สุ ภี ร์ ทุ ม ท อ ง
คำนำ หนังสือ “ธรรมะ ๔ ประการที่ทำให้ อยู่ใกล้พระนิพพาน” น้ี เรียบเรียงขึ้น จากคำบรรยายในหัวข้อ “สาระธรรมจาก พระสุตตันตปิฎก” ท่ีชมรมคนรู้ใจ ณ ห้อง พุทธคยา ช้ัน ๒๒ อาคารอัมรินทร์พลาซ่า ถนนเพลินจิต กรุงเทพฯ เป็นการบรรยาย ครั้งท่ี ๒๔ เม่ือวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๕๒ คณุ สนั ทนา เอมดษิ ฐ เปน็ ผถู้ อดเทป ผบู้ รรยาย ได้นำมาปรับปรุงเพิ่มเติมตามสมควร เน้ือหาท่ีบรรยายน้ันนำมาจากคัมภีร์ อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต พระไตรปิฎก เล่มท่ี ๒๑ ข้อ ๓๗ ซ่ึงพระพุทธเจ้าทรง แสดงถึงผู้ที่ประกอบด้วยธรรมะ ๔ ประการ เป็นผู้ท่ีจะไม่เสื่อม ช่ือว่าอยู่ใกล้พระนิพพาน
ธรรมะ ๔ ประการ คือ (๑) เป็นผู้สมบูรณ์ แล้วด้วยศีล (๒) เป็นผู้มีทวารอันคุ้มครอง แล้วในอินทรีย์ท้ังหลาย (๓) เป็นผู้รู้จัก ประมาณในโภชนะ (๔) เป็นผู้ประกอบ ความเพียรเคร่ืองต่ืนอยู่เสมอ แล้วทรงขยาย ความในแต่ละข้อน้ันโดยละเอียด ขออนุโมทนาผู้ที่เกี่ยวข้องในการทำ หนังสือเล่มน้ี และขอขอบคุณญาติธรรม ทั้งหลายที่มีเมตตาต่อผู้บรรยายเสมอมา หากมีความผิดพลาดประการใด อันเกิดจาก ความด้อยสติปัญญาของผู้บรรยาย ก็ขอขมา ต่อพระรัตนตรัยและครูบาอาจารย์ทั้งหลาย และขออโหสกิ รรมจากทา่ นผอู้ า่ นไว้ ณ ทน่ี ดี้ ว้ ย สุภีร์ ทุมทอง ผู้บรรยาย
สารบัญ สมบูรณ์ด้วยศีล ๓๑ มีอินทรียสังวร ๕๙ มีปัญญารู้จักประมาณในโภชนะ ๘๑ ประกอบความเพียรเครื่องต่ืนอยู่เสมอ ๙๙
ธ รรมะ ๔ ประการ ท่ีทำใหอ้ ยู่ใกลพ้ ระนิพพาน บรรยายวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๕๒ ขอนอบน้อมต่อพระรัตนตรัย สวสั ดคี รับท่านผ้สู นใจในธรรมะทุกท่าน วนั นบ้ี รรยายสาระธรรมจากพระสตุ ตนั ต ปิฎก ครั้งที่ ๒๔ มาพูดที่นี่ก็ครบ ๒ ปีแล้ว เดือนละครั้ง ๆ เป็น ๒๔ คร้ังไปแล้ว บางท่านไม่เคยฟังก็ไม่เป็นไร ลองฟังดู หรือบางคนเคยฟังมาแล้ว แต่ไม่ค่อยรู้เรื่องก็ ไมเ่ ปน็ ไรเหมอื นกนั ฟงั ไปเรอื่ ย ๆ บางคนคดิ วา่ รู้เร่ืองแล้วก็ปล่อยให้คิดไปก่อน ฟังต่อไปอีก
8 ธรรมะ ๔ ประการทีท่ ำให้อยู่ใกล้พระนิพพาน วันนี้พูดหัวข้อว่า “ธรรมะ ๔ ประการ ท่ีทำให้อยู่ใกล้พระนิพพาน” คำว่า “พระ นิพพาน” ก็เป็นคำท่ีอยู่ในใจของเราท้ังหลาย คือพวกเราพุทธบริษัทน้ี ก็จะนึกถึงคำนี้ อยู่เสมอ หรือผู้ที่ปฏิบัติธรรมก็อยากจะถึงกัน เหลือเกิน ผทู้ ี่ปฏบิ ตั ไิ ปบ้างพอสมควร ปฏบิ ัติ ได้หน่ึงเดือน สองเดือน สามเดือน หน่ึงปี สองปี ก็อยากจะรู้ อยากจะถึง พระนิพพาน นี้แม้แต่ในความฝันก็ไม่เคยเห็น เวลาฝันก็ ฝันเร่ืองหมาเร่ืองแมว หรือฝันว่าสามีไป มีก๊ิกอะไรก็ว่าไป แต่พระนิพพานไม่เคยฝัน ถึงเลย ไม่เคยผ่านเข้าใกล้เลย ทีน้ี ถ้าเรายังไม่เคยเห็นพระนิพพาน ไม่รู้ว่าพระนิพพานเป็นอย่างไร เราก็ดูธรรมะ ๔ ประการที่ทำให้อยู่ใกล้พระนิพพานนี้เข้าไว้ ให้ทำอยู่อย่างน้ีแหละ ฝึกฝนไป แล้วก็ ปฏิบัติอยู่ในธรรมะเหล่าน้ี ก็ชื่อว่าอยู่ใกล้
ธรรมะ ๔ ประการที่ทำใหอ้ ยู่ใกลพ้ ระนิพพาน 9 พระนิพพานแล้ว พระพุทธเจ้าท่านรับรอง เอาไว้ ถึงแม้เราจะยังไม่เห็น แต่เราอาศัย ปญั ญาตรัสรู้ของพระพทุ ธเจ้า เชือ่ ท่าน มนั่ ใจ ท่าน เรียกว่าตถาคตโพธิศรัทธา เช่ือมั่น ในปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า อันนี้แหละ ธรรมะ ๔ ประการนี้แหละ ทำให้อยู่ใกล ้ พระนิพพาน ทำให้อยู่ในสำนักพระนิพพาน เราก็ปฏิบัติฝึกฝนให้มีธรรมะเหล่านี้ ถึงยัง ไม่เห็นก็อาศัยศรัทธาไปก่อน ถ้าใครฝึกฝน ปฏิบัติจนกระทั่งอริยมรรคเกิดข้ึน ได้เห็น พระนิพพาน ก็เป็นปัญญาเฉพาะตนไป ซ่ึง อริยมรรคจะเกิดข้ึนก็ต้องมีศีล มีสมาธิ มีปัญญามาตามสมควร ท่ีจะมีศีล มีสมาธ ิ มีปัญญา ก็เกิดจากการฝึกฝน ให้มีสติ สัมปชญั ญะ มีความร้ตู ัว มาตามดกู ายดใู จให ้ เกดิ ปญั ญา
10 ธรรมะ ๔ ประการทท่ี ำใหอ้ ยใู่ กล้พระนิพพาน ทเี่ ราฝกึ ฝนปฏบิ ตั ธิ รรมกนั กเ็ พอื่ ใหถ้ งึ ฝง่ั คอื พระนพิ พาน อนั เปน็ สภาวะทไี่ มเ่ กดิ ไมแ่ ก่ ไมเ่ จบ็ ไมต่ าย ไมม่ กี ารเกดิ ไมม่ กี ารดบั ไมม่ กี ารเขา้ ไมม่ กี ารออก ไมม่ กี ารวนเวยี น ตอนนี้เรายังไม่ถึง แต่ก็มีพระธรรมเทศนา ที่พระพุทธเจา้ แสดงธรรมะ ๔ ประการเอาไว้ เราจะได้เอามาเป็นเครื่องเทียบการปฏิบัติของ ตนเอง พระสูตรนี้มาจากอังคุตตรนิกาย จตกุ กนบิ าต พระไตรปฎิ กเลม่ ที่ ๒๑ ขอ้ ๓๗ พระสตู รนแี้ สดงวา่ มธี รรมะอยู่ ๔ อยา่ ง ท่ีทำให้เป็นผู้ไม่เส่ือม ชื่อว่าเป็นผู้อยู่ใกล้ พระนิพพาน พระพุทธเจ้าทรงแจกแจงเอาไว้ โดยละเอียดแล้ว บอกหนทางไว้อย่างชัดเจน แต่ในการประพฤติปฏิบัติก็ไม่ใช่เร่ืองง่าย เพราะกเิ ลสมนั อยู่กับเรามานาน แลว้ เราก็ชอบ หลงไปตามโลก ฉะนั้น เวลาทเ่ี ราปฏบิ ัตธิ รรม
ธรรมะ ๔ ประการท่ีทำให้อยู่ใกลพ้ ระนิพพาน 11 ดเู หมอื นไมต่ อ้ งทำอะไร แคเ่ รยี นรไู้ ป ศกึ ษาไป ตามดไู ป ตามรู้ไป ใหจ้ ิตยอมรับความจริงได้ แต่ก็เหมือนกับต้องพายเรือทวนกระแสน้ำ เหมอื นกบั ตอ้ งใชแ้ รงเยอะ ตอ้ งใชค้ วามเขม้ แขง็ อดทนเปน็ อย่างมาก ทงั้ ๆ ท่ีไม่ตอ้ งทำอะไร ทไี่ มใ่ หท้ ำอะไรนแ่ี หละ มนั ยากทส่ี ดุ ตอ้ งอาศยั ความกล้าหาญเป็นอย่างมาก เวลาเขาด่าเรา เราไม่ต้องทำอะไร มันยาก แต่ถ้าได้ทำ อะไรบ้าง ได้ด่าคืน ได้ทำท่าไม่พอใจเขาบ้าง กส็ ะใจดีเหมอื นกัน อย่างเวลากิเลสเกิดขึ้น อยากกินนั่น อยากกินน่ี หากเราแค่ตามดูมันเฉย ๆ ไม่ต้องทำอะไร มันยาก ถ้าให้ขับรถออกไป หาอะไรกินตามใจกิเลส ต่อให้รถติดหรือ เสียเวลาเป็นชั่วโมงสองช่ัวโมง ไปนั่งกิน อาหารอร่อย กินได้แค่สามสิบนาทีก็เอา
12 ธรรมะ ๔ ประการทที่ ำใหอ้ ยูใ่ กลพ้ ระนพิ พาน ต้องทำอะไรยุ่งยากเป็นอันมากเพ่ือความ อร่อยเล็กน้อย เพราะว่าท้องมีเท่าน้ันแหละ ใส่เข้าไปเกินกว่านั้นไม่ได้ แน่นท้องแล้ว มันทนไม่ได้ การที่จะมีสติ มาตามรู้กาย ตามรู้ใจ แบบไม่ต้องทำอะไร เรียนรู้ตนเองไปอย่างที่ มันเป็น จึงดูเหมือนยาก เหมือนพายเรือทวน กระแสน้ำ ถ้าเราหยุดไม่ได้ดูใจตนเอง เราก็ตามใจไปเลย โดยปกติจะตามใจตนเอง ตลอด เราทั้งหลายเป็นอย่างน้ัน เวลามีกิเลส เกิดขึ้น ดูเหมือนจะลงแดงแล้ว จะตายแล้ว ตามใจมันหน่อย ก็จะมีเหตุผลท่ีน่าพอใจให้ กิเลส พอทำไปเรียบร้อยแล้วก็มาสำนึกผิด นิดหน่อย วันหลังก็เอาใหม่
ธรรมะ ๔ ประการทีท่ ำให้อยูใ่ กลพ้ ระนพิ พาน 13 การจะเป็นผู้ตามดูได้ ต้องมีความรู้ตัว อยู่เสมอ ไม่หลงลืมกาย ไม่หลงลืมใจ จะได้ ดกู ายดใู จได้ ถา้ ไมม่ คี วามรตู้ วั เรากจ็ ะหลงไป ไม่ได้ดูจิตใจตนเองแล้ว ทำอะไรต่าง ๆ ด้วยความไม่รู้ตัว ฉะน้ัน เราจะทำอะไรก็ ทำไปตามสมควร แต่ให้มีความรู้ตัวเข้าไว้ ทีนี้ในการฝึกฝนให้มีสติสัมปชัญญะ มีความ รตู้ ัว มาตามดูกายดูใจไปนั้น พระพุทธเจ้าได้ ทรงแสดงธรรมะ ๔ ประการ ที่จะเป็นเคร่ือง วัดว่า จะเป็นผู้ท่ีไม่เสื่อม ชื่อว่าอยู่ใกล้ พระนิพพานแล้ว พระองค์ตรัสไว้ว่า จตูหิ ภิกฺขเว ธมฺเมหิ สมนฺนาคโต ภิกฺขุ อภพฺโพ ปริหานาย นิพฺพานสฺเสว สนฺติเก
14 ธรรมะ ๔ ประการท่ที ำใหอ้ ยใู่ กล้พระนพิ พาน ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย ภิกษุผู้ประกอบ ด้วยธรรมะ ๔ ประการ เป็นผู้ท่ีจะไม่เสื่อม ชื่อว่าอยู่ใกล้พระนิพพาน ธรรมะ ๔ ประการเหล่าน้ีก็ดูเหมือน เราทราบกันมาบ้างแล้ว ลองฟังดูอีกรอบหนึ่ง แล้วก็นำไปทบทวนตนเองดูว่ามี ๔ ประการ น้ีหรือเปล่า ถ้ามี ก็ให้มั่นใจได้ว่า จะเป็นผู้ ไมเ่ สอื่ ม ชอื่ วา่ อยใู่ กลพ้ ระนพิ พานเรยี บรอ้ ยแลว้ พระนิพพานน้ันไม่ต้องไปหา เพียงฝึกฝนให้มี ธรรมะเหล่าน้ี ให้ธรรมะเหล่าน้ีเกิดข้ึนในจิต ในใจเท่าน้ันเอง ธรรมะทั้งหลายไม่เคยหนีเรา ไปไหน เราเกิดกับธรรมะแล้วก็ตายไปกับ ธรรมะน่ันแหละ อยู่ต่อหน้าต่อตาเราน่ันเอง ท้ังฝ่ายสังขารและฝ่ายวิสังขาร ทั้งฝ่ายท่ี เป็นขันธ์เป็นกองทุกข์และฝ่ายพระนิพพาน เพียงแต่เราไม่มีสติปัญญาพอจะมองเห็น
ธรรมะ ๔ ประการท่ที ำใหอ้ ยใู่ กล้พระนพิ พาน 15 เทา่ นนั้ เอง หนา้ ทข่ี องเราคอื ฝกึ ฝนใหม้ ดี วงตา ให้เกิดญาณ เราทั้งหลายชอบพากันไปหาธรรมะท่ีอื่น ไปหาที่พึ่งท่ีน่ันท่ีนี่ เวลาเกิดความสงสัยขึ้นมา สงสัยเราจะปฏิบัติผิด ความสงสัยเกิดขึ้น นึกว่าธรรมะอยู่ที่อื่นนอกจากนี้ ก็พากันวิ่งวุ่น หาคำตอบ แท้ที่จริงความสงสัยก็เป็นธรรมะ ความไม่รู้เร่ืองก็เป็นธรรมะนั่นแหละ ความ กลัวผิดก็เป็นธรรมะ เราท้ังหลายพยายามจะ ทำให้มันถูก เพราะว่าเรารักตนเอง กลัวผิด กลัวตัวเองจะไม่ดี แต่ความจริงแล้วมันไม่มี ตัวเรา เวลากลัวผิดให้รู้ลงไปว่ามันกลัว ฉะนั้น ให้เราค่อย ๆ ศึกษาเรียนรู้ไป ฝึกฝนให้มีธรรมะ ๔ ประการเหล่านี้ ไม่ต้อง ไปหาว่าธรรมะอยู่ท่ีไหน พระนิพพานอยู่ ที่ไหน อริยมรรคหน้าตาเป็นยังไง อย่าไปงง อย่าไปสงสัย ให้ฝึกฝนตนเองไป
16 ธรรมะ ๔ ประการท่ีทำให้อยูใ่ กลพ้ ระนิพพาน พระองค์ตรัสต่อไปว่า กตเมหิ จตูห ิ อิธ ภิกฺขเว ภิกฺขุ สีลสมฺปนฺโน โหต ิ อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวาโร โหติ โภชเน มตฺตฺู โหติ ชาคริยํ อนุยุตฺโต โหต ิ ธรรมะ ๔ ประการ มีอะไรบ้าง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรม วินัยนี้ เป็นผู้สมบูรณ์แล้วด้วยศีล เป็นผู้มีทวารอันคุ้มครองแล้วในอินทรีย์ ท้ังหลาย เป็นผู้รู้จักประมาณในโภชนะ เป็นผู้ประกอบความเพียรเครื่องตื่น อยู่เสมอ ประการที่หน่ึง สีลสมฺปนฺโน โหติ เป็นผู้ที่สมบูรณ์แล้วด้วยศีล เป็นผู้มีศีล
ธรรมะ ๔ ประการทีท่ ำให้อยใู่ กลพ้ ระนิพพาน 17 ให้รู้จักจิตท่ีมีความเป็นปกติ ไม่หลงไปตาม ความยินดียินร้าย จนกระทั่งไปก่อให้เกิด ความเดือดร้อนต่อตนเองและไปทำร้ายคนอ่ืน ไดเ้ หน็ เจตนาในใจตนเอง ถา้ ศีลยังไม่สมบูรณ์ เราก็สมาทานเอาไว้ก่อน เอาไว้เป็นข้อฝึกหัด ฝึกฝนตนเองไปเร่ือย ๆ ถ้าเคยทำผิดแล้ว ก็แล้วกันไป ตั้งใจเอาใหม่ ฝึกฝนเอาใหม่ เพ่ือให้เป็นผู้ที่มีศีลสมบูรณ์ ประการท่ีสอง อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวาโร โหติ เป็นผู้มีทวารอันคุ้มครองแล้วในอินทรีย์ ทั้งหลาย คุ้มครองในตอนท่ีเป็นอินทรีย์ คำว่า อินทรีย์ แปลว่า ส่ิงท่ีเป็นใหญ่ในการ ทำหนา้ ทท่ี แ่ี ตกตา่ งกนั รบั รอู้ ารมณไ์ ดแ้ ตกตา่ ง กันตามหน้าที่ ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูก ดมกล่ิน ล้ินรู้รส กายถูกต้องสัมผัสทางกาย ใจคิดนึกรู้สึกและรับรู้เร่ืองราวต่าง ๆ ที่ใจไป
18 ธรรมะ ๔ ประการทีท่ ำให้อยใู่ กล้พระนิพพาน รับรู้เข้า อย่าไปเป็นคนพิการ ให้เป็นคนปกติ ธรรมดา แต่ให้มีการคุ้มครองทวาร อย่าให้มี บาปอกุศลเกิดข้ึนครอบงำ เวลาท่ีตามองเห็น หูได้ยิน ใจคิด ซ่ึงธรรมะท่ีช่วยคุ้มครอง กค็ อื การมสี ติ มคี วามรตู้ วั อยเู่ สมอ เมอื่ ตามอง เห็นรูปแล้ว ถ้าเราไม่มีสติ ไม่มีสัมปชัญญะ กิเลสก็จะเกิดข้ึน และก่อตัวรุนแรงได้มาก ถ้าหลงไปนานกิเลสก็ตัวโต แข็งแรงข้ึน กิเลสก็เหมือนกับไฟไหม้บ้าน ถ้าปล่อย ให้ไหม้นาน ๆ เราก็หมดเลย ไม่เหลืออะไร สักอย่าง แต่ถ้ามันไหม้แป๊บเดียว เราเห็นมัน มันก็ดับไป มันตัวเล็กก็ไม่เป็นไร นี้ประการ ที่สอง เป็นผู้ท่ีมีทวารอันคุ้มครองแล้วใน ตอนที่เป็นอินทรีย์ เวลาตาเห็นรูป ก็ให้มี สติสัมปชัญญะ อย่าให้เกิดกิเลส ถ้าเกิด กิเลสก็ให้รู้ทันกิเลส อย่าให้มันตัวโต ให้มัน
ธรรมะ ๔ ประการทที่ ำใหอ้ ยู่ใกลพ้ ระนพิ พาน 19 ตัวเล็ก ๆ เข้าไว้ เห็นมันก็จะดับมันได้ ถ้ามันตัวเล็กไม่เห็น ก็เห็นตัวปานกลาง ถ้าตัวโตแล้วคงไม่ไหว ไม่ต้องไปสู้มัน เพราะ ไปสู้กิเลสก็มีแต่แพ้อย่างเดียว ต้องฝึกให้มี สติไวกว่านั้น สมาทานให้มีศีลเข้าไว้ อย่าไป ทำร้ายคนอื่นก็แล้วกัน น่ีอันที่สองฝึกฝนให้มี สติรู้เท่าทัน เวลาท่ีตามองเห็น หูได้ยิน จมูก ดมกลิ่น ล้ินรู้รส กายสัมผัส ใจคิดนึกรู้สึก ต่าง ๆ อย่าให้กิเลสมันครอบงำจิตใจ ประการท่ีสาม โภชเน มตฺตฺู โหติ เป็นผู้รู้จักประมาณในโภชนะ เป็นผู้ที่มี ปัญญา รู้ประมาณในการบริโภคใช้สอยปัจจัย ต่าง ๆ ในข้อน้ีท่านยกโภชนะคืออาหารข้ึน เป็นตัวอย่าง คำว่า ปัจจัย ก็คือ สิ่งของหรือ วัตถุต่าง ๆ ท่ีจะช่วยให้เราดำเนินชีวิตอยู่ได้ ทำให้เรารักษาชีวิตอยู่ได้ ไม่ตาย ซึ่งก็คือ
20 ธรรมะ ๔ ประการทที่ ำให้อยใู่ กล้พระนพิ พาน ปจั จยั ๔ ความเป็นผทู้ ่ีมีปญั ญารจู้ กั ประมาณ ในโภชนะ กินอาหารให้พอเหมาะ ตาม วัตถุประสงค์ เพ่ือให้หายหิว ให้ชีวิตดำรง อยไู่ ด้ จะไดม้ กี ำลงั ศกึ ษาเรยี นรตู้ อ่ ไป จนกระทง่ั จบการศึกษาในที่สุด กินมากเกินก็ไม่ดี ทำให้แน่นท้อง กินน้อยเกินไปก็ไม่ดี ทำให้ ไม่มีกำลัง ปัจจัยอื่น ๆ เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค และส่ิงของท่ีเราใช้สอยอ่ืน ๆ ก็ทำนองเดียวกัน โทรศัพท์มือถือ รถยนต์ อะไรต่าง ๆ เหล่าน้ี ให้มีปัญญารู้ประมาณใน การใช้สอย เราจะได้ไม่ตกเป็นทาสมัน พอไม่ ตกเปน็ ทาสมัน เรากจ็ ะไม่เหนอ่ื ย ไมท่ ุกข์มาก ถา้ เราตกเปน็ ทาสมนั เรากจ็ ะเหนอื่ ย จะทกุ ขม์ าก เสียเวลาในการไปเที่ยวแสวงหา บางทีไปหลง เอาส่ิงเหล่าน้ันเป็นเครื่องสนองอัตตาตัวตน
ธรรมะ ๔ ประการทีท่ ำใหอ้ ยู่ใกลพ้ ระนพิ พาน 21 สวมเส้ือก็ต้องมีย่ีห้อ ให้รู้สึกว่าตัวเรา ถ้าเส้ือ ไมม่ ยี ห่ี อ้ รสู้ กึ ตวั เลก็ ถา้ เสอื้ มยี ห่ี อ้ รสู้ กึ ตวั ใหญ่ อย่างน้ีก็มี ถ้าเราไม่มีปัญญารู้จักประมาณ ไม่รู้ เท่าทันกิเลส กิเลสก็จะเติบโตไปกับวัตถุ ส่ิงของท่ีเรามี มีมากก็กิเลสมากข้ึน มีมากก็ ยดึ มากขนึ้ ทกุ ขม์ ากขน้ึ ทกุ วนั มภี าระเยอะขนึ้ เหมือนท่ีเราท้ังหลายชอบเป็นกัน อยู่คนเดียว กด็ อี ยหู่ รอก แตม่ นั เหงา หามาอกี คนกแ็ ลว้ กนั จะได้มคี วามสุข แลว้ มนั ก็ไม่สขุ จริง สุขวูบ ๆ วาบ ๆ แล้วก็ทนทุกข์ทรมาน ฉะน้ัน เรื่องวัตถุสิ่งของต่าง ๆ ก็อย่า ไปมีเยอะมากนัก ให้มีตามสมควร ตามฐานะ ไม่ใช่ว่าต้องไปทำตัวปอน ๆ กระเซอะกระเซิง หรอก เพียงแต่ดูให้มันเหมาะสม น้ีประการ
22 ธรรมะ ๔ ประการทที่ ำใหอ้ ยู่ใกล้พระนิพพาน ที่สาม มีปัญญารู้จักประมาณในโภชนะและ ในวัตถุเครื่องใช้สอยต่าง ๆ ให้ใช้มันให้เกิด ประโยชน์ ให้ใช้มันตามวัตถุประสงค์ ไม่ตก เป็นทาสมัน ประการท่ีส่ี ชาคริยํ อนุยุตฺโต โหติ เป็นผู้ประกอบความเพียรเคร่ืองต่ืนอยู่เสมอ เป็นผ้ทู ี่ประกอบเนือง ๆ ซึง่ ชาครยิ ะ ชาคริยะ คือ ธรรมะเคร่ืองต่ืนอยู่เสมอ ไม่ใช่ไปหลับ ไปนิ่ง หรือว่าไปนอนเล่น สบายใจ มีความ สุขน่ิง ๆ อยู่ อย่างนี้ก็ไม่ได้ ต้องประกอบ ความเพียรต่ืนอยู่เสมอ ให้มีสติ มีความรู้ตัว อยู่เสมอ อย่าไปทำให้จิตมันซึม มันทื่อ มืดมัว หดหู่ ท้อแท้ แต่ฝึกให้จิตมันผ่องใส สดชื่น ว่องไว เหมาะสม อ่อนโยน ควร แก่การนำไปใช้งาน เพ่ือจะได้ดูกายดูใจให้ เกิดปัญญาเห็นความจริงได้
ธรรมะ ๔ ประการท่ีทำใหอ้ ยู่ใกล้พระนิพพาน 23 ธรรมะ ๔ ประการเหล่าน้ีเอง ท่ี พระพุทธเจ้ารับรองว่า อภพฺโพ ปริหานาย เป็นผู้ที่จะไม่เสื่อม นิพฺพานสฺเสว สนฺติเก ช่ือว่าอยู่ใกล้พระนิพพาน เราท้ังหลายฝึกสติสัมปชัญญะด้วย วธิ กี ารอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ แลว้ มาสำรวจตวั เอง เพยี รฝกึ ฝนไป ใหม้ ธี รรมะ ๔ ประการนเี้ กดิ ขึ้นมาในใจ หน่ึง สีลสมฺปนฺโน โหติ เป็นผู้ ที่สมบูรณ์แล้วด้วยศีล สอง อินฺทฺริเยสุ คุตฺตทฺวาโร โหติ เป็นผู้มีทวารอันคุ้มครอง แลว้ ในอนิ ทรยี ท์ งั้ หลาย สาม โภชเน มตตฺ ฺ ู โหติ เป็นผ้รู จู้ ักประมาณในโภชนะ สี่ ชาคริยํ อนุยุตฺโต โหติ เป็นผู้ประกอบความเพียร เครื่องต่ืนอยู่เสมอ
24 ธรรมะ ๔ ประการท่ีทำใหอ้ ยู่ใกลพ้ ระนิพพาน ในฝึกฝนให้มีธรรมะท้ัง ๔ ประการน้ี ก็เพื่อให้เป็นผู้ที่ประกอบเนือง ๆ ในชาคริย ธรรม คือ ธรรมะเป็นเคร่ืองต่ืน ธรรมะท่ี ทำให้จิตใจตื่น มีความปลอดโปร่ง ผ่องใส เบิกบาน น่ิมนวล มีความสุข ไม่หลงไป กับโลก ส่วนเราท้ังหลายน้ี โดยส่วนใหญ่จะต่ืน แต่ร่างกาย แต่ใจไม่ต่ืนเลย มัวแต่คิด มัวแต่นึก ในหัวสมองมีแต่เสียงพูดไม่หยุด ทำอะไรเหมือนคนละเมอ พูดก็ละเมอพูด ทำก็แบบละเมอทำ เวลาเห็นอะไรแล้วก็หลง เป็นจริงเป็นจังไป นั่นคน น่ันหญิง น่ันชาย นั่นแมว นั่นหมา น่ันไฟเขียว น่ันไฟแดง พูดไปเรื่อยท้ังวันท้ังคืน เสียงพูดในหัวอันน้ี ท่านเรียกว่าวจีสังขาร มันเป็นไปตามวิตก วิจาร จิตมันยังไม่ตื่น มัวแต่หลงไปตามโลก
ธรรมะ ๔ ประการท่ที ำให้อย่ใู กล้พระนพิ พาน 25 รู้เร่ืองน้ันเรื่องนี้เยอะแยะไปหมด แต่ไม่รู้ สึกตัวเลย กายเป็นยังไง ก็ไม่รู้ จิตใจเป็น ยังไง ก็ไม่รู้ เราทั้งหลายเป็นกันอย่างน้ี จมอยู่ในโลก ไม่เคยต่ืนเลย เป็นคนหลับ คนประมาท ใช้ชีวิตอย่างขาดสติ ขาดความ รตู้ วั จงึ พากนั เกดิ กเิ ลส และเกดิ ทกุ ขไ์ มส่ น้ิ สดุ เราต้องฝึกฝนให้จิตต่ืน ตื่นขึ้นจาก ความหลง เป็นจิตท่ีเบิกบาน ผ่องใส ตั้งมั่น เป็นการฝึกจิตให้พร้อมสำหรับการเรียนรู้กาย เ รี ย น รู้ ใ จ ใ ห้ เ กิ ด ปั ญ ญ า เ ห็ น ค ว า ม จ ริ ง ไ ด้ การมีศีล มีการคุ้มครองทวารในอินทรีย์ มีปัญญารู้ประมาณในโภชนะ น้ีก็เป็นการฝึก ให้มีศีล และฝึกรู้จักจิตใจให้ละเอียดยิ่งข้ึน เวลาที่รับรู้อารมณ์ต่าง ๆ จะได้รู้เท่าทันจิตใจ ตนเอง เวลาบริโภคใช้สอยปัจจัย เวลาไป สัมพันธ์กับวัตถุส่ิงของต่าง ๆ จะได้เห็นจิต
26 ธรรมะ ๔ ประการทีท่ ำให้อยใู่ กล้พระนิพพาน เห็นใจตนเอง ต้องเห็นและรู้เท่าทันจึงจะละ สิ่งท่ีไม่ดีได้ ถ้าไม่เห็น ไม่รู้เท่าทัน เราก็จะ หลงไปทำตามกิเลส โดยพนื้ ฐานแลว้ ทกุ คนมกี เิ ลสครบหมด ยังละไม่ได้ พอมีเหตุกิเลสก็เกิดขึ้น เลย เรียกว่า ปุถุชน แปลว่า ผู้มีกิเลสหนาแน่น ผทู้ ม่ี กี เิ ลสเกดิ ไดบ้ อ่ ย ๆ มนั พอ ๆ กนั ทกุ คน อย่าไปมีมานะว่าเราดีกว่าใคร เราเก่งกว่าใคร มันพอ ๆ กันแหละ เพราะมีกิเลสจึงได้ เกิดมา เพราะไม่รู้อริยสัจจึงเกิดมา ยังละ กิเลสไม่ได้ เพียงแต่ตอนน้ียังไม่มีเหตุให้เกิด แต่ต่อไปก็ไม่แน่เหมือนกัน เมื่อจุดตั้งต้นของเราเป็นผู้ท่ีมีกิเลส หนาแน่น มีกิเลสครบ ยังละให้เด็ดขาดไม่ได้ เลยสักตัว หน้าที่ของเราก็คือฝึกฝนให้รู้ว่า
ธรรมะ ๔ ประการทที่ ำให้อย่ใู กลพ้ ระนพิ พาน 27 ตัวเองมีกิเลสเยอะ เมื่อรู้จึงจะละกิเลสได้ ทเี่ ราไปกระทำ ไปพดู ไปคดิ เคยเหน็ มนั ไหม กิเลสมันสั่งเราไปทำทั้งวันท้ังคืน ไปพูดให้ เหตุผลอย่างน้ันอย่างน้ีอย่างดีน่าเชื่อถือ ก็ทำ เพ่ือตัวเองทั้งนั้นแหละ ลองสังเกตดู แม้แต่ ไปทำบุญก็ทำเพ่ือตนเอง ลองสังเกตจิตใจดู การรู้จักเรียกว่ามีปัญญา การรู้ว่าสิ่งไหนผิด นี้เป็นต้นทางที่จะละมันได้ เวลาเก่ียวข้อง กับเร่ืองต่าง ๆ ให้เฝ้าดู ตามดู มองเห็น จิตใจของตนเอง เม่ือมองเห็นจิตใจของ ตนเอง เราก็จะได้ตื่นข้ึนมาจากความหลง ทไี่ ปเขา้ ใจผดิ คดิ วา่ มตี วั เราจรงิ เราดี เขาไมด่ ี เราถูก เขาผิด
28 ธรรมะ ๔ ประการทท่ี ำให้อยใู่ กล้พระนิพพาน การท่ีเราไปเท่ียวตัดสินส่ิงต่าง ๆ ตาม ความยึดถือของตัวเองว่า สิ่งน้ันดี ส่ิงน้ัน ไม่ดี น้ีถูก นี้ผิด นี้น่าเอา นี้ไม่น่าเอา นี้สำคัญ น้ีไม่สำคัญ นี้มันเป็นอคติในใจ เป็นสิ่งที่เราคิดเดาเอาเอง อยู่ในโลกของ ความฝันของตัวเอง โดยความจริงแล้ว แม้แต่ตัวเราเองยังไม่มีจริง คนอื่นจะมีได้ อย่างไร แม้แต่ตัวเราเองยังไม่มีจริง ไม่ต้อง ไปพูดถึงอันอื่น ท่ีดูเหมือนมีส่ิงน้ันสิ่งน้ี เยอะแยะ เพราะเราหลับเท่านั้นเอง ถ้าเรา ฝึกฝนให้จิตมันตื่นขึ้นมาจากโลก ก็จะได้ เรียนรู้ความจริง ความจริงของกายของใจน้ี มันไม่ใช่ ตัวเรา มันประกอบไปด้วยส่วนประกอบ ๕ ส่วน เรียกว่า ขันธ์ ๕ แยกอย่างย่อ ๆ
ธรรมะ ๔ ประการทที่ ำใหอ้ ยใู่ กล้พระนพิ พาน 29 ก็ว่าเป็นรูป เป็นนาม เกิดเพราะเหตุปัจจัย เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไหลเร่ือยไปไม่หยุดดังกระแสน้ำ เม่ือเห็น ความจริงของมันอย่างน้ี ก็จะถอดถอน ความเห็นผิดและความยึดม่ันถือม่ันในมันได้ เราฝกึ ฝนไปอยา่ งน้ี ใหม้ ธี รรมะ ๔ ประการน้ี เปน็ พน้ื ฐาน แลว้ กเ็ รยี นรกู้ ายรใู้ จไป กช็ อื่ วา่ เป็นผู้อยู่ใกล้พระนิพพานเรียบร้อยแล้ว
๑ ส มบรู ณด์ ว้ ยศีล ต่อไปพระองค์จะขยายความแต่ละ อย่าง ๆ ต่อไป ประการท่ี ๑ มีบาลีว่า กถจฺ ภกิ ขฺ เว ภกิ ขฺ ุ สลี สมปฺ นโฺ น โหติ อิธ ภิกฺขเว ภิกฺขุ สีลวา โหติ ปาติโมกฺขสวรสวุโต วิหรติ อาจารโคจรสมฺปนฺโน อณุมตฺเตสุ วชฺเชสุ ภยทสฺสาวี สมาทาย สิกฺขติ สิกฺขาปเทสุ
32 ธรรมะ ๔ ประการทที่ ำใหอ้ ย่ใู กล้พระนิพพาน ดกู อ่ นภกิ ษทุ งั้ หลาย ภกิ ษเุ ปน็ ผสู้ มบรู ณ์ แล้วด้วยศีล อย่างไรเล่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรม วินัยนี้ เป็นผู้มีศีล มีความสำรวมด้วยความสำรวมระวังใน พระปาติโมกข์ สมบูรณ์ด้วยอาจาระและโคจรอย่ ู มปี กตเิ หน็ ภยั ในโทษมปี ระมาณเลก็ นอ้ ย สมาทานปฏิบัติในสิกขาบททั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ สีลวา โหติ เป็นผู้มีศีล ต้องเข้าใจคำว่า มีศีล ให้ดี ถ้าเรายังต้องไปรักษาศีลอยู่ แสดงว่าไม่มีศีล จึงต้องรักษาศีล ถ้าเราไปเจริญเมตตา แสดง ว่าไม่มีเมตตาจึงไปเจริญเมตตา ที่เราต้องมา สวดมนต์นึกถึงพระพุทธเจ้าเพราะว่าไม่เคย
สมบูรณด์ ้วยศลี 33 นกึ ถงึ เลย จงึ มานง่ั นกึ ถงึ พระพทุ ธเจา้ เราตอ้ ง ฝึกให้มี การมีศีลก็ต้องฝึกเอา ทำให้มีขึ้น ถา้ มเี รากไ็ ดใ้ ช้ ไดเ้ หน็ ไดร้ จู้ กั ไดร้ บั ประโยชน์ จากศีล ศีล นี้แปลว่า จิตที่มีความเป็นปกติ ปกตมิ ันกจ็ ะเบาสบาย มคี วามสุข ปลอดโปร่ง ถ้าจิตมีศีลอยู่ มีความเป็นปกติอยู่ พอมี ความผิดปกติขึ้นมามันก็จะเห็นได้ง่าย รู้ทัน ได้ง่ายว่ามีส่ิงแปลกปลอมโผล่ข้ึนมาแล้ว การท่ีเราเห็นส่ิงผิดปกติท่ีเกิดข้ึนในจิตใจ ตนเอง เรียกว่า มีศีล เห็นเจตนาไม่ดีต่าง ๆ มันบีบทำร้ายจิตใจ เห็นความอาฆาตพยาบาท เกิดข้ึน เหน็ ความอยาก ความต้องการแรง ๆ ผุดข้ึนมา เม่ือเห็นมันก็ไม่ทำตาม งดเว้นการ ทำไม่ดีออกไปได้ น้ีเรียกว่า คนมีศีล
34 ธรรมะ ๔ ประการที่ทำให้อยใู่ กลพ้ ระนิพพาน วิธีการจะมีก็ฝึกให้เกิดศีลก็โดยการที่ ต้องมีสติสัมปชัญญะ มีความรู้ตัวอยู่เสมอ ให้มีสติในการทำ การพูด การคิด ฝึกก็โดย ตามดูกายดูใจไว้เสมอ ไม่หลงลืม ฝึกแล้ว ให้จิตมีศีล ไม่ใช่ฝึกแล้วต้องไปคอยระวัง กันไม่ให้มีการกระทบอารมณ์ ไม่ให้เห็น ไม่ได้ได้ยิน กันไม่ให้กิเลสเกิด น้ีมันยังไม่ได้ เร่ือง ฝึกอย่างน้ีต้องไปอยู่ถ้ำ หรือไม่ก็ไปอยู่ ห้องคนเดียว อย่าไปเจอใครเลย บางทีได้ เขา้ ใจผดิ ข้นึ ไปอกี วา่ ตัวเองกิเลสลดเยอะแลว้ ไม่มีกิเลสเกิดเลย สองสามวันแล้ว หนีไปอยู่ ห้องคนเดียวอย่างน้ันมันก็ไม่มีข้อพิสูจน์ กิเลสจะลดหรือไม่ลด มีศีลจริงหรือ ศีลปลอม กต็ อ้ งดูตอนกระทบอารมณ์ ดตู อน โดนคนด่าหรือโดนคนตีเอา ถ้ามีศีล ก็จะ
สมบรู ณ์ด้วยศลี 35 ละเว้นการกระทำที่ผิดพลาดด้านกายวาจาได้ เม่ือมีความผิดปกติเกิดข้ึนมาในใจ มีความ โกรธ ความไม่พอใจ ก็จะมองเห็น อยากจะ พูดไม่จริงก็มองเห็น เห็นแล้วก็ละไป ไม่พูด อย่างนี้เรียกว่ามีศีล การเป็นผู้มีศีลน้ัน มีลักษณะเป็น อย่างไรบ้าง พระพุทธเจ้าขยายความต่อไปว่า ปาติโมกฺขสวรสวุโต มีความสำรวมด้วยความ สำรวมระวังในพระปาติโมกข์ ปาติโมกข์ คือ ข้อปฏิบัติหลักอันเป็นพ้ืนฐาน อย่างฆราวาส เราก็เป็นสิกขาบท ๕ มีสติสำรวมระวังใน สิกขาบท ๕ ข้อนั้น การสำรวมระวัง ก็คือ ได้เห็นเจตนาในใจตนเอง เวลาท่ีเกิดความ โกรธไม่พอใจ จะไปเบียดเบียนทำร้ายผู้อื่น มองเห็นแล้วก็ไม่ทำ เห็นเจตนาท่ีอยากจะได้
36 ธรรมะ ๔ ประการท่ที ำให้อย่ใู กลพ้ ระนิพพาน ของท่ีเขาไม่ได้ให้ คดโกง ฉ้อฉล มองเห็น แล้วก็ละ เห็นเจตนาที่ต้องการไปทำผิดใน เรื่องชู้สาวกับสามีหรือภรรยาผู้อื่น กับลูกของ ผู้อื่น กับบุคคลท่ีเขามีเจ้าของจองเอาไว้ หรือบุคคลหวงห้าม มองเห็นแล้วก็ละ เห็น เจตนาท่ีจะไปโกหกคนอ่ืน มองเห็นแล้วก็ละ สติระดับนี้เป็นข้ันต้น มีความรู้ตัวเวลาทำ เวลาพูด เวลาคิด ได้เห็นเจตนาในใจเวลาท่ี จะพูดจะทำ ทำให้เกิดศีลขึ้นมาในใจ ในการฝึกให้มีสติสัมปชัญญะ ไม่ใช่ฝึก ไม่พูด ให้พูด แต่ให้รู้ทันเจตนาเวลาเรา จะพูด เลิกพูดไม่ดี พูดให้ดี ถ้าแต่เดิมมัน พูดไม่ค่อยดีเลย ก็หยุดพูดไปซะก่อน ดีแล้ว เพราะพูดมาเยอะแล้ว หยุดพูดไปก่อนให้เห็น เจตนาในใจตนเอง น่ีมันอยากจะพูด จะพูด
สมบูรณด์ ้วยศลี 37 เพราะคดิ อยา่ งนี้ ๆ จะพดู เพราะรสู้ กึ อยา่ งนี้ ๆ พอเห็นบ่อย ๆ ก็รู้ทันมัน ต่อไป เวลาเราจะ ทำจะพูด ก็จะมีความสำรวมระวังได้ดียิ่งข้ึน หา่ งไกลจากความผดิ พลาดเพม่ิ ขน้ึ สตินั่นเอง เป็นตัวสังวร ข้อปฏิบัติข้ันพื้นฐานน้ีสำคัญนะ ถ้า ไม่มีศีลเป็นพื้นฐานแล้วการปฏิบัติต่อไปก็ไม่ ได้ผลอะไร บางคนเขาก็ไปข่มกิเลสเอาไว้บ้าง บางคนก็ไปทำจิตให้มันนิ่ง ๆ บ้าง หลบหนี อารมณ์ไม่เจอผู้คนบ้าง แต่ใจไม่เกิดศีลเลย อย่างนี้ยังใช้ไม่ได้ บางคนก็สมาทานศีลตั้งแต่ เกิดจนตาย ขออยู่น่ันแหละ ขอทุกงาน ทีเดียว แต่ใจก็ไม่เคยมีศีลเลย อย่างน้ีก็ใช้ ไม่ได้ การมีศีลคือการรู้ทันเจตนาในใจตนเอง
38 ธรรมะ ๔ ประการทท่ี ำใหอ้ ย่ใู กลพ้ ระนิพพาน ฉะน้ัน ต้องฝึกให้มีสติ มีความรู้ตัว ไม่ใช่ฝึกข่มเอาไว้ หรือฝึกแบบทำเป็นซึม ๆ ท่ือ ๆ เชื่อง ๆ เอาไว้ แบบนั้นมันจะไม่เห็น เจตนาในใจตนเอง รู้ไม่ทันจิตใจตนเอง เมื่อไม่เห็น ก็ไม่มีความละอาย ไม่เกิดศีล จิตไม่เกิดศีลเราก็ต้องคอยรักษา แบบนั้น รักษาศีลจนตายก็จะไม่มีศีล เหมือนพวกทำ สมาธิจนตายก็ไม่เคยมีสมาธินั่นแหละ แบบ นน้ั ใชไ้ มไ่ ด้ เวลาอยากมีสมาธกิ ็ไปเขา้ หอ้ งพระ กราบพระสวดมนต์ แล้วก็น่ังหลับตา ทำซึม ออกมานอกห้องพระก็วุ่นวายใหม่ สักหน่อย ก็ไปเข้าใหม่ หรือบางพวกก็ดีหน่อย ไปเข้า กรรมฐานหกวันเจ็ดวัน ก็ดีอยู่ ออกมาก็มา วุ่นกันใหม่ เข้า ๆ ออก ๆ อยู่อย่างนี้ ไม่เคยรู้จักจริง ๆ เลยว่ากรรมฐานเป็นยังไง
สมบูรณด์ ้วยศลี 39 โดยความจริงแล้ว การฝึกกรรมฐาน ก็หมายถึง การฝึกให้รู้เท่าทันจิตใจตนเอง น่ันแหละ โดยใช้อารมณ์กรรมฐาน คือ ที่ต้ัง ท่ีจะทำให้เกิดสติสัมปชัญญะ ให้จิตเกิดความ ตื่นตัว ตัวกรรมฐาน ก็คือ ตัวอารมณ์อัน เป็นตั้งที่จะทำให้จิตใจได้เกิดการทำงาน ได้ มองเห็นตัวมัน จะได้ไม่หลงไปทำอย่างอ่ืน ไม่เอาใจไปไว้ท่ีอื่น ให้ใจได้มีท่ีต้ัง มีท่ีทำงาน ดูลมหายใจก็ไม่ใช่ไปนอนอยู่กับลมหายใจ ลมหายใจเป็นท่ีตั้งให้เกิดความรู้ตัว รู้สึกถึง จิตใจ ได้เห็นความรู้สึกว่า สบาย ไม่สบาย เห็นความอยาก ความต้องการ ความโลภ โกรธ หลง ได้เห็นความคิดต่าง ๆ ท่ีเกิดขึ้น ในใจ
40 ธรรมะ ๔ ประการท่ีทำใหอ้ ยู่ใกล้พระนพิ พาน การเดินจงกรมก็เหมือนกัน ไม่ใช่เดิน แบบไปจมอยู่กับเท้า เดินเพื่อให้เกิดความ รู้สึกตัว ไม่มัวแต่หลง ไม่มัวแต่คิดเรื่องน้ัน เร่ืองน้ี ได้เห็นจิตเห็นใจตนเองว่า มันเกิด ความยินดี เกิดความยินร้าย คิดนั่น คิดนี่ พอใจ ไม่พอใจ มีความรู้สึกอะไรเกิดขึ้น อย่างนี้เรียกว่าทำกรรมฐาน ที่ตั้งของการ ทำงานด้านจิต เมื่อมีความรู้ตัว ก็จะรู้ว่า จติ มนั ทำงานของมนั ทงั้ วนั เดยี๋ วไปคดิ เรอื่ งนน้ั เด๋ียวไปคิดเร่ืองนี้ เด๋ียวรู้สึกอย่างนั้น เด๋ียว รู้สึกอย่างนี้ เด๋ียวเห็นทางตา เดี๋ยวคิดทางใจ เด๋ียวอยากได้ ส่ังเราไปทำอย่างนี้ เดี๋ยวอยาก แก้แค้นคนน้ี ส่ังเราไปพูดอย่างนั้นอย่างน้ี ตอนแรกสุด การฝึกกรรมฐานก็ฝึกให้ เกิดศีลนั่นแหละ บางคนชอบไปพูดว่า ไป ปฏิบัติวิปัสสนา ตอนต้นยังไม่ถึงวิปัสสนา
สมบรู ณด์ ้วยศลี 41 หรอก ต้องให้ได้ธรรมะ ๔ ข้อให้ครบก่อน จึงจะเป็นวิปัสสนาในภายหลัง เราฝึกฝนได้ศีลก็ดีแล้ว ไม่ต้องมาคอย นั่งสมาทานอยู่ตลอดปีตลอดชาติ ทำให้มันมี ศีลเกิดข้ึนในใจ ถ้ามีก็จะได้ใช้ มีศีลคอย รักษา หมาเห่าแล้วไม่พอใจ รู้ว่าไม่พอใจ เราก็ไม่มีเจตนาจะไปทำร้ายหมา นี่เรียกว่ามี ศีลแล้ว เมื่อหมาเห่าศีลก็ไม่ขาด ละเจตนา รา้ ย ๆ ได้ แตเ่ ดมิ นนั้ พอหมาเหา่ เทา่ นนั้ แหละ เท้าไปเลย หรือด่ามันเลย คำหยาบออกมา เพียบ อย่างนี้เรียกว่าศีลไม่ดี มีเจตนาทำร้าย หมา ยังใช้ไม่ได้ เราเห็นสิ่งของ เกิดอยากได้ เรารู้ว่าอยากได้ ก็ไม่ทำตามความอยาก ไม่หลอกลวงคนอื่นเพ่ือให้ได้ส่ิงน้ันส่ิงน้ีมา แ ต่ ถ้ า เ ร า รู้ ไ ม่ ทั น กิ เ ล ส ใ น ใ จ ท่ี มั น เ กิ ด ข้ึ น จิตใจไม่เป็นปกติ มีแต่ความเศร้าหมอง
42 ธรรมะ ๔ ประการท่ีทำให้อยใู่ กล้พระนิพพาน มีแต่ความมืดมัว มันก็มองไม่เห็น พาให้เรา ไปทำผิดได้ง่าย จึงต้องมีการสำรวมระวัง เอาไว้ก่อน ถา้ เรายงั ไมม่ ศี ลี ทส่ี มบรู ณ์ กต็ อ้ งสมาทาน รักษาเอาไว้ก่อน รักษาสิกขาบทเป็นข้อ ๆ อย่างน้ันก็ถูกแล้ว แบบน้ันมันยังไม่มั่นคง ต้องคอยเตือนตนเองไว้ ถ้าเป็นผู้ท่ีมีศีล มันไม่เหนื่อย ไม่ยุ่งยาก ศีลคอยรักษา เหมือนกับเรามีเงินเราก็ได้ใช้ มีเมตตาเรา ก็ไม่เหน่ือย ไม่ต้องมาคอยเมตตาคนอื่น ถ้าเราไม่มีเมตตา เมตตาไม่เกิด คนอื่นมา ด่าเรา เราไม่พอใจ โกรธเขา อยากจะมี เมตตาก็ต้องว่า เป็นสุข ๆ เถิด อย่างนี้ มันเหนื่อย ทำไม่ค่อยได้ แต่ถ้าเรามีเมตตา อยใู่ นใจเราแลว้ เขาจะดา่ เรากเ็ มตตาไดอ้ ยแู่ ลว้ เพราะทกุ คนเปน็ เพอื่ น เกดิ แก่ เจบ็ ตาย
สมบรู ณ์ดว้ ยศีล 43 เขาด่า เขาโกรธเอง ไม่พอใจเอง ได้รับผล เป็นทุกข์ของเขาเอง ไม่ได้มีอะไร น่าสงสาร ถ้าเรายังไม่มีศีล ไม่มีเมตตา ไม่มี ธรรมะ เราก็ทำไม่ได้ ทำไม่เป็น เหมือนเรา ต้องมานึกถึงพระพุทธเจ้าอยู่บ่อย ๆ เพราะ เราไม่มีพระพุทธเจ้าอยู่ในใจ ไม่มีสติ ไม่มี สัมปชัญญะ ไม่มีการรู้อยู่ในจิตในใจเรา ถ้าเรามีความรู้ตัวอยู่เสมอ มีสติอยู่เสมอ ก็ไม่ต้องมาคอยพูดถึงพระพุทธเจ้า เพราะเรา ก็รู้สึกถึงท่านอยู่ ที่พูดนี้ก็เพ่ือให้รู้จักคำว่า มีศีล สีลวา แปลว่า เป็นผู้มีศีล โดยการแสดงออกของ การเป็นผู้มีศีล ก็มีแสดงขยายความต่อมาว่า ปาติโมกขสังวรสังวุโต เป็นผู้ที่สำรวมระวัง ด้วยการสำรวมในปาติโมกข์ คำว่า สำรวม ระวังนี้เป็นชื่อของสติ ถ้ามีสติมีสัมปชัญญะ
44 ธรรมะ ๔ ประการทท่ี ำให้อย่ใู กล้พระนพิ พาน เราจะเห็นเจตนาในใจตนเอง เวลาท่ีเกิดกิเลส แล้วจะพาเราไปทำหรือไปพูด ก็จะเกิดส่ิงผิด ปกติ เกดิ ความบบี คนั้ ในใจ เมอ่ื เหน็ รเู้ ทา่ ทนั ละการกระทำผดิ พลาดเสยี ได้ กายวาจากถ็ กู ตอ้ ง ต่อไป อาจารโคจรสัมปันโน ถึงพร้อม ด้วยอาจาระและโคจร อาจาระ คือ ความ ประพฤติด้านกายวาจา สัมปันโน คือ ความ ถึงพร้อม ถึงพร้อมด้วยความประพฤติท่ีดี งามถูกต้อง คำว่า ดีงาม หมายถึง ไม่มี มารยาสาไถ ไมเ่ กดิ จากกเิ ลส เปน็ การกระทำ ท่ีตรง โดยส่วนใหญ่เราทั้งหลายนั้น กิริยา อาการทางกายวาจา ดสู วยแตข่ า้ งนอก แตข่ า้ ง ในนั้นไม่ค่อยสวย ถือมีด ถือพร้า ถือค้อน อยู่ข้างในเต็มไปหมด บางทีก็แยกเขี้ยวใส่กัน แต่พูดออกมาหวานทีเดียว อย่างน้ันอาจาระ
สมบรู ณ์ด้วยศีล 45 ไม่ดี เพราะเกิดจากจิตอกุศล เป็นจิตที่ไม่ ตรงต่อความจริง ไม่ตรงต่อตัวเอง แต่ก็ยังดี กว่าไปด่าคนอื่น เราต้องฝึกฝนไปให้เห็นมัน ละการกระทำที่เกิดจากจิตอกุศล ก็จะมีความ ประพฤติท่ีดี การกระทำทเ่ี กดิ จากจติ กศุ ลนนั้ บางคน พยายามทำเหลือเกิน พยายามให้เกิดกุศล พยายามทำให้มันดี แต่โดยความจริง กุศล หรือธรรมะฝ่ายดีนี้มันบังคับไม่ได้ ฝ่ายดีหรือ ว่าฝ่ายเป็นบุญฝ่ายกุศล มันเกิดจากการ ละบาป จะละบาปได้โดยการรู้ทันมัน ฉะนั้น อย่าไปพยายามทำกุศล ให้พยายามละบาป ละการกระทำดว้ ยเจตนาทไี่ มด่ เี สยี กอ่ น บางคน ก็พยายามทำกุศลเป็นอันมาก ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ทอดแล้วทอดอีกอยู่น่ันแหละ
46 ธรรมะ ๔ ประการท่ีทำให้อยูใ่ กล้พระนพิ พาน อันน้ีเราอย่าไปคิดว่าทำกุศลเยอะ เด๋ียวจะ หลอกตัวเองไปอีก กุศลแท้จริง ก็คือการละ บาปได้น่ันเอง ดูท่ีการละกิเลส บุญแท้จริง กค็ อื การละบาป ชำระจติ ใจใหม้ นั ขาวสะอาดขน้ึ ต้องรู้จักตัวเองว่า เรามีกิเลสครบ ยังละไม่ได้ เม่ือมีเหตุมันก็จะเกิดข้ึน เราต้อง ฝึกฝนให้รู้ทันกิเลส จะได้ละบาปไป อย่างเรา ให้ทานก็เพ่ือละความตระหน่ี ละบาป ไม่ใช่ จะไปเอาบุญ ไปเอาบุญมันไม่ได้บุญหรอก เพราะบญุ คอื การชำระจติ ทอี่ ยากจะเอา แตโ่ ดย ส่วนใหญ่เราชอบไปทำบุญ ไม่เคยชำระความ เห็นผิด ๆ หรือความอยากตัวเอง มันเลยไม่ ได้บุญสักที ทำบุญไม่ข้ึน กิเลสไม่ลด กุศล ไม่เจริญ ไปทำบุญมาหลายวัดก็ยังข้ีโกรธ เหมอื นเดมิ ไปวดั ทำบญุ รกั ษาศลี สมาทานศลี
สมบูรณด์ ว้ ยศลี 47 อุโบสถ อย่างนั้นอย่างนี้ พอออกมาก็ยัง ดา่ ลกู ดา่ หลานเหมอื นเดิม บ่นสามเี หมอื นเดมิ ใครเข้าใกล้ก็ร้อนเป็นไฟเหมือนเดิม อย่างนี้ เรียกว่ายังไม่ได้บุญ เพราะบุญเป็นช่ือของ ความสุข ความเย็นสบาย ความปลอดโปร่ง โล่งเบา ท่ีเราทำบุญไม่ข้ึนอย่างนั้น เพราะไม่ เข้าใจความหมายของบุญ บุญก็คือเคร่ือง ชำระจิต ให้จิตไม่เป็นบาป จะชำระบาปได้เรา ต้องรู้จักบาป รู้จักอกุศล การละบาปท่ีแรง ๆ เรียกว่า ศีล ตัว วัดของศีลก็คือการละทุจริตออกไป ละกาย ทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริตออกไป จิตมีศีล นี่แหละเรียกว่า เป็นบุญ พระพุทธเจ้าท่านก็ สอนเอาไว้ ตอนแรกไม่ทำช่ัว ไม่ทำบาป ทำกุศลให้ถึงพร้อม แล้วทำจิตให้ผ่องแผ้ว
48 ธรรมะ ๔ ประการทท่ี ำใหอ้ ยใู่ กลพ้ ระนพิ พาน แต่พวกเราน้ี พอพูดเรื่องบุญ บุญให้ผลดี อย่างนั้นอย่างน้ี ก็รักบุญ หรือเลยเถิดไปจน กระท่ังเมาบุญ ใครเอาบุญมาล่อก็ตระครุบ กันใหญ่ แต่ไม่เคยย้อนมาดูตัวเองว่าละกิเลส อะไรได้บ้าง เราตอ้ งศกึ ษาใหเ้ ขา้ ใจ ไมใ่ ชไ่ ปมวั หลงบญุ บางคนเขาเอาสมาธมิ าลอ่ ใหเ้ ราไปฝกึ นง่ั เงยี บ สงบน่ิงอยู่ ไปทำบุญกันเยอะ แต่กิเลสไม่ ลดเลย ความเข้าใจผิดก็ไม่ลด ความขี้โกรธ กไ็ มล่ ด ขบี้ น่ กไ็ มล่ ด ความยดึ ถอื อะไรตา่ ง ๆ ก็ไม่ลดเลย ลดแต่ตอนนั่งห้องพระน่ันแหละ ทำไมมันจะไม่ลดล่ะ ก็ไม่มีใครกวนเลย ได้น่ังสงบและได้ความภูมิใจเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วก็ตายทิ้งไปเฉย ๆ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116