พมิ พเ์ ปน็ บรรณานุสรณเ์ น่ืองในงานพระราชทานเพลงิ ศพ พระราชมงคลโสภณ (ทรงยศ ชยยโส) ทป่ี รึกษาเจ้าคณะจงั หวัดนครสวรรค์ (ธรรมยตุ ) เจ้าอาวาสวดั แสงธรรมสทุ ธาราม อดตี ผชู้ ว่ ยเจา้ อาวาสวดั ราชบพธิ สถติ มหาสมี าราม ณ เมรุวัดมกฏุ กษตั รยิ าราม กรงุ เทพมหานคร วันพฤหัสบดี ท่ี ๒๙ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๓
พระราชมงคลโสภณ (ทรงยศ ชยยโส)
พระมหากรณุ าธคิ ุณ เมื่อพระราชมงคลโสภณ (ทรงยศ ชยยโส) ท่ีปรึกษา เจ้าคณะจงั หวดั นครสวรรค์ (ธรรมยตุ ) เจ้าอาวาสวดั แสงธรรม สุทธาราม และอดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิต มหาสีมาราม มรณภาพเนื่องจากภาวะหัวใจหยุดเต้น ณ โรงพยาบาลราชวิถี เมื่อวันอังคาร ที่ ๒๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๓ สมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานน้�ำหลวงสรงศพ พร้อมด้วย เคร่ืองเกียรติยศประกอบศพ ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทาน หบี ทองทบึ ประกอบศพ ณ อาคาร ๑๕๐ ปี วดั มกฏุ กษตั รยิ าราม เม่ือวันพฤหัสบดี ท่ี ๒๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๓ และทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานเพลิงศพ ก�ำหนด วันพฤหสั บดี ที่ ๒๙ ตลุ าคม พทุ ธศักราช ๒๕๖๓
พระมหากรุณาธิคุณที่พระราชทานมาน้ี เป็นที่ ประจักษ์ชัดแก่คณะสงฆ์จังหวัดนครสวรรค์ (ธรรมยุต) คณะสงฆ์วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม คณะสงฆ์วัด แสงธรรมสุทธาราม ตลอดจนศิษยานุศิษย์ น�ำให้เกิด สมานฉันท์ศรัทธาบ�ำเพ็ญกุศลถวายพระราชมงคลโสภณ (ทรงยศ ชยยโส) ตลอดเวลาทตี่ ้ังศพบ�ำเพ็ญกุศล คณะสงฆ์จังหวัดนครสวรรค์ (ธรรมยุต) คณะสงฆ์ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม และคณะสงฆ์วัดแสงธรรม สุทธาราม ขอถวายพระพรด้วยระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ในคร้ังน้ี ขออ�ำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยและพระราชกุศลธรรม จริยาในสมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้า พระบาท สมเด็จพระเจา้ อยูห่ ัว ผูท้ รงพระคุณอนั ประเสรฐิ จงประมวล เป็นตบะเดชะ บันดาลศุภอรรถวิบุลมนุญผลให้สรรพราช กรณียกิจอนั งดงามสมตามพระราชประสงค์ทกุ ประการ ขอถวายพระพร
พระกรณุ าคุณ เม่ือความทราบฝ่าพระบาทว่า พระราชมงคลโสภณ (ทรงยศ ชยยโส) ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ (ธรรมยุต) เจ้าอาวาสวัดแสงธรรมสุทธาราม และอดีต ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม มรณภาพ เนื่องจากภาวะหัวใจหยุดเต้น ณ โรงพยาบาลราชวิถี เมื่อ วนั องั คาร ที่ ๒๑ กรกฎาคม พทุ ธศักราช ๒๕๖๓ เจา้ พระคณุ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกล มหาสังฆปริณายก โปรดประทานพระอนุเคราะห์การบำ� เพ็ญ กุศลศพโดยตลอด ทรงพระกรุณาเสด็จไปในการสวด พระอภิธรรมศพ และทรงเป็นประธานในพิธีบรรจุศพ ณ อาคาร ๑๕๐ ปี วดั มกุฎกษตั รยิ าราม เม่อื วันพฤหัสบดี ท่ี ๓๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๓ เมื่อถึงอวสานกาลแห่งการ บำ� เพญ็ กศุ ลศพ ทรงรบั อาราธนาไปในการพระราชทานเพลงิ ศพ ณ เมรุวดั มกฏุ กษัตริยาราม ในวันพฤหัสบดี ท่ี ๒๙ ตลุ าคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๓
พระกรุณาคุณท่ีประทานมานี้ เป็นท่ีประจักษ์ชัดใน น�้ำพระทัยอันบริสุทธิ์ที่มีต่อพระราชมงคลโสภณ (ทรงยศ ชยยโส) ซ่ึงได้สนองงานปกครองคณะสงฆ์จังหวัดนครสวรรค์ (ธรรมยุต) ตลอดจนวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม และ วัดแสงธรรมสุทธารามมาโดยตลอด คณะสงฆ์จังหวัด นครสวรรค์ (ธรรมยุต) คณะสงฆ์วัดราชบพิธสถิตมหา สีมาราม และคณะสงฆ์วัดแสงธรรมสุทธารามรู้สึกส�ำนึกใน พระกรุณาคุณเป็นพ้นประมาณ กับขอเทิดทูนพระกรุณาคุณ นใ้ี หป้ รากฏสืบไปตราบกาลนาน ควรมคิ วรแล้วแตจ่ ะโปรด
เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จไปในการสวดพระอภิธรรมและทรง เป็นประธานในการบรรจุศพ พระราชมงคลโสภณ (ทรงยศ ชยยโส) ณ อาคาร ๑๕๐ ปี วัดมกุฏกษัตริยาราม เมื่อวันพฤหัสบดี ท่ี ๓๐ กรกฎาคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๓
ค�ำปรารภ พระเดชพระคุณ พระราชมงคลโสภณ (ทรงยศ ชยยโส) เปน็ ชาวอ�ำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ โดยก�ำเนิด ได้บรรพชาใน ส�ำนักวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม และอุปสมบท ณ วัดแสงธรรม สุทธาราม อ�ำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ โดยมีเจ้าพระคุณ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวราลงกรณ เจ้าอาวาสวัด ราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ยุคท่ี ๔ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระราช โสภณ (ละออ นริ โช) เจ้าอาวาสวัดแสงธรรมสทุ ธาราม ยคุ ท่ี ๑ เปน็ พระกรรมวาจาจารย์ ท่านเจ้าคุณได้ศึกษาพระธรรมวินัยอย่าง ไม่ย่อท้อจนส�ำเร็จตามหลักสูตรนักธรรมช้ันเอก และเปรียญธรรม ๓ ประโยค และได้สนองงาน เจ้าประคุณ สมเด็จพระพุทธ ปาพจนบดี (จินฺตากรเถร) เจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ยุคท่ี ๕ ในฐานะผูช้ ว่ ยเจา้ อาวาส เมื่อวัดแสงธรรมสุทธารามขาดผู้ดูแล พระเดชพระคุณ พระราชมงคลโสภณ (ทรงยศ ชยยโส) ได้ไปปกครองรักษาวัด แสงธรรมสุทธาราม ซึ่งเป็นวัดในชาติภูมิ และเป็นวัดธรรมยุต แห่งเดียวในอ�ำเภอชุมแสง เจ้าพระคุณ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวราลงกรณ ประทานพระอุปถัมภ์วัดแสงธรรม สุทธาราม และทรงใส่พระทัยในความเป็นไปของอารามตลอด พระชนมายุ หน้าท่ีสมภารจึงเป็นภาระอันส�ำคัญท่ีจะยังพระพุทธ ศาสนาให้รุ่งเรือง ตั้งแต่กวดขันคณะสงฆ์ให้อยู่ในพระธรรมวินัย
ส่งเสริมการศึกษาพระปริยัติธรรม อบรมอุบาสกอุบาสิกา และ บ�ำรุงศาสนสถานให้เป็นที่เจริญศรัทธา ต่อมา ได้รับพระบัญชาให้ ด�ำรงต�ำแหน่ง เจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ (ธรรมยุต) ปกครอง คณะสงฆ์ธรรมยุตจังหวัดนครสวรรค์จนบังเกิดความเรียบร้อย จนเมื่อพรรษายุกาลสูงขึ้น จึงได้รับพระบัญชาแต่งตั้งให้ด�ำรง ต�ำแหน่งที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ (ธรรมยุต) ตราบจน มรณภาพด้วยภาวะหัวใจหยุดเต้น เม่ือวันอังคาร ท่ี ๒๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๓ สริ อิ ายุ ๗๘ ปี พรรษา ๕๗ สมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้า พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ทรงพระกรุณาโปรด พระราชทานน�้ำหลวงสรงศพเม่ือวันพฤหัสบดี ท่ี ๒๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๓ ณ อาคาร ๑๕๐ ปี วัดมกฏุ กษตั รยิ าราม และ พระราชทานหบี ทองทบึ เปน็ เกยี รตยิ ศ ทรงพระกรณุ าโปรดพระราชทาน เพลงิ ศพ ณ เมรวุ ดั มกฏุ กษตั รยิ าราม ในวนั พฤหสั บดี ท่ี ๒๙ ตลุ าคม พุทธศกั ราช ๒๕๖๓ นับเปน็ พระมหากรุณาธิคณุ อยา่ งหาทีส่ ุดมิได้ อน่ึง เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จ พระสังฆราช สกลมหาสังฆปรณิ ายก โปรดประทานพระอนเุ คราะห์ การบ�ำเพ็ญกุศลศพ ด้วยทรงพระอนุสรณ์ค�ำนึงว่า พระราชมงคล โสภณ (ทรงยศ ชยยโส) เป็นสัทธวิ หิ าริกร่วมอุปัชฌาย์เชน่ เดียวกับ พระองค์ และได้สนองงานวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามอยู่นานปี โปรดให้คณะสงฆ์วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามร่วมกับคณะสงฆ์ จังหวัดนครสวรรค์ (ธรรมยุต) และคณะสงฆ์วัดแสงธรรมสุทธาราม
เป็นเจ้าภาพศพ ทรงพระกรุณาเสด็จไปในการสวดพระอภิธรรมศพ และทรงเป็นประธานในพิธีบรรจุศพ เม่ือวันพฤหัสบดี ที่ ๓๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๓ รวมทั้ง ทรงรับอาราธนาไปในการ พระราชทานเพลิงศพ เจ้าประคุณ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เป็นประธานในพิธี พระราชทานน�้ำหลวงสรงศพ และเป็นผู้อ�ำนวยการจัดงาน บ�ำเพ็ญกุศลโดยไม่ขาดเหลือ ตลอดจนน�ำคณะสงฆ์วัดราชบพิธ สถิตมหาสีมารามไปร่วมงานสวดพระอภิธรรมอยู่เนืองนิตย์ รวมท้ัง อ�ำนวยการให้งานบ�ำเพ็ญกุศลสัตตมวาร ปัณณาสมวาร และงาน บ�ำเพ็ญกศุ ลออกเมรุพระราชทานเพลงิ ศพเป็นไปโดยเรยี บร้อย ทั้งนี้ คณะสงฆ์คณะธรรมยุตมีจิตสมานฉันท์เป็นเจ้าภาพ การบำ� เพ็ญกุศลศพ ในวันพุธ ท่ี ๒๘ ตุลาคม พทุ ธศักราช ๒๕๖๓ เวลา ๑๗ นาฬกิ า คณะสงฆ์จังหวัดนครสวรรค์ (ธรรมยุต) คณะสงฆ์วัด ราชบพิธสถิตมหาสีมาราม และคณะสงฆ์วัดแสงธรรมสุทธาราม ขอถวายอนุโมทนาแด่พระเถรานุเถระ ทั้งขออนุโมทนาแก่อุบาสก อุบาสิกาทรี่ ่วมบำ� เพ็ญกศุ ลศพ ในอวสานแห่งการบ�ำเพ็ญกุศลศพ คณะเจ้าภาพเห็นพ้อง ต้องกนั วา่ พระเดชพระคุณ พระราชมงคลโสภณ (ทรงยศ ชยยโส) เป็นสัทธิวิหาริกในเจ้าพระคุณ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวง ชินวราลงกรณ จึงได้ประมวลพระนิพนธ์ร้อยแก้ว จ�ำนวน ๕ เรื่อง
ได้แก่ ”ศีล ๕ คือสมบัติของมนุษย์„ ”มรดกชีวิต„ ”หลักพระ พุทธศาสนา„ ”ความเชื่อ„ และ ”วาจา„ พิมพ์รวมเล่มในช่ือ ”วาทแหง่ วาสน„์ เพอื่ เปน็ บรรณานสุ รณเ์ นอ่ื งในงานพระราชทานเพลงิ ศพ และเปน็ การบ�ำเพ็ญกุศลถวายให้ไพบูลย์ย่งิ ๆ ขึน้ ไป อนง่ึ เจ้าประคุณ สมเดจ็ พระมหาวีรวงศ์ ดำ� ริว่า วดั แสงธรรม สุทธารามเป็นวัดที่เจ้าพระคุณ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวง ชินวราลงกรณ ทรงท�ำนุบ�ำรุงอยู่เนืองนิตย์ สมควรจะรวบรวม ประวัติวัดแสงธรรมสุทธารามให้ปรากฏสืบไปในบรรณพิภพ จึง มีบัญชาให้นายแพทย์ณัฐ ไกรภัสสร์พงษ์ เรียบเรียงประวัติวัด แสงธรรมสุทธาราม ไว้ท้ายหนังสือน้ี มีพระมหาสิริชัย สุขาโณ พระมหานิพนธ์ ธมฺมพนฺโธ และพระมหาปริณ ภูริวํโส ช่วยสืบค้น ขอ้ มูลที่เก่ยี วขอ้ ง ขออ�ำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย และกุศลบุญราศีท่ีได้บ�ำเพ็ญ ถวาย จงส�ำเร็จเป็นบุญนิธีอ�ำนวยทิพยสมบัติ อรรถวิบุลมนุญผล แด่พระเดชพระคุณ พระราชมงคลโสภณ (ทรงยศ ชยยโส) ตาม สมควรแกค่ ติวสิ ยั ทกุ ประการ คณะสงฆจ์ ังหวดั นครสวรรค์ (ธรรมยุต) คณะสงฆ์วดั ราชบพธิ สถิตมหาสีมาราม คณะสงฆว์ ัดแสงธรรมสทุ ธาราม และศษิ ยานุศิษย์ ๒๙ ตลุ าคม ๒๕๖๓
สารบัญ ประวตั ิ พระราชมงคลโสภณ (ทรงยศ ชยยโส) ๒๓ วาทแหง่ วาสน์ ๓๓ ศลี ๕ คือสมบัติของมนษุ ย์ ๔๕ มรดกชวี ติ ๕๕ หลกั พระพทุ ธศาสนา ๖๓ ความเชือ่ ๗๗ วาจา ประวัติ วัดแสงธรรมสุทธาราม ๘๙
ประวตั ิ พระราชมงคลโสภณ (ทรงยศ ชยยโส)
ชาติภูมิ พระราชมงคลโสภณ (ทรงยศ ชยยโส) มีนามเดิมว่า ทรงยศ ทมิ ทองค�า เกดิ เม่ือวนั ศุกร์ ที่ ๓ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๔๘๔ ตรงกับวนั ขนึ้ ๑๓ ค่�า เดือน ๑๑ ปมี ะเสง็ ณ บา้ นหนองตาเขยี ว ปัจจุบนั คือ บา้ นโพธิห์ นองยาว ตา� บลไผ่สงิ ห์ อ�าเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ เป็นบุตรของนายหวาด ทิมทองค�า และ นางเม้ียน ทิมทองค�า (สกุลเดิม น้อยฉิม) มีพ่ีน้องร่วมบิดา มารดา ๙ คน ได้แก่ ๑. เด็กชาย (เสียชวี ิตต้ังแต่แรกเกิด) ๒. นายสมบุญ ทิมทองคา� ๓. นายทองคา� ทิมทองค�า ๔. นายเท้มิ ทิมทองค�า ๕. นายเทีย้ ม ทิมทองค�า ๖. นายวริ ชั ทิมทองคา� ๗. พระราชมงคลโสภณ (ทรงยศ ชยยโส) ๘. นางจ�ารญู สอนสดุ ๙. นายนา้� ค้าง ทิมทองค�า
บรรพชาอุปสมบท บรรพชาเป็นสามเณร เม่ือ พ.ศ. ๒๕๐๐ ณ วัด ราชบพิธสถิตมหาสีมาราม โดยมี สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวราลงกรณ (วาสน์ วาสโน) เมื่อครั้งทรง ด�ารงสมณศักด์ิท่ี พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ เป็นพระอุปัชฌาย์ อุปสมบทเป็นภิกษุ เมื่อวันอังคาร ที่ ๒๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๕ ณ วัดแสงธรรมสุทธาราม อ�าเภอชุมแสง จงั หวดั นครสวรรค์ โดยมี สมเด็จพระสงั ฆราชเจ้า กรมหลวง ชนิ วราลงกรณ (วาสน์ วาสโน) เม่อื คร้งั ทรงดา� รงสมณศักด์ิท่ี พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระราชโสภณ (ลออ นิรโช) เมื่อคร้ังด�ารงสมณศักดิ์ที่ พระชินวงศเวที เป็น พระกรรมวาจาจารย์ และพระอนุสาวนาจารย์ การศึกษา พ.ศ. ๒๔๙๘ ประถมศึกษาปที ี่ ๔ โรงเรยี นวัดโพธหิ์ นองยาว จังหวัดนครสวรรค์ พ.ศ.๒๕๐๕ นักธรรมชั้นเอก สา� นกั เรยี นวดั ราชบพธิ สถติ มหาสมี าราม 26
27 พ.ศ.๒๕๔๓ เปรยี ญธรรม ๓ ประโยค สา� นกั เรยี นวดั ราชบพธิ สถติ มหาสมี าราม พ.ศ.๒๕๕๖ พทุ ธศาสตรบณั ฑิต (สาขารฐั ประศาสนศาสตร์) มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั พ.ศ.๒๕๕๘ พทุ ธศาสตรมหาบณั ฑิต (สาขารัฐประศาสนศาสตร)์ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั งานด้านการปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ผชู้ ่วยเจา้ อาวาส วดั ราชบพิธสถิตมหาสีมาราม พ.ศ. ๒๕๔๙ เจ้าอาวาสวดั แสงธรรมสทุ ธาราม พ.ศ. ๒๕๕๑ เจา้ คณะจังหวัดนครสวรรค์ (ธรรมยุต) พ.ศ. ๒๕๖๒ ทปี่ รกึ ษาเจา้ คณะจังหวดั นครสวรรค์ (ธรรมยตุ ) - พระอปุ ชั ฌาย์ ประเภทวสิ ามัญ
สมณศักด�ิ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๙ พระครูสัญญาบัตร ผู้ช่วย เจ้าอาวาสพระอารามหลวง ช้ันเอกที่ พระครูวิจิตรธรรมคุณ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๔ พระครูสัญญาบัตร ผู้ช่วย เจ้าอาวาสพระอารามหลวง ชั้นพิเศษในราชทนิ นามเดิม ๑๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๙ พระราชาคณะชั้นสามัญ เปรยี ญ ท่ี พระสิรริ ตั นสธุ ี ๑๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ พระราชาคณะช้ันราช ท่ี พระราชมงคลโสภณ วิมลศาสนกิจจาทร ยติคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี มรณภาพ พระราชมงคลโสภณ (ทรงยศ ชยยโส) เข้ารับการ รักษาอาการอาพาธ ณ โรงพยาบาลราชวิถี และถึงมรณภาพ ด้วยภาวะหัวใจหยุดเต้น เม่ือวันอังคาร ที่ ๒๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ สริ ิอายุ ๗๘ ปี พรรษา ๕๗ 28
วาทแหง่ วาสน์ พระนิพนธ์ใน สมเด็จพระสงั ฆราชเจา้ กรมหลวงชินวราลงกรณ
ศีล ๕ คื อ ส ม บั ติ ของมนุษย์ คนไทยเรา นับว่ามีโชคประจ�าชีวิตอย่างน่าภูมิใจ ที่ส�าคัญยิ่งก็คือพระพุทธศาสนา ได้แก่ มีค�าสอนของ องค์พระพุทธเจ้า ท่ีแพร่หลายอยู่ในขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม มาตั้งแต่ลืมตาเห็นโลก เพราะท่านบุรพชนนับแต่ ตน้ ตระกูลปทู่ วดขนึ้ ไปตั้งหลายสบิ ชั้น ได้ใครค่ รวญพิจารณา อย่างรอบคอบถี่ถ้วนถึงค�าสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว เห็นว่า เป็นค�าสอนที่มีหลักเกณฑ์แน่นอน สมเหตุสมผลมิใช่เป็น ค�าสอนเพ่ือประโยชน์แก่พระองค์ศาสดาอย่างไรเลย แต่เป็น ค�าสอนท่ีล้วนให้เกิดคุณประโยชน์แก่ผู้ประพฤติตามเฉพาะ ตนเองท้ังน้ัน พระบรมศาสดามิได้มีส่วนแบ่งปันคุณประโยชน์ ด้วยอย่างไร เพราะท่านได้แถลงเสมอว่าท่านเป็นเพียง ผู้แนะน�า อะไรดีควรประพฤติ อะไรช่ัวควรงดเว้นเท่าน้ัน สมกับค�าสอนท่ีว่า ใครท�าดี ก็ได้ดีเอง ใครท�าช่ัว ก็ได้ช่ัวเอง ท่านบุรพชนชาวไทยของเราจึงยอมรับนับถือเป็นหลัก ประพฤติตามสืบต่อมา ส่งเสริมให้เป็นมรดกตกทอดถึง
ชาวเรารุ่นหลานเหลน ได้เรียนรู้ค�ำสอนของพระพุทธเจ้า อย่างสะดวกสบาย ไม่ต้องเที่ยวค้นคว้าให้เสียเวลาของชีวิต อาศยั พ่อแม่เปน็ ครคู นแรกแนะน�ำเปน็ เบือ้ งตน้ สืบมา จึงใคร่ที่จะชักชวนชาวไทยผู้เหมือนญาติ ร่วมนับถือ พระพุทธศาสนาตามอย่าง พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ให้มีน้�ำใจ ได้ประพฤติตามค�ำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างจริงจังทั่วกัน จะได้สมกับท่ีพระองค์ตรัสเตือนก�ำชับว่าการงดเว้นไม่ปฏิบัติ ฝ่าฝืนค�ำห้าม การยินดีปฏิบัติตามค�ำแนะน�ำส่ังสอนนั้น ล้วนเป็นหน้าที่ของชาวเราผู้เป็นสาวกนับถือพระองค์เป็น ที่เคารพบูชาอย่างสูงสุด ต้องประพฤติกระท�ำเอง จะมัว ขอร้องบนบานศาลกล่าวขออ�ำนาจบารมี ตลอดเทพารักษ์ ให้มาช่วยดลบันดาลส่ิงท่ีตนต้องการปรารถนา มีลาภ ยศ สรรเสริญ สขุ นัน้ ยอ่ มไม่ส�ำเรจ็ สมประสงค์เลย ที่ปรารถนาชักชวนคนไทยผู้มีปู่ย่าตาทวดเป็นคน นับถือศาสนาพุทธในท่ีน้ี ก็เพื่อให้เลิกแสดงการนับถือ พระพุทธเจ้าตามธรรมเนียมประเพณีกันเสียที เพราะได้ ถูกต�ำหนิติเตียนอย่างน่าอับอายมาแล้วว่าคนไทยชาวพุทธ เป็นพวกใกล้เกลือกินด่าง คือมีศาสนาค�ำสอนที่ดีด้วย หลักเหตุผล เป็นมรดกอยู่ในบ้านในเมืองเหมือนเกลือ อยู่แล้ว ยังเพิกเฉยละเลยไม่น�ำพา กลับเห็นเป็นของเก่า คร�่ำคร่าล้าสมัย มัวหลงนิยมสิ่งใหม่ ๆ ท่ีมีคุณค่าเท่ากับ น้�ำด่าง หลงทอดทิ้งละเลยคุณความดีเช่นเกลือเสีย จึง 34
35 สมควรอย่างมากในปัจจุบันบัดน้ี ที่ชาวพุทธทั้งหลาย ชาย หญิง คฤหัสถ์บรรพชิต จะมาร่วมมือประพฤติตามค�ำสอน ของพระพุทธเจ้ากันอย่างจริงจังตลอดกาลเป็นนิตย์เถิด ไม่ต้องรอวันพระ วันโกน หรือในพรรษานอกพรรษา เท่ากับ พยายามละเลิกกินด่างหันมาเร่ิมต้นกินเกลือเถอะ อย่าให้ เสียชาติที่เกิดเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนาแล้วแต่ไม่รับ ผลดีเป็นคุณแก่ชีวิตบ้าง จะน่าละอายใจไม่น้อย เพราะ ตนเองต้องพลอยผิดพลาดจากคุณความดีท่ีพึงประพฤติ ตามค�ำสอนของพระศาสนาแล้ว มิหน�ำซ้�ำจะเป็นตัวอย่าง ท่ีไม่ดีไม่งามให้ลูกหลานอันเป็นยอดรักปานดวงตา จดจ�ำ บาปของบุรพชนไว้เป็นสมบัติติดนิสัยเขาโดยไม่รู้ตัว เหมือน ผู้ใหญ่หลอกลวงลูกหลานให้เป็นเหมือนโจร และถ้าเป็น เด็กลูกหลานของตระกูลอื่น หากจะถูกผู้ใหญ่ต่างตระกูล หลอกลวง ก็ยังพอประมาณเพราะต่างสายเลือด แต่นี่ ลูกหลานจากสายเลือดของตนเอง กลับมาถูกผู้ใหญ่ ต้นตระกูลต้นสายเลือด หลอกให้เป็นเหมือนโจร ขาดศีล ขาดธรรม ไม่น�ำพาต่อค�ำสอนท่ีดี น�้ำใจของผู้ใหญ่ชนิดน้ี จะอำ� มหติ ร้ายกาจสักเพียงไหน เพอ่ื ใหพ้ ทุ ธศาสนกิ ชนมคี ณุ ธรรมความดงี ามไวป้ ระดบั ตน สมชาติเป็นมนุษย์ทั้งร่างกายจิตใจ พระพุทธองค์จึง วางหัวข้อช่ือให้ระวังรักษาไม่ฝ่าฝืนกระท�ำความช่ัวเป็น อย่างน้อยท่ีสุดไว้ ๕ ข้อ ท่ีเราเรียกรู้กันว่าศีล ๕ ให้ต้ังใจ งดเว้นอยเู่ สมอ ไมเ่ ลือกเวลา สถานที่ คอื
๑. ตง้ั ใจงดเว้นการฆ่าสตั ว์ ที่มีชีวิตให้ตาย ๒. ตงั้ ใจงดเว้นการลักขโมยสิง่ ของผอู้ ่ืน ๓. ตัง้ ใจงดเว้นการประพฤตผิ ิดประเพณี ๔. ตั้งใจงดเว้นการพูดปดโกหกให้คลาดเคล่ือนจาก ความจรงิ ๕. ตง้ั ใจงดเวน้ การดื่มสุราเมรยั ท่ีพระพุทธเจ้ายกหัวข้อท้ัง ๕ นี้ ขึ้นตั้งไว้ให้ผู้เคารพ นับถือในพระองค์ ตั้งใจส�ำรวมระวังรักษาเป็นประจ�ำ ทุกอิริยาบถ ก็เพราะว่าในหัวข้อทั้ง ๕ น้ีเป็นเหตุการณ์ที่ มีใครอยากประสบพบเห็นเลย เมื่อลองนึกเทียบกับตัวเรา ดูอย่างจริงใจแล้วเราเองก็ไม่ต้องการให้ใครมาประทุษร้าย ต่อชีวิต, ร่างกาย, ต่อทรัพย์สมบัติ, ต่อประเวณี, ต่อความ ซื่อสัตย์, และต่อความมีสติสัมปชัญญะ เม่ือเราเองก็เป็น มนุษย์เหมือนเขา เราไม่ชอบให้ใครมาเบียดเบียนรังแก เราอย่างไรคนอ่ืนก็ย่อมไม่ชอบเช่นเดียวกับเรา ดังน้ัน พระพุทธเจ้าจึงยกเป็นหัวข้อให้คอยส�ำรวมระวัง เพ่ือไม่ให้ เบียดเบียนกัน เพราะไม่มีใครอยากพบเห็น อย่าหลงกระทำ� ตามชอบใจตน เมื่อต่างไม่ประทุษร้ายข่มเหงกัน ต่างมีความ ปรารถนาดีต่อกันและกัน อนุเคราะห์สงเคราะห์เกื้อกูลกัน ตามที่ท่านเรียกว่าเมตตา ได้แก่ ความปรารถนาความสุข จ�ำเริญให้แก่กันและกัน ก็นับว่าอยู่เป็นสุข นอนตาหลับ อย่างผาสุกสบาย สมกับเป็นหมู่คณะของคนดีมีศีลธรรม โดยแท้ 36
37 วิธีท่ีจะรักษาศีลทั้ง ๕ ข้อนี้ มิใช่ว่าต้องอาศัยสมาทาน กับพระภิกษสุ งฆต์ ามวันพระหรือตามพธิ ที �ำบุญในงานตา่ ง ๆ เท่านั้น เราปรารถนาจะประพฤติตัวให้เป็นคนดีตามค�ำสอน ของท่าน ตามหน้าที่ของพุทธศาสนิกชน ก็สามารถต้ังใจ อธิษฐานเอาเองได้ไม่ต้องรอวันพระ ไม่ต้องสมาทานกับ พระภิกษุ และเม่ือรู้ตัวว่า ศีลข้อไหนขาดตกบกพร่องที่ เรียกว่าศีลขาดหรือศีลเศร้าหมอง ก็พยายามเตือนตัวให้ได้ ต้ังใจประพฤติดีชอบตามองค์ศีลนั้น ๆ เสียใหม่ ถึงจะ เป็นการล้มร้อยคร้ัง ก็พยายามตั้งใหม่ร้อยหนอยู่เสมอไป พยายามหัดท�ำไปทุกวันเวลา เหมือนเป็นการแต่งใจของเรา ให้สวยสดงดงามด้วยเมตตา เช่นเดียวกับการอาบน้�ำช�ำระ รา่ งกายใหส้ ะอาดฉะน้นั การรักษาศีล ช้ันแรกย่อมรู้สึกล�ำบาก ยากท่ีจะปฏิบัติ อยู่บ้างเป็นธรรมดาเพราะยังไม่เคยกระท�ำ แต่เมื่อเชื่อใจ แน่วแน่ต่อค�ำสอนของพระพุทธเจ้าว่าเป็นค�ำสอนที่ดี มี คุณประโยชน์แก่ผู้ประพฤติตามได้อย่างจริงใจแล้ว อดทน ปฏิบัติตามไปด้วยอุตสาหะพากเพียร ไม่ช้าการท่ีเห็นว่า ยากล�ำบากท�ำไม่ได้ก็จะกลายเป็นของง่ายท�ำตามได้อย่าง ปกติไม่รู้สึกล�ำบาก อย่างเดียวกับกิริยายืน เดิน น่ัง นอน แต่เดิมเราท�ำยังไม่เป็น แต่เมื่อร่างกายค่อยเติบโตขึ้น ได้ พยายามฝึกหัดกิริยาเหล่าน้ีมาแต่เล็กแต่น้อย จึงค่อย กระท�ำได้คล่องแคล่วเป็นอย่างปกติธรรมดา ด้วยความ
เคยชินตามระยะเวลาท่ีเติบโต จึงสมควรอย่างย่ิงท่ีชาวพุทธ ท้ังหลายจะได้ต้ังใจส�ำรวมระวังกายวาจาของตนตามองค์ศีล ท้ัง ๕ น้ี ให้เป็นคุณสมบัติประจ�ำใจตลอดไปทุกวันคืน จะ ท�ำให้มีก�ำลังใจผ่องใส เบิกบานสุขกายสบายใจอย่างแท้จริง เท่ากับได้ขึ้นสวรรค์ทั้งเป็น ตามท่ีโบราณว่า สวรรค์อยู่ในอก นรกอยใู่ นใจ ฉะนั้น ผู้ที่ประกาศตนเป็นพุทธศาสนิกชน แต่ไม่สามารถ ส�ำรวมรักษาศีลท้ัง ๕ ไว้ประจ�ำใจได้ ออกจะเป็นคนบาป สักหน่อย เพราะการที่ได้ก�ำเนิดเกิดมาเป็นมนุษย์น้ีท่านว่า เพราะบุญที่เคยสร้างสมไว้ในปางก่อนส่งเสริมมา เมื่อได้ อัตภาพร่างกายเป็นมนุษย์แล้ว ก็มิใช่จะมีหน้าที่คอยฝ่าฝืน ล่วงละเมิดศีลท้ัง ๕ ข้อนี้ อยู่เท่านั้น เพราะการละเมิดศีล ทั้ง ๕ น้ีท่านว่าเป็นการท�ำบาป บาปก็คือฝ่ายชั่วเสื่อมทราม ไม่มีใครปรารถนาพบเห็น เม่ือเกิดมาเป็นมนุษย์เพราะบุญ ส่งเสริมแล้ว ก็สมควรอย่างย่ิงที่จะได้ท�ำบุญให้มากย่ิงข้ึน จะได้เสวยสุขเพราะบุญส่ง ตั้งแต่โลกนี้ตลอดโลกหน้าโดยแท้ คร้ันเกิดเป็นมนุษย์แล้วกลับใจไปท�ำบาป อันมีผลเป็นความ ทุกข์ยากเดือดร้อนผิดศักดิ์ศรี เช่นนี้ ก็จะกลายเข้าหลักที่ ท่านเรียกว่า มนุสฺสเปโต มสุสฺสติรจฺฉาโน ร่างกายเป็นมนุษย์ แต่จิตใจเป็นเปรตบ้าง เป็นดิรัจฉานบ้าง เมื่อผลของบาป ไม่เป็นที่ปรารถนาของมนุษย์หน้าไหนเลย จึงควรท่ีเมื่อได้ ภพชาติเป็นมนุษย์ ต้องสร้างคุณสมบัติของมนุษย์ก็คือศีล ทั้ง ๕ เป็นอย่างน้อยที่สุด ประจ�ำอัธยาศัยไว้ทุกลมหายใจเข้า 38
ออก จะได้สมกับท่ีท่านยกย่องว่า มนุสฺสมนุสฺโส มนุสฺสเทโว เป็นมนุษย์ท้ังหลายใจ หรือกายเป็นมนุษย์แต่มีใจเป็นเทวดา ตามพิธีศาสนา การสมาทานศีล ต้องว่าด้วยภาษา ชาวมคธ เพราะค�ำสอนของพระพุทธเจ้าจารึกอยู่ในภาษา ชาวมคธ เม่ือน�ำค�ำสอนของพระพุทธเจ้าเข้ามาสู่เมืองไทย ก็เท่ากับน�ำภาษาชาวมคธมาด้วย ชาวไทยเราถือคติรักษา แบบแผนหลักฐานมูลเดิมเป็นส�ำคัญ เมื่อจะประกอบ พิธีศาสนา จึงต้องใช้ภาษามคธเป็นหลักเสมอไป นับแต่ ค�ำอาราธนาศีลสมาทานศีล สวดมนต์ท�ำวัตรเช้าเย็น ถวายทานต่าง ๆ ท่ีสุดการบรรพชาอุปสมบทบวชเป็นพระ ภิกษุ สามเณร ล้วนใช้ภาษามคธทั้งนั้น เท่ากับรักษาภาษา ครูไว้เป็นหลักฐานมูลเดิม หากว่าผู้ฟังพระภิกษุสาธยาย พิธีต่าง ๆ ด้วยภาษามคธ ฟังไม่รู้เร่ืองราว ชวนให้ไม่สนใจ อยู่บ้าง ก็ขอให้นึกอดใจเพ่ือรักษาภาษาครูไว้ช้ันหนึ่งก่อน เม่ือปรารถนาจะรู้เน้ือความ เพ่ือประพฤติปฏิบัติตามก็ สามารถที่จะขวนขวายแสวงหาจากฉบับท่ีแปลเป็นภาษาไทย ไว้ศกึ ษาได้อยา่ งกวา้ งขวางจากส�ำนกั พมิ พ์ตา่ ง ๆ ถ้าชาวพุทธศาสนิกชน ไม่มีศีล ๕ เหล่านี้ประจ�ำใจ ก็ย่อมได้ช่ือว่า เป็นพุทธศาสนิกชนเพียงตามประเพณี หรือ เป็นชาวพุทธเพียงอามิสบูชาท่ีแสดงความเคารพนับถือด้วย ดอกไม้ธูปเทียน หรือมีประจ�ำใจอยู่น้อยข้อ หรือมีอยู่ บางคร้ัง บางคราวความเป็นชาวพุทธย่อมอ่อนแอหรือ 40
41 เป็นอยู่เพียงบางครั้งคราวเท่านั้น ไม่เป็นชาวพุทธอย่างเต็มท่ี บริบูรณ์จนตลอดชีวิต จึงสมควรท่ีจะพยายามปรับปรุง อัธยาศัย ให้ได้ตั้งใจงดเว้นความช่ัวท้ัง ๕ ข้อนั้น เป็นการ แสดงความเคารพบูชาด้วยการปฏิบัติตามค�ำสอนสมความ เปน็ พทุ ธศาสนกิ ชนอย่างแท้จริง ฉะน้ัน ทุกพิธีศาสนาที่อาราธนาพระภิกษุสงฆ์ร่วมด้วย เม่ือจุดรูปเทียนนมัสการพระพุทธปฏิมาแล้ว ชาวพุทธ ทุกคนควรประนมมืออาราธนาด้วยเปล่งเสียงดังตาม ระยะวรรคตอนโดยพร้อมเพรียงกัน อย่าปล่อยให้หัวหน้าว่า คนเดียวเลย เมื่อพระภิกษุเริ่มให้ศีล ทุกคนต้องเปล่งเสียง สมาทานดัง ๆ พอพระผู้ให้ศีลได้ยิน อย่างพร้อมกันอีก จนจบ เหมือนเป็นการไหว้ครูของชาวพุทธ อย่างพวกดนตรี ปี่พาทย์ หรือการเล่นต่าง ๆ ซ่ึงก่อนจะเริ่มการแสดงเขาต้อง มีพิธีไหว้ครู ด้วยความส�ำนึกคุณขอให้อ�ำนาจบารมีครู อาจารย์มาคุ้มครองให้เกิดความเข้มแข็งในการแสดงต่อไป ชาวพุทธเราก็ต้องยึดหลักการสมาทานศีล ๕ เป็นการไหว้ครู ประจ�ำทุกพิธี จะขาดเสียมิได้ ถึงแม้ในยามปกติจะรักษา อยู่แล้วก็ตาม ก็ต้องสมาทานเป็นการไหว้ครูตามธรรมเนียม ดว้ ยเหมือนกนั และการให้สมาทานด้วยเปล่งเสียงดังน้ัน เพ่ือให้เกิด ส�ำนึกกระเทือนทั้งกายวาจาใจ การงุบงิบท�ำนองสมาทาน ในใจนั้น ไม่สมควรเลย คล้ายกับไม่เล่ือมใสหรือไม่เต็มใจ
ยามชาวเราอยากแสดงความจงรักภักดีต่อในหลวง เวลา รับเสด็จเราก็เปล่งเสียงเพลงสรรเสริญพระบารมีอย่าง ภาคภูมิใจได้ อยากแสดงความรักชาติ เราก็เปล่งเสียง ร้องเพลงชาติอย่างคึกคะนอง ท�ำไมถึงคราวจะกระท�ำพิธีใน พระศาสนาซึ่งเป็นยอดสักการบูชา เราจึงมางุบงิบท�ำนอง อับอายขายหนา้ ผ้อู ่นื หรอื ทำ� นองว่าตัวคมในฝัก เกรงกลวั ว่า จะเสียสง่าราศีย่อมไม่เป็นการสมควรแท้ ๆ อันท่ีจริงน่าจะ ยินดีเชิดชู เต็มใจแสดงเป็นชาวพุทธอย่างอาจหาญเปิดเผย เป็นการแสดงน�้ำใจเคารพของคนให้ปรากฏแก่เพ่ือนฝูง มิหน�ำยังจะได้ชื่อว่าท�ำตัวอย่างให้เยาวชนรุ่นลูกหลานเหลน ไดย้ ึดถอื เปน็ ตวั อยา่ งประพฤตติ ามอีกดว้ ย อน่ึงท้ังเราทั้งเขาต่างก็ไม่ชอบให้ใครมารังแกข่มเหง เบียดเบียนชีวิตร่างกายทรัพย์สิ่งของ เชื้อสายตระกูล ความสัตย์จริงซ่ือตรง ในฐานะเกิดมาเป็นมนุษย์พบ พระพุทธศาสนาแล้ว จึงไม่ควรละเมิดศีล ๕ อันเป็นการ เห็นประโยชน์ส่วนตัวเป็นใหญ่ มิใช่วิสัยของมนุษย์ผู้ทรง คุณธรรม รักความยุติธรรม, ส่วนศีลที่ท่านให้งดด่ืมสุราเมรัย ก็เพ่ือไม่ให้ประทุษร้ายตนเองให้มัวเมา หลงใหลลืมความ เป็นมนุษย์ เมื่อทุกคนเร่ิมแต่ครอบครัวออกไป ตลอดถึง ประเทศชาติ ต่างตั้งใจรักษาศีลท้ัง ๕ ข้อได้ทั่วถึงทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ ชายหญิง การเบียดเบียนคนอ่ืนก็จะไม่มี ทั้งตนเอง ก็ไม่ถูกเบียดเบียนด้วยน้�ำมือของตน ครอบครัวตลอด ประเทศชาติก็จะมีแต่ความร่มเย็นเป็นสุขด้วยอนุเคราะห์ 42
43 สงเคราะห์กันด้วยน�้ำใจอันงามคือเมตตา กรุณา เป็น คณุ ธรรมน�ำใหเ้ กิดความสามัคคี ถ้ายังจะนึกหม่ินศักดิ์ศรีของตนเองว่า ยังไม่สามารถ จะรักษาศลี ๕ ใหบ้ ริสทุ ธิ์บริบูรณไ์ ด้ ก็จงนึกถามตนเองก่อน ว่า ท่ีเราเกิดมาเป็นมนุษย์นี้ต้องมีหน้าท่ีเฉพาะแต่คอยฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม เท่านั้นหรือ ความจริงเพราะ บุญเก่าส่งเสริมให้เราเกิดเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นสัตว์ประเสริฐ กว่าสัตว์อื่นท้ังหลายแล้ว ยังจะกลับหลงไปก่อกรรมท�ำเวร เป็นบาปให้หมดโอกาสเกิดเป็นมนุษย์ในชาติหน้าอีก จะไมเ่ ป็นการตดั ความสุขจำ� เรญิ ของตนเองเสยี หรอื บ้านเมืองก�ำลังโฆษณา แนะน�ำให้ราษฎรรักษาความ สะอาดบ้านเมือง อย่าท้ิงขยะบนถนนและคูคลอง อย่าท�ำ บ้านเมืองให้สกปรก จึงสมควรท่ีพุทธศาสนิกชนผู้เป็น ราษฎรพลเมืองจะน�ำมาเป็นข้อเตือนตนเองให้งดเว้นบาป ท้ังหลาย ซึ่งเป็นส่วนสกปรก ท้ังส่วนกาย วาจา ใจ ตาม หลักศีลทั้ง ๕ ข้อ ตามความสามารถ อย่ามัวซัดโทษคนอื่น หรือผลัดวันประกันพรุ่ง ก็จะเป็นการยกระดับความสะอาด ให้เกิดทั้งภายนอกคือบ้านเมือง ทั้งภายในคือนิสัยใจคอของ ราษฎร พุทธบริษัทท่ีสะอาดอยู่ด้วยบุญคือ สมาทานศีล ๕ ไว้ประจ�ำตนทุกอิริยาบถ ไม่ใช่สมาทานเอาไปทิ้ง หรือ ไม่สนใจประพฤติตาม ขืนประพฤติเพิกเฉยอยู่เช่นปัจจุบัน น้ีแล้ว จะไม่มีทางแก้ค�ำเย้ยหยันว่า ”ใกล้เกลือกินด่าง„ ได้เลย
มรดก ชี ว�ต ชาวเราย่อมจะเป็นห่วงทรัพย์สมบัติท้ังหลาย ที่ท�ามา หาได้ เกรงจะได้รับอันตรธานหรือพลัดพรากจากไปโดยเร็ว เรื่องนี้ก็เป็นธรรมดา ไม่เลือกว่าใครเพราะต้องการให้ ด�าเนินชีวิตอยู่ด้วยความสะดวกสบาย เพราะอาศัยทรัพย์ สมบัติหากตนจะครองความสะดวกสบายน้ันไว้ไม่ได้ ก็ปรารถนาถ่ายทอดไปถึงลูกหลานอันเป็นที่รักของตน สืบต่อไปอีก ด้วยไม่ประสงค์ให้ทรัพย์สมบัติ เครื่องอ�านวย ความสุขสบาย อันตรธานสญู หายไปเสยี พระพุทธเจ้าทรงทราบเจตนาของบุคคลท่ัวไป เช่นนี้ ตลอดแล้ว จึงได้ทรงช้ีแจงให้งดเว้นจากทางอันจะน�าไปสู่ ความเส่ือมของทรัพย์สมบัติ ด้วยวิธีการหลายอย่าง รวมเรียกว่า อบายมุข ดังเป็นที่ทราบกันอยู่แล้ว ยังได้ทรง นิพนธส์ มัยเปน็ พระธรรมปาโมกข์ พ.ศ. ๒๔๙๘
แนะน�ำวิธีปฏิบัติ เพ่ือความย่ังยืนแห่งทรัพย์สมบัติ หรือ พอกพูนเพ่ิมให้มากม่ันคง ก็มีอยู่มากวิธีดังทรงเปรียบเทียบ จอมปลวกและรังผ้ึง ซ่ึงกอบก่อเป็นรวงรังขึ้นด้วยก�ำลัง อันเล็กน้อย แต่ขยันหมั่นเพียรไม่หยุดย้ังท้อถอย ด�ำเนิน ก้าวหน้าอยู่เสมอ จึงสามารถกอบก่อเป็นจอมปลวกใหญ่โต ม่ันคงแข็งแรง หรือรวงรังใหญ่โตเป็นที่หวาดเกรง แม้คน ก็ไม่อาจเข้าใกล้ การที่พระพุทธองค์ทรงแนะน�ำพร่�ำสอน เพื่อด�ำเนินชีวิตเป็นหลักฐาน มีความสะดวกสบายเช่นนี้ ย่อมแสดงว่า พระองค์มิใช่แต่จะสอนให้ทอดทิ้งธุระกิจการงาน แสวงหาทรัพย์สมบัติเสีย มุ่งแต่ให้ถึงพระนิพพานอย่างเดียว เท่าน้ัน ซ่ึงบางคนถึงกับออกปากว่า ยังไม่อยากไปนิพพาน เพราะไม่มีอะไรสนุกเพลิดเพลิน เลยท�ำให้ปลีกตัวออกห่าง จากพระศาสนาจากวัดเสียก็มี พระนิพพาน เท่าที่เรารู้อย่างสายตาของปุถุชนนั้น ไม่ต่างอะไรกับบอกถึงแสงสีรูปวัตถุต่าง ๆ แก่คนจักษุบอด หรือประโยชน์ของการเรียนหนังสือแก่เด็กทารก จึงยัง ไม่ต้องกลัวเกรงอะไร เพราะภูมิปุถุชนหรือแม้ภูมิกัลยาณชน น้ัน ยังไม่ใกล้เข้าไปเลย เป็นเร่ืองของอนาคตอันแสนไกล ควรหันมาพิจารณาในภูมิปัจจุบันบัดน้ี ซ่ึงเราก�ำลัง ด�ำเนินชีวิตอยู่ดีกว่ามัวหลง เพ้อกลัวพระนิพพานท่ีเกิน วิสัยอยู่ จะกลายเป็นคนฝืนภาษิตโบราณท่ีว่า ”ไม่เห็นน้�ำ รีบตัดกระบอก ไม่เห็นกระรอก รีบโก่งหน้าไม้„ เสียแรงเปล่า เท่าน้ัน 46
47 ค�ำสอนของพระพุทธเจ้าท่ีเหมาะกับเวลาและสามารถ กระท�ำได้ มีอยู่มิใช่น้อยจึงใคร่เชิญชวนชาวเราให้หันมา ตรวจดูชีวิตท่ีก�ำลังด�ำเนินเป็นไปอยู่ทุก ๆ วันนี้ ให้มากกว่า อย่างอ่ืน จะได้ประโยชน์สมกับเป็นพุทธศาสนิกชนอย่าง จริงจัง การดูชีวิตของเราเองที่ก�ำลังผ่านไปทุกวันนี้ เป็นการ ถูกตรงที่สุด เพราะเราเองจะเป็นผู้เสวยผลจากการกระท�ำ ของเราเอง แต่เราก็มักไม่ชอบตรวจตัวเราเอง ชอบแต่ ดูออกไปจากตน ยิ่งเป็นของหลอกลวงให้หลงใหลใฝ่ฝัน ยิ่งชอบดูชอบพิจารณา เช่นเรื่องมหรสพต่าง ๆ ก็ชอบดู ทั้ง ๆ ท่ีรู้ว่าเป็นนิยาย การแต่งตัว กิริยา มารยาท อาชีพ ตลอดบ้านเรือนของคนอื่น ก็ชอบเก็บมาวิจารณ์ ดูเป็น ท่ีเพลิดเพลินเจริญใจจริง ๆ และผู้อื่นเล่าก็ตกอยู่ในลักษณะ เช่นเดียวกัน เท่ากับต่างคนต่างดูกัน ดูแล้วท่ีชมมักมีน้อย มากแต่ส่วนติ ติเขามากเท่าไร แทนท่ีจะน�ำมาเป็นตัวอย่าง งดเว้นเกรงกลัว ละอายใจต่อส่ิงท่ีตัวติ กลับกระท�ำตนอย่าง ที่ตนติเขาเสียอย่างสบายใจ ด้วยอ�ำนาจความทะนงตัว เลยวางตัวไม่ถูกตามฐานะท่ีเป็นจริง จึงเป็นความผิดของ ชาวเราอย่างมาก หลักของพระพุทธเจ้าสอนให้ตรวจตรา ตนเอง สอนตนเองพิจารณาตนเองเป็นประจ�ำ จะได้วางตน ให้เหมาะสมกับฐานะต�ำแหน่งหน้าท่ี เห็นผิดพลาดก็ต้อง แก้ผิดท่ีตน เห็นถูกก็ต้องอาศัยตนท�ำถูกเอง คนที่ยังไม่เชื่อ ตนเองยังต้องอาศัยคนอ่ืนส่ิงอ่ืนช่วย มีเทพาอารักษ์ เคร่ืองรางของขลังในการด�ำรงชีวิตยังจะนับว่าเป็นผู้หลักคือ
ท่ีพงึ่ พาอาศยั แก่ตัวเอง ผใู้ หญ่ คอื บริหารหมคู่ ณะให้ร่มเยน็ เป็นสุขไม่ได้ เพราะตนเองยังปกครองตนเองไม่ได้ ไฉน จะปกครองผูอ้ น่ื ได้เลา่ วิธีจะปกครองตนเองได้ ก็คือการพิจารณาตรวจดู ตนเองเสมอ ว่าตั้งตนประพฤติตน วางตนสมฐานะต�ำแหน่ง หน้าท่ี เหมาะสมหรือยัง ถ้าเห็นยังไม่เหมาะสม ต้องแก้ที่ ตนให้เหมาะสม อย่าใช้วิธีไล่เบ้ียไปแก้ท่ีคนอื่น จะย่ิงพากัน วุ่นวายห่างจุดผิดออกไปทุกที เกาไม่ถูกตุ่มคัน และความ เหมาะสมเล่า ก็ต้องอาศัยระเบียบเหตุผล กาลเทศะเป็นใหญ่ มิใช่ความเหมาะสมตามอ�ำเภอใจตน เพราะใจของแต่ละคน ยังพอกพูนด้วยกิเลส เห็นแก่ตัวเองเป็นประมาณ ขืนถือ ความเหมาะสมตามใจตน ก็เท่ากับน�ำกิเลสของแต่ละคน ออกอวดกัน กิเลสพบกับกิเลสย่อมก่อแต่ความยุ่งเหยิง เบียดเบียนท�ำร้ายกันเท่านั้น การแก้ผิดท่ีตนก็คือแก้กิเลส ของตนให้กลายเป็นธรรมะข้ึนแทน กิเลสค่อยลดห่าง จางหายจากใจ ธรรมะเจริญประจ�ำใจแทน จึงจะเรียกว่า แกต้ นไดเ้ หมาะสม ฉะนั้น ผู้ปรารถนาให้ชีวิตของตน ตลอดทรัพย์สมบัติ ด�ำเนินไปในทางแห่งความเจริญ เพื่อตกทอดหรือเป็น มรดกของชีวิต ให้แก่ลูกหลานสืบวงศ์ตระกูลสืบไปจึงควร ที่จะตรวจตราดูชีวิตของตนเองเสียแต่บัดน้ี เวลาน้ีเป็นต้นไป อย่ามัวรออนาคตอยู่เลยเพราะยังไม่ถึงมือ หรือมัวซบเซา 48
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132