คุณตาทวดสุดใจ
พระยาวิภาคภูวดล (ต่วน ภูมิจิตร) กับคุณหญิงม้วน (พ.ศ. ๒๔๒๕-๒๔๗๒)
ตระกูลภูมิจิตร เมื่อวันท่ี ๑๓ เมษายน ๒๔๕๗ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาล ที่ ๖) ได้พระราชทานนามสกุล ”ภูมิจิตร„ ให้แก่พระยาวิภาคภูวดล ซึ่งเป็นพ่ีชายคนโต ของครอบครัว (ขณะด�ำรงยศเป็นหลวงประมาณสถลมารค) ท่ีได้รับใช้ราชการแผ่นดิน ด้วยความซ่ือสัตย์สุจริตและวิริยะอุตสาหะ สร้างสรรค์ความเจริญรุ่งเรืองและความสวยงาม ของบ้านเมือง ”ภูมจิ ิตร„ (Bhumichitra) อ่านว่า พ-ู มิ-จิตร ค�ำว่า ”ภูม„ิ หมายถึง แผน่ ดนิ ท่ดี ิน ภูมทิ ัศน์ สว่ นคำ� วา่ ”จิตร„ มีความหมายหลายนยั จติ ใจบ้าง ความสวยงามบ้าง การวาดรูป ออกแบบ เป็นต้น อย่างไรก็ตามผู้อาวุโสของตระกูลได้อธิบายความหมายของนามสกุล ”ภูมิจิตร„ ไว้เป็น ๒ แนวทาง คือ ”ผู้มีจิตใจหนักแน่นในแผ่นดิน„ และ ”ผู้วางแผน ออกแบบการบรหิ ารจดั การทดี่ นิ „ เม่ือพิจารณาการประกอบอาชีพรับราชการของบรรพบุรุษข้างคุณแม่จะพบว่า ญาติผู้ใหญ่ของตระกูลหลายคน เช่น พระเจนสถลรัถย์ พระยาวิภาคภูวดล (๒๔๒๕– ๒๔๗๒) หลวงประกาศพิภัชนภาค (๒๔๓๐-๒๔๙๙) เป็นต้น ล้วนรับใช้ราชการแผ่นดิน ในส่วนท่ีเกี่ยวกับแผนที่ การรังวัดที่ดิน การออกแบบ การวางผังเมือง การตัดถนน สร้างสะพาน การขุดคูคลองต่าง ๆ เป็นต้น โดยนัยนี้ ค�ำว่า ”ภูมิจิตร„ น่าจะมีความหมาย ตามคตทิ ่สี อง 49
หลวงประกาศพิภัชนภาค (ทองดี ภูมิจิตร) (พ.ศ. ๒๔๓๐-๒๔๙๙)
บ้านหลังใหม่ เม่ือถึงวัยอันควร คุณตาหลวงประกาศฯ ได้สมรสกับคุณยายปราง และได้ สร้างครอบครัวโดยมาซ้ือบ้านหลังใหม่ที่ตรอกตึกดิน ถนนดินสอ (ใกล้กับอนุสาวรีย์ ประชาธิปไตยในปัจจุบัน) เพราะเห็นว่าเป็นสถานที่สะดวกสบาย มีห้องหับมากมายและ อยู่ไม่ไกลจากสถานทที่ ำ� งานของคุณตา คุณแม่เกิดท่ีบ้านตรอกตึกดิน เมื่อวันพฤหัสบดี ท่ี ๑๔ พฤษภาคม ๒๔๖๘ คุณแม่เล่าว่า คุณแม่เป็นเด็กเลี้ยงง่าย ไม่ซุกซนนัก ใครวางคุณแม่ไว้ที่ไหน คุณแม่ก็จะ เล่นอยู่ตรงนั้น พ่ีเลี้ยงท่ีช่วยคุณยายปรางเล้ียงคุณแม่ต่างก็ชอบใจ เพราะไม่ต้องเป็นห่วง คุณแม่มากนัก เพราะสามารถปลีกเวลาไปท�ำอะไรอย่างอื่นได้ และด้วยความเล้ียงง่าย เลี้ยงดายน่ีเองกอปรกับคุณแม่มีรูปร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์ ผิวเน้ือด�ำแดง ญาติผู้ใหญ่ ท่านหนึ่ง (ปู่นพ) จึงเรียกช่ือคุณแม่ว่า ”แม่ก้อนดิน„ และกลายเป็นชื่อเล่นของคุณแม่ ในเวลาตอ่ มา คุณแม่ในวัยเตาะแตะ คณุ ตาหลวงประกาศฯ และคณุ ยายปราง มีธดิ า ๒ คน คือ คุณป้ากมลา (ป้าแปว๋ ) และคุณแม่ (ประนอม) อย่างไรก็ดี เนื่องจากคุณยายเขียนผู้เป็นพี่สาวของคุณตา หลวงประกาศฯ ไม่มีบุตร แต่รักลูกหลานมาก จึงขอป้ากมลาฯ ไปเลี้ยงที่บ้านหัวล�ำโพง ซง่ึ ก็ไดร้ ับอนุญาต คุณแม่เล่าให้ฟังว่า คุณตาหลวงประกาศฯ และคุณยายปราง เป็นผู้ท่ียึดมั่น ในหลักธรรมของพระพุทธศาสนาและประพฤติปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริง คุณตากับ คณุ ยายจะไปท�ำบญุ ตามวัดวาอารามตา่ ง ๆ ทุกวันธรรมสวนะ และวนั หยุดราชการ 51
ในการไปท�ำบุญทุกคร้ังคุณตาและคุณยายจะกะเตงคุณแม่ไปด้วย คุณแม่ชอบน่ัง รถเจ๊ก (รถลาก) เป็นอย่างมาก ทุกคร้ังที่ได้ข้ึนสะพานกษัตริย์ศึกคุณแม่จะชอบใจและ ตื่นเต้นตามประสาเด็ก คุณตาคุณยายจะแจกเงินพิเศษให้แก่เด็ก ๆ ในละแวกนั้นที่มา ชว่ ยคนลากรถเขน็ รถขนึ้ สะพาน คุณแม่ยังไม่ค่อยรู้เรื่องมากนักในช่วงนั้น เห็นผู้ใหญ่เขากราบพระก็ท�ำตาม เห็นเขาพนมมือก็ท�ำตาม แต่ส่วนใหญ่มักจะนอนหลับตามริมผนังโบสถ์มากกว่า ผู้ใหญ่ สมัยก่อนจะเอ็นดูและมีเมตตาต่อเด็กเล็กมาก คนที่คุ้นเคยกับคุณตาคุณยายก็จะมาช่วย พัดโบกให้คุณแม่ด้วย ในวันธรรมสวนะส�ำคัญท่ีมีเทศน์โต้รุ่ง คุณแม่จะนอนหลับค้างคืน ในพระอุโบสถตามวัดต่าง ๆ และกลับบ้านตึกดินพร้อมกับคุณตาคุณยายในรุ่งเช้า คุณแม่ คุ้นเคยกับการท�ำบุญใส่บาตร ให้ทาน นับเป็นการปลูกฝังให้ใกล้ชิดและซึมซาบใน พระพุทธศาสนาต้งั แตเ่ ลก็ และเป็นคุณสมบตั สิ �ำคัญทีต่ ิดตัวคุณแม่ไปตลอดชวี ิต ช่วงวัยเด็กเล็ก (๔-๕ ขวบ) คุณแม่ถูกส่งไปเรียนหนังสือคร้ังแรกที่บ้านคุณครูช่ือ ”ครูถม„ ซ่ึงมีบ้านอยู่ ในตรอกตึกดินด้วยกัน ครูถมมีชื่อเสียงในการอบรมดูแลและสอนเด็กเล็ก ผู้ปกครอง ที่อาศัยอยู่ในละแวกน้ัน จึงนิยมส่งลูกหลานไปเรียนด้วยก่อนที่จะแยกย้ายไปเข้าเรียนใน ระดบั ชนั้ ประถม ๑ ตามโรงเรยี นตา่ ง ๆ ครูถมเป็นครูประจ�ำสอนอยู่ท่ีโรงเรียนสตรีวิทยา ผู้ปกครองหลายคนจึงมักพา ลูกหลานผู้หญิงไปสมัครเข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ เพ่ือจะให้ครูถมได้ช่วยดูแลลูกหลาน ของตนอย่างต่อเนื่อง ครูถมเคารพรักและนับถือคุณตาหลวงประกาศฯ และคุณยายปรางมาก ขณะท่ี คณุ ตาและคุณยายกร็ กั ใคร่ และไวว้ างใจครูถมมากเช่นกนั 52
ช่วงวัยนี้ มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับอุปนิสัยใจคอของคุณแม่ดังน้ี คุณแม่เป็นเด็กที่ ชอบกินน้�ำแข็งไสราดน�้ำหวานมาก ร้านน้�ำแข็งไสตั้งอยู่ท่ีปากตรอกตึกดินด้านถนนดินสอ คุณแม่จะขอสตางค์คุณยายปราง และชอบเดินมาซ้ือน�้ำแข็งไสที่ปากตรอก โดยคุณแม่มี วิธีการเจรจากับคนขายน�้ำแข็งไสดังนี้ ”อาเจ็ก อาเจ็ก ล้ือไม่ต้องท�ำน�้ำแข็งไสอันใหญ่นักน้า อั๊วชอบกินอันเล็ก ๆ จะได้กินหมดไว ๆ และอั๊วจะได้ออกมาซื้อกับล้ือบ่อย ๆ„ ปรากฏว่า ครูถมได้ยินการเจรจาของคุณแม่จึงได้น�ำมาเล่าให้คุณตาคุณยายฟังที่บ้าน ปรากฏว่า คุณตาคุณยายหัวเราะชอบใจในความไร้เดียงสาของคุณแม่อย่างมาก และพลอยท�ำให้ ครถู มหัวเราะชอบใจตามไปด้วย โรงเรียนสตรีวิทยา คุณแม่เข้าเรียนชั้นประถม ๑ ที่โรงเรียนสตรีวิทยา จนกระท่ังจบชั้นสูงสุด คุณแม่ เล่าว่า โรงเรียนสตรีวิทยาสมัยท่ีคุณแม่เรียนยังตั้งอยู่ท่ีส่ีแยกคอกวัว ต่อมาได้ย้ายมาอยู่ ทีต่ ้ังในปัจจุบัน ช่วงเด็กเล็ก ครูถมจะมารับคุณแม่ท่ีบ้านทุกวันและเดินไปโรงเรียนด้วยกันท้ังไป และกลับ จนกระท่ังคุณแม่โตข้ึน ครูถมก็เริ่มให้คุณแม่เดินไปเรียนและเดินกลับเองกับ เพอื่ น ๆ ช่วงวัยเร่ิมเข้าเรียนที่โรงเรียนสตรีวิทยา มีเร่ืองเล่าท่ีน่าสนใจเรื่องหน่ึงคือ คุณครู ประจ�ำชั้นเผอิญไปเห็นว่าคุณแม่ยังใส่ตะปิ้งทอง จึงเกรงว่าจะสูญหายหรือถูกลักขโมย จากมิจฉาชีพซึ่งอาจเป็นอันตรายแก่ตัวเด็ก คุณครูประจ�ำช้ันจึงขอให้ครูถมช่วยเรียน คุณตาและคุณยายด้วย คุณแม่จงึ เลกิ ใส่ตะป้ิงทองและก�ำไลข้อเท้าต้งั แตน่ น้ั มา 53
เม่ือกล่าวถึงผลการเรียน คุณแม่เล่าว่าคุณแม่เรียนอยู่ในระดับใช้ได้ เป็นท่ีพอใจ ของคุณตาและคุณยาย จากการสังเกตของลูก ๆ คุณแม่เป็นคนท่ีคิดเลขเก่ง รวดเร็ว และ ถูกต้องแม่นย�ำ โดยเฉพาะอย่างย่ิง สามารถคิดดอกเบี้ยจากบัญชีเงินฝากในธนาคารของ คุณแม่ได้เอง แม้ในวัย ๙๕ คุณแม่จะจ�ำวันดอกเบ้ียออกได้หมด เป็นต้น เรื่องการท่องบท สวดมนต์ต่าง ๆ คุณแม่ท่องได้มากกว่าลูก ๆ ทุกคน คุณแม่สามารถจ�ำชื่อจริง ชื่อเล่น และเรียกชื่อลูก-หลาน และเหลนทั้งหมดตามล�ำดับอาวุโสได้อย่างถูกต้องแม้จะมีจ�ำนวน ร่วม ๓๐ คน ซ่ึงแสดงให้เห็นว่าสติสัมปชัญญะและความทรงจ�ำเป็นคุณสมบัติที่ดีเลิศและ อยูต่ ดิ ตวั คณุ แม่ตราบจนวาระสุดท้าย ยังมีพฤตกิ รรมช่วงวัยเด็กเล็กของคณุ แม่ทีน่ ่าสนใจอกี อยา่ งหนง่ึ คอื คุณแมร่ กั และ ทนุถนอมน้องชายคนเล็ก (พล.ร.ต.จิตตวีร์) อย่างมาก คุณแม่จะคอยดูแลช่วยเหลือและ เอาใจใส่น้องชาย เพราะวัยห่างกัน ๔ ปี วันไหนที่คุณแม่ขี้เกียจไปโรงเรียน คุณแม่ก็จะ ออดอ้อนคุณยายปราง ขออยู่เล่นเป็นเพ่ือนกับน้องจิตตวีร์ที่บ้าน ซึ่งก็ส�ำเร็จบ้าง แต่ ส่วนใหญ่คุณยายปรางไม่อนุญาต คุณแม่จะดูแล เป็นห่วง และเอาใจใส่ในน้องจิตตวีร์ จนกระท่ังโตเป็นผู้ใหญ่วัยร่วม ๙๐ ปี คุณแม่ก็จะถามไถ่ถึงอยู่เสมอ ไม่ว่าคุณแม่จะ ออกไปท่ีไหน ก็จะหาซ้ือของกินท่ีน้องจิตตวีร์ชอบมาฝากเสมอ เป็นความรักฉันพี่น้องท่ี แนบแน่นมาก โรงเรียนการเรือนสวนสุนันทา หลังจากจบการศึกษาจากโรงเรียนสตรีวิทยา คุณตาหลวงประกาศฯ ได้ส่งคุณแม่ ไปเรียนต่อท่ีโรงเรียนการเรือนสวนสุนันทา โดยก่อนหน้านี้คุณตาได้ส่งพ่ีสาวของคุณแม่ (คุณปา้ กมลา) ไปเรยี นต่อที่โรงเรยี นการเรือนราชนิ ี (คณุ ป้ากมลาอายุมากกวา่ คณุ แม่ ๒ ปี) คุณแม่เล่าว่าช่วงที่เรียนอยู่ที่โรงเรียนการเรือนสวนสุนันทา เป็นช่วงสงครามโลกคร้ังที่ ๒ 54
สถานการณ์ในกรุงเทพฯ ช่วงน้ัน ไม่ค่อยปลอดภัย โรงเรียนการเรือนสวนสุนันทา ต้อง ย้ายจากกรุงเทพฯ และอพยพนักเรียนไปเรียนท่ีจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นการช่ัวคราว คุณแม่เล่าว่า ช่วงนั้นล�ำบากเหมือนกัน เพราะคุณแม่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคุณตาและคุณยาย มาตลอดโดยไมเ่ คยแยกหา่ งจากกัน หลังจากจบการศึกษา เมื่อพ่ีน้องสองสาวจบการศึกษาจากโรงเรียนการเรือนราชินีและโรงเรียนการเรือน สวนสุนันทาตามล�ำดับแล้ว คุณตาและคุณยายไม่อนุญาตให้ลูกสาวท้ังสองคนไปท�ำงาน นอกบ้าน แต่ให้ดูแลภารกิจภายในบ้านและธุรกิจของครอบครัว ในสมัยนั้นคุณตาและ คุณยายเปิดร้านขายของช�ำและอาหารแห้งบนถนนดินสอ เป็นร้านที่ผู้คนในละแวกน้ัน นิยมไปจับจ่ายใช้สอย บางคราวลูกค้าซ้ือสินค้า ติดหน้ีและไม่มีเงินใช้คืน คุณตาและ คุณยายก็ยกหนี้ให้ คร้ันต่อมาเมื่อคุณป้ากมลา และคุณแม่แต่งงานไปมีครอบครัวจึง ขาดคนดูแลกิจการ ในท้ายที่สุด ”ร้านเทียนซ้ง„ ได้มาขอซ้ือกิจการและปรับเป็นร้าน ขายอาหารอรอ่ ยที่มีชื่อเสียงบนถนนดินสอในเวลาตอ่ มาและยังดำ� รงอย่จู นปัจจบุ ัน เมื่อถามเหตุผลว่า เหตุใดคุณตาและคุณยายจึงไม่อนุญาตให้คุณป้าและคุณแม่ ออกไปทำ� งานนอกบ้าน คุณแม่ไดอ้ ธิบายวา่ ในสมัยนนั้ พวกขา้ ราชการทม่ี ยี ศถาบรรดาศกั ด์ิ คหบดี หรือผู้มีฐานะร่�ำรวย จะเลี้ยงดูบุตรสาวในลักษณะเตรียมความพร้อมส�ำหรับ การออกเหย้าออกเรือน และอีกเหตุผลหน่ึงคือ การส่งบุตรสาวออกไปท�ำงานนอกบ้าน ถือเป็นเร่ืองน่าอับอายเพราะผู้คนอาจเข้าใจไปได้ว่า ผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ ข้าราชการ ระดบั สงู คหบดี ไมม่ ีเงินทองและไม่สามารถเลยี้ งดบู ุตรสาวของตนได้ 55
พรหมลิขิต วันหน่ึงคุณแม่ไปร่วมงานศพของคนที่รู้จักมักคุ้นท่ีวัดหัวล�ำโพง แต่ไปถึงก่อนเวลา คุณแม่จึงไปเดินเล่นฆ่าเวลาท่ีสามย่าน คุณแม่หยุดดูร้านตัดเสื้อผ้าสตรีแห่งหนึ่งด้วย ความสนใจจากภายนอกร้านเพราะแต่งร้านได้สวยสะดุดตา เผอิญเจ้าของร้านเดินออกมา ทักทายคุณแม่ ปรากฏว่าเจ้าของร้านคือนักศึกษารุ่นพี่ท่ีโรงเรียนการเรือนสวนสุนันทา ช่ือ ม.ล.รุ่งเรือง สิงหรา นับเป็นการพบกันโดยบังเอิญอย่างแท้จริงหลังจากที่ไม่เคยพบกัน เป็นเวลาหลายปี นับต้ังแต่คุณแม่เข้าเรียนในช้ันปี ๑ ม.ล.รุ่งเรือง สิงหรา ก�ำลังเรียนอยู่ ชั้นปี ๔ ซ่ึงเป็นปีสุดท้าย หลังจาก ม.ล.รุ่งเรืองจบการศึกษาแล้วก็มิได้พบกันอีกจนกระท่ัง วันนั้น ม.ล.รุ่งเรืองจึงได้เชิญคุณแม่เข้าไปชมการตกแต่งภายในร้านและชวนพูดคุยไต่ถาม ทุกข์สุขตลอดจนแนะน�ำประนอม (คุณแม่) ให้รู้จักกับคุณอรุณ สิงหรา ณ อยุธยา ผู้เป็น มารดา เมื่อได้เวลาอันสมควร คุณแม่จึงได้กล่าวลาผู้ใหญ่ทั้งสองเพราะต้องไปร่วมงาน ท่ีวดั หัวล�ำโพงที่ฝง่ั ตรงกันข้าม เวลาผ่านไปไม่นานนัก ม.ล.รุ่งเรืองได้ติดต่อมาหาคุณแม่และขอเชิญคุณแม่ ไปรับประทานอาหารด้วยกันแถวสามย่าน หลังจากรับประทานอาหารเสร็จก็เชิญคุณแม่ กลับมาน่ังคุยกันต่อที่ร้านตัดเสื้อผ้า ขณะคุณแม่ยกมือไหว้คารวะคุณอรุณ สิงหรา ณ อยุธยา แล้ว ม.ล.รุ่งเรืองก็ได้แนะนำ� สภุ าพบรุ ษุ ทีก่ ำ� ลังน่งั คุยกบั คณุ อรุณอย่คู อื ม.ล.อุทยั สิงหรา ผู้เป็นน้องชายคนเดียวของ ม.ล.รุ่งเรือง ตอนน้ันคุณแม่มิได้คิดอะไร แต่คร้ันเมื่อ คุณแม่กล่าวลาเพ่ือจะไปข้ึนรถรางกลับบ้านตึกดิน ม.ล.รุ่งเรืองก็ส่ังให้ ม.ล.อุทัยเดินไปส่ง น้อง (หมายถึงคุณแม่) ด้วย ม.ล.อุทัยก็ไม่ใช่ย่อย พ่ีสาวสั่งให้เดินไปส่ง ก็น่าจะไปส่งที่ ป้ายรถรางแค่นั้น แต่กลับขึ้นรถรางตามไปส่งถึงบ้านตึกดิน (อะไรจะเร็วกันปานนั้น ราวกับ ภาพยนตร์รักแรกพบ) เมื่อเดินมาถึงใกล้ปากตรอกตึกดิน คุณแม่ก็ขอให้ส่งเพียงแค่นั้น แตพ่ อลบั ตา ม.ล.อุทยั กแ็ อบเดินตามและสบื รู้ว่าคณุ แม่อยูท่ ่บี า้ นหลงั ใด 56
ต่อมาคุณแม่มารับทราบในภายหลังวา่ หลังจากทคี่ ุณแม่พบกับคุณปา้ ม.ล.รุ่งเรอื ง และคุณย่าอรุณ นั้น ท่านทั้งสองคือแม่สื่ออยู่เบ้ีองหลัง โดยเฉพาะอย่างย่ิงคุณย่าอรุณ ซึ่งพบกับคุณแม่ครั้งแรกแค่ช่วงเวลาไม่นานนัก แต่คุณย่าได้สาธยายคุณแม่ให้คุณพ่อ ม.ล.อุทัยฟังว่า ”คุณแม่เป็นลูกผู้ดีมีตระกูล ท้ังสวยและสุภาพเรียบร้อย ดูแล้วเหมาะกับ แสงเดือน (ชอื่ เดิมของ ม.ล.อุทยั ) แสงเดอื นฯ ลองคบหาดูนะ แมส่ นับสนุนอยา่ งยิ่ง„ จงึ เป็น เหตุให้คุณป้า ม.ล.รุ่งเรือง นัดคุณแม่ไปรับประทานอาหารด้วยกัน และพาคุณแม่มาแวะ คุยต่อท่ีร้าน เดาได้ว่าคงจะพาคุณแม่ไปให้คุณพ่อดูตัวและท�ำความรู้จัก ผู้ใหญ่ในยุคน้ัน ทำ� อะไรค่อนขา้ งแนบเนยี น กระบวนการจีบคุณแม่จึงเริ่มขึ้น ม.ล.อุทัยมีความเพียรพยามอย่างมาก โดย การติดสินบน ”แม่แวว„ ซ่ึงมีบ้านอยู่ปากตรอกตึกดินและมีความคุ้นเคยกับท่ีบ้าน ของคุณแม่ดี การส่งสารรักทางจดหมายผ่านไปได้ระยะเวลาหน่ึง ความก็แพร่งพราย ไปถึงคุณตาหลวงประกาศฯ และคุณยายปราง ซ่ึงรักและเป็นห่วงบุตรสาวมาก คุณตา หลวงประกาศฯ ถึงขนาดว่าจ้างทีมสืบหาข้อมูล คนท่ีมาจีบลูกสาวฉันเป็นใคร ลูกเต้า เหล่าใคร ความประพฤติเป็นอย่างไร ไม่ช้าไม่นานทีมสืบหาข้อมูลก็รายงานคุณตา หลวงประกาศฯ ว่า ม.ล.อุทัยเป็นบุตรของ ม.ร.ว.ฉบับบูรณ์ สิงหรา กับ คุณอรุณ สิงหรา และเป็นหลานของพลโทพระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกร (ม.ร.ว.สิทธ์ิ สุทัศน์) ซ่ึงเป็นผู้ใหญ่ใน แวดวงราชการท่ีคุณตาหลวงประกาศฯ ให้ความเคารพและนับถือมาก คุณตาคุณยายจึง เบาใจได้ในระดับหน่ึง แต่ก็ยังมอบหมายให้พี่ชายของคุณแม่ศึกษาอุปนิสัยใจคอของ ม.ล.อุทัยเพ่ิมเติม ซ่ึงทุกคนล้วนรายงานข้อมูลตรงกันว่า ม.ล.อุทัยเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน มีอุปนิสัยใจคอดี และเป็นที่รักใคร่ของพ่ี ๆ ของคุณแม่ทุกคนโดยเฉพาะน้องชายคนเล็ก ของคุณแม่ (พล.ร.ต.จิตตวีร์) รักใคร่และชอบพอกับ ม.ล.อุทัยมาก เพราะ ม.ล.อุทัยมีจิตใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และจะมอบ Pocket Money ให้น้องจิตตวีร์ทุกอาทิตย์ ก่อนกลับไป เข้าโรงเรียนนายเรือ ซึ่งเป็นโรงเรียนประจ�ำ อนุญาตให้นักเรียนกลับบ้านได้เฉพาะเสาร์- 57
อาทิตย์ สรุปว่า นักเรียนนายเรือจิตตวีร์ได้รับเงินค่าขนม ๒ ต่อ ทั้งจากคุณยายปรางและ จาก ม.ล.อุทัย เท่าน้ันยังไม่พอ ม.ล.อุทัยยังคอยสอดส่องดูแลน้องจิตต์รวีร์ ขาดเหลือ อะไรบ้าง ชุดยูนิฟอร์มสีซีดดูเก่า ม.ล.อุทัยก็จะบอกให้น้องจิตต์วีร์ไปตัดชุดใหม่ โดย ม.ล.อทุ ยั จะไปจา่ ยค่าใชจ้ ่ายให้ทุกคร้ัง เม่ือ ม.ล.อุทัย และคุณประนอม มีความสนิทสนมกันมากขึ้นเป็นล�ำดับ ผู้ใหญ่ ของทั้งสองฝ่ายประกอบด้วยคุณตาหลวงประกาศฯ คุณยายปราง คุณย่าอรุณ และ คุณลุงกุ่ย หิตะนันท์* ก็สร้างความใกล้ชิดสนิทสนมกัน แสดงมิตรจิตมิตรใจต่อกันและกัน ตลอดจนไปมาหาสู่กันสม�่ำเสมอ ผ้ใู หญ่ท้งั ๔ ท่านจึงรกั ใคร่และชอบพอกนั มาก พิธีหม้ันและพิธีแต่งงาน ม.ล.อุทัย และคุณประนอม ได้ท�ำการหมั้นหมายก่อนแต่งงานเป็นเวลา ๑ ปี ตามธรรมเนียม การจัดพิธีหม้ันและพิธีแต่งงาน เป็นไปอย่างใหญ่โตและสมเกียรติมาก คุณลุงกุ่ย รับหน้าที่เป็นพ่องานและสามารถบริหารจัดการอย่างครบถ้วนไม่มีอะไร ขาดตกบกพรอ่ ง เรื่องสินสอดทองหม้ัน คุณแม่เล่าว่า คุณย่าอรุณเป็นคนใจป�้ำกอปรกับคุณย่าอรุณ ชอบคุณแม่มากตั้งแต่ครั้งแรกท่ีพบกัน จึงจัดสินสอดอย่างเต็มที่ ขณะที่คุณตาหลวงประกาศฯ และคณุ ยายปราง ไมเ่ รียกร้องใด ๆ ท้งั สิ้น * คุณลุงกุ่ยเป็นผู้ใหญ่เช้ือสายจีน ได้เข้ามาช่วยเหลือคุณย่าอรุณ (หลังจากที่ ม.ร.ว.ฉบับบูรณ์ สิงหรา เสียชีวิตด้วยโรคไข้ป่าขณะปฏิบัติราชการ ณ มณฑลภาคอีสาน) ในกิจการโรงแรม และโรงงาน ผลติ แก้ว 58
ม.ล.อุทัย-คุณประนอม สิงหรา ณ อยุธยา (พ.ศ. ๒๔๙๑)
ม.ล.อุทัย สิงหรา (พ.ศ. ๒๔๖๖-๒๕๒๔)
คุณประนอม สิงหรา ณ อยุธยา (พ.ศ. ๒๔๖๘-๒๕๖๓)
ทุกอย่างเป็นเรื่องของเจ้าบ่าวเจ้าสาว กระน้ันก็ตามคุณย่าอรุณ ก็ยังแสดงน�้ำใจ กับคุณยายปรางในท�ำนอง ”ช่วยกรุณารับค่าตอบแทนอันเป็นสินน้�ำใจสักนิดเถอะค่ะ และ ขออย่าถือสา ถือเป็นค่าตอบแทนค่าน�้ำนมท่ีกรุณาเล้ียงดูลูกประนอม„ ถึงตอนนี้คุณแม่ เล่าว่า คุณยายปรางถึงกับอ้ึงในความตั้งใจจริงของคุณย่าอรุณ คุณยายปรางจึงยอมรับ แตห่ ลังจากนน้ั กส็ ง่ มอบคืนใหแ้ ก่ลกู ประนอม และ ม.ล.อุทัย สรุปแล้วคู่บ่าวสาวรับเต็ม ๆ ถึงตอนนี้คุณแม่เล่าว่า คุณแม่นอนคู่กับคุณยายปรางมาตั้งแต่เกิด และไม่เคย ห่างกัน (ยกเว้นช่วงอพยพไปเรียนที่อยุธยาช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒) จนกระท่ังคุณแม่ แต่งงานกับคุณพ่อ ในช่วงแรกคุณแม่สงสารคุณยายปรางมาก แม้ว่าคุณพ่อ ม.ล.อุทัย จะเป็นฝ่ายย้ายเข้ามาอยู่ท่ีบ้านตึกดินก็ตาม คุณพ่อและคุณแม่อาศัยอยู่ที่บ้านตึกดิน จนกระท่ังได้ลูกคนที่ ๒ คุณพ่อและคุณแม่จึงขออนุญาตคุณตาหลวงประกาศฯ และ คุณยายปรางไปสร้างครอบครัวและบ้านหลังใหม่ที่ซอยภูมิจิตร ถนนสุขุมวิท (๔๖) ซ่ึงท้ัง คุณตาและคุณยายก็อนุญาต คุณแม่เล่าให้ฟังว่า คุณตาหลวงประกาศฯ รักใคร่และเอ็นดู คุณพ่อ ม.ล.อุทัยฯ มาก ถึงขนาดมาควบคุมดูแลการก่อสร้างบ้านหลังใหม่ให้คุณพ่อและ คุณแม่ทุกวนั จนเสร็จ พยานรักและหน้าที่ความรับผิดชอบ คุณพ่อและคุณแม่ให้ก�ำเนิดบุตรธิดารวม ๗ คน คือ พล.ต.ต.ณธนนต์ นางเกตุกานดา พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ ออท.กุลกุมุท นางศุทธินี นายธีรพล และนางภาริสรา คุณพ่อดูแลคุณแม่ตามแนวทางของคุณตาหลวงประกาศฯ และคุณยายปราง ไม่ผิดเพี้ยน คือไม่ยอมให้คุณแม่ไปท�ำงานนอกบ้าน คุณพ่อมอบหมายให้คุณแม่ดูแล รับผิดชอบท่ีบ้านและให้เล้ียงดูลูก ๆ อย่างดีท่ีสุด ตลอดชีวิตสมรสของคุณแม่จึงมีหน้าที่ เลีย้ งดูลกู และให้ความรักความอบอุน่ กับลูก ๆ อย่างท่สี ดุ 62
การดูแลเลี้ยงดูลูก คุณแม่ทุ่มเทอย่างจริงจังในการเล้ียงดูลูก เร่ืองอาหารการกินถือว่าสุดยอด คุณแม่ ได้ใช้วิชาความรู้ท่ีร�่ำเรียนมาจากโรงเรียนการเรือนสวนสุนันทาอย่างเต็มที่ อาหารจานเด็ด ของคุณแม่ท่ีทุกคนในครอบครัวล้วนช่ืนชอบและจะหาที่รับประทานแบบเดียวกันไม่ค่อยมี คุณแม่บอกวา่ เป็นสูตรของโรงเรียนการเรอื น ไดแ้ ก่ กว๋ ยเตยี๋ วหลอดทรงเครือ่ ง (เครอ่ื งปรงุ เท่าที่จ�ำได้ประกอบด้วย กุ้งสดสับ หมูสับ ถ่ัวเหลืองห่ันเป็นชิ้นเล็ก ๆ ถ่ัวลิสงต�ำ ถ่ัวงอก ผักกาดหอม น�้ำมะขามเปยี ก น้ำ� ปลา นำ�้ ตาล เค่ยี วในกระทะทองเหลือง และแป้งกว๋ ยเตย๋ี ว ขนาด ๒.๕ x ๒.๕ น้ิว) มัสม่ัน-ไข่เค็ม (เค่ียวเนื้อก้อนส่ีเหลี่ยมพอเหมาะจนรสชาติซึม เข้าไปตัวเน้ือ พร้อมมันฝรั่ง) ข้าวหน้าไก่ น�้ำพริกลงเรือ แกงต้มจ๋ิว แกงเขียวหวาน หมี่กรอบทรงเครื่อง พระรามลงสรง ปลาเปร้ียวหวาน ปลาอินทรีแดดเดียว ทอดมัน ผัดพริกขิง น้�ำพริกหลน ข้าวต้มกับ เป็นต้น คุณแม่ท�ำอาหารและแกะสลักผลไม้เก่งมาก จรงิ ๆ คุณแม่เล่าว่า ขณะท่ีคุณแม่ก�ำลังศึกษาอยู่ท่ีโรงเรียนการเรือน เวลาผู้น�ำประเทศ จะเล้ียงแขกบ้านแขกเมือง โรงเรียนจะคัดเลือกคุณแม่ไปช่วยดูแลและควบคุมการท�ำอาหาร เล้ียงแขกบา้ นแขกเมอื งด้วยทกุ คร้งั เม่ือถามคุณแม่ว่า อาหารอะไรที่ท�ำยากที่สุด คุณแม่ตอบว่าหม่ีกรอบทรงเคร่ือง จะต้องท�ำให้กรอบจริง ๆ และความกรอบจะต้องอยู่ได้นานจนถึงเวลาท่ีแขกรับประทาน เครื่องเคียงโดยเฉพาะกุ้งแห้งทอดและถ่ัวเหลืองท่ีห่ันเป็นช้ืนเล็ก ๆ จะต้องทอดให้กรอบ จริง ๆ รสน้�ำมะขามจะต้องพอดิบพอดี พริกสดซอยแต่งหน้าต้องสวยงามจะเพิ่มความ น่ารับประทาน มีผู้สนใจจ�ำนวนมากที่เปิดธุรกิจร้านอาหารมาขอความรู้และสูตรการ ปรุงอาหารจากคุณแม่ท่ีบ้าน คุณแม่สามารถอธิบายรายละเอียดได้ราวกับคอมพิวเตอร์ ทุกอย่างอยู่ในความทรงจ�ำไม่ลืมเลือน คุณแม่สามารถอธิบายข้ันตอนการท�ำอาหารเป็น 63
ฉาก ๆ ได้อย่างละเอียดทุกขั้นตอนไปจนถึงส่วนผสม ปริมาณและเครื่องปรุงที่ใช้ (แม้ ช่วงน้ัน คุณแม่จะอายุกว่า ๘๐ ปีแล้ว) ทุกคนท่ีมาขอความรู้เร่ืองอาหารจากคุณแม่จะ ไมผ่ ิดหวงั ลูก ๆ ทุกคนเติบโตอย่างมีความสุข ภายใต้การเลี้ยงดูอย่างเอาใจใส่ของคุณแม่ ทุกเร่ือง ช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ คุณพ่อจะพาคุณแม่และครอบครัวไปท�ำสังฆทานและ ไปรับประทานอาหารต่อนอกบ้าน ร้านที่ลูก ๆ ชอบกันมากท่ีสุด คือสมบูรณ์ภัตตาคาร (อาหารจีน) ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ส่วนอาหารทะเล คุณพ่อชอบพาไปรับประทานที่ ภัตตาคาร ”ฮงเต้ง„ ปากน�้ำ สมุทรปราการ คุณพ่อรู้จักร้านอาหารอร่อยหลายแห่งมาก แตจ่ ะเสียสละให้ลกู ๆ เป็นคนเลือกรา้ นเสมอ อีกส่ิงหนึ่งที่ลูก ๆ จดจ�ำได้ไม่ลืมคือ ทุกคร้ังที่พวกเราจะต้องไปสอบแข่งขัน ส�ำคัญ ๆ คุณแม่จะอวยชัยให้พรและเอาน�้ำมนต์ท่ีได้มาจากหลวงพ่อหรือจากวัดต่าง ๆ ประพรมให้ลูก ๆ เพ่ือความเป็นสิริมงคล และประสบความส�ำเร็จ เท่าน้ันยังไม่พอ คุณแม่ จะสวดมนตข์ อพรพระตามสถานทต่ี า่ ง ๆ ขอให้ลูกประสบความสำ� เร็จ ด้วยเหตผุ ลดังกลา่ ว คุณแม่มักจะขอให้ลูก ๆ ขับรถพาคุณแม่ไปไหว้พระท่ีนั่นบ้างท่ีนี่บ้าง วันหนึ่งจึงถาม คุณแม่ว่า ท�ำไมถึงชอบมาท่ีน่ี คุณแม่ตอบว่ามาแก้บนท่ีคุณแม่บนไว้ พอถามลงลึกว่า คุณแม่บนอะไรไว้ ค�ำตอบที่ได้เป็นเร่ืองของลูก ๆ หลาน ๆ ทั้งสิ้น สถานที่คุณแม่ขอไป บ่อยมาก คือ หลวงพ่อโสธร ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ท้าวมหาพรหม ที่ราชประสงค์ เป็นต้น คร้ังสุดท้าย กุลกุมุท (อ้อย) บอกคุณแม่ว่าจะไปสอบแข่งขันเป็นผู้ตรวจการแผ่นดิน คุณแม่ยินดีมากและสวดมนต์ให้อ้อย ช่วงนั้นคุณแม่ดูอ่อนแรงลง และไม่สามารถ ออกไปบนบานศาลกล่าว ณ สถานท่ีจริงได้ แต่ก็แอบกระซิบบอกลูกสาวคนหนึ่งให้ช่วยไป บนใหอ้ ้อยแทนคณุ แม่ ใหป้ ระสบความส�ำเร็จสมความปรารถนา 64
ความรักและความเป็นห่วงลูกหลาน หลังจากคุณพ่อส้ินบุญ คุณแม่ยังคงยึดมั่นในเจตนารมณ์ของคุณตาหลวงประกาศฯ คุณยายปราง และคุณพ่อ ม.ล.อุทัย ในการดูแลครอบครัวจากรุ่นลูกไปถึงรุ่นหลาน ช่วงที่ ศุทธินี (อ๋อย) ไปเรียนท่ีอังกฤษ หลังจากเรียนจบอ๋อยได้ไปสมัครท�ำงานท่ีสถานีวิทยุ โทรทัศน์ BBC กรุงลอนดอน อยู่พักหน่ึงและไปพบรักกับหนุ่มอังกฤษ จึงแต่งงานที่ อังกฤษ ก่อนอ๋อยจะคลอด คุณแม่เป็นห่วงมาก ปกติแล้วอ๋อยจะเอาแต่เรียนลูกเดียว ไม่วอกแวก ไม่เคยมีแฟน คุณแม่ได้เดินทางไปที่อังกฤษเพื่อเป็นก�ำลังใจให้อ๋อยคลอด ปลอดภัยและอยู่สอนอ๋อยเก่ียวกับวิธีเลี้ยงลูก วิธีอาบน�้ำให้ลูก การป้อนนม ฯลฯ จนกระทั่งอ๋อยเก่งและมีความคล่องตัว คุณแม่เอ็นดูหลานสาวซึ่งเป็นลูกครึ่งไทย-อังกฤษ มาก และตง้ั ชอื่ ทารกวา่ ”นอ้ งพลอย„ (น้องพลอยจบการศึกษาแพทย์ศาสตร์จาก Imperial College กรุงลอนดอน ปจั จบุ ันนอ้ งพลอยเปน็ หมออยทู่ อ่ี งั กฤษ) ภาริสรา (เอ้ือ) เป็นลูกสาวคนสุดท้อง ที่คุณแม่รักและเอ็นดูมากในฐานะน้อง คนสุดท้องของครอบครัว เอ้ือให้ก�ำเนิดบุตรสาว ๒ คน คือ น้องเนยกับน้องนาว คุณแม่ ช่วยเล้ียงดูน้องเนยและน้องนาวต้ังแต่แรกเกิด ไปรับไปส่งต้ังแต่ชั้นอนุบาลจนกระท่ัง เขา้ เรยี นมหาวทิ ยาลยั ช่วงชั้นมัธยมต้น น้องเนยและน้องนาวไปเรียน High School ท่ีอเมริกา คุณแม่ ตามไปส่งหลานด้วยตนเอง การน่ังเคร่ืองบินเป็นเวลานานท�ำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยง ปลายเท้าไม่ดี กอปรกับคุณแม่มีเบาหวาน คุณแม่ต้องเข้ารับการผ่าตัดใหญ่เส้นเลือดขา ที่นิวยอร์ก ซ่ึงหมอท่ีอเมริกาก็ผ่าตัดได้ผลดีในระยะแรก แต่เม่ือกลับมาถึงประเทศไทย คุณแม่ต้องเข้ารับการผ่าตัดแก้ไขเส้นเลือดไปเลี้ยงขาอีกครั้งท่ีโรงพยาบาลรามาธิบดี นับว่า 65
คุณแม่เสียสละและต้องเจ็บตัวเพราะความรักความห่วงใยหลานเนยและหลานนาวโดยแท้ เมื่อน้องเนยและน้องนาวโตขึ้นมีความมุ่งมั่นอยากเรียนกฎหมายท้ังคู่ จึงขอกลับมาเรียน กฎหมายที่ประเทศไทย โดยน้องเนยไปเรียนท่ีธรรมศาสตร์ น้องนาวไปเรียนที่จุฬาฯ เมื่อ จบแล้วทั้งสองคนไปเรียนต่อในระดับปริญญาโททางกฎหมายจากอังกฤษทั้งคู่ซึ่งคุณแม่ ภาคภูมใิ จมาก จากการไปรับส่งหลานที่โรงเรียนสมัยเด็กเล็ก เพื่อนเก่าของน้องเนยและน้องนาว จึงรู้จักและจ�ำคุณแม่ได้ดีทุกคน เด็ก ๆ รุ่นนี้เกาะกลุ่มกันอย่างเหนียวแน่น แม้จะ จบการศึกษา แต่งงานและมีงานท�ำกันแล้ว ก็ยังกลับมาเย่ียมคุณแม่ที่บ้านเสมอ คุณแม่ คุยกับหลาน ๆ ได้ทุกรุ่น โดยปกติคุณแม่จะเป็นคนรักสวยรักงาม ก่อนออกไปนอกบ้าน คุณแม่จะเขียนคิ้วทาปากเองและดูสดใสเสมอ ในช่วงหลังสายตาคุณแม่เสื่อมลงและสู้แสง ไม่ค่อยได้ คุณหมอจึงให้คุณแม่สวมแว่นกันแดด คุณแม่มีพ่ีเล้ียงชาวพม่า (ไก่ วาน ส่ี และดาว) คอยดูแลใกล้ชิด โดยปกติคุณแม่จะถอดฟันปลอมแช่ท�ำความสะอาดหลังจาก อาหารค�่ำก่อนเข้านอน อย่างไรก็ดี เพ่ือน ๆ ของน้องเนยและน้องนาวสนิทกับคุณแม่มาก จะมาเยี่ยมคุณแม่กี่โมงกี่ยามก็ได้ เด็ก ๆ พวกนี้สามารถเดินเข้าห้องนอนไปสวัสดีและ พูดคุยกับคุณแม่ได้ตลอด เท่าท่ีสังเกตคุณแม่จะขวยเขินเล็กน้อยหลังจากถอดฟันปลอม วันหนึ่งเพื่อน ๆ ของหลานมาสวัสดีคุณแม่และกล่าวชมว่า ”คุณยายยังดูสวยจังเลย แม้ เข้านอนแล้ว คุณแม่ตอบแบบติดตลกนิด ๆ ว่า ปกติยายสวยกว่านี้นะลูก น่ียายถอด ฟันปลอมแล้ว„ ปรากฏว่าเพ่ือน ๆ ของหลาน ลงไปนอนด้ินหัวเราะชักงอชักหงายอย่างมี ความสขุ ทพ่ี น้ื ข้างเตยี งกับวาทะอันน่ารกั ของคุณแม่ 66
บั้นปลายชีวิต คุณแม่มีความสุขและอบอุ่นมากกับลูก หลานและเหลน ทุกคนที่มาบ้านจะต้อง แวะไปสวัสดีและหอมคุณแม่เป็นสิ่งแรก โดยเฉพาะเหลนเอเธนส์เม่ือมาเย่ียมคุณย่าทวด (คุณแม่) จะว่ิงตรงปร่ีและโผเข้าสวมกอดคุณย่าทวดทุกครั้ง ลูก ๆ ทุกคนได้ดูแลคุณแม่ อย่างใกล้ชิด ผลัดกันพาคุณแม่ไปรับประทานอาหารนอกบ้านและพาไปเท่ียวชมวัดวาอาราม ต่าง ๆ ท้ังในต่างจังหวัดและในกรุงเทพฯ สมัยก่อนคุณแม่ชอบไปท�ำบุญและพักผ่อน ที่ชะอ�ำและพัทยามาก แต่ระยะหลังไม่อยากไปค้างคืนนอกบ้านซึ่งไม่ทราบว่าเพราะอะไร พอสอบถามคุณแม่มักจะตอบวา่ อยากกลับไปนอนบ้านทก่ี รุงเทพฯ มากกว่า ช่วงวัย ๘๕ ปี สุขภาพคุณแม่ไม่ค่อยดี กุลกุมุท (อ้อย) ตัดสินใจเดินทางกลับ ประเทศไทยชั่วคราวเพื่อบวชให้คุณแม่ตามค�ำแนะน�ำของพระผู้ใหญ่ อานิสงส์ของการ ตอบแทนพระคุณของบุพการีมีจริง หลังจากนั้นคุณแม่มีสุขภาพดีขึ้นเป็นล�ำดับอย่างเห็น ได้ชัด ช่วงคุณแม่วัย ๙๐ ปี เจ้าประคุณสมเด็จพระวันรัต เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร ทรงเมตตาจัดงานเจริญพระพุทธมนต์ให้คุณแม่ในโอกาสวันคล้ายวันเกิดที่พระอุโบสถ วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อเสร็จพิธีได้เกิดพระอาทิตย์ทรงกลดเป็นวงกว้างสวยงามมาก บนท้องฟ้า ท่ามกลางแสงแดดของกลางวันแสก ๆ ผู้ใหญ่ท่ีมาร่วมงานหลายท่านบอกว่า เป็นนิมิตทด่ี ี เมื่อเร่ิมเข้าวัยชรา คุณหมอไม่อยากให้คุณแม่เดินมากเพราะไม่อยากให้หัวใจ ท�ำงานหนัก ลูก ๆ จึงซ้ือรถตู้และติดเก้าอ้ีไฟฟ้าอ�ำนวยความสะดวกในการขึ้นและลงจาก รถให้คุณแม่ คุณแม่จึงสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติและยังออกไปท�ำบุญ รับประทานอาหาร นอกบ้านกับลูก ๆ หลาน ๆ และเหลน ๆ ได้ดี คุณแม่มีความสุขมากกับการออกไป 67
ท�ำบุญตามวัดวาอารามต่าง ๆ โรงพยาบาลต่าง ๆ โรงพยาบาลสงฆ์ มูลนิธิช่วยคนตาบอด แห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ สถาบันคนตาบอดที่พัทยา สถาบันดูแลเด็กพิการ ซ�้ำซ้อน มลู นิธิการกุศลต่าง ๆ สรา้ งพระ ซอ่ มแซมสิง่ ส�ำคัญทางพระพุทธศาสนา เป็นตน้ คุณแม่จะได้รับการดูแลรักษาสุขภาพอย่างดีจากคณะแพทย์โรงพยาบาลรามาธิบดี โดยมีศาสตราจารย์นายแพทย์ปิยมิตร ศรีธรา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาล รามาธิบดี ศาสตราจารย์แพทย์หญิงศิรินทรา สิงหรา ณ อยุธยา รองคณบดีฝ่ายวิชาการ จะดูแลจัดหาทีมแพทย์เฉพาะทางดูแลคุณแม่อย่างดีย่ิงมาโดยตลอด ซ่ึงนับเป็นความ กรุณาอย่างยิ่ง พูดถึงทีมแพทย์ของคุณแม่นั้น มีหลายท่านมากจนไม่สามารถกล่าวชื่อ สรรเสริญได้ท้ังหมด สรุปว่า ครอบครัวของเราขอแสดงความขอบคุณคุณหมอและ พยาบาลทกุ ท่านทีด่ ูแลคุณแม่อย่างสงู ทส่ี ดุ มา ณ โอกาสน้ี การจากไปของคุณแม่ เป็นการจากไปตามสภาพสังขารของมนุษย์ตามกฎ ไตรลักษณ์ คุณแม่เป็นผู้ให้ก�ำเนิดและเลี้ยงดูลูกหลานอย่างดีท่ีสุด คุณแม่จะถือศีล ปฏิบัติธรรมตลอดชีวิต คุณแม่ไม่เคยโกรธใครหรือคิดร้ายต่อใคร ตลอดชีวิตคุณแม่ มีจิตน้อมน�ำเข้าหาพระพุทธศาสนาเปรียบเสมือนคนมีศีล ๕ ติดตัวมาแต่ก�ำเนิด คุณแม่จากไปด้วยอาการอันสงบในลักษณะนอนหลับไป จังหวะการเต้นของหัวใจของ คุณแม่ค่อย ๆ ลดระดับการท�ำงานและหยุดลงด้วยอาการสงบท่ามกลางลูกหลานทุกคน คณุ แมจ่ ากพวกเราไปเม่อื วนั พุธ ที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๖๓ สริ อิ ายุรวม ๙๕ ปี ๓ เดือน ๕ วัน ท้ายทส่ี ุดน้ี ลูก ๆ หลาน ๆ และเหลน ๆ ของครอบครวั สิงหรา ณ อยธุ ยา ทุกคน ขอกราบนมัสการและขอกราบขอบพระคุณพระคุณเจ้าทุกท่านที่มีเมตตากับคุณแม่ ประทานผ้าไตร เครื่องจตุปัจจัยไทยธรรมตลอดจนเป็นประธานในพิธีสวดพระอภิธรรม รวมทั้งเข้าร่วมในพิธีพระราชทานเพลิงศพคุณแม่ของพวกเรา กล่าวได้ว่าคุณแม่ประนอม 68
สิงหรา ณ อยุธยา เกิดมากับพระ เม่ือคราวส้ินบุญพระสงฆ์องคเจ้า ก็ให้ความอนุเคราะห์ จนถึงทสี่ ุด นบั เปน็ ความกรณุ าอนั ยิง่ ใหญ่แกผ่ วู้ ายชนม์ ขอดวงวิญญาณของคุณแม่ประนอม สิงหรา ณ อยุธยา ได้โปรดรับรู้และ ขออานิสงส์ผลบุญท่ีคุณแม่ได้ประพฤติปฎิบัติมาตลอดชีวิต หนุนน�ำให้คุณแม่ไปสู่สุคติภพ เสวยทิพยสุขในสรวงสวรรค์ทุกทิวาราตรีกาล ลูก ๆ หลาน ๆ และเหลน ๆ ทุกคน ขอกราบคณุ แมม่ าด้วยความเคารพอย่างสูงสดุ ณ โอกาสน้ี ลกู ๆ หลาน ๆ และเหลน ๆ ของคณุ แมท่ กุ คน 69
พระธรรมเทศนา ในการบ�ำเพ็ญกุศล คุณประนอม สิงหรา ณ อยุธยา
มาตาปิตุกถา โดย พระราชมุนี (ฉลอง ชลิตกิจฺโจ) วัดบวรนิเวศวิหาร ณ ศาลาชวลิตธ�ำรง วัดธาตุทอง วันท่ี ๒๒ สิงหาคม ๒๕๖๓ นโม ตสสฺ ภควโต อรหโต สมฺมาสมพฺ ทุ ฺธสสฺ ฯ นโม ตสสฺ ภควโต อรหโต สมมฺ าสมฺพุทฺธสสฺ ฯ นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมพฺ ทุ ธฺ สฺส ฯ พฺรหฺมาติ มาตาปิตโร ปพุ ฺพาจริยาติ วุจฺจเร อาหเุ นยยฺ า จ ปตุ ตฺ านํ ปชาย อนุกมปฺ กาติ ฯ (ข.ุ อติ .ิ ๒๕/๒๘๖/๓๑๓) บัดน้ี จะแสดงพระธรรมเทศนาใน มาตาปิตุกถา พรรณนาศาสนธรรม ธรรมะคือ ค�ำสั่งสอนในพระพุทธศาสนา ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้บรมศาสดา ฉลอง ศรัทธาของคณะเจ้าภาพ ในการบ�ำเพ็ญกุศลศพคุณแม่ประนอม สิงหรา ณ อยุธยา ที่ได้ จัดให้มีการสวดพระอภิธรรมและมีการแสดงธรรมเทศนา อันเป็นบุญกิริยาวัตถุในส่วนของ ธัมมัสสวนมัยบญุ บุญท่ีสำ� เรจ็ มาจากการฟงั ธรรม ด้วยวา่ การฟังธรรมนั้นท�ำให้มกี ารสำ� รวม จิตใจ กายก็สงบระงบั นับว่าเป็นสมาธไิ ด้ในลกั ษณะหนึง่ นอกจากนั้น ยังทำ� ให้ได้มคี วามคิด พิจารณาเนื้อหาของธรรมะ ย่อมสามารถเพ่ิมพูนปัญญาความรู้ ให้เข้าใจธรรมะได้แจ่มชัด หมดข้อสงสัยได้ เม่อื เป็นดงั่ น้ี จิตใจย่อมใสสะอาดชุ่มเยน็ เปน็ บุญอย่างแทจ้ รงิ 73
คุณแม่ประนอม สิงหรา ณ อยุธยา เป็นธิดาของคุณหลวงประกาศพิภัชนภาค และคณุ นายปราง ภูมิจติ ร เกิดท่กี รงุ เทพมหานคร เมอ่ื วันท่ี ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๘ ได้สมรสกบั หม่อมหลวงอุทยั สงิ หรา มบี ตุ รและธิดารวม ๗ คน คือ ๑. พล.ต.ต.ณธนนต์ สงิ หรา ณ อยธุ ยา ๒. นางเกตุกานดา สงิ หรา ณ อยธุ ยา ๓. พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยธุ ยา ๔. เอกอคั รราชทตู กลุ กมุ ุท สงิ หรา ณ อยธุ ยา ๕. นางศทุ ธินี สิงหรา ณ อยธุ ยา ๖. นายธีรพล สงิ หรา ณ อยุธยา ๗. นางภารสิ รา สงิ หรา ณ อยุธยา คุณแม่ประนอม เป็นผู้ท่ีด�ำเนินชีวิตอย่างชาวพุทธที่แท้จริง ท่านเป็นคนใจเย็น มีจิตประกอบด้วยเมตตา โอบอ้อมอารี ดูแลอบรมสั่งสอนลูก ๆ จนถึงชั้นหลาน ๆ ให้เป็น คนดี ท่านยึดม่ันในธรรมปฏิบัติตัวอยู่ในประเพณีและศีลธรรมอันดีงาม ปฏิบัติธรรม และสวดมนต์ภาวนาเป็นประจ�ำสม�่ำเสมอ บ�ำรุงพุทธศาสนา ส่ังสมปัญญา สมกับเป็น พุทธศาสนิกชนที่ดี ท่านเป็นผู้ใส่ใจในบุตรหลานอย่างมาก ดูแลอย่างใกล้ชิดไม่ทอดธุระ ยามลูกหลานเจ็บไข้ ก็เฝ้าทะนุถนอมพยาบาลไม่ปล่อยปละละเลย อดทนตรากตร�ำมิได้ พกั ผอ่ น อยเู่ ฝ้าดอู าการตลอดเวลา หาหยูกยาใหร้ บั ประทาน ด้านการอบรมดูแลบุตรหลานของท่าน ก็มีผลให้เป็นประจักษ์ โดยดูได้จาก หลักฐาน คือความส�ำเร็จของบุตรธิดาของท่าน แม้ในรุ่นหลาน ๆ ก็ประสบความส�ำเร็จอีก เชน่ กัน เป็นนกั การทตู บา้ ง เป็นแพทยบ์ า้ ง เปน็ วิศวกรบา้ ง เปน็ ท่นี ่าชน่ื ใจแกผ่ ูใ้ หก้ ารอบรม เป็นอยา่ งยิง่ คุณแม่ประนอมได้ใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าและงดงามตามธรรม จวบจนกระทั่งถึง วาระแห่งอายุขัย เม่ือวันท่ี ๑๙ สิงหาคม ศกน้ี ท่านก็ได้จากพวกเราไปอย่างสงบ โดยที่ นอนหลับแล้วละสังขารน้ีไป ไม่มีอาการเจ็บป่วยใด ๆ มาแผ้วพานเลย เหลือไว้แต่เพียง 74
แบบอย่างของการด�ำเนินชีวิตท่ีดีมีคุณค่า สมควรจะน�ำมาเป็นทิฏญานุคติให้ด�ำเนินตาม รวมสิริอายุได้ ๙๕ ปี ๓ เดอื น ๕ วัน การด�ำเนินชีวิตของคุณแม่ประนอม สอดคล้องกับพระพุทธศาสนสุภาษิตท่ีได้ อญั เชญิ มาเป็นบทอเุ ทศในเบอื้ งต้น อนั แปลความไดว้ ่า ”มารดาบดิ าทง้ั หลายผ้มู คี วามเอ็นดู บุตร เรียกว่าเป็นพรหม เป็นบุรพาจารย์ และเป็นอาหุเนยยบุคคล ของบุตรท้ังหลาย„ ด่ังน้ี และยังได้ตรัสสอนต่อไปอีกว่า ”เพราะเหตุน้ันน่ันแล บุตรผู้ฉลาดพึงนอบน้อม สกั การะท่านด้วยขา้ ว น้ำ� ผ้า ท่นี อน เครือ่ งอบกาย เคร่ืองอาบน�ำ้ และการล้างเท้า เพราะ ว่าการบ�ำรุงบิดามารดาน้ัน บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญบุตรน้ันในโลกน้ีเพียงแม้ภายหลัง ละโลกนี้ไปแล้ว ยอ่ มบันเทงิ ในสวรรค์„ ดัง่ นี้ ข้อแรกที่ว่า มารดาบิดาเป็นพรหมของบุตร หมายความว่า พรหมน้ันมี ๔ หน้า เปรียบว่า มธี รรมะ ๔ ประการ คอื เมตตา ความรกั ใคร่ ปรารถนาจะใหเ้ ป็นสขุ กรณุ า ความสงสาร คดิ ช่วยเหลือใหพ้ น้ ทุกข์ มทุ ติ า ความพลอยยนิ ดี เมื่อผอู้ ่นื ไดด้ ี อุเบกขา ความวางเฉย ไมด่ ใี จไมเ่ สียใจ เมอ่ื ผูอ้ ่ืนได้รับผลของตน ธรรมะท้ัง ๔ ประการน้ี เป็นเคร่ืองอยู่ของผู้ใหญ่ จึงเรียกว่า พรหมวิหารธรรม มารดาบิดาน้ันย่อมมีความรักใคร่ ปรารถนาจะให้บุตรเป็นสุขอยู่เสมอมิเส่ือมคลาย ดูแล อยา่ งดี มิปรารถนาจะให้แมม้ ดแมลงมารบกวน หาอาหารให้กนิ หาทอี่ ยทู่ ่อี าศัย ให้หลับนอน อย่างดีที่สุดเท่าท่ีจะท�ำได้ ให้การศึกษาศิลปะวิทยาต่าง ๆ จะได้มีความรู้ ด�ำรงชีวิตต่อไป ในอนาคต นี้เปน็ เมตตา แม้เมื่อบุตรประสบทุกข์ จะเป็นจากส่ิงใดก็ตาม ก็ต้องพยายามปัดเป่า หาวิธีการ ต่าง ๆ ท่ีจะคลายทุกข์ให้แก่บุตร บุตรพลาดพล้ัง ล้มลง ก็หายาทาแก้ฟกชำ้� ร้องไห้เสียใจ ก็จะปลอบโยนให้หายโศกเสยี ใจ อยู่เคียงขา้ งคอยแกไ้ ขปัญหาตา่ ง ๆ ใหเ้ สมอ นเ้ี ป็นกรณุ า 75
หากบุตรประสบความส�ำเร็จ ได้รับความสุขสบาย ได้ลาภ ได้ยศ ได้สรรเสริญ ก็มีจิตมุทิตา พลอยดีใจกับบุตรด้วยเสมอ ไม่เคยริษยาในความส�ำเร็จของบุตรเลย ย่อม จะชื่นชมโสมนัส ยกย่องใหป้ รากฏแกส่ ังคมโดยทั่วกนั นเี้ ปน็ มุทิตา เม่ือบุตรด�ำเนินชีวิตไปได้ดีแล้ว ย่อมเกิดความวางใจ เป็นอุเบกขา คอยดูอยู่ห่าง ๆ ไม่เข้าไปวุ่นวายอะไร ๆ แต่พร้อมจะเข้าไปสนับสนุนช่วยเหลือ เม่ือเกิดความต้องการข้ึนมา น้เี ปน็ อุเบกขา ดังนี้ จงึ ตรัสเอาไวว้ า่ มารดาบดิ า เป็นพรหมของบุตรท้งั หลาย ขอ้ ที่ ๒ ทวี่ า่ มารดาบดิ าเปน็ บรุ พาจารย์ คอื อาจารยค์ นแรกของบตุ รนนั้ หมายความ ว่าตั้งแต่บุตรเกิดมา ย่อมต้องประคับประคองเลี้ยงดู คอยอบรมสั่งสอนอยู่เป็นนิจว่า สิ่งนั้น เป็นอะไร ส่งิ น้ีคอื อะไรสอนให้เดนิ สอนให้น่งั โดยจัดทา่ ทางให้บ้าง ประคองเป็นหลกั ให้เกาะ เพอื่ ยนื เดนิ บ้าง สอนใหร้ ู้จกั รบั ประทานสงิ่ ตา่ ง ๆ ไมใ่ หร้ ับประทานสงิ่ ทีเ่ ปน็ พิษมีโทษ เหลา่ นี้ เป็นต้น จนถึงสอนให้รู้จักพูด เจรจาภาษาท่ีไพเราะน่ารัก ตั้งแต่สอนให้เรียกแม่ เป็นต้น ส่วนครูอาจารย์คนอ่ืน ๆ ย่อมมาในภายหลังท้ังสิ้น บุตรย่อมได้เล่าเรียนความรู้ ศิลปะวิทยา ต่าง ๆ แม้คุณธรรมความดีต่าง ๆ ท่ีอุปัชฌาย์อาจารย์อบรมส่ังสอนให้ ก็รับมาภายหลังจาก มารดาบิดาท้ังส้ิน เพราะเหตุนี้ จึงเรียก มารดาบิดาว่า บุรพาจารย์ของบุตรทั้งหลาย ด้วย เหตทุ เ่ี ปน็ ผ้สู อนเปน็ คนแรกก่อนกว่าใคร ๆ ทัง้ สิ้น ขอ้ ที่ ๓ ทว่ี า่ มารดาบดิ าเป็น อาหุเนยยบคุ คลของบุตร คำ� ว่า อาหุนะ น้ี หมายถึง สิ่งของที่น�ำมาบูชา มีข้าว น�้ำ ผ้าส�ำหรับปกปิดร่างกายเป็นต้น มารดาบิดาย่อมควรแก่ของ บูชานั้น เพราะเป็นผู้มากล้นไปด้วยอุปการคุณที่ได้ท�ำไว้แล้วแก่บุตร อย่างยากที่จะหาผู้ใด มาเสมอเหมือนได้ ดังนั้นบุตรจึงควรจะต้องบูชามารดาบิดา ด้วยสิ่งของอันสมควรต่าง ๆ เลี้ยงดูอุปการะตอบแทนคุณของท่าน ปรนนิบัติท่านอย่างสูงสุดย่ิงกว่าผู้ใดท้ังสิ้น มารดา บิดา จงึ ชื่อว่าเปน็ อาหุเนยยบุคคลของบตุ ร 76
จากท่ีกล่าวมาแล้วนี้ มารดาบิดาเป็นพรหมของบุตร เป็นบุรพาจารย์ คือ อาจารย์ ผู้ส่ังสอนคนแรกของบุตร เป็นอาหุเนยยบุคคล คือ บุคคลผู้ควรได้รับการบูชายกย่อง เชิดชู ของบุตร เม่ือบุตรธิดาท้ังหลายได้ตระหนักถึงความมีคุณของมารดาบิดาเช่นน้ีแล้ว ต้องเลี้ยงดูเอาใจใส่ ปรนนิบัติท่านเป็นการตอบแทนด้วยกตัญญูกตเวทิตาธรรม ด่ังท่ี สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอนสิงคาลมาณพ ผู้ก�ำลังไหว้ทิศ ๖ อยู่อย่างผิดวิธีให้ กลับมาไหว้ คือ ปฏบิ ัติอยา่ งถกู ต้องถูกวธิ ี ซง่ึ ๑ ใน ๖ ทิศนั้น คอื ทศิ เบือ้ งหน้า อนั ได้แก่ มารดาบิดา พระองคท์ รงสอนให้ปฏิบัติ ๕ ประการดังน้ี คือ ๑. ท่านได้เล้ยี งดมู าแล้ว ต้องเล้ยี งท่านตอบแทน ข้อนี้หลายคนยังปฏิบตั ิไปเพียง ครึ่งเดียว คือดูแลเฉพาะร่างกาย การกินอยู่หลับนอน แต่ไม่ได้ดูแลอีกครึ่งหน่ึง คือจิตใจ ของท่าน บุตรธิดาควรไปหาสม�่ำเสมอ ให้ความรักใคร่สนิทสนม สนทนาปราศัย ใช้เวลา อยู่กับท่านให้ท่านได้ช่ืนใจ เป็นน้�ำหล่อเล้ียงใจของท่านผู้ล่วงกาลผ่านวัยมาจนร่างกาย คร่�ำคร่าทรุดโทรม เบียดเบียนจิตใจให้เบื่อหน่ายร�ำคาญ แต่หากมีบุตรหลานเข้าไปหา สนทนาดว้ ย ย่อมสร้างความเบิกบานใจ ให้ท่านมีจติ แจ่มใสเบกิ บานได้ ๒. ท�ำกจิ ของท่าน มารดาบิดามีกิจการใด ๆ หรอื มีธุระส่งิ ใดเกดิ ขึน้ บุตรธดิ ายอ่ ม ต้องเขา้ ไปจดั ท�ำแทนทา่ นไม่ตอ้ งใหท้ ่านลำ� บากกาย ล�ำบากใจไปท�ำด้วยตนเอง ๓. ด�ำรงวงศ์ตระกูล นี่เป็นเร่ืองส�ำคัญ ชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลต้องรักษาเอาไว้ ใหด้ ี ซงึ่ เป็นส่งิ ทีท่ �ำไดย้ าก เพราะมากคนกม็ ากพฤตกิ รรม ดังนี้ ตอ้ งสรา้ งจติ สำ� นึกท่ีตนเอง ก่อนเป็นบุคคลแรก แล้วแผ่ออกไปสู่คนใกล้ชิด มีพี่น้อง บุตรหลานเป็นล�ำดับไป เม่ือ ทกุ ๆ คนมจี ิตสำ� นกึ ท่ีดี ยอ่ มทำ� ดี ผลรวมของวงศ์ตระกูลยอ่ มเป็นผลดอี ย่างแนน่ อน ๔. ประพฤติตนให้เป็นคนควรรับทรัพย์มรดก ในข้อน้ี ย่อมเห็นได้ชัดเจนแล้ว บุตรท่มี นี สิ ัยไม่เรียบร้อย เกเร เลน่ การพนนั ใครเลยจะอยากมอบทรพั ย์มรดกให้ ย่อมเปน็ ท่ีคาดเดาได้ว่า ทรัพย์ที่มอบให้ไปย่อมสูญสิ้นในเวลาอันสั้น ไม่อาจยืนยาวไปถึงอนุชน คนรุ่นหลังได้ หากมารดาบิดาพิจารณาไปแล้ว ไม่เห็นผู้เหมาะสมควรรับทรัพย์มรดก 77
ต่อจากท่าน จิตใจของท่านย่อมเดือดร้อน เศร้าหมอง หมดความสุข แต่หากเห็นผู้สมควร เป็นท่ีไว้วางใจได้ว่า จะรักษาทรัพย์มรดกของตระกูลให้ยืนนาน ตกทอดถึงรุ่นลูกหลาน ได้ตอ่ ๆ ไป จิตใจของทา่ นยอ่ มปลาบปลื้ม มีความสุขสงบอย่างแน่นอน ๕. เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ท�ำบุญอุทิศให้ท่าน ข้อน้ีเป็นหน้าท่ีของผู้อยู่เบื้องหลัง พึงกระท�ำในเวลาที่ท่านล่วงลับไปแล้ว เป็นการแสดงความส�ำนึกกตัญญูรู้คุณของท่าน และ แสดงกตเวที กระท�ำให้ปรากฏแก่ชาวโลกว่า เรายังระลึกถึงอุปการคุณท่ีได้รับจากท่าน อย่างมิรู้ลืมเลือนเลย และทุกคร้ังที่ท�ำบุญอุทิศแก่ท่าน ย่อมเป็นการเพิ่มบุญกุศลให้แก่ ตนเองอยา่ งแน่แท้ เพราะหลักของกรรมน้ันผู้ท�ำจะตอ้ งเปน็ ผู้ได้รับผลของการกระท�ำน้นั เรา เป็นผู้ท�ำบุญเอง เราย่อมเป็นผู้รับวิบาก คือผลของบุญนั้นเองอย่างแน่นอน ส่วนผู้ท่ีเรา อุทศิ ใหน้ น้ั ต้องรบั รแู้ ละอนุโมทนา ซึง่ น้ีก็เป็นการกระท�ำอนโุ มทนา ดว้ ยจติ ใจของผูล้ ว่ งลบั นั้นเอง เป็นการกระท�ำทางมโนทวาร คือ ท�ำทางใจ ท่านย่อมเป็นผู้ได้รับผลบุญ แห่ง การอนุโมทนานนั้ เอง เช่นกัน ดังที่ได้อรรถาธิบายมานี้ มารดาบิดาเป็นบุพการีของบุตร คือบุคคลผู้กระท�ำ อุปการคุณให้แก่บุตรก่อนต้ังแต่ยังเป็นทารกแรกเกิด ก็ต้องดูแลเอาใจใส่ ปรนนิบัติพัดวี หากไม่มีมารดาบิดา ก็จะต้องมีบุคคลอ่ืนน�ำไปเล้ียงดู หาอาหารให้รับประทาน ท�ำร่างกาย ให้อบอุ่น เป็นต้น ซึ่งก็นับเข้าในบุพการีได้เช่นกัน หากไม่มีบุพการีแล้ว เพียงปล่อยไว้ ตามลำ� พงั ไมด่ ูแล ทารกทัง้ หลาย จะมชี วี ิตต่อไปไมไ่ ดเ้ ลย ในส่วนของบุตรท้ังหลาย เม่ือได้รับอุปการคุณจากมารดาบิดาแล้ว ต้องระลึกนึกถึง คุณของท่านได้ว่าท่านได้กระท�ำส่ิงใดให้เราไว้บ้าง ซ่ึงเรียกว่า กตัญญู รู้คุณของท่าน เมื่อ รคู้ ุณเพียงอยา่ งเดียว ยงั ไม่นบั ไดว้ ่าเปน็ คนดี ต้องมกี ตเวที คือการกระท�ำแสดงความรคู้ ณุ ของท่านให้ผู้อื่นได้รับทราบ หรือท่ีรู้จักกันโดยท่ัวไปว่า การกระท�ำตอบแทนคุณ ซึ่งเรียกว่า กตเวที สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเอาไว้ว่า บุคคลผู้หาได้ยากในโลกน้ีมี ๒ ประเภทคือ ๑. บุพการี บุคคลผูท้ ำ� อุปการะก่อน ๒. กตญั ญูกตเวที บุคคลผรู้ ้อู ปุ การะท่ที า่ นทำ� แลว้ แก่ตน และกระทำ� ตอบแทน 78
นี้เป็นความงดงามตามครรลองของพุทธวิถี ระหว่างมารดาบิดาและบุตรธิดา ซึ่ง คุณแม่ประนอม สิงหรา ณ อยุธยา และบุตรธิดาหลาน ๆ ได้ประพฤติต่อกันและกันอย่าง สมบูรณ์ยง่ิ ตามทกี่ ลา่ วมานี้ทกุ ประการ นอกจากที่กล่าวมาแล้วนี้ จะขอกล่าวให้ยิ่งข้ึนไปอีกหน่อยหนึ่ง ถึง จริยวัตร ข้อประพฤติปฏิบัติของคุณแม่ประนอม ตามนัยแห่งพระพุทธศาสนสุภาษิต อันมีมาใน คัมภรี ส์ ุตตนั ตปิฎก สังยตุ ตนกิ าย สคาถวรรค ว่า มาตา มิตตฺ ํ สเก ฆเร (ส.ํ ส. ๑๕/๑๖๓/๕๐) ซึ่งแปลความไดว้ ่า มารดาเปน็ มติ รในเรอื นตน ดงั่ น้ี หมายความวา่ บตุ รอาศัยอยู่ ในบ้านเรอื นนัน้ ๆ ใด มารดาผอู้ ยู่ในบา้ นเรือนนัน้ ๆ ยอ่ มเป็นมิตรของบตุ รในเรอื นที่อาศยั อยู่ด้วยกัน เหตุไฉน พระพุทธองค์จึงตรัสว่า เป็นมิตร คือเป็นเพ่ือน? เฉลยว่า ศัพท์ค�ำว่า มิตร น้ี ทางภาษาบาลมี ีวิเคราะหศ์ ัพทไ์ ว้ แปลความวา่ ผู้รกั ใครก่ นั ชอ่ื ว่ามติ ร, ผคู้ บหากนั ชื่อว่ามิตร, ผู้ผูกพันกับญาติคนอื่น ๆ ของตน ช่ือว่ามิตร, และยังได้มีวิเคราะห์ศัพท์ค�ำว่า เมตตา ไว้ว่า ความรักท่ีมีอยู่ในมิตร ช่ือว่าเมตตา หรือชื่อว่าไมตรี ซึ่งสรุปได้ว่า เมตตา ก็คือไมตรี คือสิ่งที่มิตรมีอยู่ในตนน่ันเอง มารดาเป็นผู้รักใคร่บุตรธิดาผู้อยู่ด้วยกันน้ัน จะคิดจะพูดจะท�ำ ก็มีเมตตาปรารถนาจะให้บุตรธิดามีความสุข จึงนับได้ว่า เป็นมิตรใน เรือนไดอ้ ย่างแทจ้ รงิ จะหามิตรอ่ืนเสมอเหมือนไดย้ าก ในคมั ภรี ์สุตตันตปิฎก ทีฆนกิ าย ปาฏิกวรรค พระพุทธองคท์ รงแสดงว่า มติ รแทม้ ี ๔ จ�ำพวก คอื ๑. มิตรมอี ุปการะ ๒. มิตรร่วมสุขรว่ มทุกข์ ๓. มติ รแนะประโยชน์ ๔. มติ รมคี วามรักใคร่ 79
เราจะรู้ได้อย่างไรว่า บุคคลผู้นี้เป็นมิตรแท้หรือมิตรเทียม? ในเรื่องน้ี พระพุทธองค์ทรง แสดงลกั ษณะของมิตรแทแ้ ตล่ ะจำ� พวกเอาไว้ ดังนคี้ อื จ�ำพวกท่ี ๑ มติ รมอี ุปการะ มีลกั ษณะใหร้ ้ไู ด้ ๔ ประการคอื ๑. ป้องกันเพื่อนผู้ประมาทแล้ว เมื่อเพื่อนประมาท คือ มัวเมา หลงผิด เลินเล่อ เผลอเพลินไปในเรื่องที่ผิดพลาดในเรื่องท่ีไม่สมควร เพ่ือนย่อมจะช่วยตักเตือนสติ ให้ข้อคิด พิจารณา หรือกระทำ� การปอ้ งกันไม่ให้เกดิ ความเสยี หายก่อนจะเกิดขน้ึ จริง ๒. ป้องกันทรัพย์สินของเพื่อนผู้ประมาทแล้ว เพื่อนบางคนมักประมาทลืมสติ ไม่ได้เก็บ รักษาทรัพย์สมบัติอย่างเหมาะสม ซ่ึงอาจเสียหายได้ ผู้เป็นเพ่ือนย่อมท�ำการป้องกันรักษาให้ เช่น เขาลืมสิ่งของเอาไว้ ก็จะช่วยเก็บรักษาไว้ให้ หรือเขาไม่ได้ปิดประตูลงกลอนให้แน่นหนา ก็จะช่วย เฝ้าหรอื ชว่ ยปิดให้ ๓. เม่ือมีภัย เป็นท่ีพึ่งพ�ำนักได้ เพื่อนที่ไม่แท้ เม่ือเกิดภัยมาถึงเพื่อน ย่อมละท้ิงไป ในทันที เพราะกลัวภัยจะมาถึงตน แต่เพ่ือนแท้ย่อมเข้าไปดูแลช่วยเหลือ แก้ไข ให้สิ่งร้าย กลับกลายเป็นดี หรือผ่อนหนกั ให้เปน็ เบา ๔. เม่ือมีธุระ ช่วยออกทรัพย์ให้เกินกว่าท่ีออกปาก มิตรแท้ย่อมรักใคร่มิตรอย่างมาก เห็นธรุ ะของเพอ่ื นเหมอื นธรุ ะของตน ย่อมทำ� การชว่ ยเหลอื กระทำ� สดุ ก�ำลังความสามารถ ลักษณะตามที่กล่าวมาท้ัง ๔ ประการน้ี คุณแม่ประนอมมีอยู่ในตน และน�ำมาประพฤติ ปฏบิ ตั ิอย่างครบถ้วน สมกบั ทเ่ี ปน็ มิตรมอี ปุ การะในเรอื นตนของบุตรทงั้ หลาย จ�ำพวกท่ี ๒ มติ รร่วมสุขรว่ มทุกข์ มีลกั ษณะให้รไู้ ด้ ๔ ประการ คอื ๑. ขยายความลับของตนแก่เพ่ือน หมายถึง ความไว้วางใจซึ่งกันและกัน เร่ืองท่ีควร เป็นความลับไม่ให้ผู้ใดรู้ ก็สามารถบอกแก่กันได้ เม่ือจะต้องการช่วยเหลือยังมีเพ่ือนที่รู้ว่า อะไร เป็นอะไรเช่น บอกท่ีซ่อนของทรัพย์ เป็นต้น เมื่อขัดสน หรือล�ำบาก เพ่ือนยังสามารถไปนำ� มา ใหแ้ กเ่ ราได้ ดงั่ นเ้ี ป็นตน้ 80
๒. ปิดความลับของเพ่ือนไม่ให้แพร่งพราย ข้อน้ีก็ส�ำคัญ หากรับรู้ความลับของเพื่อน แล้ว ท�ำให้ความลับร่ัวไหล ย่อมจะเกิดผลเสียหรืออันตรายแก่เพ่ือนได้ จึงต้องรักษาความลับ น้ัน ๆ ไว้ เสมอื นกับเปน็ ความลับของตนเองทเี ดยี ว ๓. ไม่ละท้ิงในยามวิบัติ ในเวลามีความสุข ก็ร่วมสุขด้วยกัน แต่เวลาตกทุกข์ได้ยาก คนส่วนมากจะสลัดท้ิงทันที อย่างนี้ไม่ใช่มิตรแท้ มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์จะต้องสุขก็สุขด้วยกันได้ เวลาทุกข์ก็อยู่ร่วมกันเผชิญ ร่วมกันต้านทานเป็นก�ำลังกายก�ำลังใจให้แก่กันและกัน อย่างน้ีจึงจะ เปน็ มิตรแท้ ๔. แม้ชีวิตก็อาจสละแทนได้ ลักษณะของมิตรแท้ประเภทนี้ ไม่ยอมสละเพ่ือน ถึงจะ มีภัยอันตรายใหญ่หลวงเพียงใด ก็จะร่วมฝ่าฟันไม่ทอดทิ้ง แม้เล็งเห็นอันตรายถึงชีวิตตน ก็ ไมก่ ลัว ตอ้ งเขา้ ไปชว่ ยเหลือเพื่อนใหพ้ ้นภยั กอ่ น ตัวอยา่ งเช่น ในเวลาไฟไหม้ มีเพื่อนติดอยขู่ า้ งใน ต้องเสียชีวิตอย่างแน่นอน เพื่อนแท้ยอมสละชีวิตของตน ฝ่ากองเพลิงเข้าไปช่วยเพื่อนข้างในน้ัน ซง่ึ บางคราวกพ็ ากนั ออกมาไดท้ ง้ั ๒ คน แตบ่ างคราวกไ็ ม่ได้ ดง่ั น้ี ลักษณะตามที่กล่าวมาทั้ง ๔ ประการนี้ คุณแม่ประนอมมีอยู่ในตน และน�ำมาประพฤติ ปฏิบตั อิ ยา่ งครบถว้ น สมกับทเี่ ปน็ มิตรรว่ มสขุ ร่วมทุกข์ในเรอื นตนของบุตรทง้ั หลาย จ�ำพวกท่ี ๓ มิตรแนะประโยชน์ มีลกั ษณะใหร้ ไู้ ด้ ๔ ประการ คอื ๑. ห้ามไม่ให้ท�ำความชั่ว เมื่อบุคคลหลงผิดมัวเมาท�ำความชั่ว เดินไปในทางอกุศล มิตรแท้ย่อมห้ามปราม ชักชวนให้ละท้ิงความช่ัว เลิกประกอบกระท�ำ เช่น เรื่องการละเมิดศีล ต่าง ๆ รู้เข้าก็เข้าไปหาชวนให้ท้ิงเสีย หรือเห็นเพื่อนมัวเมาหลงอยู่ในอุบายมุขมีด่ืมสุรา เล่น การพนัน ก็มาชักชวนให้เลิกเป็นตน้ ๒. แนะน�ำให้ต้ังอยู่ในความดี เพ่ือนประเภทนี้ นอกจากจะห้ามเพ่ือนไม่ให้ท�ำชั่วแล้ว ย่อมจะชักชวนมาในทางบุญทางกุศล แนะน�ำให้ช่วยเหลือผู้อื่น ช่วยเหลือสังคม ให้ทานแก่ ผู้ยากไร้ แนะนำ� ให้รักษาศลี เจรญิ ภาวนา พาเขา้ หาสมณพราหมณผ์ ู้ประพฤติดปี ฏบิ ัติชอบ 81
๓. ให้ฟังสิ่งท่ียังไม่เคยฟัง เม่ือพาเข้าหาสมณพราหมณ์ ย่อมได้ฟังเรื่องที่เป็นประโยชน์ เก้ือกูลให้ความสุขความเจริญ หรือบอกเล่าสิ่งท่ีดี ๆ ท่ีถูกต้องตามท�ำนองคลองธรรม ให้เป็น แนวทางประพฤติปฏิบตั ิได้ ๔. บอกทางสวรรค์ให้ เม่ือห้ามท�ำช่ัว แนะน�ำให้ท�ำดี ให้ฟังส่ิงท่ียังไม่เคยฟัง ย่อมเป็น การบอกทางไปสสู่ วรรคใ์ หน้ นั่ เอง ลักษณะตามท่ีกล่าวมาทั้ง ๔ ประการน้ี คุณแม่ประนอมมีอยู่ในตน และน�ำมาประพฤติ ปฏบิ ัติอย่างครบถว้ น สมกับทเ่ี ป็นมิตรแนะประโยชน์ ในเรอื นตนของบตุ รท้งั หลาย จ�ำพวกท่ี ๔ มิตรมีความรักใคร่ มีลกั ษณะใหร้ ไู้ ด้ ๔ ประการ คือ ๑. ทกุ ข์ ๆ ดว้ ย ๒. สขุ ๆ ดว้ ย ทั้ง ๒ ข้อนี้เห็นได้ชัดเจนว่า มิตรผู้มีความรักใคร่กันนั้น เม่ือมิตรมีความทุกข์เกิดข้ึน ยอ่ มรสู้ กึ เหมอื นความทกุ ขน์ ้ันเป็นของตนด้วย เมอ่ื มติ รมีความสุข ยอ่ มรู้สึกดี ๆ มีมทุ ิตาพลอยยินดี ไม่รษิ ยาในความสขุ ของเพื่อน มคี วามเปน็ นำ�้ หน่งึ ใจเดยี วกัน ๓. โต้เถียงคนที่พูดติเตียนเพ่ือน มิตรแท้นั้น เม่ือมีผู้มาพูดติเตียนเพ่ือนของตน ย่อม โตแ้ ยง้ แกต้ ่างใหก้ บั เพื่อน ไม่ปลอ่ ยให้เพ่ือนถกู ตเิ ตียนให้เสียหายโดยฝา่ ยเดียว ๔. รับรองคนท่ีพูดสรรเสริญเพ่ือน เม่ือมีผู้มาพูดสรรเสริญเพ่ือนของตน ย่อมแสดง ความเห็นสนับสนุน ยืนยันในความดีของเพ่ือนให้หนักแน่นม่ันคงยิ่ง ๆ ขึ้นไป สร้างความน่าเชื่อถือ และฐานะทางสังคมให้สงู ย่งิ ข้ึน เปน็ ประโยชน์แกเ่ พื่อนของตน ลักษณะตามท่ีกล่าวมาทั้ง ๔ ประการน้ี คุณแม่ประนอม มีอยู่ในตนและน�ำมาประพฤติ ปฏิบัตอิ ย่างครบถ้วน สมกับทเี่ ปน็ มิตรมีความรกั ใคร่ ในเรอื นตนของบตุ รทงั้ หลาย 82
เม่ือรวมลักษณะทั้ง ๔ ของมิตร ๔ ประเภทนี้แล้ว ย่อมเห็นได้ประจักษ์ชัดว่า พระพุทธศาสนสุภาษิตท่ีว่า มาตา มิตฺตํ สเก ฆเร มารดาเป็นมิตรในเรือนตน ด่ังนี้ เป็นความจริง อยา่ งไมอ่ าจจะโต้แย้งได้เลย คุณแม่ประนอม สิงหรา ณ อยุธยา เป็นพุทธศาสนิกชน ด�ำรงตนอยู่ในครรลองของ ธรรมะในพระพุทธศาสนา อย่างแท้จริง ตั้งแต่เกิดจนอวสานแห่งชีวิต พัฒนาจิตใจไปตามทางที่ พระสมั มาสัมพุทธเจา้ ทรงแสดงไว้ คือ ทาน ศีล ภาวนา มไิ ด้เหนิ หา่ งพระพทุ ธศาสนา ท�ำชีวิตท่ีได้ ก�ำเนิดมาเป็นมนุษย์ในชาติน้ีให้เป็นชีวิตที่ดีมีประโยชน์ ไม่เป็นชีวิตท่ีว่างเปล่า ท่ีเรียกว่า โมฆชีวิต ต้งั ตนอยู่ในสุจรติ ทง้ั ๓ คอื สจุ รติ กาย สจุ ริตวาจา สุจรติ ใจ สม�่ำเสมอมา ท่านได้ท�ำหน้าท่ีเป็นพรหม เป็นบุรพาจารย์ เป็นอาหุเนยยบุคคล ของบุตรได้อย่าง ครบถ้วนบริบูรณ์ มิได้บกพร่องแม้แต่น้อย สมตามพระพุทธศาสนสุภาษิตท่ีลิขิตไว้ เป็นบทอุเทศ ในเบ้ืองต้น แม้ท่านจะละโลกนี้ไปแล้ว แต่ด้วยกุศลผลบุญท่ีท่านได้สั่งสมไว้ ย่อมเป็นท่ีแน่ใจว่า ทา่ นตอ้ งมีสุคติ เป็นทไ่ี ปในเบือ้ งหน้าอย่างแนน่ อน ฉะน้แี ล เทศนาปริโยสาเน ในที่สุดแห่งพระธรรมเทศนานี้ ด้วยอานิสงส์แห่งกุศลบุญราศีทักษิณา นุประทาน ท่ีท่านผู้เป็นบุตรหลานพร้อมทั้งญาติมิตรมีจิตร่วมกับบ�ำเพ็ญเป็นเจ้าภาพ กระท�ำอุทิศ เจาะจงประสงค์ให้ส�ำเร็จแก่ คุณแม่ประนอม สิงหรา ณ อยุธยา จงมารวมกันเป็นพลวปัจจัย อ�ำนวยอิฏฐวบิ ลู ยม์ นุญญผล ดลบนั ดาลใหส้ ำ� เร็จในสคุ ติโลกสวรรคส์ ัมปรายภพ สมเจตนาปรารภ ของท่านเจ้าภาพ จงทุกประการเทอญ แสดงพระธรรมเทศนามา ก็พอสมควรแก่เวลา ขอยุติลง คงเนื้อความไว้แต่เพียงเท่าน้ี เอวงั กม็ ดี ้วยประการฉะนี้ 83
กตัญญูกตเวทิตากถา โดย พระเทพปฏิภาณวาที (สุนทร ญาณสุนฺทโร) วัดสุทัศนเทพวราราม ณ ศาลาชวลิตธ�ำรง วัดธาตุทอง วันท่ี ๒๖ สิงหาคม ๒๕๖๓ นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมมฺ าสมฺพทุ ธฺ สสฺ นโม ตสสฺ ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมพฺ ทุ ฺธสฺส มาตาปติ ุอุปฏฺ านํ เอตมฺมงฺคลมุตตฺ มนตฺ ิ ณ โอกาสบัดน้ีอาตมภาพจะได้แสดงพระสัทธรรมเทศนา เน่ืองในการบ�ำเพ็ญกุศล ทักษิณานุปทานกิจ เป็นการบ�ำเพ็ญกุศลเพ่ือบูชาและอุทิศต่อสรีระร่างและดวงจิตของ คุณแม่ประนอม สิงหรา ณ อยุธยา ซึ่งเรียกตามลูกว่า ”คุณแม่„ ได้ละสังขารไปแล้วด้วย สิริอายุประมาณ ๙๖ ปี นับว่าเป็นการละสังขารเรียกว่า ”สิริอายุ„ เพราะอายุขนาดน้ี ก็นับเป็นสิริ ท่านได้จากไปแล้วด้วยสิริอายุดังกล่าวมาแล้วน้ี ลูก ๆ ทุกคนท่ีเป็นลูกของ คุณแม่ประนอมและคุณพ่ออุทัย สิงหรา ณ อยุธยา ได้มีสมานฉันท์ร่วมกันว่าควรน�ำศพ ของคุณแม่มาตั้งบ�ำเพ็ญกุศล ณ วัดธาตุทอง แห่งน้ี เป็นการปฏิบัติกิจเก่ียวกับการศพให้ ครบถ้วนตามประเพณีวิถีพุทธ เม่ือคุณแม่จากไปแล้ว ทุกคนท่ีเกี่ยวข้องก็...ระงับโศก ตั้งศพ แจ้งข่าวสารก�ำหนดการบ�ำเพ็ญกุศล นิมนต์พระมาเทศน์มาสวด บวชหน้าไฟ ปลงใจ ปลงศพ... 85
การระงับโศกเป็นเรื่องส�ำคัญแม้ว่าท่านทั้งหลายท่ีเป็นลูก ๆ จะเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว บรรลุนิติภาวะเรียกว่าเป็นผู้หลักผู้ใหญ่กันแล้ว แต่อย่างไรเสียก็ตามเม่ือคนรักจากไป ทุกคนก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกัน เด็ดผลไม้จากต้นไม้เรายังเห็นยางคือความอาลัยระหว่าง แม่กับลูก เดด็ มะม่วงมาหนึง่ ผลน�้ำตาแมก่ ็ไหลเป็นยางขาว ๆ น�ำ้ ตาลกู ก็ไหลเปน็ ยางขาว ๆ เด็ดบัวเห็นยางแล้วสาวไปเห็นใย ความสัมพันธ์ผูกพันในฐานะเป็นแม่เป็นลูกนั้นมีความ ลกึ ซงึ้ ซงึ่ หากทา่ นท้งั หลายได้สูญเสียมารดาหรอื แมไ่ ปแลว้ คงจะมีความรสู้ กึ เหมอื น ๆ กัน เร่ืองการร้องไห้กับน�้ำตาไหลเป็นเร่ืองแตกต่างกัน เป็นเรื่องของความซาบซึ้งที่ แตกต่างกัน รู้สึกซ้ึงก็น้�ำตาไหลได้ไม่ต้องร้องไห้ เจ้าประคุณหลวงพ่อปัญญานันทะซ่ึงได้ ถึงแก่มรณภาพไปแล้ว ท่านพูดเสมอว่าเม่ือเวลาท่านไปประเทศอินเดีย ได้ไปไหว้พระพุทธรูป ปางปรินพิ พานแลว้ สวดพระอภิธรรมและสวดธัมมนิยามครง้ั ใด น�้ำตาของทา่ นกไ็ หลทกุ ครง้ั และไหลคร้ังละมาก ๆ ถามว่าท่านร้องไห้ไหม ท่านก็ตอบว่าท่านไม่ได้ร้องไห้ แต่เรียก สามัญว่าร้องไห้ แต่มันเอิบอ่ิมปีติในค�ำสอนและพระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธเจ้าที่ ทรงมีต่อทา่ น และท่านก็ถวายตวั เปน็ พุทธบตุ รตลอดชวี ติ ดังน้ันลูก ๆ ของคุณแม่ประนอมถึงแม้ว่าจะได้ชื่อว่าเป็นผู้หลักผู้ใหญ่แล้ว เรื่อง การเสียน้�ำตาก็เป็นเรื่องท่ีอดไม่ได้ บรรดาหลาน ๆ เหลน ๆ มีความผูกพันเขาก็ร้องไห้ นอกจากจะระงับโศกแล้วเขาจะได้มีก�ำลังมีสติปัญญาจัดแจงการศพ น�ำศพมาต้ังที่วัด ธาตุทอง แห่งน้ี จากนั้นก็แจ้งข่าวสารไปยังท่านทั้งหลาย ทางหนังสือพิมพ์บ้าง ทาง สื่อสารมวลชนบ้าง ใครสนิทชิดเชื้อก็แจ้งไปทางไลน์บ้าง เพ่ือบอกให้รู้ว่าคุณแม่จากไปแล้ว เรียกว่าแจ้งข่าวสาร ก�ำหนดการบ�ำเพ็ญกุศลว่าควรจะจัดก่ีวัน ในงานน้ีก็ก�ำหนดไว้ว่าจนถึง วันนี้แล้วจะปิดศพเอาไว้ก่อนเพ่ือเตรียมความพร้อมซ้อมสิ่งท่ีจะพึงท�ำ ถามว่าท�ำไมต้อง เตรียมความพร้อม? เพราะบางทีใจไม่พร้อม ใจไม่พร้อมเป็นสมานฉันท์ ถ้าลูกพร้อมแต่ว่า หลาน ๆ ไม่พร้อม คนอื่นก็ไม่พร้อม จะจัดแจงให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดด้วยการฌาปนกิจ เสียเลย ก็เป็นการหักหาญน�้ำใจกัน จะสร้างความร้าวฉานโศกเศร้าให้เกิดขึ้น ดังน้ันการ 86
มีสมานฉันท์จึงมีความส�ำคัญ จึงได้เก็บศพไว้แบบนี้เรียกว่าบรรจุศพไว้ จากนั้นก็นิมนต์ พระมาเทศน์มาสวด พระมาเทศน์มาสวดแล้ว ถ้าฌาปนกิจก็บวชหน้าไฟ แต่ในการน้ีลูก ๆ คงไม่ต้องบวชหน้าไฟเพราะว่ามีบรรดาพระมหาเถระ พระเถรานุเถระได้มางานศพพร้อม บริบรู ณแ์ ลว้ ในวันน้ี พระเดชพระคุณเจ้าคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดไตรมิตรวิทยาราม กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก มาเป็นประธานมาด้วยใจ เหตุ เพราะว่าท่านทูตซ่ึงเป็นลูกชายได้ดูแลพระสงฆ์เวลาไปต่างประเทศ บรรดาลูก ๆ ที่เป็นต�ำรวจ ก็ดูแลพระสงฆ์องค์เจ้าตามวัดต่าง ๆ ที่ไปปฏิบัติหน้าท่ีจนถึงเติบโตเป็นต�ำรวจชั้นผู้ใหญ่ มีสมเด็จมาแล้วทราบว่า ๓ รูป นับจากวันนี้ไปก็คือสมเด็จพระพุฒาจารย์ สมเด็จ พระมหาวรี วงศ์ เลขานุการสมเด็จพระสงั ฆราช สมเดจ็ พระวันรัต วัดบวรนิเวศ มี ๓ สมเด็จ ก็อ่ิมบุญอ่ิมใจของคณะเจ้าภาพ เป็นท่ีเอิบอิ่มใจของดวงวิญญาณของคุณแม่ท่ีจากไปแล้ว เพราะฉะน้ันพระรูปอื่น ๆ เล่าที่ท่านสนิทชิดเชื้อกับตระกูลนี้ครอบครัวนี้ท่านก็มากัน และ ในวันบ�ำเพ็ญกุศลก่อนพระราชทานเพลิงศพก็จะมากันอย่างหนาแน่น น่ีก็คือการท่ีเรา ไม่ต้องบวชหน้าไฟก็ได้ เพราะมีพระเถรานุเถระมาเป็นประธานอยู่แล้ว จากนั้นก็ปลงใจ ปลงศพ นคี่ อื กิจอันลกู ๆ ไดพ้ งึ กระทำ� เกือบจะครบถ้วนบรบิ ูรณท์ ส่ี ุดแลว้ ในวันน้ีในการบ�ำเพ็ญกุศลเพ่ือเก็บศพหรือปิดศพไว้ก่อนนั้น เจ้าภาพประสงค์ให้มี การแสดงพระธรรมเทศนา โดยศึกษาจากพระธรรมค�ำส่ังสอนของพระพุทธเจ้าว่า... อันบุคคลที่เกิดมานี้จะท�ำบุญอะไรก็แล้วแต่ ท�ำให้ครบเท่ากับน้ิว ๑๐ นิ้ว อย่าให้บุญน้ัน เปน็ บุญพกิ ลพิการ... บุญ ๑๐ ประการ เหมอื นมือ ๒ ข้าง ๑๐ น้วิ นี้ หยิบบุญได้ บุญอะไร ท่ีเกดิ ข้ึนในงานศพของคุณแม่ บุญประการที่หนึ่งคือ ทานมัย บุญส�ำเร็จได้ด้วยการบริจาคทานถวายแด่พระสงฆ์ จากน้ันกม็ องไปรอบ ๆ ดอกไม้ดอกไร่ทีป่ ระดบั ตกแตง่ ศพคณุ แม่ใหถ้ ือวา่ เปน็ ทานมยั ไม่มี งานศพท่าน ก็ไม่มีผู้หลักผู้ใหญ่เช่นนี้ ไม่มีพวงหรีดมากมาย อาชีพของคนไทยจะ 87
ด�ำเนินชีวิตอยู่อย่างไร คนประกอบอาชีพเก่ียวกับดอกไม้จนกระทั่งคนส่งดอกไม้รายล่าสุด เขาได้เงินได้ทอง เขาเห็นช่ือเขาก็ต้องนึกว่าคุณแม่จากไปท่านหนึ่ง พวกเราอยู่ได้กัน อีกหลายร้อยหลายพันหลายหม่ืนคน ดังน้ันภาพท่ีปรากฏเป็นพวงหรีดท่ีท่านทั้งหลาย ปรากฏไม่ว่าในงานน้ีหรืองานไหน ให้รู้สึกว่ามีคนเขายกมือจบสาธุข้ึน จากนั้นก็เร่ืองอาหาร การกิน เรื่องทุกอย่าง ล้วนแล้วแต่เป็นบุญเป็นกุศลท่ีเขาจบเศียรจบเกล้า นับเป็นทานมัย ทั้งสิ้น สักครู่นี้ท่านอนุศาสนาจารย์กรมต�ำรวจได้ประกาศว่าในงานนี้ เจ้าภาพประสงค์ จะบรจิ าคทานมัยยิ่งใหญ่ ค�ำว่ายิง่ ใหญ่คอื โอฬารหรอื อฬุ าร แปลว่ายิ่งใหญ่ โอฬาร โดยการ บริจาค ๕ ล้านบาทแก่โรงพยาบาล ที่กล่าวไปแล้วน้ันถือว่าเป็นปรมัตถบารมีให้คุณแม่ ถามว่าเป็นปรมัตถบารมีอย่างไร การบริจาคเงินสร้างโรงพยาบาลน้ันเป็นปรมัตถบารมี อย่างแท้จรงิ เพราะอะไร? พระพทุ ธเจา้ ทรงตรัสไว้วา่ ปรมตั ถบารมีนนั้ ๑. สละทรัพย์ให้เหมือนคว�่ำขันน�้ำบนผืนทราย หงายขันมาน�้ำไม่ติดขัน ทราย ดดู น�้ำไปฉนั ใด ใจของผสู้ ละนนั้ ตอ้ งเป็นฉันน้ัน เจ้าภาพไดส้ ละทรัพยเ์ พือ่ น�ำไปซ้อื ทรพั ย์สนิ ให้เกิดข้ึนกับโรงพยาบาล ทรัพย์สินน้ันก็กลายเป็นทรัพย์สินที่คนไปรักษาเขามีอยู่ จึงเป็น ปรมตั ถบารมโี ดยทเี่ ราได้ท�ำเหมอื นสังฆทานอันเป็นมหาทาน เรียกว่าบริจาคทรัพย์ ๒. บริจาคอวัยวะ พระเวสสันดรก่อนจะมาเป็นพระพุทธเจ้าท่านกล้าสละอวัยวะ ไมใ่ ชไ่ ปเชอื ดเน้ือเถือหนงั หมายความวา่ เราบากบน่ั ไปช่วยใครในยามวิกฤติ เช่น ณ ขณะนี้ หลายเดือนทผ่ี ่านมาหมอกไ็ ดเ้ สย่ี งตอ่ โรคโควิด ถามวา่ หมอบำ� เพญ็ ปรมตั ถบารมีไหม? ๓. สละชีวิต ทุกคนที่เป็นต�ำรวจเป็นอะไรก็แล้วแต่ไปช่วยคนน้ัน ล้วนเอาชีวิต เขา้ แลกท้ังนนั้ เพ่ือรกั ษาคนดี โรงพยาบาลก็เป็นอวัยวะของคนอ่ืนเช่นเดยี วกนั 88
๔. พระเวสสันดรสละลกู ท้งั สองพระองค์ ๕. สละพระนางมทั รีเป็นภรยิ าบริจาค การบริจาคของเจ้าภาพในครั้งนี้และท่านท้ังหลายได้มีส่วนร่วม ที่มาประกอบการบุญ การกศุ ลในครง้ั น้ใี ห้ถือวา่ ทา่ นไดบ้ ำ� เพ็ญปัญจมหาทาน ๕ ประการดงั กล่าวมาแล้ว คือ ๑. เป็นทานอันประเสรฐิ ๒. เปน็ ชวี ติ ของคน เปน็ อวัยวะของคนท่ีจะไปต่อให้ ๓. เป็นชีวิตของคนที่มารักษา ชีวิตหน่ึง ๆ มีมูลค่าและมีคุณค่าที่จะรักษาพยาบาล ถ้าเข้าโรงพยาบาลดี ๆ ได้ก็รับรองว่าคนนั้นไม่ใช่คนเลวแล้วล่ะ ชีวิตของคนท่ีไม่ใช่คนเลว เราช่วยได้รอดวันสองวันสามวัน หรือไปด�ำรงชีวิตอยู่ หรือไปประกอบคุณประโยชน์ เรา ถือว่าเป็นปรมัตถบารมี การสร้างโรงพยาบาลหรือการบริจาคให้โรงพยาบาลนั้นเป็นการ คืนภรรยาให้แก่สามีเขา คืนลูกให้แก่พ่อและแม่ของเขา คืนสามีให้ภรรยาเขา คืนคนดีให้ สังคม ในข้อน้ีก็นับว่าเป็นทานอันโอฬารที่ย่ิงใหญ่ซึ่งน่าอนุโมทนาน่าชื่นชม และท่านท้ังหลาย ท่ีได้ร่วมกันท�ำบุญก็ควรจะชื่นชมอนุโมทนา และท่านศาสนาจารย์กรมตำ� รวจได้กล่าวไว้แล้ว เปน็ กศุ ลแกว่ ิญญาณของคุณแม่ซงึ่ อบุ ตั ิเป็นเทพเป็นพรหมไปแลว้ ได้โมทนาสาธกุ าร บุญประการที่สองคือ ”สีลมัย„ ซึ่งเป็นเรื่องการสมาทานศีลเรียกว่ารักษาศีล แม้ เพียงชั่วขณะ ขณะก็หมายความว่าขณะนี้ท่ีท่านท้ังหลายรับศีลเป็นกิจกรรม เพียงรับ เป็นกิจกรรมแค่ช่ัวโมงสองชั่วโมง ต้องถือว่าบุญใด ๆ ก็ตามอันเกิดจากผู้มีศีลตั้งแต่ ๒๒๗ จนถงึ ศลี ๕ น้นั ในชว่ งที่บ�ำเพ็ญกุศลศีลไม่ขาดนั้นตอ้ งถือว่าเปน็ บุญอย่างหน่งึ และ จะท�ำให้ทานบารมีมีความแรงย่ิงขึ้น เรียกว่า ”ฉุดขึ้น ส่งถึง„ มือของคนไม่มีศีลฉุดอะไร ไม่ขึ้น มือของคนไม่มีศีลส่งอะไรไม่ถึง แต่ส�ำหรับคนมีศีลแล้ว ฉุดก็ฉุดข้ึน แปลว่ามีทุกข์ 89
ฉุดให้พ้นทุกข์ มีสุขให้มีสุขย่ิง ๆ ข้ึนไป นี่คือมือของผู้มีศีล พระพุทธองค์จึงตรัสว่าสีลมัย บญุ ส�ำเรจ็ ดว้ ยการรกั ษาศีล แม้ไมใ่ ชก่ ิจวตั รเปน็ กิจกรรมกถ็ อื ว่าเปน็ บุญเป็นกุศล ภาวนามัย การที่ท่านท้ังหลายได้สดับพระสวด หรือเวลาพระสวดเพียงแค่ตั้งนะโม ท่านอธิษฐานในใจได้ เปน็ ภาวนามัยแลว้ นอกจากน้ันแล้ว ไวยาวัจจมัย การขวนขวายการบุญการกุศลในการศพน้ี ใคร ก็แล้วแต่ถ้าต้ังจิตดีแม้แต่เจ้าหน้าท่ีประจ�ำวัด ถ้าไม่คิดเร่ืองอาชีพ ต้ังจิตดีท�ำหน้าท่ีนั้นไป ก็เป็นไวยาวัจจมัย ทุกคนได้รับไวยาวัจจมัยกุศล และสามารถอุทิศได้ต่อวิญญาณของ คณุ แม่ ต่อจากน้ันก็คือ ปัตติทานมัย ได้แก่การส่งข่าวบุญ ค�ำว่า ”ปัตติทานมัย„ ไม่ได้ หมายความว่าเรามานั่งท�ำบุญแล้วแผ่ปัตติทานมัย แบบนั้นเป็นเรื่องของจิต ปัตติทานมัย ในภาษาไทยของเราคือบอกบุญ หรือมีค�ำว่าเร่ียไร น่ันแหละคือปัตติทานมัย แปลว่าเรา รักใครชอบใคร ต้องการให้เขาได้บุญน้ีอันเป็นบุญส�ำคัญ แม้เขามีเงินเพียงเล็กน้อยหรือ เขามีข้าวของ เราบอกบุญไปน่ันแสดงว่าเป็นปัตติทานมัย บุญส�ำเร็จด้วยการแผ่บุญไป แผข่ ่าวบุญไป ปตั ตานุโมทนามยั เมอ่ื ไดร้ ับข่าวบุญแล้วอนุโมทนา ๒ ใจ คือ ๑. จติ ใจตอ้ งอนโุ มทนาก่อน ชุ่มช่ืนใจไม่ว่างานอะไรก็แลว้ แต่ ศพ สวด บวช แต่ง ขึ้นบ้านใหม่ ถ้าเขาเชิญท่านท้ังหลายไปร่วมงานบุญนั้น จงรู้สึกว่านี่แหละเราควรอนุโมทนา ด้วยจิตใจอย่าไปต�ำหนิ ต�ำหนิเร่ืองบุญนิดเดียว ในร่างกายของเราก็จะมีไฝ ฝี ข้ีแมลงวัน ในชาติในภพหน้า ต�ำหนิเร่ืองบุญใหญ่ ๆ แต่เราไม่ท�ำด้วยใจด้วยปาก ก็จะเกิดคดีความ หรือเกิดความตกต�่ำเป็นบางช่วงไป ซ่ึงข้อน้ีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ได้ ตรัสในประวัติของพระองค์ย้อนรอยย้อนอดีตให้ฟังว่าแม้แต่ท่ีพระองค์ต้องคดีความ นางจิญจมาณวิกานั้น เมื่อเสร็จคดีความแล้ว พระองค์จึงตรัสว่าเพราะมีชาติหนึ่งพระองค์ 90
เป็นนักบวชต่างศาสนา มีพระปัจเจกพุทธเจ้ามาในถ่ินฐาน ดังนั้นเกรงจะจะสิ้นบารมี มี คนเคารพนับถือ จะหันเหจากการนับถือไป จึงต�ำหนิพระพุทธเจ้าพระองค์น้ันด้วยถ้อยค�ำ ใส่ร้าย มาชาติน้ันพระองค์ระลึกได้ไปขอขมาแล้ว แต่โทษน้ันไม่ได้ห่างหายไปเลย มาชาตินี้ พระองค์ก็เป็นพระพุทธเจ้า แต่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กรรมที่ต�ำหนิน้ันก็บันดาลให้ กรรมมาเกณฑใ์ หพ้ ระองคน์ ัน้ ตอ้ งคดีความนางจญิ จมาณวกิ า ดังนน้ั การท่เี รามใี จอนโุ มทนา ในบุญกศุ ลนั้นเป็นใจแรก ๒. จตุปจั จยั ช่วยอะไรไดก้ ็ชว่ ย รวม ๆ แลว้ ก็เปน็ เงนิ ทองขา้ วของต่าง ๆ ทเี่ ราท�ำ เช่นนีเ้ ราก็ตั้งใจว่าจะเอาบุญใหค้ ณุ แมป่ ระนอม สิงหรา ณ อยธุ ยา ก็เปน็ บญุ เป็นกศุ ล ธัมมเทสนามัย ให้มีการแสดงธรรมประกาศค�ำสอน น�ำค�ำสอนของพระพุทธเจ้า มาแสดงแจกแจงต่อท่านทั้งหลาย เพ่ือเป็นการท�ำทิฏฐุชุกรรมให้เกิดข้ึน โดยบางครั้งบางที การที่เราไม่ฟังใครเลย จิตมันก็วิปริตผิดพลาดไป อย่าว่าแต่ท่านทั้งหลายเป็นฆราวาสเลย อาตมาเป็นพระบางทีก็ไม่มีใครสอน ต้องใช้พระไตรปิฎกสอน ใช้ค�ำสอนของพระเถระ ท่ีบันทึกเสียงเอาไว้มาสอนตัวเรา อะไรท่ีเราผิดพลาดไปก็กลับความคิดเห็นนั้นเสีย พระธรรมเทศนาจงึ มคี วามส�ำคัญและเปน็ ปญั ญาท่ปี ระเสรฐิ เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ ธัมมัสสวนมัย ท่านท้ังหลายฟังธรรมแล้วเป็นบุญกุศล เข้าวัดมีแต่เสียงสวด เสียงสอน เสียงเสก อยู่นอกวัดได้ยินมีแต่เสียงสาป ไม่เป็นมงคลแก่ชีวิตจิตใจ และไม่เป็น บุญกุศล ท�ำให้ใจของท่านตกต่�ำล�้ำลึกลงไปเรื่อย ๆ เพราะฉะน้ันการสดับพระธรรมเทศนา จงึ มีความส�ำคัญ ทฏิ ฐชุ กุ รรมทำ� ความเห็นของเราให้เปน็ สัมมาทฏิ ฐใิ นการด�ำรงชีวติ อยู่ บุญ ๑๐ ประการนี้ ลูก ๆ ทุกคนของคุณแม่ได้ตั้งใจให้ครบริบูรณ์ เพราะบุญ ๑๐ ประการนี้ จะบังเกิดเปน็ ทิพยสมบัติอีก ๑๐ ประการ สนองตอบตอ่ องคเ์ ทพองค์พรหม ท่ีอุบัติแล้ว ณ สรวงสวรรค์อันมีนามในมนุษย์ว่า...แม่ประนอม สิงหรา ณ อยุธยา... น่ีคือ กจิ อันพงึ กระท�ำในการบ�ำเพญ็ กุศล 91
ท่านทั้งหลายได้มาร่วมงานกัน ได้ทราบจากเจ้าหน้าท่ีวัดว่าเป็นจ�ำนวนมากใน แต่ละวัน ๆ เม่ือเป็นจ�ำนวนมากเช่นน้ีแล้วแสดงว่าท่านท้ังหลายน้ันมากันด้วยจุดประสงค์ หลายประการ ๑. เรามาแสดงความรักความอาลัย ใครท่ีรู้จักคุณแม่ก็มาแสดงความรักความ อาลัยกัน ทา่ นจากไปแลว้ ๒. มาให้ก�ำลังใจคนท่ีอยู่ คนท่ีมีชีวิตอยู่ต้องการก�ำลังใจ เห็นหน้าแล้ว เห็น พระสงฆ์องค์เจ้าแล้ว เห็นท่านท้ังหลายแล้ว แม้แต่เด็กกว่าท่ีมาในงานน้ี ก็มีก�ำลังใจ ใหก้ �ำลงั ใจกนั ๓. มาส่งเสริมความกตญั ญูกตเวที ด้วยการบำ� เพญ็ กศุ ลศพ ๔. มาบ�ำเพญ็ คุณงามความดี ในการนีท้ ่านมาบ�ำเพญ็ คุณงามความดี ความดีใด ๆ ก็แล้วแต่ท่ีท่านทั้งหลายกระท�ำแล้ว ...ปุญญานิ ปะกะตานิ เม บุญท่ีท่านทั้งหลายได้กระท�ำ มาแล้ว... ไปงานไหนก็ตาม เวลาพระสวดใหร้ ะลึกถึงเพอ่ื จะไดเ้ ตรยี มให้พรกรวดนำ้� ไป และ บวกกับความดี ณ วันน้ีขณะนี้ เอามารวมร่วมกัน บุญนั้นก็จะเป็นบุญอันมหาศาลสำ� หรับ ที่ตดิ ตัวมา เรียกว่ามาบำ� เพญ็ คุณงามความดี ๕. มาอุทิศพลีให้เป็นสมบัติในสรวงสวรรค์ จุดประสงค์ของท่านท้ังหลายย่อม สำ� เรจ็ แน่นอน การที่ลูก ๆ ได้บำ� เพ็ญกุศลน้ันถือว่าทำ� ให้ผู้หญิงพิเศษ บรรดาผู้หญิงในโลกนี้ใคร จะสวยพิเศษเท่ากับคุณแม่ของพวกเราทุกคนไม่มี คุณแม่ประนอมก็เป็นผู้หญิงพิเศษของ ลูก ๆ ของท่าน คุณแม่ของพวกท่านและคุณแม่ของอาตมาก็เป็นผู้หญิงที่พิเศษส�ำหรับท่าน และอาตมา ...พิเศษอยา่ งไร? แมค่ อื ใคร? เราตอ้ งทบทวน.... 92
...แมเ่ ราคอื ใครกันแน?่ แล้วแมเ่ ป็นอะไรกบั เรา? แม่ใหอ้ ะไรเรา?... แม.่ ...เป็นผู้ให้เรามีโชค แม่....สรา้ งโลกใหเ้ ราอยู่ แม.่ ...เปน็ ผู้เสยี สละ แม่....เป็นพระในเรอื น แม.่ ...เปน็ เพ่อื นในบ้าน แม่....เปน็ แม่ครวั เกง่ อาหาร แม.่ ...เป็นกรรมกรเกง่ งาน แม่....เปน็ ศาลสถิตยุติธรรม แม.่ ...เป็นศาลเจา้ รับฟังความทกุ ข์ แม่....เปน็ ผเู้ นรมติ บนั ดาลสขุ ทุกกรณี นี่คือผู้หญิงพิเศษท่ีช่ือว่า “แม่” ของพวกเราทุกคน ดัง ”แม่ประนอม„ คือแม่ของ ลูก ๆ ในวันนี้ แม่ประนอมเป็นผู้ให้ลูกมีโชค บรรดาดวงจิตวิญญาณทั้งหลาย เทวดาทั้งหลาย เทพพรหมทง้ั หลาย เม่อื สิ้นอายขุ ัยน้ัน ๆ แล้วก็แสวงหาทเี่ กดิ ผ้ใู ดเปน็ ชาวพุทธกป็ รารถนา การเกิดเป็นมนุษย์ในพระพุทธศาสนา ก็ไม่ใช่หาท้องง่าย ๆ เพราะการเกิดเป็นมนุษย์ ในพระพุทธศาสนานั้น เทวดาไม่ใช่หาท้องง่าย ๆ เลย แต่พอมาเจอมนุษย์ท่ีนับถือ พระพุทธศาสนาแล้ว ช่วงว่างก็ดีก็มาแย่งกันเกิด ใครมีบุญสมภพกันระหว่างคนท่ีมาเกิด กับคนท่ีเป็นแม่ก็ได้เกิดมา นับว่าเป็นโชค เพราอะไรจึงเป็นโชค เพราะเดี๋ยวน้ีมีการกีดกัน การเกิดด้วยอ้างความกลัว ด้วยอ้างความล�ำบาก คนเราก็อ้างว่ามีลูกแล้วล�ำบาก มีลูกแล้ว เล้ียงยาก มีลูกแล้วต้องส้ินเปลืองตัวสิ้นเปลืองเงินทอง อย่าพูดถึงพรหมวิหารธรรม คุณไปเรียนพรหมวิหารธรรมเท่าไรก็แล้วแต่ ไม่มีโอกาสท่ีจะได้ลึกซ้ึงเท่ากับพรหมวิหารธรรม ซึง่ การมีสถานภาพของความเป็นพ่อเป็นแม่ ดังนนั้ แม่เป็นผ้ใู หเ้ รามโี ชค 93
แม่สรา้ งโลกใหเ้ ราอยู่ สรา้ งโลกใบนีใ้ หเ้ ราอยู่ แมเ่ ปน็ ผูเ้ สยี สละ สละอะไร? สละอย่างแรกคอื อะไร? ชวี ิตตอ่ ชีวิต ...เสียงวา้ ยของ แม่คือเสียงอุแว้ของลกู ... เพราะชวี ติ แม่ดับชวี ิตลกู เกิด ถ้ามีวาสนาก็ไดล้ ืมตามาเหน็ หน้ากัน แต่หลายร้อยหลายพันหลายหมื่นคนในโลกน้ีหลายแสนคนไม่มีวาสนา แต่ท�ำไมท้ัง ๆ ท่ีรู้ ว่าการเกิดมาเป็นการแลกชีวิตกันท่านจึงยอม น่ีแหละคนเป็นแม่ แม้ปัจจุบันน้ีมีการผ่าตัด นั่นคือความตายช่ัวเวลาช่ัวโมงสองช่ัวโมง ก็เป็นการแลกกันเหมือนกัน ถ้าพลาดมาในเร่ือง ลมหายใจเรื่องกระแสเลือด ในเร่ืองต่าง ๆ นั้นก็ไม่มีโอกาสเจอกัน แล้วท�ำไมผู้หญิงจึง ยอม ก็เพราะเป็นผู้เสียสละ จากนั้นเกิดข้ึนมาทุกอย่างเป็นของลูกทั้งนั้น เสียสละเพ่ือลูก ทั้งน้ัน ค�ำพูดท่ีเราเรียกกันเพราะ ๆ คนอินเดียเขาเรียกเด็กผู้ชายว่ากุมาร เรียกเด็กผู้หญิง ว่ากุมารี หลวงพ่อสมเด็จพระพฒุ าจารยท์ า่ นเปน็ เปรียญธรรม ๙ ประโยค ถา้ ทา่ นแยกศัพท์ ไดเ้ ราจะฟังไมไ่ ด้ ”ก„ุ แปลวา่ ”ชว่ั ร้าย„ กแุ ปลวา่ ชัว่ รา้ ย ”มาร„ ผทู้ �ำลาย ...กมุ าร, กุมารี แปลว่า...ผทู้ ำ� ลาย...คอื ชวั่ รา้ ย... ของทกุ อย่างในบา้ นอะไรสวย ๆ ทำ� ให้มนั หายนะหมด แต่คน ๆ น้ียอมได้อย่างไร ก็เพราะ...ความเปน็ แม่...เปน็ ผู้เสยี สละ อุ้มไมห่ นัก เหนื่อยไม่พกั รกั ไมล่ วง ห่วงไม่เลกิ 94
เบิกไมค่ ิด ผิดไม่แคน้ ตายแทนเราได้ นี่คือสุดยอดของความหมาย ”ผเู้ สียสละ„ แม่เป็นพระในเรือน แม่สวดมนต์ไหว้พระก่อนเรามาเกิดแล้ว ขอลูกมาเกิด พอรู้สึกว่าตั้งท้องแล้วย่ิงสวดมนต์ไหว้พระใหญ่ น่ีคือพระใหญ่...พระในเรือน แม่ท�ำ บุญกุศล สวดมนต์ไหว้พระให้ลูก ลูกเกิดมาแล้วไม่มีวันไหนแม่ไม่สวดมนต์ให้ ยิ่งห่างลูก แม่ย่ิงสวด ๆ ลูกจะสวดมนต์ให้พ่อให้แม่สักเดือนละครั้งนี้น้อยนักหนา แต่คนเป็นแม่ สวดมนต์ให้ลูกทุกวัน ลูกเป็นต�ำรวจสองท่านเห็นช่ือปรากฏ รู้ไหมแม่สวดมนต์เท่าไหร่ ยิ่งโตยิ่งสวดเพราะลูกไปเสี่ยง ลูกเป็นทูตไปต่างประเทศ ไม่เห็นกันหรอก แม่ก็สวดมนต์ เพือ่ ให้คมุ้ ครองลูกใหล้ ูกอยรู่ อดปลอดภัยใหง้ านสำ� เร็จ แม่เป็นเพ่ือนในบ้าน บ้านถ้าไม่มีแม่แล้วก็ไม่มีเพ่ือน ไม่มีเพื่อนไม่อุ่นใจ ถ้ามีแม่ แล้วทกุ อยา่ งอบอุ่นหมด แม่เป็นกรรมกรเก่งงาน อะไรทุกอย่างแม่เก่งหมด ครัว คลัง ช่าง หมอ แม่เป็น ทกุ อยา่ ง แม่เป็นแม่ครัวเก่งอาหาร แม่ถือว่าเป็นแม่ครัวท่ีประเสริฐ เก่งเรื่องอาหาร อาหาร อย่างเดียวท�ำให้ลูกกับพ่อทุกคนกินได้ แม่ครัวคนอื่นท�ำไม่ได้ แต่แม่ประนอมและแม่ของ พวกเราท�ำไดอ้ ย่างอัศจรรยใ์ จ แมจ่ ึงเป็นแมค่ รัวเก่งอาหาร แม่เป็นศาลสถิตยุติธรรม ยามลูกทะเลาะกันหรือเขย-สะใภ้ แม่จะให้ความ เป็นธรรม ศาลอ่ืนให้ความเป็นธรรมไม่ได้ มีแต่แม่ให้ความเป็นธรรม พยายามหาเหตุแห่ง คดที ่ีแทจ้ รงิ ผัดผ่อนคดี ผลท่ีสดุ ก็ใหอ้ ภัยยกฟอ้ ง ยกฟอ้ งดว้ ยการเอาตัวของแมว่ ่า...นึกวา่ 95
เห็นแก่แม่เถอะลูก เลิก ๆ ไปเสียนะ นึกว่ายกความผิดน้ีให้แม่เถอะลูก... น่ีแม่เป็นศาล สถิตยุติธรรม แม่เป็นศาลเจ้ารับฟังความทุกข์ จะทุกข์อะไรมาก็แล้วแต่ ถ้ามาถึงแม่แล้วทุกข์น้ัน หายไป ยามมีทุกข์เอาน้�ำหูมาหาเอาน้�ำตามาฝาก แม่ก็ท�ำเหมือนพระประธานในโบสถ์ เหมือนกับส่ิงศักด์ิสิทธ์ิในวิหารต่าง ๆ มีทุกข์มาก็ไปปรับทุกข์กับพระประธานในโบสถ์ ส่งิ ศกั ดส์ิ ิทธิ์ ปรบั แล้ว พระประธานกท็ ำ� กิรยิ าแบบพระพุทธเจา้ - สิ้นกิเลส - เกศแหลม - ตาดู - หยู าน - นั่งนาน - ไมข่ านตอบ - ยม้ิ ปลอบประโลมใจ ตาดู เวลาเราทุกข์มาแมจ่ ะเอาตาขน้ึ มองดเู ราไม่เบอื นหนา้ หนี หูยาน หรอื หมู ีวิจารณญาณ ไมฟ่ งั ความข้างเดียว นัง่ นาน ถา้ ลูกระบายทุกข์ไม่หมดไม่กลบั แมไ่ ม่ลกุ หนี พระประธานไมม่ ลี ุกหนี ไม่ขานตอบ พระประธานไม่ตอบบางเรอ่ื ง ศาลเจา้ ไม่มกี ารตอบ ตอบไปแลว้ ไม่ถูก ไม่ต้อง อะไรไมค่ วรตอบกอ็ ย่าตอบ ย้ิมปลอบประโลมใจ พระประธานทุกแห่งจะมีรอยยิ้ม ทุกข์มาก็ปลอบใจ ประสบ ความส�ำเรจ็ ดีใจก็ประโลมใจ นี่คอื ...ภาวะของแม่ เรียกว่าเป็นศาลเจ้ารับฟงั ความทกุ ข์ 96
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234