Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พืชพื้นเมือง

พืชพื้นเมือง

Published by nuthawan_t, 2019-09-19 00:36:52

Description: พืชพื้นเมือง
โดย
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กรวินท์วิชญ์ บุญพิสุทธินันท์

Keywords: พืชพื้นเมือง

Search

Read the Text Version

คำนำ เนื่องจากอุตสาหกรรมการผลิตพืชผักในเชิงการค้าได้เจริญก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วซ่ึงในการผลิตพืช ชนิดใหม่ๆ หรือพืชผักจากต่างประเทศ ทาให้ประเทศไทยต้องเสียเงินซื้อเมล็ดพันธุ์และสินค้าท่ีเก่ียวข้องกับ การเกษตรเป็นจานวนมาก เช่น เมล็ดพันธุ์ ผลิตภัณฑ์ เครื่องเทศ และสารเคมีกาจัดศัตรูพืช ในขณะเดียวกัน อนั ตรายจากพิษตกค้างของสารเคมีทีใ่ ชก้ าจัดศตั รูพชื อันเกิดมาจากการปลูกพืชเชงิ เด่ียว ได้ส่งผลร้ายท่กี ระทบ ต่อสุขภาพร่างกายของคน สัตว์ ส่ิงแวดล้อม รวมถึงปัญหาใหม่ต่าง ๆ ท่ีมิได้คาดคิดล่วงหน้าได้ทวีความรุนแรง ยิ่งข้นึ เชน่ ปัญหาของพืชตัดต่อพนั ธกุ รรม (Genetically Modified Organisms : GMOs) จากปัญหาดังกล่าวจึงทาให้แนวโน้มในการใช้ประโยชน์จากพืชพื้นเมืองได้รับความนิยมและยอมรับ เพิ่มมากข้ึน ซ่ึงไม่เพียงแต่การใช้บริโภคเป็นอาหารเท่านั้น การใช้ประโยชน์ในการบารุงสุขภาพและยารักษา โรคก็ได้รับความนิยมแพร่หลายมากข้ึน ประกอบกับสภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจในปัจจุบันที่รัฐบาลต้องการ ลดการนาเข้าของวัตถุดิบและสารเคมี คนไทยในอดีตรู้จักนาพืชพ้ืนเมืองมาใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ภายใน ครัวเรือนอย่างกว้างขวางเช่น ใช้เป็นอาหารเพ่ือการดารงชีวิต ใช้สีและกล่ินจากพืชเพ่ือปรุงแต่งรสของอาหาร ใหอ้ ร่อยน่ารบั ประทาน ใช้เปน็ ยารักษาโรค สีสาหรับยอ้ มผ้า ตลอดจนใชใ้ นการควบคมุ แมลงศัตรพู ชื และสตั ว์ พืชพ้ืนเมือง Indigenous Plants เป็นพรรณพืชท่ีเจริญงอกงามตามธรรมชาติในท้องถิ่น หรือถูกนามาปลูกไว้ เพ่ือความสะดวกในการเก็บบริโภค พืชพื้นเมืองจะมีชื่อเฉพาะของแต่ละ ท้องถิ่น มีการใช้ประโยชน์อย่าง หลากหลาย พืชพื้นเมืองนานาชนิดที่บริโภคได้ส่วนใหญ่จะมีคุณค่าทางโภชนาการสูง เช่น ผักกูดมีโปรตีนสูง ใบ ชะพลู ใบย่านาง ใบยอ และผักตาลงึ มีวิตามินเอมาก ดอกงว้ิ แดง สะเดา และผักไห่ มีแคลเซียมสูง ส่วนยอด กระถินยอดแค ยอดมะม่วง และยอดมะขาม มีวิตามินซีสูง เป็นต้น และท่ีสาคัญมากกว่านั้น คือ ผักพ้ืนบ้าน จะมีเส้นใยอาหารสูง ซง่ึ ช่วยทาให้ระบบขับถ่ายของรา่ งกายสามารถทางานได้เปน็ ปกติ นอกจากนี้ใยอาหารยัง มคี ณุ สมบัตใิ นการจับคอเลสเตอรอลไว้และขบั ถา่ ยออกมาพร้อมกัน จึงชว่ ยลดระดับคอเลสเตอรอลในเสน้ เลอื ด และลดโอกาสในการเกิดมะเร็งในลาไส้ได้ (มาโนช และ เพ็ญนภา, 2538) จากท่ีกล่าวมาแล้วข้างต้นจึงเห็นได้ ว่าพืชพื้นเมืองนอกจากจะมีประโยชน์ในการใช้บริโภคเป็นอาหารประจาวันแล้ว ยังสามารถนาไปแปรรูปเป็น ผลิตภณั ฑ์อาหาร หรอื นาไปใชป้ ระโยชนใ์ นด้านต่าง ๆ ไดอ้ ีกมากมาย

สำรบัญ เร่อื ง หนำ้ ปาหนันร่องกลา้ 1 ประทดั ดอย 2 ระฆงั ทอง 3 ประทดั อ่างขาง 4 เสย้ี วป่า 5 มหาพรหมราชนิ ี 6 แก้วมกุ ดา 7 พดุ ชมพู 8 โมกปา่ 9 อรพิม 10 สารภที ะเล 11 พดุ ภูเกต็ 12 บุหงาสาหรี 13 จาปาสริ นิ ธร 14 พุดน้าบุศย์ 15 ประทัดกะเหร่ยี งน้อย 16 ศรตี รัง 17 โมกมัน 18 พุดรักนา 19 สาธร 20 มะคาแต 21 สังกรณี 22 โมกหลวง 23 เหลืองปรีดียาธร 24 สา่ เหลา้ ปัตตานี 25 ขานาง 26 โยทะกา 27 ดอกเขา้ พรรษา 28 กระพีจ้ นั่ 29 คาปา่ 30 ชุมแสง 31 เลียงผึง้ 32 กาญจนิกา 33

ศุภโชค 34 โมกหลวง 35 แจง 36 กันภยั มหดิ ล 37 รงั 38 ชงโค 39 ตรีชวา 40 สริ ินธรวัลลี 41 พลิ งั กาสา 42 กาหลง 43 คงคาเดือด 44 พระเจ้าห้าพระองค์ 45 นมแมวซอ้ น 46 สารภี 47 กระเบากลกั 48 เขยตาย 49 มะแขว่น 50 พรวด 51 โคลงเคลง 52 ชะมาง 53 สมเสี้ยวเถา 54 ธรณสี าร 55 มหาพรหม 56 เครอื หมูปอย 57 ยีห่ ุบปลี 58 ใบไม้สที อง 59 ชามะเลียงปา่ 60 เปลา้ ตะวนั 61 สารอง 62 เส้ยี วดอกขาว 63 ประดงแดง 64 จาปาขาวนครไทย 65 เสมด็ 66 มณฑิรา 67 จาปีปา่ 68

คามอกปา่ 69 นางแดง 70 มณฑาดอย 71 กระดงั งาสงขลา 72 วา่ นมหากาฬ 73 มณีเทวา 74 สรสั จนั ทร 75 สร้อยสุวรรณา 76 การเวก 77 เหงา้ น้าทิพย์ 78 ยมหนิ 79 ไข่มุก 80 สะเมก็ 81 กุหลาบดอย 82 กฤษณาน้อย 83 สะเภาลม 84 เหลอื งเชยี งราย 85 มณฑาป่า 86 จาปีรชั นี 87 ทะโล้ 88 ดกู ไก่ 89 จาปถี ่ินไทย 90 ถวั่ แปบชา้ ง 91 โมกเหลือง 92 จาปีเพชร 93 กลอ่ งข้าวดาว 94 กว่ มเชยี งดาว 95 หมกั แปม 96 เทยี นสิรินธร 97 ชงโคดา 98 พลับพลงึ ธาร 99 ขี้เหล็กบ้าน 100

1 1.ปำหนนั ร่องกล้ำ ทมี่ า : https://www.facebook.com/ChumchnKhnRaksPhrrnMi/posts/1971102836245398/ ชอื่ วิทยำศำสตร์: G. rongklanus R.M.K. Saunders & Chalermglin ช่ืออน่ื : - วงศ:์ Annonaceae ไม้ตน้ ขนาดเล็ก สงู 4-7 เมตร เปลอื กต้นสีขาวหนา มีกล่นิ ฉนุ เฉพาะตัว แตกกิง่ ขนานกับพ้ืนดนิ มีก่งิ น้อย ทรงพุ่ม กลมโปร่ง ใบรูปขอบขนานแกมรปู ไขก่ ลับ ยาว 4-20 เซนตเิ มตร ดอกเด่ยี ว ออกตามกิ่ง ก้านดอกเรยี วยาว กลบี ดอกหนาฉ่านา้ สีเหลอื ง เมอื่ บานมเี ส้นผา่ นศูนยก์ ลาง 2-3 เซนตเิ มตร ผลกลุม่ มี 5-9 ผล ผลกลมรี มี 1-2 เมลด็ ออกดอกชว่ งเดือน มนี าคม นเิ วศนว์ ทิ ยำ: พชื ถน่ิ เดียวของไทย เปน็ พันธไุ์ ม้หายาก พบท่ี อทุ ยานภูหนิ รอ่ งกลา้ จ.พิษณุโลก ทรี่ ะดบั ความสงู 600 – 1,300 เมตร

2 2.ประทัดดอย ทีม่ า : http://www.qsbg.org/database/botanic_book%20full%20option/search_detail.asp?botanic_id=1406 ชอื่ วิทยำศำสตร:์ Agapetes parishii C.B. Clarke ช่อื อ่ืน: - วงศ:์ ERICACEAE ไม้พุ่มอิงอาศัย สูงประมาณ 1 เมตร รากสะสมอาหาร อวบบวม ใบ เด่ียว เรียงเวียนรอบก่งิ รปู รีแกมขอบขนานหรือ รูปรี แคบ กวา้ ง 3-4.5 ซม. ยาว 9.5-15 ซม. ปลายแหลม โคนใบรูปลิ่ม ผิวใบเกลี้ยง เส้นใบ 11-14 คู่ ดอก สแี ดงสด ออกเป็น ช่อตามกิ่ง ก้านดอกยอ่ ยเรียว ยาว 2-2.5 ซม. กลีบรองดอก 5 กลบี รปู ถ้วยแคบ กลีบดอกเป็นหลอดปอ่ ง มีสนั ตามยาว ผิวมัน เกล้ียง ปลายแยกเป็น 5 แฉก แหลมโค้ง ผล รูปค่อนข้างกลม ขนาดกว้าง 6-7 มม. ผิวเกลี้ยง ออกดอกช่วงเดือนธันวาคม- มีนาคม นเิ วศน์วทิ ยำ: พชื ถิน่ เดียวของไทย พบทางภาคเหนอื ทีร่ ะดบั ความสงู 1,100 – 1,600 เมตร

3 3. ระฆังทอง ทม่ี า : http://www.dnp.go.th/botany/detail.aspx ช่อื วิทยำศำสตร:์ Pauldopia ghorta (Buch.-Ham. ex G. Don) Steenis ช่อื อน่ื : - วงศ์: Bignoniaceae ไมต้ น้ สูง 4-7 เมตร ใบประกอบ 2 ชนั้ ยาว 20-45 ซม. แกนกลางมปี ีกแคบ ๆ ใบย่อยมี 3-4 คู่ รูปรี รูปขอบขนาน แกมรปู ไขห่ รือรูปไขก่ ลับ ยาว 3-9 ซม. มขี นหยาบแข็งและตอ่ มประปรายบนเสน้ ใบดา้ นล่างและขอบใบ ปลายแหลมยาว ไร้ ก้าน ช่อดอกแบบช่อกระจุกแยกแขนง ออกตามซอกใบ ยาวได้ถงึ 20 ซม. กลบี เลย้ี งรูประฆัง ยาว 1-2 ซม. ปลายแยกเปน็ 5 แฉกขนาดเล็ก มตี ่อมเป็นแถบยาว ดอกรูปแตร หลอดกลีบดอกสเี หลอื ง ยาว 3-6 ซม. โค้งเล็กน้อย ปลายแยกเป็น 5 แฉก เกือบกลม แผน่ กลีบสนี า้ ตาลแดง เสน้ ผา่ นศูนย์กลางประมาณ 1.5 ซม. เกสรเพศผู้ 2 คู่ยาวไม่เทา่ กัน ยาว 2-2.5 ซม. เกสรเพศ ผทู้ ่ีเป็นหมนั มี 1 อนั ขนาดเลก็ จานฐานดอกรูปวงแหวน ก้านเกสรเพศเมียยาวประมาณ 3 ซม. ผลแหง้ แตก รูปแถบ ยาว 22- 34 ซม. เมลด็ กลม เสน้ ผา่ นศูนยก์ ลาง 6-8 มม. ไม่มีปีก นิเวศน์วิทยำ: ไทยพบทางภาคเหนอื ที่นา่ น ตาก พิษณุโลก นครสวรรค์ ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื ท่เี ลย และ ภาคตะวนั ตกเฉยี งใต้ที่กาญจนบรุ ี ขึ้นตามพ้ืนทีเ่ ปิดโลง่ ในป่าดบิ แลง้ ความสงู ถึงประมาณ 1300 เมตร

4 4.ประทัดอ่ำงขำง ทมี่ ำ : https://www.facebook.com/media/set/?set=a.654740651295426.1073742086.111574952278668&type=3 ชอ่ื วิทยำศำสตร์: Agapetes megacarpa W.W. Sm. ชือ่ อ่นื : - วงศ:์ ERICACEAE ไม้พุ่มอิงอาศัย สูง 1-1.5 ม. รากสะสมอาหารอวบบวม ใบ เดี่ยว เรียงเวียนรอบก่ิง รูปขอบขนานแกมรีหรือแกมรูป หอกกลับ กว้าง 3-4.5 ซม. ยาว 9.5-14 ซม. ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบหรือหยัก เป็นคลื่นห่างๆ มีต่อมเล็กๆ ตามขอบใบ ดอก สีชมพูหรือชมพูอมแดง ออกเป็นช่อห้อยลง กลีบรองดอก 5 กลีบ เป็นถ้วย ยาว 0.9-1.4 ซม. ส่วนปลายเป็นกลีบเรียว แหลม กลีบดอกเป็นหลอดป่อง ยาว 4.3-6 ซม. มีสันตามยาว มีลายสีแดงพาดตามยาวท่ัวไป ขนาด ผ่านศูนย์กลาง 1.2-1.9 ซม. ปลายแยกเป็น 5 แฉก แหลมโค้งกลับ ผล สด รปู ทรงกลม ขนาด 6-9 มม. มีกลีบรองดอกตดิ อยูท่ ่ปี ลาย นิเวศน์วทิ ยำ: พบเฉพาะในภาคเหนอื เปน็ พชื องิ อาศยั เกาะตามตน้ ไม้ใหญ่ หรอื ตามหนา้ ผา หินปูนในปา่ ดิบเขา ทร่ี ะดบั ความสงู 1,000-1,600 เมตร ออกดอกชว่ งเดือนธันวาคม-มีนาคม

5 5.เส้ียวป่ำ ทมี่ ำ : http://www.dnp.go.th/botany/mindexdictdetail.aspx?runno=5736 ชอื่ วทิ ยำศำสตร:์ Bauhinia saccocalyx Pierre ช่อื อน่ื : - วงศ์: Fabaceae ไม้พุ่มรอเลื้อย หรือไม้ต้นขนาดเล็ก แยกเพศต่างต้น มีขนและต่อมสีน้าตาลตามกิ่งอ่อน แผ่นใบ ดา้ นล่าง ช่อดอก และตาดอก ใบรูปไข่กวา้ ง ยาว 5-9 ซม. ปลายแฉกถึงประมาณก่ึงหน่ึง โคนเว้าตนื้ เสน้ ใบ 9- 11 เส้น ก้านใบยาว 2-3 ซม. ช่อดอกแบบช่อกระจะแยกแขนงสั้น ๆ ออกตามซอกใบ ยาวได้ถึง 7 ซม. ดอก หนาแน่น ใบประดับขนาดเล็ก ก้านดอกยาว 2-3 มม. ใบประดับย่อยติดใต้จุดก่ึงกลางก้านดอก ตาดอกรูปรี ยาวประมาณ 5 มม. กลีบเลยี้ งคล้ายกาบ ดอกสีขาวหรืออมสีชมพู กลบี รูปไข่กลับ ยาว 0.7-1 ซม. กา้ นกลีบสั้น เกสรเพศผู้ 10 อัน วงนอกยาวประมาณ 6 มม. วงในยาวประมาณกึ่งหนึ่งของวงนอก อับเรณูยาวประมาณ 1 มม. เป็นหมันในดอกเพศเมีย รูปเส้นด้าย รังไข่มีขน ยาวประมาณ 1 ซม. มี ก้านสั้น ๆ ยอดเกสรเพศเมียรูป จาน ฝักเกล้ียง รูปใบหอกหรือรูปแถบ แบน ยาว 7-14 ซม. ปลายกว้าง มีจะงอย มี 3-5 เมล็ด เส้นผ่าน ศนู ยก์ ลาง 1.2-1.5 ซม. นิเวศน์วทิ ยำ: พบทุกภาคของประเทสไทยยกเว้นภาคใต้ ข้นึ ตามชายปา่ เบญจพรรณ ปา่ ดบิ แล้ง ที่โล่ง หรอื บน เขาหินปูน ความสงู ถงึ ประมาณ 800 เมตร

6 6.มหำพรหมรำชินี ท่มี ำ : http://www.dnp.go.th/botany/mindexdictdetail.aspx?runno=4299 ชอ่ื วิทยำศำสตร์: Mitrephora sirikitiae Weeras., Chalermglin & R. M. K. Saunders ชื่ออืน่ : - วงศ:์ Annonaceae ไม้ต้น สูง 6 ม. ก่ิงอ่อนมีขนสั้นนุ่มหนาแน่น ใบรูปใบหอก ยาว 6-22 ซม. ปลายแหลมหรือแหลมยาว โคนแหลมหรือมน แผ่นใบด้านล่างเป็นมันวาว มีขนกระจาย เส้นแขนงใบข้างละ 8-11 เส้น ก้านใบยาว 0.5-1 ซม. ช่อดอกมีขนกามะหย่ี มี 1-3 ดอก ก้านดอกยาว 1.8-2.7 ซม. ใบประดับรูปไข่ ยาว 5-7 มม. กลีบรูปไข่ กว้าง ยาว 1.3-1.5 ซม. มีขนสีน้าตาลแดงหนาแน่น กลีบดอกวงนอกสีขาว รูปไข่กว้าง ยาว 4-5.5 ซม. วงในสี ชมพูอมม่วง รปู ไข่ สั้นกว่าวงนอกเล็กน้อย โคนรูปเง่ียงลูกศร ผลย่อยมี 10-15 ผล รปู ขอบขนาน ยาว 5-6 ซม. มขี นละเอยี ด กา้ นยาว 1.5-2.5 ซม. นิเวศน์วิทยำ: พืชถ่ินเดียวของไทย พบทางภาคเหนือที่แม่ฮ่องสอน ขึ้นตามป่าดิบเขาท่ีเป็นหินปูน ความสูง 1000-1100 เมตร คล้ายกับมหาพรหม แตด่ อกมีขนาดใหญ่กว่า

7 7.แก้วมกุ ดำ ทมี่ ำ : https://community.akanek.com/th/plant- profile/%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%81% E0%B8%94%E0%B8%B2- %E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%A2- %E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8 %99%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B8%A1 ชอื่ วิทยำศำสตร:์ Fagraea racemosa Javanica, Fagraea blumeana ช่ืออนื่ : - วงศ์: LOGANIACEAE ไม้พุ่ม สูง 2-3 เมตร ทรงพุ่มแผ่กว้าง เปลือกต้นสีเทา ใบเดีย่ ว เรียงตรงขา้ ม รปู รหี รือรูปไข่กลับ ปลาย แหลมติ่ง โคนสอบเรียว ขอบเรียบ แผ่นใบหนา ผิวมัน สีเขียวเข้ม ออกดอกเป็นช่อ ตามซอกใบหรือปลายก่ิง ดอกสีขาวหรือดอกสีเหลืองอ่อน กลีบเช่ือมติดกันรูปปากแตร ปลายแยก 5 แฉก รูปหัวใจ ปลายเว้า กลีบม้วน งอออก เกสรเพศผู้ 5 เกสร ดอกมีกล่นิ หอม ฤดูกาลออกดอกเดือนพฤษภาคมถึงเดือนธนั วาคม นเิ วศนว์ ทิ ยำ: พบทกุ ภาคในประเทศไทย

8 8.พุดชมพู ทม่ี ำ : http://www.dnp.go.th/botany/mindexdictdetail.aspx?runno=4066 ช่อื วิทยำศำสตร์: Kopsia fruticosa (Roxb.) A. DC. ชอื่ อน่ื : ต่ึงตาใส (ภาคเหนือ); พดุ ชมพู, อุนากรรณ (กรงุ เทพฯ) วงศ:์ Apocynaceae ไมพ้ ุ่มหรอื ไม้ตน้ แตกกิ่งหนาแน่น สงู ไดถ้ งึ 6 ม. มขี นละเอียดตามกง่ิ อ่อนและช่อดอก ใบรูปรีหรอื รูป ขอบขนาน ยาว 5-22 ซม. ปลายเแหลมยาว โคนมนหรอื รปู ล่มิ กา้ นใบยาว 0.5-1.2 ซม. ชอ่ ดอกยาว 5-10 ซม. กา้ นดอกยาว 2-5 มม. กลีบเลี้ยงรปู ไขป่ ลายมน ยาว 1.5-2.5 มม. ขอบมีขนอยุ ดอกสีขาวอมชมพู ปากหลอด กลีบมีสเี ข้ม หลอดกลบี ยาว 2.5-3.5 ซม. ดา้ นในมีขน กลีบดอกรูปรี ปลายกลบี กลม ยาว 1-3.3 ซม. เกสรเพศ ผูต้ ดิ เหนือก่ึงกลางหลอดกลบี ดอก อบั เรณูยาว 2-2.5 มม. รังไข่มีขนหนาแน่น ก้านเกสรเพศเมยี ยาว 2-3.2 ซม. รวมยอดเกสร ผลรปู เคยี วแกมรปู ขอบขนาน ยาวประมาณ 1.7 ซม. มีเดือยหนาคล้ายตะขอ นิเวศน์วทิ ยำ: พบทางภาคเหนอื

9 9.โมกปำ่ ที่มำ : http://www.dnp.go.th/botany/detail.aspx?wordsLinkno=4719&words=%E0%B9%82%E0%B8%A1%E0%B8% 81%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%88&typeword=word ชือ่ วิทยำศำสตร:์ Holarrhena pubescens (Buch. – Ham.) wall. Ex G. Don ช่อื อื่น: - วงศ:์ APOCYNACEAE ไม้ยนื ต้นขนาดกลาง ลาต้นมสี นี า้ ตาล ใบเล็ก ขนาดเท่าใบมะยม มใี บหนาทบึ ดอกเลก็ สขี าว มีกลบี ชน้ั เดยี ว ออกดอกเป็นช่อ กล่นิ หอม โดยเฉพาะในเวลาเยน็ ผลมลี ักษณะเป็นฝกั คคู่ ล้ายโมกบ้าน แต่มีขนาดใหญ่ และยาวกวา่ เล็กน้อย พบขนึ้ ตามป่าเบญจพรรณทัว่ ไป โมกป่าไมช่ อบดนิ แนน่ ถา้ นาลงเล้ียงในกระถางโดยใช้ ดินเหนียวจัด มักจะไมง่ ามและออกดอกน้อย นิเวศน์วิทยำ: พืชถ่ินเดยี วของไทย พบตามปา่ เบญจพรรณและปา่ ดิบแล้ง ทจี่ .กาญจนบุรี

10 10.อรพิม ท่มี า : http://www.dnp.go.th/botany/detail.aspx ชือ่ วิทยำศำสตร์: Lysiphyllum winitii (Craib) de Wit ชอื่ อ่นื : ค้วิ นาง, อรพมิ (ภาคกลาง) วงศ์: Fabaceae ไม้เถาเน้ือแข็ง มีมือจับ กิ่งอ่อนมีขนสั้นนุ่มสีน้าตาล ใบย่อยแฉกลึกจรดโคน มีหูใบขนาดเล็ก 1 อัน ก้านใบประกอบยาวประมาณ 1 ซม. ใบย่อยรูปไข่ เบ้ียว ปลายกลม ยาว 3-4.5 ซม. ด้านล่างมีนวล เส้นแขนง ใบออกจากโคน 3-4 เส้น ไรก้ ้าน ช่อดอกยาวได้ถึง 20 ซม. กา้ นดอกหนา ยาว 4-8 มม. ตาดอกยาวประมาณ 3 ซม. ฐานดอกยาว 4-6 ซม. มีขนสั้นนุ่มสีน้าตาล มีร้ิว กลีบเลี้ยงยาวประมาณก่ึงหน่ึงของฐานดอก แฉกลึกจรด โคน กลีบดอกรูปรีหิรือรูปขอบขนาน ยาวได้ถึง 9 ซม. รวมก้านกลีบ กลีบหน้ามีสีเหลืองอ่อนแซม กว้างกว่า เลก็ น้อย ก้านชูอับเรณูสีขาว ยาวได้ถึง 7 ซม. อับเรณูสีนา้ ตาล รังไขร่ วมกา้ นยาวประมาณ 4 ซม. ก้านเกสรเพศ เมียยาวเท่า ๆ กับรังไข่ ยอดเกสรรูปโล่สีน้าตาลเข้ม ฝักบาง รูปใบหอก บิดงอเล็กน้อย ยาวได้ถึง 30 ซม. มี 6- 10 เมล็ด แบน เส้นผ่านศูนยก์ ลาง 1-1.5 ซม. นิเวศน์วิทยำ: พืชถิ่นเดียวของไทย พบทางภาคเหนือตอนล่างท่ีนครสวรรค์ ภาคกลางที่ลพบุรี สระบุรี และ ภาคตะวันตกเฉียงใตท้ กี่ าญจนบรุ ี ขน้ึ ตามทโี่ ล่งบนเขาหินปูนเตีย้ ๆ ความสูงถึงประมาณ 100 เมตร

11 11.สำรภที ะเล ทมี่ ำ : http://cfbt.or.th/pb/index.php/article/79-rayong ช่อื วิทยำศำสตร์: Calophyllum inophyllum L. ชือ่ อื่น: กะทิง ทงึ กะทึง วงศ:์ GUTTIFERAE ไม้ต้น ขนาดกว้างถึงขนาดใหญ่ สูง 8 - 20 เมตร ไม่ผลัดใบเรือนยอดเป็นพุ่มกลมทึบ เปลือกเรียบสี น้าตาลปนเทา ใบเดี่ยว ออกตรงกันข้ามสลับกัน แผ่นใบรูปไข่กลับ กว้าง 4.5 - 8 เซนติเมตร ยาว 8 - 15 เซนติเมตร ปลายมนหรือเว้าเล็กน้อย โคนสอบ เส้นใบชิดขนานกัน ดอก สีขาว กล่ินหอม ออกเป็นช่อตามง่าม ใบใกล้ปลายก่ิง ผลเป็นผลสดทรงกลม ปลายผลเป็นต่ิงแหลม เมื่อสุกจะมีสีเหลืองค่อนข้างกลม เส้นผา่ ศูนยก์ ลาง 2.5 - 3 เซนติเมตร ออกดอก ตลุ าคม - ธนั วาคม เปน็ ผล พฤศจิกายน - มกราคม นิเวศน์วทิ ยำ: ชอบขนึ้ ตามป่าใกล้ชายทะเล ปลกู ได้ทั่วไปท่ีสงู จากระดับนา้ ทะเล 5 - 50 เมตร เปน็ ต้นไม้ ประจาจ.ระยอง

12 12.พุดภูเกต็ ทม่ี ำ : https://www.baanlaesuan.com/plants/perennial/137240.html ชื่อวิทยำศำสตร:์ Gardenia thailandica Tirveng. ช่อื อ่ืน: - วงศ์: Rubiaceae ไม้ต้นความสูง 3 – 6 เมตร ลาต้นเปลือกต้นหนาสีน้าตาลอ่อน แตกก่ิงน้อย มีใบเฉพาะปลายก่ิง ใบ เด่ียว รูปไข่กลับ ยาว 10 – 15 เซนติเมตร ปลายใบเรียวแหลม ผิวใบด้านบนเห็นเส้นใบย่อยเป็นร่องเด่นชัด ดอกเดี่ยว ออกที่ซอกใบใกล้ปลายยอด มี 6 – 8 กลีบ ดอกเร่ิมแย้มสีขาวนวลแล้วเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและ เหลืองเข้ม เมื่อใกล้โรย เส้นผ่านศูนย์กลางดอก 6 – 8 เซนติเมตร ดอกบาน 2 วันแล้วโรย ส่งกล่ินหอมอ่อนๆ ตลอดวัน ออกดอกเดือนเมษายน – กรกฎาคม นิเวศน์วิทยำ: พืชถ่ินเดียวของไทย พบในภาคใต้ฝั่งตะวันตกตั้งแต่ภูเก็ต พังงา จนถึงสตูล พบคร้ังแรกโดย ศาสตราจารยช์ วลิต นิยมธรรม ทอ่ี าเภอกระทู้ จังหวัดภเู ก็ต

13 13.บุหงำสำหรี ที่มำ : http://www.dnp.go.th/botany/mindexdictdetail.aspx?runno=3118 ช่ือวิทยำศำสตร์: Citharexylum spinosum L. ช่อื อ่นื : - วงศ์: VERBENACEAE ไม้พุ่มหรือไม้ต้น สูงได้ถึง 15 ม. แยกเพศต่างต้น กิ่งเป็น 4 เหลี่ยม ใบเรียงตรงข้ามสลับตั้งฉาก รูปรี รูปขอบขนาน หรือแกมรูปไข่กลับ ยาว 3-20 ซม. โคนเรียวแคบจรดก้านใบ แผ่นใบเกลี้ยงหรือมีขนประปราย ด้านล่าง เส้นแขนงใบข้างละ 3-6 เส้น ก้านใบสีส้มอมแดง ยาว 1-2.5 ซม. ช่อดอกแบบช่อกระจะออกท่ีปลาย กิ่งหรือซอกใบ ยาวได้ถึง 40 ซม. ห้อยลง กลีบเลี้ยงรูปถ้วย ยาว 3-4 มม. ปลายจักตื้น ๆ 5 แฉก หรือเกือบ เรียบ ติดทน ดอกรูปดอกเข็ม หลอดกลีบดอกยาว 3-6 มม. มี 5 กลบี รูปขอบขนานยาวเท่า ๆ หลอดกลีบดอก ปากหลอดกลีบมีขนส้ันนุ่ม เกสรเพศผู้อันส้ัน 2 อัน อันยาว 2 อัน ติดประมาณกึ่งกลางหลอดกลีบ ไม่ย่ืนพ้น ปากหลอดกลีบ ยอดเกสรเพศเมียแยก 2 พู ผลผนังช้นั ในแขง็ สุกสดี าอมมว่ ง นิเวศน์วิทยำ: พบทุกภาคในประเทศไทย เป็นไม้ประดับท่ัวไปในเขตร้อน ดอกมีกลิ่นหอมแรงโดยเฉพาะเวลา กลางคืน ชื่อชนิดตั้งตามตัวอยา่ งใบออ่ นท่ีขอบใบมหี นาม

14 14.จำปำสิรินธร ทมี่ า : http://www.dnp.go.th/botany/mindexdictdetail.aspx?runno=1579 ชือ่ วทิ ยาศาสตร:์ Magnolia sirindhorniae Noot. & Chalermglin ช่อื อื่น: - วงศ:์ Magnoliaceae ไม้ต้น สูงได้ถึง 30 ม. หูใบติดก้านใบประมาณก่ึงหนึ่ง ใบรูปรีหรือรูปขอบขนาน ยาว 11-26 ซม. ปลายแหลมมน แผ่นใบด้านล่างมีขนประปราย ก้านใบยาว 2.5-4 ซม. ช่อดอกยาว 1.3-2.2 ซม. ก้านดอกสั้น ดอกสีครมี อมเหลือง มี 12-15 กลีบ เรยี ง 2 วง รูปขอบขนานหรอื รูปใบหอก วงนอก 3-4 กลบี ยาว 3-4.5 ซม. วงใน 8-12 กลบี เรียวแคบกวา่ เลก็ นอ้ ย เกสรเพศผู้ยาว 0.6-1.2 ซม. กา้ นชูอับเรณยู าว 3.5-4 มม. แกนอบั เรณู เป็นรยางค์ รูปสามเหลี่ยม ยาวประมาณ 1 มม. มี 25-35 คาร์เพล ก้านยาว 0.8-1 ซม. ขยายในผล ผลย่อย แยกกนั ยาว 1-1.4 ซม. นิเวศน์วิทยำ: พืชถ่ินเดียวของไทย พบทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่เลย ภาคตะวันออกที่ชัยภูมิ และภาค กลางที่ลพบุรี ข้ึนตามป่าพรุน้าจืด ความสูงถึงประมาณ 200 เมตร คาระบุชนิดเพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี

15 15.พุดน้ำบุศย์ ที่มำ : https://www.facebook.com/496170607201628/posts/503601176458571/ ชือ่ วิทยำศำสตร์: Gardenia carinata Wall. ex. Roxb. ชื่ออ่ืน: - วงศ:์ RUBIACEAE ไม้พุ่ม ขนาดเล็ก สูง 2-4 เมตร แตกกิ่งต่าจานวนมาก ทรงพุ่มแน่นทึบ กิ่งแตกตรงข้อเป็น 2-3 ก่ิง ใบ เรยี งสลับแบบต้งั ฉาก ใบเด่ยี ว รูปรี กว้าง 3-6 ซม. ยาว 8-14 ซม. ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ เนอ้ื ใบบางเป็น มัน ท้องใบสีเขียวเข้ม หลังใบสีเขียวอ่อน เส้นกลางใบสีขาวเห็นชัดเจนทางด้านท้องใบ เส้นใบเด่นชัดท้ังสอง ด้าน มีหูใบแบบ Interpetiolar stipule ดอกเดี่ยวออกท่ีซอกใบใกล้ปลายก่ิง กลีบเล้ียงเป็นแฉกสีเขียวอ่อน เช่ือมติดกันหุ้มรอบหลอดดอก กลีบดอกสีเหลืองอ่อนไปจนถึงสีแสด เชื่อมติดกันเป็นหลอด ยาว 10-12 ซม. ปลายแยกเป็น 7-8 แฉก เมื่อดอกบานมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 3-4 ซม. เกสรเพศผู้จานวน 7 อัน ติดอยู่ระหว่าง กลีบดอก เกสรเพศเมียยาวเลยหลอดดอก ดอกมีกล่ินหอม ดอกท่ีเริ่มบานมีสีเหลือง บานอยู่ได้ 1-2 วัน ดอก ใกลโ้ รยเปลย่ี นเป็นสเี หลอื งเข้ม นิเวศน์วิทยำ: พบทุกภาคในประเทศไทย พุดน้าบุศย์มีดอกสวยและมีกลิ่นหอมแรง โชยกลิ่นได้ตลอดทั้งวัน ดอกหอม คนจงึ นยิ มนามาปลกู ในบริเวณบ้าน หรือตามสวนสาธารณะ

16 16.ประทัดกะเหรย่ี งน้อย ท่ีมำ : http://www.qsbg.org/database/botanic_book%20full%20option/search_detail.asp?botanic_id=1403 ช่ือวิทยำศำสตร์: Agapetes macrostemon (Kurz) C.B. Clarke ชอื่ อื่น: - วงศ์: ERICACEAE ไม้พุ่มอิงอาศัย สูงถึง 1 เมตร โคนต้นอวบบวม ใบ เดี่ยว เรียงเวียนรอบกิ่ง รูปใบหอก กว้าง 1.7-4.5 ซม. ยาว 6.5-11.5 ซม. ปลายใบเรยี วเเหลม ผิวใบเกลี้ยง ดอก สีแดง หรือแดงสม้ ออกเปน็ ช่อตามก่ิงใกล้ปลาย ยอด มี 5-10 ดอกย่อย กลีบรองดอก รูปหลอด ปลายแยกเป็น 5 แฉกต้ืน กลีบดอก รูปหลอดป่องโค้ง ยาว 1.8-2.5 ซม. ผิวเกลี้ยง เป็นสัน 5 สัน ปลายกลีบ แยกเป็น 5 แฉก รูปแถบปลายแหลมม้วนกลับทางด้านหลัง ผล รูปรีหรือรปู ไข่ ขนาดผ่านศูนยก์ ลาง 7-10 มม. ปลายผลมกี ลบี รองดอก ติดทน เมลด็ ขนาดเล็กจานวนมาก นิเวศน์วิทยำ: ประเทศไทยพบเกาะอาศัยตามต้นไม้ใหญ่ ในป่าดิบเขา ที่ความสูง 1,400-1,650 เมตร ทาง ภาคเหนอื ทจ่ี ังหวดั เชียงใหม่ และแมฮ่ อ่ งสอน ออกดอกชว่ งเดือนมนี าคม-เมษายน ติดผลเดือน มถิ ุนายน

17 17.ศรีตรัง ทมี่ ำ : https://community.akanek.com/th/green/plant-jacaranda ช่อื วิทยำศำสตร:์ Jacaranda obtusifolia Humb. & Bonpl. ชอื่ อน่ื : - วงศ:์ BIGNONIACEAE ไม้ต้นขนาดเล็ก สูง 4-10 เมตร ผลัดใบ เรือนยอดรูปทรงไม่แน่นอน โปร่ง เปลือกต้นสีน้าตาลปนเทา ใบประกอบแบบขนนกสองชั้น ปลายคี่ กา้ นใบรวมยาว 40-50 ซม. ใบย่อยจานวนมาก เรียงตรงขา้ ม รูปรีหรือ รูปขอบขนานแกมรูปส่ีเหล่ียมขา้ วหลามตัด กว้าง 0.5-0.7 ซม. ยาว 1-1.5 ซม. ปลายใบแหลม โคนใบมน แผ่น ใบท้ังสองด้านขนาดไม่เท่ากัน ดอกสีม่วง ออกดอกเป็นช่อแขนงขนาดใหญ่ที่ปลายก่ิง ช่อดอกรูปพีระมิด ยาว 5-9 ซม. ดอกย่อยจานวนมาก เส้นผ่าศูนย์กลางดอก 1.5-2.5 ซม. โคนกลีบดอกเช่ือมติดกันเป็นหลอด ยาว 2- 4 ซม. ปลายแยกเป็น 5 กลีบ คล้ายรูประฆัง ดอกทยอยบาน และมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ผลเป็นฝักแบน กว้าง 1- 1.5 ซม. ยาว 2-2.5 ซม. เม่ือแกจ่ ะแตกออกเปน็ 2 ซีก เมลด็ แบนขนาดเล็ก มีปีก นิเวศน์วิทยำ: เป็นต้นไม้ประจาจังหวัดตรัง ต้นศรีตรังต้นแรกท่ีถูกปลูกในบ้านเราอยู่ที่จังหวัดตรัง โดยพระ ยารษั ฎานุประดิษฐ์ สมหุ เทศาภิบาลมณฑลภเู กต็ เปน็ ผนู้ ามาปลกู เมอ่ื ประมาณ 100กว่าปที แ่ี ล้ว

18 18. โมกมัน ทีม่ า : http://www.dnp.go.th/botany/detail.aspx ชอื่ วิทยำศำสตร์: Wrightia arborea (Dennst.) Mabb. ชื่ออื่น: แนแก (กะเหร่ียง-แม่ฮ่องสอน); มักมัน (สุราษฎร์ธานี); มูกน้อย, มูกมัน (น่าน); โมกน้อย, โมกมัน (ท่ัวไป); เสท่ อื (กะเหร่ยี ง-แมฮ่ อ่ งสอน) วงศ:์ Apocynaceae ไม้ต้น สงู ได้ถึง 20 ม. ใบรูปรี ยาว 3-18 ซม. ก้านใบยาว 2-7 มม. ช่อดอกยาว 2-7 ซม. ก้านดอกยาว 0.5-1 ซม. กลีบเลี้ยงรูปไข่ ยาว 1-3 มม. ดอกสีขาวอมเขียว เหลืองอ่อน หรือสีชมพู หลอดกลีบดอกยาว 3-7 มม. กลีบรูปขอบขนาน ยาว 0.8-1.5 ซม. โคนเรียว กะบัง 2 ช้ัน แผ่กว้าง ด้านนอกมีขนกระจาย กะบังหน้า กลีบดอกแนบติดกลีบดอกประมาณกึ่งหนึ่ง จักเป็นคลื่น กะบังระหวา่ งกลีบดอกรูปตัววี สนั้ กว่ากะบังหนา้ กลีบ ดอกเล็กนอ้ ย เกสรเพศผู้ติดบนคอหลอดกลีบดอก อับเรณูยาว 5-6 มม. รังไข่เกล้ยี ง กา้ นเกสรเพศเมียยาว 6-8 มม. รวมยอดเกสร ผลรูปกระสวยติดกัน แห้งแยกกัน ยาว 10-34 ซม. มีช่องอากาศ เมล็ดยาว 1.5-1.7 ซม. กระจุกขนยาว 5-6 ซม. นิเวศน์วิทยำ: ไทยพบมากทางภาคเหนือ กระจายห่าง ๆ ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ และภาคใต้ตอนบน ขึ้น ตามชายป่าหรอื ในป่าดิบแล้ง และป่าเบญจพรรณ ความสงู 200-1500 เมตร

19 19.พุดรกั นำ ท่ี ม ำ : http://www.sompothpanmai.com/index.php?lay= show&ac= cat_show_ pro_detail&pid=826742 ช่อื วิทยำศำสตร:์ Gardenia thailandica Tirveng ช่อื อนื่ : - วงศ:์ RUBIACEAE ไม้พุ่ม สูง 2-3 เมตร ตามท่ีกล่าวข้างต้น ใบเป็นใบเดี่ยวออกตรงกันข้ามเป็นคู่ รูปไข่กลับ ปลายเรียว แหลมและเป็นต่ิง โคนใบสอบ เส้นแขนงใบมองเห็นชัดเจน ดอก ออกเป็นดอกเด่ียวๆ หรือเป็นช่อ 2-3 ดอก ออกตามซอกใบใกล้ปลายกิ่ง กลีบเลี้ยงเป็นหลอดยาว ดอกโคนเชื่อมกันเป็นหลอดยาว 4 ซม. ปลายแยกเป็น กลีบดอก 6-9 กลีบ ส่วนใหญ่จะมี 8 กลีบ กลีบดอกมักจะซ้อนสลับซ้าย แต่ละกลีบเป็นรูปรีหรือรูปหอก ดอก เปน็ สีนวลก่อนเปลี่ยนเป็นสีเหลอื งออ่ นและเหลอื งเข้มตามลาดบั ดอกเมอื่ บานเต็มท่ี เส้นผา่ ศนู ย์กลางประมาณ 7-10 ซม. ดอกมีกลิ่นหอม เวลามีดอกดกและดอกบานพร้อมกันทั้งต้นจะดูสวยงามและส่งกลิ่นหอมเป็นที่ชื่น ใจย่ิงนกั “ผล” เป็นรูปกลมรี ปลายผลมีกลีบเลย้ี งตดิ อยู่ ผลสกุ เป็นสีดา มีเมล็ดขนาดเล็กจานวนมาก ดอกออก ตลอดทง้ั ปี จะมีดอกดกในช่วงระหวา่ งเดอื นมีนาคมต่อเนอื่ งไปจนถึงเดอื นเมษายนทุกปี นิเวศนว์ ทิ ยำ: พชื ถน่ิ เดยี วของไทย เปน็ พันธ์ุไม้หอมขนาดเลก็ พบท่ีจังหวดั นา่ น

20 20.สำธร ทม่ี ำ : http://www.panmai.com/PvTree/tr_21.shtml ชอ่ื วทิ ยำศำสตร์: Millettia leucantha Kurz ช่อื อน่ื : - วงศ:์ LEGUMINOSAE - PAPILIONOIDEAE ไม้ต้นขนาดกลางผลัดใบ สูง 18-20 เมตร เรือนยอดกลมหรือทรงกระบอก เปลือกต้นสีเทาเรียบหรือ แตกเป็นสะเก็ดเล็ก ๆ ต้ืน ๆ เน้ือไม้สีขาวอมน้าตาล แกน่ สีน้าตาลอมดา เรือนยอดเป็นพุ่มทึบ ใบอ่อนและยอด อ่อนมีขนยาวอ่อนนิ่มคล้ายเส้นไหมปกคลุมอยู่ ใบเป็นใบประกอบรูปขนนกเรียงสลับ ใบย่อยติดเป็นคู่ตรงกัน ขา้ ม 3-5 คู่ ปลายสุดเป็นใบเด่ียวแผ่นใบย่อย รูปรี กว้าง 3-5.5 เซนติเมตร ยาว 5-12 เซนติเมตร ปลายแหลม โคนมน ด้านล่างใบสีอ่อนกว่าด้านบน ใบแก่เกล้ียง ดอกออกเป็นช่อกระจายแยกแขนงสีขาว ยาวประมาณ 20 เซนติเมตร ออกพร้อมใบอ่อน รูปดอกถ่ัว กลีบดอก 5 กลีบ กลีบเล้ียง 4 กลีบตดิ กันเป็นหลอดสั้น ออกรวมกัน เป็นช่อตามง่ามใบและปลายกิ่ง ออกดอกช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ผลเป็นฝักแบน รูปขอบขนานคล้ายฝัก มีด มีเปลือกแข็ง กว้างประมาณ 2 เซนติเมตร ยาว 4-10 เซนติเมตร ฝักแก่แตกเป็น 2 ซีก ฝักหน่ึง ๆ มี 1-3 เมล็ด เมล็ดสีน้าตาล รปู ร่างแบนคล้ายโล่ เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.3 เซนติเมตร ขยายพันธ์ดุ ้วยการเพาะ เมลด็ ออกดอก มีนาคม - พฤษภาคม ฝักแก่ พฤษภาคม - สงิ หาคม นเิ วศนว์ ิทยำ: พบข้นึ ในปา่ เบญจพรรณใกลแ้ หล่งนา้ ทั่ว ๆ ไป ในพื้นทท่ี สี่ งู จากระดับนา้ ทะเลไมเ่ กนิ 600 เมตร ต้นไมป้ ระจาจังหวัดนครราชสีมา

21 21.มะคำแต ท่มี า:http://www.dnp.go.th/botany/PDF/publications/Honor_Plants/honorPlants9.pdf ช่ือวิทยำศำสตร:์ Sindora siamensis Teijsm. ex Miq. ชอ่ื อื่น: - วงศ์: LEGUMINOSAE-CAESALPINIOIDEAE ไมตนผลัดใบ สูงประมาณ 15 ม. เปลือกเรยี บ สีเทาดา กิ่งออนและยอดออนมี ขนปกคลุมหรอื เกล้ียง ใบประกอบแบบขนนกปลายคู เรยี งสลบั มีหูใบ 2 ใบ รูปเคียว ใบยอยเรยี งตรงขาม มี 3-4 คู ใบรูปรหี รอื รูป รีแกมขอบขนาน กวาง 3-8 ซม. ยาว 6-15 ซม. ปลายใบมน กลม หรือเวาตน้ื โคนใบมน หรือสอบแคบ ขอบใบ เรียบ แผนใบหนาคลายแผนหนงั ผิวใบดานลางมีขนสั้นนุม ชอดอกแยกแขนง ยาว 10-25 ซม. ออกตามปลาย กงิ่ มีขนสั้น สีน้าตาลหนาแนน ใบประดับขนาดเล็ก 1-2 อัน รูปรีหรือรูปไขกลับ กลีบเล้ียง 4 กลบี สีเขียว รปู รี หรือรูปไข กลีบโคงรูปเรือ ปลายกลีบแหลม ผิวกลีบดานนอกใกลปลายกลีบมีตุมหนาม สั้น ๆ กลีบไมเทากัน กลีบใหญสุดรองรับกลีบดอก กลีบดอก 1 กลีบ สีเหลืองแกมแดง กลีบโคงรูปเรือ มีขน เกสรเพศผู 10 อัน เชื่อมติดเปนสองกลุม กลุมแรกมี 9 อัน ขนาดไมเทากัน แตมีอันใหญสุด 2 อัน กานชูอับเรณูโคงสีชมพู มีขน อบั เรณูสีเหลืองแกมนา้ ตตาลสวนเกสรเพศ ผูอกี 1 อันเปนหมนั เปนเสนส้ัน ๆ เกสรเพศเมีย 1 อัน รังไขเหนือ วงกลีบ สีเ เขียว มีขนหนาแนน กานเกสรยาวโคงมวนกลับ ผลเปนฝกแบน รูปไข หรือรี ขอบหนา ผิวมีหนาม มจานวนมาก ปลายผลเปนจงอยแหลม มเี มลด็ 1-3 เมลด็ ผิวเรยี บ สนี ้าตาลดา นิเวศน์วิทยำ: มะคาแตพบข้ึนท่ัวไปในปาเต็งรัง ปาชายหาด และปาเบญจพรรณแลง ขึ้นไดดีบนพื้นท่ีเสื่อม โทรม คอนขางแลง ออกดอกเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม ผลแกเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายน เน้ือไม ใชประโยชนได ฝกและเปลอื กใ ใหินฝ้ าดใชฟอกหนัง

22 22.สงั กรณี ท่ีมำ : https://medthai.com/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%B5/ ชอ่ื วิทยำศำสตร์: Barleria strigosa Willd. ชื่ออื่น: กวางหีแฉะ (สุโขทัย); กาแพงใหญ่ (เลย); ข้ีไฟนกคุ่ม (ปราจีนบุรี); เท่ิงดี (กะเหร่ียง-กาญจนบุรี); สงั กรณี (ภาคกลาง); หญ้าหงอนไก,่ หญ้าหัวนาค (ภาคเหนอื ) วงศ์: Acanthaceae ไม้พุ่ม สูง 1-1.5 ม. มีขนแข็งเอนตามลาต้น แผ่นใบด้านล่าง และใบประดับ ใบรูปรีถึงรูปใบหอก ยาว 5.5-15 ซม. ปลายแหลมถึงยาวคล้ายหาง โคนเรียวสอบ ก้านใบยาวได้ถึง 3 ซม. ช่อดอกแบบช่อกระจุกคล้าย ชอ่ เชงิ ลดสน้ั ๆ ใบประดับและใบประดบั ย่อยเรียงหนาแน่น รูปรีหรือรูปขอบขนาน ยาว 1-2 ซม. ปลายแหลม กลีบเลี้ยงเรียงซ้อนเหล่ือม คู่นอกรูปไข่หรือแกมรูปขอบขนาน ยาว 1-3 ซม. ขอบจักถ่ีเป็นต่ิงหนาม ปลาย แหลมยาว กลบี คู่ในแคบและสนั้ กว่า ดอกสีม่วงอมน้าเงิน หลอดกลีบยาว 2-4 ซม. กลีบบน 4 กลบี รูปไข่กลับ ยาว 2-3 ซม. กลีบคู่ในแคบกว่า กลีบล่างรูปรีกว้าง เกสรเพศผู้อันสั้น 2 อัน อันยาว 2 อัน อันยาวยื่นเลยปาก หลอดกลีบ อับเรณูยาว 3-4 มม. รังไข่เกลี้ยง ผลรูปรีแคบ ยาว 1.5-2 ซม. มี 4 เมล็ด แบน เส้นผ่านศูนย์กลาง ประมาณ 5 มม. มีขน นิเวศน์วิทยำ: พบทั่วทุกภาค ภาคใต้จนถึงชุมพร ขึ้นตามป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง และป่าดิบเขา หรือตาม เขาหินปูน ความสูงถึงประมาณ 1500 เมตร มีสรรพคุณยั้บย้ังการเติบโตของแบคทีเรีย แก้อักเสบ ลดการเกร็ง ของกลา้ มเนอื้ คลา้ ยกับอังกาบ B. cristata L.

23 23.โมกหลวง ทีม่ ำ : http://www.dnp.go.th/botany/mindexdictdetail.aspx?runno=4719 ชือ่ วทิ ยำศำสตร์: Holarrhena pubescens Wall. ex G. Don ชอื่ อน่ื : - วงศ:์ APOCYNACEAE ไม้ต้น สูงได้ถึง 15 ม. มีขนส้ันนุ่มตามก่ิง แผ่นใบ ช่อดอก และกลีบเลี้ยงด้านนอก ใบรูปรีหรอื รูปขอบ ขนาน ยาว 4.5-30 ซม. ปลายแหลมหรือแหลมยาว แผ่นใบบาง มีขนสั้นนุ่มหรือเกลี้ยง ก้านใบยาว 2-4 มม. ช่อดอกส่วนมากออกตามซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ยาว 4-10 ซม. ใบประดับยาว 1-4 มม. ร่วงเร็ว กา้ นดอกส้ันมาก กลีบเล้ียงรูปขอบขนานหรือรูปใบหอก ยาว 2-4 มม. ดอกสีขาว มีกลิ่นหอม หลอดกลีบดอกยาว 0.8-1.4 ซม. กลบี รปู ไข่กลบั หรือแกมรูปขอบขนาน ยาว 1-2 ซม. ก้านชูอับเรณโู คนมีขน อับเรณูยาวประมาณ 1.5 มม. ก้าน เกสรเพศเมียยาว 1.8-2.5 มม. รวมยอดเกสร ผลออกเป็นคู่ ห้อยลง มีช่องอากาศกระจาย ยาว 18-34 ซม. เมลด็ เกลย้ี ง กระจุกขนจานวนมาก ยาว 2.3-4.5 มม. นิเวศน์วิทยำ: พบท่ีจังหวัดแม่ฮ่องสอน ทุกภาคยกเว้นภาคใต้ตอนล่าง ความสูงถึงประมาณ 1100 เมตร เปลอื กมสี รรพคณุ รักษาอาการบิดและท้องเสีย แก้พิษไข้

24 24.เหลืองปรดี ยี ำธร ที่มำ : http://www.dnp.go.th/botany/mindexdictdetail.aspx?runno=12108 ชอื่ วิทยำศำสตร์: Tabebuia argentea Britton ชอื่ อน่ื : - วงศ:์ BIGNONIACEAE ไม้ต้น สูงได้ถึง 15 ม. เปลือกหนาเป็นคอร์ก ใบรูปฝ่ามือ เรียงตรงข้าม มีใบย่อย 5-9 ใบ ก้านใบ ประกอบยาว 4-9 ซม. ใบย่อยรูปขอบขนานหรือรูปใบหอก ยาว 1-14 ซม. ปลายแหลมหรือมน โคนรูปล่ิม กว้าง มน หรือเว้าต้ืน แผ่นใบหนา มีเกล็ดสีเงินรูปโล่ท้ังสองด้าน ก้านใบย่อยยาว 1-5 ซม. ด้านบนเป็นสันคม ท้ังสองข้าง ใบคู่ล่างขนาดเล็ก โคนสอบเรียว ก้านสั้น ใบอ่อนสีน้าตาลเข้ม ช่อดอกแบบช่อกระจุกแยกแขนง ออกที่ปลายกิ่ง กลีบเลี้ยงรูประฆัง หนา ยาว 0.8-1.7 ซม. แยก 2 แฉกต้ืน ๆ ด้านนอกมีเกล็ด ดอกสีเหลืองรูป แตร ยาวได้ถึง 8 ซม. ปลายแยก 5 กลบี รูปกลม เกสรเพศผู้ 2 คู่ ยาวไม่เท่ากัน ไมย่ ื่นพ้นปากหลอด เกสรเพศ ผู้เป็นหมัน 1 อัน รังไข่มี 2 ช่อง ก้านเกสรเพศเมียไม่ยื่นพ้นปากหลอด ยอดเกสรแยก 2 แฉก ผลแห้งแตกเป็น 2 ซกี รูปขอบขนาน ยาว 8-15 ซม. ไม่มีสนั มเี กล็ดปกคลุมหนาแนน่ เมลด็ บาง มปี ีกบางทั้งสองด้าน นิเวศน์วิทยำ: พบทุกภาคในประเทศไทย พบมากท่ีจังหวัดสุพรรณบุรี นิยมปลูกเป็นไม้ประดับริมถนนในเขต รอ้ น

25 25.ส่ำเหลำ้ ปัตตำนี ทมี่ ำ : http://www.qsbg.org/database/botanic_book%20full%20option/search_detail.asp?botanic_id=2370 ช่ือวิทยำศำสตร์: Desmos cochinchinensis Lour. ชอื่ อ่นื : นางดา โยม สา่ เหล้าช้าง วงศ์: ANNONACEAE ไมเ้ ถาเลื้อยเน้ือแข็ง ใบเด่ียว เรียงสลบั รปู รีแกมรูปขอบขนาน โคนใบมน ปลายใบแหลม ขอบใบเรยี บ ดอกเดี่ยว ออกนอกซอกใบ ห้อยลง มีกลิ่นหอม กลีบเล้ียง 3 กลีบ สีเขียว รูปสามเหลี่ยม กลีบดอก 6 กลีบ เรียงเป็นสองวง สีเหลอื ง รูปหอก ปลายกลีบงมุ้ เข้า กลีบวงในมีขนาดเล็กและสั้นกว่า ก้านดอกเรียวยาว สีม่วง แดง ผลเป็นผลกลุ่ม มีผลย่อย 6-15 ผล รูปทรงกระบอก สีดา ผิวผลเรียบเป็นมันและมีรอยคอดในแต่ละช่วง เมลด็ แตล่ ะผลย่อยมี 2-6 เมลด็ นเิ วศน์วิทยำ: พบทางภาคใต้ของประเทศไทย พบขึ้นกระจายตามปา่ ดบิ ชืน้ และป่าเบญจพรรณ ท่ีระดบั ความ สูง 100-600 เมตร ออกดอก เกือบตลอดปี การปลูกเล้ียง ดินร่วน แสงแดดจัดถึงร่มราไร น้าปานกลาง ขยายพนั ธุ์ เพาะเมลด็ ตอนก่งิ

26 26.ขำนำง ท่ีมำ : http://www.dnp.go.th/botany/mindexdictdetail.aspx?runno=1019 ชอื่ วิทยำศำสตร์: Homalium tomentosum (Vent.) Benth. ชอื่ อื่น: - วงศ์: FLACOURTIACEAE ไม้ต้นผลัดใบ สูงได้ถึง 40 ม. ลาต้นเปลาตรง เปลือกเรียบ กิ่งอ่อนมีขนสั้นนุ่ม ใบรูปไข่กลับ ยาว 10- 25 ซม. ปลายมนมีติ่งแหลม แผ่นใบด้านบนมีขนสัน้ สาก ด้านล่างมีขนสั้นนุ่ม ก้านใบยาวประมาณ 5 มม. ดอก ออกเป็นกระจุกสั้น ๆ เรียงเวียนบนแกนช่อ ห้อยลง ยาว 10-35 ซม. แต่ละกระจุกมี 2-5 ดอก ไร้ก้าน มีกลิ่น เหม็น กลีบเลี้ยงและกลีบดอกอย่างละ 5-6 กลีบ หลอดกลีบเล้ียงรูปกรวย เชื่อมติดรังไข่เกินก่ึงหน่ึง กลีบรูป ขอบขนาน ยาวประมาณ 1.5 มม. มีขนคล้ายขนแกะ เกสรเพศผู้ 5-6 อัน ก้านชูอับเรณูเกล้ียง ก้านเกสรเพศ เมีย 2-3 อนั สนั้ กวา่ กลบี เลี้ยงและกลบี ดอก ตดิ ทน ผลรปู กรวยกลับ กลีบเลย้ี งขยายคล้ายปกี นิเวศน์วิทยำ: ต้นไม้ประจาจังหวัดกาญจนบุรี พบทุกภาค ขึ้นตามป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง และป่าดิบชื้น เขาหนิ ปนู ความสงู 100-350 เมตร

27 27.โยทะกำ ทีม่ ำ : http://www.bsru.ac.th/identity/archives/1729 ชอื่ วิทยำศำสตร์: Bauhinia monandra Kurz ชื่ออ่นื : - วงศ์: CAESALPINIACEAE ไม้ยืนต้นขนาดกลาง ใบรูปไข่ค่อนข้างกลม ปลายและโคนใบเว้าลึก มองเหมือนใบแฝดติดกัน เชน่ เดียวกับใบกาหลงและใบชงโค ดอกใหญ่ออกเป็นชอ่ มกี ลีบสีเหลือง เมือ่ บานได้ ๒ วัน สีกลีบจะเปล่ียนเป็น สีชมพูเข้ม ทรงดอกเป็น ๕ กลีบ คล้ายดอกกล้วยไม้ เมื่อดอกร่วงหล่นจะติดฝักรูปร่างแบน ยาว ราว ๙-๑๕ เซนติเมตร เม่ือฝักแก่จัดจะแตกออกจากกัน เปลอื กของโยทะกาเป็นเสน้ ใย ใช้ทาเชือกปอ ไดโ้ ยทะกาเป็นต้นไม้ ท่ีมีถ่ินกาเนิดด้ังเดิมอยู่ในประเทศไทย เช่นเดียวกับกาหลงและชงโค พบได้ในป่าธรรมชาติของทุกภาค จึง ปรากฏช่ืออยู่ในวรรณคดีไทย ต้ังแต่สมัยกรงุ ศรีอยุธยาเป็นราชธานี ดังเช่นในสักกบรรพคาฉันท์ ซ่ึงแต่งในสมัย อยุธยา ตอนหนง่ึ บรรยายถึง” ปรูประประยงค์ ชงโคตะโกโยธกา” นเิ วศน์วิทยำ: พืชถ่ินเดียวของไทย พบได้ในปา่ ธรรมชาติของทุกภาค

28 28.ดอกเขำ้ พรรษำ ท่ี ม ำ : http://www.qsbg.org/database/botanic_book%20 full%20 option/search_detail.asp?bota nic_id=2960 ชอ่ื วิทยำศำสตร:์ Smithatris supraneanae W.J.Kress & K.Larsen ชอื่ อ่นื : - วงศ์: Zingiberaceae ส่วนเหนือดนิ สูงได้ถึง 120 ซม. ใบ 5 - 7 ใบ ก้านใบยาว แผ่นใบรปู ใบหอก สีเขียวปนเทา ช่อดอกเกิด ที่ยอด กา้ นชอ่ ยาว ใบประดบั สีขาวนวล กลีบเล้ยี งและหลอดกลบี ดอกสีขาว แฉกกลบี ดอก สเตมโิ นด กลีบปาก และเกสรเพศผู้สีเหลอื ง นเิ วศน์วิทยำ: พชื ถน่ิ เดียวของไทย พบบรเิ วณพ้ืนที่ชืน้ ในเขาหินปนู แถบจงั หวัดลพบุรีและสระบรุ ี

29 29.กระพจ้ี ั่น ที่มำ : http://adeq.or.th/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99/ ชือ่ วิทยำศำสตร:์ Millettia brandisiana Kurz ชื่ออื่น: จ่นั พ้ีจ่ัน (ท่ัวไป) ป้ีจน่ั (ภาคเหนอื ) วงศ์: FABACEAE ไม้ต้น ขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ผลัดใบ สูง 8 - 20 เมตร เรือนยอดทรงกลม โคนต้นเป็นพูพอน เปลอื กสีน้าตาลหรือ น้าตาลเทาแตกเป็นสะเก็ดเล็ก ๆ ตามก่ิงมรี อยแผลท่ัวไป ใบประกอบรปู ขนนก ออกเวียน สลบั มีใบย่อย 7 - 21 ใบ แผน่ ใบยอ่ ยรูปรแี กมขอบขนาน กวา้ ง 1 - 3 เซนติเมตร ยาว 3 - 7 เซนติเมตร ปลาย ใบเรียวแหลม โคนมนหรือแหลม แผ่นใบบาง ดอกรูปออกถ่ัว สีขาวปนม่วง ออกตามกิ่งและง่ามใบ ผลเป็นฝัก แบน โคนแคบกว่าปลาย กว้าง 2 - 2.5 เซนติเมตร ยาว 9 - 12 เซนติเมตร เปลือกเกลี้ยงหนาคล้ายแผ่นหนัง ขอบเป็นสัน เมล็ดสีน้าตาลดา 1 - 4 เมล็ด ออกดอกเดือนกุมภาพันธ์ – เดือนเมษายน ติดผลเดือนมีนาคม – เดอื นพฤษภาคม นิเวศน์วิทยำ: พันธุ์ไม้พระราชทานเพ่ือปลูกเป็นมงคลจังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทยพบตามป่าเบญจพรรณ และป่าเตง็ รังทว่ั ทกุ ภาค ทคี่ วามสูง 50 – 300 เมตร จากระดับน้าทะเล

30 30.คำปำ่ ทม่ี ำ : http://www.dnp.go.th/botany/mindexdictdetail.aspx?runno=1281 ชอ่ื วิทยำศำสตร:์ Reinwardtia indica Dumort. ช่อื อื่น: - วงศ:์ Linaceae ไม้พ่มุ สงู ไดถ้ ึง 1 ม. หูใบขนาดเลก็ รว่ งเร็ว ใบเรียงเวยี น รปู ไขก่ ลับ รูปรี หรือรูปใบหอก ยาว 1-9 ซม. ปลายแหลมหรือมน มกั มีต่ิงแหลม ขอบเรยี บ ก้านใบยาว 0.5-2.5 ซม. ดอกออกเด่ียว ๆ หรือเป็นชอ่ กระจกุ สั้น ๆ ตามซอกใบ กลีบเล้ยี ง 5 กลีบ รูปใบหอกแคบ ยาว 1-1.5 ซม. ติดทน ดอกสีเหลือง เส้นกลีบชว่ งโคนสีแดง มี 4-5 กลีบ รูปไข่กลับ ยาว 1.5-3 ซม. เกสรเพศผู้ 5 อัน ติดใต้รังไข่ โคนเชื่อมติดกัน มี 2-5 ต่อม ก้านชูอับเรณู ยาวประมาณ 1.3 ซม. เกสรเพศผู้ทีเ่ ปน็ หมนั 5 อนั รูปล่มิ แคบ รังไขเ่ กล้ยี ง มี 3-4 ช่อง แต่ละชอ่ งมี 2 ช่องยอ่ ย มีออวลุ เม็ดเดียว เกสรเพศเมีย 3-4 อัน ยาว 0.7-1.8 ซม. ผลแห้งแตก รูปรีกว้างเกือบกลม แตกเป็น 6-8 ส่วน เมลด็ รูปคลา้ ยไต มีปกี บาง นิเวศน์วิทยำ: พบทางภาคเหนือที่เชียงราย เชียงใหม่ ลาปาง ขน้ึ ตามที่โลง่ ในป่าสนเขาและป่าดบิ เขา ความสูง 600-2000 เมตร

31 31.ชุมแสง ท่มี ำ : http://www.fca16mr.com/webblog/blog.php?id=1423 ชื่อวทิ ยำศำสตร:์ Xanthophyllum lanceatum J. J. Sm. ชื่ออื่น: - วงศ:์ XANTHOPHYLLACEAE ไม้ยืนต้น สูง 8-15 เมตร ลาต้นตั้งตรง ใบเด่ียว เรียงสลับระนาบเดียว รูปรี กว้าง 2-4 ซม.ยาว 8-12 ซม. ปลายใบแหลม โคนใบรปู ล่มิ ผิวใบด้านบนสีเขยี วเปน็ มัน ก้านใบยาว 5-10 มม. ดอกสีขาวอมชมพู ช่อดอก แบบช่อเชิงลด ออกตามซอกใบใกล้ปลายก่ิง ยาว 6-8 ซม. กลีบเล้ียงสีขาวอมเหลือง กลีบดอก 5 กลีบ สีขาว ดอกบนเต็มท่ีขนาด 1-1.5 ซม. ผลเมล็ดเดี่ยวแข็ง ค่อนข้างกลม ขนาด 2.5-3 ซม. สีเขียวเข้ม มีนวลสีขาว เมลด็ ผิวขรุขระ นิเวศน์วิทยำ: พบทางภคเหนือ บริเวณท่ีราบลุ่ม ออกดอกเดือนมีนาคม – เมษายน ติดผลเดือนพฤษภาคม – มถิ นุ ายน

32 32.เลยี งผึ้ง ที่มา : http://www.dnp.go.th/botany/detail.aspx ช่ือวิทยำศำสตร์: Ficus albipila (Miq.) King ช่ืออ่ืน: - วงศ:์ MORACEAE ไม้ต้นขนาดใหญ่ สูง 25-30 เมตร โคนต้นมักมีพูพอน เปลือกเรียบสีขาวเทา ใบเด่ียว ออกสลับ รูปไข่ กวา้ ง 6-9 ซม. ยาว 10-14 ซม. ฐานใบกลมหรือเวา้ ขอบใบเรียบ ปลายใบแหลมหรือเป็นหางแหลม ผิวใบมีขน ส้ันนุ่มสีขาวปกคลุมหนาแน่นทั้งสองด้าน ก้านใบยาว 5-6 ซม. มีขนสั้นนุ่มสีขาวปกคลุม ดอกเพศผู้ เกิดรอบ ปากช่องเปิด เกสรเพศผู้ 1 อัน ผล รูปทรงกลม ออกตามซอกใบหรือกิ่งเล็ก เส้นผ่านศนู ย์กลาง 0.8-1.3 ซม. ผิว มีขนสัน้ นมุ่ สีขาวปกคลุม สุกสสี ้มแกมแดง ก้านผลยาว 2-3 มม. นิเวศน์วิทยำ: พบบริเวณเชิงเขาหินปูน ที่ระดับความสูงจากระดับน้าทะเล 450-600 เมตร ออกดอกและติด ผลเดอื นพฤศจกิ ายน-มนี าคม

33 33.กำญจนิกำ ทมี่ ำ : http://www.dnp.go.th/botany/mindexdictdetail.aspx?runno=704 ชือ่ วทิ ยำศำสตร์: Santisukia pagetii (Craib) Brummitt ช่อื อื่น: Radermachera pagetii Craib, Barnettia pagetii (Craib) Santisuk วงศ:์ Bignoniaceae ไม้ต้น สูงได้ถึง 20 ม. ใบประกอบยาว 17-35 ซม. ใบย่อยมี 5-10 คู่ รูปไข่รูปขอบขนานหรือรูปใบ หอก ยาว 5-7 ซม. ปลายแหลมยาว โคนเบี้ยว ก้านใบย่อยยาว1-5 มม. ชอ่ ดอกยาว 20-35 ซม. มขี นและต่อม ประปราย หลอดกลีบเลี้ยงยาว 1.5-2 ซม. มีต่อมหนำแน่น ดอกรูปแตร สีขำว ยาว 4.5-5.5 ซม. หลอดกลีบ ดอกตรง ฝักรูปขอบขนาน ยาว 10-16 ซม. มีต่อมหนำแน่น ผนังกั้นกว้าง 2.5-3 ซม.เมล็ดยาวประมาณ 2.5 ซม. รวมปีก (ดขู ้อมูลเพิ่มเตมิ ท่ี แคสันติสุข, สกุล) นเิ วศน์วิทยำ: พืชถ่ินเดยี วของไทย พบทางภาคเหนือตอนล่าง และภาคตะวันตกเฉียงใต้ที่อุทยั ธานี กาญจนบ รุ ี ราชบรุ ี เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ ข้ึนบนเขาหินปูนท่ีแห้งแล้งหรือใกล้ชายทะเล ความสูงถึงประมาณ 200 เมตร

34 34.ศุภโชค ท่มี า : https://th.wikipedia.org/wiki/ ชือ่ วทิ ยำศำสตร:์ Pachira aquatica ช่ืออ่ืน: - วงศ:์ Malvaceae ถ้าปลูกลงดินโตเต็มที่สูง 15-20 ฟุต ทรงพุ่มกว้าง 2-3 เมตร แตกกิ่งเป็นช้ันๆ เป็นไม้เน้ืออ่อนขึ้นได้ดี ในเขตท่ีมีอากาศอบอุ่น ทนต่อสภาพแห้งแล้ง ขยายพันธุ์โดยตอนกิ่งปักชา มีระบบรากใหญ่ และลึกเหมาะ สาหรบั ท่ีจะสง่ เสริมปลูกเป็นพืชในเชิงอนรุ ักษ์ต้นน้า ใบ เป็นใบติดกนั หน่ึงก้านใบจะมใี บ 5-7 ใบ ใบมคี วามเงา เปน็ มนั สเี ขียวเขม้ ดอก ออกเป็นช่อลักษณะพูส่ ขี าว ยาว 5-8 เซนติเมตร มีกลิ่นหอมเวลากลางคนื ช่วงมีนาคม และสิงหาคมจะออกดอกตดิ ผลมากที่สุดในรอบปี สว่ นเดือนอื่นๆ ทยอยออก ผลเป็นผลรวม เปลือกแข็ง คล้าย นุ่นแต่ผลส้ันและกลมกว่า ขนาดผลเส้นผ่าศูนย์กลาง 2-4 น้ิว ยาว 6-8 นิ้ว ใน 1 ผลมี 12-15 เมล็ด เม่ือแก่จัด เปลือกจะดีดตัวเปิดออก และเมล็ดขา้ งในจะรว่ งลงใต้ต้น นเิ วศน์วิทยำ: พบที่ไทยพบทกุ ภาค

35 35.โมกหลวง ทม่ี า : http://www.dnp.go.th/botany/detail.aspx ชอ่ื วิทยำศำสตร:์ Holarrhena pubescens Wall. ex G. Don ชอื่ อืน่ : - วงศ์: Apocynaceae ไม้ต้น สูงได้ถึง 15 ม. มีขนส้ันนุ่มตามกิ่ง แผ่นใบ ช่อดอก และกลีบเลี้ยงด้านนอก ใบรปู รหี รือรูปขอบ ขนาน ยาว 4.5-30 ซม. ปลายแหลมหรือแหลมยาว แผ่นใบบาง มีขนส้ันนุ่มหรือเกล้ียง ก้านใบยาว 2-4 มม. ช่อดอกส่วนมากออกตามซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ยาว 4-10 ซม. ใบประดบั ยาว 1-4 มม. ร่วงเร็ว ก้านดอกส้ันมาก กลีบเลี้ยงรูปขอบขนานหรือรูปใบหอก ยาว 2-4 มม. ดอกสีขาว มีกล่ินหอม หลอดกลีบดอกยาว 0.8-1.4 ซม. กลบี รปู ไขก่ ลบั หรือแกมรูปขอบขนาน ยาว 1-2 ซม. ก้านชอู บั เรณูโคนมีขน อับเรณูยาวประมาณ 1.5 มม. ก้าน เกสรเพศเมียยาว 1.8-2.5 มม. รวมยอดเกสร ผลออกเป็นคู่ ห้อยลง มีช่องอากาศกระจาย ยาว 18-34 ซม. เมล็ดเกลีย้ ง กระจกุ ขนจานวนมาก ยาว 2.3-4.5 มม นิเวศน์วทิ ยำ: พบทไ่ี ทยพบทกุ ภาคยกเวน้ ภาคใต้ตอนล่าง ความสูงถึงประมาณ 1100 เมตร เปลือกมสี รรพคุณ รักษาอาการบดิ และทอ้ งเสยี แกพ้ ษิ ไข้

36 36.แจง ท่ีมา: http://www.dnp.go.th/botany/PDF/publications/Honor_Plants/honorPlants9.pdf ช่ือวทิ ยำศำสตร์: Maerua siamensis (Kurz) Pax ช่ืออื่น: - วงศ์: CAPPARACEAE ไมตน สงู 5-10 ม. ใบประกอบแบบนิ้วมือ ใบยอยมี 3-5 ใบ แตกออกจากจุดเดยี ว อบแบบน้ิวมอื ใบย อยมี 3-5 ใบ แตกออกจากจุด กันที่ปลายกานใบ ใบเรียงเวียน กานใบยาว 1.5-6.5 ซม. แผนใบยอยรูปไขกลับ รปู ขอบขนาน บยาว 1.5-6.5 ซม. แผนใบยอยรูปไขกลบั รปู ขอบขนาน หรือรูปแถบ กวาง 1-3 ซม. ยาว 2-12 ซม. ปลายและโคนใบสอบแคบ ขอบใบเรียบ ปลายและโคนใบสอบแคบ ขอบใบเรียบ ล้ียง เกลี้ ท้ังสองดาน ดอกสีเขียวหรือขาวอมเขียว ออกเดี่ยว ๆ หรือเปนชอตามซอกใบและปลายกิ่ง กเด่ียว ๆ หรือเปนชอตามซอก ใบและปลายกิ่ง กลีบเลี้ยงมี 4 กลีบ ไมมีกลีบดอก ผลรูปรีหรือกลม กวาง 1.3-1.5 ซม. ยาว 2-2.5 ซ ลม กวาง 1.3-1.5 ซม. ยาว 2-2.5 ซม. นผล กานผ ยาว 4.5-7.5 ซม. นิเวศน์วิทยำ: แจงพบท่ัวไปตามปาดิบแลง ปาเบญจพรรณ ปาเต็งรัง เขาหินปูน ที่ระดับความสูง ดิบแลงป่า เบญจพรรณ ปาเต็งรงั เขาหินปนู ที่ระดบั ความสงู ถงึ 400 เมตร

37 37.กนั ภยั มหดิ ล ท่ีมำ : https://puechkaset.com/%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B4%E0% B8%94%E0%B8%A5/ ช่อื วทิ ยำศำสตร์: Afgekia mahidolae B.L. Burtt & Chermsir. ชื่ออืน่ : กนั ภยั (กาญจนบรุ )ี วงศ์: Leguminosae - Papilionoideae ไม้เลื้อย ลาตน้ มีขนประปราย ใบ ใบประกอบแบบขนนก ปลายคี่ ออกสลบั ใบย่อย 9-11 ใบ รปู รีหรอื รูปไข่กลบั แผน่ ใบบาง ท้องใบมขี นหนาแน่นกว่าหลงั ใบ ปลายใบมนและมตี ่ิงสนั้ โคนใบมนก้านส้ัน ดอก รูปดอกถว่ั สีมว่ ง ออกเปน็ ชอ่ ทปี่ ลายก่ิง โคนกา้ นดอกมีใบประดบั ยอ่ ยสีขาวร่วงง่าย กลบี เลี้ยง 5 กลีบ กลีบตัง้ ดา้ นในมสี มี ว่ ง ที่โคนกลบี มแี ถบสเี หลือง เกสรเพศผู้ 10 อนั โคนเช่ือมกัน 9 อนั ออกดอก เดอื นสงิ หาคม-พฤศจิกายน ผล เปน็ ฝักแบนรปู ขอบขนาน เม่อื แกส่ ีน้าตาล แตก 2 ซกี เมลด็ รูปไข่ มลี าย ออกดอกเดอื นสงิ หาคม-พฤศจิกายน นิเวศนว์ ทิ ยำ: พืชถิ่นเดียวของไทย เปน็ พรรณไม้หายาก ขึน้ ตามปา่ เต็งรงั และภูเขาหนิ ปนู ในภาคตะวนั ตกเฉยี งใต้ของ ประเทศไทย

38 38.รัง ที่มา:http://www.dnp.go.th/botany/PDF/publications/Honor_Plants/honorPlants9.pdf ชอ่ื วิทยำศำสตร:์ Shorea siamensis Miq. ชื่ออ่นื : - วงศ์: DIPTEROCARPACEAE ไมตนผลดั ใบ สงู 10-20 ม. เปลือกหนาสเี ทา แตกเปนสะเก็ดตามยาว หใู บรปู ไข ยาว 1-2 ซม. ติดแน น ใบเด่ียว เรียงสลับ รูปไขหรือแกมรูปขอบขนาน กวาง 5-15 ซม. ยาว 6.5-20 ซม. ปลายใบแหลมหรือมน โคนใบรูปหัวใจ แผนใบหนา ผิวเกล้ียงหรือมีขนส้ันนุมทั้ง สองดาน เสนแขนงใบมีขางละ 12-20 เสน กานใบ ยาว 1.5-4 ซม. ดอกออกเปนชอแยกแขนง ยาว 5-15 ซม. กานดอกยอยยาวประมาณ 0.3 ซม. กลีบเลย้ี งส้นั มี ขนละเอยี ด กลีบดอกสีขาว ครีมหรือเหลืองออน รูปรี เรยี งเวียนพบั ลง กวาง 1-1.3 ซม. ยาว 1.5-2 ซม. มขี นด านนอก มีขนดานนอก เกสรเพศผู 15 อัน ขนาดไมเทากัน รังไขรปู กรวย เกล้ียง ยาวประมาณ 0.2 ซม. ยอด เกสรเพศเมีย 6 แฉกชัดเจน ปลายมีขน ผลรูปรีเกือบกลม เกลี้ยง ยาว 1.5-2 ซม. ปลายมิตี่งแหลม ยาว 0.2- 0.3 ซม. ปีกรปู ใบพาย โคนปกแนบติดผลไมถึงก่งึ หน่ึงของผล นเิ วศน์วิทยำ: รังพบทั่วทุกภาคของไทย ข้ึนนตามปาเตง็ รงั และเขาหนิ ปนู ทิ่ระดับความสงู 100-1,300 เมตร

39 39.ชงโค ทม่ี า : http://www.dnp.go.th/botany/detail.aspx ช่ือวทิ ยำศำสตร์: Phanera bassacensis (Gagnep.) de Wit ชือ่ อนื่ : เครอื เขาหนัง (ลาปาง); ชงโค (ภาคใต้); เถากระไดลิง (ภาคตะวันออกเฉียงใต้); โยธิกา (ภาคใต)้ วงศ:์ Fabaceae ไม้เถาเน้ือแข็ง หูใบเป็นติ่งคล้ายหู ยาวประมาณ 6 มม. ใบรูปไข่ ยาวได้ถึง 20 ซม. ปลายแฉกลึกไม่ เกินก่ึงหน่ึง เส้นโคนใบข้างละ 4-6 เส้น ก้านใบยาว 2-7 ซม. ช่อดอกแยกแขนง ใบประดับรูปใบหอก ยาว ประมาณ 8 มม. ก้านดอกยาวได้ถึง 7 ซม. ใบประดับย่อยติดกึ่งกลางก้านดอก ฐานดอกส้ัน กลีบเล้ียงแยก 2 ส่วน ยาว 5-8 มม. ดอกสีเขียวอ่อนอมเหลือง กลีบรูปสามเหล่ียมปลายมน ยาวประมาณ 1 ซม. บางคร้ังมี ลายเส้นกลีบ ก้านกลีบยาว 1-2.5 ซม. เกสรเพศผู้ 2 อัน ก้านชูอับเรณูยาว 1.5-2 ซม. เกสรเพศผู้ลดรูป 7 อัน ยาว 3-9 มม. มีท่ีเป็นหมันขนาดเล็ก 1 อัน ติดระหว่างเกสรเพศผู้ที่สมบูรณ์ รังไข่มีขนยาว ก้านเกสรเพศเมีย ยาว 0.7-1 ซม. ฝักรูปใบหอก ยาวไดถ้ ึง 9 ซม. มี 3-5 เมลด็ นเิ วศน์วิทยำ: ไทยพบทางภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉยี งใต้ และภาคใต้ ข้ึนตามชายป่าดบิ แลง้ และ ป่าดบิ ชืน้ ความสูงระดบั ตา่ ๆ

40 40.ตรีชวำ ทม่ี า : http://www.dnp.go.th/botany/detail.aspx ชื่อวิทยำศำสตร์: Justicia betonica L. ชื่ออื่น: หางกระรอก (กรงุ เทพฯ เหนือ) หางแมว วงศ์: ACANTHACEAE ไม้พุ่ม อายุหลายปี สูง 60-120 เซนติเมตร ใบเดีย่ ว เรยี งตรงข้าม รปู รี ปลายแหลม โคนสอบ ขอบจัก ฟันเลื่อย แผ่นใบสเี ขยี วเขม้ ดอกชอ่ บริเวณปลายกง่ิ ดอกสีขาวหรือดอกสีม่วง ใบประดับ 3 กลีบ รปู หัวใจสี ขาวลายสีเขียว กลีบดอกโคนเชื่อมติดกันเปน็ หลอด ปลายแยก 5 แฉก ด้านบน 2 แฉก เชือ่ มติดกนั ดา้ นลา่ ง3 แฉก โคนกลีบสีมว่ งเขม้ เกสรเพศผแู้ ละเพศเมียอยตู่ ดิ กบั กลบี ด้านบน นิเวศนว์ ทิ ยำ: พบไดท้ ั่วทุกภาคในประเทศไทย

41 41.สริ ินธรวลั ลี ที่มา : http://www.dnp.go.th/botany/detail.aspx ชอ่ื วทิ ยำศำสตร:์ Phanera sirindhorniae (K. Larsen & S. S. Larsen) Mackinder & R. Clark ชอ่ื อืน่ : สามสบิ สองประดง (หนองคาย); สิรินธรวัลลี (กรงุ เทพฯ) วงศ์: Fabaceae ไม้เถาเน้ือแข็ง มือจับม้วนงอ มีขนสีน้าตาลแดงหนาแน่นตามก่ิงอ่อน ช่อดอก ใบประดับ ฐานดอก กลีบเลี้ยงและกลีบดอกด้านนอก รังไข่ ก้านเกสรเพศเมีย และผล ใบรูปไข่กว้าง ยาว 5-18 ซม. ปลายแฉกตื้น ๆ แผน่ ใบหนา เส้นใบ 9-11 เส้น ก้านใบยาว 2-6.5 ซม. ช่อดอกแบบช่อกระจะ แกนช่อยาวไดถ้ ึง 10 ซม. ก้าน ดอกยาว 1.5-2 ซม. ตาดอกรูปรี ปลายแหลม ใบประดับรูปใบหอก ยาวประมาณ 5 มม. ฐานดอกเรียวแคบ ยาว 1-1.5 ซม. มีร้ิว กลีบเล้ียงยาวประมาณ 1 ซม. ปลายแยกเป็น 5 แฉกตื้น ๆ แยกจรดโคนด้านเดียว กลีบ ดอกรูปใบหอก ยาว 1-1.3 ซม. รวมก้านกลีบสั้น ๆ ก้านชูอับเรณูและอับเรณูเกล้ียง เกสรเพศผู้ท่ีสมบูรณ์ ส่วนมากมี 3 อัน ท่ีเป็นหมัน 2 อันเป็นติ่งขนาดเล็ก รังไข่ยาว 0.7-1 ซม. มีก้านส้ัน ๆ ก้านเกสรเพศเมียยาว 0.7-1 ซม. ฝักรูปใบหอก แบน ยาว 15-18 ซม. ปลายมีต่ิงแหลม มี 5-7 เมล็ด แบน เส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5-2 ซม. นิเวศน์วิทยำ: พืชถ่ินเดียวของไทย พบทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนท่ีหนองคาย บึงกาฬ นครพนม สกลนคร ข้ึนตามชายป่าดิบแล้ง ความสูง 150-200 เมตร คาระบุชนิดต้ังเพ่ือเทิดพระเกียรติสมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มีช่ือพื้นเมืองว่า สามสิบสองประดง เนื้อไม้มีสรรพคุณเป็นยาบารุงกาลัง แก้โรคประดงต่าง ๆ

42 42.พลิ งั กำสำ ทมี่ า : http://www.natres.psu.ac.th/FNR/vfsouthern/index.php ชอ่ื วทิ ยำศำสตร:์ Ardisia pendulifera Pit. var. microsepala Fletch. ชอ่ื อ่นื : - วงศ:์ Myrsinaceae เป็นไม้พุ่มหรือไม้ยืนต้น ขนาดเล็ก สูง 1-4 เมตร แต่อาจสูงได้ถึง 10 เมตร ลาต้นตั้งตรง กิ่งก้านกลม หรือเป็นเหลี่ยม สีน้าตาลอมเทา ก่ิงอ่อนสีน้าตาลแดง แตกกิ่งก้านสาขารอบๆ ต้นมาก ใบเป็นใบเดี่ยว เรียง สลับกัน ออกหนาแน่นท่ีปลายกิ่ง รูปรีถึงรูปไข่กลับแกมรูปขอบขนาน กว้าง 2.5-5 เซนติเมตร ยาว 6-12 เซนติเมตร ปลายแหลมถึงมน โคนใบรูปล่ิม ผิวใบและขอบใบเรียบ แผ่นใบมีต่อม เห็นเป็นจุดๆ กระจายอยู่ ท่ัวไป ใบหนามัน ก้านใบสั้น สีแดง เสน้ ใบมองเห็นไม่ค่อยชัดเจนดอกออกเป็นช่อจากซอกใบ และปลายก่ิง ช่อ ละ 4-8 ดอก กลีบดอกสีขาวแกมชมพู กา้ นช่อดอกยาว 1.5-2.5 เซนติเมตร กา้ นดอกย่อยยาว 8-15 มิลลิเมตร ติดกันท่ีโคนเป็นหลอดส้ันๆ ปลายแยกเป็น 5 แฉก แต่ละแฉกรูปใบหอก ปลายกลีบดอกแหลม กลีบเล้ียงสี เขียว โคนเชื่อมติดกัน ปลายแยกเป็น 5 แฉก ผลรูปทรงกลมแป้น ผิวเรียบ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางราว 6 มิลลิเมตร ผลออ่ นสแี ดง เมอื่ สุกมสี มี ่วงเขม้ เมลด็ เป็นเมลด็ เดีย่ ว กลม นิเวศนว์ ทิ ยำ: พบตามปา่ ดงดิบเขาทวั่ ไป ขยายพนั ธด์ุ ้วยเมลด็ พบในประเทศไทย

43 43.กำหลง ที่มา : http://www.dnp.go.th/botany/detail.aspx ช่ือวิทยำศำสตร:์ Bauhinia acuminata Linn. ชอ่ื อ่ืน: กาแจ๊ะกโู ด ส้มเสย้ี ว วงศ:์ CAESALPINIACEAE ไม้พุ่ม สูงได้ถึง 3 เมตร กิ่งอ่อนมีขนนุ่มปกคลุม ใบเป็นใบเด่ียว เรียงสลับ รูปมน ปลายแยกเป็น 2 แฉก ปลายใบแหลมเป็นสามเหลี่ยม ด้านล่างมีขนสีน้าตาลเทาปกคลุมตามเส้นใบ ขนาดของใบจะกว้างได้ถึง 13 ซม. ก้านใบจยาว 3-4 ซม. มีขนประปราย ดอกสีขาวออกเป็นช่อที่ด้านข้างและปลายก่ิง แต่ละช่อมี ประมาณ 3-10 ดอก โดยจะเปล่ียนกันบานคราวละ 2-3 ดอก กลีบดอก 5 กลีบซ้อนเหลื่อมกัน ดอกบานกว้าง 5-8 ซม. เกสรผู้ 10 อัน สีขาว อับเรณูมีสีเหลืองสด ส่วนเกสรเมียจะอยู่ระหว่างกลาง มีเส้นเดียว โตและยาว กว่าเกสรผู้ ผลเป็นฝักแคบแบน กว้าง 1.5 ซม. ยาว 11 ซม. เมล็ดมี 5-11 เมล็ด ลักษณะแบน ขนาดผ่า ศนู ยก์ ลางประมาณ 1 ซม. นิเวศน์วิทยำ: พบทั่วไปในประเทศไทยแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในประเทศไทยข้ึนได้ดีทุกภาค เป็นต้นไม้ ทชี่ อบขึน้ กลางแจง้ ออกดอกตลอดปี

44 44.คงคำเดือด ท่มี า : http://www.dnp.go.th/botany/detail.aspx ชอื่ วิทยำศำสตร:์ Arfeuillea arborescens Pierre ชื่ออื่น: คงคาเดือด (ภาคกลาง); ช้างเผือก (ภาคเหนือ); ตะไล (ภาคตะวันตกเฉียงใต้); ตะไลคงคา (ชัยนาท); สมยุ กยุ (นครราชสีมา); หมากเล็กหมากน้อย (ภาคตะวันตกเฉยี งใต)้ วงศ:์ Sapindaceae ไม้ต้น สูงได้ถงึ 20 ม. แยกเพศร่วมต้น มีขนรูปดาวเป็นมัดกระจาย เปลือกมีช่องอากาศ ใบประกอบมี ใบย่อย 1-4 คู่ ก้านยาว 1-2 ซม. ใบย่อยรูปไข่ ยาว 2-7 ซม. โคนเบ้ียว ขอบจักมน แผ่นใบมขี นยาวใกล้โคนเส้น กลางใบ ก้านใบยาวประมาณ 3 มม. ช่อดอกแบบช่อกระจุกแยกแขนง ยาวได้ถงึ 15 ซม. ช่อย่อยยาว 2-4 ซม. มว้ นเล็กน้อย กลีบเล้ียง 5 กลีบ รูปรีถึงรปู ขอบขนาน หรือแกมรปู ไข่ ยาว 5.5-9 มม. สีแดงอมเขียว ดอกสขี าว มี 2-4 กลีบ รูปไข่กลับ ยาวประมาณ 3 มม. จานฐานดอกรูปคล้ายปาก เกสรเพศผู้ 6-9 อัน ก้านชูอับเรณูยาว 5-9 มม. รังไข่มี 3 ช่อง มีขน แต่ละช่องมีออวุล 2 เม็ด ยอดเกสรเพศเมียเรียบ ผลแห้งแตก บาง ยาว 3.2-5.5 ซม. ปีกกว้างประมาณ 2 ซม. เมล็ดสดี า รูปรี ยาวประมาณ 5 มม. มขี น ขั้วเมล็ดขนาดเล็ก ไม่มีเย่ือหุ้ม นิเวศน์วิทยำ: ในไทยพบแทบทุกภาค ยกเว้นภาคใต้ ขึ้นตามป่าเบญจพรรณ และป่าดิบแล้งท่ีเป็นเขาหินปูน ความสูงถึงประมาณ 600 เมตร

45 45.พระเจ้ำหำ้ พระองค์ ทีม่ า : https://sites.google.com/site/tnphraceahaphraxngkh/ ช่ือวิทยำศำสตร์: Dracontomelon dao ช่ืออน่ื : - วงศ:์ Anacardiaceae เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงใหญ่ สูงประมาณ 20 - 40 เมตร ลาต้นเปราตรง เรือนยอดเป็นพุ่มกว้าง เปลือกเรียบสีน้าตาลอ่อนหรือน้าตาลปนเทา - ใบรูปไข่แบบใบย่อย 12 - 20 คู่ ยาว 4.5 - 20 ซม. และกว้าง 2.5 - 10 ซม. ดอกเล็กสีขาวอมเขียว ช่อใหญ่เรียวยาว กลีบดอกและกลีบรองดอกอย่างละ 5 กลีบ ผลกลม เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2.5 - 5 ซม. ยาว 2 - 3.5 ซม. ผลแก่สีเหลือง การใช้ประโยชน์ ไม้พระเจ้าห้า พระองค์ มีคุณค่าทางยาและรักษาโรค เปลือกใช้เป็นยาแก้โรคบิด แก้ไข้ แก้ปวดท้อง ยางทาให้แผลแห้งเร็ว เนอื้ เมลด็ กินได้ เนอ้ื ไมท้ าไม้แบบในการกอ่ สรา้ งและไม้อัด นเิ วศนว์ ทิ ยำ: ในประเทศ พบข้ึนมารมิ ห้วยในปา่ ดงดบิ ทว่ั ๆ ไป


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook