แม่เป็นผู้เนรมิตบันดาลสุขทุกกรณี ต้องการสิ่งใด ๆ ก็ตาม แม่บันดาลสุขให้ ทุกกรณี เพราะฉะนั้นในโอกาสนี้ด้วยเวลาอันน้อยนิดนี้ การท่ีลูก ๆ ได้บ�ำเพ็ญบุญกุศล อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ๑๐ ประการ ตามหลักศาสนาแล้ว จึงนับว่าเป็นประโยชน์ต่อ ดวงวญิ ญาณของคุณแมป่ ระนอม สิงหรา ณ อยุธยา ผู้จากไป อมิ นิ า กะตะปญุ เญนะ ด้วยอานุภาพบญุ กุศลอนั เกดิ จากบุญหลายกระแส คอื ๑. บญุ กตัญญกู ตเวทขี องลกู ๆ หลาน ๆ และผู้มีอปุ การคณุ ๒. บญุ น�ำ้ ใจไมตรขี องทา่ นทัง้ หลายทีร่ ูจ้ ักแม่ ร้จู กั ลูก รจู้ กั หลาน ๓. บุญศักดศิ์ รขี องทา่ นผหู้ ลักผ้ใู หญ่ ๔. บญุ ของพระท่ีมีความศกั ดส์ิ ทิ ธิอ์ ันมีเจ้าประคณุ สมเด็จเปน็ ประธานในวนั นี้ ขอจงบังเกิดเป็นทิพยสมบัติให้ดวงวิญญาณของคุณแม่ประนอม สิงหรา ณ อยุธยา บัดน้ีท่านอุบัติเป็นองค์เทพองค์พรหมบนสวรรค์ช้ันใด บนพรหมโลกช้ันใด ขอจงได้โมทนา สาธุการให้บุญกุศลนี้เป็นทิพยสมบัติ ๑๐ ประการ มีความสุขอันไพศาลย่ังยืนนาน และ มาดแม้ว่าบัดนี้คงได้ทราบบุญทั้งหมดแล้วโดยน�้ำใจของท่านทั้งหลาย ขออาศัยอานุภาพ เทวฤทธิ์พรหมฤทธิ์จงประสิทธ์ิประสาทพรให้ท่านท้ังหลายได้บังเกิดความแคล้วคลาด ปลอดภยั และประสบโชคชยั ทำ� กิจประการใดขอให้สำ� เรจ็ ดังประสงคท์ กุ ประการ อาตมภาพแสดงพระธรรมเทศนามา บัดน้ี สมสมัยด้วยเวลา ขอสมมติยุติ พระธรรมเทศนาลงคงไวแ้ ต่เพยี งเท่านี้ เอวัง ก็มดี ้วยประการ ฉะนี้. 97
เรื่องพัฒนาใจ พระนพิ นธ์ สมเด็จพระสงั ฆราชเจา้ กรมหลวงชินวราลงกรณ
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวราลงกรณ
ความคิด ข้าพเจ้าขอวิงวอนให้ท่านได้โปรดพิจารณาข้อเขียนต่อไปน้ี ด้วยคารวะอย่างสูง เพราะเป็นเพียงความคิดที่ได้จากความเป็นพุทธศาสนิกชนอย่างกระท่อนกระแท่นเต็มที ไม่ไว้ใจตนเองนัก หากแต่ว่าจะให้คงอยู่เพียงความส�ำนึกของตนเท่านั้น ก็เห็นว่ายากท่ีท่าน ผู้รู้จะมีโอกาสแนะน�ำตักเตือน ให้ได้แก้ส่ิงผิดให้กลับเป็นถูก ให้ถูกโดยสมบูรณ์ยิ่งขึ้นได้ ในขณะยังมีลมหายใจอยู่ จึงตกลงใจลองบันทึกแนวที่ปฏิบัติตนได้ ตามความรู้ความเข้าใจ ลงเป็นตัวอักษรเพื่อรับการพิจารณาวินิจฉัยจากท่านผู้รู้ได้สะดวก ว่าสมควรไม่สมควร ตอนไหนเพียงไรบ้าง เป็นการอาศัยสติปัญญาท่านผู้อื่นเข้าร่วมด้วย ท้ังตนเองก็จะได้ ย้อนพิจารณาตรวจตราตนเองได้ง่ายข้ึนอีก เพราะมีลายลักษณ์อักษรหลักฐานปรากฏอยู่ ไม่เลือนหลงลืม หรือขาดตกบกพร่อง เพราะสติปัญญาในปูนอายุยังน้อย มีการศึกษาน้อย ย่อมขาดความใคร่ครวญถึงความเฉียบแหลมถ่ีถ้วน ผิดกว่าสติปัญญาในปูนอายุมากขึ้น ดังผู้อยู่เพียงเชิงบันได จะไม่พบเห็นพัสดุเหตุการณ์ได้กว้างขวางเช่นผู้อยู่สูงสุดบันได หรือ เหมือนเสียงพูดเสียงร้องของตน ที่หูตนเองได้ยินได้ฟังนั้น มันมีโอกาสพิจารณาใคร่ครวญ ได้น้อยกว่าท่ีบันทึกเสียงน้ันไว้แล้วได้ยินได้ฟังอีกครั้ง ย่อมได้รับความใคร่ครวญถึง ความเหมาะสม ไดล้ ะเอียดถถ่ี ว้ นกว่าขณะเปล่งเสยี งเดมิ ฉะน้ัน ท้ังน้ี ก็มิใช่เพื่อเชิดตนเอง ด้วยอ�ำนาจโอ้อวด ยกตน อันเป็นนิสัยท่ีผู้รู้ติเตียน โดยส่วนเดียวอย่างไรเลย มีเจตนาหนักไปในทางแสดงตัวอย่างที่ตนเองได้ประพฤติปฏิบัติ ประสบผลคือความสุขสงบพอควรแก่ชีวิต ด้วยการด�ำเนินอยู่ในแนวเหล่าน้ีมาแล้ว จึงใคร่ 101
ให้เพื่อนศาสนิกทั้งหลาย มีโอกาสพิจารณาสืบสวนค้นคว้าเหตุผลดูบ้างเพื่อพบเห็น ข้อพึงพอใจจะได้น�ำไปเป็นสมบัติประจ�ำตนบ้าง ส่วนที่ไม่พึงพอใจจะท้ิงไว้ให้ผู้เขียน ก็จะ ไม่รู้สึกอิดหนาระอาใจอย่างไรกลับจะย่ิงปลื้มปีติ ที่ยังมีส่วนหาความพอใจให้ผู้อ่ืนได้บ้าง แม้เพียงประมาณน้อย ก็ถือว่าเป็นก�ำไรชีวิตอยู่เสมอไม่เสียทีท่ีเกิดมาแล้วยังมีช่วงเวลา หาประโยชนส์ ่เู พอ่ื นรว่ มเกิดได้ไม่เปน็ ชวี ิตท่สี รา้ งความขยะแขยงหวาดหวนั่ แก่สงั คมทั่วไป เร่ืองทั้งหลายในล�ำดับต่อไปน้ี เกิดจากการได้ศึกษาจากการท�ำตามค�ำส่ังสอน ของผู้ใหญ่เป็นต้นเดิมบ้าง ได้พบเห็นจากต�ำรับต�ำราทั้งหลายบ้าง ไต่ถามจากท่านผู้รู้หรือ พยายามจดจ�ำจากประสบการณ์ในสถานท่ีนั้น ๆ บ้าง ประมวลกันเข้าเป็นความรู้สึกส�ำหรับ ตัว ชวนให้มีความส�ำนึกได้ทันเหตุการณ์ที่เกิดมากระทบ และมีวิจารณ์ได้ว่า ดี ชั่ว ควร ไม่ควรอย่างไร หรือควรปฏิบัติอย่างไร จึงจะเหมาะสมทันเหตุการณ์ สถานที่นั้น ๆ ได้ ทันท่วงที ซ่ึงผลเหล่าน้ี เราไม่มีสถานที่จะให้การศึกษาโดยเฉพาะได้ ทั้งส่วนที่จัดว่าเป็น ความช่ัวหรือทั้งส่วนควรและไม่ควร เป็นแบบฉบับตัวอย่างไว้ส่วนท่ีดีท่ีควร จ�ำไว้เป็น แบบฝึกหัดกระท�ำตาม แม้บุคคลที่คบค้าสมาคมใกล้ชิดติดต่ออยู่เป็นประจ�ำ จะเป็น ญาติมิตร ผู้ใหญ่ ผู้น้อย ก็ตาม จ�ำต้องมีการพิจารณาคัดเลือกใกล้ชิดติดต่อเช่นเดียวกัน เพราะคนเราท่ัวไป ยังหาทรงคุณความดีอย่างสมบูรณ์ เพ่ือยึดถือตามเย่ียงอย่างโดย ส่วนเดียวได้ง่ายนักไม่จึงจ�ำเป็นต้องอาศัยหลักค�ำสอนของพระศาสนาเป็นหลักใหญ่ เพราะค�ำสอนในพระศาสนาได้รับการพิสูจน์ตามเหตุผล จากนักปราชญ์มาเป็นเวลา ตั้ง ๒๕๐๐ ปีเศษแล้ว ก็ยังไม่พบข้อบกพร่องในการด�ำเนินชีวิตตาม จึงต้องยอมรับว่า หลักค�ำสอนของพระพทุ ธศาสนาเปน็ แนวนำ� ชีวติ อยา่ งประเสรฐิ แท้ 102
ชีวิตต้น ข้าพเจ้ามีสถานท่ีเกิดในชนบท ย่านชาวนา ในตระกูลที่พอมีพอใช้ ไม่มีเชื้อสายสืบ จากผู้ดีมียศชีวิตของชาวชนบทสมัยเม่ือ ๖๐ ปี นับถอยหลังขึ้นไปน้ัน ต้องอาศัยเร่ียวแรง ก�ำลังกายของตน ๆ ช่วยอุปถัมภ์บ�ำรุงชีวิตของตนเป็นส�ำคัญ จะหาเครื่องทุ่นแรงเป็น เครื่องยนต์กลไกย่อมสุดวิสัย นอกจากอาศัยได้เพียงควายวัวเป็นเคร่ืองทุ่นแรงคนเท่านั้น น้ีว่ากันถึงเร่ืองอาชีพ ส่วนการศึกษาวิทยาการก็ต้องอาศัยพระภิกษุตามวัดใกล้บ้าน ช่วย สั่งสอนไปตามธรรมเนียมที่เรียกว่า หนังสือวัด พอเป็นแนวอบรมท่ีเหมาะกับกาลเทศะ ไปพลาง ส่วนการอบรมสั่งสอนในด้านพระศาสนาน้ัน ก็ฝากแฝงอยู่กับพระภิกษุอีก เหมือนกัน กุลบุตรก็สมัครเข้าเป็นศิษย์พระภิกษุ ปฏิบัติอาจารย์ตามฐานะมีเวลาได้ศึกษา เล่าเรียนอักษรสมัยและต่อหนังสือค�่ำเป็นการศึกษาในด้านพระศาสนาอย่างงู ๆ ปลา ๆ จนกว่าจะเติบโตสมควรบรรพชาเป็นสามเณรได้ อาจารย์ก็มักจัดให้บรรพชา จะได้มีเวลา ศึกษาด้านพระศาสนามากข้ึน ผู้ท่ีเจริญอยู่ในเพศสามเณรตลอดถึงอายุครบอุปสมบทเป็น พระภิกษุก็มี ลาสิกขาออกไปช่วยอาชีพของบิดามารดาช่ัวคราว จนกว่าอายุจะครบอุปสมบท จึงกลับเข้ามาอุปสมบทอีกก็มี เหล่านี้ล้วนเป็นวิธีการอบรมพระศาสนาของชาวชนบทที่เป็น ชายส่วนหนึง่ ส�ำหรับกุลสตรี ไม่มีโอกาสเช่นกุลบุตร จะเรียนอักษรสมัยก็ถูกห้าม ไม่มีช่องทาง หาความรู้จากทอ่ี ืน่ ได้ นอกจากใช้ตาดู หูฟังอยกู่ บั บา้ นเรือนเปน็ ส่วนมาก ในด้าพระศาสนานนั้ เกือบจะไม่มีแววอะไรเสียเลย เพราะพ่อแม่ก็ไม่มีความรู้จะแนะน�ำสั่งสอน เป็นข้อขอด จริงจัง ด้วยท่านเองก็เข้าใจว่าเพียงถ่ายทอดจากปู่ย่าตายายมาอย่างชนิดท�ำตามกันไป ทั้งนี้ 103
คงเป็นด้วยว่า ชาวไทยเราแท้ ๆ ได้ยอมรับนับถือค�ำสอนของพระพุทธศาสนา เป็นศาสนา ประจ�ำชาติมานานแล้ว เมื่อพ่อแม่นับถือพระพุทธศาสนาลูกเกิดมาก็ต้องนับถือตาม จะหา ท่ีแตกคอกนอกศาสนาออกไปได้ยากเต็มที และก็มักถือเอาอย่างง่าย ๆ ว่า พระภิกษุที่ วัดใกล้บ้านนั่นแหละ คือพระพุทธศาสนา เม่ือเห็นพระภิกษุผ่านไปมา หรือเวลาเช้าพระ ออกบิณฑบาต ผู้ใหญ่ก็เริ่มหัดเร่ิมแนะเด็กด้วยวิธีให้รวมมือท้ัง ๒ ยกข้ึนจรดหน้าผาก บอกว่า สาธุ หรือธุเพียงค�ำเดียว วิธีเร่ิมต้นอย่างน้ีเหมือนกับเป็นพิธีมอบตัวให้เด็ก ยอมรบั นับถอื พระพุทธศาสนา เรยี กว่าพุทธศาสนกิ ชนไปในตวั เดก็ ไดร้ ับการฝกึ หัดบอ่ ยเข้า จนท�ำได้เองเม่ือเห็นพระสงฆ์ หรือเห็นพระพุทธรูปไม่ทันผู้ใหญ่ต้องบอก อาการอย่างน้ี ก็เป็นอันทึกทักว่านับถือพุทธแล้ว นอกจากน้ี ถึงวันพระผู้ใหญ่จัดส่ิงของไปใส่บาตรท่ีวัด ก็มักน�ำเด็กให้ติดตามไปด้วยเรียกว่าไปท�ำบุญ อยากจะเรียกว่า บ่าหรือสะเอวของผู้ใหญ่ นี่แหละ เป็นพาหนะน�ำเด็กเข้าสู่วัดเป็นพุทธมามกะเบื้องต้น เด็กจะค่อยคุ้นกับพิธีวันพระ มีการรับศีล ฟังพระสวดถวายพรพระ ใส่บาตรพระฉัน พิธีกรวดน�้ำรับพรจากพระ เหล่าน้ี ตามลำ� ดับอายเุ ปน็ การปลกู ฝังพิธีของพระศาสนาไว้ในความทรงจำ� ของเดก็ ทีละน้อย ๆ อนึ่ง ธรรมเนียมของชาวชนบท มักถือเป็นกิจวัตรสำ� คัญอย่างหนึ่งที่จะต้องหุงข้าว ไว้คอยใส่บาตรเวลาเช้าเป็นประจ�ำ ถ้าไม่มีธุระจ�ำเป็นจริง ๆ หรือจนยากแท้ ๆ แล้ว เป็น ไม่ยอมขาดกิจวัตรเช่นน้ี ก็เท่ากับช่วยให้เด็กได้เห็น บางทีก็ร่วมเข้าช่วยผู้ใหญ่ด้วย เป็น การเพาะนิสัยรู้จักเคารพกราบไหว้พระ รู้ธรรมเนียมของพระได้คร้ังละเล็กคราวละน้อย และในยามปรกติ จะอยู่ในบ้านหรืออยู่นอกบ้านก็มักจะเห็นผู้ใหญ่หรือรับใช้ผู้ใหญ่ในเรื่อง ท�ำบุญให้ทานเสมอ เช่น รับใช้ให้น�ำข้าวสารไปให้คนขอทานท่ีก�ำลังจอดเรือตีโทน เคาะฉิ่ง ร้องเพลง อยู่ที่ท่าหน้าบ้านด้วยค�ำพูดท�ำนองว่า ”เอาข้าวสารไปท�ำทานหน่อยซิ ชาติหน้า จะได้ไม่อดอยากยากจน„ บ้างถูกห้ามปราบเช่นว่า ”อย่าไปตีแมวมันซิเป็นบาป„ หรือ ”อย่าไปตีปู่อย่างน้ันมือจะโตเท่าใบตาล„ หรือ ”ท�ำไมไปด่ายายอย่างนั้นล่ะปากจะเหม็นไป ทั้งเมือง„ หรือ ”มาช่วยแม่ปั้นแป้งท�ำขนมไปท�ำบุญวันพระพรุ่งนี้„ เป็นต้น และธรรมเนียม ที่เมือ่ ได้ท�ำกบั ข้าวของกินเป็นจ�ำนวนมาก เชน่ เตรียมจะไปท�ำบุญใสบ่ าตรท่วี ัด ก็มักตักแจก 104
ญาติผู้ใหญ่และเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงเสียส่วนหน่ึง เด็กมักถูกรับใช้ให้น�ำอาหารน้ัน ไปแจก ตอนกลับก็มักมีอาหารจากบ้านนั้นใส่ตอบแทนมา เด็กได้เห็นวิธีแบ่งเฉล่ียสู่กันกิน เป็นประจ�ำหรือที่ศาลาวัดเมื่อยังมีอาหารเหลือจากการท�ำบุญ ก็ยังตักแลกเปล่ียนกับคนน้ัน คนน้ี ท่ียังแจกไปไม่ถึงผู้รับแจก ถ้าของตนยังมีเหลือก็มักจะแบ่งมาตอบแทนอีกด้วย เป็นตัวอย่างที่อบรมนิสัยเด็กในการเอ้ือเฟื้อเผื่อแผ่เข้าทางบุญทางพระศาสนาโดยไม่รู้ตัว ค�ำว่าบุญ จึงเป็นเพียงให้จดจ�ำอาการที่น�ำของไปถวายพระท่ีวัดใส่บาตรเวลาเช้า หรือไหว้ กราบพี่ ป้า น้า อา เท่าน้ัน เพราะผู้ใหญ่สนับสนุนให้ท�ำบาป ก็คือส่ิงที่ผู้ใหญ่ห้ามปราม ทง้ั หมด มิไดเ้ ข้าใจลึกซ้งึ อย่างไร ทำ� ตามไปเท่าทผี่ ใู้ หญ่สอนหรอื ห้ามเท่านัน้ ข้าพเจ้าเคยได้ฟังคุณลุงเล่าประวัติของท่านตั้งแต่เป็นเด็กจนเติบโต ก็มีเค้าตามที่ ได้เขียนมาแล้วท่านเล่าว่า ตอนเป็นเด็กอายุราว ๗-๘ ขวบ ก็อยู่ในชนบทเหมือนกัน ปู่เป็น คนสอนให้เขียน อ่านหนังสือเริ่มแต่ กอข้อ ออกส�ำเนียงตามสมัยน้ัน ใช้แผ่นไม้กระดาน เบา ๆ จับมือให้เขียน สอนให้อ่านเป็นระยะต้น อยู่ราวเดือนเศษ ๆ ก็น�ำไปฝากอยู่กับพระ ท่ีวัดใกล้บ้าน ต้องปฏิบัติอาจารย์ ตลอดการเช็ดขัดปัดกวาด ในตอนหัวค่�ำก็ต้องเข้าต่อ หนงั สือคำ่� ใหจ้ บค�ำบาลตี ง้ั แต่ นโม พุทธงั ค�ำอาราธนาศีล ๕ พาหุง จ�ำแม่นย�ำ ตอนกลางวนั ก็หัดอ่านหัดเขียน กอขอ จนตลอดท่านรับสารภาพว่า ระยะนั้นไม่รู้ตัวเลยว่าตนได้นับถือ ศาสนาพุทธ เป็นแต่ว่าได้อยู่ใกล้ชิดกับพระ ท่านสอนอย่างไรก็พยายามจ�ำไว้บ้าง ท่านห้าม อย่างไร ต้องระวังตัวไม่กล้าฝ่าฝืน เกรงจะได้รับบาปคือไม้เรียว ต่อมาได้ย้ายเข้าไปอยู่ ในเมืองไกลบ้านเก่า ก็ได้รับการฝึกอบรม ท้ังในด้านนิสัยใจคอ กริยามารยาท และได้ พบเห็นส่ิงท่ีดี ๆ กว่าบ้านเดิมอีกมาก แม้เช่นนี้ก็ยังไม่เข้าใจเรื่องของพระศาสนา คงมี ความรู้สึกอยู่ว่าเราเคารพนับถือพระภิกษุสามเณรตามวัดต่าง ๆ เท่าน้ัน พระพวกอ่ืน ไม่เคารพ จนต่อมาอาจารย์จัดให้บรรพชาเป็นสามเณรต้องเล่าเรียนกิจวัตรของสามเณร ท�ำให้อึดอัดอยู่ไม่น้อย เพราะศีลของสามเณรเหมือนเป็นการบังคับตัวเอง ครั้นนานวัน ก็ค่อยคุ้น หายความอึดอัด ต่อมาต้องศึกษาภาษาบาลี ซึ่งเป็นภาษาจารึกเรื่องราวเกี่ยวกับ พระพุทธศาสนาท้ังนั้นค่อยรู้จักเล่ือมใสต่อองค์พระพุทธเจ้าข้ึนบ้าง เพราะเรื่องท่ีท่าน 105
ส่ังสอนล้วนแต่ให้คนประพฤติดี ประพฤติชอบจริง ๆ โดยไม่หวังประโยชน์ส่วนตัวเลย ยิ่งได้ศึกษาประวัติของพระองค์ทั่วถึงด้วยแล้ว ยิ่งชวนให้เกิดเล่ือมใสข้ึนอีกอยากท�ำดีตาม ค�ำส่ังสอนของท่านโดยไม่รู้ตัวท้ังน้ี ก็อาศัยฟังการอบรมจากท่านอาจารย์บ้าง ต�ำราที่เรียนบ้าง และนึกเทียบเหตุการณ์ที่ผ่านพบเห็นในปัจจุบันบ้าง ส่วนส�ำคัญก็ได้แก่เพ่ือนพระและเพื่อน เณรต่างเคร่งครัดตามระเบียบสิกขาวินัยเป็นอันดี มีผู้คนยกย่องสรรเสริญ ยิ่งเป็นตัวอย่าง ให้มั่นใจมากขึ้นในการบ�ำเพ็ญตนตามค�ำสอนของพระพุทธเจ้า ค่อยเกิดการพิจารณา ใคร่ครวญจ�ำเรื่องราวที่ได้ศึกษาเล่าเรียนมาเป็นตัวอย่างประพฤติตามไปด้วย พอจะเรียก ได้ว่ามีสัทธา ปสาทะ ในค�ำสอนของพระองค์ไม่เห็นว่าจะมีค�ำสอนของพระศาสดาใดอื่น เทียบถึงได้ ถ้าจะเรียกว่าเป็นศาสนิกชน คนที่นับถือศาสนาพุทธ คือยึดถือแนวค�ำส่ังสอน ของท่านเป็นแบบด�ำเนินชีวิตของตน ตามท่านทุกอย่างก็พอจะไปได้ โดยไม่มีสงสัยว่า ค�ำสอนของพระศาสดาอื่นจะดีกว่าอย่างไรเพียงไร ก็ไม่ขอท้ิงพระพุทธศาสนาจนวันตาย แต่คุณลุงเล่าท้ิงท้ายว่า ท่านไม่มีบุญวาสนาสูงพอที่จะมีโอกาสเล่าเรียนและประพฤติตัวอยู่ ในพระธรรมวินัยให้ละเอียดยิ่งข้ึนต่อไปได้ ต้องลาเพศออกมาเสียก่อน ถึงกระนั้นก็ยัง ไม่ละท้งิ ค�ำสอนทค่ี ฤหัสถ์ยงั ประพฤตติ ามไดอ้ ยจู่ นกระทง่ั บดั น้ี ฟังตามท่ีคุณลุงเล่าประวัติท่านมา ก็น�ำให้สังเกตถึงอาการนับถือพระพุทธศาสนา ของคนไทยได้อย่างหนึ่งว่า ต้องอาศัยผู้ใหญ่ผู้เป็นพุทธศาสนิกชน อบรมแนะน�ำกันมา ต้ังแต่เบื้องต้นก่อน โดยเจ้าตัวยังไม่ต้องมีความรู้อะไรนัก เช่ือฟังผู้ใหญ่แนะน�ำ หัดเช่ือ ผู้ใหญ่ของเราไปก่อน เพราะถ้าหลักคําสอนของศาสนาไม่ดี ไม่มีประโยชน์แก่ผู้ประพฤติ ตามได้จริงแล้ว ท่านก็คงจะไม่นับถือ ไม่ยอมสละทรัพย์สินเงินทองออกบูชาสร้างวัดวาอาราม ให้ลูกหลานไดอ้ าศยั ทำ� บญุ ให้ทานมาจนถึงบดั น้ี ชีวิตของข้าพเจ้าก็ใกล้เคียงกับชีวิตของคุณลุง เพราะได้รับการอบรมส่ังสอนอยู่กับ พ่อแม่ได้ไม่เท่าไร ก็ต้องมาอาศัยอยู่กับคุณลุงคุณป้าในจังหวัด นับว่าดีกว่าบ้านเดิม เพราะ มีโอกาสได้เข้าศึกษาวิชาการในโรงเรียน อาศัยแบบเรียนท่ีเรียกว่าเบญจศีล-เบญจธรรม 106
กับเรื่องพระสิทธารถชวนให้สนใจอยากรู้เร่ืองราวบ้างกับได้อาศัยคุณลุงคุณป้า อบรม ส่ังสอนให้หัดสวดมนต์ไหว้พระชักจูงแนะน�ำในการเข้าวัดท�ำบุญฟังเทศน์อยู่บ่อย ๆ จึง ค่อยสนใจเห็นคุณประโยชน์ขึ้นทีละน้อย ขั้นต้นก็เชื่อตามคุณลุงคุณป้าแนะน�ำตักเตือน ด้วยคิดว่าท่านคงไม่สอน ไม่แนะน�ำ ให้ผิดหรือเป็นภัยอันตรายอย่างไร ทนท�ำตามไป อย่างภาษิตว่า ”เดินตามหลังผู้ใหญ่หมาไม่กัด„ ยอมให้ท่านเป็นผู้น�ำทางทุกอย่าง ถึงจะเป็น การหลับตาเช่ือถืออยู่บ้างก็ยังนับว่าดีกว่าจะไม่มีผู้น�ำทางเสียเลยใครท่ีทะนงตนไม่เช่ือ ผูใ้ หญไ่ ม่ทำ� ตามผใู้ หญ่สอนนน่ั คอื คนตาบอดตาใสอยา่ งน่าสงสารท่ีสดุ ในสมยั ที่ยังต้องศกึ ษาวิชาสามัญอยใู่ นโรงเรียนนนั้ ก็มีแบบเรยี นบังคบั ให้ศึกษาอยู่ ด้วยดังช่ือหนังสือท่ีกล่าวมา ท้ังเวลาที่เปิดเรียนใหม่ต้นสัปดาห์ และวันหยุดปลายสัปดาห์ ก็มีการประชุมสวดมนต์ ตามแบบคุณานุคุณอยู่เป็นประจ�ำ ในเวลานั้น ถึงจะยังไม่รู้ความ มุ่งหมายแต่ก็จ�ำติดปากติดใจอย่ไู ดเ้ ช่นการนมสั การพระพุทธกข็ ้ึนตน้ ว่า องคใ์ ดพระสมั พุท ธวิสทุ ธสันดาน ตดั มูลเกลสมาร บมิหม่นมหิ มองมวั นมสั การพระธรรม ขึ้นบทต้นวา่ ธรรมคือคุณากร ส่วนชอบสาธร ดุจดวงประทีปชัชวาล แห่งองค์พระศาสดาจารย์ สอ่ งสตั วส์ ันดาน สวา่ งกระจ่างใจมล นมสั การพระสงฆ์ ข้นึ บทต้นวา่ สงฆ์ใดสาวกศาสดา รับปฏบิ ตั ิมา แต่องค์สมเด็จภควนั ต์ ลแุ จ้งจตสุ จั เสรจ็ บรร ลทุ างที่อนั ระงบั และดบั ทุกข์ภัย จากนยี้ งั มนี มัสการคณุ บดิ ามารดา คุณพระมหากษัตรยิ ์ เท่ากบั บังคบั จดจ�ำติดใจไว้ แต่เมื่อยังเป็นเด็ก แม้จะไม่รู้เน้ือถ้อยกระทงความที่สวด จะเป็นอย่างนกแก้วนกขุนทอง ก็ตาม แต่เม่ือนกมันพูดตามที่คนสอนว่า ”คุณแม่เจ้าขาขอข้าวกินหน่อย„ ก็ยังชวนให้ผู้ฟัง 107
นึกเอ็นดูและหาอาหารส่งให้ เมื่อเด็กสวดค�ำที่เป็นประโยชน์จนติดนิสัย ต่อไปมีความรู้ พิจารณาถึงใจความ ก็จะเอิบอ่ิมใจแก่ตนเองและชื่นใจแก่ผู้ได้ยินได้ฟัง ด้านสวดค�ำนมัสการ คุณานุคุณนี้ ก็เป็นส่วนท่ีเริ่มวางหลักใจอันเหมาะสมแก่ข้าพเจ้ามาแล้ว ต้ังแต่ยังไม่รู้เนื้อความ และเมื่อมาได้รับการอบรมสั่งสอนจากคุณลุงคุณป้า ครั้งละเล็กคราวละน้อย ประกอบกับได้พบอ่านหนังสือ เกี่ยวกับพระศาสนาที่มีอยู่ในตู้สมุดของคุณลุง พอมีความรู้ ความเข้าใจน�ำไปเทียบกับเหตุการณ์ท่ีตามอารามต่าง ๆ หรือสถานที่นั้น ๆ ก็ยิ่งช่วยให้มี ความส�ำนึกเชื่อถือองค์พระศาสดาและอยากประพฤติตามค�ำสอนเสมอไป เลยชวนให้มี นิสัยชอบจดชอบจ�ำ ขนบธรรมเนียมประเพณีที่เหมาะสมดีงามไว้เป็นความรู้ประจ�ำตัว ตลอดมา การที่ผู้ใหญ่ชอบน�ำเด็กไปเย่ียมพระสงฆ์ ไปวัดชมบริเวณหรือฟังเทศน์รักษาศีล แม้จะชวนให้เด็กเบื่อ ง่วงนอนบ้างก็ตาม นับว่าเป็นวิธีที่แยบคายในการให้เด็กได้มีโอกาส ใกล้ชิดติดต่อกับพระสงฆ์ทีละน้อย เด็กจะไม่แปลกตาแปลกใจเม่ือพบพระสงฆ์เสียบ่อย ๆ ขอน�ำเร่ืองที่น่าข�ำส�ำหรับเด็กท่ีไม่เคยติดต่อใกล้ชิดกับพระสงฆ์มาเล่าสู่กันฟังสักเร่ือง คือ ครูของโรงเรียน มีประสงค์จะหัดเด็กนักเรียนให้รู้จักท�ำบุญตักบาตรกันบ้าง จึงหัดนักเรียน ให้จัดหาอาหารมาเพื่อใส่บาตรที่โรงเรียน ถึงเวลาพระภิกษุเข้ามารับบิณฑบาต เด็กเล็ก คนหน่ึงเอย่ ถามครูวา่ ”ใคร„ ครูตอบวา่ ”พระ„ เด็กถามพ่อวา่ ”พระกดั ไหม„ นเ่ี ป็นเร่ืองจริง ที่ควรถือเป็นตัวอย่างว่า ควรจะได้ให้เด็กมีโอกาสพบปะภิกษุสงฆ์และรู้จักวัดวาอาราม ให้มากเพราะอารามต่าง ๆ เป็นสถานท่ีแสดงเคร่ืองหมายของพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะ พระภิกษุสงฆ์เป็นผู้อยู่อาศัยในอารามและดูแลรักษา พร้อมกับได้รักษาและประพฤติตน ตามระเบียบค�ำสอนของพระพุทธเจ้า ก็นับว่า ท่านเป็นตัวอย่างช้ันสูงของพุทธศาสนิกชน ท่ัวไป ข้าพเจา้ ไดร้ บั ประโยชนว์ ธิ กี ารอยา่ งนี้ของผูใ้ หญ่แก่ตนเองมาแล้ว 108
ขวนขวาย ดังท่ีพูดมาแล้วว่า ข้าพเจ้าได้อาศัยค้นคว้าจากหนังสือในตู้ของคุณลุงบ้าง ติดสอย ห้อยตามคณุ ป้าไปวดั ในวนั พระหรือในวนั เทศกาลบ้าง สุดแตจ่ ะมเี วลาเหมาะสม ในช้ันต้น ๆ ออกจะล�ำบากกายล�ำบากใจอยู่มาก ล�ำบากกายก็คือต้องนั่งพับเพียบพนมมือ คร้ังละ ไม่ต�่ำกว่าคร่ึงช่ัวโมง เทศน์บางกัณฑ์พระท่านพรรณนาจนได้ยินเสียงกลองเพลจึงจบก็มี ล�ำบากใจก็คือไม่เข้าใจวิธีสวดมนต์ไหว้พระและท�ำตามไม่ใคร่ถูกถ้วน ย่ิงสวดมนต์ด้วย ภาษาบาลีเป็นภาษาพระด้วยแล้ว ชวนเมื่อยมากทีเดียวถึงตอนเทศน์แม้จะเป็นภาษาไทย ก็จริงแต่ก็ฟังมีใคร่รู้เรื่องเพราะล้วนแต่เป็นค�ำไทยปนมคธฟังเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง ได้หน้า ลืมหลัง วิญญาณ ขันธ์ ๕ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เหล่านี้ พระเทศน์ท่านไม่นึกถึงความรู้ ของผู้ฟังบ้างหรือว่าจะไม่เข้าใจเน้ือความส่วนท่านเองมีเวลาศึกษาอบรมมามากแล้ว ก็ย่อมรู้ ความหมายเข้าใจเน้ือความไดด้ ี สว่ นอุบาสกอบุ าสิกาผู้ไดแ้ ต่คอยฟงั ตอนไหนเปน็ ค�ำไทยล้วน ก็พอเขา้ ใจ ตอนไหนมคี ำ� บาลีแทรกเข้ามา เชน่ ตดั กิเลสเป็นสมจุ เฉทปหาน ดงั นี้ ความเขา้ ใจ ต่อกันไม่ติด ยิ่งท่านผู้เทศน์ว่า ตะกุก ตะกัก อ้ือ ๆ อ้า ๆ หรืออ่านหนังสือข้ามวรรคตอน ว่าตัวกลำ้� ตวั ร. ล. ไม่ชัดดว้ ยแล้ว ไม่เพยี งแตช่ วนง่วงเทา่ นั้น ยังชวนเบื่อและนึกตำ� หนวิ า่ อ่านหนังสือก็ไม่คล่อง ไม่ถูกเอาเสียด้วย แต่เม่ือมองดูผู้ร่วมฟังอยู่ในที่น้ัน สงบระงับ ประนมมือฟังอย่างตั้งอกตั้งใจก็ต้องพยายามฝืนกิริยารักษาระเบียบไปจนกว่าจะจบกัณฑ์ หรือหมดพิธี ข้าพเจ้าเคยบ่นเรื่องฟังเทศน์ไม่รู้เรื่องกับคุณป้ามาแล้ว แต่ท่านก็เปรยข้ึนว่า เรายังเข้าวัดใหม่อยู่นั่นซิฝึกหัดฟังไปก็จะค่อยรู้เร่ืองขึ้นเองถ้าไม่นึกอะไรอย่างอื่น ก็นึกว่า 109
เรามาหัดน่ังสงบกิริยามารยาทตลอดสงบอารมณ์ โดยเอาเสียงพระเป็นท่ียึดเหน่ียว ก็นับว่า ได้ประโยชน์เหมือนกัน ในกาลต่อ ๆ มาก็ค่อย ๆ เห็นผลตามค�ำช้ีแจงของคุณป้าขึ้นบ้าง เพราะบางคราวมีเรื่องข้องใจมาจากบ้าน ครั้นมาถึงวัด อารมณ์เก่าที่ขุ่นอยู่ก็หายไป กลับได้ อารมณ์โปร่งใจขึ้นมาแทนก็มีเพราะช่ือของวัดส่วนมากลงท้ายว่าอาราม ซึ่งมีความหมายว่า รื่นรมย์หรือสงบสบายอยู่แล้ว แต่บางวัดบริเวณยังไม่สมเป็นอารามก็มีทั้งผู้เข้าวัดไม่ได้ มุ่งเจตนาไปหาท่ีสงบสบาย กลับใช้วัดเป็นสถานตลาดขายซื้อ เพชร พลอย ท่ีดินอวด ความม่ังมี หรือแม้ท่ีสุดจ่ายอาหารกลับบ้านก็มี นี่ก็แปรเปลี่ยนไปตามลักษณะนิสัยของ บคุ คลทั้งภายในวัดและนอกวัด เปน็ ส�ำคญั ด้วยประการหนงึ่ เน่ืองด้วยค�ำสวดมนต์ท�ำวัตรเป็นภาษามคธ ตลอดจนพระเทศน์ใช้ภาษาไทย ปนมคธ ฟังไม่ใคร่รู้เร่ืองราวถี่ถ้วน แม้จะไต่ถามคุณลุงได้บ้าง ก็เพียงบางค�ำบางตอน และ ไม่มีเวลาไต่ถามท�ำได้บ่อยนักถึงวันไหนได้ค้นหนังสือในตู้ของคุณลุงพบหนังสือสวดมนต์แปล รู้สึกดีใจน�ำมาพลิกอ่านดู พอได้เค้าความอยู่มาก แต่เพราะส�ำนวนแปลยังติดส�ำนวนบาลี หรือทับศัพท์เป็นค�ำบาลีอยู่ท่ัวไป ก็ยังชวนให้มืดอยู่บ้างแต่ก็นับว่าช่วยความเข้าใจได้มาก ทเี ดียว การศึกษาหาความรู้เก่ียวกับพระศาสนา ก็ต้องค้นคว้าไต่ถามจากผู้มีความรู้หรือ หนังสือเก่ียวกับศาสนา ไม่ใช่เป็นเรื่องเข้าใจเอาเองได้ หรือพอพบข้อติดขัดเพียงเล็กน้อย เช่นฟังพระเทศน์ พระสวดไม่เข้าใจก็พาลท้อถอย เห็นว่าศาสนาไม่มีคุณประโยชน์อย่างไร กลับตีห่างหรือทะนงตนว่าเลี้ยงตนเองได้ ไม่ต้องพ่ึงศาสนาก็ได้ เพราะเป็นค�ำสอนตั้ง ๒๕๐๐ ปีเศษมาแล้ว ย่ิงจะท�ำให้เบาปัญญาลงทุกที พระพุทธศาสนาไม่ใช่อยู่ที่พระเทศน์ พระสวดมนต์ ท่ีท่านเทศน์ท่านสวดมนต์นั้นก็ล้วนแต่น�ำค�ำสอนในศาสนามาให้รู้ให้เข้าใจ เมื่อยังไม่รู้ไม่เข้าใจแจ่มแจ้ง ก็อย่าเพ่ิงด่วนติเตียนหรือท้อถอยควรจะหาโอกาสทดลอง สืบสวนให้ถ่องแท้เสียก่อน จึงค่อยตกลงช้ีขาดว่าดี หรือไม่ดีอย่างไร อาการอย่างน้ีก็ได้ 110
มาจากค�ำสอนในพระศาสนาแนะน�ำมาแล้ว ค�ำสอนของพระศาสนาได้แพร่หลายครอบคลุม อยู่ในขนบธรรมเนียมประเพณีของไทยมาเนิ่นนานจนแยกไม่ออก ค�ำแนะน�ำสั่งสอนของ บดิ ามารดานน้ั ว่าอยา่ งไหนเป็นของชาวไทยโดยเฉพาะ ท้งั นกี้ เ็ น่ืองด้วยค�ำสอนของพระศาสนา ได้แทรกซึมอยู่ในสายเลือดคนไทยมาเร่ิมแต่ยอมรับนับถือดั้งเดิมทีเดียว ถึงผู้ท่ียังไม่เห็น คุณประโยชน์ของศาสนา แต่ได้รับการอบรมส่ังสอนจากบิดามารดา ญาติมิตร จน ประคับประคองตนพอมีหลักฐานอยู่ได้ ก็ไม่พ้นจากแนวค�ำสอนของพระศาสนาได้เลย วัดวาอารามท่ีปรากฏเป็นสถานที่เคารพสักการะอยู่บัดนี้ ก็คือน�้ำใจท่ีเคารพเล่ือมใสมั่นคง ของท่านบุรพชนหลอมตัวขึ้นมาเป็นวัตถุให้อนุชนต่อมาได้อาศัยศึกษา เราไม่มีความเข้าใจ ในเร่ืองค�ำสอนของพระศาสนาเพียงพอ ก็ควรยอมรับนับถือตามบุรพชน เดินมาแล้ว ค�ำสอนของพระศาสนาได้แพร่หลายครอบคลุมอยู่ในขนบธรรมเนียมประเพณีตามท่ีท่าน ได้เดินมาแล้ว คงจะไม่เสียผล นับเป็นการทุ่นแรงสติปัญญาของเราที่จะต้องพิจารณา ค้นคว้าเอาเองก็ได้ ความคิดท่ีน�ำมาบันทึกนี้ ข้าพเจ้าขอสารภาพว่า อาศัยการแนะน�ำของ ท่านผูใ้ หญ่ มบี ิดามารดา พปี่ ้านา้ ลุง เป็นสว่ นมาก เม่ือนึกทบทวนไปถึงชีวิตของคุณลุงท่ีเล่าให้ฟัง ตอนเข้าอยู่อาศัยพระในวัดตลอดจน ได้บรรพชาเป็นสามเณรนั้น ท่านว่าความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาที่เกิดจากจิตใจ ของตนเองมีอย่างงู ๆ ปลา ๆ ท้ังนนั้ แตอ่ าศัยเชื่อความผใู้ หญ่ ท่านว่าอย่างนน้ั อย่างน้ีเป็น บุญก็เชื่อตาม ท�ำตามโดยไม่ทราบว่าบุญเป็นอย่างไร ท่านว่าอย่าท�ำอย่างนั้นเป็นบาปก็เชื่อ ตามค�ำห้าม งดเว้นไม่กระท�ำ เมื่อฝึกหัดอยู่เสมอเช่นน้ีความคิดความเข้าใจก็ค่อยปรากฏ ข้ึนว่าท�ำดีเป็นบุญนั้น ก็เพราะมีคนชมเชยสรรเสริญมักได้รางวัล ท�ำบาปเป็นความช่ัวมัก ได้รับการห้ามปรามหรือถูกลงโทษ มีใครเขาติฉินนินทาตลอดไป ค่อยหัดท�ำ หัดงดเว้น จนคนุ้ เคยใจประกอบกบั แบบเรยี นกม็ แี ตเ่ รอื่ งราวของคนทำ� ดอี ยา่ งนน้ั ๆ ไดไ้ ปเกดิ ในสวรรค์ คนท�ำบาปอย่างนนั้ ๆ ต้องไปตกนรกถกู ทรมานตา่ ง ๆ เลยทำ� ให้กลวั บาปมากขึ้นและอยาก 111
ท�ำบุญเสมอ กว่าจะปลงใจเช่ืออย่างแน่นแฟ้นว่า ค�ำสอนของพระพุทธเจ้าดีจริงควรเคารพ นับถือประพฤติตาม ก็ตอนลาสิกขาออกมามีครอบครัว จึงถนัดชัดใจว่าพระพุทธเจ้าเป็น พระศาสดาของตนโดยแท้ เพราะน�ำเอาค�ำสอนของท่านมาใช้กับครอบครัว ได้ผลสงบสุข สมกบั ค�ำสอน ส�ำหรับข้าพเจ้า ซึ่งเป็นชั้นลูกหลาน ได้อาศัยคุณลุงคุณป้าเป็นผู้น�ำชีวิตให้ด�ำเนิน ตามค�ำสอนของพระพุทธเจ้ามาโดยไม่รู้ตัว นับว่าผู้ใหญ่ในตระกูลเป็นฝ่ายส�ำคัญส่วนหนึ่ง ที่จะกล่อมเกลานิสัยใจคอลูกหลานในตระกูลให้ประพฤติถูกทางได้เป็นอย่างดี กับอาศัย หนังสือต�ำราเกี่ยวกับพระศาสนาเป็นส่ือชักจูงประกอบอีกด้วยหน่ึง ความรู้จึงค่อยกว้างขวาง แน่นแฟ้น ส่วนตัวข้าพเจ้าเอง ขอเทิดทูนหนังสือนวโกวาท และหนังสือพุทธประวัติของ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ไว้เหนือเศียรเกล้าเป็นอย่างสูงที่ทรง เก็บข้อค�ำสอนท่ีควรปฏิบัติตาม หรือควรงดเว้นมาให้ได้ทราบอย่างสะดวก หากปฏิบัติตัว ตามได้เพียงค�ำสอนในหนังสือนวโกวาทก็วิเศษแล้ว และเมื่อได้ค้นคว้าหาอ่านจากตู้ของ คุณลุงจนตลอดเรื่องแล้ว ท�ำให้มั่นใจอย่างเด็ดเด่ียวว่า พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาองค์เดียว ของข้าพเจ้าจนตลอดชีวิตขอกราบไว้บูชาสักการะจนกว่าจะหมดลมหายใจทีเดียวจึงน�ำให้ เกิดความคิดข้ึนอีกอย่างหน่ึงว่า ถ้าได้เขียนเล่าเรื่องชีวิตในการถือพระพุทธศาสนาของตน ออกสู่ฟังกันบ้างคงจะไม่เกิดผลประโยชน์แก่ผู้พบเห็นเป็นอย่างไรบ้างตามสมควรถึงจะ เป็นเพียงชีวติ น้อย ๆ อยา่ งขา้ พเจา้ ก็ยังมชี วี ติ ที่นอ้ ยกว่าจะได้ถือตามด้วยอีกจำ� นวนไม่น้อย จงึ ไดเ้ ริม่ บนั ทึกมาตามลำ� ดับ ต่อไปนี้ จะได้เล่าถึงประโยชน์ท่ีได้มาจากหนังสือนวโกวาทพุทธประวัติ พอเป็น อุทาหรณ์ อย่านึกท้วงติงว่าชวนให้คร�่ำครึอยู่ในวงวัด สู้หาหนังสือเริงรมย์อ่านชวนให้ สบายใจดีกว่าเลย เพราะเร่ืองของศาสนาเป็นทางเดียวท่ีจะช่วยให้เราด�ำเนินชีวิตในทางท่ี เหมาะสมสามารถแก้อุปสรรคต่าง ๆ ของชีวิตของตนเองได้ด้วยตนเอง และเพราะได้ 112
ประโยชน์ในการแก้ปัญหาชีวิตได้สมจริงมาตั้ง ๒๕๐๐ ปีแล้วนี้เอง จึงสมควรท่ีผู้มีปัญหา ชีวิตมาก ๆ บ่อย ๆ จะเร่ิมศึกษาไว้เป็นเคร่ืองมือส�ำหรับตนเสียโดยมิชักช้า ไม่ต้องพึ่ง เครื่องรางของขลัง น้�ำมนต์ของหลวงพ่อท่ีไหนเลย เพราะหลวงพ่อทั้งหลายท่านก็ก�ำลัง ด�ำเนินแก้ปัญหาชีวิตของท่านเพื่อให้สวัสดีอยู่เหมือนกันต่างคนต่างก็ก�ำลังช่วยตนเองอยู่ ดว้ ยกันท้งั นัน้ แตเ่ มือ่ ได้แนวคำ� สอนของพระศาสนาทางแลว้ การชว่ ยตนเอง การแก้ปญั หา ชวี ิตของตนเอง ก็จะส�ำเรจ็ สมประสงคถ์ ูกทางและรวดเร็วยงิ่ ข้นึ 113
ได้แบบ ขอสารภาพไว้ในที่นี้ก่อนว่า ข้าพเจ้าได้อาศัยอ่านหนังสือพุทธานุพุทธประวัติของ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส มาก่อน เพราะอยากทราบว่าประวัติ ของพระพุทธเจ้าเป็นมาอย่างไรบ้าง ช้ันแรกก็อ่านตะลุยพอให้ได้เค้าเร่ืองสมอยากเสียก่อน ต่อมาจึงค่อยหาโอกาสใคร่ครวญพิจารณารายละเอียดอีก ข้อที่ชวนให้เกิดความเสื่อมใสมาก ก็ตอนท่ีพระองค์ทรงยอมสละความสุขส�ำราญส่วนตัว อุทิศชีวิตเพ่ือแนะน�ำสั่งสอนผู้อื่น โดยมิได้มุ่งสินจ้างรางวัล อย่างไม่เห็นแก่ความล�ำบากตรากกร�ำอย่างไรเลย นับเวลาถึง ๔๕ ปี เป็นตัวอย่างที่น่าบูชาไม่น้อย ประการหนึ่ง ตอนท่ีพระองค์เสด็จออกบวชน้ัน ดูเป็น เรื่องแสวงหาคุณประโยชน์เพ่ือพระองค์เองเป็นที่ตั้ง แต่ก็มีเย่ียงท่ีควรถือเป็นแบบฉบับอยู่ หลายตอน เชน่ ออกบวชใหม่ ๆ พระองค์ไมถ่ อื ดีอวดตัวว่าเกง่ กล้าสามารถได้ยอมตัวสมัคร เป็นศิษย์ของ ๒ ดาบสซ่ึงเป็นคณาจารย์ช่ือเสียงมาก เป็นการทดลองดูก่อน ถ้าลัทธิของ ๒ ดาบส ดีจริงสมกับพระประสงค์ของพระองค์ ก็เท่ากับเป็นการเรียนลัดไม่ต้องเสียเวลา เท่ียวศึกษาท่ีอื่นให้เสียเวลาเปล่า แต่คร้ันอยู่ศึกษาไปจนจบลัทธิแล้ว ก็หาสมประสงค์ไม่จึง ได้ลาออกจากส�ำนักของ ๒ อาจารย์ แม้จะได้ถูกขอร้องให้อยู่ร่วมคณะช่วยส่ังสอนศิษย์ ต่อไปก็มิทรงยินดีอยู่ร่วมด้วยเพราะเห็นว่าเกียรติยศเพียงอาจารย์สอนศิษย์เช่นนี้ ยังไม่เป็น คณุ ทพ่ี อพระหฤทยั จะกลายเปน็ เหมือนเรือจา้ งส่งขา้ มฟากเท่าน้นั พระองค์มุ่งคุณธรรมท่สี ูง ละเอียดข้ึนไปกว่าเกียรติยศเหล่าน้ีมากเมื่อได้ออกจากส�ำนักของ ๒ อาจารย์แล้ว ก็ยังไม่ ทรงเห็นทางปฏิบัติว่าอย่างไรเป็นทางถูกทางดีจริงจึงทรงต้องทรงหวนเข้าทดลองปฏิบัติตาม หลกั วิธีที่นยิ มกนั ทว่ั ไปในยคุ น้นั วา่ การทรมานดว้ ยวิธีต่าง ๆ เป็นทางบรรลถุ งึ ธรรมช้นั สูงสดุ 115
ได้ จึงทดลองปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดที่สุด ยากท่ีใครจะปฏิบัติเทียบเท่าได้ ก็ไม่เห็นผล ตามที่ทรงปรารถนาจึงกลับทรงด�ำริใหม่ว่า ”สมณพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งได้เสวย ทุกขเวทนาอันกล้าแสบเผ็ด ที่เกิดเพราะความเพียรในกาลล่วงแล้วก็ดี จักได้เสวยใน กาลข้างหน้าก็ดี เสวยอยู่ในกาลบัดนี้ก็ดี ทุกขเวทนานั้นก็อย่างยิ่งเพียงเท่านี้ไม่เกินกว่านี้ ข้ึนไป ถึงอย่างนั้นเราก็ไม่สามารถจะตรัสรู้ด้วยทุกกรกิริยาอันเผ็ดร้อนอย่างน้ี ชะรอยทาง ตรัสรู้จะมีเป็นอย่างอื่นกระมังคราวน้ีเกิดพระสติหวลระลึกถึงความเพียรทางใจว่าจักเป็น ทางตรัสรู้ได้บ้างกระมัง!„ จึงได้เร่ิมบ�ำรุงพระกายด้วยอาหารตามธรรมดาแล้ว เร่ิมบ�ำเพ็ญ เพียรทางจิตตอ่ ไป จนไดต้ รัสรู้อรยิ สจั ๔ เปน็ พระสมั มาสัมพุทธเจ้าสมปรารถนา เหล่านี้ก็ล้วนแสดงถึงเจตนาเพื่อพระองค์เองเป็นส�ำคัญก่อน ที่นักปราชญ์รวบรัด พระคุณของพระพุทธองค์ว่า เป็นพระปัญญาคุณ จนสามารถตรัสรู้อริยสัจ ๔ ได้โดยล�ำพัง พระองค์เอง หมดเครือ่ งเศรา้ หมองจากพระหฤทัยได้เด็ดขาด เป็นพระบริสุทธคิ ณุ พระคุณ ท้ัง ๒ ประการน้ี นับเป็นพระคุณความดีส�ำหรับพระองค์เองท้ังนั้นที่น่าเคารพบูชาอย่างยิ่ง ก็อยู่ที่ว่าพระองค์ใช้พระปัญญาปรีชาสามารถเหมาะสมทุกทาง ที่ย้อนเข้าใช้ตรวจตราและ จัดระบบชีวิตของพระองค์เป็นหลักส�ำคัญผิดกว่าผู้อ่ืนทั้งในอดีต อนาคต และปัจจุบัน ที่ชอบใช้ความเฉลียวฉลาดสามารถ หรือต�ำแหน่งหน้าที่ของตนออกไปภายนอกชีวิตตน จนกลายเป็นข่มเหงคะเนงร้าย เบียดเบียนรีดนาทาเร้นขาอ่ืนเพื่อความร่�ำรวยสบายหรือ เกียรติยศชื่อเสียงให้แก่ตนด้วยน้�ำตาของผู้อ่ืน จึงเข้าท�ำนอง ”ผู้ชนะย่อมก่อเวร ผู้แพ้ย่อม เป็นทุกข์„ ทั้งที่ได้ศึกษาศิลปวิทยาการมามากเพียงไร ก็หาเอาตัวรอดให้มีการอยู่เป็นสุข อย่างสงบได้ไม่ เพราะจัดระบบชีวิตผิดที่ส่วนพระพุทธองค์ใช้พระปรีชาสามารถมานะ อดทนอย่างเยี่ยมยอด จัดชีวิตของพระองค์เองอย่างจริงจังเด็ดเด่ียว ไม่ย่อท้อถอยต่�ำ อุปสรรคง่าย ๆ แม้จะไม่มีแบบแผนหรือวิธีการอย่างทุกกรกิริยาก็ตาม หากแต่ทรงได้ เหตุผลว่า ”ธรรมดาสภาวะทง้ั ปวง ยอ่ มมขี องท่มี ีข้าศึกแก้กนั , เช่นมิรอ้ นแลว้ ก็ต้องมเี ย็นแก้ มีมืดแล้วก็มีสว่างแก้, จึงได้ประสบพระสัมมาสัมโพธิญาณ คือ ตรัสรู้ อริยสัจ ๔ มีนิสัย 116
สันดานบริสุทธ์ิจากเคร่ืองเศร้าหมองทั้งหลาย นักปราชญ์จึงย่นย่อพระคุณของพระองค์ เป็นหลกั ใหญว่ า่ พระปัญญาคุณ พระบริสทุ ธิคณุ ยังมีพระคุณท่ีส�ำคัญย่ิง อ�ำนวยคุณประโยชน์แก่พุทธศาสนิกชนตราบเท่าทุกวันนี้ อีกประการหนึ่งนักปราชญ์เรียกว่า พระมหากรุณาคุณ ท่ีส�ำคัญย่ิงนั้นหมายถึง เมื่อพระองค์ ทรงบรรลุคุณธรรมอันประเสริฐสุดสมปรารถนาแล้ว หากพระองค์จะทรงพักผ่อนหาความ ส�ำราญเฉพาะพระองค์เองก็ย่อมท�ำได้ ไม่มีใครจะไปติเตียนว่าเห็นแก่ตัวได้อย่างไรเลย แต่หากอาศัยน�้ำพระหฤทัยใหญ่ที่มากด้วยความกรุณา ปรารถนาจะให้ผู้อื่นประสบความสุข สบายอย่างพระองค์บ้าง จึงได้ต้ังพระหฤทัยในอันที่จะแสดงธรรมส่ังสอนมหาชนและใคร่ จะด�ำรงพระชนม์อยู่ กว่าจะได้ประกาศพระศาสนาแพร่หลายประดิษฐานให้ถาวร โดยมิได้ เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยทุกข์ยากล�ำบากของพระองค์อย่างไร ได้เสด็จไปตามบ้านเล็ก เมืองน้อยตลอดไป นับเวลาที่ได้ทรงท�ำหน้าท่ีส่ังสอน เท่ากับเป็นครูเท่ียวสอนศิษย์อยู่ ตลอดเวลาถึง ๔๕ ปี น้ีนับว่าเป็นพระมหากรุณาคุณอย่างย่ิงแก่มหาชน โดยมิได้เห็นแก่ ความสุขส่วนตัว นิสัยอย่างนี้หายากในโลกมานานแล้ว เม่ือพระพุทธองค์ได้ทรงบ�ำเพ็ญ หน้าที่ แนะน�ำสั่งสอนด้วยพระมหากรุณาคุณเช่นนี้ นักปราชญ์จึงยกขึ้นเป็นคุณอีก ประการหน่งึ วา่ พระมหากรุณาคณุ อน่ึง พระมหากรุณาคุณ มิใช่เพียงเป็นตัวอย่างของผู้มุ่งท�ำคุณประโยชน์แก่ผู้อื่น สัตว์อื่น อย่างไม่หวังประโยชน์ตอบแทนเท่านั้น ประโยชน์อันส�ำคัญอย่างย่ิงอีกส่วน ก็คือค�ำส่ังสอนของพระองค์ที่จัดเป็น พระธรรม พระวินัย รวมเรียกในภายหลังว่า พระพุทธศาสนาน้ี ล้วนแต่เป็นค�ำสอนที่ออกมาจากพระหฤทัยที่บริสุทธ์ิหมดจด เต็มด้วย เหตุและผล ทนต่อการพิสูจน์ของนักปราชญ์สืบมาจนบัดน้ี ที่แพร่ออกจากพระโอษฐ์ของ พระองค์ ให้ผู้อื่นได้สดับตรับฟังแล้วประพฤติตามนับว่าเป็นหลักส�ำคัญอย่างย่ิง ถ้า พระพุทธองค์จะไม่ทรงตรัสเทศนาส่ังสอนใคร ฐานะของพระองค์ก็คือพระปัจเจกโพธิ ผ้ตู รสั รูเ้ ฉพาะตนไม่ไดส้ งั่ สอนใคร เมือ่ ไมส่ ่งั สอนใคร คำ� สอนกย็ อ่ มไม่ปรากฏให้ผู้อน่ื ได้ฟงั 117
ความตรัสรู้ หรือพูดง่าย ๆ ว่าความรู้อันวิเศษน้ันก็จะพลอยนิพพานตามพระองค์ไปเสีย เท่านั้น อย่างชาวเราเคยได้รู้ได้ยินถึงบางท่านที่มีวิชาความรู้เป็นพิเศษ เช่นต�ำรายารักษา โรคอย่างศักดิ์สิทธิ์ แต่ไม่ยอมบอกกล่าวให้แก่ใครแม้จนลูกหลานได้จดจ�ำไว้ เลยสาบสูญ ตามตัวไปฉะน้ันพระพุทธศาสนาคือค�ำสอนของพระพุทธเจ้าที่ได้จดจ�ำสืบกันมาจึงถึงกาล ทุกวันน้ี ๒๕๐๐ ปีเศษแล้วก็เพราะอาศัยพระมหากรุณาของพระองค์เป็นส�ำคัญอย่างย่ิง หาไม่แล้วชาวเรายังจะมืดมนด้วยอ�ำนาจกิเลสตัณหาอีกเนิ่นนานเท่าไรก็ยากที่จะค�ำนวณได้ ตอนน้ีจึงขอรวบรวมเป็นข้อส�ำคัญ ส�ำหรับพิจารณาถึงพระคุณของท่านโดยย่นย่อ ที่สุดว่ามี ๓ ประการ คือ พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ เพ่ือเป็น เหตุน�ำให้เกิดความเสื่อมใสเคารพบูชา ในฐานะเป็นพระบรมศาสดาส่วนหนึ่งเป็นแบบแผน ให้ชาวพุทธท้ังหลายจดจ�ำน�ำมาประพฤติตามให้ได้บ้าง เป็นการบูชาพระองค์ด้วยการ ประพฤตดิ ีปฏบิ ัตชิ อบ ตามกำ� ลงั สติปญั ญา ในการพิจารณาจากหนังสือพุทธานุพุทธประวัตินั้น ข้าพเจ้ามีปรารถนาหาตัวอย่าง ประพฤติตามบ้าง แต่จะตามรอยพระบาทขององค์พระพุทธเจ้านั้น เห็นเกินวาสนาบารมี ย่ิงนัก คร้ังพิจารณาตามแนวมัชฌิมาปฏิปทาหนทางปฏิบัติเป็นสายกลางในปฐมเทศนา ไดแ้ ก่ทางอนั วเิ ศษ ๘ ประการเลา่ ก็อดท้วงตนเองว่าอยา่ เพง่ิ ก่อนเพราะฤษี ๕ ตน ผ้รู ับฟัง เทศนากัณฑ์นี้ ล้วนแต่เป็นนักบวชมาแล้วท้ังน้ัน จิตใจย่อมสูงกว่า สงบระงับกว่าเรา ชาวบ้านมากมายนัก แม้จะมีข้อขนาดเป็นศีลคือ เจรจาชอบ การงานชอบ เลี้ยงชีวิตชอบ พอปฏบิ ัตติ ามได้อยบู่ ้างก็ตาม แต่ถงึ ชน้ั สมาธิ มีเพียรชอบ ระลึกชอบ ตง้ั ใจชอบ ต้องยอม ถอยหลังรามือไว้พลาง ครั้นพิจารณาเลยไปถึงได้ทรงเทศนาแก่นายยศ ตอนยังไม่ได้ ขอบวชเป็นภิกษุ กับตอนทรงเทศนาสอนบิดานายยศ รู้สึกว่าน่าสนใจทีเดียวเพราะคน ชาวบ้านอย่างนายยศกับบิดาคงไม่มีคุณธรรมสูงส่งเพียงไรนัก อย่างดีก็มีการเจรจาชอบ การงานชอบ เลี้ยงชีวิตชอบพอกันกับชาวบ้านเช่นเรา ๆ ท่าน ๆ จึงชวนให้เกิดความสนใจ ถึงข้อธรรมท่ีท่านเรียกว่า อนุปุพพิกถา คือ เทศนาที่กล่าวตามล�ำดับ พรรณนาทาน การ 118
ให้ก่อนแล้วพรรณนาศีล การรักษากายวาจาให้เรียบร้อย เป็นล�ำดับแห่งทาน, พรรณนา สวรรคค์ อื กามคุณทบ่ี คุ คลใคร่ เปน็ ลำ� ดบั แห่งศีล, พรรณนาโทษ คอื ความเป็นของไมย่ ่งั ยนื และประกอบด้วยความคับแค้นแห่งกาม เป็นล�ำดับแห่งโทษของกาม, หรือเข้าใจง่าย ๆ ว่า พระองค์ทรงสอนไปตามล�ำดับ มีการให้เป็นข้อท่ี ๑ ความรักษากายวาจาให้เรียบร้อย เป็น ข้อท่ี ๒ สวรรค์เป็นข้อที่ ๓ โทษของสวรรค์เป็นข้อท่ี ๔ อานิสงส์แห่งการออกจากกามเป็น ขอ้ ที่ ๕ ดงั จะชวนใหท้ า่ นพจิ ารณาตามล�ำดับ ด้วยภูมสิ ตปิ ญั ญาอนั นอ้ ยต่อไป 119
แถบเอื้อ ค�ำเปน็ หัวข้อนี้ หมายถึงคำ� ว่า ทาน ในอนปุ ุพพกิ ถา แตใ่ นปทานกุ รมให้ความหมาย ว่า ให้แก่ชนทุกช้ัน จะเป็นให้เพ่ือบูชาคุณ เพ่ือตอบแทนอุปการะ หรือเพื่อสงเคราะห์ก็ได้ พิจารณาดูชีวิตของชาวเราท่ีจ�ำเริญสุขมาได้ต้ังแต่ยังเด็กจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ล้วนอาศัย ความเอื้อเฟื้อเผ่ือแผ่ อันมีนัยมาจากทานด้วยกันท้ังนั้นหากไม่แล้วแม้จะเจริญอยู่ในครรภ์ จนถึงก�ำหนดคลอดก็จะไม่มีขึ้นได้ เพราะขาดความรักเอ็นดูสงสาร ทานจึงเป็นการกระท�ำ ด้วยการเอ้ือเฟื้อเผ่ือแผ่เพื่อเป็นการสงเคราะห์เป็นการยกน้�ำใจเกิดคิดเป็นกันเอง จนถึง เรียกว่า พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ล�ำดับฐานะบุรพชนเช่นนี้ก็เพ่ือให้ทราบขอบเขตในบุคคล ผู้เคารพนับถือ ผูกพันกันในทางสืบสายโลหิตว่าเป็นพวกเดียวกันชั้นไหน ชั้นผู้ใหญ่หรือ ช้ันเด็ก จึงได้ค�ำรวมว่าญาติคือรู้ว่าเป็นพวกเดียวกัน วิธีนับถือผู้สืบสายโลหิตเดียวกันเป็น ญาตินี้เป็นอุบายวิธีหาพวกฟ้องไว้อนุเคราะห์สงเคราะห์ซึ่งกันและกันประการหน่ึง แม้ใน ปัจจุบันมีนามสกุลต่อท้ายช่ือ ก็เป็นวิธีการแสวงหาญาติหาพวกฟ้องเช่นเดียวกัน ยิ่งกว่านี้ ยังมีประเพณีนับถือเขยสะใภ้ที่เข้ามาเก่ียวดองเป็นวิธีเพ่ิมเติมญาติ ให้กว้างขวางแพร่หลาย อีกประการหน่ึงด้วย แต่ในพระพุทธศาสนายังมีวิธีกว้างขวางกว่าญาติทางสายโลหิตหรือ ทางเกย่ี วดองเพ่มิ อกี วธิ หี นึง่ ว่า ”ความค้นุ เคยเปน็ ญาติอย่างยงิ่ „ คอื ท่านม่งุ ถึงความค้นุ เคย รักใคร่สนิทสนม คอยอนุเคราะห์สงเคราะห์ด้วยน้�ำใจอันงามว่าเป็นญาติแท้ เพราะญาติ โดยความคุ้นเคยเช่นนี้ ต่างต้องมีความเคารพรักใคร่มั่นคงอย่างจริงใจมาก่อนแล้ว จึงจะ คบค้าสมาคมคุ้นเคยไว้วางใจกันได้ นับเป็นวิธีหาพวกพ้องกว้างออกไปอีก ถ้าเป็นญาติทาง สายโลหิตด้วย เป็นญาติทางคุ้นเคยด้วย นับเป็นญาติ ๒ ชั้น ย่ิงจะกลมเกลียวอนุเคราะห์ 121
สงเคราะห์ด้วยความเคารพนับถือแน่นแฟ้นยากที่จะเสื่อมคลาย ส่วนญาติทางสายโลหิต เสียอีก มักจะไว้วางใจกันยาก หรือมักมีแต่จะปองร้ายหมายขวัญโดยถือว่าเป็นญาติตัดกัน ไม่ขาด เลยขาดการอนุเคราะห์สงเคราะห์ตามท่ีควร กลับหม่ินญาติถึงกลายเป็นศัตรูต่อกัน และกัน เพราะเหตุมรดกเพียงเล็กน้อยก็มี เมื่อนึกถึงหลักธรรมดาว่า ”ลิ้นกับฟันต้อง กระทบกระทั่งกันบ้าง„ คือญาติพี่น้องอยู่ใกล้เคียงกัน ย่อมอดไม่ได้ที่จะเกิดผิดพ้องหมองใจ ทะเลาะเบาะแวง้ กนั ตามประสาญาติ แต่อยา่ คดิ ถึงกบั ผลาญญาติ ท�ำลายญาติ กย็ ังพอทำ� เนา ข้อส�ำคัญผู้เป็นเขย สะใภ้ ซึ่งมาจากสายเสือดอื่น ถ้าพื้นสายเลือดเดิมไม่นั่นคงดีจริงแล้ว เขย สะใภ้น้ีแลเป็นชวนให้ ”เสียญาติขาดมิตร„ มาเสียมากต่อมาก ผู้ที่ไม่นับถือญาติตาม สายโลหิตเท่ากับขุดหลุมฝังตน เพราะย่อมขาดญาติแท้ด้วย คนอื่นก็พลอยแหนงใจไม่กล้า คบไว้วางใจด้วย ทางแห่งชีวิตย่อมคับแค้นเดือดร้อน ด้วยขาดแคลนผู้อนุเคราะห์สงเคราะห์ ในมงคล ๓๘ อย่าง ท่านจึงยกการเคารพนับถือสงเคราะห์ญาติ ทั้งสืบสายโลหิตและส่วน ความค้นุ เลย ว่าเป็นเหตุน�ำความเจริญรงุ่ เรอื งใหแ้ กช่ ีวิตประการหนึ่ง ที่น�ำเร่ืองญาติมาปรารภนี้เพื่อแสดงให้เห็นว่า จะยังคงเคารพนับถือเป็นญาติให้ สนิทสนมกลมเกลียวนั้น จะขาดการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกันเสียมิได้ การเอื้อเฟื้อ เป็นคุณส�ำหรับสนามใจให้ญาติคงเป็นญาติสนิทสนมกันย่ิงขึ้น ไม่มีเวลาเส่ือมคลายและ ยังเชื่อมน้�ำใจผู้มิใช่ญาติเป็นญาติทางความคุ้นเคยอีกด้วย การท่ีเผื่อแผ่ผูกใจกันได้ใน หมู่ญาติท่านแสดงว่ายังแคบไป วงแห่งการนับถือรักใคร่อยู่เพียงจ�ำกัด ดีอยู่ก็เพียงเห็นผล เผื่อแผ่ได้ชัดเจนภายในหมู่คณะหรือครอบครัวเท่าน้ันทางพระศาสนาท่านต้องการให้ขยาย ขอบเขตความเอ้ือเฟื้อออกไปให้กว้างขวางที่สุด ไม่มีจ�ำกัดขอบเขตเป็นส�ำคัญ ถึงจะไม่ ปรากฏผลสนองให้ชดั เจนก็ตาม วสิ ยั นักปราชญ์ยอ่ มมุง่ ถงึ ประโยชนก์ วา้ งขวางไม่มขี อบเขต ยิ่งกว่าประโยชน์จ�ำกัดในวงส่วนน้อย เพราะเป็นการล้างใจให้หมดจากข้าศึกศัตรูที่บรรยายนี้ ยังไม่มีประสงค์ให้เป็นนักปราชญ์ทั่วบ้านเต็มเมืองในเวลาอันสั้น ใคร่ขอแต่เพียงให้เต็มใจ สละความสุขส�ำราญทรัพย์สมบัติ ออกช่วยอนุเคราะห์ส่วนน้อยในหมู่คณะ หรือใน 122
ครอบครัวอย่างเห็นผลปรากฏชัดเจน ทันตาเห็นให้เป็นหลักประจ�ำไว้ก่อน แม้จะไม่ถึงภูมิ นักปราชญ์กย็ งั ถึงภมู ิกลั ยาณชนผู้มีน�้ำใจงามเต็มหมคู่ ณะหรือเตม็ ครอบครัวเป็นแท้ การเอื้อเฟื้อเผ่ือแผ่แก่กันและกันนี้ เป็นเหมือนเคร่ืองเช่ือมใจให้เกิดความรักใคร่ นับถือเป็นน้�ำหนึ่งใจเดียว เช่นเดียวกับน้�ำยาบัดกรีเชื่อมโลหะต่างช้ินให้ติดมั่นคงได้ หรือ เช่นเสน้ ดา้ ยทตี่ รงึ ผ้าหลายชนิ้ ใหต้ ดิ กันใชน้ งุ่ หม่ ไดส้ ะดวกเหมาะสม หรอื เชน่ ตะปูยดึ เหน่ยี ว ไม้ต่างชิ้นให้ส�ำเร็จเป็น ตู้ เตียง โต๊ะ ได้ฉะนั้น สมเด็จพระบรมศาสดาทรงยกขึ้นแนะน�ำ สั่งสอนก่อนข้อธรรมอื่น ก็เพราะเป็นแม่บทที่จะน�ำให้ผู้ร่วมกันต่างคิดหันหน้าพ่ึงพาอาศัยกัน ต่างมุ่งหวังความสะดวกสบายแก่กันตามสามารถโดยตรงท่านมุ่งให้อนุเคราะห์สงเคราะห์ ด้วยวัตถุ มีอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค เป็นหลัก แต่อาจขยายออกไป เป็นสงเคราะห์ด้วยถ้อยค�ำอ่อนหวาน ซื่อตรง หรือตลอดถึงเร่ียวแรงก�ำลังกายก�ำลังใจ ได้ด้วย ดังจะเห็นได้จากข้อค�ำสอนส�ำหรับยึดเหน่ียวน�้ำใจให้รักใคร่เคารพนับถือซึ่งกัน และกัน ท่ีมีช่ือหัวข้อว่า สังคหวัตถุ ก็ทรงวางหัวข้อปฏิบัติ เริ่มด้วยให้ปันสิ่งของ ๆ ตนแก่ ผู้อ่ืนที่ควรให้ปัน เจรจาวาจาอ่อนหวาน ประพฤติส่ิงท่ีเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น และเป็นคน มีตนเสมอไม่ถือตัว เหล่านี้ว่าเป็นเครื่องยึดเหน่ียวน้�ำใจรักของผู้อ่ืนไว้ได้ และท่ีตรัสถึง การประพฤติเพ่ือเป็นบุญกุศลคุณความดี ก็ทรงยกทานการบริจาคว่าเป็นส่ิงที่ต้ังแห่งการ บ�ำเพ็ญไว้ข้อต้น หรือที่อ้างว่า สัตบุรุษคนดีท้ังหลายแต่งตั้งไว้ ก็ยกการสละสิ่งของ ๆ ตน เพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่ืนเป็นข้อแรก ทั้งนี้ก็เพ่ือให้บุคคลอยู่ร่วมหมู่คณะ โดยฐานะเป็น ญาตมิ ติ รหรือไม่ก็ตาม ควรจะหดั นสิ ัยใหม้ ีความเอ้ือเฟ้ือเผอื่ แผ่แกก่ นั และกัน จงึ จะเปน็ อยู่ ด้วยความร่มเย็นเป็นสุข ดังตัวอย่างที่เห็นอยู่ในบัดน้ี บิดามารดาให้ความอนุเคราะห์ สงเคราะห์ลูกด้วยการเลี้ยงดูอุปถัมภ์ ครูอาจารย์ให้การอบรมศิลปวิทยาการต่าง ๆ แก่ ศิษยานุศิษย์ ผู้ใจบุญบริจาคทรัพย์สร้างวัดวาอาราม สร้างโรงเรียน โรงพยาบาล สถาน อนุเคราะห์ต่าง ๆ เหล่าน้ีปรากฏอยู่เหมือนอนุสาวรีย์แห่งการเอื้อเฟื้อเผ่ือแผ่ไม่เห็นแก่ตัวจัด ท้ิงความมีน้�ำใจเผื่อแผ่ไว้ให้เป็นมรดกตกทอดอยู่เป็นตัวอย่างถ้าต่างถือตัวไม่มีการ 123
อนุเคราะห์สงเคราะห์กันต่างก็มุ่งประโยชน์ส่วนตัวเป็นใหญ่ ตนได้ประโยชน์แล้วจึงจะท�ำ ถ้าขาดประโยชน์ก็ไม่ท�ำอย่างนี้ อย่าหวังถึงว่าจะได้พบเห็นสถานอนุเคราะห์สงเคราะห์ เกิดขึ้นเลย แม้เพยี งความรักเคารพนบั ถือตอ่ กนั และกนั ก็จะไมม่ ี จะมีกแ็ ตค่ วามระหองระแหง แก่งแย่งแข่งดีกินแหนงแคลงใจ เพราะต่างจะมุ่งประโยชน์ของตัวเป็นประมาณ เข้าท�ำนอง มือใครยาวสาวได้สาวเอา ซ�้ำร้ายก็จะมีการเบียดเบียนข่มเหงรังแกกัน เพื่อรักษาประโยชน์ ของตนจะเป็นเหมือนกองทรายในกลางแดดไม่สามารถจับปั้นให้เป็นรูปร่างเกิดประโยชน์ อย่างไรได้ เพราะความแห้งผากไม่มีเครื่องยึดเหนี่ยวติดต่อกัน แม้มากมายเต็มหาดก็ เหมือนไม่มีราคา ต่อเมื่อไรเขาน�ำมาผสมน้�ำ และปูนขาว เป็นต้น คลุกเคล้ายึดเหนี่ยวจึง สามารถเกดิ ประโยชน์มรี าคาขน้ึ ได้ การที่ต่างคนต่างมุ่งเอ้ือเฟื้อซึ่งกันและกันตามสามารถอยู่ จะไม่มีใครเสียเปรียบ ใคร เพราะจะเข้าลักษณะการเล่นของเด็กที่เรียกว่า งูกินหาง คือต่างคนต่างจับเกาะหลัง ของกันและกันเป็นวงกลมตนเกาะหลังเขา เขาก็เกาะหลังตนเข้าท�ำนองถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน จนอาจกล่าวได้ว่า หน้าที่ส�ำคัญของบุคคลเรา ก็คือการมุ่งท�ำคุณประโยชน์ให้แก่ผู้อ่ืน คงไมเ่ กดิ ความจรงิ นัก อน่ึง การท่ีท่านแนะน�ำให้เอื้อเฟื้อแก่กันและกันนั้นมิใช่แนะน�ำแต่ฝ่ายเราเป็นผู้ให้ เท่านั้นท่านแนะน�ำส�ำหรับคนท่ัวไป ส่วนบางคนที่ถือการให้อย่างไม่ลืมหูลืมตามีเท่าไรขนให้ จนหมด ถึงกู้หน้ียืมสินเขามาให้ก็มี อย่างนี้ แม้จะเห็นเป็นการเอ้ือเฟื้อเผ่ือแผ่น่าชมก็จริง แต่มีความหลงมัวเมาเจือปนอยู่ด้วย ท่านหาสรรเสริญไม่ ท่านได้ก�ำชับไว้เหมือนกันว่า ต้องพิจารณาเลือกให้ ผู้รับขัดสนจริง ทรงคุณธรรมจริง เรามีก�ำลังพออุดหนุนและบูชา พระคุณได้ จึงควรบริจาค ท่านเปรียบเหมือนจะเพาะพืชพันธุ์ก็ต้องเลือกพ้ืนที่ ย่ิงบางคน จ�ำใจให้ หรือหวังผลมีหน้ามีตา ก็กลายเป็นซ้ือร�ำคาญหรือซ้ือหน้าตา ชื่อเสียง เป็นการ ลงทุนเพ่ือหวงั กำ� ไร ท่านไมน่ ับว่าเป็นทานท่ถี ูกแท้ หรือในยามเราอัตคัดขาดแคลนไมม่ ีพสั ดุ ส่ิงของจะบริจาคเผื่อแผ่ได้ ก็ยื่นโยนเอื้อเฟื้อเพียงค�ำพูดอ่อนหวานไพเราะหรือแสดงน้�ำใจดี 124
หวังคุณประโยชน์ต่อใช้ก�ำลังกายเข้าเอื้อเฟื้อแทน เหล่านี้ ก็ย่อมได้น�้ำใจรักจากผู้ท่ีเรา ตดิ ตอ่ ดกี วา่ คดิ ทะนงตนพูดจาสามหาว หยาบคาบ ไมม่ กี ารผอ่ นสนั้ ผ่อนยาวตอบแทนใคร กจ็ ะมแี ต่คนอื่นเขาตีหา่ ง ไมอ่ ยากแยแสเก่ยี วข้องดว้ ย การเอื้อเฟอ้ื เผือ่ แผช่ ว่ ยเหลือกันท่าน จึงว่า เป็นเคร่ืองยึดเหนี่ยวผูกพันน้�ำใจรักใคร่นับถือดีกว่าประการอ่ืน ๆ ดังท่านกล่าว ”ผู้ให้ ย่อมผกู ไมตรีไว้ได„้ ”ผู้ให้ย่อมเปน็ ท่ีรัก คนหม่มู ากยอ่ มคบเขา„ ฉะน้นั พระพุทธองค์ทรงยกขึ้นสอนนายยศ และบิดา แม้จะต่างขณะเวลากันก็ตาม พระพุทธประสงค์ก็เพ่ือจะช�ำระล้างนิสัยเห็นแก่ตัว หรือนิสัยตระหนี่ถ่ีเหนียว ไม่รู้จัก ยอมเสียสละความผาสุกตลอดจนทรัพย์สินเงินทองออกเจือจานผู้อื่น เป็นการรักตนเอง เกินไป จนท�ำให้เป็นผู้มีนิสัยใจคอคับแคบไม่เอาเพื่อนเอาฝูง ซึ่งเมื่อต่างคนต่างมีนิสัย อยา่ งน้ีติดตัวเป็นพ้ืนอยู่ทัว่ ไปแลว้ มแี ตท่ างจะน�ำไปสคู่ วามแตกแยกทำ� ลาย หาความชุ่มช้ืน เบิกบานใจมิได้ ด้วยหลงคิดในชีวิตเป็นการทรมานตนเองอยู่ตลอดไป ชวนให้ทะเยอทะยาน แสวงหาจนเป็นการสุมทับตนเอง แทนท่ีจะเป็นนายทรัพยสมบัติกลับตกเป็นทาส คอย ลืมตาอ้าปากถนอมรักษาอยู่จนไม่เป็นอันกินอันนอน พระพุทธองค์ทรงมุ่งเพื่อถ่ายถอน ความคิดที่มุ่งเพื่อตนเองจนเกินไป ถึงจะได้รับความสุขกาย สบายใจบ้าง ก็เป็นเร่ือง เฉพาะตนเฉพาะครอบครัว เฉพาะตระกูล ควรจะได้เผ่ือแผ่เจือจานท�ำประโยชน์แก่ผู้อื่น ตามความสามารถด้วยจึงจะเชื่อว่า ชีวิตไม่รกโลก เป็นชีวิตที่ช่วยท�ำนุบ�ำรุงโลกที่ตนได้ อาศัยมามีความผาสุกน่าร่ืนรมย์ด้วยการผินหน้าเข้าหากัน จึงตรัส ทาน การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ กันและกันเป็นข้อแรก และการท่ีจะคอยช่วยเหลือมุ่งท�ำประโยชน์แก่ผู้อื่นแต่ฝ่ายเดียว ย่อมเป็นทางเส่ือมฝ่ายตนเกิดขึ้นก็ได้ เพ่ือไม่ให้เสียท้ังประโยชน์ฝ่ายตนด้วย ก็ได้ตรัสถึง ศลี ความสงบทางกายกบั วาจาใหเ้ รยี บรอ้ ยงดงาม นา่ เคารพนับถอื สืบล�ำดบั กันไป 125
เชื้อสงบ กิริยามารยาทท่ีบุคคลแสดงออก ย่อมปรากฏแก่ตาหูของบุคคลอ่ืนได้ง่าย จน นักปราชญ์ได้ผูกเป็นค�ำเตือนไว้ว่า ”ส�ำเนียงบอกภาษา กิริยาบอกตระกูล„ ส�ำหรับจะได้ ระมัดระวังการเจรจาพาทีหรือกิริยา ยืน เดิน น่ัง นอน ให้อยู่ในลักษณะสงบเรียบร้อย ตามกาลเทศะนั้น ๆ ส่วนความเปน็ ผูม้ เี กยี รตยิ ศ หรอื ความรำ�่ รวยทรัพยส์ มบัติเหล่าน้ี ไม่มี อะไรเป็นเคร่ืองหมายแสดงให้ทราบได้เด่นชัดแต่กิริยามารยาทที่แสดงออกอยู่ตามปกตินั้น ย่อมเป็นเหมือนเคร่ืองหมายแสดงให้พบเห็นเข้าใจว่าดี เลว ต�่ำช้าได้ง่าย ผู้ท่ีขาดการ ระมัดระวังในเรื่องกิริยามารยาท ด้วยถือว่าตนเป็นผู้มีเกียรติสูงร่�ำรวยเงินทอง จะแสดง กิริยาอย่างไรก็ได้ คนท้ังหลายก็ต้องเคารพนับถือเสมอไป ผู้ทะนงตนเช่นน้ีมักจะถูกหยาม จากผู้พบเห็นว่า ”ผู้ดีแปดสาแหรก„ บ้าง ”ก้ิงก่าได้ทอง” ”คางคกข้ึนวอ„ บ้าง เพราะไม่รู้จัก ปฏิบัติตนให้สวยสดงดงามสมกับฐานะของตน น�ำแต่ความทะนงตนเข้ามาเป็นหลัก จึง วางตนไม่เหมาะสมกับฐานะ ท�ำนองช่ังน้�ำหนักตนเองไม่ถูก ถึงจะมีผู้แสดงความเคารพ นับถืออยู่บ้างด้วยจ�ำใจ ก็มีแต่ชนิด ”หน้าไหว้หลังหลอก„ หรือ ”ต่อหน้าว่ามะพลับลับหลัง ว่าตะโก„ หาผ้เู คารพนบั ถอื ดว้ ยความสนิทใจได้ยาก พระพุทธเจ้าได้ตรัสศีล การรักษากายวาจาเรียบร้อยไว้เป็นล�ำดับท่ี ๒ ต่อจาก ทานข้อต้น ก็เพ่ือให้บุคคลมีคุณงามความดีพร้อมทุกประการ ในข้อต้นทรงแนะให้มีการ เผ่ือแผ่เจือจานแก่กันและกันแล้ว แต่ยังมีกิริยามารยาท ซุ่มซ่าม หยาบคาย ช่วยเหลือ อย่างเสียไม่ได้อยู่แล้ว ก็ยากที่ผู้รับการเจือจานจะช่ืนอกชื่นใจ คิดถึงบุญคุณ กลับจาก คิดหมิ่นหยาบในใจเกิดขึ้นก็ได้ ฉะนั้น กิริยามารยาทจึงนับเป็นคุณลักษณะที่ส�ำคัญ อีกประการหนึง่ ซง่ึ ควรรักษาระมดั ระวัง นิยมประพฤติปฏิบัติตามทวั่ กนั 127
เพื่อให้มีหัวข้อ หรือแนะน�ำการประพฤติ ท่านจึงบัญญัติหัวข้ออย่างต�่ำที่สุดไว้ ๕ ข้อ เรียกว่านิจศีล ส�ำหรับระวังรักษาได้เสนอไป หรือโดยมุ่งหมาย เรียกว่า ธรรมของ มนุษย์ก็ได้ นอกจากนี้ยังมีหัวข้อที่เพิ่มข้ึนเป็น ๘ เรียกอุโบสถศีล เพิ่มเป็น ๑๐ ศีลของ สามเณร เพิ่มเป็น ๒๒๗ ศีลของพระภิกษุเหล่าน้ีล้วนแต่เป็นหัวข้อหรือแนะน�ำการ ประพฤติส่วนกาย วาจา ให้สงบระงับเรียบร้อย งดงามตามความสามารถของบุคคลน้ัน ๆ ท้ังส้ิน การตั้งเจตนางดเว้นความชั่ว ตามเกณฑ์ของท่านอย่างน้อยท่ีสุด ๕ ข้อน้ี ก็ต้อง ประกอบเจตนาท่ีบ�ำเพ็ญความดีควบคู่กันไปด้วย เช่น ตั้งเจตนางดเว้นฆ่าสัตว์แล้ว ก็ต้อง ประกอบเจตนาที่บ�ำเพ็ญความดีควบคู่กันไปด้วย เช่น ตั้งเจตนางดเว้นฆ่าสัตว์แล้ว ก็ต้อง ประกอบเจตนาให้เกิดความอนุเคราะห์สงสารคุมเจตนาไว้เสมอไป การต้ังเจตนาสมาทาน รับว่าจะเวน้ ความชัว่ ตามจำ� นวน ๕ ขอ้ ๘ ขอ้ ๑๐ ข้อ ถา้ เกดิ ประมาทท�ำลายเจตนาของตนเสยี ชื่อว่าศีลขาด คือบกพร่องจากจ�ำนวนท่ีสมาทานไว้ ถ้ามั่งความดีอีกก็ต้องสมาทานใหม่ การท่ีต้องคอยสมาทานแก้ข้อบกพร่องให้เต็มอยู่เสมอน้ี เรียกว่า รักษาศีล ผู้สมาทาน ยังต้องมีสติระมัดระวังรักษา ไม่ให้ด่างพร้อย ขาด ท�ำลาย รักษาเจตนาสมาทานไว้ให้คง บริสุทธิ์สมกับตั้งใจรักษาเหมือนผู้เฝ้ารักษาพัสดุสิ่งของ คอยระวังมิให้พัสดุสิ่งของ คอย ระวังมิให้พัสดุสิ่งของในความดูแลของตนขาดตกบกพร่อง จึงรวมเรียกง่าย ๆ ว่า ผู้รักษา ศีล ต่อเมื่อไรฝึกฝนอบรมเจตนา ระมัดระวังความช่ัวร้ายตามข้อท่ีสมาทานนั้น จนเกิดเป็น คุณธรรมประจ�ำใจขึ้น แน่นแฟ้นแน่นอนเป็นปกติประจ�ำอัธยาศัยตลอดไป เช่น สมาทาน งดเว้นการฆ่าสัตว์ ก็มีสติส�ำรวจระวังจนใจคุ้ม แม้แต่จะนึกฆ่าก็ไม่มี การส�ำรวมระวังเช่นนี้ นับเป็นศีล ส่วนคุณธรรม คือ เมตตา กรุณา เป็นคุณธรรมก�ำกับใจมิให้กลับละเมิดศีล เรียกว่า กัลยาณธรรม เม่ือบริบูรณ์ ย่อมป้องกันอาตฆาตปองร้ายมิให้เกิดข้ึนเรียกได้ว่า รักษาศีลจนเกิดคุณธรรม หรือมีศีลเป็นรักษาควบคุมอัธยาศัย อย่างนี้นับว่า ผู้รักษาศีล ตรงกับความหมายของค�ำว่า ศีล ที่ท่านแปลว่าปกติ หรือท่ีบรรยายว่า รักษาศีล ตาม ท�ำนองวินัยคือ รับสมาทานแล้ว หากท�ำตกบกพร่องขาดท�ำลายต้องสมาทานใหม่ ต้อง รักษาศีลจนเข้าท�ำนองธรรมะคือจนเป็นปกติของใจท่ีมากด้วย เมตตา กรุณา ไม่มีเจตนา อาฆาต พยาบาท จองเวร จึงจะสมกับพยัญชนะของศีล ที่ท่านหมายว่า ต้ังมั่น หรือ รับความดี ก็มีนัยเช่นเดียวกันเพราะศีลในที่นี้ก็เป็นฝ่ายธรรมะ แม้จะยืมถ้อยค�ำมาใช้ 128
เพ่ือเป็นแนวปฏิบัติ ก็มุ่งให้ถือศีลจนเป็นธรรมะเกิดความปกติตั้งม่ันประจ�ำอัธยาศัย ตลอดไป ตามนยั ของศีลทีบ่ รรยายมาน้ี มุง่ ถงึ พยัญชนะของศีล และทา่ นกำ� หนดคุณลักษณะ ของศีลว่าเพื่อรักษาส่วนกายกับวาจาใจเรียบร้อยเป็นหลักส�ำคัญ แต่ท่ีท่านสงเคราะห์ องคม์ รรคทั้ง ๘ ตามที่ตรสั ในปฐมเทศนาน้ัน ท่านจัดวาจาชอบ การงานชอบ เล้ยี งชีวิตชอบ เข้าอยู่ในศีลสิกขาคือข้อควรศึกษาช้ันศีล อันเป็นแนวทางเบื้องต้นที่จะเขยิบข้ึน ภูมิสมาธิ และปัญญาสืบต่อไป เพื่อให้สืบต่อเข้าแนวตามล�ำดับของอนุปุพพิกถาจะขอน�ำ วาจาชอบ การงานชอบ เลี้ยงชีวิตชอบ ซ่ึงเป็นส่วนเหตุให้เกิดความเรียบร้อยฝ่ายกายกับวาจามา ประกอบการบรรยาย ธรรมดาปากของเรา ธรรมชาติสร้างไว้ส�ำหรับน�ำอาหารเข้าสู่ล�ำคอลงกระเพาะและ รวมกับลิ้น ฟัน ริมฝีปาก ล�ำคอ ส�ำหรับใช่เปล่งเสียงเป็นภาษาแสดงความประสงค์ให้ผู้อ่ืน เขา้ ใจ บางรายท่านมุ่งถึงลนิ้ ทีอ่ ยใู่ นปาก ช่วยเปล่งเสยี งพูดวา่ เปน็ อวัยวะสำ� คัญจะชั่วดีถห่ี ่าง อย่างไร ก็ด้วยอาศัยล้ินจะกระดิกพลิกแพลงให้เป็นไป ท่านจึงกล่าว ”จะยากไร้โหยหิว เพราะชิวหา„ บางครั้งหมายรวมอยู่ในค�ำว่า ปาก ปากของเราเอง จะพูดให้เขาเกลียด โกรธ รัก ชอบ ตนเอง อย่างไร ก็อยู่ท่ีปากเป็นส�ำคัญ ดังพระพุทธพจน์ว่า ”คนโง่กล่าวค�ำชั่ว ชื่อว่าฟันตนเองด้วยขวาน ซ่ึงเกิดอยู่ที่ปากของตน„ หรือในบทดอกสร้อยว่า ”เป็นมนุษย์ สดุ ดกี ท็ ป่ี าก ถึงจนยากพูดจรงิ ทกุ สง่ิ สม ไม่หลอนหลอกปลอกปล้นิ ด้วยลิน้ ลม คนคงชมว่า เพราะเสนาะเอย„ อวัยวะคือปาก แม้จะมีคนละปากเดียวก็จริง แต่ใช้ท�ำธุระได้หลายอย่าง ทั้งดที ง้ั ชัว่ พดู จนเขา้ คกุ เข้าตะราง กเ็ พราะปากนี้ พดู ให้เขาเคารพนบั ถือ ก็เพราะปากน้ีผู้ใช้ ลมปากเล้ียงชีวิตตนเองตลอดครอบครัวให้มีความสุขสบายก็มี เช่นนักร้อง ตลอดถึง นักแต่งนักเขียนซ่ึงใช้อักษรแทนค�ำพูด ท่ีส�ำคัญยิ่งในการใช้ลมปากท�ำคุณประโยชน์ คงไม่มีใครเกินองค์พระบรมศาสดา ท่ีลมปากของพระองค์ยังด�ำรงเป็นพระพุทธศาสนา อยู่ถึงกาลทุกวันน้ี ด้วยเหตุผลตามท่ีน�ำมาบรรยายเพียงส่วนน้อยนี้ ในทางวจีกรรม ท่าน จึงยกหลักส�ำคัญขึ้นสอนให้เว้นจากพูดเท็จเว้นจากพูดส่อเสียด เว้นพูดหยาบคาย เว้นจาก พูดเจ้อเพื่อให้ใช้ลมปากสร้างความดีให้แก่ตนคือ พูดแต่ค�ำจริง พูดแต่เรื่องให้เกิดการ 129
สามัคคีรักใคร่ พูดแต่ค�ำไพเราะอ่อนหวานสมฐานะของผู้ฟังพูดแต่เร่ืองเป็นหลักฐาน เหมาะสม ดังนี้ ท่านนับว่าเป็นกุศลกรรมเป็นมงคลอย่างเลิศ เรียกว่า วาจาเป็นสุภาษิต การเขียนหนังสอื เป็นอักษรแทนค�ำพดู กต็ อ้ งระวังโดยนยั เชน่ เดยี วกนั กิจการที่พึงกระท�ำทางกาย ท่านเรียกว่ากายกรรม ในฝ่ายพระศาสนามุ่งถึงการ กระท�ำท่ีเป็นหลักใหญ่ ที่ชอบกระท�ำอยู่เสมอทุกยุคทุกสมัย ถ้าปล่อยให้กระท�ำกันตาม อ�ำเภอใจแล้ว มักด�ำเนินไปในทางข่มเหงรังแกกัน ด้วยมุ่งล้างผลาญชีวิตกันบ้าง มุ่งทำ� ลาย ฉ้อโกงทรัพย์สมบัติกันบ้างมุ่งท�ำลายประเวณี ฉุดคร่า อนาจารกันบ้างเหล่านี้ นับเป็นหลัก สำ� คญั ทีจ่ ะขยายกระจายการกระท�ำทำ� นองเดียวกนั ด้วยเล่ห์กลอบุ ายเหลือท่ีจะนบั ล้วนแต่ น�ำความทุกข์ยากเดือดร้อนไม่มีความสงบสุขได้เลย สมเด็จพระบรมศาสนา จึงได้ทรง บัญญัติเป็นสิกขาบท ให้ต่างตั้งใจงดเว้นจากท�ำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วง เว้นจากถือเอาส่ิงของ ท่ีเจ้าของไม่ได้ให้ด้วยอาการแห่งขโมย เว้นจากประพฤติผิดในกาม เรียกกุศลกรรมบถ คือ แนวแห่งการปะพฤติดี ท้ังนี้ เพื่อให้บุคคลผู้อยู่ร่วมหมู่คณะ ตลอดประเทศชาติ มีน�้ำใจ เห็น อกเขา อกเรา หรือเอาใจเขามาใส่ใจเรา คนอื่นย่อมรักสุขเกลียดทุกข์เหมือนกับเรา จะได้มีการเอ้ือเฟื้อเผื่อแผ่ สงสาร คิดอนุเคราะห์ สงเคราะห์ตามฉันญาติพ่ีน้อง มิตรสหาย หรือผู้ร่วมหมู่คณะ ตลอดร่วมประเทศชาติ จะประกอบการอาชีพอย่างไร จะได้มุ่งแสวงหา แต่ในทางที่ชอบ ทางสุจริต ไม่เบียดเบียนข่มเหงกันในทางประเวณี มุ่งรักใคร่ถนอมน�้ำใจกัน เฉพาะแต่คู่ครองของตน เม่ือทุกบุคคลผู้อยู่ร่วมคณะ หรือต่างหมู่คณะก็ตาม ต่างมี อัธยาศัยมากด้วยเมตตากรุณา ต้ังหน้าท�ำมาเลี้ยงชีพด้วยน�้ำพักน้�ำแรงของคนโดยสุจริต ไม่คิดนอกใจค่คู รองของตน สวรรค์กจ็ ะผดุ ขน้ึ เตม็ อกไปตามกนั เป็นแท้ ส่วนการเล้ียงชีวิตชอบนั้น เมื่อได้ปรับปรุงส�ำรวมส่วนวจีกรรม กายกรรม เป็น กุศลอยู่เสมอแล้ว การประกอบอาชีพ ท�ำมาหาเลี้ยงคนโดยสุจริตไม่นิยมอบายมุขแล้ว ก็ย่อมจะไม่ฝืดเคืองล�ำบากยากแค้นถึงกับจะต้องหาเลี้ยงหาเล้ียงท้อง ในทางทุจริต เช่น ค้าของเถื่อน ขู่เข็ญหรือลักขโมยปล้นสะดม เพราะเป็นการหาความล�ำบากเดือดร้อนให้แก่ ตนตลอดครอบครัวและมิตรสหาย เมื่อได้ต้ังตนมีศีลธรรม ขยันบากบ่ัน อุตส่าห์พยายาม 130
เก็บเล็กผสมน้อย อย่างปลวกตัวเล็กยังช่วยก่อรังให้เป็นจอมปลวกขึ้นได้ หรือผ้ึงต่าง ช่วยกันทำ� รังด้วยความขยันหม่ันเพียร จนเป็นรงั ใหญ่โตข้ึนได้ ฉะนนั้ ด้วยเหตุนี้ การเจรจาชอบ ท�ำการงานชอบ เลี้ยงชีวิตชอบ จึงจัดว่าเป็นนิสัยของ ผู้มีศลี เปน็ คณุ ประโยชน์แก่ผู้มีศลี เอง เพราะมแี ต่ความประพฤตเิ รยี บรอ้ ยดีงาม นา่ เคารพ นับถือไม่เบียดเบียนผู้อ่ืนไม่ก่ออภัยตรายให้เกิดขึ้นในหมู่ที่ตนอยู่ด้วย ทั้งรู้จักนับถือ หมู่คณะด้วยเอ้ือเฟื้ออนุเคราะห์สงเคราะห์ตอบแทนอีกด้วย จึงไม่น่ากลัวศีลขยาดยั้นต่อ การท่ีจะอบรมศีลให้มีข้ึนในตัว เหมือนเด็กทารกถูกผู้ใหญ่บังคับให้พักผ่อนเพื่ออนามัย แก่ตนเอง แตย่ งั อดห่วงของเล่นทำ� กระบดิ กระบวนดอื้ ดึงจนถึงไม้เรียวบงั คับ จะนา่ เสียดาย วันคนื ทพ่ี าชีวติ ให้ล่วงเลยผ่านไปเสยี เปลา่ ๆ ศลี มิใช่จะมีขน้ึ ได้แต่ในวงวัด และวดั ก็มิใช่แดนท่เี ตม็ ไปดว้ ยศีล กับศีลจะเกดิ มขี ้ึน ก็ไม่ต้องอาศัยพิธีรีตอง ไม่ต้องอาศัยกาลเวลาสถานที่ ศีลเกิดขึ้นได้ด้วยการต้ังใจประพฤติ ความดี เว้นความชว่ั เริ่มตน้ ดว้ ยต้ังใจงดเวน้ ความช่วั เพียง ๕ อยา่ งก่อน เรยี กวา่ ศลี ๕ ที่ ทราบกันอยู่แพร่หลายแล้วหากจะยดึ หลกั ตามองคม์ รรค คือการเจรจาชอบ ทำ� การงานชอบ เล้ียงชีวติ ชอบ เปน็ แนวปฏบิ ัตกิ ็ยอ่ มชือ่ ว่าศลี ๕ บรบิ รู ณ์ ด้วยการงานชอบกค็ อื เว้นฆ่าสตั ว์ เว้นลักทรัพย์ เว้นประพฤติผิดในกามเจรจาชอบ ก็คือเว้นพูดเท็จ เลี้ยงชีวิตชอบ ก็คือ เว้นอบายมุข มีด่ืมสุราเมรัย เป็นต้น เหตุนี้ ศีลจึงสามารถอบรมให้มีในตนได้ทุกสถาน ตลอดกาลทุกเมอ่ื เป็นชาวไรไ่ ถนา ชาวสวนพรวนดนิ พ่อคา้ ขา้ ราชการ ชายหญงิ เดก็ ผใู้ หญ่ อาจอบรมศีลไว้ประจ�ำตนได้เท่ากับ ศีลไม่มีเหลื่อมล้�ำต�่ำสูงเลือกท่ีรักผลักที่ชังและศีลย่อม ส่งผลานิสงส์แก่ผู้ปฏิบัติได้เท่าเทียมกันทุกกาลเทศะ เช่นน�ำถึงสุคติให้ร�่ำรวยโภคทรัพย์ ให้ถึงความดับทกุ ข์สิ้นเชิง อยา่ งเดยี วกันตลอดกาลสมยั พระบรมศาสดา จึงทรงยกศีลข้ึนแสดงต่อจากล�ำดับทาน การบริจาคช่วยเหลือ ผู้อ่ืน เพราะเป็นท่ีตั้งของการบ�ำเพ็ญคุณงามความดีแก่ตนเองและหมู่คณะ นับเป็น คุณสมบตั ขิ องผูด้ ใี นพระศาสนาอยา่ งส�ำคญั ดงั เขม็ รากตึก หรอื บนั ไดขั้นแรก ฉะน้นั 131
ตลบตอบ เป็นธรรมดาทั่วไป ท่ีบุคคลเรากระท�ำอะไรลงไปแล้วย่อมหวังผลตอบแทนด้วยกัน ท้ังนั้น จะเป็นผลตอบแทนโดยตรง เช่น ให้ส่ิงของก็ได้สิ่งของตอบแทนหรือผลตอบแทน โดยอ้อม เช่น ช่วยเหลือผู้ถูกไฟไหม้ ใต้ลนได้รับความล�ำบากเดือดร้อน ก็ได้รับเหรียญ สรรเสรญิ จากทางราชการ เปน็ ตน้ ผลตอบอยา่ งน้ี ทา่ นเรยี กว่า เป็นผลตอบแทนฝา่ ยอามิส มักป็นเครื่องล่อใจให้หลงเพลิดเพลิน ส่วนทางพระศาสนามุ่งผลตอบแทนเป็นฝ่าย คุณธรรม ไม่ต้องมีใครเป็นผู้มอบให้ ตนเองเป็นผู้มอบให้แก่ตนเอง เป็นความชุ่มช่ืน เบิกบานใจ ท่ีได้บ�ำเพ็ญตนสมหน้าที่แล้ว เช่นคนขัดสนไม่มีเงินค่าอาหาร ค่าโดยสารรถ กลับบ้านเรือนขอร้องความเอ็นดู เม่ือได้ช่วยเหลือไปตามก�ำลัง ให้มีค่าอาหาร ค่ารถคลาย ทกุ ขท์ รมานแกเ่ ขาไปแลว้ ไดค้ วามอิม่ ใจวา่ ไดช้ ่วยความทุกข์รอ้ นของเพือ่ นมนุษย์ ให้หมดไป แม้เพียงช่ัวคร้ังช่ัวคราว ความอิ่มใจน้ีแลคือผลที่เกิดตอบแทน นับเป็นคุณธรรมท้ังส่วน ทาน และกรณุ าซ่ึงจะชกั จงู ให้มีก�ำลังในการช่วยทกุ ข์บำ� รงุ สุขแก่ผ้อู ่นื ต่อไปตามโอกาส พระบรมศาสดา เมื่อได้ทรงสั่งสอนเรื่องทาน เป็นล�ำดับต้น เร่ืองศีลเป็นล�ำดับ ๒ แลว้ จึงทรงแสดงอานิสงส์ คอื ผลทจี่ ะพงึ ข้ึนตอบแทนสบื ไป ในทอ้ งเรอ่ื งท่านเรียกตอบแทน ว่า สวรรค์ คือ คณุ สมบตั ิความดงี าม อันคนผูใ้ ห้ทาน และคนมผี ้มู ศี ลี จะพงึ ถึงให้มนษุ ยโลก ตลอดขึ้นไปถึงสวรรค์ เพ่ือให้เห็นอานิสงส์แห่งทานและศีลย่ิงขึ้น เป็นอันได้สันนิษฐานว่า คนผู้ให้และคนผู้มีศีล จะได้ผลตอบแทนการบ�ำเพ็ญของตน ต้ังแต่อยู่ในมนุษยโลกนี้ด้วย ตลอดข้ึนไปถึงสวรรค์อีกด้วย จึงชวนให้เข้าใจว่าจะเข้าถึงสวรรค์ได้ ก็ต่อเมื่อท�ำลายขันธ์ 133
จากโลกมนุษย์นี้ไปแล้วเลยเกิดปัญหาถึงโลกสวรรค์ว่าอยู่ที่ไหน ผู้ท่ีได้เสวยแล้ว ไม่เคย กลับมาบอกเล่าแก่ญาติมิตรท่ียังอยู่ในโลกมนุษย์นี้บ้างเลยมีแต่นิยามปรัมปราเป็นส่วนมาก ท่านโบราณของเราได้กวล่าวว่า ”สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ„ โดยจะถือเค้าจาก พระพุทธภาษิต ”ถ้าจิตบริสุทธิ์ สุคติเป็นหวังได้ ถ้าจิตเศร้าหมอง ทุคติเป็นหวังได้„ หรอื ไฉน? แต่เมอ่ื ใคร่ครวญจากหลักอ่นื ๆ ประกอบ เช่นค�ำวา่ สคุ ติ ตามรูปศัพท์หมายวา่ ทางดี จะพบปะจับต้องลูบคล�ำพัสดุส่ิงของหรือคบค้าสมาคม ล้วนแต่พบเห็นพัสดุส่ิงของ ที่ดี ทีน่ ่าเจรญิ ใจ บุคคลท่มี าใกลช้ ิดติดต่อกล็ ้วนแต่คนดมี นี ำ้� ใจงาม สว่ นทคุ ติ ตรงกนั ขา้ ม หมด เป็นทางเลว เพียงปัจจัย ๔ คืออาหาร เครอื่ งนงุ่ ห่ม ท่อี ยู่อาศยั ยารกั ษาโรค ก็อัตคดั ขาดแคลน บกพร่องหาส่วนท่ีน่าเจริญใจมิได้ มีแต่ส่วนเลวทรามต�่ำช้า ทุกประการ เม่ือ ยึดหลักสคุ ติ ทุกตดิ งั นี้แลว้ พึงใคร่ครวญตอ่ ไป สคุ ติ ทคุ ติน้ี เป็นผลตอบแทนการบำ� เพ็ญ ของบุคคลท้ังไตรทวารมาแล้ว ใครประพฤติตนอยู่ในสุจริตเป็นกุศลกรรมบถ แนวแห่ง การกระท�ำดีมาก ทางเดินชีวิตก็ล้วนประสบแต่สุคติ ทางดีมาก ท�ำคร่ึง ๆ กลาง ๆ ท�ำบ้าง ไม่ท�ำบ้าง หรือท�ำแต่เพียงผัดหน้า ลับหลังไม่ท�ำ สุคติก็สนองแต่เพียงคร่ึง ๆ กลาง ๆ ตามก�ำลังท่ีกระท�ำได้ มักไม่สมประสงค์ของผู้กระท�ำ ซึ่งคอยจะมีนิสัยค้าก�ำไรเกินควร อยู่เสมอ คือท�ำได้น้อยแต่หวังผลตตอบแทนให้มาก ส่วนทุคติก็เป็นผลสนองแก่ผู้กระทำ� เช่นเดียวกัน แต่ก็ไม่ตรงกับความปรารถนาของผู้กระท�ำอีกเหมือนกัน ด้วยผู้กระท�ำมัก พิจารณาผลล�ำเอียงเข้าข้างตนเสมอ ด�ำเนินชีวิตอยู่ในแนวแห่งการกระท�ำความช่ัวมาก ก็มักเห็นว่าเล็กน้อยท�ำในท่ีลับนึกว่าใครไม่รู้ไม่เห็น จับไม่ได้ไล่ไม่ทันก็กระหย่ิมใจว่าตน ฉลาดสามารถดี ข่มเหง รังแกเขา เบียดเบียนเขา กลับทะนงตนว่า มีอ�ำนาจวาสนาบารมี มาก หรือท่ีสุดท�ำความช่ัวร้ายมาแล้ว เที่ยวหาอาจารย์ดีอาบน้�ำมนต์เสีย ก็ล้างความช่ัวร้าย หมดไปได้ เหล่านี้ล้วนแต่หลงคิดเข้าข้างตัวเองทั้งส้ิน แต่ความจริงน้ัน ทุคติต้องเป็นผล สนองอยู่เสมอ ที่ท�ำปากแข็งอยู่ว่า สุขสบายดี หรือแสดงความโอ่อ่า สง่าผ่าเผยก็เป็นชนิด หน้าชื่นอกตรม ส่วนภายในจิตใจ ที่ร่มร้อนกระวนกระวาย กินไม่เป็นบ่อน นอนไม่เป็นที่ อยูน่ น้ั คือทคุ ตกิ ำ� ลงั สนองผลอยู่แล้ว โดยเจา้ ตัวไมท่ ันสำ� นกึ ถงึ 134
สุคติ ทุคติ ก�ำลังเป็นผลสนองอยู่ในปัจจุบันชาติเช่นนี้ ตรงกับค�ำโบราณที่ว่า ”สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ„ ส่วนท่ีท่านแสดงว่า ยังจะได้รับความสุขตลอดขึ้นไปถึง สวรรค์ ซึ่งหมายว่า เมื่อแตกดับจากชาตินี้แล้ว ยังจะได้รับความสุขในสวรรค์อันมีอยู่ใน ชาติหน้าอีก เปน็ ท�ำนองขัดกับคำ� วา่ ”สวรรคอ์ ยู่ในอก นรกอยใู่ นใจ„ ท่ีหมายถงึ ชาตปิ จั จบุ ันน้ี เอง แต่ถ้าสันนิษฐานให้ละเอียดว่า ภพชาตินี้ ผลัดเปล่ียนกันอยู่ทุกระยะลมหายใจเข้าออก แลว้ ก็จะไม่ขดั กนั เลย เราหายใจออก ถ้าไมห่ ายใจเข้าก็ตอ้ งตาย หายใจเขา้ ไม่หายใจออก ก็ต้องตายเช่นเดียวกัน แต่เพราะมีการสืบต่อหายใจอยู่ จึงไม่นับว่าตายถึงกับเปลี่ยนภพชาติ อันท่ีจริง เราก�ำลังเปล่ียนภพชาติในระยะส้ันกันอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกแล้ว หายใจเข้า เป็นเกิด หายใจออกเป็นตาย ตั้งแต่ในโลกน้ี เม่ือตายเปล่ียนจากโลกนี้ไปสู่โลกหน้าก็เป็น การเปลี่ยนภพชาติในระยะยาว ต่อไป พึงเทียบตัวอย่างในตัวของเราดูก็พอเห็นเค้า เช่น เราสมัยเป็นเด็กทารกได้ตากจากไปแล้ว จึงเกิดเราเป็นเด็กหนุ่มสาวผู้ใหญ่ ตามระยะเวลา เป็นล�ำดับมา ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงสืบต่อกันมาตามระยะเวลาแล้วก็เท่ากับเป็นภาพน่ิง ไม่มีการเคล่ือนไหว เด็กเกิดในครรภ์ก็จะอยู่ในครรภ์เท่านั้น ไม่มีโอกาสคลอดออกมาสู่ โลกภายนอกได้ เด็กทารกก็คงจะเป็นทารกอยู่น่ันเอง ไม่สามารถเติบโตเป็นเด็กหนุ่มสาว ตลอดถึงเป็นผู้ใหญ่ได้ อาศัยการเปลี่ยนแปลงเท่ากับเปลี่ยนแปลงภพชาติในระยะสั้น หมนุ เวยี นเคลอ่ื นไหวไปจนกวา่ จะถงึ การเปลยี่ นในระยะยาวเชน่ เดยี วกบั โลกหมนุ รอบตวั เอง ด้วย หมุนรอบดวงอาทิตย์ด้วย หมุนรอบตัวเองเป็นระยะส้ัน หมุนรอบดวงอาทิตย์เป็น ระยะยาว เมื่อจับหลักเทียบเคียงได้อย่างนี้ ”สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ„ จะไม่ขัดกับ ค�ำว่าความสุขในสวรรค์เลย คือเม่ือบ�ำเพ็ญตนอยู่ในกุศลกรรมบถ ย่อมได้รับผลเป็นสุคติ ต้ังแต่ภพชาติระยะส้ัน ตลอดไปจนถึงภพชาติในระยะยาว ถ้าบ�ำเพ็ญตนอยู่ในอกุศลกรรม ย่อมได้รับผลเป็นทุคติ เช่นเดียวกัน ตรงตามพระพุทธภาษิตว่า ”ธรรมกับอธรรม ให้ผล ไม่เสมอกัน ธรรมน�ำไปสู่สุคติ อธรรมน�ำไปสู่นรก„ คือแดนที่ไม่มีความเจริญได้แก่ทุคติ นน่ั เอง 135
สวรรค์ที่ท่านพรรณนาว่า มีความสุขสบายอย่างล้นเหลือทุกอย่าง เป็นภพชาติใน ระยะยาวท่ีคอยต้อนรับผู้ให้ทานรักษาศีล แต่ต้องเมื่อตายจากภพน้ีแล้ว จึงจะได้ไปเสวย ไปสู่สวรรค์ท้ังยังเป็น ๆ ย่อมไม่ได้ (นอกจากเร่ืองในชาดก) ถ้าจะไม่ได้รับผลแห่งการ ทำ� บญุ ท�ำบาปทันทใี นภพน้ี ตอ้ งรอไปเสวยผลในภพหน้า คนท�ำบุญไว้มากแล้ว กค็ วรจะได้ รีบตายเสียโดยเร็ว เพื่อเสวยผลความดีในสวรรค์หากเป็นดังน้ี คนดีมีบุญทานได้บ�ำเพ็ญ ไว้มาก คงไม่หวาดหว่ันกลัวความตาย เพราะจะไปเสวยความสุขสบายในสวรรค์ อีก ประการหนึ่ง ย่อมขัดกับหลักการท่ีว่า ท�ำเมื่อไร ได้ผลเม่ือนั้น ด้วยจะต้องรอเวลาไป จนกว่าจะแตกกายท�ำลายขันธ์สู่ภพหน้าตามล�ำดับไปตั้งแต่ปัจจุบันชาติน้ี แม้จะถูกโจมตีว่า เอานรกมาขู่ เอาสวรรค์มาล่อก็ตาม ด้วยความจริงแท้แล้ว นรกสวรรค์จะไม่มีที่ไหนเลย ก็ตามการแนะน�ำสั่งสอนกัน ให้ต่างคนต่างกระท�ำคุณงามความดีให้แก่ชีวิตคน ไม่ข่มขี่ รังแก เบียดเบียนกัน โดยยกสวรรค์มาล่อก็ยังเป็นเคร่ืองจูงใจให้บ�ำเพ็ญความดี มีให้ทาน รักษาศีล เป็นต้นได้อยู่ จะหวังผลในสวรรค์หรือไม่ก็ตาม เม่ือได้อบรมคุณความดีใส่ตน ไว้ต้ังแต่ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ชีวิตย่อมมีความร่มเย็นเป็นสุข มีผู้เคารพนับถือบูชา เป็นผล สนองส่วนหน่ึงแล้ว หากโลกหน้ามีสวรรค์จริงก็ยังจะได้เสวยผลในสวรรค์อีกต่อหนึ่งนับว่า ไม่เสียชีวิตทั้งชาติน้ีชาติหน้า ส่วนที่ว่าเอานรกมาขู่ ก็จะเกิดความเกรงกลัวละเว้นความ ช่ัวช้าทุจริตไม่คิดท�ำบาปต่อไป เพราะเกรงผลร้ายของนรก ถ้าไม่กลัวตกนรกหลงคือ ด้านท�ำบาป ย่อมได้รับโทษทุกข์ภัย จากอาชญาแผ่นดินเป็นต้นแต่ชาตินี้ด้วย และหาก นรกมีจริง ก็ต้องได้รับโทษทุกข์อีกต่อหน่ึงด้วย จึงไม่เป็นผลร้ายจากที่อ้างว่า เอานรกมาขู่ เอาสวรรค์มาลอ่ อย่างไรเลย 136
รอบกลับ ความม่ังค่ังสมบูรณ์ด้วยโภคทรัพย์ท้ังหลาย ทั้งเคร่ืองอุปโภค บริโภค เกิดใน ตระกูลสูง รูปร่างผิวพรรณสวยสดงดงาม โรคภัยไข้เจ็บน้อย มีอนามัยดี มีเกียรติยศ ฐานันดร เหล่าน้ี ในทางพระศาสนาท่านว่าส�ำเร็จมาจากผลของบุญ คือ ท�ำความดีงาม มาแล้ว ความสมบูรณ์ทั้งน้ี ย่อมได้รับเสวยนับแต่ชาติน้ีตลอดไปจนถึงชาติหน้า คติคำ� สอน ในพระศาสนาแม้จะมุ่งให้ละชั่ว ประพฤติความดีตราบเท่าถึงจิตใจให้ผ่องแผ้วก็ตาม แต่ การกระท�ำนนั้ ๆ ตอ้ งยดึ ตนเองเป็นหลัก คอื ให้ตนเองไดล้ ะความช่วั ของตนเอง ไดป้ ระพฤติ ความดีด้วยตนเอง และได้ท�ำจิตใจของตนเองให้ผ่องแผ้ว เช่นเดียวกับพระมหาเถระ รูปหน่ึงได้สอนศิษยานุศิษย์ค�ำว่าแก้ตัว ท่านให้เติมอีกค�ำหน่ึงว่า แก้ที่ตัว ผิดถูก ชั่วดี ก็อยู่ท่ีตัว จะแก้ผิดให้เป็นถูก แก้ช่ัวให้เป็นดี จึงต้องแก้ท่ีตัวของตัวเองเสมอ เพราะตนเอง เป็นบ่อเกิดของความดีความชั่วมัวหลงแก้ที่อื่น เช่นเที่ยวรดน�้ำมนต์ล้างความผิด หรือ หาเคร่ืองรางของขลังให้เป็นเมตตามหานิยม เพื่อให้เกิดสวัสดิมงคลแก่ตน หรือปลอดภัย อันตราย เป็นการแก้ไม่ตรงจุดที่หมาย เม่ือท่านให้แก้ท่ีตัวก็คือให้ย้อนมาพิจารณาดูความ ประพฤติ ท้ังส่วนกาย วาจา ใจ ของตนจึงจะพบความผิด ช่ัว ดี ถ่ี ห่าง แล้วแก้ไขได้ ตรงจุดท่ีผิดเข้าท�ำนองท่ีว่า ให้พิจารณาให้มุมกลับคือบุคคลท่ัว ๆ ไป เขามักชอบดูออกไป จากตัว คือดูคนอื่น สัตว์อ่ืน ส่วนในมุมกลับก็คือใช้สติปัญญากลับย้อนเข้าดูตรวจ พจิ ารณาตัวเอง จงึ จะพบเหตแุ ละแกไ้ ข จดั แจงได้ตรงตามความเป็นจรงิ 137
ฉะนั้น เมื่อพระพุทธองค์โปรดเทศนาด้วยทรงแสดงประโยชน์แห่งการให้ ทรง แสดงประโยชน์แห่งศีล และทรงแสดงสมบัติ คือความดีงามอันคนผู้ให้ และคนผู้มีศีลจะ พึงได้พึงถึงในมนุษย์โลกตลอดขึ้นไปถึงสวรรค์เป็นอานิสงส์แห่งท่านและศีลย่ิงข้ึนแล้ว ก็ได้ ทรงเทศนาในมุมกลับโดยให้พิจารณาว่า ความรื่นเริงบันเทิงใจในสวรรค์นั้น แม้จะให้ สุขส�ำราญบานใจมปี ระการต่าง ๆ ไดต้ ามปรารถนาเพียงไร แตก่ ล็ ้วนยงั เจือด้วยทุกขต์ า่ ง ๆ ไม่ควรเพลิดเพลินโดยส่วนเดียว ควรเบ่ือหน่ายด้วยเหมือนกัน โดยนัยน้ี น�ำให้ได้ความ สันนิษฐานอีกประการหน่ึงว่า พระพุทธองค์มุ่งทรงสั่งสอนเพื่อความรู้ยิ่งเห็นจริงใน ธรรมชาติท้ังหลาย เท่าความจริง มิให้เกินหรือหย่อนกว่าความจริงซ่ึงรวมอยู่ในหลัก มัชฌิมาปฏิปทาทางสายกลางน่ันเอง เพราะเมื่อจะทรงส่ังสอนให้รู้ย่ิงเห็นจริงจนเกิน ความจริง ก็เข้าแนวหมกมุ่นมัวเมาเป็นฝ่ายผิดทางทั้ง ๒ ด้าน ฉะน้ัน เม่ือได้รับอานิสงส์ จากการให้การรักษาศีล มีเกียรติยศชื่อเสียง มีทรัพย์สมบัติ มีอ�ำนาจวาสนา มีผู้เคารพ นับถือบูชา จึงไม่ควรยึดม่ันว่าเป็นความสุขส�ำราญ หรือหลงติดอยู่ในอ�ำนาจเกียรติยศ จนลืมตัวโดยส่วนเดียว ให้หม่ันพิจารณาในมุมกลับบ้างว่า อ�ำนาจวาสนาบารมีเช่นเดียวกับ หัวโขน เป็นการยกย่อง แต่งต้ังสมมติกันข้ึนช่ัวคราวเท่าน้ัน มิใช่ของจริงจังแน่นอน หรือ จะได้เสวยอยู่ตลอดไปก็หามิได้ และการได้รับเกียรติยศก็ต้องปฏิบัติตนให้สมยศ สมเกียรติ ท้ังรักษาท้ังป้องกันความเสื่อมเสีย มีทรัพย์สมบัติเป็นเคร่ืองปล้ืมใจให้ความสะดวกแก่ กิจการทั้งหลายก็จริง แต่ก็ต้องมีการระแวดระวังรักษา ป้องกันอันตรายจากภัยต่าง ๆ ท้ัง ตอ้ งแสวงหาลู่ทางเพ่ือพอกพนู ให้ย่ิงขน้ึ จงึ ไม่ควรลิงโลดใจในยามมง่ั มศี รสี ขุ จนเกนิ ไป ควร นึกเตรียมใจคอยรับความเศร้าโศกเสียดาย ยามเสื่อมทรัพย์ อัปยศ ไว้ด้วย เพราะเป็น หลักธรรมดาโลกจะต้องประสบพบเหน็ อย่เู สมอ ในเร่ืองทรัพย์สมบัตินี้ ใคร่น�ำเรื่องมาสนับสนุนในข้อว่า มิใช่แต่จะน�ำความสุข สบายมาให้อย่างเดียว ยังน�ำความเดือดเน้ือร้อนใจทรมานร่างกายเพ่ือรักษาและเพ่ิมพูน มาใหอ้ ีกมใิ ชน่ อ้ ย 138
ดังสดับมา มีคหบดีผู้ม่ังค่ังผู้หนึ่ง มีการค้าขายหลายแห่ง ปลูกบ้านให้เช่าเป็น หลัก ๆ อยู่ในบริเวณท่ีดินของตน ได้เฝ้าสังเกตุดูความเป็นไปของครอบครัวผู้เช่าหลังหนึ่ง มานานแล้ว รู้สึกประหลาดใจที่เห็นว่าครอบครัวนั้นต่างอยู่กันสงบสุข มีแต่ความยิ้มแย้ม แจ่มใสร่าเริง ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้ง ทุ่มเถียงเอะอะ โวยวาย เหมือนบ้านเช่าหลังอ่ืน ๆ อดทนประหลาดใจไม่ไหวถึงวันหยุดงาน จึงเชิญพ่อบ้านของครอบครัวนั้นมาสนทนา ปราศรัยไต่ถามถึงข้อประหลาดใจว่า ท�ำไมครอบครัวของท่านจึงมีความสงบสุขสบายดีกว่า ครอบครัวอ่ืน ๆ พ่อบ้านจึงชี้แจงว่าเบื้องต้นก็ปรับความเข้าใจกับครอบครัวให้ทราบถึง รายได้ รายจ่ายที่พอมีพอกิน พอเจือจานกันได้ตามฐานะ ขออย่าได้ทะเยอทะยานให้เกิน ฐานะ จงยินดีตามมีตามได้ ยังมีผู้ที่อัตคัดขัดสน ล�ำบากยากจนกว่าครอบครัวของเรา อีกมากมาย เรามีฐานะอยู่เพียงขั้นน้ี มีรายได้พอจับจ่ายใส้สอย เป็นค่าเช่าบ้าน ค่าอาหาร ค่าเล่าเรียนของลูก และยังมีพอเหลือเก็บออมสินไว้ใช้ยามจ�ำเป็นเกิดป่วยไข้อีก ก็นับว่า สขุ สบายสมฐานะแลว้ ไม่ตอ้ งตะเกียกตะกายดิน้ รนหาความสขุ ให้ย่ิงขนึ้ ไปกวา่ น้ี อดออมใจ ประคับประคองฐานะให้คงอยู่ได้เพียงน้ี ก็นับว่าดีมากแล้ว เม่ือทุกคนในครอบครัวทราบ ความมุ่งหมายต่างประพฤติตัวเจียมใจอยู่ในขอบเขต ก็รู้สึกว่ามีความสบายดีทั้งครอบครัว ฝ่ายท่านคหบดีก็ได้ปรารภถึงชีวิตของท่านเองว่า หาความสุขกาย สบายใจอย่างพ่อบ้าน ได้ยากเต็มที ความม่ังคั่งร่�ำรวยที่เกิดจากกิจการค้าขาย ไม่ได้ท�ำให้เกิดความสุขกาย สบายใจอย่างแท้จริงเลย กลับเป็นภาระกังวลอย่างไม่เป็นกินเป็นนอน ต้องข้ึนเหนือ ล่องใต้ เพ่ือควบคุมดูแลกิจการค้า เพราะไว้ใจใครไม่ได้สนิทนัก จะหาเวลาพักผ่อนเพ่ือหาความสุข ส�ำหรับตัวได้ยากเหลือเกินปากเดียวท้องเดียวเท่าน้ันแต่ต้องเสียเวลาให้หมดเปลืองเพื่อ ปากท้องคนอื่นนับเป็นร้อย ๆ สิบ ๆ ยามเย็นค�่ำพอที่จะได้พักผ่อนเที่ยวเตร่หย่อนใจบ้าง ก็ต้องน่ังเคร่งขรึมตรวจบัญชี ตรวจกิจการท่ีจะต้องแก้ไขเปลี่ยนแปลงยามผู้อื่นหลับนอน ก็ต้องนอนไม่ลงต้องเที่ยวตรวจตราบ้านเรือนผู้คนให้เรียบร้อยเสียก่อน กลายเป็นผู้ต้อง ต่ืนก่อน นอนหลังเขาเสียแล้ว จะเรียกว่าคนใช้บรรดาศักดิ์ก็เห็นจะไม่ผิด ต้องพยายาม อดทนกรากกร�ำจนเกินปากเกินท้องของตัว จะกลายเป็นทาสของกิจการค้าอยู่แล้ว ซ่ึง 139
คนภายนอกเห็นแต่เปลือกก็ว่ามีความสุขส�ำราญเพราะเหลือกินเหลือใช้ แต่ภายในแล้ว สู้ท่านไม่ได้เลย ถึงเวลาพักผ่อนหลับนอน ก็หลับนอนได้ตามเวลามีโอกาสได้สนุกสนานกับ ครอบครัวสมำ่� เสมอ จนรูส้ กึ นา่ อิจฉาตอ่ ความสงบสุขในครอบครวั ของท่าน ดังนี้ ขอเพ่ิมอีกเรื่องตามในชาดกว่าทุคตะคนหนึ่ง อาศัยเพิงข้างบ้านเศรษฐีหลับนอน พอถึงเวลาค่�ำก็เป่าขลุ่ยเป็นที่ส�ำราญใจก่อนนอนทุกคืน จนท�ำเศรษฐีนึกแปลกใจว่าเขา ยากจนถึงกับต้องขอทานเขากิน ไม่มีบ้านช่องอาศัย ยังมีกะใจเป่าขลุ่ยเล่นอยู่ได้เสมอ ไม่โศกเศร้าถึงความยากจนข้นแค้นของตัวบ้างเลย จึงให้ไปตามทุคตะมาไต่ถามได้รับตอบ ว่า ตัวเขายากจน ถึงต้องเที่ยวขอทานเขากินไปวันหนึ่ง ๆ ทั้งยังต้องพึ่งชายคาบ้านท่าน เศรษฐีอาศัยหลับนอนอีกด้วย เช่นน้ี ก็เป็นว่า พอยังชีวิตให้เป็นไปได้วันหนึ่ง ๆ ไม่ต้อง เดือดร้อนอะไร จะคิดทำ� มาหาเล้ียงชีพอย่างอ่ืนก็ไม่มีทุนรอนรุ่งเช้าเที่ยวขอทานไปตลอดวัน ค�่ำลงก็กลับมาหลับนอน ไม่ต้องห่วงกังวลอะไร จึงเป่าขลุ่ยเล่นอย่างสบายใจ ท�ำให้เศรษฐี ยั้งคิดถึงตนเองว่า เราร�่ำรวยเป็นเศรษฐีกลับหาความสบายใจอย่างทุคตะบ้างก็ไม่ได้ มัวแต่ กังวลควบคุมดูแลบ่าวไพร่ท�ำงานอยู่ตลอดเวลา เหมือนตกเป็นทาสของสมบัติ ต้องคอย ระวังรักษา จะหากหกตกหล่น คอยแสวงหาผลก�ำไรไว้เพ่ิมเติมทุนให้งอกเงย คอยระวัง อันตรายจากผู้ร้าย จากไฟ จากน�้ำอยู่ตลอดเวลา ไม่มีเวลาเป็นนายทรัพย์สมบัติได้บ้าง สทู้ ุคตะก็ไม่ได้ ยงั มีเวลาหาความสำ� ราญใจได้เสมอ คดิ แล้วจงึ บอกแกท่ คุ ตะว่า เจา้ ไมม่ ีทนุ จึงหากินอย่างอ่ืนไม่ได้ต้องขอทานเขา เราจะให้ทุนแก่เจ้าจ�ำนวน ๑,๐๐๐ กษาปณ์ ไม่คิด ดอกเบ้ียอะไรดอก เมื่อท�ำมาหาได้จึงค่อยส่งต้นทุนคืน เราคิดสงเคราะห์เจ้าด้วยความ สงสาร นับแต่วันทุคตะได้รับเงิน ๑,๐๐๐ กษาปณ์ มาจากเศรษฐีแล้ว ท่านเศรษฐีไม่ได้ยิน เสียงขลุ่ยของทุคตะเหมือนอย่างเคยอีกเลย ครั้นล่วงเวลา ๓๐๔ วัน ท่านเศรษฐีให้เรียก ตัวไปพบอีก ทุคตะผู้นั้นก็ได้น�ำเงิน ๑,๐๐๐ กษาปณ์ ส่งคืนท่านเศรษฐีพร้อมกับระบาย ความในใจให้ทราบว่า นับแต่เวลาได้รับเงินไปแล้วก็เริ่มเกิดความล�ำบากใจว่า จะเก็บเงิน จ�ำนวนน้ีไว้ที่ไหนจึงจะปลอดภัยจากโจรผู้ร้าย เพราะท่ีหลับนอนของตนไม่เป็นท่ีเร้นลับ 140
อย่างไรหากหลงหลับเพลินไปผู้ร้ายจะแอบเขามาลักเอาเสียเม่ือไรก็ได้ อีกประการหนึ่ง ตนเองไม่เคยคุ้นในการค้าขายก็ไม่ทราบว่าจะใช้ทุนนี้ค้าขายอย่างไร เด๋ียวเกิดต้นทุนหาย ปลายทุนขาดก็จะไม่มีทุนท่ีไหนมาใช้คืน เฝ้าคิดด้วยความยุ่งยากล�ำบากใจเพราะเงิน จ�ำนวนน้ีจนไม่มีความผาสุกใจ ไม่มีแรงลมจะเป่าขลุ่ยได้เหมือนอย่างเคย ท่ีสุดตกลงใจ เห็นว่าเพราะมีเงินเก็บไว้มาก จึงเดือดร้อนต้องเป็นห่วงกังวลใจ สู้หาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ไปวันหน่ึง ๆ ไม่ได้ เบาใจดี ไม่มีเครื่องเดือดเน้ือร้อนใจเหลือติดอยู่เลย ก็คงจะสบายใจ อย่างเดิม จึงขอคืนเงิน ๑,๐๐๐ กษาปณ์ แก่ท่าน ท�ำให้เศรษฐีส�ำนึกว่าเพราะเรายอมตัว ตกเป็นทาสของทรัพย์สินเงินทอง อยากได้เร่ือยไปไม่มีเวลาพอไม่มีเวลาอ่ิม อย่างนี้ก็เห็น จะต้องตายไปทั้ง ๆ ที่ยังไม่อิ่มไม่พอนี่เอง เม่ือยังไม่ตายใช้ให้ระแวงรักษาอย่างหัวไม่วาง หางไม่เว้นใช้ตั้งแต่ตื่นจนกระทั่งหลับแม้ในยามหลับก็ตามไปใช้ในฝันอีกก็มี เราจะต้อง กลับใจเสียใหม่หัดเป็นนายสมบัติใช้สมบัติให้ท�ำคุณประโยชน์ตอบแทนเราเสียบ้าง ทรัพย์สมบัติเหล่าน้ีที่เราม่ังมีสมบูรณ์ก็เพราะได้เคยเจือจานออกเป็นทาน ท�ำประโยชน์แก่ ผู้อ่ืน ไม่หวงแหนตระหน่ีไว้เพื่อประโยชน์เฉพาะตัวน่ันเอง จึงส่งเสริมให้มีความสมบูรณ์ พูนสุข ถ้าขืนตระหนี่หวงแหนไว้เพราะโลภมากจนไม่ลืมหูลืมตา เราเองก็หมดสุขส�ำราญ ต้องเหน็ดเหนื่อยกรากกร�ำ เพราะใจตกเป็นทาสสมบัติท้ังจะไม่มีทางเพิ่มหนุนพูนเขาให้ เจริญขนึ้ อกี ได้ เปน็ การขุดหลุมฝังตนเอง เปน็ ปโู่ สมเฝา้ ทรพั ย์อยา่ งน่าเวทนา ดงั นี้ นัยของเรื่องทั้ง ๒ เพียงแต่ชี้ถึงการหลงหมกมุ่นมัวเมาให้ทรัพย์สมบัติ เกียรติยศ อ�ำนาจชื่อเสียงท่ีได้ด�ำรงอย่างติดอกติดใจยึดมั่นถือม่ันจริงจังจนลืมตัว เพราะเป็นส่วน น่าปรารถนารักใคร่พึงใจและเม่ือได้ครอบครองสมปรารถนาแล้ว ก็มักหลงใหลใฝ่ฝันให้ตน ได้อยู่ครอบครองตลอดไป ไม่ปรารถนาใหพ้ ลดั พราก ยงั ไม่ได้ก็ชวนให้ขวนขวายทะเยอทะยาน แสวงหา มักไม่เลือกว่าควรหรือไม่ควร ถูกหรือผิด ถือว่าสมใจแล้วดีทั้งนั้น ได้สมอยาก ก็ชวนให้ลิงโลดก�ำเริบเสิบสาน ย่ิงชวนให้หลงทะนงตนยิ่งข้ึน ครั้นไม่ได้สมความตั้งใจ ก็คร�่ำครวญโศกเศร้าขวนขวายเพื่อให้สมใจหนักขึ้น เท่ียวหามดต่อหมอดูก็มี บนกับผีดีกับ 141
เจ้าก็มี ยังมิหน�ำซ้�ำวิ่งเต้นขอร้องญาติมิตรให้พลอยวุ่นวายช่วยเหลือความทะเยอทะยาน ของตนอีก เป็นการแส่หาความเดือดร้อนวุ่นวายให้แก่ญาติมิตร เพียงเพื่อให้สมความ ปรารถนาของตนเท่านั้น ทางพระพุทธศาสนาท่านจึงแสดงหลักความจริง ของส่ิงที่ น่าปรารถนาและไม่น่าปรารถนา ไว้สำ� หรับแก้ไขชีวิตของแต่ละบุคคลว่า ของทุกส่ิงทุกอย่าง ล้วนไม่มีความแน่นอนตามใจปรารถนาของบุคคล ได้มาแล้วประเดี๋ยวก็แปรเปล่ียน พลัดพรากจากไป หรือจากไปแล้วประเด๋ียวก็กลับมาสนองให้หลงรักหลงชังได้อีก ผู้ที่ รู้เท่าตามหลักธรรมดาเช่นนี้ได้ม่ันใจเขาจะไม่แสดงความเศร้าสลด เมื่อคนรัก ของรัก พลัดพรากจากไปจนเสียสติ หรือเมื่อได้รับ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ก็คงมีอาการปกติ ไม่ลิงโลดใจจนเสียสติอย่างขาดความส�ำนึก เพราะรู้เช่นเห็นชนิดว่าเป็นธรรมดาเช่นน้ัน ไม่มีใครฝืนธรรมดาได้ตามอ�ำเภอใจ ปรับความรู้สึกเป็นการแก้ปัญหาชีวิตตนเองได้เช่นนี้ ตนเองก็จะไมต่ ้องดใี จเสียใจจนหมดภมู ิ ญาติมติ รก็ไมต่ อ้ งพลอยว่นุ วายไปอีกด้วย 142
ระยับผล พระพุทธเจ้าเม่ือยังไม่ทรงออกบวช ชีวิตของพระองค์ก็ไม่ต่างอะไรกับเจ้าชาย ท่ียังหนุ่มแน่นท้ังหลาย ต้องเพียบพร้อมด้วยการบ�ำเรอตามที่เห็นว่าเป็นความสุขส�ำราญ อย่างเต็มที่ไม่บกพร่อง แต่อย่างใดอย่างหน่ึง ท่ีรัชทายาทอย่างพระองค์เม่ือมีพระประสงค์ แล้วจะไม่ได้รับเป็นอันไม่มี ย่ิงพระราชบิดาปรารถนาให้ครองราชสมบัติจะได้เป็นพระเจ้า จักรพรรดิตามค�ำน�ำนายด้วยแล้ว ก็ย่ิงจะสมบูรณ์พูนสุขอย่างล้นเหลือทีเดียว แต่ได้กล่าว มาแล้วว่าพระองค์ไม่ได้พลอยลุ่มหลงไปตามการบ�ำเรอย่ัวยวนความเป็นอยู่ของตนตาม เหตุและผล เหล่านั้นจนลืมตน พระองค์ได้ใช้สติปัญญาสามารถของพระองค์ย้อนเข้ามา พิจารณา ตรวจตรา และทดสอบกับความเป็นจริงในราชส�ำนักน้ันแล้ว น�ำให้พระองค์ เห็นภัยย่ิงใหญ่ ที่จะถ่วงชีวิตของพระองค์ให้หลงหมกมุ่นมัวเมาไปเสียเปล่า ๆ เปลืองชีวิต ไปเพียงวันหน่ึง ๆ ไม่เกิดประโยชน์เป็นคุณอย่างไร ท้ังแก่ตนและผู้อ่ืน พระองค์จึงได้สละ สุขสมบัติทั้งหลายเพื่อแสวงหาทางท�ำชีวิตให้เป็นประโยชน์แท้จริงแก่ชีวิตดังเป็นที่ทราบ ประวัติกันอยูแ่ ล้ว เม่ือได้พิจารณาประวัติในการออกจากการครองเรือนเด็ดเด่ียวแล้ว คงจะชวนให้ ท้อใจว่าอย่างเราคนธรรมดา คงไม่มีใจเด็ดเด่ียว เข้มแข็งเช่นน้ันได้ขอยอมแพ้ แต่ขอให้ ลองตรวจดูชีวิตธรรมดาของชาวเราดูบ้างก่อน อย่างเพิ่งยอมราบคาบไปเสียหมด อาจมี ตัวอย่างพอเทียบเคียงเกิดมีข้ึนแก่ชาวเรา ในวิธีการรู้จักปลีกตัวออกจากครอบครัวอยู่บ้าง ก็ได้ เช่นพ่อบ้านกลุ้มอกกลุ้มใจด้วยเร่ืองขลุกขลักภายในบ้านเรือน ทนอยู่ไม่ไหว จึงปลีก 143
ออกไปจากบา้ นเสยี ช่ัวคราวไปชมภมู ปิ ระเทศบา้ ง ไปสนทนากับเพอ่ื นฝงู บา้ ง พอผ่อนคลาย ความกลุ้มได้รับความสบายโปร่งอกโปร่งใจ แล้วก็กลับเข้าบ้านตามเดิม หรืออย่างไปเท่ียว พักแรมคืนในต่างจังหวัดท่ีมักชมกันว่ารู้สึกสบายอกสบายใจกว่าอยู่ในบ้านเรือนของตน จนถึงกินได้นอนหลับดีกว่ามาก ลองใคร่ครวญแล้วในเรื่องพักแรมคืน พอจะหาเหตุมา สันนิษฐานได้ เพราะว่าเม่ืออยู่ในบ้านเรือนของตน ภาระกังวลห่วงใยในทรัพย์สมบัติ ครอบครัว บริษัท บริวาร รู้สึกว่าล้วนเป็นของเรา เราจะต้องควบคุมดูแลรักษาทั้งหมด เท่ากับแบกของหนักไว้บนบ่า เมื่อเหตุการณ์ด�ำเนินอยู่ตามปรกติก็พอท�ำเนา ย่ิงมีเร่ืองราว เกิดข้ึนจะต้องจัดต้องท�ำอย่างความวัวไม่ทันหายความควายเข้ามาแทรกด้วยแล้ว ย่อม ก่อเกิดความวุ่นวายใจคุกรุ่นอยู่ตลอดเวลา ชวนให้หงุดหงิดร�ำคาญ ถึงกับรู้สึกเบื่อหน่าย หนักอกหนักใจ คร้ันปลีกตัวออกไปพ้นบ้าน พ้นหน้าที่การงานชั่วคราว ภาระยุ่งเหยิงน้ัน ๆ มักมีน้อย เช่นภาระในเร่ืองบ้านเรือนอาหารการบริโภค ไม่ต้องกังวลถึง ภาระของตนจึง ลดลงเหลือน้อย อย่างจะต้องคอยระวังก็มีเพียงกระเป๋าเสื้อผ้าเพียงใบเดียว ภาระอ่ืน ๆ เป็นเร่ืองเจ้าถิ่นทั้งหมด ความสบายอกสบายใจที่ได้รับเกิดขึ้นตรงภาระกังวลน้อยนี่เอง เหล่าน้ีเป็นข้อเทียบเคียงให้พอเห็นจริงได้ถ้าปรับจิตใจให้เหมาะ ตัดภาระกังวลในเร่ือง ครอบครัวการทำ� มาหาเล้ยี งชีพ ทรัพยส์ มบตั ิ เป็นตน้ ใหล้ ดน้อยไดเ้ ท่าใดใจกเ็ บาขึน้ ได้รับ ความสุขสบายปลอดโปร่งได้จริงเท่านั้น แต่ชาวเราไม่ได้ออกอย่างพระพุทธเจ้า ออกได้ เพียงชั่วครู่ช่ัวยามชั่วคราวก็สมัครใจกลับเข้าไปหาอีก แม้แต่เพียงการบวชตามประเพณี เพียงเวลา ๓ เดือนเท่าน้ัน บางรายถึงกับเร่งวันคืนคอยฉีกปฏิทิน นับวันกลับเข้าบ้านอย่าง กระวนกระวายใจก็มี และการออกจากบ้านให้พ้นหูพ้นตาด้วยกับเรื่องวุ่น ๆ นั้น บางราย ก็ได้ผลจริง ล้างใจจากเรื่องวุ่น ๆ ให้สงบได้ แต่บางรายกลับไปหาเร่ืองวุ่นข้างนอก น�ำมา เข้าบ้านก็มี ออกไปหาเรื่องเดือดร้อนเช่นนี้ คงจะไม่ได้พบภาษิตว่า ”ไฟภายในอย่าน�ำออก ไฟภายนอกอย่าน�ำเขา้ „ ไวเ้ ตอื นใจนั่นเอง 144
แต่เร่ืองการออกของฝ่ายพระพุทธศาสนาน้ัน ท่านมุ่งหมายถึงให้ออกจากความ ช่ัวร้าย ความยึดมั่นถือร้ันที่มีอยู่ประจ�ำใจเป็นจุดส�ำคัญเพียงออกจากสถานบ้านเรือนคราว เป็นการออกภายนอกไม่ใช่ออกภายใน แต่ถึงการออกภายนอกจะได้ผลไม่เต็มที่ก็ตาม ก็เป็นการเริ่มต้นเพื่อการออกภายในอยู่เหมือนกัน เช่นเรื่องของนายยศ บุตรเศรษฐีท่ีเกิด ความกลัดกลุ้มจากอาการหลับของบริวารทั้งหลาย จนเห็นเป็นท่ีวุ่นวายขัดข้องไปหมด อดรนทนอยู่ต่อไปไม่ได้ จึงหลีกออกจากบ้าน น่ีเป็นการออกเพราะพบแต่ความเบื่อหน่าย มุ่งออกเพียงให้ห่างพ้นยังไม่มีจุดหมายต่อไปอย่างไร แต่เผอิญได้พบพระพุทธเจ้า ทรง แก้ความขัดข้องวุ่นวายใจของเขาได้เหมาะสมรับฟังอนุปุพพิกถา จึงเกิดความรู้ใหม่ เห็น ความปลอดโปร่งสะดวกไม่ขัดข้อง เลยเกิดความตั้งใจเพื่อการออกภายในอย่างจริงจัง ต่อไป การออกจากบ้านชนิดได้รับความกลุ้มอกกลุ้มใจ มักไปพบปะสมาคมกับผู้ท่ีมี ความกลัดกลุ้มอย่างหัวอกเดียวกันเป็นส่วนมาก จึงไม่มีทางสว่างท่ีดีกว่าแนะน�ำแก่กัน และกัน พอได้ผ่อนหนักให้เป็นเบาอยู่เพียงพักเดียว ความหมกมุ่นมัวเมาด้วยความรัก ความหวงแหนเดิม ก็จะน�ำกลับสู่ความครองเรือนตามสภาพเดิมน่ันเอง ทางพระศาสนา มิได้ต�ำหนิติเตียนอย่างไร ส�ำหรับผู้ประพฤติตนสมความเป็นอยู่ของตนเม่ือยังปรารถนา ครองเรือน ท่านก็แนะน�ำให้ประพฤติเพื่อความจ�ำเริญสุข งอกหนุนพูนเขา ด้วยขยัน หม่ันเพียรประกอบการอาชีพเป็นต้นหรือมุ่งความสุขที่ละเอียดยิ่งข้ึน ท่านก็วางแนวให้ ประพฤติปฏิบัติท่ีละเอียดข้ึนไปอีกเหมือนกัน ข้อที่ท่านต�ำหนิน้ันอยู่ท่ีไม่บ�ำเพ็ญตนให้ สมกับความเปน็ อยู่ของตน เท่ียวก้าวกา่ ย เบียดเบียนผูอ้ ่นื ทำ� นองเรยี นลดั ไมต่ อ้ งท�ำมาหากนิ อย่างไรกับเขา คอยแต่ลักขโมยปล้นสะดม เขามาบ�ำเรอตนบ้าง มีอ�ำนาจวาสนาขึ้น ก็คอย กดขี่ข่มเหงเขาให้จ�ำยอมมอบทรัพย์สมบัติให้แก่ตนบ้าง ส่วนที่ต้ังตนอยู่ในสัมมาอาชีพ หาเลี้ยงชีวิตตามชอบธรรมพากเพียรสร้างตนให้เป็นปึกแผ่นหลักฐาน ท่านกลับสรรเสริญ 145
เสียอีก ขอแต่ว่าอย่าให้หลงหมกมุ่นมัวเมาในทรัพย์สมบัติท่ีท�ำมาหาได้ หรือคนรักของรัก จนเท่ากับเป็นนายบังคับให้หลงหมกมุ่นหวงแหนเหมือนกับทาสในเรือนเบ้ีย ท่านสอนให้มี ความส�ำนึกถึงหลักความจริงที่มีอยู่เป็นอยู่ตามธรรมดาหรือคอยน�ำหลักความจริงของท่าน เข้ามาเป็นแว่นช่วยสอดส่องอยู่เสมอทุกอารมณ์ เพ่ือให้เกิดความรู้เท่าทันตามกฎธรรมดา ย่อมจะค่อยบรรเทาเบาคลายผ่อนหนักให้เป็นเบา เพราะรู้เท่าทันเหตุการณ์ หลักของท่าน ก็คือ ไม่เท่ียงแท้แน่นอน ทนอยู่ตามสภาพเดิมไม่ได้ ไม่เป็นช้ินเป็นอัน ไม่อยู่ในบังคับบัญชา ใคร ฉะนั้น ทุกคราวท่ีได้ประสบบุคคลก็ดี หรืออารมณ์ในใจก็ดี ท้ังท่ีชอบใจรักใคร่ทั้งท่ี ไม่ชอบใจรักใคร่ ควรต้องมีสติน�ำหลักของท่านมาเป็นแว่น พิจารณาไว้ก่อนว่า จะไม่ เที่ยงแท้แน่นอนกับเรา คงอยู่ได้ไม่เท่าไรก็เปล่ียนแปลง เราจะบังคับตามใจหวังของเรา ไม่ได้ อย่างน้ีทุกคร้ังจนคุ้นใจ จะไม่เกิดความหลงรัก หลงชัง ตามอารมณ์หลง หรือหาก จะเกิดมีข้ึนบ้างก็จะไม่ถึงกับเสียผล เช่น ได้รับเสื้อใหม่ ๑ ตัว หากพิจารณาตามหลักของ ท่านแล้วเม่ือเกิดสูญหายไป จะได้เข้าใจถูกทางว่าเพราะไม่เที่ยง คร้ังเก่าคร�่ำคร่าไม่สวยงาม เหมือนเดิม ก็จะต้องรู้สึกว่าต้องเปล่ียนแปลงไปเช่นนั้น เราจะไปฝืนธรรมดาให้คงใหม่อยู่ ตลอดไปย่อมไม่ได้ ความเสียหายหรือเสียใจก็จะลดห่างจางหาย คงอาศัยใช้สอยไปตาม สภาพของเครอื่ งใช้นน้ั ๆ อีกประการหนึ่ง ควรหัดพิจารณาให้รู้จักลักษณะธรรมดาท้ังส่วนผสมและส่วน สลายไว้ด้วยคือทุกพัสดุส่ิงของหรือสัตว์บุคคล ตลอดถึงอารมณ์ท่ีเกิดกับใจ ล้วนเกิดข้ึน มีขึ้นจากส่วนผสมท้ังสิ้นท่ีท่านเรียกว่าสังขาร อย่างโต๊ะ เก้าอ้ี ท่ีอาศัยน่ังทำ� งาน ก็เกิดจาก ฝีมือของช่าง น�ำไม้ต่างช้ินต่างขนาดต่างรูปลักษณ์มาติดต่อกันเข้าตามส่วน ใช้น้�ำมันซ่ึง ผสมวัตถุหลายอย่างมาฉาบทา หรือใช้ผ้าหุ้มตามท่ีเหมาะก็ส�ำเร็จรูปลักษณะให้เรียกว่า โต๊ะ เก้าอี้ ครั้นร้ือแยกช้ินส่วนนั้นออกแล้ว ความเป็นโต๊ะ เก้าอ้ี ก็สลายไป กลับเป็นส่วนผสม อีกอย่างเรียกว่าเศษไม้ เศษผ้า ชีวิตของสัตว์บุคคล ย่อมตกอยู่ในลักษณะเช่นน้ีเหมือนกัน ท้ังส้ิน ไม่มีใครได้สิทธิ์พิเศษอย่างไรเลย ฝึกฝนอบรมให้มีสติส�ำนึกทันกับอารมณ์อยู่เสมอ 146
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234