งานวชิ าการเพื่อศกึ ษาเรยี นรู้ประวตั ิศาสตร์ศรลี งั กา เลม่ ๓
พระมหาพจน์ สุวโจ, ดร. นกิ ายสงั ครหยะ : บนั ทกึ การพระศาสนาของชมพทู วปี และลงั กา/พระมหาพจน์ สวุ โจ, ดร. ๑. การสังคายนา ............... อินเดีย ๒. การสงั คายนา ............... ศรีลังกา ๓. การฟื้นฟพู ระศาสนา ............... ศรีลงั กา ๔. สมยั อาณาจักรคัมโปละ ............... ศรลี ังกา เลขมาตรฐานสากลประจำาหนงั สอื : 978-616-7821-51-1 พิมพค์ รัง้ ที่ ๑ : พฤศจิกายน ๒๕๕๙ จาำ นวนพมิ พ์ : ๕๐๐ เลม่ กองบรรณาธกิ าร : พระครูศรปี ัญญาวิกรม, ดร. พระมหาถนอม อานนโÚ ท พสั ริน ไชยโคตร วันเพ็ญ พรมเมอื ง เอมมกิ า แกว้ สรดี พิสจู น์อักษร : พระมหาพจน์ สวุ โจ, ดร. ออกแบบปก : เอนก เออ้ื การุณวงศ์ ดำาเนินการจัดพมิ พ์ : สาละพมิ พการ ๙/ö๐๙ ซอยกระทุ่มลม้ ö ถ.พุทธมณฑลสาย ๔ ต.กระทุ่มล้ม อ.สามพราน จ.นครปฐม ๗๓๒๒๐ โทร ๐๒-๔๒๙๒๔๕๒, ๐๘๕-๔๒๙๔๘๗๑
คำานิยม วรรณกรรมศรีลังกานยิ มนพิ นธเ์ ป็น ๓ ภาษา กล่าวคือ ภาษาสงิ หล ภาษาบาลี และภาษาสันสกฤต แต่นักศึกษาไทยส่วนมากจะรู้จักเฉพาะท่ี แต่งเป็นภาษาบาลี เพราะใช้เป็นหลักสูตรพระปริยัติธรรมแผนกบาลี ที่เรา คุ้นเคยกันเป็นอย่างดีก็คือ คัมภีร์สมันตปาสาทิกา คัมภีร์ธรรมบทอรรถกา และคมั ภรี ว์ ิสุทธิมรรค ซึ่งเปน็ ผลงานของพระพุทธโฆษาจารย์ แตค่ รน้ั พระมหาพจน์ สวุ โจ, ดร. อาจารย์ประจาำ วทิ ยาลยั สงฆบ์ รุ ีรมั ย์ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ไดถ้ อดแปลและเทยี บเคยี งคมั ภรี ์ นกิ ายสงั ครหยะจากภาษาองั กฤษและภาษาสงิ หลสภู่ าษาไทย จงึ รวู้ า่ ยงั มคี มั ภรี ์ อีกหลายเล่มท่ีมีการบันทึกเป็นภาษาสิงหล บางเล่มมีความสำาคัญถึงช้ันท่ี เปน็ วรรณกรรมระดับโลกได้ เนอ้ื หาตามคมั ภรี เ์ ลม่ นแี้ มเ้ ปน็ บนั ทกึ ยอ่ เกย่ี วกบั นกิ ายสงฆใ์ นประเทศ อนิ เดยี และประเทศศรลี งั กากจ็ รงิ แตแ่ ฝงไวด้ ว้ ยหลกั ฐานอนั ทรงคณุ คา่ โดย เฉพาะเรื่องราวทางการเมืองในยุคสมัยของผู้นิพนธ์เอง น่าจะเป็นประโยชน์ ต่อวงการศึกษาประวัติศาสตร์พุทธศาสนาย่ิงนัก เพราะไม่เคยมีนักวิชาการ ไทยทา่ นใดกล่าวถงึ และรวบรวมมาก่อน จึงขออนุโมทนายินดีและให้กำาลังใจกับพระมหาพจน์ สุวโจ, ดร. ท่ี อตุ สาหะวริ ิยะต้ังใจแปลงานเกี่ยวกบั ศรีลงั กา เพ่อื ใหเ้ ป็นความรู้แกน่ กั ศึกษา และผู้สนใจเก่ียวกับประเทศศรีลังกา อันจะเป็นการเรียนรู้เร่ืองราวของ พระพุทธศาสนานกิ ายลังกาวงศ์ ท่เี ราต่างคนุ้ เคยกันเปน็ อย่างดี (พระศรปี รยิ ัติธาดา) ผ้อู าำ นวยการวิทยาลัยสงฆ์บรุ ีรัมย์
ค�ำ น�ำ เกรน่ิ น�ำ วรรณกรรมของชาวศรีลังกาเร่ิมต้นมีมานับต้ังแต่พระพุทธศาสนาเข้า มาเผยแพร่ยังดินแดนแห่งน้ี ประมาณตอนต้นพุทธศตวรรษที่ ๒ สมัยน้ัน เรยี กประเพณสี บื ทอดเรอ่ื งราวทางพทุ ธศาสนาวา่ มขุ ปาฐะ เหตทุ วี่ รรณกรรม ยังไม่ปรากฏ อาจเป็นเพราะความไม่พร้อมของภาษาสิงหล หรือพระสมณ ทูตท่านประสงค์ยึดม่ันตามประเพณีของชาวอินเดียชมพูทวีป แต่ครั้นคล้อย หลังหน่ึงศตวรรษประเพณีมุขปาฐะได้เปลี่ยนรูปแปลงร่างไป เหตุเพราะ ความจำ�เป็นบบี บังคบั มขุ ปาฐะวิธจี ึงเปลีย่ นเป็นการจารลงในใบลาน นับแต่ น้ันมาพระสงฆ์ศรีลังกาจึงพากันแต่งวรรณกรรมเป็นจำ�นวนมาก แต่ความ ไม่สมบูรณ์ยังปรากฏให้เห็นดาษด่ืน แม้จะเป็นจุดเริ่มต้นแต่ก็มีหลักฐานพอ ชี้บอกให้เห็นเค้าเป็นแนว วรรณกรรมเหล่านั้นมีช่ือเรียกกันว่าสีหลมหา อรรถกถา คร้ันยา่ งเข้าสพู่ ุทธศตวรรษที่ ๑๐ พระอรรถกถาจารยผ์ ู้ย่ิงใหญ่นาม ว่าพุทธโฆษาจารย์ ได้เดินทางมาปริวรรตสีหลมหาอรรถกถาเป็นภาษาบาลี ดว้ ยความชำ�่ ชองดา้ นไวยากรณบ์ าลีภาษาและความเปน็ ผู้คงแกเ่ รียน จงึ ท�ำ ให้งานของท่านเป็นระบบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน กลายเป็นต้นแบบให้ พระสงฆ์ศรลี ังกาพากนั แตง่ ต�ำ ราเลียนแบบ จนเกิดมวี รรณคดีทั้งภาษาบาลี และภาษาสิงหลมากมาย วรรณกรรมระดับโลกก็มีให้เห็นหลายเล่ม เกาะ ลังกาสมัยนั้นจึงกลายเป็นเวทีแห่งการแข่งขันด้านวรรณกรรม ยิ่งมีนิกาย นอ้ ยใหญห่ ลายส�ำ นักยง่ิ เกดิ การแข่งขนั จนปรากฏมีมากมายเหลอื คณานบั
(ข) ความสมบูรณ์ลงตัวด้านวรรณกรรมมาถึงจุดสูงสุดสมัยอาณาจักร โปโฬนนารุวะ อาจเป็นเพราะการศึกษาของพระสงฆ์พัฒนามาถึงขีดสุด หรืออาจเป็นเพราะสถานการณ์บ้านเมืองสงบเรียบร้อย ไม่มีศึกภายในและ ภายนอกเขา้ แทรกแซงรกุ ราน จงึ เปน็ เหตใุ หพ้ ระสงฆเ์ บาใจพากนั ผลติ ผลงาน วรรณกรรมเปน็ จ�ำ นวนมาก วรรณกรรมเหลา่ นน้ั กอปรดว้ ยการจดั วางเนอื้ หา อย่างเป็นระบบ พร่ังพร้อมด้วยอรรถรสอันประณีตงดงามสมบูรณ์ลงตัว สว่ นใหญว่ า่ ดว้ ยเรอื่ งราวเกย่ี วกบั พระพทุ ธศาสนา ซงึ่ บนั ทกึ เปน็ ภาษาสงิ หล ภาษาบาลี และภาษาสันสกฤต มีบางเล่มเป็นวรรณกรรมเก่ียวกับคดีโลก ดังเชน่ การแพทย์ ฉันท์ กาพย์กลอน ไวยากรณ์ และประวตั ิศาสตร์ ครั้นอาณาจักรโปโฬนนารุวะล่มสลายเพราะการบุกรุกทำ�ลายของ ศัตรูภายนอก แวดวงวรรณกรรมก็ถดถอยสูญหายเช่นกัน แม้จะมีบางเล่ม เกิดขึ้นแทรกในระหว่างสมัยแห่งความวุ่นวายบ้าง แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นผลงาน อันโดดเดน่ แม้บางเล่มยอมรบั ว่าเป็นผลงานคุณภาพกจ็ รงิ แต่เนื้อหาสาระ กลับยกย่องเชิดชูคติความเชื่อภายนอกพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะการ สรรเสรญิ อทิ ธานภุ าพของเทพเจา้ นอ้ ยใหญ่ มบี างส�ำ นกั เทา่ นน้ั ทย่ี งั คงรกั ษา ประเพณขี องเถรวาทนกิ ายอยา่ งมนั่ คง ซงึ่ สว่ นใหญเ่ ปน็ พระสงฆฝ์ า่ ยวนวาสี คมั ภรี ์นกิ ายสังครหยะเลม่ นี้แต่งขน้ึ สมยั อาณาจกั รคัมโปละ ซึ่งยุคนนั้ จารีตปฏิบัติของพระสงฆ์เร่ิมเสื่อมโทรมหลายด้าน สังเกตได้จากมีการชำ�ระ พระศาสนาค่อนข้างบ่อย ผู้รจนาในฐานะพระสังฆราชได้เห็นพฤติกรรมของ พระสงฆ์ ซึ่งประพฤตินอกรีตผิดพระธรรมวินัยจึงเรียบเรียงคัมภีร์เล่มนี้ขึ้น นอกจากจะบรรจเุ รอื่ งราวเกย่ี วกบั พระสงฆแ์ ลว้ ยงั มบี รบิ ททางประวตั ศิ าสตร์ สอดแทรกผสมสรา้ งสสี รรบา้ ง โดยผแู้ ตง่ อาศยั หลกั ฐานจากคมั ภรี ร์ นุ่ เกา่ เปน็ พนื้ ผสมกบั เหตกุ ารณป์ จั จบุ นั ทนั ตาเหน็ เพอื่ เสรมิ เรอื่ งราวใหม้ คี วามสมบรู ณ์
(ค) อาณาจกั รคมั โปละ อาณาจักรแห่งนี้ถือกำ�เนิดเกิดข้ึนโดยเช้ือพระวงศ์สิงหลพระองค์หน่ึง พระนามว่าภูวเนกพาหุท่ี ๔ (พ.ศ.๑๘๘๔-๑๘๙๔) พระองค์ได้แยกตัว ออกจากอาณาจักรกุรุแณคะละมาสร้างเมืองหลวงแห่งใหม่นามว่าคังคาสิริ ปุระ (บางทีเรียกว่าคัมโปละ) เหตุผลแห่งการสถาปนาเมืองคัมโปละยังไม่ ทราบแน่ชัด แต่หลักฐานตามคัมภีร์ช้ีบอกว่าเมืองกุรุแณคะละเป็นชัยภูมิ ไม่เหมาะสม ย่อมเป็นการง่ายต่อการโจมตีของพระเจ้าอารยจักรวรัติ แห่งอาณาจัฟฟ์นาทางตอนเหนือ ขณะท่ีเมืองคัมโปละอยู่ท่ามกลางขุนเขา ติดแมน่ ำ้�มหาแวฬิคังคา ถอื วา่ เป็นชยั ภมู ดิ า้ นยุทธศาสตรท์ ่ีเหนอื กว่า จะต้งั รับก็มีแม่นำ้�มหาแวฬิคังคาเป็นปราการด่านธรรมชาติ จะหลบหนีพรางตัว ก็มีขุนเขาน้อยใหญ่เป็นท่ีหลบซ่อนยากต่อการติดตาม หรือจะรุกเข้าทำ�ลาย ข้าศึกก็มชี อ่ งและเนนิ เขาคอยซุม่ ตัวโจมตี หากวิเคราะห์ด้านการเมืองหาเป็นเช่นนั้นไม่ ความจริงคือพระเจ้า ภวู เนกพาหทุ ี่ ๔ เหน็ ความออ่ นแอภายในอาณาจกั รกรุ แุ ณคะละ จงึ ตอ้ งการ แยกตนปกครองเป็นเอกเทศ ซ่ึงสมัยน้ันมีกษัตริย์สิงหลแยกอาณาจักร ปกครองอิสระอยู่แล้ว ดังเช่นพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๕ แห่งเมืองแดดิ คามะ (พ.ศ.๑๘๘๗-๑๙๐๒) การสร้างอาณาจักรคัมโปละของพระเจ้า ภูวเนกพาหุท่ี ๔ น้ัน มเี สนาบดีผูใ้ หญค่ อยค้�ำ บลั ลงั ก์อยู่ ๒ ท่าน นามว่า เสนาลังกาธิการะและอลคักโกนาระ เสนาบดีท่านแรกถือว่าทรงอิทธิพล สูงสุด เนื่องจากสามารถสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสถาบันกษัตริย์ และ ครอบคลุมอำ�นาจเหนือเหล่าขุนนางทุกตัวคน นับต้ังแต่สถาบันกษัตริย์จน ถึงสามัญชนล้วนอยู่ใต้อิทธิพลของเสนาบดีลังกาธิการะส้ิน ตำ�แหน่งของ ท่านเรียกวา่ ประภตุ ริ าชะ (ผูส้ �ำ เรจ็ ราชการ-ผแู้ ปล)
(ฆ) เสนาบดีเสนาลังกาธิการะเห็นจะเป็นผู้มีวิสัยทัศน์ค่อนข้างกว้างขวาง นอกจากจะปดิ กน้ั กษตั รยิ แ์ หง่ ตนใหเ้ สพสขุ โลกยี ว์ สิ ยั เฉพาะภายในพระราชวงั แลว้ ยงั สามารถผูกสัมพันธไมตรกี บั พระเจ้าปรกรมพาหทุ ี่ ๕ แหง่ เมอื งแดดิ คามะด้วย ส่วนด้านศาสนาน้ันก็ไม่ทิ้งห่าง คร้ันเห็นว่าพระสงฆ์ประพฤติ นอกธรรมนอกวินัยเป็นจำ�นวนมาก จึงได้อาราธนาพระสงฆ์นักปราชญ์โดย การน�ำ ของพระสงั ฆราช ใหช้ ว่ ยกนั ช�ำ ระพระศาสนาสงั คายนาพระธรรมวนิ ยั เสนาบดลี งั กาธกิ าระนนั้ ทรงอทิ ธพิ ลเหนอื อาณาจกั รคมั โปละจรงิ เพราะตลอด ชีวิตของท่านไม่มีการก่อจลาจลลุกขึ้นต่อต้านแม้สักคร้ังเดียว แม้แต่เสนา บดีอลคักโกนาระผู้เป็นคู่แข่งคนสำ�คัญก็เงียบหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ หลายทศวรรษ ครัน้ พระเจ้าภวู เนกพาหทุ ่ี ๔ สวรรคตล่วงแล้ว พระเจา้ ปรากรมพาหุ ท่ี ๕ แห่งเมืองแดดิคามะได้ยึดอาณาจักรคัมโปละแล้วครองราชย์สืบแทน โดยการสนับสนุนของเสนาบดีเสนาลังกาธิการะ อำ�นาจท้ังหลายท้ังปวงก็ ยังข้ึนอยู่กับเสนาบดีท่านน้ีเช่นเดิม ตอนปลายรัชสมัยของพระเจ้าปรากรม พาหุท่ี ๕ เสนาบดเี สนาลงั กาธกิ าระได้ถึงแกอ่ นจิ กรรม เปิดช่องใหเ้ สนาบดี อลคักโกนาระเข้ายึดครองอำ�นาจสืบแทน ซง่ึ กนิ ระยะเวลายาวนานนบั ต้ังแต่ พระเจ้าวกิ รมพาหุท่ี ๓ (พ.ศ.๑๙๐๐-๑๙๑๕) จนถงึ สมัยพระเจ้าภวู เนก พาหุท่ี ๕ (พ.ศ.๑๙๑๕-๑๙๕๑) ความมากอิทธิพลของเสนาบดอี ลคกั โก นาระปทู างใหม้ กี ารรบั ชว่ งสบื ทอดจนถงึ รนุ่ หลาน จนกระทงั่ สดุ ทา้ ยถกู แมท่ พั เจ้ิงเหอแห่งจีนจับตัวและจองจำ�นำ�ไปถวายแด่พระจักรพรรดิ จึงถือว่าเป็น การปดิ ต�ำ นานตระกูลอลคักโกนาระ การปกครองของเสนาบดอี ลคักโกนาระน้นั (บางทเี รยี กว่าอลเกศวร) โดดเดน่ กวา่ เสนาบดเี สนาลงั กาธกิ าระนกั อาจเปน็ เพราะไดม้ เี วลาศกึ ษาเรยี น รู้เหตุการณ์บ้านเมืองมากกว่า หรืออาจเป็นเพราะได้สะสมกำ�ลังเตรียมการ
(ง) ไว้นานกว่า คุณูปการของท่านมีประโยชน์ต่อบ้านเมืองและศาสนาเหลือ คณานับ อาณาประชาราษฎร์ต่างยอมก้มหัวให้ท่านแต่เพียงผู้เดียว และ พรอ้ มใจกนั ขนานนามวา่ ตรสี งิ หลาธศิ วร แปลวา่ ผเู้ ปน็ ใหญเ่ หนอื แวน่ แควน้ ทง้ั สามของชาวสงิ หล สมัยเร่ิมสถาปนาอาณาจักรคัมโปละนั้น ศัตรูสำ�คัญคือพระเจ้า อารยจักรวรัติแห่งอาณาจักรจัฟฟ์นาทางตอนเหนือ กษัตริย์ทมิฬพระองค์ น้ีสามารถข่มขู่กษัตริย์สิงหลหลายพระองค์ ด้วยการสั่งให้ส่งเครื่องราช บรรณาการไปถวายเป็นรายปี และส่งขุนนางเข้ามาเก็บภาษีประจำ�ท่าเรือ รอบเกาะลังกา การกำ�หนดอตั ราทกุ อย่างเป็นสทิ ธิขาดของขุนนางชาวทมฬิ ส้ิน หากเห็นว่ากษัตริย์สิงหลแข็งขืนก็ยกทัพเข้ายึดครองขยายอาณาเขต ดว้ ยเหตนุ ช้ี าวสิงหลทั้งปวงจงึ ไมก่ ลา้ แสดงกริยาต่อต้านแต่อย่างใด ครน้ั เสนาบดีอลคกั โกนาระข้ึนสู่อ�ำ นาจแล้ว สิ่งแรกท่ตี อ้ งลงมือท�ำ คอื การกอบกู้บ้านเมืองให้พ้นจากอำ�นาจของพวกทมิฬ ท่านมองเห็นว่าเมือง คัมโปละนนั้ เสย่ี งต่อการเขา้ โจมตีของกษตั ริย์ทมฬิ จงึ ให้สรา้ งป้อมปราการท่ี เมืองโกฏเฏบริเวณใกล้ท่าเรือโคลัมโบ ซึ่งเป็นป้อมปราการต้ังอยู่ท่ามกลาง แอ่งนำ้�ขนาดใหญ่ จากน้ันเร่งฝึกฝนทหารกล้าชาวสิงหลจนช่ำ�ชองด้าน การรบ ต่อมาคร้ันเห็นว่าถึงเวลาปลดแอกบ้านเมืองแล้ว เสนาบดีอลคักโก นาระจึงสั่งให้จับขุนนางชาวทมิฬท่ีเก็บภาษีตามท่าเรือรอบเกาะประหารชีวิต เสีย จากนั้นให้ตระเตรียมสรรพกำ�ลังเพื่อรับศึกจากพระเจ้าอารยจักรวรัติ แห่งอาณาจกั รจฟั ฟ์นา การกระทำ�ของอลคักโกนาระทำ�ให้พระเจ้าอารยจักรวรัติพิโรธยิ่งนัก จึงมีพระบรมราชโองการให้กรีฑาทัพขนาดใหญ่ท้ังทางบกและทางเรือ หวัง ว่าจะทำ�ลายป้อมปราการโกฏเฏให้เป็นผงเถ้าธุลี แต่การเตรียมการไว้เป็น
(จ) อย่างดี ย่อมทำ�ให้เสนาบดีอลคักโกนาระสามารถทำ�ลายกองทัพอันย่ิงใหญ่ เกรียงไกรของกษัตริย์ทมิฬได้อย่างราบคาบ ถือว่าเป็นชัยชนะคร้ังแรกนับ แต่ชาวสิงหลถอยร่นหลบหนีมาทางใต้หลายศตวรรษ แม้ต่อมากษัตริย์ทมิฬ แห่งอาณาจักรจัฟฟ์นาจะขอความช่วยเหลือจากพี่น้องทมิฬแห่งอินเดีย ตอนใต้ ด้วยการยาตราทัพเข้าโจมตปี อ้ มปราการโกฏเฏอีกครง้ั แตก่ ็พา่ ยแพ้ ราบคาบจนสญู หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์เกอื บศตวรรษ เมื่อบ้านเมืองเข้าสู่ภาวะปกติสุขแล้ว เสนาบดีอลคักโกนาระได้หัน หนา้ มาฟ้นื ฟูการพระศาสนา ซึ่งทรุดโทรมเสยี หายเพราะมากมีด้วยพระสงฆ์ ทุศีล โดยอาราธนานิมนต์พระเถระผู้ใหญ่ให้ช่วยกันชำ�ระพระศาสนา ขับไล่ พระสงฆ์ผู้ประพฤติผิดพระธรรมวินัยออกจากหมู่คณะ อีกทั้งสร้างวัดใหม่ และบูรณะซ่อมแซมวัดเก่าอีกเป็นจำ�นวนมาก แม้จะโยกย้ายความเจริญ ไปอยู่ท่ีป้อมปราการโกฏเฏก็จริง แต่ศูนย์กลางอำ�นาจยังอยู่เมืองคัมโปละ เช่นเดมิ เปน็ ทนี่ า่ สงั เกตวา่ สมัยน้ีคติความเชือ่ เรอ่ื งเทพเจา้ เรมิ่ เปน็ ที่ยอมรับ กนั มากขนึ้ เพราะอารามวหิ ารนอ้ ยใหญม่ เี ทวรปู ฮนิ ดปู ระดษิ ฐานภายในวหิ าร อย่างโดดเด่น ครัน้ เสนาบดีอลคักโกนาระถึงแกอ่ นจิ กรรมลว่ งแลว้ ทายาทของท่าน ได้ครอบครองอำ�นาจสืบแทน เริ่มต้นจากกุมารอลเกศวร วีรพาหุอลเกศวร และวีรอลเกศวร แม้บ้านเมืองจะรุ่งเรืองมั่นคงตอนปลาย แต่หาได้มีใคร สามารถสรา้ งบารมเี ทยี บเคียงท่านได้ อาณาจักรท่ีเขม้ แข็งมัน่ คงเร่ิมผุกรอ่ น ล่มสลาย อันเน่ืองมาจากความขัดแย้งกันเองบ้าง กษัตริย์ทมิฬแห่งอาณา จักรจัฟฟ์นาสามารถฟื้นฟูอำ�นาจขึ้นอีกคร้ังหนึ่ง อาณาจักรคัมโปละมาถึง จุดอวสาน เมอื่ แมท่ ัพเรือของจีนนามวา่ เจิง้ เหอ ไดย้ กกองทัพเรืออันยง่ิ ใหญ่ เกรียงไกรเข้าต่อกรกับทหารชาวสิงหล แม้คร้ังแรกชาวสิงหลจะกุมชัยชนะ ก็จริง แต่ครั้งต่อมาก็พ่ายแพ้อย่างราบคาบ กษัตริย์และเสนาบดีถูกจับตัว และจองจ�ำ นำ�ไปถวายพระจกั รพรรดจิ ีน นับแต่นี้เร่อื งราวของอาณาจักรคัมโปละก็เลือนหายไป
(ฉ) เกย่ี วกับผเู้ ขยี น พระธรรมกีรติเทวรักษิตะชัยพาหุสังฆราช สังกัดคณะสงฆ์วนวาสี พำ�นักอยู่ที่คฑลาเดณิยวิหาร ไม่ไกลจากเมืองคัมโปละ ท่านเช่ียวชาญ ทั้งด้านวิปัสสนากรรมฐานและแตกฉานด้านวรรณกรรม ผลงานของท่าน ได้แก่ คัมภีร์ชินโพธาวลี คัมภีร์นิกายสังครหยะ คัมภีร์คฑลาเดณิสันนยะ ซึ่งแต่งอธิบายคัมภีร์พาลาวตาร และคัมภีร์สัทธรรมาลังการยะ คัมภีร์ เหล่าน้ีล้วนแล้วแต่งเป็นภาษาสิงหล สำ�หรับคัมภีร์นิกายสังครหยะเล่มน้ี สันนิษฐานว่าท่านแต่งประมาณ พ.ศ.๑๙๓๓ เพื่อเป็นข้อมูลช้ีบอกถึง ความเสื่อมโทรมของพระศาสนา ก่อนที่จะมีการชำ�ระพระศาสนาใน พ.ศ.๑๙๓๙ ซ่ึงการสังคายนาคร้ังนั้นท่านดำ�รงตำ�แหน่งพระสังฆราช ทำ�หนา้ ท่เี ป็นประธานสงฆ์ในการช�ำ ระพระศาสนาด้วย พระธรรมกีรติเทวรักษิตะชัยพาหุสังฆราชนั้น สืบเชื้อสายมาจาก สำ�นักปลาพัตคะละ ซ่ึงเป็นต้นกำ�เนิดคณะสงฆ์สายธรรมกีรติ จุดกำ�เนิด ของสำ�นกั แห่งนมี้ าจากพระตมลิงคมุ (ตามพรลิงค)์ ธรรมกีรติเถระ ซึง่ เป็น พระสงฆ์นักปราชญ์แห่งอาณาจักรตามพรลิงค์ของไทย โดยเร่ิมต้นจาก กษัตริย์ศรีลังกาพระนามว่าปรากรมพาหุที่ ๒ (พ.ศ.๑๗๘๓-๑๘๑๓) แหง่ อาณาจกั รดมั พเดณยิ ะ ทรงเหน็ วา่ พระเถระเปน็ พระนกั ปราชญเ์ ชย่ี วชาญ ด้านวิปัสสนาธุระและแตกฉานด้านวรรณกรรม จึงอาราธนานิมนต์มายัง เกาะลังกา พร้อมสร้างอารามวิหารนามว่าปลาพัตคะละให้เป็นที่พำ�นัก พักอาศัย เพ่ือให้เป็นแบบอย่างอันดีสำ�หรับพระสงฆ์ศรีลังกาประพฤติตาม เลยี นแบบ สำ�นักแห่งน้ีสามารถสร้างพระสงฆ์นักปราชญ์แถวหน้าหลายต่อ หลายรปู และแตล่ ะรปู ลว้ นไดร้ บั ความไวว้ างใจจากบา้ นเมอื งใหด้ �ำ รงต�ำ แหนง่ ชัน้ สูงสดุ ระดบั สงั ฆราชทุกรูป เริ่มต้นจากพระธรรมกีรติสลี วงั สะเถระ ผู้มีผล
(ช) งานดา้ นวรรณกรรมหลายเล่ม กล่าวคือ คมั ภรี ป์ ารมสี าตกะหรอื ปารมมี หา สตกะ คัมภรี ์ชนานรุ าคะ คัมภรี ส์ วุ ิลิวิวรณยะ นอกจากนัน้ ยังสรา้ งอาราม วิหารอีกหลายแห่งทั้งในชมพูทวีปและเกาะลังกา พระเถระรูปนี้เองเป็น อาจารยข์ องพระธรรมกรี ติเทวรักษติ ะชยั พาหเุ ถระ ซง่ึ เป็นผแู้ ตง่ คมั ภรี น์ ิกาย สังคหรยะเล่มนี้ ส่วนพระเถระสายธรรมกีรติอีกรูปคือพระธรรมกีรติวิมล กีรติเถระผู้เป็นศิษย์ของพระสังฆราชเทวรักษิตะชัยพาหุเถระ พระเถระรูปนี้ แต่งคัมภีร์ภาษาสิงหลเร่ืองสัทธรรมรัตนากรยะ และมีชีวิตต่อมาจนถึงสมัย อาณาจกั รโกฏเฏ พระสังฆราชธรรมกีรติเทวรักษิตะวิชัยพาหุเถระยังเก่ียวข้อง กับประเทศไทยในฐานะเป็นอาจารย์ของพระธรรมกีรติเถระ หลักฐาน บอกว่าพระธรรมกีรติเถระชาวไทยรูปนี้ได้เดินทางมาบวชแปลงเป็นสิงหล นกิ ายกบั พระสงั ฆราชธรรมกรี ตเิ ถระ พรอ้ มศกึ ษาเลา่ เรยี นพระธรรมวนิ ยั และ ฝกึ ฝนวตั รปฏบิ ตั ติ ามแบบลงั กา พระธรรมกรี ตเิ ถระชาวไทยคงแตกฉานความ รู้ตามเกณฑ์ของศรีลงั กาเปน็ แน่ เพราะไดร้ ับตำ�แหนง่ ถึงมหาสามี ซงึ่ ผูไ้ ด้รบั ต�ำ แหนง่ นต้ี อ้ งมพี รรษาครบทศวรรษ อกี ทงั้ แตกฉานในพระไตรปฎิ กและอรรถ กถา เพราะผา่ นการศกึ ษาทดสอบอยา่ งเครง่ ครดั ครน้ั กลบั อาณาจกั รอยธุ ยา แลว้ พระเถระไดแ้ ตง่ คมั ภรี ภ์ าษาบาลเี ลม่ หนง่ึ นามวา่ สทั ธมั มสงั คหะ ซง่ึ ถอด แบบเนื้อหาสาระมาจากคมั ภรี ์นกิ ายสงั ครหยะของอาจารยแ์ ห่งตน เนอ้ื หา คัมภีร์นิกายสังครหยะไม่ได้แบ่งเนื้อหาไว้เป็นปริเฉทหรือบทเหมือน หนังสือสมัยปัจจุบัน เพียงแต่พรรณนาเหตุการณ์โดยย่อ นับตั้งแต่สมัย พระพุทธเจ้ากำ�เนิดเป็นสุเมธดาบสเร่ือยมาจนถึงการพระศาสนาสมัยอาณา จกั รคมั โปละ และเน้นเฉพาะเร่ืองทีเ่ กดิ ข้ึนภายในพระศาสนาเท่าน้นั เฉพาะ
(ซ) การแตกแยกเป็นนิกายน้อยใหญ่ของคณะสงฆ์ ตลอดทั้งการสังคายนา และชำ�ระพระศาสนาแต่ละยุคสมัย ส่วนบริบทด้านการเมืองมีกล่าวถึงน้อย นัก ยกเว้นตอนสรุปท้ายเรื่องได้บรรยายถึงเหตุการณ์บ้านเมืองสมัยอาณา จกั รคมั โปละบา้ ง สว่ นเหตกุ ารณส์ �ำ คญั ดา้ นศาสนาทไ่ี มเ่ กย่ี วขอ้ งกล็ ะเลยเสยี ดังเช่น การประดิษฐานพระพุทธศาสนา การก�ำ เนิดภิกษุณีสงฆ์ การปลูก หน่อพระศรมี หาโพธิ์ การอญั เชิญพระเขย้ี วแกว้ ฯลฯ การถอดแปลคราวน้ีผแู้ ปลไดแ้ บ่งเนือ้ หาออกเป็น ๘ ตอน ดงั น้ี ๑) ปณามคาถา ผู้นิพนธ์เปิดเร่ืองด้วยการอ้างคุณงามความดี ของบรรพบุรุษผู้ร่วมกันปกป้องพระศาสนาจนสืบทอดถึงสมัยผู้นิพนธ์ และ แจ้งวัตถุประสงค์ว่างานนิพนธ์เล่มน้ีมีเป้าหมายเพ่ืออะไร พร้อมบอกชัดเจน ว่าข้อมูลน้ันได้มาจากวรรณกรรมของบูรพาจารย์ แล้วนำ�มาร้อยเรียง ตามสำ�นวนภาษาแห่งตน เพ่ือพรรณนาประวัติศาสตร์แห่งศาสนาของ พระศาสดา โดยตั้งชอ่ื วา่ นิกายสงั ครหยะ หรอื ศาสนาวตารยะ ประเด็นน่าสนใจคือ ลักษณะการนิพนธ์คัมภีร์เล่มน้ีไม่เดินตาม ธรรมเนยี มการแตง่ หนงั สอื ยคุ เกา่ กอ่ น ซงึ่ สว่ นใหญว่ รรณกรรมเหลา่ นน้ั ลว้ น เริ่มต้นอารัมภบทด้วยการสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย หรืออ้างถึงการเสด็จ มาเกาะลังกาของพระสมณโคดมพุทธเจ้า บางทีอา้ งไกลถงึ อดีตพระพุทธเจ้า หลายพระองค์ เพื่อสร้างความเช่ือมั่นให้แก่เกาะลังกาในฐานะดินแดน พระพุทธเจ้าทรงใหค้ วามส�ำ คัญ สันนิษฐานว่าความนิยมเหมือนยุคเก่าอาจเสื่อมคลายไป อารัมภบท ท่ีเคยยืดยาวก็หดสั้นให้เหมาะสมตามกาลสมัย โดยเน้นเรื่องท่ีเป็นสาระไม่ ผสมด้วยอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ใช้ถ้อยคำ�อันสละสลวยงดงามเข้ามาแทนที่ เป็นหลัก หรือผู้นิพนธ์เห็นความมากอิทธิพลของเทพเจ้าน้อยใหญ่เต็มบ้าน
(ฌ) เต็มเมืองจึงหลีกเล่ียงอิทธานุภาพเสีย หรือว่าเน้ือหาของเรื่องเน้นไปที่ ความแตกแยกของคณะสงฆ์เป็นการเฉพาะ ซ่ึงต้องการชำ�ระด้วยหลัก พระธรรมวินัยไม่เกี่ยวข้องกบั อิทธปิ าฏหิ ารยิ ์อ่ืนใดก็เป็นได้ ๒) เหตุการณ์ก่อนปฐมสังคายนา ผู้นิพนธ์บรรยายเร่ืองราว ของพระพุทธเจ้าเริ่มตั้งแต่สมัยเสวยพระชาติเป็นสุเมธดาบส ผู้ได้รับพุทธ พยากรณจ์ ากพระทปี งั กรพทุ ธเจา้ จนถงึ กาลแหง่ พทุ ธปรนิ พิ พานภายใตส้ วน สาลวโนทยานของพวกมลั ละ เนอ้ื หาตอนนน้ี า่ จะคดั ลอกมาจากพระไตรปฎิ ก เปน็ หลกั มหี ลกั ฐานจากคมั ภรี ส์ งิ หลเสรมิ มาบา้ ง โดยเฉพาะการระบวุ นั เดอื น ปที ี่เก่ียวกับพระพุทธเจา้ ตามฤกษ์ยามของชาวสิงหล ผนู้ พิ นธใ์ หค้ วามส�ำ คญั เรอ่ื งวงศข์ องพระพทุ ธเจา้ คอ่ นขา้ งมาก เพราะ ได้ระบุจำ�นวนกษัตริย์สายของพระพุทธเจ้านับต้ังแต่พระเจ้ามหาสัมมตะ เปน็ ปฐม กลา่ วตามความจรงิ คตคิ วามเชอ่ื เรอื่ งพระเจา้ มหาสมั มตะนน้ั แมจ้ ะ ปรากฏมใี นพระไตรปฎิ กกจ็ รงิ แตม่ าขยายความจนรงุ่ เรอื งแพรห่ ลายในเกาะ ลงั กา เหตทุ เี่ ปน็ เชน่ นน้ั นา่ จะตอ้ งการใหส้ อดคลอ้ งกบั ความเชอื่ วา่ ชาวสงิ หล เป็นศากยะตระกูลหนึง่ เพราะมคี มั ภรี ห์ ลายเลม่ อธิบายเรื่องราวของพระเจา้ สัมมตะอย่างพิสดาร ตวั อยา่ งเชน่ คัมภีรม์ หาโพธวิ ังสะ เปน็ ต้น ๓) การสังคายนาสามครั้งในชมพูทวีป หากมองผิวเผินจะเห็นว่า ข้อมูลทั้งหมดดูเหมือนถอดแบบมาจากคัมภีร์พระไตรปิฎกและอรรถกถาเป็น หลกั เพราะไมม่ สี ง่ิ ใดผดิ เพย้ี นจากขอ้ มลู ปฐมภมู แิ ตอ่ ยา่ งใด นอกจากรายชอื่ ของกษตั รยิ ล์ งั กาเทา่ นน้ั ทอี่ า้ งมาจากคมั ภรี เ์ กา่ แกข่ องศรลี งั กา ผแู้ ปลเหน็ วา่ ข้อมูลเหล่าน้ีส่วนหน่ึงนำ�มาจากคัมภีร์ของพระสงฆ์แห่งสำ�นักอภัยคิรีวิหาร โดยเฉพาะรายช่ือของนิกายน้อยใหญ่ท่ีแยกตัวหลังการสังคายนาคร้ังที่ ๓ อีกทงั้ คมั ภีรส์ ำ�คัญของนิกายเหลา่ น้ันที่ไมป่ รากฏเหน็ ที่ใด
(ญ) สำ�นักอภัยคิรีวิหารน้ันฝักใฝ่คำ�สอนมหายาน มีพระสงฆ์นักปราชญ์ แต่งคัมภีร์หลายรูป ท่ีโด่งดังเป็นที่รู้จักแพร่หลายคือพระอุปติสสเถระ ผู้ แต่งคัมภีร์วิมุตติมรรค เมื่อชื่นชอบคำ�สอนมหายานย่อมมีการแต่งเร่ืองราว เกี่ยวกับมหายานเป็นธรรมดาวิสัย แม้ภายหลังจะถูกพระสงฆ์สำ�นักมหา วิหารผเู้ คร่งครัดในเถรวาทนกิ ายเผาตำ�ราหลายต่อหลายคร้ัง แตใ่ ชว่ า่ คมั ภรี ์ เหล่านั้นจะถูกทำ�ลายหมดสิ้นไม่ บางส่วนหลงเหลือตกทอดมาถึงสมัยผู้ นิพนธ์ โดยปรากฏอยู่ในรูปแบบของเนื้อความท่ีสอดแทรกอยู่ในตำ�รา หรือ คตคิ วามเช่อื ที่ประพฤตปิ ฏบิ ตั ิกันในวิถีชวี ิตประจำ�วัน ๔) ความรงุ่ เรอื งและความเสอื่ มโทรมของส�ำ นกั มหาวหิ าร ผนู้ พิ นธ์ พรรณนารายละเอยี ดเกยี่ วกบั ส�ำ นกั มหาวหิ ารนอ้ ยมาก โดยเฉพาะพระมหนิ ท เถระผปู้ ระดษิ ฐานพระศาสนานน้ั ยอ่ ความจนไมเ่ หลอื ความส�ำ คญั แตผ่ นู้ พิ นธ์ มาเน้นความมากอิทธิพลของคำ�สอนมหายานแห่งสำ�นักอภัยคิรีวิหารเป็น หลกั แมจ้ ะดวู า่ เปน็ การวเิ คราะหต์ ามหลกั ฐานความจรงิ แตก่ แ็ ฝงไวด้ ว้ ยอคติ ค่อนข้างเด่นชัด โดยชี้ให้เห็นว่าคำ�สอนมหายานท่ีเรียกว่าไวตุลยะนั้น เป็น ภัยร้ายแรงมใิ ชเ่ ฉพาะศาสนาเทา่ นนั้ แตเ่ ป็นผลเสยี หายแก่บ้านเมอื งดว้ ย จุดเน้นของเร่ืองระบุไปที่การทำ�ลายล้างคำ�สอนมหายานของกษัตริย์ ศรีลังกา ไม่ว่าจะเป็นการเนรเทศผู้เห็นต่างจากเถรวาทนิกายออกจาก เกาะลังกา หรอื เผาทำ�ลายคัมภีรข์ องพระสงฆ์แห่งสำ�นักอภัยคริ ีวหิ ารจนสิ้น ซาก แต่ความจริงท่ีผู้นิพนธ์หลีกเลี่ยงที่จะกล่าวถึงคือ ความเข้มแข็งของ สำ�นักอภัยคิรีวิหาร เหตุเพราะแม้จะถูกทำ�ลายหลายต่อหลายครั้งกลับ สามารถโดดเดน่ เหนอื สำ�นักมหาวิหารทกุ คร้งั ไป ๕) วิวาทะระหว่างเถรวาทกับมหายาน ตอนน้ีสืบเน่ืองต่อมาจาก ตอนกอ่ น เรอ่ื งเนน้ กลา่ วถงึ พระเจา้ มหาเสนะผศู้ รทั ธาชน่ื ชอบค�ำ สอนมหายาน
(ฎ) แม้พระสงฆ์แห่งสำ�นักอภัยคิรีวิหารจะถูกกำ�จัดสิทธิลงมากแล้ว เพราะชาว พุทธพากันปฏิเสธคำ�สอนมหายานแล้วหันมาศรัทธาหวงแหนเถรวาทนิกาย แต่สำ�นักอภัยคิรีวิหารก็ยังเข้มแข็งเหมือนเดิม นอกจากน้ันยังแยกเป็นอีก ส�ำ นักหน่งึ นามวา่ เชตวนั วหิ าร ตรงนี้มีเรื่องน่าคิดแทรกเข้ามา กล่าวคือเม่ือพระเจ้ามหาเสนะโปรด ให้สร้างสำ�นักเชตวันวิหารในอาณาบริเวณของพระสงฆ์สำ�นักมหาวิหาร พระสงฆ์แห่งสำ�นักมหาวิหารพากันเห็นแย้งขัดขวาง เป็นเหตุให้กษัตริย์ จับพระสงฆ์คุมขังหลายรูป สามเณรผู้ทรงอภิญญาได้สำ�แดงอิทธิฤทธิ์ เพ่ือปราบพระเจ้ามหาเสนะผู้เป็นมิจฉาทิฐิ มองอีกนัยหน่ึงแสดงให้เห็นว่า พระสงฆ์สำ�นักมหาวิหารไม่สามารถคัดค้านกษัตริย์ได้ จึงแต่งเรื่องอ้าง อิทธฤิ ทธิป์ าฏิหารยิ ข์ ึ้นเพอ่ื ขม่ ขฝี่ า่ ยเหน็ ต่างตรงกนั ขา้ ม ๖) สมัยพระเจ้าปรากรมพาหุ ผู้นิพนธ์ให้ความสำ�คัญพระเจ้า ปรากรมพาหุมากกว่ากษัตริย์พระองค์ใด หากตรวจสอบเน้ือหาทั้งเล่ม อย่างไร้อคติก็จะเห็นจริงตามนั้น ผู้แปลสันนิษฐานว่าเหตุผลหลักน่าจะมา จากกษัตริย์พระองค์นี้เป็นมหาราชผู้ยิ่งใหญ่ เพราะพระองค์สามารถสร้าง ความเจริญรุ่งเรืองให้แก่บ้านเมืองและพระศาสนา การสรรเสริญด้วยเนื้อ ความยดื ยาวกช็ ใ้ี หเ้ หน็ แลว้ วา่ ผนู้ พิ นธต์ อ้ งการสรรเสรญิ พระราชภารธรุ ะของ กษัตรยิ พ์ ระองคน์ ้ี ราชูปถมั ภด์ ้านศาสนาเปน็ อกี เร่ืองหน่งึ ซง่ึ ผ้นู พิ นธ์ให้ความส�ำ คญั แม้ จะพรรณนาเนื้อหาสังเขป แต่การเน้นให้เห็นว่าพระเจ้าปรากรมพาหุถวาย ตัวรับใช้พระศาสนา ก็เพ่ือให้พระศาสนาของพระชินสีห์สามารถดำ�รงคงอยู่ ครบถว้ น ๕๐๐๐ ปี นา่ เสยี ดายวา่ ผนู้ พิ นธอ์ ธบิ ายความโหดรา้ ยของพระเจา้ มาฆะผูท้ ำ�ลายอาณาจักรโปโฬนนารวุ ะนอ้ ยไป
(ฏ) ส่วนการชำ�ระพระศาสนาสมัยอาณาจักรดัมพเดณิยะน้ัน ผู้นิพนธ์ พยายามช้ีบอกว่าเนื่องจากบ้านเมืองแตกแยก จึงทำ�ให้พระสงฆ์บกพร่อง ดา้ นความประพฤติ เปน็ เหตุใหก้ ษตั รยิ ท์ ุกพระองคท์ �ำ หนา้ ทีช่ ำ�ระพระศาสนา อกี อยา่ งหนงึ่ ผนู้ พิ นธไ์ ดอ้ า้ งถงึ รายชอื่ พระสงฆแ์ ละฆราวาสผเู้ ปน็ นกั ปราชญ์ นับแต่สมัยอนุราธปุระเรื่อยมา ถือว่าเป็นหลักฐานชั้นดีในการกำ�หนดระยะ เวลาการมชี วี ิตอยูข่ องนกั ปราชญ์ชาวศรลี งั กา ๗) การพระศาสนาสมัยอาณาจักรคัมโปละ ดูเหมือนว่าหลักฐาน จากคัมภีร์ช่วงน้ีจะเป็นข้อมูลสำ�คัญสำ�หรับอ้างอิงของนักวิชาการน้อยใหญ่ เพราะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสมัยผู้นิพนธ์ หลักฐานอ้างอิงที่น่าเชื่อถือที่สุด คอื เหตกุ ารณบ์ า้ นเมอื ง โดยเฉพาะความมากบารมขี องเสนาบดเี สนาลงั กาธกิ าระ เสนาบดีอลคักโกนาระและเสนาบดีวีรพาหุอลเกศวร เร่ืองราวของเสนาบดี ท้ังสามท่านเหล่านี้มิใช่เฉพาะเร่ืองศาสนาเท่าน้ัน แต่ลงลึกรายละเอียด ทางการเมอื งดว้ ย ผู้แปลสันนิษฐานว่าผู้นิพนธ์น่าจะช่ืนชอบเสนาบดีอลคักโกนาระ มากกว่าใครอื่น เพราะเร่ืองราวของเสนาบดีท่านนี้มีรายละเอียดมากกว่า ผอู้ นื่ ใด อาจเปน็ ไปได้วา่ เสนาบดที า่ นน้เี ปน็ ผู้ท่ีชาวสงิ หลรอคอยมานาน โดย เฉพาะความฝนั ถงึ ความยงิ่ ใหญใ่ นอดตี การทเ่ี สนาบดอี ลคกั โกนาระสามารถ ปลดแอกบ้านเมืองจากกษัตริย์ทมิฬแห่งอาณาจักรจัฟฟ์นา จึงไม่ต่างอะไร จากผมู้ บี ญุ บารมมี าเกดิ ดว้ ยเหตนุ น้ั เรอื่ งราวของกษตั รยิ ส์ งิ หลจงึ ถกู ปดิ ซอ่ น ไวไ้ มป่ รากฏแมต้ ามตัวอักษร ผู้นิพนธ์ได้อ้างถึงการสืบเช้ือสายของคณะสงฆ์ธรรมกีรติซ่ึงตนสังกัด อยู่ แต่เป็นท่ีน่าเสียดายว่าให้ข้อมูลน้อยนัก ไม่ทราบว่าการละความสำ�คัญ ของครูอาจารย์แห่งตนนั้นเป็นเพราะเหตุใด อาจเป็นการให้เกียรติเน้ือหาที่
(ฐ) ผู้นิพนธ์ต้องการสื่อ หรืออาจเป็นธรรมเนียมการแต่งตำ�ราสมัยนั้น ซึ่งไม่ ตอ้ งการสรรเสริญตนและอาจารย์แหง่ ตนจนเกินงาม ช่วงสุดท้ายผู้นิพนธ์บรรยายถึงความยิ่งใหญ่ของเสนาบดีนามว่าวีร พาหุ ซ่ึงด�ำ รงตำ�แหน่งแอทปิ าทะ (พระมหาอุปราช-ผู้แปล) แตค่ วามจรงิ คือ มหาอปุ ราชทา่ นนเ้ี ปน็ หลานของเสนาบดอี ลคกั โกนาระ มอี ทิ ธพิ ลเหนอื กษตั รยิ ์ สิงหลไม่แพ้ลุงแห่งตน และดูเหมือนว่าจะพัฒนาก้าวหน้าไปไกลกว่านั้น ด้วยการออกวา่ ราชการตัดสนิ คดีความทกุ สง่ิ อยา่ งแทนกษัตริยห์ มดสิน้ ๘) ปจั ฉมิ บทสง่ ทา้ ย ผนู้ พิ นธไ์ ดอ้ า้ งถงึ อานสิ งสก์ ารปกปอ้ งคมุ้ ครอง พระศาสนา โดยมผี ลเบอื้ งต้นนับแต่สวรรคโ์ ลกจนถงึ เขา้ สู่นิพพานภาวะเปน็ ที่สุด พร้อมท้ังระบุชื่อเสียงเรียงนามและตำ�แหน่งของผู้นิพนธ์อย่างชัดเจน สิ่งที่เห็นบ่อยในบทสรุปของวรรณคดีศรีลังกายุคนี้คือ การอุทิศส่วนกุศลให้ แก่สรรพสัตว์ตั้งแต่มนุษย์จนถึงชาวสวรรค์ แล้วจบลงด้วยปรารถนาให้พระ ศาสนายัง่ ยนื นาน และพระราชาปกครองโดยธรรม ทศั นะและวิจารณ์ ๑) ภาษา: สำ�นวนภาษาของคัมภีร์เล่มน้ีประกอบด้วย ๓ ภาษา กล่าวคือ ภาษาสิงหล ภาษาบาลี และภาษาสันสกฤต หากสังเกตอย่าง ละเอยี ดจะเหน็ วา่ ทง้ั สามภาษามลี กั ษณะการใชแ้ ตกตา่ งกนั ภาษาสงิ หลนยิ ม ใชด้ าษดนื่ ทว่ั ไปโดยเฉพาะการบรรยายเรอื่ งราวเชอื่ มโยงเหตกุ ารณน์ อ้ ยใหญ่ แมพ้ ระนามของกษตั รยิ ก์ น็ ยิ มใชภ้ าษาสงิ หลเปน็ หลกั สว่ นภาษาบาลนี น้ั เนน้ ไปทค่ี าถาเปน็ พนื้ จะใชก้ บั รายนามพระสงฆแ์ ละพระนามกษตั รยิ บ์ า้ งกเ็ ฉพาะ ชว่ งแรกเทา่ นนั้ สว่ นภาษาสนั สฤตใชก้ บั นามของพระสงฆแ์ ละศพั ทท์ เ่ี กยี่ วกบั คัมภรี แ์ ละตำ�ราของคณะสงฆส์ ำ�นักอภัยคิรวี ิหาร ผ้ฝู กั ใฝค่ �ำ สอนมหายาน
(ฑ) การใช้สามภาษาในคัมภีร์เล่มน้ี ช้ีบอกถึงพัฒนาการได้เป็นอย่างดี ซ่งึ สามารถแบ่งออกเปน็ ๓ ชว่ ง ๑) ช่วงแรกเปน็ สมัยพระพุทธศาสนาเขา้ มาเผยแผ่บนเกาะลังกาภาษาบาลีจึงมีอิทธิพลเหนือภาษาอ่ืนใด ๒) คร้ัน ภาษาสิงหลเกิดการพัฒนาสามารถรองรับคำ�สอนพระพุทธศาสนาได้แล้ว จึงเริ่มมีอิทธิพลเหนือภาษาบาลี และ ๓) ยุคโปโฬนนารุวะเร่ือยมาพวก พราหมณ์มีอิทธิพลต่อราชสำ�นัก ทำ�ให้ภาษาสันสกฤตเป็นท่ีรู้จักแพร่หลาย แล้วขยายเข้าไปสู่วงการคณะสงฆ์ จนมีพระสงฆ์หลายรูปแต่งตำ�ราท้ังคดี โลกและคดธี รรม ปัจจุบันสามภาษายังสอดประสานกันอยู่ในสังคมชาวศรีลังกาอย่าง แยกกนั ไมอ่ อก แตห่ ากสงั เกตจะเหน็ ลกั ษณะการใชท้ แ่ี ตกตา่ งกนั ภาษาสงิ หล จะใช้ท่ัวไปตามความต้องการของชาวบ้านเป็นหลัก ขณะท่ีภาษาสันสกฤต สอดแทรกอยู่ในศัพท์ช้ันสูงโดยเฉพาะศัพท์วรรณคดี ส่วนภาษาบาลีจะ สอดแทรกอย่กู ับพธิ ีกรรมทางศาสนาเป็นพนื้ ๒) อิทธิพลมหายาน: สารัตถะของคัมภีร์เล่มนี้เน้นไปที่ความไม่ ถูกต้องของคำ�สอนมหายานที่เผยแพร่เข้ามาสู่เกาะลังกาหลายต่อหลายครั้ง เป็นเหตุให้เถริยนิกายหรือนิกายเถรวาทซึ่งเป็นคำ�สอนแท้ดั้งเดิมสั่นคลอน จ�ำ เปน็ ตอ้ งอาศยั อ�ำ นาจของฝา่ ยอาณาจกั รเขา้ มาแกไ้ ข แมบ้ างครงั้ บางคราว ต้องอาศัยเวลายาวนานก็ตามที การขดั แยง้ กนั เป็นผลดี เพราะท�ำ ใหท้ ้ังสอง ฝ่ายแข่งขันกันเรียกศรัทธา โดยเฉพาะการผลิตผลงานวรรณกรรมน้ัน มี หลกั ฐานเปน็ รปู ธรรมชดั เจน แมบ้ างเล่มไมส่ ามารถพบเห็นในปัจจบุ ันกต็ าม แต่การทำ�ลายกันและกันเป็นผลให้ทั้งสองฝ่ายเสียหายย่อยยับ มีผลกระทบ ตอ่ วงวรรณกรรมดว้ ย เพราะถกู เผาท�ำ ลายจนสน้ิ ซาก เหลอื เพยี งชอ่ื ใหจ้ ดจ�ำ แมผ้ นู้ พิ นธจ์ ะแสดงอคตติ อ่ กลมุ่ พระสงฆผ์ ฝู้ กั ใฝค่ �ำ สอนมหายานกจ็ รงิ แต่ข้อมูลท่ีผู้นิพนธ์นำ�มากล่าวอ้างล้วนแล้วแต่เป็นหลักฐานการบันทึกของ
(ฒ) พระสงฆ์มหายานท้ังส้ิน โดยเฉพาะรายช่ือคัมภีร์ของนิกายมหายาน และ ส่ิงท่ีผู้ประพันธ์ปฏิเสธมิได้คืออิทธิพลของคำ�สอนมหายานน้ันล้วนแทรกซึม ในสังคมศรลี ังกา ตัง้ แตส่ ามัญชนคนรากหญา้ จนถึงสถาบนั พระมหากษัตรยิ ์ โดยเฉพาะภาษาสันสฤตนน้ั สามารถพบเหน็ ดาษดื่นในคมั ภรี เ์ ลม่ นี้ ความจริงคำ�สอนเกี่ยวกับมหายานลงรากฝังลึกในระบบการศึกษา คณะสงฆ์มาต้ังแต่สมัยอาณาจักรดัมพเดณิยะ มีหลักฐานกล่าวถึงคัมภีร์ท่ี พระนักศึกษาจำ�ต้องศึกษาหลายเล่ม แต่ผู้นิพนธ์คัมภีร์เล่มนี้กลับเลือกท่ีจะ ละไว้โดยไม่ให้ความสำ�คัญแต่อย่างใด สันนิษฐานว่าเหตุเพราะท่านสืบทอด มาจากธรรมกีรติวงศ์ ซ่ึงเคร่งครัดคำ�สอนเถรวาทดั้งเดิม มุมมองของท่าน จึงมุ่งไปท่ีการรักษาคุ้มครองความบริสุทธ์ิของเถรวาทด้ังเดิมตามแนวทาง แห่งพระบูรพาจารย์ ๓) การสืบเช้ือสายทางตระกูล: ดูเหมือนว่าผู้นิพนธ์จะให้ความ สำ�คัญเกี่ยวกับการสืบเชื้อสายทางตระกูลไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ เสนาบดหี รอื แมแ้ ตพ่ ระสงฆล์ ว้ นเนน้ เรอ่ื งตระกลู ทง้ั สน้ิ ขอ้ มลู เชน่ นชี้ ใี้ หเ้ หน็ วา่ ตระกลู เปน็ ตวั ชว้ี ดั ความสงู สง่ ทางต�ำ แหนง่ หากมองในลกั ษณะของฆราวาส กไ็ มเ่ ปน็ เรอ่ื งแปลกอนั ใด แตพ่ ระสงฆเ์ นน้ เรอื่ งตระกลู เฉกเชน่ ชาวบา้ น ท�ำ ให้ เห็นภาพวา่ คณะสงฆ์สมยั นน้ั คลอ้ ยตามสงั คมชาวบา้ นจนไร้จดุ ยนื แหง่ ตน วา่ ตามหลกั ฐานความนยิ มเรอ่ื งตระกลู ปรากฏเหน็ มาตง้ั แตส่ มยั อาณา จักรดัมพเดณิยะ ส่วนหนึ่งอาจได้รับอิทธิพลมาจากพราหมณ์ฮินดูที่เข้ามา อาศัยพระบรมโพธิสมภารของกษัตริย์สิงหล แล้วเติบโตกลายเป็นขุนนาง ต�ำ แหนง่ ใหญใ่ นราชส�ำ นกั ตระกลู ทางสงั คมฆราวาสคอื การแตง่ งานสมั พนั ธ์ เช่ือมโยงกันและกัน ส่วนตระกูลของสงฆ์เห็นร่องรอยในกติกาวัตรที่ระบุว่า ก่อนจะรับเข้าเป็นสมาชิกสงฆ์ คำ�ถามแรกที่ต้องตอบคือมาจากตระกูลใด
(ณ) เพราะการทราบตระกลู หมายถงึ การเปน็ ทายาทสบื ทอดมรดกของอาจารยต์ น ชื่อว่าศิษยานศุ ษิ ยป์ รัมปรา หรือญาติปรมั ปรา อาจเป็นเพราะสมัยอาณาจักรดัมพเดณิยะน้ัน ความรุ่งเรืองเรื่อง ทรัพย์สินของอารามวิหารเป็นท่ียอมรับแพร่หลาย พระสงฆ์ผู้ครอบครอง มรดกของอารามวหิ ารมกั ถา่ ยโอนทรพั ยส์ นิ ใหแ้ กศ่ ษิ ยห์ รอื ญาตติ น การครอบ ครองดงั กลา่ วรวมถงึ การควบคมุ เศรษฐกจิ และก�ำ ลงั คน จงึ เปน็ ผทู้ รงอทิ ธพิ ล โดยปรยิ าย ความนยิ มเชน่ นน้ี า่ จะมผี ลสง่ ตอ่ มาถงึ สมยั ผนู้ พิ นธค์ มั ภรี เ์ ลม่ นกี้ ็ เปน็ ได้ แมผ้ นู้ พิ นธก์ อ็ า้ งวา่ ทา่ นมาจากตระกลู มหแดลยิ า สนั นษิ ฐานวา่ นา่ จะ เปน็ ตระกลู ขนุ นางทรงอิทธิพลตระกลู หนง่ึ สมยั น้นั ๔) ความทรงอิทธิพลของเสนาบดี: ดังทราบกันแล้วว่าเสนาบดีผู้ มากบารมสี มยั อาณาจักรคัมโปละน้ันคอื เสนาบดเี สนาลงั กาธกิ าระ เสนาบดี อลคักโกนาระ และเสนาบดีวีรพาหุอลเกศวร ผู้นิพนธ์ไม่กล่าวถึงความเป็น มาของเสนาบดีท้ังสามท่านแต่อย่างใด เพียงแต่ละไว้ในฐานเข้าใจเท่าน้ัน แต่หากวิเคราะห์รายละเอียดของเนื้อหาจะเห็นว่า เสนาบดีท้ังสามท่านเป็น ผู้เปล่ียนแปลงระบอบการปกครองของศรีลังกา เพราะไม่เคยปรากฏเห็น มาก่อนว่าเสนาบดีสามารถควบคุมอำ�นาจของกษัตริย์จนหมดสิ้น อำ�นาจ ดังกล่าวหมายถึงการยอมรับทง้ั ทางบา้ นเมืองและคณะสงฆ์ ประเด็นแรกคือเสนาบดีทั้งสามท่านมีกำ�เนิดมาจากชาวทมิฬแห่ง อินเดีย จึงมีเลือดของชาวทมิฬผสมอยู่ แต่อาศัยว่าบรรพบุรุษอพยพ โยกยา้ ยมาอยศู่ รลี งั กานาน แลว้ หนั มานบั ถอื พระพทุ ธศาสนา ความเปน็ ทมฬิ แบบฮนิ ดจู งึ เจอื จางลง เสนาบดเี สนาลงั กาธกิ าระนนั้ เปน็ ขนุ นางสายกองทพั สงั เกตไดจ้ ากชอื่ วา่ เสนาลงั กาธกิ าระ บา้ นเกดิ อยบู่ รเิ วณวดั ลงั กาตลิ กะไมไ่ กล เมอื งคมั โปละ สว่ นเสนาบดอี ลคกั โกนาระเปน็ ตระกลู พอ่ คา้ มแี หลง่ ก�ำ เนดิ อยู่
(ด) ทเ่ี มอื งรายคิ ามทางตะวนั ออกตอนใตข้ องเกาะลงั กา ส�ำ หรบั วรี พาหอุ ลเกศวร เปน็ หลานชายของอลคกั โกนาระ ผู้รับมรดกต่อจากลุงแหง่ ตน การแขง่ ขนั แยง่ ชงิ อ�ำ นาจของชาวสงิ หลเปดิ ชอ่ งใหเ้ สนาบดกี า้ วขนึ้ มามี อ�ำ นาจ แตก่ ารจะรกั ษาอ�ำ นาจนนั้ จ�ำ ตอ้ งเรง่ ท�ำ งานใหเ้ ปน็ รปู ธรรมสองอยา่ ง หนึ่งนั้นคือขับไล่กษัตริย์ทมิฬออกจากอาณาจักรคัมโปละ อีกหนึ่งน้ันต้อง อุปถัมภ์บำ�รงุ พระพุทธศาสนา จงึ ไมแ่ ปลกทเี่ สนาบดที ้งั สามทา่ นจะพยายาม ท�ำ กิจสองอย่างให้ส�ำ เรจ็ โดยเฉพาะเสนาบดีอลคกั โกนาระนัน้ ประสบความ สำ�เร็จทั้งสองด้าน จึงเป็นที่ยกย่องสรรเสริญของชาวสิงหลทุกหมู่เหล่า ไม่ แปลกทที่ ่านจะได้รับความเคารพนบั ถือสงู เด่นกว่ากษัตริยส์ ิงหล ส่งิ ท่แี ทรกตัวเข้ากับเสนาบดเี หลา่ นค้ี อื คติความเชื่อฮนิ ดู แม้จะนบั ถอื พระพุทธศาสนาก็จริง แต่ความเช่ือแบบฮินดูก็ไม่ละท้ิง ด้วยเหตุน้ัน ยุคนี้ จึงเห็นรูปปั้นเทพเจ้าน้อยใหญ่ของฮินดูดำ�รงคงอยู่เคียงข้างพระพุทธรูปตาม อารามวหิ ารทว่ั เกาะลงั กา การประนปี ระนอมเชน่ นเี้ ปน็ ผลใหพ้ ระพทุ ธศาสนา เรม่ิ ตกต�ำ่ ถดถอย จนเป็นเหตุให้มีการช�ำ ระฟืน้ ฟพู ระศาสนาครัง้ แลว้ ครัง้ เลา่ ๕) ราชวงศ์อารยจักรวรัติ: ราชวงศ์นี้เป็นเชื้อสายกษัตริย์ทมิฬ ทางอินเดียตอนใต้ เข้ามาครอบครองและมีอิทธิพลบริเวณตอนเหนือของ เกาะลังกายาวนานเกือบห้าศตวรรษ เบื้องต้นเป็นเสนาบดีของพระเจ้า มาฆะ ผู้บกุ รกุ ยดึ ครองอาณาจักรโปโฬนนารุวะ ดว้ ยความดคี วามชอบจงึ ได้ รับบรรณาการให้ครอบครองบริเวณตอนเหนือเกาะลังกา ให้ทำ�หน้าที่ดูแล ทา่ เรือสำ�คัญบรเิ วณตอนเหนอื ทง้ั หมด ตลอดทั้งตรวจสอบความเคล่ือนไหว ทางทหารระหวา่ งกษัตรยิ ส์ งิ หลและกษัตรยิ แ์ หง่ อินเดียตอนใต้ ครั้นพระเจ้ามาฆะสวรรคตส้ินแล้ว ได้ต้ังราชวงศ์อารยจักรวรัติขึ้น มีเมืองหลวงจัฟฟ์นาเป็นศูนย์กลาง เพราะควบคุมเส้นทางการค้ากับต่าง ประเทศหนึ่ง เพราะมีกษัตริย์แห่งอินเดียตอนใต้ให้การสนับสนุนหนึ่ง จึง
(ต) สร้างแสนยานุภาพอย่างยิ่งใหญ่สามารถยกทัพเข้าตีอาณาจักรชาวสิงหล ให้ถอยร่นลงใต้ และบีบบังคับให้กษัตริย์สิงหลส่งเครื่องราชบรรณาการ เข้ามาสวามภิ ักด์ดิ ้วย ความยงิ่ ใหญ่ของกษตั ริยแ์ หง่ ราชวงศ์จักรวรัตเิ ห็นได้ จากการบันทกึ ของอิบนั บาตตู ะ พอ่ ค้าชาวอาหรับผู้เดนิ ทางผ่านมา เน่อื งจากถกู กษตั รยิ อ์ ารยจักรวรัติกดข่ขี ม่ เหง ชาวสงิ หลทกุ หมูเ่ หลา่ จึงโหยหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ดังบูรพกษัตริย์ เพื่อปลดแอกบ้านเมืองแห่งตน ให้เป็นอิสระ ลักษณาการเช่นนี้พบเห็นดาษด่ืนในวรรณกรรมยุคนั้น คัมภีร์ บางเล่มประณามกษัตริย์อารยจักรวรัติว่าเป็นผู้ท�ำ ลายวัฒนธรรมอันงดงาม ของชาวสงิ หล สว่ นบางเลม่ สอดแทรกความเกลยี ดชงั ใหบ้ งั เกดิ แกช่ าวสงิ หล ด้วยเหตุนั้นเม่ือเสนาบดีอลคักโกนาระสามารถปลดแอกบ้านเมืองได้ ชาว สงิ หลทกุ ตวั คนจึงก้มหวั ยอมศโิ รราบแก่เสนาบดที า่ นน้สี ิน้ แม้ผนู้ พิ นธ์คมั ภีร์ เล่มน้ีกส็ รรเสรญิ เสนาบดีอลคกั โกนาระมากกว่าท่านอ่นื ในการแปลคมั ภีร์นกิ ายสงั ครหยะครั้งนี้ ผูแ้ ปลได้อาศัยคัมภีร์สามเล่ม เป็นคู่มือ ได้แก่ นิกายสังครหยะหรือศาสนาวตารยะฉบับภาษาสิงหลของ แอล คุณรัตนะ ^ksldh ix.%yh fyj;a Ydikdj;drh -t,a .qKr;ak& นิกายสงั ครหยะหรือศาสนาวตารยะฉบบั ภาษาสงิ หลของคุณวรรธนะ นานา ยั ก ก า ร ะ ^ksldh ix.%yh fyj;a Ydikdj;drh -.qKjraOk kdkdhlaldr& และฉบับแปลภาษาอังกฤษ The Nikaya Sagrahawa by C.M. Fernando เหตุที่ต้องใช้ทั้งสามเล่มเป็นคู่มือ เพราะจาก การตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว แต่ละเล่มมีความเด่นกันคนละด้าน เล่มแรกน้ันจัดแบ่งเนื้อหาอย่างชัดเจน โดยตั้งหัวข้อแต่ละเหตุการณ์อย่าง กะทัดรัดง่ายต่อการเข้าใจ พร้อมคาถาที่แบ่งย่อหน้าอย่างถูกต้อง เล่มสอง ขาดความสมบูรณ์ด้านการแบ่งหัวข้อเร่ือง แต่เด่นด้านการยกคำ�ยากมา อธิบายไว้ตอนท้าย ทำ�ให้สามารถสอบทานเข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น ส่วนเล่ม
(ถ) สุดท้ายเป็นการถอดแปลด้วยสำานวนกะทัดรัด มีส่วนช่วยให้เข้าใจศัพท์ ภาษาสิงหลชนิดยากได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะคาถาน้ันแม้จะแปลย่อสั้นแต่ ก็สามารถชว่ ยอนเุ คราะห์ใหป้ รับแก้สาำ นวนได้อย่างถกู ตอ้ ง ผู้แปลขอขอบพระคุณพระศรีปริยัติธาดา ผู้อำานวยการวิทยาลัยสงฆ์ บรุ ีรัมย์ ท่ีเมตตาเขียนคำานิยม ขอขอบคุณญาติธรรมหลายทา่ นท่ีเห็นความ สำาคัญของเร่ืองราวศรีลังกาด้วยการบริจาคปัจจัยสนับสนุนการพิมพ์คร้ังน้ี ขอขอบพระคุณพระครูศรีปัญญาวิกรม, ดร. หัวหน้าสาขาวิชาพระพุทธ ศาสนา และพระมหาถนอม อานนÚโท อาจารย์ประจำาวิทยาลัยสงฆ์บุรีรัมย์ ในฐานะกัลยาณมิตรที่เมตตาให้กำาลังใจพร้อมสอบถามความคืบหน้า หวัง เป็นอย่างย่ิงว่างานแปลเล่มนี้จะช่วยเติมความเป็นศรีลังกาในแวดวงบรรณ พภิ พใหส้ มบูรณ์มากขนึ้ (พระมหาพจน์ สุวโจ, ดร.) อาจารยป์ ระจาำ วทิ ยาลัยสงฆ์บรุ รี ัมย์ ๓๐ ตลุ าคม ๒๕๕๙
สารบญั ๑ ๙ ค�ำ นยิ ม ๑๙ ค�ำ นำ� ๓๕ บทท่ี ๑ ปณามคาถา ๕๓ บทท่ี ๒ จากสเุ มธดาบสถึงกาลแห่งนฤพาน ๖๙ บทท่ี ๓ กาลแหง่ สังคายนา ๘๓ บทที่ ๔ พุทธศาสนาเขา้ สเู่ กาะลงั กา ๑๐๑ บทที่ ๕ เถรวาทววิ าทมหายาน ๑๐๙ บทที่ ๖ โปโฬนนารวุ ะและดมั พเดณยิ ะ บทท่ี ๗ เสนาบดอี ุปถมั ภพ์ ระศาสนา บทที่ ๘ ปัจฉมิ บท บรรณานุกรม
ปณามคาถา 1 º··èÕ ñ ปณามคาถา ¢อคว�มเป็นผู้มีอ�ยุยืนย�ว คว�มเป็นผู้มีสุขภ�พร่�งก�ยแข็งแรง ตลอดทั้งคว�มเจริญรุ่งเรือง จงบังเกิดมีแก่พระเจ้�แผ่นดิน ผู้เป็นใหญ่กว่� นรชน เหล่�ข้�ร�ชบริพ�ร และอ�ณ�ประช�ร�ษฎร ์ ผมู้ กี ติ ติศัพทอ์ นั งดง�ม และเลอื่ งลอื ไปไกล ผ้สู ร�้ งคว�มร่งุ โรจน์แกเ่ ก�ะลังก�๑ ผทู้ ำ�หน้�ทีค่ มุ้ ครอง พระศ�สน� ผ้รู กั ษ�โลกสนั นิว�สของปวงสัตว์ และผูก้ �ำ ลงั ดำ�เนนิ เข้�สมู่ รรค วถิ ีอนั เอกอุดม ด้วยคว�มปร�รถน�ดีกอปรด้วยวสิ ัยแหง่ ปิย�ทคิ ณุ ตัวอ�ตม�พระเถระผู้ใหญ่น�มว่�ชัยพ�หุ มีน�มเดิมว่�เทวรักษิตะ๒ ไดน้ พิ นธค์ มั ภรี น์ กิ �ยสงั ครหยะ พรรณน�ว�่ ดว้ ยก�รบนั ทกึ ประวตั ศิ �สตรแ์ หง่ พระศ�สน�ของพระศ�สด�เจ้� นับจ�กเพล�แห่งก�รปรินิพพ�นขององค์ พระบรมศ�สด�จ�รย์ จนเข้�ถึงเบญจทศมก�ลพรรษ�ภ�ยหลังร�ช�ภิเษก ของพระเจ้�ภูวไนกพ�หุที่ ๕ ผู้เป็นร�ช�ธิบดีแห่งคังค�สิริปุระ ผู้เป็นใหญ่ เหนือสมนั ตร�ช�ตลอดเก�ะลังก�ทง้ั สิ้นท้ังปวง อ�ศัยเหตุน้ีแล อ�ตม�พระชัยพ�หุเถระจึงได้รวบรวมเร่ืองร�วน้อย ใหญ่ที่เกล่ือนกล�ดกระจัดกระจ�ยต�มนัยวัตถุแห่งบูรพ�จ�รย์ แล้วนำ�ม� แตง่ เปน็ วงศว์ �นแหง่ พระเถร�จ�รยผ์ ทู้ รงพระวนิ ยั สมยั ป�งบรรพ ์ ดว้ ยอ�ศยั วิสัยคว�มรู้แห่งตนพรรณน�ต�มลักษณะแห่งอ�ตม�กถ� พร้อมเร่ืองร�ว นอ้ ยใหญ่ท่ีเปน็ พหุสุต� ดว้ ยอ�ศยั แรงศรทั ธ�มงุ่ มั่นตัง้ ใจ มุ่งหม�ยรวบรวม เรือ่ งร�วให้เป็นเน้อื คว�มเดยี วกัน บดั น ้ี ขอใหท้ �่ นทง้ั หล�ยจงสดบั ตรบั ฟงั ดว้ ยคว�มเค�รพยนิ ดเี ทอญ ฯ
2 นิกายสงั ครหยะ เชิงอรรถ ๑ คำ�ว่า “ลังกา” เป็นชื่อเก่าแก่โบราณของเกาะแห่งนี้ พบเห็นเป็นครั้งแรก ในมหากาพย์รามเกียรติ์ หากวิเคราะห์ตามเน้ือหาของรามเกียรต์ิจะเห็นว่า เกาะแห่งนี้รุ่งเรืองแผ่ไพศาล มากมีด้วยทรัพยากรธรรมชาติ และมากมาย ด้วยผู้คนท่ีมีสติปัญญาฉลาดสามารถไม่แพ้อินเดียถิ่นมาตุภูมิ ไม่เช่นนั้นคง ไม่สามารถต่อกรกับอารยันผู้ยิ่งใหญ่ดังเช่นพระรามได้ ส่วนหลักฐาน จากคัมภีร์ทีปวงศ์และคัมภีร์มหาวงศ์ของลังกาอ้างว่า ลังกาปุระเป็น เมืองเก่าแก่ก่อนการย้ายเข้ามาอยู่ของชาวสิงหล แต่ครั้นพระพุทธศาสนา เข้ามาเผยแผ่ต้ังม่ันบนเกาะลังกาแล้ว วรรณคดีเชิงพุทธท้ังสิ้นทั้งปวงต่าง พากันเปลี่ยนนามเกาะใหม่ว่า สิงหลทวีปและธรรมทวีป นัยหน่ึงอาจ เป็นการชี้บอกว่าเกาะแห่งน้ีเป็นของชาวสิงหล เพราะสมัยนั้นกลุ่มชนท่ี ครอบครองเกาะลังกาแทบท้ังหมดคือชาวสิงหล อีกนัยหน่ึงต้องการเปล่ียน ทศั นคตขิ องผคู้ นใหล้ มื เลอื นคตคิ วามเชอ่ื แบบเดมิ แลว้ หนั มาสรา้ งบา้ นเมอื ง ใหม่ในฐานะเป็นดินแดนแหง่ พระพทุ ธศาสนา อนั มีชาวสงิ หลเปน็ ผทู้ �ำ หน้าที ่ อารกั ขาคุ้มครอง ๒ หากศึกษาวิเคราะห์พัฒนาการการตั้งชื่อของพระศรีลังกา จะเห็นได้ว่ามี การเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย เบ้ืองต้นน้ันใช้นามฉายาตามท่ีครูอาจารย์ แหง่ ตนตง้ั ให้ กรณมี ชี อื่ คลา้ ยกนั มกั เพมิ่ ศพั ทอ์ นั เปน็ บคุ ลกิ ลกั ษณะของแตล่ ะ รูปเข้าไป เช่น พระพหลมัสสุติสสะ หมายถึงพระติสสะผู้มีเคราหนา สมัย อาณาจกั รโปโฬนนารวุ ะเร่ือยมามักถือเอาส�ำ นักท่ีตนสงั กัดเป็นชือ่ หนา้ เชน่ พระทิมบุลาคะละกัสสปเถระ พระวันรัตนะอานนท์เถระ และพระธรรมกีรติ สีลวังสเถระ ล่วงเข้าสมัยปัจจุบันพัฒนาการได้เปล่ียนแปลงไป พระสงฆ์ นิยมนำ�ชื่อหมู่บ้านมาเป็นชื่อรอง ดังเช่น พระฮิกกดุเว สุมังคลเถระ
ปณามคาถา 3 หมายความวา่ พระสมุ งั คละแหง่ หมบู่ า้ นฮกิ กดวุ ะ เปน็ ตน้ สมยั พกั อยศู่ รลี งั กา ผู้แปลเคยถามพระเถระผู้ใหญ่ว่าความนิยมใช้ช่ือหมู่บ้านเป็นช่ือรองของ ฉายาแบบพระสงฆ์ได้คติมาจากไหน ได้รับคำ�ตอบวา่ น่าจะเป็นความเช่ือนับ ตง้ั แตส่ มยั พทุ ธกาล เพราะพระพุทธเจา้ เองกเ็ ป็นที่รูจ้ กั ในนามว่าสมณโคดม หมายถงึ พระสมณะผูม้ าจากโคตมโคตร
4 นิกายสังครหยะ ปกหนงั สอื นกิ ายสังครหยะ เรยี บเรียงโดย แอล คุณรตั นะ
ปณามคาถา 5 พระพทุ ธรูปศิลปะแคนดีภายในวิชโยตปฏเจดีย์ วดั คฑลาเดณยิ ะ เขตแคนดี
6 นิกายสังครหยะ แผนทเ่ี กาะลงั กาของพอ่ ค้าชาวฮอลันดา
ปณามคาถา 7 แม่นำ้�มหาแวฬิคงั คา บริเวณด้านหน้าเมืองคัมโปละ
8 นิกายสังครหยะ
จากสุเมธดาบสถึงกาลแหงนฤพาน 9 º··Õè ò จากสเุ มธดาบสถึงกาลแห่งนÄพาน สมัยหนึ่งแต่อดีตก�ลป�งบรรพ์ พระโคดมสัมม�สัมพุทธเจ้�ของช�ว เร�ท้ังหล�ย ผู้เคยประพฤติวัตรบำ�เพ็ญบุญบ�รมีแต่ช�ติป�งก่อนหนหลัง ได้ถือกำ�เนิดบังเกิดเป็นสุเมธด�บสผู้ทรงปัญญ� มีโอก�สอันดีได้เข้�เฝ้� พระทิวกุรุพระพุทธเจ้�๑ และก�ลคร้ังนั้นได้แสดงคว�มปร�รถน�แห่ง พระนิพพ�นภ�วะ แต่ด้วยพระเมตต�คุณแห่งก�รพย�กรณ์ของพุทธเจ้� พระองค์นั้น สุเมธด�บสจึงตั้งจิตแน่วแน่มุ่งหน้�ปร�รถน�เข้�สู่พุทธภ�วะ ต�มค�ำ พย�กรณช์ ีบ้ อกซึง่ ผล�นิสงส์แห่งอน�คตก�ลภ�ยหน้�๒ นับแต่นั้นม�ท่�นได้เวียนว่�ยต�มวัฏสงส�รและเสียสละทุ่มเทสะสม บุญบ�รมี ได้มีโอก�สรับคำ�พย�กรณ์จ�กพระพุทธเจ้�อีกหล�ยพระองค์ คร้ันแล้วได้บำ�เพ็ญบ�รมีครบถ้วนสิบทัศตลอดระยะเวล� ๔ อสงไขย และ หน่ึงแสนวัฏจักรแห่งชีวิต คร้ันคว�มปร�รถน�สมบูรณ์พร้อมแล้ว ต�มนัย ว�ระสดุ ท�้ ยแหง่ บญุ บ�รม ี จงึ ไดบ้ งั เกดิ บนสวรรคช์ นั้ ดสุ ติ แลว้ เสพเสวยทพิ ย์ สมบัตแิ หง่ สวรรค์ภูมนิ น้ั แล ครน้ั ว�รก�ลสมยั หน่งึ เหล�่ เทพยด�และพรหมจ�กหมืน่ โลกจกั รว�ล ได้เข้�เฝ้�ทูลเชิญว่� บัดน้ีถึงเพล�ท่ีพระองค์จะตรัสรู้เป็นพระสัมม�สัม พุทธเจ้�แล้ว พระองค์จึงพิจ�รณ�ปัญจมห�วิโลกนะ แล้วตัดสินพระทัยจุติ ม�ถอื ก�ำ เนดิ ในตระกลู ของพระเจ�้ สทุ โธทนะ ผเู้ ปน็ กษตั รยิ แ์ หง่ เมอื งกบลิ พสั ด ุ์ ได้ปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระน�งมห�ม�ย�เทวี ผู้เป็นมเหสีของพระเจ้� สทุ โธทนะพระองค์น้ันแล
10 นิกายสังครหยะ อันว่าพระเจ้าสุทโธทนะน้ันเป็นผู้บริสุทธ์ิทั้งสองฝ่าย สืบเชื้อสายมา จากอาทิตยโคตร ค�ำ นวณนับแลว้ ว่าเป็นเจ้าชายพระองคท์ เี่ จด็ ร้อย เจ็ดพัน เจ็ดพัน และเก้าสิบเจ็ด ซ่ึงสืบเช้ือสายโดยตรงมาจากพระเจ้ามหาสัมมตะ๓ และเปน็ หนงึ่ ในเจา้ ชายสามรอ้ ย สามสบิ สพ่ี นั หา้ รอ้ ย และเกา้ สบิ เอด็ พระองค์ แหง่ เชอ้ื พระวงศน์ ้นั แล พระโพธสิ ตั วน์ น้ั ทรงประทบั อยใู่ นพระครรภแ์ หง่ พระราชมารดาทศมาส เหตุเพราะจะประสูติกาลเป็นพระพุทธเจ้า ทรงประสูติท่ีสวนลุมพินีอันน่า รื่นรมย์ ตรงกับทิวารแห่งอังคาร วันเพ็ญเดือนวิสาขะ วันเต็มแห่งแปยะท่ี สิบหา้ แหง่ เดอื น ภายใต้วสิ ะฤกษ์ ต่อมาคร้ันเจริญพระชนม์พรรษาแล้ว ได้อภิเษกสมรสกับพระนาง ยโสธรา ทรงเสวยสขุ พรอ้ มพระมเหสี แลแวดลอ้ มดว้ ยนางก�ำ นลั หนง่ึ แสนคน ทรงเสวยสขุ ตามวถิ แี หง่ ราชกมุ ารเสมอื นเทวราชาบนสรวงสวรรค์ ทรงประทบั พระราชวงั ๓ ฤดู นามวา่ รมั มะ สุรัมมะและสภุ ะ ขณะเสวยสุขตามประสาโลกีย์น้ัน พระองค์ได้เห็นจตุลักษณะอันเป็น ธรรมดาประจำ�โลก เป็นเหตุให้พระองค์ประสงค์ก้าวข้ามแสวงหาหนทาง สลัดออก จึงได้ทรงม้ากัณฐกะออกจากพระราชวัง ตัดขาดจากโลกีย์วิสัย ด้วยทรงเพศเป็นนกั บวชประพฤติวัตรตามแบบนักพรตถึงหกพรรษา ขณะน้นั มีทรงมพี ระชนมายไุ ด้ ๒๙ พรรษา เพลารุ่งสางวันหนึ่งทรงรับข้าวมธุปายาสจากนางสุชาดา ผู้เป็น ธิดาของพ่อค้าแห่งวรรณะช้ันสูง เพลากลางวันทรงประทับน่ังใต้ต้นสาละ ครั้นเข้าเพลาราตรีทรงรับหญ้าคาแปดกำ�มือจากพราหมณ์นามว่าโสตถิยะ ได้ปูลาดหญ้าคาเป็นอาสนะภายใต้ต้นโพธิ์ จากนั้นทรงประทับน่ังบน วชริ บัลลงั ก์ สูง ๑๔ น้ิว ซึง่ ผุดข้นึ มาจากภาคพนื้
จากสเุ มธดาบสถึงกาลแห่งนฤพาน 11 ทรงผินพระปฤษฎางค์ไปทางต้นโพธิ์ ประทับน่ังสมาธิ จากนั้นทรง อธิษฐานมีพระประสงค์ไม่แปรเปล่ียน ๔ ประการ๔ ณ ภายใต้ต้นโพธ์ิน้ัน เอง ทรงชำ�นะหมู่มารและเหล่าเสนาส้ิน ตรงกับวันเพ็ญวิสาขมาส ภายใต้ วิสะฤกษ์ ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรงกับโสฬรสมกาลพรรษา แห่งราชาภเิ ษกของพระเจ้าพิมพิสาร ผูเ้ ปน็ จอมกษตั ริยแ์ หง่ มคธรฐั แลขณะน้ันพระองคท์ รงมีพระชนมายไุ ด้ ๓๕ พรรษา ครั้นผ่านพ้นไปเจ็ดสัปดาห์จากการเสวยวิมุตติสุข พระพุทธองค์ทรง รับคำ�เช้ือเชิญจากท้าวมหาพรหม ได้แสดงธรรมจักรท่ีป่าอิสิปตนะ นับจาก นน้ั เปน็ ตน้ มา พระองคท์ รงบ�ำ เพญ็ พทุ ธกจิ แกช่ าวโลกเปน็ เวลา ๔๕ พรรษา คร้ันอัฏฐมพรรษาแห่งการครองราชย์ของพระเจ้าอชาตศัตรูผู้เป็นกษัตริย์ แห่งมคธรัฐ ตรงกับวันอังคารวันเพ็ญเดือนวิสาขะภายใต้วิสะฤกษ์ ทรง ประทับไสยาสน์บนเตียงภายใต้ต้นสาละคู่ท่ีเมืองกุสินาราอันเป็นบริเวณ ของเจา้ มลั ละ ครน้ั เพลารงุ่ อรณุ ของวนั เพญ็ เดอื นวสิ าขะนน่ั แล พระพทุ ธองค์ ทรงเข้าสูน่ ฤพาน โดยไมห่ ลงเหลือสิ่งใดไวเ้ บ้ืองหลงั คร้ันพระบรมศาสดาเจา้ ปรนิ ิพพานหนง่ึ สัปดาหล์ ว่ งแลว้ พระสาวกบางรปู ผยู้ งั ไมล่ ะสงั โยชน์ ครนั้ ทราบขา่ วการปรนิ พิ พานของ พระศาสดาเจา้ ตา่ งพากนั คร�ำ่ ครวญโศกเศรา้ พไิ ลร�ำ พนั แตม่ พี ระภกิ ษรุ ปู หนง่ึ ผเู้ ขา้ สชู่ ราภาวะ มนี ามปรากฏวา่ ภทั ระหรอื ผดู้ งี าม แตล่ กั ษณะนสิ ยั กลบั อภทั ระ คอื ชั่วรา้ ย ไดแ้ สดงกรยิ าอาการยินดปี รีดากล่าวกะพระภิกษผุ ้เู ศรา้ โศกว่า “ดูก่อนเพ่ือนสหธรรมิกท้ังหลาย ท่านจะคร่ำ�ครวญพิไลรำ�พันไปไย จงพากันหยุดรอ้ งไหเ้ สียเถิด พระศาสดาผู้เฒ่ารูปนช้ี อบพดู แต่เรื่องดแี ละรา้ ย ท�ำ ใหพ้ วกเราลำ�บาก บัดนที้ ่านไดจ้ ากเราไปแล้ว พวกเราไม่มีศาสดาอีกแลว้
12 นิกายสังครหยะ พวกทา่ นควรจะยนิ ดกี บั อสิ รภาพมากกวา่ เสยี ใจ บดั นีพ้ วกเราเปน็ อสิ ระแล้ว ปรารถนาจะท�ำ การอันใดกไ็ ด้ตามแต่ใจแล้ว” คำ�พูดเช่นน้ีล่องลอยไปกระทบโสตของพระมหากาศยปเถระ ผู้เป็น พระเถระผู้ใหญ่อันดับสามของพระพุทธเจ้า๕ พระเถระจึงพิจารณาว่าใน อนาคตกาลคณะสงฆ์ไม่ควรเปิดช่องให้บุคคลผู้ปรารถนาลามกเช่นนี้ จึง เกดิ ความด�ำ รทิ จ่ี ะท�ำ สงั คายนา จากนน้ั ไดต้ กลงพรอ้ มกนั กบั พระสงฆอ์ รหนั ต์ สาวก ๕๐๐ รูป ผู้ยินดีกระทำ�ตามเจตนาของพระเถระเจ้า ได้พากันเดิน ทางไปเมืองราชคฤห์ แล้วเข้าเฝ้าเพ็ดทูลพระเจ้าอชาตศัตรูให้ทรงทราบถึง เหตุแห่งการเดนิ ทางมายังอาณาจักรของพระองค์คราวคร้งั นี้
จากสุเมธดาบสถึงกาลแห่งนฤพาน 13 เชงิ อรรถ ๑ พระทปี ังกรพทุ ธเจา้ ๒ การบำ�เพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์เพื่อปรารถนาพุทธภาวะนั้น ภาษาสิงหล เรียกว่าววิ รณะ หมายเอาเฉพาะพระโคดมพระพทุ ธเจ้าเท่าน้ัน การบำ�เพ็ญ นนั้ มนี ยั ดงั กลา่ วถงึ ในคมั ภรี ช์ าดกอรรถกถาของโลกเถรวาท เปน็ ทร่ี จู้ กั กนั ใน ช่ือวา่ ปณั ณาสกชาดก ๓ พระเจ้ามหาสัมมตะคือปฐมกษัตริย์แห่งศากยวงศ์ ถือกำ�เนิดเกิดข้ึนมาแต่ ปางบรรพ์ เป็นผู้ก่อร่างสร้างฐานความเจริญรุ่งเรืองให้แก่อินเดียมาก่อน ใคร เป็นที่น่าสนใจคือพระเจ้ามหาสัมมตะได้รับการยกย่องให้ความสำ�คัญ เฉพาะโลกเถรวาทเทา่ นนั้ ลทั ธศิ าสนาอน่ื หาไดใ้ หค้ วามส�ำ คญั ไม่ สนั นษิ ฐาน ว่าพระเถราจารย์น่าจะสร้างแนวความคิดเช่นนี้ข้ึนมาใหม่ เพื่อคานอำ�นาจ กับพวกพราหมณ์กเ็ ปน็ ได้ ๔ ค�ำ อธษิ ฐานดงั กลา่ วคอื ถา้ เราไมไ่ ดบ้ รรลคุ ณุ พเิ ศษดงั ทต่ี อ้ งการ จะไมล่ กุ จาก ที่บลั ลังกน์ ี้ ถงึ แม้ว่าหนัง เอ็น เนื้อและเลือดจะเหือดแห้งไปก็ตาม ๕ พระมหากัสสปเถระ ท่านเป็นรองจากพระสารีบุตรเถระ และพระโมคคลั ลาน เถระ จึงชอ่ื วา่ เป็นสาวกอันดับสามของพระพุทธเจ้า
14 นิกายสงั ครหยะ ประติมากรรมปูนปั้นว่าด้วยการเสวยพระชาติของพระโพธิสัตว์ ภายในวิหารวัด คังคาราม เมืองกอลล์ มณฑลใต้
จากสุเมธดาบสถึงกาลแห่งนฤพาน 15 ภาพจติ รกรรมฝาผนังว่าด้วยพุทธประวัติ ภายในวัดเบลลันวลิ ราชมหาวหิ าร เขตโคลมั โบ
16 นิกายสังครหยะ พทุ ธคยาสถานปฐมเทศนา กสุ นิ าราสถานปรินพิ พาน
จากสุเมธดาบสถึงกาลแห่งนฤพาน 17 วัดอังคุรกุ รมลั ลวหิ าร เมอื งเนกอมโบ เขตกัมปะหะ จติ รกรรมฝาผนงั ว่าดว้ ยพุทธปรินิพพาน วัดรงั โกฏวิหาร เมืองปานทุระ
18 นิกายสังครหยะ
กาลแหงสังคายนา 19 º··èÕ ó กาลแห่งสงั คายนา ป°มสังคายนา ครั้นทร�บเจตน�ประสงค์ของพระอรหันต์เช่นน้ันแล้ว พระเจ้�อช�ต ศัตรูโปรดให้สร้�งปะรำ�พิธีอย่�งวิจิตรสวยง�ม บริเวณด้�นหน้�ถ้ำ�สัตต บรรณแห่งเวภ�รบรรพต ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ชิดติดมห�นครร�ชคฤห์ พระองค์ โปรดให้ประดับตกแต่งบรเิ วณพธิ ีเสมอื นหน่งึ หอประชมุ แห่งเทวโลก โปรดให้ โปรยปร�ยภ�คพื้นด้วยบุปผ�ช�ติหล�กหล�ยชนิด ส่วนเพด�นเบ้ืองบนให้ จดั แตง่ อย่�งงดง�มดงั ดวงด�วแหง่ สวุ รรณและก�ญจน� ภ�ยในหอประชุมน้ันโปรดให้ปูล�ดอ�สนะอันสวยง�มวิจิตร พร้อม ด้วยเศวตฉัตรก�งก้ันโดยรอบ ตรงกล�งเป็นธรรม�สน์อันมหัคฆ์ค่�สูงด้วย ร�ค� แล้วปูล�ดจัดว�งอ�สนะอีก ๕๐๐ ผนื โดยรอบ ส�ำ หรบั พระอรหันต ์ ๕๐๐ รปู ซงึ่ ล้วนแล้วแตเ่ ป็นผ้ถู งึ ปฏสิ ัมภิท� ๔ และอภิญญ� ๖ เป็นผู้ รู้แจ้งแทงตลอดอริยสัจ ๔ ส�ม�รถทรงจำ�พระไตรปิฎกได้ตลอดธรรมขันธ์ อันว่�อ�สนะอันมหัคฆ์ค่�น้ันสำ�หรับพระมห�ก�ศยปเถระ ผู้เป็นประธ�น แห่งพระสงฆ์เจ็ดแสนรูป ผู้ส�ม�รถข่มคว�มอย�ก ผู้เป็นหัวหน้�ของหมู่ คณะ ส่วนบริเวณรอบปะรำ�พิธีมีจตุรงคเสน�ทำ�หน้�ท่ีอ�รักข�ดูแลตลอด ทิพ�และร�ตรี ก�รสังค�ยน�คร�นั้นใช้เวล�เจ็ดเดือน ว�ระสุดท้�ยมีก�รส�ธย�ย พระพุทธพจน์ทั้งหมดตอ่ หน้�คณะสงฆแ์ ล้วลงมตเิ ปน็ เอกฉนั ท๑์
20 นิกายสงั ครหยะ บัดน้ีคัมภีร์น้ันแบ่งออกเป็น ๓ เรียกว่าปิฎกหรือคัมภีร์พระไตรปิฎก ได้แก่ พระวินัยปิฎก พระอภิธรรมปิฎก และพระสุตตันตปิฎก คัมภีร์เล่มน้ี บรรจุหวั ข้อ ๘,๔๐๐๐ พระธรรมขนั ธ์ และแยกยอ่ ยเปน็ สองแสนเจด็ หม่นื หา้ พนั และสองร้อยห้าสิบขนั ธ์ ข้อความต่อไปน้ีปรากฏมีในคัมภีร์พระไตรปิฎก ปริชิ ปจิตติ มหาวคะ สุฬุวคะ ปริวาระ ธมั มสงั คณุ ุ วิภงั คะ กถาวัตถุ ปทุ คลปัญทยตั ิ ธาตกุ ถา อนิ ทรยิ มกะ มลู ยมกะ ทวกิ ปฏั ฐานะ ตกิ ปฏั ฐานะ ทวกิ นกิ ปฏั ฐานะ ทีฆนิกายะ มัธยมนิกายะ สังยตุ นกิ าย องั คุตตรนกิ าย สตู รนปิ าตะ วิมาน วัสตุ เปรตวัสตุ เถรคาถา ชาตก นิรเทศะ ประติสัมภิทา อปทานะ พทุ ธวังศะจรยิ าปฏิ กะ เป็นตน้ ๒ ความสำ�เร็จแห่งการสังคายนาเป็นเหตุให้เกิดความยินปรีดาทั่วหล้า แม้แต่ธรรมชาติก็แสดงความยินดีด้วยการหล่ังอุทกธาราจากฟากฟ้า ดัง หนง่ึ ประพรมดว้ ยน�ำ้ หอม ผคู้ นพากนั รอ้ งร�ำ ดว้ ยความปตี ยิ นิ ดี เสยี งสาธกุ าร ดังกังวานก้องไปไกลสุดขอบฟ้าจักรวาล แม้กำ�แพงศิลาเจ็ดช้ันได้หมุนรอบ โลกเพราะปีติยินดีไมม่ สี ้นิ สดุ ท่ัวโลกตา่ งพากันแซซ่ อ้ งยินดปี รีดาทุกหนแห่ง ผลจากการสงั คายนาครานนั้ ท�ำ ใหเ้ กดิ มพี ระเถระรกั ษาพระพทุ ธพจน์ สืบต่อ ได้แก่ ศิษย์สายพระศารีปุตรเถระ๓ ศิษย์สายพระโมคคัลยนเถระ และศษิ ยส์ ายพระมหากาศยปเถระ เปน็ ตน้ ตา่ งพากนั สรา้ งความมน่ั คงถาวร แก่พระศาสนาเพื่อให้ครบถ้วนห้าพันปี๔ เพราะศิษย์เหล่านั้นสามารถดำ�รง คงมัน่ เถริยนกิ าย๕ จนเกิดมีผู้คนศรัทธาเลอื่ มใสมากมายเหลือคณานบั ด้วยรำ�ลึกนึกถึงการสังคายนาคราน้ัน พระเถราจารย์จึงได้พรรณนา เปน็ คาถาไดว้ ่า สาธุการัง ทะทันตีวะ สาสะนัฏฐีติ การะณา สงั คตี ิ ปะรโิ ยสาเน อะกัมปติ ถะ มะหามะหี ฯ
กาลแห่งสงั คายนา 21 อรรถาธิบายตามนัยพระคาถาว่า คร้ันส้ินสุดแห่งการสาธยายพระ พุทธพจน์ของพระอรหันต์สังคีติกาจารย์แล้ว ความยินดีปรีดาด้วยเสียง สรรเสริญสาธุการอันดังของปวงศรัทธาสาธุชน ซึ่งเกิดจากทัศนาการแห่ง ความตั้งมั่นของพระศาสนาแห่งพระชินสีห์ สน่ันหวั่นไหวปานประหน่ึงแผ่น ดนิ จะทรดุ ทุตยิ สังคายนา ครน้ั พระเจ้าอชาตศัตรูแห่งมคธรฐั สวรรคตลว่ งแล้ว มกี ษัตรยิ ผ์ คู้ รอง ราชย์สบื ตอ่ มาอีกหลายพระองค์ ได้แก่ พระเจ้าอทุ ยภัททะ พระเจ้าอนุรุทธะ พระเจ้ามหามุณฑะ พระเจ้านาคทาสะ และพระเจ้าสุสุนาคะ๖ ต่อมาเป็น กษัตริย์ผู้ขึ้นครองราชย์ท่ีเมืองแปฬลุป๗ กล่าวคือพระเจ้ากาฬาโศก ถือว่า เป็นกษัตริย์พระองค์ท่ีเจ็ดนับจากพระเจ้าอชาตศัตรู หากคำ�นวณต้ังแต่ต้น จนถึงทสมกาลพรรษาแห่งราชาภิเษกของพระองค์ ชื่อว่าครบหน่ึงศตวรรษ แหง่ การปรนิ พิ พานของพระศาสดาเจา้ สมัยนี้ภิกษุชาววัชชีซึ่งพำ�นักพักอาศัยอยู่ท่ีมหาวนารามแห่งเมือง ไวสาลี พากันคิดดัดแปลงข้อบัญญัติแห่งพระวินัย และพากันทำ�การทุกส่ิง อยา่ งตามความชอบใจแหง่ ตน ดว้ ยการประพฤตวิ ตั ถุ ๑๐ ประการ ดังเช่น พากันยินดีเก็บเกลือไว้ในเขาสัตว์ ยินดีฉันอาหารเพลาบ่ายเลยสององคุลี ยินดรี ับเงินและทอง เปน็ ต้น ชื่อว่าสลี สามญั ญตาวบิ ตั ิ เป็นเหตุใหเ้ กดิ ความ แตกแยกภายในคณะสงฆ์ คราน้ันพระมหาเถระนามว่ายสะทราบเร่ืองราวความเสียหายเช่นน้ัน แล้ว ได้ประชุมสงฆ์แล้วสอบสวนอธิกรณ์ มีพระสงฆ์เข้าร่วมประชุมหนึ่ง ลา้ นสองแสนรปู ซง่ึ ลว้ นแลว้ แตเ่ ปน็ พระอรหนั ตข์ ณี าสพ เพอื่ ไตส่ วนวตั ถุ ๑๐ ประการ พระเถระผูท้ ำ�หน้าท่วี สิ ชั นาคือพระสัพพกามีมหาเถระ
22 นิกายสงั ครหยะ ครน้ั แลว้ มตสิ งฆป์ ระกาศวา่ วตั ถุ ๑๐ ประการผดิ เพย้ี นจากพระธรรม วนิ ยั ตอ่ มาพระเถระพรอ้ มพระสงฆจ์ �ำ นวนมาก ไดป้ ระชมุ ทมี่ หาวนารามแหง่ เมอื งไวศาลอี ีกคร้ังหนึง่ เพอ่ื แกไ้ ขความเสยี หายพรอ้ มลงสงั ฆกรรมแก่ภกิ ษุ ชาววัชชีผู้เป็นสีลสามัญญตาวิบัติ จากนั้นได้ประกาศพระธรรมวินัยอันถูก ต้องใหเ้ ป็นท่รี จู้ ักแพรห่ ลาย ส่วนภิกษุชาววัชชีผู้ประพฤติเสียหายได้พากันเข้าไปเฝ้าพระเจ้ากา ฬาโศก แล้วเพ็ดทูลเร่ืองราวหลายอย่างว่า “ข้าแต่มหาบพิตร พระยสมหา เถระพร้อมพระเถระจำ�นวนมากมายงั มหาวนาราม อนั เปน็ ทพี่ �ำ นกั พกั อาศัย ของมวลอาตมาภาพ ขอพระองคจ์ งหา้ มพระสงฆ์เหล่านั้นดว้ ยเถิด” พระเจ้ากาฬาโศกน้ันครั้นได้สดับคำ�เช่นนั้นแล้ว ไม่ทรงทราบความ แตกต่างระหว่างพระสงฆ์ผู้ประพฤติถูกต้องกับผู้ประพฤติเสียหาย ทรง ประกาศก้องด้วยพระสรุ เสยี งดังเสมอื นพญาราชสหี ์ จึงมพี ระราชโองการให้ ทราบท่ัวกันว่า “ไม่ทรงอนุญาตคณะสงฆ์หมู่ใหญ่ โดยการนำ�ของพระยส มหาเถระลว่ งเขา้ สอู่ าณาจกั รของพระองค์” เหล่าทหารที่รบั พระราชโองการ นนั้ ส�ำ คญั หนทางผิด จงึ พากันดุ่มเดินไปทางอ่นื เพราะอานุภาพของเทวดา เพลารัตติกาลคืนนั้นขณะพระองค์ทรงนิทรา พระเจ้ากาฬาโศกได้ สุบินนิมิตว่าพระองค์ตกลงไปสู่นรกโลหกุมภี มีพระมังสาและพระอัฐิ เดือดพล่านในนรกแห่งนั้น พระองค์สะดุ้งตื่นด้วยความหวาดกลัว และไม่ สามารถข่มพระเนตรหลบั ตลอดคืนได้ วนั ถดั มาพระองคไ์ ดท้ อดพระเนตรเหน็ พระกนษิ ฐาผเู้ ปน็ ภกิ ษณุ อี รหนั ต์ จึงทูลสุบนิ นมิ ิตให้ฟัง ภกิ ษุณจี ึงสวดพทุ ธพจน์ว่า อะลชั ชนี งั พะลงั ทตั วา ภาเปติ วนิ ะยงั มะมะ ชีวันโตเยวะ ชาโตสิ คัมภีรา โลหะกมุ ภยิ า ฯ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148