แล้ว ถึงคราวคนรักของรักมาเปล่ียนแปรพลัดพรากจากไปเข้าลักษณะสลาย ก็จะไม่ ตื่นตระหนก เศร้าโศกเสียใจ เพราะรู้ทันว่า ต้องแปรปลี่ยนตามธรรมดาเช่นนั้น หรือ ยามได้คนรักของรักมาครอบครอง ใจกจ็ ะไมห่ ลงยดึ ถอื เป็นจริงจงั จนไม่ยอมให้เปลยี่ นแปร พลัดพรากจะรู้เท่าทันว่าเมื่อแตกดับสลายได้ ก็มีการผสมก่อสร้างขึ้นใหม่ได้เช่นเดียวกัน เช่น เสื้อใช้สวมจนเก่าแล้วก็ทิ้งสละไป หาผ้าใหม่มาเย็บใช้แทน และเสื้อใหม่น้ันใช้ไป ๆ ไม่ชา้ กเ็ ก่าต้องท้งิ ขว้าง ส�ำหรับใชท้ ำ� ประโยชน์ในทางอ่ืนต่อไป แต่การส�ำนกึ รู้สึกไดเ้ ทา่ ทันอารมณ์ท่ีเกิดกับใจ ตามลกั ษณะไม่เที่ยง ทนยากบังคับ ไม่ได้เช่นน้ี ถ้าเพียงแค่คอยแก้ ในเม่ือความหลงยึดม่ันถือร้ันครอบคลุมใจอยู่ก่อนแล้ว ยังนับว่ามีส่วนดีได้บ้างเพราะไม่ถึงกับเสียหาย หมดเนื้อหมดตัว พอกลับฟื้นตัวตั้งสติ อารมณ์ใหม่ ระมัดระวังต่อไป ดีกว่าปล่อยให้แพ้จนราบคาบไม่ยอมฟื้นตัว ยอมหมอบราบ คาบแก้วตกเป็นทาสของความหลงมัวเมาตลอดกาล อย่างน้ีท่านเปรียบเหมือนดอกบัวเกิด อยู่ใต้พื้นน�้ำ ไม่มีโอกาสโผล่ขึ้นเหนือน้�ำได้ มีแต่จะเป็นอาหารแก่เต่าปลาเท่านั้น ส่วน ผู้ฉลาดต้องอบรมฝึกฝนอัธยาศัยของท่าน ให้คอยรู้เท่าทันลักษณะความหลงยึดถือมั่นคง ไว้ได้ก่อนเสมอ เหมือนคอยระวังข้าศึกมิให้เข้าโจมตีก่อนโดยไม่รู้ตัวเพราะจะไม่มีทาง เสียเปรียบ เข้าลักษณะทีว่ า่ ”ป้องกันไวก้ ่อน ดกี วา่ แก้ภายหลัง„ เพราะฉะน้นั พระพทุ ธองค์ จึงตรัสสอนบรรพชิตคฤหัสถ์ชายหญิงให้พิจารณาเตรียมตัวอยู่ทุกวันคืนว่า ”เรามีความแก่ ความเจ็บไข้ ความตายประจ�ำตัวอยู่เป็นธรรมดาไม่ล่วงพ้นไปได้ ท้ังจะต้องพลัดพรากจาก ของรกั ของชอบใจตลอดไป กบั ยังต้องคอยรับผลท่ีกอ่ ขึ้นทางกาย วาจา ใจทั้งดี ทั้งชั่ว ทำ� ดี ย่อมได้ผลดี ท�ำช่ัวย่อมได้ผลช่ัว„ เม่ือถึงคราววแก่ ถึงคราวเจ็บไข้ ถึงคราวใกล้ตาย ถึงคราวพลัดพราก ถึงคราวรับความทุกข์ความสุข จะได้ไม่ดีใจเสียใจ เพราะเข้าใจม่ังคง แล้วว่าเป็นไปตามธรรมดาเท่านั้นเอง ด้วยทุกส่ิงทุกชีวิตมีเกิดข้ึนเป็นเบ้ืองต้น ต้อง แปรเปล่ยี นไปในตอนกลาง และต้องแตกดับสลายในท่ีสดุ เหมือนกันทั้งหมด 147
สนใจ ท่ีน�ำหัวข้อเทศนา อนุปุพพิกถา มาบรรยายตามความรู้สึกนึกคิดของข้าพเจ้าเช่นน้ี ประการส�ำคัญก็เพื่อชักชวนให้ท่านลองใช้สติปัญญาพิจารณาดูว่า หัวข้ออนุปุพพิกถาทั้ง ๕ ลักษณะน้ี ท่านคงสามารถปฏิบัติบ�ำเพ็ญตามได้อย่างหมดสงสัยเพราะเป็นข้อท่ีเคยประสบ พบเห็นกันอย่เู กือบเป็นธรรมดา และบคุ คลอยา่ งนายยศ หรือบดิ ามารดา และภรรยา ก็เปน็ ชาวบ้านอยา่ งชนั้ เรา ๆ น่ีเอง ตา่ งแต่มีความรำ�่ รวยทรัพยส์ มบตั ถิ งึ ชนั้ เศรษฐี มีเรอื น ๓ หลงั ส�ำหรบั อาศยั เป็นท่ีอยูผ่ าสุกสบายใน ๓ ฤดู เมื่อได้ฟังข้อค�ำสอน เร่อื งการให้ การรกั ษากาย วาจา เรยี บรอ้ ย สวรรค์ เป็นต้น จงึ เขา้ ใจเนื้อความไดง้ า่ ย แต่พระพทุ ธองคผ์ ้ทู รงพระคณุ วา่ เป็นสารถีฝึกบุคคลอย่างยอดเย่ียม เม่ือทรงทราบว่านายยศเข้าใจในค�ำสอนดีแล้ว ก็ไม่ทรง ทอดท้ิงจังหวะส�ำหรับคุณธรรมช้ันสูงแก่เขาเหล่านั้น โดยเฉพาะนายยศ เม่ือพระองค์ตรัส อนุปุพพิกถาเป็นล�ำดับ ตั้งแต่ข้อต้น จนถึงอานิสงห์แห่งการออกจากกามอันเป็นข้อสุดท้าย ท�ำความเข้าใจอย่างใหม่ให้เกิดขึ้น เป็นการฟอกใจหรือปรับความเข้าใจให้ห่างไกลจาก ความยินดีในกาม คือความหลงรักใคร่ยินดีในรูป เสียง กล่ิน รส เป็นต้น ได้แล้ว ควรจะ ได้รับความเข้าใจในคุณธรรมท่ีสูงขึ้นไปอีก เหมือนผ้าที่ปราศจากมลทิน ควรรับน้�ำย้อมได้ ฉะนั้นจึงได้ตรัสสอนให้พิจารณาทุกข์ เหตุให้ทุกข์เกิด ความดับทุกข์ และทางด�ำเนินให้ถึง ความดับทุกข์สืบต่อไปทันทีจนนายยศเข้าใจซาบซ้ึงในหลักของจริงอย่างเลิศแต่เป็นเพียง ดวงตาเห็นธรรมชั้นเบ้ืองต้นตามต�ำราเรียกว่า ช้ันพระโสดาบัน ส่วนบิดามารดา ภรรยาก็ ทำ� นองเดียวกัน เมือ่ ทรงชี้แจงลกั ษณะธรรมท้งั ๕ จนเขา้ ใจแจม่ แจ้งซาบซึ้งหมด เคลอื บแคลง สงสัยแล้ว พระองค์ก็ได้ยกหลักของจริงอย่างเลิศนั้นมาช้ีแจง ให้รู้ถนัดชัดเจนต่อไป ต่างก็ 149
ได้ความรู้เท่าเห็นจริงในหลักธรรมน้ัน นับว่าต่างก็มีความเข้าใจตามหลักธรรมช้ันเดียวกัน คือช้ันพระโสดาบัน ผู้เริ่มเข้าสู่ทางอริยะ ไม่ถอยกลับมาสู่ภูมิปุถุชนต่อไปอีก มีแต่จะ ทรงคณุ อรยิ ะทสี่ งู ยง่ิ ข้นึ มีข้อน่าพิจารณาอยู่อีก คือนายยศ ได้ฟังอนุปุพพิกถา ได้ดวงตาเห็นธรรมนับว่า ส�ำเร็จเป็นพระโสดาบันแล้ว ต่อมาได้ฟังอนุปุพพิกถาอริยสัจ ที่พระพุทธองค์ตรัสแก่เศรษฐี บิดาอีก พิจารณาภูมิธรรมตามแนวน้ัน ช่วยให้เกิดความรู้สูงขึ้นถึงขั้นส�ำเร็จเป็นอรหันต์ มีจิตพ้นจากอาสวะ ไม่ยึดมั่นถือม่ันในส่ิงทั้งปวง นี้ก็ส่อให้ธรรมะข้อเทศนาอย่างเดียวกัน หากแต่พิจารณา ต่างภูมิชั้นสติปัญญาจึงน�ำให้ละอาสวะได้ต่างภูมิกัน ดังท่ีท่านกล่าวว่า พระอรหันต์ส�ำเร็วโสฬสกิจ จบการเรียนเป็นพระอเสขะไม่ต้องศึกษาอีก กิจ ๑๖ อย่างนั้น ท่านแบง่ เปน็ ๔ ชน้ั คอื พระโสดาบนั พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหนั ต์ ท้งั ๔ ภูมินี้ ตอ้ งพิจารณาลักษณะอริยสัจ ๔ ภูมิละครัง้ ถงึ ภูมสิ งู สดุ จึงเปน็ ๑๖ คร้ัง คอื ทุกภมู ิจะต้อง พิจารณาอริยสัจทั้ง ๔ จนแจ่มแจ้งทุกช้ันไป เป็นแต่เขยิบภูมิสติปัญญาใช้พิจารณาสูงขึ้น ตามชั้น เช่นเด็กชั้นประถม ต้องเรียนคณิตศาสตร์ ชั้นมัธยม ช้ันอุดมก็ต้องเรียนเช่นกัน ต่างแต่สูงข้ึนตามล�ำดับชั้นเท่าน้ัน หรืออาจเทียบกับธุรกิจอย่างเดียวกัน แต่ผู้ปฏิบัติ สามารถด�ำเนินให้เกิดผลประโยชนก์ ว้างขวาง แตกตา่ งกันเพราะโง่ฉลาดกว่ากนั ฉะนั้น เมื่อไดใ้ คร่ครวญดตู ามพฤติการณ์ของพระยศก่อนอุปสมบทวา่ มพี ฤติการณเ์ ป็นมา อย่างไรบ้างเช่นนี้ ก็มีข้อท่ีชวนให้เกิดความเส่ือมใสจับใจแน่นแฟ้น ถึงยอมรับนับถือ พระองค์ว่าเป็นที่พึ่งที่เคารพบูชาของตนอย่างสูงสุด ก็เพราะพิจารณาถึงอาการที่ทรงสั่งสอน ล้วนแต่มุ่งเพ่ือจะให้ผู้ฟังรู้ยิ่งเห็นจริงในธรรมท่ีควรรู้ควรเห็น ทั้งมีเหตุท่ีผู้ฟังอาจตรองตาม ให้เห็นจริงได้ และเป็นอัศจรรย์คือผู้ปฏิบัติตาม ย่อมได้ประโยชน์โดยสมควรแก่ความ ปฏิบตั ิ ผดิ แผกกว่าคำ� สอนของผ้อู ื่น ๆ ทน่ี ำ� แนะสัง่ สอนผู้อ่ืนด้วยม่งุ ลาภแกต่ นเป็นหลักใหญ่ ส่วนพระพุทธองค์ทรงบ�ำเพ็ญตามหน้าท่ีของพระบรมศาสดาเท่านั้น คือชี้ทางถูกทางผิด ทางดีทางช่ัว ให้รู้ให้เข้าใจตามความเป็นจริงด้วยน้�ำใจกรุณาเท่านั้น การท่ีจะเช่ือถือประพฤติ ตามโดยละทางผิดมาประพฤติทางถูก ละทางช่ัวมาประพฤติทางดีหรือไม่น้ัน เป็นหน้าท่ี 150
ของผู้รักดีรักถูก จะพงึ บำ� เพ็ญใสต่ นเอง มใิ ชพ่ ระองคจ์ ะบนั ดาลให้ใครตกทกุ ขไ์ ด้ยาก หรือ ให้ได้ดีความสุขได้ตามประสงค์ ถึงกับตรัสก�ำชับว่า ”ความหมดจดไม่หมดจดเป็นของ เฉพาะตัวใครตัวมัน คนอืน่ จะท�ำคนอืน่ ใหห้ มดจดหรอื เศร้าหมองมิได้„ ส�ำหรับการศึกษาค้นคว้า ในด้านค�ำส่ังสอนของพระพุทธองค์ ข้าพเจ้าเล่ือมใสตาม เรื่องของท่านพระจักขุบาลในหนังสือธรรมบทอยู่ส่วนหน่ึงอีกเหมือนกัน เมื่อท่านได้ อุปสมบทแล้วใหม่ ๆ เข้าเฝ้าทูลขอเรียนกรรมฐาน โดยเหตุผลของท่านว่าท่านได้อุปสมบท เม่ืออายุเจริญมากแล้ว ไม่มีระยะเวลาของอายุเพียงพอที่จะเร่ิมต้นเรียนคันถธุระ (คือการ ศึกษาฝ่ายปริยัติ เพื่อให้ทราบเร่ืองราวเหตุผลในค�ำสอนท้ังหลายกว้างขวาง) จึงขอเรียน วิปัสสนาธุระ (คือการปฏิบัติเพ่ือรู้แจ้งเห็นจริงในธรรมท่ีควรรู้ควรเห็น) เป็นการเจาะจงมุ่ง เข้าถึงแก่นทีเดียว จะได้ไม่เสียเวลาติดเปลือกติดกระพ้ีอยู่ทั้งน้ีก็ช่วยส่งเสริมให้เกิดมี อุตสาหะประพฤติตนตามข้อค�ำสอนไปครั้งละเล็กละน้อย โดยอาศัยอ่านจากหนังสือบ้าง ไปวัดฟังเทศน์บ้าง สนทนาไต่ถามกับคุณลุงคุณป้าบ้าง พบเห็นเหตุการณ์หรือได้ยินได้ฟัง จากผู้มีความรู้น�ำมาใคร่ครวญ คิดหาเหตุผลเอาเองว่า เหมาะสมกับสภาพของตนอย่างไร เพียงไร เป็นการหัดค่อยท�ำค่อยไปอย่างไม่ทอดท้ิงตามลักษณะที่ท่านเรียกว่า โยนิโสมนสิการ คิดนึกตรึกตรองตามอุบายท่ีชอบของแนวธรรมะ ก็ค่อยเพ่ิมความรู้ความเข้าใจในข้อค�ำสอน นนั้ ๆ ถนดั ใจดีขน้ึ ตามล�ำดบั แต่การกระทำ� ไมเ่ หมอื นกับพดู หรอื เขยี นหนังสือเช่นนี้ เพราะ การพูดการเขียน เป็นเพียงการเปล่งเสียงออกจากปากหรือเขียนบันทึกอารมณ์นึกคิดของตน ลงเป็นอักษรล้วนแต่เหมือนล่องลอยไปตามลม มักจะคิดว่า ได้รับความส�ำเร็จสมปรารถนา เสมอไป ไม่มอี ปุ สรรคขัดขวางอย่างไรครั้นถงึ การกระทำ� เข้าจริง ตอ้ งด�ำเนนิ การทงั้ ส่วนกาย วาจา คือน�ำร่างกายออกเต้นปฏิบัติบ�ำเพ็ญไป จึงพบอุปสรรคต่าง ๆ ขัดขวางท�ำให้เกิด ความท้อถอย มักชวนให้ละท้ิง ไม่น�ำพาต่อไปอีกจักกลายเป็นผู้จับจด ไม่มีน้�ำอดน�้ำทน ต่อเมื่อมีน�้ำใจ มั่นคงฟันฝ่าอุปสรรคด้วยความขยันหมั่นเพียรอยู่ทุกระยะ ไม่เห็นแก่หนาว ร้อนยิ่งไปกว่าต้นไม้ใบหญ้า อุปสรรคท้ังหลาย ย่อมไม่ทนทานต่อความพากเพียรของ บคุ คลอยู่ได้ ตอ้ งหลีกทางใหใ้ นท่สี ดุ 151
เคยได้ทราบมาว่า มีบางท่านท่ีเคยอุปสมบทบวชเรียนมาแล้วปรารภในการต่อมา จากท่ีได้ลาสิกขาบทผ่านพ้นไปเป็นจ�ำนวนปีว่า ข้อธรรมะในหนังสือนวโกวาทน้ันตนได้ ศึกษาอบรมต้ังแต่อุปสมบทอยู่ตลอดแล้ว อยากหาธรรมะที่สูง ๆ ยิ่งกว่านวโกวาทศึกษา ต่ออีก ก็ยังหาไม่ได้ ข้าพเจ้าขอขยายความคิดออกสู่สังคมบ้าง เพราะข้อคิดเช่นน้ีมักชวน ใหแ้ ถลง ข้อธรรมท่ีสูงกว่านวโกวาท มีอยู่แล้วท่ีท่านจัดเข้าหลักสูตรนักธรรมโท เรียกว่า ธรรมวิภาค ปริเฉทท่ี ๒ หลักสูตรนักธรรมเอก เรียกว่า ธรรมวิจารณ์ แต่ถ้ามักศึกษา ธรรมะช้ันสูง ๆ อยู่เรื่อยไปเป็นการแตกฉานในฝ่ายปริยัติหรือฝ่ายคันถธุระก็จริง ก็เหมือน เป็นเพียงเรียนรู้จักพันธุ์ไม้ต่างชนิดแต่มิได้น�ำพันธุ์ไม้นั้น ๆ ลงเพาะปลูก หรืออย่าง ท่านเปรียบเทียบว่า ดีแต่เป็นผู้เลี้ยงโค ระวังไม่ให้ขาดจ�ำนวน แต่หาได้ดื่มรสน้�ำนมซ่ึงเป็น ของดีของโคไม่ เลยถูกต�ำหนิว่า เป็นคนเปล่าหรือใบลานเปล่าเพียงข้อธรรมะในหนังสือ นวโกวาทน้ัน ถ้าพูดถึงการจะใช้เป็นแนวการปฏิบัติแล้ว เชื่อว่าคงใช้เป็นเคร่ืองมือปฏิบัติ ตามได้เป็นอย่างดี ไม่ถึงกับเป็นการประพฤติผิดพลาดอย่างไร เช่นในองค์มรรคท้ัง ๘ ซึ่ง ย่อลงเป็นสิกขา ๓ ศีล สมาธิ ปัญญา น้ัน ชั้นศีลได้แก่ วาจาชอบ การงานชอบ เลี้ยงชีวิต ชอบซ่ึงเป็นช้ันเบ้ืองต้น ปฏิบัติได้บริสุทธ์ิบริบูรณ์จนเป็นคุณธรรมประจ�ำอัธยาศัยดีแล้ว หรือไม่หากปฏิบัติได้ในภูมิศีลม่ันคงดีแล้ว ย่อมเป็นคุณส่งเสริมให้ด�ำเนินถึงคุณธรรมชั้น สมาธิ คือ เพียรชอบ ระลึกชอบ ตั้งใจชอบ ละเอียดย่ิงขึ้นอีก และเม่ืออบรมสมาธิได้ แน่นแฟ้นดีแล้ว จึงจะเป็นคุณอุดหนุนให้ถึงช้ันปัญญา คือ เห็นชอบ ด�ำริชอบ ได้เอง อยากจะเปรียบศีล เหมือนเหล็กตัวสว่านส�ำหรับเจาะสมาธิเหมือนความแข็งแรง เที่ยงตรง ของสว่าน ปัญญาเหมือนความคมแข็งของปลายดอกสว่าน กิริยาท่ีหนุนให้ดอกสว่านไชไม้ คายขี้ไม้ออก เหมือนการปฏิบัติ ดังน้ีจะเห็นได้ว่า การปฏิบัติตนในหลักไตรสิกขา ต้อง ร่วมก�ำลังกันเสมอไป ท่ีท่านเรียกว่า มัคคสมังคี มิใช่แยกเป็นคนละขั้น หากแต่ว่าเป็นเหตุ ส่งเสริมสนับสนุนส่งต่อกัน จนกว่าจะเหมือนเจาะทะลุไม้ที่ประสงค์ นี้เป็นแนวทางของ ปริยัติคือการศึกษาเล่าเรียน ผลส�ำคัญของปริยัติอยู่ท่ีการน�ำมาเป็นแบบฉบับฝึกฝนกาย 152
วาจา ใจ ให้เป็นข้ันปฏิบัติไปตาม ถ้ายังอ่อนปริยัติ ก็ต้องอาศัยผู้อ่ืนแนะน�ำสั่งสอน ถูกผิด ชั่วดี อย่างไรก็สุดแต่ผู้แนะน�ำตนเองไม่มีความรู้พิจารณาด้านสติปัญญาของตน ด้วยอาศัย สติปัญญาของผู้อื่นชักน�ำผู้น�ำถูกก็ชวนให้ปฏิบัติถูก ผู้น�ำผิดก็ชวนให้ปฏิบัติผิด โดยตนเอง ไม่ทราบเหตุผลต้นปลาย เมื่อได้มีโอกาสอบรมปริยัติให้ได้เข้าใจหลักของท่านด้วยตนเอง อย่างน้อยก็ให้หลักมรรคท้ัง ๘ ซ่ึงท่านเรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทา ข้อปฏิบัติเป็นสายกลาง ไม่หย่อนเกินไป ไม่ตึงเกินไป อย่างภาษาของเราว่า พอดีปฏิบัติตนให้ถึงขั้นในองค์มรรคน้ี ได้อย่างม่ังคงแล้ว ย่อมสามารถน�ำให้บรรลุผลสูงสุดของพระธรรมวินัยได้โดยมิต้องสงสัย ไม่ต้องหาต�ำราอ่ืนที่ไหนอีกก็ได้ เพราะศีล สมาธิ ปัญญา ครอบค�ำสอนท้ังหลายอยู่หมดแล้ว ทั้งต่�ำทั้งสูง แต่การจะพิจารณาว่าเป็นปฏิบัติเพียงไร ถึงข้ันพอดี เป็นมัชฌิมาปฏิปทาก็ต้อง อาศยั หลักธรรมประกอบด้วย เหตุ ผล ตน ประมาณ กาล บุคคล เป็นตน้ รวมเขา้ เปน็ ศูนย์ ใคร่ครวญพิจารณา ใจความก็คือต้องใช้คุณธรรมพิจารณาปฏิบัติธรรม ถ้าท้ิงคุณธรรม โดยไม่ทันอบรมจิตใจให้มีคุณธรรมเกิดข้ึนประจ�ำอย่างตรงธรรม ก็ทะนงตนว่ามีคุณธรรม ได้อบรมเพียงพอแล้วท�ำนองน้ี เป็นลักษณะของผู้ตกอยู่ในอ�ำนาจของกิเลสตัณหาครอบง�ำ แล้วบังคับให้คิดเห็นเช่นนั้น ไม่ใช่สติปัญญาบริสุทธิ์ท่ีเกิดจากธรรมะ เป็นสติปัญญาจาก กิเลสทที่ า่ นเรียกว่า มิจฉาสติ ระลกึ ผิด มจิ ฉาทิฏฐิ ความเห็นผดิ น่ันเอง จงึ ควรระวงั ให้มาก เพราะจะเป็นท�ำนองน�ำน�้ำสกปรกไปล้างสถานท่ีสกปรกหรือภาษิตโบราณว่า เตี้ยอุ้มค่อม ยอ่ มไม่สมลกั ษณะของผู้มคี วามคณุ ธรรมเลย หากจะมีค�ำถามสอดเข้ามาว่า ปัจจุบันน้ีวิทยาการท้ังหลายเจริญมากมายพร้อมด้วย เคร่ืองมือทดลองให้เห็นจริง ดูไม่จ�ำเป็นจะต้องอาศัยหลักค�ำสอนของศาสนาช่วยเหลือก็ได้ ทำ� ใหเ้ สียเวลาชีวติ ไปเปลา่ ๆ ข้อเฉลยกม็ วี า่ วทิ ยาการท้ังหลายนั้นปรารภวัตถุภายนอกเป็น ส่วนส�ำคัญ ความเจริญรุ่งเรืองในด้านวัตถุยิ่งมากมากเพียงใด ความสำ� คัญของพระศาสนา ยงิ่ ตอ้ งการมากขึ้นเพยี งนน้ั เพราะศาสนาจะอบรมสงั่ สอนในดา้ นจติ ใจภายใน ให้รู้จกั เผ่ือแผ่ เจือจานกัน ให้รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อ่ืนให้รู้จักเสียสละประโยชน์ส่วนน้อย เพื่อรักษา ประโยชน์ส่วนใหญ่ ให้รู้จักรักษาสมบัติสาธารณะร่วมกันเหล่าน้ีต้องอาศัยวิชาการฝ่าย 153
ศาสนาเข้าสนับสนุนอย่างส�ำคัญ ถ้าอาศัยแต่วิชาการฝ่ายวัตถุ สังคมมนุษย์จะไม่ผิดเพี้ยน จากสังคมสัตว์ป่าเท่าไรเลย ต่างก็จะตามใจที่ตนชอบ ใครมีก�ำลังมากก็จะรังแกข่มเหงผู้มี ก�ำลังน้อย ผู้มีก�ำลังน้อยก็จะคอยพยายามแก้แค้นทดแทนให้สาสม ต่างก็จะระแวงภัย อย่างอยู่ไม่เย็น เป็นก็ไม่สุข เหมือนกาตาแววหวาดธนู ดังท่ีท่านกล่าวว่า ”ผู้ชนะ ย่อม ก่อเวร ผู้แพ้ย่อมเป็นทุกข์„ เดือดร้อนด้วยกันทุกฝ่าย เมื่ออาศัยหลักค�ำสอนของ พระศาสนาเข้าช่วยกล่อมเกลานิสัยใจคอแล้ว ต่างก็จะเห็นอกเห็นใจกัน ต่างจะนึกเทียบว่า ตนเองรักสุข เกลียดทุกข์ฉันใด ผู้อ่ืนเขาก็เกลียดทุกข์รักสุขเหมือนกันฉันน้ัน จึงไม่ควร แสวงหาความสขุ ให้แก่ตน ดว้ ยวิธีกอ่ ความเดือนรอ้ นแก่ผอู้ ่ืน ต่างจะยอมเสยี สละประโยชน์ เฉพาะตนออกเพ่ือส่งเสริมประโยชน์รวม เพราะฉะนั้น จึงจ�ำเป็นอย่างย่ิงท่ีจะต้องอาศัย ค�ำสอนของพระศาสนาก�ำกับ เหมือนมีกระจกเงาช่วยส่องดูเงาหน้าตนเองอยู่เสมอ หรือ จะแย้งอีกว่า อาศัยบิดามารดา ปู่ย่า ตายาย สั่งสอนก็พอแล้ว ก็ต้องขอแก้อีกว่า ค�ำสอน ของบิดามารดา ปู่ย่า ตายาย น่ันแหละคือค�ำสอนของพระศาสนา เพราะท่านได้ศึกษา อบรมมาก่อนแล้ว ไม่ควรสู่รู้หมิ่นแคลนผู้ใหญ่ของตน ปูชนียสถานเกี่ยวกับศาสนา ท้ังเก่า ใหม่ที่ปรากฏอยู่ท่ัวไป ล้วนเป็นพยานของน้�ำใจที่เห็นความส�ำคัญของพระศาสนา เทิดทูน พระศาสนาเป็นหลกั ของจิตอยา่ งย่ิงท้งั น้นั ข้าพเจ้าจึงใคร่แนะน�ำท่านปรารถนาศึกษาข้อธรรมท่ีสูงกว่านวโกวาท ก็คือ ให้ จับศึกษาจากหนังสือธรรมวิภาคปริเฉทท่ี ๒ กับหนังสือธรรมวิจารณ์ พระนิพนธ์ของ สมเด็จพระมหาสมณเจ้าพระองค์เดียวกัน ก็คงจะพอสมปรารถนา ขอแต่เพียงอย่ารู้มาก กว้างขวางเท่านั้น ส่วนความประพฤติไม่สมกับความรู้ หรือรู้แต่พูดแต่ไม่ท�ำก็จะประสบกับ ความล�ำบากยากนาน ”เหมือนมดแดงแฝงพวกมะม่วงงอมเท่ียวไต่ตอนเต็มอยู่ไม่รู้รส„ หรือไกไ่ ดพ้ ลอยตามนทิ านเก่าอยู่นน่ั เอง 154
ไตรสรณคมน์ ข้าพเจ้าต้องขอแสดงความขอบคุณ แก่ท่านท่ีได้ติดตามความคิดเห็นมาแต่ต้น อีกคร้ัง เพราะความรู้สึกนึกคิดเหล่าน้ันล้วนเป็นผลเกิดจากความรู้จากสมองน้อย ๆ ของ ข้าพเจ้า ซึ่งง่ายมากท่ีจะปรากฏความบกพร่องผิดพลาด จะกลายเป็นชักชวนท่านท้ังหลาย ไถลลื่นตามไปด้วยก็อาจเป็นได้ จึงใคร่จะท�ำการส�ำรวจตรวจตนไว้ในตอนน้ีอีกสักครั้ง โดยแสดงถึงผลท่ีข้าพเจ้าได้รับมาเป็นแนวประพฤติตน พอสมฐานะอยู่บัดนี้น้ัน เป็น ประการอย่างไรบ้าง และไม่ลืมท่ีจะต้องขอร้องให้ท่านกรุณาพิจารณาหาข้อบกพร่อง ผดิ พลาดตามเคยอีกด้วย เม่ือได้รับการอบรมแนะน�ำ ให้ข้อค�ำสอนของพระพุทธเจ้าต้ังแต่ยังเยาว์วัยมา โดย ไม่มีความส�ำนึกของตนเองที่จะพิจารณาเลือกเฟ้นเห็นชอบได้ตามอ�ำเภอใจ แต่ก็คล้ายกับ บ�ำเพ็ญตามสุภาษิตอิศรญาณว่า ”เดินตามหลังผู้ใหญ่หมาไม่กัด„ มาแล้วนั่นเอง จึงสุดแล้ว แต่ท่านผู้ใหญ่จะเห็นดีเห็นงามอย่างไร แนะน�ำอย่างไรก็เช่ือถ้อยฟังค�ำท�ำตามค�ำสอน อย่า ฝืนใจให้คนว่านอนสอนง่ายอยู่เร่ือย ๆ ตามล�ำดับอายุตลอดมา กว่าจะมีโอกาสได้เก็บ ผลก�ำไรด้วยตนเอง กล่าวคือใช้สติปัญญาของตนเองเพ่ือตนเอง ส�ำหรับตนเองค้นคว้า หาคุณงามความดีของพระศาสนาได้ถนัดใจ ก็ต้องล้มลุกคลุกคลานผิดร้อยคร้ัง ต้องร้อยหน มาแล้วไมน่ ้อย เพราะกวา่ จะเข้าใจในหลกั ค�ำสอนอย่างแท้จริง กเ็ ลยปฐมวัยมานานทเี ดียว 155
หลักค�ำสอนของท่านคงได้แก่การให้ยอมรับนับถือความกระท�ำของตนเองว่า เป็นของตนเองจริงไม่มีอิทธิพลจากใคร ๆ ช่วยเหลือบันดาล กับผลที่เกิดมาจากความ กระท�ำเล่า ก็ต้องยอมรับว่าเป็นของตนอีกด้วยเช่นเดียวกันจะแบ่งสันปันส่วนให้ใครย่อม ไม่ได้เพราะต้นมะม่วงก็ต้องออกผลเป็นมะม่วงจะให้กลายเป็นมะปรางเหมือนความ ปรารถนาของคนท่ัว ๆ ไป ที่คอยเลือกรับส่วนที่ตนชอบกระท�ำย่อมไม่ได้เพราะความจริง ต้นมะม่วงก็ซ่อนสิงอยู่ในเม็ดมะม่วง แต่เม่ือยังไม่ถึงระยะกาลต้นมะม่วงก็ยังไม่ปรากฏ ถนัดตา แต่ชาวเรามักพิจารณาไม่ใคร่ถึง มีพระพุทธภาษิตที่ตรัสสอนว่า ”หว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นน้ัน„ ”ท�ำดีได้ดี ท�ำชั่วได้ชั่ว„ เพราะ ”สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม„ และ ”กรรมย่อมจ�ำแนกสัตว์ คือ ให้ทรามและประณีต„ กับทรงสอนให้สตรีบรุษคฤหัสถ์ บรรพชิต พิจารณาทุกวัน ๆ ว่า ”เรามีกรรมเป็นของตัว เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็น ก�ำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่ง เราท�ำกรรมอันใดไว้ ดีก็ตามช่ัวก็ตาม เรา จักเป็นทายาทแห่งกรรมนั้น„ นี้เป็นหลักให้เห็นความส�ำคัญของกรรมอย่างไม่มีใครคัดค้านได้ เมื่อเราเองก็ล้วนอยู่ในอ�ำนาจของกรรม ที่ได้กระท�ำผ่านเป็นอดีตมาแล้วผลของ กรรมก็สนองเป็นระยะมาแล้วเช่นกัน หากแต่ว่าสนองโดยตรงบ้างโดยอ้อมบ้าง ผู้ไม่ทัน สังเกตจึงเห็นไม่ว่าไม่มีผลตอบสนอง เลยชวนให้ผยองด้วยก�ำลังมัวเมาอยู่ในอ�ำนาจวาสนา บารมี ว่าไม่มีผลสนองอย่างไร ท�ำดีแทบล้มประดาตายไม่มีใครรู้ ไม่มีผู้สนับสนุนยกย่อง ก็เหน่ือยเปล่า หรือท�ำผิดคิดร้ายจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน หรือมีสมัครพรรคพวกเป็นใหญ่เป็นโต คอยคมุ้ ครองปอ้ งกนั ความผดิ นน้ั ๆ กก็ ลายเปน็ คลน่ื กระทบฝง่ั เงยี บหายไปหมดอยา่ งนเ้ี ปน็ เร่ืองของความเข้าใจของคนที่เข้าข้างตนคิดเอาเองแต่ไม่ตรงกับเรื่องผลของกรรม จึงเป็น เร่ืองที่ปรารภกันมากในเรื่องว่า ท�ำดีไม่เห็นได้ดี ท�ำชั่วไม่เห็นได้ชั่ว เห็นแต่ท�ำช่ัวช้าลามก ขม่ เหง รงั แก เขากลับม่ังมศี รสี ุข กลบั มีอ�ำนาจวาสนาเสียอกี 156
เรื่องผลของกรรมที่จะแสดงให้เห็นเด่นชัดน้ันไม่การยาก บางคราวก็ละเอียดล้ีลับ บางคราวก็ปรากฏชัดทันตาชัดเห็นทีเดียว และเป็นธรรมดาอยู่เอง กรรมของใครก็สนองแก่ ผู้น้ัน ผู้อื่นไม่สามารถจะแบ่งแย่งรับผลแทน หรือทราบซ้ึงถึงผลกรรม ของผู้อ่ืนได้ดีเท่ากับ เจ้าตัวเขาเอง คนอื่นดูกิริยาอาการของคนอื่นย่อมเห็นแต่เปลือกภายนอก มักไม่ตรง ความจริง เพราะเราชอบตบตากันเป็นส่วนมาก ฉะนั้นท่ีพร่�ำบ่นลงโทษกรรมว่าอยุติธรรม ไม่ลงโทษคนท�ำความชั่วร้ายให้พินาศย่อยยับสมกับความช่ัว จึงเรียกว่าพร่�ำบ่นไม่ตรง จุดหมาย เพราะค�ำว่ากรรมในท่ีน้ีมิใช่หมายถึงความชั่วร้ายอย่างเดียวเท่าน้ัน อันท่ีจริงค�ำว่า กรรมท่านหมายเพียงการกระท�ำ เป็นค�ำกลาง ๆ ยังไม่แน่ชัดว่าช่ัวหรือดีตามหลักของท่าน จะให้หมายรู้ทางไหนต้องเติมค�ำให้ชัด เช่นจะหมายถึงความชั่วร้าย ก็ต้องใช้ค�ำว่า บาป กรรมหรืออกุศลธรรม ถ้าหมายถงึ ความดงี าม กใ็ ชค้ �ำวา่ บุญกรรมหรือกุศลธรรม แตช่ าวเรา มาใช้ผิดกับความหมายของอักษร ใช้ค�ำว่ากรรมในที่หมายถึงความช่ัวช้าเลวทรามกันเป็น พื้นจงึ เขา้ ใจไขวเ้ ขวในเรอ่ื งกรรมกันอยมู่ าก ท่ีว่าผู้อ่ืนดูการกระท�ำคือกรรมของผู้อื่น ยังไม่ได้ความจริงแน่นอนนั้น ก็เพราะว่า เห็นแต่เปลือกภายนอก ไม่สามารถเห็นซึ่งละเอียดถ่ีถ้วนเข้าถึงจิตใจได้ เพราะผลของ กรรมช่ัวหรือดีก็ตามย่อมสนองที่จิตใจของผู้กระท�ำเป็นเบ้ืองต้นก่อน แล้วจึงปรากฏ ส่วนหยาบออกมาภายนอก บรรดาเคร่ืองอุปโภคทั้งหลายมียวดยานพาหนะเคร่ืองตบแต่ง ร่างกายที่อยู่อาศัย อย่างสง่าผ่าเผยใหญ่โตกว้างขวาง ถ้าผู้เป็นเจ้าของประกอบกรรมท�ำเข็ญ ได้มาด้วยวิธีการทุจริต จิตใจย่อมไม่ผาสุก หวาดระแวงถึงความชั่วร้ายจะเปิดเผย หวาดกลัว จากการแก้แค้นของศัตรู ต้องขวนขวายพยายามหาทางปิดป้องกันอย่างกวดขัน เท่ากับ ต้องกระท�ำความผิดใหม่เพ่ือปกปิดความผิดเก่า เม่ือผลแห่งธรรมชั่วยังอ่อนก�ำลัง เท่ากับ ยังไม่สุกหอมงอมหล่น หรือกรรมดีเก่ายังมีกำ� ลังแรงส่งผลอยู่ ก็ยังด�ำรงตนเป็นผู้มีเกียรติ 157
มีผู้นับหน้าถือตามีผู้ย�ำเกรงต่ออ�ำนาจก�ำลังแรงส่งผลอยู่ ก็ยังด�ำรงตนเป็นผู้มีเกียรติ มีผู้ นับหน้าถือตามีผู้ย�ำเกรงต่ออ�ำนาจวาสนาบารมีอยู่ ต่อเม่ือผลชั่วน้ันกล้าแข็งแรงสนองผล กรรมดีเก่าหมดก�ำลังลง ก็พลันถึงความวิบัติพลัดพราก เส่ือมเกียรติเสื่อมผู้เคารพนับถือ ทนั ตา เห็นแตผ่ ลสนองของกรรมชว่ั เชน่ น้ไี มม่ ีใคร่ทนั ใจทันความปรารถนาของคน ซงึ่ อยาก จะให้วิบัติทันตาเห็นสมการแช่งชักหักกระดูกของตน เมื่อผลยังไม่แก่เต็มท่ี ก็ต้องรอเวลา ต่อไป จึงดูประหน่ึงท�ำบาปไม่เห็นบาปสนอง ท่านให้เปรียบกับการต้มน�้ำร้อนจะให้เดือด ทันใจย่อมไม่ได้ เพราะการต้มนั้นต้องอาศัยไฟมากหรือน้อย น้�ำมากหรือน้อยไฟมาก น�้ำน้อยก็เดือดเร็ว ไฟน้อยน�้ำมากย่อมเดือดช้าผลของกรรมช่ัวก็เช่นเดียวกัน ต้องสนองผล เมื่อถึงคราวจนได้จะสูญเส่ือมไปเฉย ๆ เป็นอันไม่มี และจะมีใครรู้เห็นหรือไม่ ไม่เห็น ประมาณผู้สร้างกรรมเท่าน้ันจะพึงทราบด้วยตนเอง พูดถึงนัยความชั่วให้ผลอย่างใด พึง เทยี บกับความดใี หผ้ ล ก็มนี ยั อยา่ งนัน้ ส่วนการกระท�ำความดีก็เช่นเดียวกัน คนอ่ืนดูไม่ค่อยถ่ีถ้วนถึงจุดความจริง ทั้ง ตนเองก็มักมีความล�ำเอียงเข้าข้างตนเสียมากกว่าคร่ึงของความจริง เช่นขยันท�ำงานอย่าง เต็มเม็ดเต็มหน่วยได้สัก ๓๐ นาที แต่ย่อหย่อนบกพร่องเสียต้ังช่ัวโมง ๒ ช่ัวโมง ก็ยัง เหน็ ว่าท�ำดอี ยู่น่ันเอง เข้าต�ำราวา่ ”โทษทา่ นผู้อนื่ เพย้ี ง เมล็ดงา ปองตฉิ นิ นนิ ทา ห่อนเวน้ โทษตนเท่าภผู า เหน็ ยาก ปองปิดคิดซ่อนเรน้ เรอื่ งรา้ ยหายสูญ„ จึงควรจะได้นิยมความซื่อสัตย์สุจริตให้เป็นนิสัยประจ�ำตน อย่าง ”เสียชีพอย่า เสียสัตย์„ เสียบ้าง คือต้องซื่อตรงต่อตนเองให้เป็นหลักมั่นคงไว้ ดีเป็นดี ชั่วเป็นชั่ว อย่ากลับกลอก ดีน้อยเป็นดีมากไม่มีดีเลย แต่คอยชิงดีชิงเด่นของคนอ่ืนมาเป็นดีของตน 158
โดยคอยยึดแนวกรรมของพระพุทธเจ้าเป็นบรรทัดฝึกหัดกระท�ำตามอยู่เสมอ อย่าไปมัว กังวลมุ่งคอยจับร้ายของคนอื่นให้เสียของชีวิตเลย หรือคอยริษยาตาร้อนใครได้ลาภ ผล ยศศักดิ์ร�่ำรวยมากกว่าตน ก็เร่าร้อนกระวนกระวายใจ คิดแข่งดี คิดตีเสมอเขา เขาไม่ทัน ได้เบียดเบียนรังแกกระทบกระเทือนตนอย่างไร กลับด่วนหาเร่ืองก่อกวนใจตนเอง ให้ กระวนกระวายเดือดร้อนเสียก่อนแล้วก็มี เป็นการถ่มน�้ำลายรดฟ้า หรือ ถือคบเพลิง ทวนลม มีแต่หาเรื่องล�ำบากให้แก่ตนเอง เพราะนิสัยเลวของตนเท่าน้ัน มีพระพุทธภาษิต เตือนใจในเร่ืองน้ีอยู่ว่า ”ถ้อยค�ำหยาบคายของคนอ่ืน บุคคลไม่สนใจเก็บมาคิดนึก ธุรกิจ ของคนอื่นท้ังท�ำแล้วยังไม่ท�ำ ก็ไม่ควรเหลียวแล ควรพิจารณาธุรกิจท้ังท�ำแล้วและไม่ท�ำ ของตนดีกว่า„ เพราะอาการที่ก�ำลังคอยจับผิดเขาอยู่นั้น เป็นอาการเลวก�ำลังก่อความชั่ว ให้แกต่ นอยแู่ ล้ว กฎของกรรมน้ีเป็นสัจจะจริงแน่นอน เพราะไม่เลือกว่าบรรพชิตหรือคฤหัสถ์หญิง หรือชายผู้ใหญ่หรือเด็ก เศรษฐีหรือเข็ญใจ โง่หรือฉลาด เมื่อท�ำกรรมที่ช่ัว เป็นบาป เป็น อกุศลทุจริต ยอมได้รับผลท่ีชั่ว ผลที่เป็นบาป เป็นอกุศล ทุจริตเสมอ หนักเบาเท่าเทียม กันหมด หรือเมื่อกระท�ำกรรมที่ดี เป็นบุญกุศลสุจริตก็ย่อมได้รับผลดีสนองเช่นเดียวกัน ไม่มีมุโขโลกนะ ส่วนที่เห็นว่าไขว้เขวท�ำช่ัวยังได้ดิบได้ดี ท�ำความดียังได้รับความเดือดร้อน เหล่าน้ีน้ันเป็นความเดือดร้อนเหล่านี้น้ันเป็นความนึกคิดตามอารมณ์ของบุคคลท่ียื่นมือ เข้าพิจารณาแทนกรรมไม่ใช่หลักโดยตรงของกรรม ถ้ามุ่งถึงหลักของกรรมแล้วใครท�ำกรรม อย่างใด ยอ่ มได้รบั ผลอยา่ งนนั้ ตายตัวอยตู่ ลอดกาล และกรรมท่จี ะสนองผลช้าเรว็ หนกั เบา ก่อนหลังเพียงไรน้ัน ก็ข้ึนอยู่กับการกระทำ� หนักหรือเบาก่อนหรือหลัง กรรมหนักให้ผลเร็ว กรรมเบาก็ให้ผลช้า ที่จะไม่ปรากฏผลสนองเงียบหายไปเลยเป็นอันไม่มี พึงย้อนสังเกต อารมณ์ของตนเองทุกครั้งคราวท่ีกระท�ำอะไรท้ังทางกายวาจา และใจ ด้วยความสุจริต เทยี่ งธรรมไม่ล�ำเอียงเอนเขา้ ข้างตนแล้วจะเห็นผลประจักษด์ ว้ ยใจตนอยา่ งแทจ้ ริง นับแตไ่ ด้ 159
กระท�ำเสร็จ ผลก็จะแสดงทันทีให้เอิบอิ่มบ้าง ให้หวาดเกรงเขาจับผิดบ้าง เดือดร้อนต้อง คอยปกปดิ หลบหนีซ่อนเรน้ บา้ ง มีตัวอย่างที่ท่านแสดงถึงผลกรรมสนอง เช่น ชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิตผลจะสนองให้ เป็นผู้มีอายุส้ันพลันตาย ชอบเบียดเบียนข่มเหงทรมานสัตว์ ผลจะสนองให้มีโรคภัยไข้เจ็บ ทุพลภาพมาก ชอบริษยาหรือขัดลาภเขา ผลจะสนองให้มีศักดิ์ศรีน้อย คนท่ีมักโกรธง่าย ใจน้อย ผลจะสนองให้รูปร่างขี้เหร่ ชอบเห็นแก่ตัวจัด ขาดความเอ้ือเฟื้อต้องยากจนขัดสน เย่อหย่ิงทะนงตนไม่มีคารวะต่อผู้หลักผู้ใหญ่ ผลจะสนองให้เกิดในตระกูลต่�ำ ดังน้ี พอเป็น เหตุเทียบเคียงกับชีวิตปัจจุบันท่ีก�ำลังประสบอยู่บัดน้ีว่าก�ำลังตกอยู่ในสภาพใดบ้าง การจะ แก้กรรมร้าย ให้กลายเป็นดี ด้วยวิธีบนบานศาลกล่าว สะเดาะเคราะห์รดน้�ำมนต์ หรือ หาเครื่องรางของขลังมาแก้ไขนั้นแก้ได้แต่เพียงบ�ำรุงขวัญ ให้แบ่งเบาจากอารมณ์หมกมุ่น ขุ่นมัวเพราะกรรมร้ายลดลงบ้าง แต่ไม่ได้แก้กรรมอย่างไรเลย เพียงแก้อารมณ์ เปล่ียน อารมณ์ชั่วคราว กรรมยังคงให้ผลเต็มตามก�ำลังอยู่เสมอท่ีเห็นว่าสะเดาะเคราะห์แล้ว รดน�้ำมนต์แล้วค่อยโปร่งอกโปร่งใจดีขึ้นนั้น เพราะแบ่งอารมณ์มาให้กับการสะเดาะเคราะห์ เสียบ้าง ขุ่นมัวเดิมจึงดูคลายไป อันที่จรืงกรรมก็ยังคงตามให้ผลอยู่ตามเดิม ฉะน้ันการ แก้กรรมร้ายให้กลายเป็นกรรมดีก็อยู่ท่ีเปล่ียนมากระท�ำกรรมดีแทนกรรมร้าย ให้มีน้�ำหนัก เท่ากันหรือย่ิงกว่า ขวัญจะดีได้จริงแน่นอนกว่าการบวงสรวงสะเดาะเคราะห์หรือขออ�ำนาจ เทวดาช่วยจดั ปัดเปา่ อย่างมากมาย อนึ่ง กรรมดีกรรมชั่วนี้ลบล้างกันไม่ได้ ปะปนกันไม่ได้ เหมือนน้�ำประปากับน�้ำมัน ปนกนั ไมไ่ ด้ฉะนั้น ตอ้ งอยคู่ นละสว่ น ส่วนไหนมีน้ำ� หนักมาก กใ็ หผ้ ลหนักก่อน สว่ นเบาจึง ตามสนองภายหลังอย่างท่านเปรียบว่า บุคคลทิ้งวัตถุหลายอย่างมีกรวด หิน กระดาษ ขนนก ส�ำลี ลงมาจากท่ีสูง สิ่งไรมีน�้ำหนักก็ถึงพื้นก่อนส่วนเบาก็จะถึงพ้ืนภายหลัง ท่ีจะ ไม่ตกถึงพืน้ เป็นอนั ไมม่ ี 160
และเร่ืองกรรมที่ว่าไม่มีใครจะหนีพ้นนั้น ก็เพราะเกิดจากเจตนากระท�ำของตน ๆ นั่นเอง เม่ือเกิดเป็นตนมาแล้ว ก็ต้องกระท�ำกรรม จะหยุดน่ิงเฉยอยู่ไม่ได้ เพราะการเกิด เป็นเงื่อนหน่ึงของกรรมและท่ีต้องมีการเพราะอ�ำนาจกรรมส่งเสริมอีก ท่านจึงเรียกว่า เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารยังไม่ส�ำเร็จถึงพระอรหันต์อยู่ตราบใด ก็ต้องเวียนวน เกิดตายอยู่ตราบนนั้ เพราะอธั ยาศัยจติ ใจของบคุ คลเรายงั มีอยากได้ใครด่ ี ในเรื่อง รปู เสียง กล่ิน รส อยากม่ังมีศรสี ขุ อยากมียศมีอำ� นาจ เปน็ ตน้ อยู่เป็นพนื้ จึงน�ำใหต้ อ้ งมีการกระท�ำ เพ่ือให้สมอยากในการกระท�ำซึ่งเป็นกรรมนั้นเล่า ก็ด�ำเนินไปในทางดีบ้าง ชั่วบ้าง เป็น บุญบ้าง บาปบ้าง ทั้งในที่ลับที่แจ้ง จึงก่อให้เกิดผลขึ้นตามก�ำลังของการกระท�ำ ท�ำดีมีผล เป็นสุขสบาย ท�ำชั่วมีผลเป็นทุกข์ เดือดร้อน คลุกเคล้าปะปนกันอยู่ตลอดเวลาแล้วก็น�ำให้ เกิดกระท�ำกรรมต่อไปอีก เวียนวนอยู่ตลอดกาลท่ีเรารู้สึกว่าวันน้ี เดือนน้ี ปีนี้ โชคดีมี ความสุขจ�ำเริญ ท�ำมาค้าข้ึน ได้ลาภได้ยศ น่ีเพราะกรรมดีให้ผล แล้ววันน้ี เดือนนี้ ปีนี้ โชคไม่ดีมกี ารเจ็บไข้ได้ปว่ ย ต้นทนุ หายก�ำไรหด นเี่ พราะกรรมดีใหผ้ ล กับท่ปี รากฏว่า ชีวิต ของผู้นั้นรุ่งโรจน์ในความมั่งมีศรีสุข มีอ�ำนาจวาสนาไม่เห็นตกอับ น่ันเพราะก�ำลังกรรมดี เป็นส่วนมากให้ผลส่วนชีวิตของบางบุคคลยากจนข้นแค้น ท�ำงานอาบเหง่ือต่างน�้ำ ก็ยัง มิใคร่จะได้เงินทองมาเลี้ยงตัวและครอบครัวให้เพียงพอ นี่ก็ก�ำลังความชั่วให้ผลมาก หรือ เพราะเคยก่อกรรมท�ำเข็ญในฝ่ายช่ัวช้าทารุณไว้มากน่ันเอง ดังจะขอเปรียบชีวิตของบุคคลเรา เหมือนสร้อยคล้องคอ ท�ำบาปคร้ังเหมือนสร้างสร้อยด้วยเหล็ก หรือทองเหลืองข้อ ๑ ท�ำดีคร้ังเหมือนสร้างด้วยทองค�ำข้อ ๑ ทุกข้อเกี่ยวคล้องกันเป็นสาย สร้อยที่มีทองมาก เหมือนทำ� ดไี วม้ าก ราคาก็สูงมีคนนิยม สว่ นสร้อยท่มี ีทองเหลอื งมากก็เหมือนท�ำบาปไว้บาป ไมม่ ีใครต้องการหมดคนนยิ ม ครัน้ ส�ำนึกตัวได้กลับท�ำความดีให้มากย่งิ ข้นึ ตอ่ ไป จะกลับไป ปลดข้อทองเหลืองเดิมออกท้ิงย่อมไม่ได้ คงติดอยู่ในสายตามเดิม เพราะเป็นเร่ืองที่ล่วงเลย ผ่านไปแล้ว ส่วนท่ีท�ำดีต่อไป ก็เท่ากับเพ่ิมข้อทองค�ำต่อสายให้ยาวใหม่ ข้อส�ำคัญมักไม่ทัน ได้ต่อข้อทองค�ำก็หมดชีวิตในชาตินี้เสียแล้ว ต้องไปต่อในชาติหน้าภพหน้าสืบไป ผู้มีสร้อย 161
เนื้อทองเหลืองมาก จึงไม่ควรริษยาตาร้อนกับผู้ที่เขามีสร้อยทองค�ำมาก ชอบกล่าวหาว่า เพราะว่ิงเต้นกอบโกยในทางลับ จะกลับเป็นกรรมช่ัวเพิ่มให้กับตัวยิ่งข้ึน ถ้าเห็นใครเขา ม่ังมีศรีสุข ได้ลาภ ยศ สรรเสริญ ก็สมควรจะพลอยอนุโมทนายินดีตาม เหตุที่เขาเจริญ ย่ิง ๆ ข้ึนน้ัน พึงเห็นว่าเพราะเขาสร้างบุญกุศลเป็นกรรมดีมาแล้ว ส่วนคนปรารถนา ความสุขจ�ำเริญอย่างเขา ก็ต้องพยายามสร้างกรรมดีให้มากย่ิง ๆ ขึ้น ตามอย่างเขา ลาภ ยศ สรรเสริญ ก็จะค่อยเกิดสนองมาตามล�ำดับ อย่ามัวเที่ยวประจบสอพลอผู้นั้น ผู้น้ี เพ่ือ ให้สนับสนุนอยู่เลย จงประจบต่อกรรมดีไว้เถิด ท่านว่าจะตกน�้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ ผู้สนับสนุนคนที่มาประจบสอพลอเสียอีก กลับจะเสียสง่าราศีผู้ใหญ่เพราะลดตนลงมา รับกรรมชั่วจากคนชั่ว ชื่อว่าหากรรมช่ัวใส่ตัว เท่ากับเที่ยวแส่หาเครื่องท�ำลายตนเอง ทีละนอ้ ย ชาวเรายากทีจ่ ะได้ประสบพบเห็นผจู้ ำ� เริญดว้ ย ลาภ ยศ สรรเสริญ จนตลอดชีพ มกั จะพบชนิด นำ้� ขน้ึ รีบตักน้�ำลดตอผดุ เสียเป็นสว่ นมาก ความเชื่อในเรื่องอ�ำนาจของกรรมน้ียากท่ีจะพิจารณาเห็น เพราะเป็นเหตุผล สลับซับซ้อนละเอียดหลายช้ันหลายเชิง ยิ่งกว่าการเดินรอบตัวเองของโลก และเดินรอบ ดวงอาทิตย์เสียอีก จึงยังอดท้ิงบุคคลที่คิดว่าจะเป็นท่ีพ�ำนักพักพิง ให้ความสุขจ�ำเริญ แก่ตนเสียมิได้ คล้ายกับ เหยียบเรือสองแคม จะยึดหลักกรรมเป็นอุดมคติก็ยังไม่มั่นใจ เกรงพ่ายอ�ำนาจบุคคล แต่อ�ำนาจบุคคลนั้นมักไม่แน่นอน อย่างค�ำของพระนางผุสดีทูล ขอโทษพระเวสสันดรต่อพระเจ้ากรุงสญชัยว่า ”พระพุทธเจ้าข้าอันเสนาน้อยใหญ่ยากที่จะ ตรองเห็นใจว่าตรงจริง มีบุญเขาก็จะวิ่งเข้ามาเป็นข้าพ่ึงพระเดชพระกรุณาให้ใช้สอย เฝ้าป้อยอสอพลอพลอยทุกเช้าค�่ำยามเม่ือเพล่ียงพล�้ำเขาก็จะช่วยกันกระหน�่ำซ้�ำซ้อนซัก ดังราชหงส์ปีกหักตกปลักหนองกาแกก็จะแซ่ซ้องเข้าสาวไส้„ ดังนี้ ส่วนหลักกรรมหา แปรเปลี่ยนลดหย่อนให้ใครอย่างไรเลย บุคคลท้ังผู้เข้าพึ่งพิง ทั้งรับให้พ่ึงพิง ต่างก็ตกอยู่ ในกระแสของกรรมเหมือนกันย่อมมีความปรารถนาไม่แตกต่างกันนัก คือล้วนไม่ปรารถนา 162
ประสบพบเห็นความทุกข์ยากล�ำบากเดือดร้อน อยากประสบแต่ความสุขกายสบายใจด้วย ลาภผล มีประการต่าง ๆ เหมือนกันเหล่าน้ี ก็ล้วนเป็นเร่ืองความปรารถนาของบุคคลท่ีมัก ขัดกับหลักของกรรมคือ ความกระท�ำอยู่ร�่ำไป แต่ถึงบุคคลจะฝ่าฝืนขืนกรรมเพ่ือให้ สมปรารถนาของตนไปสักเท่าไร ๆ ทีส่ ดุ กต็ อ้ งพ่ายแพก้ รรมจนได้ ข้าพเจ้าขอประทานอภัยที่หาญเข้ามาชักชวนว่า ควรอบรมกรรมดีไว้ให้มากเกลียด เกรงความชั่วแม้ส่วนน้อยก็อย่าชะล่าใจกระท�ำ ท้ังในท่ีลับท่ีแจ้ง เป็นถูกต้องท่ีสุด โดย ยึดพระพทุ ธภาษติ ท่ีถอดเปน็ ค�ำกลอนวา่ ทา่ นจา๋ ถา้ ทา่ น กลวั ทุกข์ ไม่อยาก สนุก ทกุ ขก์ ็ อย่าทำ� กรรมบาป หยาบทอ้ ทัง้ ตอ่ ทีแ่ จง้ ท่ลี บั และเพ่ืออบรมกรรมดีไว้ติดตัวเสมอ ก็จงได้สนใจในพระคุณของผู้มีคุณ นับแต่ บิดามารดา ครูอาจารย์ ตลอดญาตมิ ติ ร ชาติ ศาสนา พระมหากษตั รยิ ์ ให้ประจ�ำใจไว้อย่ารู้ เส่ือมคลาย เพราะเครื่องหมายของความเป็นคนดีน้ัน อยู่ท่ีส�ำนึกในพระคุณของท่านผู้มี พระคุณประจ�ำอัธยาศัย และคอยหาโอกาสสนองพระคุณท่านอย่างมิรู้เส่ือมคลายจน ตราบเท่าชีวิต ด้วยว่าพระคุณของเจ้าพระเดชนายพระคุณที่ปกเกล้าตนอยู่นั้น คือความดี ของท่านที่ได้มีเมตตา กรุณาอนุเคราะห์สงเคราะห์ชุบเล้ียงมา เมื่อบุคคลมีนิสัยหยิ่งผยอง ทะนงตนลืมพระคุณท่านไม่ได้ระลึกนึก ก็แสดงว่ามีนิสัยไม่รักความดี จึงลืมความดีของ ท่าน ถ้าหม่ันระลึกตรึกถึงอยู่เสมอ ก็แสดงว่ามีนิสัยดีชอบความดี จึงหน่วงอารมณ์อยู่กับ คุณความดีของท่าน 163
เม่ือน�ำใจวนเวียนระลึกแต่พระคุณท่านเป็นหลักอยู่ ก็ช่ือว่าก�ำลังกระท�ำความดี ใส่ตนด้วย ชวนได้ปรารถนาอยากเป็นคนดีท�ำความดีอย่างท่านด้วย และก็เป็นเหตุได้ ปรารถนาตอบสนองเชิดชูความดีของท่าน ตามก�ำลังสามารถจนตลอดชีวิตไม่รู้ลืมเลือน ทางพระศาสนาท่านยกย่องว่า บุคคลผู้มีน้�ำใจระลึกถึงบุญคุณของท่าน แล้วแสวงหาโอกาส สนองพระคุณท่านเสมอไปเชน่ นี้ หาได้ยากในโลก อน่ึง ควรรู้หลักรักษาอารมณ์ตามนิสัยของคนดีอีกด้วย คืออย่าหวั่นใจแสดง อาการวิปริตจนเสียสติ เกี่ยวกับเร่ืองชอบและชัง เพราะเป็นธรรมดาของชาวเราประสบสิ่งท่ี ชอบ มีลาภ ยศ สรรเสริญก็ชอบใจ ผู้ที่ขาดการรักษาอารมณ์ จึงมักลิงโลด กลายเป็น โอ้อวดเห่อเหิม แสดงอาการฟูข้ึนอย่างลืมตัว คร้ังประสบสิ่งที่ไม่ชอบขาดลาภ เสื่อมยศ รับค�ำติฉินนินทา กลับแสดงอาการไม่ชอบไม่พอใจ ถึงกลับเศร้าโศกเสียใจ จนกินไม่ได้ นอนไม่หลับไปก็มี อย่างน้ี นักปราชญ์ติเตียนท้ังฝ่ายประสบสิ่งชอบใจและทั้งฝ่ายประสบ ส่ิงไม่ชอบใจ เพราะหวั่นไหวอารมณ์ไปตามอ�ำเภอใจ จึงไม่เป็นการสมควร ท่านสอนให้ ใคร่ครวญถึงความจริงว่า ท้ังส่วนชอบน่าปรารถนาท้ังส่วนไม่ชอบไม่น่าปรารถนานั้น เป็น กฎธรรมชาติมีประจ�ำโลกอยู่ตลอดเวลา มิใช่สิ่งที่จริงแท้แน่นอนเกิดขึ้นกับใครได้ก็มีเวลา สลายจากไปได้เหมือนกัน อย่าหลงยึดว่าส่วนท่ีชอบใจต้องเกิดอยู่กับเราตลอดกาล ส่วนที่ ไม่ชอบไม่อยากให้เกิดมี หรือเกิดมีขึ้นก็ขอให้ผ่านพ้นไปเสียโดยเร็วอย่างนี้ ล้วนจะไม่ สมประสงค์ไม่สมปรารถนาตามอารมณ์ของบุคคลได้เลย ถึงคราวเกิดก็เกิดเอง ถึงคราว เสื่อมสลายก็สลายเองไม่ใช่เพราะอารมณ์ปรารถนาของบุคคลบังคับ ท่านจึงสอนให้ส�ำนึก เตรียมตัวไว้ก่อน ในเม่ือได้ประสบส่ิงชอบใจหรือไม่ชอบใจจะไม่ลิงโลดเสียขวัญจนเกินงาม ควรสงบกิริยามารยาทตลอดจนจิตใจด้วยความรู้แจ้งเห็นจริง รู้เท่าทันหลักของกฎธรรมดา ว่ามีเกิดขึ้นแล้วย่อมแปรเปล่ียนไป ในที่สุดก็แตกดับสบายท้ังสิ้น พยายามอบรมสติปัญญา ให้เหมือนใบบัว หวาดน�้ำตกลงก็กลอกกล้ิงหล่นลงหมดไม่ก�ำซาบติดอยู่ได้ ถ้าขืนปล่อยใจ ให้คอยตดิ ทงั้ ส่วนชอบสว่ นซังอยู่แล้ว ชีวิตส่วนน้อยนจ้ี ะไมเ่ พียงพอรับความเดอื ดเนื้อร้อนใจ 164
ที่คอยรับเก็บไว้ได้เลยเม่ือคิดถูกเห็นถูก ตามท�ำนองคลองธรรมแล้ว ต้องสนับสนุน ส่งเสริมความถูก ความดีด้วยปราศจากความส�ำเอียงในท่ีทุกสถานตลอดกาลเม่ือ อย่า หลงอ�ำนาจวาสนาบารมีบิดเบือนความถูก ไม่เป็นผิด ความดีให้เป็นชั่ว ผิดน้อยให้เป็น ผิดมาก ดีมากให้เป็นดีน้อยเพราะความล�ำเอียงก็จะสามารถน�ำชีวิตให้ถึงความเจริญสุข ได้อย่างกัลยาณปุถุชน ดีกว่ามวลชนผู้ฟุ้งเฟ้อด้วยความหลงใหลลืมตน จนพลอยลืมศีล หลักธรรม ประจ�ำชาติของตน ข้าพเจ้าอาศัยหลักธรรมของพระพุทธศาสนา พัฒนาใจ ของตนเองตามมาต้ังแต่เล็ก แต่น้อยจนได้ผลประจักษ์ตามที่ได้แถลงมาน้ี แม้จะชวนให้เห็นคร�่ำครึไม่ทันสมัย หลง ศาสนาเกิดไปในสายตาของผู้อ่ืนอยู่บ้างก็ตามที แต่ความสุขกายสบายใจอย่างแท้จริงตาม หลักศีล หลักธรรมของข้าพนั้นเป็นจุดมุ่งหมายส�ำคัญยิ่งกว่าลมปากของผู้อ่ืนหากถ้อยแถลง ปรากฎมีข้อผิดพลาด บกพร่องประการไรหวังว่าคงได้รับอภัย ด้วยเมตตาปรานี เป็นการ พฒั นาใจ ของทา่ นอกี ส่วนหน่ึง 165
ภาพแห่งความสุข
กับเหลนเอเธนส์ ท�ำบญุ วันเกดิ ๙๐ ปี วัดบวรนเิ วศวิหาร
สำ� นวนเดด็ ของคณุ แม่ รักใครป่ รองดองกันนะลูก มอี ะไรกข็ อใหผ้ นิ หนา้ เข้าหากนั ทอ่ งเที่ยวกบั ลกู หลาน
รบั -ส่งหลานจนจบปรญิ ญา รกั หลานมาก ลูก ๆ เลยจ�ำยอมตกกระปอ๋ ง
ขอบคณุ คณุ ยายที่เลีย้ งดูหนูมาอย่างดคี ่ะ รว่ มแสดงความยินดีกับหลานเนยและหลานวิคเตอร์
มคี วามสขุ มาก ๆ นะลกู
วัดราชนดั ดาราม วนั กระฉับกระเฉง จะขอใหล้ กู พาไปท�ำบุญเสมอ
สกั การะบรรพบรุ ษุ ทุกครง้ั กอ่ นออกจากบ้าน วัดราชบพิธสถิตมหาสมี าราม วดั มหาธาตยุ ุวราชรงั สฤษฎิ์ ท่าพระจันทร์ วดั อรุณราชวราราม
ถ่ายรูปค่กู บั ลกู ชาย หลานเนย ของคณุ ยาย ปหี นึ่งเป่าเค้กกว่า ๒๐ ครง้ั ทกุ เทศกาล ทุกโอกาส ชอบเค้กไอศกรมี
หอมแลว้ ชนื่ ใจ โปรดของหวาน ไม่ชอบโปรตนี คณุ หมอเลยต้องเสรมิ โปรตีน ชอบขนมเบื้องและขนมครก รา้ นแม่ศรเี รอื น ไฮเปอร์มากหลงั อาหารหวาน
ใครสวยกวา่ กนั หลานพลอย คณุ แม่ หลานนาว ออ้ ม-แอด๊ คณุ แม่-ออ๋ ย เออื้ -อ้อย หนคี ณุ หมอไปทานกล้วยแขกที่ K.Village
รับ-สง่ ลกู หลานทสี่ นามบนิ ช่นื ใจท่สี ุด เท่ยี วหา้ ง ออ๋ ย-คณุ แม่-หมอพลอย
แม่พระของลูก
ก�ำหนดการสวดพระอภิธรรม คุณประนอม สิงหรา ณ อยธุ ยา ศาลาชวลิตธำ� รง วัดธาตทุ อง เขตวัฒนา กรงุ เทพมหานคร วันพฤหัสบดี ท่ี ๒๐ สงิ หาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๖.๐๐ น. - พิธีรดน�้ำศพ เวลา ๑๘.๓๐ น. - พธิ ีสวดพระอภธิ รรม - พระพรหมมนุ ี วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน เป็นประธาน - ลูก ๆ หลาน ๆ ตระกูลสงิ หรา ณ อยุธยา วันศุกร์ ที่ ๒๑ สงิ หาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๘.๓๐ น. - พิธสี วดพระอภิธรรม - ดร.ประวิช รตั นเพียร (อดีตรฐั มนตรวี ่าการกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงวทิ ยาศาสตร)์ - เซนต์คาเบรียล รุน่ ๔๒ - มาแตร์ เดอี รุ่น ๔๙ - บริษทั Buddy’s Group
วนั เสาร์ ท่ี ๒๒ สงิ หาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๘.๓๐ น. - พธิ ีสวดพระอภิธรรม - พระพรหมกวี วัดกลั ยาณมิตร เปน็ ประธาน - แสดงพระธรรมเทศนา โดย พระราชมนุ ี วดั บวรนิเวศวิหาร - ทา่ นตุลาการศาลรัฐธรรมนญู นภดล เทพพทิ กั ษ์ และทปี่ รึกษา ดร.ประจิตต์ โรจนพฤกษ์ - เทพศิรินทร์ รุ่น ๒๕๐๗-๒๕๐๙ - เทพศิรนิ ทร์ รุน่ ๒๕๑๓-๒๕๑๕ วันอาทติ ย์ ที่ ๒๓ สงิ หาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๘.๓๐ น. - พธิ สี วดพระอภิธรรม - สมเด็จพระมหาวรี วงศ์ วดั ราชบพิธสถติ มหาสีมาราม เปน็ ประธาน - มลู นธิ ิเฉลมิ พระเกยี รติพระบาทสมเดจ็ พระนั่งเกล้าเจา้ อย่หู วั ฯ - มูลนิธิ John F. Kenedy แหง่ ประเทศไทย - พลเอกจรัล กลุ ละวณิชย์ - คณุ หญิงกอแก้ว บุณยะจนิ ดา - ว.ป.อ. ๒๕๔๙ - อกั ษรศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร รนุ่ ๖ - นตท. รุน่ ๘ ร่นุ ๑๒ - น.ร.ต. รุ่น ๒๔ และ รุ่น ๒๘
วันจนั ทร์ ที่ ๒๔ สงิ หาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๘.๓๐ น. - พธิ ีสวดพระอภิธรรม - สมเด็จพระวนั รัต วดั บวรนิเวศวิหาร เป็นประธาน - สำ� นักงานต�ำรวจแห่งชาติ - วปรอ. ๒๕๔๕ - มาแตร์ เดอี รุ่น ๔๕ - เซนต์คาเบรยี ล รนุ่ ๔๐ วนั อังคาร ที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๘.๓๐ น. - พธิ สี วดพระอภิธรรม - พล.ต.อ.สเุ ทพ เดชรกั ษา - คุณศรวรรณ ศริ สิ นุ ทรรนิ ทร์ - กลมุ่ PSN วนั พุธ ที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๘.๓๐ น. - พิธสี วดพระอภธิ รรม - สมเดจ็ พระพฒุ าจารย์ วัดไตรมติ รวทิ ยาราม เปน็ ประธาน - แสดงพระธรรมเทศนา โดย พระเทพปฏภิ าณวาที วัดสทุ ศั นเทพวราราม - คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี - ญาติพีน่ ้องตระกลู ”ภูมิจติ ร„ - บรรจุศพ เวลา ๑๙.๓๐ น. - เชญิ หีบศพไปตงั้ บ�ำเพ็ญกศุ ล ๑๐๐ วนั ณ ศาลาพลศกั ดิ์ พรประภา
กำ� หนดการบ�ำเพ็ญกศุ ล คุณประนอม สิงหรา ณ อยุธยา ณ ศาลาวรรณ - สุพิณ (ศาลา ๘) วัดธาตุทอง เขตวฒั นา กรุงเทพมหานคร วันศุกร์ ท่ี ๑๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ เวลา ๑๘.๐๐ น. พระเทพปฏิภาณวาที วัดสุทัศนเทพวราราม แสดงพระธรรมเทศนา ๑ กัณฑ์ พธิ ีสวดพระอภธิ รรม วันเสาร์ ท่ี ๑๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๓๐ น. พระสงฆ์ ๑๐ รปู สวดพระพทุ ธมนต์ เวลา ๑๑.๐๐ น. ถวายภัตตาหารเพล เวลา ๑๕.๐๐ น. เคลอื่ นศพขึ้นตง้ั บนจติ กาธาน เวลา ๑๖.๓๐ น. ทอดผา้ บงั สกุ ุล และพระสงฆ์สมณศักด์พิ ิจารณาผ้าบงั สกุ ลุ เวลา ๑๗.๐๐ น. พระราชทานเพลงิ ศพ วนั อาทิตย์ ที่ ๒๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ เวลา ๐๘.๐๐ น. เก็บอัฐิ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานเพลิงศพ เป็นกรณีพิเศษ นางประนอม สิงหรา ณ อยุธยา สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จไปในการพระราชทานเพลิงศพ เป็นกรณีพิเศษ ณ เมรุวัดธาตุทอง เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร วันเสาร์ ท่ี ๑๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ เวลา ๑๗.๐๐ น.
พระพรหมมนุ ี วัดพระศรีมหาธาตุ พระราชมนุ ี วดั บวรนิเวศวิหาร พระพรหมกวี วดั กัลยาณมติ ร
พระราชวรญาณโสภณ และพระพรหมมุนี พระพรหมกวี วดั กลั ยาณมติ ร พระราชมนุ ี วดั บวรนิเวศวหิ าร
สมเด็จพระมหาวรี วงศ์ วัดราชบพธิ สถิตมหาสีมาราม
พระผ้ปู ราดเปร่อื ง
สมเดจ็ พระวันรัต วัดบวรนเิ วศวหิ าร พระผใู้ หค้ วามเมตตากบั คณุ แมม่ าโดยตลอด
สมเด็จพระพฒุ าจารย์ วดั ไตรมติ รวทิ ยาราม
พระเทพปฏิภาณวาที วัดสุทศั นเทพวราราม
พิธีบรรจุศพ พระเทพปฏภิ าณวาที วัดสุทัศนเทพวราราม พระสวุ รรณพทุ ธาภบิ าล วดั ไตรมติ รวิทยาราม
เมตตากรุณาอย่างหาที่สุดมไิ ด้ คณุ หญงิ จินดา จรงุ เจรญิ เวชช์ (ภมู จิ ิตร) คุณประสิทธ์ิ หติ ตะนนั ท์
ศ.นพ.ปยิ ะมติ ร ศรธี รา ลกู ๆ ท้งั ๗ ลกู -หลาน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234