Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ

ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ

Published by Pitiwat Peet, 2021-03-16 13:43:28

Description: ศึกษาและปฏิบัติเกี่ยวกับบทบาท และความสำคัญของระบบสารสนเทศ โครงสร้างการบริหารในองค์กรธุรกิจ ระดับการใช้สารสนเทศในองค์กรธุรกิจ ความปลอดภัยและควบคุมระบบสารสนเทศ การประยุกต์เทคโนโลยีในกรออกแบบและพัฒนระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการยุคใหม่ระบบสารสนเทศสนับสนุนการตัดสินใจ ระบบผู้เชี่ยวชาญ ระบบปัญญาประดิษฐ์เบื้องต้น

Keywords: ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ

Search

Read the Text Version

รหสั 3204-2105 ระบบสารสนเทศเพ่อื การจดั การ 2-2-3 (Management Information System) จดุ ประสงคร์ ายวชิ า เพ่อื ให้ 1. เขา้ ใจเก่ียวกบั ระบบสารสนเทศเพ่อื การจดั การ 2. มีความสามารถนาระบบสารสนเทศเพ่อื การจดั การไปวางแผน วิเคราะห์ ออกแบบตลอดจนนาไปใช้ พฒั นางานองคก์ ร 3. มีคณุ ลกั ษณะนิสยั ท่ีพงึ ประสงค์ และเจตคติท่ีดีในวชิ าชีพคอมพวิ เตอรธ์ ุรกิจ สมรรถนะรายวิชา 1. แสดงความรูเ้ ก่ียวกบั หลกั การระบบสารสนเทศเพ่ือการจดั การ 2. เลือกใชะ้ บสารสนเทศเพ่ือการจดั การในงานธรุ กิจ คาอธิบายรายวิชา ศกึ ษาและปฏบิ ตั เิ ก่ียวกบั บทบาท และความสาคญั ของระบบสารสนเทศ โครงสรา้ งการบรหิ ารในองคก์ ร ธุรกิจ ระดบั การใชส้ ารสนเทศในองคก์ รธุรกิจ ความปลอดภยั และควบคมุ ระบบสารสนเทศ การประยกุ ต์ เทคโนโลยีในกรออกแบบและพฒั นระบบสารสนเทศเพ่อื การจดั การยคุ ใหมร่ ะบบสารสนเทศสนบั สนนุ การ ตดั สนิ ใจ ระบบผเู้ ช่ียวชาญ ระบบปัญญาประดษิ ฐ์เบอื้ งตน้

หลักการระบบสารสนเทศ สาระการเรียนร้ เพอื่ การจดั การ 1. ขอ้ มลู 2. การรบั รูข้ อ้ มลู แผนผังความคดิ 3. ชนดิ ของขอ้ มลู ชนิดของขอ้ มลู 4. ประเภทของทอ้ มลู ประเภทของขอ้ มลู 5. แหลง่ ท่ีมาของขอ้ มลู แหลง่ ท่ีมาของชอ้ มลู 6. สารสนเทศ การทาขอ้ มลู ใหเ้ นสารสนเทศ 7. การทาขอ้ มลู ใหเ้ ป็นสารสนเทศ ระบบสารสนเทศ 8. ระบบสารสนเทศ ประเภทของระบบสารสนเทศ 9. ประเภทของระบบสารสนเทค องคป์ ระกอบของระบบสารสนทศ 10. องคป์ ระกอบของระบบสารสนเทศ ความสาคญั ของการจดั การ 11. การจดั การ กระบวนการในการจดั การ 12. ความสาคญั ของการจดั การ หนท้ ่ีหลกั ของระบบสารลนเทศเพ่อื การจดั กร 13. กระบวนการในการจดั การ ระบบสารลนเทศเพ่อื กาวจดั การ 14. ระบบสาวสนเทคเพ่อื การจดั การ สว่ นประกอบของวะบบสารสนทศเพ่อื การจดั การ 15. หนา้ ท่ีหลกั ของระบบสารสนเทศเพ่อื การ คณุ สบตั ขิ องระบบสารลเทศเพ่อื การจดั การ จดั การ ประโยขนข์ องระบสารสนทศเพ่ือการจดั การ 16. สว่ นประกอบของระบบสารสนเทศเพ่อื การ จดั การ สมรรถนะการเรียนรู้ 17. คณุ สมบตั ขิ องระบบสารสนเทศเพ่ือการจดั การ 1. บอกความหมายของขอ้ มลู และสารสนเทศได้ 18. ประโยชนข์ องระบบสารสนเทคเพ่ือการจดั การ 2. อธิบายปรเภทและองคป์ ระกอบของระบบ สารสนเทศได้ 3. อธิบายกรบวนการและความสาคญั ของการ จดั การได้ 4. อธิบายความหบายและสว่ นประกอบของระบบ สารสนเทคเพ่ือการจดั การได้ 5. อธิบายคณุ สมบตั ิและประยชนข์ องระบบ สารสนเทศเพ่ือการจดั การได้ 6. ปฏิบตั ิการทาขอ้ มลู ใหเ้ ป็นสาวสนเทศได้ ขอ้ มลู 7. คณุ สมบตั ขิ องระบบสารสนเทศเพ่ือการจดั การ 8. ประโยชนข์ องMind Mapping หลักการระบบสารสนเทศเพอื่ การจัดการ

หน่วยท่ี 1 หลกั การระบบสารสนเทศเพ่ือการจัดการ สาระสาคญั ปัจจุบนั หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ท้งั ที่มีขนาดใหญ่และขนาดเลก็ ลว้ นตอ้ งการสารสนเทศดว้ ยเหตุผล ต่าง ๆ กนั ในการทา ธุรกรรมน้นั ผบู้ ริหาร ของหน่วยงานตา่ ง ๆ กต็ อ้ งการสารสนเทศเพอื่ การบริหารจตั การ การตดั สินใจ และแกป้ ัญหา หากไม่มี สารสนเทศท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั เร่ืองที่จะตอ้ ง ตตั สินใจหรีอ แกป้ ัญหาแลว้ การตดั สินใจกอ็ าจจะผดิ พลาดและก่อใหเ้ กิดความเสียหายได้ ดว้ ย ดว้ ยเหตุน้ีเองการจดั เกบ็ สารสนเทศที่ถูกตอ้ งและเหมาะสมเอาไวอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ เพือ่ ใหส้ ามารถดคน้ คืนมาใชใ้ ดเ้ มื่อจาเป็นจึงมี ความสาคญั อยา่ งยงิ่ ตอ่ การที่จะทาให้ องศก์ รบรรลุเป้าหมายท่ีไดต้ ้งั ไว้ ข้อมูล (Data) ก่อนท่ีจะทาความเขา้ ใจกบั ความหมายของระบบ สารสนเกต ควรท่ีจะตอ้ งรู้ความหมายของคาวา่ \"ขอ้ มูล\" (Data) และสารสนเทศ (Information) ก่อน ดงั น้ี ขอ้ มูล (Data) หมายถึง ส่ิงท่ีเกิดข้ึนเก่ียวกบั คน สตั ว์ ส่ิงของ สถานท่ีหรือเหตุการณ์ ฯลฯ โดยอยใู่ น รูปแบบที่เหมาะสมต่อการส่ือสาร การแปลความหมาย และการประมวลผล ซ่ึงขอ้ มูลอาจจะไดม้ าจกการสงั เกต การรวบรวม การวดั ขอ้ มูลเป็นไดท้ ้งั ขอ้ มูล ตวั เลขหรือ สญั ลกั ษณ์ ๆ ที่สาคญั จะตอ้ งมีความเป็นจริงและต่อเน่ือง ตวั อยา่ งของขอ้ มูล เช่น ชื่อนกั เรียน เพศ อายุ คะแนนสอบ เป็นตนั สรุป ขอ้ มูล คือ ขา่ วสาร ขอ้ ความ ตวั เลขและขอ้ เทจ็ จริงที่สนใจไม่วา่ จะเป็นคน สตั ว์ หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ท่ียงั ไม่ประเมินหรือ ปรุงแต่งใหส้ ามารถนาไปใชไ้ ดต้ รงกบั ความตอ้ งการของผใู้ ช้

การรับรู้ข้อมูล ขอ้ มูลท่ีปรากฏจะมีหลายรูปแบบ เช่น เป็นตวั เลข ขอ้ ความ รูปภาพ เสียงต่าง ๆ ซ่ึงสามารถ รับรู้ ขอ้ มูลไดจ้ ากส่วนต่าง ๆ ดงั น้ี 1. การรับรู้ขอ้ มูลทางตา ไดแ้ ก่ การมองเห็น เช่น ขอ้ มูลภาพ ขอ้ มูลจากหนงั สือ โทรทศั น์ เป็นตนั 2. การรับรู้ทางหู ไดแ้ ก่ การไดย้ นิ เสียง ผา่ นเขา้ มาทางหู เช่น ขอ้ มูลเสียงเพลง เสียงพดู เป็นตนั 3. การรับรู้ทางมือ ไดแ้ ก่ การสมั ผสั กบั ขอ้ มูล เช่น การจบั เส้ือผา้ แลว้ รู้สึกวา่ นุ่ม เป็นตน้ 4. การรับรู้ทางจมูก ไดแ้ ก่ การไดก้ ลิ่น เช่น หอมกล่ินอาหาร กลิ่นดอกไม้ เป็นต้นั 5. การรับรู้ทางปาก ไดแ้ ก่ การรู้สึกถึงรส โดยการสมั ผสั ทางลิ้น เช่น เผด็ หวาน ขม เป็นตนั ชนิดของข้อมูล ขอ้ มูลท่ีไชห้ รือที่มีอยใู่ นระบบต่าง ๆ จะมีท้งั หมด 4 ชนิดดว้ ยกนั คือ 1. ขอ้ มูลตวั เลข (Numeric) จะประกอบดว้ ยตวั เลขเท่าน้นั เช่น 125 3648 เป็นตนั มกั จะนามาใชใ้ น การคานวณ 2. ขอ้ มูลอกั ขร (Tex) ประกอบดว้ ย ตวั อกั ษร ตวั เลขและอกั ขระพิเศษหรือเคร่ืองหมายพเิ ศษ ต่าง ๆ เช่น \"การทาความดี\" เสียงดงั ตกใจ! บา้ นเลขที่ 13/2 หรือหมายเลขโทรศพั ท์ 08-9987-7653 เป็นตนั ในกรณีท่ีเป็นตวั เลขที่มิไดน้ ามาคานวณ หรือใชใ้ นการคานวณไม่ได้ จะจดั เป็นชนิดของขอ้ มูล แบบอกั ขระ 3. ขอ้ มูลภาพ (Imoge) รับรู้จากการมองเห็น เช่น ภาพถ่ายเพือ่ น ๆ ภาพววิ ทิวทศั น์ต่าง ๆ 4. ขอ้ มูลเสียง (Sound) รับรู้จกทางหูหรือการไดย้ นิ เช่น เสียงพดู เสียงร้องเพลง เป็นตนั

จึงประหยดั ท้งั เวลาและคา่ ใชจ้ ่าย บางคร้ังขอ้ มูลทุติยภูมิจะไม่ตรงกบั ความตอ้ งการหรือมีรายละเอียด ไม่เพียงพอ นอกจากน้นั ผใู้ ชจ้ ะไม่ทราบถึงขอ้ ผดิ พลาดของขอ้ มูล ซ่ึงอาจะทาใหผ้ ทู้ ่ีนามาใชส้ รุป ผลการวจิ ยั ผดิ พลาดไปดว้ ย เช่น สถิติการเกิดอุบตั ิเหตุโดยรถจกั รยานยนดข์ องนกั ศึกษาในปี พ ศ. 2ป55ร6ะ-เ2ภ55ท7ขเอป็งนขข้อ้ มูลท่ีบางคร้ังอาจถูกแปรรูปไปแลว้ แต่เนื่องจากบางคร้ังเราไม่สามารถท่ีจะจดั เกบ็ ขปอ้ รมะูลเภปทฐขมอภงูมขิ ไอ้ ดมเ้ ูลรามจีหึงลตาอ้ ยงลศกัึกษษณาจะากเชข่นอ้ มจาูลแทนี่มกีกตาารมเกลบ็ กั รษวณบะรกวามรไเวกแ้บ็ ลขว้อ้ มูล แบ่งไดเ้ ป็น 4 ประเกท คือ 1.1 ขอ้ มูลที่ไดจ้ ากการนบั (Counting Data) เช่น จานวนนกั ศึษาท่ีสอบผา่ น จานวนรถที่ผา่ น เขา้ -ออก มหาวิทยาลยั ในช่วงเวลา 07.00-09.00 น, ซ่ึงขอ้ มูลท่ีได้ จะเป็นเลขจานวนเตม็ บางคร้ัง เรียกวา่ เป็นขอ้ มูลท่ีไม่ต่อเนื่อง 1.2 ขอ้ มูลที่ไดจ้ ากการวดั (Measurement Data) เช่น น้าหนกั ของนกั ศึกษาแตล่ ะคน ส่วนสูง ของนกั ศึกษาแตล่ ะคน ระยะเวลาในการเดินทางจากบา้ นมายงั ที่ทางานของพนกั งานแตล่ ะคน ปริมาณน้าฝนท่ีวดั ได้ ขอ้ มูลท่ีไดจ้ ะมีลกั ษณะเป็นเศษส่วน หรือ จุดทศนิยม บางคร้ังเรียกวา่ ขอ้ มูล แบบต่อเน่ือง 1.3 ขอ้ มูลที่ไดจ้ ากการสงั เกต (Observation Data) เป็นขอ้ มูลท่ีไดจ้ ากการติดดามหรือ เฝ้า สงั เกตพฤติกรรม หรือปรากฎการณ์ต่าง ๆ เป็นตนั 1.4 ขอ้ มูลท่ีไดจ้ ากการสมั ภาษณ์ (Inteview Data) เป็นขอ้ มูลท่ีไดจ้ ากการถาม-ตอบ โดยตรง ระหวา่ งผสู้ มั ภาษณ์และผถู้ ูกสมั ภาษณ์ จาแนกตามแหล่งทมี่ าของข้อมูล แบ่งได้เป็ น 2 ชนิด คือ 2.1 ขอ้ มูลปฐมภูมิ (Primary Data) เป็นขอ้ มูลที่ไดม้ าจากการที่ผใู้ ชเ้ ป็นผูเ้ กบ็ ขอ้ มูลโดยดรง ซ่ึงอาจจะเกบ็ ดว้ ยการสภั าษณ์หรือสงั เกตการณ์ เป็นขอ้ มูลท่ีมีความน่าเช่ือถือมากที่สุด เน่ืองจากยงั ไม่มีการเปล่ียนรูป และมีรยละเอียดตามที่ผใู้ ชต้ อ้ งการ แต่จะตอ้ งเสียเวลาและค่ใชจ้ ่ายมาก เช่น ขอ้ มูล ท่ีไดจ้ ากการนบั จานวนรถที่เข-้ ออกมหาวทิ ยาลยั ในช่วงเวลา 07. 00-09.00 น. ขอ้ มูลจากการสมั ภาษณ์ นกั ศึกษา

แบง่ ตามมาตรของการวดั จะแบง่ ได้ 4 ชนิด 3.1 มาตรวดั นามบญั ญตั ิ (Nominal Scale) เบน็ การวดั คา่ ท่งี า่ ยท่สี ดุ หรอื สะดวกตอ่ การใชม้ ากท่ีสดุ เพราะ เป็นการแบง่ กลมุ่ ของขอ้ มลู เพ่ือสะดวกตอ่ การวิเคราะห์ โดยการแบง่ กลมุ่ จะถือวา่ แตล่ ะกลมุ่ จะมีความเสมอภาคกนั หรอื เทา่ เทียมกนั คา่ ท่ีกาหนดใหแ้ ตล่ ะกลมุ่ จะไมม่ ีความหมาย และไม่สามารถนามาคานวณได้ เชน่ เพศ มี 2 คา่ คือ ชายและ หญิงการจาแนกเพตอาจจะกาหนดคา่ ได้ 2 ตา่ คอื ถา้ 0 หมายถงึ เพศชาย ถา้ 1 หมายถึงเพตหญิง เป็นตนั 3.2 มาตรวดั อนั ดบั (Ordinal Scale) เป็นการวดั ท่แี สดงวา่ ขอ้ มลู ท่ีอยใู่ นแตล่ ะกลมุ่ จะมีความแตกตา่ งกนั โดยพิจารณาจากลาดบั ดว้ ย น่นั คือ สามารถบอกไดว้ า่ กลมุ่ ใดดกี วา่ กลมุ่ อ่นื ๆ หรอื กลมุ่ ใดท่ีมากกวา่ หรอื นอ้ ยกวา่ กลมุ่ อ่ืน ๆ แตไ่ มส่ ามารถบอกปรมิ าณความมากกวา่ หรอื นอ้ ยกวา่ เป็นเทา่ ได และคา่ ท่กี าหนดใหแ้ ตล่ ะกลมุ่ ไมส่ ามารถมาคานวณได้ เช่น คาถามท่ีวา่ \"ทา่ นดรู ายการใดทางโทรทศั นม์ ากท่ีสดุ \" โดยใหเ้ รยี งลาดบั ตามท่ตี อ้ งการจะทามากท่ีสดุ 5 อนั ดบั - ละคร ลาดบั ท่ี 1 - ขา่ ว ลาดบั ท่ี 4 - เพลง ลาดบั ท่ี 2 - กีฬา ลาดบั ท่ี 5 - ภาพยนตร์ ลาดบั ท่ี 3 จากขา้ งตนั จะพบวา่ ทา่ นนีช้ อบดลู ะครมากกวา่ ขา่ ว แตไ่ มท่ ราบวา่ ชอบมากกวา่ เทา่ ใด 3.3 มาตรวดั แบบชว่ ง (Interval Scale) เป็นการวดั ท่ีแบง่ สิ่งท่ีตกึ ษาออกเป็นระดบั หรอื เป็นช่วง ๆ โดยแต่ ละชว่ งมีขนาดหรอื ระยะหา่ งเทา่ กนั ทาใหส้ ามารถบอกระยะหา่ งของชว่ งได้ อีกทงั้ บอกไดว้ า่ มากหรอื นอ้ ยกวา่ กนั เทา่ ไร จงึ ทาใหม้ ีความแตกตา่ งกนั ในเชิงปรมิ าณ เช่น อณุ หภมู ิ คะแนนสอบ ซง่ึ ตวั เลขเหลา่ นี้ บวก ลบ ได้ แต่ คูณ หาร ไมไ่ ด้ แต่ ศนู ยข์ องขอ้ มลู ชนิดนีเ้ ป็นศนู ยส์ มมติ ไมใ่ ช่ ศนู ยแ์ ท้ เช่น อณุ หภมู ิ 0 องศเซลเซยี ส ไมไ่ ดห้ มายความวา่ ณ จดุ นนั้ ไมม่ ีความ รอ้ นอยเู่ ลย หรอื การท่ีนกั ศกึ ษไดค้ ะแนน 0 ก็ไมไ่ ดห้ มายความวา่ นกั ศกึ ษาไมม่ ีความรูเ้ ลยแตเ่ ป็นเพียงตวั เลขท่บี อกวา่ นกั ศกึ ษาทาขอ้ สอบนนั้ ไมไ่ ด้ 3.4 มาตรวดั อตั ราสว่ น (Rato Scale) เป็นการวดั ท่ีละเอียดและสมบรู ณท์ ่ีสดุ ท่ีสามารถบอกความแตกตา่ งใน เชิงปรมิ าณ โดยแบง่ สง่ิ ท่ีศกึ ษาออกเป็นชว่ ง ๆ เหมอื นมาตรวตั อนั ตรภาค ท่ีแตล่ ะช่วงมีระยะหา่ งเทา่ กัน และศนู ยข์ อง ขอ้ มลู ชนิดนีเ้ ป็นศนู ยแ์ ท้ ซง่ึ หมายถงึ ไมม่ ีอะไรเลยหรอื มีจดุ ท่เี รม่ิ ตนั ท่ีแทจ้ รงิ และสามารถนาตวั เลขนีม้ า บวก ลบ คณู หาร ได้ เชน่ ความยาว เวลา แหลง่ ท่ีมาของขอ้ มลู แหลง่ ขอ้ มลู ท่ีใชใ้ นการประมวลผลเพ่ือสรา้ งเป็นสารสนเทศ เกิดขนึ้ จาก 2 แหลง่ คือ แหลง่ ขอ้ มลู ภายในองคก์ ร และ แหลง่ ขอ้ มลู ภายนอกองคก์ ร โดยมีรายละเอียดดงั นี้ 1.แหลง่ ขอ้ มลู ภายในองคก์ ร เป็นขอ้ มลู ท่ีเกิดขนึ้ ภายในองคก์ ร สามารถนาขอ้ มลู เหลา่ นีม้ าผลิต เป็นสารสนเทศท่ี ใชภ้ ายในองคก์ รได้ ไดแ้ ก่ นโยบายและกฎขอ้ บงั คบั ขององคก์ ร เช่น การปรบั เงนิ เดือน การเล่อื นตาแหน่ง หรอื การบรหิ าร จดั การองคก์ ร เป็นตนั

2. แหล่งขอ้ มูลภายนอกองคก์ ร เป็นขอ้ มูลท่ีเกิดข้ึนนอกองคก์ ร แลว้ นามาประมวลผลเป็น สารสนเทศ เพือ่ ใหผ้ บู้ ริหารสามารถกาหนดการปฏิบตั ิการ หรือกาหนดช่วงโอกาสที่จะ ดาเนินการตามสถานการณ์ต่าง ๆ ท่ีเกิดข้ึนเพอื่ รักษาแนวทางธุรกิจไว้ สารสนเทศ (Information) \"สารสนเทศ\" (nformaon) หมายถึง ขอ้ มูลที่ไดผ้ า่ นกระบวนการประมวลผลแลว้ อาจใช้ วธิ ีง่าย ๆ เช่น หาคา่ เฉล่ียหรือใชเ้ ทคนิคข้นั สูง เช่น การวิจยั ดาเนินงาน เป็นตนั เพอื่ เปลี่ยนแปลงสภาพ ขอ้ มูลทว่ั ไปใหอ้ ยใู่ นรูปแบบท่ีมีความสมั พนั ธ์หรือมีความเก่ียวขอ้ งกนั เพือ่ นาไปใชป้ ระโยชน์ ตดั สินใจใหค้ าตอบปัญหาต่าง ๆ ได้ สารสนเทศประกอบดว้ ยขอ้ มูล เอกสาร เสียง หรือรูปภาพต่าง ๆ แต่จดั เน้ือเร่ืองใหอ้ ยใู่ นรูปที่มีความหมาย สารสนเทศไม่ใช่ จากดั เฉพาะเพียงตวั เลขเพียงอยา่ งเดียวเท่าน้นั ข้นั ตอนท่ี 1 ข้นั ตอนที่ 2 ข้นั ตอนท่ี 3 การทาขอ้ มูลใหเ้ ป็นสารสนเทศ การทาขอ้ มูลใหเ้ ป็นสารสนเทศ การทาขอ้ มูลใหเ้ ป็นสารสนเทศที่จะเป็นประโยชน์ ต่อการใชง้ าน จาเป็นตอ้ งอาศยั เทคโนโลยเี ขา้ มาช่วยในการดาเนินการ เร่ิมต้งั แต่การ รวบรวมและตรวจสอบขอ้ มูล การดาเนินการประมวลผลขอ้ มูล ใหก้ ลายเป็นสารสนเทศ และการดูแลรักษาสารสนเทศเพอื่ การใชง้ าน 1.การรวบรวมและตรวจสอบขอ้ มูล ควรประกอบดว้ ย 1.1 การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล เป็นเร่ืองของการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลซ่ึงมีจานวน มาก และตอ้ ง เกบ็ ใหไ้ ดอ้ ยา่ งทนั เวลา ช่น ขอ้ มูลการลงทะเบียนเรียนของนกั เรียน ขอ้ มูล ประวตั ิบุคลากร ปัจจุบนั เทคโนโลยชี ่วยใน การจดั เกบ็ อยเู่ ป็นจานวนมาก เช่น การป้อน ขอ้ มูลเขา้ เคร่ืองคอมพิวเตอร์ การอ่านขอ้ มูลจากรหสั แท่ง การตรวจใบลงทะเบียนท่ีมีการฝน ดินสอดาในตาแหน่งตา่ ง ๆ เป็นวิธีการเกบ็ รวบTม ขอ้ มูลเช่นกนั สว่ นรบั ขอ้ มลู สว่ นประมวลผล สารสนเทศ (Input) (Process) (Information) หน่วยความจา (Memory)

1.2 การตรวจสอบขอ้ มลู เม่ือมีการเก็บรวบรวมขอ้ มลู แลว้ จาเป็นตอ้ งมีการตรวจสอบขอ้ มลู เพ่ือตรวจสอบ ความถกู ตอ้ ง ขอ้ มลู ท่ีเกบ็ เขา้ ในระบบจะตอ้ งมีความเช่ือถือได้ หากพบท่ีผิดพลาดตอ้ ง แกไ้ ข การตรวจสอบ ขอ้ มลู มหี ลายวิธี เชน่ การใชผ้ ปู้ อ้ นขอ้ มลู สองคนปอ้ นขอ้ มลู ชดุ เดียวกนั เขา้ เครอ่ื ง คอมพิวเตอรแ์ ลว้ เปรยี บเทียบ กนั 2. การดาเนินการประมวลผลขอ้ มลู ใหก้ ลายเป็นสารสนเทศ อาจประกอบดว้ ยกิจกรรม ดงั ตอ่ ไปนี้ 2.1 การจดั แบง่ ขอ้ มลู ขอ้ มลู ท่ีจดั เก็บจะตอ้ งมีการแบง่ แยกกลมุ่ เพ่ือเตรยี มไวส้ าหรบั การ ใช้ งาน การแบง่ แยกกลมุ่ มีวิธีการท่ีชดั เจน เชน่ ขอ้ มลู ในโรงเรยี นมีการแบง่ เป็นแฟม้ ประวตั ินกั เรยี น และแฟม้ ลงทะเบียน สมดุ โทรศพั ทห์ นา้ เหลืองมีการแบง่ หมวดหมสู่ นิ คา้ และบรกิ าร เพ่ือความสะดวก ในการคน้ หา 2.2 การจดั เรยี งขอ้ มลู เม่ือจดั แบง่ กลมุ่ เป็นแฟม้ แลว้ ควรมีการจดั เรยี งขอ้ มลู ตามลาดบั ตวั เลข หรอื ตวั อกั ษร หรอื เพ่ือใหเ้ รยี กใชง้ านไดง้ า่ ยประหยดั เวลา ตวั อย่างการจดั เรยี งขอ้ มูล เช่น การ จดั เรยี ง บตั รขอ้ มลู ผแู้ ตง่ หนงั สือในตบู้ ตั รรายการของหอ้ งสมดุ ตามลาดบั ตวั อกั ษร การจดั เรยี งช่ือคนใน สมดุ รายนาม ผใู้ ชโ้ ทรศพั ท์ ทาใหค้ น้ หาไดง้ า่ ย 2.3 การสรุปผล บางครงั้ ขอ้ มลู ท่ีจดั เกบ็ มเี ป็นจานวนมาก จาเป็นตอ้ งมีการสรุปผลหรอื สรา้ ง รายงานยอ่ เพ่ือนาไปใชป้ ระโยชน์ ขอ้ มลู ท่ีสรุปไดน้ ีอ้ าจสอื่ ความหมายไดด้ กี วา่ เช่น สถิตจิ านวน นกั เรยี นแยก ตามชนั้ เรยี นแตล่ ะชนั้ 2.4 การคานวณ ขอ้ มลู ท่ีเก็บมีเป็นจานวนมาก ขอ้ มลู บางสว่ นเป็นขอ้ มลู ตวั เลขท่ีสามารถ นาไปคานวณเพ่อื หาผลลพั ธบ์ างอยา่ งได้ ดงั นนั้ การสรา้ งสารสนเทศจากขอ้ มลู จงึ อาศยั การคานวณ ขอ้ มลู ท่ี เกบ็ ไวด้ ว้ ย 3. การดแู ลรกั ษาสารสนเทศเพ่ือการใชง้ าน ประกอบดว้ ย 3.1 การเก็บรกั ษาขอ้ มลู หมายถงึ การนาขอ้ มลู มาบนั ทกึ เกบ็ ไวใ้ นสอื่ บนั ทกึ ต่าง ๆ เช่น แผน่ บนั ทกึ ขอ้ มลู นอกจากนีย้ งั รวมถงึ การดแู ล และทาสาเนาขอ้ มลู เพ่ือใหใ้ ชง้ านตอ่ ไปในอนาคตได้ 3.2 การคน้ หาขอ้ มลู ขอ้ มลู ท่ีจดั เกบ็ ไวม้ ีจดุ ประสงคท์ ่ีจะเรยี กใชง้ านไดต้ ่อไป การคน้ หา ขอ้ มลู จะตอ้ งคน้ ไดถ้ กู ตอ้ งแมน่ ยา รวดเรว็ จงึ มีการนาคอมพิวเตอรเ์ ขา้ มามีสว่ นชว่ ยในการทางาน ทาให้ การเรยี กคน้ กระทาไดท้ นั เวลา 3.3 การทาสาเนาขอ้ มลู การทาสาเนาเพ่ือท่ีจะนาขอ้ มลู เก็บรกั ษาไว้ หรอื นาไปแจกจา่ ยใน ภายหลงั จงึ ควรจดั เก็บขอ้ มลู ใหง้ า่ ยตอ่ การทาสาเนา หรอื นาไปใชอ้ ีกครงั้ ไดโ้ ดยงา่ ย 3.4 การส่อื สาร ขอ้ มลู ตอ้ งกระจายหรอื สง่ ตอ่ ไปยงั ผใู้ ชง้ านท่ีหา่ งไกลไดง้ า่ ย การส่อื สาร ขอ้ มลู จงึ เป็นเรอ่ื งสาคญั และมีบทบาทท่ีสาคญั ย่ิงท่ีจะทาใหก้ ารสง่ ขา่ วสารไปยงั ผใู้ ชท้ าไดร้ วดเรว็ และ ทนั เวลา

ตัวอย่างข้อมูลสารสนเทศ ขอ้ มูลผลการเรียนของนกั ศึกษา ซ่ึงแสดงผลการเรียนของนกั ศึกษาแต่ละคนวา่ ไดค้ ะแนนเท่าไร และได้ เกรดอะไร ซ่ึงอาจจะเรียกวา่ ขอ้ มูลดิบ (Raw Data) แต่ถา้ นามาประมวลผลหรือแจกแจงสรุปขอ้ มูลท่ีไดจ้ ะเรียกวา่ ขอ้ มูลสารสนเทศ (Information) ดงั น้ี มีนกั ศึกษาไดเ้ กรด A จานวน 1 คน มีนกั ศึกษาไดเ้ กรด B จานวน 2 คน มีนกั ศึกษาไดเ้ กรด C จานวน 2 คน ลาดบั ท่ี ชื่อ คะแนน เกรด 1 92 A 2 วาสนา 56 C 3 นภาพร 75 B 4 จนั ทิมา 73 B 5 บญั ชา 59 C ณฐั เมื่อไดท้ าการศึกษาเก่ียวกบั คาวา่ “ขอ้ มูล” และ “สารสนเทศ” แลว้ ต่อไปน้ี จะเป็นการศึกษาเกี่ยวกบั ระบบสารสนเทศ (Information System) ซ่ึงมีความหมายคือ กระบวนการประมวลผลขา่ วสารหมอ ใหอ้ ยใู่ นรูปของข่าวสารท่ีเป็นประโยชน์สูงสุด เพอ่ื เป็นขอ้ สรุปที่ใชส้ นบั สนุนการตดั สินใจของบุคคล บริหาร กระบวนการที่ทาให้ เกิดขา่ วสารสารสนเทศน้ี เรียกวา่ การประมวลผลสารสนเทศ (Inform Processing) และเรียกวิธีการประมวลผลสารสนเทศดว้ ยเคร่ืองมือทางอิเลก็ ทรอนิกส์วา่ ” สารสนเทศ (Information Technology : IT) ระบบสารสนเทศ (Information System) หมายถึง กระบวนการประมวลผล ขอ้ มูลที่มีอยู่ ใหอ้ ยู่ ในรูปของขอ้ มูลที่เป็นประโยชน์สูงสุด เพ่ือเป็นขอ้ สรุปที่ใช้ สนบั สนุนการตดั สินใจของบุคคลระดบั บริหาร และเป็นระบบ

ท่ีประกอบดว้ ยสว่ นตา่ ง ๆ ไดแ้ ก่ ระบบคอมพิวเตอร์ ทงั้ ฮารด์ แวร์ ซอฟตแ์ วร์ ระบบ เครอื ขา่ ย ฐานขอ้ มลู ผพู้ ฒั นาระบบ ผใู้ ชร้ ะบบ พนกั งานท่ีเก่ียวขอ้ ง และผูเ้ ช่ียวชาญใน สาขา ทกุ องคป์ ระกอบนีท้ างานรว่ มกนั เพ่ือกาหนด รวบรวม จดั เก็บขอ้ มลู ประมวลผล ขอ้ มลู เพ่ือสรา้ งสารสนเทศ และสง่ ผลลพั ธห์ รอื สารสนเทศท่ีไดใ้ หผ้ ใู้ ชเ้ พ่ือชว่ ยสนบั สนนุ การ ทางาน การตดั สนิ ใจ การวางแผน การบรหิ าร การควบคมุ การวิเคราะหแ์ ละตดิ ตามผลการ ดาเนินงานขององคก์ ร (สชุ าดา กีระนนั ทน,์ 2541) ระบบสารสนเทศ หมายถงึ ชดุ ขององคป์ ระกอบท่ีทาหนา้ ท่รี วบรวม ประมวลผล จดั เก็บ และ แจกจา่ ยสารสนเทศ เพ่ือชว่ ยการตดั สินใจ และการควบคมุ ในองคก์ ร ในการ ทางานของระบบสารสนเทศ ประกอบไปดว้ ยกิจกรรม 3 อยา่ ง คือ การนาขอ้ มลู เขา้ สรู่ ะบบ (Input) การประมวลผล (Processing) และการนาเสนอผลลพั ธ์ (Output) ระบบสารสนเทศอาจจะมีการสะทอ้ นกลบั (Feedback) เพ่ือการ ประเมนิ และปรบั ปรุง ขอ้ มลู นาเขา้ ระบบสารสนเทศอาจจะเป็นระบบท่ีประมวลดว้ ยมือ (Manual) หรอื ระบบท่ีใชค้ อมพิวเตอรก์ ็ได้ (Computer-Based Information System- CBIS) (Laudon & Laudon, 2001) แตอ่ ยา่ งไรก็ตาม ในปัจจบุ นั เม่ือกลา่ วถงึ ระบบสารสนเทศ มกั จะหมายถงึ ระบบท่ีตอ้ งอาศยั คอมพิวเตอรแ์ ละระบบโทรคมนาคม ระบบสารสนเทศ หมายถงึ ระบบคอมพิวเตอรท์ ่จี ดั เกบ็ ขอ้ มลู และประมวลผลเป็น สารสนเทศ และระบบสารสนเทศเป็นระบบท่ีตอ้ งอาศยั ฐานขอ้ มลู ระบบสารสนเทศ หมายถึง ชดุ ของกระบวนการ บคุ คล และเครอ่ื งมือ ท่ีจะเปล่ียน ขอ้ มลู ใหเ้ ป็น สารสนเทศ ระบบสารสนเทศ ไม่วา่ จะเป็นระบบมอื หรอื ระบบอตั โนมตั ิ หมายถงึ ระบบท่ีประกอบดว้ ย คน เครอ่ื งจกั รกล (Machine) และวธิ ีการในการเก็บ ขอ้ มลู ประมวลผลขอ้ มลู และเผยแพรข่ อ้ มลู ใหอ้ ยู่ ในลกั ษณะของสารสนเทศของผูใ้ ช้ สรุปได้ว่า ระบบสารสนเทศ คือ ระบบของการจดั เก็บ ประมวลผลขอ้ มลู โดยอาศยั บคุ คล และเทคโนโลยีสารสนเทศในการดาเนินการ เพ่ือใหไ้ ดส้ ารสนเทศท่ีเหมาะสมกบั งาน หรอื ภารกิจ แตล่ ะอยา่ ง ระบบสารสนเทศเป็นการนาขอ้ มลู มาจดั ทาใหเ้ ป็นหมวดหมู่ มีระเบียบแบบแผนเพ่ือสะดวก ตอ่ การคน้ ควา้ หรอื การเรยี กใชใ้ นการตดั สินใจและการดาเนินงานขององคก์ าร

ประเภทของระบบสารสนเทศ ปัจจุบนั จะเห็นความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งองคก์ รกบั ระบบสารสนเทศ และเทคโนโลยี สารสนเทศ มากข้ึน และเน่ืองจากการบริหารงานในองคก์ รมีหลายระดบั กิจกรรมขององคก์ รแต่ ละประเภทอาร แตกต่างกนั ดงั น้นั ระบบสารสนเทศของแต่ละองคก์ รอาจแบ่งประเภทแตกต่างกนั ออกไป 3 สารสนเทศสามารถจาแนกไดต้ ามลกั ษณะการดาเนินงานไดด้ งั น้ี 1. ระบบสารสนเทศแบบประมวลรายการ (TPS : Transaction Processing Systems) เป็นระบบสารสนเทศท่ีเกี่ยวกบั การ บนั ทึกและประมวลขอ้ มูลท่ีเกิดจากธุรกรรมหรือ การปฏิบตั ิงานประจาหรืองานข้นั พ้นื ฐานของ องคก์ าร เช่น การซ้ือขายสินคา้ การบนั ทึกจานวน วสั ดุคงคลงั เมื่อใดกต็ ามที่มีการทาธุรกรรมหรือ ปฏิบตั ิงานในลกั ษณะดงั กล่าวขอ้ มูลที่เก่ียวขอ้ งจะ เกิดข้ึนทนั ที เช่น ทุกคร้ังท่ีมีการขายสินคา้ ขอ้ มูลท่ีเกิดข้ึนกค็ ือ ชื่อลูกคา้ ประเภทของลูกคา้ จานวน Database และราคาของสินคา้ ท่ีขายไป รวมท้งั วิธีการชาระเงิน 2. ระบบสารสนเทศเพอื่ การจดั การ (MIS : Management Information System) คือระบบท่ีใหส้ ารสนเทศท่ีผบู้ ริหารตอ้ งการ เพ่อื ใหส้ ามารถทางานไดอ้ ยา่ งมี ประสิทธิภาพ โดยจะรวมท้งั สารสนเทศภายในและภายนอกสารสนเทศท่ีเก่ียวพนั กบั องคก์ รท้งั ใน อดีตและปัจจุบนั นอกจากน้ี ระบบน้ีจะตอ้ งใหส้ ารสนเทศในช่วงเวลา ที่เป็นประโยชน์ เพอ่ื ให้ ผบู้ ริหารสามารถตดั สินใจใน การวางแผนการควบคุม และการปฏิบตั ิการของ องคก์ รไดอ้ ยา่ ง ถูกตอ้ ง แมว้ า่ ผบู้ ริหารท่ีจะไดร้ ับ ประโยชน์จากระบบน้ีสูงสุดคือผบู้ ริหารระดบั กลาง แต่โดย พ้นื ฐานของระบบน้ีแลว้ จะเป็นระบบที่สามารถสนบั สนุนขอ้ มูลใหผ้ บู้ ริหารท้งั สามระดบั คือ ท้งั ผบู้ ริหารระดบั ตน้ ผบู้ ริหารระดบั กลาง และผบู้ ริหาร ระดบั สูง โดยระบบน้ีจะใหร้ ายงานท่ีสรุป สารสนเทศ ซ่ึงรวบรวมจากฐานขอ้ มูลท้งั หมดของบริษทั

3. ระบบสนบั สนุนการตดั สินใจ (DSS : Decision Support Systern) เป็นระบบท่ีพฒั นาข้ึนจากระบบ MIS อีกระดบั หน่ึง เนื่องจาก ถึงแมว้ า่ ผทู้ ี่มีหนา้ ท่ีในการ ตดั สินใจจะสามารถใชป้ ระสบการณ์หรือใชข้ อ้ มูลที่มีอยู่ แลว้ ในระบบเอม็ ไอเอสของบริษทั สาหรับทาการ ตดั สินใจไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพใน งานปกติ แต่ บ่อยคร้ังท่ีผตู้ ดั สินใจ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ผบู้ ริหาร ในระดบั สูงและ ระดบั กลางจะเผชิญกบั การตดั สินใจท่ีประกอบดว้ ยปัจจยั ที่ ซบั ซอ้ นเกินกวา่ ความสามารถของมนุษย์ ที่จะประมวล เขา้ ดว้ ยกนั ไดอ้ ยา่ ง ระบบการทางาน ถูกตอ้ ง จึง ทาใหเ้ กิด ระบบน้ีข้ึนซ่ึงเป็นระบบที่สนบั สนุนขอ้ มูล ความตอ้ งการเฉพาะของ ผบู้ ริหาร แต่ละคน (made by order) ในหลาย ๆสถานการณ์ ระบบน้ีมีหนา้ ท่ีช่วย ให้ การตดั สินใจเป็นไปไดอ้ ยา่ งสะดวก 4. ระบบงานสร้างความรู้ (Knowledge Work Systems-KWS) เป็นระบบท่ีช่วยสนบั สนุนบุคลากรท่ีทางานดา้ นการสร้างความรู้เพ่ือ พฒั นาการ คิดคน้ สร้าง ผลิตภณั ฑใ์ หม่ ๆ บริการใหม่ ความรู้ใหม่ เพ่ือนาไปใช้ ประโยชนใ์ นหน่วยงาน หน่วยงาน ตอ้ งนาเทคโนโลยสี ารสนเทศเขา้ มา สนบั สนุนให้ การพฒั นาเกิดข้ึนไดโ้ ดย สะดวก สามารถแขง่ ขนั ไดท้ ้งั ในดา้ น เวลา คุณภาพ และราคา ระบบตอ้ ง อาศยั แบบจาลองที่สร้างข้ึน ตลอดจน การทดลองการผลิตหรือดาเนินการ ก่อนท่ีจะนาเขา้ มาดาเนินการจริงใน ธุรกิจ ผลลพั ธ์ของระบบน้ีมกั อยใู่ นรูป ของ ส่ิงประดิษฐ์ ตวั แบบ รูปแบบ เป็นตน้

5) ระบบสนบั สนุนการตดั สินใจแบบกลุ่ม (GDSS : Group Decision Support System) เป็นระบบยอ่ ยหน่ึงในระบบ สารสนเทศเพอ่ื การจดั การ โดยที่ระบบ สนบั สนุนการตดั สินใจจะช่วยผบู้ ริหาร ในเรื่องการตดั สินใจในเหตุการณ์หรือกิจกรรมทาง ธุรกิจที่ไม่มีโครงสร้าง แน่นอน หรือก่ึงโครงสร้าง ระบบ สนบั สนุนการตดั สินใจอาจจะใช้ กบั บุคคลเดียวหรือช่วยสนบั สนุน การตดั สินใจเป็นกลุ่ม นอกจากน้นั ยงั มีระบบสนบั สนุน ผบู้ ริหารเพ่อื ช่วยผบู้ ริหารในการตดั สินใจเชิงกลยทุ ธ์ 6. ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS : Geographic Information System) ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ หรือ Geographic Information System : GIS คือ กระบวนการ ทางานเกี่ยวกบั ขอ้ มูลในเชิงพ้ืนที่ดว้ ยระบบคอมพวิ เตอร์ ท่ีใชก้ าหนดขอ้ มูล และสารสนเทศท่ีมีความ สมั พนั ธ์กบั ตาแหน่งในเชิงพ้นื ที่ เช่น ที่อยู่ บา้ นเลขท่ี สมั พนั ธ์กบั ตาแหน่งในแผนที่ ตาแหน่งเสน้ รุ้ง เสน้ แวง ขอ้ มูลและแผนที่ใน GIS เป็นระบบขอ้ มูล สารสนเทศที่อยใู่ นรูปของตารางขอ้ มูล และฐานขอ้ มูล ท่ีมีส่วนสมั พนั ธก์ บั ขอ้ มูลเชิงพ้นื ที่ (Spatial Data) ซ่ึงรูปแบบและความ สมั พนั ธ์ของขอ้ มูลเชิงพ้นื ท่ีท้งั หลาย จะสามารถนามา วิเคราะห์ดว้ ย GIS และทาใหส้ ่ือความหมายในเรื่องการ เปลี่ยนแปลงท่ีสัมพนั ธก์ บั เวลาได้ เช่น การแพร่ขยายของโรคระบาด GIS การเคล่ือนยา้ ยถ่ินฐาน การบุกรุก ทาลาย การเปล่ียนแปลงของการใช้ พ้ืนท่ี ฯลฯ ขอ้ มูล เหล่าน้ี เม่ือปรากฎ บนแผนท่ี ทาใหส้ ามารถแปลและส่ือความหมายใชง้ านไดง้ ่าย

7. ระบบสารสนเทศเพอ่ื ผบู้ ริหารระดบั สูง (EIS : Excutive Information System) เป็นระบบท่ีสร้างข้ึน เพ่ือสนบั สนุน สารสนเทศและการตดั สินใจสาหรับ ผบู้ ริหารระดบั สูงโดย เฉพาะ หรือสามารถกล่าวไดว้ า่ ระบบน้ีคือส่วนหน่ึงของ DSS ที่แยก ออกมา เพอื่ เนน้ การใหส้ ารสนเทศ ท่ีสาคญั ต่อการบริการแก่ผบู้ ริหาร 8. ปัญญาประดิษฐ์ (Al : Artificial Intelligence) ระบบท่ีทาใหเ้ คร่ืองคอมพวิ เตอร์กลายเป็นผชู้ านาญการ ในสาขาใดสาขา หน่ึงคลา้ ยกบั มนุษย์ ระบบผเู้ ช่ียวชาญมีส่วนคลา้ ยคลึง กบั ระบบอื่น ๆ คือ เป็นระบบ คอมพวิ เตอร์ที่ช่วยผบู้ ริหารแกไ้ ขปัญหา หรือทาการตดั สินใจไดด้ ีข้ึน อยา่ งไรกด็ ี ระบบ ผเู้ ชี่ยวชาญจะแตกต่าง กบั ระบบอ่ืนอยมู่ าก เนื่องจากระบบผเู้ ชี่ยวชาญจะเก่ียวขอ้ งกบั การ จดั การความรู้ (Knowledge) มากกวา่ สารสนเทศ และออกแบบให้ ช่วยในการตดั สินใจ โดยใช้ หลกั การทางานดว้ ยระบบปัญญาประดิษฐ์ (Articial Intelligence) 9. ระบบสานกั งานอตั โนมตั ิ (OAS : Office Automation System) เป็นระบบที่ใชบ้ ุคลากรนอ้ ยที่สุด โดยอาศยั เคร่ืองมือแบบอตั โนมตั ิและ ระบบส่ือสาร เช่ือมโยงขา่ วสารระหวา่ งเคร่ืองมือเหล่าน้นั เขา้ ดว้ ยกนั QAS มีจุดมุ่งหมายให้ เป็นระบบท่ีไม่ใชก้ ระดาษ (Paperless System) ส่งข่าวสารถึงกนั ดว้ ยขอ้ มูลอิเลก็ ทรอนิกส์ (Electronic Data Interchange) แทน ซ่ึงมีรูปแบบในการใชง้ าน 2 ลกั ษณะ คือ รูปแบบของ ระบบงานพิมพแ์ ละการประมวลผลทาง อิเลก็ ทรอนิกส์ (Electronic Publishing & Processing System) ไดแ้ ก่ การส่ือสารดว้ ยขอ้ ความ รูปภาพ จดหมายอิเลก็ ทรอนิกส์ (Electronic Mail : E- Mail) โทรสาร (FAX) หรือเสียงอิเลก็ ทรอนิกส์ (Voice Mail) เป็นตน้

4. ข้นั ตอนการปฏิบตั ิ (Process) ระเบียบวธิ ีการปฏิบตั ิงานในการจดั เกบ็ รักษาขอ้ มูล - ใหอ้ ยู่ ในรูปแบบท่ีจะทาใหเ้ ป็นสารสนเทศได้ เช่น กาหนดใหม้ ีการป้อนขอ้ มูลทุกวนั ป้อนขอ้ มูลใหท้ นั ตาม กาหนดเวลา มีการแกไ้ ขขอ้ มูลใหถ้ ูกตอ้ งอยเู่ สมอ กาหนดเวลาในการประมวลผล การทารายงาน การ ดาเนินการต่าง ๆ ตอ้ งมีข้นั ตอน หากข้นั ตอนใดมีปัญหาระบบกจ็ ะมีปัญหาดว้ ย เพราะทุกข้นั ตอ มีผลต่อ ระบบสารสนเทศ รูปแบบการประชุมทางไกลดว้ ยระบบ อิเลก็ ทรอนิกส์ (Electronic Meeting System) เป็นเทคนิคที่ทาใหก้ ลุ่มคนทวั่ โลกสามารถติดต่อ สื่อสารกนั ได้ คลา้ ยการ พดู คุยกนั โดยตรง เช่น การประชุมทางไกลแบบมีแต่เสียง (Audio Conferencing), การประชุมทางไกลแบบมีท้งั ภาพ และเสียง (Video Conferencing) หรือท้งั จดหมาย อิเลก็ ทรอนิกส์ โทรสาร และเสียงอิเลก็ ทรอนิกส์ รวมกนั องค์ประกอบของระบบสารสนเทศ ระบบสารสนเทศ (Information System) คือ ระบบจดั การขอ้ มูล จานวนมากใหเ้ หลือสารสนเทล จานวนนอ้ ย โดยระบบน้ีจะช่วยจดั การขอ้ มูลท่ี ตอ้ งการใชไ้ ม่วา่ จะเป็นขอ้ มูลเกี่ยวกบั ตวั เลขและขา่ วสาร เพื่อช่วยในการดาเนิน ธุรกิจและการตดั สินใจ ซ่ึงระบบสารสนเทศจะใชห้ รือไม่ใชค้ อมพิวเตอร์กไ็ ด้ องคป์ ระกอบที่สาคญั ๆ 6 ส่วนดงั น้ี 1. ฮาร์ดแวร์ (Hardware) คือ เครื่องมือที่ช่วยในการจดั การสารสนเทศ คอมพิวเตอร์ ช่วยประมวลผล คดั เลือก คานวณ หรือพมิ พร์ ายงานผลตามที่ตอ้ งการ คอมพวิ เตอร์เป็นอุปกรณ์ท่ี ทางานไดร้ วดเร็ว มีความแม่นยาในการทางาน และ ทางานไดต้ ่อเน่ือง 2. ซอฟตแ์ วร์ (Software) คือ ลาดบั ข้นั ตอนคาสงั่ ใหเ้ คร่ือง คอมพวิ เตอร์ทางานตาม วตั ถุประสงคท์ ี่วางไว้ ซอฟตแ์ วร์จึงหมายถึงชุดคาสงั่ ที่ เรียงเป็นลาดบั ข้นั ตอนสงั่ ใหค้ อมพิวเตอร์ทางาน ตามตอ้ งการ และประมวลผล เพือ่ ใหไ้ ดส้ ารสนเทศที่ตอ้ งการ 3. บุคลากร (Personnel) คือ ผทู้ ่ีจะตอ้ งมีความรู้ความเขา้ ใจในการใช้ เทคโนโลยสี ารสนเทศ บุคลากรภายในองคก์ รเป็นส่วนประกอบที่จะทาใหเ้ กิด ระบบสารสนเทศดว้ ยกนั ทุกคน เช่น ร้านขายสินคา้ แห่งหน่ึง บุคลากรที่ ดาเนินการในร้านคา้ ทุกคน ต้งั แต่ผจู้ ดั การถึงพนกั งานขาย เป็นส่วนประกอบ

การจดั การเป็นท้งั ศาสตร์และศิลป์ เนื่องจากการจดั การเป็นความรู้ท่ี สามารถถ่ายทอด มีหลกั เกณฑ์ สามารถพสิ ูจนค์ วามจริงได้ ตลอดจนไดร้ ับการศึกษา คน้ ควา้ กนั อยา่ งตอ่ เน่ือง ส่วนในแง่ของการเป็นศิลป์ ซ่ึงหมายถึงการประยกุ ตน์ า ความรู้มาใชใ้ หเ้ กิดประโยชน์ เพราะการจดั การในองคก์ รแต่ละองคก์ รมีปัจจยั ที่ แตกต่างกนั ดงั น้นั ศาสตร์หรือความรู้ในดา้ นการจดั การเพียงอยา่ งเดียวจึงไม่สามารถ จะนามาใชใ้ ห้ เกิดประโยชน์กบั องคก์ รได้ จาเป็นตอ้ งประยกุ ตค์ วามรู้ใหเ้ หมาะสม และสอดคลอ้ งกบั องคก์ รแต่ละองคก์ ร 5. ขอ้ มูล (Data) เป็นวตั ถุดิบท่ีทาใหเ้ กิดสารสนเทศ ขอ้ มูลที่เป็นวตั ถุดิบจะต่างกนั ข้ึนกบั สารสนเทศท่ีตอ้ งการ เช่น ในสถานศึกษามกั จะตอ้ งการสารสนเทศท่ีเกี่ยวขอ้ ง กบั ขอ้ มูลนกั เรียน ขอ้ มูล ผลการเรียน ขอ้ มูลอาจารย์ ขอ้ มูลการใชจ้ ่ายต่าง ๆ ขอ้ มูล เป็นสิ่งที่สาคญั ประการหน่ึงที่มีบทบาทต่อ การใหเ้ กิดสารสนเทศ 6. เครือข่ายและการส่ือสารขอ้ มูล (Network and Communication) คือ คอมพวิ เตอร์จานวน ต้งั แตส่ องเคร่ืองข้ึนไปสามารถแลกเปลี่ยนขอ้ มูลกนั ได้ การ เชื่อมต่อระหวา่ งอุปกรณ์คอมพวิ เตอร์ต่าง ๆ ในเครือข่าย (โหมดเครือข่าย) จะใชส้ ่ือท่ี เป็นสายเคเบิลหรือส่ือไร้สาย เครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์ที่รู้จกั กนั ดี คือ อินเทอร์เน็ต (Internet) การจดั การ การจดั การ หมายถึง กระบวนการ กิจกรรมหรือการศึกษาเก่ียวกบั การ ปฏิบตั ิหนา้ ที่ในอนั ที่จะ เชื่อมนั่ ไดว้ า่ กิจกรรมต่าง ๆ ดาเนินไปในแนวทางท่ีจะ บรรลุผลสาเร็จตามวตั ถุประสงคท์ ี่กาหนดไว้ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ หนา้ ที่อนั ท่ีจะสร้าง และรักษาไวซ้ ่ึงสภาวะท่ีจะเอ้ืออานวยต่อการบรรลุวตั ถุประสงค์ ดว้ ยความพยายาม ร่วมกนั ของกลุ่มบุคคล

ความสาคญั ของการจดั การ การจดั การถือวา่ เป็นสว่ นสาคญั ท่ีจะทาใหก้ ารบรหิ ารองคก์ รเป็นไปอยา่ งมีประสิทธิภาพ และ เปา้ หมาย ท่ไี ดก้ าหนดไว้ ฉะนนั้ การจดั การจงึ มีความสาคญั อย่างย่ิง ซง่ึ พอจะสรุปไดด้ งั นี้ : 1. การจดั การเป็นสมองขององคก์ ร การท่ีองคก์ รจะประสบความสาเรจ็ ตามเปา้ หมายท่กี าห ไวน้ นั้ จาเป็นจะตอ้ งมีกระบวนการจดั การท่ีดี เชน่ มีการวางแผนและตดั สินใจโดยผ่านการกล่นั กร จากฝ่ ายจดั การท่ีได้ พิจารณาขอ้ มลู ตา่ ง ๆ อย่างใชด้ ลุ พนิ ิจ ใชค้ วามรูแ้ ละประสบการณใ์ นการพิจาร ผลกระทบตา่ ง ๆ ท่ีจะเกิดขนึ้ ตอ่ องคก์ รนนั้ 2. การจดั การเป็นเทคนิควิธีการท่ีทาใหส้ มาชิกในองคก์ รเกิดจิตสานกึ รว่ มกนั ในการปฏิบตั ิ มีความ ตงั้ ใจ เตม็ ใจชว่ ยเหลอื ใหอ้ งคก์ รประสบความสาเรจ็ ทงั้ นีเ้ พราะมีกระบวนการสรา้ งขวญั และกาลงั ในการ ทางาน นาทางใหอ้ งคก์ รไปสคู่ วามสาเรจ็ 3. การจดั การเป็นการกาหนดขอบเขตในการทางานของสมาชิกในองคก์ ร ไม่ใหท้ างาน ซํา้ ซอ้ นกนั ทา ใหก้ ารปฏิบตั ิงานเป็นไปอย่างราบรน่ื รวดเรว็ และมีประสิทธิภาพ 4. การจดั การเป็นการแสวงหาวิธีการท่ีดที ่ีสดุ ในการปฏิบตั ิงาน ใหอ้ งคก์ รเกิดประสิทธิภาพและ ประสทิ ธิผลสงู สดุ กระบวนการในการจดั การ การบวนการในการจดั การ มีองคป์ ระกอบ คือ 1. การวางแผน (Planning) เป็นการคิดและกาหนดสง่ิ ท่ีจะทาในอนาคต ซง่ึ เป็นบทบาทท่ี สาคญั มากของผจู้ ดั การ ผจู้ ดั การมีวสิ ยั ทศั นท์ างการจดั การจะตอ้ งคาดการณส์ ง่ิ ท่ีจะเกิดขนึ้ ในอนาคต ไดอ้ ยา่ งแม่นยา โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงในภาวะท่ีมีการแขง่ ขนั ทางธรุ กิจท่ีรุนแรง ผจู้ ดั การท่ีมีความสามารถ จะตอ้ งกาหนดส่งิ ท่ีจะ ทาในอนาคตไวก้ ่อนไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง 2 การจดั องคก์ ร (Organization) คอื การตดั สินใจวา่ จะจดั หนว่ ยงานขององคก์ รอยา่ งไร การ กาหนดแผนกหรอื หน่วยงานยอ่ ย ๆ ในองคก์ รวา่ จะมีแผนกอะไรบา้ ง จานวนก่ีแผนก เพ่ือใหเ้ หน็ โครงสรา้ งของ องคก์ ร การจดั สายงานตาแหนง่ ตา่ ง ๆ ไวอ้ ย่างชดั เจน การจดั องคก์ รท่ีดจี ะตอ้ งเป็น องคก์ รท่ีทาใหก้ าร ปฏิบตั ิงานเป็นไปอย่างราบรน่ื ไม่ซํา้ ซอ้ น หรอื ทาใหเ้ กิดการเก่ียงงานกนั ทา เป็นตน้ 3 การจดั คน (Stafing) เป็นการจดั การคนในดา้ นบคุ ลากรท่มี ีอยใู่ นองคก์ ร โดยทาหนา้ ท่ี สรรหา คดั เลอื ก บรรจแุ ละแตง่ ตงั้ การพฒั นาบคุ ลากร การสรา้ งขวญั และกาลงั ใจ การสรา้ งบรรยากาศ ในการทางาน ใหเ้ กิดขนึ้ ในองคก์ ร การธารงรกั ษาไวซ้ ง่ึ บคุ ลากรท่ีเก่ง ดี มีความสามารถ การจดั คน ตาแหน่งท่ีเหมาะสมกบั งาน ในการจดั การเรอ่ื งบคุ คลนีจ้ ะตอ้ งทาใหส้ อดคลอ้ งกบั การจดั ตงั้ องคก์ ร ทาใหเ้ กิดประสิทธิภาพในการทางาน

4. การอานวยการ (Directing) เป็นเรอ่ื งท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การตดั สนิ ใจ การส่งั การ การกาหนด หนา้ ท่ี และความรบั ผิดชอบของผบู้ งั คบั บญั ชา เพ่ือใหผ้ บู้ งั คบั บญั ชาเหลา่ นีส้ ามารถควบคุมการทางาน ของ องคก์ รได้ การอานวยการขององคก์ รท่ีเป็นของรฐั จะมีอานาจตามท่ีกฎหมายกาหนดไว้ สว่ นองคก์ ร ของ เอกชนแมไ้ ม่มีกฎหมายรบั รองแตจ่ ะมีการกาหนดอานาจหนา้ ท่เี อาไวเ้ ป็นแนวปฏิบตั ิอย่างชดั เจน เช่นกนั 5. การประสานงาน (Co-ordinating) คอื การติดตอ่ ส่อื สารเพ่ือสรา้ งความเขา้ ใจซง่ึ กนั และกนั ระหวา่ งหนว่ ยงานย่อยตา่ ง ๆ เพ่ือใหเ้ กิดความรว่ มมือรว่ มใจในการปฏิบตั ิงาน ป้องกนั ปัญหา ความ ซํา้ ซอ้ นหรอื การเก่ียงงานกนั ทา ผปู้ ระสานงานท่ีดีจะตอ้ งทาใหท้ กุ ฝ่ายท่เี ก่ียวขอ้ งปฏบิ ตั ิงาน รว่ มกนั เพ่ือบรรลวุ ตั ถปุ ระสงคข์ ององคก์ ร 6. การรายงาน (Reporting) หมายถงึ การแจง้ หรอื การสรุปผลของการปฏบิ ตั งิ านท่ีไดร้ บั มอบหมายวา่ ไดร้ บั ผลเป็นอยา่ งไร มีปัญหาหรอื อปุ สรรคในการทางานหรอื ไม่ การรายงานจะทาให้ ทราบ ความกา้ วหนา้ ในการปฏิบตั งิ านและทราบปัญหาท่ีเกิดขนึ้ ในการปฏิบตั ิงาน สามารถนารายงาน การ ปฏบิ ตั งิ านนีม้ าใชใ้ นการวางแผนการทางานในอนาคตได้ ระบบสารสนเทศเพอ่ื การจัดการ ระบบสารสนเทศเพ่ือการจดั การ (Management Information Systems : MIS) เป็นระบบ เก่ียวกบั การจดั หาคน หรอื ขอ้ มลู ท่ีสมั พนั ธก์ บั ขอ้ มลู เพ่ือการดาเนินงานขององคก์ าร เช่น การ ใช้ MIS เพ่ือช่วยเหลอื กิจกรรมของลกู จา้ ง เจา้ ของกิจการ ลกู คา้ และบคุ คลอนื่ ท่ีเขา้ มาเก่ียวขอ้ งกบั องคก์ าร การประมวลผลของขอ้ มลู จะชว่ ยแบง่ ภาระการทางานและยงั สามารถนาสารสนเทศมาชว่ ยใน การตดั สิน ใจของผบู้ รหิ าร หรอื MIS เป็นระบบซง่ึ รวมความสามารถของผใู้ ชง้ านและคอมพิวเตอรเ์ ขา้ ดว้ ยกนั โดย มจี ดุ มงุ่ หมายเพ่ือใหไ้ ดม้ าซง่ึ สารสนเทศเพ่ือการดาเนินงานการจดั การ และการตดั สินใจใน องคก์ าร หรอื MIS หมายถงึ การเก็บรวบรวมขอ้ มลู การประมวลผล และการสรา้ งสารสนเทศขนึ้ มาเพ่ือ ช่วยในการ ตดั สนิ ใจ การประสานงาน และการควบคมุ นอกจากนนั้ ยงั ชว่ ยผบู้ รหิ าร และพนกั งานในการ วิเคราะห์ ปัญหา แกป้ ัญหา และสรา้ งผลติ ภณั ฑใ์ หม่ โดย MIS จะตอ้ งใชอ้ ปุ กรณท์ างคอมพวิ เตอร์ (Hardware) และ โปรแกรม (Software) รว่ มกบั ผใู้ ช้ (Peopleware) เพ่ือกอ่ ใหเ้ กิด ความสาเรจ็ ในการไดม้ าซง่ึ สารสนเทศท่ีมีประโยชน์ ชมุ พล ศฤงคารศิริ (2537 : 2) ใหค้ วามหมายของระบบสารสนเทศเพ่ือการจดั การ คอื เป็น ระบบ ท่ีรวม (Integrate) ผใู้ ช้ (User) เครอ่ื งคอมพิวเตอร์ และอปุ กรณต์ า่ ง ๆ (Machine) เพ่ือ จดั ทาสารสนเทศ สาหรบั สนบั สนนุ การปฏบิ ตั งิ าน (Operation) การจดั การ (Management) และการตดั สินใจ (Decision Making) ในองคก์ ร จากความหมายท่ีกลา่ วมาสามารถสรุป ความหมายของระบบสารสนเทศเพ่ือการ จดั การได้ คือ การรวบรวมและการจดั เก็บขอ้ มลู จาก แหลง่ ขอ้ มลู ตา่ ง ๆ ท่ีเก่ียวขอ้ งกบั องคก์ าร ทงั้ จาก ภายในและภายนอกหนว่ ยงาน เพ่ือนามาประมวลผล และจดั รูปแบบใหไ้ ดส้ ารสนเทศท่ีเหมาะสมกบั องคก์ าร เพ่ือชว่ ยในการตดั สนิ ใจ ประสานงาน และ ควบคมุ ของผบู้ รหิ าร ในอนั ท่ีจะดาเนินงานไดอ้ ย่าง มีประสิทธิภาพ

หน้าทห่ี ลักของระบบสารสนเทศเพอื่ การจัดการ ระบบสารสนเทศเพ่ือการจดั การ หมายถงึ ระบบท่ีรวบรวมและจดั เก็บขอ้ มลู จากแหลง่ ๆ ทงั้ ภายในและภายนอกองคก์ ารอยา่ งมีหลกั เกณฑ์ เพ่ือนามาประมวลผลและจดั รูปแบบใหไ้ ดส้ า ท่ีชว่ ย สนบั สนนุ การทางาน และการตดั สนิ ใจในดา้ นตา่ ง ๆ ของผบู้ รหิ ารเพ่ือใหก้ ารดาเนินงานของ เป็นไป อย่างมีประสิทธิภาพ โดยท่ีเราจะเห็นวา่ MIS จะประกอบดว้ ยหนา้ ท่ีหลกั 2 ประการ 1. สามารถเก็บรวบรวมขอ้ มลู จากแหลง่ ตา่ ง ๆ ทงั้ จากภายในและภายนอกองคก์ ารมา กนั อยา่ งเป็นระบบ 2. สามารถทาการประมวลผลขอ้ มลู อย่างมีประสิทธิภาพ เพ่ือใหไ้ ดส้ ารสนเทศท่ีช่วย สนบั สนนุ การปฏบิ ตั ิงานและการบรหิ ารงานของผบู้ รหิ าร ดงั้ นนั้ ถา้ ระบบใดประกอบดว้ ยหนา้ ท่หี ลกั ทงั้ สองไดอ้ ยา่ งครบถว้ น และสมบรู ณ์ ระบบนนั้ เพ่ือยกระดบั คณุ ภาพของหอ้ งสมดุ และการปรงิ ก็สามารถจดั เป็นระบบ MIS ได้ ระบบ MIS ไม่ จาเป็นท่ีจะตอ้ งสรา้ งขนึ้ จากระบบคอมพิวเตอร์ ซากเวบ็ ไซตข์ องหน่วยงานนี้ MIS อาจสรา้ งขนึ้ มา จากอปุ กรณอ์ ะไรก็ได้ แตต่ อ้ ง สามารถปฏิบตั หิ นา้ ท่ีหลกั ทงั้ สองประการไดอ้ ยา่ ง ครบถว้ นและ สมบรู ณ์ แตเ่ น่ืองจากปัจจบุ นั คอมพิวเตอรเ์ ป็นอปุ กรณท์ ่มี ีประสิทธิภาพในการจดั การขอ้ มลู นกั วเิ คราะหแ์ ละออกแบบระบบ (System Analyst and Designer) จงึ ออกแบบ ระบบ สารสนเทศใหม้ ีคอมพิวเตอรเ์ ป็นอปุ กรณห์ ลกั ในการจดั การสารสนเทศ ปัจจบุ นั ขอบเขตการทางานของระบบสารสนเทศขยายตวั จากการรวบรวมขอ้ มลู ท่ีมาจากภาย องคก์ ารไปสกู่ ารเช่ือมโยงกบั แหลง่ ขอ้ มลู จากส่งิ แวดลอ้ มภายนอก ทงั้ จากภายในทอ้ งถ่ิน ประเทศ และ ระ นานาชาติ ปัจจบุ นั ธรุ กิจตอ้ งใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศท่ีมีศกั ยภาพสงู ขนึ้ เพ่ือสรา้ ง MIS ใหส้ ามารถ ปฏหนา้ ท่ีไดอ้ ย่างมีประสทิ ธิภาพ และเป็นเครอ่ื งมือสาคญั ท่ีชว่ ยเพ่ิมขีดความสามารถของธรุ กิจ และ ยดึ สามารถในการบรหิ ารงานของผบู้ รหิ ารในยคุ ปัจจบุ นั แตป่ ัญหาท่ีน่าเป็นหว่ งคือคนสว่ นใหญ่ยงั ไม่ เขา้ ศกั ยภาพและขอบเขตของการใชง้ านระบบสารสนเทศ (MIS) นอกจากนี้ บคุ ลากรบางสว่ นท่ีขาด ความ เยา่ งแทจ้ รงิ เก่ียวกบั เทคโนโลยสี ารสนเทศ มีทศั นคติท่ไี ม่ดตี อ่ การใชง้ านระบบสารสนเทศ ไม่ ยอมเรยี น ปิดรบั การเปลย่ี นแปลง จงึ ใหค้ วามสนใจหรอื ความสาคญั กบั การปรบั ตวั เขา้ กบั MIS นอ้ ย กวา่ ท่ีควร

ส่วนประกอบของระบบสารสนเทศเพ่ือการจดั การ เทคโนโลยสี ารสนเทศมีบทบาทสาคญั ต่อการดาเนินงานท้งั ระดบั องคก์ ารและอุตสาหกรรม ธุรกิจ ตอ้ งการระบบสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพ เพ่ือการดารงอยแู่ ละเจริญเติบโตขององคก์ าร โดยที่ เทคโนโลยี สารสนเทศจะมีส่วนช่วยใหธ้ ุรกิจประสบผลสาเร็จ และสามารถแขง่ ขนั กบั ธุรกิจอ่ืนในระดบั สากล เพือ่ ใหก้ ารทางานเป็นไปอยา่ งมีประสิทธิภาพ จึงตอ้ งทาความเขา้ ใจถึงวธิ ีใชง้ านและโครงสร้างของ ระบบ สารสนเทศ สามารถสรุปส่วนประกอบของระบบสารสนเทศ ได้ 3 ส่วน คือ 1. เคร่ืองมือในการสร้างระบบสารสนเทศเพื่อการจดั การ หมายถึง ส่วนประกอบหรือ โครงสร้างพ้ืนฐานที่รวมกนั เขา้ เป็น MIS และช่วยใหร้ ะบบสารสนเทศดาเนินงานอยา่ งมีประสิทธิภาพ โดย จาแนกเครื่องมือในการสร้างระบบสารสนเทศไว้ 2 ส่วน คือ 1.1 ฐานขอ้ มูล (Data Base) จดั เป็นหวั ใจสาคญั ของระบบ MIS เพราะวา่ สารสนเทศท่ีมี คุณภาพจะมาจากขอ้ มูลท่ีดี เช่ือถือได้ ทนั สมยั และถูกจดั เกบ็ อยา่ งเป็นระบบ ซ่ึงผใู้ ชส้ ามารถเขา้ ถึงและ ใช้ งานไดอ้ ยา่ งสะดวกและรวดเร็ว ดงั น้นั ฐานขอ้ มูลจึงเป็นส่วนประกอบสาคญั ท่ีช่วยใหร้ ะบบสารสนเทศ มี ความสมบูรณ์ และปฏิบตั ิงานอยา่ งมีประสิทธิภาพ 1.2 เครื่องมือ (Tools) เป็นเคร่ืองมือที่ใชจ้ ดั เกบ็ และประมวลผลขอ้ มูล ปกติระบบ สารสนเทศ จะใชเ้ คร่ืองคอมพวิ เตอร์เป็นอุปกรณ์หลกั ในการจดั การขอ้ มูล ซ่ึงจะประกอบดว้ ยส่วนสาคญั ต่อไปน้ี 1.2.1 อุปกรณ์ (Hardware) คือ ตวั เครื่องหรือส่วนประกอบของเคร่ืองคอมพวิ เตอร์ รวมท้งั อุปกรณ์ ระบบเครือขา่ ย 1.2.2 ชุดคาสง่ั (Software) คือ ชุดคาสงั่ ท่ีทาหนา้ ท่ีรวบรวม และจดั การเกบ็ ขอ้ มูล เพอ่ื ใช้ ในการบริหารงานหรือการตดั สินใจ 2. วธิ ีการหรือข้นั ตอนการประมวลผล การท่ีจะไดผ้ ลลพั ธ์ตามที่ตอ้ งการ จะตอ้ งมีการ จดั ลาดบั วางแผนงานและวิธีการประมวลผลใหถ้ ูกตอ้ ง เพอ่ื ใหไ้ ดข้ อ้ มูลหรือสารสนเทศท่ีตอ้ งการ 3. การแสดงผลลพั ธ์ เม่ือขอ้ มูลไดผ้ า่ นการประมวลผลตามวิธีการแลว้ จะไดส้ ารสนเทศ หรือ MIS เกิดข้ึน อาจจะนาเสนอในรูปตาราง กราฟ รูปภาพ หรือเสียง เพือ่ ใหก้ ารนาเสนอขอ้ มูล มีประสิทธิภาพ จะ ข้ึนอยกู่ บั ลกั ษณะของขอ้ มูล และลกั ษณะของการนาไปใชง้ าน คุณสมบัตขิ องระบบสารสนเทศเพ่ือการจดั การ

ปัจจบุ นั องคก์ ารสามารถพฒั นาระบบสารสนเทศดว้ ยตนเองหรอื ใหผ้ เู้ ช่ียวชาญจากภายนอกเขา้ ดาเนินการ โดยการออกแบบและพฒั นา MIS ท่สี อดคลอ้ งตามหลกั การ ระบบก็จะสามารถอานวย ประโยชนใ์ หก้ บั องคก์ ารไดอ้ ยา่ งเตม็ ประสิทธิภาพ โดยท่กี ารพฒั นาระบบสารสนเทศตอ้ งคานงึ ถงึ คณุ สมบตั ทิ ่สี าคญั ของ MIS ตอ่ ไปนี้ 1. ความสามารถในการจดั การขอ้ มลู (Data Manipulation) ระบบสารสน ปรบั ปรุง แกไ้ ขและจดั การขอ้ มลู เพ่อื ใหเ้ ป็นสารสนเทศท่ีพรอ้ มสาหรบั นาไปใชง้ านอย มาตขอมลู ตา่ ง ๆ ท่ี เก่ียวขอ้ งกบั การดาเนินธุรกิจจะมีการเปลีย่ นแปลงอยตู่ ลอดเวลา ขอ้ มลู ทาบอน เขา้ สู่ MIS ควรท่ีจะ ไดร้ บั การปรบั ปรุงแกไ้ ขและพฒั นารูปแบบ เพ่ือใหค้ ว การใชง้ านอยเู่ สมอ 2. ความปลอดภยั ของขอ้ มลู (Dota Securik) ระบบสารสนเทศเป็นทรพั ยากรท่ีสาคญั อยา่ งขององคก์ าร ถา้ สารสนเทศบางประเภทร่วั ไหลออกไปสบู่ คุ คลภายนอก โดยเฉพาะคแู่ ขง่ ขนั อาจทา ใหเ้ กิดความเสยี โอกาสทางการแขง่ ขนั หรอื สรา้ งความเสยี หายแกธ่ ุรกิจ ความสญู เสยี ทเกิดขนึ้ อาจจะ เกิดจากความรูเ้ ทา่ ไม่ถงึ การณ์ หรอื การก่อการรา้ ยตอ่ ระบบ จะมผี ลโดยตรงตอ่ ประสิทธิภาพ และความ เป็นอยขู่ ององคก์ ร 3. ความยืดหยนุ่ (Flexibility) สภาพแวดลอ้ มในการดาเนินธรุ กิจหรอื สถานการณก์ าร แขง่ ขนั ทางการคา้ ท่ีเปล่ยี นแปลงอยา่ งรวดเรว็ สง่ ผลใหร้ ะบบสารสนเทศท่ีดีตอ้ งมีความสามารถในการ ปรบั ตวั เพ่ือใหส้ อดคลอ้ งกบั การใชง้ านหรอื ปัญหาท่ีเกิดขนึ้ โดยท่รี ะบบสารสนเทศท่ีสรา้ งหรอื พฒั นาขนึ้ ตอ้ ง สามารถตอบสนองความตอ้ งการของผบู้ รหิ ารไดอ้ ยเู่ สมอ โดยมีอายกุ ารใชง้ าน การบารุงรกั ษา และ คา่ ใชจ้ ่ายท่ีเหมาะสม 4. ความพอใจของผใู้ ช้ (User Satisfaction) ปกติระบบสารสนเทศถกู พฒั นาขนึ้ โดยมี ความ มงุ่ หวงั ใหผ้ ใู้ ชส้ ามารถนามาประยกุ ตใ์ นงานหรอื เพ่ิมประสิทธิภาพในการทางาน ระบบสารสนเทศ ท่ดี ี จะตอ้ งกระตนุ้ หรอื โนม้ นา้ วใหผ้ ใู้ ชห้ นั มาใชร้ ะบบใหม้ ากขนึ้ โดยการพฒั นาระบบตอ้ งทาการพฒั นา ให้ ตรงกบั ความตอ้ งการ และพยายามทาใหผ้ ใู้ ชพ้ อใจกบั ระบบ เม่อื ผใู้ ชเ้ กิดความไม่พอใจกบั ระบบ ทา ให้ ความสาคญั ของระบบลดนอ้ ยลงไป ก็อาจจะทาใหไ้ ม่คมุ้ คา่ กบั การลงทนุ ได้ ประโยชนข์ องระบบสารสนเทศเพอ่ื การจดั การ ระบบสารสนเทศเพ่ือการจดั การ (MIS) มีประโยชน์ ดงั นี้ 1. ชว่ ยใหผ้ ใู้ ชส้ ามารถเขา้ ถงึ สารสนเทศท่ีตอ้ งการไดอ้ ย่างรวดเรว็ และทนั ตอ่ เหตกุ ารณ์ เน่ืองจากขอ้ มลู ถกู จดั เก็บและบรหิ ารเป็นระบบ ทาใหผ้ บู้ รหิ ารสามารถจะเขา้ ถงึ ขอ้ มลู ไดอ้ ย่างรวดเรว็ ใน รูปแบบที่เหมาะสม และสามารถนาขอ้ มลู มาใชป้ ระโยชนไ์ ดท้ นั ตอ่ ความตอ้ งการ 2. ชว่ ยผใู้ ชใ้ นการกาหนดเปา้ หมายกลยทุ ธแ์ ละการวางแผนปฏบิ ตั กิ าร โดยผบู้ รหิ ารจะสามารถ นาขอ้ มลู ท่ีไดจ้ ากระบบสารสนเทศมาช่วยในการวางแผนและกาหนดเปา้ หมายในการดาเนินงาน เน่ืองจาก สารสนเทศถกู เกบ็ รวบรวมและจดั การอยา่ งเหมาะสม ทาใหม้ ีประวตั ขิ องขอ้ มลู อย่างตอ่ เน่ือง สามารถท่ี จะชีแ้ นวโนม้ ของการดาเนินงานไดว้ า่ น่าจะเป็นไปในลกั ษณะใด

3. ช่วยผใู้ ชใ้ นการตรวจสอบประเมนิ ผลการดาเนินงาน เม่ือแผนงานนาไปปฏบิ ตั ใิ นชว่ งระยะ เวลาหน่งึ ผู้ ควบคมุ จะตอ้ งตรวจสอบผลการดาเนินงานโดยนาขอ้ มลู บางสว่ นมาประมวลผลประกอบการ ประเมนิ สารสนเทศท่ีไดจ้ ะแสดงใหเ้ หน็ ผลการดาเนินงานวา่ สอดคลอ้ งกบั เปา้ หมายท่ตี อ้ งการเพียงไร 4. ช่วยผใู้ ชใ้ นการศกึ ษาและวิเคราะหส์ าเหตขุ องปัญหา ผบู้ รหิ ารสามารถใชร้ ะบบสารสนเทศ ระกอบการศกึ ษาและการคน้ หาสาเหตุ หรอื ขอ้ ผิดพลาดท่ีเกิดขนึ้ ในการดาเนินงาน ถา้ การดาเนินงาน เซนไปตามแผนท่ีวางเอาไว้ อาจจะเรยี กขอ้ มลู เพ่ิมเติมออกมาจากระบบ เพ่ือใหท้ ราบวา่ ขอ้ ผิดพลาด 1. ทางานเกิดขนึ้ มาจากสาเหตใุ ด หรอื จดั รูปแบบสารสนเทศในการวิเคราะหป์ ัญหาใหม่ 5. ชว่ ยใหผ้ ใู้ ชส้ ามารถวิเคราะหป์ ัญหาหรอื อปุ สรรคท่เี กิดขนึ้ เพ่อื หาวธิ ีควบคมุ ปรบั ปรุงและแกไ้ ข ปัญหา สารสนเทศท่ีไดจ้ ากการประมวลผลจะช่วยใหผ้ บู้ รหิ ารวิเคราะหว์ า่ การดาเนินงานในแต่ละ ทางเลอื กจะช่วยแกไ้ ข หรอื ควบคมุ ปัญหาท่ีเกิดขนึ้ ไดอ้ ยา่ งไร ธรกิจตอ้ งทาอย่างไรเพ่ือปรบั เปล่ยี นหรอื พฒั นาใหก้ ารดาเนินงานเป็นไปตามแผนงานหรอื เปา้ หมาย 6. ช่วยลดคา่ ใชจ้ ่าย ระบบสารสนเทศท่ีมีประสิทธิภาพ ชว่ ยใหธ้ ุรกิจลดเวลา แรงงานและ คา่ ใชจ้ า่ ย ในการทางานลง เน่ืองจากระบบสารสนเทศสามารถรบั ภาระงานท่ีตอ้ งใชแ้ รงงานจานวนมาก ตลอดจน ชว่ ยลดขนั้ ตอนในการทางาน สง่ ผลใหธ้ รุ กิจสามารถลดจานวนคนและระยะเวลาในการ ประสานงานให้ นอ้ ยลง โดยผลงานท่ีออกมาอาจเทา่ หรอื ดีกวา่ เดมิ ซง่ึ จะเป็นการเพ่ิมประสทิ ธิภาพ และ ศกั ยภาพในการ แขง่ ขนั ทางธุรกิจ สรุป ระบบสารสนเทศเพ่ือการจดั การเป็นระบบท่ีช่วยในการบรหิ ารจดั การในองคก์ ร ตา่ ง ๆ เป็นไปอยา่ ง มีประสิทธิภาพ สามารถท่ีจะวเิ คราะหแ์ ละออกแบบระบบในการ ดาเนินงานเป็นไปตามท่ีไดว้ างแผนหรอื ตดั สนิ ใจไว้ โดยการนาขอ้ มลู ท่ีไดร้ บั จากหลาย รูปแบบมาประมวลผลหรอื แจกแจงใหเ้ ป็นสารสนเทศ เพ่ือท่ีจะนามาศกึ ษาและวเิ คราะห์ ถงึ ปัญหาและ อปุ สรรคตา่ ง ๆ เพ่ือท่จี ะไดร้ ูปแบบการบรหิ ารจดั การท่ีดี นอกจากนี้ ระบบสารสนเทศ เพ่ือการจดั การจะ สามารถท่ีจะชว่ ยลดคา่ ใชจ้ ่ายตา่ ง ๆ ไดอ้ ยา่ งมาก กิจกรรมเสนอแนะ 1. ใหผ้ เู้ รยี นแบง่ ออกเป็นกลมุ่ ๆ ละ 2-3 คน อธิบายพรอ้ มทงั้ ยกตวั อยา่ งประเภทของ ระบบ สารสนเทศ กลมุ่ ละ 1 ประเภท 2. ใหผ้ เู้ รยี นแบง่ ออกเป็นกลมุ่ ๆ ละ 2-3 คน อธิบายพรอ้ มทงั้ ยกตวั อยา่ งองคป์ ระกอบ ของระบบ สารสนเทศ กลมุ่ ละ 1 องคป์ ระกอบ 3. ใหผ้ เู้ รยี นแตล่ ะคน บอกประโยชนข์ องระบบสารสนเทศเพ่ือการจดั การคนละ 1 ขอ้

ใบงานท่ี 1 ชอื่ เรื่อง (Job Sheet) หลักการระบบสารสนเทศเพอื่ การจัดการ จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ 1. เพ่ือใหท้ ราบวิธีการรบั รูข้ อ้ มลู 4. เพ่ือใหท้ ราบประเภทของขอ้ มลู แบบมาตรวดั อนั ดบั 2. เพ่ือใหท้ ราบชนิดของขอ้ มลู ตา่ ง ๆ 5. เพ่ือใหท้ ราบประเภทของระบบสารสนเทศ 3. เพ่ือใหท้ ราบประเภทของขอ้ มลู แตล่ ะประเภท 6. เพ่ือใหท้ ราบคณุ ธรรม จรยิ ธรรม คา่ นิยมท่ีดีในการ ใชค้ อมพิวเตอร์ และรูจ้ กั การทางานเป็นทีม แนวทางปฏบิ ตั ิ 1. ใหน้ กั ศกึ ษาแบง่ กลมุ่ ออกเป็น 5 กลมุ่ กลมุ่ ละ 3-5 คน โดยใหแ้ ตล่ ะคนในกลมุ่ ยกตวั อย่างการ รบั รูข้ อ้ มลู แตล่ ะสว่ นตามท่ีไดร้ บั มอบหมายโดยการจบั สลากวา่ กลมุ่ ใดจะไดอ้ ธิบายการรบั รูส้ ว่ นใด 2. ใหน้ กั ศกึ ษาแบง่ กลมุ่ ออกเป็น 4 กลมุ่ กลมุ่ ละ 2-3 คน โดยใหแ้ ตล่ ะคนในกลมุ่ ยกตวั อย่างชนิดของ ขอ้ มลู แตล่ ะชนิดตามท่ีไดร้ บั มอบหมายโดยการจบั สลากวา่ กลมุ่ ใดจะไดอ้ ธิบายชนิดของขอ้ มลู ชนิดใด 3. ใหน้ กั ศกึ ษาแบง่ กลมุ่ ออกเป็น 4 กลมุ่ กลมุ่ ละ 2-3 คน โดยใหแ้ ตล่ ะคนในกลมุ่ ยกตวั อยา่ งประเภท , ของขอ้ มลู ท่ีจาแนกตามลกั ษณะการเก็บขอ้ มลู แตล่ ะประเภท ตามท่ีไดร้ บั มอบหมายโดยการจบั สลาก วา่ กลมุ่ ใดจะไดอ้ ธิบายประเภทของขอ้ มลู ประเภทใด 4. ใหน้ กั ศกึ ษาเขียนคาถามท่ีเป็นประเภทของขอ้ มลู แบบมาตรวดั อนั ดบั คนละ 1 คาถาม พรอ้ มทงั้ คาตอบไม่นอ้ ยกวา่ 5 ตวั เลอื ก 5. ใหน้ กั ศกึ ษาแบง่ กลมุ่ ออกเป็น 9 กลมุ่ กลมุ่ ละ 3-5 คน อธิบายประเภทของระบบสารสนเทศ กลมุ่ ละ 1 ประเภท พรอ้ มทงั้ จดั ทาภาพประกอบการอธิบาย ระยะเวลาล่งบาน ภายหลงั นาเสนองานและตอบขอ้ ซกั ถามเรยี บรอ้ ยแลว้ การประเมนิ ผล 1. พฤตกิ รรมการทางานกลมุ่ 2. ชิน้ งาน 3. การนาเสนอและการตอบขอ้ ซกั ถาม 4. การตอบขอ้ ซกั ถาม 5. การตรงตอ่ เวลา แหล่งคน้ ควา้ เพม่ิ เตมิ นิภาภรณ์ คาเจรญิ . เรยี นรูก้ ารใชง้ านระบบสารสนเทศเพ่ือการจดั การ. กรุงเทพฯ : สานกั พิมพ์ SPC Books, 2548. ไพบลู ย์ เกียรตโิ กมล, รศ.ดร. ระบบสารสนเทศเพ่ือการจดั การ. กรุงเทพฯ : สานกั พิมพซ์ ีเอด็ ยเู คช่นั จากดั (มหาชน), 2551. วเิ ชียร เปรมชยั สวสั ดิ,์ ดร. ระบบสารสนเทศเพ่ือการจดั การ. กรุงเทพฯ : สานกั พิมพ์ ส.ส.ท., 2551 ศรไี พร ศกั ดริ์ ุง่ พงศาสกลุ , ผศ.ดร, ระบบสารสนเทศและเทคโนโลยีการจดั การความรู,้ กรุงเทพฯ : สานกั พิมพ์ ซีเอด็ ยเู คช่นั จากดั (มหาชน), 2549. . 4 ซง่ึ แมลรวิ งศ,์ ระบบสารสนเทศเพ่ือการจดั การ, กรุงเทพฯ : สานกั พิมพซ์ เี อด็ ยเู คช่นั จากดั (มหาชน) 2554,

หน่วยที่ 2 ความปลอดภยั และการควบคุมระบบสารสนเทศ สาระสาคญั เทคโนโลยสี ารสนเทศมีพระทนตอ่ สงั คมเป็นอยา่ งมาก โดยเฉพาะ ระบบสารสนเทศท่ีจาเป็นตอ้ ง พิจารณาเรอ่ื งความปลอดภยั ของระบบสารสนเทศ การใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศ หากไมม่ ีกรอบกากบั ไดแ้ ลว้ สงั คมยอ่ มฮะเกิดปัญหา ตา่ ง ๆ ตามมาไม่สนิ้ สตุ รวมทงั้ ปัญหาอาชญากรรมคอมพิวเตอรด์ ว้ ย ดงั นนั้ หน่วยงาน ท่ีใชร้ ะบบสารสนเทศซง่ึ จาเป็นตอ้ งสรา้ งระบบความปลอดภยั เพ่ิม ปอ้ งกนั ปัญหาดงั กลา่ ว ความหมายของการควบคุม การควบคมุ (Controlling) คือ กระบวนการท่ีถกู ตดิ ตงั้ ตามความตอ้ งการของคณะกรรมการ บรหิ าร (Board of Directors) ผบู้ รหิ าร และบคุ ลากรภายใตก้ ารกากบั ของบคุ คลขา้ งตน้ เพ่ือก่อให้ เกิด ความม่นั ใจในความสาคญั ในความสาเรจ็ โดยเฉพาะเม่ือมีการใชร้ ะบบสารสนเทศท่สี ามารถ เขา้ ถึงไดอ้ ยา่ ง งา่ ย จงึ อาจจะเกิดความไมป่ ลอดภยั ของขอ้ มลู วัตถุประสงคข์ องการควบคุมระบบสารสนเทศ การท่ีจะตอ้ งระมดั ระวงั ในความปลอดภยั ของขอ้ มลู จงึ ตอ้ งมีการควบคมุ ระบบสารสนเทศใหม้ ี ความ ปลอดภยั ซง่ึ วตั ถปุ ระสงคก์ ารควบคมุ ระบบสารสนเทศ 4 ขอ้ ดว้ ยกนั คอื 1. เพ่ือรกั ษาทรพั ยส์ นิ ใหป้ ลอดภยั (Asset Safeguarding) 2. ความสมบรู ณข์ องขอ้ มลู (Data Integrity) หรอื ความครบดว้ นถกู ตอ้ งของขอ้ มลู 3. ความมีประสทิ ธิภาพและประสิทธิพลของระบบ (System Efficiency and Effecfiveness) 4. การรกั ษาความปลอดภยั (Security) คอื การเขา้ ถงึ ระบบสารสนเทศ และขอ้ มลู ในระบบถกู ควบคมุ และจากดั เขา้ ถงึ ระบบเฉพาะผทู้ ่ไี ดร้ บั อนมุ ตั เิ ทา่ นนั้ โดยการรกั ษาความปลอดภยั ดงั กลา่ วมีเปา้ หมายสดุ ทา้ ยคอื การทาใหร้ ะบบเช่ือถือไดห้ รือความเช่ือถือ ไดข้ องระบบ (System Reliability) ซง่ึ จะประกอบดว้ ย 1. การรกั ษาความปลอดภยั เป็นประเด็นดา้ นบรหิ ารจดั การ (Manager ประเดน็ ดา้ นเทคโนโลยี (Technology Issue) เน่ืองจากผบู้ รหิ ารมีหนา้ ท่ีรบั ผิดชอบในความถกู ตอ้ งของสารสนเทศ เช่น ความ ถกู ตอ้ งของรายการการเงิน ความน่าเช่ือถือของขอ้ มลู ในการประกอบการตดั สินใจ เป็นตน้ 2. รูปแบบเวลาในการรกั ษาความปลอดภยั (Time-based Model of Security) ซง่ึ ใช้ ประเมินประสิทธิผลของการรกั ษาความปลอดภยั ขององคก์ รโดยวดั และเปรยี บเทียบความสมั พนั ธร์ ะหว่าง ระยะเวลาท่ผี ขู้ โมยขอ้ มลู (Data Theft) สามารถผา่ นการควบคมุ แบบปอ้ งกนั ขององคก์ รได้ 3. การปอ้ งกนั ในเชิงลกึ (Defense-in-Depth) หมายถงึ การปอ้ งกนั อาชญากรรมไซเบอร์ (Cyber Terrorism) ซง่ึ ตอ้ งใชก้ ารควบคมุ หลายระดบั เพ่ิมประสิทธิภาพของการควบคมุ เน่ืองจากถา้ การควบคมุ ระดบั

หนง่ึ ลม้ เหลว ก็ยงั มีการควบคมุ อีกระดบั หน่งึ ท่ียงั ทาหนา้ ที่อยู่ เชน่ การรกั ษาความปลอดภยั สารสนเทศจะ ใชก้ ารควบคมุ รว่ มกนั ของไฟรว์ อลล์ (Firewall) รหสั ผา่ น (Password) และการควบคมุ อ่นื ๆ เป็นตน้ ผลของการใช้ระบบสารสนเทศต่อการควบคุม ถา้ มีการควบคมุ ระบบสารสนเทศตามวตั ถปุ ระสงค์ คือการรกั ษาทรพั ยส์ นิ ความสมบรู ณข์ อง ขอ้ มลู ความมีประสทิ ธิภาพและประสทิ ธิผลของระบบดงั กลา่ วขา้ งตน้ ก็จะสามารถท่ีจะปอ้ งกนั ไดต้ ่อ เม่ือองคก์ าร มีการควบคมุ ภายใน ดงั นนั้ จงึ มีขอ้ สงั เกตวา่ การควบคมุ หลกั สาหรบั ระบบเดมิ หรอื ระบบท่ีประมวลผลดว้ ยมือนนั้ สามารถนามาใชก้ บั ระบบสารสนเทศไดห้ รอื ไม่ จะเห็นไดว้ า่ การควบคมุ แบบเดมิ ซง่ึ ประกอบดว้ ย การ แบง่ แยกหนา้ ท่ี การกาหนดอานาจและความรบั ผิดชอบ การรบั และฝึกฝนพนกั งานท่ีมีคณุ ภาพสงู อานาจ อนมุ ตั ิ ความเพียงพอของเอกสารระบบและการบนั ทกึ การควบคมุ ทางกายภาพของทรพั ยส์ นิ และรายการ บนั ทกึ การควบคมุ ผบู้ รหิ าร การตรวจสอบการปฏิบตั ิงานซง่ึ กนั และกนั และการเปรยี บเทียบ รายการท่ี บนั ทกึ กบั ทรพั ยส์ นิ เป็นระยะ ๆ นนั้ ยงั คงนามาใชก้ บั ระบบสารสนเทศไดห้ รอื ยงั คงอยู่ แต่เน่ืองจากระบบ สารสนเทศมีลกั ษณะเฉพาะท่ีแตกตา่ ง จากระบบเดมิ หลายประการดว้ ยกนั ดงั นนั้ จงึ ตอ้ งเพ่ิมหรอื ปรบั ปรุงการควบคมุ เดมิ เพ่ือใหเ้ ขา้ กบั สภาพแวดลอ้ มทางคอมพิวเตอรด์ งั จะกลา่ วใน รายละเอียดดงั นี้ 1. การแบง่ แยกหนา้ ท่ี ปกติระบบท่ีประมวลผลดว้ ยมือ (Manual System) จะแม่ หนา้ ท่ที ่ี ก่อใหเ้ กิด รายการ บนั ทกึ รายการและบารุงทรพั ยส์ ินออกจากกนั ซง่ึ การแบง่ แยกหนา้ ท่ดี งั กลา่ วถือเป็นการควบคมุ ขนั้ พืน้ ฐานท่ีชว่ ยปอ้ งกนั หรอื ตรวจจบั ขอ้ ผิดพลาด สว่ นกรณีระบบท่ีประมวลดว้ ยคอมพิวเตอร์ การแบง่ แยก หนา้ ท่ดี งั กลา่ วอาจกระทาไม่ได้ 2. การกาหนดอานาจและความรบั ผิดชอบ อานาจและความรบั ผิดชอบท่ีชดั เจนเป็น ความสาคญั ทงั้ ระบบท่ีประมวลผลดว้ ยมือและคอมพิวเตอร์ ในระบบสารสนเทศกาหนดอานาจหนา้ ท่ี และความ รบั ผิดชอบกระทาไดล้ าบาก เน่ืองจากทรพั ยากรถกู แบง่ ปันระหวา่ งผใู้ ชห้ ลายคน 3. พนกั งานท่ีเช่ือถือไดแ้ ละมีคณุ ภาพสงู โดยท่วั ไปองคก์ รจะกาหนดอานาจใหก้ บั บคุ คลท่ีมีหนา้ ท่ี รบั ผิดชอบดา้ นการพฒั นา ตดิ ตงั้ ปฏิบตั ิงานและบารุงรกั ษาระบบสารสนเทศ 4. อา่ นาจอนมุ ตั ิ อานาจในการอนมุ ตั ิรายการของผบู้ รหิ ารมี 2 ประเภท คือ 4.1 อานาจอนมุ ตั ทิ ่วั ไปซง่ึ จดั ตงั้ ตามนโยบายขององคก์ ร 4.2 ในระบบท่ีประมวลผลดว้ ยมือ การประเมนิ ความเพยี งพอของการอนมุ ตั ิกระทาโดย พิจารณาการทางานของพนกั งาน สว่ นระบบท่ีประมวลผลดว้ ยคอมพิวเตอรอ์ านาจในการอนมุ ตั มิ ักอยู่ ภายในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ 5. ความเพียงพอของเอกสารและขอ้ มลู ในระบบท่ีประมวลผลดว้ ยมือความเพียงพอของ เอกสาร และขอ้ มลู เป็นสง่ิ จาเป็น เน่ืองจากรายการตา่ ง ๆ จะตอ้ งมีเอกสารสนบั สนนุ รายการนนั้ ๆ ส่วนระบบท่ี ประมวลผลดว้ ยคอมพิวเตอรเ์ อกสารท่ีใชส้ นบั สนนุ การทารายการอาจไมม่ ี 6. การควบคมุ ทางกายภาwตอ่ ทรพั ยส์ ินและขอ้ มลู การควบคมุ ทางกายภาพตอ่ การเขา้ ถงึ ทรพั ยส์ ินและขอ้ มลู จงึ เป็นสง่ิ ท่มี ีความสาคญั อยา่ งมากทงั้ ระบบท่ีประมวลผลดว้ ยมือและคอมพวิ เตอร์ แต่

ความแตกตา่ งกนั คือ ผทู้ ่จี ะทาอนั ตรายระบบท่ีประมวลผลดว้ ยมือตอ้ งเขา้ ถึงขอ้ มลู ซง่ึ อยู่ ในสถานท่ีตา่ ง ๆ ในขณะท่ีระบบท่ีประมวลผลดว้ ยคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอรก์ าลงั ทาการ ประมวลผลอยู่ 7. ความเพียงพอของการควบคมุ ทางการบรหิ าร ในระบบท่ีประมวลผลดว้ ยมือ การ ควบคมุ กิจกรรมของพนกั งานโดยผบู้ รหิ ารจะตรงไปตรงมา เพราะผบู้ รหิ ารและ พนกั งานจะอยใู่ กลช้ ิด กบั ลกู คา้ ในพืน้ ท่ีนนั้ ๆ 8. การตรวจสอบการปฏิบตั ิงานซง่ึ กนั และกนั ในระบบท่ีประมวลผลดว้ ยมือ การ ตรวจสอบ การปฏิบตั ิงานซง่ึ กนั และกนั จะชว่ ยคน้ พบขอ้ ผิดพลาดของการปฏิบตั ิงานของ พนกั งานอีกคนได้ แต่ ระบบท่ีประมวลผลดว้ ยคอมพิวเตอรก์ ารอนมุ ตั ิรายการจะกระทาโดย อตั โนมตั ิ 9. การเปรยี บเทียบรายการท่ีบนั ทกึ กบั ทรพั ยส์ นิ ควรเปรยี บเทียบรายการท่ีบนั ทกึ กบั ทรพั ยส์ นิ เพ่ือพิจารณาถึงความไมส่ มบรู ณแ์ ละถกู ตอ้ งของขอ้ มลู ในระบบท่ีประมวลผล ดว้ ยมือพนกั งาน ท่ีเป็นอิสระจากการเตรยี มขอ้ มลู เพ่ือทาการเปรยี บเทียบ ปัญหาทที่ าใหต้ อ้ งมีการควบคุมระบบสารสนเทศ ระบบสารสนเทศเป็นระบบท่ีมีการทางานซบั ซอ้ น ซง่ึ จะตอ้ งใชก้ ารบรหิ ารจดั การท่ีดี เพราะอาจจะ ทาใหร้ ะบบ สารสนเทศเสยี หาย เกิดปัญหาท่ีเกิดผกระทบตอ่ องคก์ รโดยปัญหาท่ีมกั เกิด มีดงั นี้ 1. ปัญหาท่ีเกิดจากการกระทาของคน จาแนกไดเ้ ป็น อาชญากรรมคอมพวิ เตอร์ และปัญหาดา้ นจรยิ ธรรม ปัจจบุ นั อาชญากรรมคอมพิวเตอรไ์ ดแ้ พรร่ ะบาดไปท่วั โลกจากกการใชอ้ นิ เทอรเ์ น็ตอยา่ งแพรห่ ลาย และยากแก่การปราบปราม อาชญากรคอมพิวเตอรท์ ่ีแอบบกุ รุกเจาะเขา้ ระบบโดยไมถ่ กู กฎหมายเรยี กวา่ แฮ็กเกอร์ (Hacker) หรอื แครก็ เกอร์ (Cracker) 1.1 อาชญากรรมคอมพิวเตอร์ แบง่ ไดด้ งั นี้ 1) การจารกรรมและการขโมยขอ้ มลู เชน่ ความลบั ทางการคา้ ผลิตภณั ฑ์ ซอฟตแ์ วร์ ขอ้ มลู หมายเลขบตั รเครดิต ขอ้ มลู รหสั ผา่ น เป็นตน้ 2) การเปลี่ยนแปลงและการทาลายขอ้ มลู เช่น ระบบตดั คะแนนผลสอบนกั ศกึ ษา ระบบตดั เศษเงนิ ในธนาคาร เพ่ือโอนเขา้ บญั ชีเงนิ ฝากของตน การแพรไ่ วรสั หรอื หนอนคอมพวิ เตอรใ์ นระบบสารสนเทศ เพ่ือรบกวนหรอื ทาลายการทางานของระบบ ภยั เหลา่ นีอ้ าจก่อใหเ้ กิดความเสียหายตอ่ ระบบเครอื ขา่ ยและระบบสารสนเทศไมม่ ากก็นอ้ ย - ไวรสั คอมพิวเตอร์ (Computer Virus) เป็นโปรแกรมท่ีทางานรว่ มกบั โปรแกรมอ่นื โดยการ แพรก่ ระจายไปสเู่ ครอ่ื งอ่นื ไวรสั มหี ลายประเภท เชน่ ทางานเหมือนระเบดิ ตามเวลา วนั ท่ีกาหนดได้ (Time Bomb) การเปล่ียนแปลงขอ้ มลู การทาลายขอ้ มลู เป็นตน้ - เวริ ม์ หรอื หนอนคอมพิวเตอร์ (Computer Worm) เป็นโปรแกรมอสิ ระท่ีสามารถ จาลองโปรแกรม ตวั เองได้ ทาใหเ้ กิดโปรแกรมจานวนมาก จงึ ทาใหเ้ กิดความชะงกั งนั - การสแปมทางคอมพวิ เตอรห์ รอื สแปมเมล (Computer Spam) การสง่ ขอ้ มลู หรอื ภาพในรูปของ ไปรษณียอ์ เิ ลก็ ทรอนิกสจ์ านวนมากไปยงั บคุ คลท่วั ไป เปรยี บไดก้ บั ไปรษณียข์ ยะ ซง่ึ นบั เป็นการสิน้ เปลอื งทรพั ยากรทงั้ ใน ระดบั องคก์ าร ประเทศ หรอื นานาประเทศ ท่ีใชใ้ นการส่อื สาร ทางอเิ ลก็ ทรอนิกสโ์ ดยไมจ่ าเป็น ผรู้ บั บางรายไม่สามารถรบั ไปรษณียข์ องตนได้ เพราะตไู้ ปรษณีย์ อเิ ลก็ ทรอนิกสข์ องตนเตม็ ไปดว้ ยสแปมเมล

1.2 ปัญหาดา้ นจรยิ ธรรม จรยิ ธรรม (Ethics) หมายถงึ “หลกั พืน้ ฐานของความถกู ผิด ท่ีบคุ คลใชเ้ ป็นแนวทาง ปฏบิ ตั ิ” หรอื “มาตรฐานของการประพฤติปฏิบตั ใิ นวชิ าชีพ” ความกา้ วหนา้ ของ เครอื ขา่ ย และเทคโนโลยีก่อให้ ประเดน็ ดา้ นจรยิ ธรรม จาแนกไดด้ งั นี้ 1) ประเดน็ ความเป็นเจา้ ของ (Property Right) หมายถงึ สิทธิความเป็นเจา้ ของ สารสนเทศ ซง่ึ ถือวา่ เป็นทรพั ยส์ ินทางปัญญา โดยทรพั ยส์ นิ ทางปัญญานนั้ มีหลายประเภท แตล่ ะ ประเภทยอ่ ม ไดร้ บั สทิ ธิในการคมุ้ ครองตา่ งกนั ไป เช่น ธรรมสิทธิ์ ลิขสทิ ธิ์ รวมทงั้ สทิ ธิอ่นื ๆ ซง่ึ มี มลู คา่ จาเป็นตอ้ งศกึ ษา กฎหมายท่เี ก่ียวขอ้ ง เพ่ือกาหนดแนวทางปอ้ งกนั รกั ษาสทิ ธิและความปลอดภยั วธิ ีปฏบิ ตั ิเก่ียวกบั สทิ ธิการใชง้ าน อย่างไร เช่น การทา สาเนาซอฟตแ์ วร์ ดนตรี ภาพยนตร์ 2) ประเดน็ ขอ้ มลู สว่ นบคุ คล หมายถงึ ขอ้ มลู สว่ นบคุ คลในระบบสาร มีขอ้ มลู อะไรท่ีสามารถ เปิดเผยได้ มีวิธีการใดท่ีไมใ่ หล้ ะเมิดสิทธิสว่ นบคุ คล การตดิ ตาม ของเจา้ หนา้ ท่แี บบใดจงึ ไม่จดั วา่ ละเมิดสทิ ธิสว่ น บคุ คล เช่น การตรวจสอบอีเมล หรอื กาง ในเวลางาน เป็นตน้ 3) ประเดน็ ความพรอ้ มรบั ผิดชอบ (Accountability) ครอบคลมุ ความ เช่ือถือไดข้ องระบบ ซง่ึ เก่ียวกบั การเก็บรวบรวมขอ้ มลู วธิ ีการปฏิบตั กิ บั ขอ้ มลู หากเกิดความ และสง่ ผลตอ่ คณุ ภาพขอ้ มลู และคณุ ภาพ ระบบ ใครคือผรู้ บั ผิดชอบ จะประเมินคา่ เสียหายไดอ้ ย่างไร 4) ประเดน็ การเขา้ ถงึ ขอ้ มลู หมายถงึ เสรภี าพหรอื สทิ ธิในการเขา้ ถงึ ขอ้ มลู และ การเสีย คา่ ธรรมเนียมในการเขา้ ถงึ ขอ้ มลู 2. ปัญหาท่ีเกิดจากระบบ เป็นปัญหาท่ีเกิดจาก 2.1 ซอฟตแ์ วรแ์ ละขอ้ มลู เกิดจากความบกพรอ่ งของซอฟตแ์ วรส์ าหรบั โปรแกรมท่ีมีความ ซบั ซอ้ นมาก อาจมีขอ้ ผิดพลาดในโปรแกรม (Bug) ซง่ึ สง่ ผลตอ่ กระบวนการทางาน เชน่ การคานวณ ผิดพลาด และปัญหาดา้ นขอ้ มลู ท่ีขดั แยง้ กนั เอง 2.2 ปัญหาการบารุงรกั ษา คา่ ใชจ้ า่ ยดา้ นการบารุงรกั ษาระบบขององคก์ ารกวา่ ครง่ึ สงู มาก เน่ืองจากความตอ้ งการสารสนเทศท่ีเปล่ยี นไปทาใหต้ อ้ งปรบั แกร้ ะบบใหม่ หรอื การวางแผนการบารุง รกั ษาท่ีไม่ รอบคอบ จงึ อาจทาใหค้ า่ ใชจ้ า่ ยสงู กวา่ ท่จี งึ เป็น 2.3 ปัญหาท่ีเกิดจากภยั พิบตั ิ เชน่ อคั คภี ยั ไฟฟา้ ดบั อทุ กภยั แนวคดิ ในการรักษาความปลอดภยั ของระบบสารสนเทศ ความเสียหายท่ีอาจเกิดขนึ้ กบั ระบบสารสนเทศ ไม่วา่ จะเป็นความเสยี หายท่ีเกิดจากภยั ธรรมชาติ หรอื อบุ ตั ิเหตุ หรอื เกิดขนึ้ จากการกระทาของมนษุ ย์ จะโดยเจตนาหรอื ไมก่ ็ตาม ยอ่ มก่อใหเ้ กิดความ เสยี หายไมม่ ากก็ นอ้ ย ฉะนนั้ เพ่อื ปอ้ งกนั ไมใ่ หเ้ กิดความเสยี หายตอ่ ระบบ จงึ ควรท่ีจะศกึ ษาประเภท ของความเสียหายกบั ระบบ สารสนเทศไดด้ งั นี้ 1. ความเสียหายท่ีเกิดจากการกระทาโดยเจตนาของมนษุ ย์ เป็นการก่ออาชญากรรมทาง คอมพิวเตอร์ (Computer Crime) การขโมยขอ้ มลู ดว้ ยวิธีการดกั จบั สญั ญาณท่ีสง่ ผ่านขอ้ มลู ไปตาม เครอื ข่ายการสง่ ขอ้ มลู หรอื การทจุ รติ ตอ่ ขอ้ มลู เชน่ ทาการลกั ลอบดรู หสั ผา่ นของลกู คา้ ท่จี ะทาการ เบกิ ถอนเงินหรอื ซือ้ ขายสินคา้ เป็นตน้ 2. ความเสียหายเน่ืองจากภยั ธรรมชาติ เป็นความเสียท่ีเกิดจากภยั ธรรมชาตจิ ากกรณีตา่ ง ๆ เชน่ อคั คภี ยั ฟา้ ผ่า วาตภยั อทุ กภยั เป็นตน้

3. ความเสยี หายเน่ืองจากขาดระบบปอ้ งกนั ทางกายภาพ (Physical 32 ระบบการปอ้ งกนั ท่ีดใี น ทางการวางระบบคอมพิวเตอร์ ไมม่ ีระบบการปอ้ งกนั วงจรปิด ยามรกั ษาการณ์ หรอื การใชบ้ ตั รเขา้ ออกศนู ย์ คอมพิวเตอร์ 4. ความเสยี หายเน่ืองจากความบกพรอ่ งของระบบสภาพ หมายถงึ การใชเ้ ครอ่ื งมือตา่ ง ๆ ไม่ เหมาะสม โดยเฉพาะเครอ่ื งคอมพิวเตอรข์ น ควบคมุ เรอ่ื งความชืน้ ในหอ้ งเครอ่ื ง มีระบบปรบั ระดบั ไฟฟา้ และ สารองไฟฟ้า ไฟฟา้ ดบั และมีระบบปอ้ งกนั อคั คภี ยั เป็นตน้ 5. ความเสยี หายเน่ืองจากความลม้ เหลวของการทางานของ สารสนเทศ ซง่ึ ความเสียในกรณีนี้ อาจ เกิดจากการขาดการบารุงรกั ษาท่ีดี หรอื บารุงรกั ไมส่ ม่าเสมอ รวมถงึ สาเหตทุ ่ีมาจากการจดั วางอปุ กรณใ์ น สภาพแวดลอ้ มท่ีไมถ่ กู ตอ้ ง 6. ความเสยี หายเน่ืองจากความลม้ เหลวของระบบเครอื ขา่ ย หรอื รบ สว่ นใหญ่อาจจะเป็นเพราะ ผลกระทบท่ีเกิดจากภายนอกหรอื ท่ีเรยี กวา่ ระบบลม่ 7. ความเสยี หายเน่ืองจากความผิดพลาดจากการทางานภายในระบบสารสนเทศ ผิดพลาดใน ลกั ษณะนี้ จะเป็นความผิดพลาดในเรอ่ื งการทางานของซอฟตแ์ วร์ เน่ืองมา โปรแกรมส่งั งานคอมพิวเตอร์ ผิดพลาด การควบคุมความม่ันคงปลอดภยั การควบคมุ ความม่นั คงปลอดภยั หมายถงึ นโยบาย ขนั้ ตอน ระเบียบวธิ ีปฏบิ ตั ิ และมาตรการ ทาง เทคนิคท่ีนามาใชป้ อ้ งกนั ความเสยี หายท่ีอาจเกิดขนึ้ กบั ระบบ การควบคมุ ความม่นั คงปลอดภยั แบง่ ไดด้ งั นี้ 1 การควบคมุ ท่วั ไป จาแนกไดด้ งั นี้ 1.1 ฮารด์ แวร์ ใชก้ ารควบคมุ ทางกายภาพกบั วสั ดอุ ปุ กรณ์ คอื การกาหนดใหเ้ ฉพาะ ผมู้ ีสทิ ธิ ไดเ้ ขา้ ใชเ้ ครอ่ื งเทา่ นนั้ เช่น การใชก้ ลอ้ งวีดทิ ศั นต์ รวจจบั ผบู้ กุ รุก การใชร้ ะบบกนั ไฟ การตดิ ตงั้ เครอ่ื งตรวจ ควนั ไฟ การตรวจสอบความผิดปกติของอณุ หภมู ิและความชืน้ ท่ีเหมาะสม เครอ่ื ง ปรบั อากาศ เคร่ืองสารอง ไฟ การจดั หาคอมพิวเตอร์ อาจใชเ้ ครอ่ื งท่ีทนตอ่ ความผิดพรอ่ ง หรอื เป็นเคร่ืองชนิดพืน้ สภาพไดเ้ รว็ หากเกิดปัญหาการหยดุ ทางาน 1.2 ซอฟตแ์ วร์ ตรวจสอบการใชซ้ อฟตแ์ วรร์ ะบบใหใ้ ชเ้ ฉพาะผไู้ ดร้ บั สทิ ธิ 1.3 การดาเนินการ ตรวจสอบการปฏิบตั ิงานวา่ เป็นไปตามขนั้ ตอนหรอื ไม่ มีการบนั ทกึ ขอ้ มลู การปฏิบตั ิงานอยา่ งสม่าเสมอและตอ่ เน่ือง 1.4 ขอ้ มลู การควบคมุ ขอ้ มลู ในขณะท่ีใชง้ านและเม่ือใชเ้ สรจ็ แลว้ 1.5 กระบวนการพฒั นาระบบ การตรวจสอบขนั้ ตอนตา่ ง ๆ ในกระบวนการพฒั นาเป็นระยะ 1.6 การบรหิ ารจดั การ การกาหนดกฎระเบียบท่ีเป็นลายลกั ษณอ์ กั ษร เพ่ือปอ้ งกนั ผิดพลาด และใหก้ ารปฏิบตั เิ ป็นไปตามแผนและขนั้ ตอนท่ีกาหนด

2. การควบคมุ การประยกุ ตง์ าน (Application Control) เป็นการควบคมุ ขอ้ มลู นาเขา้ การประมวลผล และผลลพั ธท์ ่ีได้ 2.1 การควบคมุ ขอ้ มลู นาเขา้ (Input Control) เป็นการตรวจสอบ ความถกู ตอ้ งของขอ้ ม กอ่ นนาเขา้ สรู่ ะบบ ไดแ้ ก่ การกาหนดรหสั ผ่านสาหรบั อนญุ าต วธิ ีการเขา้ สรู่ ะบบ การเขา้ รหสั ขอ้ มลู (Encryption) สาหรบั ขอ้ มลู สาคญั หรอื ขอ้ มลู ลบั การควบคมุ จานวนรวมของขอ้ มลู นาเขา้ และการใช้ จอภาพพเิ ศษในการปอ้ นขอ้ มลู ท่ีมี สญั ญาณเตือนเม่ือมีขอ้ ผิดพลาด 2.2 การควบคมุ การประมวลผล (Processing Control) เป็นการ ควบคมุ ความผิดพลาด ในการคานวณ หรอื การปฏิบตั งิ านท่ีไมถ่ กู ตอ้ ง เช่น การควบคมุ จานวนครงั้ ของการประมวลผล ตลอดจน การตรวจสอบการทางานของโปรแกรม การ กาหนดจดุ ตรวจสอบ อนั เป็นจดุ ท่ีถือวา่ ตอ้ งตรวจสอบ การประมวลผลท่ีดาเนินการ โดย อาจเป็นการสมุ่ ตรวจหรอื ตรวจทกุ รายการ การจดั ใหม้ ีกาแพงกนั ไฟหรอื ไฟรว์ อลล์ (Firewall) ซง่ึ เป็นซอฟตแ์ วรท์ ่ปี อ้ งกนั ผไู้ ม่มีสิทธิการใชบ้ กุ รุกเพ่ือประมวลผล หรอื ออก คาส่งั ท่ีไมพ่ งึ ประสงคต์ า่ ง ๆ 2.3 การควบคมุ ผลลพั ธ์ (Output Control) เป็นการตรวจสอบให้ เกิดความม่นั ใจวา่ ผลลพั ธ์ ท่ีไดม้ ีคณุ ภาพ ใชว้ ธิ ีการทานองเดยี วกบั ขอ้ มลู นาเขา้ ไดแ้ ก่ การ กาหนดรหสั ผ่าน การถอดรหสั ขอ้ มลู การควบคมุ จานวนรวมของผลลพั ธ์ การควบคมุ จานวนรายการผลลพั ธ์ การปอ้ นกลบั จากผใู้ ช้ (End User Feedback) yay. 2.4 การควบคมุ การสารองขอ้ มลู คือ การกาหนดวิธีและผรู้ บั ผิดชอบ เพ่ือใหเ้ กิดความ ม่นั ใจวา่ ขอ้ มลู ตา่ ง ๆ ของระบบซง่ึ รวมถงึ ซอฟตแ์ วรต์ า่ ง ๆ ไดร้ บั การ สารองอยา่ งเป็นระบบระเบยี บ ตอ่ เน่ืองและสม่าเสมอ คอื การใชร้ หสั ผ่าน การเขา้ รหสั และ ถอดรหสั ขอ้ มลู การสารองขอ้ มลู วธิ ีจดั เกบ็ ดแู ลซอฟตแ์ วร์ การกาหนดผบู้ รหิ ารฐานขอ้ มลู พรอ้ มแผนและแนวปฏิบตั ใิ นการสารองขอ้ มลู ตา่ ง ๆ ท่ชี ดั เจน 3. การควบคมุ การเขา้ ถงึ ครอบคลมุ การเขา้ ถงึ ตวั เครอ่ื ง การเขา้ ใชร้ ะบบและการ เขา้ ถงึ คาส่งั โปรแกรม ขอ้ มลู การควบคมุ ท่ใี ช้ ไดแ้ ก่ รหสั ผา่ น การใชบ้ ตั รหรอื อปุ กรณพ์ ิเศษ การใชไ้ บโอเมทรกิ ซ์ (Biometrics) เป็นการควบคมุ ทางชีวภาพ เชน่ การสแกนใบหนา้ เครอ่ื งจะสแกนใบหนา้ ผใู้ ชแ้ ละ เปรยี บกบั รูปท่ีจดั เก็บใช้ และใชห้ ลกั การทานองเดยี วกนั ใน การสแกนลายนิว้ มือ หรอื เรตินา ตา หรอื เสยี ง ซง่ึ ถือวา่ สามารถใชย้ ืนยนั และตรวจสอบตวั บคุ คลได้ โดยไมจ่ าเป็นตอ้ งใชร้ หสั ผา่ นบตั รหรอื อปุ กรณพ์ ิเศษแตอ่ ย่างใด

วธิ ีการควบคุมระบบสารสนเทศ การควบคมุ ระบบสารสนเทศในสว่ นของการ เขา้ ถงึ เวบ็ อนิ ทราเน็ต และเครอื ข่ายไร้ สาย เป็นการควบคมุ ความปลอดภยั ของระบบท่ีใชง้ าน บนเครอื ขา่ ยอินเทอรเ์ นต็ ซ่ึงมีการ ทางานอยตู่ ลอด เวลา เครอ่ื งคอมพิวเตอรต์ อ้ งเป็นชนิดท่ีสามารถ ทนทานความลม้ เหลวได้ คอื ใชอ้ ปุ กรณส์ ารอง หลายตวั ท่สี ามารถทางานแทนกนั ไดท้ นั ที เพ่ือ ไมใ่ หห้ ยดุ ชะงกั หรอื เป็นเครอ่ื งท่มี ีความสามารถ ในการฟื้นสภาพจากการท่ีระบบลม้ เหลวไดเ้ รว็ การควบคมุ ดงั กลา่ วทาไดด้ งั นี้ 1) กาแพงกนั ไฟหรอื ไฟรว์ อลล์ ซง่ึ เป็นซอฟตแ์ วร์ หรอื อาจเป็นฮารด์ แวรด์ ว้ ย ท่ี นามาใช้ ปอ้ งกนั ไมใ่ หผ้ ไู้ มม่ ีสิทธิเขา้ มาในระบบเครอื ขา่ ยได้ 2) ระบบตรวจจบั ผบู้ กุ รุก (Intrusion Detection System) เป็น ซอฟตแ์ วรท์ ่ีใชต้ รวจสอบหา ส่ิงผิดปกติ เชน่ ขอ้ มลู ท่ีถกู แกไ้ ขในเง่ือนไขท่ีผิดปกติ การใช้ รหสั ผา่ นท่ีไมถ่ กู ตอ้ ง 3) การยืนยนั และตรวจสอบตวั บคุ คล (Authentication) คือ การรบั รอง ขอ้ มลู อิเลก็ ทรอนิกส์ ท่ีสง่ มานนั้ วา่ เป็นผสู้ ง่ จรงิ หรอื เป็นผรู้ บั จรงิ ตวั อย่างสาคญั ท่ีใชใ้ นการ ทาธุรกรรมอิเลก็ ทรอนิกส์ คอื การใชล้ ายมือช่ือดิจิตอล (Digital Signature) ระบบนี้ เปรยี บไดก้ บั การลงนามกากบั เอกสารตา่ ง ๆ น่นั เอง แตใ่ นการสรา้ งลายมอื ช่ือดิจิตอลนนั้ ตอ้ งมีกญุ แจสว่ นตวั (Private Key) และกญุ แจสาธารณะ (Public Key) ซง่ึ เป็น อกั ขระหรอื สญั ลกั ษณต์ า่ ง ๆ ท่ีเกิดจากการคานวณทางคณิตศาสตร์ เม่อื สรา้ ง กญุ แจคู่ ขนึ้ มา เจา้ ของกญุ แจตอ้ งเก็บกญุ แจสว่ นตวั ไวเ้ ป็นความลบั เพ่ือใชใ้ นการสรา้ งลายมอื ช่ือ ดจิ ิตอล สว่ นกญุ แจสาธารณะตอ้ งเปิดเผยในระบบท่ใี หบ้ คุ คลใดสามารถใชไ้ ด้ เพ่ือ ตรวจสอบผเู้ ป็นเจา้ ของลายมือ ช่ือดิจิตอล หรอื ไวเ้ ขา้ รหสั ลบั ในการสง่ ขอ้ มลู ของคนตอ่ ไป นอกจากนี้ ยงั มีกระบวนการออกใบรบั รองอิเลก็ ทรอนิกส์ (Certication) โดยมี ผใู้ หบ้ รกิ ารออก ใบรบั รอง เพ่ือเป็นหลกั ฐานในการทาธุรกรรมอเิ ลก็ ทรอนิกสต์ า่ ง ๆ สาหรบั ผู้ สง่ ขอ้ มลู และผรู้ บั ขอ้ มลู โดยกาหนดกญุ แจสว่ นตวั และกญุ แจสาธารณะ

แผนผงั การควบคุมระบบสารสนเทศ กระบวนการทางระบบสารสนเทศท่ีประกอบดว้ ย ขอ้ มลู นาเขา้ การประมวลผล แสดงออก และการสารองขอ้ มลู โดยท่ีแตล่ ะสว่ นจะมีการควบคมุ ระบบสารสนเทศ ดงั นี้ การควบคุม การควบคุม การควบคุม ข้อมูลนาเข้า ข้อมูลนาเข้า ข้อมูลนาเข้า • การใชร้ หสั ผา่ น • ซอฟตแ์ วร์ • การใชร้ หสั ผา่ น • การเขา้ รหสั ขอ้ มูล • ฮาร์ดแวร์ • การถอดรหสั ขอ้ มูล • การใชจ้ อภาพที่มี • กาแพงกนั ไฟหรือ • การควบคุมจานวน สญั ญาณเตือนความผดิ พลาด ไฟร์วอลล์ ผลลพั ธ์ • การควบคุมจานวน • การควบคุมจานวน • จุดตรวจสอบ รายการผลลพั ธ์ • การป การควบคุม การสารองข้อมูล การรรักษาความปลอดภยั ใหก้ บั ระบบสารสนเทศ สามารถแบง่ ออกเป็น 3 แนวทาง คือ 1. การวางแผนรกั ษาความปลอดภยั ในเชิงกายภาพ (Physical Planning Security) 2. การวางแผนรกั ษาความปลอดภยั ในเชิงตรรกะ (Logical Planning Security) 3. การวางแผนปอ้ งกนั ความเสียหาย (Disaster Planning Security) 1. การวางแผนรกั ษาความปลอดภยั ในเชิงกายภาพ (Physical Planning มตา่ ง ๆ ท่เี ก่ียวขอ้ งกบั เคร่อื ง คอมพิวเตอร์ มีดงั นี้ 1.1 การจดั การดแู ลและปอ้ งกนั ในสว่ นของอาคารสถานท่ี ทาเลท่ีตงั้ ศนู ยค์ อมพิวเตอร์ การจดั การดแู ลและ ปอ้ งกนั ภายในศนู ยค์ อมพิวเตอร์ 1.2 การจดั การดแู ลและปอ้ งกนั เก่ียวกบั ระบบสภาพแวดลอ้ ม

1.3 การจดั การดแู ลและปอ้ งกนั ในสว่ นของฮารด์ แวรจ์ ดั การดแู ล หรอื บรษิ ัทอนื่ ดแู ลใหเ้ ป็นครงั้ ๆ ไป ทาสญั ญาการบารุงรกั ษาอปุ กรณเ์ ป็น 2. การวางแผนรกั ษาความปลอดภยั ในเชิงตรรกะ (ogical Planning Security)เก่ียวขอ้ งกบั การ รกั ษาความปลอดภยั ในเรอ่ื ง ดงั นี้ 2.1 การรกั ษาความปลอดภยั กอ่ นผา่ นขอ้ มลู เขา้ สรู่ ะบบสารสนเทศ – เป็นการกาหนดสิทธิผใู้ ช้ มี รหสั ผา่ น 2.2 การรกั ษาความปลอดภยั ในการใชข้ อ้ มลในระบบสารสนเทศ – กาหนดสิทธิของตวั ขอ้ มลู ใน ระดบั ตา่ ง ๆ 2.3 การรกั ษาความปลอดภยั ในการรบั สง่ ขอ้ มลู -หรอื การเขา้ รหสั ขอ้ มลู 3. การวางแผนปอ้ งกนั ความเสยี หาย (Disaster Planning Security) มีวธิ ีการปอ้ งกนั ดงั นี้ 3.1 การจดั เตรยี มศนู ยค์ อมพิวเตอรส์ ารอง 3.2 การจดั เตรยี มขอ้ มลู สารอง 3.3 การจดั เตรยี มเรอ่ื งการกรู้ ะบบหลงั จากเกิดการเสียหายขนึ้ 3.4 การวางแผนปอ้ งกนั ไวรสั คอมพิวเตอร์ ระบบบริหารจัดการความม่ันคงปลอดภยั สาหรับระบบสารสนเทศ ระบบบรหิ ารจดั การความม่นั คงปลอดภยั สาหรบั ระบบสารสนเทศ หรอื Information Security Management System (ISMS) นนั้ คือ ระบบหรอื กระบวนการท่ีใชใ้ นการบรหิ ารจดั การ สารสนเทศ ท่ีมีความสาคญั ขององคก์ รใหม้ ีความม่นั คงปลอดภยั ตามหลกั CIA ซง่ึ มีแนวทางการปฏบิ ตั ิตาม ขนั้ ตอน ของกระบวนการดงั นี้ 1. ทาการวิเคราะหแ์ ละประเมนิ ความเส่ยี งเพ่ือทาใหท้ ราบวา่ สารสนเทศใดท่ีมีความสาคญั ต่อ การดาเนิน ธุรกิจขององคก์ ร โอกาสท่ีจะเกิดความเสีย่ งและความเสยี หายอนั สง่ ผลกระทบตอ่ การดาเนิน ธรุ กิจขององคก์ ร จากภยั คกุ คามทงั้ ภายในภายนอกกบั สารสนเทศนนั้ มากนอ้ ยแคไ่ หน 2. มีวิธีการบรหิ ารจดั การในการปอ้ งกนั ความเสีย่ งดงั กลา่ วอยา่ งไร โดยจาเป็นตอ้ งจดั ลาดบั ความสาคญั ของ ความเส่ยี งทงั้ หมดท่ีพบ และพิจารณาวา่ สง่ิ ใดจาเป็นตอ้ งรบี บรหิ ารจดั การกอ่ นและ หลงั จากนนั้ จงึ ดาเนินการ ตามวงจร P (Plan หรอื การวางแผน) D (Do หรอื การประยกุ ตใ์ ชห้ รอื การดาเนินการ) C (Check หรอื การตรวจสอบ) A (Action หรอื การบารุงรกั ษาหรอื การปรบั ปรุง) 3. ทาการออกแบบระบบบรหิ ารจดั การ ซง่ึ ในท่นี ีห้ มายถงึ กระบวนการท่ีเปรยี บเสมือนเป็น เคร่ืองมือในการ รกั ษาความม่นั คงปลอดภยั แตไ่ ม่ไดห้ มายรวมเพียงแคก่ ารนาระบบเทคโนโลยี สารสนเทศมาสนบั สนุนเทา่ นนั้ ยงั หมายรวมถึงการพฒั นาขนั้ ตอนปฏิบตั ิหรอื การนาขนั้ ตอนปฏิบตั ทิ ่ี มีอยเู่ ดิมมาปรบั ปรุงเพ่ือใหเ้ กิด

กระบวนการปอ้ งกนั และรกั ษาความม่นั คงปลอดภยั ของสารสนเทศท่ีใช้ ในการดาเนินธรุ กิจขององคก์ ร อยา่ งเหมาะสม 4. ดาเนินการตามระบบท่ีไดว้ างแผนไว้ 5. ทาการตรวจสอบการดาเนินงานวา่ มีการดาเนินงานครบถว้ นตามวตั ถปุ ระสงค์ ท่ีวางไวห้ รอื ไม่ และ ยงั มีจดุ ออ่ นอยทู่ ่ีจดุ ใด อยา่ งไร เม่ือไดข้ อ้ มลู ครบถว้ นแลว้ ก็นามาพิจารณาทาการ บารุงรกั ษา กระบวนการเดมิ ท่ีมีประสทิ ธิภาพเหมาะสมเพยี งพอ และทาการปรบั ปรุงก มีจดุ ออ่ นใหด้ ีขนึ้ เพ่ือทาให้ ระบบบรหิ ารจดั การท่ีประยกุ ตใ์ ชใ้ นองคก์ รนนั้ มีคณุ ภาพ เหมาะสมอยเู่ สมอ การรักษาความปลอดภยั ระบบสารสนเทศเบอื้ งตน้ การรกั ษาความปลอดภยั และควบคมุ ระบบสารสนเทศเบอื้ งตน้ ท่ีดนี นั้ ก็คอื การกาหนดรหสั ผ่าน (Password) ไมว่ า่ จะเป็นการเปิดเครอ่ื ง การเขา้ ไปในสว่ นของการทางานแตล่ ะขนั้ ตอน ๑ การ รกั ษาความปลอดภยั เบือ้ งตน้ คอื การกาหนดรหสั ผ่าน ซง่ึ มีวิธีปฏบิ ตั ิดงั นี้ 1. มีการบงั คบั ใชร้ หสั ผ่าน (Password) ในแตล่ ะรหสั ผใู้ ช้ และควรกาหนดใหเ้ ป็นลกั ษณะ Strong Password หมายถงึ รหสั ผา่ นท่ีสามารถทาการคาดเดาหรอื สมุ่ ไดย้ าก ซง่ึ จะ ประกอบดว้ ย 1.1 กาหนดใหร้ หสั ผา่ นมีความยาวไมน่ อ้ ยกวา่ 8 ตวั อกั ษร 1.2 ใชอ้ กั ขระพเิ ศษประกอบ เชน่ : ; < > เป็นตน้ 1.3 การกาหนดรหสั ผา่ นใหมไ่ มค่ วรซา้ กบั ของเดมิ ครงั้ สดุ ทา้ ย 1.4 ไมก่ าหนดรหสั อย่างเป็นแบบแผน 1.5 ไม่กาหนดรหสั ผา่ นท่ีเก่ียวขอ้ งกบั ผใู้ ชง้ าน เช่น ช่ือ นามสกลุ วนั เดอื นปีเกิด เป็นตน้ 1.6 ไมก่ าหนดรหสั ผ่านเป็นคาศพั ทท์ ่ีอยใู่ นพจนานกุ รม 1.7 ไม่เป็นคาท่ีเก่ียวขอ้ งกบั ธนาคาร เช่น ช่ือธนาคาร ช่ือหน่วยงาน เป็นตน้ 2. ผใู้ ชส้ ามารถเปล่ยี นรหสั ผา่ นของตวั เองได้ และควรท่ีจะมีการเปล่ยี นบอ่ ย ๆ 3. มีการสรา้ งรหสั ผ่านเบือ้ งตน้ (Default Password) โดยมีรายละเอียด ดงั นี้ 3.1 ไม่เป็น Blank Password และไม่ควรเป็นการสมุ่ จากระบบ 3.2 มีความยาวอยา่ งนอ้ ย 8 ตวั อกั ษร 3.3 มีการกาหนดระยะเวลาในการใชง้ านท่ีเหมาะสม โดยเม่ือถึงระยะเวลาดงั กลา่ วระบบ จะ ทาการยกเลิกโดยอตั โนมตั ิ 3.4 สามารถบงั คบั ใหผ้ ใู้ ชเ้ ปลย่ี นรหสั ผา่ นเบือ้ งตน้ (Default Password) ท่ีไดร้ บั ในการ เขา้ สรู่ ะบบครงั้ แรก โดยจดั ทาชอ่ งรบั ขอ้ มลู (Conrmation) ท่ีทาการรบั คา่ รหสั ผ่านเพ่ือปอ้ นเขา้ สู่ ระบบ ซา้ อีกครงั้ ระบบตอ้ งทาการตรวจสอบวา่ ตรงกบั คาท่กี รอกมากอ่ นหนา้ นี้ จงึ สามารถทาการ เปล่ยี นแปลงรหสั ผา่ นในระบบได้

4. สามารถเก็บประวตั ิการใชร้ หสั ผา่ นเพ่ือปอ้ งกนั การนากลบั มาใชใ้ หม่ได้ 5. ปกปิดหรอื ไมแ่ สดงรหสั ผา่ นใหเ้ หน็ บนหนา้ จอในขณะท่ีทาการปอ้ นขอ้ มลู รหสั ผ่าน 6. มีการเขา้ รหสั ผ่านท่ีทาการสง่ จากการยืนยนั ตวั ตน ดว้ ยวธิ ีการเขา้ รหสั แบบทศทาง (One Way Encryption) ท่เี หมาะสม 7. ปีการจากดั ระยะเวลาการใชร้ หสั ผ่านของผใู้ ชง้ านระบบ โดยบงั คบั ใหม้ ีการเปลีย่ นแปลง ตามความเหมาะสม เชน่ สาหรบั ผใู้ ชง้ านท่วั ไป ควรเปลย่ี นรหสั ผา่ นอยา่ งนอ้ ยทกุ ๆ 3-6 และสาหรบั ผใู้ ชง้ านท่ีไดร้ บั สทิ ธิสงู สดุ (Super User) หรอื User ท่มี ีสทิ ธิพิเศษสงู (Privilege) ควรกาหนดใหม้ ี การเปล่ยี นรหสั ผา่ นทกุ 30 วนั

สรุป การทาลายระบบสารสนเทศมีหลายกรณี ทงั้ ในรูปแบบของไวรสั คอมพิวเตอรแ์ ละ รูปแบบท่ีมีผลู้ กั ลอบขโมยขอ้ มลู ฉะนนั้ จงึ ตอ้ งมีระบบการรกั ษาความปลอดภยั ของ ขอ้ มลู และมีการควบคมุ ระบบสารสนเทศใหม้ ีประสทิ ธิภาพ ไม่ตอ้ งถกู ขโมยขอ้ มลู หรอื ทาใหข้ อ้ มลู เสยี หาย ระบบความปลอดภยั และการควบคมุ สารสนเทศจงึ เป็นสิ่งจาเป็น โดยการสแกน ไวรสั ตรวจสอบไวรสั และทาลายไวรสั อยเู่ ป็นประจา และท่สี าคญั ท่ีสดุ ในเบือ้ งตน้ คอื การ กาหนดรหสั ผ่านในการเขา้ ถงึ ขอ้ มลู แตล่ ะระดบั ทงั้ ระดบั ผใู้ ชง้ านและผูด้ แู ลระบบ กิจกรรมเสนอแนะ 1. ใหผ้ เู้ รยี นแตล่ ะคน บอกวตั ถปุ ระสงคข์ องการใชร้ ะบบสารสนเทศตอ่ การควบคมุ คนละ 1 ขอ้ 2. ใหผ้ เู้ รยี นแบง่ ออกเป็นกลมุ่ ๆ ละ 2-3 คน อธิบายปัญหาท่ีทาใหต้ อ้ งมีการ ควบคมุ ระบบสารสนเทศ กลมุ่ ละ 1 ขอ้ 3. ใหผ้ เู้ รยี นแบง่ ออกเป็นกลมุ่ ๆ ละ 2-3 6.กาบ ๆ ละ 2-3 คน อธิบายเก่ียวกบั การรกั ษาความปลอดภยั ใหก้ บั ระบบสารสนเทศ กลมุ่ ละ 1 ขอ้

ใบงานท่ี 2 (Job Sheet) ชอ่ื เร่ือง ความปลอดภยั และการควบคุมระบบสารสนเทศ จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ 1. เพ่ือใหท้ ราบวตั ถปุ ระสงคข์ องการควบคมุ ระบบสารสนเทศ 2. เพ่ือใหท้ ราบวิธีการท่ีทาใหร้ ะบบสารสนเทศน่าเช่ือถือ 3. เพ่ือใหท้ ราบผลของการใชร้ ะบบสารสนเทศตอ่ การควบคมุ 4. เพ่ือใหท้ ราบปัญหาท่ีทาใหม้ ีการควบคมุ ระบบสารสนเทศ 5. เพ่ือใหท้ ราบแผนผงั การควบคมุ ระบบสารสนเทศ 6. เพ่ือใหท้ ราบคณุ ธรรม จรยิ ธรรม คา่ นิยมท่ีดีในการใชค้ อมพิวเตอร์ และรูจ้ กั การทางานเป็นทีม แนวทางปฏบิ ตั ิ 1. ใหน้ กั ศกึ ษาอธิบายวตั ถปุ ระสงคข์ องการควบคมุ ระบบสารสนเทศคนละ 1 ขอ้ 2. ใหน้ กั ศกึ ษาแบง่ กลมุ่ ออกเป็น 3 กลมุ่ กลมุ่ ละ 3-5 คน อธิบายพรอ้ มทงั้ ยกตวั อยา่ ง ระบบสารสนเทศน่าเช่ือถือ กลมุ่ ละ 1 ขอ้ 3. ใหน้ กั ศกึ ษาอธิบายผลของการใชร้ ะบบสารสนเทศตอ่ การควบคมุ คนละ 1 ขอ้ 4. ใหน้ กั ศกึ ษาแบง่ กลมุ่ ออกเป็น 2 กลมุ่ กลมุ่ ละ 3-5 คน อธิบายปัญหาท่ีทาใหม้ ีการควบคมุ ระบบ สารสนเทศคนละ 1 ขอ้ 5. ใหน้ กั ศกึ ษาแบง่ กลมุ่ ออกเป็น 4 กลมุ่ กลมุ่ ละ 3-5 คน อธิบายแผนผงั การควบคมุ ระบบ สารสนเทศกลมุ่ ละ 4 สว่ น ระยะเวลาส่งงาน ภายหลงั นาเสนองานและตอบขอ้ ซกั ถามเรยี บรอ้ ยแลว้ การประเมินผล 1. พฤตกิ รรมการทางานกลมุ่ 2. การนาเสนอและการตอบขอ้ ซกั ถาม 3. ชิน้ งาน 5. การตรงตอ่ เวลา 4. การตอบขอ้ ซกั ถาม 5. การนาเสนอและการตอบขอ้ ซกั ถาม

แหล่งค้นควา้ เพมิ่ เตมิ นิภาภรณ์ คาเจรญิ เรยี นรูก้ ารใชง้ านระบบสารสนเทศเพ่ือการจดั การ. กรุงเทพฯ : สานกั พิมพ์ SPC Books, 2548ไพบลู ย์ เกียรตโิ กมล, รศ.ดร. ระบบสารสนเทศเพ่ือการจดั การ. กรุงเทพฯ : สานกั พิมพซ์ เี อด็ ยเู คช่นั จากดั (มหาชน), 2551 วิเชียร เปรมชยั สวสั ดิ,์ ดร. ระบบสารสนเทศเพ่ือการจดั การ. กรุงเทพฯ : สานกั พิมพ์ ส.ส.ท., 2551 ศรไี พร ศกั ดริ์ ุง่ พงศาสกลุ , ผศ.ดร. ระบบสารสนเทศและเทคโนโลยีการจดั การความรู,้ กรุงเทพฯ : สานกั พิมพท์ ่ี ซี เอด็ ยเู คช่นั จากดั (มหาชน), 2549. โอภาส เอ่ียมสริ วิ งศ,์ ระบบสารสนเทศเพ่ือการจดั การ. กรุงเทพฯ : สานกั พิมพช์ ีเอด็ ยเู คช่นั จากดั (มหาชน), 2554

หน่ายที่ 3 การประยุกตเ์ ทคโนโลยีในการออกแบบ แผนผงั ความคดิ Mind Mapping การประยกุ ตเ์ ทคโนโลยใี นการออกแบบ - ความหมายของเทคโนโลยี - ความสาคญั ของเทคโนโลยี - ประโยชนข์ องเทคโนโลยี - ระดบั ของเทคโนโลยี - การประยกุ ตเ์ ทคโนโลยีใชใ้ นงานดา้ นตา่ ง ๆ สาระการเรียนรู้ 1. ความหมายของเทคโนโลยี 2. ความสาคญั ของเทคโนโลยี 3. ประโยชนข์ องเทคโนโลยี 4. ระดบั ของเทคโนโลยี 5. การประยกุ ตเ์ ทคโนโลยีใชใ้ นงานดา้ นตา่ ง ๆ สมรรถนะการเรียนรู้ 1. บอกความหมายของเทคโนโลยีได้ 2. อธิบายความสาคญั และประโยชนข์ องเทคโนโลยไี ด้ 3. อธิบายระดบั ของเทคโนโลยไี ด้ 4. อธิบายการประยกุ ตเ์ ทคโนโลยใี นการออกแบบเพ่ือใชใ้ นงานดา้ นตา่ ง ๆ ได้

หน่วยท่ี 3 การประยุกตเ์ ทคโนโลยีในการออกแบบ สาระสาคัญ การประยกุ ตใ์ ชง้ านเทคโนโลยสี ารสนเทศในปัจจบุ นั ไดม้ ีการนามาใช้ หลายสาขาวิชาชีพ ทงั้ ในดา้ นการศกึ ษา ดา้ นธุรกิจอตุ สาหกรรม ดา้ นการแพทย์ ดา้ นวทิ ยาศาสตรแ์ ละ เทคโนโลยี เพ่ืออานวยความสะดวกในการประกอบธรุ กิจ การทางาน การศกึ ษาหาความรู้ ทาใหค้ ณุ ภาพชีวติ ของคนในสงั คมปัจจบุ นั ดขี นึ้ นอกจากนีห้ นว่ ยงานราชการตา่ ง ๆ ท่ีนา เทคโนโลยีสารสนเทศและระบบ คอมพิวเตอรเ์ ขา้ มานวยความสะดวกใหก้ บั ประชาชนใน การตดิ ตอ่ ประสานงาน กนั ทางราชการ และในธรุ กิจเอกชนทางตา้ นทานโรงแรม และการ ทอ่ งเท่ียว ท่ีให้ บรกิ ารขอ้ มลู ขา่ วสาร และบรกิ ารลกู คา้ ผ่านทางระบบอนิ เทอรเ์ นต็ ทาได้ อยา่ ง สะดวก รวดเรว็ ทนั เหตกุ ารณ์ ความหมายของเทคโนโลยี เทคโนโลยี (Technology) หมายถงึ การนาความรูท้ างธรรมชาติวทิ ยาและตอ่ เน่ือง มาถงึ วทิ ยาศาสตร์ มาเป็นวธิ ีการปฏิบตั แิ ละประยกุ ตใ์ ชเ้ พ่ือชว่ ยในการทางานหรอื แกป้ ัญหาตา่ ง ๆ อนั กอ่ ใหเ้ กิดวสั ดุ อปุ กรณ์ เครอ่ื งมือ เครอ่ื งจกั ร แมก้ ระท่งั องคค์ วามรู้ นามธรรม เช่น ระบบหรอื กระบวนการ ตา่ ง ๆ เพ่ือใหก้ ารดารงชีวิตของมนษุ ยง์ า่ ยและ สะดวกย่ิงขนึ้ ดงั นนั้ คาวา่ เทคโนโลยี จงึ หมายถงึ A study of Art ซง่ึ ไดม้ ีผแู้ ปลความหมาย สรุปได้ วา่ เทคโนโลยี หมายถึง การนาความรูท้ างวทิ ยาศาสตร์ และระเบยี บวธิ ีทางวิทยาศาสตรม์ า ใชเ้ ท\" ประโยชนใ์ นการพฒั นาและปฏบิ ตั ิงานอยา่ งเป็นระบบ โดยสามารถนาไปใชใ้ นสาขา ตา่ ง ๆ กนั * เรยี กช่ือไปตามสาขาท่ีใช้ เชน่ 1. เทคโนโลยกี ารเกษตร หมายถงึ การคดิ คน้ วธิ ีการ เครอ่ื งมือ ปัจจยั ในการผลติ ทาง การเกษตร 2. เทคโนโลยีการคมนาคมขนสง่ หมายถงึ การคิดคน้ เก่ียวกบั ยานพาหนะ การเดนิ การ ขนสง่ 3. เทคโนโลยกี ารแพทย์ หมายถงึ การคดิ คน้ การตรวจรกั ษาโรค การผลิตยา และเครอ่ื งมือ ทางการแพทย์ 4. เทคโนโลยชี ีวติ ประจาวนั หมายถงึ การประดษิ ฐ์เสอื้ ผา้ เครอ่ื งใชใ้ นท่อี ยอู่ าศยั อปุ กรณ์ อานวยความสะดวก 5. เทคโนโลยีการสือ่ สาร หมายถงึ การเก็บรวบรวมการคน้ หา การสง่ ขอ้ มลู ทงั้ ทางโทรเลข โทรศพั ท์ วทิ ยุ คอมพิวเตอร์ 6. เทคโนโลยีการศกึ ษา หมายถึง วิธีการใหค้ วามรู้ ท่เี ก่ียวขอ้ งกบั การวธิ ีการใหก้ ารศกึ ษา สือ่ การศกึ ษา และครุภณั ฑท์ างการศกึ ษา

สรุปเป็นประเดน็ สาคญั ท่ีเก่ียวขอ้ งกบั เทคโนโลยีมดี งั นี้ 1. ความหมายของเทคโนโลยี (Technology) ก็คือ การพฒั นา และการประยกุ ตว์ สั ดุ เครอ่ื งมือ วธิ ีการ เพ่ือนามาใชใ้ นสถานการณต์ า่ ง ๆ ไดอ้ ย่างเหมาะสม 2. นกั เทคโนโลยี (Technologist) คอื ผนู้ าเอาเทคโนโลยมี าใช้ - 3. ช่างเทคนิค (Technician) คือ ผทู้ ่มี ีความรูเ้ ก่ียวกบั การซอ่ มเครอ่ื งมือเพ่ือใหเ้ ครอ่ื งมือ ทางานไดด้ ที ่ีสดุ ความสาคญั ของเทคโนโลยี ในชว่ งสองทศวรรษท่ีผ่านมา วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีไดม้ ีบทบาทสาคญั เพ่ิมขนึ้ จนสามารถ สรา้ ง นวตั กรรม (Innovation) ซง่ึ กค็ ือ การเรยี นรู้ การผลิตและการใชป้ ระโยชนจ์ ากความคิดใหม่ ให้ เกิดผลทงั้ ทางเศรษฐกิจ สงั คม การเมือง สิ่งแวดลอ้ ม และวฒั นธรรม เทคโนโลยีทาใหส้ งั คม โลกท่ีเรยี บ งา่ ย กลายเป็นสงั คมท่ีมีการดารงชีวิตท่ี สลบั ซบั ซอ้ นมากขนึ้ ก่อใหเ้ กิดกระแสแหง่ ความ ไรพ้ รมแดน หรอื กระแสโลกาภิวตั น์ ท่เี ขา้ มาสู่ ทกุ ประเทศอยา่ งรวดเรว็ จากความกา้ วหนา้ ของ เทคโนโลยีสารสนเทศ อนั เป็นการผสมผสาน 4 ท่ีมา : http://beforeitsnews.com ศาสตรเ์ ขา้ ดว้ ยกนั ไดแ้ ก่ อเิ ลก็ ทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์ โทรคมนาคม และขา่ วสาร (Electronics, Computer, Telecommunication and Information หรอื เรยี กยอ่ ๆ วา่ ECT) ทาใหส้ งั คมโลก สามารถส่อื สารกนั ไดท้ กุ แหง่ ท่วั โลกอยา่ ง รวดเรว็ สามารถรบั รูข้ า่ วสาร ความเคล่อื นไหวตา่ ง ๆ ได้ พรอ้ มกนั สามารถบรหิ ารจดั การและตดั สนิ ใจได้ ทกุ ขณะเวลา การลงทนุ คา้ ขาย และธรุ กรรมการเงิน ท่ีไดอ้ ย่างรวดเรว็ ดงั นนั้ เทคโนโลยีกาลงั ทาโลกใบนี้ “เลก็ ลง” ทกุ ขณะ

ประโยชนข์ องเทคโนโลยี เทคโนโลยไี ดเ้ ขา้ มามีสว่ นเก่ียวขอ้ งในชีวิตประจาวนั เพราะเทคโนโลยีเป็นพืน้ ฐานปัจจยั ท่ีจา 5. ในการดาเนิน ชีวติ ของมนษุ ย์ และเป็นปัจจยั หลกั ท่ีจะมีสว่ นรว่ มในการพฒั นาทกุ ดา้ นใหม้ ีความกา้ วหะ มากย่ิงขนึ้ ฉะนนั้ เทคโนโลยีจงึ มีประโยชนต์ า่ ง ๆ มากมาย คือ 1. ช่วยใหม้ นษุ ยม์ ีความสะดวกสบายในการทางานขนึ้ 2. ช่วยใหป้ ระหยดั เวลา 3. ชว่ ยใหก้ ารดาเนินชีวิตใหม้ ีความทนั สมยั 4. ชว่ ยยกระดบั คณุ ภาพชีวติ ของมนษุ ย์ 5. ช่วยพฒั นาระบบความเป็นอยขู่ องมนษุ ยใ์ หอ้ ยรู่ ว่ มกบั เทคโนโลยแี บบไมส่ ามารถท่จี ะแยก จากกนั ไดร้ ะดบั ของเทคโนโลยี การจดั แบง่ ระดบั ของเทคโนโลยีตามความรูท้ ่ใี ชใ้ นการแกป้ ัญหา แบง่ ออกได้ 3 ระดบั คือ 1. เทคโนโลยรี ะดบั พืน้ บา้ นหรอื พืน้ ฐาน (Basic Technology) การ เทคโนโลยีระดบั พนื้ บา้ นหรอื พืน้ ฐาน (Basic Technology) เป็นเทคโนโลยใี นยคุ แรก ๆ สว่ นใหญ่เป็น เทคโนโลยเี พ่ือการยงั ชีพ โดยเฉพาะเทคโนโลยที ี่ใชใ้ นการประกอบอาชีพเกษตรกรรม พนื้ บา้ น เชน่ คนั ไถ คราด มีด พรา้ จอบ เสยี ม อวน แห เบด็ เรอื พาย หมอ้ ไห โดยใชท้ รพั ยากร ท่มี ีอยใู่ นทอ้ งถ่ิน รวมถงึ การคิดหา วิธีการถนอมอาหารและแปรรูปอาหารเพ่อื เก็บไวบ้ รโิ ภคไดเ้ ป็น เวลานาน เช่น การตากแหง้ การทาเค็ม การ หมกั การดอง ฯลฯ ตลอดจนการคิดคน้ สตู รยาสมนุ ไพร ตา่ ง ๆ เทคโนโลยีพืน้ บา้ นจงึ จดั เป็นภมู ิปัญญาทอ้ งถ่ิน ท่ีเป็นตน้ แบบของเทคโนโลยีสมยั ใหม่ เทคโนโลยี พืน้ บา้ นสว่ นมากไม่ตอ้ งใชค้ วามรูห้ รอื ประสบการณเ์ ฉพาะ ดา้ น สว่ นใหญ่เกิดจากการสงั เกต จดจาและ ฝึกหดั จนเกิดประสบการณต์ รง ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ก็จดั เป็นเทคโนโลยีประเภทวธิ ีการไดเ้ ช่นเดียวกนั เน่ืองจาก ปรชั ญาของ เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรชั ญาท่ีชีแ้ นะแนวทางการดารงอยแู่ ละปฏิบตั ติ นในทาง ควรจะเป็นโดยมีพืน้ ฐานมา จากวถิ ีชีวิตดงั้ เดิมของสงั คมไทย สามารถนามาประยกุ ตใ์ ชไ้ ดต้ ลอดเวลา และเป็นการมองโลกเชิงระบบท่ีมี การเปลย่ี นแปลงอยตู่ ลอดเวลา มงุ่ เนน้ การรอดพน้ จากภยั และวิกฤต เพ่ือเป็นแนวทางปฏบิ ตั เิ พ่ือการพฒั นาท่ี สมดลุ และย่งั ยนื พรอ้ มรบั ตอ่ การเปลย่ี นแปลงในทกุ ดา้ น ทงั้ ดา้ นเศรษฐกิจ สงั คม ส่งิ แวดลอ้ ม ความรูแ้ ละ เทคโนโลยี

ประโยชนข์ องเทคโนโลยี เทคโนโลยีไดเ้ ขา้ มามีสว่ นเก่ียวขอ้ งในชีวิตประจาวนั เพราะเทคโนโลยเี ป็นพนื้ ฐานปัจจัยท่ีจาเป็นในการ ดาเนินชีวิตของมนษุ ย์ และเป็นปัจจยั หลกั ท่ีจะมีสว่ นรว่ มในการพฒั นาทกุ ดา้ นใหม้ ีความกา้ วหนา้ มาก ย่ิงขนึ้ ฉะนนั้ เทคโนโลยีจงึ มีประโยชนต์ า่ ง ๆ มากมาย คอื 1. ชว่ ยใหม้ นษุ ยม์ ีความสะดวกสบายในการทางานขนึ้ 2. ช่วยใหป้ ระหยดั เวลา 3. ชว่ ยใหก้ ารดาเนินชีวิตใหม้ ีความทนั สมยั 4. ชว่ ยยกระดบั คณุ ภาพชีวติ ของมนษุ ย์ 5. ชว่ ยพฒั นาระบบความเป็นอยขู่ องมนษุ ยใ์ หอ้ ยรู่ ว่ มกบั เทคโนโลยีแบบไมส่ ามารถท่จี ะแยก จากกนั ได้ ระดบั ของเทคโนโลยี การจดั แบง่ ระดบั ของเทคโนโลยีตามความรูท้ ่ีใชใ้ นการแกป้ ัญหา แบง่ ออกได้ 3 ระดบั คอื 1.) เทคโนโลยีระดบั พืน้ บา้ นหรอื พืน้ ฐาน (Basic Technology) เทคโนโลยรี ะดบั พืน้ บา้ นหรอื พืน้ ฐาน (Basic Technology) เป็นเทคโนโลยใี นยคุ แรก ๆ สว่ นใหญ่ เป็นเทคโนโลยีเพ่ือการยงั ชีพ โดยเฉพาะเทคโนโลยีท่ีใชใ้ นการประกอบอาชีพเกษตรกรรม พืน้ บา้ น เชน่ คนั ไถ คราด มีด พรา้ จอบ เสียม อวน แห เบด็ เรอื พาย หมอ้ ไห โดยใชท้ รพั ยากร ท่ีมีอยใู่ นทอ้ งถ่ิน รวมถงึ การคดิ หาวิธีการถนอมอาหารและแปรรูปอาหารเพ่ือเก็บไวบ้ รโิ ภคไดเ้ ป็น เวลานาน เช่น การตาก แหง้ การทาเคม็ การหมกั การดอง ฯลฯ ตลอดจนการคดิ คน้ สตู รยาสมนุ ไพร ตา่ ง ๆ เทคโนโลยีพืน้ บา้ นจงึ จดั เป็นภมู ิปัญญาทอ้ งถ่ินท่ีเป็นตน้ แบบของเทคโนโลยีสมยั ใหม่ เทคโนโลยี พืน้ บา้ นสว่ นมากไม่ตอ้ งใช้ ความรูห้ รอื ประสบการณเ์ ฉพาะดา้ น สว่ นใหญ่เกิดจากการสงั เกต จดจาและ ฝึกหดั จนเกิดประสบการณ์ ตรง ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ก็จดั เป็นเทคโนโลยีประเภทวธิ ีการไดเ้ ชน่ เดยี วกนั เน่ืองจาก ปรชั ญาของ เศรษฐกิจพอเพยี ง เป็นปรชั ญาท่ีชีแ้ นะแนวทางการดารงอยแู่ ละปฏิบตั ติ นในทาง ควรจะเป็นโดยมี พืน้ ฐานมาจากวถิ ีชีวติ ดงั้ เดมิ ของสงั คมไทย สามารถนามาประยกุ ตใ์ ชไ้ ดต้ ลอดเวลา และเป็นการมอง โลกเชิงระบบท่ีมีการเปลยี่ นแปลงอยตู่ ลอดเวลา มงุ่ เนน้ การรอดพน้ จากภยั และวิกฤต เพ่ือเป็นแนวทาง ปฏิบตั ิเพ่ือการพฒั นาท่สี มดลุ และย่งั ยนื พรอ้ มรบั ตอ่ การเปลีย่ นแปลงในทกุ ดา้ น ทงั้ ดา้ นเศรษฐกิจ สงั คม สงิ่ แวดลอ้ ม ความรูแ้ ละเทคโนโลยี

2.) เทคโนโลยรี ะดบั กลาง (Intermediate Technology) ระดบั กลาง เป็นเทคโนโลยที ่ีตอ้ งใชค้ วามรู้ประสบการณ์ในการแกป้ ัญหามากข้ึน มีการใชเ้ ครื่องมือ และอุปกรณ์ที่มีกลไกซบั ซอ้ นมากข้ึน เช่น การใชเ้ ครื่องจกั รทางานแทนคน การใช้ เคร่ืองทุ่นแรงในการทางาน การใช้ อุปกรณ์ส่ิงอานวยความสะดวกต่าง ๆ เช่น เครื่องพน่ ยาอตั โนมตั ิ รถแทรกเตอร์ รถตดั หญา้ นอกจากน้ี ผปู้ ฏิบตั ิงานก็ จะตอ้ งมีความรู้ มีทกั ษะและประสบการณ์มากข้ึน เทคโนโลยมี ีความสาคญั ต่อการดารงชีวติ ของมนุษยม์ าเป็นเวลานาน เพราะมนุษยใ์ ชเ้ ทคโนโลยใี นการ แกป้ ัญหาพ้นื ฐานในการดารงชีพ เช่น การเพาะปลูก การเล้ียงสตั ว์ การสร้าง บา้ นเรือนท่ีอยอู่ าศยั การ คิดประดิษฐเ์ ส้ือผา้ เครื่องนุ่งห่ม การผลิตและใชย้ ารักษาโรค การคมนาคมขนส่ง การคา้ ขาย การศึกษา การป้องกนั ประเทศ ในระยะแรก เทคโนโลยที ่ีนามาใชเ้ ป็นเทคโนโลยพี ้ืนฐานที่เรียกกนั วา่ “เทคโนโลยี ชาวบา้ นหรือภูมิปัญญาทอ้ งถ่ิน” แต่เน่ืองจากอตั ราการเพ่มิ ข้ึนของประชากรและขอ้ จากดั ดา้ น ทรัพยากรธรรมชาติที่มี จานวนลดลง จึงมีการพฒั นาเทคโนโลยใี หม้ ีประสิทธิภาพมากข้ึน เพ่ือให้ สามารถผลิตปัจจยั พ้นื ฐานในการดารงชีวติ ไดเ้ พยี งพอกบั ความตอ้ งการของประชาชนภายใตเ้ ง่ือนไข ของการอนุรักษ์ คือ การใชท้ รัพยากรใหน้ อ้ ยท่ีสุดแตเ่ กิด ประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่มากที่สุด 3.) เทคโนโลยรี ะดบั สูง (High Technology) เทคโนโลยรี ะดบั สูง เป็นเทคโนโลยที ี่ตอ้ งอาศยั ความรู้และประสบการณ์ข้นั สูง มีการใชร้ ะบบ ฐานขอ้ มูลและการติดต่อส่ือสารผา่ นอินเทอร์เน็ต ตลอดจนมีการศึกษาวจิ ยั และการพฒั นาอยา่ ง ต่อเนื่อง เทคโนโลยี ระดบั น้ี เช่น อุปกรณ์การแพทยท์ ี่ใชร้ ะบบคอมพวิ เตอร์ในการวนิ ิจฉยั โรค อุปกรณ์ และวธิ ีการในการตดั แต่ง พนั ธุกรรมพชื ระบบโทรคมนาคมและสื่อสาร ดาวเทียม หุ่นยนต์ ระบบ อินเทอร์เน็ต การนาเทคโนโลยคี อมพิวเตอร์ มาประยกุ ตใ์ ชใ้ นดา้ นต่าง ๆ ฯลฯ การประยกุ ตเ์ ทคโนโลยใี ชใ้ นงานดา้ นต่าง ๆ เทคโนโลยสี ามารถนามาประยกุ ตเ์ พอ่ื สร้างเป็น ระบบสารสนเทศสาหรับงานดา้ นต่าง ๆ ภายใน องคก์ ร ไดอ้ ยา่ งมากมาย เพื่อใหก้ ารดาเนินงานในแต่ละวนั ของ องคก์ รมีประสิทธิภาพและมีศกั ยภาพมากข้ึน ฉะน้นั องคก์ รต่าง ๆ จึงไดน้ าเทคโนโลยมี าประยกุ ตใ์ นการใชง้ าน ในทุก ๆ ดา้ น ดงั น้ี 1) การประยกุ ตเ์ ทคโนโลยใี ชใ้ นงานดา้ นการศึกษา เทคโนโลยสี ารสนเทศท่ีนามาใช้ สาหรับ การเรียนการสอน เป็นการใชเ้ ทคโนโลยสี มยั ใหม่หลายอยา่ ง สอนดว้ ยสื่ออุปกรณ์ที่ ทนั สมยั หอ้ งเรียน สมยั ใหม่ มีอุปกรณ์วดิ ีโอโปรเจก็ เตอร์ (Video Projector) มีเครื่อง คอมพิวเตอร์ มีระบบการอ่านขอ้ มูล

อิเลก็ ทรอนิกสแ์ บบตา่ ง ๆ รูปแบบของสือ่ ท่ีนามาใชใ้ นดา้ นการเรยี นการสอนกม็ หี ลากหลาย สู้ กบั ความเหมาะสมใน การนามาใช้ เช่น คอมพิวเตอรช์ ่วยสอน อเิ ลก็ ทรอนิกสบ์ กุ๊ วิดีโอเทเลคอน เฟอเรนซ์ ระบบวิดโี อออนดีมานด์ การ สืบคน้ ขอ้ มลู ในคอมพิวเตอร์ และระบบอนิ เทอรเ์ น็ต เป็นตน้ 1.1 คอมพิวเตอรช์ ว่ ยสอน เป็นการ นาเทคโนโลยรี วมกบั การออกแบบโปรแกรมการ สอนมาใชช้ ่วย สอน ซง่ึ เรยี กกนั โดยท่วั ไปวา่ บทเรยี น CAI (Computer-Assisted Instruction) การจดั โปรแกรมการ สอน โดยใชค้ อมพิวเตอร์ ช่วยสอน ในปัจจบุ นั มกั อยใู่ นรูปของสอ่ื ประสม (Multimedia) ซง่ึ หมายถงึ นาเสนอได้ ทงั้ ภาพขอ้ ความ เสียง ภาพเคลื่อนไหว ฯลฯ โปรแกรม ชว่ ยสอนนีเ้ หมาะกบั การศกึ ษาดว้ ยตนเอง และเปิดโอกาสให้ ผเู้ รยี นสามารถโตต้ อบกบั บทเรยี นไดต้ ลอด จนมผี ลปอ้ นกลบั เพ่ือใหผ้ เู้ รยี นรูบ้ ทเรยี นไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง และเขา้ ใจใน เนือ้ หาวิชาของบทเรยี นนนั้ ๆ 1.2 การเรยี นการสอนโดยใชเ้ วบ็ เป็นหลกั เป็นการจดั การเรยี นท่ีมีสภาพการเรยี นตา่ งไป จากรูปแบบ เดมิ การเรยี นการสอนแบบนี้ อาศยั ศกั ยภาพและความสามารถของเครอื ขา่ ยอินเทอรเ์ น็ต ซง่ึ เป็นการนาส่ือการเรยี น การสอนท่ีเป็นเทคโนโลยมี าชว่ ยสนบั สนนุ การเรยี นการสอนใหเ้ กิดการ เรยี นรู้ การสบื คน้ ขอ้ มลู และเช่ือมโยงเครอื ขา่ ย ทาใหผ้ เู้ รยี นสามารถเรยี นไดท้ กุ สถานท่ีและทกุ เวลา การจดั การเรยี นการสอนลกั ษณะนี้ มีช่ือเรยี กหลายช่ือ ไดแ้ ก่ การ เรยี นการสอนผา่ นเวบ็ (Web-based Instruction) การฝึกอบรมผ่านเวบ็ (Web-based Training) การเรยี นการสอนผ่านเวลิ ดไ์ วดเ์ วบ็ (www-based Instruction) การสอนผ่านสอ่ื ทางอเิ ลก็ ทรอนิกส์ (E- learning) เป็นตน้ การเรียนรู้แบบออนไลน์ (E-learning) เป็นการเรยี นรูด้ ว้ ยตวั เองผา่ นเครอื ขา่ ยคอมพิวเตอรอ์ นิ เทอรเ์ นต็ (Internet) หรอื อนิ ทราเน็ต (Intranet) ผเู้ รยี นจะไดเ้ รยี นตามความสามารถและความสนใจ โดยเนือ้ หาของบทเรยี นจะถกู สง่ ไปยงั ผเู้ รยี นผ่านเว็บเบราวเ์ ซอร์ (Web Browser) โดยผเู้ รยี น ผสู้ อน และเพ่ือนรว่ มชนั้ เรยี นทกุ คน สามารถ ตดิ ตอ่ ปรกึ ษา แลกเปล่ียนความ คดิ เหน็ ระหวา่ งกนั ได้ เช่นเดียวกบั การเรยี นในชนั้ เรยี นปกติ โดย อาศยั เครอ่ื งมือการติดตอ่ สอ่ื สารท่ีทนั สมยั สาหรบั ทกุ คนท่ีสามารถเรยี นรูไ้ ดท้ กุ เวลา และทกุ สถาน (Learn for Al : Anyone, Anywhere and Anytime) ซง่ึ การใหบ้ รกิ ารการเรยี นแบบออนไลน์ : องคป์ ระกอบท่ีสาคญั 4 สว่ น แตล่ ะสว่ นไดร้ บั การออกแบบเป็นอยา่ งดี เม่อื นามาประกอบเขา้ ดว้ ย แลว้ ระบบทงั้ หมดจะตอ้ งทางานประสานกนั ไดอ้ ยา่ งลงตวั ดงั นี้

1) เนือ้ หาของบทเรยี น ประกอบดว้ ย ขอ้ ความ รูปภาพ เสยี ง วิดโี อ และมลั ติมเี ดียอนื่ ๆ 2) ระบบบรหิ ารการเรยี น ทาหนา้ ท่เี ป็นศนู ยก์ ลาง กาหนดลาดบั ของเนือ้ หาในบทเรียน เราเรยี ก ระบบนีว้ า่ ระบบบรหิ ารการเรยี น (E-Learning Management System : LMS) ดงั นนั้ ระบบ บรหิ ารการเรยี นจงึ เป็นสว่ นท่ีเออื้ อานวยใหผ้ เู้ รยี นไดศ้ กึ ษาเรยี นรูไ้ ดด้ ว้ ยตนเองจนจบหลกั สตู ร 3) การตดิ ตอ่ สื่อสาร นารูปแบบการติดตอ่ ส่อื สารแบบ 2 ทาง มาใชป้ ระกอบในการเรยี น โดย เครอ่ื งมือท่ีใชใ้ นการตดิ ตอ่ สื่อสารอาจแบง่ ไดเ้ ป็น 2 ประเภท คอื ประเภท Real-time ไดแ้ ก่ Chat (message, voice), Whité board/Text slide, Real-time Annotations, Interactive poll, Conferencing และอ่นื ๆ สว่ นอกี แบบคือ ประเภท Non real-time ไดแ้ ก่ Web-board, E-mail 1.3 อิเลก็ ทรอนิกสบ์ กุ๊ (Electronic Book : E-Book) คอื การเกบ็ ขอ้ มลู จานวนมาก ดว้ ย ซีดีรอม ดงั นนั้ ซดี รี อมหนง่ึ แผ่นสามารถเกบ็ ขอ้ มลู หนงั สือ หรอื เอกสารไดม้ ากกว่าหนงั สอื หนง่ึ เลม่ และท่ีสาคญั คือการใชก้ บั คอมพิวเตอร์ ทาใหส้ ามารถเรยี กคน้ หาขอ้ มลู ภายในซดี รี อมไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ โดย ใชด้ ชั นีสบื คน้ หรอื สารบญั เรอ่ื ง ซดี รี อมจงึ เป็นสอื่ ท่ีมีบทบาทตอ่ การศกึ ษาอยา่ งย่ิง เพราะในอนาคต หนงั สอื ตา่ ง ๆ จะจดั เก็บอยใู่ นรูปซีดีรอม และเรยี กอา่ นดว้ ยเครอ่ื งคอมพิวเตอร์ ท่ีเรียกวา่ อเิ ลก็ ทรอนิกส์ บกุ๊ ซีดีรอมมีขอ้ ดีคือสามารถจดั เก็บขอ้ มลู ในรูปของมลั ติมีเดยี และเม่อื นาซดี ีรอม หลายแผน่ ใสไ่ วใ้ น เครอ่ื งอา่ นชดุ เดยี วกนั ทาใหซ้ ดี ีรอมสามารถขยายการเกบ็ ขอ้ มลู จานวนมากย่ิงขนึ้ ได้ 1.4 วิดีโอเทเลคอนเฟอเรนซ์ (Video Conference) หมายถงึ การประชมุ ทางจอภาพ โดยใชเ้ ทคโนโลยกี ารส่อื สารท่ีทนั สมยั เป็นการประชมุ รว่ มกนั ระหวา่ งบคุ คล หรอื คณะบคุ คลท่ีอยตู่ า่ ง สถานท่ี และหา่ งไกลกนั โดยใชส้ ือ่ ทางดา้ นมลั ติมเี ดยี ท่ใี หท้ งั้ ภาพเคล่อื นไหว ภาพน่ิง เสียง และขอ้ มลู ตวั อกั ษร ในการประชมุ เวลาเดยี วกนั และเป็นการสือ่ สาร 2 ทาง จงึ ทาใหด้ เู หมือนวา่ ไดเ้ ขา้ รว่ มประชมุ รว่ มกนั ตามปกติ ดา้ นการศกึ ษาวดิ ีโอเทเลคอนเฟอเรนซ์ ทาใหผ้ เู้ รยี นและผสู้ อนสามารถติดตอ่ ส่ือสาร กนั ได้ ผา่ นทางจอภาพ โทรทศั นแ์ ละเสยี ง นกั เรยี นในหอ้ งเรยี นท่ีอยหู่ า่ งไกลสามารถเห็นภาพและเสียง ของ ผสู้ อน สามารถเหน็ อากปั กิรยิ าของผสู้ อน เห็นการเคล่ือนไหวและสหี นา้ ของผสู้ อนในขณะเรยี น คณุ ภาพ ของภาพและเสยี งขนึ้ อยกู่ บั ความเรว็ ของชอ่ งทางการสือ่ สาร ท่ีใชเ้ ช่ือมตอ่ ระหวา่ งสองฝ่ังท่ีมีการ ประชมุ กนั ไดแ้ ก่ จอโทรทศั นห์ รอื จอคอมพิวเตอร์ ลาโพง ไมโครโฟน กลอ้ ง อปุ กรณเ์ ขา้ รหสั และถอดรหสั ผ่าน เครอื ขา่ ยการส่อื สารความเรว็ สงู แบบไอเอสดเี อ็น (ISDN) 1.5 ระบบวดิ โี อออนดีมานด์ (Video on Demand) เป็นระบบใหมท่ ่ีกาลงั ไดร้ บั ความ นิยม นามาใชใ้ นหลายประเทศ โดยอาศยั เครอื ขา่ ยคอมพิวเตอรค์ วามเรว็ สงู ทาใหผ้ ชู้ มตามสถานท่ีตา่ ง ๆ สามารถเลอื กรายการวีดทิ ศั นท์ ่ีตนเองตอ้ งการชมได้ โดยเลือกตามรายการ (Menu) และเลอื กชมได้ ตลอดเวลา วิดีโอออนดีมานดเ์ ป็นระบบท่ีมีศนู ยก์ ลางการเก็บขอ้ มลู วดี ทิ ศั นไ์ วจ้ านวนมาก โดยจดั เก็บใน รูปแหลง่ ขอ้ มลู ขนาดใหญ่ (Video Server) เม่อื ผใู้ ชต้ อ้ งการเลอื กชมรายการใด ก็เลอื กไดจ้ าก ฐานขอ้ มลู ท่ตี อ้ งการ ระบบวิดีโอออนดมี านดจ์ งึ เป็นระบบท่ีจะ

นามาใชใ้ นเรอ่ื งการเรยี นการสอนทางไกลได้ โดย ไมม่ ีขอ้ จากดั ดา้ นเวลา ผเู้ รยี นสามารถเลือกเรยี นในสิ่งท่ี ตนเองตอ้ งการเรยี นหรอื สนใจได้ 1.6 อินเทอรเ์ น็ต (Internet) คอื เครอื ขา่ ยคอมพิวเตอร์ ซง่ึ ประกอบดว้ ยเครอื ขา่ .. และเครอื ขา่ ย ใหญ่สลบั ซบั ซอ้ นมากมายเช่ือมตอ่ กนั ท่วั โลก โดยใชใ้ นการติดตอ่ สอื่ สาร ขอ้ รูปภาพ เสียงและอ่นื ๆ โดย ผา่ นระบบเครอื ขา่ ยคอมพิวเตอรท์ ่มี ีผใู้ ชง้ านกระจายกนั อยทู่ ่วั โลก ใชไ้ ดม้ ีการนาระบบอินเทอรเ์ นต็ เขา้ มาใช้ ในวงการศกึ ษากนั ท่วั โลก ซง่ึ มีประโยชนใ์ นดา้ นการเรยี น สอนเป็นอยา่ งมาก 2) การประยกุ ตเ์ ทคโนโลยีใชใ้ นงานดา้ นงานทะเบยี นของสถานศกึ ษา 2.1 งานรบั มอบตวั ทาหนา้ ท่ตี รวจสอบหลกั ฐานท่ีนกั ศกึ ษานามารายงานตวั จากระ จดั เกบ็ ประวตั ิภมู ิหลงั นกั ศกึ ษา เช่น ภมู ิลาเนา บดิ ามารดา ประวตั ิการศกึ ษา ทนุ การศึกษา ไวใ้ นแฟม้ เอกสารขอ้ มลู ประวตั ินกั ศกึ ษา 2.2 งานทะเบียนเรยี นรายวิชา ทาหนา้ ท่จี ดั รายวิชาท่ีตอ้ งเรยี นใหก้ บั นกั ศึกษา ในแตล่ ะ ภาคเรยี นทกุ ชนั้ ปี ตามแผนการเรยี นของแตล่ ะแผนก แลว้ จดั เกบ็ ไวใ้ นแฟม้ ขอ้ มลู ผลการเรยี น 2.3 งานประมวลผลการเรยี น ทาหนา้ ท่ีนาผลการเรยี นจากอาจารยผ์ สู้ อนมาประมวลใน แต่ ละภาคเรยี น จากนนั้ ก็จดั เกบ็ ไวใ้ นแฟม้ เอกสารขอ้ มลู ผลการเรยี น และแจง้ ผลการเรยี นใหผ้ ทู้ ่ี เก่ียวขอ้ ง ทราบ 2.4 งานตรวจสอบผจู้ บการศกึ ษา ทาหนา้ ท่ตี รวจสอบรายวิชา และผลการเรยี นท่ีนกั ศกึ ษา เรยี นตงั้ แตเ่ รม่ิ ตน้ จนกระท่งั จบหลกั สตู ร จากแฟม้ เอกสาร ขอ้ มลู ผลการเรยี น วา่ ผ่านเกณฑก์ ารจบ หรอื ไม่ 2.5 งานสง่ นกั ศกึ ษาฝึกงาน ทาหนา้ ท่ีหาขอ้ มลู จากสถานท่ีฝึกงานในแตล่ ะแห่งวา่ สามารถ รองรบั จานวนนกั ศกึ ษาท่ีจะฝึกงานในรายวชิ าตา่ ง ๆ ไดเ้ ป็นจานวนเทา่ ใด จากนนั้ กจ็ ดั นกั ศกึ ษาออก ฝึกงาน ตามรายวชิ า ใหส้ อดคลอ้ งกบั จานวนท่ีสถานประกอบการตอ้ งการ 3) การประยกุ ตเ์ ทคโนโลยใี ชใ้ นงานดา้ นธรุ กิจการคา้ ปลีกและขายสง่ เน่ืองจากหา้ งสรรพสนิ คา้ เป็นศนู ยก์ ารคา้ ขนาดใหญ่ มีอยหู่ ลายสาขาท่ีจดั จาหน่ายอยู่ ท่วั ประเทศ มี ซพั พลายเออรก์ วา่ พนั ราย และมีพนกั งานอยหู่ ลายพนั คน ดงั นนั้ ขอ้ มลู ท่ีเก่ียวขอ้ ง และ การตดั สนิ ใจตอ้ งทา อย่างรวดเรว็ เพ่ือใหท้ นั ตอ่ เหตกุ ารณ์ ดงั นนั้ การท่ีตอ้ งใชเ้ ทคโนโลยีจงึ เป็นสิ่งท่ี หลกี เลี่ยงไมไ่ ด้ การใชเ้ ครอ่ื ง คอมพิวเตอรแ์ ละเครอ่ื งอา่ นบารโ์ คด้ จงึ มีความจาเป็น ฝ่ายเทคโนโลยี สารสนเทศจะเป็นฝ่ายสนบั สนนุ สิง่ สาคญั ท่ีสดุ คอื ตอ้ งใหค้ วามม่นั ใจไดว้ า่ ระบบจะตอ้ งทางานไดไ้ ม่มี ปัญหาขดั ขอ้ ง ปัจจบุ นั ระบบการเช่ือมตอ่ หา้ งสรรพสินคา้ จะเป็นแบบสองลกั ษณะ คอื ในตา่ งจงั หวดั เจะใชก้ ารเช่ือมตอ่ ผ่านดาวเทยี ม ในกรุงเทพฯ จะใชก้ ารเช่ือมตอ่ แบบออนไลน์ ซง่ึ จะมกี ารรบั สง่ ขอ้ มลู กนั ทกุ วนั ในสว่ นของไอที นอกจากจะตอ้ งทาให้ ระบบสามารถทางานไดต้ ลอดเวลาแลว้ ยงั ตอ้ งม่นั ใจดว้ ย วา่ ขอ้ มลู ท่ีรบั สง่ กนั นนั้ มีความถกู ตอ้ ง ซง่ึ ในแตล่ ะ วนั มีขอ้ มลู มาก ท่ีจะตอ้ งผา่ นการประมวลผล ใหแ้ ก่ผบู้ รหิ ารเพ่ือใชป้ ระกอบการตดั สนิ ใจ ไม่วา่ จะเป็นขอ้ มลู ยอดขาย ขอ้ มลู สต๊อกและขอ้ มลู ตา่ ง ๆ ท่ีผบู้ รหิ ารตอ้ งการ

E-commerce : Electronic Commerce E-commerce หรือการพาณิชยอ์ ิเลก็ ทรอนิกส์ หมายถึง การทาธุรกรรมในเชิงธุรกิจทุกประเภท กระทาผา่ นส่ืออิเลก็ ทรอนิกส์ ซ่ึงรวมท้งั การซ้ือขาย การแลกเปล่ียนสินคา้ และกิจกรรมต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวขอ้ ง เช่น การโฆษณา การประชาสมั พนั ธ์ การส่งสินคา้ การชาระเงิน และการบริการดา้ น ขอ้ มูล เป็นตน้ E- commerce น้นั สามารถใหบ้ ริการที่สะดวก รวดเร็ว และไม่จากดั ขอบเขตของผใู้ ช้ บริการและระยะเวลา ทาการของหน่วยงาน E-business E-business เป็นธุรกิจเชิงอิเลก็ ทรอนิกส์ ซ่ึงมีขอบเขตที่กวา้ งกวา่ E-commerce เน่ืองจาก เป็น การพจิ ารณาถึงองคป์ ระกอบทุกส่วนของการดาเนินธุรกิจ มิไดพ้ จิ ารณาเพยี งเฉพาะกิจกรรมการ ซ้ือ-ขาย เท่าน้นั การปรับเปล่ียนกลยทุ ธ์ทางธุรกิจผนวกกบั เทคโนโลยสี ารสนเทศ เพื่อดาเนินธุรกรรมต่าง ๆ และปรับปรุงธุรกิจใหม้ ีความเป็นระบบ สามารถดาเนินงานไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ และช่วยเพม่ิ ศกั ยภาพของธุรกิจดว้ ยการดาเนินธุรกิจใหก้ ลายเป็นรูปแบบ Online และครอบคลุมไดท้ ว่ั โลก 4) การประยกุ ตเ์ ทคโนโลยใี่ ชใ้ นงานดา้ นเทคโนโลยสี ารสนเทศในสาขาสาธารณสุขและ การแพทย์ งานดา้ นสาธารณสุขเจริญกา้ วหนา้ อยา่ งรวดเร็ว ระบบ บริหารไดน้ าเทคโนโลยสี ารสนเทศมาใช้ ในงานต่าง ๆ เช่น การ ลงทะเบียนผปู้ ่ วย การสร้างเครือขา่ ยขอ้ มูลทางการแพทย์ แลกเปล่ียนขอ้ มูลของ ผปู้ ่ วย การใหค้ าปรึกษาทางไกลโดยแพทย์ ผเู้ ช่ียวชาญ เทคโนโลยสี ารสนเทศจะช่วยใหแ้ พทยส์ ามารถ เห็น หนา้ หรือท่าทางของผปู้ ่ วยได้ ช่วยใหส้ ่งขอ้ มูลที่เป็นเอกสารหรือ ภาพเพอ่ื ประกอบการพจิ ารณา ของแพทยไ์ ด้ ส่วนดา้ นให้ ความรู้หรือการเรียน การสอนทางไกล ดว้ ยระบบวดิ ีโอ - คอนเฟอร์เรนซ์ เป็ นตน้ ระบบแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ระบบแพทยท์ างไกลเป็นการนาความกา้ วหนา้ ดา้ นการส่ือสารโทรคมนาคมมาประยกุ ตใ์ ชก้ บั งาน ทางการแพทย์ โดยการส่งสญั ญาณผา่ นสื่อซ่ึงอาจจะเป็นสญั ญาณดาวเทียม (Satellite) หรือใยแกว้ นาแสง (Fiber Optic) แลว้ แต่กรณีควบคู่ไปกบั เครือขา่ ยคอมพิวเตอร์ แพทยต์ น้ ทางและปลายทาง สามารถติดต่อกนั ดว้ ยภาพเคล่ือนไหวและเสียง ทาใหส้ ามารถแลกเปล่ียนขอ้ มูลคนไขร้ ะหวา่ งกนั ได้ ระบบการปรึกษาแพทย์ทางไกล (Medical Consultation) เป็นระบบการปรึกษาระหวา่ งโรงพยาบาลกบั โรงพยาบาล (One to One) ซ่ึงจะสามารถใชง้ าน พร้อม ๆ กนั ได้ เช่น ในขณะที่โรงพยาบาลที่ 1 ปรึกษากบั โรงพยาบาลที่ 2 อยู่ โรงพยาบาลท่ี 3 สามารถ ขอคาปรึกษาจากโรงพยาบาลที่ 4 และโรงพยาบาลท่ี 5 สามารถขอคาปรึกษาจากโรงพยาบาล ท่ี 6 ได้ ระบบการปรึกษาแพทยท์ างไกล ประกอบดว้ ยระบบยอ่ ย ๆ 3 ระบบ ดงั น้ี

1) ระบบ Teleradiology เป็นระบบการรบั สง่ ภาพ X-Ray โดยผ่านการ Scan Film จาก High Resolution Scanner เพ่ือเก็บลงใน File ของเครอ่ื งคอมพิวเตอรก์ ่อนท่ีจะมีการ ดงั กลา่ วไปยงั โรงพยาบาลท่ีจะใหค้ าปรกึ ษา 2) ระบบ Telecardiology เป็นระบบการรบั สง่ คล่นื หวั ใจ (ECG) และเสยี งปอด หวั ใจ โดยผา่ นอปุ กรณเ์ ช่ือมตอ่ มายงั อปุ กรณค์ อมพิวเตอร์ 3) ระบบ Telepathology เป็นระบบรบั สง่ ภาพจากกลอ้ งจลุ ทรรศน์ (Microscope 4 อาจจะเป็นภาพเนือ้ เย่อื หรอื ภาพใด ๆ ก็ไดจ้ ากกลอ้ งจลุ ทรรศนท์ งั้ ชนิด Monocular และ Bina ระบบนีเ้ ป็นอปุ กรณเ์ ช่ือมตอ่ กบั กลอ้ งจลุ ทรรศนซ์ ง่ึ มีอยทู่ ่วั ไปใน โรงพยาบาลตา่ งๆ อยแู่ ลว้ เทคโนโลยสี ารสนเทศไดร้ บั การนามาใชใ้ นการพฒั นาดา้ นสาธารณสขุ อยา่ งกวา้ งขวาง และ ทาใหง้ านดา้ นสาธารณสขุ เจรญิ กา้ วหนา้ อยา่ งรวดเรว็ โดยกระทรวงสาธารณสขุ ไดป้ รบั ระบบการ บรหิ ารงาน และนาเทคโนโลยสี ารสนเทศมาใชใ้ นงานตา่ งๆ ดงั นี้ 1. ดา้ นการลงทะเบียนผปู้ ่วย ตงั้ แตเ่ รม่ิ ทาบตั ร จา่ ยยา เกบ็ เงนิ 2. การสนบั สนนุ การรกั ษาพยาบาล โดยการเช่ือมโยงระบบคอมพิวเตอรข์ องโรงพยาบาล ตา่ ง ๆ เขา้ ดว้ ยกนั สามารถสรา้ งเครอื ขา่ ยขอ้ มลู ทางการแพทย์ แลกเปลีย่ นขอ้ มลู ของผูป้ ่วย 3. สามารถใหค้ าปรกึ ษาทางไกล โดยแพทยผ์ เู้ ช่ียวชาญ เทคโนโลยีสารสนเทศจะช่วย ให้ แพทยส์ ามารถเห็นหนา้ หรอื ทา่ ทางของผปู้ ่วยได้ ชว่ ยใหส้ ง่ ขอ้ มลู ท่ีเป็นเอกสาร หรอื ภาพเพ่อื ประกอบการพิจารณาของแพทยไ์ ด้ 4. เทคโนโลยีสารสนเทศจะชว่ ยในการใหค้ วามรูแ้ กป่ ระชาชนของแพทย์ หรอื หนว่ ยงาน สาธารณสขุ ตา่ งๆ เป็นไปดว้ ยความสะดวก รวดเรว็ ไดผ้ ลขนึ้ โดยสามารถใชส้ ่อื ตา่ ง ๆ เช่น ภาพน่ิง ภาพเคล่อื นไหวมีเสยี งและอ่นื ๆ เป็นตน้ 5. เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยใหผ้ บู้ รหิ ารสามารถกาหนดนโยบาย และตดิ ตามกากบั การ ดาเนินงานตามนโยบายไดด้ ยี ่ิงขนึ้ โดยอาศยั ขอ้ มลู ท่ีถกู ตอ้ งฉบั ไว และขอ้ มลู ท่ีจาเป็น ทงั้ นีอ้ าจใช้ คอมพิวเตอรเ์ ป็นตวั เกบ็ ขอ้ มลู ตา่ งๆ ทาใหก้ ารบรหิ ารเป็นไปไดด้ ว้ ยความรวดเรว็ ถูกตอ้ งมากย่ิงขนึ้ 6. ในดา้ นการใหค้ วามรูห้ รอื การเรยี น การสอนทางไกล เทคโนโลยีสารสนเทศ โดยเฉพาะ ดาวเทยี ม จะชว่ ยใหก้ ารเรยี นการสอนทางไกล ทางดา้ นการแพทยแ์ ละสาธารณสขุ เป็นไปได้ มาก ขนึ้ ประชาชนสามารถเรยี นรูพ้ รอ้ มกนั ไดท้ ่วั ประเทศและยงั สามารถโตต้ อบหรอื ถามคาถามไดด้ ว้ ย 5) การประยกุ ตเ์ ทคโนโลยีใชใ้ นงานดา้ นวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี กลมุ่ นกั วิทยาสตร์ วศิ วกรท่ตี อ้ งการศกึ ษาพฤตกิ รรมบางอยา่ งของสง่ิ มีชีวติ รวมถึงสง่ิ แวดลอ้ ม ตา่ ง ๆ เช่น ศกึ ษาการกระจายถ่ินท่ีอยขู่ องนก การกระจายของแบคทเี รยี การสรา้ งอาณาจกั รของ มด ผงึ้ ชีวติ ความเป็นอยขู่ องสตั วป์ ่าตา่ ง ๆ การพง่ึ พาอาศยั ซง่ึ กนั และกนั ตลอดจนระบบนิเวศวทิ ยา ความ สนใจในการจาลองความเป็นอยขู่ อง

ส่ิงมีชีวิตไดม้ ีมานานแลว้ เริ่มต้งั แต่คร้ัง จอห์น พอยเมน นกั คณิตศาสตร์ เสนอแนวคิดการทาใหเ้ คร่ืองจกั รทางาน โดยอตั โนมตั ิภายใตโ้ ปรแกรม ซ่ึงเป็นรากฐาน ของเคร่ืองคอมพิวเตอร์จนถึงปัจจุบนั 6) การประยกุ ตเ์ ทคโนโลยใี่ ชใ้ นงานดา้ นการสื่อสารและโทรคมนาคม เทคโนโลยขี องการส่ือสารและโทรคมนาคมในปัจจุบนั กา้ วไกลไปมาก มีบริการมากมาย ทท สมยั และตอบรับกบั การนามาประยกุ ตใ์ ชใ้ นการดาเนินธุรกิจ ตวั อยา่ งการใชโ้ ทรศพั ทใ์ น ปัจจุบนั น้ีกม็ ีได้ 4ะเพยี งสาหรับคุยสนทนาเพยี งอยา่ งเดียวอีกต่อไป แต่มนั สามารถช่วยงานไดม้ าก ข้ึน โดยอา้ งอง ขอ้ มูลและการเปิ ดใหบ้ ริการของบริษทั มีการติดต่อส่ือสารผา่ นดาวเทียมท้งั ภาพ และเสียง มีโทรศพั ท์ มือถือรุ่นต่าง ๆ ออกมามากมาย พฒั นาท้งั หน่วยงานของภาครัฐและเอกชน 7) การประยกุ ตเ์ ทคโนโลยใี ชใ้ นงานดา้ นการออกแบบผลิตภณั ฑ์ การประยกุ ตใ์ ชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศดา้ น การออกแบบ ไดม้ ีการนาคอมพวิ เตอร์มาช่วย ใน การออกแบบ (CAD : Computer Aided Design) ออกแบบผลิตภณั ฑ์ ออกแบบสินคา้ และ สามารถ ใชค้ อมพวิ เตอร์ช่วยควบคุมกระบวนการผลิต (CAM : Computer Aided Manufacturing) เช่น ควบคุมอุณหภูมิ ควบคุมคุณภาพของผลิตภณั ฑ์ ลดแรงงาน โดยใชค้ อมพิวเตอร์ควบคุม หุ่นยนตท์ างาน 8) การประยกุ ตเ์ ทคโนโลยใี ชใ้ นงานดา้ นสานกั งานภาครัฐและเอกชน ปัจจุบนั ไดม้ ีการนาเทคโนโลยสี ารสนเทศเขา้ มาใชใ้ นหน่วยงานภาครัฐและเอกชนต่าง ๆ มากมาย เช่น การทาบตั รประจาตวั ประชาชน การเกิด การตาย การเสียภาษีอากร การทาใบอนุญาตขบั รถยนต์ “การจ่ายค่าสาธารณูปโภคต่างๆ การประมวลผลคะแนนเลือกต้งั ฯลฯ เป็นตน้ งานเหล่าน้ี ไดม้ ีการนา ระบบสานกั งานอตั โนมตั ิเขา้ มาใช้ เพอ่ื ทาใหไ้ ดข้ อ้ มูลขา่ วสารท่ีรวดเร็ว และยงั ตอบสนองกบั การบริหาร ยคุ ใหม่ท่ีตอ้ งใชข้ อ้ มูลเป็นหลกั ในการบริหารจดั การ กล่าวโดยสรุป คือ ไดม้ ีการนาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยสี ารสนเทศเขา้ มาใชใ้ น หน่วยงาน ต่าง ๆ เกือบทุกวงการ ท้งั ภาครัฐและเอกชนไม่วา่ จะอยใู่ นรูปของบุคคลหรือองคก์ รใด ๆ กต็ าม ฉะน้นั จึงจาเป็นอยา่ งยงิ่ ท่ีจะตอ้ งมีการศึกษาทางดา้ นเทคโนโลยสี ารสนเทศ ในหน่วยงาน ดา้ นการศึกษากม็ ี ความตื่นตวั และเปิ ดทาการเรียนการสอนในหลกั สูตรดงั กล่าว ท้งั ในระดบั อาชีวศึกษา และอุดมศึกษา และเป็นสาขาวชิ าท่ีมีนกั ศึกษาใหค้ วามสนใจกนั มากเนื่องจากยงั มี ตลาดแรงงานรองรับมากนน่ั เอง 9) การประยกุ ตใ์ ชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศในหน่วยงานราชการต่าง ๆ สานกั บริการเทคโนโลยสี ารสนเทศภาครัฐ (Government Information Technology Services : GITS) ลกั ษณะงานของสานกั บริการเทคโนโลยสี ารสนเทศภาครัฐ จะใหบ้ ริการ เครือข่ายสารสนเทศ ภาครัฐ

(Government Information Network) เพื่อตอบสนองการบริหารงานสาหรับหน่วยงานของ กาครัฐอยา่ งปลอดภยั และมีประสิทธิภาพสูง ส่งเสริมหน่วยงานภาครัฐใหม้ ีการนาเทคโนโลยสี ารสนเทศ มาใชใ้ นการดาเนินงาน อนั นาไปสู่การเป็น E-government และเป็นศูนยก์ ลางส่งเสริมให้ การเชื่อมโยง ข่าวสารระหวา่ งภาครัฐและประชาชน สานกั งานอตั โนมตั ิ (Office Automation-OA) สานกั งานอตั โนมตั ิที่หน่วยงานของรัฐจดั ทาข้ึนมีช่ือวา่ IT Model Office เป็นโครงการนาร่องท่ีจดั ทาข้ึนเพื่อพฒั นาระบบ เครือข่ายพ้นื ฐานของภาครัฐ ในรูปของ สานกั งานอตั โนมตั ิ เช่น งานสารบรรณ งานจดั ทาเอกสารและจดั ส่งทางจดหมาย อิเลก็ ทรอนิกส์ งานแฟ้ม เอกสาร งานบนั ทึกการนดั หมาย ผบู้ ริหาร ซ่ึงระบบงานท่ีสาคญั มีดงั น้ี • ระบบนาเสนอขอ้ มูลข่าวสารสาหรับผบู้ ริหาร • ระบบจดหมายอิเลก็ ทรอนิกส์แบบปลอดภยั ไดม้ ี การนาเทคโนโลยลี ายเซ็นดิจิตอล (Digital Signature) เขา้ มา ช่วยในการยนื ยนั ผสู้ ่งและยนื ยนั ความแทจ้ ริงของอีเมล อินเทอร์เน็ตตาบล เป็นการวางระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตใหต้ าบลต่างๆ ทว่ั ประเทศสามารถ เขา้ ใช้ อินเทอร์เน็ตไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ อนั จะเป็นประโยชนอ์ ยา่ งมากในดา้ นตา่ ง ๆ เช่น หน่วยงาน ของรัฐ และ องคก์ รต่าง ๆ สามารถมีส่วนร่วมในการจดั ทาและใชป้ ระโยชน์จากระบบอินเทอร์เน็ตตาบล โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ หน่วยงานที่อยู่ ณ ตาบลและใกลช้ ิดกบั ประชาชน กจ็ ะมีความสาคญั และความ รับผดิ ชอบในการจดั ทา ตรวจสอบและปรับปรุงขอ้ มูล รวมท้งั ใหบ้ ริการแก่กลุ่มชนต่าง ๆ การประยกุ ตใ์ ชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศดา้ นสรรพากร เน่ืองจากกรมสรรพากรทาหนา้ ท่ีเป็นเหมือน แหล่งรายไดข้ องรัฐบาล รายไดจ้ ากการจดั เกบ็ ภาษีของกรมสรรพากรมีมากถึง 60 เปอร์เซ็นตข์ อง รายไดร้ วม ของประเทศ ดงั น้นั รัฐบาลจาตอ้ งใหค้ วามสาคญั กบั ระบบการจดั เกบ็ ขอ้ มูลและประวตั ิของ ผเู้ สียภาษีอยา่ ง ต่อเน่ือง นอกจากน้ี สภาพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาติ ยงั ตอ้ งการขอ้ มูลเพื่อนา ไปวิเคราะห์เพ่อื ทา Macro Model หรือแบบจาลองทางเศรษฐศาสตร์ใหก้ บั ประเทศอีกดว้ ย ปัจจุบนั กรมสรรพากรไดจ้ ดั ทาโครงการ E- Revenue ซ่ึงเป็นบริการเสียภาษีออนไลน์ นอกจากน้ียงั ใหข้ อ้ มูล ขา่ วสารที่มีประโยชนด์ า้ นการพาณิชย์ มีบริการ โปรแกรมบริการยนื่ แบบ บริการแบบพิมพ์ บริการยน แบบผา่ นอินเทอร์เน็ต เป็นตน้ ซ่ึงอานวยความสะดวก รวดเร็วมากยง่ิ ข้ึนต่อประชาชนผใู้ ชบ้ ริการ 10) การประยกุ ตเ์ ทคโนโลยสี ารสนเทศเพอ่ื ใชใ้ นองคก์ รแนวใหม่ การนาเทคโนโลยสี ารสนเทศเขา้ มาช่วยปฏิบตั ิงานในดา้ นต่าง ๆ อยา่ งมีประสิทธิผล มีมากมาย หลาย ดา้ น ไดแ้ ก่


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook