Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore จุดประกายแห่งปัญญา[หลวงพ่อทูล]

จุดประกายแห่งปัญญา[หลวงพ่อทูล]

Published by ir.uk.bee, 2015-08-20 02:41:15

Description: พุทธประวัติที่ถูกเรียบเรียงไว้ในแต่ละประเทศ เหมือนกันบ้างและไม่เหมือนกันบ้างในบางจุด หลวงพ่อทูลได้เรียบเรียงไว้ในอีกเหตุผลหนึ่งเพื่อให้ท่านทั้งหลายได้เข้าใจ ถึงจะมีความแตกต่างกันบ้าง แต่จุดสำคัญคือการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า อุบายธรรมอะไรที่พระพุทธเจ้าใช้สอนใจในการตรัสรู้ ท่านทั้งหลายจะได้เข้าใจในหนังสือเล่มนี้

Search

Read the Text Version

ตีความหมายในค�ำสอนของพระพทุ ธเจ้าให้ดี ในยคุ ปจั จบุ นั มหี ลายครอู าจารยแ์ ละหลายคณะพดู วา่ ได้ปฏิบัติตามค�ำสอนของพระพุทธเจ้า สังเกตดูอุบายการปฏิบัติแตล่ ะคณะไปคนละทศิ ละทางกนั แตล่ ะคณะกว็ า่ อบุ ายการปฏบิ ตั ิของตวั เองถกู ตอ้ ง จงึ ไดแ้ บง่ เปน็ สายนน้ั สายน้ี จงึ มกี ารเปรยี บเทยี บกบั “ตาบอดคล�ำช้าง” ใครคลำ� ถูกท่ตี รงไหนกเ็ ขา้ ใจวา่ ช้างเปน็อย่างนั้นไป ใครๆ ก็มคี วามเข้าใจว่าตวั เองรจู้ กั ชา้ งตัวจรงิ ทั้งนน้ัน้ีฉนั ใด ในยุคปจั จบุ นั แต่ละสำ� นัก แตล่ ะนกิ าย ก็มีความเข้าใจว่าคณะของตัวเองรู้ประวัติของพระพุทธเจ้า และรู้หมวดธรรมค�ำสอนของพระพทุ ธเจ้ามาดี กฉ็ นั น้นั เม่อื ความเห็นไม่ตรงกนัจึงมปี ัญหาเกิดขนึ้ ได้แยกเป็นนิกายนน้ั นกิ ายน้ขี นึ้ มา ดงั ที่รกู้ ัน

๙๖ จดุ ประกายแห่งปัญญา ในยุคปจั จุบัน เป็นนกิ ายใหญ่ ๒ นกิ าย คือ (๑) นิกายมหายาน (๒) นิกายเถรวาท นิกายทั้งสองมีความเห็นในค�ำสอนของพระพุทธเจ้า ต่างกันอกี กแ็ ยกออกไปตง้ั เป็นนกิ ายใหม่ มหี ลายนกิ ายดว้ ยกนั การตีความหมายในค�ำสอนของพระพุทธเจ้า หลังจาก สังคายนาครั้งที่ ๕ ผ่านไป ในยุคต่อมาเป็นยุคอรรถกถาจารย์ สืบทอดพระพุทธศาสนาเรื่อยมา มีการตีความแก้ไขเพ่ิมเติมใน ค�ำสอนของพระพทุ ธเจ้าอย่บู ้าง ในคำ� สอนหลายหมวดมีเหตผุ ล เชอื่ ถอื ได้ ในบางหมวดการวางตำ� แหนง่ สลับกัน ไมเ่ ปน็ ไปตาม หลักเดิมทีพ่ ระพุทธเจ้าไดต้ รัสเอาไว้ เชน่ สกิ ขา ๓ ที่ร้กู ันอยูว่ ่า “ศลี สมาธิ ปญั ญา” ซงึ่ ย่อมาจากมรรค ๘ เมอื่ ยอ่ มาแลว้ แทนที่ จะตั้งตามหลักหรือตำ� แหน่งเดิมที่พระพุทธเจา้ วางไว้ สมั มาทฏิ ฐิ สมั มาสงั กปั โป ทงั้ สองนเ้ี ปน็ หมวดของปญั ญา สมั มาวาจา สมั มากมั มนั โต สมั มาอาชโี ว ทงั้ สามนห้ี มวด ของศีล สมั มาวายาโม สมั มาสติ สมั มาสมาธิ ทง้ั สามนเ้ี ปน็ หมวด ของสมาธิ

ตีความหมายในค�ำสอนของพระพุทธเจา้ ให้ดี ๙๗ สิกขา ๓ ตามหลักเดิมเป็น “ปัญญา ศีล สมาธิ” ท่ีพระพุทธเจ้าได้ส่ังสอนพุทธบริษัทในสมัยคร้ังพุทธกาล มีผู้ได้บรรลมุ รรคผลเปน็ จำ� นวนมาก เพราะพระพทุ ธเจา้ ไดว้ างแนวทางในจุดเริ่มต้นท่ีถูกต้องชอบธรรมเอาไว้ ในยุคนี้ได้ศึกษาใน“ศีล สมาธิ ปญั ญา” ถา้ ศกึ ษาเพียงใหร้ ู้ก็ศึกษาได้ ถ้าจะนำ� มาปฏิบัติ ต้องเอาตามหลักเดิมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้ว คือ“ปัญญา ศีล สมาธิ” ทข่ี า้ พเจ้าให้ความเห็นอย่างน้ี มีหลักฐานยนื ยนั เชอื่ ถอื ได้ ดงั พระบาลที พี่ ระพทุ ธองคไ์ ดต้ รสั ไวว้ า่ “เอส ธมโฺ มสนนฺตโน ธรรมทง้ั หลายเปน็ ของเก่า” คำ� วา่ ธรรมทง้ั หลายเปน็ ของเกา่ ตคี วามหมายไดห้ ลายนยัข้าพเจ้าจะอธบิ ายในมรรค ๘ ทเี่ ป็นของเกา่ ใหพ้ วกเราไดเ้ ข้าใจในเหตผุ ล ในมรรค ๘ นเี้ ปน็ หมวดธรรมท่นี ำ� มาปฏบิ ตั ิได้ทง้ั ในฝ่ายโลกียธรรมและโลกุตรธรรม ข้ึนอยู่กับนิสัยของแต่ละท่านจะปฏิบัติกันในฝ่ายไหน ในหลกั ฐานทม่ี ีมาในอดีต พระพุทธเจา้ทุกๆ พระองค์ท่ีผ่านมาเป็นจ�ำนวนมากได้ค้นพบแนวทางของมรรค ๘ น้ีท้ังนั้น เฉพาะหลักสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบสมั มาสงั กปั โป การใชป้ ญั ญาดำ� รพิ จิ ารณาใหม้ คี วามถกู ตอ้ งตามธรรมทเี่ ปน็ ของเกา่ อบุ ายวธิ กี ารปฏบิ ตั กิ เ็ ปน็ ไปในทศิ ทางเดยี วกนั

๙๘ จุดประกายแหง่ ปญั ญา ดงั คำ� วา่ “สพพฺ ปาปสสฺ อกรณํ กสุ ลสสฺ ปู สมปฺ ทา สจติ ตฺ ปรโิ ยทปนํ เอตํ พทุ ธฺ านสาสน”ํ ธรรม ๓ หมวดนเี้ ปน็ คำ� สอนของพระพทุ ธเจา้ ทัง้ หลาย นีก้ ม็ คี วามชัดเจนอยู่แล้วว่าธรรมทั้งสามหมวดนก้ี ร็ วม อยใู่ นมรรคมอี งค์ ๘ นที้ ง้ั หมด แปลในความหมายวา่ “การไมท่ ำ� ความชวั่ ทางกาย วาจา ใจ โดยประการทง้ั ปวง การบำ� เพญ็ ความดี ทางกาย วาจา ใจ ในทางกศุ ลอยา่ งเตม็ ท่ี การฝกึ ใจใหม้ คี วามบรสิ ทุ ธิ์ อยู่เสมอ นเ้ี ปน็ ค�ำสอนของพระพุทธเจ้าทงั้ หลายทเ่ี ปน็ ของเก่า” ขอใหท้ ่านได้เข้าใจตามนี้ เฉพาะสัมมาทิฏฐิความเหน็ ชอบนี้ จงึ เป็นศูนยร์ วมให้แก่ หมวดธรรมทงั้ หลาย พระพทุ ธเจา้ ทกุ พระองคต์ อ้ งมาเรมิ่ ตน้ จาก ปัญญาความเห็นชอบนี้ด้วยกัน การรู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรมก็ รเู้ หน็ เหมือนกนั การเกดิ ข้นึ ในอาสวกั ขยญาณ ความรวู้ ่าอาสวะ จะส้นิ ไป ก็เหมอื นกัน การตรัสร้เู ป็นพระพทุ ธเจ้าทกุ ๆ พระองค์ ก็เหมอื นกนั กิเลสตณั หาอาสวะน้อยใหญ่ก็ดบั สนิท นพิ พานใน ท่ีจุดเดียวกัน ทุกพระองค์ได้รู้ว่าการตรัสรู้ในอริยสัจสี่ มีทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค น้ีก็เป็นธรรมของเก่าท่ีพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ต้องได้ตรัสรู้ในวิธีเดียวกัน จึงเป็นพุทธประเพณีท่ี พระพทุ ธเจา้ ทกุ ๆ พระองคต์ อ้ งตรสั รใู้ นอบุ ายธรรมทเี่ ปน็ ของเกา่

ตีความหมายในค�ำสอนของพระพุทธเจา้ ใหด้ ี ๙๙นี้ด้วยกนั พระอรหนั ตส์ าวกของพระพทุ ธเจา้ ในอดตี ท่ผี ่านมา สมยัพระพทุ ธเจา้ กกสุ นั โธ พระพทุ ธเจา้ โกนาคมโน พระพทุ ธเจา้ กสั สโปพระพทุ ธเจา้ โคตโมองคป์ จั จบุ นั พระอรหนั ตส์ าวกมอี าสวกั ขยญาณได้เกิดขึ้น รู้ว่าอาสวะจะส้ินไปเหมือนกัน การบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์จึงเหมือนกันท้ังหมด แม้พระอรหันต์สาวกของพระศรีอริยเมตไตรยจะอุบัติเกิดขึ้นในภายภาคหน้า หรือพระพทุ ธเจา้ องคต์ อ่ ๆ ไปกจ็ ะมอี าสวกั ขยญาณ รวู้ า่ อาสวะจะสน้ิไปเหมือนกนั ฉะนน้ั ธรรมทเ่ี ปน็ ของเกา่ จงึ มีมาต้ังแต่กาลไหนๆและพระอริยเจ้าในข้ันอ่ืนๆ ก็ได้บรรลุธรรมตามธรรมที่เป็นของเกา่ ด้วยกนั ทง้ั นน้ั มีธรรมท่ีเป็นของเก่าอีกหมวดหนึ่ง ท่ีพระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้วา่ “หตถฺ ปิ ทํ เตสํ อคคฺ มกฺขายติ สมมฺ าทฏิ ฺฐิ เตสํ ธมมฺ านํอคฺคมกฺขายติ รอยเท้าสัตว์ท้ังหลายย่อมรวมอยู่ในรอยเท้าช้างฉันใด ธรรมทั้งหลายย่อมรวมอยู่ในสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบกฉ็ นั นน้ั ” ถา้ ไดเ้ ขา้ ใจในความหมายทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ตรสั ไวอ้ ยา่ งน้ีก็จะมีความเข้าใจได้ทันทีว่า สัมมาทิฏฐิความเห็นชอบเป็นต้นกำ� เนดิ ให้แก่หมวดธรรมทั้งหลาย แมแ้ ตห่ มวดปญั ญา หมวดศีล

๑๐๐ จดุ ประกายแหง่ ปัญญา หมวดสมาธิ และหมวดธรรมอน่ื ๆ กม็ อี ยใู่ นสมั มาทฏิ ฐคิ วามเหน็ ชอบ น้ีด้วยกันทั้งน้ัน ดังนั้น การปฏิบัติธรรมต้องเร่ิมต้นให้ถูกตาม คำ� สอนของพระพทุ ธเจา้ จงึ จะเกดิ เปน็ มรรคผลขนึ้ ได้ ใหเ้ ขา้ ใจ เสยี วา่ การปฏิบัตใิ นยุคปัจจุบนั มีความสบั สนจบั ตน้ ชนปลาย ก็ เพราะเรม่ิ ตน้ ไมถ่ กู นน่ั เอง เพราะนกั ปราชญท์ งั้ หลายตคี วามหมาย ในธรรมมคี วามสลบั ซับซ้อน ผู้ศกึ ษากร็ ไู้ ปตามตำ� ราทม่ี ีอยู่ ถา้ มี ผเู้ ขยี นตำ� ราผดิ และตคี วามหมายไวผ้ ดิ การศกึ ษากร็ ผู้ ดิ ๆ ตาม ตำ� ราไปดว้ ย ผปู้ ฏบิ ตั ธิ รรมในอรยิ สจั สใ่ี นยคุ ปจั จบุ นั น้ี มคี วามแตกตา่ ง กันไป จึงได้ปฏิบัติไปคนละทิศละทางกัน ถ้าใครมีปัญญาที่ดี ตคี วามหมายในอรยิ สจั สไ่ี ดถ้ กู ตอ้ ง ผนู้ นั้ จะมโี อกาสไดบ้ รรลธุ รรม เปน็ พระอรยิ เจา้ ในชาตนิ ี้ ผทู้ ีจ่ ะไดบ้ รรลุธรรมในชาตนิ ้ี มเี หตุ ๓ ประการด้วยกนั ๑. ปพุ เพกตปุญญตา พรอ้ มแล้วในบารมีท่ไี ด้บ�ำเพญ็ มาในชาติกอ่ น ๒. สัมมาทิฏฐิ มีความเห็นชอบในหมวดธรรมที่น�ำมา ปฏบิ ัติ ถกู ต้องตามที่พระพทุ ธเจ้าไดต้ รัสเอาไว้ ๓. สมั มาวายามะ มคี วามเพยี รตอ่ เนือ่ งกนั ในอริ ิยาบถ

ตีความหมายในคำ� สอนของพระพุทธเจา้ ให้ดี ๑๐๑ทัง้ สี่ ถา้ ผมู้ ีเหตุ ๓ ประการน้พี ร้อมแล้ว ผ้นู ัน้ จะไดบ้ รรลุธรรมเปน็ พระอรยิ เจา้ ขัน้ ใดขนั้ หนง่ึ ในชาตินี้ ในยุคปัจจุบนั นผี้ ปู้ ฏบิ ตั ิตอ้ งพึง่ สติ สมาธิ ปัญญา ของตัวเองใหม้ ากเอาไว้ ความสามารถเฉพาะตัวต้องฝึกใจให้มีความโดดเด่นเป็นพิเศษ ถ้าผู้ปฏิบัติมีความสามารถแล้ว จะเป็นกำ� ลงั ในการปฏิบัติไดเ้ ปน็ อยา่ งดีถา้ ไมม่ คี วามสามารถ สติ สมาธิ ปญั ญา เหมอื นกบั วา่ ไรค้ วามหมายทำ� อะไรไมไ่ ดเ้ ลย แมค้ วามรใู้ นหมวดธรรมตา่ งๆ กส็ กั วา่ รเู้ ทา่ นน้ัจะน�ำเอาหมวดธรรมนั้นมาเป็นอุบายในการปฏิบัติไม่ได้เพราะไม่มีความสามารถน่ันเอง ในหมวดศีล ในหมวดสมาธิในหมวดธรรมตา่ งๆ เปน็ เพยี งปรยิ ตั ิ เหมอื นกบั วตั ถดุ บิ เนอ้ื สตั ว์ตา่ งๆ ทไี่ ดม้ าจากตลาด จะต้องท�ำใหเ้ ป็นอาหารทีต่ ้องการกอ่ นจงึ จะนำ� มารบั ประทานได้ นฉ้ี นั ใด การปฏบิ ตั ธิ รรมตอ้ งเลอื กเฟน้หมวดธรรมใหถ้ ูกกับจริตนสิ ยั ของตัวเองใหไ้ ด้ เมือ่ นำ� มาปฏบิ ตั ิกจ็ ะเปน็ แนวทางเข้าสมู่ รรคผลนพิ พานไดง้ า่ ยขน้ึ

เลือกหัวหนา้ โคให้ถูกตอ้ ง นักปฏิบัติผู้แสวงหาครูอาจารย์ ต้องเป็นนักสังเกตท่ีมเี หตมุ ผี ล อยา่ ทำ� ตนเปน็ คนตดิ ครอู าจารยโ์ ดยขาดการสำ� นกึในธรรม จงึ เหมอื นกบั ฝงู โคทแ่ี สวงหาหวั หนา้ โคใหพ้ าขา้ มกระแสหวั หนา้ โคนน้ั มหี ลายตวั จะเลอื กเอาตวั ไหนเปน็ หวั หนา้ ฝงู โคตอ้ งพจิ ารณาตดั สนิ ใจเอง และอยา่ ใหไ้ ดห้ วั หนา้ โคทตี่ าบอดกแ็ ลว้ กนัถ้าให้หัวหน้าโคบอดพาข้ามกระแส อาจจะลอยคดโค้งวกไปเวียนมา หรืออาจจะถลาพาฝูงโคท้ังหลายไปติดกระแสวังวนก็เป็นได้ ถ้าตัดสินใจเลือกได้หัวหน้าที่ตาดี และรู้วิธีในการลอยข้ามกระแสมาแล้ว หัวหน้าโคก็พร้อมท่ีจะพาฝูงโคทั้งหลายได้ข้ามกระแสให้ถึงฝั่งโดยความปลอดภัย เว้นเสียแต่โคบางตัวที่ชอบแหวกแนวทางจากหวั หนา้ โคเท่าน้ันเอง นฉ้ี นั ใด เราที่เป็น

เลอื กหัวหนา้ โคใหถ้ กู ต้อง ๑๐๓นักปฏิบัติทั้งหลายท่ีก�ำลังเตรียมพร้อมและลงมือปฏิบัติกันในขณะนี้ ทุกคนก็ต้องแสวงหาครูอาจารย์เพื่อความถูกต้องในการปฏิบัติธรรม ก็ฉันน้ัน แต่จะให้ถูกต้องแม่นย�ำเหมือนในครั้งพุทธกาลน้ันย่อมเป็นไปไม่ท่ัวถึง เพราะในครั้งพุทธกาลมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข และพระอริยสาวกท่ีพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาญาณมีจ�ำนวนมาก พร้อมที่จะให้ความเข้าใจในพุทธบริษัทในสมัยนั้นอย่างท่ัวถึง และเป็นอุบายการปฏิบัติเหมือนกัน สมัยน้ันพุทธบริษัทจึงได้บรรลุมรรคผลเป็นจ�ำนวนมาก

อภิธรรม ในอภิธรรมน้ีเป็นหมวดหน่ึงท่ีเราทั้งหลายได้รู้ในพระไตรปิฎกว่า พระสูตร พระวินัย พระปรมัตถ์ (อภิธรรม)ข้าพเจ้าขอให้เหตุผลว่าพระอภิธรรมได้เกิดขึ้นหลังจากท่ีพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ในพรรษาท่ี ๕ พระพุทธเจ้าได้เสด็จข้ึนไปแสดงธรรมโปรดพุทธมารดาที่สวรรค์ช้ันดาวดึงส์ และได้จ�ำพรรษาอยบู่ นสวรรคน์ ห้ี นงึ่ พรรษา พระพทุ ธเจา้ ไดแ้ สดงอภธิ รรมโปรดพุทธมารดาและเทวดาท้ังหลายในพรรษาน้ี รายละเอียดมีในตำ� ราอยู่แล้ว เม่ือออกพรรษาแล้ว พระพุทธเจ้าไดเ้ สด็จลงมาโลกมนษุ ย์ ไดแ้ สดงอภธิ รรมนแ้ี กพ่ ระสารบี ตุ รทเ่ี มอื งสงั กสั สะนครเพื่อให้เป็นพยานหลักฐานเอาไว้ และแก้ความสงสัยในหมู่พุทธบริษัทท้ังหลายให้รู้ว่าพระพุทธเจ้าอยู่จ�ำพรรษาบนสวรรค์

อภิธรรม ๑๐๕๓ เดือน ได้แสดงอภิธรรมโปรดพุทธมารดาและหมู่เทวดาท้ังหลาย อภิธรรมเป็นอย่างไร พระพุทธองค์ก็ได้แสดงให้พระสารีบุตรได้รับฟังท้ังหมดแล้ว อภิธรรมได้เกิดข้ึนเพราะเหตอุ ยา่ งนี้ พระสารบี ตุ รเปน็ ผเู้ ลศิ ในทางปญั ญา กส็ ามารถจดจำ�อภิธรรมน้ไี ด้ท้ังหมด ได้บันทกึ เอาไว้เพ่อื เปน็ หลกั ฐาน อภิธรรมเปน็ สว่ นหนง่ึ ในหมวดธรรมทงั้ หลาย อภธิ รรมเปน็ บทเฉพาะกาลที่จ�ำกัด พระองค์จะแสดงธรรมน้ีเฉพาะหมู่เทวดาเท่าน้ัน เป็นหมวดธรรมขน้ั ละเอยี ด ยากทม่ี นษุ ยธ์ รรมดาจะรไู้ ด้ ความละเอยี ดเปน็ อยา่ งไรให้ท่านตดิ ตามอา่ นประดับความร้เู อาไว้ ภพของเทวดามีเพยี งขันธส์ ่คี ือ (๑) เวทนาขนั ธ์ (๒) สัญญาขนั ธ์ (๓) สังขารขันธ์ (๔) วิญญาณขนั ธ์ อภิธรรมจงึ มีหมวดจิต เจตสิก เปน็ หลกั รายละเอยี ดมอี ยู่ในต�ำรา หาอา่ นดูได้ เราคนหน่ึงควรศึกษาให้รเู้ อาไว้ จะได้รู้ในอภิธรรมว่ามเี หตเุ กิดขึ้นอยา่ งไร อภิธรรมได้เกิดขึ้นเม่ือพระพุทธเจ้ามีพรรษา ๕ หากมี

๑๐๖ จดุ ประกายแห่งปัญญา คำ� ถามว่าพรรษา ๑ ถึงพรรษา ๔ อภธิ รรมยังไมไ่ ดเ้ กิดขน้ึ ในโลก พระพทุ ธเจา้ ไดแ้ สดงธรรมโปรดพทุ ธบรษิ ทั อยา่ งไร เอาธรรมหมวด ไหนมาแสดง ในต�ำราก็ได้อธิบายไว้ชัดอยู่แล้ว ไม่ใช่อภิธรรม แน่นอน ในสมัยครั้งพุทธกาล พระพุทธเจ้าได้แสดงธรรมโปรด พทุ ธบรษิ ทั ในหมวดธรรมตา่ งๆ มผี ไู้ ดบ้ รรลธุ รรมเปน็ พระอรยิ เจา้ เปน็ จำ� นวนมาก ในประวตั ไิ มม่ พี ระพทุ ธเจา้ เอาอภธิ รรมไปอบรม สงั่ สอนใคร และไมม่ ปี ระวตั วิ า่ มใี ครไดฟ้ งั อภธิ รรมจากพระพทุ ธเจา้ แล้วท่านเหล่านั้นได้บรรลุธรรมเป็นพระอริยเจ้าแต่อย่างใด พระสารีบุตรท่ีสืบทอดอภิธรรมจากพระพุทธเจ้าก็เพียงบันทึก เปน็ ขอ้ มลู และใหพ้ ระองคอ์ นื่ ไดศ้ กึ ษาเทา่ นนั้ พระสารบี ตุ รกไ็ มไ่ ด้ เอาอภธิ รรมไปสอนผอู้ ่นื ให้ปฏิบตั ิตามแต่อยา่ งใด พระสารบี ตุ ร ทา่ นรดู้ ีวา่ เม่อื ครงั้ เปน็ ฆราวาสได้ฟังธรรมจากพระอสั สชิ เพยี ง เท่าน้ีพระสารีบุตรก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน พระอัสสชิ แสดงธรรมอยา่ งนีจ้ ึงไม่ใชอ่ ภิธรรม แตเ่ ป็นสัจธรรมความจริงว่า “สงิ่ ทง้ั หลายเกดิ ขนึ้ จากเหตุ ดบั ไปเพราะเหตนุ นั้ ๆ” ถา้ ไดศ้ กึ ษา ประวัติของพระอริยเจ้าทั้งหลายในสมัยคร้ังพุทธกาล ซ่ึงมีอยู่ ในพระสตู รเปน็ จำ� นวนมาก พระพทุ ธองคไ์ ดย้ กเอาบคุ ลาธษิ ฐาน เอาสว่ นบคุ คลมาเปน็ ตวั อยา่ งวา่ กลมุ่ นน้ั ไดฟ้ งั ธรรมหมวดนน้ั แลว้

อภธิ รรม ๑๐๗ไดบ้ รรลธุ รรมเปน็ พระอริยเจ้า ต้องศกึ ษาใหด้ ี มเี หตุผลรองรบัอยา่ งสมบรู ณ์ จะรจู้ กั ทเ่ี กดิ ขน้ึ ของอภธิ รรมดงั ทไี่ ดอ้ ธบิ ายมาแลว้

บทสรปุ เรอ่ื งของพทุ ธประวตั ทิ ไี่ ดอ้ ธบิ ายไวน้ ี้ มหี ลายจดุ ทคี่ นอาจมีความสงสัย เพราะได้อ่านในฉบับของประเทศไทยฝ่ายเดียวถ้าเอาพุทธประวัติของประเทศอ่ืนมาเขียนแทรกเอาไว้ อาจจะเข้าใจไปว่าข้าพเจ้าเขียนผิดไป ในเหตุผลพุทธประวัติแต่ละประเทศมคี วามแตกตา่ งกนั อยแู่ ลว้ ในบางจดุ กเ็ หมอื นกนั ฉะนน้ัทา่ นผอู้ า่ นควรใชด้ ลุ ยพนิ จิ พจิ ารณาดว้ ยเหตผุ ลในหลกั ความจรงิอะไรเป็นไปได้ อะไรเป็นไปไม่ได้ อะไรมีเหตุผลพอเช่ือถือได้กว่ากัน ในการเขียนแต่ละท่านมีความแตกต่างกันอยู่บ้างตอนเจ้าชายสิทธัตถะได้เห็นเทวทูตทั้งสี่ มีความแตกต่างกับประเทศไทยในบางจุดดงั ท่ีขา้ พเจา้ ได้อธิบายมาแลว้ อีกจุดหน่งึท่ีพระองค์เสี่ยงถาดทองค�ำ มีอธิษฐานไว้สองนัย ถ้าจะได้เป็น

บทสรปุ ๑๐๙พระพุทธเจ้า ให้ถาดทองคำ� ทวนกระแสนำ้� ข้นึ ไป ถา้ ไม่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจา้ ให้ถาดทองค�ำไหลไปตามกระแสน�้ำ เม่อื ถาดทองคำ� ไดท้ วนกระแสนำ้� ขน้ึ ไป พระองคจ์ งึ เอาถาดทองคำ� มาเปน็อบุ ายในการคดิ พจิ ารณาดว้ ยปญั ญา โอปนยโิ ก นอ้ มถาดทองคำ�น�ำมาเปรียบเทียบกับใจพระองค์เอง พระองค์ได้พิจารณาด้วยปัญญาสอนใจตนเองให้ทวนกระแสโลกจนปัญญาได้เกิดข้ึนรู้เห็นตามความเป็นจริงว่าทุกส่ิงทุกอย่างมีการเปล่ียนแปลงดว้ ยกนั ทงั้ นนั้ ไมม่ สี ง่ิ ใดตงั้ อยดู่ ว้ ยความมนั่ คงถาวรได้ แตม่ นษุ ย์ไม่ยอมรบั ในการเปลย่ี นแปลงน้จี ึงได้เกดิ ความทกุ ข์ ไมอ่ ยากให้ส่ิงน้ันได้พลัดพรากจากตัวเราไป จึงเกิดความยึดมั่นถือม่ันว่าสิ่งน้ีเป็นเรา และเป็นของของเราจริงๆ ใจจึงอยากได้ อยากมีอยากเป็น ยึดติดเกิดเป็นภพชาติ พระองค์จึงมีปัญญาปฏิเสธไม่ให้ใจเกิดความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) ความเข้าใจผิด และความหลงผดิ ไปตามกระแสโลกเหมอื นท่เี คยเป็นมา พระองคไ์ ด้รู้เหตุปัจจัยท่ีท�ำให้มนุษย์ได้มาเกิด คือตัณหาความอยากความยินดีผูกพัน และความยึดม่ันถือมั่นในกามคุณ ท�ำให้เวยี นวา่ ยตายเกดิ ในภพทงั้ สามไมม่ ที ส่ี น้ิ สดุ พระองคไ์ ดใ้ ชป้ ญั ญาพจิ ารณาอยา่ งมาก ญาณทสั สนะไดเ้ กดิ ขน้ึ ภายในใจ พระองคร์ จู้ รงิ

๑๑๐ จดุ ประกายแหง่ ปญั ญา เหน็ จรงิ ตามความจรงิ วปิ สั สนาญาณและอาสวกั ขยญาณไดเ้ กดิ ขน้ึ พระองค์จงึ ได้ตรัสรเู้ ป็นพระพุทธเจา้ เพราะเหตุอย่างนี้ อีกจดุ หนึ่งเรื่อง ญาณทสั สนะ หมายถงึ รู้กอ่ นเห็น เชน่ ได้รู้จากคนอื่นเล่าให้ฟังว่า เสือมีรูปร่างเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ มีลักษณะอย่างน้ัน แต่ไม่เคยเห็นเสือตัวจริง นี้เป็นในลักษณะ ญาณทัสสนะ รู้แตไ่ ม่เหน็ ทสั สนญาณ หมายถงึ เหน็ ก่อนรู้ เช่น ไดไ้ ปเหน็ เสอื ตวั จรงิ กจ็ ะไมร่ เู้ ลยวา่ เปน็ ตวั อะไร อาจจะคาดเดา ไปว่าเป็นแมวใหญ่ไปได้ เหมือนกับบุคคลที่ไปหาปลาดังที่ได้ อธิบายไว้แล้ว ฉะนัน้ การรู้เพียงอยา่ งเดยี วยงั ไม่ได้เห็น อาจมี ความเข้าใจผิดไปได้ ถ้าเห็นแล้วแตไ่ ม่รู้ ก็จะมคี วามเข้าใจผิดได้ เช่นกัน ในต�ำราท่ีท่านได้ศึกษามาแล้ว เขียนอย่างเดียวคือ ญาณทัสสนะเท่านั้น แต่ทัสสนญาณ ข้าพเจ้าได้เห็นในหนังสือ จากประเทศลาวในยุคก่อน มีเหตุผลน่าเช่ือถือได้ ข้าพเจ้าได้ นำ� มาเขยี นให้ท่านได้ศึกษาดูเท่านั้น เชน่ ค�ำวา่ รู้จริง หมายถงึ ญาณะ เหน็ จรงิ หมายถงึ ทสั สนะ (ปญั ญา) การปฏบิ ตั ธิ รรมตอ้ ง รเู้ หน็ ทงั้ สองอยา่ งไปพรอ้ มกนั จงึ จะไดร้ บั ผล เหมอื นการปรบมอื สองขา้ งเขา้ หากนั ย่อมมเี สียงเกิดขึน้ ถา้ ปรบมือขา้ งเดยี วจะไม่มี

บทสรปุ ๑๑๑เสียงเกิดขึ้นไดเ้ ลย ในยุคปัจจุบัน มีหลายท่านได้พูดถึงเร่ืองญาณทัสสนะอยู่บ้าง เพราะในต�ำราได้อธิบายไว้อย่างนั้น เมื่อปฏิบัติจริงมีเพียงญาณรไู้ ปตามอารมณภ์ ายในจติ เทา่ นั้น แตไ่ มเ่ ห็นเหตทุ ี่ทำ� ให้เกิดอารมณแ์ ต่อย่างใด หรือพูดไปตามต�ำราแบบลอยๆเท่านน้ั ไมไ่ ด้เหน็ จากปัญญาของตวั เองแต่อยา่ งใด ใจจงึ ไม่มีการละถอนปล่อยวางในความยึดมั่นถือมั่นในส่ิงต่างๆ ได้เหมือนไปเห็นรูปเสืออยู่ในกระดาษ ก็เข้าใจว่านี้เป็นรูปเสือในความรู้สึกภายในใจกจ็ ะไมก่ ลัวแต่อย่างใด ถา้ เห็นเสือตัวจริงเมอื่ ไร กจ็ ะเกดิ ความกลวั ขนึ้ มาในขณะนนั้ รตู้ ามตำ� รา แตไ่ มเ่ หน็สัจธรรมความจริง เป็นการรู้แต่ช่ือธรรมะ แต่ไม่เห็นตัวธรรมะเช่น รู้จักชื่อของโจร แต่ไม่เคยเห็นโจรว่ามีหน้าตาเป็นอย่างไรจะจับตัวโจรเป็นไปไม่ได้ นี้ฉันใด การเรียนรู้ธรรมไปตามต�ำรามิใช่ว่าจะละกิเลสตัณหาได้ หรือละความเห็นผิดภายในใจได้หรอื บางคนรสู้ จั ธรรมความเปน็ จรงิ อยู่ เชน่ เหน็ คนแก่ คนเจบ็ ปว่ ยคนตาย แต่เห็นว่าเป็นเร่ืองธรรมดา เรียกว่าเป็นผู้ไม่มีปัญญาไมม่ ญี าณรวู้ า่ ความเปน็ จรงิ ทเี่ หน็ นน้ั มนั เปน็ ทกุ ข์ เปน็ โทษ เปน็ ภยัทพ่ี าเราใหม้ าเกิดแกเ่ จบ็ ตายในโลกนห้ี ลายภพชาตไิ ม่มีท่ีสนิ้ สุด

๑๑๒ จุดประกายแหง่ ปัญญา ขออภยั ทจ่ี ะยกตวั อยา่ งตอ่ ไปน้ี คอื หากนำ� กลอ้ งไปถา่ ยภาพ กองอจุ จาระใหมๆ่ แลว้ พมิ พอ์ อกมาใหเ้ หมอื นของจรงิ เมอื่ ดแู ลว้ กเ็ ฉยๆ ไมข่ ยะแขยงแตอ่ ยา่ งใด รบั ประทานอาหารไปดว้ ย ดภู าพ อจุ จาระไปดว้ ย ก็ยอ่ มท�ำได้ ถ้าแนจ่ รงิ ไปเอากองอจุ จาระท่ีเรา ถา่ ยรปู มา แลว้ นำ� มาวางตอ่ หนา้ ขณะทเี่ รารบั ประทานอาหารอยู่ เม่ือเห็นของจริงและรู้กลิ่นของจริง ในความรู้สึกจะเกิดขึ้นเป็น อยา่ งไร นฉี้ ันใด การปฏบิ ตั ิธรรมเมื่อญาณทัสสนะ ทงั้ รู้ทง้ั เห็น ทสั สนญาณ ทง้ั เหน็ ทงั้ รู้ ตามหลกั สจั ธรรมความจรงิ ในความเหน็ กจ็ ะเปลย่ี นจากมจิ ฉาทฏิ ฐิ ความเหน็ ผดิ กลบั มาเปน็ สมั มาทฏิ ฐิ ความเห็นถกู ก็ฉนั น้ัน พระองค์ใช้ปัญญาพิจารณาตามความเป็นจริง ใจจึงเกิด เป็นสัมมาทิฏฐิ มีความรู้เห็นถูกต้องชอบธรรม สัมมาสังกัปโป ความดำ� รพิ จิ ารณาชอบ พระองคจ์ งึ ไดป้ ระกาศรบั รองวา่ “วธิ กี าร ปฏบิ ตั ทิ เี่ ปน็ แนวทางทถ่ี กู ตอ้ งเราไดค้ น้ พบดว้ ยปญั ญาของตนเอง” เพราะสัจธรรมความจริงเป็นของเก่า มีมาแต่กาลไหนๆ แต่ มนษุ ยไ์ มร่ คู้ วามจรงิ จงึ ทำ� ใหห้ ลงโลก เพราะไมม่ ปี ญั ญารเู้ หน็ ใน สจั ธรรมความจรงิ ทมี่ อี ยใู่ นโลกนนั่ เอง พระองคไ์ ดเ้ อาสมั มาทฏิ ฐิ ความเห็นท่ีถกู ต้องชอบธรรม เป็นจดุ เร่มิ ตน้ ในการปฏบิ ัตธิ รรม

บทสรุป ๑๑๓และแม่ทัพธรรมใหก้ บั หมวดธรรมต่างๆ เมือ่ ท่านไดอ้ ่านหนงั สือเลม่ นี้ อาจมหี ลายจุดทท่ี ำ� ใหท้ า่ นเกดิ ความสงสัย เม่ือท่านมีความสงสยั ในจดุ ไหน ให้ถามขา้ พเจา้ได้โดยตรง ถ้าถามผู้อื่น ความเห็นและการตีความหมายอาจแตกต่างกันไป หรือในต�ำราธรรมะท่ีท่านได้ศึกษามาแล้ว ถ้ามีความสงสยั ในจดุ ไหน ขา้ พเจา้ พรอ้ มทจ่ี ะเปน็ ทป่ี รกึ ษาใหแ้ กท่ า่ นเพ่ือท�ำความเข้าใจกนั ด้วยเหตแุ ละผล เอาหลักความเป็นจริงมาเป็นตัวตัดสินกัน หนังสือที่ข้าพเจ้าได้เขียนไว้เป็นจ�ำนวนหลายเลม่ ดว้ ยกนั ถา้ สงสยั ในเลม่ ไหนหรอื หมวดธรรมใด ใหถ้ ามขา้ พเจา้ โดยตรง เมอ่ื ผกู แลว้ ท่านแกไ้ ม่ได้ ขา้ พเจ้าจะแกใ้ ห้ท่านดเู อง สติ สมาธิ ปญั ญา และบารมีของท่านท่ีไดบ้ �ำเพญ็ มาแล้วขอใหท้ า่ นรแู้ จง้ เหน็ จรงิ ในสจั ธรรมนนั้ ๆ ดว้ ยสตปิ ญั ญาของทา่ นด้วยเทอญ

จดุ ประกายแห่งปญั ญาพระอาจารยท์ ูล ขปิ ปฺ ปญโฺ หนังสือเล่มน้ีเป็นมรดกธรรมที่พระอาจารย์ทูล ขิปฺปปญฺโ อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าบ้านค้อ เขียนข้ึนและจัดพิมพ์เป็นหนังสือครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๕๕๑โดยมีจุดประสงค์เพ่ือเผยแผ่แนวค�ำสอนดั้งเดิมของพระพุทธเจ้า ซ่ึงมุ่งเน้นการสรา้ งสมั มาทฏิ ฐิ ปญั ญาความเหน็ ชอบ ใหเ้ กดิ ขนึ้ ทใ่ี จ สำ� หรบั ผทู้ ปี่ รารถนาความสขุ ในชวี ติ ตลอดจนผู้ที่มุ่งหวงั มรรคผลนพิ พานผูจ้ ัดพมิ พ ์ : วัดซานฟรานธมั มารามภาพปก : ธนวฒั น์ พษิ ณวุ งศ์สงวนลิขสิทธิ์ห้ามพิมพ์จ�ำหน่าย คัดลอก และพิมพ์ซ้�ำเน้ือหาในหนังสือเล่มนี้ไปเผยแพร่ทางสอ่ื ทุกชนดิ โดยไม่ไดร้ ับอนุญาต ผู้สนใจกรุณาติดตอ่วัดซานฟรานธมั มาราม 2645 Lincoln Way, San Francisco, CA 94122โทร. ๑-๔๑๕-๗๕๓-๐๘๕๗ • watsanfran.org • [email protected]วดั ป่าบา้ นคอ้ หมู่ ๗ ต.เขือน้ำ� อ.บ้านผอื จ.อุดรธานี ๔๑๑๖๐โทร. ๐๘๙-๔๑๖-๗๘๒๕ • watpabankoh.com • [email protected]

ผสู้ นใจอา่ นหนงั สอื ธรรมะและฟังบันทกึ เสยี งธรรมเทศนาของพระอาจารย์ทูล ขิปปฺ ปญโฺ  สามารถดาวนโ์ หลดได้ท่ี http://watpabankoh.com http://kpyusa.org http://luangporthoon.net




Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook