ยุคกู้อิสรภาพถึงการเสียกรุงคร้ังท่ี ๒ 99 ๔.๖.๔ การเสด็จบ�าเพ็ญพระราชกุศล สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ทรงเอาพระทัยในการเสด็จบ�าเพ็ญพระราชกุศล อยู่เนือง ๆ เท่าท่ีพระองค์มีโอกาส ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังนี้ (๑) “เมื่อวันอาสาฬหมาสเข้าพระวษา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จ พระราชด�าเนินด้วยสนมราชกัลยา ออกไปนมัสการจุดเทียนพระวษา ถวายพระพุทธ ปฏิมากร ณ วัดสรรเพชญ์ พ้นเทศกาลราษฎร์เกี่ยวข้าวแล้ว ก็เสด็จไปนมัสการพระพุทธบาท”๓๓ (๒) “ในวันปัณรสีเพ็ญเดือน ๘ เสด็จออกไปปฏิบัติพระสงฆ์ ณ วัดชัยวัฒนาราม สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอทรงพระเยาว์ก็ตามเสด็จไปหลายองค์ แต่ พระนารายณ์ราชกุมารพระชนม์ได้ ๕ พระวษาน้ันประชวร จึงตรัสว่า ป่วยอยู่แล้ว อย่าตามไปเลย”๓๔
100 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม ในปีเดียวกันนี้ (พ.ศ.๒๑๗๖) ทรงพระกรุณาให้สถาปนาพระปรางค์องค์เก่า วัดมหาธาตุข้ึนใหม่ โดยใช้เวลา ๙ เดือน จึงแล้วเสร็จ และท�ำการฉลอง ๔.๖.๕ สร้างศาลากลางทางเสด็จพระราชดำ� เนินไปวัดพระพุทธบาท การโปรดให้สร้างศาลา และขุดบ่อไว้ระหว่างทางเดินไปสู่วัดพระพุทธบาท สอดคล้องกับคตินิยมเรื่องนิพัทธกุศล ท่ีพระพุทธเจ้าทรงตอบปัญหาเทวดาว่า ท�ำ อย่างไร บุญจึงจะเจริญแก่บุคคลท้ังกลางวันและกลางคืน ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังนี้ “มีพระบรมราชโองการให้ขุดบ่อ ท�ำศาลากลางทางเสด็จพระราชด�ำเนินไปวัด พระพุทธบาท ขณะด�ำเนินการได้รับการแนะน�ำจากสามเณรว่า ศาลา ๕ ห้อง ให้ก้ัน เสีย ๒ ห้อง คนจะได้อาศัยนอนได้ ไม่เป็นอันตรายสัตว์ป่ามารบกวน ช่างได้ท�ำตาม ค�ำแนะน�ำของสามเณร จึงพากันตั้งชื่อว่า ศาลาเจ้าเณร”๓๕ ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม ในรัชกาลของพระเจ้าปราสาททอง พระองค์ได้เสด็จไปนมัสการพระพุทธบาท อยู่เนือง ๆ จึงทรงด�ำหริสร้างศาลาท่ีพัก และบ่อน�้ำไว้ระหว่างทางเสด็จพระราชด�ำเนิน ๔.๖.๖ พระราชทานเพลิงศพ การพระราชทานเพลิงพระศพในคราวคร้ังนี้ สะท้อนให้เห็นคติความเชื่อ เก่ียวกับคุณไสย์ท่ีมีอยู่ในสังคมอย่างกว้างขวาง ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังนี้ “ลุศักราช ๙๙๗ ปีกุนศก (พ.ศ.๒๑๗๘) สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวเสด็จ ไปพระราชทานเพลิงศพพระเจ้าลูกเธอฝ่ายใน ณ วัดชัยวัฒนาราม ได้เนื้อในท้อง เผาไม่ไหม้สงสัยว่าต้องคุณ ครั้งนั้นประชาราษฎร์ลือกันว่า จะให้ค้นต�ำรับต�ำราท่ีหมอ ผู้เฒ่าผู้แก่ ต่างคนกลัวความคิด บรรดามีต�ำรับความรู่วิชาการก็ท้ิงน�้ำเสียสิ้น”๓๖
ยุคกู้อิสรภาพถึงการเสียกรุงครั้งท่ี ๒ 101 ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม ส่ิงที่มนุษย์ไม่เข้าใจ หรือไม่รู้ บางคร้ังก็มักถูกยกให้เป็นเร่ืองของคุณไสย์ หรือ ไม่ก็สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ๔.๖.๗ ประกอบพิธีลบศักราช พิธีลบศักราช อาจจะมาจากความคติท่ีว่า เม่ือจุลศักราชครบ ๑,๐๐๐ ปี จะเกิดกลียุค จึงทรงด�ำริที่จะเสี่ยงบารมีลบศักราช เพ่ือเป็นการแก้เคล็ดกลับร้ายให้ กลายเป็นดี ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังน้ี (๑) “ลุศักราช ๑๐๐๐ ปีขาลสัมฤทธ์ิศก (พ.ศ.๒๑๘๑) สมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวปรึกษาแก่เสนาพฤฒามาตย์ราชปุโรหิตท้ังหลายว่า บัดน้ีจุลศักราชถ้วน ๑,๐๐๐ ปี การกลียุคจะบังเกิดในภายหน้าทั่วประเทศธานีใหญ่น้อยเป็นอันมาก เรา คิดว่าจะเสี่ยงบารมีลบศักราช บัดน้ีขาลสัมฤทธ์ิศกจะเอากุนเป็นสัมฤทธิ์ศกขึ้น ดิถีวาร จันทร์เถลิงศก ให้กรุงประเทศธานีนิคมชนบททั้งปวง เป็นสุขไพศาลาสมบูรณ์ดุจ ทวาปรยุค”๓๗ (๒) “ต้ังพิธีไสยศาสตร์ ณ เชิงเขาสัตตภัณฑ์ท้ัง ๔ ทิศ รอบรายแตร สังข์ดุริยดนตรีปี่พาทย์ฆ้องชัยเภรีบัณเฑาะว์กาหล แล้วเทียมขนัดพลตั้งกลาบาตรเป็น ชั้น ๆ ออกมามากนัก และในจังหวัดไพชยนต์มหาปราสาท ก็รจนาตกแต่งพระที่นั่ง บัลลังก์อาสน์อันวิจิตรไว้เบญจราชกุกุธภัณฑ์ เชิญพระพุทธปฏิมากร และพระไตรปิฎก ธรรมมาต้ังเป็นประธาน นิมนต์พระสงฆ์ราชาคณะคามวาสีอรัญญวาสีมาสวดพระพุทธ ปริตรมหามงคลสูตรอันประเสริฐ”๓๘ ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม (๑) พิธีลบศักราชพิจารณาจากพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถ เลขา ถือเป็นพิธีใหญ่ มีท้ังพราหมณ์และพุทธผสมกันไป แต่รายละเอียดการพิธีดูจะ หนักไปทางพราหมณ์
102 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา (๒) พธิ ลี บศกั ราชดงั กลา่ วนี้ ไม่ไดร้ ับการยอมรบั จากประเทศเพื่อนบา้ น แม้จะทรงมีพระราชสาส์นส่งไปขอให้ใช้ศักราชใหม่น้ี แต่ก็ได้รับการปฏิเสธ ๔.๖.๘ สตสดกมหาทาน ก่อนจะทรงกระท�ำสตสดกมหาทาน ได้ทรงช้างออกนอกเมือง วางพานทอง ส�ำหรับโปรยทาน เสด็จถึงต้นกัลปพฤกษ์ต้นใด ก็ให้หยุด ให้เจ้าพนักงานโปรยหว่าน ทานระหว่างต้นกัลปพฤกษ์นั้น โดยทานโดยรอบพระนครเสร็จแล้วจึงเสด็จเข้าไปใน พระนคร และกระท�ำสตสดกมหาทาน ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังนี้ “ในล�ำดับเดือนน้ัน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบริจาคทรัพย์และราชพาหนะ กระท�ำ สัตสดกมหาทานแก่พราหมณ์ทวิชาติ และยาจกวณิพกท้ังปวง...และแต่งการออกสนาม มีมหรสพสมโภชตรีวาร เป็นมโหฬาราธิการย่ิงนัก”๓๙ ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม สตสดกมหาทานนี้ มีพรรณนาไว้ในคัมภีร์อรรถกถา ถือเป็นการท�ำทานท่ีต้อง ใช้ทุนมาก เพราะของท่ีจะท�ำจะนับอย่างละ ๑๐๐ ๆ ๔.๖.๙ โหรท�ำนายว่าจะเกิดเพลิงไหม้วัง จึงขนของไปไว้ที่วัด แสดงให้เห็นว่า โหราจารย์ ปุโรหิตท้ังหลาย มีอิทธิพลต่อความเชื่อของคนใน สังคมสมัยอยุธยามาก ไม่เว้นแม้กระทั่งพระมหากษัตริย์ ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังน้ี “โหรท�ำนายว่าจะเกิดไฟไหม้พระราชวัง จึงมิได้วางพระทัย ให้ขนของใน พระราชวังออกไปอยู่วัดชัยวัฒนาราม---เกิดฟ้าผ่าลงที่เหมพระมหาปราสาทเพลิง ลุกไหม้ถึง ๑๑๐ หลังคาเรือน”๔๐ ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม เหม หมายถึง ทอง เข้าใจว่ายอดปราสาทจะมีทองเป็นเครื่องประดับอยู่ด้วย
ยุคกู้อิสรภาพถึงการเสียกรุงครั้งท่ี ๒ 103 สรุป ในรัชกาลสมเด็จพระสรรเพชญ์ท่ี ๕ (พระเจ้าปราสาททอง) มีบันทึกเรื่อง ราวเก่ียวข้องกับพระพุทธศาสนาจ�ำนวน ๑๐ เร่ือง ได้แก่ สมเด็จพระสังฆราชร่วมพิธี สถาปนาพระมหากษตั รยิ ,์ การฉลองวดั พระศรสี รรเพชญ,์ การสถาปนาวดั ชยั วฒั นาราม และวัดชุมพลนิกายาราม, การเสด็จนมัสการพระศรีสรรเพชญ์ วัดพระพุทธบาท และ การปฏบิ ตั ติ อ่ พระสงฆ,์ การสรา้ งศาลาพกั รมิ ทางขนึ้ วดั พระพทุ ธบาท, การถวายพระเพลงิ พระเจ้าลูกยาเธอท่ีวัดชัยวัฒนาราม, พิธีลบศักราช, การถวายสตสดกมหาทาน, และความเชื่อโหรท�ำนายจะเกิดเพลิงไหม้พระราชวัง ๔.๗ รัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีท่ี ๓ (สมเด็จพระนารายณ์) สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๓ (สมเด็จพระนารายณ์) เป็นกษัตริย์องค์ที่ ๒๗ แห่งกรุงศรีอยุธยา ทรงด�ำรงอยู่ในสิริราชสมบัติระหว่าง พ.ศ.๒๑๙๙-๒๒๒๕ รวมระยะเวลา ๒๖ ปี ระหว่างน้ีมีเหตุการณ์เก่ียวกับพระพุทธศาสนาดังรายละเอียด ตามล�ำดับต่อไปนี้ ๔.๗.๑ พิธีกรรมเก่ียวกับการพระศพ พิธีศพของพระมหากษัตริย์ หรือเจ้านายช้ันผู้ใหญ่ในบ้านเมือง มักนิยมนิมนต์ พระสงฆ์ท้ังฝ่ายคามวาสี อรัญวาสีจ�ำนวนมาก ๆ มาประกอบพิธี จากหลักฐาน พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ถ้าเป็นพระศพของพระมหากษัตริย์ มักจะนับเร่ิมต้นที่ ๑๐,๐๐๐ รูป เจ้านายช้ันผู้เร่ิมต้นท่ี ๕,๐๐๐ รูป ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังน้ี “นิมนต์พระสงฆ์สบสังวาส ๑๐,๐๐๐ ถวายทักษิณาทานบูชาพระสงฆ์ ท้ังปวงโดยบุราณราชประเวณีพระมหากษัตราธิราชเจ้าแต่ก่อน จึงพระบาทสมเด็จ พระบรมพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ก็ถวายพระเพลิงแล้วให้รับพระอัฐิธาตุเข้ามาไว้ ณ วัดพระศรีสรรเพชญ์ นิมนต์พระสงฆ์สดับปกรณ์แล้วก็บรรจุอัฐิธาตุ๔๑ ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม (๑) สบสังวาส หมายถึง ท้ังคามวาสีและอรัญญวาสี (๒) ก่อนน�ำอัฐิไปบรรจุ มักมีธรรมเนียมสวดมาติกาอีกคร้ัง
104 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ๔.๗.๒ การหล่อรูปเคารพ ในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์ จะเห็นภาพคติความเช่ือของพราหมณ์เข้า มามีบทบาทส�ำคัญต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ค่อนข้างจะชัดเจน ท�ำนองเดียวกันกับ พระพุทธศาสนา เช่น การทรงโปรดให้หล่อทั้งรูปพระอิศวร พระพิฆเณศ พระเทวกรรม และพระพุทธรูป เป็นต้น ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังนี้ (๑) “เดือนย่ีปีวอก พ.ศ.๒๑๙๙ บ�ำเพ็ญพระราชกุศลนานาประการ และให้หล่อรูปพระอิศวรเป็นเจ้ายืน สูงศอกคืบมีเศษพระองค์หนึ่ง รูปพระษิวาทิตย์ยืน สูงศอกมีเศษพระองค์หนึ่ง รูปมหาวิคเนศวรพระองค์หน่ึง รูปพระจันทรธรณีพระองค์ หน่ึง และรูปพระเจ้าทั้งส่ีพระองค์นี้ สวมด้วยทองนพคุณและเคร่ืองอาภรณ์ประดับน้ัน ถมราชาวดี ประดับแหวนทุกพระองค์ไว้บูชาส�ำหรับการพระราชพิธี๔๒ “ปีวอก พ.ศ.๒๑๙๙ นั้น ตรัสให้หล่อรูปพระเทวกรรม สูงประมาณศอกมี เศษพระองค์หน่ึง สวมทองเคร่ืองอาภรณ์ประดับแหวนถมราชาวดี (๒) “พ.ศ.๒๒๐๐ ตรัสให้หล่อพระเทวกรรมทองยืนสูงศอกหน่ึงหุ้ม ด้วยทองเหนือ”๔๓ (๓) “ประกอบดว้ ยศรทั ธาใหส้ ถาปนาพระพทุ ธปฏมิ าหา้ มสมทุ รพระองค์ หน่ึงหุ้มทอง และทรงอาภรณ์ประดับด้วยแหวนอันมีค่า ทรงพระนามสมเด็จพระบรม ไตรโลกนาถ พระองค์สูง ๔ ศอกคืบมีเศษทั้งฐาน แล้วก็ทรงพระราชศรัทธาตรัสให้ สถาปนาพระพุทธปฏิมาพระองค์หนึ่ง หล่อด้วยทองนพคุณทั้งแท่ง ทรงพระนามสมเด็จ บรมตรีภพนาถห้ามสมุทร”๔๔ ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม (๑) สะท้อนให้เห็นว่า สมเด็จพระนารายณ์ทรงนับถือเทพต่าง ๆ ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูด้วย (๒) พระบรมไตรโลกนาถ และสมเด็จพระบรมตรีภพนาถเป็นพระพุทธ รูปทรงอาภรณ์แบบกษัตริย์หรือแบบจักรพรรดิ ได้รับคติมาจากมหายาน
ยุคกู้อิสรภาพถึงการเสียกรุงครั้งท่ี ๒ 105 ๔.๗.๓ สังฆราชกัมพูชามาขอพึ่งพระบรมโพธิสมภาร เกียรติศัพท์ของสมเด็จพระนารายณ์ได้แผ่ขจายไปถึงเมืองอ่ืน ๆ ในพระราช พงศาวดารได้ระบุถึงเมือง หรือผู้ปกครองเมืองเวลาน้ัน ได้เข้ามาขอพ่ึงพระบรม โพธิสมภาร หรือสวามิภักด์ิ เช่น กัมพูชา, มะรีอลา,พระยากดุกศา, นางพระยาอาแจ เมืองมชลิปต�ำ, ญาณมหมัด, พระยาแสนหลวงเมืองเชียงใหม่ เป็นต้น ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังน้ี “สังฆราชสุคนธ์อันเป็นญาติสมัครพรรคพวกด้วยนักจันท์กับด้วยนักนี และ นักวรอุทัย และนักอ�ำผู้หลาน ท้ังน้ีหาที่พ�ำนักไม่ได้ ก็น�ำสมัครพรรคพวกท้ังหลายมาสู่ พระราชสมภาร ทรงพระกรณุ าโปรดพระราชทานเครอื่ งอปุ โภคบรโิ ภคทง้ั ปวงแกส่ งั ฆราช สุคนธ์ และญาติสมัครพรรคพวกทั้งปวง ซึ่งมาสู่พระราชสมภารนั้น ได้รับพระราชทาน โดยอันดับถ้วนทั้งปวง และให้สังฆราชสุคนธ์อยู่อารามวัดพระนอน”๔๕ ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม ช่วงนี้กัมพูชามีศึกสงคราม ภายใน ท�ำให้มีการอพยพของชาวกัมพูชามาพึ่ง พระบรมโพธิสมภาร ๔.๗.๔ การเสี่ยงทายต่อหน้าพระพุทธสิหิงค์ จีนฮ่อยกพลมาตีเมืองเชียงใหม่ พระเจ้าเชียงใหม่ประเมินก�ำลังแล้วเห็นว่าจะ สู้ไม่ไหว จึงแสวงหาพันธมิตร และยอมสวามิภักดิ์หากเจ้าเมืองใดสามารถช่วยเหลือ เก้ือกูลในยามน้ีได้ เบ้ืองต้นจึงได้กระท�ำการเสี่ยงทายต่อหน้าพระพุทธสิหิงค์ ให้ พระพุทธสิหิงค์ได้ช่วยชี้ทาง ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังน้ี “ชาวจีนฮ่อยกรี้พลมาจะล้อมเอาเมืองเชียงใหม่ และพระยาแสนหลวง และ ชาวเมืองเชียงใหม่ทั้งปวงหาที่พึ่งพ�ำนักไม่ได้ จึงเส่ียงทายในพระอารามพระพุทธสิหิงค์ ซ่ึงอยู่ ณ เมืองเชียงใหม่นั้น ว่า ถ้าประเทศใดจะเป็นท่ีพึ่งพ�ำนักได้ไซร้ ขอพระพุทธเจ้า ส�ำแดงให้เห็นประจักษ์ และพระพุทธสิหิงค์น้ันก็บ่ายพระพักตร์มายังกรุงเทพพระ มหานคร๔๖
106 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม ในสถานการณ์คับขัน คนเรามักนึกถึงสิ่งศักด์ิท่ีตนเคารพศรัทธา และมักตาม มาด้วยการบนบานศาลกล่าว ๔.๗.๕ การใช้พระเป็นทูตถือสาส์น การใช้พระสงฆ์เป็นทูตสังเกตการณ์ทัพของข้าศึก แม้จะไม่ใช่กิจของสงฆ์ โดยตรง แต่ในคราวบ้านเมืองตกอยู่ในสถานการณ์ขับขัน ท่านก็ไม่ได้เก่ียง เมื่อคราว ทัพหลวงขึ้นไปยังเมืองเชียงใหม่ เจ้าเมืองเชียงใหม่ก็ใช้วิธีน้ีเพ่ือยับย้ัง หรือถ่วงเวลา รอกองทัพจากพม่าหนุนมาช่วย ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังนี้ “เมืองล�ำพูนและเมืองเชียงใหม่คิดอุบายล่อลวงหน่วงกองทัพไทยไว้จะให้งด ช้าลง จะได้คิดกระท�ำการป้องกันเมืองล�ำพูน เมืองเชียงใหม่ไว้ท่ากองทัพพม่าจะได้มา ช่วยทัน จึงนิมนต์พระสงฆ์ผู้เป็นปราชญ์ฉลาดเจรจา ๔ รูป ให้ถือหนังสือไปหากอง ทัพไทย”๔๗ ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม การใช้พระสงฆ์เป็นทูตในลักษณะน้ีเช่นนี้ มีให้เห็นบ่อยครั้ง เมื่อครั้งพม่ายก ทัพมาถึงเมืองพิษณุโลก เจ้าเมืองพิษณุโลกก็ท�ำกระท�ำในลักษณะเดียวกัน และเมื่อทัพ พม่ายกมาถึงศรีอยุธยา พระมหากษัตริย์ไทยในสมัยน้ันก็กระท�ำในลักษณะเดียวกัน ๔.๗.๖ เสด็จสักการะพระพุทธชินราช และพระชินสีห์ท่ีเมือง พิษณุโลก พระพุทธชินราช และพระพุทธชินสีห์ เป็นพระคู่บ้านคู่เมืองพิษณุโลกมาทุกยุค ทุกสมัย พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาระบุถึงการเสด็จพระราชด�ำเนินไปนมัสการ และการจัดให้มีการมหรสพสมโภชหลายรัชกาล ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังนี้
ยุคกู้อิสรภาพถึงการเสียกรุงคร้ังที่ ๒ 107 “วันอาทิตย์ แรม ๓ ค่�ำ เดือน ๑ ก็เสด็จด้วยเรือพระที่น่ังสมรรถไชยไปโดย ทางชลมารค สิบส่ีเวนก็ถึงเมืองพระพิศณุโลก และตั้งต�ำหนักต�ำบลช่องตา แลถวาย สักการบูชาพระชินราชพระชินสีห์ และถวายพุทธสมโภชด้วยการมหรศพสามวัน”๔๘ ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม ถ้าถือเอาตามนัยนี้ การจัดให้มีการมหรสพอย่างใดอย่างหน่ึง ถือเป็นอามิส บูชา และมีธรรมเนียมปฏิบัติให้เห็นอยู่เนือง ๆ ๔.๗.๗ มีคนมีวิชาช�ำนาญในพระกรรมฐาน หลักฐานจากพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา สะท้อนข้อเท็จจริงว่า มีการ ใช้วิชากัมมัฏฐาน โดยเฉพาะกสิณมาใช้เพื่อประโยชน์ในทางวิชาอาคม กระท�ำในสิ่งท่ี คนปกติท่ัวไปไม่สามารถท�ำได้ ผู้ได้วิชาเหล่านี้ จะเป็นที่ยกย่องของคนในสังคม ในการ เยือนฝรั่งเศสครั้งแรก จึงมีการประกาศหาตัวบุคคลผู้มีลักษณะดังกล่าวเพื่อดูแล คุ้มครองคณะท่ีจะเดินทางไป ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังน้ี “นายปานกราบทูลพระกรุณารับอาสาจะไปเมืองฝร่ังเศสสืบให้ได้ราชการตาม รบั สงั่ แลว้ ออกมาจดั แจงการทง้ั ปวงในกำ� ปน่ั ใหเ้ ทย่ี วหาคนดมี วี ชิ ากไ็ ดอ้ าจารยค์ นหนง่ึ ได้เรียนในพระกรรมฐานช�ำนาญในกระสินแล้วรู้วิชามาก”๔๙ ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม (๑) การใช้วิชาพระกรรมฐานเป็นเครื่องมือในการท�ำกิจท่ีอยู่เหนือวิสัย ธรรมดา มีให้เห็นอยู่เนือง ๆ ตราบเท่าปัจจุบัน (๒) ฉบับพระราชหัตถเลขาระบุว่าท่านใช้วาโยกสินช่วยเรือให้พ้นจาก วังน้�ำวนใหญ่ (๓) รัชสมัยของพระนารายณ์ ทรงชุบเลี้ยงทหารดีท่ีมีวิชาลักษณะ อย่างน้ีไว้มาก
108 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ๔.๗.๘ การลาสิกขาของพระภิกษุสามเณรเพื่อรับราชการ ในสมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยา มหี ลกั ฐานเรอ่ื งการสง่ เสรมิ ใหพ้ ระภกิ ษสุ ามเณรลาสกิ ขา เพือ่ รับราชการ โดยผทู้ ่ีเป็นต้นคิดเรือ่ งน้คี อื เจา้ พระยาวิไชเยนทร์ ซึง่ เป็นขุนนางตา่ งชาติ ท่ีได้เติบโตในราชส�ำนักเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังนี้ “เจ้าพระยาวิไชเยนทร์เอาใจใส่ในราชกิจเปนอันมาก และสึกเอาภิกษุสามเณร มากระท�ำราชการครั้งนั้นก็มาก”๕๐ ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม เจา้ พระยาวิไชเยนทร์เป็นชาวต่างชาติ แตส่ ง่ เสริมใหพ้ ระภิกษุสามเณรลาสิกขา มารับราชการ ท�ำให้เป็นท่ีเพ่งเล็งเกรงว่าจะกระทบต่อพระศาสนา ๔.๗.๙ เสด็จนมัสการพระพุทธบาทเป็นประจ�ำทุกปี ทั้งยังทรงให้ ปฏิสังขรณ์มณฑป การเสดจ็ นมสั การพระพทุ ธบาท กระทำ� เปน็ ประเพณมี าหลายชว่ั รชั กาล สมเดจ็ พระนารายณ์ก็ทรงมีความเล่ือมใส และมักจะเสด็จนมัสการ บางปีโปรดให้มีการบูรณ ปฏิสังขรณ์ และโปรดให้มีการมหรสพสมโภช ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังนี้ “คร้ังน้ัน พระบาทบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว เสด็จทรงพระ ราชด�ำเนินข้ึนไปนมัสการพระพุทธบาททุกปี ๆ มิได้ขาด แลเสด็จประทับอยู่ ณ พระราชนิเวศธารเกษม ทรงพระกรุณาให้เล่นการมหรศพถวายพระพุทธสมโภชสามวัน ตามบุราณราชประเพณี...แล้วทรงพระกรุณาให้ปฏิสังขรณ์พระมรฎป (มณฑป-ผู้วิจัย) พระพุทธบาทท่ีช�ำรุดปรักนั้นแล้วเสร็จ และพระองค์บ�ำเพ็ญพระราชกุศลเป็นสาสนูป ประถัมภกโดยอเนกนุประการ”๕๑ ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม แสดงถึงพระราชกิจ และพระราชศรัทธาท่ีมีต่อพระพุทธศาสนา
ยุคกู้อิสรภาพถึงการเสียกรุงคร้ังท่ี ๒ 109 สรุป ในรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๓ (สมเด็จพระนารายณ์) มีบันทึก เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา ๑๐ เรื่อง ได้แก่ การพระราชพิธีพระศพเจ้านายช้ัน ผู้ใหญ่, การหล่อรูปเคารพในศาสนาพราหมณ์, การหล่อพระบรมไตรโลกนาถ, สังฆราช กัมพูชามาขอพึ่งพระบรมโพธิสมภาร, การท�ำพิธีเสี่ยงทายต่อหน้าพระพุทธชินราช และพระพุทธสิหิงค์, การใช้พระเป็นทูต, การใช้วิชาพระกัมมัฏฐานเพ่ือประโยชน์แก่ บ้านเมือง, พระภิกษุสามเณรลาสิกขารับราชการ, และ การเสด็จพระราชด�ำเนินไป นมัสการพระพุทธบาทเป็นประจ�ำทุกปี ๔.๘ รัชกาลสมเด็จพระมหาบุรุษ (สมเด็จพระเพทราชา) สมเด็จพระมหาบุรุษ (สมเด็จพระเพทราชา) เป็นกษัตริย์องค์ท่ี ๒๘ แห่งกรุง ศรอี ยธุ ยา ทรงดำ� รงอยใู่ นสริ ริ าชสมบตั ริ ะหวา่ ง พ.ศ.๒๒๒๕-๒๒๔๐ รวมระยะเวลา ๑๕ ปีเศษ ระหว่างน้ีมีเหตุการณ์เก่ียวกับพระพุทธศาสนาดังรายละเอียดตามล�ำดับ ต่อไปน้ี ๔.๘.๑ สถาปนาวัดบรมพุทธาราม วัดพระยาแมน สมเด็จพระเพทราชาทรงสถาปนาวัดบรมพุทธาวาสขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๒๓๒ มีฐานะเป็นอารามหลวงฝ่ายคามวาสี ส่วนวัดพระยาแมน ไม่ปรากฏนามผู้สร้าง และ สร้างในรัชกาลใด ถือเป็นวัดส�ำคัญวัดหน่ึง เพราะเป็นวัดท่ีสมเด็จพระเพทราชาเสด็จ ออกผนวชก่อนที่จะได้ขึ้นครองราชย์ สมเด็จพระเพทราชา เมื่อคร้ังผนวชอยู่ เคยได้รับการพยากรณ์จากพระอธิการ วัดพระยาแมนว่าภายภาคหน้าจะได้ขึ้นครองราชย์ เม่ือได้ข้ึนครองราชย์ จึงได้ระลึกถึง บุญคุณของอาจารย์ จึงได้อุปถัมภ์วัดแห่งนี้เป็นกรณีพิเศษหลายประการ เช่น ต้ัง พระราชกัลปนาส่วนถวายพระอาราม สถาปนาพระอาจารย์เป็นพระราชาคณะ ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังนี้ (๑) “ฝ่ายสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระราชด�ำริว่า บ้านป่าตองเป็น ท่ีสิริราชมหามงคลสถาน ควรอาตมจักสถาปนาเป็นพระอาราม จึงด�ำรัสส่ังให้สถาปนา สร้างก�ำแพงแก้ว พระอุโบสถ วิหาร การเปรียญ เสนาสนกุฎี ด�ำรัสส่ังให้หมื่นจันทราช ชา่ งเคลอื บ ใหเ้ คลอื บกระเบอื้ งสเี หลอื งมงุ หลงั คาพระอโุ บสถ วหิ าร การเปรยี ญ จงึ ถวาย
110 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา พระนามอารามช่ือวัดบรมพุทธาราม เจ้าอธิการซ่ึงให้นิมนต์เข้ามาอยู่น้ัน ต้ังให้เป็น พระราชาคณะช่ือพระญาณสมโพธิ ทรงพระราชูทิศเป็นพระรัตนตรัยบูชา พระราช กลั ปนาสว่ ยขน้ึ แกพ่ ระอารามนน้ั เปน็ อนั มาก ครน้ั เสรจ็ ตงั้ สมโภชฉลอง ๓ วนั ๓ คนื ”๕๒ (๒) “ศักราช ๑๐๕๖ ปีจอฉอศก (พ.ศ.๒๒๓๗) สมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชด�ำริเป็นมูลธรรมกตัญญูภาพถึงคุณานุคุณพระอาจารย์วัด พระยาแมนว่า ต้ังแต่ครั้งอาตมาอุปสมบทเป็นภิกขุภาวะอยู่ในอารามน้ัน พระอาจารย์ ได้ส่ังสอนพระศาสนาพรหมจรรย์เป็นอันมาก ประการหนึ่งก็ได้ท�ำนายเราไว้ว่า จะได้ ผ่านสมบัติเอกราช....แล้วมีพระราชบิดาบริหารด�ำรัสส่ังให้สถาปนาพระอุโบสถ วิหาร การเปรียญ เสนาสนกุฎี ขจิตรจนาเป็นสามีทานแล้ว ทรงพระราชอุทิศถวายจตุปัจจัย แก่พระอาจารย์ และพระสงฆ์ส�ำหรับพระอารามเป็นอันมาก ครั้นเสร็จสมโภชฉลอง ๗ วัน ๗ คืน”๕๓ ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม (๑) ฉบับพระราชหัตถเลขาว่า บ้านหลวง ต�ำบลป่าตอง๕๔ (๒) วัดพระบรมพุทธาราม เป็นวัดฝ่ายคามวาสี (๓) ฉบับพระราชหัตถเลขาว่า การสร้างอารามน้ันใช้เวลา ๓ ปีกว่า จึงส�ำเร็จ ๔.๘.๒ พระราชพิธีพระบรมศพสมเด็จพระนารายณ์ สมเด็จพระเพทราชา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้จัดพระราชพิธีถวาย พระเพลิงพระบรมศพของสมเด็จพระนารายณ์อย่างสมพระเกียรติ มีการเล่นมหรสพ ถวายทั้ง ๗ วัน ๗ คืน ครั้นถวายพระเพลิงเสร็จแล้วก็น�ำพระอังคารไปลอยน�้ำ ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังนี้ “มีพระบรมราชโองการด�ำรัสส่ังเจ้าพนักงานให้แต่งการพระบรมศพสมเด็จ พระนารายณ์เป็นเจ้า พระเมรุราชใหญ่สูง ๒ เส้น ขื่อ ๘ วา พระเมรุทิศ พระเมรุ แซกขื่อ ๕ วา ให้อลังการประกอบแก้วกาญจนารจนาแนมแกมกระสันรุ่งเรืองอร่าม
ยุคกู้อิสรภาพถึงการเสียกรุงครั้งท่ี ๒ 111 วโรภาศ ส�ำหรับขัตติยราชประเพณี แล้วจึงให้เชิญพระโกสทองค�ำ ซึ่งใส่พระบรมศพสู่ มหาพิชัยราชรถอลงกตกอปรด้วยสุพรรณมาศมณีศรี...ครั้นได้มหุดิวาราชฤกษ์ ดีดตี อึงอินทเพรีฆ้องชัย ทั้งแต่สังข์เสียงพิณพาทย์กึกก้อง เสียงคณานางก็ร้องร�่ำโศกาลัย ละห้อยหวนครวญวิลาปร�ำพันต่าง ๆ ก็เคล่ือนมหาพิชัยราชรถไปสู่พระเมรุยังหน้า พระศพ มีเครื่องเล่นสมโภชพร้อมท้ัง ๗ วัน ๗ คืน พระสงฆ์สดับปกรณ์เสร็จ ถวาย พระเพลิงแล้วอัญเชิญพระอัฐิเข้าสู่พระโกศ เชิญมาไว้โดยที่อันสมควร จึงแห่พระอังคาร ไปลอยยังกระแสอุทกธารา”๕๕ ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม (๑) คติพระสงฆ์สดัปกรณ์ บรรจุอัฐิ ลอยพระอังคาร มีมาตราบเท่า ปัจจุบัน (๒) งานศพบางแห่งมีการน�ำมหรสพมาเล่นด้วย เข้าใจว่าน่าจะถือคติ จากงานศพเจ้านายช้ันผู้ใหญ่ สรุป ในรัชกาลสมเด็จพระมหาบุรุษ (สมเด็จพระเพทราชา) มีบันทึกเร่ืองราว เกย่ี วกบั พระพทุ ธศาสนา ๓ เรอ่ื ง ไดแ้ ก่ การสถานปนาวดั บรมพทุ ธาราม, การสถาปนา วัดพระยาแมน, และคตินิยมเก่ียวกับการพิธีศพ ๔.๙ รัชกาลสมเด็จพระสรรเพ็ชญ์ท่ี ๘ (สมเด็จพระเจ้าเสือ) สมเด็จพระสรรเพ็ชที่ ๘ (สมเด็จพระเจ้าเสือ) เป็นกษัตริย์องค์ที่ ๒๙ แห่ง กรุงศรีอยุธยา ทรงด�ำรงอยู่ในสิริราชสมบัติระหว่าง พ.ศ.๒๒๔๐-๒๒๔๙ รวม ระยะเวลา ๙ ปี ระหว่างน้ีมีเหตุการณ์เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาดังรายละเอียด ตามล�ำดับต่อไปน้ี ๔.๙.๑ การพิธีพระบรมศพ พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระศพในสมัยพระเจ้าเสือ มีหลักฐาน ระบุไว้ในพงศาวดารจ�ำนวน ๑ คร้ัง ได้แก่การพระราชทานเพลิงพระบรมศพพระเพท ราชา กษัตริย์องค์ที่ ๒๘ แห่งกรุงศรีอยุธยา ท�ำเนียมการพระราชพิธีถวายพระเพลิง ถือคติตามโบราณราชประเพณีทุกประการ
112 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังน้ี “ณ เดือน ๕ ปีมะแมตรีศก ศักราช ๑๐๖๓ (พ.ศ.๒๒๔๔) จึงให้เชิญ พระบรมศพขึ้นบนพระมหาพิชัยราชรถ แห่แหนเป็นกระบวนไปเข้าพระเมรุมาศ มีการ มหรสพและพระสงฆ์ ๑๐,๐๐๐ สดับปกรณ์คำ� รบ ๓ วันตามอย่างทุกครั้ง แล้วถวาย พระเพลิง เชิญพระอัฐิโกศน้อยแห่เป็นกระบวนเข้ามาบรรจุไว้ท้ายจระน�ำพระวิหารใหญ่ วัดพระศรีสรรเพชญ์ แล้วสมเด็จพระพันปีหลวงมีครรภ์แก่อยู่ก็ข้ึนไปตามด้วย จ่ึงไป คลอด ณ โพธ์ิทับช้าง เอารกข้ึนไปฝังไว้ ณ โพธ์ิทับช้าง คร้ันเสด็จขึ้นราชาภิเษกแล้ว จึงทรงพระกรุณาส่ังให้อัครเสนา ให้กะเกณฑ์คนไปสร้างวัด ณ โพธ์ิทับช้าง”๕๖ ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม (๑) งานศพเจา้ นายชนั้ สงู นยิ มใหม้ กี ารเลน่ มหรสพ และประกอบพธิ ยี ง่ิ ใหญ่ (๒) วัดโพธ์ิทับช้าง หรือโพธิ์ประทับช้าง ปัจจุบันอยู่ในจังหวัดพิจิตร (๓) ทรงพระราชอุทิศถวายเลขข้าพระไว้ส�ำหรับอุปัฏฐากพระอาราม ๒๐๐ ครัว และถวายพระกัลปนาขึ้นแก่พระอารามตามธรรมเนียม ๔.๙.๒ การเสด็จพระราชด�ำเนินไปนมัสการพระพุทธบาท ในรัชกาลของสมเด็จพระสรรเพ็ชที่ ๘ (พระเจ้าเสือ) มีการเสด็จไปนมัสการ พระพุทธบาท ทรงร�ำพระแสงดาบถวายเป็นพุทธบูชา โปรดให้มีการมหรสพสมโภช และ ถวายการบชู าพระพทุ ธบาทดว้ ยวธิ กี ารตา่ ง ๆ ตามประเพณที เี่ คยทำ� มาในรชั กาลกอ่ น ๆ ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังน้ี (๑) “สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวจึงมีพระราชโองการดำ� รัสส่ังสมุหนายก ให้เจ้าพนักงานเตรียมช้าง ม้า โค เกวียน และการสมโภช จะไปนมัสการพระพุทธบาท ครั้น ณ วันพฤหัสบดี เดือน ๓ แรม ๕ ค่�ำ ปีขาลนพศก เพลาตี ๑๑ ทุ่ม สมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวทรงเรือพระท่ีน่ังก่ิง เรือพยุหยาตราข้าละอองทั้งปวงพร้อมตามอย่าง”๕๗ (๒) “สมเดจ็ พระพทุ ธเจา้ อยหู่ วั กท็ รงขบั พระคชาธารมาเถงิ ตรงหนา้ ลาน พระเจ้า ทรงร�ำพระแสง ๓ เท่ียวเป็นพุทธบูชาแล้ว ตรัสเรียกนายช้างเข้ามาผัดพาน
ยุคกู้อิสรภาพถึงการเสียกรุงคร้ังที่ ๒ 113 บูชาพระพุทธบาทลายลักษณ์เจ้าถ้วน ๓ กลับ แล้วยอพระกรประชุมทัศนัขสโมธานกับ พระเศยี ร กราบถวายนมสั การลงเหนอื ตระพองพระคชาธาร ถวายวนั ทนะประณามแลว้ ก็ขับพระคชาธารไปสู่พระต�ำหนักธารเกษม”๕๘ (๓) “ฝ่ายสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชโองการด�ำรัสส่ังให้เจ้า พนักงานท�ำราชวิถีทางเสด็จ แต่พระต�ำหนักธารเกษมจนถึงลานพระพุทธบาท ให้ ปราศจากหลักตอลุ่มดอน แล้วให้เอาน้�ำประพรมทุบตีมิให้ผงฝุ่นละอองฟุ้งข้ึนได้ กรมพระนครบาลกับขุนโขลนก็ท�ำตามรับส่ัง ครั้นเพลาเช้าให้เครื่องเล่นสรรพสิ่งกรม สมโภชขึ้นพร้อมกันถวายเป็นพุทธบูชา”๕๙ ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม (๑) การเสด็จพระราชด�ำเนินไปนมัสการพระพุทธบาทในครั้งน้ี ทรง บ�ำเพ็ญพระราชกุศลถวายเป็นพุทธบูชาหลายประการด้วยพระองค์เอง เช่น ทรงจุด พเยียมาศแจ่มดวงผกา ธาดอกไม้เพลิง พลุ ประทัด พะเนียงน้อยใหญ่ รวมถึงการ ร�ำพระแสงถวาย (๒) การเสด็จไปคร้ังนี้ โปรดให้มีการสมโภชพระพุทธบาทเป็นเวลา ๗ วัน ๗ คืน จึงเสด็จพระราชด�ำเนินกลับพระนคร ๔.๙.๓ ตรัศน้อยราชบุตรผนวช ๕ พรรษา จึงลาผนวชเพื่อศึกษา ศิลปศาตร์ช้างม้าสรรพยุทธ ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังนี้ “ครั้งเม่ือปีมโรงโทศกนั้น ตรัศน้อยราชบุตรพระชนม์ได้ค�ำรบ ๑๓ ก็ให้กระท�ำ มหามงคลพิธีโสกันต์พระราชบุตร ครั้นโสกันแล้ว จึงให้ผนวชเป็นสามเณรอยู่ในส�ำนัก พระพทุ ธโฆษาจารยร์ าชาคณะ และตรสั นอ้ ยนนั้ ทรงพระสตปิ ญั ญาเปน็ อนั มาก ประพฤติ พรหมจรรย์เป็นอันดี และทรงเรียนพระปริยัติไตรปิฎกธรรมและคัมภีร์เลขยันต์มนตร คาถาสรรพวิทยาคุณต่าง ๆ”๖๐ ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม (๑) นับเป็นธรรมเนียมการบวชเรียนที่สืบทอดมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
114 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา (๒) ตรัศน้อยเมื่อลาผนวช ทรงศึกษาเล่าน้ีสรรพวิชาต่าง ๆ แล้ว พระชนมายุครบ ก็ได้อุปสมบทอีกคร้ัง ๔.๙.๔ วัดโคกพระยาถูกใช้เป็นสถานท่ีประหารชีวิต ตรัสน้อยเป็นที่รักใคร่ของประชาชน ยามเสด็จออกทรงม้า ณ ท้องสนามหน้า พระท่ีน่ังจักรพรรดิ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์เห็นประชาชนแสดงความรัก ต่อตรัสน้อยเช่นน้ันก็เกรงว่า ภายภาคหน้าถ้าปล่อยไว้ก็อาจจะได้เป็นใหญ่ จึงถูกได้ วางแผนสังหารตรัสน้อยเสียด้วยพระราชโองการปลอม ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังน้ี “ลวงตรัสน้อยด้วยราชโองการมาสังหารด้วยท่อนจันทร์ แล้วเชิญศพไปเสีย ณ วัดโคกพระยา”๖๑ ข. ข้อสังเกตเพิ่มเติม ความในเรื่องน้ีต้องการน�าเสนอข้อเท็จจริงอย่างท่ีเคยเสนอไปแล้วเบ้ืองต้นคือ การใช้วัดเป็นสถานท่ีในการส�าเร็จโทษกษัตริย์ หรือเชื้อพระวงศ์ในสมัยต่าง ๆ โดย เฉพาะอย่างย่ิง วัดโคกพระยา ถือว่าเป็นวัดที่ปรากฏชื่อเกือบทุกครั้งท่ีมีเร่ืองลักษณะ อย่างนี้ ภาพประกอบ: https://www.gotoknow.org/posts/491930
ยุคกู้อิสรภาพถึงการเสียกรุงครั้งที่ ๒ 115 ๔.๙.๕ ฟ้าผ่ายอดพระมณฑปพระสุมงคลบพิตร เกิดฟ้าผ่ายอดมณฑปพระสุมงคลบพิตร ท�ำให้เพลิงลุกไหม้ส่วนด้านบนพังลง มาถูกเศียรพระหักตกลงมา เหตุการณ์ครั้งน้ีเป็นเหตุให้ทรงพิโรธถึงกับสั่งจ�ำพระเจ้า ลูกเธอเป็นระยะเวลา ๓ เดือน ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังนี้ (๑) “ครั้น ณ ปีระกาตรีศก ศักราช ๑๐๖๕ (พ.ศ.๒๒๔๖) ไฟฟ้า ลงติดยอดมณฑปพระวิหาร สุมงคลบพิตร ไหม้เคร่ืองบนโทรมลง ถูกพระเศียรหักเพียง พระศอ ตกลงมาตั้งอยู่ ณ พื้นพระวิหาร”๖๒ (๒) “ในปีมะเมียจัตวาศกนั้น ทรงพระกรุณาให้ช่างต่ออย่างพระมรฎป พระพุทธบาท ให้มยี อดห้ายอด ให้ยอ่ เกจ็ มีบันแถลงแลยอดแทรกดว้ ย นายช่างต่ออยา่ ง แล้วเอาเข้าทูลถวาย จึงมีพระราชด�ำรัศสั่งให้ปรุงเคร่ืองบนพระมรฎกตามอย่างนั้นเสร็จ จึงเสร็จพระราชด�ำเนินโดยขบวนพยุหบาตราชลมารคสถลมารค ข้ึนไปไปนมัสการ พระพุทธบาทตามอย่างพระราชประเพณีมาแต่ก่อน”๖๓ ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม (๑) ทรงให้ช่างรื้อสร้างใหม่ แปลงเป็นพระมหาวิหาร เสร็จแล้วจึงให้ มีการฉลอง ๓ วัน และท�ำบุญกับพระสงฆ์หมู่มาก (๒) พระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์ที่ทะนุบ�ำรุงพระพุทธศาสนา และทรงบ�ำเพ็ญพระราชกุศลอยู่เนือง ๆ (๓) ในรชั สมยั ของพระองค์ ไดเ้ สดจ็ ไปนมสั การพระพทุ ธบาทเปน็ ประจำ� ทุกปี บางคร้ัง ก็โปรดให้มีมหรสพสมโภชติดต่อกันหลายวัน สรุป ในรัชกาลสมเด็จพระสรรเพ็ชที่ ๘ (สมเด็จพระเจ้าเสือ) มีบันทึกเรื่อง ราวเก่ียวกับพระพุทธศาสนา ๕ เรื่อง ได้แก่ ท�ำเนียมการพระราชพิธีพระบรมศพ และทรงสร้างวัดโพธ์ิทับช้างเป็นอนุสรณ์การประสูติ, ตรัสน้อยผนวช ๕ พรรษา, การใช้วัดโคกพระยาเป็นที่ประหารชีวิต, ฟ้าผ่ายอดมณฑปพระสุมงคลบพิตร และ การปฏิสังขรณ์, และการสเด็จนมัสการพระพุทธบาท และสมโภชพระพุทธบาท
116 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ๔.๑๐ รัชกาลสมเด็จพระสรรเพ็ชญ์ที่ ๙ (สมเด็จพระเจ้าท้ายสระ) รัชกาลสมเด็จพระสรรเพ็ชท่ี ๙ (สมเด็จพระเจ้าท้ายสระ) เป็นกษัตริย์องค์ที่ ๓๐ แห่งกรุงศรีอยุธยา ทรงด�ำรงอยู่ในสิริราชสมบัติระหว่าง พ.ศ.๒๒๕๒-๒๒๗๕ รวมระยะเวลา ๒๔ ปี ระหว่างน้ีมีเหตุการณ์เก่ียวกับพระพุทธศาสนาดังรายละเอียด ตามล�ำดับต่อไปน้ี ๔.๑๐.๑ การจัดการพระบรมศพของพระมหากษัตริย์ รายละเอียดของพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ท�ำให้เห็นถึงคตินิยม หลายประการในสังคมไทยสมัยอยุธยา และสะท้อนมาถึงปัจจุบัน เช่น การแห่อัฐิไป บรรจุไว้ในศาสนสถานมีวิหาร หรือเจดีย์ เป็นต้น ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังน้ี (๑) “ครั้น ณ วันพฤหัสบดี ปีฉลู ศักราช ๑๐๖๘ (พ.ศ.๒๒๔๙) ให้เชิญพระบรมโกศข้ึนบนพระมหาพิชัยราชรถแล้ว เสนอพฤฒามาตย์ราชปุโรหิตสพ่ัง พรอ้ มแหแ่ หนพระบรมศพ ไปตามรถยาราชวตั เิ ขา้ สพู่ ระเมรมุ าศใหท้ ง้ิ ทานตน้ กลั ปพฤกษ์ มีการมหรสพ พระสงฆ์สดับปกรณ์ ๑๐,๐๐๐ ค�ำรบ ๓ วัน แล้วถวายพระเพลิง คร้ันดับพระเพลิงแล้ว จึงนิมนต์พระสงฆ์สดับปกรณ์อีก ๑๐๐ รูป เก็บพระอัฐิใส่ พระโกศน้อย แห่แหนไปบรรจุไว้ท้ายจระน�ำพระวิหารใหญ่วัดพระศรีสรรเพชญ์ และ พระมณฑปพระพุทธบาท ปิดทองประดับกระจกฝาผนังแล้ว เสด็จพระราชด�ำเนินข้ึนไป ฉลองสมโภชพระพุทธบาท ๗ วัน พระสงฆ์ฉัน ๕๐๐ รูป ถวายจีวรองค์ละผืน และ เครื่องไทยทานทุกรูป”๖๔ (๒) “ณ ปีเถาะ สมเด็จพระอัยกีเจ้า กรมพระเทพามาตย์เสด็จนิพพาน จึ่งมีพระราชโองการด�ำรัสเหนือเกล้า ฯ ส่ังอัครมหาเสนาธิบดี ให้ท�ำพระเมรุมาศถวาย พระเพลิง พระสงฆ์สดับปกรณ์ ๑๐,๐๐๐ ตามอย่างทุกครั้งแล้ว”๖๕ (๓) “เจา้ กรมหลวงโยธทพิ เสดจ็ นพิ พาน ทรงพระกรณุ าดำ� รสั เหนอื เกลา้ เหนือกระหม่อม ให้ท�ำพระเมรุมาศหน้าพระศพ ขื่อ ๕ วา ๒ ศอก ครั้นท�ำการ พระเมรุมาศส�ำเร็จแล้ว ให้เชิญพระศพข้ึนบนพระมหาวิชัยราชรถ แห่แหนไปด้วย ดุริยางคดนตรีแตรสังข์ฆ้องกลองไปยังพระเมรุมาศ และทิ้งทานต้นกัลปพฤกษ์ และให้
ยุคกู้อิสรภาพถึงการเสียกรุงคร้ังที่ ๒ 117 เล่นการมหรสพ พระสงฆ์สดับปกรณ์ ๑๐,๐๐๐ ค�ำรบ ๓ วัน แล้วถวายพระเพลิง คร้ันดับพระเพลิงแล้ว แจงพระรูป พระสงฆ์สดับปกรณ์อีก ๑๐๐ รูป เก็บพระอัฐิใส่ พระโกศน้อย แห่เข้ามาบรรจุไว้ท้ายจระน�ำ ณ พระวิหารใหญ่วัดพระศรีสรรเพชญ์”๖๖ ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม (๑) ธรรมเนียมพิธีการถวายพระเพลิงพระบรมศพ มักท�ำอย่างย่ิงใหญ่ ให้สมพระเกียรติ (๒) มีท�ำเนียมการเล่นมหรสพในงานศพ (๓) ความนิยมในการน�ำอัฐิไปบรรจุในศาสนสถาน บางคร้ังก็สร้าง สถูป เจดีย์ขึ้นใหม่เพ่ือใช้ในการน้ี (๔) มีการน�ำค�ำว่า “นิพพาน” มาใช้กับเจ้านายช้ันผู้ใหญ่ท่ีเสียชีวิต (๕) “แจงรูป” น่าจะมีความหมายเดียวกับการ “แปรรูป” เป็นส่วน หน่ึงของพิธีกรรมเก็บอัฐิ ๔.๑๐.๒ ชาวกัมพูชาเข้ามาพ่ึงพระบรมโพธิสมภาร กัมพูชาเกิดความไม่สงบภายในประเทศ เพราะมีการแย่งอ�ำนาจกัน ท�ำให้ ประชาชนได้รับผลกระทบจากการสู้รบด้วย พระสงฆ์ หรือประชาชนจึงอพยพหนีมาขอ พึ่งพระบรมโพธิสมภารพระมหากษัตริย์ไทย ซึ่งก็ทรงพระกรุณาให้จัดหาสถานท่ีอยู่ ตามสมควร ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังนี้ “นักเสด็จกับนักพระองค์ทองแตกหนี พาครอบครัวอพยพเข้ามาพึ่งพระราช สมภาร ทรงพระกรุณาโปรดให้ไปปลูกต�ำหนักและเรือนให้อยู่ ณ วัดค้างคาว”๖๗ ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม วัดค้างคาว ปัจจุบันตั้งอยู่เลขท่ี ๑๓๘ หมู่ ๔ ต.บางไผ่ อ.เมือง จ.นนทบุรี สนั นษิ ฐานวา่ สรา้ งในสมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยาตอนกลาง ในรชั สมยั ของสมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ
118 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ๔.๑๐.๓ สร้างพระต�ำหนักริมวัด ¬ พระราชประสงค์ที่สร้างพระต�ำหนักไว้ริมวัด จุดมุ่งหมายเพื่อต้องการเป็น ที่สถานท่ีเสด็จไปบ�ำเพ็ญพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัย ในพงศาวดารระบุไว้ว่า บางครั้งก็เสด็จไปประทับแรม ๑ เดือนบ้าง ๒ เดือนบ้าง ๓ เดือนบ้าง ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังนี้ “วัดมเหยงคณ์ช�ำรุดปรักหักพัง จ่ึงทรงพระกรุณาตรัสเหนือเกล้าเหนือ กระหม่อมส่ังให้อัครมหาเสนาธิบดีให้ปฏิสังขรณ์ข้ึนแล้ว ให้ตั้งพระต�ำหนักริมวัด เสด็จ พระราชดำ� เนนิ ออกไปอยคู่ ราวละหนงึ่ เดอื นบา้ ง ๒ เดอื นบา้ ง ๓ เดอื นบา้ ง ฝา่ ยสมเดจ็ พระอนุชาธิราชเจ้า กรมพระราชวังบวรสถานมงคลปฏิสังขรณ์วัดกุฎีดาว และตรัสสั่ง ให้ต้ังพระต�ำหนักริมวัด ก็เสด็จออกไปอยู่คราวละหนึ่งเดือนบ้าง ๒ เดือนบ้าง ๓ เดือน บ้าง”๖๘ ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม รัชกาลสมเด็จพระสรรเพ็ชท่ี ๙ (สมเด็จพระเจ้าท้ายสระ) ทรงบ�ำเพ็ญพระราช กรณียกิจด้านพระพุทธศาสนามิได้ขาด ๔.๑๐.๔ การเสด็จพระราชกุศลในโอกาสต่าง ๆ รัชกาลสมเด็จพระสรรเพ็ชที่ ๙ (สมเด็จพระเจ้าท้ายสระ) ได้เสด็จไปบ�ำเพ็ญ พระราชกุศลต่าง ๆ อยู่สม่�ำเสมอ ในพระราชพงศาวดารระบุว่าได้เสด็จไปสมโภช พระพุทธบาท โปรดให้มีการมหรสพ สร้างวัดมเหยงค์และโปรดให้มีการฉลอง ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังนี้ (๑) “คร้ันเถิงเดือน ๔ เสด็จพระราชด�ำเนินขึ้นไปสมโภชพระพุทธบาท ล้นเกล้าล้นกระหม่อมเสด็จเข้าไปนมัสการพระพุทธบาทอยู่ในพระมณฑป สมเด็จ พระอนุชาธิราชกรมพระราชวังบวรสถานมงคลก็ตามเสดจ็ ไปนมัสการพระพุทธบาทดว้ ย คร้ันสมโภชพระพุทธบาท ๗ วันแล้ว เสด็จพระราชด�ำเนินกลับกรุงเทพพระมหานคร ศรีอยุธยา”๖๙
ยุคกู้อิสรภาพถึงการเสียกรุงครั้งที่ ๒ 119 (๒) “สร้างวัดมเหยงคณ์ส�ำเร็จแล้ว ทรงพระกรุณาสั่งอัครมหาเสนาธิ บดีให้แต่งการฉลองสมโภชวัดมเหยงคณ์ อัครมหาเสนาธิบดีรับสั่งแล้ว ให้ต้ังโรงโขน โรงส�ำเร็จแล้ว นิมนต์พระสงฆ์ ๓๐๐ รูปสวดพระพุทธมนต์แล้วฉัน ๓ วัน ถวายผ้า และเครื่องไทยทานทุกรูปแล้ว มีการมหรสพค�ำรบ ๓ วัน”๗๐ ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม (๑) พระเจ้าอยู่หัวแต่ละพระองค์ในแต่ละสมัย ต่างก็เสด็จไปนมัสการ พระพุทธบาทเป็นประจ�ำตลอดรัชกาล (๒) การเฉลิมฉลอง หรือสมโภชวัด เจดีย์ หรืออ่ืน ๆ นิยมให้มีการ มหรสพเพ่ือถวายเป็นพุทธบูชา ๔.๑๐.๕ การย้ายพระพุทธไสยาสน์วัดป่าโมกข์ให้พ้นจากน้�ำเซาะ ตลิ่งพัง-วิธีการย้าย เน่อื งจากพระพุทธไสยาสนว์ ดั ป่าโมกข์อยรู่ มิ ฝ่งั แม่น้�ำ แต่ละปีน�ำ้ ไดเ้ ซาะตลง่ิ พัง ไปเรื่อย ๆ เกรงว่าเม่ือตลิ่งพัง จะท�ำให้องค์พระเสียหาย จึงได้น�ำความกราบบังคมทูล เพ่ือแก้ปัญหา สุดท้ายมีรับส่ังให้ย้ายไปประดิษฐาน ณ ท่ีปลอดภัย ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังน้ี (๑) “พระอธิการวัดป่าโมกข์มาว่าแก่พระยาราชสงครามว่า พระพุทธ ไสยาสน์ ณ วัดป่าโมกข์น้ัน สายน้�ำแทงตลิ่งพังเข้าชิดพระวิหารอยู่แล้ว อีกสักปีหนึ่ง พระก็ตกน�้ำลง พระยาราชสงครามจึ่งเอาเนื้อความเข้ากราบทูลพระกรุณา พระบาท สมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ครั้นได้ทรงทราบแล้ว จึ่งทรงพระกรุณาตรัสว่า ทำ� ประการใด พระยาราชสงครามกราบทลู พระกรณุ าวา่ ยงั ไมไ่ ดเ้ หน็ จะขอพระราชทาน กราบทูลบังคมลาไปดูก่อน ครั้นพระยาราชสงครามออกไปดูแล้ว กลับมาเข้าเฝ้า จ่ึง กราบบังคมทูลพระกรุณาว่า เห็นพอจะชลอพระพุทธไสยาสน์เข้าไปให้พ้นพ้ืนท่ีได้๗๑ (๒) “เจาะฐานพระเจ้าเป็นฟันปลา เจาะศอกหน่ึงเว้นไว้ศอกหน่ึง เจาะให้ตลอดแนวแล้วเอาไม้ยางหน้าศอกคืบยาว ๑๑ วา เป็นแม่สะดึงเข้าเคียงไว้แล้ว
120 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา จ่ึงเอาไม้ยางท�ำเป็นฟากหน้าใหญ่ศอกหนึ่ง หน้าน้อยคืบหนึ่ง สอดไปตามช่องซึ่งเจาะ ไว้น้ัน พาดข้ึนบนหลังตะเฆ่ทุกช่องแล้วตราดติง แล้วจึ่งให้ขุดที่เว้นให้ตลอด เอาไม้ ฟากสอดทุกช่องแล้ว องค์พระเจ้าจะลอยข้ึนไปอยู่บนตะเฆ่ ท�ำทางที่จะชักไปตลอด ๔ เส้น ๑๐ วา”๗๒ ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม การย้ายพระขนาดใหญ่จากท่ีหนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ถือว่าเป็นภูมิปัญญาท่ีน่า สนใจ แสดงให้เห็นถึงความฉลาดหลักแหลมของคนโบราณ สรุป ในรัชกาลสมเด็จพระสรรเพ็ชท่ี ๙ (สมเด็จพระเจ้าท้ายสระ) มีบันทึก เร่ืองราวเก่ียวกับพระพุทธศาสนา ๕ เร่ือง ได้แก่ เรื่องการจัดการพระศพเจ้านาย ช้ันผู้ใหญ่, โปรดให้ชาวกัมพูชามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารพักอยู่ท่ีวัดค้างคาว, การสร้าง พระต�ำหนักริมวัดเพื่อสะดวกในการบ�ำเพ็ญพระราชกุศล, การสมโภชพระพุทธบาท และการฉลองวัดมเหยงค์, และการย้ายพระพุทธไสยาสน์ขนาดใหญ่ให้พ้นจากน้�ำ กัดเซาะตลิ่งพัง ๔.๑๑ รัชกาลสมเด็จพระบรมโกศ สมเด็จพระบรมโกศ เป็นกษัตริย์องค์ท่ี ๓๒ แห่งกรุงศรีอยุธยา ทรงด�ำรงอยู่ ในสิริราชสมบัติระหว่าง พ.ศ.๒๒๗๖-๒๓๐๑ รวมระยะเวลา ๒๖ ปี ระหว่างนี้มี เหตุการณ์เก่ียวกับพระพุทธศาสนาดังรายละเอียดตามล�ำดับต่อไปนี้ ๔.๑๑.๑ ถวายพระเพลิงพระศพเจ้านายช้ันผู้ใหญ่ ในรัชกาลของสมเด็จพระบรมโกศ มีการถวายพระเพลิงพระศพเจ้านายชั้น ผู้ใหญ่ ๒ คร้ัง ได้แก่ พระบรมศพสมเด็จพระเจ้าท้ายสระอยู่ และการพระศพกรม หลวงอไภยนุชิตพระราชบิดาของเจ้าฟ้ากรมขุนเสนาพิทักษ์ ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังนี้ (๑) “ทรงพระกรุณาตรัสสั่งให้ท�ำพระเมรุมาศขนาดน้อย ขื่อ ๕ วา ๒ ศอก พระสงฆ์สดับปกรณ์ ๑๐,๐๐๐ ให้ลดเสียเอาแต่ ๕,๐๐๐ ให้จับการท�ำ
ยุคกู้อิสรภาพถึงการเสียกรุงคร้ังท่ี ๒ 121 พระเมรุ ๑๐ เดือนจึงส�ำเร็จ ครั้นเดือน ๔ ปีฉลู จึงได้เชิญพระบรมศพออกไปถวาย พระเพลิง ณ พระเมรุแล้ว ทรงพระกรุณาตรัสว่า ท�ำบุญน้อยนัก ไม่สบายพระทัย ให้นิมนต์พระสงฆ์ข้ึนอีก ๑,๐๐๐ เป็น ๖,๐๐๐ สดับปกรณ์ ๓ วันแล้วถวาย พระเพลิง แล้วดับพระเพลิงเก็บพระอัฐิธาตุใส่พระโกศน้อย แห่เข้ามาบรรจุไว้ท้ายจระ น�ำวัดพระศรีสรรเพชญ์”๗๓ (๒) “คร้ัน ณ เดือน ๕ ปีมะเมียสมัมฤทธ์ิศก ศักราช ๑๑๐๐ (พ.ศ.๒๒๘๑) ท�ำพระเมรุแล้ว เชิญพระศพขึ้นมหาพิชัยราชรถ แห่แหนเป็นกระบวน เข้าไปในพระเมรุ พระสงฆ์สดับปกรณ์ ๑๐,๐๐๐ ค�ำรบ ๓ วัน ถวายพระเพลิงแล้ว เก็บพระอัฐิใส่พระโกศน้อย แห่แหนเข้าไปบรรจุไว้ท้ายจระน�ำพระวิหารใหญ่วัดศรี สรรเพชญ์”๗๔ ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม (๑) สมเด็จพระบรมโกศมีความไม่พอพระทัยสมเด็จพระเจ้าท้ายสระอยู่ แรกเร่ิมจึงรับสั่งให้เอาพระศพท้ิงลงแม่น้�ำ แต่ถูกทัดทานเอาไว้ (๒) เมื่อจ�ำต้องจัดการพระบรมศพ จึงให้ลดจ�ำนวนพระสดัปกรณ์ลง ท้ังพระเมรุมาศก็รับสั่งให้ท�ำขนาดเล็ก ๔.๑๑.๒ การเสด็จบ�ำเพ็ญพระราชกุศลในโอกาสต่าง ๆ หลักฐานการเสด็จไปบ�ำเพ็ญพระราชกุศลของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ปรากฏค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับกษัตริย์พระองค์อื่นในสมัยอยุธยา แสดงให้เห็นถึง ความเอาพระทัยใส่ในการทะนุบ�ำรุงพระพุทธศาสนา และพระราชกรณียกิจในฐานะทรง เป็นศาสนูปถัมภก ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังน้ี “เกณฑ์ให้ไปท�ำต�ำหนักบ้านชีปะขาว และตั้งพลับพลา สัทธา ดอกไม้เพลิง โรงโขน โรงร�ำ ณ ทุ่งนางฟ้า ให้มีหกคะเมนใต่ลวด สามต่อ โจนร่ม มีช้างบ�ำรูงาด้วย ครั้นต�ำหนักพลับพลาส�ำเร็จแล้ว เดือน ๖ ข้างข้ึน เสด็จพระราชด�ำเนินทรงเรือน
122 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา พระท่ีนั่งกิ่ง และดั้งกัน เป็นกระบวนพยุหยาตราข้ึนไปประทับ ณ ต�ำหนักวัดชีปะขาว ครั้นรุ่งข้ึนเพลาบ่าย เสด็จพระราชด�ำเนินขึ้นไปฟังพระพุทธมนต์ ๓ วัน แล้วจึง พระสงฆ์ฉัน ๓๐๐ รูป ถวายผ้าและเคร่ืองไทยทานทุก ๆ รูป”๗๕ (๑) “ณ เดือน ๖ ปีมะเมีย สัมฤทธ์ิศก ฉลองวัดหานตรา ถึง ณ ปีมะแมเอกศก (จ.ศ.๑๑๐๑ พ.ศ.๒๒๘๒) เสด็จขึ้นไปสมโภช พระพุทธบาท คร้ันเดือน ๑๒ ปีวอกโทศก (จ.ศ.๑๑๐๒ พ.ศ.๒๒๘๓) พระเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นไปสมโภชพระชินราช พระชินศรี ณ เมืองพระพิษณุโลก ๓ วัน เสด็จ พระราชด�ำเนินขึ้นไปสมโภชพระสารีริกบรมธาตุ ณ เมืองสวางคบุร ๓ วัน แล้ว เสด็จกลับยังกรุงพระนครศรีอยุธยา”๗๖ (๒) “ครั้นเดือน ๕ ปีระกาตรีศก (จ.ศ.๑๑๐๓ พ.ศ.๒๒๘๔) ทรง พระกรุณาส่ังกรมพระราชวังให้ปฏิสังขรณ์วัดพระศรีสรรเพชญ์ใหม่ อนึ่งพระเศียรพระพุทธรูปพระสุมงคลบพิตร ซึ่งหักลงต้ังอยู่นั้นให้ยกขึ้นต่อเสีย พระวิหารน้ัน อย่าให้ท�ำเป็นมณฑปเลย ให้ท�ำเป็นหลังคาเหมือนวิหารท้ังปวง ท�ำอยู่ ปีเศษจึงส�ำเร็จทั้งสองวัด และพระที่นั่งพระวิหารสมเด็จช�ำรุด ทรงพระกรุณาสั่งกรม พระราชวังให้รื้อลงท�ำใหม่ ๑๐ เดือน จึงส�ำเร็จ วัดพระรามช�ำรุด ให้ปฏิสังขรณ์ปีเศษ จึงส�ำเร็จ”๗๗ (๓) “ปีน้ัน ปฏิสังขรณ์เจดีย์และอารามวัดภูเขาทอง ๖ เดือนจึง ส�ำเร็จ”๗๘ (๔) “เดือน ๘ แรม ๑๐ ค่�ำ พระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรหนัก จนสะอึก ๓ ชั้น ต่อกลางเดือน ๑๐ จึงคลาย ครั้นเดือน ๑๒ ข้างขึ้น เสด็จ พระราชด�ำเนินไปสมโภชพระพุทธบาท”๗๙ (๕) “ครน้ั สน้ิ เดอื น ๕ ปมี ะโรงสมั ฤทธศ์ิ ก (จ.ศ.๑๑๑๐ พ.ศ.๒๒๙๑) ได้ทองเข้ามาถวาย ๙๐ ชั่ง ผู้ร้ังเมืองกุยน้ัน โปรดให้เป็นพระกุยบุรี แล้วพระราช
ยุคกู้อิสรภาพถึงการเสียกรุงคร้ังท่ี ๒ 123 ศรัทธาให้แผ่ทองค�ำร่อนเป็นประธากล้อง ปิดพระมณฑปพระพุทธบาท และให้แผ่หุ้ม แต่เหมและนาคลงมา”๘๐ (๖) “ถึงวันแรม ๙ ค�่ำ เสด็จไปนมัสการพระพุทธไสยาสน์วัดพระนอน จักรศรี แรมอยู่เวนหนึ่งจึงล่องมาตามทางแม่น้�ำน้อย ข้ึนไปนมัสการพระพุทธไสยาสน์ วัดขุนอินท์ประมูล ณ เดอื น ๖ ปกี นุ สปั ตศก (จ.ศ.๑๑๑๗ พ.ศ.๒๒๙๘) ฉลองวดั พระยาคำ� ”๘๑ (๗) “ลุศักราช ๑๐๙๖ ปีขาลฉศกพระบาทสมเด็จพระบรมบพิตร พระพุทธเจ้าอยู่ จึงมีพระราชด�ำรัสสั่งท้าวพระยามุขมนตรีท้ังหลายว่า วัดปากโมกน้ัน การทั้งปวงส�ำเร็จบริบูรณแล้ว ให้จัดแจงการฉลองและเคร่ืองสักการบูชาไว้ให้พร้อม สรรพ คร้ันถึง วิสาขมาศศุกรปักษ์ดฤถีพิไชยฤกษ์ สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวก็เสด็จ ทรงเรือพระที่นั่งไกรสรมุขพิมาน อันอลังการด้วยเคร่ืองพระอภิรุมรัตนฉัตรชุมสาย บังแทรกสลอนสลับ ประดับด้วยเรือศีศะสัตวด้ังกันสรพอเนกนาวา ท้าวพระข้าทูล ลอองธุลีพระบาทโดยเสด็จพระราชด�ำเนินแห่แหน” ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม (๑) ศาสนสถานทถี่ กู สรา้ งขน้ึ ในรชั สมยั กอ่ น ๆ ถงึ เวลาชำ� รดุ ทรดุ โทรม จึงเป็นพระราชภาระทะนุบ�ำรุง และปฏิสังขรณ์ (๒) ท�ำเนียมการฉลอง สมโภช และโปรดให้มีการมหรสพได้รับการ ปฏิบัติสืบต่อ ๆ กันมาโดยล�ำดับ ๔.๑๑.๓ การใช้ผ้าสาวพัตร์เพื่อหลบหนีอาญาแผ่นดิน เจ้าฟ้ากรมขุนเสนาพิทักษ์ลอบสังหารกรมขุนสุเรนทรพิทักษ์ แต่ไม่ส�ำเร็จ หนีราชภัยด้วยการไปอาศัยผ้ากาสาวพัสตร์ ต่อมาได้รับพระราชทานอภัยโทษ ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังนี้ “ครั้น ณ เดือน ๗ ปีเถาะสัปตศก ศักราช ๑๐๙๗ (พ.ศ.๒๒๗๘) ล้นเกล้าล้นกระหม่อมทรงพระประชวร ทรงพระผนวชกรมขุนสุเรนทรพิทักษ์คิดว่าจริง จึงเสด็จเข้ามา ให้เสด็จข้ึนหน้าพระชัย เจ้ากรมขุนเสนาพิทักษ์๘๒
124 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา “ทรงถือพระแสงดาบแอบประตูอยู่ คร้ันเจ้ากรมขุนสุเรนทพิทักษ์เสด็จเข้ามา ประตูที่เจ้ากรมเสนาพิทักษ์ ๆ ฟันถูกแต่ผ้าจีวรสังฆาฏิขาด หาเข้าไม่ เจ้ากรมขุนเสนา พิทักษ์เข้าไปข้างใน เจ้ากรมขุนสุเรนทรพิทักษ์เสด็จกลับลงจากพระชัยมา ล้นเกล้าล้น กระหม่อมทอดพระเนตรเห็นจีวรสังฆาฏิจีวรขาด มีพระราชโองการตรัสถามว่า เป็น ไรผ้าสังฆาฏิจีวรจึงขาด กรมขุนสุเรนทรพิทักษ์ถวายพระพรว่า เจ้ากรมขุนเสนาพิทักษ์ เอาพระแสงดาบฟัน จึงทรงพระกรุณาส่ังให้หาเจ้ากรมขุนเสนาพิทักษ์ไม่พบ ให้คนหา ในพระราชวัง และเจ้ากรมหลวงอภัยอนุชิตเสด็จออกมาตรัสกับเจ้ากรมขุนสุเรนทร พิทักษ์ว่า พ่อมิช่วยก็ตาย และเจ้ากรมขุนสุเรนทรพิทักษ์ตรัสว่า จะช่วยได้แต่ กาสาวพัสตร์อันเป็นธงชัยพระอรหันต์ เจ้ากรมหลวงอภัยนุชิตได้พระสติข้ึน จึงเสด็จ ออกไปขึ้นพระวอ ทั้งเจ้ากรมขุนเสนาพิทักษ์ ให้เปิดประตูฉนวนออกไปทรงพระผนวช เจา้ กรมขนุ เสนาพทิ กั ษ์ ณ วดั โคกแสง ทรงพระกรณุ าคน้ หาแตพ่ ระองคเ์ จา้ เทดิ พระองค์ เจ้าชื่น จึงทรงพระกรุณสั่งให้ประหารชีวิตเสียด้วยท่อนจันทร์”๘๓ ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม การใช้ผ้ากาสาวพัตร์เพื่อหนีราชภัยบางคร้ังก็ส�ำเร็จประโยชน์ แต่บางครั้งก็ ไม่ส�ำเร็จประโยชน์ เช่นกรณีพระยาพิไชยราชา (เสม) และพระยายมราช (พูน) หนีไป บวชที่แขวงเมืองสุพรรณบุรี แต่สุดท้ายก็ถูกมหาอุปราชใช้ให้คนลอบฆ่าเสีย๘๔ ๔.๑๑.๔ พระมหาธาตุวัดวรโพธิ์ถูกพายุพัดพังลง พระมหาธาตุวัดวรโพธิ์ถือเป็นปรางค์ประธาน ถูกลมพัดพังทลายลงมาเม่ือ เดือน ๑๒ แรม ๒ ค่�ำ ในรัชกาลของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เดิมวัดน้ีช่ือว่า วัดระฆัง ต่อมาเม่ือมีการอัญเชิญต้นพระศรีมหาโพธ์ิจากศรีลังกามาถวาย จึงเปล่ียน ช่ือวัดเป็น “วรโพธ์ิ” ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังน้ี “คร้ัน ณ เดือน ๑๒ ข้ึน ๒ ค่�ำ ปีฉลูนพศก เพลากลางคืน ลมว่าวพัดหนัก พระมหาธาตุวัดวรโพธิ์โทรมลง”๘๕ ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม
ยุคกู้อิสรภาพถึงการเสียกรุงคร้ังท่ี ๒ 125 (๑) ฉบบั พระราชหตั ถเลขาระบวุ า่ เดอื น ๑๐ แรม ๒ คำ่� เพลากลางคนื (๒) ลมว่าว หมายถึง ลมที่พัดจากทิศเหนือไปทางทิศใต้ตอนต้น ฤดูหนาว ส่วนค�ำว่า โทรม หมายถึง หักทลายลงมา ๔.๑๑.๕ พระราชาคณะ ๕ รูปไปเกลี้ยกล่อมเจ้าสามกรมให้ยินยอม สวามิภักดิ์ พระราชาคณะ ๕ รูป ประกอบไปด้วย พระเทพมุนี พระพุทธโฆษาจารย์ พระธรรมอุดม พระธรรมเจดีย์ และพระเทพกวี ได้รับอาราธนาจากพระเจ้าอยู่หัว บรมโกศใหไ้ ปชว่ ยเกลยี้ กลอ่ มแกเ่ จา้ สามกรม ประกอบดว้ ยกรมหมนื่ จติ รสนุ ทร กรมหมน่ื สุนทรเทพ และกรมหมื่นเสพภักดี ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังน้ี “วันแรม ๕ ค่�ำ เป็นวันพระ พระเทพมุนี พระพุทธโฆษาจารย์ พระธรรมอุดม พระธรรมเจดีย์ พระเทพกวี เข้ามาเตรียมจะถวายพระธรรมเทศนาอยู่ ณ ทิมสงฆ์ ประมาณเพลาทุ่มเศษ จึงมีพระบัณฑูรให้นิมนต์เข้ามา ณ ต�ำหนักสวนกระต่าย ตรัส อาราธนาให้ขึ้นไปว่ากล่าวแก่เจ้าสามกรมให้ลงมาสมานสามัคร สมานกันถึง ๒ กลับต่อเพลา ๓ ยามเศษ เจ้าสามกรมจึงมาเฝ้าท�ำพระสัตย์ถวายทั้งสามองค์”๘๖ ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม ยามบ้านเมืองมีการถ่ายเปล่ียนอ�ำนาจ พระสงฆ์ได้รับการนิมนต์มาช่วยเป็น “กาวใจ” ประสานกลุ่มอ�ำนาจให้เป็นหน่ึงเดียวเพ่ือบ้านเมืองเดินต่อไปได้ ๔.๑๑.๖ การใช้ผ้ากาสาวพัตรหลบหนีราชภัย พระยาพิไชยราชาและพระยายมราช นายสังราชาภิบาลหนีราชภัยไปบวช อย่างไรก็ตามก็ไม่อาจพ้นจากราชภัย พระยาพิชัยราชา และพระยายมราช ถูกลอบ สังหารทั้งผ้าเหลือง ขณะท่ีนายสังราชาภิบาล ถูกตามตัวมาได้ บังคับให้ลาสิกขา แล้วถูกน�ำไปประหารชีวิต ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังนี้
126 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา “ส่วนนายเสมพระยาพิไชยราชา แลนายพูนพระยายมราช คนทั้งสองน้ีครั้น เจ้าหนไี ปแล้ว กพ็ ากันหนีไปบวชเป็นภกิ ษอุ ยใู่ นแขวงเมืองสพุ รรณบรุ ี ขา้ หลวงทง้ั หลาย ติดตามไปได้ตัวภิกษุท้ังสองนั้นมา ให้รักษาคุมตัวไว้ในวัดฝาง นายสังราชาบริบาล หนีไปบวชนเป็นภิกษุอยู่แขวงเมืองบัวชุม ข้าหลวงติดตามไปได้ตัวมาสึกแล้วให้ประหาร ชีวิตเสียท่ีหัวแตลงแกง พระมหาอุปราชให้แขกจามมาแทงภิกษุสองรูปอันอยู่ที่วัดฝาง น้ันตายเวลากลางคืน”๘๗ ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม บ้านเมืองอยู่ในช่วงผลัดเปล่ียนแผ่นดิน ผู้มีส่วนเก่ียวข้องแม้จะหนีไปบวชเป็น ภกิ ษุกไ็ มอ่ าจพ้นภยั ถูกจับสึกน�ำไปประหารชวี ิตกม็ ี ถกู ลอบฆา่ ทั้งยังครองผ้าเหลืองก็มี ๔.๑๑.๗ ศรีลังกาส่งทูตมาขอพระภิกษุไปสืบพระศาสนา ศรีลังกาไม่มีพระสงฆ์ มีเพียงสามเณรรูปเดียว พระเจ้ากิตติศิริราชสีห์จึงได้ แต่งทูตมาขอพระภิกษุสงฆ์ไปให้การอุปสมบทแก่กุลบุตรชาวลังกา ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังนี้ “ลุศักราช ๑๑๑๕ ปีรกาเบญจศก ฝ่ายพระเจ้ากิตติศิริราชสีห์ได้เสวยสมบัติ ในเมืองสิงขัณฑนคร เป็นอิศราธิบดีในลังกาทวีป และครั้งนั้นพระพุทธศาสนาในเกาะ ลังกาหาพระภิกษุสงฆ์มิได้ จึงแต่งให้ ศิริวัฒนอ�ำมาตย์เป็นราชทูต กับอุปทูตตรีทูตจ�ำ ทูลพระราชสาสน คุมเครื่องมงคลราชบรรณาการมีพระบรมสารีกธาตุเป็นอาทิมากับ ก�ำปั่นลันขาพิชวิลันดา เข้ามาเจริญทางพระราชไมตรี ณ กรุงเทพมหานคร จะขอ พระภิกษุสงฆ์ออกไปให้อุปสมบทแก่กุลบุตรสืบพระพุทธศาสนาในลังกาทวีป”๘๘ ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม โปรดให้พระอุบาฬี พระอริยมุนี และพระสงฆ์อันดับอีก ๑๒ รูป ไปตามค�ำขอ ของทูตศรีลังกา ๔.๑๑.๘ โปรดให้นิมนต์พระผู้ทรงกรรมฐานมาห้ามฝน สมัยศรีอยุธยา มีพระผู้ทรงกสิณ อาศัยกัมมัฏฐานท่ีได้ฝึกฝนมาอย่างช�ำนาญ จนสามารถห้ามฝนได้
ยุคกู้อิสรภาพถึงการเสียกรุงครั้งที่ ๒ 127 ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังน้ี “สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชด�ำเนินไปฉลองวัดนางค�ำ ครั้งน้ันฝน ตกชุกหนัก จึงมีพระราชด�ำรัสให้สังฆการีธรรมการไปนิมนต์พระอาจารย์วัดพันทาบ แขวงเมืองวิเศษไชยชาญลงมา ให้เข้าสมาธิห้ามฝน”๘๙ ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม หลักฐานระบุว่า ได้พระญาณรักขิตวัดสังกทานเป็นผู้ด�ำเนินการห้ามฝนแทน โดยใช้วาโยกสินช่วยพัดเมฆฝนออกไป ๔.๑๑.๘ มพี ระราชโองการใหก้ รมขนุ อนรุ กั ษม์ นตรไี ปบวชอยวู่ ดั ลมดุ ปากจั่น เม่ือพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศมีพระราชประสงค์ยกเศวตฉัตรให้แก่กรมขุนพินิจ ทรงเกรงว่า อันตรายจะพึงเกิดแก่กรมขุนอนุรักษ์มนตรี จึงได้มีรับส่ังให้กรมขุนอนุรักษ์ มนตรีลาเพศภิกษุเสีย ท้ังนี้เพื่อหลบภัย และจะได้ไม่เป็นอันตราย หรือท�ำให้การจัดการ แตกประเด็นเพ่ิมขึ้นเรื่อย ๆ ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังน้ี “จึงมีพระราชโองการตรัศว่า กรมขุนอนุรักษ์มนตรีน้ันโฉดเขลา หาสติปัญญา แลความเพียรมิได้ ถ้าจะให้ด�ำรงถานาศักดิ์มหาอุปราชส�ำเร็จราชกิจก่ึงหน่ึงนั้น บ้าน เมืองก็จะเกิดไภยพิบัติฉิบหายเสีย เห็นแต่กรมขุนพรพินิต กอปรด้วยสติปัญญา เฉลียวฉลาดหลักแหลม สมควรจะด�ำรงเสวตรฉัตรครองสมบัติรักษาแผ่นดินสืบไปได้ เหมือนดังค�ำปฤกษาท้าวพระยามุขมนตรีท้ังปวง จึงด�ำรัศส่ังให้เจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์ มนตรีว่า จงไปบวชเสียอย่าให้กีดขวาง”๙๐ ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม กรมขุนอนุรักษ์มนตรีจ�ำพระทัยต้องทูลลาผนวช ด้วยเกรงพระราชอาญา แสดงให้เห็นว่า ผ้ากาสาวพัตร์ถูกน�ำมาใช้เป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง ในบ้านเมืองด้วย
128 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ๔.๑๑.๙ ทรงถวายช้างเป็นพุทธบูชา พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ได้ถวายพระบรมจักรฬาฬหัตถี ซึ่งเป็นช้างต้น เพื่อ เป็นพุทธบูชาแด่พระพุทธบาท แสดงถึงพระราชศรัทธาของพระองค์ในพระพุทธบาท อย่างแน่นแฟ้น ขณะเดียวกันก็เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงน�้ำพระทัยอันประกอบด้วย เมตตาของพระองค์ที่มีต่อสรรพสัตว์ ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังน้ี “กรมหมื่นจิตรสุนทรกราบทูลพระกรุณาว่า ช้างต้นพระบรมจักรพาฬหัตถีน้ัน งายาวออก ให้จ�ำเริญเข้าไปเกือบถึงไส้งาอยู่แล้ว เกรงจะล้มเสีย จึงด�ำรัสว่า เราจะ เอาไปถวายพระพุทธบาทแล้วปล่อยไปป่า” ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม คร้ังแรกที่พบหลักฐานว่ามีการน�ำสัตว์มงคลไปถวายเป็นพุทธบูชา แล้วน�ำไป ปลอ่ ยเขา้ ปา่ คนื แตช่ า้ งหาเขา้ ปา่ ไม่ กลบั เขา้ เมอื งลพบรุ ี จงึ โปรดใหร้ บั มายงั พระนครคนื ๔.๑๑.๑๐ กรมพระราชวังบวรฯ สละราชสมบัติให้พระเชษฐาธิราช แล้วผนวชอยู่วัดประดู่ เสนาอำ� มาตยท์ งั้ หลายประชมุ พรอ้ มใจกนั ยกราชสมบตั ถิ วายแดก่ รมพระราชวงั บวร แต่พระเชษฐาซึ่งร่วมอุทรเดียวกัน และมีความปรารถนาในราชสมบัติ ได้เสด็จไป ประทับบนพระที่นั่งสุริยามินทร์ พระเจ้าแผ่นดินไม่ทราบว่าจะท�ำประการใด จึงยกราช สมบัติให้พระเชษฐา ส่วนพระองค์ก็เสด็จออกผนวช เพื่อเป็นการแก้ปัญหา ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังนี้ “ครั้นถึง ณ วันแรมค่�ำหน่ึงเดือนเจ็ด จึงเสด็จพระราชด�ำเนินไปเฝ้าสมเด็จ พระบรมเชษฐาธิราช กราบทูลถวายราชสมบัติแล้วก็ถวายบังคมลาจะออกผนวช”๙๑
ยุคกู้อิสรภาพถึงการเสียกรุงครั้งที่ ๒ 129 ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม การเสด็จออกผนวชของพระเจ้าแผ่นดินในครั้งน้ี ถือเป็นการแก้ปัญหาของ บ้านเมืองได้ระดับหน่ึง อย่างน้อยท่ีสุดก็ไม่ก่อให้เกิดการจลาจลนองเลือด ต้องห�้ำห่ัน กันเองระหว่างพ่ีกับน้อง ซึ่งสายเลือดเดียวกัน สรุป ในรัชกาลสมเด็จพระบรมโกศ มีบันทึกเรื่องราวเกี่ยวข้องกับพระพุทธ ศาสนา ๒๑ เรื่อง ได้แก่ การพิธีศพเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ ๒ เร่ือง, การเสด็จ พระราชด�ำเนินไปบ�ำเพ็ญพระราชกุศล, การบวชหนี หรือหลบภัยจากบ้านเมือง ๔ เรื่อง, การเสด็จพระราชด�ำเนินไปนมัสการพระพุทธบาท แผ่ทองค�ำร่อนเป็นประธาน กล้องปิดมณฑปพระพุทธบาท สมโภชพระพุทธบาท สมโภชวัดป่าโมก รวม ๔ เรื่อง, การปฏิสังขรณ์ภูเขาทอง ปฏิสังขรณ์วัดพระศรีสรรเพชญ์ ปฏิสังขรณ์มณฑปวัดสุมงคล บพิตร ๓ เรื่อง, เสด็จพระราชด�ำเนินไปนมัสการพระชินราช พระชินสีห์ พระพุทธ ไสยาสน์วัดจักรี วัดอินท์ประมูล ๒ เรื่อง, พระมหาธาตุวัดวรโพธ์ิถูกพายุพัดหัก, พระราชาคณะไปเกลี้ยงกล่อมเจ้าสามกรมให้สมานฉันท์, ศรีลังกาส่งทูตมาของภิกษุไป สืบศาสนา, การนิมนต์พระผู้ทรงกัมมัฏฐานไปห้ามฝน, และการถวายช้างเป็นพุทธบูชา ๔.๑๒ รัชกาลสมเด็จพระท่ีนั่งสุริยาศน์อมรินทร์ (พระเจ้าเอกทัศ) สมเด็จพระที่น่ังสุริยาศน์อมรินทร์ (พระเจ้าเอกทัศ) มีพระนามตามพระ สุพรรณบัฏว่า สมเด็จพระบรมราชาท่ี ๓ เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว บรมโกศ เป็นกษัตริย์องค์ที่ ๓๓ และถือเป็นองค์สุดท้ายแห่งกรุงศรีอยุธยา ทรงด�ำรง อยู่ในสิริราชสมบัติระหว่าง พ.ศ.๒๓๐๒-พ.ศ.๒๓๑๐ รวมระยะเวลา ๙ ปี ระหว่าง น้ีมีเหตุการณ์เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาดังรายละเอียดตามล�ำดับต่อไปน้ี ๔.๑๒.๑ ส่งพระไปผลัดเปลี่ยนกับคณะเดิมท่ีส่งไปคร้ังรัชสมัยของ พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ การสง่ กรมหมน่ื เทพพพิ ธิ ออกไปพรอ้ มคณะทตู ครง้ั นี้ มลี กั ษณะเปน็ การเนรเทศ เนื่องจากทรงเห็นว่า ถ้ากรมหมื่นเทพพิพิธยังอยู่ที่ศรีอยุธยา ก็จะเป็นที่หวาดแวงเร่ือง การชิงราชสมบัติ ด้วยขณะนั้นกรมหมื่นพิพิธพร้อมด้วยขุนนางส่ีคนได้วางแผนจะยึด อ�ำนาจมาถวายคืนแด่พระเจ้าแผ่นดินซึ่งผนวชอยู่ แต่ความร่ัวไหลก่อน
130 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังน้ี “ขณะนั้น ให้ส่งกรมหมื่นเทพพิพิธออกไป ณ เกาะลังกาทวีป”๙๒ ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม พระสงฆ์ที่ถูกส่งไปศรีลังกาเที่ยวน้ี ประกอบด้วย พระวิสุทธาจารย์ พระ วรญาณมุนี และพระสงฆ์อันดับอีก ๓ รูป ๔.๑๒.๒ สมเด็จพระอนุชาธิราชลาผนวชมาช่วยบ้านเมืองยามเกิด ศึกสงคราม น้�ำพระทัยของสมเด็จพระอนุชา แม้จะทรงผนวชอยู่ แต่เม่ือเห็นว่าบ้านเมือง ก�ำลังจะมีภัยจากพม่า ก็เสียสละพระองค์ ยอมลาสิกขามาช่วยบัญการรบ ป้องกัน ทัพใหญ่จากพม่าท่ียกมาเพ่ือตีกรุงศรีอยุธยา ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังน้ี “ขณะน้ัน สมเด็จพระอนุชาธิราชลาพระผนวชออกว่าราชการแผ่นดิน ให้ถอด เจา้ พระยาอภยั ราชา พระยายมราช พระยาเพชรบรุ อี อกจากสงั ขลกิ แลว้ ดำ� รสั ใหเ้ กณฑ์ พลทหารข้ึนรักษาหน้าที่เชิงเทินรอบพระนคร” ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม (๑) ขุนนางและอาณาประชาราษฎร์ได้ชวนกันกราบทูลวิงวอนพระ เจ้าอยู่หัววัดประดู่ลาผนวชมาช่วยบ้านเมือง (๒) ไทยรบพม่าว่า พระเจ้าเอกทัศไปเชิญ ๔.๑๒.๓ พระอนุชาเสด็จออกผนวชอีกคร้ัง พระอนุชาเมื่อลาสิกขาออกมาช่วยรบสู้ข้าศึกจนได้รับชัยแล้ว กลับมาถึง พระราชวัง เห็นพระเชษฐาแสดงอาการเป็นนัยยะว่าไม่ต้องการให้ครองเพศฆราวาส เพราะจะเป็นท่ีหวาดระแวง เนื่องจากพระอนุชานั้นมีสติปัญญาบารมี เป็นท่ีชื่นชม มากกว่า
ยุคกู้อิสรภาพถึงการเสียกรุงครั้งที่ ๒ 131 ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังนี้ “ฝ่ายข้างกรุงเทพมหานครน้ัน ให้ขุดได้กระสุนปืน ๓-๔ นิ้ว ณ ท่ีค่ายหลวง พระเจ้าอังวะนั้น ๔๐ กระบอก แล้วเสด็จพระราชด�ำเนินข้ึนเฝ้าสมเด็จพระเชษฐาธิราช ณ พระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์เนือง ๆ อน่ึงให้สึกพระองค์แมงเม่าออกจากชี น�ำมา ถวายเป็นบาทบริจาแห่งพระเชษฐาธิราช ครั้นเดือน ๘ ข้างข้ึน ก็เสด็จพระราชด�ำเนินออกไป ณ วัดโพธ์ิทองค�ำหยาด ทรงผนวชแล้วกับเข้ามาวัดประดู่”๙๓ ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม มูลเหตุต้องออกผนวชอีกคร้ังเนื่องจากตอนเข้าเฝ้า พระเชษฐาถอดพระแสง พาดพระเพลา ก็เข้าพระทัยว่าทรงรังเกียจจะท�ำร้าย มิให้อยู่ในเพศฆราวาสอีกต่อไป ๔.๑๒.๔ เสด็จนมัสการพระฉายท่ีเขาปัถวี และพระพุทธบาท คำ� ใหก้ ารชาวกรงุ เกา่ ไดพ้ รรณนาถงึ เขาปถั ววี า่ “อยทู่ างทศิ เหนอื พระพทุ ธบาท ทเี่ ขาสวุ รรณบรรพต ขา้ มฟากแมน่ ำ�้ ไป ระยะทางหา่ งวนั หนง่ึ มเี พงิ เขาแหง่ หนงึ่ เหมอื น อย่างพังพานพระยานาค สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธองค์ได้เสด็จมาอาศัย บังฝนอยู่ท่ีเพิงเขาแห่งน้ี ซ่ึงที่พระพุทธองค์ได้ประทับอาศัยน้ัน มีรอยพระพุทธฉายบ่าย พระพกั ตรอ์ อกมาทางขา้ งหนา้ ตดิ อยยู่ งั กระเพงิ ผานนั้ โดยอำ� นาจพระพทุ ธปาฏหิ ารยิ ”์ ๙๔ สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ (พระเจ้าเอกทัศ) เสด็จนมัสการพระฉาย และพระพุทธบาท เป็นระยะเวลา ๓ วัน ก่อนเสด็จกลับยังเมืองหลวง ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังนี้ “ครั้นเดือนอ้าย เสด็จข้ึนนมัสการพระฉาย แรมอยู่ ๓ เวน แล้วเสด็จกลับ ลงมาสมโภชพระพุทธบาท ๗ วัน จึงด�ำเนินกลับยังกรุงเทพมหานคร”๙๕
132 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม ค�ำให้การชาวกรุงเก่าระบุว่า ฤดูนมัสการพระพุทธฉายนี้ ก�ำหนดเดือน ๔ ของทุกปี มีพระมหากษัตริย์และเสนาอ�ำมาตย์ ราษฎร ชาวบ้านชาวเมือง ไปนมัสการ กราบไหว้ และมีการมหรสพสมโภชเป็นงานประจ�ำปีเสมอมิได้ขาด๙๖ ๔.๑๒.๕ ชาวบางระจันรวมตัวกันต่อสู้กับพม่าโดยมีพระอาจารย์ ธรรมโชติเป็นแกนน�ำ ช่วงเดือน ๓ ปีวอก ฉศก พระเจ้ากรุงอังวะให้มังมหานรธา พร้อมทัพใหญ่ เข้ามาตีเมืองทวาย เมืองตะนาวศรี เมืองมะริด เม่ือยึดเมืองเหล่านี้ได้หมดแล้วก็ ปรารถนาจะเข้าตีกรุงศรีอยุธยา จึงได้ยกพลเดินหน้าต่อเข้าตีเมืองเพชรบุรี ราชบุรี กาญจนบุรี พิษณุโลก พิจิตร โดยล�ำดับ เมืองอื่น ๆ ที่เหลือก็เริ่มหาทางป้องกัน และต้านก�ำลังของพม่า จึงได้ถอยมาต้ังหลัก และอาศัยพระอาจารย์ธรรมโชติ ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังนี้ “ขณะนั้นพระอาจารย์วัดเขานางบวชมาอยู่ ณ วัดบ้านระจัน ชาวบ้านแขวง เมืองวิเศษชัยชาญ เมืองสุพรรณบุรี เมืองสิงห์บุรี เมืองสรรคบุรี อพยพหนีเข้ามาพ่ึง พระอาจารย์นั้นเป็นอันมาก ฝ่ายพม่าไปเกลี้ยกล่อม ชาวค่ายบ้านระจันแต่งกันลงมา ฆ่าพม่าตายเสียกลางทางเป็นอันมาก พม่าจึงแบ่งกันทุกค่ายยกข้ึนจะไปรบ ฝ่ายชาว บ้านระจันยกออกไปตั้งอยู่นอกค่าย พอพม่ายกมาก็ขับกันออกไล่ตะลุมบอนฟันแทง พม่าล้มตายเป็นอันมาก”๙๗ ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม ความจากพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาระบุดังนี้ “ครั้น ณ เดือนสามปี รกาสับดศก พวกชาวเมืองวิเศษไชยชาญ และเมือง สิงคบุรี เมืองสวรรคบุรีเข้าเกล้ียกล่อมพม่า พม่าเร่งเอาทรัพย์เงินทองและบุตรหญิง จึงชวนกันลวงพม่าว่าจะให้บุตรหญิงแลเงินทอง แล้วคิดกันจะสู้รบพม่า บอกกล่าว ชักชวนกันทุก ๆ บ้าน แลนายแท่น ๑ นายโช ๑ นายอิน ๑ นายเมือง ๑ ชาวบ้าน สีบัวทองแขวงเมืองสิงค์ นายดอกชาวบ้านตรับ นายทองแก้วชาวบ้านโพทเล คน
ยุคกู้อิสรภาพถึงการเสียกรุงครั้งที่ ๒ 133 เหล่านี้มีสมัครพรรคพวกมาก เข้าเกล้ียงกล่อมพม่าซ่ึงยกทัพมาทางเมืองอุไทยธานี ครั้นพม่าตักเตือนเร่งรัดจะให้ส่งบุตรหญิง จึงให้นายโชคุมพรรคพวกเข้าฆ่าพม่าตาย ๒๐ เศษ แล้วพากันหนีมาหาพระอาจารย์ธรรมโชตวัดเขานางบวชมีความรู้วิชาการดี มาอยู่วัดโพธ์ิเก้าต้นในบางระจัน เอาเป็นท่ีพึ่ง”๙๘ ๔.๑๒.๖ เพลิงลุกไหม้ และได้เผาท�ำลายวัดวาอารามหลายแห่ง ชว่ งเหตกุ ารณป์ ระวตั ศิ าสตรต์ อนนถี้ อื เปน็ ชว่ งทปี่ ระเทศชาตไิ ดร้ บั ความเสยี หาย อย่างหนักจากการศึก เพราะพม่าได้เผาท�ำลายวัดวาอารามต่าง ๆ ขณะเดียวกันก็มีผู้ คอยอาศัยช่องดังกล่าว ซ้�ำเติมแสวงผลประโยชน์ใส่ตัว ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังนี้ “คร้ันถึงเดือนยี่ ปีจออัฐศก เพลาค่�ำ เกิดเพลิงข้ึน ณ ท่าทราย ไหม้ลามมา สะพานช้าง ข้ามมาติดป่ามะพร้าว ป่าโทน ป่าถ่าน ป่าทอง ป่าหญ้า จนวัดราชบูรณะ วัดพระมหาธาตุ เพลิงไปหยุดท่ีวัดฉัททันต์” “อนึ่ง จีนค่ายคลองสวนพลู ๔๐๐ เศษ ชวนกันขึ้นไปท�ำลายพระพุทธบาท เลิกเอาเงินดาดพื้น ทองหุ้มพระมณฑปน้อยลงส้ิน”๙๙ ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม ช่วงจังหวะสงครามกับพม่า ก็มีกลุ่มจีนฉวยโอกาสหาประโยชน์ด้วยการขโมย ของมีค่าตามวัดต่าง ๆ ๔.๑๒.๗ เสียกรุงศรีอยุธยาให้แก่พม่าเป็นครั้งที่ ๒ ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังน้ี “คร้ัน ณ วันอังคาร เดือน ๕ ขึ้น ๙ ค่�ำ ปีกุนนพศก (จ.ศ.๑๑๒๙ พ.ศ.๒๓๑๐) เพลาบ่าย ๔ โมง พม่ายิงปืนป้อมสูงวัดการ้อง วัดแม่นางปลื้ม ระดม เข้ามาในกรุง แล้วเพลิงจุดเชื้อท่ีรากก�ำแพง คร้ันเพลาค่�ำ ก�ำแพงทรุดลงหน่อยหนึ่ง พม่าก็เข้ากรุงได้ เข้าเผาพระราชวังและวัดพระศรีสรรเพชญ์ แล้วกวาดเอากษัตริย์
134 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ขัตติยวงศ์และท้ายพระยาเสนาบดี อพยพครอบครัวทั้งปวงไป แต่พระเจ้าแผ่นดินน้ัน หนีออกจากพระนครแต่พระองค์เดียวได้รับความล�ำบาก ก็ถึงซ่ึงพิราลัยไปสู่ปรโลก ชนทั้งปวงจึงเอาศพมาฝังไว้”๑๐๐ ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม การเสียกรุงศรีอยุธยาคร้ังนี้ ไทยได้รับความบอบช�้ำมาก เพราะพม่าได้เผา ท�ำลายพระราชวัง วัดวาอารามต่าง ๆ เสียหายเป็นจ�ำนวนมาก ๔.๑๒.๘ สืบพระพุทธศาสนาที่ศรีลังกา พระสงฆ์ท่ีเดินทางไปสืบพระพุทธศาสนาที่ศรีลังกาได้รับการต้อนรับจาก ศรีลังกา ได้ปฏิบัติหน้าท่ีบวชชาวศรีลังเป็นจ�ำนวนมาก อยู่ได้ประมาณปีกว่าก็เดินทาง กลับมายังกรุงศรีอยุธยา คงเหลือไว้แต่พระอุบาลีเท่าน้ัน ก. หลักฐานจากพงศาวดาร ระบุดังน้ี “ฝ่ายปั่นข้างหลวง ณ กรุงเทพมหานครซ่ึงออกไปลังกาทวีปน้ัน คร้ันถึงก็น�ำ พระสงฆแ์ ละเจา้ กรมหมนื่ เทพพพิ ิธข้ึนไป ณ เมอื งสงิ ขัณฑนคร เขา้ เฝ้าพระเจ้าลังกา ๆ ได้ทราบว่าเป็นขัติยวงษ์ในสยามประเทศก็ต้อนรับเลี้ยงดูอยู่เป็นศุข และเมื่องพระอุบาฬี พระอริยมุนี พระสงฆ์ออกไปคร้ังก่อนน้ัน พระเจ้าลังกาให้อยู่ในวัดบุบผาราม ได้บวช กุลบุตรชาวสิงหฬเป็นภิกษุถึงเจ็ดร้อย สามเณรพันเศษ พระสงฆ์ซึ่งออกไปคร้ังหลังนี้ ได้บวชชาวสิงหฬเป็นภิกษุอีกสามร้อย สามเณรเจ็ดร้อย อยู่ได้ปีเศษพระอริยมุนีซ่ึงไป ครั้งก่อนกับพระวิสุทธาจารย์ พระวรญาณมุนี ก็ถวายพระพรลาพระเจ้าลังกากลับมา กับข้าหลวง แต่พระอุบาฬีน้ันมิได้มา๑๐๑ ข. ข้อสังเกตเพ่ิมเติม มีการส่งพระสงฆ์ไปสืบพระพุทธศาสนาท่ีประเทศศรีลังกา ๒ ครั้ง ครั้งแรก โดยการน�ำของพระอุบาลี คร้ังหลัง โดยการน�ำของพระวิสุทธาจารย์ สรุป ในรัชกาลสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ (พระเจ้าเอกทัศ) มีบันทึก เรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ๗ เร่ือง ได้แก่ การส่งสมณทูตไปผลัดเปลี่ยนกับ คณะเดิมที่เดินทางไปก่อนหน้า, สมเด็จพระอนุชาธิราชลาผนวชมาช่วยบ้านเมือง,
ยุคกู้อิสรภาพถึงการเสียกรุงคร้ังที่ ๒ 135 สมเด็จพระอนุชาธิราชออกผนวชอีกคร้ังท่ี ๒, การเสด็จพระราชด�ำเนินไปนมัสการ พระฉายที่เขาปถวี และเสด็จนมัสการพระพุทธบาท, พระอาจารย์ธรรมโชติชักชวนชาว บ้านบางระจันต้านทัพพม่า, พม่าเผาวัดเสียหาย, และสมณะทูตท่ีเดินทางไปศรีลังกา เดินทางกลับประเทศไทย ๔.๑๓ สรุปท้ายบท จากการสืบค้นพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาช่วงระหว่างปี พ.ศ.๒๑๒๑-๒๓๑๐. ระยะเวลาในการปกครองบ้านเมืองของกษัตริย์แต่ละพระองค์ สั้นบ้าง ยาวบ้าง ไม่เท่ากัน ในระว่างนี้พบว่า มีบันทึกเรื่องราวเก่ียวกับพระพุทธศาสนา จ�ำนวนท้ังส้ิน ๑๓ พระองค์ เขียนตารางสรุปล�ำดับเฉพาะเหตุการณ์ส�ำคัญ ๆ ดังน้ี รัชกาล พุทธศักราช ล�ำดับเหตุการณ์ ๒๑๒๙ พระสารีริกธาตุแสดงปาฏิหาริย์ให้สมเด็จ สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช ๒๑๓๔ พระนเรศวรทอดพระเนตรเห็น สมเด็จพระเอกาทศรฐ สมเด็จพระเอกาทศรฐ เสด็จเมืองพิษณุโลก ปิดทอง ๒๑๓๕ พระพุทธชินราช โปรดให้มีการมหรสพฉลอง ๗ วัน ๒๑๓๕ ๗ คืน ๒๑๓๖ เสด็จพร้อมด้วยสมเด็จพระเอกาทศรฐ นมัสการพระพุทธสิหิงค์ท่ีเชียงใหม่ ๒๑๓๗ สมเด็จพระพนรัตน์วัดป่าแก้ว พร้อมพระราชาคณะ ๒๕ รูป บิณฑบาตชีวิตทหาร (ฉบับหลวงประเสริฐ) ๑. สร้างวัดวรเชษฐาราม เพื่อถวายเป็นอนุสรณ์แด่ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ๒. สร้างพระไตรปิฎกบาลี อรรถกถา คัมภีร์วิวรณ์ และสร้างหอธรรมอุทิศแด่สงฆ์ สร้างพระพุทธรูปฉลองพระองค์ ๕ พระองค์บุด้วย ทองนพคุณทรงเคร่ือง พร้อมทั้งโปรดให้มีการฉลอง มหรสพ ๗ วัน ๗ คืน
136 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระศรีเสาวภาค ๒๑๔๕ ๑. พระศรสี นิ บวชอยวู่ ดั ระฆงั เชย่ี วชาญพระไตรปฎิ ก พระเจ้าทรงธรรม ด�ำรงสมณศักดิ์ที่ “พระพิมลธรรม” พระเจ้าทรงธรรม ๒๑๔๖ ๒. พระพิมลธรรม ซุ่มก�ำลัง และก่อการกบฏ พระเจ้าปราสาททอง ๒๑๔๙ จับพระเจ้าแผ่นดินส�ำเร็จโทษ สถาปนาตนเอง ๒๑๗๐ เป็นกษัตริย์ ทรงพระนามว่า พระเจ้าทรงธรรม สมเด็จพระนารายณ์ ๒๑๗๓ ย้ายพระมงคลบพิตรจากฝั่งตะวันออก มาไว้ฝั่ง สมเด็จพระเพทราชา ๒๑๗๔ ตะวันตก และโปรดให้ก่อมณฑปประดิษฐานเอาไว้ พระเจ้าเสือ ๒๑๗๕ พรานบุญพบรอยพระพุทธบาทท่ีสระบุรี ๒๑๗๖ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้แต่งมหาชาติค�ำหลวง และสร้างพระไตรปิฎก ๒๑๘๑ ๑. สถาปนาพระมหาธาตุเจดีย์ ๒๑๙๙ ๒. สถาปนาวัดไชยวัฒนาราม ๒๒๐๑ สถาปนาวดั พระศรสี รรเพชญ์ และโปรดใหม้ กี ารฉลอง มีการมหรสพ ๒๒๓๒ สร้างพระอารามเคียงพระราชนิเวศน์ ให้นามว่า ๒๒๓๗ วัดชุมพลนิกายาราม ๒๒๔๖ ๑. ให้สถาปนาพระปรางค์วัดมหาธาตุซึ่งพังลง ๒๒๕๐ ซ่อมแซมใหม่ ๒. เสด็จเวียนเทียนเนื่องในวันอาสาฬหบูชา ณ วัดสรรเพชญ์ ประกอบพธิ ลี บศกั ราช ทรงทำ� บญุ ใหญ่ ถวายสตสดก มหาทาน โปรดให้หล่อรูปเคารพทางศาสนาพราหมณ์-ฮินดู, โปรดให้หล่อพระปฏิมาถวายพระนามว่า สมเด็จ พระบรมไตรโลกนาถ และพระบรมตรีภาพนาถ ปาง ห้ามสมุทร เป็นพระพุทธรูปทรงเคร่ืองตามคติ มหายาน สถาปนาวัดบรมพุทธาวาส สถาปนาวัดพระยาแมน วัดนี้เคยเป็นท่ีประทับของ สมเด็จพระเพทราชา เมื่อครั้งทรงผนวช ฟ้าผ่ายอดมณฑปพระวิหารสุมงคลบพิตร ไหม้เครื่อง บนตกลงมาถูกเศียรพระหัก โปรดให้มีพิธีสมโภชพระพุทธบาท และเสด็จ พระราชด�ำเนินไปนมัสการ ทรงร�ำพระแสงถวายเป็น พุทธบูชา
ยุคกู้อิสรภาพถึงการเสียกรุงคร้ังที่ ๒ 137 พระเจ้าท้ายสระ ๒๒๕๔ กรมพระราชวังบวรสถานมงคลปฏิสังขรณ์วัดกุฎีดาว ๒๒๖๔ และตรัสสั่งให้ต้ังพระต�ำหนักริมวัด สมเด็จพระบรมโกศ ๒๒๗๐ โปรดให้มีการฉลองวัดมเหยงค์ มีมหรสพ ๓ วัน สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร ๒๒๗๗ ยา้ ยพระพทุ ธไสยาสนว์ ดั ปา่ โมกขใ์ หพ้ น้ จากนำ�้ รมิ ตลง่ิ สมเด็จพระที่น่ังสุริยาศน์ ๒๒๘๑ กัดเซาะ แล้วท�ำการสมโภช ๓ วัน อมรินทร์ ๒๒๘๒ ฉลองวัดป่าโมกข์ ๒๒๘๔ ฉลองวัดหานตรา สมโภชพระพุทธบาท ๒๒๙๑ ๑. ปฏิสังขรณ์วัดพระศรีสรรเพชญ์ ๒๒๙๖ ๒. ปฏิสังขรณ์พระพุทธรูปพระสุมงคลบพิตรซ่ึง ๒๓๐๐ พระเศียรหัก ๒๓๐๑ ๓. ปฏิสังขรณ์วัดพระรามซ่ึงช�ำรุดทรุดโทรม ๒๓๐๒ ๔. ปฏิสังขรณ์เจดีย์และวัดภูเขาทอง ๒๓๐๓ มีพระราชศรัทธาให้น�ำทอง ๙๐ ชั่งแผ่ร่อนเป็น ๒๓๐๙ ประธากล้อง ปิดพระมณฑปพระพุทธบาท และให้แผ่ ๒๓๑๐ หุ้มตั้งแต่เหม และนาคลงมา ประเทศศรีลังกาทรงทูตมาขอพระภิกษุไปสืบ พระพุทธศาสนา ลมพัดพระมหาธาตุวัดวรโพธิหัก เสดจ็ ออกผนวชวดั เดมิ แลว้ ไปประทบั อยู่ ณ วดั ประดู่ ส่งกรมหมื่นเทพพิพิธไปประเทศศรีลังกา พม่ายกทัพมาประชิดเมือง พระอนุชาธิราชลาผนวช มาช่วยว่าราชการแผ่นดิน และน�ำทัพป้องกันทัพพม่า เสรจ็ ภารกจิ แลว้ กท็ รงผนวชใหม่ ประทบั อยทู่ วี่ ดั ประดู่ พระอาจารย์ธรรมโชติ วัดเขานางบวช เข้ามา ณ วดั บา้ นระจนั รวบรวมกำ� ลงั ชาวบา้ นตา้ นกองทพั พมา่ เสียกรุงศรีอยุธยาให้แก่พม่าเป็นคร้ังที่ ๒
138 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา เชิงอรรถ ๑ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม), หน้า ๒๔๒. ๒ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๒๔๓. ๓ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๑๔๕. ๔ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม), หน้า ๑๗๔. ๕ เร่ืองเดียวกัน, หน้า ๒๐๙. ๖ พระราชพงษาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ภาค ๑, หน้า ๑๕๑. ๗ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม), หน้า ๑๘๒. ๘ เร่ืองเดียวกัน, หน้า ๑๘๓. ๙ พระราชพงษาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ภาค ๑, หน้า ๑๖๐. ๑๐ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม), หน้า ๒๑๖-๒๑๗. ๑๑ พระราชพงษาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ภาค ๑, หน้า ๒๐๑. ๑๒ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม), หน้า ๒๔๐. ๑๓ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๒๕๒. ๑๔ เร่ืองเดียวกัน, หน้า ๒๕๘-๒๕๙. ๑๕ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๒๕๘-๒๖๑. ๑๖ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๒๖๒. ๑๗ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๒๖๓. ๑๘ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๒๖๓. ๑๙ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๒๖๔.
ยุคกู้อิสรภาพถึงการเสียกรุงครั้งที่ ๒ 139 ๒๐ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม), หน้า ๒๖๔. ๒๑ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับหลวงประเสริฐ, หน้า ๔๐๐. ๒๒ ปวัตร์ นวะมรัตน, อยุธยาท่ีไม่คุ้น, หน้า ๑๒๑. ๒๓ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม), หน้า ๒๖๕. ๒๔ เร่ืองเดียวกัน, หน้า ๒๖๗. ๒๕ พระราชพงษาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ภาค ๑, หน้า ๒๖๔. ๒๖ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม), หน้า ๒๗๑. ๒๗ กติ ติ โลเ่ พชรรตั น,์ มรดกอยธุ ยา, (กรงุ เทพฯ: สำ� นกั พมิ พก์ า้ วแรก, ๒๕๕๗), หนา้ ๔๒. ๒๘ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม), หน้า ๒๗๒. ๒๙ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระราชพงษาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ภาค ๒, หน้า ๒. ๓๐ กิตติ โล่เพชรรัตน์, มรดกอยุธยา, หน้า ๔๒. ๓๑ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม), หน้า ๒๗๒. ๓๒ เร่ืองเดียวกัน, หน้า ๒๗๓. ๓๓ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๒๗๔. ๓๔ เร่ืองเดียวกัน, หน้า ๒๗๗. ๓๕ เร่ืองเดียวกัน, หน้า ๒๗๔. ๓๖ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๒๗๖. ๓๗ เร่ืองเดียวกัน, หน้า ๒๗๘. ๓๘ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๒๗๙. ๓๙ เร่ืองเดียวกัน, หน้า ๒๘๐.
140 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ๔๐ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๒๘๒. ๔๑ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม), หน้า ๒๙๒. ๔๒ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๓๐๐. ๔๓ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม), หน้า ๓๐๒. ๔๔ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๓๐๓. ๔๕ เร่ืองเดียวกัน, หน้า ๓๐๓. ๔๖ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม), หน้า ๓๐๖. ๔๗ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๓๑๔. ๔๘ พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม ๒, หน้า ๔๖. ๔๙ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๖๑. ๕๐ พระราชพงษาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ภาค ๒, หน้า ๑๐๓. ๕๑ เร่ืองเดียวกัน, หน้า ๑๓๙. ๕๒ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม), หน้า ๓๑๙. ๕๓ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๓๒๑. ๕๔ พระราชพงษาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ภาค ๒, หน้า ๑๐๓. ๕๕ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม), หน้า ๓๑๙. ๕๖ เร่ืองเดียวกัน, หน้า ๓๔๓. ๕๗ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๓๒๔. ๕๘ เร่ืองเดียวกัน, หน้า ๓๒๔-๓๒๕. ๕๙ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๓๒๕. ๖๐ พระราชพงษาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ภาค ๒, หน้า ๑๗๕.
ยุคกู้อิสรภาพถึงการเสียกรุงคร้ังที่ ๒ 141 ๖๑ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม), หน้า ๓๔๔. ๖๒ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๓๔๔. ๖๓ พระราชพงษาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ภาค ๒, หน้า ๑๗๗. ๖๔ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม), หน้า ๓๔๗. ๖๕ เร่ืองเดียวกัน, หน้า ๓๔๘. ๖๖ เร่ืองเดียวกัน, หน้า ๓๕๑. ๖๗ เร่ืองเดียวกัน, หน้า ๓๔๘. ๖๘ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๓๔๘. ๖๙ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๓๕๐. ๗๐ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๓๕๐. ๗๑ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๓๕๑. ๗๒ เร่ืองเดียวกัน, หน้า ๓๕๒. ๗๓ เร่ืองเดียวกัน, หน้า ๓๕๖-๓๕๗. ๗๔ เร่ืองเดียวกัน, หน้า ๓๖๐-๓๖๑. ๗๕ เร่ืองเดียวกัน, หน้า ๓๕๖-๓๕๗. ๗๖ เร่ืองเดียวกัน, หน้า ๓๖๐-๓๖๑. ๗๗ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๓๖๐-๓๖๑. ๗๘ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๓๖๓. ๗๙ เร่ืองเดียวกัน, หน้า ๓๖๔. ๘๐ เร่ืองเดียวกัน, หน้า ๓๖๔.
142 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ๘๑ เร่ืองเดียวกัน, หน้า ๓๖๕. ๘๒ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนเสนาพิทักษ์ ๘๓ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม), หน้า ๓๕๙. ๘๔ พระราชพงษาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ภาค ๒, หน้า ๒๑๖. ๘๕ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม), หน้า ๓๖๘. ๘๖ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๓๖๙. ๘๗ พระราชพงษาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ภาค ๒, หน้า ๒๑๖. ๘๘ เร่ืองเดียวกัน, หน้า ๒๓๙. ๘๙ พระราชพงษาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ภาค ๒, หน้า ๒๔๑. ๙๐ เร่ืองเดียวกัน, หน้า ๒๔๕. ๙๑ พระราชพงษาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ภาค ๒, หน้า ๒๕๐, อนึ่ง กรมหม่ืนเทพ พิพิธก็กรงว่าจะเป็นอันตรายแกช่ ีวติ เน่ืองจากพระองคก์ เ็ ปน็ เจา้ นายผ้ใู หญ่ พระเจา้ แผน่ ดินจะเพ่งเล็งเหมือนเจ้าสามกรม จึงถวายบังคมลาผนวชอยู่ที่วัดกระโจม, ดูรายละเอียด หน้า ๒๕๑. ๙๒ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม), หน้า ๓๗๑. การส่งกรม หมื่นเทพพิพิธไปในคร้ังน้ี นัยหน่ึงเป็นการเนรเทศให้พ้นจากอ�ำนาจ เพราะเคยร่วมกับ พระยาอภัยราชา พระยายมราช พระยาเพชรบุรี หมื่นทิพเสนา นายจุ้ย นายแพงจัน คิดท�ำการก่อกบฎ ๙๓ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม), หน้า ๓๗๔. ๙๔ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา, ค�ำให้การชาวกรุงเก่า, หน้า ๖๐๘. ๙๕ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม), หน้า ๓๗๕. ๙๖ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา, ค�ำให้การชาวกรุงเก่า, หน้า ๖๐๘.
ยุคกู้อิสรภาพถึงการเสียกรุงครั้งที่ ๒ 143 ๙๗ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม), หน้า ๓๗๘. ๙๘ พระราชพงษาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ภาค ๒, หน้า ๒๘๓. ๙๙ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม), หน้า ๓๘๐. ๑๐๐ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๓๘๑. ๑๐๑ พระราชพงษาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ภาค ๒, หน้า ๒๗๒.
144 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา
บทบาทและความสัมพันธ์ของพระพุทธศาสนาต่อสังคม 145 ๕ บทบาทและความสัมพันธข์ อง พระพทุ ธศาสนาต่อสังคม
วิเคราะห์บทบาทและความสัมพันธ์ของพระพุทธศาสนาต่อสังคม บทบาทและความสัมพันธ์ของพระพุทธศาสนาต่อสังคม ผู้ศึกษาวิเคราะห์ตาม องค์ประกอบของศาสนาอันได้แก่ ศาสนธรรม ศาสนบุคคล ศาสนพิธี และศาสนสถาน โดยอาศัยฐานข้อมูลจากบทท่ี ๒ ซึ่งได้ส�ำรวจพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาในแต่ละ รัชกาล ขณะเดียวกันก็อาศัยฐานข้อมูลจากบันทึกอ่ืน ๆ ที่เกี่ยวข้องประกอบเพื่อให้ เกิดความสมบูรณ์ยิ่งข้ึน อย่างไรก็ตามการวิเคราะห์ตามองค์ประกอบดังกล่าวข้างต้น มีลักษณะเป็น การเทียบเคียงแบบหลวม ๆ ไม่เคร่งครัดตามบทนิยามนัก เพราะไม่สามารถก�ำหนด เฉพาะตายตัวตามองค์ประกอบดังกล่าวข้างต้นได้ท้ังหมด ทั้งน้ีเพราะเน้ือหาใน พงศาวดารมีลักษณะเฉพาะเป็นของตนเอง ๕.๑ บทบาทและความสัมพันธ์ด้านศาสนธรรม ศาสนธรรมในที่น้ี หมายเอา ค�ำส่ังสอน คัมภีร์พระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา งานวรรณกรรมเก่ียวกับพระพุทธศาสนา ทั้งนี้รวมไปถึงการจัดการศึกษา ลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ซ่ึงส่งผลต่อท้ังสังคมสงฆ์ และสังคมทั่วไป ๕.๑.๑ วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา วรรณกรรมทางพระพทุ ธศาสนาในพงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยา มกี ลา่ วถงึ ๒ ครงั้ ได้แก่ ในรัชสมัยของสมเด็จพระเอกาทศรฐ ๑ ครั้ง ระบุถึงการสร้างพระไตรปิฎกท้ัง บาลี อรรถกถา คัณฐี และวิวรณ์ พร้อมท้ังโปรดเกล้าให้สร้างพระธรรมเพ่ือเป็นที่เก็บ
บทบาทและความสัมพันธ์ของพระพุทธศาสนาต่อสังคม 147 คัมภีร์ส�ำคัญเหล่าน้ีไว้ในวัดวรเชษฐาราม๑ และในรัชกาลสมเด็จพระบรมราชาที่ ๑ (พระเจ้าทรงธรรม) ๑ คร้ัง ข้อความระบุว่า “พ.ศ.๒๑๗๐ ทรงพระกรุณาให้แต่ง มหาชาติค�ำหลวง และสร้างพระไตรปิฎกจบบริบูรณ์”๒ นอกจากมหาชาติค�ำหลวงแล้ว ยังมีพระนิพนธ์อีกชั้นหนึ่งที่ถือว่าแต่งขึ้นใน สมัยกรุงศรีอยุธยาคือ พระมาลัยค�ำหลวง พระนิพนธ์ของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศ หรือเจ้า ฟ้ากุ้ง พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ได้เป็นพระมหาอุปราช แต่ ทิวงคตก่อนจึงไม่ได้รับการสถาปนาเป็นรัชทายาท๓ ในพระนิพนธ์เรื่อง ต�ำนานคณะสงฆ์ สมเด็จกรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ ทรงให้ข้อมูลเพ่ิมเติมว่า ประมาณ พ.ศ.๒๒๑๘ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ได้แต่ง ราโชวาทชาดกถวายสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และยังระบุอีกว่า เม่ือครั้งแผ่นดิน พระเพทราชา พระพุทธโฆษจารย์ก็ได้นิพนธ์หนังสืออรรถธรรมปฤศนาเพื่อถวายเป็น พระราชปุจฉา๔ ๕.๑.๒ การศึกษาพระพุทธศาสนา การศึกษาของสงฆ์ในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีครบทั้งฝ่ายคันถธุระ และฝ่าย วิปัสสนาธุระ ด้วยมีหลักฐานจากพงศาวดารในหลายรัชกาลมีเน้ือหาระบุถึงเช่นน้ัน เช่น ในรัชสมัยของสมเด็จพระเอกาทศรฐ (กษัตริย์องค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงศรีอยุธยา) ได้มีรับสั่งให้สร้างพระไตรปิฎก พระบาลี อรรถกถา ฎีกา คันฐี และวิวรณ์ บรรจุไว้ใน หอพระธรรมท่ีสร้างให้สร้างข้ึน๕ การได้จัดให้พระสงฆ์เล่าเรียนพระปริยัติธรรม ส่วน พระองคเ์ องกไ็ ดเ้ ลา่ เรยี นพระกมั มฏั ฐานมไิ ดข้ าด๖ ในรชั กาลสมเดจ็ ศรเี สาวภาค (กษตั รยิ ์ องค์ที่ ๒๐) มีข้อความระบุว่า พระศรีสินบวชอยู่วัดระฆัง รู้พระไตรปิฎกสัดทัด ได้สมณฐานันดรเป็นพระพิมลธรรม์อนันตปรีชา๗ แม้ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม (กษัตริย์องค์ที่ ๒๑) ทรงรอบรู้พระไตรปิฎกมาก ทรงพระราชศรัทธาให้พระสงฆ์มา เรียนหนังสือ ทรงบอกพระไตรปิฎกแก่พระภิกษุสามเณร ณ พระที่น่ังจอมทองสามหลัง เป็นประจ�ำ๘ ค�ำให้การชาวกรุงเก่าระบุว่า ทรงบริจาคพระราชทรัพย์สร้างวัดส�ำหรับ พระสงฆ์เล่าเรียนพระปริยัติธรรมข้ึนอีก ๒ วัด ได้แก่วัดพุทไธสวรรค์ และวัดรัตน มหาธาตุ๙ ในรัชกาลสมเด็จพระสรรเพ็ชที่ ๘ (กษัตริย์องค์ที่ ๒๙ แห่งกรุงศรีอยุธยา)
148 สืบพระพุทธศาสนาจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ระบุถึงตรัสน้อยได้ผนวช ทั้งมีสติปัญญามาก ประพฤติพรหมจรรย์เป็นอันดี และทรง เล่าเรียนพระปริยัติ พระไตรปิฎก และคัมภีร์เลขยันต์มนตรคาถาสรรพวิทยาคุณ ต่าง ๆ๑๐ หลักฐานในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ไม่พบรายละเอียดเกี่ยวกับการศึกษา บาลี หรอื เปรยี ญ แตส่ มเดจ็ กรมพระยาดำ� รงราชานภุ าพ ไดต้ ง้ั ขอ้ สงั เกตวา่ มหาเปรยี ญ มีมาแล้วตั้งแต่กรุงศรีอยุธยาแน่นอน ไม่ต้องสงสัย โดยให้เหตุผลว่า ในสมัยสมเด็จ พระนารายณ์ ทรงเล่ือมใสในพระพุทธศาสนามาก ทรงให้ความอุปถัมภ์ผู้ที่บวชเป็น พระภกิ ษุ สามเณรเปน็ อเนกประการ เปน็ เหตใุ หร้ าษฎรทต่ี อ้ งการเลยี่ งราชการบา้ นเมอื ง ไปบวชเป็นจ�ำนวนมาก จึงรับส่ังให้ออกหลวงสรศักด์ิ (พระเจ้าเสือ) มีการประชุมสงฆ์ สอบความรู้พระภิกษุสามเณร พระภิกษุคามวาสียอมทำ� ตาม แต่ฝ่ายอรัญญวาสีไม่ยอม ท�ำตาม ร้องว่าถ้าจะสอบความรู้กัน ก็ขอให้สังฆนายกฝ่ายอรัญญวาสีเป็นแม่กอง ในการสอบ๑๑ ข้อเท็จจริงเร่ืองนี้ สอดคล้องกับบันทึกของนิโกลาส์ แซรแวส ซ่ึงพรรณนา ถึงการศึกษาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ความตอนหน่ึงว่า “เม่ือจังหันแล้ว ภิกษุผู้เฉลียวฉลาดปราดเปร่ืองก็ใช้เวลาในระหว่างนั้น ศึกษาบาลี ซ่ึงเป็นภาษาท่ียกย่องกันมากในราชอาณาจักร และจ�ำเป็นแก่สมณภาพ อย่างยิ่ง อย่างน้อยที่สุดจะต้องอ่านออกและอธิบายความหมายได้เพื่อท่ีจะได้รับเล่ือน ขึ้นเป็นบาทหลวง (หมายถึงยศศักด์ิชั้นสูง ๆ จากพระภิกษุธรรมดา-ผู้วิจัย)......ภิกษุผู้ เฉลียวฉลาดรูปหนึ่งจะได้รับมอบหมายให้ๆ การศึกษาแก่บรรดาออกเณร เริ่มลงเรียน กันหลังอาหารเพล สามเณรทั้งหลายจะไปพร้อมกันที่โรงเรียน สอนให้รู้จักอ่านและ เขียนภาษาสยาม พงศาวดาร และขนบธรรมเนียมประเพณีของประเทศ พร้อมด้วย อักขระและไวยากรณ์ภาษาบาลี”๑๒ ความในบันทึกยังระบุถึงการออกพระราชก�ำหนดให้กวดขันส�ำหรับภิกษุผู้บวช มาแล้วไม่ศึกษาเล่าเรียน โดยทรงโปรดให้มีการสอบวัดคุณสมบัติ หากพระภิกษุรูปใด ไม่รู้หนังสือ ก็บังคับให้ลาสิกขาเพ่ือไปท�ำงานท่ีเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองต่อไป๑๓
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254