตยอมปรารถนาอตชิ าตบตุ ร และอนชุ าตบุตร ไมปรารถนาอวชาตบตุ ร ซงึ่ มีแตทำลายวงศต ระกลู บุตร 3 จำพวกนเ้ี ทานนั้ มอี ยใู นโลกนี้ สวนบตุ รผเู ปน อบุ าสก ถงึ พรอมดวยศรัทธาและศลี รคู วามประสงคข องผขู อ ปราศจากความตระหน่ี ยอมรุงเรืองในหมูบ ริษัท เหมอื นดวงจนั ทรพ น จากเมฆ ฉะน้ัน สทิ ธิและหนาที่ สทิ ธิ สิทธิท่ีลูกจะพึงไดร บั มี 2 ระดบั คือ สทิ ธขิ ั้นพื้นฐานท่ีลกู ทุกคนจะพึงไดรบั เพ่ือให เติบโตขึ้นมาเปนคนที่มีคุณภาพ และสิทธิในการตัดสินใจที่จะแสวงหาเปาหมาย ความสำเร็จ หรอื อุดมการณสวนตนซงึ่ อาจแตกตางกนั ไปตามบรบิ ททางสังคม ดังนี้ 1. สิทธิขั้นพื้นฐาน มีความเปนไปไดที่พระพุทธเจาอาจเสนอสิทธิขั้นพื้นฐานที่ ลูกทุกคนจะพึงไดรับ 5 ดาน ไดแก 1) สุขภาพ 2) คุณธรรม 3) การศึกษา 4) เพศ สภาพ 5) เงนิ ทนุ [สงิ คาลกสูตร ท.ี ปา. (มจร.) 11/267/212-213] สิทธิขั้นพื้นฐานขอแรกซึ่งมี 5 ดานนี้ ลูกทุกคนจะตองไดรับตั้งแตปฏิสนธิ จนถึงเชิงตะกอนคือตั้งแตเกิดจนตายโดยพอแมจะตองเลี้ยงดูใหลูกเติบโตขึ้นมาอยาง ปลอดภัยมีรางกายสมบูรณแข็งแรงสมวัยไมพิการอันเปนผลจากการเลี้ยงดูที่บกพรอง ของพอแม เมื่อเลี้ยงดูรางกายแลวยังไมพอ พอแมตองเลี้ยงดูจิตใจคือการปลูกฝงและ พัฒนาใหลูกเปนคนดีไมทำความเดือดรอนใหกับตน ครอบครัวและสังคมพรอมท้ัง พัฒนาตน สรางครอบครัว และสังคมใหดียิ่งขึ้น พรอมกันนั้นก็ใหการศึกษาศาสตร แขนงใดแขนงหนึ่งเพื่อเปนการพัฒนาลูกใหเปนผูมีความรูความสามารถประกอบ สมั มาชีพเล้ียงตนไดไมเ ปน ภาระของใคร จากน้นั เมือ่ ถึงวยั ที่เหมาะสมหากลูกตองการมี คชู วี ิต ตองการสรา งครอบครัวของตนเองกใ็ หสทิ ธิที่จะเลือกรูปแบบคูครองไมวาจะเปน
19 ชาย-หญิง หญิง-หญิง หรือชาย-ชาย สุดทายพอแมตองมีเงินทุนใหลูกพอสมควร เพอื่ ท่จี ะไดใชต ้ังตน ชวี ิตใหมไ มตองเรมิ่ จากศนู ยหรือตดิ ลบ 2. สิทธใิ นการตดั สนิ ใจ มีความเปนไปไดอ ีกทพ่ี ระพุทธเจาอาจเสนอสทิ ธิขัน้ ท่ี 2 เกี่ยวเนื่องกับการตัดสินใจที่ลูกทุกคนควรมีสิทธิเลือกวาจะเปนลูกแบบใด ซึ่งลูกแตละ แบบอาจเกิดจากการผสมลักษณะของลูกชนิดตาง ๆ มากบาง นอยบาง บวกบาง ลบ บาง จากลักษณะของลูก 9 แบบ ไดแก 1) ลูกสายโลหิต 2) ลูกในปกครอง 3) ลูกศิษย 4) ลกู เล้ียงหรอื ลกู บญุ ธรรม 5) ลกู อตชิ าต 6) ลูกอนุชาต 7) ลกู อวชาต 8) ลูกแท 9) ลกู เทียม (มนตรี ววิ าหสขุ , 2553) ลักษณะของลูก 4 แบบแรกเปดโอกาสใหเ ลือกวาจะเปนลกู ที่มีความสัมพันธ เชิงที่มากับพอแมอยางไร กลาวคือที่มาของความเปนลูกมี 4 แบบ ไดแก 1) ลูก สายโลหิต คือ ผูที่อาศัยแมพอเกดิ ความเปนลูกมาทางสายเลอื ด 2) ลูกในปกครอง คือ ผูที่อยูภายใตการปกครอง มาทางสายการปกครอง 3) ลูกศิษย คือ ผูอยูดวยเพื่อศึกษา มาทางสายการศึกษา 4) ลูกเลี้ยงหรือลูกบุญธรรม คือ ผูที่พอแมรับมาจากคนอื่นเพ่ือ เล้ยี งดู มาทางสายการเลี้ยงดู [ปณฑรกนาคราชชาดก ขุ.ชา. (มจร.) 27/286/396, กฏั ฐ หาริชาดก ข.ุ ชา. (มมร.) 55/216] ลักษณะของลูกแบบที่ 5–7 เปดโอกาสใหเลือกวาจะเปนลูกที่มีคุณธรรมสูง เสมอหรอื ตำ่ กวาพอ แม คณุ ธรรมในท่ีน้ี คอื การมีศรัทธาในพระรัตนตรยั ศีล และธรรม [ปุตตสูตร ขุ.อิต.ิ (มจร.) 25/74/431-433] สวนลักษณะของลูก 2 แบบสุดทาย เปดโอกาสใหเลือกวาจะเปนลูกแทหรือ ลูกเทียม คือ เลือกระหวางการเชื่อฟงและเลี้ยงดูพอแมกับการไมเชื่อฟงและไมเลี้ยงดู พอแม [มหาสุตโสมชาดก ขุ.ชา. (มจร.) 28/491/181, สิงคาลกสูตร ที.ปา. (มจร.) 11/267/212-213] การเชือ่ ฟงในทน่ี ี้หมายเอาเฉพาะการทำตามโอวาทแลวต้งั ตนอยูใน ความดี ไมของเกี่ยวกับทุจริตทั้งหลาย มีโจรกรรม เปนตน [ขัตติยสูตร สัง.ส. (มจร.) 15/14/14, สัง.ส. (มมร.) 24/85] หนาที่ 1. หนาท่ีหลัก อาจเปนไปไดที่พระพุทธเจาทรงเสนอหนาที่ที่ลูกจะตองปฏิบัติ ตอพอแม 5 ประการ ไดแก 1) เลี้ยงดูพอแม 2) ชวยทำกิจธุระ 3) ดำรงวงศตระกูล
20 4) พัฒนาตนสมเปนทายาท 5) ทำบุญอุทิศให [สิงคาลกสูตร ที.ปา. (มจร.) 11/267/212-213] ลูกไดรับสิทธิ 5 ประการจากพอแมก็ตองมีหนาที่ 5 ประการเปน การตอบแทน ดงั นี้ ประการแรกเมื่อไดรับการเลี้ยงดูตั้งแตอยูในครรภจนเติบใหญมีรางกาย สมบรู ณแ ขง็ แรงไมพ ิการแลว กต็ องเลยี้ งดทู านเปนการตอบแทน หนาท่ีตอมาของลูกคือชวยทำกิจธุระของพอแมเปนการแสดงออกซ่ึง คุณธรรมในเบื้องตนวาเปนคนมีน้ำใจหรือไม นอกจากหนาที่ขอนี้จะเรียกรองใหลูก แสดงคุณธรรมที่มีอยูภายในใจออกมาเปน การปฏิบัติหรือจากคุณธรรมสูจริยธรรมแลว หนา ท่ีขอ อนื่ จะดำเนนิ ไปไดก ล็ ว นมีคุณธรรมเปน พ้ืนฐานซ่ึงเปนผลมาจากสิทธิประการที่ สองซ่งึ ลกู ไดรบั ประการที่สามคือสิทธิในการศึกษาที่ลูกไดรับตองแสดงออกมาเปนความรู ความสามารถที่จะทำใหตนเองเลี้ยงตัวรอดในสังคมและดำรงฐานะที่ดีงามของวงศ ตระกูลซึ่งบรรพบุรุษไดสรางและรักษาไวไมใหสูญหายพรอมทั้งพัฒนาใหดียิ่งขึ้น ในขณะท่สี วนใดไมดกี ล็ ดละเลิกใหเ หลือแตส ่งิ ดีงามสืบตอ ไป หนาท่ปี ระการที่ส่สี อดคลองกบั สิทธิในการเลือกเพศสภาพทล่ี ูกควรตระหนัก วา ชวี ิตเราทเี่ ปน เชนน้ีไดกเ็ พราะพอแม เราเปน ความหวังทั้งหมดของพอแม ทำอยางไร จึงจะทำใหค วามหวงั ไมใชเพียงของเราแตของทานสำเรจ็ ไปพรอมกัน ความเปนทายาท ที่แทก็คือการทำความหวังใหส ำเร็จโดยเฉพาะความหวังทีพ่ อแมเองยังทำไมสำเร็จซึง่ ก็ มาสัมพันธกับสิทธิในการเลือกคูครองหรือเพศสภาพวาเพศสภาพหรือคูค รองอยางไรที่ จะสงเสรมิ ใหค วามหวังของเราและพอ แมส ำเร็จ หนาท่ีประการสุดทายคือการทำบุญอุทิศใหซึ่งก็สอดคลองกับสิทธิประการ สุดทายที่ลูกไดรับคือเงนิ ทุนจากพอแม ดวยการคิดวาเงินที่พอแมใหเปนทุนเปนการให เปลาไมมีดอกเบี้ย ไมมีแมกระทั่งสัญญาที่จะคืนเงินตน การทำบุญอุทิศใหพอแมก็ เหมือนเปน การใหเปลา กลา วคอื ไมมีดอกผลท่เี ปนเงนิ หรือท่ีจับตองไดกลบั คนื มา อยางไรก็ตาม การจัดหนาที่ใหสอดคลองกับสิทธิเปนรายขอนี้เปนเพียงแนว อธิบายอยา งหนงึ่ ซง่ึ ยังมีการอธบิ ายแนวทางอื่นไดอ ีก เชน การแบงหนาที่ตอพอแมเปน สองสวนคือสวนทตี่ องทำเม่ือพอแมย ังมีชีวิตอยู และสว นท่ตี องทำเมื่อทานเสียชีวิตแลว ซึ่งอาจแบงอยางงายก็จะไดวา หนาที่ 4 ประการแรกทำเมื่อพอแมมีชีวิตอยูเ พราะหาก ทำเมื่อทานสิ้นชีวิตแลวก็ดูเหมือนจะเปนไปไมไดในสองขอแรกสวนขอที่สามและสี่แม จะเปน ไปไดแ ตก ็ดเู หมือนจะไมม ีผลตอทานแลว ในขณะทีห่ นาท่ีประการที่หาจะทำไดก็ ตอเม่ือทานเสียชีวิตไปแลว เทาน้ัน
21 แทจริงแลว หนาที่เหลานี้ยกเวนหนาที่ประการสุดทายเสีย ขอที่เหลือ สามารถทำไปพรอมกันได และไมจำเปนตองจับคูกับสิทธิ เพราะแมแตสิทธิที่ลูกไดรับ ในทางปฏบิ ตั กิ เ็ ปน ไปแบบผสมผสานไมจำเปน ตองปฏิบตั ิเรียงขอ จึงในการทำหนาที่ตอ พอแมไมตองรอเวลาแตอยางใด ลูกสามารถทำไดตลอดเวลามากบางนอยบางตาม สมควรแกกำลงั ของตน 2. หนา ท่ีรอง ในเม่อื ฐานะของลูกมี 2 ประการ คือ ฐานะอนาคตของมวลมนุษย และ ฐานะไฟของครอบครัว สิทธิที่ลูกไดรับก็มีสองอยางคือสิทธิข้ันพื้นฐานและสิทธิใน การตัดสินใจ จึงอาจเปนไปไดที่หนาที่ของลูกยอมตองมีสองอยางเพื่อใหสอดคลองกับ ฐานะและสิทธิ โดยหนาที่หลักเปนหนาที่ที่เกี่ยวกับครอบครัววงศตระกูล หนาที่รอง ขยายพน้ื ทีอ่ อกไปกวา งไกลมากข้ึน ในขณะท่หี นา ท่ีหลกั มงุ เนน สิ่งท่ลี ูกควรปฏบิ ัติตอพอ แมเปนเบื้องตนจากนั้นก็ครอบครัวและเครือญาติเปนอันเพียงพอสำหรับฐานะของลูก และญาติพี่นอง แตลูกไมใชเปนเพียงความหวังของพอแมและญาติพี่นองเทานั้นเพราะ ในอีกฐานะหน่งึ ลกู กค็ อื เดก็ ซึง่ เปน อนาคตของสงั คม ประเทศชาติ และมนุษยชาติ ดังนั้น ในขณะที่ดานหนึ่งซึ่งเปนแกนกลางเปนหัวใจในการปฏิบัติหนาที่คือ การเปน ลูกท่มี ีคุณภาพดำรงวงศต ระกูลใหเ จรญิ รุงเรือง อีกดา นหน่ึงก็ตองคำนงึ ถึงสังคม ที่โอบอมุ ครอบครวั แตล ะครอบครวั อยเู พราะเปน ไปไมไดที่ครอบครัวจะเจริญรุงเรืองอยู ไดอยางโดดเดี่ยว จึงตองดำเนินชีวิตใหเปนคนคุณภาพของสังคมดวย หนาที่รองไมมี ระบุไวอยางชัดเจน แตอาจเปนไปไดที่หัวใจของหนาที่รองตามทัศนะของ พระพุทธศาสนาท่ีเด็กตองพัฒนาไปใหถงึ คือ “การเปน ผูใ ห” [ลักขณสูตร ที.ปา. (มจร.) 11/210/170] หรอื ท่ีเรียกในสมัยน้ีวาการมีจิตสาธารณะ คอื การเขาไปของเก่ียวกับคน อื่นดวยจิตคิดจะใหไมใชคิดจะเอาจากเขา เมื่อจับหลักไดดังนี้หนาที่รองจึงแทรกซึมอยู ในการดำเนินชีวิตตลอดเวลา สวนจะใหอะไรและใหอยางไรยอมขึ้นกับกำลัง ความสามารถและโอกาสของตนอยางใดอยางหนึ่ง คือ การใหทรัพยสินเงินทองหรือ ส่งิ ของนอกกาย การใหกำลังใจและแนวคดิ ดวยถอยคำ การใหก ำลังกายดว ยการเขาไป ชวยเหลือ และการใหโอกาสดวยการรักษาหลักการใหทุกอยางเปนไปตามที่ควรเปน ไมเ ขา ไปแทรกแซงใหเ สยี ความเปน ธรรม
22 พลวัตของครอบครวั สิทธิและหนาที่ดังกลาว จะกำหนดความสัมพันธระหวางแมพอลูก รวมเปน หนวยสังคมทเ่ี ล็กท่ีสุดคือครอบครวั โดยพฤตกิ รรมของแมพอ ลูกทีม่ ีตอกันนั้นอาจแสดง ใหเห็นถึงสถานภาพของครอบครัวในปจจุบันและแนวโนมของความเจริญและเสื่อมใน อนาคตได 27 ประเภท ดังตารางที่ 2-1 แสดงใหเห็นพลวัตแหงของครอบครัวที่อาจ เส่ือมและเจริญเพราะลกู เปน องคประกอบหลัก (มนตรี วิวาหสุข, 2553) ตาราง 2-1 พลวัตของครอบครัว เปรียบเทยี บ ฐานะใน แนวโนม พยากรณ ที่ สถานะ ความสมั พนั ธ คณุ ภาพของ ปจ จบุ นั จากลกู อนาคต ของ ระหวางแม แมพอ-ลกู ผลลพั ธ [ผดู ำรง ผลลพั ธ ครอบครวั พอ -ลูก แม ลกู วงศ พอ 3 ตระกูล] ? 11 ก1 2 ? 21 ก1 1? 1 ? ? 31 ก1 0? 2 ? 1 เสอื่ ม 41 ล1 -1 ? 2 ? ลง 51 ล1 1 -1 2 -1 2 เสมอ 61 ล1 00 3 0 ตวั 71 กล2 -1 1 3 1 3 เจริญ 81 กล2 1 -1 4 -1 ข้นึ 91 กล2 00 2 0 2 เสือ่ ม 10 0 ก1 -1 1 1 1 ลง 11 0 ก1 1? 0 ? 3 เสมอ 12 0 ก1 0? ? ตวั -1 ? ? 4 เจริญ ข้นึ ? ? ?
23 ท่ี สถานะ ความสมั พนั ธ เปรียบเทียบ ฐานะใน แนวโนม พยากรณ ของ ระหวา งแม คุณภาพของ ปจจุบนั จากลกู อนาคต ครอบครัว พอ-ลกู แมพอ-ลูก [ผูดำรง แม ลูก ผลลัพธ วงศ ผลลพั ธ พอ ตระกูล] 13 0 ล1 1 -1 1 -1 0 เส่ือม ลง 14 0 ล1 0 0 1 0 1 เสมอ ตวั 15 0 ล1 -1 1 1 1 2 เจริญ ขึ้น 16 0 กล2 1 -1 2 -1 1 เส่อื ม ลง 17 0 กล2 0 0 2 0 2 เสมอ ตวั 18 0 กล2 -1 1 2 1 3 เจรญิ ขน้ึ 19 -1 ก1 1 ? 1 ? ? 20 -1 ก1 0 ? 0 ? ? 21 -1 ก1 -1 ? -1 ? ? 22 -1 ล1 1 -1 0 -1 -1 เสื่อม ลง 23 -1 ล1 0 0 0 0 0 เสมอ ตวั 24 -1 ล1 -1 1 0 1 1 เจริญ ขน้ึ 25 -1 กล2 1 -1 1 -1 0 เสอื่ ม ลง 26 -1 กล2 0 0 1 0 1 เสมอ ตัว 27 -1 กล2 -1 1 1 1 2 เจรญิ ขนึ้
24 ท่ี สถานะ ความสัมพนั ธ เปรยี บเทียบ ฐานะใน แนวโนม พยากรณ ของ ระหวา งแม คณุ ภาพของ ปจ จุบนั จากลูก อนาคต ครอบครวั พอ -ลูก แมพอ -ลูก [ผดู ำรง แม ลูก ผลลัพธ วงศ ผลลพั ธ พอ ตระกูล] ความหมาย ก1 คือ แมพ อผใู หกำเนิด, ล1 คอื แมพ อผูเลยี้ งด,ู กล2 คอื แมพ อทเี่ ปน ทั้งผูใหก ำเนิดและเลี้ยงดู, 4 คอื สูงทสี่ ุดของสูงทส่ี ุด, 3 คอื สูงที่สดุ , 2 คอื สูงมาก, 1 คอื สูงหรอื สูงกวา , 0 คอื ปานกลางหรือเสมอกัน, -1 คือ ต่ำหรอื ต่ำกวา , ? คอื ไมม ี หรือยงั ไมแน พยัญชนะคือความหมาย สว นตัวเลขคอื คะแนน ท่มี า: มนตรี ววิ าหสุข. (2553). ลกู : วตั ถุมงคลแหง ครอบครัวชาวพุทธ. วารสาร ศรนี ครินทรวิโรฒวจิ ัยและพฒั นา (สาขามนษุ ยศาสตรและสังคมศาสตร). 2(3), 27-43. เมื่อแสดงวงจรแหงความเสื่อมและความเจริญของครอบครัวดวยตารางขางตน แลว มนตรี วิวาหสุข (2553) ไดสรุปวา จากตารางขางตนชี้ใหเห็นวา ลูก คือตัวชี้วัด หรือตวั กำหนดอนาคตของวงศต ระกลู วา โดยตระกลู น้นั ๆ จะเสอื่ มลง คงท่ี หรือ เจริญ ขน้ึ หลังจากท่แี มพอตายแลว ซึง่ กจิ ท่ีเนอ่ื งดว ยการดำรงวงศต ระกูลถือวาเปนภาระหลัก ของลูก เห็นไดจากลกั ษณะการตอบแทนคุณแมพ อทั้ง 5 ประการ ยกเวนประการที่ 1 และ 5 นอกน้นั เปน กจิ ทเ่ี นอื่ งกบั การดำรงวงศต ระกูลท้งั สิ้น ตารางยังชี้ใหเห็นอีกวา ตระกูลที่ไมมีลูกยอมขาดสูญซึ่งอาจมีตระกูลขาดสูญได ถึง 9 ตระกูล ไมวาตระกูลน้ันจะอยูร ะดับต่ำ ปานกลาง หรือ สูง ในขณะที่ตระกูลที่แม พอเปนทั้งผูใหกำเนิดและเลี้ยงดูนั้น มีความไดเปรียบตระกูลของแมพอที่เลี้ยงเพียง อยางเดียว แตก็ไมแนวาความไดเปรียบที่มีนั้นจะถูกนำมาใชในการวางรากฐานให ตระกูลเจรญิ ขึ้น เสื่อมลง หรอื คงท่ี เพราะลูกของแมพอกำเนิดหรือของแมพอแท อาจ แยกวาลูกของแมพอเลี้ยงและเปนตัวเรงใหตระกูลตกต่ำก็ได ในทางตรงกันขาม ลูกท่ี อยูในตระกูลระดับต่ำ ก็สามารถยกระดับฐานะของตระกูลใหสูงขึ้นได ทั้งนี้ขึ้นอยูกับ คณุ ภาพของลูกเอง โดยสรุป ตระกูลอาจแบงเปน 4 ลักษณะ และ 27 ชนิดดวยตัวชี้วัด คือ ลูกผู ดำรงวงศต ระกูล ไดแ ก ตระกลู ท่ีขาดสูญ เส่อื มลง คงท่ี และ เจรญิ ตระกูลขาดสูญอาจ เกิดขึ้นได 9 กรณี เพราะไมมีลูกสืบวงศตระกูล สวนตระกูลที่ยังไมขาดสูญเพราะมีลูก สืบวงศตระกูลอาจจะเสื่อมลง 6 ตระกูล คงที่ 6 ตระกูล และ เจริญขึ้น 6 ตระกูล ใน ตระกูลที่เจรญิ ขึน้ นั้น มีเพียงตระกูลเดียวที่กาวจากระดับสูงที่สดุ ไปสูระดับสงู ที่สุดของ
25 สูงที่สุดโดยผลลัพธจากตารางไดหมายเลข 4 ซึ่งมีเพียงหน่ึงเดียวใน 27 ตระกูล ในทาง ตรงกนั ขา มตระกลู ที่เสื่อมลงจนติดลบมีเพยี งหน่ึงตระกูลไดหมายเลข -1 ดงั นนั้ ใน 27 ตระกูล อาจมีตระกูลที่เหนือกวาตระกูลทั้งหมดอยูหนึ่งตระกูล หากตระกูลนี้ไมหยุด การพัฒนาก็จะกาวหนาเรื่อยไปทุกชั่วอายุคนและจะกลายเปนการพัฒนาที่หางกับ ตระกูลอื่นหนึ่งเทาตัวหรือหลายเทาตัวก็ได ขึ้นอยูกับตระกูลอื่นวามีฐานะในปจจุบัน และตัวตดั สินอนาคตคอื ลูกอยใู นระดับและประเภทใด ตวั ชว้ี ดั ความสำเร็จของสิทธิและหนาที่ ดวยสิทธิและหนาท่ีที่อาจเปนขอเสนอของพระพุทธเจาขางตนทำใหพอจะ ประมาณตอไปไดวาพอแมและสังคมท่ีเลี้ยงดูและแวดลอมลูกและเด็กแตละคนนั้นควร มีลักษณะอยางไรที่จะทำใหลูกและเด็กเติบโตขึ้นมาอยางมีคุณภาพตามสิทธิที่ควรจะ ไดรับ ขอนื้ถือเปนตัวชี้วัดความสำเร็จภายนอก พรอมทั้งพอประมาณไดเชน เดียวกันวา ลูกและเดก็ ซงึ่ เปนอนาคตของของครอบครัวและมนษุ ยชาติน้ันควรมลี ักษณะอยางไรให กำหนดไดบ า งซง่ึ แสดงใหเ ห็นวาลูกและเด็กนน้ั ไดท ำหนาที่ของตนหรอื ยังอันเปนตัวช้ีวัด ภายใน ตัวชี้วัดภายนอกเรียกวา “บุพการี” ในขณะที่ตัวชี้วัดภายในเรียกวา “กตัญู กตเวที” ทั้งสองฝายเปนสิ่งที่พระพุทธศาสนานาจะเห็นวาเปนสิ่งที่ควรตองมีและมีได โดยยาก ดังพระพทุ ธพจน [อาสาทุปปชหวรรค องั .ทุก. (มจร.) 20/120/114] วา บุคคล 2 จำพวกนห้ี าไดยากในโลก บุคคล 2 จำพวกไหนบาง คือ 1. บพุ การี (ผทู ำอุปการะกอ น) 2. กตญั กู ตเวที (ผรู ูอปุ การะท่เี ขาทำแลวและตอบแทน) ตัวชวี้ ดั ความสำเร็จภายนอก (บุพการ)ี สิ่งที่แสดงใหเห็นความสำเร็จเกีย่ วกับสิทธิและหนาที่ หรือเครื่องวัดความสำเร็จ เกยี่ วกับสทิ ธแิ ละหนา ท่ีภายนอกมี 2 ระดบั ไดแ ก ระดบั ครอบครวั และระดับสงั คม
26 ครอบครวั ในระดับครอบครัวพอแมควรมีการวางแผนครอบครัวอยางนอย 3 ขั้น คือ 1) กอนมีลูก ตองมีการเตรียมการดานสุขภาพของตนเอง 2) ขณะตั้งครรภ ก็ตอง บำรุงรักษา และ 3) เมื่อคลอดแลว ก็ตองเลี้ยงดูอบรมสั่งสอน ดังนั้น พอแมจึงถูก เรียกรองใหเปนผูควรตองมีความพรอม 4 ดาน ไดแก 1) สุขภาพสมบูรณแข็งแรง 2) กำลังทรัพยหรือการงานที่มั่นคง 3) ความรูที่พอจะใหการศึกษาเบื้องตน และ 4) คณุ ธรรมทจ่ี ะอบรมส่ังสอนลูก หากครอบครัวใดมีพอแมหรือแมแตจะเปนครอบครัว เล้ยี งเดี่ยวมกี ารวางแผน 3 ข้ัน และมคี วามพรอม 4 ดา น ดังกลาว กพ็ อจะคาดการณได คอ นขางมน่ั ใจวาลูกจะไดร ับสิทธิสมบูรณ สังคม สวนตัวชี้วัดระดับสังคมก็ตองเปนไปสอดคลองกับสิทธิในระดับที่มี ประสิทธิภาพสูงขึ้นซึ่งประสิทธิภาพระดับน้ีเปนไปไดย ากที่ครอบครัวจะมีได รัฐจึงตอง เปนผูจัดสรรใหเปนบริการสาธารณะที่เด็กทุกคนมีสิทธิสามารถเขาถึงได คือ 1) สถานพยาบาลหรือบริการเกี่ยวกับสุขภาพอนามัย 2) สถานศึกษาหรือแหลงฝกหัด พัฒนาอาชีพ และ 3) วัดหรือแหลงฝกฝนอบรมคุณธรรมจริยธรรม นอกจากนี้ รัฐยัง ตองสรางกลไกเพื่อใหสถานท่ีเหลานี้เปนไปไดอยางมีประสิทธิภาพโดยการอุดหนุน งบประมาณและกำลังคนที่เชี่ยวชาญในดานนั้นใหเพียงพอแกความตองการประการ หนึ่ง และอีกประการหนึ่งตองใหความรูกับพอแมและสังคมเพื่อใหตระหนักเห็น ความสำคัญของลูกและเด็กที่จะตองไดรับสิทธิอยางทั่วถึงและเทาเทียม สถาบันทั้ง 3 แหงพรอมทั้งนโยบายและยุทธศาสตรของรัฐจึงเปนตัวชี้วัดความสำเร็จของสิทธิระดับ สังคม พอแมและสังคมที่กระทำไดดังนี้ถือวาเปน “บุพการี” คือผูทำคุณใหกับลูกและ เดก็ กอน ในทางพระพุทธศาสนาไมเพียงถือวาเปน ส่งิ ท่คี วรทำแตยังบอกดวยวาเปนส่ิงท่ี ทำไดยากดวย เทากับทาทายพอแมและสังคมวาการที่จะพัฒนาคนไมวาในฐานะลูก หรอื เด็กผูเปน อนาคตของมนุษยชาตินั้นไมใชเ ร่ืองงายแตเปนเรื่องท่ีตองไดรับการเอาใจ ใสอยางดี หาไมแลวแทนที่ครอบครัวจะเจริญรุงเรืองแตกลับจะรอนรุมดังไฟสุมจน ถึงกับพินาศไดเพราะฐานะของลูกตอครอบครัวคือไฟที่อาจใหคุณหรือโทษก็ได ใน ขณะเดียวกันสังคมหรือรัฐหากจัดการไมดี แทนที่จะไดอนาคตมาทำใหชาติรุงเรือง ก็ กลายเปนอนาคตที่ไมสดใสและสามารถพยากรณอนาคตของประเทศชาติและ มนุษยชาตไิ ดไ มย ากนกั ดว ยคุณภาพของเดก็ น่นั เองวาโลกจะนา อยูหรอื ไม
27 ตวั ช้ีวัดความสำเร็จภายใน (กตัญกู ตเวที) หนาท่ีที่ลูกควรทำมีประการเดียว คือ พัฒนา หมายถึง ทำสิ่งที่ดีอันมีอยูแลวให เจริญยง่ิ ขึน้ และทำสง่ิ ดีท่ียงั ไมมีใหมีขึน้ ซ่ึงดเู หมอื นมีหัวขอนอย แตเม่ือไปเช่ือมโยงกับ ส่ิงท่ตี องพัฒนาก็จะแตกประเด็นออกไปอีก คือ พัฒนาตน พัฒนาครอบครวั และพฒั นา สังคม จะเห็นวาสทิ ธทิ ั้งปวงที่คนคนหนึ่งในฐานะลูกไดรบั จากพอแมในระดับครอบครัว ก็ตาม ในฐานะเดก็ ท่ีไดร ับจากสงั คมหรือรัฐก็ตาม มีเปาหมายเดียวกันคือเพื่อใหลูกและ เด็กคนนั้นมีคุณภาพ ซึ่งคุณภาพนี้จะรูไดก็ตอเมื่อแสดงออกมาทั้ง 3 ระดับ คือ ตนเอง ครอบครวั และสงั คม ในระดับแรก ตนตองทำหนาท่ีโดยประการที่จะมีสุขภาพแข็งแรง มีความรู ความสามารถ และมีคุณธรรมจริยธรรม ระดับตอมา คือ การนำความรูความสามารถ นั้นไปดูแลพอแมและเครือญาติใหอยูดีมีสุขอันเปนความสำเร็จระดับครอบครัวให เจริญรุงเรืองตอไป และสุดทาย คือ การพัฒนาสังคมใหเดินหนาตอไปเพื่อความผาสุก ของสมาชิกเกาที่มีอยูกอนและสมาชิกใหมที่จะมีตามมาใหอยูในสภาพพรอมที่จะไดรับ สิทธิอยางสมบูรณเชนกับที่ตนไดรับมาจากสังคม หรือแมหากตนอาจไดรับโอกาสใน การเขา ถงึ สิทธิอยางไมสมบูรณก ็ตองแกไขใหส งั คมเปน ไปดีกวาท่ผี านมา ดังนนั้ สขุ ภาพ คุณภาพ และคุณธรรม คือ ลักษณะที่พึงประสงคอันลูกและเด็กจะตองพัฒนาใหเกิดมี กับตนแลว นำไปพัฒนาครอบครวั และสังคมตอไป ตวั ชว้ี ดั ความสำเรจ็ เชิงโครงสราง ตัวชี้วัดภายนอกบงบอกความสำเร็จดานสิทธิ สวนตัวชี้วัดภายในบงบอก ความสำเร็จดา นหนาท่ี เมอื่ รวมตัวชว้ี ัดทั้งสองเขา ดว ยกันจะเห็นเปน โครงสรา งสงั คม ซึ่ง โครงสรางทางสังคมจะมีความซับซอนมากนอยไปตามระดับความสัมพันธของคนใน สังคม ยกตัวอยางเชนในสังคมที่ทุกคนในหมูบานรูจักกันทั่วถึง โครงสรางทางสังคมก็ จะไมซับซอนมากนักและเปลี่ยนแปลงไดไมย ากเพราะผูกมุ อำนาจและกลไกของสังคมมี ไมม ากและเขาถึงกนั ไดท้งั หมด แตไมไดหมายความวาโครงสรางทางสังคมจะเปนธรรม เสมอไป ความเปนธรรมเชิงโครงสรางและความซับซอนเชิงโครงสรางแมจะสัมพันธก นั แตไ มใชเรอ่ื งเดียวกัน
28 ตอมาเมอื่ สงั คมหมบู า นน้ันกลายเปนสงั คมเมืองท่ีคนตองเช่ือมโยงสื่อสารกันผาน ระบบบางอยางอาจเปนหนวยงานท่ีรฐั ตั้งขึน้ มา คราวน้คี วามซับซอนเชงิ โครงสรางก็จะ มีมากขึ้นและเปลี่ยนแปลงไดคอนขางยากเพราะผูกุมอำนาจและขับเคลื่อนโครงสราง ไมใชเพียงบุคคลที่รูจักกัน จึงจะขาดความเห็นอกเห็นใจและเขาอกเขาใจกันสงผลให ปฏิบัติตอกันอยางผิดพลาดและหาตัวผูกระทำผิดไมไดเพราะมีผูกระทำหลายคนท่ี กระจายอยูตามจุดเชื่อมความสัมพันธแตละจุดเชื่อมโยงกับระบบสังคมใหญระดับชาติ และโลก สิทธิและหนา ท่ีของลกู และเดก็ เกือบทั้งหมดจะเปนไปสอดคลองกบั โครงสราง ของสังคม หากโครงสรางเปนธรรม สิทธิที่เด็กในสังคมจะไดรับก็คอนขางเทาเทียมกัน ไมวาจะเปนสทิ ธิการเขาถงึ สถานพยาบาล การศึกษา และการพัฒนาคณุ ธรรมจรยิ ธรรม แตทันทีที่โครงสรางทางสังคมไมเปนธรรม ความเหลื่อมล้ำทางสังคมจะปรากฏเดน ออกมา ในขณะที่เด็กกลุมหนึ่งไดรับสิทธิจนเหลือลน แตเด็กอีกกลุมหนึ่งก็ขาดแคลน แสนสาหัส ซึ่งจะสงผลระยะยาวตลอดชวี ิตของเด็กคนน้นั และตราบใดท่ีโครงสรางยังไม เปลี่ยน ความเหลื่อมล้ำก็จะเปนไปชั่วลูกหลาน ทำใหในที่สุดคนกลุมนี้ก็จะเปนอื่นใน สงั คมนนั้ ซึง่ เปน ภาพสงั คมอินเดยี กอนและรวมสมัยพทุ ธกาล สังคมอินเดียกอนสมัยพุทธกาลยุคชวงระหวางยุคอารยันถึงยุคพระเวท มี โครงสรางที่คอนขางไมเปนธรรมกับทุกคนแตก็ยังไมถือวาแปลกมากนักเพราะแมจะมี ศึกสงครามก็มีเพียงผูชนะกบั ผูแพ ซงึ่ ในทกุ สมรภูมิผูชนะกเ็ ปนนาย ผูแพก็เปนทาส ยุค นี้วรรณะนาจะมีเพียง 2 ตามความหมายเดิมของศัพทคือสีผิว ไดแก กลุมคนผิวขาวคือ ชาวอารยันที่เปนผูบุกรุกเขามาครอบครองดินแดน และกลุมคนผิวดำคือชาวมิลักขะท่ี เปนชนพื้นเมืองสรางบานเมืองใหมีความศิวิไลซ ในยุคนี้ชายหญิงไดรับสิทธิกลาวคือ โอกาสในการพัฒนาตนคอนขางเทาเทียมเห็นไดจาก 2 กรณี ไดแก การที่สตรีสามารถ รว มแตง พระเวทและประกอบพิธีกรรมทางศาสนาไดประการหน่ึง และอีกประการหนึ่ง คือการท่เี ดก็ หญงิ ไดร ับโอกาสทางการศึกษาเทาเทยี มกับเด็กชายเม่ืออยูในวัยพรหมจารี ตามหลกั อาศรมส่ี แตกาลตอมาอยูในชวงยุคพระเวทถึงยุคพราหมณ โครงสรางทางสังคมเริ่ม เปลย่ี นไปจากเดิมทีว่ รรณะส่ีถูกแบงตามสีผิวก็กลายเปนแบงตามหนาที่และชาติกำเนิด บทบาทของสตรเี รม่ิ ลดนอยลงในพ้นื ที่สาธารณะและการปฏิบตั ิพธิ ีกรรมทางศาสนาเริ่ม อยูในแวดวงของวรรณะพราหมณผูชายเทานั้น สิทธิในการศึกษาของเด็กหญิงก็เริ่มลด นอ ยลงจนไมมีเลยหากเธอแตงงานซึ่งการแตง งานกเ็ ปน ไปไดต้ังแตเ ด็กเพราะตองการได หญงิ พรหมจารีเปน คคู รอง
29 จนในที่สดุ ตกมาถึงยุคพราหมณซ ึ่งรว มสมัยกับพระพุทธเจา สตรีกแ็ ทบหมดสิทธิ ทางสงั คมคงเปนเพียงภรรยาผูปรนนิบัติสามีและมารดาผูใหกำเนิดและเลี้ยงดูลูกพรอม กับเปนแมบานที่คอยดูแลทุกคนในบาน พราหมณเปนผูกุมอำนาจกำหนดความเปนไป ของสังคม โครงสรางทางสังคมจึงไมอาจใหความเปนธรรมกับทุกคนในสังคมไดอยาง ทั่วถึง ชองวางทางสังคมมีอยูอยางกวางขวาง คนชั้นบนกลายเปนผูมั่งคั่ง สวนคนชั้น ลา งมีชวี ติ อยอู ยางยากลำบากหมดโอกาสจะยกฐานะใหสงู ขึ้นได พระพุทธเจาจึงทรงแสดงสิทธิและหนาท่ีชุดใหมใหสังคมพิจารณาวามนุษยไม ควรถูกแบง ดวยชาติกำเนิดซึง่ เปล่ียนแปลงอะไรไมไดเทาน้ัน แตควรแบง ดวยกรรมหรือ พฤติกรรม กลาวคือ ไมวาใครก็ตามหากทำหนาที่ปกครองก็ควรเปนกษัตริย คนที่ทำ หนาที่สั่งสอนก็ควรเปนพรามหณ คนที่ทำหนาที่คาขายควรเปนแพศย และคนที่ใช แรงงานควรเปนศูทร คนที่ทำหนาที่อื่นนอกจากนี้ก็ควรเปนจัณฑาล ดังพระพุทธพจน [วสลสตู ร ขุ.ส.ุ (มจร.) 17/136, 142/531-532] วา คนจะชือ่ วาเปน คนเลวเพราะชาติกำเนิดกห็ ามไิ ด จะช่อื วาเปน พราหมณเพราะชาติกำเนดิ กห็ ามไิ ด แตช ือ่ วาเปน คนเลวเพราะกรรม ชื่อวา เปนพราหมณเ พราะกรรม พระพุทธเจาทรงไมเห็นดวยที่กำหนดคนที่ชาติกำเนิดแลวใหหนาที่ตามชาติกำเนิด แต เสนอวาชาติกำเนดิ เปน เพียงตัวบงชชี้ าติตระกูลซึ่งคนในตระกูลนัน้ ๆ ไมจำเปนจะตอง ทำหนาที่อยางนั้นตลอดไปหากไมมีความรูความสามารถที่จะทำอยางนั้น แลวจะรูได อยางไรวาใครเปนผูมีความรูความสามารถที่จะทำหนาที่นั้น แนนอนวาชาติตระกูลไม อาจบอกได แตทันทีที่ชาติตระกูลไปผูกติดไวกับการศึกษา เมื่อนั้นชาติตระกูลก็อาจเปน ตวั กำหนดความรคู วามสามารถ กลายเปน วา คนชาติตระกลู นนั้ มีความรูความสามารถท่ี จะทำอยา งน้นั ได แตอาจลมื ไปวา การท่ีจะมีความรูความสามารถอยางน้ันไมไดเกี่ยวกับ ชาติตระกูลแตอยางใดเลย สิ่งที่เกี่ยวของโดยตรงคือการศึกษา การศึกษานี้เองจึงเปน ตัวบงชี้ที่สำคัญวาโครงสรางของสังคมน้ันเปน ธรรมหรือไม หากทุกคนในสังคมสามารถ เขาถึงการศึกษาได สามารถพัฒนาตนไดอยางเต็มศักยภาพ คนนั้นก็จะกลายเปนผูมี ความรูความสามารถที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งตามความสนใจไมวาจะเปนนักปกครอง นัก การศึกษา นักคา ขาย และนักอื่น ๆ ตามความถนดั
30 ดังนั้น พระพุทธเจาจึงเสนอวาการศึกษาเปนหนึ่งในสิทธิขั้นพื้นฐานที่พอแม ตองใหกับลูกเปนเบื้องตนเพื่อที่จะไดมีความรูความสามารถดำรงวงศตระกูล และรัฐ ตองใหกับเด็กเพื่อจะเติบโตขึ้นเปนอนาคตที่พึงประสงคของมนุษยชาติ สอดคลองกับ มุมมองของพระพุทธเจาที่เสนอวาฐานะของลูกมีสองอยางขางตนซึ่งตองไดสิทธิสอง อยางและหนาที่สองอยางตามมา ในขณะที่ผูที่จะศึกษาไดอยางเต็มที่ก็ตองมีรางกายท่ี สมบูรณแข็งแรง เพราะฉะนั้น นอกจากการศึกษาแลวพระพุทธเจาจึงเสนอสิทธิที่ลูก และเด็กจะพึงไดเปนชุดเพื่อที่จะปรับเปลี่ยนโครงสรางทางสังคมใหเอื้อตอการพัฒนา ศักยภาพของปจเจกใหมากที่สุด และเมื่อพัฒนาตนเสร็จแลวก็พัฒนาครอบครัวและ สังคมตอ ไป ดงั น้นั ตัวชว้ี ดั ภายในและภายนอกตองบรู ณาการทุกขอจึงจะแกโครงสราง เดิมแลว เปลย่ี นไปตามแนวคิดของพระพทุ ธศาสนา ขอสรุป ลูกของพอแมและเยาวชนของชาติคือผูถูกผลิตที่ผูผลิตคือพอแมและสังคม จะตอ งรบั ผิดชอบตอผลิตผลของตนอยา งเต็มที่ เพราะลูกไมไดส มัครมาเกิดแตถูกทำให เกิด เพศของลูกจึงตองอยูในความรับผิดชอบของพอแมดวยที่ทำใหเขาเกิดมามีเพศ เชนนั้น ความดีใจหรือเสียใจจึงไมควรลงที่ลูกเพราะลูกไมใชสาเหตุที่แทจริง สาเหตุที่ แทจริงคือกระบวนการใหกำเนิดซึ่งพอแมลวนเปนผูกำหนด ดังนั้น ความรูสึกชื่นชม หรอื ขมขนื่ ควรลงที่พอแมเ ทานัน้ ไมใ ชไปลงทีล่ ูก หากคิดเชนน้ี เด็กทุกคนที่เกิดมาไมวา เพศชายหรือหญิงยอ มจะถูกปฏบิ ตั ิเทา กนั ตัง้ แตตน อยา งไรก็ตาม ดูเหมือน “เพศ” ของลูกจะอยูเหนืออำนาจการกำหนดของพอแม กลาวคือ พอแมแมจะปรารถนาลูกเพศหนึ่งและพยายามเพื่อใหไดลูกเพศนั้น แตความ พยายามนั้นอาจไมสำเร็จก็ได แมจะปรารถนาเชนเดียวกันและพยายามเหมือนกัน ผล ออกมาอาจตางกัน คือ ลูกที่เกิดมาอาจมีเพศตามความหวังและความพยายามนั้นก็มี และแตกตางออกไปก็มี แสดงวานาจะมีอะไรบางอยางที่กำหนดใหเด็กคนนั้น ๆ มีเพศ ใดเพศหนึ่ง หากเปนเชนนี้ ยอมแสดงวา พอแมไมสามารถกำหนดเพศได การที่พอแม ปรารถนาและพยายามแลวไดมาซึ่งลูกที่มีเพศตรงกับความตองการนั้น จึงไมใชขึ้นอยู กับความสามารถของพอแม แตเปนเพราะพอแมตั้งความปรารถนาตรงกับเพศของลูก ถาตรงกันก็สำเร็จและดีใจ ถาไมตรงก็ไมสำเร็จและเสียใจ เพื่อไมใหตนตองดีใจหรือ
31 เสียใจอยางใดอยางหนึ่ง พอแมบางคูจึงตั้งความปรารถนาเปนกลาง ๆ เพื่อลดความ เสย่ี งทางอารมณว า ขอใหลกู มสี ขุ ภาพดเี พศใดกไ็ ด สิ่งใดเลาเปนตัวกำหนดเพศของลูก ศาสนาเทวนิยมเชื่อวา “พระเจา” เปนผู กำหนดซึ่งเปนทัศนะกอนและรวมยุคพุทธกาล ดังนั้น จึงตองขอพรจากพระเจาเพื่อให ประทานลูกที่มีเพศตามที่ตนปรารถนา หรือเพียงประทานลูกไมวา เพศใดก็ไดตนพรอม ที่จะรักเหมือนกันเพราะเปนส่ิงประทานมาจากพระเจา หากคิดเชนน้ี ความรับผิดชอบ ของพอแมก็ลดลง เพราะตนไมใชผูกำหนดเพศ เพียงทำหนาท่ีของตนสวนผูกำหนดผล คืออำนาจภายนอก ในขณะที่ศาสนาอเทวนิยมโดยเฉพาะพระพุทธศาสนาเชื่อวาสิ่งที่ กำหนดเพศของลูกคือ “กรรม” ของลูก พอ และแมรวมกัน กลาวคือ ลูกไดสรางเหตุ ปจจัยบางอยา งที่จะใหตนไดเพศเชนนั้น พอ แมเ องก็เชนกันไดส รางเหตุปจจัยบางอยาง ที่จะทำใหไดลูกมีเพศเชนนั้น เมื่อสรางเหตุปจจัยเชนใดไว ผลที่ไดก็จะเปนไปตามเหตุ ปจจัยนั้นไมวาจะปรารถนาหรือไม ไมวาจะชอบหรือไม ผลที่ไดยอมเปนไปตามเหตุ ปจจัยเสมอ ดังนั้น ความรับผดิ ชอบจงึ ไมไดอยูก ับอำนาจภายนอก แตขึ้นกับตนของท้งั สามคนที่ไดทำสรางเหตุปจจัยหรือกรรมรวมกันมา จึงไมวาสุขหรือทุกขจะตองรวมกัน รับผิดชอบตอไป
32 บทท่ี 3 ภรรยา: สตรีทเ่ี ปนยอดสหาย โครงสรางทางสงั คมกอนและรว มสมัยพุทธกาลจัดพ้ืนที่ใหกับสตรีท่ีแตงงานแลว แตกตา งกันไปตามยุคสมัย ในยคุ อารยนั และพระเวท เธอมีพนื้ ทสี่ าธารณะที่จะแสวงหา ความสุขนอกบานและเปนที่ชื่นชมของสังคมแตก็อยูในลักษณะตกต่ำลงตามลำดับ จนกระทั่งยุคพราหมณ พื้นที่ทางศาสนาและสังคมของเธอตกต่ำลงจนแทบหมดส้ิน บานคือสถานท่ีใชชีวิตเพียงแหงเดียวที่สังคมกระแสหลักกำหนดใหเธอ พระพุทธเจาดู เหมือนไมใหความสำคัญกับพื้นที่ที่เธอใชชีวิตเทาใดนัก แตทรงเสนอวาไมวาใครก็ตาม เมื่ออยูในฐานะใดแลวตองปฏิบัติตอกันอยางถูกตองโดยไมมีใครเหนือกวาใครในเชิง พื้นที่แตพฤติกรรมที่ปฏิบัติตอกันตางหากเลาเปนเครื่องชี้วัดวาใครคือผูที่ควรแกการ ตำหนหิ รอื ยกยอ ง ความนำ บางคนกลาววา พระพุทธเจาทรงท้ิงภรรยาแลวออกผนวชเชนน้ี พระองคจะยังมี ความชอบธรรมในการวางแนวทางที่เปนธรรมแกภรรยาไดหรือ โดยเฉพาะอยา งยิ่งวันที่ เจาชายสทิ ธัตถะ (พระนามของพระพุทธเจา) ทรงทิ้งพระชายาออกผนวชนั้น เปนวันที่ พระนางประสูติพระโอรส การตัดสินพระทัยของพระองคอาจจะไมโหดรายตอ พระโอรสเทาใดนักเมื่อเทียบกับความทุกขระทมที่พระนางยโสธราหรือพิมพา (พระนามของพระชายาของเจาชายสิทธัตถะ) ไดรับ เพราะอยางนอยพระราหุลผูเปน พระโอรสก็ยังไมเคยไดรับความสุขและความอบอุนจากพระบิดา ยังไมเคยทรงเห็นแม พระพักตรของพระบิดาดวยซำ้ ซงึ่ ก็ไมตางกับการท่ยี ังไมทรงมีพระบิดาน่ันเองเนื่องดวย แมแตความรูสึกวามีพระบิดายังไมมี ฉะนั้น เมื่อพระราหุลทรงเจริญวัยข้ึนก็อาจไมรูสึก วาขาดพระบดิ า ไมรูสึกเปนปมดอย ไมมีความทุกขอันเน่ืองมาแตการดำเนนิ ชีวติ ท่ีขาด พระบิดา โดยเฉพาะความสมบูรณพูนสุขแหงพระราชวังที่พระองคทรงเติบโตขึ้นมาใน ฐานะเจาชายนอยและในบริบททางสังคมที่นิยมชมชอบเด็กเพศชายมากกวาเพศหญิง เพราะเหตุนี้ ชะตาชีวิตของพระราหุลจึงไมนาจะมืดมนนัก ตางจากชะตาชีวิตของ
33 พระนางยโสธรา ซึ่งอยใู นฐานะผูถูกทิ้งเหมือนกันกับพระราหุลแตไมเหมือนกันในหลาย มิติ เริ่มตง้ั แตช ว งชีวติ สถานภาพ และบรบิ ททางสงั คม กลาวคือ 1) พระนางทรงถูกทิ้งเมือ่ พระชนมไ ด 29 พรรษา หลังจากทรงอภิเษกมา เปนเวลาประมาณ 13 ป ความรักความผูกพนั ธความรูส ึกเปน สว นหน่ึงของชีวิตกันและ กันทีย่ าวนาน วนั หนึ่งมาขาดสะบ้นั ลง ยอ มนำมาซึง่ ทกุ ขไมใชนอ ย 2) ตอมาพระนางเมื่ออภิเษกแลวก็เสด็จออกจากพระราชวังฝงพระบิดา มารดาแหง กรงุ เทวทหะในแควนโกลิยะแลว ไปประทับอยูที่พระราชวังฝง พระสวามีท่ีอยู อีกแควนหนึ่งชื่อสักกะมีเมืองหลวงชื่อกบิลพัสดุ การตองออกจากบานเดิมมาก็มีความ เปลาเปลี่ยวใจในยามคิดถึงบานเปนทุนเดิมอยูแลวเพราะระยะทาง หากเปรียบกับ ปจจุบันกค็ ืออยกู นั คนละประเทศแมจะเปนประเทศที่มชี ายแดนตดิ กนั แตในยุคโบราณ ซ่ึงการคมนาคมยังเปนแบบเดินเทาถือไดวา ไกลพอสมควร หาใชเ มือ่ คดิ จะกลับไปเยี่ยม บานเดิมก็ไปถงึ ไดภายในวนั เดียวไม พระนางจงึ ถอื วา ทรงทง้ิ บา นมาเพ่อื มาใชช วี ติ อยูกับ ชายใด ชายนั้นก็ทรงทิ้งพระนางไปอีก แลวชีวิตจะอยูที่นั้นอีกตอไปกับใครอยางไร ความทุกขนา จะทวีคูณมากกวาการท่ีทรงถูกทงิ้ ในทามกลางหมูพระญาตสิ ายโลหิตอยาง แนนอน 3) สุดทายคือบริบทของสังคมที่มีทาทีไมนิยมสตรีเปนทุนเดิมอยูแลวตอง มาถูกกระหน่ำซ้ำเติมดวยความเปนหญิงหมายทั้งที่พระสวามียังทรงพระชนมอยู พระ นางตองแบกรับความกดดันทั้งจากหมูพระญาติฝงพระสวามีและผูคนทั้งหลายมาก เพียงใดโดยเฉพาะความกดดันจากฝงพระญาติของพระนางเองที่มีพระธิดาถูกพระ สวามีทิ้งนาจะประดังประเดกันเขามาสงผลตอจิตใจของพระนางใหทุกขระทมมาก ย่งิ ข้ึน ขอสังเกตเหลานี้ เปนมุมมองที่ทาทายตอพระพุทธเจามิใชนอยวาภรรยาตาม ทัศนะของพระองคจะเปน เชนใด แนวทางที่พระองคทรงแนะนำไว จะเปน ธรรมตอสตรี ผูเปนภรรยาทั้งหลายหรือไมอยางไร จะมีภรรยาคนใดหรือไมทั้งในยุคพระองค จนกระท่งั บดั นี้ประยกุ ตใ นการดำเนนิ ชีวิต คำตอบจะถูกคนหาตอ ไปในบทนี้ ความเปน ไปรวมสมัย หญิงชายอินเดียในสมัยโบราณตามคติความเชื่อของศาสนาพราหมณมีหนาที่ หลกั ประการหนง่ึ คอื การมลี กู โดยเฉพาะลูกชาย การท่จี ะมีลกู ไดก็ตอเมื่อชายมีภรรยา
34 และหญิงมีสามี การเปนภรรยาสามีกันจึงนาจะมีเปาหมายที่สำคัญคือการมีลูก หาก ภรรยาสามีคูใดไมมีลูกโดยเฉพาะลูกชาย ชีวิตคูของทั้งสองก็ดูเหมือนไรความหมาย อยางไรก็ตาม ในการมีชีวิตคูดูเหมือนจะเปนประโยชนตอฝายชายมากกวา เพราะชาย เมื่อมีภรรยาแลวจะทำใหการบวงสรวงเทพเจาไดผลสมบูรณ และเมื่อมีลูกชายแลวจะ ไมตกนรกหลังสิ้นชีวิต ในขณะที่ภรรยาเปนเพียงสวนประกอบเพื่อใหการบวงสรวง สมบูรณและเปนทางผานเพื่อการมีลูกชาย ทั้งที่หนาที่ของภรรยาจากที่เคยเปนผู ประกอบพิธีรวมกับสามีในยุคพระเวทพอมาถึงยุคพราหมณไดเปลี่ยนไปในทางที่ คอนขา งจำกัดมากจนหมดบทบาทในฐานะผกู ระทำกลายเปนเพียงสวนประกอบหน่ึงใน พิธกี รรม (สุวิมล ประกอบไวทยกิจ, 2521) อยางไรก็ตาม หากมองในมุมกลับอาจจะเห็นอีกภาพหนึ่ง กลาวคือ ในเมื่อเทพ เจาไมรับพลีกรรมจากชายโสด คือ ผูที่ไมมีภรรยา ภรรยาจึงนาจะอยูในฐานะที่ เหนือกวาสามีเพราะเปนองคประกอบหรือเปนเงื่อนไขของความสำเร็จตั้งแตตน ประการหน่งึ และอีกประการหนง่ึ เม่อื พิจารณาการประกอบพธิ ีกรรมที่เดิมภรรยาเปน ผูทำรวมกับสามี ตอมาภายหลังหมดหนาที่ไปกลายเปนหนาที่ของสามีทั้งหมด หากให ความสำคัญกับการกระทำขณะประกอบพิธีกรรมก็อาจเห็นวาเปนการลดบทบาทของ ภรรยา แตห ากมองอกี มมุ หนึ่งก็อาจจะเหน็ ไดว าเปน การลดภาระ เพราะภรรยามีหนาท่ี หลักในการดูแลครอบครัวอยูแลว หากตองมาเปนผูประกอบพิธีกรรมรวมกับสามีอีก ยอมเปนการเพิ่มภาระหนาที่จนสงผลใหงานที่รับผิดชอบไมไ ดผลดีทั้งสองอยาง จึงเกิด การแบงหนาที่กันปนธรรมดาโดยงานภายในบานใหเปนของภรรยา สวนงานภายนอก เปนของสามี เมื่อแบงงานกันทำแลวผลงานของภรรยาดีก็ดีตอสามีดวย การประกอบ พิธีกรรมบวงสรวงของสามีเมื่อทำไดคลองตัวผลออกมาดีก็ดีไมเพียงตอสามีแตดีกับ ภรรยาดวย การแบงงานกันทำปรากฏอยูทั่วไปในทุกสังคมแมแ ตในปจจุบนั ยิ่งหากถือ วาสามีภรรยาเปนบุคคลคนเดียวกัน การแบงงานกันทำนาจะทำใหชีวิตครอบครัว สมบูรณและสมดุลรอบดานมากขึ้น สถานภาพของภรรยาก็นาจะเปนตามที่ควรจะ เปน อยแู ลว พระพทุ ธเจา ยังจะทรงเสนออะไรใหมใหกบั สมั คมยุคน้นั อกี หรอื
35 การเปล่ียนแปลงโครงสรางและบทบาท โครงสรางของคูชีวิต การเปลี่ยนแปลงสำคัญจนทุกคนในยุคนั้นไมนาจะคาดคิด คือ การตัดพิธี กรรมการบวงสรวงออกไปจากโครงสรางสังคม กลาวคือ พระพุทธเจาไมไดเสนอให ภรรยากลับมามีบทบาทในฐานะผูประกอบพิธีกรรมบวงสรวงรวมกับสามีอีกตอไป แต เสนอใหตัดพิธีกรรมบวงสรวงออกไปเลย ซึ่งถือเปนปรากฏการณที่ถือวาสั่นสะเทือน สังคมในยุคนั้น จากที่พิธีกรรมการบวงสรวงคือธรรมที่ทุกคนในสังคมตองปฏิบัติถูกตัด ออกไป แลวใหความหมายใหมแกคำวา ธรรม คอื การปฏบิ ัติหนา ท่ที ถ่ี ูกตอ งตอกัน ไมใช การประกอบพิธีกรรม แมใ นทางพระพทุ ธศาสนาจะมีพธิ ีกรรมบางอยา ง แตท ุกพธิ ีกรรม ชายและหญิงสามารถกระทำไดเทากัน ดังนั้น จึงไมตองตั้งคำถามวาใครจะเปนผู ประกอบพิธีกรรมเพราะไมจำเปนอีกตอไป เมื่อตัดพิธีกรรมออกไปแลวพระพุทธเจาก็ เสนอใหทุกคนปฏิบัติดีตอกันคือตอบุคคลที่แวดลอมเพื่อใหการดำเนินชีวิตเปนไปได ดวยดีตามแนวทางคูความสัมพนั ธ 6 คู [สิงคาลกสูตร ที.ปา. (มจร.) 11/266-272/212- 216] ดังนี้ 1. พอแมกับลูก โดยลกู อยา งนอ ยควรบำรุงพอ แม 5 ประการ ไดแ ก 1) ทาน เลี้ยงมาแลวเลี้ยงทา นตอบ 2) ชวยทำกิจของทาน 3) ดำรงวงศตระกูล 4) ประพฤติตน ใหเหมาะสมที่จะเปนทายาท 5) ทำบุญอุทิศใหเมื่อทานลวงลับ และพอแม อยางนอย ควรอนุเคราะหลูก 5 ประการ ไดแก 1) หามไมใหทำความชั่ว 2) ใหตั้งอยูในความดี 3) ใหศึกษาศิลปวิทยา 4) หาภรรยา(สามี)ที่สมควรให 5) มอบทรัพยสมบัติใหในเวลา อันสมควร 2. อาจารยกับศิษย โดยศิษย อยางนอยควรบำรุงครูอาจารย 5 ประการ ไดแก 1) ลุกขึ้นยืนรับ 2) เขาไปคอยรับใช 3) เชื่อฟง 4) ดูแลปรนนิบัติ 5) เรียน ศิลปวิทยาโดยเคารพ และครูอาจารย อยางนอยควรอนุเคราะหศิษย 5 ประการ ไดแก 1) แนะนำใหเปนคนดี 2) ใหเรียนดี 3) บอกความรูในศิลปวิทยาทุกอยางดวยดี 4) ยก ยอ งใหปรากฏในมิตรสหาย 5) ทำความปอ งกนั ในทศิ ทั้งหลาย
36 3. ภรรยากับสามี โดยสามี อยางนอยควรบำรุงภรรยา 5 ประการ ไดแก 1) ใหเ กยี รตยิ กยอง 2) ไมดหู มิ่น 3) ไมป ระพฤตนิ อกใจ 4) มอบความเปนใหญใ ห 5) ให เครื่องแตงตัว และภรรยา อยางนอยควรอนุเคราะหสามี 5 ประการ ไดแก 1) จัดการ งานดี 2) สงเคราะหคนขางเคยี งดี 3) ไมป ระพฤตนิ อกใจ 4) รกั ษาทรัพยทสี่ ามีหามาได 5) ขยนั ไมเ กยี จครานในกจิ ทัง้ ปวง 4. มิตรกับมิตร โดยมิตร อยางนอยควรบำรุงมิตร 5 ประการ ไดแก 1) แบงปน 2) กลา ววาจาเปนทร่ี ัก 3) ประพฤตติ นใหเปนประโยชน 4) วางตนสมำ่ เสมอ 5) ไมพูดจาหลอกลวงกัน และมิตร อยางนอยควรปฏิบัติตอมิตร 5 ประการ ไดแก 1) ปองกันมิตรผูประมาทแลว 2) ปองกันทรัพยของมิตรผูประมาทแลว 3) เมื่อมีภัยก็ เปน ทพี่ ึ่งพำนกั ได 4) ไมล ะทิ้งในยามอนั ตราย 5) นับถอื ตลอดถงึ วงศต ระกูลของมิตร 5. ลูกจางกับนายจาง โดยนายจาง อยางนอยควรบำรุงลูกจาง 5 ประการ ไดแก 1) จัดการงานใหต ามสมควรแกก ำลงั 2) ใหอาหารและคาจา งที่เหมาะสม 3) ดูแล รักษายามเจ็บปว ย 4) ใหอาหารมีรสแปลก 5) ใหหยุดงานตามโอกาส และลูกจาง อยาง นอยควรอนุเคราะหนายจาง 5 ประการ ไดแก 1) ตื่นขึ้นทำงานกอนนายจาง 2) เลิก งานเขานอนทีหลังนายจาง 3) ถือเอาแตของที่นายจางให 4) ทำงานใหดีขึ้น 5) นำคุณ ของนายจา งไปสรรเสรญิ 6. พระกับฆราวาส โดยฆราวาส อยางนอยควรบำรุงพระ 5 ประการ ไดแก 1) จะทำส่ิงใด กท็ ำดวยเมตตา 2) จะพูดสง่ิ ใด กพ็ ดู ดวยเมตตา 3) จะคดิ สิ่งใด กค็ ดิ ดวย เมตตา 4) เปดประตูตอนรับ 5) ถวายปจจัยเครื่องยังชีพ และพระ อยางนอยควร อนุเคราะหฆราวาส 6 ประการ ไดแก 1) หามไมใหทำความชั่ว 2) ใหตั้งอยูในความดี 3) อนุเคราะหด ว ยนำ้ ใจอนั ดีงาม 4) ใหไ ดฟง สง่ิ ท่ยี ังไมเคยฟง 5) อธบิ ายส่ิงทเ่ี คยฟง แลว ใหเขาใจแจม แจง 6) บอกทางสวรรคใ ห บทบาท จากคูความสัมพันธและหลักปฏิบัติตอกันขางตนซึ่งเขามาแทนที่การประกอบ พธิ ีกรรมบวงสรวง กลาวเฉพาะคูความสัมพนั ธระหวา งภรรยากับสามีจะเห็นวาไมมีใคร เหนือกวาใครในการประกอบพิธีกรรมเพราะพระพุทธเจาทรงตัดออกซึ่งพิธีกรรม
37 การบวงสรวงออกไปจากวิถีชวี ติ ชาวพทุ ธแลว บทบาทของท้ังคเู ปน ความสัมพนั ธเสมือน เปนคนเดียวกันโดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวกับทรัพย ในขณะที่สามีเปนผูหาทรัพยสวน ภรรยาเปนผูรักษาทรัพย กลาวไดวาทั้งคูมีกระเปาเดียวกัน สวนการใหเกียรติยกยอง การไมดูหมิ่น และการมอบความเปนใหญใหภรรยาซึ่งเปนหนาท่ีที่สามีตองปฏิบัตนิ ้ันดู เหมือนจะแยกกันไมออก กลาวคือ เมื่อใหเกียรติก็ปดโอกาสที่จะดูหมิ่น เมื่อไมดูหม่ิน พรอมกับใหเกียรติก็วางใจจึงมอบความเปนใหญใหจัดการทรัพยและบริหารเครือญาติ ดงั นน้ั หนาที่ของภรรยาจึงตองจดั การงานและดูแลเครือญาติทีต่ นมหี นาทบ่ี ริหารอยูน้ัน ใหด ีสมควรกบั ฐานะทางการเงนิ อยางเต็มท่ี ประการสดุ ทา ย คือ การไมประพฤตินอกใจ ซึ่งกันและกันที่ตางฝายตางตองมี และไมเพียงแตในสิงคาลกสูตรนี้ที่พระพุทธเจาตรัส ใหสามีภรรยาตองไมประพฤตินอกใจกัน แตยังมีศีลหา ขอที่สามมาชวยกำกับอีกแรง ซึ่งนาจะสวนกระแสของสังคมยุคนั้นท่ีชายอาจมภี รรยาไดม ากกวาหน่ึงคน [มนตรี สิระ โรจนานันท (สืบดวง), 2557] ไมเพียงศีลหา ขอที่สาม แตยังมีธรรมหา ขอที่สาม คือ สทารสันโดษ แปลวา ความยินดีในภรรยาของตนเองกำกับอีกชั้นหนึง่ ดวย [พระพรหม คุณาภรณ (ป.อ. ปยตุ โฺ ต), 2553; มนตรี วิวาหส ขุ , 2554] ประเภทและฐานะ ประเภท ภรรยาอาจแบงเปน 3 ประเภท ไดแก 1) แบงโดยที่มาและผใู หก ารรักษา 2) แบง โดยพฤติกรรม และ 3) แบง โดยคุณธรรม (มนตรี วิวาหสขุ , 2554) ดังน้ี 1. ภรรยาที่แบงโดยที่มาและผูใหการรักษา ปรากฏในพระวินัยปฎก [วิ. มหา. (มจร.) 1/303-304/345-347] ที่ประมวลภรรยาซึ่งนาจะมีอยูในสังคมยุคนั้น ไว 10 ประเภท ไดแก 1) ภรรยาสินไถ คือ หญิงที่ชายเอาทรัพยซื้อมาอยูรว มกัน 2) ภรรยาที่อยู ดว ยความพอใจ คอื หญิงอันเปนท่ีรกั ซึ่งชายคูรักรับใหอยูรว มกัน 3) ภรรยาที่อยูเพราะ สมบตั ิ คือ หญงิ ท่ีชายยกสมบตั ิใหแ ลว อยูรว มกนั 4) ภรรยาทอ่ี ยเู พราะแผนผา คือ หญงิ ที่ชายมอบผาใหแ ลวอยูรว มกัน 5) ภรรยาที่เขาพิธีสมรส คือ หญิงที่ชายจับมือจุม ลงใน ภาชนะน้ำดวยกันแลวอยูรวมกัน 6) ภรรยาที่ถูกปลงเทริด คือ หญิงที่ชายถอดเทริดลง
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183