.
àÅ¢ÁҵðҹÊÒ¡Å»ÃШíÒ˹ѧÊ×Í : 978-616-7821-52-8 พิมพ์ครั้งท่ี ๑ : ¾.È.òõöð จ�ำนวนพิมพ์ : óðð àÅ‹Á ผู้ทรงคุณวุ²ิกล่ันกรอง (Peer Review) : พระศรีคัมภีรญาณ, ศ.ดร. : พระมหาสุทิตย์ อาภากโร, ดร. : พระมหาบุญเลิศ อินฺทปฺโ, รศ.ดร. : ศ.ดร.จ�านงค์ อดิวัฒนสิทธ์ิ : ผศ.ดร.วุฒินันท์ กันทะเตียน กองบรรณำธิกำร : พระมหาชุติภัค อภินนฺโท : พระมหาถนอม อานนฺโท : พระสุเชษฐ์ จนฺทธมฺโม : นายปิยวัฒน์ คงทรัพย์ : ดร.ชยาภรณ์ สุขประเสริฐ ÃÙ»àÅ‹Á : พระมหาพจน์ สุวโจ, ดร. เอ้ือเ¿„œอภำพ : อาจารย์วรณัย พงศาชลากร : ดร.ชยาภรณ์ สุขประเสริฐ Í͡Ẻ»¡ : เอนก เอื้อการุณวงศ์ ด�ำเนินกำรจัดพิมพ์ : สาละพิมพการ ๙/๖๐๙ ซอยกระทุ่มล้ม ๖ ถนนพุทธมณ±ลสาย ๔ ต.กระทุ่มล้ม อ.สามพราน จ.นครปฐม ๗๓๒๒๐ โทร. ๐-๒๔๒๙๒๔๕๒, ๐๘๕-๔๒๙๔๘๗๑ email:[email protected]
คำ� นยิ ม ก มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั เปน็ มหาวทิ ยาลยั แหง่ คณะสงฆไ์ ทย มีหน้าท่ีในการจัดการศึกษาเกี่ยวกับพระไตรปิฎกและวิชาการชั้นสูงส�าหรับพระภิกษุ สามเณรและคÄหัสถ์ บูรณาการพระพุทธศาสนากับศาสตร์สมัยใหม่ เพื่อพัฒนาจิตใจ และสงั คม โดยมคี วามมงุ่ มน่ั ผลติ บณั ±ติ และพฒั นาบคุ ลากรใหเ้ ปน็ ผมู้ ปี ฏปิ ทานา่ เลอ่ื มใส ใฝ่รู้ใฝ่คิด เป็นผู้น�าจิตใจและปัญญา มีโลกทัศน์กว้างไกล มีความรู้ความสามารถใน การแก้ปัญหา มีศรัทธาอุทิศตนเพื่อพระพุทธศาสนาและพัฒนาสังคม ผ่านกระบวนการ ศึกษา ค้นคว้า วิจัย เพ่ือก้าวไปสู่ความเป็นเลิศทางวิชาการ และเพื่อสร้างองค์ความ รู้ใหม่ในการพัฒนามนุษย์ สังคม และสิ่งแวดล้อม ให้อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข ท่ีผ่านมา มหาวิทยาลัยได้ด�าเนินการส่งเสริมคณาจารย์ให้มีความเป็นเลิศทาง วิชาการ ผ่านกระบวนการต่าง ๆ ซ่ึงรวมถึงการผลิตงานวิจัยและงานสร้างสรรค์ที่มี คุณค่า โดยคัดเลือกผลงานเหล่าน้ันตีพิมพ์เผยแพร่เพ่ือให้สังคมได้ใช้ประโยชน์จากองค์ ความรู้ท่ีได้จากการวิจัยเหล่านั้น อีกทั้งยังเป็นการยกย่อง ให้ก�าลังใจแก่เจ้าของผลงาน ให้เกิดความมุ่งมั่นในการศึกษา ค้นคว้า วิจัยให้ย่ิง ๆ ข้ึนไปตามสมควรแก่ก�าลังสติ ปัญญาของตน “สืบพระพุทธศำสนำจำกพงศำวดำรกรุงศรีอยุธยำ” ถือเป็นงานท่ีมีคุณค่า อีกเร่ืองหน่ึง ท่ีทางมหาวิทยาลัยคัดเลือกตีพิมพ์เผยแพร่ ด้วยเหตุผลเป็นผลงานท่ี สะท้อนเร่ืองราวพระพุทธศาสนาในสมัยกรุงศรีอยุธยาในมิติต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนท่ีเก่ียวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์และความเป็นไปของ กรุงศรีอยุธยาที่มีประวัติความเป็นมาที่ยาวนานถึง ๔๑๗ ปี ขอแสดงความชนื่ ชมยนิ ดี และอนโุ มทนา พระครศู รปี ญั ญาวกิ รม, ดร. อาจารย์ ประจ�าวิทยาลัยสงฆ์บุรีรัมย์ ที่มีวิริยะอุตสาหะ สร้างสรรค์งานวิจัยอันทรงคุณค่าต่อ สังคม และพระพุทธศาสนา เพ่ือสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้สืบต่อไป (พระพรหมบัณ±ิต, ศ.ดร.) อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ข คำ� นิยม สถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มีหน้าที่ ในการส่งเสริมการวิจัย เป็นศูนย์กลางการบริหารจัดการงานวิจัย และงานสร้างสรรค์ ของมหาวิทยาลัย รวมท้ังด�ำเนินการเผยแพร่องค์ความรู้จากผลงานวิจัยและงาน สร้างสรรค์สู่สังคม เพ่ือส่งเสริมการเรียนรู้ทางพระพุทธศาสนา และพัฒนาสังคม ปีงบประมาณ ๒๕๕๘ สถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ ได้พิจารณาเห็นว่างานวิจัยเร่ือง “การศึกษาวิเคราะห์ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา” ของพระครูศรีปัญญาวิกรม, ดร. อาจารย์ประจ�ำวิทยาลัยสงฆ์บุรีรัมย์เป็นงานท่ีมีคุณค่า ควรแก่การเผยแพร่ จึงได้มอบหมายให้ผู้วิจัยได้ด�ำเนินการปรับปรุงเนื้อหาเพ่ือง่ายต่อ การเรียนรู้ของบุคคลท่ัวไป พร้อมท้ังปรับชื่อใหม่เป็นหนังสือเรื่อง “สืบพระพุทธศาสนา จากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา” ขอแสดงความช่ืนชม พระครูศรีปัญญาวิกรม, ดร. ผู้วิจัย ท่ีได้เพียรพยายาม ในเก็บข้อมูลเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ที่กระจัดกระจายอยู่ในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา มาร้อยเรียงให้เห็นภาพทั้งหมด พร้อมท้ังวิเคราะห์ให้เห็นบทบาท ความสัมพันธ์ของ พระพุทธศาสนาท่ีมีต่อสังคม และท่ีสังคมมีต่อพระพุทธศาสนาในสมัยอยุธยา เฉพาะ อย่างยิ่งทำ� ใหเ้ หน็ ภาพความสมั พนั ธร์ ะหว่างสถาบันพระมหากษตั ริย์กับพระพุทธศาสนา ท่ีเก้ือกูลกันตลอดระยะเวลายาวนานสืบทอดมาถึงปัจจุบัน พระมหาสุทิตย์ อาภากโร, ดร. ผู้อ�ำนวยการสถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ค คำ� นิยม หนังสือ “สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา” ซึ่งเป็นผลงาน ท่ีต่อยอดจากงานวิจัยของพระครูศรีปัญญาวิกรม, ดร. อาจารย์ประจ�ำวิทยาลัยสงฆ์ บุรีรัมย์ ให้องค์ความรู้เก่ียวกับพระพุทธศาสนาในสมัยอยุธยาได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะ การวิเคราะห์บทบาท และความสัมพันธ์ที่พระพุทธศาสนามีต่อสังคม และคตินิยมทาง พระพุทธศาสนาที่มีต่อสังคม หรือท่ีสังคมมีต่อพระพุทธศาสนา แม้จะเป็นเกร็ดเล็ก เกร็ดน้อย ประปรายอยู่ในบันทึกเหตุการณ์บ้านเมืองในแต่ละรัชกาล แต่ผู้เขียนก็ได้ร้อย เรียงออกมาเป็นระบบความคิด และน�ำเสนอให้เห็นภาพรวมท้ังหมดของความเป็น อยุธยาที่ด�ำรงฐานะเป็นเมืองหลวงตลอดระยะเวลา ๔๑๗ ปี ได้อย่างน่าสนใจ ขอแสดงความชื่นชมในความวิริยะอุตสาหะของพระครูศรีปัญญาวิกรม, ดร. ท่ี ได้พยายามเก็บรายละเอียดข้อมูลจากหลักฐานต่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้อง โดยเฉพาะเอกสาร ที่อ้างอิงน้ัน ส่วนใหญ่ก็เป็นเอกสารเก่า ส�ำนวนภาษาค่อนข้างจะอ่านยาก หรือไม่น่า อ่าน แต่ผู้เขียนก็เก็บรายละเอียดได้ไม่มีตกหล่น หากไม่มีใจรักจริง ๆ แล้วก็คงไม่ สามารถท�ำได้ อน่ึง การจัดเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มี จ�ำนวนหลายวิชาที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาในสมัยกรุงศรีอยุธยา ผลงานทาง วิชาการเร่ือง “สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา” จึงน่าเป็นอีกช้ิน หน่ึงที่จะเกื้อกูลประโยชน์ต่อการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัย นอกเหนือไปจาก ประโยชน์เก้ือกูลแก่ผู้สนใจโดยท่ัวไป (พระศรีปริยัติธาดา) ผู้อ�ำนวยการวิทยาลัยสงฆ์บุรีรัมย์
ฆ คำ� น�ำผูเ้ ขยี น สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา เป็นผลงานสืบเนื่องมาจาก งานวิจัยเร่ือง “ศึกษาวิเคราะห์ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุง ศรีอยุธยา” เสนอต่อสถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ ปีงบประมาณ ๒๕๕๘ โดยท่ีเห็นว่าจะ เป็นประโยชน์ต่อวงการศึกษาพระพุทธศาสนา จึงได้ขยายความเพิ่มเติมเพื่อความ สมบูรณ์ยิ่ง ๆ ข้ึนไป หัวใจของงานอยู่ที่การสืบค้นเร่ืองราวเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ในพงศาวดาร ตอ่ จากนน้ั กว็ เิ คราะหบ์ ทบาท ความสมั พนั ธข์ องพระพทุ ธศาสนาตอ่ สงั คม รวมถึงคตินิยมทางพระพุทธศาสนาท่ีมีต่อสังคม และที่สังคมมีต่อพระพุทธศาสนา กรงุ ศรอี ยธุ ยาดำ� รงความเปน็ ราชธานขี องไทยนบั ระยะเวลา ๔๑๗ ปี มกี ษตั รยิ ์ ปกครอง ๓๓ พระองค์ แบ่งเป็น ๕ ราชวงศ์ โดยในจ�ำนวนน้ี มีบันทึกที่เก่ียวข้อง กับพระพุทธศาสนาจ�ำนวนท้ังส้ิน ๒๒ พระองค์ และส่วนที่ไม่พบบันทึกใด ๆ ท่ี เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาจ�ำนวน ๑๑ พระองค์ ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา ส่วนใหญ่จะผูกติดอยู่กับสถาบันพระมหากษัตริย์ ซ่ึงสอดคล้องกับลักษณะของ พงศาวดาร ในสว่ นของบทบาทและความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งพระพทุ ธศาสนากบั สงั คมไทยสมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยา พบมี ๒ ลกั ษณะ ลกั ษณะแรกเปน็ สว่ นทพ่ี ระพทุ ธศาสนาเขา้ ไปเกยี่ วขอ้ ง ในมิติต่าง ๆ เช่น มิติทางด้านศาสนธรรม, ศาสนบุคคล, ศาสนพิธี, และศาสนวัตถุ ท�ำให้อยุธยาเป็นดินแดนพระพุทธศาสนาท่ียิ่งใหญ่ในอดีต และมรดกเหล่าน้ันได้ตกทอด มาตราบเทา่ ถงึ ปจั จบุ นั ลกั ษณะทส่ี องเปน็ สว่ นทส่ี งั คมไทยไดเ้ ขา้ ไปเกย่ี วขอ้ งกบั พระพทุ ธ ศาสนา ส่วนน้ีถือเป็นอิทธิพลทางสังคม ซ่ึงก็มีส่วนส�ำคัญที่ท�ำให้เกิดสิ่งใหม่ ๆ ข้ึนใน พระพุทธศาสนา มีท้ังท่ีสอดคล้องและต่างออกไปจากหลักการแห่งค�ำสอนเดิม ส่วนคตินิยมทางพระพุทธศาสนาที่มีต่อสังคมและคตินิยมทางสังคมท่ีมีต่อ พระพุทธศาสนาสมัยกรุงศรีอยุธยาพบว่า คตินิยมทางพระพุทธศาสนามีผลก่อก�ำเนิด แบบแผนการด�ำเนินชีวิตสมัยกรุงศรีอยุธยาหลายประการ เช่น คตินิยมการปฏิบัติตน
ในวันธรรมสวนะ, คตินิยมการสร้างวัดเป็นอนุสรณ์, คตินิยมการผนวชของเจ้านายชั้น ผใู้ หญ,่ คตนิ ยิ มเรอื่ งชา้ งมงคล, คตนิ ยิ มการถวายการอปุ ถมั ภพ์ ระพทุ ธศาสนา, คตนิ ยิ ม เรื่องทศพิธราชธรรม เป็นต้น ท�ำนองเดียวกัน คตินิยมในสมัยกรุงศรีอยุธยาก็มีส่วน ส�ำคัญที่ท�ำให้เกิดคตินิยมต่าง ๆ ข้ึนในสังคมซึ่งมีผลต่อพระพุทธศาสนาเช่นกัน เช่น คตินิยมการสร้างพระพุทธรูปฉลองพระองค์, คตินิยมการให้มีมหรสพสมโภช, คตินิยม เรื่องเรื่องโชคลาง, คตินิยมเร่ืองการถวายเครื่องทรงบูชาพระพุทธรูป เป็นต้น อน่ึง ในความเห็นของผู้เขียน ควรมีการท�ำการวิจัยในท�ำนองเดียวกันนี้กับ พงศาวดารสมยั อน่ื ๆ เชน่ พงศาวดารเหนอื , พงศาวดารสโุ ขทยั , พงศาวดารกรงุ ธนบรุ ี เป็นต้น ทั้งน้ีเพื่อน�ำองค์ความรู้เก่ียวกับพระพุทธศาสนาในสมัยต่าง ๆ มาตีแผ่ให้เป็น ท่ีปรากฏสืบไป พระครูศรีปัญญาวิกรม,ดร. รองผู้อ�ำนวยการฝ่ายวิชาการ วิทยาลัยสงฆ์บุรีรัมย์
สารบัญ ค�ำนิยมจากอธิการบดี ก ค�ำนิยมจากผู้อ�ำนวยการสถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ ข ค�ำนิยมจากผู้อ�ำนวยการวิทยาลัยสงฆ์บุรีรัมย์ ค ค�ำน�ำผู้เขียน ฆ ค�ำอธิบายสัญลักษณ์และค�ำย่อ ง บทท่ี ๑ บทน�ำ ๒ ๑.๑ พงศาวดารกับเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ๗ ๑.๒ ขอบเขตของการศึกษา ๘ ๑.๓ วิธีการศึกษา ๑๔ บทท่ี ๒ ความเป็นมาของอยุธยา ๑๘ ๒.๑ กรุงศรีอยุธยาก่อน พ.ศ.๑๘๙๓ ๒๑ ๒.๒ กรุงศรีอยุธยาหลัง พ.ศ.๑๘๙๓ ๒๒ ๒.๓ ล�ำดับรัชกาลสมัยกรุงศรีอยุธยา ๓๔ ๒.๔ ร่องรอยการเข้ามาของพระพุทธศาสนา ๓๗ บทที่ ๓ ยุคเริ่มต้นถึงการเสียกรุงครั้งท่ี ๑ ๔๑ ๓.๑ รัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีท่ี ๑ (อู่ทอง) ๔๓ ๓.๒ รัชกาลสมเด็จพระราเมศวร ๔๖ ๓.๓ รัชกาลสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ ๕๐ ๓.๔ รัชกาลสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ ๓.๕ รัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ๓.๖ รัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีท่ี ๒
๓.๗ รัชกาลสมเด็จพระไชยราชาธิราช ๕๒ ๓.๘ รัชกาลขุนวรวงศาธิราช ๕๓ ๓.๙ รัชกาลสมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราช ๕๕ ๓.๑๐ รัชกาลสมเด็จพระมหินทราธิราช ๖๒ ๓.๑๑ รัชกาลสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช ๖๕ ๓.๑๒ สรุปท้ายบท ๖๙ บทที่ ๔ ยุคกู้อิสรภาพถึงการเสียกรุงคร้ังท่ี ๒ ๔.๑ รัชกาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ๘๔ ๔.๒ รัชกาลสมเด็จพระเอกาทศรฐ ๘๘ ๔.๓ รัชกาลสมเด็จศรีเสาวภาค ๙๐ ๔.๔ รัชกาลสมเด็จพระบรมราชาท่ี ๑ (พระเจ้าทรงธรรม) ๙๒ ๔.๕ รัชกาลสมเด็จพระบรมราชาที่ ๒ (สมเด็จพระเชษฐาธิราช) ๙๕ ๔.๖ รัชกาลสมเด็จพระสรรเพชญ์ท่ี ๕ (พระเจ้าปราสาททอง) ๙๖ ๔.๗ รัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีท่ี ๓ (สมเด็จพระนารายณ์) ๑๐๓ ๔.๘ รัชกาลสมเด็จพระมหาบุรุษ (สมเด็จพระเพทราชา) ๑๐๙ ๔.๙ รัชกาลสมเด็จพระสรรเพ็ชญ์ท่ี ๘ (สมเด็จพระเจ้าเสือ) ๑๑๑ ๔.๑๐ รัชกาลสมเด็จพระสรรเพ็ชญ์ท่ี ๙ (สมเด็จพระเจ้าท้ายสระ) ๑๑๖ ๔.๑๑ รัชกาลสมเด็จพระบรมโกศ ๑๒๐ ๔.๑๒ รัชกาลสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ (พระเจ้าเอกทัศ) ๑๒๙ ๔.๑๓ สรุปท้ายบท ๑๓๕ บทท่ี ๕ บทบาทและความสัมพันธ์ของพระพุทธศาสนาต่อสังคม ๑๔๖ ๕.๑ บทบาทและความสัมพันธ์ด้านศาสนธรรม ๑๕๒ ๕.๒ บทบาทและความสัมพันธ์ด้านศาสนบุคคล ๑๕๙ ๕.๓ บทบาทและความสัมพันธ์ด้านศาสนพิธี ๑๗๘ ๕.๔ บทบาทและความสัมพันธ์ด้านศาสนสถาน ๑๘๐ ๕.๕ สรุปและวิจารณ์
บทที่ ๖ คตินิยมทางพระพุทธศาสนา ๑๙๒ ๖.๑ ความหมายของคตินิยม ๑๙๓ ๖.๒ คตินิยมทางพระพุทธศาสนาท่ีมีต่อสังคม ๒๐๕ ๖.๓ คตินิยมทางสังคมท่ีมีต่อพระพุทธศาสนา ๒๑๖ ๖.๔ สรุปและวิจารณ์ บทที่ ๗ บทสรุป ๒๒๘ ๗.๑ ข้อสรุป ๒๓๐ ๗.๒ ข้ออภิปราย ๒๓๓ ๗.๓ ข้อเสนอแนะ ๒๓๕ บรรณานุกรม ๒๔๐ ภาคผนวก ๒๔๘ ประวัติผู้เขียน
ง คำ� อธิบายสญั ลักษณ์และค�ำยอ่ อักษรย่อการศึกษาคร้ังนี้ ใช้อ้างอิงจากคัมภีร์พระไตรปิฎก ฉบับมหาจุฬาเตปิฏกํ พ.ศ. ๒๕๐๐ และพระไตรปฎิ ก ฉบบั ภาษาไทย มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั เฉลมิ พระเกยี รติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถ พ.ศ.๒๕๓๙ โดยได้กล่าวถึงแหล่งที่มา/เล่ม/ข้อ/หน้า ตามล�ำดับ วิ.ป. (ไทย) ๘/๓๖๖/๕๕๑ หมายถึง วินัยปิฎก ปริวาร ภาษาไทย เล่มที่ ๘ ข้อ ๓๖๖ หน้า ๕๕๑ ฉบับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ๒๕๓๙ เล่ม ค�ำย่อ ช่ือคัมภีร์ ๑-๒ วิ.มหา. (บาลี) = วินยปิฏก มหาวิภงฺคปาลิ (ภาษาบาลี) วิ.มหา. (ไทย) = วินัยปิฎก มหาวิภังค์ (ภาษาไทย) ๔-๕ วิ.ม. (บาลี) = วินัยปิฎก มหาวคฺคปาลิ (ภาษาบาลี) วิ.ม. (ไทย) = วินัยปิฎก มหาวรรค (ภาษาไทย) ๖-๗ วิ.จู. (บาลี) = วินยปิฏก จูฬวคฺคปาลิ (ภาษาบาลี) วิ.จู. (ไทย) = วินัยปิฎก จูฬวรรค (ภาษาไทย) ๘ วิ.ป. (บาลี) = วินยปิฏก ปริวารวคฺคปาลิ (ภาษาบาลี) วิ.ป. (ไทย) = วินัยปิฎก ปริวารวรรค (ภาษาไทย) พระสุตตันตปิฎก ๙ ที.สี. (บาลี) = สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขนฺธวคฺคปาลิ (ภาษาบาล)ี ที.สี. (ไทย) = สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค (ภาษาไทย) ๑๐ ที.ม. (บาลี) = สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวคฺคปาลิ (ภาษาบาล)ี ที.ม. (ไทย) = สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค (ภาษาไทย) ๑๑ ที.ปา. (บาลี) = สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวคฺคปาลิ (ภาษาบาล)ี ที.ปา. (ไทย) = สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค (ภาษาไทย) ๑๓ ม.ม. (บาลี) = สุตตันตปิฎก มชฺฌิมนิกาย มชฺฌิมปณฺณาสกปาลิ (ภาษาบาล)ี ม.ม. (ไทย) = สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ (ภาษาไทย) ม.อุ. (ไทย) = สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ (ภาษาไทย) ๑๙ สํ.ม. (บาลี) = สุตตันตปิฎก สํยุตฺตนิกาย มหาวารวคฺคปาลิ (ภาษาบาล)ี สํ.ม. (ไทย) = สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค (ภาษาไทย) ๒๐ องฺ.เอกก. (บาลี) = สุตตันตปิฎก องฺคุตฺตรนิกาย เอกกนิปาตปาลิ (ภาษาบาล)ี องฺ.เอกก. (ไทย) = สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกกนิบาต (ภาษาไทย) องฺ.ทุก. (บาลี) = สุตตันตปิฎก องฺคุตฺตรนิกาย ทุกนิปาตปาลิ (ภาษาบาล)ี องฺ.ทุก. (ไทย) = สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทุกนิบาต (ภาษาไทย)
๒๕ ขุ.ขุ. (บาลี) = สุตตันตปิฎก ขุทฺทกนิกาย ขุทฺทกปาฐปาลิ (ภาษาบาล)ี ขุ.ขุ. (ไทย) = สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ (ภาษาไทย) ขุ.สุ. (บาลี) = สุตตันตปิฎก ขุทฺทกนิกาย สุตฺตนิปาตบาลี (ภาษาบาล)ี ขุ.สุ. (ไทย) = สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต (ภาษาไทย) พระอภิธรรมปิฎก ๓๔ อภิ.วิ. (บาลี) = อภิธมฺมปิฏก วิภงฺคปาลิ (ภาษาบาล)ี อภิ.วิ. (ไทย) = อภิธรรมปิฎก วิภังค์ (ภาษาไทย) อรรถกถา อรรถกถา ผู้วิจัยใช้พระไตรปิฎกฉบับมหามกฏราชวิทยาลัย โดยสัญลักษณ์และค�ำย่อตาม พระไตรปิฎกฉบับภาษาไทย ส่วนตัวเลขอนุวัติให้เป็นไปตามพระไตรปิฎกและอรรถกถาฉบับมหามกุฏ ราชวิทยาลัย เช่น ที.สี.อ. (ไทย) ๑/๑/๔๑๕ หมายถึง พระสูตรและอรรถกถาแปล ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค อรรถกถา เล่ม ๑ ภาค ๑ หน้า ๔๑๕ ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย ๒๕๒๕ เล่มที่ เล่ม ภาค ตอน ค�ำย่อ ชื่ออรรถกถา วิ.มหา.อ. (ไทย) = วินัยปิฎก สมันตปาสาทิกา มหาวิภังคอรรถกถา (ภาษาไทย) วิ.จู.อ. (บาลี) = วินยปิฏก สมนฺตปาสาทิกา จูฬวคฺคอฏฺฐกถา (ภาษาบาล)ี วิ.จู.อ. (ไทย) = วินัยปิฎก สมันตปาสาทิกา จูฬวรรคอรรถกถา (ภาษาไทย) วิ.ป.อ. (บาลี) = วินยปิฏก สมนฺตปาสาทิกา ปริวารวคฺคอฏฺฐกถา (ภาษาบาล)ี วิ.ป.อ. (ไทย) = วินัยปิฎก สมันตปาสาทิกา ปริวารวรรคอรรถกถา (ภาษาไทย) อรรถกถาพระสุตตันตปิฎก ที.สี.อ. (ไทย) = ทีฆนิกาย สุมังคลวิลาสินี สีลขันธวรรคอรรถกถา (ภาษาไทย) ที.ม.อ. (ไทย) = ทีฆนิกาย สุมังคลวิลาสินี มหาวรรคอรรถกถา (ภาษาไทย) ที.ปา.อ. (ไทย) = ทีฆนิกาย สุมังคลวิลาสินี ปาฏิกวรรคอรรถกถา (ภาษาไทย) ม.มู.อ. (ไทย) = มัชฌิมนิกาย ปปัญจสูทนี มูลปัณณาสกอรรถกถา (ภาษาไทย) ม.ม.อ. (ไทย) = มัชฌิมนิกาย ปปัญจสูทนี มัชฌิมปัณณาสกอรรถกถา(ภาษาไทย) ม.อุ.อ. (ไทย) = มัชฌิมนิกาย ปปัญจสูทนี อุปริปัณณาสก์อรรถกถา (ภาษาไทย) สํ.สฬา.อ. (ไทย) = สังยุตตนิกาย สารัตถปกาสินี สฬายตนวรรคอรรถกถา (ภาษาไทย) องฺ. สตฺตก.อ. (ไทย) = อังคุตตรนิกาย มโนรถปูรณี สัตตกนิบาตอรรถกถา (ภาษาไทย) สตฺตก.อ. (ไทย) = อังคุตตรนิกาย มโนรถปูรณี สัตตกนิบาตอรรถกถา (ภาษาไทย)
บทน�ำ 1 ๑ บทนำ�
ความเป็นมาของการศึกษา ๑.๑ พงศาวดารกับเร่ืองราวเก่ียวกับพระพุทธศาสนา พงศาวดาร คือบันทึกเร่ืองราวของเหตุการณ์เก่ียวกับประเทศชาติ หรือพระ มหากษตั รยิ ผ์ เู้ ปน็ ประมขุ ของประเทศชาตนิ นั้ เชน่ พงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยา พงศาวดาร กรุงรัตนโกสินทร์๑ บางฉบับเขียนว่า พระราชพงศาวดาร ซึ่งมีความหมายถึงการ อวตารของพระวิษณุเทพเจ้าในศาสนาฮินดู ดังน้ัน พงศาวดารจึงเป็นหนังสือบันทึก เหตุการณ์ (chronicle) ประเภทหน่ึง ซึ่งเน้นเรื่องเก่ียวกับพระมหากษัตริย์ผู้เป็น ประมุขของประเทศ หรือพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์ท่ีเก่ียวกับประเทศ ตลอดเหตุการณ์ส�ำคัญต่าง ๆ ในอดีต แม้อรรถกถาสุมังควิสาลินี ก็อธิบายความหมาย ว่า บันทึกเร่ืองราวเกา่ ๆ ทอ่ี ธบิ ายเรอื่ งราวตา่ ง ๆ วา่ สงิ่ นไ้ี ดเ้ ปน็ มาแลว้ อยา่ งน้ี สง่ิ นี้ ไดเ้ ปน็ มาแลว้ เชน่ น๒้ี ลักษณะเน้ือหาในพงศาวดาร เป็นค�ำให้การ หรือเป็นจดหมายเหตุโดยทาง ราชส�ำนักเป็นผู้ให้บันทึกขึ้น พงศาวดารจึงถือเป็นหลักฐานท่ีส�ำคัญทางประวัติศาสตร์ อีกอย่างหนึ่งที่ท�ำให้คนรุ่นหลังได้ทราบประวัติความเป็นมาของพระมหากษัตริย์ในอดีต ความที่พระพุทธศาสนาได้มีบทบาทส�ำคัญต่อสถาบันพระมหากษัตริย์นับตั้งแต่ อดีต บันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ที่เก่ียวข้องกับพระมหากษัตริย์ จึงมักมีเรื่องราวเก่ียวข้อง กับพระพุทธศาสนาในแง่มุมต่าง ๆ ด้วย พงศาวดารจึงนอกจากจะจารึกเหตุการณ์ บ้านเมืองในอดีตแล้ว บางช่วงบางตอนของเหตุการณ์บ้านเมืองเหล่านั้น ยังสะท้อนให้ เห็นเหตุการณ์เก่ียวกับพระพุทธศาสนาในหลาย ๆ รูปแบบ และหลายลักษณะ นับต้ังแต่เร่ิมต้นสถาปนากรุงศรีอยุธยา กระท่ังถึงวาระสุดท้าย
บทน�า 3 เช่น ในรัชสมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสุนทรบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว (พระเจ้าอู่ทอง) มีข้อความระบุไว้ว่า “ศักราช ๗๑๕ ปีมะเส็ง เบญจศก วันพฤหัสบดี เดือนส่ี ข้ึนค�าหน่ึง เพลา สองนาฬิกาห้าบาท ทรงพระกรุณาตรัสว่า ที่ต�าหนักเวียงเล็กน้ัน ให้สถาปนาพระวิหาร และพระมหาธาตุเป็นพระอารามแล้ว ให้นามชื่อว่าวัดพุทไธสวรรค์”๓ “ศักราช ๗๒๕ ปีเถาะ เบญจศก ทรงพระกรุณาตรัสว่า เจ้าแก้วเจ้าไทย ออกอหิวาตกโรคตาย ให้ขุดข้ึนเผาเสีย ท่ีปลงศพน้ัน ให้สถาปนาพระเจดีย์แลพระวิหาร เป็นพระอารามแล้ว ให้นามชื่อว่า วัดป่าแก้ว”๔ จากหลกั ฐานทา� ใหท้ ราบวา่ สมเดจ็ พระรามาธบิ ดี ทรงอยใู่ นราชสมบตั ยิ าวนาน ๒๐ ปี เสด็จสวรรคตเมื่อศักราช ๗๓๑ และได้ทรงสถาปนา หรือสร้างวัดซ่ึงมีความ ส�าคัญทางประวัติศาสตร์เป็นมรดกตกทอดมาถึงปัจจุบัน ๒ วัด คือวัดพุทไธสวรรค์ และวัดป่าแก้ว ในรชั สมยั ของสมเดจ็ พระราเมศวร ไดม้ บี นั ทกึ ความตอนหนง่ึ วา่ “พระเจา้ อยหู่ วั เสด็จยังในเมืองพิษณุโลก นมัสการพระชินราชชินสีห์ เปล้ืองเครื่องต้นถวาย ทรง
4 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา สักการะบูชาสมโภชเจ็ดวัน แล้วเสด็จลงมาพระนคร....เสด็จออกทรงศีลยังพระที่นั่ง มังคลาภิเษก เพลา ๑๐ ทุ่ม ทอดพระเนตรไปยังฝ่ายทิศบูรพ์ เห็นพระสารีริกบรมธาตุ ปาฏิหาริย์ เรียกปลัดวังให้เอาพระราชยานทรงเสด็จออกไป ให้กรุยปักขึ้นไว้สถาปนา พระมหาธาตุนั้นสูง ๑๙ วา ยอดนภศูลสูงสามวา แล้วให้ขนานนามให้ช่ือว่า วัด มหาธาตุ และให้ท�าพระราชพิธีประเวศพระนคร และเฉลิมพระราชมณเทียร”๕ “ศักราช ๗๘๖ ปีมะโรง ฉศก สมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้าสร้างวัด มเหยงคณ์ สมเด็จพระราเมศวรผู้เป็นพระราชกุมารเสด็จไปเมืองพิษณุโลก คร้ังนั้นเห็น นา�้ พระเนตรพระพุทธชินราชตกออกเปน็ โลหิต๖ ศกั ราช ๗๙๖ ในแผน่ ดนิ ของพระบรม ไตรโลกนาถเจ้า ได้ทรงยกวังท�าเป็นวัดพระศรีสรรเพชญ์ และท่ีถวายพระเพลิงสมเด็จ พระรามาธิบดี ท่ีพระองค์สร้างกรุงเก่านั้น ให้สถาปนาพระมหาธาตุและพระวิหารเป็น พระอาราม แล้วให้นามว่า วัดพระราม” “ลุถึงศักราช ๘๐๖ ปีชวด ฉศก ให้บ�ารุง พระพุทธศาสนาบริบูรณ์ และหล่อรูปพระโพธิสัตว์ ๕๕๐ พระชาติ”๗
บทน�า 5 “ศักราช ๘๑๑ ปีมะเส็ง เอกศก สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเจ้า ทรงผนวช ณ วัดจุฬามณีได้แปดเดือน แล้วลาผนวช”๘ “ลุถึงศักราช ๙๐๕ ปีเถาะ เบญจศก เม่ือสมเด็จพระเจ้าหงสาวดีได้ยกทัพ มาตอี ยธุ ยา พระสงฆซ์ ง่ึ อยใู่ นสมณเพศ อยา่ งเชน่ พระมหานาค ซง่ึ บวชอยทู่ ว่ี ดั ภเู ขาทอง ก็มีใจรักชาติบ้านเมือง ได้สึกออกมารับต้ังค่ายกันทัพเรือต้ังแต่วัดภูเขาทองลงมาจนถึง วัดป่าพลู โดยขอก�าลังจากญาติโยม ทาสชาย หญิงของมหานาคช่วยกันขุดคูนอก ค่ายกันทัพเรือของข้าศึก ซ่ึงต่อมารู้จักกันว่า คลองมหานาค”๙ จากเหตุการณ์ครั้งนี้ ท�าให้เห็นบทบาทของพระสงฆ์ในการเข้าไปมีส่วนร่วมใน รักษาประเทศชาติไว้ บางช่วงบางตอน พระสงฆ์ที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์บ้านเมือง หากไม่ ระมัดระวังก็มีอันตรายถึงชีวิตเช่นกัน เช่นกรณีพระพนรัตน์วัดป่าแก้ว ซ่ึงเป็นผู้ให้ฤกษ์ แก่พระศรีศิลป์ในการล้มล้างราชบัลลังก์ของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราชเจ้า ต่อมาเหตุการณ์ผลิกผัน ท�าการไม่ส�าเร็จ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิฯ จึงสั่งให้เอา
6 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา พระพนรัตน์ไปฆ่าเสีย แล้วเอาศีรษะไปเสียบประจาน ณ ตะแลงแกงพร้อมกับศพ พระศรีศิลป์๑๐ จะเห็นได้ว่า เรื่องราวท่ีจารึกไว้ในพงศาวดาร มีความเก่ียวข้องกับพระพุทธ ศาสนาอยู่ทุกยุคทุกสมัย โดยกระท่ังสุดท้ายก่อนที่จะเสียกรุงศรีอยุธยาให้แก่พม่า วัดวา อารามที่เคยกลายเป็นสัญลักษณ์ของความสงบร่มเย็น ก็ได้กลายเป็นสมรภูมิรบ พม่า ได้ยกทัพมาตั้งค่ายในวัด บุกโจมตี และฆ่าผู้คนไปเป็นจ�านวนมาก เมื่ออายุแผ่นดิน ศรีอยุธยาถึงกาลอวสาน จึงเกิดอาเพศให้เห็นประหลาด เช่น พระประธานวัดเจ้า พระนางเชิงน�้าพระเนตรไหลลงมาจนถึงพระนาภี ในวัดพระศรีสรรเพชญ์นั้น พระบรม ไตรโลกนาถ พระอุระแตก ดวงพระเนตรตกลงมาอยู่ท่ีตักเป็นอัศจรรย์ พระเจดีย์วัดราช บูรณะนั้น กาบินมาเสียบตายอยู่บนปลายยอด รูปพระนเรศวรเจ้าโรงแสงในกระทืบ พระบาทสน่ันไปท้ังส่ีทิศ และเม่ือพม่าเข้ากรุงได้ ก็เอาไฟเผาพระราชวัง และวัดพระ ศรีสรรเพชญ์ ขณะท่ีพระเจ้าแผ่นดินอยุธยา ได้หนีออกจากพระนครไปพระองค์เดียว ได้รับความล�าบาก สุดท้ายก็ถึงแก่พิราลัย แผ่นดินอยุธยาจึงอันปิดฉากลงในปี พ.ศ.๒๓๑๐ ปีกุน นพศก
บทน�ำ 7 ร่องรอยพระพุทธศาสนาที่ปรากฏในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา มีปรากฏทุก ยุคสมัย ตลอดระยะเวลา ๔๑๗ ปี อย่างไรก็ตาม เนื้อความก็ยังกระท่อนกระแท่น ยังไม่เคยมีการประมวล และน�ำมาวิเคราะห์รายละเอียด โดยเฉพาะในประเด็นเรื่อง บทบาท ความสัมพันธ์ และคตินิยมต่าง ๆ ทางพระพุทธศาสนาท่ีมีต่อสังคม และท่ี สังคมมีต่อพระพุทธศาสนา จึงเป็นท่ีมาของการศึกษาในคร้ังน้ี ๑.๒ ขอบเขตของการศึกษา การศึกษาครั้งนี้ มุ่งสืบค้นเร่ืองราวเก่ียวกับพระพุทธศาสนาที่ปรากฏอยู่ใน พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา จากน้ันวิเคราะห์บทบาท ความสัมพันธ์ และคตินิยมทาง พระพุทธศาสนาที่มีต่อสังคม และคตินิยมทางสังคมที่มีต่อพระพุทธศาสนา เบ้ืองต้นผู้ศึกษาใช้พระราชพงศาวดาร พงศาวดาร และประชุมพงศาวดารสมัย กรุงศรีอยุธยา ซ่ึงตีพิมพ์ในโอกาสต่าง ๆ โดยจัดกลุ่มเป็นเอกสารชั้นปฐมภูมิคือตัว พงศาวดาร และเอกสารชั้นทุติยภูมิ ได้แก่จดหมายเหตุ ประชุมพงศาวดาร ตลอดจน ถึงต�ำนาน ต�ำราทางวิชาการต่าง ๆ กลุ่มพงศาวดาร ประกอบด้วย พระราชพงศาวดาร เล่ม ๑-๒-๓ ตีพิมพ์ โดยกรมศึกษาธิการ (ร.ศ.๑๒๐), พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับวัน วลิต พ.ศ.๒๑๘๒, พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา ภาค ๑-๒-๓ ตีพิมพ์ เม่ือ รศ.๑๓๑ (พ.ศ.๒๔๕๕), พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสิด ตีพิมพ์ พ.ศ.๒๔๘๖, พระราชพงศาวดารกรุงเก่า กรมราชบัณฑิตจัดพิมพ์ ๒๕๐๑ กลมุ่ จดหมายเหตุ และประชมุ พงศาวดาร ประกอบดว้ ย ลาลแู บร์ จดหมายเหตุ กรุงศรีอยุธยา, ประชุมพงศาวดาร ภาคท่ี ๑๙, ประชุมพงศาวดาร ภาคท่ี ๒๐, ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๓๗, ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๓๘, ประชุมพงศาวดาร ภาคท่ี ๔๐, ประชุมพงศาวดาร ภาคท่ี ๖๔, ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๖๙, จดหมายเหตุระยะทางราชทูตลังกาเข้ามาขอคณะสงฆ์ที่กรุงศรีอยุธยา, ตีพิมพ์ ๒๔๗๓, จดหมายเหตุเก่า เรื่อง พระเจ้าแผ่นดินกรุงศรีอยุธยาแต่งทูตไปนมัสการ พระมาไลย์เจดีย์เมืองหงสาวดี เป็นต้น
8 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ๑.๓ วิธีการศึกษา การศึกษาคร้ังน้ี ผู้เขียนได้สืบค้นเอกสารพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาจากเอกสาร หลัก ประกอบไปด้วย ฉบับจันทนุมาศ, ฉบับหลวงประเสริฐ ตีพิมพ์ พ.ศ.๒๔๘๖, ฉบับพระราชหัตถเลขา ภาค ๑-๒-๓ ตีพิมพ์เม่ือ รศ.๑๓๑ (พ.ศ.๒๔๕๕) และเทียบเคียงฉบับอ่ืน ๆ เช่น ประชุมพงศาวดาร ภาคท่ี ๑๙, ประชุมพงศาวดาร ภาคท่ี ๒๐, ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๓๗, ประชุมพงศาวดาร ภาคท่ี ๓๘, ประชุม พงศาวดาร ภาคที่ ๔๐, ประชุมพงศาวดาร ภาคท่ี ๖๔, ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๖๙, จดหมายเหตุระยะทางราชทูตลังกาเข้ามาขอคณะสงฆ์ที่กรุงศรีอยุธยา, ตีพิมพ์ ๒๔๗๓, จดหมายเหตุเก่า เร่ือง พระเจ้าแผ่นดินกรุงศรีอยุธยาแต่งทูตไปนมัสการ พระมาไลย์เจดีย์เมืองหงสาวดี เป็นต้น โดยได้ด�ำเนินการตามล�ำดับดังนี้ ๑. คัดเนื้อหาส่วนที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาออกมา แล้วจัดหมวดหมู่ ตามเนื้อหาเรียงล�ำดับตามล�ำดับรัชกาล ๒. วิเคราะห์บทบาทและความสัมพันธ์ระหว่างพระพุทธศาสนากับสังคม สมัยกรุงศรีอยุธยา โดยวิเคราะห์เนื้อหาท่ีได้จากการศึกษาในข้อ ๑ โดยแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน คือ ส่วนที่เป็นบทบาท และความสัมพันธ์ที่พระพุทธศาสนามีต่อสังคมในสมัย กรุงศรีอยุธยา ๓. วิเคราะห์คตินิยมทางพระพุทธศาสนาท่ีมีต่อสังคม และคตินิยมท่ีสังคม มีต่อพระพุทธศาสนาสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยพิจารณา ๒ ประเด็นหลัก ๑) คตินิยม ท่ีพระพุทธศาสนามีต่อสังคม ๒) คตินิยมท่ีสังคมมีต่อพระพุทธศาสนา การวิเคราะห์คตินิยมพระพุทธศาสนาที่มีต่อสังคม ผู้ศึกษาอาศัยคตินิยมท่ี ปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎก และอรรถกถาเป็นแนวคิดและทฤษฎีส�ำหรับการวิเคราะห์ ส่วนคตินิยมที่สังคมมีต่อพระพุทธศาสนา อาศัยคตินิยมทางสังคมสมัยอยุธยาเป็น แนวคิด พร้อมทั้งเชื่อมโยงให้เห็นอิทธิพล หรือบทบาทส�ำคัญในการก�ำหนดคตินิยม ใหม่ข้ึนในพระพุทธศาสนา
บทน�า 9
10 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา เชิงอรรถ ๑ ดูรายละเอียดใน https://th.wikipedia.org/wiki/จังหวัดพระนครศรีอยุธยา. ๒ ที.สี.อ. (ไทย) ๑/๑/๕๓๘. ๓ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม), (นนทบุรี : ส�ำนักพิมพ์ ศรีปัญญา, ๒๕๕๓), หน้า ๓๘. ๔ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๔๑. ๕ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๔๗. ๖ เร่ืองเดียวกัน, หน้า ๕๑. ๗ เร่ืองเดียวกัน, หน้า ๕๔. ๘ เร่ืองเดียวกัน, หน้า ๕๔. ๙ เร่ืองเดียวกัน, หน้า ๗๘. ๑๐ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับหลวงประเสริฐ, หน้า ๔๑๐.
.
12 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา
ความเป็นมาของอยุธยา 13 ๒ ความเปน็ มาของอยธุ ยา
กรุงศรีอยุธยาและร่องรอยการเข้ามาของพระพุทธศาสนา ๒.๑ กรุงศรีอยุธยาก่อน พ.ศ.๑๘๙๓ กรุงศรีอยุธยาได้รับการสถาปนาเป็นเมืองหลวงในปี ๑๘๙๓ ตามท่ีระบุไว้ ในพงศาวดาร แต่ในรูปของต�ำนาน มีผู้ต้ังข้อสันนิษฐานไว้ว่า๑ ก่อน พ.ศ.๑๔๘๑ ก็เคยเป็นเมืองหลวงของประเทศสยาม ช่ือว่ากรุงศรีอยุธยา มีกษัตริย์ทรงปกครอง สืบต่อกันมาหลายพระองค์ แต่ความในพงศาวดารบกพร่อง ไม่ใคร่ติดต่อกันได้ ลงท้าย ช่ือกรุงศรีอยุธยาสูญหายกลายไปเป็นเมือง เรียกว่าเมืองเสนาราชนคร จึงเห็นว่าคง จะเป็นด้วยกรุงศรีอยุธยาเสื่อมถอยลง เมืองอ่ืนมีอ�ำนาจเข้มแข็งก็ปกแผ่ลงมาได้ไป เป็นเมืองขึ้น จึงได้ลดจากกรุงลงเป็นเมืองไป ในพงศาวดารโยนก๒ ระบุว่า เคยเป็นท่ีประดิษฐานพระมหามณีรัตน์ไว้ มี รายละเอียดประกอบว่า เม่ือคราวน้�ำท่วมเมืองกัมพูชา พระมหาเถระได้อัญเชิญ พระมหามณรี ตั นล์ งสำ� เภามาอาศยั อยทู่ างตอนเหนอื ของนครอนิ ทปฐั ระยะทางสามเดอื น เศษ ต่อมาพระมหามณีรัตน์ก็อยู่ในความครอบครองของพระเจ้าอาทิตย์ราชซึ่งครอง กรุงสยามฝ่ายเหนือ ซ่ึงตามความเข้าใจของผู้รจนาต�ำนานก็ว่าเป็นพระนครศรีอยุธยา โบราณแต่ในพงศาวดารก็ยังไม่สามารถระบุได้ว่าต้ังอยู่ที่ใด ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ได้ให้ความเห็นว่า อยุธยา ถือก�ำเนิดมาจากแคว้น สุพรรณบุรี และลพบุรี สุพรรณบุรีมีอ�ำนาจทางทิศตะวันตกของแม่น�้ำเจ้าพระยา ซึ่งมี เมืองเก่าหลายเมืองรวมอยู่ด้วย เช่น นครชัยศรี ราชบุรี เพชรบุรี ส่วนลพบุรีมีอ�ำนาจ ทางซีกตะวันออกแม่น�้ำเจ้าพระยา และพระเจ้าอู่ทองก็สถาปนาอยุธยาข้ึนโดยตั้งขึ้นใน
ความเป็นมาของอยุธยา 15 เมืองอโยธยาท่ีมีมาก่อน เป็นเมืองท่ีอยู่ระหว่างกลางระหว่างสุพรรณบุรีกับลพบุรี๓ ถอื ตามนยั น้ี อยธุ ยา กค็ อื เมอื งทไ่ี ดร้ บั การสถาปนาขน้ึ ในบรเิ วณเมอื งอโยธยาเดมิ นน่ั เอง สืบความย้อนหลังจากน้ีจากหลักฐานอื่น๔ ได้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าบรรพบุรุษของ พระเจ้าอู่ทองนั้นสืบเชื้อสายมาจากมาจากเชียงราย แต่พ่ายต่อข้าศึกเมืองสตอง จึงได้ หนีลงมามายังแว่นแคว้นสยามประเทศ ข้ามแม่น�้าโพถึงเมืองร้างแห่งหนึ่งตั้งอยู่ฝั่ง ตรงกันข้ามเมืองก�าแพงเพชร จึงได้ต้ังเมืองอยู่ที่เมืองร้างแห่งน้ัน และให้นามเมืองว่า ไตรตรึงษ์ เพราะเหตุที่มีพระอินทร์จ�าแลงมาบอกสถานท่ีให้ ทรงครองราชย์อยู่ในเมือง แห่งนี้ตลอดช่ัว ๔ รัชกาล แผนที่โบราณดินแดนแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้วาดโดยฝรั่งยุโรป ท่ีมา: http://www.raremaps.com/gallery/enlarge/24485
16 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ห่างจากเมืองนั้นออกไปทางทิศใต้ มีชายเข็ญใจรูปร่างเป็นปมเต็มตัว จึงได้ ชื่อว่า นายแสนปม ปลูกพริกมะเขืออยู่ริมฝั่งแม่น�้ำ นายแสนปมถ่ายอุจจาระปัสสาวะ ใกล้บริเวณต้นพริก ต้นมะเขือ จึงท�ำให้ผลใหญ่กว่าผลอื่น ๆ พระราชธิดาพระยาไตรตรึงษ์อยากเสวยมะเขือ ให้สาวใช้ไปหาซื้อ ก็ได้มะเขือ จากบ้านนายแสนปมนั้น คร้ันเสวยแล้วก็ทรงพระครรภ์ ความทราบถึงพระบิดา ก็ทรง ให้ไต่สวนหาความจริง ก็ไม่พบว่าพระธิดาไปสมัครสังวาสกับบุรุษใด คร้ันครรภ์แก่ครบ กำ� หนด กท็ รงประสตู พิ ระกมุ ารบรบิ รู ณด์ ว้ ยบญุ ญาธกิ าร และไดร้ บั การเลย้ี งดเู ปน็ อยา่ งดี ครั้นพระกุมารมีพระชนม์ได้ ๓ พระชันษา พระอัยกามีพระประสงค์เสี่ยงทาย หาบิดาของพระราชกุมาร จึงให้เป่าประกาศให้บรรดาชาวเมืองถือของกินมาถวาย พระราชกุมาร โดยตั้งสัตยาธิษฐานว่า หากบุรุษใดเป็นบิดา ขอให้กุมารรับของจากบุรุษ นั้นมาเสวย แล้วให้พระนางอุ้มพระราชกุมารน้อยไปสู่ที่ชุมชนหน้าพระลานหลวง แม้ จะมีบุรุษจ�ำนวนมากยื่นขนมให้ แต่พระราชกุมารก็หาได้สนพระทัยไม่ กระทั่งถึง นายแสนปม มีเพียงก้อนข้าวเย็น พระราชกุมารเห็นก็ว่ิงเข้าไปกอดคอ แล้วรับเอา ก้อนข้าวน้ันมาเสวย พระเจ้าไตรตรึงษ์ทอดพระเนตรเห็นเช่นนั้นก็เกิดความละอายพระทัย ได้มอบ พระราชธิดาให้นายแสนปม แล้วปล่อยลงแพ ครั้นลอยมาถึงไร่มะเขือ นายแสนปมก็ พาบุตร ภรรยาข้ึนไป และอาศัยอยู่บนกระท่อมแห่งนี้ ด้วยอานุภาพแห่งบุญของคนท้ังสาม ร้อนถึงท้าวสักกะ ต้องลงมา พร้อมกับ มอบกลองวิเศษให้นายแสนปม พร้อมกับบอกว่า เพียงแค่ตีกลองปรารถนาก็จะได้สิ่ง ที่ต้องการ นายแสนปมจึงอธิษฐานขอให้มีรูปงาม ก็ได้สมปรารถนา ฝ่ายภรรยา ปรารถนาทองธรรมชาติ จึงได้อธิษฐานตีกลอง ก็ได้สมปรารถนาเช่นกัน เม่ือได้ทอง เป็นจ�ำนวนมาก นางก็สั่งให้ช่างท�ำอู่ให้พระราชกุมาร ตั้งแต่นั้นมา พระราชกุมารก็ได้ พระนามใหม่ว่า “อู่ทอง” คร้ันถึง พ.ศ.๑๘๖๒ พระราชบิดาก็ตีกลองทิพย์เนรมิตรพระนครใหม่ ให้ ช่ือว่า เทพนคร เพราะส�ำเร็จด้วยเทวานุภาพ ชนเป็นจ�ำนวนมากได้เข้ามาอาศัย เทพนครแห่งนี้ บ้านเมืองมีความอุดมสมบูรณ์ พระบิดาของพระเจ้าอู่ทองก็ทรงครอง
ความเป็นมาของอยุธยา 17 ราชสมบตั ใิ นพระนครแหง่ นี้ ทรงพระนามใหมว่ า่ พระเจา้ ศริ ไิ ชยเชยี งแสน ทรงครองราช มาได้ ๒๕ ปี ก็สวรรคต พระเจ้าอู่ทองก็ได้สืบทอดราชบัลลังก์แทนสืบต่อมา คร้ันถวายพระเพลิงพระศพพระราชบิดาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ๒ ปีหลังจากน้ัน ก็ทรงด�ำหริปรารถนาจะสร้างเมืองใหม่ จึงให้เสนาอ�ำมาตย์ไปแสวงหาแผ่นดินใหม่ ครั้นไปเห็นท�ำเลที่หนองโสนเหมาะสมด้วยประการท้ังปวง จึงได้สร้างต�ำหนัก และเร่ิม สร้างเมืองบริเวณท่ีแห่งนี้ ให้นามใหม่ตามเมืองเดิมว่า กรุงเทพมหานคร และได้นาม ว่า บวรทวาราวดี เพราะเหตุที่มีแม่น้�ำล้อมรอบบ้าง เรียกว่าศรีอยุธยาบ้าง ด้วยเหตุ พระนารายณ์อวตารมาช่วยสร้างบ้าง ครั้นถึงพุทธศักราช ๑๘๙๓ จึงได้สถาปนา เป็นเมืองหลวง และเสด็จมาประทับที่พระนครแห่งนี้ นับเป็นกษัตริย์พระองค์แรกแห่ง กรุงศรีอยุธยา ในจดหมายเหตุลา ลูแบร์ ได้กล่าวถึงปฐมกษัตริย์อันเป็นต้นราชวงศ์สืบทอด มาถึงสมัยอยุธยา ความดังน้ี ปฐมกษัตริยข์ องชาวสยามน้นั ทรงพระนามวา่ พระปฐมสุรยิ เทพนรไทยสุวรรณ บพิตร พระมหานครแห่งแรกท่ีเสด็จข้ึนเถลิงราชสมบัติน้ันช่ือว่า ไชยบุรีมหานคร ซึ่งข้าพเจ้าไม่แจ้งว่าต้ังอยู่ที่ไหน เมื่อเสด็จขึ้นเถลิงราชย์นั้นพระพุทธศาสนยุกาลล่วง แล้ว ๑๓๐๐ พรรษา นับศักราชสยามและมีพระมหากษัตริย์สืบสันตติวงศ์ต่อมา อีก ๑๐ ชั่วกษัตริย์ องค์สุดท้ายทรงพระนามว่า พญาสุนทรเทศมหาเทพราช ย้าย พระนครหลวงมาสร้างราชธานีใหม่ท่ีเมืองธาตุนครหลวง จะต้ังอยู่แห่งหนต�ำบลใด ข้าพเจ้าก็ไม่แจ้งอีกเหมือนกัน ในปี พ.ศ.๑๗๓๑ พระมหากษัตริย์องค์ท่ี ๑๒ สืบต่อ จากพระองค์นี้ทรงพระนามว่า พระพนมไชยศิริ ทรงให้อาณาประชาราษฎร์ของพระองค์ อพยพตามไปยังเมืองนครไทย ซึ่งต้ังอยู่บนฝั่งแม่น�้ำอันไหลมาจากภูเขาแดนลาว ซึ่ง ไหลลงสแู่ มน่ ำ�้ เจา้ พระยา ตอนเหนอื เมอื งพษิ ณโุ ลกไปเลก็ นอ้ ย แตน่ นั้ ไปยงั เมอื งนครไทย ไกลกัน ๔๐ ถึง ๕๐ ลี้ แต่พระมหากษิตริย์พระองค์น้ีมิได้ประทับอยู่ ณ เมืองนครไทย ตลอดมา หากได้เสด็จไปสร้างและประทับอยู่ ณ เมืองพิบพลี บนฝั่งแม่น�้ำสายหนึ่ง ซึ่งปากน�้ำน้ันอยู่ห่างราว ๒ ลี้ ข้างทิศตะวันตกของปากน�้ำ (เจ้าพระยา) มีพระมหา กษัตริย์สืบราชสันตติวงศ์ต่อมาอีก ๔ ชั่วกษัตริย์ พระองค์สุดท้ายซ่ึงทรงพระนามว่า รามาธิบดี ได้ทรงสร้างเมืองสยามขึ้นเมื่อปี พ.ศ.๑๘๙๔ และเสด็จขึ้นด�ำรงสิริราช มไหศวรรย์สมบัติ ณ ที่นั้น๕
18 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา จดหมายเหตุ ยังได้ระบุถึงที่ต้ัง และรายละเอียดของกรุงศรีอยุธยาในรัชสมัย ของสมเด็จพระนารายณ์ ความตอนหน่ึงว่า ตั้งอยู่ ณ ละติจูด ๑๔ องศา ๒๐ ลิบดา ๔๐ พิลิบดา และลองติจูด ๑๒๐ องศา ๓๐ ลิบดา มีรูปร่างลักษณะคล้าย ๆ ถุงย่าม ปากถุงอยู่ทางทิศตะวันตก ล�ำแม่น้�ำใหญ่บรรจบกับล�ำคลองหลายสายซ่ึงแล่นวงรอบกรุงน้ันตรงด้านเหนือ และ แยกลงไปทางดา้ นใตเ้ ปน็ หลายแพรกดว้ ยกนั พระบรมมหาราชวงั นน้ั ตง้ั อยทู่ างดา้ นเหนอื บนล�ำคลองที่เป็นคูพระมหานครทางด้านตะวันออกมีทางเดินข้ามอยู่แห่งเดียว คล้าย คอคอด ซ่ึงจะออกจากพระนครได้โดยไม่ต้องข้ามล�ำน้�ำ ตัวนครนั้นกว้างขวางมาก ด้วยมีก�ำแพงล้อมรอบตัวเกาะดังที่ข้าพเจ้ากล่าว แล้ว แต่เนอื้ ที่ภายในกำ� แพงพระมหานครนั้น มผี คู้ นอยู่ประมาณ ๑ ใน ๖ สว่ นเท่ากนั อันหมายถึงพ้ืนที่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ นอกนั้นรกเป็นป่าช้า แต่มีวัดเท่าน้ัน เปน็ ความจรงิ ทว่ี า่ ทางเขตดา้ นชานพระมหานคร ซงึ่ มชี าวตา่ งประเทศตงั้ ภมู ลิ ำ� เนาอยนู่ น้ั ท�ำให้เพิ่มจ�ำนวนพลเมืองข้ึนอีกเป็นอันมาก๖ สรุปความว่า พ.ศ.๑๘๙๓ ยอ้ นหลงั ไป กรุงศรีอยุธยายงั อย่ใู นรูปของต�ำนาน แต่ก็พอมีเค้าความเป็นมาว่าเคยเป็นเมืองส�ำคัญมาก่อน ต่อเมื่อพระเจ้าอู่ทองสถาปนา ข้ึนเม่ือวันศุกร์ เดือน ๕ ขึ้น ๖ ค่�ำ เวลา ๓ นาฬิกา ๙ บาท ปีขาล โทศก ศักราช ๗๑๒ (พ.ศ.๑๘๙๓)๗ อยุธยาจึงได้ปรากฏตัวขึ้นในฐานะเป็นเมืองหลวงของสยาม ประเทศ ๒.๒ กรุงศรีอยุธยาหลัง พ.ศ.๑๘๙๓ ความในพงศาวดารช่วงพระเจ้าอู่ทองได้สถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีน้ัน ได้มีการระบุถึงเมืองที่อยู่ในฐานะเป็นประเทศราช ๑๖ เมือง ประกอบด้วย มะละกา ชะวา ตะนาวศรี นครศรีธรรมราช ทะวาย เมาะตะมะ เมาละเลิง สงขลา จันทบุรี พิศณุโลก สุโขทัย พิไชย สวรรคโลก พิจิตร ก�ำแพงเพชร และนครสวรรค์๘ ขณะ เดียวกันก็มีเมืองอีก ๒ เมืองที่ทรงให้ความส�ำคัญ โดยส่งพระเชษฐา (หลวงพะงั่ว) และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ (พระราเมศวร) ไปครอง ได้แก่ เมืองสุพรรณบุรี และลพบุรี ตามล�ำดับ
ความเป็นมาของอยุธยา 19 กรุงศรีอยุธยาตามค�าบอกเล่าของนิโกลาส์ แซรแวส ซึ่งเดินทางเข้ามาใน รัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์ ได้กล่าวถึงต�าแหน่งของกรุงศรีอยุธยาว่า มีอาณาเขต ตั้งแต่องศาท่ี ๗ แห่งละติจูดเหนือ กระทั่งถึงองศาที่ ๑๙ ทางทิศใต้จรดแม่น�้าอ่าว ไทยกับเมืองปัตตานี ทางทิศเหนือจรดประเทศลาว ทิศตะวันออกจรดประเทศแกว และ กัมพูชา ทิศตะวันตกจรดเมืองอังวะ, พะโค และดินแดนแคว้นมะละกา ส่วนยาวแต่ เหนือจรดใต้ประมาณ ๒๒๐ ล้ี๙ (๙๗๖.๘ กิโลเมตร) ในจดหมายเหตุของลา ลูแบร์ ได้พรรณนาถึงลักษณะของกรุงศรีอยุธยาไว้ว่า มีรูปร่างลักษณะคล้าย ๆ กับถุงย่าม ปากถุงอยู่ทางทิศตะวันตก ล�าแม่น�้าใหญ่บรรจบ กับล�าคลองหลายสายซึ่งแล่นวงรอบกรุงนั้นตรงด้านเหนือ และแยกลงไปทางด้านใต้ เป็นหลายแพรกด้วยกัน พระบรมมหาราชวังน้ัน ตั้งอยู่ทางด้านเหนือ บนล�าคลองที่ เป็นคูพระมหานครทางด้านตะวันออกมีทางเดินข้ามอยู่ทางเดียว คล้ายคอคอด ซ่ึงจะ ออกจากพระนครได้โดยไม่ต้องข้ามล�าน้�า๑๐
20 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ช่วงท่ีกรุงศรีอยุธยาด�ารงฐานะเป็นราชธานี แต่ละรัชกาล ก็ได้มีความพยายาม แผ่อาณาเขตออกไปหลายด้าน ขณะเดียวกัน ในบางช่วงบางสมัย ก็เกิดศึกภายในอัน มีสาเหตุมาจากการเปล่ียนผ่านรัชกาลบ้าง การก่อการกบฏชิงราชบัลลังก์บ้าง การไม่ ต้ังอยู่ในธรรมราชาบ้าง เป็นเหตุให้เมืองขึ้นเกิดการแข็งเมือง หรือท�าให้ข้าศึกจาก ภายนอกเฉพาะอย่างยิ่งคือพม่า ได้โอกาสยกทัพมาทดสอบก�าลัง หรือบางคร้ังก็ยกทัพ มาตีเอาเมืองชายแดนส�าคัญอยู่เนือง ๆ เช่น ใน พ.ศ.๒๑๐๖ พม่าได้ยกทัพมาตีเอา เมืองพิษณุโลก ตีเอาหัวเมืองฝ่ายเหนือ และสุดท้ายใน พ.ศ.๒๑๑๑ ก็ได้ยกทัพมาตี เอากรุงศรีอยุธยา ถัดแต่นั้น คือ พ.ศ.๒๑๑๒ ไทยสูญเสียเอกราชให้แก่พม่าช่วง ระหว่าง พ.ศ.๒๑๑๒-๒๑๒๖ อย่างไรก็ตาม สมเด็จพระนเรศวรก็ทรงกอบกู้เอกราช เป็นอิสรภาพจากพม่า ได้เป็นผลส�าเร็จใน พ.ศ.๒๑๓๓ รวมทรงใช้ระยะเวลาถึง ๘ ปี กรุงศรีอยุธยาจึงได้ กลับมาเป็นราชธานีอีกคร้ัง และเร่ือยมากระท่ังถึง พ.ศ.๒๓๑๐ ไทยก็เสียเอกราชแก่ พม่าอีกคร้ัง ครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของกรุงธนบุรี และเป็นการปิดฉากความเป็นเมือง หลวงตลอดไป
ความเป็นมาของอยุธยา 21 ๒.๓ ล�ำดับรัชกาลสมัยกรุงศรีอยุธยา ในช่วงระหว่างกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีระหว่างปี พ.ศ.๑๘๙๓-๒๓๑๐ รวมระยะเวลา ๔๑๗ ปี มีกษัตริย์ปกครองท้ังส้ิน ๕ ราชวงศ์ รวม ๓๓ พระองค์ ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้ ล�ำดับ พระนาม ราชวงศ์ ปีครองราชย์ หมายเหตุ ๑ สมเด็จพระรามาธิบดี (อู่ทอง) ที่ ๑ เชียงราย พ.ศ. ๑๘๙๓-๑๙๑๒ ๑๙ ปี ๒ สมเด็จพระราเมศวร (คร้ังท่ี ๑) “” พ.ศ. ๑๙๑๒-๑๙๑๓ ๑ ปี ๓ สมเดจ็ พระบรมราชาธริ าช (พงวั ) ท่ี ๑ สุวรรณภูมิ พ.ศ. ๑๙๑๓-๑๙๓๑ ๑๘ ปี ๔ เจ้าทองลัน “” พ.ศ. ๑๙๓๑-๑๙๓๑ ๗ วัน สมเด็จพระราเมศวร (ครั้งที่ ๒) เชียงราย พ.ศ. ๑๙๓๑-๑๙๓๘ ๗ ปี ๕ สมเด็จพระรามราชาธิราช “” พ.ศ. ๑๙๓๘-๑๙๕๒ ๑๔ ปี ๖ สมเด็จพระนครอินทราธิราช สุวรรณภูมิ พ.ศ.๑๙๕๒-๑๙๖๗ ๑๖ ปี สมเด็จพระบรมราชาธิราช “” พ.ศ. ๑๙๖๗-๑๙๙๑ ๒๔ ปี ๗ (สามพระยา) ท่ี ๒ ๘ สมเด็จพระบรมไตรโลกนารถ “” พ.ศ. ๑๙๙๑-๒๐๓๑ ๔๐ ปี ๙ สมเด็จพระบรมราชาธิราชท่ี ๓ “” พ.ศ. ๒๐๓๑-๒๐๓๔ ๓ ปี ๑๐ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ “” พ.ศ. ๒๐๓๔-๒๐๗๒ ๓๘ ปี สมเด็จพระบรมราชาธิราช “” พ.ศ. ๒๐๗๒-๒๐๗๖ ๔ ปี ๑๑ (หน่อพุทธางกูร) ที่ ๔ ๑๒ พระรัษฎาธิราช “” พ.ศ. ๒๐๗๖-๒๐๗๗ ๑ ปี ๑๓ สมเด็จพระไชยราชาธิราช “” พ.ศ. ๒๐๗๗-๒๐๘๙ ๑๒ ปี ๑๔ พระยอดฟ้า “” พ.ศ. ๒๐๘๙-๒๐๙๑ ๒ ปี ขุนวรวงษาธิราช “” พ.ศ. ๒๐๙๑-๒๐๙๑ ๔๒ วัน ๑๕ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ “” พ.ศ. ๒๐๙๑-๒๑๑๑ ๒๐ ปี ๑๖ สมเด็จพระมหินทราธิราช “” พ.ศ. ๒๑๑๑-๒๑๑๒ ๑ ปี ๑๗ สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช สุโขทัย พ.ศ. ๒๑๑๒-๒๑๓๓ ๒๑ ปี ๑๘ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช “” พ.ศ. ๒๑๓๓-๒๑๔๘ ๑๕ ปี ๑๙ สมเด็จพระเอกาทศรถ “” พ.ศ. ๒๑๔๘-๒๑๖๓ ๑๕ ปี ๒๐ เจ้าฟ้าศรีเสาวภาคย์ “” พ.ศ. ๒๑๖๓-๒๑๖๓ ไม่ถึงปี ๒๑ สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม “” พ.ศ. ๒๑๖๓-๒๑๗๑ ๘ ปี ๒๒ สมเด็จพระเชษฐาธิราช “” พ.ศ. ๒๑๗๓-๒๑๗๔ ๒ ปี ๒๓ สมเด็จพระอาทิตยวงษ์ “” พ.ศ. ๒๑๗๓-๒๑๗๓ ๓๖ วัน ๒๔ สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ปราสาททอง พ.ศ. ๒๑๗๓-๒๑๙๘ ๒๕ ปี ๒๕ สมเด็จเจ้าฟ้าไชย “” พ.ศ. ๒๑๙๘- ๒๑๙๙ ๑ ปี
22 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ๒๖ สมเด็จพระศรีสุธรรมราชา “” พ.ศ. ๒๑๙๙-๒๑๙๙ ๓ เดือน ๒๗ สมเด็จพระนารายน์มหาราช “” พ.ศ. ๒๑๙๙-๒๒๓๑ ๓๒ ปี ๒๘ สมเด็จพระเพทราชา พลูหลวง พ.ศ. ๒๒๓๑-๒๒๔๖ ๑๕ ปี ๒๙ สมเด็จพระเจ้าเสือ “” พ.ศ. ๒๒๔๖-๒๒๕๑ ๗ ปี ๓๐ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ “” พ.ศ. ๒๒๕๑-๒๒๗๕ ๒๔ ๓๑ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ “” พ.ศ. ๒๒๗๕-๒๓๐๑ ๒๖ ปี ๓๒ สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร “” พ.ศ. ๒๓๐๑-๒๓๐๑ ๓ เดือน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่นั่งสุริยาศน์ “” พ.ศ. ๒๓๐๑-๒๓๑๐ ๙ ปี ๓๓ อมรินทร์ ๒.๔ ร่องรอยการเข้ามาของพระพุทธศาสนา ๒.๔.๑ หลักฐานจากคัมภีร์พระพุทธศาสนา ภายหลังพุทธปรินิพพานแล้ว ได้มีการแผ่ขยายของพระพุทธศาสนาไปยัง ประเทศต่าง ๆ ร่องรอยที่ชัดเจนที่สุดก็คือช่วงรัชสมัยของพระเจ้าอโศก ประมาณ พ.ศ.๒๓๕ ภายหลงั ทำ� สงั คายนาเสรจ็ แลว้ กม็ กี ารสง่ สมณทตู ไปประกาศศาสนา ๙ สาย และ ๑ ในน้ัน มีพระโสณะและพระอุตตระถูกส่งมายังดินแดนที่เรียกว่าสุวรรณภูมิ๑๑ ในคัมภีร์พระไตรปิฎก มีกล่าวถึงดินแดนที่เรียกว่า สุวรรณภูมิ ๓ แห่ง ได้แก่ คัมภีร์ขุททกนิกาย มหานิเทศ ๒ แห่ง, ขุททกนิกาย อปทาน ๑ แห่ง เน้ือความที่ปรากฏในขุททนิกาย มหานิเทศ พรรณนาถึงการเดินทางแสวงหา โภคทรัพย์ว่าต้องล่องเรือออกสู่มหาสมุทรไปยังรัฐต่าง ๆ ซ่ึง ๑ ในนั้นคือ สุวรรณภูมิ รัฐ๑๒ ส่วนคัมภีร์อปทาน ปรากฏอยู่ในอดีตชีวประวัติของพระชตุกัณณิกเถระว่า อดีต ชาติได้เป็นบุตรเศรษฐีอยู่ในเมืองหงสวดี เป็นที่รู้จักแก่คนทั้งหลาย มีคนเข้าไปหา หรือพบด้วยวัตถุประสงค์ต่าง ๆ บรรดาชนเหล่านั้น ระบุถึงชาวสุวรรณภูมิด้วย๑๓ ในคัมภีร์อรรถกถามีระบุถึงดินแดนท่ีเรียกว่าสุวรรณภูมิหลายแห่ง แต่ละแห่ง ท่ีพบมีลักษณะคล้ายกันคือต้องอาศัยการเดินทางด้วยเรือ เช่น ในอรรถกถาเอกนิบาต กล่าวถึงระยะทางการเดินเรือไปยังสุวรรณภูมิน้ัน ๗๐๐ โยชน์ (๑ โยชน์=๑๖ กิโลเมตร, ๗๐๐ โยชน์=๑,๑๒๐ กิโลเมตร) ใช้เวลาเดินทาง ๗ วัน ๗ คืน๑๔ อรรถกถาขุททกนิกาย อปทาน ได้เล่าเรื่องอดีตชาติสมัยพระพุทธเจ้าพระนามว่า
ความเป็นมาของอยุธยา 23 ปทุมุตตร มีพ่อค้าคนหน่ึงชื่อพาหิยะ ได้เดินทางไปค้าขายที่เมืองสุวรรณภูมิ แต่เรือ อัปปางระหว่างทาง ได้อาศัยแผ่นกระดานแผ่นหน่ึงประคองตัวจึงรอดชีวิต๑๕ หลักฐานจากคัมภีร์พระไตรปิฎก และคัมภีร์อรรถกถา แม้จะยังไม่สามารถระบุ ได้ว่า สุวรรณภูมิ อยู่ที่ใด แต่จากบันทึก ต�านาน พงศาวดาร หรือเอกสารอ่ืน ๆ ท่ีได้จากดินแดนแถบน้ี พอจะสรุปได้ว่า ดินแดนสุวรรณภูมินั้นครอบคลุมไทย-ลาว- พม่า-กัมพูชา ด้วยดินแดนแถบนี้ มีโบราณสถานหรือโบราณวัตถุมีลักษณะคล้ายกัน กับท่ีสาญจิ ซ่ึงเป็นศิลปะหลังสมัยพระเจ้าอโศกเล็กน้อย เป็นประจักษ์พยาน แสดงให้ เห็นถึงร่องรอยการเข้ามาของพระพุทธศาสนา ๒.๔.๒ หลักฐานจากโบราณคดี จากหนงั สอื “สวุ รรณภมู จิ ากหลกั ฐานโบราณคด”ี ๑๖ ของ ศาสตราจารยผ์ าสกุ อินทราวุฒิ แสดงให้เห็นว่า ภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ มีการติดต่อกับอินเดียแล้วตั้งแต่ สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ปัจจุบันดินแดนนี้มีอาณาเขตครอบคลุม ๘ ประเทศ ได้แก่ พม่า ไทย ลาว เวียดนาม กัมพูชา มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ หลักฐานท่ี ยนื ยนั ขอ้ เทจ็ จรงิ นค้ี อื ภาชนะสา� รดิ ลกู ปดั หนิ และลกู ปดั แกว้ ซง่ึ มแี หลง่ กา� เนดิ ในอนิ เดยี แต่มีการค้นพบที่บ้านดอนตาเพชร อ�าเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี ที่มา: http://www.matichon.co.th/news/289961
24 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา เฉพาะอยา่ งยงิ่ สมยั เรมิ่ ตน้ ประวตั ศิ าสตร์ มกี ารคน้ พบหลกั ฐานการประดษิ ฐาน พระพุทธศาสนาในประเทศพม่า ไทย และเวียดนาม ครอบคลุมพ้ืนที่ต่าง ๆ เช่น ในประเทศพม่า พบท่ีเมืองไบถาโน ฮาลิน ศรีเกษตร สะเทิม พะโค ธันยวดี เวศาลี หลักฐานที่พบอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษท่ี ๖-๑๔ ประกอบด้วยฐานอาคารทรงเจดีย์, โกศดินเผาบรรจุอัฐิ, จารึกคาถาเยธมฺมา, ผอบเงินกะไหล่ทองมีรูปอดีตพุทธสาวก, แผ่นหินสลักภาพพระพุทธเจ้า ประเทศไทย พบที่เมืองอู่ทองโบราณ เมืองนครปฐมโบราณ และเมืองลพบุรี หลักฐานท่ีพบในช่วงระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๐-๑๔ ประกอบด้วย จารึกคาถา เย ธมฺมา, ประติมากรรมรูปพระสาวก, พระพุทธรูปนาคปรก, ธรรมจักรศิลาพร้อมเสา, พระพมิ พด์ นิ เผา, ประตมิ ารปู บคุ คลจารกึ นามพทุ ธบดิ า, พระพทุ ธรปู ศลิ านงั่ หอ้ ยพระบาท ส่วนในเวียดนามพบที่เมืองออกแก้ว เมืองญาตรัง หลักฐานท่ีพบได้แก่จารึกคาถา เยธมฺมาเป็นอักษรพราหมีบนหัวแหวน อยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๗-๘ ศาสตราจารย์ฮิมานชู ประภา เรย์ (Himanshu Prabha Ray) ได้เสนอให้ เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างพระพุทธศาสนากับการค้าภายในประเทศอินเดียสมัย โบราณ โดยต้ังข้อสังเกตว่า ที่ตั้งวัดวาอารามในพระพุทธศาสนา มีความสัมพันธ์กับ เส้นทางการค้าในสมัยแรกเร่ิมประวัติศาสตร์ของอินเดีย มีการพบจารึกการถวายทาน ที่นิยมระบุช่ือ อาชีพ และของท่ีถวายในกลุ่มชนชั้นปกครอง พ่อค้า วานิช กลุ่มการค้า คนคุมกองคาราวาน และกลุ่มพระกับแม่ชี ซ่ึงเป็นไปได้ว่า วัด พระ และแม่ชี มีบทบาท หลักในการค้าท้ังเพ่ือแสวงหาผลก�ำไรมาบ�ำรุงเล้ียงระบบ ตลอดส่ิงจ�ำเป็นส�ำหรับวิหาร เช่น ผ้า ธูป และน�้ำมัน จนมีการใช้สัญลักษณ์ทางพระพุทธศาสนา เช่น ตรีรัตนะ ศรีวัตสะ และสวัสดิกะบนภาชนะ เงินตรา ตราประทับ ตลอดจนจารึกอักษรพราหมี และขโรษฐอี ย่างอย่างขวางตามแหลง่ โบราณคดตี ่าง ๆ ของอนิ เดยี ในช่วงพทุ ธศตวรรษ ที่ ๒-๓ รวมท้ังท่ีพบในเอเชียอาคเนย์ทั้งในท่ีราบลุ่มแม่น�้ำอิระวดี แม่น้�ำเจ้าพระยา และแม่น้�ำโขง๑๗ ดร.เอียน ซี โกลฟเวอร์๑๘ แห่งคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยลอนดอน มี ความเห็นสอดคล้องกันว่า ก่อนพุทธศตวรรษท่ี ๑๐ น้ัน มีหลักฐานทางโบราณคดีท่ี แสดงให้เห็นถึงร่องรอยของการติดต่อสัมพันธ์กันอย่างเป็นระบบในอ่าวเบงกอลตั้งแต่
ความเป็นมาของอยุธยา 25 พุทธศตวรรษต้น ๆ โดยเฉพาะจากลูกปัด เคร่ืองส�าริด ตราประทับ เงิน งาช้าง ตลอด จนภาชนะดินเผา โดยยกหลักฐานจากชาดก และบันทึกของอินเดียโบราณต่าง ๆ ที่ กล่าวถึงการเดินทางแสวงโชคท่ีสุวรรณภูมิ ซ่ึงถือกันว่าเส่ียงที่สุด ท้ังจากเรืออัปปาง การแผดเผาของแดด การกระหน่�าของพายุคล่ืน โรคภัยไข้เจ็บ โดยมีเป้าหมายส�าคัญ อยทู่ ที่ งั้ การแสวงหาผลกา� ไรในการคา้ ขายและเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา หลกั ฐานดงั กลา่ ว น้ี สอดคล้องกับหลักฐานท่ีค้นพบในคัมภีร์พระพุทธศาสนาดังได้กล่าวแล้วข้างต้น ท่ีมา: http://www.manager.co.th/South/ViewNews.aspx?NewsID=9560000078345 หากจะถามว่า พระพุทธศาสนาเข้ามากรุงศรีอยุธยาเม่ือใด เราอาจจะต้อง ย้อนกลับไปต้ังแต่สมัยอู่ทอง ซึ่งจากหลักฐานทางโบราณคดี เมืองอู่ทองเป็นเมืองที่มี ร่องรอยการอาศัยอยู่ของชุมชนมาตั้งแต่ก่อนสมัยประวัติศาสตร์ และมีการติดต่อแลก เปล่ียนสินค้ากับชุมชนในภูมิภาคเดียวกัน เคยเป็นศูนย์กลางหรือท่าเมืองส�าคัญที่ติดต่อ ค้าขายกับอินเดีย และท่ีเมืองอู่ทองน้ีเอง พ่อค้าชาวพุทธจากกลุ่มแม่น้�ากฤษณา-
26 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา โคทาวรี ได้เดินทางเข้ามาติดต่อค้าขาย และต้ังถิ่นฐานในช่วงสมัยอินโด-โรมัน และได้ น�าเอาพระพุทธศาสนาเข้ามาด้วย หลักฐานที่พบได้แก่ประติมากรรมรูปภิกษุ ๓ องค์ ถือบาตร ห่มจีวรคลุมตามแบบนิยมของศิลปะอมราวดี และประติมากรรมพระพุทธรูป นาคปรก ประทับขัดพระบาทหลวม ๆ ตามแบบศิลปะอมราวดี อู่ทองจึงเป็นเมือง ท่าโบราณท่ีเจริญรุ่งเรืองสืบต่อมาจนกลายเป็นเมืองส�าคัญของรัฐทวารวดี และเป็น ศูนย์กลางพระพุทธศาสนาที่เก่าแก่ท่ีสุดของรัฐทวารวดี๑๙ ที่มา: http://www.manager.co.th/South/ViewNews.aspx?NewsID=9560000078345 ต่อจากสมัยทวารวดีอันเป็นสมัยแรกเร่ิมประวัติศาสตร์ของประเทศไทยท่ีใช้ พระพุทธศาสนาเป็นหลักร่วมกับศาสนาอื่น ๆ โดยเฉพาะศาสนาพราหมณ์น้ัน บนผืน แผ่นดินไทยทุกวันน้ี มีนครรัฐ รัฐ และอาณาจักรเกิดขึ้น และพัฒนาคลี่คลายร่วมกับ นครรฐั รฐั และอาณาจกั รอนื่ ๆ ในภมู ภิ าคเอเชยี อาคเนยอ์ ยา่ งตอ่ เนอื่ ง โดยมพี ระพทุ ธ
ความเป็นมาของอยุธยา 27 ศาสนาเปน็ คตคิ วามเชอื่ หลกั และมกี ารปรบั ปรงุ รปู แบบตา่ ง ๆ ในแตล่ ะพน้ื ทแี่ ละยคุ สมยั ไมว่ า่ จะเปน็ รฐั ตามพรลงิ ค์ สริ ธิ รรมนคร นครศรธี รรมราช ศรวี ชิ ยั (ภาคใต)้ สพุ รรณภมู ิ ละโว้ อโยธยา อาณาจักรขอม (ภาคกลาง) รัฐศรีโคตรบูรณ์ ล้านช้าง โยนก และ ล้านนา (ภาคอีสาน) รูปแบบและยุคสมัยของรอยพระพุทธศาสนาท่ีพบร่วมสมัยกับ ทวารวดี หลังทวารวดีแบบอินเดีย จามปา และชวาตันตระแบบท้องถิ่น แบบกัมพูชา และในนิกายเถรวาทแบบต่าง ๆ กล่าวโดยสรุป ชาวกรุงศรีอยุธยารู้จักพระพุทธศาสนามาก่อนท่ีพระเจ้าอู่ทอง สถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี อย่างน้อยที่สุดก็นับถอยหลังไปตั้งแต่สมัยอู่ทอง สุโขทัย ด้วยมีหลักฐานชัดเจนว่า พระเจ้าแผ่นดิน และชาวเมืองนับถือพระพุทธศาสนา มาก่อนแล้ว แม้จะมีการเปล่ียนผ่านยุคสมัย แต่พระพุทธศาสนาก็ยังคงมีอิทธิพลต่อวิถี ชีวิตประชาชนไม่เปลี่ยนแปลง เห็นได้ชัดเจนเม่ือ พ.ศ.๑๘๙๓ พระเจ้าอู่ทองสถาปนา กรุงศรีอยุธยา ถัดจากนั้น ๓ ปี คือ พ.ศ.๑๘๙๖ ก็ทรงเร่ิมอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา ด้วยการสร้างวัดพุทไธสวรรค์ ครั้นถึง พ.ศ.๑๙๐๖ ก็ทรงสร้างวัดป่าแก้วข้ึนอีก๒๐
28 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา แม้ในช่วงระหว่างกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี กรุงศรีอยุธยากับศรีลังกาก็มี การติดต่อกันอยู่หลายครั้ง มีการหลักฐานทั้งการเดินทางของพระสงฆ์ไทยไปศึกษา พระพุทธศาสนาท่ีศรีลังกา ขณะเดียวกันก็มีหลักฐานทางศรีลังกาเองก็ส่งทูตมาขอ พระสงฆ์จากศรีอยุธยาไปสืบพระศาสนาในศรีลังกา หลักฐานที่ว่านี้ก็คือพงศาวดาร ซึ่งถือเป็นหลักฐานส�ำคัญอีกประเภทหนึ่งที่ ช่วยให้เราสามารถเชื่อมโยงเหตุการณ์ต่าง ๆ ท่ีเกิดขึ้นแต่ละยุคสมัย
ความเป็นมาของอยุธยา 29 เชิงอรรถ ๑ พระยาโบราณราชธานินทร, ต�ำนานกรุงเก่า, (พิมพ์เป็นอนุสสรณ์ในงานพระราชทาน เพลิงศพ นายฟื้น สุพรรณสาร ๓๐ ตุลาคม ๒๕๐๓), หน้า ๑. ๒ พระยาประชากิจกรจักร์ (แช่ม บุนนาค), พงศาวดารโยนก, (พระนคร: โรงพิมพ์โสภณ พิพรรฒธนากร, ๒๔๗๘), หน้า ๘๗. ๓ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, อยุธยา: ประวัติศาสตร์และการเมือง, พิมพ์คร้ังท่ี ๔, (กรุงเทพฯ: มูลนิธิโตโยต้าแห่งประเทศไทย จัดพิมพ์, ๒๕๔๘), หน้า ๕. ๔ กรมศึกษาธิการ, พระราชพงศาวดาร เล่ม ๑, (กรมศึกษาธิการ: โรงพิมพ์พิศาล บรรณนิต์ิ, ร.ศ. ๑๒๐), หน้า ก-ค. ๕ มองซิเอร์ เดอ ลาลูแบร์, จดหมายเหตุลา ลูแบร์ ราชอาณาจักรสยาม, สันต์ ท.โกมลบุตร ผู้แปล, (นนทบุรี: ส�ำนักพิมพ์ศรีปัญญา, ๒๕๕๗), หน้า ๔๒. ๖ มองซิเอร์ เดอ ลาลูแบร์, จดหมายเหตุลา ลูแบร์ ราชอาณาจักรสยาม, หน้า ๓๖. ๗ พระราชพงศาวดารกรุงเก่า กรมฉบับราชบัณฑิต, (ตีพิมพ์ในพระราชทานเพลิงศพ มหาเสวกเอก เจ้าพระยาศรีพิพัฒน์รัตนราชโกษาธิบดี, ๑๐ สิงหาคม ๒๕๐๑), หน้า ๑. พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสิดอักษรนิด, (พิมพ์แจกในงาน พระราชทานเพลิงศพพันเอกพร้อม มิตรภักดี พ.ศ.๒๔๘๖) หน้า ๑๗. ๘ กรมราชบัณฑิต, พระราชพงศาวดารกรุงเก่า, (พิมพ์เนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพ เจ้าพระยาศรีพิพัฒน์รัตนราชโกศาธิบดี ๑๐ สิงหาคม ๒๕๑๐), หน้า ๑. ๙ นิโกลาส์ แซรแวส, ประวัติศาสตร์ธรรมชาติและการเมืองแห่งราชอาณาจักรสยาม, สันต์ ท. โกมลบุตร ผู้แปล. (นนทบุรี: ศรีปัญญา, ๒๕๕๐), หน้า ๒๒. ๑๐ มองซิเออร์ เดอ ลาลูแบร์, จดหมายเหตุลา ลูแบร์ ราชอาณาจักรสยาม, สันต์ โกมลบุตร ผู้แปล, พิมพ์ครั้งท่ี ๔, (กรุงเทพฯ: ส�ำนักพิมพ์ศรีปัญญา, ๒๕๕๗), หน้า ๓๖. ๑๑ วิ.มหา.อ. (ไทย) ๑/๑/๑๑๘-๑๒๐.
30 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ๑๒ ขุ.มหา. (ไทย) ๒๙/๕๕/๑๘๘, ๒๙/๑๗๔/๔๙๕. ๑๓ ขุ.อป. (ไทย) ๓๒/๒๙๔/๖๙๒. ๑๔ อํ.เอก.อ. (ไทย) ๑/๒/๒๐๙. ๑๕ ขุ.อป.อ. (ไทย) ๑/๓/๑๒๙-๑๓๐. ๑๖ อ้างใน บัญชา พงษ์พานิช และคณะ, จากอินเดียถึงไทย: รอยทางพระพุทธศาสนา แรก ๆ, (กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๙), หน้า ๑๔. ๑๗ เร่ืองเดียวกัน, หน้า ๑๖. ๑๘ เร่ืองเดียวกัน, หน้า ๑๘. ๑๙ เร่ืองเดียวกัน, หน้า ๓๘. ๒๐ กรมราชบัณฑิต, พระราชพงศาวดารกรุงเก่า, หน้า ๒.
32 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา
ยุคเร่ิมต้นถึงการเสียกรุงคร้ังท่ี ๑ 33 ๓ ยุคเรมิ่ ตน้ ถงึ การเสยี กรงุ ครั้งท่ี ๑
พระพุทธศาสนาช่วงที่ ๑ (ระหว่าง พ.ศ.๑๘๙๓-๒๑๑๒) ในปี พ.ศ.๑๘๙๓ นับต้ังแต่พระเจ้าอู่ทองได้สถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็น ราชธานี จนถึงเหตุการณ์การเสียกรุงศรีอยุธยาให้แก่พม่าคร้ังท่ี ๑ ในปี พ.ศ.๒๑๑๒ พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ได้บันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาไว้ ดังรายละเอียดต่อไปน้ี ๓.๑ รัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีท่ี ๑ (อู่ทอง) รชั กาลของสมเดจ็ พระรามาธบิ ดที ี่ ๑ (พระเจา้ อทู่ อง) ไดส้ ถาปนากรงุ ศรอี ยธุ ยา เป็นราชธานี ทรงเป็นกษัตริย์พระองค์แรก เสวยราชสมบัติระหว่างปีพุทธศักราช ๑๘๙๓-๑๙๑๒ (จุลศักราช ๗๑๒-๗๓๑) รวมระยะเวลา ๒๐ ปี มีเหตุการณ์ เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาดังรายละเอียดตามล�ำดับต่อไปนี้ ๓.๑.๑ สถาปนาวัดพุทไธศวรรย์ วัดพุทไธศวรรย์ ต้ังอยู่ริมแม่น้�ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตก ต�ำบลส�ำเภาล่ม อ�ำเภอ พระนครศรีอยุธยา พระเจ้าอู่ทองโปรดให้สร้างขึ้นในบริเวณพระต�ำหนักเวียงเล็ก พระราชพงศาวดารระบุศักราช ๗๑๕ ตรงกับพุทธศักราช ๑๘๙๖ ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังนี้ “ศักราช ๗๑๕ ปีมะเส็งเบญจศก (พ.ศ.๑๘๙๖) วันพฤหัสบดี เดือน ๔ ขึ้น ๑ ค�่ำ เพลา ๒ นาฬิกา ๕ บาท ทรงพระกรุณาตรัสว่า ที่พระต�ำหนักเวียงเหล็ก นั้น ให้สถาปนาพระวิหาร และพระมหาธาตุเป็นพระอารามแล้ว ให้นามช่ือวัด พุทไธศวรรย์”๑
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268