Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ilovepdf_merged

ilovepdf_merged

Published by ทวีศักดิ์ ใครบุตร, 2021-07-14 08:54:07

Description: ilovepdf_merged

Search

Read the Text Version

๑๔๑ นอกจากนั้นยังมปี ัจจยั นอกแบบอกี คือ อาวี รตถฺ ุ รติ ุ ราตุ รมฺม ริรยิ อิน ตุก อกิ การ เช่น สิสโฺ ส (สาส+ณฺย+ส)ิ ศษิ ย์ กิจจฺ ํ (กร+ริจฺจ+ส)ิ กจิ มาลากาโร (มาลา+กร+ณ+สิ) นายมาลาการ ธมมฺ ธโร (ธมฺม+ธร+อ+ส)ิ ผทู้ รงธรรม การโก (กร+ณวฺ ุ+ส)ิ ผูก้ ระทำ, นายช่าง กตฺตา (กร+ตุ+ส)ิ ผูก้ ระทำ ภยทสฺสาวี (ภย+ทิส+อาวี+ส)ิ ผู้เห็นภยั สตฺถา (สาส+รตฺถ+ุ สิ) พระศาสดา ปิตา (ปา+ริต+ุ ส)ิ บิดา มาตา (มาน+ราต+ุ สิ) มารดา สยมภฺ ู (สย+ํ ภู+กวฺ +ิ ส)ิ พระสยัมภู ธมโฺ ม (ธร+รมมฺ +ส)ิ ธรรมะ พรฺ หมฺ จารี (พฺรหฺม+จร+ณี+ส)ิ ผปู้ ระพฤตพิ รหมจรรย์ โฆสนา (ฆุส+ยุ+อา+ส)ิ การประกาศ ภวปารคู (ภวปาร+คม+ุ ร+ู สิ) ผถู้ ึงฝั่งแห่งภพ ภรี ุโก (ภี+รอฺ าคม+ณกุ +ส)ิ ผู้ขลาดกลวั สงฺโฆ (สํ+หน+ร+สิ) พระสงฆ,์ ผู้พร้อมเพรียงกัน อทุ ธิ (อ+ุ ธา+อ+ิ สิ) มหาสมุทร สตุ ิ (ส+ุ ติ+ส)ิ การฟัง, เสยี ง กิรยิ า (กร+รริ ิย+อา+ส)ิ กริ ิยา, อาการทค่ี วรทำ ชโิ น (ช+ิ อิน+สิ) ผชู้ นะ ทุกกฺ รํ (ท+ุ กร+ข+สิ) ทที่ ำไดย้ าก พทุ ฺโธ (พธุ +ต+ส)ิ ผู้ตรัสรู้ อาคนตฺ โุ ก (อา+คมุ+ตกุ +สิ) อาคนั ตุกะ, ผมู้ าเยอื น คมิโก (คมุ+อิก+ส)ิ ผู้ควรไป, คนเดนิ ทาง อกาโร (อ+การ+ส)ิ อ อกั ษร ปัจจัยในนามกิตก์ทั้งหมดท่ีใช้เป็นกิริยาคุมพากย์ได้มี ๑ ตัว คือ ณฺย อุ.เต จ ภิกฺขู คารยฺหา. แปลว่า อน่งึ ภิกษุทงั้ หลายเหล่านั้น อันท่านพงึ ติเตยี น. ปัจจัยท่ใี ช้ลงในอรรถแหง่ ตัสสลี สาธนะมี ๔ ตวั คือ ณี ตุ รู ยุ ณี วิ. ธมมฺ ํ วทติ สเี สนาติ ธมมฺ วาที. ตุ ว.ิ กโรติ สเี ลนาติ กตตฺ า. รู ว.ิ คจฺฉติ สีเลนาติ ปารคู.

๑๔๒ ยุ ว.ิ กชุ ฺฌติ สเี ลนาติ โกธโน. ปจั จยั ที่ใช้ลงในอรรถแหง่ การหกั ฉัฏฐลี งเป็นกรรม (คอื เป็นทตุ ิยาวภิ ัตต)ิ มี ๓ ตวั คอื ณวฺ ุ-ตุ-ยุ ณฺวุ ว.ิ เทตตี ิ ทายโก. ตุ ว.ิ กโรติ สเี ลนาติ กตฺตา. รู วิ. คจฺฉติ สีเลนาติ ปารค.ู ยุ ว.ิ กชุ ฌฺ ติ สีเลนาติ โกธโน. ๒.๔ วภิ ตั ติ วภิ ัตติในนามกิตก์ คอื วิภัตติ ๑๔ ตัว เหมอื นกบั วภิ ัตตใิ นนาม ๓.กิริยากิตก์ กิริยากิตก์ ประกอบด้วย วิภัตติ-กาล-วจนะ-ธาตุ-วาจก-ปัจจัย เหมือนอาขยาต แปลกแต่ไม่มี บท และ บุรุษ เทา่ น้ัน. ๓.๑ วิภัตติ กิริยากิตก์นี้ไม่มีวิภัตติเป็นของตัว ต้องใช้วิภัตตินาม คือ ถ้านามเป็นวิภัตติและวจนะ อย่างใด ศพั ท์กิรยิ ากิตกต์ อ้ งมีวิภตั ตแิ ละวจนะอย่างน้ัน. ๓.๒ กาล กิริยากิตก์นี้ท่านแบ่งกาลที่เป็นประธานได้ ๒ คือ ๑.ปัจจุบันกาล ๒.อดีตกาล ๓.ปัจจุบัน กาล มี ๒ คือ ๑.ปัจจุบันกาลแท้ แปลว่า อยู่ ๒.ปัจจุบันใกล้อนาคต แปลว่า เม่ือ ๓.อดีตกาล มี ๒ คือ ๑. ลว่ งแลว้ แปลวา่ แล้ว ๒. ล่วงเสรจ็ แลว้ แปลวา่ ครน้ั แล้ว. ๓.๓ ธาตุ สำหรับกิริยากิตก์นี้เหมือนกับธาตุอาขยาตทุกประการ (เอาธาตุ ๘ หมวดในอาขยาตเป็น หลกั ) ๓.๔ วาจก วาจกนก้ี ็อยา่ งเดียวกนั กับอาขยาต ต่างกนั แตร่ ปู กริ ิยาเท่านนั้ เชน่ ๑.กตฺวาจก อุ. สูโท โอทนํ ปจนฺโต พอ่ ครวั หงุ อยู่ ซึง่ ขา้ วสุก. ๒.กมฺมวาจก อ.ุ สเู ทน โอทโน ปจิตพโฺ พ ช้างสุก อนั พ่อครวั พึงหุง. ๓.ภาววาจก อุ. เตน ภวิตพฺพํ อนั เขา พงึ เปน็ . ๔.เหตุกตฺตุวาจก อ.ุ สามิโก สูทํ โอทนํ ปาเจนฺโต นาย ยงั พอ่ ครัว ใหห้ งุ อยู่ ซ่ึงข้าวสุก. ๕.เหตกุ มมฺ วาจก อุ.สามเิ กน สูทํ โอทโน ปาเจตพโฺ พ ขา้ วสกุ อนั นาย ยังพ่อครัว พึงใหห้ ุง. ๓.๕ ปจั จยั กิริยากิตก์ มี ๑๐ ตวั จดั ไว้ ๓ พวกเหมือนนามกติ ก์ คอื ๑.กิตปจั จยั มี ๓ ตวั คอื อนฺต-ตวนฺตุ-ตาวี…เป็นเครอื่ งหมาย กตฺตวุ าจก และ เหตุกตตฺ ุวาจก ๒.กิจจปัจจัย มี ๒ ตัว คือ อนีย-ตพฺพ…เป็นเครื่องหมาย กมฺมวาจก เหตุกัมมวาจกและภาว วาจก ๓.กติ กิจจปจั จยั มี ๕ ตวั คือ มาน-ต-ตนู -ตฺวา-ตวฺ าน เป็นเครอื่ งหมายทงั้ ๕ วาจก ๓.๖ ปัจจัยในกิริยากิตก์ ใช้ลงในกาลดังน้ี อนฺต-มาน บอกปัจจุบันกาล แปลว่า อยู่-เมื่อ อุ.สุณนฺโต ฟังอย-ู่ เมอื่ ฟัง ตวนฺตุ-ตาวี-ต-ตูน-ตฺวา-ตฺวาน ๖ ตัวนี้บอกอดีตกาล แปลว่า แล้วและคร้ันแล้ว.อุ.สุตฺวา ฟังแล้ว หรือ ครั้นฟังแลว้ เปน็ ต้น.

๑๔๓ อนยี -ตพพฺ ไมไ่ ดบ้ อกกาลอะไร บอกความจำเป็น แปลวา่ พึง อ.ุ คนฺตพฺพํ พึงไป เปน็ ตน้ . ปัจจัยในกริ ยิ ากิตก์ ใช้เปน็ กิริยาคมุ พากยไ์ ด้มี ๓ ตวั คอื ต-อนยี -ตพพฺ ต ปจั จัย อ.ุ พุทฺโธ โลเก อปุ ปฺ นโฺ น พระพุทธเจ้า เสด็จอบุ ตั ขิ ึน้ แล้ว ในโลก. อนีย ปัจจยั อ.ุ กรณยี ํ (กจิ ฺจ)ํ อันเขาพึงทำ. ตพฺพ ปจั จยั อุ. กตฺตพฺพํ (กมฺม)ํ (กรรม) อันเขาพึงทำ. ปัจจัยในนามกิตก์มาเป็นกิริยากิตก์ ใช้คุมพากย์ได้มี ๑ ตัว คือ ณฺย ปัจจัย อุ. เต จ ภิกขู คารยฺหา. อนึง่ ภกิ ษุทง้ั หลายเหลา่ นัน้ อนั ทา่ นพึงตเิ ตยี น. กิรยิ ากติ ก์ ทใ่ี ชเ้ ป็นกริ ิยา ประกอบดว้ ยธาตุ ปัจจยั กาล วิภัตติ วจนะ และวาจกนน้ั ดังตวั อย่างกิตก์ท่ี มใี ช้มากในปกรณบ์ าลีท่วั ไป เชน่ ศพั ท์กริ ิยากิตก์ การประกอบศัพท์ คำแปล ทาตพฺพํ (ทา+ตพฺพ+สิ) พึงให,้ ควรให้ ทานียํ (ทา+อนีย+ส)ิ พงึ ให,้ ควรให้ ญาเตยยฺ ํ (ญา+เตยฺย+ส)ิ พึงรู้, ควรรู้ คโต (คมุ+ต+ส)ิ ไปแลว้ หุตวา (หุ+ตวนตฺ ุ+สิ) บูชาแลว้ หุตาวี (หุ+ตาว+ี สิ) บูชาแลว้ กาตเว (กร+ตเว+ส)ิ เพอ่ื ทำ กาตุน (กร+ตุน+สิ) เพอื่ ทำ กตฺวาน (กร+ตวฺ าน+สิ) ทำแลว้ กตฺวา (กร+ตฺวา+ส)ิ ทำแลว้ คจฉฺ มาโน (คม+ุ มาน+ส)ิ ไปอยู่ คจฉฺ นฺโต (คมุ+อนตฺ +ส)ิ ไปอยู่ ตวั อย่างกิริยากิตก์ทลี่ งปจั จยั อนีย ตพฺพ เชน่ ศัพท์กิริยากิตก์ คำแปล ศัพทก์ ริ ิยากิตก์ คำแปล พงึ ม-ี เปน็ ภวติ พพฺ ํ พงึ ม-ี เปน็ ภวนียํ พึงครอบงำ พงึ เขา้ ไป อภิภวิตพโฺ พ พงึ ครอบงำ อภิภวนีโย พึงนอน พงึ นอนให้มาก อาสิตพฺพํ พงึ เข้าไป อาสนยี ํ พึงปฏบิ ตั ิ พงึ ตรัสรู้ สยิตพฺพํ พงึ นอน สยนียํ พงึ ฟัง อติสยิตพโฺ พ ควรนอนให้มาก อติสยนีโย ปฏิปชฺชติ พฺโพ พงึ ปฏบิ ัติ ปฏปิ ชชฺ นีโย พุชฌฺ ติ พโฺ พ พึงตรัสรู้ พุชฌฺ นีโย โสตพโฺ พ สณุ ติ พโฺ พ พงึ ฟัง สวณโี ย

๑๔๔ กตฺตพพฺ ํ กาตพพฺ ํ พงึ ทำ กรณโี ย กรณียํ พึงทำ ภรติ พฺโพ พงึ เลีย้ ง ภรณโี ย พึงเลี้ยง คเหตพโฺ พ พงึ ถอื เอา คหณีโย พงึ ถอื เอา รมิตพโฺ พ นา่ ร่นื รมย์ รมณีโย นา่ รื่นรมย์ ปตฺตพโฺ พ พึงบรรลุ ปาปณีโย พึงบรรลุ คนฺตพโฺ พ พึงไป คมนยี ํ พึงไป หนฺตพพฺ ํ พงึ เบียดเบียน หนนยี ํ พึงเบยี ดเบยี น มนตฺ พโฺ พ พึงรู้ มญญฺ นียํ พงึ รู้ ปูชยติ พโฺ พ พึงบูชา ปูชนีโย พงึ บูชา หริตพฺพํ พงึ นำไป หาริยํ พงึ นำไป ลภิตพฺพํ ลพภฺ ํ พงึ ได้ สาสิตพโฺ พ พึงพรำ่ สอน วจนยี ํ วากฺยํ พึงกลา่ ว ภชนียํ ภาคยฺ ํ พึงคบหา เนตพพฺ ํ เนยฺโย พึงนำไป ภวิตพโฺ พ ภพโฺ พ พงึ ม-ี เป็น วชฺชํ วทนยี ํ พงึ กลา่ ว มชฺชํ มทนยี ํ พงึ มวั เมา คนตฺ พพฺ ํ คมมฺ ํ พงึ ไป โยคฺคํ พึงประกอบ คารยฺโห ครหณยี ํ พงึ ตำหนิ คชฺชํ คทนียํ พึงกลา่ ว ปชฺชํ ปชชฺ นยี ํ พึงถึง ขชฺชํ ขาทนียํ ควรขบเคย้ี ว ทมฺโม ทมนโี ย ควรฝึก โภคคฺ ํ โภชชฺ ํ ควรบรโิ ภค คยฺหํ คเหตพพฺ ํ ควรถอื เอา เทยฺยํ ทาตพพฺ ํ ควรให้ เปยยฺ ํ ปานยี ํ ควรดืม่ เหยยฺ ํ หานียํ ควรสละ เญยยฺ ํ ญาตพพฺ ํ ควรรู้ ชานติ พฺพํ วชิ านนยี ํ ควรทราบ สงเฺ ขยฺ ยฺ ํ ควรนบั กตฺตพฺพํ กรณยี ํ ควรทำ ภจฺโจ ควรเล้ียงดู ทฏฐฺ พพฺ ํ ควรทราบ โภชชฺ ํ โภชนยี ํ ควรกิน ภุญชฺ ติ พพฺ ํ ควรกิน อชฺเฌยยฺ ํ ควรบรรลุ ภาเวตพโฺ พ ควรให้เจริญ ตัวอยา่ งกริ ยิ ากิตก์ท่ีลงปจั จยั ต เชน่ ศัพทก์ ริ ยิ ากิตก์ คำแปล ศพั ทก์ ิริยากิตก์ คำแปล หโุ ต บชู าแลว้ ภูโต เป็นแล้ว ภตู อุสิโต วสุ ิโต อยู่แลว้ อารทฺโธ เรมิ่ ข้นึ แล้ว วุตโฺ ถ จำพรรษาแลว้ สิทฺโธ สำเร็จแล้ว กุทโฺ ธ โกรธแล้ว ภุตโฺ ต กนิ แล้ว วิวติ โฺ ต สงัดแล้ว วมิ ตุ ฺโต พน้ แลว้

๑๔๕ อารทโฺ ธ เริ่มขึ้นแลว้ นจฺจํ นฏฺฏํ การฟอ้ นรำ ภาสติ แล้ว วุฑโฺ ฒ เจริญแล้ว ภาสโิ ต สงบแล้ว กลา่ วแลว้ สปํ ณุ ฺโณ สมบูรณแ์ ล้ว สนโฺ ต นบั ถือแล้ว สักการะแล้ว วฑุ ฺโฒ เจรญิ แลว้ วุตตฺ ํ ไหว้แล้ว หสิตํ การยิ้มแยม้ มานิโต คำแปล ทำแล้ว เทสิโต แสดงแลว้ สกฺการโิ ต ทำแลว้ ทำแลว้ ปชู ิโต บูชาแล้ว วนฺทโิ ต เพื่อไป เหน็ แล้ว ตัวอย่างกิริยากติ ก์ทล่ี งปจั จัย ตุ ํ เตว ตูน ตวฺ า ตฺวาน เชน่ เห็นแลว้ นอนแลว้ ศพั ทก์ ริ ิยากิตก์ คำแปล ศพั ทก์ ริ ยิ ากติ ก์ กนิ แล้ว ใหแ้ ล้ว กาตเว กาตุ ํ เพอ่ื ทำ กาตนู ไหวแ้ ล้ว จำแนกแล้ว โสตเว โสตุ ํ เพ่ือฟัง กตวฺ า,กรติ วฺ า สณุ ติ ฺวา,สุตฺวา ฟงั แลว้ กตวฺ าน สุตฺวาน ฟังแลว้ คนตฺ ุ คนฺตวฺ า ไปแลว้ ปสสฺ ยิ ปสสฺ ิตฺวา ปสสฺ ติ ุ ํ เพอ่ื ดู ทิสฺวา สยติ ุ ํ เพอ่ื นอน สยิตฺวา สยติ ฺวาน ภญุ ชฺ ิตุ ํ เพื่อกนิ ภุญฺชติ วฺ า ภุญฺชิตวฺ า ทาตุ ํ เพื่อให้ ทตฺวา ทตฺวาน อภวิ นฺทิย ไหว้แลว้ อภวิ นทฺ ิตวฺ า นิสฺสาย อาศยั แลว้ วภิ ชฺช วิภชยิ ตวั อย่างกริ ยิ ากิตก์ทลี่ งปัจจัย อนตฺ มาน เชน่ ศพั ท์กิรยิ ากติ ก์ คำแปล ไปอยู่ คจฺฉํ คจฉฺ นโฺ ต คจฉฺ มาโน บชู าอยู่ มหมาโน เทยี่ วไปอยู่ มศหั ํ มหนโฺ ต จรมาโน เจรญิ อยู่ อภภิ วมาโน ไดอ้ ยู่ พ ท์ จรํ จรนโฺ ต ลพฺภมาโน ปรารถนาอยู่ เห็นอยู่ ดูอยู่ กิ ต ภวํ ภวนฺโต กุรมุ าโน ให้อยู่ บรโิ ภคอยู่ ก์ น้ี ลภํ ลภมาโน กระทำอยู่ สาม อิจฉฺ ํ อิจฺฉมาโน ารถ ปสสฺ ํ ปสฺสมาโน น ำไ ททํ ททมาโน ป ภญุ ชฺ ํ ภุญฺชมาโน จำแ กพุ ฺพํ กพุ พฺ นโฺ ต กโรนฺโต

๑๔๖ นกเน้ือความด้วยนามวิภัตติได้ เพราะจัดเป็นนามศัพท์ ยกเว้น ตเว ตูน ตฺวา ตฺวาน ที่จำแนกวิภัตติไม่ได้ นักศึกษาควรหาศัพท์อนื่ ๆ ได้จากพจนานุกรมบาลีไทยทั่วไป สรปุ ท้ายบท ศัพท์กิริยาอาขยาตนั้นต้องประกอบด้วย วิภัตติ กาล บท วจนะ บุรุษ ธาตุ วาจก ปัจจัย ส่วนกิริยา กิตก์ก็คล้ายกัน ต่างแต่ไม่บท และบุรุษ เท่านั้น ซ่ึงเป็นการยากสำหรับผู้เร่ิมศึกษา เพราะการจะจดจำวิภัตติ อาขยาตทั้ง ๘ หมวดและธาตุปัจจัย นั้นมิใช่เร่ืองง่ายนัก อีกอย่างหน่ึงการนำธาตุมาลงให้ถูกต้องตามวิภัตติ อาขยาตก็จะเป็นการฝึกในเบื้องต้น เม่ือนำคำนามนามมาประกอบกับอาขยาตด้วยประโยคง่ายๆ ก็จะทำให้ เข้าใจได้มากยิ่งข้ึน ในบทน้ีให้ประกอบธาตุให้ชำนาญและฝึกแปลในปฐมบุรุษเท่านั้น ส่วนมัธยมบุรุษและ อุตตมบรุ ุษ มีกล่าวไวใ้ นบทท่ี ๕ แล้ว

๑๔๗ คำถามทบทวนประจำบทที ๗ --------------------- ๑.จงแจกธาตุตามวิภตั ในหมวดกริ ยิ าทีก่ ำหนดให้ ๑. จงนำธาตุตอ่ ไปนคี้ ือ มฺร ตาย,พธุ รู้, หุ มี เป็น ไปลงวิภัตติในหมวดวัตตมานา ๒. จงนำธาตุต่อไปนี้คอื คมฺ ไป,มุจฺ ปลอ่ ย , ทิวฺ เล่น ไปลงวิภัตตใิ นหมวดหมวดปัญจมี ๓. จงนำธาตตุ อ่ ไปนคี้ ือ สี นอน, ภิทฺ ตอ่ ย, สวิ ฺ เยบ็ ไปลงวภิ ตั ติในหมวดสตั ตมี ๔. จงแจก ตนฺ ธาตุ แผไ่ ป ด้วยวิภตั ตหิ มวดหิยตั ตนี ๕. จงแจก ลุ ธาต(ุ เกยี่ ว) ด้วยวิภตั ติภวสิ สันติ ๖. จงแจก ลกขฺ ธาตุ (กำหนด) ดว้ ยวิภัตติอัชชตั ตนี ๗. จงแจก สุ ธาตุ (ฟงั ) ด้วยวิภตั ตกิ าลาติปตั ติ ๒. จงแปลเปน็ ไทย ๑.อาจรโิ ย เลขนผลเก ลขติ ๑๖.อยฺยโก คพเฺ ภ ภณฺฑปสิพกานิ กีณาสิ ๒.วานรา ผลานิ ขาทนฺติ ๑๗.ธมโฺ ม โลกสฺส สขุ ํ เทติ ๓.ตวํ กสุ ลํ กโรตุ ๑๘.ชปาโย ทริกาย หตฺเถ โหนฺติ ๔.ตุมเฺ ห คณฺฑฆิ รํ คจฉฺ นตฺ ิ ๑๙. อกิ ขฺ ณิกา ธาราย อทุ กํ ทิพฺพติ ๕.มกขฺ ลโิ ก อาหาเร อาสิ ๒๐.สหายโก พาเลหิ นตฺถิ ๖.อุปาสกา รเถน ราชาวาสํ อาคจฉฺ นตฺ ิ ๒๑. รกุ ขฺ า วนสฺมึ โหนฺติ ๗. อีสา กสิกานํ โหติ ๒๒. นาครา หตเฺ ถหิ อกฺกํ รุนเฺ ธนฺติ ๘. นโร พทุ ธฺ ปฏิมํ วเทยยฺ ๒๓. เวทคู ปญฺ าย ปจฺจามิตตฺ ํ ชยติ ๙. โฆณิโน กสุ ลํ สหายํ ลภสึ ุ ๒๔.เอณิมิคา อรญฺเ วสสิ สฺ นตฺ ิ ๑๐. กญญฺ า รตยิ า ภตตฺ ํ ภญุ ชฺ นตฺ ิ ๒๕. ภิกขฺ ู มหามกุฏรฺ าชวทิ ฺยาลเย สิกฺขนฺติ ๑๑. มนสุ สฺ า อกิ ฺขณิกาย ปญฺญาโย อิกฺขนตฺ ุ ๒๖.ปญฺญาโย ญาณสมฺ า ลภนตฺ ิ ๑๒.พทุ ธสสฺ สาวกา ธมฺมํ จรนตฺ ิ ๒๗.วานรา มหาวเน ผลานิ ขาทนฺติ ๑๓. ชนา เจตนาย กมมฺ านิ กเรยฺยุ. ๒๘.ปุริโส สาลาย สยตุ ๑๔.โยธา หตเฺ ถหิ รปิ ุโย ชยนฺติ ๒๙. กมลานิ รตนํ ปูชาย ลเภยฺยุ. ๑๕. ภกิ ฺขู จวี เร รชชฺ นฺตุ ๑๖. อหํ อิมนิ า สกกฺ าเรน อสกุ าย นมฺมทาย นทยิ า ปุลิเน ฐิตํ มุนิโน ปาทวลญฺชํ อภปิ ชู ยามิ ฯ อยํ สกกฺ าเรน มนุ ิโน ปาทวลญชฺ สฺส ปูชาย อานิสํโส มยฺหํ ทีฆรตฺตํ หติ าย สขุ าย สวํ ตฺตตุ ฯ ๓.จงแปลเป็นไทย (แปลโดยอรรถ) ภูตปุพฺพํ ราชา ทิสมฺปติ นาม อโหสิ. เรณุ นาม กุมาโร ปุตฺโต อโหสิ. โควินฺโท นาม พฺ ราหมโณ ปุโรหิโต อโหสิ. เรณุ จ ราชปุตฺโต โชติปาโล จ มาณโว สหายา อเหสุ. อถโข โควินฺโท พฺราหฺมโณ กาลํ อกาสิ. ราชา ทิสมฺปติ ปริเทเวสิ. อถโข ราชา ทิสมฺปติ ปุริสํ อามนฺเตสิ โส อาห “อหํ อิเม ธมเฺ ม เทเสส.ึ มา สมณํ อุปสงกฺ มิ. อหํ ปุโรหโิ ต พฺราหมโณ อโหสึ” อิติ.

๑๔๘ ๔.จงแปลเปน็ ไทย (แปลโดยอรรถ) เอโก ทุมฺเมโธ คทรฺ โภ วนนฺเต ตณิ ํ ขาทติ. โส จีรกิ สฺส สททฺ ํ สุตฺวา ตุฏโฺ ฐ โหต.ิ โส คทฺรโภ “จีริกสฺส สทฺโท อติมธุโร โหติ”อิติ จินฺเตตฺวา จีริกํ อุปสงฺกมติ. คทฺรโภ ปุจฺฉติ “สมฺม จีริก ตุยฺหํ สทฺโท อติมธุโร โหติ มนาโป.กึ ตฺวํ ขาทสิ” อิติ. จีริโก วทติ “อหํ ติเณ อุสฺสาวํ ปิวามิ ตสฺมา เม สทฺโท อติมธุโร โหตตี ิ. คทฺรโภ ติณํ น ขาทต.ิ อสุ สฺ าวเมว ปิวติ. น จิเรน โส มรณํ ปตโฺ ต. อทิ ํ วตฺถุ อิทมตฺถํ ทเี ปติ “ทุมฺเมโธ สตฺโต สุเขน วญฺจโิ ต โหต.ิ โส วนิ าสํ ปตฺโต โหตีติ.เอโก สุเมโธ คทฺรโภ วนสมีเป ติณํ ขาทติ. อวิทูเร เอโก จีริโก มธุรํ สทฺทํ กโรติ. คทฺรโภ ตํ สทฺทํ สุตฺวา อตฺตมโน โหติ. โส จีริกํ อุปสงฺกมิตวฺ า เอวํ วทติ “กึ เต มาริส อาหาโร โหติ. ตว สทฺโท อติมธุโร โหติ มนาโป” อิ ต.ิ จีริโก วทติ “อหํ อญฺญํ อาหารํ น ภุญฺชามิ. อุสสฺ าโว เอว เม อาหาโร โหตีติ. โส คทรฺ โภ วทติ “ตฺวํ มํ วญฺเจสิ. อหํ อสี ปนิทาเน พาลคทฺรภสทิโส น โหมีต.ิ อถ โข คทรฺ โภ ปาเทน ตํ จรี กิ ํ อกกฺ ม ต.ิ โส จีริโก มรํ ปตฺโต. อิทํ วตฺถุ เอวํ นิทสฺเสติ “พยตฺโต สตฺโต เยน เกนจิ น วญฺจิยเต. โส วินาสํ น ปาปณุ าตีต.ิ ๕.จงแปลเป็นไทย (แปลโดยอรรถ) มลินทราชา ภนฺเต นาคเสน อุนฺทรุ สสฺ เอกงฺคํ คเหตพฺพนฺติ ยํ วเทสิ กตมนฺตํเอกงฺคนฺติ ฯ นาคเสโน ยถา มหาราช อุนทฺ โุ ร นาม อิโตปิ เอโตปิ จรนฺโต อาหารปุ สํสโกเยว จรติ เอวเมว โข มหาราช โยคิ นา โยคาวจเรน อิโตปิ เอโปติ จรนฺเตน โยนิโส มนสิการุปสึสเกเนว ภวิตพฺพํ ฯ อทิ ํ มหาราช อุนฺทุ รสสฺ เอกงคฺ ํ คเหตพพฺ ํ ฯ ศพั ทท์ ค่ี วรทราบ คำศพั ท์ คำแปล คำศัพท์ คำแปล ภูตปพุ ฺพํ ไดม้ แี ลว้ กาลํ อกาสิ เรือ่ งเคยมีมาแล้ว อโหสิ,อเหสุ คร่ำครวญแล้ว อามนเฺ ตสิ แสดงแล้ว อปุ สงกฺ มิ ตายแลว้ ปรเิ ทเวสิ ลา จีริก น้ำคา้ ง เรยี กมาแลว้ ,ปรึกษาแลว้ เทเสสึ เข้าไปหาแลว้ คทรฺ โภ จ้ิงหรีด อสุ ฺสาว ๖.จงแปลเปน็ บาลี ๑.มนษุ ย์ ท. ยอ่ มนอน บนเมรเุ ผาศพ ๒.นางอปั สร ท. ดอู ยู่ ซึ่ง ดาว ท. กบั หญงิ แม่มด ท. ๓.เรา ท. เล่นอยู่ กับนางสาวนอ้ ย ท. ๔.เรา ท.พึงหงุ ซ่ึงภัตร เพือ่ ภิกษุ ท. ๕.ทตู ท. จงเยบ็ ซึ่งธง ท. เพอื่ กษตั ริย์

๑๔๙ ๖.ทา่ น ท. ยอ่ มนำไป ซงึ่ ถงุ (ย่าม) ด้วยแขน ๗.เดก็ หญงิ ท. ควรเล่น บนในศาลา ๘.มนุษย์ ท. ยอ่ มทำ ซ่ึงกรรม ดว้ ยเจตนา ๙.ธรรมะย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ๑๐.ท่าน จงเหน็ ซึ่งมหรสพในวัด ของเราทงั้ หลาย

๑๕๐ เอกสารอ้างองิ ประจำบทที่ ๗ ----------------------------------- สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส.บาลีไวยากรณ์ (อาขยาต). พิมพค์ รั้งท่ี ๓๙,กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย,๒๕๕๐.

แผนการสอนประจำบทเรียนท่ี ๘ หวั ข้อเน้อื หาประจำบท บทที่ ๘ ประโยคหรอื วาจกในภาษาบาลี ๖ ช่วั โมง ๘.๑ การแปลภาษาบาลี ๘.๒ โครงสรา้ งรูปประโยคภาษามคธ ๘.๓ ตวั อย่างการแปลภาษาบาลี วัตถปุ ระสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ๑.นักศกึ ษาเข้าใจประโยคหรือวาจกในภาษาบาลีได้ถกู ต้อง ๒.นักศกึ ษาเข้าใจหลกั การการแปลภาษาบาลีได้ถกู ต้อง ๓.นกั ศึกษามีความเข้าใจโครงสรา้ งรปู ประโยคภาษามคธได้ถูกต้อง ๔.นักศึกษามคี วามเขา้ ใจภาษาบาลีจากบทความทางพระพุทธศาสนาสัน้ ๆ ไดถ้ ูกต้อ ๕.นักศึกษาสามารถภาษาบาลีจากตวั อยา่ งการแปลภาษาบาลเี ป็นภาษาไทยได้ถูกต้อง วิธกี ารสอนและกจิ กรรม ๑.ศึกษาเอกสารคำสอนและบรรยายนำเปน็ เบอ้ื งตน้ ๒.ใหน้ กั ศึกษาวา่ ตามผู้บรรยายเปน็ คำศัพท์บาลี ๓.อภิปราย ๔.แบง่ กลุ่มอภิปราย ๕.คำถามทบทวนประจำบทที่ ๘ ส่ือการเรยี นการสอน ๑.เอกสารประกอบการเรียนการสอนและเอกสารอ่นื ๒.PowerPoint สรปุ บทเรยี น ๓.รูปภาพ คลปิ วีดโิ อ สไลด์ การวดั และประเมนิ ผล ๑.สงั เกตพฤติกรรมในระหว่างเรียน ๒.การค้นคว้า มอบหมายงานเดีย่ ว งานกลุม่ ๓.ความสนใจในบทเรยี น การซักถาม ๔.การเขียนรายงาน การรายงานผลการค้นควา้ หนา้ ชน้ั เรียน ๕.การสอบวดั ผลความรู้แต่ละบทเรยี น ๖.การสอบวดั ผลกลางภาคเรียน ๗.การสอบวัดผลปลายภาคเรยี น

๑๕๒ บทท่ี ๘ ประโยคหรือวาจกในภาษาบาลี ภาษาบาลีมรี ปู ประโยคและวิธีการแปลท่ีเปน็ เอกลักษณ์พิเศษ อาจจะไม่เหมือนภาษาใดในโลก ลักษณะ ประโยคท่ีเรียกในภาษาบาลีว่าวาจกนั้น มีถึงห้าวาจกโดยข้ึนอยู่กับการกระทำของประธานว่าเป็นผู้ทำเอง ผู้ถูกกระทำ ประธานเปน็ เพียงผู้ที่ถูกอ้างถึง ประธานใช้ให้ผู้อื่นทำ หรอื ประธานถูกกระทำโดยมีผอู้ ื่นใชใ้ ห้ผู้อ่นื ทำ ดังนั้นการกำหนดประโยคหรือวาจกจึงมีส่วนสำคัญในการแปลภาษาบาลีเป็นภาษาไทย ในบทนี้จะได้นำเสนอ ประโยคและการแปลภาษาบาลี (Sentence and Translation in Pāli Language) เบื้องต้นพอเป็นแนวทาง สำหรบั ผูเ้ รม่ิ ตน้ ศกึ ษาต่อไป ภาษาบาลีมีลักษณะพิเศษไปจากภาษาอื่นคือการเรียงลำดับการแปล มีรูปแบบทั่วไปคือ ประธาน +ตัว ขยาย + กิรยิ า เช่น วานรา วเน วสนฺติ ฝูงลิงย่อมอยใู่ นป่า วานรา(ลิง) เป็นประธาน วเน(ป่า) เป็นตัวขยาย วสนตฺ ิ (ยอ่ มอยู)่ เป็นกิริยา เป็นต้น ดังน้ันการศกึ ษาการแปลภาษาบาลีส่วนสำคัญคือต้องกำหนดประโยคให้ได้ว่า ในแต่ ละประโยคประกอบด้วยส่วนใดบ้าง เมื่อกำหนดได้แล้วจึงดูว่าเป็นวาจกอะไร สว่ นคำศพั ท์สามารถเปิดพนานุกรม บาลีไทยดไู ด้ แต่ถ้าแปลผิดวาจกถือว่าผิดมากในภาษาบาลี ในบทนี้ จึงไดอ้ ธิบายประโยคหรือวาจกและหลักการ แปลพอสังเขป ประโยคหรอื วาจกในภาษาบาลี ประโยคในภาษามคธได้แก่ข้อความท่ีรู้จักกันว่า “วาจก” แปลว่าบอกคือบอกบทท่ีเป็นประธานของ กริ ิยาในประโยควา่ ทำหน้าท่ีอะไร แต่ละวาจกก็คือประโยคหน่ึงๆน่ันเอง ในภาษาบาลีแบ่งวาจกตามลักษณะของ ไวยากรณ์ได้ดงั น้ี ๑.ประโยคกัตตุวาจก คอื ประโยคทปี่ ระธานทำเอง ลงปจั จยั ๑๐ ตัว คอื อ, เอ, ย, ณุ, ณา, นา, ณฺหา, โอ , เณ, ณย. ปจั จัยทั้ง ๑๐ ตวั เช่น สโู ท โอทนํ ปจติ อ. พอ่ ครัว หุงอยู่ ซ่ึงขา้ วสุก,อหํ ชาคโรมิ อ.ข้าฯ ตืน่ อยู่, ตมุ เฺ ห กมมฺ ํ กโรถ อ. ท่าน ท . จงกระทำซ่ึง การงาน ๒.ประโยคกัมมวาจก คือประโยคท่ีประธานถูกทำลงอิ อาคม หน้า ย ปัจจัย และ เต วัตตมานาวิภัตติ ฝา่ ยอัตตโนบท ใช้ไดเ้ ฉพาะธาตุที่เปน็ สกมั ธาตเุ ทา่ นนั้ เช่น สูเทน โอทโน ปจิยเต อ. ขา้ วสุก อนั พ่อครัว หงุ อยู่ สาม เณรสสฺ จวี รํ สิวยิ เต เปน็ ต้น ๓.ประโยคภาววาจก คือประโยคที่ประธานเป็นตติยาวิภัตติ กิริยาที่กล่าวเพียงความเป็นไปของกิริยา อาการสว่ นมากเปน็ อกัมมธาตุ เชน่ เตน ภยู เต อันเขา เป็นอยู่ ๔.ประโยคเหตุกัตตุวาจก คือประโยคท่ีประธานใช้ให้ผู้อื่นทำลงปัจจัย ๔ ตัวคือ เณ. ณย, ณาเป, ณาปย เช่น สามิโก สทู ํ โอทนํ ปาเจติ อ.นาย ยังพอ่ ครวั ใหห้ ุงอยูซ่ ง่ึ ข้าวสกุ ๕.ประโยคเหตุกัมมวาจก คือประโยคที่ประธานถูกกระทำโดยมีผู้อื่นใช้ให้ผู้อ่ืนทำ ลงปัจจัย ๔ ตัว ตัวใด ตัวหน่ึงในเหตุกัตตุวาจกแล้วลง อิ อาคม และ ย ปัจจัยในกัมมวาจก เช่น สามิเกน สูเทน โอทโน ปาจาปิยเต อ. ข้าวสกุ อนั นาย ยังพ่อครัวใหห้ งุ อยู่

๑๕๓ สกัมมธาตุและอกัมมธาตุในธาตุท้ัง ๘ หมู่น้ัน ธาตบุ างเหล่าเป็นธาตุไมม่ ีกรรม ธาตุบางเหล่ามีกรรม ธาตุ เหล่าใด ไม่ต้องเรียกหากรรม คือสิ่งอันบุคคลพึงทำ ธาตุเหล่าน้ัน เรียกว่าอกัมมธาตุ ธาตุไม่มีกรรม ธาตุเหล่าใด เรียกหากรรม ธาตุเหลา่ น้นั เรียกว่าสกมั มธาตุ ธาตุมกี รรม เชน่ รุธฺ ธาตุ เป็นไปในความ ปิด เรยี กหากรรมวา่ ปิดซึง่ สิง่ ใดสิง่ หนึ่ง มีประตูเป็นตน้ อิกฺขฺ เป็นไปในความ เห็น เรียกหากรรมว่า เห็นซ่ึงสิ่งใดส่ิงหนึ่ง มีต้นไม้เป็นต้น ถึงแม้ธาตุที่มีกรรมอัน เหลือจากนี้ กพ็ ึงรู้โดยนัยนีเ้ ถิด ส่วนธาตุท่ีเป็นอกรรมธาตุเช่น สกฺก อาจ, มนฺต ปรึกษา, ทิว เล่น, มร ตาย, ภู มี เป็น,หุ มี เป็น,สี นอน เป็นตน้ การแปลภาษาบาลี ในการแปลภาษาบาลีเป็นภาษาไทยน้ัน เนื่องจากภาษาบาลีมีรูปแบบท่ีแตกต่างไปจากภาษาไทย คือ ประโยคภาษาไทยจะเริ่มต้นด้วยประธาน กิริยา และกรรม แต่ประโยคในภาษาบาลีจะมีโครงสร้างประโยคเป็น ประธาน กรรม และกิรยิ า กาแปลมี ๒ อยา่ งคอื ๑.แปลโดยพยญั ชนะ คอื แปลออกสำเนยี งธาตุ วิภัตติ ปจั จยั ใหถ้ กู ตอ้ งตามหลักไวยากรณ์ ๒.แปลโดยอรรถ คือการแปลมุ่งเอาใจความเป็นสำคัญ ไม่ได้มุ่งวิภัตติ ปัจจัยเป็นสำคัญ เช่น สามเณรา ติสฺสํ สาลายํ ภตฺตานิ ภุญฺชนฺติ เหล่าสามเณร กำลังฉันข้าว ที่ศาลาหลังน้ัน เป็นต้น๑ ก่อนจะแปลควรทราบ ประโยคตา่ งๆ ในภาษาบาลดี ังต่อไปน้ี โครงสรา้ งรปู ประโยคภาษามคธ โครงสร้างหลักของรูปประโยคแบง่ ออกเปน็ ๓ ภาคคือ ๑.ภาคประธาน ๒.ภาคกิริยาในระหวา่ ง ๓.ภาคกิริยาคุมพากย์ การเรียงลำดบั การแปล มอี ยู่ ๑๐ อยา่ ง ตอ้ งดำเนินไปตามลำดบั ดังนี้ ๑. อาลปนะ ๒. นิบาตตน้ ขอ้ ความ ๓. บทกาลสตั ตมี ๔. บทประธาน ๕. บทที่เน่อื งด้วยประธาน ๖. กริ ิยาในระหว่าง ๑เวทย์ วรัญญู,หลักเกณฑ์ การแปลบาลีและหลักสัมพันธ์, พิมพ์คร้ังที่ ๑, (นครปฐม: บรรณกร การพิมพ,์ ๒๕๔๕), หนา้ ๑.

๑๕๔ ๗. บททเ่ี นือ่ งด้วยกิรยิ าในระหวา่ ง ๘. ประโยคแทรก ๙. กริ ิยาคมุ พากย์ ๑๐. บทท่ีเนื่องด้วยกิรยิ าคุมพากย์ ๑.อาลปนะ ตามสำนวนบาลีเรียงไวเ้ ป็นที่ ๒ ในขอ้ ความอนั น้ัน เช่น สงฆฺ ํ ภนฺเต อุปสมฺปทํ ยาจามิ ข้าแต่ท่านผ้เู จริญ ข้า ฯ ขอ ซึ่งอุปสมบท กะสงฆ์ ถ้ามีสัพพนามหรือ นิบาตอยู่ เรียงอาลปนะไว้ เป็นท่ี ๓ บ้าง เป็นท่ี ๔ บ้าง เช่น ธมฺมํ หิ โว ภิกฺขเว เทเสสฺสามิ แน่ะภิกษุ ท. เรา จักแสดงซึ่งธรรม แก่ท่าน ท. กุหึ ปน ตฺวํ อาวุโส วสฺสํ วุตฺโถ. ดกู อ่ นผู้มอี ายุ ก็ ทา่ น อยู่ ตลอดพรรษาแลว้ ในทไ่ี หน ตามสำนวนอรรถกถา เรียงอาลปนะไว้ขา้ งต้นบ้าง ในท่ีสุดแห่งประโยคบ้าง เชน่ ภนเฺ ต มํ มา นาเสถ. ข้า แต่ท่านผู้เจริญขอท่าน ท. อย่ายังข้า ฯ ให้ฉิบหาย เอวํ กโรหิ มหาราช. ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์ จงทรงทำ อย่างนี้ อาลปนะมสี องแบบคอื อาลปนนามและอาลปนะนบิ าต ๑.อาลปนนามนาม ได้แก่ศัพท์ที่ประกอบด้วย สิ ,โย ปฐมาวิภัตติ ซึ่งใช้ในอรรถอาลปนะ ออกเสียง สำเนียงอายตนิบาตว่า แน่ะ, ดูก่อน, ข้าแต่ เช่น ปุริส (ดูก่อนบุรุษ),สามิ (ข้าแต่นาย), ภิกฺขเว (ดูก่อนภิกษุ ท.) เช่น อหํ ธมฺมํ โว ภิกฺขเว เทเสสฺสามิ ดูก่อนภิกษุ ท. อ. เรา จักแสดงซ่ึงธรรม แก่เธอ ท. สามิ เอโก ปุตฺโต ชาโต ขา้ แตน่ าย อ.บุตร คนหน่งึ เกดิ แลว้ ๒.อาลปนะนิบาต เช่น อมฺโภ (ดูก่อนท่านผู้เจริญ) ,ภนฺเต (ข้าแต่พระองค์ผูเ้ จริญ),อาวุโส (ดูก่อนท่านผู้มี อายุ) ภเณ (แน่ะพนาย), เร (เว้ย) เช่น กนิฏฺฐภาตา เม อตฺถิ ภนฺเต ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. น้องชายผู้น้อยท่ีสุด ของขา้ พเจา้ มีอยู่ ถา้ หากอาลปนะนามนาม และอาลปนะนบิ าต มาร่วมในประโยคเดียวกัน ให้แปลอาลปนะนามนามก่อน และแปลอาลปนะนิบาตทหี ลัง เชน่ ตฺวํ วเทหิ ตาว อาวุโส ปาลติ แนะปาลิตะ ผู้มีอายุ อ.ท่าน จงกล่าวก่อน ๒.นบิ าตตน้ ขอ้ ความ นิบาตมีหลายหมวดกำหนดให้แปลต่อจากอาลปนะ นิบาตเช่น กิร,ขลุ,สุทํ หนฺท,ตคฺฆ, อิงฺฆ,อาม,อามนฺ ตา,สเจ, เจ,อถ,ยทิ,ยนฺนูน,อปฺเปวนาม,หิ,จ,ปน,ตุ,อถโข,อถวา,อโห ฯลฯ เช่น อยฺโย ปน ภนฺเต กุหึ คมิสฺสติ ข้าแต่ ท่านผ้เู จรญิ ก็ อ. พระผู้เปน็ เจา้ จกั ไป ณ ที่ไหน ศัพท์เป็นอัพยยะคือนิบาตและปัจจัย บางเหล่า ไม่ต้องแจกวภิ ัตติอย่างใดอย่างหนึ่ง เรยี งลงตามรูปศัพท์ เดิมเชน่ สเจ ปาปํ น กเรยยฺ าสิ, สขุ ํ ลภิสฺสสิ ถา้ เจา้ ไม่พงึ ทำ ซง่ึ บาป เจ้าจักได้ซงึ่ สุข นิบาตท่ีเป็นต้นข้อความ มักเรียงไว้เป็นศัพท์ที่ ๒ ในข้อความอันนั้น เช่น กุหึ ปน ตฺวํ วสสิ ก็ เจ้า อยู่ท่ี ไหน เปน็ ตน้

๑๕๕ ๓.บทกาลสตั ตมี แบง่ ออกเป็น ๓ อย่างคือ กาลสตั ตมีนามนาม,กาลสัตตมีนบิ าต, กาลสัตตมีสพั พนาม ๑.กาลสัตตมีนามนาม ได้แก่ศัพท์จำพวกท่เี ก่ียวกับ กาล,เวลา,ขณะ,วัน,เดือน,ปี เป็นต้น เช่น กาเล ใน กาล,สมเย ในสมยั , ทิวเส ในวนั ,มาเส ในเดือน, สํวจฺฉเร ในปี, ขเณ ในขณะ, ตขํ ณํ ในขณะน้นั เทสนาวสาเน ใน กาลจบเทศนา,อตีเต ในกาลเป็นทล่ี ่วงไปแลว้ ,ปุพฺเพ ในกาลก่อน, ตํทวิ สํ ในวนั นัน้ เช่น ตสฺมึ สมเย สตฺถา ปริสมชฺ เฌ ธมมฺ ํ เทเสติ ในสมัยนั้น อ.พระศาสดา ย่อมทรงแสดง ซง่ึ ธรรม ในทา่ มกลางบรษิ ัท ตํทิวสํ นฬการเชฏฐกสฺส เวฬุนา อตฺโถ โหติ ในวันนั้น อ. ความต้องการ ด้วยไม้ไผ่ ย่อมมี แก่บุคคล ผู้กระทำซึง่ ไม้ไผผ่ ู้เจรญิ ทส่ี ุด ๒.กาลสัตตมีนิบาต ได้แกศ่ พั ทท์ ี่เป็นกาลสัตตมที ี่สำเรจ็ รปู ข้ึนเองโดยไมต่ ้องประกอบด้วยวิภัตติ เช่น อถ ครังนั้น, ปาโต ปาตํ ในเวลาเชา้ , สายํ ในเวลาเยน็ ,สเุ ว ในวนั ,หิยฺโย ในวนั วาน,เสฺว ในวันพรงุ่ ,สมปฺ ติ ในบัดเดย๋ี วน้ี, อายตึ ในกาลต่อไป เช่น อถ สพฺเพว ชนา ปพฺพชฺชํ ยาจึสุ คร้ังนั้น อ.ชน ท. ทั้งปวงเทียว ทูลขอแล้ว ซ่ึงการบวช เสฺว ภนฺเต อมฺหากํ ภิกฺขํ คณหฺ ถ ข้าแตท่ า่ นผ้เู จรญิ ในวนั พรุ่ง อ. ท่าน ท. ขอจงรับ ซึง่ ภิกษาของดฉิ ัน ท. ๓.กาลสัตตมีสัพพนาม ได้แก่ สัพพนามท่ีนำไปประกอบด้วยปัจจัยท้ายนาม ลงแล้วเป็นเครื่องหมาย สัตตมีวิภัตติใช้เกี่ยวกับกาลเวลา ๗ ตัวน้ีคือ ทา,ทานิ,รหิ,ธุนา,ทาจนํ,ชฺช ชฺชุ รูปสำเร็จ เช่น ยทา ในกาลใด,ตทา ในกาลนนั้ ,เอตรหิ ในกาลบัดน้ี,อิทานิ ในกาลน้ี,อชชฺ ในวนั นี้ เชน่ ตทา สาวตฺถยิ ํ สตฺต มนสุ สฺ โกฏิโย วสนฺติ ในกาล นั้น อ. โกฏแิ หง่ มนุษย์ ท.เจด็ ยอ่ มอยใู่ นเมืองช่ือว่าสาวัตถี อชฺช ภนฺเต โอกาโส นตฺถิ ขา้ แต่ท่านผู้เจรญิ ในวันน้ี อ. โอกาส ย่อมไมม่ ี อทิ านิ ตํ อติ ถฺ ึ อนธฺ ํ กริสสฺ ามิ ในกาลนนั้ อ. เรา จกั กระทำ ซ่งึ หญงิ นั้นใหบ้ อด ๔.บทประธาน บทประธาน คือศพั ทท์ ่ีประกอบดว้ ย สิ,โย ปฐมาวภิ ัตติ ศัพท์ทใี่ ช้เปน็ ประธานในประโยคได้คือ ๑.นามนาม เช่น ปรุโส (อ.บุรุษ), กญฺ า (อ.นางสาวน้อย),กุลานิ( อ.ตระกูล ท.) เป็นต้น เช่น เต ภิกฺขู เถรํ ขมาเปตวฺ า อนฺโตคามํ ปวสิ ึสุ อ.ภิกษุ ท.เหลา่ น้ัน ยังพระเถระ ให้อดโทษแลว้ เข้าไปแล้ว สู่ภายในแห่งบา้ น ฯ ๒.ปกติสังขยา ตั้งแต่ เอกูนสตํ (๙๙) ข้ึนไปเป็นนามนาม แปลเป็นประธานได้เช่น สตํ อ.ร้อย สตานิ อ. ร้อย ท. เช่น อถสฺสาหํ “เอตฺตกานิ สตานิ วา สหสฺสานิ วา สตสหสฺสานิ วาติ น สกฺกา คณนาย ปริจฺฉินฺทิตุนฺติ วทามิ ฯเปฯ คร้ันเม่ือความเป็นอย่างน้ันมีอยู่ อ. เรา ย่อมกล่าว แก่พราหมณ์นั้นว่า อันใครๆไม่อาจ เพื่ออัน กำหนด ดว้ ยการนบั ว่า อ. รอ้ ย ท. หรอื หรอื ว่า อ.พัน ท. หรือวา่ อ.แสน ท. อนั มีประมาณเทา่ น้ี ฯลฯ ๓.ปุริสสัพพนาม เช่น โส (อ.ท่าน), เต (อ.ท่าน ท.) อหํ, มยํ ตฺวํ,ตุมฺเห เชน่ ตุมฺเห ปน สามิ ข้าแต่นาย ก็ อ.ท่าน ท. เล่า, มยํ อิมินา กญฺเ หิ น รญฺโ อุยฺยานํ คจฺฉาม เรา ท. ไปอุทยานกับหญิงสาว ท.อหํ ปุรตฺเถน อาทิจฺจํ ปสฺสาม ข้า ดูพระอาทิตย์ทางทิศตะวันออก ทลิทฺทสฺส ขโร อาพาโธ อุปชฺชติ, โส มุหุตฺเตน มรติ อาพาธ หนกั เกดิ ขน้ึ แกค่ นเข็ญใจ เขาเสียชวี ิตในขณะน้นั ๔.นามกิต มีท้ังที่แปลเป็นนามและคุณนาม เช่น ทายโก (อ.ทายก), สาวโก (อ.สาวก),กรณํ (อ.การ กระทำ) เชน่ อาจริย มยฺหํ โทโส นตถฺ ิ ข้าแตอ่ าจารย์ อ. โทษ ของกระผม ย่อมไม่มี

๑๕๖ ๕.กริ ิยากิต มีปัจจัยที่ใช้เป็นนามนามได้มอี ยู่ ๓ ตวั คือ อนีย,ตพพฺ ,ต ปจั จัย เช่น พุทฺโธ โลเก อุปปนฺโน อ. พระพุทธเจา้ เสด็จอุบตั ขิ ึ้นแล้วในโลก ฯ ๖.บทสมาส เช่น มหาเถโร (อ.พระมหาเถระ),นตฺภิปูโว (อ.ขนมไม่มี),ปตฺตจีวรํ (อ.บาตรและจีวร) เช่น เตน มยหฺ ํ จติ ตฺ สุขํ นาม น โหติ เพราะเหตุน้นั ชอื่ ว่า อ.ความสบายแห่งจิต ของขา้ พเจ้า ย่อมไมม่ ี ๗.บทตัทธิต เช่น สามเณโร (อ.สามเณร), สหายตา (อ.ประชุมแห่งสหาย) เช่น อตถฺ ิ โกจิ ภติเกน อตฺถโิ ก อ.บุคคลผมู้ ีความต้องการ ไร ๆ ดว้ ยบุคคลผู้รับจ้าง มีอยหู่ รือ ๘.บทพิเศษ แปลเป็นประธานได้บ้าง เช่น เอวํ (อ.อย่างน้ัน), ตถา (อ.เหมอื นอย่างนั้น) อลํ (อ.พอละ), ตุ (อ.อัน), อชฺช (อ.วันน้ี), สกฺกา (อ.อันอาจ)เป็นต้น เช่น เอวํ กิร ภิกฺขเว ได้ยนิ ว่า อ. อย่างน้ัน, สตฺถา อลํ เอตฺตเกน อมิ สสฺ าติ ปกฺกาม.ิ พระศาสดาตรสั แก่บคุ คลนัน้ วา่ อ. พอละ ดว้ ยเหตุมปี ระมาณเทา่ น้ี หลีกไปแลว้ ๕.บททเี่ น่อื งด้วยประธาน คือบทที่แปลหรือสัมพันธ์เข้ากับตัวประธานท้ังส้ิน เช่น บทวิเสสนะ, บทคุณนาม, สัพพนาม ท่ีมีลิงค์, วจนะ ,วภิ ัตติ เสมอกับตัวประธาน หรือบทอ่ืนๆ ที่ประกอบฉัฏ ี วิภัตติ,สัตตมวี ิภัตติ หรือศพั ท์หรือบทที่สามารถ สัมพันธ์เข้ากับ บทประธานได้ ก็เป็นตัวเน่ืองด้วยประธานทั้งส้ิน มีกฎว่าคุณนามของนามนามบทใด ต้องมีลิงคะ วจนะ วิภัตติเหมอื นลิงคะ วจนะ วิภัตติ ของนามนามบทนั้น เรียงไว้หน้านามนามบทน้ัน เช่น อุจฺโจ รุกฺโข ต้นไม้ สูง, อจฺเจ รุกเฺ ข สกุณา นกท้ังหลาย บนต้นไม้สูง, สุคนฺธํ ปุปฺผํ ดอกไมห้ อม, นีลานํ ปปุ ผฺ านํ ราสิ กองดอกไม้เขียว, สุคนเธ ปุปฺเผ ภมโร แมลงผ้ึงในดอกไม้หอม, วิสาลํ เขตฺตํ นากว้าง, สุกฺกสฺส โอทนสฺส ปาตี ถาดแห่งข้าวสุกขาว, อญญฺ ตโร ภกิ ฺขุ คามํ ปณิ ฺฑาย ปวิฏโฺ ฐ อ. ภกิ ษุรูปใดรปู หนึง่ เข้าไปแลว้ สบู่ า้ นเพ่อื บิณฑะ ถา้ เกย่ี วเนื่องกบั สังขยามีกฎอย่วู ่า เอกศพั ท์ซ่ึงเป็นสังขยา เป็นเอกวจนะอย่างเดียว ต้ังแต่ทฺวิ จนถึง อฏฺ ารส เป็นพหุวจนะอย่างเดียว ต้ังแต่เอกูนวีสติ ถึง อฏฺ นวุติ เป็นเอกวจนะ อิตถีลิงค์อย่างเดียว แม้เข้ากับศัพท์ที่ เป็นพหุวจนะลิงค์อื่น ก็คงอยู่อย่างนั้น ไม่เปล่ียนไปตาม เช่น เอโก ชโน ชน ผู้เดียว, เทฺว ชนา ชนทั้งหลาย ๒, ปญฺจตฺตึสาย ชนานํ ลาโภ อุปฺปนฺโน ลาภ เกิดขึ้นแล้ว แก่ชนท้ังหลาย,อฏฺ นฺนํ ภควโต สาวกานํ สมุโห หมู่แห่ง สาวกของพระพทุ ธเจ้า, จตฺตาโร ภิกฺขู คามํ ปณิ ฑฺ าย ปวิฏฺ า ภกิ ษฺ ุสร่ี ปู เข้าไปสู่บ้านเพ่ือบิณฑบาต, ตณี ิ อุปลานิ อุทเก ชาตานิ ดอกบวั สามดอกเกิดในน้ำ,เอกูนวีสติ นาริโย นหานาย นทึ คตา หญิงสบิ เก้า คน ไปสู่แม่น้ำเพื่ออาบน้ำ, เอกํ ผลํ รุกฺขา ปติตํ ผลไม้หน่ึงลูกตกจากต้นไม้, สตฺต อิสโย นครา นิกฺขนฺตา ฤษีเจ็ด รูปออกจากเมือง, เตวสี ติยา กมุ ารานํ อาจริโย คามํ ปวิฏโฺ อ. อาจารย์ ของกมุ าร ท. ๒๓ เขา้ ไปแล้วส่บู ้าน ปุริสสัพพนาม ประถมบุรุษ ใช้แทนนามนามบทใดต้องมีลิงคะ และวจนะ เหมือนลิงคะและวจนะของ นามนามบทนั้น ส่วนวิภัตติน้ัน เหมือนกันก็ได้ ต่างกันก็ได้ เช่น เอโก อุยฺยาเน รุกฺโข, โส วาเตน ปหโต, ตสฺส ปณณฺ านิ ปตติ านิ. ต้นไม้ ในสวน ตน้ หน่งึ ตน้ ไม้น้นั อนั ลม กระทบ แล้ว, ใบทง้ั หลาย ของตน้ ไม้นัน้ หลน่ แลว้ เต, เม, โว, โน, มัธยมบุรุษ และอุตตมบุรุษสัพพนามนั้น ต้องมีบทอ่ืนนำหน้าก่อน จึงใช้ได้ เช่น อาจริโย โน อาจารย์ ของขา้ ท. อยนเฺ ต ปตฺโต น้ี บาตร ของเจ้า

๑๕๗ วิเสสนสัพพนาม ของนามนามบทใด ต้องมีลิงคะ วจนะ วิภตั ติ เหมือนลิงคะ วจนะ วิภัตติ ของนามนาม บทน้ัน เรียงไว้ข้างหน้าแห่งนามนามบทนั้น ดังนี้ ยสฺมึ ภควติ มยํ อภิปฺปสนฺนา, ตํ ภควนฺตํ สรณํ คตา. เรา ท. เลอื่ มใสย่งิ แล้วในพระผู้มีพระภาค ใด เรา ท. ถงึ แลว้ ซง่ึ พระผ้มู พี ระภาคนน้ั เป็นที่ระลึก ถ้าไม่นิยมนามนาม เป็นแต่นิยมลิงค์เท่านั้น จะไม่เรียงนามนามไว้ด้วยก็ได้ ดังน้ี ยสฺส ลาโภ อุปฺปนฺโน, ตสฺส อลาโภ อปุ ปฺ นฺโน. ลาภ เกิดขึ้นแล้ว แกผ่ ู้ใด, ความไมม่ ลี าภ เกิดขึน้ แลว้ แกผ่ นู้ ั้น. ยสสฺ า ปุตฺโต ชาโต, สา ตุฏฺ า. บุตรของหญงิ ใด เกดิ แล้ว หญงิ น้นั ยินดแี ล้ว ๖.กริ ยิ าในระหว่างของบทประธาน กริยาในระหว่างของประธานได้แก่กิริยากิตก์ มีปัจจัยที่เป็นกิริยาในระหว่างท่ีแจกด้วยวิภัตตินามได้ ๕ ตัวคือ อนฺต,ตวนฺตุ,ตาวี,มาน, ต ปัจจัย ปัจจัยทั้ง ๕ ตัวนี้ต้องมีลิงค์,วจนะ,วิภัตติ เสมอกับประธาน ทั้งเอกวจนะ และพหุวจนะ ถึงจะใช้เป็นกิริยาในระหว่างได้เช่น สเจ ภนฺเต อยฺโย อิมสฺมึ ฐาเน เอวํ วิหรนฺโต ปพฺพชิตกิจฺจํ มตฺถกํ ปาเปตุ สกฺขิสฺสติ ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ถ้าว่า อ.พระผู้เป็นเจ้าอยู่ ๆ อย่างนี้ ในท่ีนี้จักอาจ เพื่ออันยังกิจแห่ง บรรพชติ ให้ถึงทส่ี ดุ ไซร้ ฯ ปัจจัย ๓ ตวั คือ ตูน, ตฺวา, ตวาน ใช้เป็นกริ ยิ าในระหวา่ งของตวั ประธานได้ไมต่ ้องแจกไปตามตัวประธาน เพราะเป็น อัพยยปัจจยั แจกดว้ ยวภิ ัตติทัง้ เจ็ดไม่ได้ เชน่ อปรภาเค เวฏฺ ทีปกตาปโส กาลํ กตฺวา มเหสกฺโข เทวรา ชา หุตวฺ า นิพฺพตตฺ .ิ ในกาลเปน็ ส่วนอื่นอีก อ.ดาบสช่อื วา่ เวฏฐทีปกะ กระทำแล้ว ซง่ึ กาละบังเกิดแล้วเป็นเทวดาผู้ พระราชาผู้มศี ักดิ์ใหญ่ ๗.บทที่เนื่องด้วยกริ ิยาในระหวา่ ง บทท่ีเน่ืองด้วยกิริยาในระหว่างได้แก่ศัพท์ท่ีไม่ได้ประกอบด้วยวิภัตติ หรือศัพท์ที่ประกอบด้วยวิภัตติ ต้ังแต่ ทุติยาวิภัตติ ถึง สัตตมีวิภัตติ หรือท่ีมีข้อความเกี่ยวเนื่องถึงกันกับกิริยาในระหว่าง ทำหน้าท่ีขยาย ก็ จัดเป็น บทท่ีเนื่องด้วยกิริยาในระหว่าง เช่น ตสฺมา ตํทิวสํ สตฺถา ตสฺส อุปนิสฺสยํ โอโลเกตฺวา ธมฺมํ เทเสนฺโต อนุ ปุพฺพีกถํ กเถสิ. เพราะเหตุน้ัน เม่ือทรงแสดงซึ่งธรรม ตรัสแล้ว ซึ่งอนุปุพพีกถา ชโน เสฏฺ โิ น คาเม กมฺมํ กตฺวา สญฺจํ ลภิ อ.ชน ทำแลว้ ซง่ึ การงาน ในบา้ น ของเศรษ ี ได้แล้วซงึ่ ค่าจา้ ง ๘.กริ ยิ าคุมพากย์ กิรยิ าคุมพากย์คือธาตุที่นำไปประกอบดว้ ยเคร่ืองปรุงของอาขยาต ในวิภัตติทั้ง ๘ หมวด ใช้เป็นกิรยิ าคุม พากย์ท้ังสิ้น และยังมีปัจจัยในกิริยากิตก์อีก ๓ ตัวคือ อนีย,ตพฺพ,ต ปัจจัย ใช้เป็นกิริยาคุมพากย์ (รวมท้ัง ตฺวา ปัจจยั เป็นกิริยาคุมพากย์ ปธานนัย) กิริยาอาขยาตมีกฎว่า กิริยาอาขยาตของนามนาม ของปุริสสัพพนามบทใด ต้องมีวจนะ และบรุ ุษ เหมือนวจนะ และบุรุษ ของนามนาม ปุริสสัพพนาม บทนั้น เช่น ชโน ยาติ, ชนา ยนฺติ, โส ยาติ, เต ยนฺติ, ตฺวํ ยาสิ, ตุมฺเห ยาถ, อหํ ยามิ, มยํ ยาม. กิริยาอาขยาตน้ี เรียงไว้ในที่สุด ประโยค เช่นตัวอย่างที่ แสดงมาแล้ว บางทกี เ็ รียงไวห้ นา้ ประโยค เช่น สณุ าตุ เม ภนฺเต สงโฺ ฆ ทา่ นผเู้ จรญิ สงฆจ์ งฟงั ข้าพเจ้า

๑๕๘ วธิ ีใช้มัธยมบุรษุ และอุตตมบุรุษ, จะไม่เขียนตัวประธานลงด้วยก็ได้ แต่ตอ้ งใช้กริ ิยาให้ถูกตามวจนะ และ บุรุษ ดังน้ี กตรสฺมึ อาวาเส วสฺสํ วสสิ ท่าน อยู่ตลอดพรรษา ในอาวาสไหน อิมสฺมึ อาวาเส วสฺสํ วสามิ ข้าพเจ้า อยู่ ตลอดพรรษา ในอาวาสน้ี, สูโท โอทนํ ปจติ อ.พอ่ ครัว หุงอยู่ ซ่งึ ขา้ วสกุ ฯ คุณนาม ท่ีเน่ืองด้วยกิริยา ว่ามี ว่าเป็น เรียงไว้หลังนามนาม ซ่ึงเป็นเจ้าของ หน้ากิริยา ว่ามี ว่าเป็น นั้น ดงั น้ี สุคนฺธํ ปุปฺผํ สพฺเพสํ มนาปํ โหติ ดอกไม้ หอม เป็น ท่ีชอบใจ ของชนท้ังหลายท้ังปวง. แม้จะไม่เรยี งกิริยาไว้ ด้วยก็ได้ ดังนี้ อตตฺ า หิ อตฺตโน นาโถ ตนแล เป็นที่พึง่ ของตน,ราชา อตฺตโน รฏฺเฐ ชนานํ อสิ ฺสโร โหติ, พระราชา เป็นใหญ่กว่าชนทั้งหลายในแว่นแคว้นของพระองค์, อยํ ทารโก เสฏฺ โิ น นตฺตา โหติ.ทารกนี้ เป็นหลานของ เศรษฐี นามนาม ซ่ึงใช้เป็นคุณนาม ต้องมีวจนะและวิภัตติ เหมือนนามนามซึ่งเป็นเจ้าของ แต่ลิงค์นั้นคงอยู่ ตามท่ี คือศัพท์เดิม เป็นลิงค์อะไร ก็คงเป็นลิงค์นั้น ดังนี้ พุทฺโธ เม วรํ สรณํ พระพุทธเจ้า เป็นท่ีพ่ึง อันประเสริฐ ของเรา. ปมาโท มจฺจุโน ปทํ, ความประมาทเป็นทางแห่งความตาย, ราชา มนุสฺสานํ มุขํ. ราชาเป็นประมุขของ มนุษย์ท้ังหลาย กริ ยิ ากติ ก์มกี ฎว่า กิรยิ ากิตก์ ท่ีไมใ่ ช่อพั ยยะ ถ้ามีกิรยิ า วา่ มี วา่ เป็นอย่หู ลงั เขา้ กับกิรยิ า วา่ มี วา่ เป็น น้ัน ใช้เหมือนกริ ิยาอาขยาต ซ่ึงมีธาตุอย่างเดียวกับกิรยิ ากิตก์น้นั เชน่ เสฏฺ ิโน ลาโภ อปุ ฺปนฺโน โหติ มคี วามเป็นอย่าง เดียวกันกับ เสฏฺ โิ น ลาโภ อุปฺปชฺชติ ลาภเกิดขึ้นแก่เศรษ ี ,ภิกฺขุ คามํ ปิณฺฑาย ปวิฏฺโ อ.ภิกษุ เข้าไปแล้ว สู่ บา้ น เพ่ือบิณฑะ, สาวตฺถิยํ อญฺ ตโร ภกิ ขฺ ุ อหนิ า ทฏฺโ กาลกโต โหติ ภกิ ษุรปู ใดรูปหนึ่งถกู งูกัดตาย, เสฏฺ ิโน อา พาโธ อปุ ฺปนโฺ น โหติ อาพาธเกิดขึน้ แก่เศรษ ี, สงฆฺ สฺส จวี รํ อุสสฺ นฺนํ โหติ จีวรของสงฆ์เปน็ ของหนา, ภิกฺขุ อตตฺ โน สนฺตเกน ตฏุ ฺโ โหติ ภิกษุเป็นผยู้ นิ ดใี นของๆ ตน ๙.ประโยคแทรก ถ้ามีขอ้ ความเรื่องอ่ืนแทรกเขา้ มาในระหว่าง แห่งประโยคนามนาม ทีเ่ ปน็ ประธาน ในขอ้ ความนน้ั ใชฉ้ ัฏ ี หรือสัตตมวี ิภตั ติ กิริยาของนามนามบทนัน้ ใชก้ ิริยากิตก์ มี ลงิ คะ วจนะ วภิ ัตติเหมือน ลิงคะ วจนะ วิภัตติ ของ นามนามบทนั้น แทรกเข้ามาในท่ีไหนก็เรยี งไวใ้ นที่นัน้ เชน่ สุรเิ ย อตถฺ งคฺ เต, จนโฺ ท อคุ ฺคจฉฺ ติ ครั้นเมือ่ พระอาทิตย์ ตกแล้ว, พระจันทร์ ข้ึนไปอยู่ ทารกสฺส รุทนตฺ สฺส, ปติ า ปพฺพชิ เมอื่ เด็ก รอ้ งให้อยู่, พ่อ บวชแล้ว ทารกา, อตฺตโน หตฺเถ ผเล มาตรา คหเิ ต, โรทนฺติ. ครนั้ เมื่อมารดาถือเอาผลไม้ในมือของตน ทารกร้องให้อยู่ ปทุมานิ, สรุ ิเย อุคฺค เต, ปุปฺผนฺติ, ตสฺมึ อตฺถงฺคเต, ปตฺตานิ ปิทหนฺติ. คร้ันเมื่อพระอาทิตย์ขึ้นไปอยู่ ดอกประทุม ท. ก็เบ่งบาน ครั้น เมือ่ พระอาทติ ยต์ กไป ดอกประทุมก็เห่ียวแห้งไป ๑๐.บททเ่ี นอื่ งดว้ ยกริ ยิ าคมุ พากย์ คอื บทหรอื ศัพท์ท่ีเรียงไวห้ น้ากิริยาคุมพากยบ์ ้าง หลังกริ ิยาคุมพากย์บา้ ง เรยี งไวห้ น้าเช่น เอวํ สตฺถา เตสํ ภิกขฺ นู ํ ธมฺมํ เทเสส.ิ อ. พระศาสดา ทรงแสดงแล้ว ซึง่ ธรรม แก่ภิกษุ ท. เหล่านัน้ เรยี งไว้หลังเชน่ สตถฺ า ภตฺตคคฺ ํ ปวิสิตฺวา ปญฺ ตฺตาสเน นิสีทิ สทธฺ ึ ภิกฺขสุ งฺเฆน. อ. พระศาสดา เสดจ็ เข้า ไปแลว้ สูโ่ รงแห่งภัตร ประทับนัง่ แล้ว บนอาสนะอนั บคุ คลปูลาดแล้ว กบั ดว้ ยหมู่แหง่ ภิกษุ ฯ

๑๕๙ ตัวอย่างการแปลพระวนิ ยั ปิฎก เตน สมเยน พุทฺโธ ภควา เวรญฺชายํ วิหรติ นเฬรุปุจิมนฺทมูเล มหตา ภิกฺขุสงฺเฆน สทฺธึ ปญฺจมตฺเตหิ ภิกฺขสุ เตหิ ฯ อสฺโสสิ โข เวรญฺโช พฺราหฺมโณ สมโณ ขลุ โภ โคตโม สกฺยปตุ ฺโต สกฺยกุลา ปพฺพชิโต เวรญฺชายํ วิหร ติ นเฬรุปุจิมนฺทมูเล มหตา ภิกฺขุสงฺเฆน สทฺธึ ปญฺจมตฺเตหิ ตํ โข ปน ภวนฺตํ โคตมํ เอวํ กลฺยาโณ กิตฺติสทฺโท อพฺ ภุคฺคโต อิติปิ โส ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ พุทฺโธ ภควาติ โส อิมํ โลกํ สเทวกํ สมารกํ สพฺรหฺมกํ สสฺสมณพฺราหฺมณึ ปชํ สเทวมนุสฺสํ สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทติ โส ธมฺมํ เทเสติ อาทิกลฺยาณํ มชฺเฌกลฺยาณํ ปริโยสานกลฺยาณํ สาตฺถํ สพฺยญฺชนํ เกวลปริปณุ ณฺ ํ ปรสิ ุทฺธํ พฺรหฺมจรยิ ํ ปกาเสติ สาธุ โข ปน ตถารูปานํ อรหตํ ทสฺสนํ โหตตี ิ ฯ คำแปลเป็นไทย โดยสมัยน้ัน พระผู้มีพระภาคพระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ ควงไม้สะเดาท่ีนเฬรุยักษ์ สิงสถิต เขตเมือง เวรัญชา พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป เวรัญชพราหมณ์ ได้สดับข่าวถนัดแน่ว่า ท่านผู้เจริญ พระสมณะโคดมศากยบุตร ทรงผนวชจากศากยตระกูล ประทับอยู่ ณ บริเวณต้นไม้สะเดาที่นเฬรุยักษ์สิงสถิต เขตเมืองเวรัญชา พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป ก็แลพระกิตติศัพท์อันงามของท่านพระโคดม พระองค์น้ัน ขจรไปแล้ว อย่างน้ีว่า พระผู้มีพระภาคองค์น้ัน ทรงเป็นพระอรหันต์แม้เพราะเหตุนี้ ทรงตรัสรู้เอง โดยชอบ แม้เพราะเหตุนี้ ทรงบรรลุวิชชาและจรณะแม้เพราะเหตุนี้ เสด็จไปดีแม้เพราะเหตุน้ี ทรงทราบ โลกแม้ เพราะเหตุน้ี ทรงเป็นสารถีฝึกบุรุษท่ีควรฝึกไม่มีผู้อ่ืนย่ิงกว่าแม้เพราะเหตุนี้ ทรงเป็นศาสดาของเทพและมนุษย์ ท้ังหลายแม้เพราะเหตุน้ี ทรงเป็นพุทธะแม้เพราะเหตุน้ี ทรงเป็นพระผู้มีพระภาคแม้เพราะเหตุน้ี พระองค์ทรงทำ โลกนพ้ี ร้อมทงั้ เทวโลก มารโลก พรหมโลกให้แจ้งชัด ด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เอง แลว้ ทรงสอนหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะพราหมณ์ เทพ และมนษุ ย์ ใหร้ ู้ ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรง ประกาศพรหมจรรย์พร้อมท้ังอรรถท้ังพยัญชนะครบบริบูรณ์บริสุทธ์ิ อน่ึง การเห็นพระอรหันต์ทั้งหลายเห็นปาน น้นั เปน็ ความดี ตัวอย่างการแปลพระสตุ ตนั ตปฎิ ก ป มํ โอฆตรณสุตฺตํ เอวมฺเม สุตํ เอกํ สมยํ ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเม ฯ อถ โข อญฺ ตรา เทวตา อภิกฺกนฺตาย รตฺติยา อภิกฺกนฺตวณฺณา เกวลกปฺปํ เชตวนํ โอภาเสตฺวา เยน ภควา เต นุปสงกฺ มิ อปุ สงฺกมติ วฺ า ภควนฺตํ อภวิ าเทตวฺ า เอกมนฺตํ อฏฺ าสิ ฯ เอกมนฺตํ ติ า โข สา เทวตา ภควนฺตํ เอตทโวจ กถํ นุ ตฺวํ มาริส โอฆมตรีติ ฯ อปฺปติฏฺ ํ ขฺวาหํ อาวุโส อนายูหํ โอฆมตรินฺติ ฯ ยถากถํ ปน ตฺวํ มาริส อปฺปติฏฺ ํ อนายูหํ โอฆมตรีติ ฯ ยทา สฺวาหํ อาวุโส สนฺติฏฺ ามิ ตทาสฺสุ สํสีทามิ ยทา สฺวาหํ อายูหามิ ตาสฺสุ นิวุยฺหามิ เอวํ ขฺวาหํ อาวุโส อปฺปติฏฺ ํ อนายูหํ โอฆมตรินฺติ ฯ จิรสฺสํ วต ปสฺสามิ พรฺ าหฺมณํ ปรนิ ิพฺพุตํ อปฺปติฏฺ ํ อนายหู ํ ติณฺณํ โลเก วิสตตฺ ิกนฺติ ฯ

๑๖๐ อิทมโวจ สา เทวตา สมนุญฺโ สตฺถา อโหสิ ฯ อถ โข สา เทวตา สมนุญฺโ เม สตฺถาติ ภควนฺตํ อภิวา เทตฺวา ปทกขฺ ิณํ กตวฺ า ตตฺเถวนตฺ รธายีติ ฯ คำแปลเปน็ ไทย โอฆตรณสูตรท่ี ๑ ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ สมัยหน่ึง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเช ตวัน อารามของ ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี คร้ังน้ันแล เมื่อปฐมยามล่วงไปแล้วเทวดาองค์ หนึง่ มีวรรณงาม ยงั พระวิหารเชตวันท้ังส้นิ ใหส้ ว่าง เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถงึ ท่ีประทับ คร้ันแล้วถวายอภิวาท พระผู้มพี ระภาค แลว้ ไดย้ ืนอยู่ ณ ทคี่ วรส่วนขา้ งหนง่ึ ฯ เทวดานั้น ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหน่ึงแลว้ ไดก้ ราบทูลคำนี้ กะพระผู้มพี ระภาควา่ ขา้ แต่พระองค์ผ้ไู ม่มี ทุกข์ ข้าพระองค์ขอทูลถาม พระองค์ ข้ามโอฆะได้อย่างไร ฯ พระผมู้ ีพระภาคตรสั ตอบวา่ ท่านผู้มีอายุ เราไมพ่ กั อยู่ ไม่เพียรอยู่ ข้ามโอฆะไดแ้ ลว้ ฯ เทวดา : ข้าแต่พระองคผ์ ไู้ มม่ ีทุกข์ กพ็ ระองคไ์ มพ่ ักไมเ่ พียร ข้ามโอฆะได้ อย่างไรเล่า ฯ พ. ทา่ นผ้มู ีอายุ เม่ือใด เรายังพักอยู่ เมื่อน้ัน เรายงั จมอยู่โดยแท้ เมื่อใดเรายังเพียรอยู่ เม่ือน้ัน เรายังลอยอยู่โดย แท้ ทา่ นผู้มอี ายุ เราไม่พัก เรา ไมเ่ พยี ร ขา้ มโอฆะไดแ้ ล้วอย่างนแ้ี ล ฯ เทวดานน้ั กลา่ วคาถาน้ีว่า \"นานหนอ ข้าพเจ้าจึงจะเห็นขณี าสวพราหมณ์ผดู้ ับรอบแลว้ ไมพ่ กั อยู่ ไม่เพยี ร อยู่ ขา้ มตัณหาเปน็ เคร่อื งเกาะเกย่ี วในโลก ฯ เทวดาน้ันกล่าวคำน้ีแล้ว พระศาสดาทรงอนุโมทนา คร้ังนั้นแลเทวดาน้ันดำริว่า พระศาสดาทรง อนโุ มทนาคำของเรา จงึ ถวายอภิวาทพระผมู้ ีพระภาค ทำประทกั ษณิ แล้วกห็ ายไป ณ ทีน่ ัน้ แล ฯ สรปุ ท้ายบท การแปลภาษาบาลเี ป็นภาษาไทยน้ันมีหลกั การท่แี น่นอน ว่าศัพท์ไหนควรแปลก่อน ศพั ท์ไหนควรแปลที หลัง การแปลนอกจากจะคำนึงถึงหลักไวยากรณ์แล้ว ยังจะต้องศึกษาหลักการสัมพันธ์ไปดว้ ยว่าศัพท์ใดควรแปล เข้ากับศัพท์ใด ซ่ึงเป็นเร่ืองท่ีต้องศึกษาเพ่ิมเติมในส่วนที่ว่าด้วยวิชาสัมพันธ์ซึ่งใช้เป็นหลักสูตรเปรียญธรรม ๓ ประโยค ครั้นจะนำมาอธิบายในท่ีนี้เห็นว่าจะทำให้หนังสือเล่มน้ียากเกินไป คงต้องเขียนอีกเล่มหน่ึงว่าด้วยวิชา สัมพันธ์โดยตรง ส่วนผู้เริ่มต้นเม่ือกำหนดหลักการได้แล้ว ก็สามารถแปลตามกฎเกณฑ์ได้เลยหลักการแปลไทย เปน็ มคธ ซึง่ สรุปได้โดยย่อเปน็ ขอ้ ๆ ตามลำดบั ดังนี้ ๑.ส่วนประกอบของประโยค ประโยคมีส่วนประกอบสำคญั ๓ สว่ น คือ ภาคประธาน แบ่งเปน็ ๒ คอื บทขยายประธาน บทประธาน ภาคกรรม แบง่ เปน็ ๒ คอื บทขยายกรรม บทกรรม ภาคกิรยิ า แบง่ เป็น ๒ คอื บทขยายกิริยา บทกริ ิยา ๒.หลักการเรยี งเบือ้ งต้น ๑.พึงทราบเนื้อความในภาษาไทยก่อนว่า ใครหรืออะไร ทำอะไรหรือเป็นอะไรที่ไหน เม่ือไรและอย่างไร ทกุ ๆ ตัวกิรยิ า

๑๖๑ ๒.พงึ เปล่ียนสำนวนไทยเปน็ สำนวนมคธ โดยแปลงเป็นพยญั ชนะ ๓.พงึ เรยี งตามหลกั การเรยี งภาษามคธตามลักษณะวาจกทั้ง ๕ ๔.ศัพท์และบทเหล่านี้คือ ยสฺมา ตสฺมา ยถา เอวํ กิญจาปิ กามํ สเจ ยทิ อถโข ตถา อปิจ อญฺญทตฺถุ มา โน อถวา หนฺท อถ กีว ยาว ตาว ยาวเทว ตาวตา กิตฺตาวตา เอตฺตาวตา เสยยฺ ถาปิ กถํ ยนฺนูน อปฺ เปวนาม กิ กญฺจิ นนุ อโห ใหเ้ รียงไว้เปน็ ตัวแรกของประโยคนน้ั ๆได้ ๕.ศัพท์และบทเหลา่ นค้ี ือ หิ จ ปน วา กริ ขลุ สุทํ เจ เต เม โว โน นํ มํ เรยี งไว้เปน็ ตัวท่ี ๒ หรือ ท่ี ๓ ก็ได้ แต่ห้ามเรยี งไว้เป็นตัวแรกของประโยค อาลปนะ จะเรียงไว้เป็นตัวท่ี ๑-๒-๓-๔-๕ หรือท้ายประโยคก็ได้แต่อาลปนะนามให้เรียงไว้หลัง อาลปนะนิบาต เช่นอาวโุ ส อานนฺท เปน็ ต้น ๓.วธิ เี รยี งศัพท์ทป่ี ระกอบดว้ ยวิภตั ติทง้ั ๗ ๑.ปฐมาวิภัตติ ได้แก่ ศัพทท์ ี่ทำหน้าท่ีเป็นประธานของประโยค คอื ก.นามนามลว้ น เชน่ สามเณโร ข.นามนามผสมหรอื สมาส เชน่ เสฎฺฐปิ ุตโฺ ต ค.บทตัทธิตทใ่ี ช้เป็นนามนาม เช่น เมธาวี สหายตา นาวิโก เปน็ ตน้ ง.นามกิตก์หรอื กรยิ าภาวนานามทง้ั หมด เช่น ทายโก กตฺตา เปน็ ต้น จ.กิริยากิตบางตัวทปี่ ระกอบด้วยปัจจัยเหลา่ นี้ คอื อนีย ตพพฺ ตแุ ละ ต ปัจจัย ฉ.บทคุณนามท่ใี ชด้ ุจนามนาม เชน่ ตาตา อิมสมฺ ิ เก ทนธฺ า พหู อุทาหุ ปณฑฺ ติ า ช.ปกตสิ งั ขยา ต้ังแต่ ๙๙ เปน็ ต้นไป ซ.อพั ยยศัพท์บางอย่าง เชน่ อลํ สาธุ เอวํ อชฺช อทิ านิ และ ตถา ญ.กริ ิยาอาขยาตกบั ศัพทน์ ามผสมกนั เช่น นตถฺ ิปูโว วิธีแปลต้องเรียงตามลำดบั ดงั นี้ ๑.ในประโยคกัตตุวาจกและเหตุกัตตุวาจก หากไม่มีบทขยายประธานหรือศัพท์นิบาตที่จะให้ เรียงไว้ต้นประโยคใหเ้ รียงประธานไว้เปน็ ตัวแรกของประโยคได้ ๒.ในประโยคกมั มวาจก หรือเหตกุ ัมมวาจก นยิ มเรียงบทประธานไวห้ ลังบทอนภิหิกัตตา ๓.เมื่อมีศัพท์นิบาต หรือกาลสัตตมีที่เป็นต้นข้อความหรือบทขยาย ให้เรียงปรานไว้หลังบท เหล่าน้นั ๒.ทุติยาวิภัตติ ศัพท์ท่ีประกอบด้วยทุติยาวิภัตติมีหน้าท่ีขยายกิริยาเป้นหลักและเรียงไว้หน้า กริ ยิ าทตี่ นขยาย ๓.ตติยาวิภัตติ ศัพท์ท่ปี ระกอบดว้ ย ตติยาวิภัตติ มีหน้าที่ขยายนามนามบา้ ง คณุ นามบ้าง กิรยิ า บา้ งและอพั ยยศพั ท์บ้าง ๔.จตุตฺถวี ิภัตติ ศัพท์ที่ประกอบด้วยจตุถีวิภัตติ ลงในอรรถสมั ปทาน นิยมใชข้ ยายกริ ินาเป็นสวน มากทใ่ี ชข้ ยายนามนามและคุณนาม มีบางสว่ นและเรียงไวห้ น้าบทท่ตี นขยาย

๑๖๒ ๕.ปัญจมีวภิ ัตติ ศัพท์ท่ปี ระกอบด้วยปัญจมีวิภัตตลิ งในอรรถแหง่ อปทาน และเหตุ นิยมใชข้ ยาย กิริยาเปน็ สว่ นมากและนิบาตเป็นบางส่วน ๖.ฉัฎฐีวิภัตติ ศัพท์ท่ีประกอบด้วยฉัฎฐีวภิ ัตติใช้ลงในอรรถต่างๆ คือ สามีสัมพันธ์ สมุหสัมพันธ์ ภาวาทสิ ัมพันธ์ ฉฎั ฺฐีกรรม และนิทธารณะใชข้ ยายนามนามบา้ ง วกิ ติกัตตา นิบาตบา้ ง ๗.สตั ตมีวภิ ัตติ ศัพทท์ ่ีประกอบด้วยสัตตมวี ภิ ัตตใิ ช้ลงในอรรถตา่ งๆคือ ปฎิฉนั นาธาระ พยสปิกา ธาร วสิ ยาธาระ อปุ สเิ ลสกิ าธาระ ภินนาธาระ อาธาระ กาลสัตตมแี ละนิมติ ตสัตตมี ใชข้ ยายนามบา้ ง กิริยาบา้ ง ๘.บทอาลปนะ เป็นนามนามบ้าง นิบาติบ้างเรียงไว้ในลำดับท่ีไม่แน่นอน คือเรียงไว้เป็นตัวท่ี ๑ บ้าง ที่ ๒ บา้ ง ที่ ๓ บา้ ง ท่ี ๔ บ้าง ท่ี ๕ บา้ งและเรียงไว้เป็นตัวสุดทา้ ยกม็ ี ๔.บทวิเสสนะ คือ ศัพท์ท่ีประกอบด้วยลิงค์ วจนะ วิภัติ เสมอกับนามท่ีตนขยาย และนิยมเรียงไว้หน้า บทนามนนั้ โดยมาก ก.ถ้ามบี ทวเิ สสนะอยู่ดว้ ยหลายบท นยิ มเรยี งตามลำดบั คอื อนยิ ม นิยม คณุ นาม สงั ขยาคณุ ข.ถ้านามนามมีหลายตวั ใหป้ ระกอบวิเสสนะเหมือนกบั นามนามท่ีอยใู่ กล้ตัวท่ีสดุ ค.ถ้านามนามมีหลายบทและควบด้วย จ ศัพท์หรือ ปิ ศัพท์ บทวิเสสนะต้องประกอบด้วยพหุ วจนะเสมอ ๕.วิกตกิ ัตตา คือบทที่แปลออกสำเนียงว่า เป็น และนยิ มสมั พนั ธเ์ ข้ากบั กริ ิยาวา่ มีว่าเป็น เปน็ นานามบ้าง คุณนามบ้าง และกิรยิ าบา้ ง มีวิธเี รียงคอื ก.วิกตั ตกิ ัตตาทีเ่ ป็นนามนามให้คงลิงคเ์ ดิมไวไ้ ม่ต้องเปลี่ยนไปตามนามท่เี ปน็ เจ้าของ ข.วกิ ติกตั ตาที่เป็นคุณนาม ต้องเปปลี่ยนลิงค์ วจนะ วิภัติ ใหเ้ ป็นไปตามนามท่ีเปน็ เจ้าของ ค.วิกติกตั ตาทเ่ี ป็นกิรยิ า นยิ มใชก้ ริ ิยากติ ที่สามารถแจกดว้ ยวิภัตนิ ามได้ ง.วกิ ตกิ ตั ตาเพียงบทเดยี ว นยิ มเรียงไว้หลงั ประธาน ชดิ กิรยิ า จ.วิกตกิ ตั ตาหลายบท นิยมเรียงไว้หน้าประธานหน่ึงบททเ่ี หลือให้เรยี งไว้หลังกิรยิ า ฉ.วิกติกัตตาในประโยคท่ีมีประธานเป็นเอกวจนะหลายบทซึ่งควบด้วย จ ศัพท์หรือ ปิ ศัพท์ จะต้องเป็นพหุวจนะเสมอ ช.วิกตกิ ัตตา ประโยคกัมมวาจก และภาววาจกต้องประกอบดว้ ยตติยาวิภัตติ ซ.วิกตกิ ตั ตา ท่เี ป็นอุปมานิยมใช้ วิย ศพั ท์ ๖.บทกิริยา หมายถึง อาการกระทำของนามนาม แบ่งเปน็ ๒ คือ ๑.อนุกริ ยิ า หรือกิริยาในระหวา่ ง มวี ธิ ีเรยี งดงั น้ี ก.ทเ่ี รียงไว้หนา้ ประธานไดแ้ ก่กริ ิยาทีป่ ระกอบด้วย ตวฺ า ปจั จัย ข.ท่ีเรียงไว้หลังประธาน ให้เรียงไปตามหลักกิริยาก่อนหลังซึ่งประกอบไปด้วยปปัจจัยในกิริยา กติ กท์ งั้ หมด ค.ทีเ่ รยี งแทนปุรสิ สัพพนาม พึงใช้ศัพทท์ ปี่ ระกอบดว้ ย อนฺต ปจั จัยเปน็ หลัก ง.อนุกริ ิยาทเี่ ปน็ อปรกาลกิรยิ า คือ เปน็ กริ ิยาทีท่ ำหลังกริ ยิ าใหญ่ นยิ มเรียงไวห้ ลังกิริยาใหญ่ ๒.มขุ กริ ยิ า หรอื กริ ิยาคุมพากย์ มีวธิ ีเรียงดงั นี้

๑๖๓ ก.เมื่อเปน็ ประโยคคำถาม เชน่ นตถฺ ิ เต โกจ อปโลเกตพโฺ พ ข.เมือ่ เป็นประโยคออ้ นวอน เชน่ อาคเมตุ ภนเฺ ต ภควา ธมมฺ สสฺ ามิ ค.เม่อื เปน็ ประโยคความเตอื น เช่น ปสสฺ ถิทานิ อาวุโส เถรสสฺ อโนมคณุ ตตฺ ํ ง.เมือ่ เป็นประโยคหา้ มหรอื ไมเ่ อาความ เชน่ โหตุ อปุ าสถ. น มยหฺ ํ อิมนิ า อตโฺ ถ จ.เมือ่ เปน็ ประโยคให้ศลี ให้พร เช่น ภวตุ สพฺพมงคฺ ลํ. รกฺขนตฺ ุ เทวตา ฉ.เมอื่ เป็นประโยคปลอบโยน เช่น โหตุ มา จินตฺ ยิ วฎฎฺ สเฺ สเวส โทโส ช.เม่ือเป็นประดยคสงสยั เชิงถาม เช่น สกขฺ ิสสฺ ติ นุ โข เม สงฺคหํ กาตุ โน ซ.เม่อื ต้องการเน้นคำให้มีนำ้ หนกั มากขน้ึ เช่น ปพพฺ ชสิ สฺ าเมวาหํ ตาตา ๗.หลักการเรียงวเิ สสนะ ก.กริ ยิ าที่เปน็ สกัมมธาตุ หากมีบทอวุตตกรรมอยูด่ ้วยจะเรยี งไวห้ น้าหรือหลงั บทอวตุ ตกรรมก็ได้ ข.กริ ิยาที่เปน็ อกรรมธาตุ นิยมเรยี งไวช้ ิดกริ ยิ าเพราะไม่บทอวุตตกรรม ค.กิรยิ าวเิ สสนะทคี่ ุมทงั้ ประโยค นยิ มเรียงไวต้ ้นประโยค ๘.หลักการใชก้ ริ ิยาบท สกฺกา ก.ใหเ้ รยี งไว้หนา้ ตุ ปัจจยั เชน่ น สกกฺ า เอเตน สทธฺ ึ เอกโต ภวติ ุ ฯ ใหเ้ รยี งไวห้ ลงั ตุ ปัจจัย เชน่ ปารเิ ลยยฺ ก อโิ ต ปฎฺฐาย ตยา คนตฺ ุ น สกกฺ า ฯ ข.บทอนภหิ ิตกตั ตา จะเรยี งไวห้ น้าหรือหลัง สกฺกา ก็ได้แตห่ า้ มเรียงไว้หลัง ตุ ปัจจยั ค.ประธานในบทกรรมวาจกให้เรียงไวห้ นา้ สกกฺ า บา้ งหลัง สกฺกา บา้ ง ง.เมื่อใชเ้ ป็นบทวิกติกัตตา นิยมมีกิรยิ าว่ามวี ่าเป็น คุมพากย์อยดู่ ้วยและสมั พันธ์เข้ากับ กิรยิ าคมพากย์ จ.บ้างครง้ั ใช้ สกกฺ า เป็นประธานของประโยคไดบ้ า้ ง ๙.หลกั การใช้ น ปฎิเสธ ก.เมอื่ ใชป้ ฎิเสธกิรยิ าอาขยาต ตอ้ งคง น ศพั ทไ์ ว้เสมอ ข.เมือ่ ใชป้ ฎิเสธกริ ยิ ากิตกจ์ ำพวก ตนู าทปิ ัจจยั นิยมแปลง น เป็น อ ค.เมื่อใชป้ ฎิเสธกิริยากิตก์ท่ีใช้คุมพากย์ได้ คือ ต อนีย ตพพฺ ปัจจัย จะคงรูป น ศัพท์ไว้ หรือจะแปลง น เปน็ อ หรอื อน ก็ได้ ง.ถ้าใช้ปฎิเสธนามนามหรือคุณนามที่มีสระอยู่หน้า นิยมแปลง น เป็น อน ถ้าไม่มี คณนามอยู่หนา้ นิยมแปลง น เป็น อ ดจุ ใชก้ ริ ิยากติ ก์

๑๖๔ คำถามทบทวนประจำบทท่ี ๘ ---------------------------------- ๑.จงประกอบปจั จัยกบั ธาตุต่อไปน้ีให้ครบทงั้ หา้ วาจก มร ตาย, คม ไป,ภุช กิน,พธุ รู้,สิว เยบ็ ,ญา รู้,สกกฺ อาจ,ชาคร ตน่ื ๒.จงเปลยี่ นประโยคต่อไปนีใ้ ห้เป็นกมั มวาจก,เหตุกตั ตุวาจก,เหตุกมั มวาจก ๒.๑. พุทธสฺส สาวโก ธมฺมํ เทเสติ ๒.๒. ปติ ุโน ปตุ โฺ ต สปิ ปฺ ํ สกิ ขฺ ติ ๒.๓. ปรุ โิ ส กมฺมํ กโรติ ๒.๔. มนสุ ฺโส ภตตฺ ํ ภญุ ชติ ๒.๕. ภกิ ขฺ ุ ธมมฺ ํ จินเฺ ตติ ๒.๖. อาจริยสฺส สสิ โฺ ส ธมมฺ ํ สิกขฺ ติ ๒.๗. กญฺญา วตถฺ ํ สิพพฺ ติ ๒.๘. มาตุยา ธตี า ปปุ ฺผํ วุณาติ ๒.๙. กสโก เขตตฺ ํ กสติ ๒.๑๐. อสฺสุ มนสสฺ ปญฺหํ อูลติ ๓.จงแปลเป็นไทย ๑. ตุมฺเห รกุ เฺ ข สกุเณ ปสฺสถ ๒.ปญจฺ หิ ภิกขฺ ูหิ ปญฺจสตานํ มนุสฺสานํ ธมฺโม เทสยิ เต ๓.ภปู าโล นายเกน ภกิ ขฺ ูนํ ทาเปสิ ๔.สมโณ อปุ าสเก สนนฺ ปิ าเตตฺวา ธมฺมํ เทเสสิ ๕.กสุ เลน ครุนา สสิ เฺ สน สุนฺทรํ สปิ ปฺ ํ สกิ ขฺ าปยิ เต ๖.เอโก ภกิ ขฺ ุ อุปาสเก จ อปุ าสกิ าโย จ พทุ ธสสฺ ธมมฺ ํ สณุ าเปติ ๗.ชนโก จ ชนนี จ ชนปเท วสนฺติ, ปตุ โฺ ต ปน นคเร วสติ ๘.ยทิ เทโว สมมฺ า น วสฺสิสสฺ ติ, กโุ ต ปานยี ํ ลภิสฺสาม ๙ อธิ ตปปฺ ติ เปจฺจ ตปปฺ ติ ปาปการี อุภยตฺถ ตปปฺ ติ ปาปํ เม กตนตฺ ิ ตปปฺ ติ ภิยฺโย ตปปฺ ติ ทุคคฺ ตึ คโต ฯ ๑๐.ยถา อคารํ ทจุ ฺฉนนฺ ํ วฏุ ฺ ิ สมติวิชฌฺ ติ เอวํ อภาวิตํ จิตฺตํ ราโค สมตวิ ิชฺฌติ ฯ ๔.จงแปลเป็นบาลี ๑.พระพทุ ธศาสนา อนั สาวกทง้ั หลาย รกั ษาอยู่ ๒.อาหาร อนั มารดา ยงั บุตรให้บริโภคอยู่ ๓.พระธรรมอนั พระพุทธเจา้ ตรสั แลว้ แก่เทวดาทั้งหลายด้วย แกม่ นุษยท์ งั้ หลายดว้ ย ๔.โจรท้ังหลาย อนั ราชบรุ ุษ ยงั บรุ ุษใหป้ ระหารอยู่ ๕.บิดาของพวกเรายงั ภกิ ษุ ๖๓๒๙ รูป ใหฉ้ ันอยู่ซง่ึ อาหารท่ีบา้ น

๑๖๕ ๕.ประโยคต่อไปนเ้ี ปน็ วาจกอะไร ๑.โก ธมมฺ เทเสติ ใคร สำแดงอยู่ ซึง่ ธรรม ๒.สามเณเรน ธมโฺ ม ปกาสิยเต. ธรรม อนั สามเณร ประกาศอย.ู่ ๓. เกนา - ย ถูโป ปตฏิ ฺ าปยิ เต สตูป นี้ อนั ใคร ใหต้ ้งั จำเพาะอยู่ ๔. มหาราชา ต การาเปต.ิ พระราชาผใู้ หญ่ใหท้ ำอยู่ ซ่งึ สตูปน้นั . ๕. กถ มาตาปิตโร ปุตฺเต อนุสาเสยฺยุ มารดาและบดิ า ท. พึงตามสอน ซงึ่ บุตร ท. อย่างไร ๖. เต ปาปา ปุตฺเต นิวาเรนฺติ, เต กลฺยาเณ ปุตฺเต นิเวเสนฺติ. เขา ท. ย่อมห้าม ซึ่งบุตร ท. จากบาป. เขา ท. ยังบตุ ร ท.ย่อมให้ตัง้ อยู่ ในกรรมงาม. ๗. กถ มยา ปฏิปชชฺ เต อนั ขา้ จะปฏิบัติ อยา่ งไร ๘. กึ อมหฺ าก สขุ อุปปฺ าเทสสฺ ติ สิ่งไร จกั ยังสขุ ให้เกดิ แก่ข้า ท. ๙. กสุ ลญฺ - เจ กเรยยฺ าสิ. ถ้าวา่ เจา้ พึงทำ ซ่งึ กุศลไซร้. ๑๐. กสุ ล กโรห.ิ ท่าน จงทำ ซ่ึงกศุ ล. ๑๑. กสมฺ า สิสฺโส ครนุ า ครหยิ เต เพราะเหตุอะไร ศิษย์อนั ครู ย่อมติเตยี น ๑๒. สุร ปวิ ามิ. ขา้ ดื่มอยู่ ซงึ่ เหลา้ . ๑๓. มา เอว - มกาสิ. (เจา้ )อยา่ ไดท้ ำแลว้ อยา่ งนนั้ . ๑๔. ตสโฺ ส - วาท กโรหิ. (เจา้ )จงทำ ซ่งึ โอวาท ของท่าน. ๑๕. กห อเิ ม คมิสสฺ นตฺ ิ (ชน ท.)เหลา่ นี้ จกั ไป ในทไี่ หน ๑๖. ราชนิเวสน คมยิ เต. พระราชวัง (อนั เขา ท.)ไปย.ู่ ๑๗. จิร อิธ วสมฺ หฺ า. (ขา้ ท.)อย่แู ล้ว ในทนี่ ้ี นาน. ๑๘. พาล น เสเวยฺย. (เขา)ไมพ่ ึงเสพ ซึง่ ชนพาล. ๑๙. ปณฺฑติ -เมว ภชตุ. (เขา)จงคบ ซงึ่ บณั ฑติ อย่างเดยี ว. ๒๐. ย ธโี ร กาเรยฺย, ต กรสสฺ .ุ ผมู้ ปี ญั ญา ใหเ้ จ้าทำ ซึ่งกรรมใด, (เจา้ )จงทำ ซ่ึงกรรมนนั้ . ๒๑. ขโณ โว มา อปุ จจฺ คา. ขณะ อย่าไดเ้ ข้าไปล่วงแล้ว ซง่ึ เจา้ ท. ๒๒. ขณาตีตา หิ โสจนฺติ. เพราะวา่ (ชน ท.)มีขณะเปน็ ไปล่วงแลว้ ยอ่ มโศก. ๒๓. เตนา - ห โปราโณ. ดว้ ยเหตุนน้ั อาจารย์ มแี ลว้ ในก่อน กล่าวแล้ว. ๒๔. เตนา - หู โปราณา. ด้วยเหตนุ ัน้ อาจารย์ ท. มแี ล้วในกอ่ นกลา่ วแลว้ . ๒๕. พหู ชนา อธิ สนฺนปิ ตึสุ. ชน ท. มาก ประชุมกนั แลว้ ในท่ีนี้. ๒๖. กินนฺ ุ ภโี ต ว ตฏิ ฺ สิ ทำไมหนอ (เจ้า)เป็นผกู้ ลัวเทียวยนื อยู่ ๒๗. ชวี นฺโต น สุข ลเภ. (ขา้ )เปน็ อยู่ ไม่พึงได้ ซ่งึ สขุ . ๒๘. สจา - ห เอว อชานสิ สฺ , ต นา - ภวิสฺส. ถา้ ว่า (ขา้ )จกั ได้รู้แล้ว อย่างนี้ไซร,้ สิ่งน้นั จักไม่ไดม้ แี ล้ว. ๒๙. ยนนฺ นู า - ห ทกุ ฺขา มจุ ฺเจยฺย. ไฉนหนอ (ข้า)พึงพ้นไดจ้ ากทกุ ข์. ๓๐. มา ปจฺฉา วปิ ฺปฏิสาริโน อหุวตฺถ. (เจา้ ท.)อยา่ ไดเ้ ป็นผมู้ ีความเดอื ดร้อน มแี ล้ว ในภายหลัง.

๑๖๖ ๖.จงแปลเปน็ ไทย ๖.๑. อตีเต เอกสฺมึ นคเร อฏ อนฺธา วสนฺติ. ราชา เต อนเฺ ธ ปกโฺ กสาเปตวฺ า วทติ “กึ ตมุ ฺ เหหิ กุญฺชโร ทิฏฺโ ติ. อนฺธา วทนฺติ อมฺเหหิ มหาราช กุญฺชโร น ทิฏฺโ ติ. ราชา ราชปุริเส กุญฺชรํ อาหราเปติ. เต อนฺธา กุญฺชรสฺส องฺคานิ ปรามสนฺติ. เอโก ตสฺส หตฺถํ ปรามสติ. เอโก ปาท.ํ เอโก สสี ํ.เอโก นงคฺ ุฏฐฺ ํ. ราชา วทติ “ทิฏโฺ ตมุ เฺ หหิ กุญฺชโรติ. เต วทนตฺ ิ “อาม มหาราชาติ. ราชา ปุจฺฉติ “กุญฺชโร กีทิโส โหตีติ. เตสุ เอโก วทติ “มหาราช กุญฺชโร มนุสฺสสฺส หตฺถสทิโส โหตี ต.ิ เอโก วทติ “มหาราช กุญฺชโร เคหสฺส ถมฺภสทิโส โหตีติ. เอโก วทติ “มหาราช กุญฺชโร กมุ ภสทิโส โหตตี .ิ เอโก วทติ “มหาราช กญุ ชฺ โร สมมฺ ชชฺ นีทโิ ส โหตีต.ิ เต อนฺธา วิวทนฺติ “ น กุญฺช โร ตาทิโส โหติ โส อที โิ ส โหตตี ิ. เต อญฺ มญฺญํ ปหรนฺติ. ราชา มหาหสติ ํ หสต.ิ ๖.๒. เอวมฺเม สุตํ ฯ เอกํ สมยํ ภควา อนฺตรา จ ราชคหํ อนฺตรา จ นาฬนฺทํ อทฺธานมคฺคปฏิปนฺโน โหติ มหตา ภิกฺขุสํเฆน สทฺธึ ปญฺจมตฺเตหิ ภิกฺขุสเตหิ ฯ สุปฺปิโยปิ โข ปริพฺ พาชโก อนฺตรา จ ราชคหํ อนฺตรา จ นาฬนฺทํ อทฺธานมคฺคปฏิปนฺโน โหติ สทฺธึ อนฺเตวาสินา พฺรหฺ มทตฺเตน มาณเวน ฯ ตตรฺ สทุ ํ สุปปฺ ิโย ปริพฺพาชโก อเนกปริยาเยน พทุ ธฺ สสฺ อวณฺณํ ภาสติ ธมฺมสฺส อวณณฺ ํ ภาสติ สํฆสฺส อวณณฺ ํ ภาสติ ฯ สปุ ฺปยิ สฺส ปน ปริพพฺ าชกสสฺ อนฺเตวาสี พฺรหมฺ ทตฺโต มาณโว อเนกปริยาเยน พุทฺธสฺส วณฺณํ ภาสติ ธมฺมสฺส วณฺณํ ภาสติ สํฆสฺส วณฺณํ ภาสติ ฯ อิติห เต อุโภ อาจริยนฺเตวาสี อญญมญญฺสฺส อุชุวิปจฺจนิกวาทา ภควนฺตํ ปิฏฺ ิโต ปิฏฺ โิ ต อนุพนฺธา โหนฺติ ภกิ ฺขุสฆํ ญจฺ ฯ อถโข ภควา อมฺพลฏฺ ิกายํ ราชาคารเก เอกรตฺติวาสํ อุปคญฺฉิ อุชุวิปจฺจนีกวาทา ฯ อนุพทฺธาติปิ ปาโฐ ฯ สทฺธึ ภิกฺขุสํเฆน ฯ สุปฺปิโยปิ โข ปริพฺพาชโก อมฺพลฏฺ ิกายํ ราชาคารเก เอ กรตฺติวาสํ อุปคญฺฉิ สทฺธึ อนฺเตวาสินา พฺรหฺมทตฺเตน มาณเวนฯ ตตฺรปิ สุทํ สุปฺปิโย ปริพฺพาชโก อเนกปริยาเยน พุทธฺ สฺส อวณฺณํ ภาสติ ธมมฺ สฺส อวณฺณํ ภาสติ สฆํ สฺส อวณณฺ ํ ภาสติ ฯ สุปฺปิยสฺส ปน ปริพฺพาชกสฺส อนฺเตวาสี พฺรหฺมทตฺโต มาณโว อเนกปริยาเยน พุทฺธสฺส วณฺณํ ภาสติ ธมฺมสฺส วณฺณํ ภาสติ สํฆสฺส วณฺณํ ภาสติ ฯ อิติห เต อุโภ อาจริยนฺเตวาสี อญญมญญสสฺ อชุ วุ ปิ จจฺ นกิ วาทา ภควนฺตํ ปิฏฺ โิ ต ปฏิ ฺ โิ ต อนพุ นธฺ า โหนตฺ ิ ภิกขฺ สุ ํฆญฺจ ฯ ๖.๓. กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา อพฺยากตา ธมฺมา สุขายเวทนายสมฺปยุตฺตา ธมฺมา ทุกฺ ขายเวทนายสมปฺ ยุตตฺ า ธมฺมา อทกุ ฺขมสุขายเวทนายสมฺปยุตฺตา ธมฺมา วิปากา ธมมฺ า วปิ ากธมฺมธมฺ มา เนววิปากนวิปากธมฺมธมฺมา อุปาทินฺนุปาทานิยา ธมมฺ า อนุปาทินฺนุปาทานิยา ธมฺมา อนุปาทินฺ นานุปาทานิยา ธมฺมา สงกฺ ิลฏิ ฐฺ สงกฺ เิ ลสกิ า ธมฺมา อสงกฺ ิลิฏฺฐสงกฺ ิเลสิกา ธมฺมา อสงฺกิลิฏฺฐาสงฺกิเลสิกา ธมฺมา สวิตกฺกสวิจารา ธมฺมา อวิตกฺกวิจารมตฺตา ธมฺมา อวิตกฺกาวิจารา ธมฺมา ปีติสหคตา ธมฺมา สุขสหคตา ธมฺมา อุเปกฺขาสหคตา ธมฺมา ทสฺสเนน ปหาตพฺพา ธมฺมา ภาวนาย ปหาตพฺพา ธมฺมา เนวทสฺสเนนนภาวนาย ปหาตพฺพา ธมฺมา ทสฺสเนน ปหาตพฺพเหตุกา ธมฺมา ภาวนายปหาตพฺพเหตุกา ธมฺมา เนวทสฺสเนนนภาวนาย ปหาตพฺพเหตุกา

๑๖๗ ธมฺมา อาจยคามิโน ธมฺมา อปจยคามิโน ธมฺมา เนวาจยคามโิ น นาปจยคามโิ น ธมฺมา เสกขฺ า ธมมฺ า อเสกฺขา ธมฺมา เนวเสกฺขานาเสกฺขา ธมฺมา ปริตฺตา ธมฺมา มหคฺคตา ธมฺมา อปฺปมาณา ธมฺมา ปริตฺ ตารมฺมณา ธมฺมา มหคฺคตารมฺมณา ธมฺมา อปฺปมาณารมฺมณา ธมฺมา หีนา ธมฺมา มชฺฌิมา ธมฺมา ปณีตา ธมฺมา มิจฺฉตฺตนิยตา ธมฺมา สมฺมตฺตนิยตา ธมฺมา อนิยตา ธมฺมา มคฺคารมฺมณา ธมฺมา มคฺค เหตกุ า ธมมฺ า มคฺคาธิปติโน ธมมฺ า อุปฺปนฺนา ธมฺมา อนุปปฺ นฺนา ธมมฺ า อปุ ฺปาทิโน ธมมฺ า อตตี า ธมฺ มา อนาคตา ธมฺมา ปจฺจปุ ฺปนฺนา ธมมฺ า ฯ

๑๖๘ เอกสารอ้างองิ ประจำบทท่ี ๘ ---------------------------------- กรมการศาสนา.พระไตรปิฎกภาษาบาลี ฉบับสยามรฐั .เล่มท่ี ๑,๙,๑๕,๓๔.กรงุ เทพฯ:กรมการศาสนา, ๒๕๒๕. กรมการศาสนา.พระไตรปฎิ กภาษาไทย ฉบบั หลวง,เล่มที่ ๑๕. กรุงเทพ ฯ:กรมการศาสนา,๒๕๑๔. เวทย์ วรญั ญ.ู หลกั เกณฑ์ การแปลบาลีและหลักสมั พนั ธ์.พิมพ์คร้งั ที่ ๓.นครปฐม: บรรณกรการพิมพ์, ๒๕๔๕.

แผนการสอนประจำบทเรียนที่ ๙ หวั ข้อเน้ือหาประจำบท บทท่ี ๙ เรยี นร้ภู าษาบาลดี ้วยคำศพั ทท์ างพระพทุ ธศาสนาและพทุ ธศาสนสภุ าษติ ๖ ช่วั โมง ๙.๑ ความนำ ๙.๒ ความหมายของสุภาษิต ๙.๓ พุทธศาสนสภุ าษิต คำแปล ที่มาของภาษติ ๙.๔ สรุปท้ายบท วัตถุประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม ๑.นกั ศกึ ษาเขา้ ใจความหมายของสภุ าษิตได้ถูกต้อง ๒.นักศึกษาเขา้ ใจพุทธศาสนสุภาษิต คำแปล ที่มาของภาษติ ได้ถูกตอ้ ง ๓.นักศึกษามีความเข้าใจโครงสรา้ งรูปประโยคพุทธศาสนสภุ าษิตไดถ้ ูกต้อง ๔.นกั ศึกษามคี วามเขา้ ใจภาษาบาลจี ากบทความทางพระพุทธศาสนาส้ันๆ ได้ถูกต้อง ๕.นกั ศึกษาสามารถร้ภู าษาบาลีจากตัวอย่างพุทธศาสนสภุ าษิตได้ถูกต้อง วธิ ีการสอนและกิจกรรม ๑.ศึกษาเอกสารคำสอนและบรรยายนำเปน็ เบื้องต้น ๒.ใหน้ กั ศกึ ษาว่าตามผ้บู รรยายคำศัพทบ์ าลี ๓.อภิปราย ๔.แบ่งกล่มุ อภปิ ราย ๕.คำถามทบทวนประจำบทท่ี ๙ สอื่ การเรยี นการสอน ๑.เอกสารประกอบการเรียนการสอนและเอกสารอนื่ ๒.PowerPoint สรุปบทเรยี น ๓.รปู ภาพ คลปิ วดี ิโอ สไลด์ การวัดและประเมนิ ผล ๑.สงั เกตพฤติกรรมในระหว่างเรยี น ๒.การค้นคว้า มอบหมายงานเด่ยี ว งานกลุ่ม ๓.ความสนใจในบทเรียน การซกั ถาม ๔.การเขยี นรายงาน การรายงานผลการคน้ ควา้ หนา้ ชัน้ เรียน ๕.การสอบวัดผลความรแู้ ต่ละบทเรยี น ๖.การสอบวัดผลกลางภาคเรียน ๗.การสอบวัดผลปลายภาคเรียน

๑๗๐ บทที่ ๙ เรียนรูภ้ าษาบาลดี ้วยคำศัพท์ทางพระพทุ ธศาสนาและพุทธศาสนสุภาษติ ความนำ คำสอนในพระพุทธศาสนามีองค์ ๙ ประการ ที่เรียกว่า นวังคสัตถุศาสน์ ได้แก่ สุตตะ เคยยะ เว ยยากรณ คาถา อทุ าน อิติวตุ ตกะ ชาดก อัพภูตธรรม และ เวทัลละ พุทธศาสนสุภาษิตได้มาจากเน้อื หาท่ปี รากฏอยู่ ในคำสอนดงั กล่าวที่มีอยู่เปน็ จำนวนมาก เป็นเน้อื ความสนั้ ๆ ทที่ รงคุณคา่ ให้ข้อคดิ ขอ้ เตอื นใจ ให้ผู้ท่ไี ด้ศกึ ษาแล้ว มี ความรู้ความเข้าใจ และยึดถอื เปน็ หลักธรรมประจำใจ เพอื่ นำไปประพฤตปิ ฏิบัติ ในแนวทางท่ถี ูกท่ีควร ตรงทาง อัน จะนำไปสู่ความสุข ความเจริญงอกงามในชวี ิตของตน แลว้ ยังเป็นการเสรมิ สรา้ งสันติสขุ ในสังคมโลกอีกด้วย คำศัพท์ ทางพระพุทธศาสนาและพทุ ธศาสนสุภาษิตต่างๆ ซึง่ จัดเปน็ หมวดหมู่ ทำใหง้ ่ายต่อการศึกษา เปน็ ประโยชนแ์ ก่สังคม โดยสว่ นรวม เพราะมนุษยท์ ้ังหลายยังไม่สามารถตัดกิเลสได้หมดส้นิ จึงต่างยงั มีความโลภ โกรธ หลง ดังน้ัน เพ่ือเป็น การเตอื นสติให้ระลึกอยู่เสมอในการทำสิ่งใด ๆ ในการศกึ ษาครั้งนี้จึงได้คัดสรรพุทธศาสนสภุ าษิตท่ีเป็นเหมือนข้อคิด ข้อเตือนใจ จากคำสอนเหล่าน้ีสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน เพ่ือให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ท่ีสนใจศึกษา และสงั คมรอบขา้ งไดด้ ีอกี ด้วย คำศัพท์ทางพระพุทธศาสนาและพุทธศาสนสุภาษิต หมายถึง พระพุทธดำรัสหรือข้อความท่ีมี เน้อื ความหรือความหมายเป็นคำตักเตือนสงั่ สอน และสะกดิ ใจให้ระลกึ ถึงอยู่เสมอ มอี ยู่ ๒ ประเภท คือ ๑.คำสุภาษิตประเภทท่ี พูด อ่าน เข้าใจเน้ือความได้ทันที คือเป็นข้อความสั้นๆ กินความลึกซึ้ง มี ความหมายเปน็ คตคิ ำสอนหรือหลกั ความจริง โดยไม่ต้องแปลความหมาย ตคี วามหมาย เชน่ ทำดไี ด้ดี ทำชั่วไดช้ วั่ ๒.คำสุภาษิตประเภทที่ พูด อ่าน หรือฟังแล้วยังไม่เข้าใจเนื้อความน้ันในทันที ต้องนึกตรึกตรอง ต้องแปลความ ตคี วามหมายเสียก่อนจงึ จะทราบเนอื้ แท้ของคำเหล่าน้ัน เช่น ผีบ้านไม่ดผี ีป่าก็พลอย ความหมายของสภุ าษติ สุภาษิต แปลว่า ถ้อยคำที่กล่าวไวด้ ี (สุ=ดี, ภาษิต=กล่าว) สามารถนำมาเป็นคติยึดถือเป็นหลักใจ ได้ พทุ ธศาสนสภุ าษิต จึงหมายถึง ถ้อยคำดีๆ ในพระพุทธศาสนา แตม่ ิได้หมายความเฉพาะคำท่ีพระพทุ ธองค์ตรัสไว้ เท่าน้ัน แม้สุภาษิตแทบทั้งหมดจะเป็นพระพุทธพจน์ก็ตาม เช่น ถ้าเป็นภาษิตพระสัมมาสัมพุทธตรัสเอง เรียกว่า พุทธภาษิต (หรือ พระพุทธพจน์) ถ้าพระโพธิสัตว์ กล่าวเรียกว่า โพธิสัตว์ภาษิต ถ้าพระสาวกกล่าวก็เรียกว่า เถร ภาษิต บ้าง สาวกภาษิต บ้าง แม้แต่คำท่ีเทวดากล่าว และพระพุทธองค์ได้ตรัสรับรองว่าดีด้วยการตรัสคำน้ันซ้ำ เรียกว่า เทวดาภาษิต เป็นต้น ฉะน้ัน จึงเป็นเร่ืองท่ีควรระมัดระวัง มิใช่ว่า เห็นว่าเป็นพุทธศาสนสุภาษิต หรือเห็น เป็นคำบาลีแล้วก็เดาเอาว่าเป็นพระพุทธพจน์ โดยมิได้ดูท่ีมาของสุภาษิตน้ันให้แน่นอน อาจจะเป็นการตู่พระพุทธ วจนะได้ เพ่อื ความเข้าใจได้งา่ ยจงึ จัดไวเ้ ป็นหมวดหมู่หรือเป็นกลุ่มเดยี วกนั ดงั นี้

๑๗๑ ๑.อัตตวรรค หมวดตน พทุ ธศาสนสภุ าษิต คำแปล ทมี่ า อตตฺ า หเว ชิตํ เสยฺโย อตตฺ า หิ กริ ทุททฺ โม ชนะตนนั่นแหละ เป็นดี ขุ.ธ. ๒๕/๒๙ อตฺตา สุทนโฺ ต ปุริสสสฺ โชติ อตตฺ า หิ อตฺตโน นาโถ ได้ยนิ ว่าตนแลฝึกยาก ขุ.ธ. ๒๕/๓๖ อตฺตา หิ อตฺตโน คติ อตฺตนา ว กตํ ปาปํ อตฺตนา สงกฺ ิลสิ สฺ ติ ตนท่ฝี กึ ดีแล้ว เปน็ แสงสวา่ งของบรุ ษุ ส.ํ ส. ๑๕/๒๔๘ อตตฺ นา อกตํ ปาปํ อตตฺ นา ว วสิ ชุ ฌฺ ติ อตฺตตฺถปัญฺญา อสจุ ี มนุสสฺ า ตนแล เปน็ ทพ่ี ึ่งของตน ขุ.ธ.๒๕/๓๖, ๖๖ อตตฺ านํ ทมยนตฺ ิ ปณฺฑิตา ตนแล เปน็ คตขิ องตน ข.ุ ธ. ๒๕/๓๖ อตฺตานํ ทมยนฺติ สพุ พฺ ตา อตฺตนา หิ สุทนเฺ ตน นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ ตนทำบาปเอง ยอ่ มเศรา้ หมองเอง ขุ.ธ. ๒๕/๓๗ ตนไมท่ ำบาปเอง ย่อมหมดจดเอง ข.ุ ธ. ๒๕/๓๗ มนุษย์ผู้เห็นแก่ประโยชน์ตน เป็นคนไม่ ขุ .สุ . ๒ ๕ /๒ ๙ ๖ / สะอาด ๓๓๙ บณั ฑติ ย่อมฝกึ ตน ขุ.ธ. ๒๕/๒๕ ผ้ปู ระพฤติดี ย่อมฝึกตน ข.ุ ธ. ๒๕/๓๔ บคุ คลมีตนฝึกดแี ล้ว ย่อมไดท้ พ่ี ่งึ ท่ีไดย้ าก ข.ุ ธ. ๒๕/๓๖ อตฺตานญเฺ จ ปยิ ํ ชญฺญา รกฺเขยฺย นํ สรุ กขฺ ิตํ ถา้ รู้ว่าตนเปน็ ทรี่ กั กค็ วรรักษาตนนน้ั ให้ดี ข.ุ ธ. ๒๕/๓๖ อตตฺ านญฺเจ ตถา กยิรา ยถญญฺ มนสุ าสติ ถ้าพรำ่ สอนผอู้ ืน่ ฉนั ใด ก็ควรทำตนฉนั นนั้ ข.ุ ธ.๒๕/๓๖ ทคุ คฺ า อุทธฺ รถตฺตานํ ปงฺเก สนโฺ นว กญุ ฺชโร จงถอนตนขึ้นจากหล่ม เหมือนช้างตกหล่ม ขุ.ธ. ๒๕/๕๘ ถอนตนข้ึนฉะน้นั อตตฺ ทตถฺ ํ ปรตฺเถน พหนุ าปิ น หาปเย บุคคลไม่พึงยังประโยชน์ของตนให้เสื่อม ขุ.ธ. ๒๕/๒๒/๓๗ อตฺตทตถฺ มภญิ ฺญาย สทตถฺ ปสุโต สิยา เพราะประโยชน์ของผู้อื่นแม้มาก บุคคลรู้จัก ประโยชน์ของตนแล้ว พึงขวนขวายใน อตฺตานญเฺ จ ตถา กยริ า ยถญญฺ มนุสาสติ ประโยชน์ของตน สทุ นโฺ ต วต ทเมถ อตตฺ า หิ กิร ทุทฺทโม ถ้าพร่ำสอนผู้อ่ืนฉันใด ก็ควรทำตนฉันนั้น ผู้ ขุ.ธ. ๒๕/๓๖ อตฺตานเมว ปฐมํ ปฏริ เู ป นิเวสเย ฝกึ ตนดี ควรฝึกผ้อู น่ื ไดย้ นิ วา่ ตนแลฝึกยาก อถญญฺ มนสุ าเสยยฺ น กลิ ิสเฺ สยฺย ปณฺฑิโต บัณฑิตพึงต้ังตนไว้ในคุณอันสมควรก่อน ขุ.ธ. ๒๕/๓๖ อตตฺ า หิ อตฺตโน นาโถ โก หิ นาโถ ปโร สยิ า สอนผอู้ นื่ ภายหลงั จงึ ไม่มัวหมอง อตฺตนา หิ สุทนฺเตน นาถํ ลภติ ทลุ ลฺ ภํ ตนแล เป็นที่พึ่งของตน คนอื่น ใครเล่าจะ ขุ.ธ. ๒๕/๓๖ เป็นที่พ่ึงได้ ก็บุคคลมีตนฝึกฝนดีแล้ว ย่อม ได้ที่พึง่ ทีไ่ ดย้ าก

๑๗๒ นตถฺ ิ อตฺตสมํ เปมํ นตถฺ ิ ธญฺญสมํ ธนํ ความรักเสมอด้วยความรักตนไม่มี ทรัพย์ ส.ํ ส. ๑๕/๒๙/๙ นตถฺ ิ ปญฺญาสมา อาภา วุฏฐิ เว ปรมา สราติ เสมอดว้ ยข้าวเปลือกยอ่ มไมม่ ี แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาย่อมไม่มี ฝน ต่างหากเปน็ สระยอดเยี่ยม ยสฺส อจฺจนตฺ ทสุ ฺสลี ยฺ ํ มาลวุ า สาลมโิ วตถฺ ตํ ผู้ใดมีความไร้ศีลธรรม (ทุศีล) ครอบงำ ข.ุ ธ. ๒๕/๒๒/๓๗ กโรติ โส ตถตตฺ านํ ยถา นํ อิจฉฺ ตี ทิโส เหมือนเถายา่ นทรายคลมุ ไมส้ าละ ผนู้ ้นั ช่อื ว่ายอ่ มทำตนเหมอื นถกู ผ้รู ้ายคมุ ตัว จิตเฺ ต สงฺกิลฏิ ฺเฐ ทุคฺคติ ปาฏกิ งฺขา เมอื่ จิตเศรา้ หมองแล้ว ทุคตเิ ป็นอนั หวังได้ ม.มู. ๑๒/๖๔ ๒.จติ วรรค หมวดจิต จติ ฺเต อสงกฺ ลิ ิฏฺเฐ สคุ ติ ปาฏิกงขฺ า เมือ่ จิตไม่เศรา้ หมอง สคุ ติเป็นอันหวังได้ ม.มู. ๑๒/๖๔ จติ ฺเตน นยี ติ โลโก โลกถูกจติ นำไป ส.ํ ส. ๑๕/๑๘๑ จิตฺตสสฺ ทมโถ สาธุ การฝึกจติ เปน็ ความดี ขุ.ธ. ๒๕/๑๙ จติ ตฺ ํ ทนตฺ ํ สขุ าวหํ จิตทฝ่ี ึกแล้วนำสุขมาให้ ขุ.ธ. ๒๕/๑๓ จติ ฺตํ คุตตฺ ํ สขุ าวหํ จติ ทีค่ ุ้มครองแลว้ นำสุขมาให้ ขุ.ธ. ๒๕/๑๓ วิหญญฺ ตี จติ ตฺ วสานวุ ตฺตี ผปู้ ระพฤตติ ามอำนาจจิตยอ่ มลำบาก ข.ุ ชา. ๒๗/๓๑๖ เตลปตตฺ ํ ยถา ปริหเรยยฺ เอวํ สจิตตฺ มนุรกเฺ ข พึงรักษาจิตของตน เหมือนคนประคอง ขุ.ชา. ๒๗/๙๖ บาตรทเี่ ตม็ ด้วยน้ำมนั ยโต ยโต จ ปาปกํ ตโต ตโต มโน นวิ ารเย ก็บาปเกิดจากอารมณ์ใดๆ พึงห้ามใจจาก สํ.ส. ๑๕/๖๓ อารมณ์น้ันๆ อนวฏั ฺจิต จติ ฺตสฺส สทฺธมฺมํ อวิชานโต เม่ือจิตไม่มั่นคง ไม่รู้พระสัทธรรม มีความ ข.ุ ชา. ๒๗/๑๓ ปรปิ ฺวลปสาทสฺสุ ปญฺญา น ปรปิ รู ติ เลอื่ มใสเล่อื นลอย ปัญญาย่อมไม่บรบิ รู ณ์ อานาปานสฺสติ ยสฺส อปริปุณณฺ า อภาวิตา สติกำหนดลมหายใจเข้าออก อันผู้ใดไม่ ขุ.ปฏ.ิ ๓๑/๓๖๙ กาโยปิ อิญฺชิโต โหติ จติ ฺตมปฺ ิ โหติ อญิ ฺชิตํ อบรมให้บริบูรณ์ ท้ังกายท้ังจิตของผู้น้ันก็ หว่นั ไหว อานาปานสสฺ ติ ยสสฺ ปรปิ ุณณฺ า สภุ าวติ า สติกำหนดลมหายใจเข้าออก อันผู้ใดอบรม ขุ.ปฏ.ิ ๓๑/๓๖๙ กาโยปิ อนญิ ชฺ ิโต โหติ จติ ฺตมปฺ ิ โหติ อนญิ ฺชิตํ บริบูรณ์ดีแล้ว ท้ังกายทั้งจิตของผู้น้ันก็ไม่ หว่ันไหว ทิโส ทสิ ํ ยนฺตํ กยริ า เวริ วา ปน เวรินํ โจรกับโจรหรือไพรีกับไพรี พึงทำความ ขุ.ธ. ๒๕/๑๓ มจิ ฺ ฉา ปณิหิตํ จติ ตํ ปาปิโย นํ ตโต กเร พนิ าศให้แก่กัน ส่วนจิตต้ังไวผ้ ิด พึงทำให้เขา เสียหายยิ่งกว่านนั้ น ตํ มาตา ปติ า กยิรา อญเฺ ญ วาปจิ มารดาบิดาหรือญาติเหล่าอื่น ไม่พึงทำเหตุ ขุ.ธ. ๒๕/๑๓ ญาตกา น้ันให้ได้ ส่วนจิตที่ต้ังไว้ดีแล้ว พึงทำเขาให้

๑๗๓ สมฺมาปณหิ ิตํ จิตตฺ ํ เสยฺยโส นํ ตโต กเร ดกี ว่าน้นั ยถา อคารํ ทจุ ฺฉนฺนํ วุฏฐี สมติวชิ ฌฺ ต ฝนย่อมรวั่ รดเรอื นท่มี งุ ไมด่ ีฉนั ใด ข.ุ ธ. ๒๕/๑๑ เอวํ อภาวติ ํ จติ ตฺ ํ ราโค สมติวิชฺฌติ ราคะย่อมรัว่ รดจติ ทไ่ี ม่ไดอ้ บรมฉนั น้ัน เสโล ยถา เอกฆโน วาเตน น สมีรติ ภูเขาหินแทง่ ทึบ ไม่ส่นั สะเทือนเพราะลมฉัน ขุ.ธ. ๒๕/๑๖ เอวํ นนิ ฺทาปสสํ าสุ น สมญิ ฺชนฺติ ปณฑฺ ิตา ใด บัณฑิตย่อมไม่หว่ันไหวในนินทาและ สรรเสรญิ ฉนั น้ัน อนวสฺสตุ จิตตฺ สฺส อนนฺวาหตเจตโส ผู้มีจิตอันไม่ชุ่มด้วยราคะ มีใจอันโทสะไม่ ข.ุ ธ. ๒๕/๒๐ ปุญญฺ ปาปปหนี สสฺ นตถฺ ิ ชาครโต ภยํ กระทบแล้ว ผู้มีบุญและบาปอันละได้แล้ว ผู้ ต่ืนอยู่ ยอ่ มไม่มภี ัย กุมฺภูปมํ กายมิมํ วิทิตฺวา นครูปมํ จิตฺตมิทํ บุคคลรู้กายนี้ที่เปรียบด้วยหม้อ กั้นจิตท่ี ขุ.ธ. ๒๕/๒๐ ถเกตฺวา โยเธถ มารํ ปญญฺ าวเุ ธน ชติ ญฺจ รกฺเข เปรียบด้วยเมืองน้ีแล้ว พึงรบมารด้วยอาวุธ อนิเวสโน สิยา คือปัญญา และพึงรักษาแนวท่ีชนะไว้ ยับยั้ง อยู่ จติ ฺเตน นยี ติ โลโก จติ เฺ ตน ปรกิ สฺสต โลกถกู จิตนำไป ถกู จติ ชักไป สัตว์ทงั้ ปวงไปสู่ สํ.ส. ๑๕/๑๘๑ จติ ตฺ สฺส เอกธมฺมสฺส สพเฺ พว วสมนฺวคู อำนาจแหง่ จติ อย่างเดยี ว ทุนนฺ ิคคฺ หสสฺ ลหโุ น ยตถฺ กามนิปาตโิ น การฝึกจิตที่ข่มยาก ที่เบา มักตกไปใน ขุ.ธ. ๒๕/๑๙ จิตตฺ สฺส ทมโถ สาธุ จิตตฺ ํ ทนฺตํ สขุ าวหํ อารมณ์ทีน่ ่าใคร่ เป็นความดี, (เพราะว่า) จิต ทฝ่ี กึ แลว้ นำสขุ มาให้ สุททุ ทฺ สํ สนุ ปิ ุณํ ยตถฺ กามนปิ าตนิ ํ ผู้มีปัญญา พึงรักษาจิตท่ีเห็นได้ยากนัก ข.ุ ธ. ๒๕/๑๙ จิตตฺ ํ รกเฺ ขถ เมธาวี จติ ตฺ ํ คตุ ฺตํ สขุ าวหํ ละเอียดนัก มักตกไปในอารมณ์ที่น่าใคร่, (เพราะวา่ ) จติ ที่คุ้มครองแลว้ นำสุขมาให้ ปทุฏฺฐจิตฺตสฺส น ผาติ โหต น จาปิ นํ เทวตา ผู้ใดทำกรรมช่ัว ล่อลวงเอาทรัพย์สมบัติพี่ ข.ุ ชา.ติก.๒๗/๑๒๐ ปูชยนฺติ โย ภาตรํ เปตฺติกํ สาปเตยฺย อวญฺจยี นอ้ งพ่อแม่ ทุกกฺ ฏกมมฺ การี ผู้นั้นมีจิตชั่วร้าย ย่อมไม่มีความเจริญ แม้ เทวดากไ็ ม่บชู าเขา บคุ คลวรรค - หมวดบุคคล สาธุ โข ปณฺฑโิ ต นาม ชื่อว่าบัณฑิตย่อมทำประโยชน์ให้สำเร็จได้ ส.ํ ส. ๑๕/๘๒๕ แล ปฌฺฑโิ ต สีลสมปฺ นฺโน ชลํ อคคฺ วี ภาสติ บัณฑิตผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ยอ่ มรุ่งเรืองเหมือน ท.ี ปา. ๑๑/๑๙๗ ไฟสว่าง อนตฺถํ ปรวิ ชเฺ ชติ อตฺถํ คณฺหาติ ปณฺฑโิ ต บัณฑิตย่อมเว้นส่ิงท่ีไม่เป็นประโยชน์ ถึงเอา อง.ฺ จตุกกฺ ๒๑/๔๒ แตส่ ิ่งที่เป็นประโยชน์

๑๗๔ ทนฺโต เสฎฺโฐ มนุสเฺ สสุ ในหมมู่ นษุ ย์ ผ้ฝู กึ ตนแลว้ เปน็ ผปู้ ระเสริฐสุด ข.ุ ธ. ๒๕/๓๓ กสุ โล จ ชหาติ ปาปกํ นยํ นยติ เมธาวี คนฉลาดย่อมละบาป ขุ.อ.ุ ๒๕/๑๖๘ ธีโร โภเค อธิคมฺม สงฺคณฺหาติ จ ญาตเก คนมีปัญญา ยอ่ มแนะนำทางทคี่ วรแนะนำ ขุ .ช า .ทุ ก . ๒ ๗ / สนฺโต น เต เย น วทนตฺ ิ ธมฺมํ ๑๘๑๙ สนฺโต สตฺตหิเต รตา ทเู ร สนฺโต ปกาเสนตฺ ิ หมิ วนโฺ ตว ปพฺพโต ผู้มีปรีชาได้โภคะแล้ว ย่อมสงเคราะห์หมู่ ขุ.ชา. ๒๗/๙๓๖ สนฺโต สคฺคปรายนา ญาติ อุปสนฺโต สุขํ เสติ ผู้ใดไม่พูดเป็นธรรม ผู้น้ันไม่ใชส่ ตั บรุ ษุ ส.ํ ส. ๑๕/๗๒๕ สตญจ คนฺโธ ปฏวิ าตเมติ โย พาโล มญญฺ ติ พาลยฺ ํ ปณฑฺ โิ ต วาปิ สัตบรุ ุษยนิ ดีในการเก้อื กลู สตั ว์ ชา.กถา ๑/๒๓๐ เตน โส อสนเฺ ตตฺถ น ทสิ สฺ นฺติ รตตฺ ิขิตฺตา ยถา สรา สัตบุรุษทั้งหลายย่อมปรากฏได้ในที่ใกล ข.ุ ธ. ๒๕/๓๑ อสนฺโต นิรยํ ยนฺติ เหมือนภเู ขาหิมพานต์ สวุ ิชาโน ภวํ โหติ ครุ โหติ สคารโว สัตบุรุษมสี วรรคเ์ ปน็ ท่ีไปในเบื้องหนา้ ขุ.ชา. ๒๗/๑๔๔๘ วนฺทโก ปฎวิ นฺทนํ เนกาสี ลภเต สขุ ํ ผู้สงบใจได้ ย่อมนอนเป็นสขุ ขุ .ช า .ม ห า .๒ ๘ / นตฺถิ โลเก อนินทฺ โิ ต อติตกิ โฺ ข จ เวรวา ๔๑๕ น อชุ ุภตู า วติ ถํ ภณนฺติ อาหเุ นยยฺ า จ ปุตตฺ านํ กลนิ่ ของสัตบรุ ุษยอ่ มหอนทวนลมได้ ข.ุ ธ. ๒๕/๑๔ ปุพพาจริยาติ วจุ ฺจเร คนซึ่งรู้สึกตนว่าโง่ จะเป็นผู้ฉลาดเพราะเหตุ ขุ.ธ. ๒๕/๑๕ ภตฺตา ปญญฺ าณมิตถฺ ิยา สุสฺสสู า เสฏฐฺ า ภรยิ านํ น้ันได้บ้าง อสัตบุรุษ แม้น่ังอยู่ในท่ีน้ีเองก็ไม่ปรากฎ ขุ.ธ. ๒๕/๓๑ เหมอื นลกู ศรท่ยี งิ ไปกลางคืน ฉะนัน้ อสตั บรุ ษุ ยอ่ มไปนรก สํ.ส. ๑๕/๙๐ ผูร้ ้ดู ีเปน็ ผูเ้ จริญ ขุ.ส.ุ ๒๕/๓๐๔ ผูเ้ คารพย่อมมผี เู้ คารพตอบ ขุ.ชา. ๒๘/๔๐๑ ผูไ้ หวย้ อ่ มไดร้ บั ไหว้ตอบ ขุ.ชา. ๒๘/๔๐๑ ผกู้ ินคนเดยี วไมไ่ ด้ความสขุ ขุ.ชา. ๒๗/๑๖๗๔ คนไม่ถกู นินทาไมม่ ีในโลก ข.ุ ธ. ๒๕/๒๗ คนแข็งกระด้างกม็ ีเวร ขุ.ชา. ๒๗/๑๗๐๓ คนตรงไม่พูดคลาดความจรงิ ข.ุ ชา. ๒๗/๕๐๓ มารดาบิดาเป็นท่นี บั ถือของบตุ ร ขุ.อติ .ิ ๒๕/๒๘๖ มารดาบิดาท่านว่าเป็นบูรพาจารย์ (ของ อง.ฺ ตกิ . ๒๐/๑๖๘ บตุ ร) สามเี ปน็ เครื่องปรากฏของสตรี สํ.ส. ๑๕/๕๗ บรรดาภริยาทั้งหลาย ภริยาผู้เชื่อฟัง เป็นผู้ สํ.ส. ๑๕/๑๐ ประเสริฐ

๑๗๕ โย จ ปตุ ตฺ า นมสสฺ โว บรรดาบุตรท้ังหลาย บุตรผู้เชื่อฟังเป็นผู้ สํ.ส. ๑๕/๑๐ ประเสริฐ คุณวา จาตฺตโน คณุ ผู้มคี วามดี จงรกั ษาความดีของตนไว้ ขุ.ชา.สตฺตก. ๒๗/ ๒๑๒ อจฺจยํ เทสยนฺตีนํ โย เจ น ปฎคิ ณหฺ ติ เม่อื เขาขอโทษ ถา้ ผู้ใดมคี วามข่นุ เคอื ง ส.ํ ส. ๑๕/๑๑๐ โกปนฺตโร โทสครุ ส เวรํ ปฎมิ จจฺ ติ โกรธจดั ไมย่ อมรบั ผ้นู ั้นชอ่ื ว่า หมกเวรไว้ เอวํ กจิ ฉฺ าภโต โปโส ปติ ุ อปริจารโก ผู้ท่ีมีมารดาบิดาเล้ียงมาได้โดยยากอย่างนี้ ขุ.ชา. ๒๘/๑๖๒ ปิตรมิ จิ ฉฺ าจริตวฺ าน นิรยํ โส อุปปชฺชติ ไม่บำรุงมารดาบิดา ประพฤติผิดในมารดา บิดา ย่อมเข้าถงึ นรก เตชวาปิ หิ นโร วจิ กขฺ โณ สกฺกโต พหุชนสฺส ปู ถีงเป็นคนมีเดช มีปัญหาเฉียบแหลม อันคน ขุ.ชา. ๒๘/๓๑๓ ชิโต นารีนํ วสงฺคโต น ภาสติ ราหุนา อุปห เป็นอันมากสักการบูชา อยู่ในอำนาจสตรี โตว จนฺทิมา เสียแล้วย่อมไม่รุ่งเรือง เหมือนพระจันทร์ถูก พระราหูบังฉะนนั้ ทูเร สนฺโต ปกาเสนตฺ ิ หิมวนฺโตว ปพฺพโต สัตบุรุษทั้งหลายย่อมปรากฎได้ในท่ีใกล ขุ.ชา. ๒๘/๓๑๓ อสนเฺ ตตถฺ น ทสิ ฺสนฺติ รตตฺ ิขิตตฺ า ยถา สรา เหมือนภูเขาหมิ วันต์ อสตั บุรุษท้ังหลายถึงใน ทน่ี ก้ี ็ไมป่ รากฏ เหมอื นลูกศรท่ียิงไปกลางคืน ฉะน้ัน ธโี ร โภเค อธิคมฺม สงฺคณฺหาติ จ ญาตเก ผู้มีปรีชาได้โภคะแล้ว ย่อมสงเคราะห์หมู่ ขุ.ชา. ๒๗/๙๓๖ เตน โส กติ ตฺ ึ ปปฺโปติ เปจจฺ สคเฺ ค ปโมทติ ญาติ เพราะการสงเคราะห์นั้น เขาย่อมได้ เกียรติ ละไปแล้วยอ่ มบันเทิงในสวรรค์ มธวุ า มญฺญตี พาโล ยาว ปาปํ น ปจจฺ ติ ตราบเท่าท่ีบาปยงั ไม่ให้ผล คนเขลายงั เข้าใจ ขุ.ธ. ๒๕/๑๕ ยทา จ ปจฺจตี ปาปํ อถ ทุกขฺ ํ นิคจฺฉติ ว่ามีรสหวาน แต่บาปให้ผลเมื่อใด คนเขลา ยอ่ มประสบทุกข์เมื่อนน้ั ยสสฺ ปาปํ กตํ กมฺมํ กุสเลน ปิถียติ ผู้ใดทำกรรมช่ัวแล้ว ละเสียได้ด้วยกรรมดี ผู้ ม.ม. ๑๓/๕๓๔ โสมํ โลกํ ปภาเสติ อพภฺ า มตุ ฺโตว จนฺทมิ า นั้นยอ่ มยงั โลกให้สว่าง เหมือนพระจันทรพ์ ้น จากเมฆ ยสฺส รกุ ฺขสฺส ฉายาย นสิ เี ทยฺย สเยยยฺ วา บุคคลน่ังหรือนอน (อาศัย) ท่ีร่มเงาตันไม้ใด ข.ุ เปต. ๒๖/๑๐๖ น ตสสฺ สาขํ ภญฺเชยฺย มิตฺตทพุ โฺ พ หิ ปาปโก ไม่ควรรานกิ่งต้นไม้น้ัน เพราะผู้ประทุษร้าย มติ ร เป็นคนเลวทราม โย มาตรํ ปิตรํ วา มจฺโจ ธมเฺ มน โปสติ ผู้ใดย่อมเลยี้ งมารดาบดิ าโดยธรรม ขุ.ชา. ๒๘/๕๒๒ อเิ ธว นํ ปสํสนตฺ ิ เปจจฺ สคเฺ ค ปโมทติ บัณฑติ ยอ่ มสรรเสรญิ ผูน้ ้นั ในโลกนี้ เขาละไป แล้ว ย่อมบันเทิงในสวรรค์

๑๗๖ อกฺโกธโน อนปุ นาหี อมกฺขี สทุ ฺธตํ คโต ผู้ใดไม่โกรธ ไม่ผูกโกรธ ไม่ลบหลู่ ถึงความ (ส า รี ปุ ตฺ ต เถ ร ) สมฺปนนฺ ทฏิ ฐฺ ิ เมธาวี ตํ ชญญฺ า อริโย อติ ิ หมดจด มีทิฏฐิสมบูรณ์ มีปัญญา, พึงรู้ว่าผู้ ขุ.ปฏ.ิ ๓๑/๒๔๑ นน้ั เป็นอรยิ ะ อนาคตปปฺ ชปฺปาย อตีตสสฺ านโุ สจนา คนเขลาย่อมซูบซีด เพราะคำนึงถึงสิ่งที่ยงั ไม่ ส.ํ ส. ๑๕/๗ เอเตน พาลา สสุ ฺสนฺติ นโฬว หรโิ ต ลโุ ต มาถึง เพราะเศร้าโศกถึงส่ิงที่ล่วงไปแล้ว เหมือนต้นอ้อสดท่ีถกู ตัด อนุทธฺ โต อจปโล นปิ โก สํวตุ นิ ฺทฺริโย คนฉลาด ไม่ฟุ่งซ่าน ไม่คลอนแคลน มี (อญฺญาโกณฺฑญฺญ กลยฺ าณมติ โฺ ต เมธาวี ทุกขฺ สสฺ นตฺ กโร สยิ า ปัญญา สำรวมอินทรีย์ มีมิตรดี พึงทำที่สุด เถร) ขุ.เถร. ๒๖/ ทุกข์ได้ ๓๖๖ อปฺปสฺสาทา ทุกฺขา กามา อิติ วิญฺญาย ปณฺฑิ กามท้ังหลายมีความยินดีน้อย มีทุกข์มาก, ข.ุ ธ. ๒๕/๔๐ โต อปิ ทพิ ฺเพสุ กาเมสุ รตึ โส นาธคิ จฺฉติ บัณฑิตร้ดู ังนแ้ี ลว้ ไมใ่ ยดีในกามแมเ้ ปน็ ทิพย์ อโยเค ยญุ ชฺ มตตฺ านํ โยคสมฺ ญิ จฺ อโยชยํ ผู้ประกอบตนในส่ิงทไี่ ม่ควรประกอบ และไม่ ขุ.ธ. ๒๕/๔๓ อตฺถํ หติ ฺวา ปิยคคฺ าหี ปิเหตตตฺ านุโยคนิ ํ ประกอบตนในส่งิ ควรประกอบ ละประโยชน์เสีย ถือตามชอบใจ ย่อม กระหยม่ิ ตอ่ ผปู้ ระกอบตนเนอื งๆ อสตญฺจ สตญฺจ ญตฺวา ธมฺมํ อชฺฌตฺตํ พหิทฺธา ผู้ใดรู้ธรรมของอสัตบุรุษและของสัตบุรุษ ท้ัง ขุ.สุ. ๒๕/๔๓๒, ขุ. จ สพฺพโลเก เทวมนุสฺเสหิ จ ปูชิโต โย โส ภายใน ทั้งภายนอก มีเทวดาและมนุษยบ์ ูชา มหา. ๒๙/๔๐๖ สงฺคชาลมตจิ จฺ โส มนุ ิ ในโลกทั้งปวง ผู้นั้นจึงล่วงข่ายคือเคร่ืองข้อง ได้ และเปน็ มุนี อากาเสว ปทํ นตฺถิ สมโณ นตฺถิ พาหโิ ร สมณะภายนอกไม่มี, สังขารเทีย่ งไม่มี, ข.ุ ธ. ๒๕/๔๙ สงขฺ ารา สสฺสตา นตฺถิ นตฺถิ พทุ ฺธานมิญชฺ ติ ํ ความหวั่นไหวของพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่ มี, เหมอื นรอยเทา้ ไม่มใี นอากาศ อุฏฺฐานวโต สตีมโต สุจิกมฺมสฺส นิสมฺม การิ เกียรติยศย่อมเจริญแก่ผู้ขยัน มีสติ มีการ ขุ.ธ. ๒๕/๑๘ โน สญฺญตสฺส จ ธมฺมชีวิโน อปฺปมตฺตสฺส ยโส งานสะอาด ใคร่ครวญแล้วจึงทำ สำรวมแล้ว ภวิ ฑฺฒติ เปน็ อยูโ่ ดยธรรม และไม่ประมาท ชยํ เวรํ ปสวติ ทกุ ขฺ ํ เสติ ปราชิโต ผู้ชนะย่อมก่อเวร ผู้แพ้ย่อมนอนเป็นทุกข์ ขุ.ช า.ม ห า. ๒ ๘ / อปุ สนฺโต สขุ ํ เสติ หิตวฺ า ชยปราชยํ คนละความชนะและความแพไ้ ดแ้ ล้ว สงบใจ ๔๑๕ ได้ ย่อมนอนเปน็ สขุ ตสฺมา สตญจฺ อสตญฺจ นานา โหติ อโิ ต คติ (เพราะธรรมของสัตบุรุษยากที่อสัตบุรุษจะ ขุ.ช า.ม ห า. ๒ ๘ / อสนฺโต นริ ยํ ยนฺติ สนโฺ ต สคฺคปรายนา ประพฤติตาม) คติท่ีไปจากโลกน้ีของสตั บรุ ุษ ๔๑๕ และอสัตบุรุษจึงต่างกัน, คืออสัตบรุ ษุ ไปนรก , สัตบุรษุ ไปสวรรค์

๑๗๗ ตสฺมา หิ ธีโร อิธุปฏฺฐิตาสติ กาเม จ ปาเป จ เพราะนักปราชญ์มีสติต้ังมั่นในธรรมวินัยนี้ องฺ.จตุกกฺ . ๒๑/๗ อเสวมาโน ไม่เสพกามและบาป สหาปิ ทุกฺเขน ชเหยฺย กาเม ปฏิโสตคามินี พึงละกามท้ังทุกข์ได้ ท่านจึงกล่าวบุคคลน้ัน ตมาหุ ปุคคฺ ลํ วา่ ผูไ้ ปทวนกระแส ทุททฺ ทํ ททมานานํ ทุกกฺ รํ กมมฺ กุพฺพตํ เมื่อสัตบุรุษให้ส่ิงท่ีให้ยาก ทำกรรมท่ีทำได้ (โพ ธิสตฺต) ขุ.ช า. อสนฺโต นานกุ ุพฺพนฺติ สตํ ธมโฺ ม ทรุ นวฺ โย ยาก, อสัตบรุ ุษยอ่ มทำตามไมไ่ ด้ ทกุ . ๒๗/๖๓ เพราะธรรมของสัตบุรุษยากที่อสัตบุรุษจะ ประพฤตติ าม น ชจฺจา วสโล โหติ น ชจฺจา โหติ พฺราหฺมโณ บุคคลเป็นคนเลวเพราะชาติก็หาไม่ เป็นผู้ ข.ุ ส.ุ ๒๕/๓๕๒ กมฺมุนา วสโล โหติ กมฺมุนา โหติ พฺราหฺม ประเสริฐเพราะชาติกห็ าไม่ โณ (แต่) เป็นคนเลวเพราะการกระทำ เป็นผู้ ประเสริฐกเ็ พราะการกระทำ นิฏฐฺ ํ คโต อสนฺตาสี วีตตณโฺ ห อนงฺคโณ บุคคลถึงความสำเร็จแล้ว (พระอรหันตผล) ขุ.ธ. ๒๕/๖๓ อจฺฉนิ ฺทิ ภวสลลฺ านิ อนฺติโมยํ สมสุ ฺสโย ไมส่ ะดุ้ง ปราศจากตณั หา ไม่มีกิเลสเคร่ืองยั่วยวน ตัดลูกศรอันจะ นำไปสู่ภพไดแ้ ลว้ รา่ งกายจึงชอ่ื วา่ มีในทีส่ ุด ยมหฺ ิ สจจฺ ญจฺ ธมโฺ ม จ อหึสา สญฺญโม ทโม ผู้ ใด มี ค ว าม สั ต ย์ มี ธ รรม มี ค ว าม ไม่ ขุ.ธ. ๒๕/๕๐ ส เว วนฺตมโล ธีโร โส เถโรติ ปวุจจฺ ติ เบยี ดเบยี น มีความสำรวม และมคี วามข่มใจ ผู้น้ันแล ช่ือว่า ผู้มีปัญญา หมดมลทิน เขา เรียกทา่ นวา่ เถระ ยทา ทุกขฺ ํ ชรามรณนฺติ ปณฺฑิโต อวิทฺทสู ยตฺถ เม่ือใด บัณฑิตรู้ว่า ชราและมรณะเป็นทุกข์ (ภู ต เถ ร ) ขุ .เถ ร . สิตา ปุถุชชนา ทุกฺขํ ปริญฺญาย สโต ว ฌายติ กำหนดรู้ทุกข์ซ่ึงเป็นท่ีอาศัยแห่งปุถุชน มสี ติ ๒๖/๓๔๔ ตโต รตึ ปรมตรํ น วนิ ทฺ ติ เพ่งพินิจอยู่ เมื่อน้ัน ย่อมไม่ประกอบความ ยินดีที่ย่ิงกว่านน้ั เย เกจิ กาเมสุ อสญฺญตา ชนา อวีตราคา อิธ คนบางพวกเหล่าใด ไม่สำรวมในกาม ยังไม่ อง.ฺ จตกุ ฺก. ๒๑/๗ กามโภคิโน ปุนปฺปุนํ ชาติชรูปคา หิ เต ตณฺ ปราศจากราคะเปน็ ผู้บริโภคกามในโลกนี้, คน หาธปิ นฺนา อนุโสตคามโิ น เหล่านั้นถูกตณั หาครอบงำลอยไปตามกระแส (ตณั หา) ตอ้ งเปน็ ผูเ้ ขา้ ถึงชาติชรารำ่ ไป เย จ โข พาลา ทุมฺเมธา ทุมฺมนฺตี โมห คนเหล่าใดเขลา มีปัญญาทราม มีความคิด (นนฺทกเถร) ขุ.เถร. ปารุตา ตาทิสา ตตฺถ รชฺชนฺติ มารกฺขิตฺตสฺมิ เลว ถูกความหลงปกคลุม, คนเช่นน้ัน ย่อม ๒๖/๓๑๒ พนธฺ เน ตดิ เครื่องผูกอันมารทอดไว้นนั้ เย จ สีเลน สมปฺ นฺนา ปญฺญายูปสเม รตา ผู้มีปัญญาเหล่าใด ประกอบด้วยศีล ยินดีใน (โพ ธิสตฺต) ขุ.ช า.

๑๗๘ อารกา วริ ตา ธรี า น โหนฺติ ปรปตตฺ ิยา ความสงบด้วยปัญญา ผู้มีปัญญาเหล่าน้ัน จตุกฺก. ๒๗/๑๔๓ เวน้ ไกลจากความชวั่ แล้ว ไมต่ อ้ งเช่อื ผอู้ ื่น เย ฌานปสุตา ธรี า เนกฺขมมฺ ปู สเม รตา ผู้มีปญั ญาเหลา่ ใด ขวนขวายในฌาน ยินดีใน ขุ.ธ. ๒๕/๓๙ เทวาปิ เตสํ ปหิ ยนตฺ ิ สมพฺ ุทธฺ านํ สตมี ตํ ความสงบอันเกิดจากเนกขัมมะ เทวดา ทัง้ หลายก็พอใจตอ่ ผู้มีปัญญา ผู้รดู้ ีแล้ว มสี ติ เหล่าน้ัน โรสโก กทริโย จ ปาปิจฺโฉ มจฺฉรี สโฐ อหิริโก ผู้ใดเป็นคนขัดเคือง เหนียวแน่น ปรารถนา ข.ุ ส.ุ ๒๕/๓๕๑ อโนตฺตปฺปี ตํ ชญฺญา วสโล อิติ โสจติ ปุตฺเตหิ ลามก ตระหน่ี โอ้อวด ไม่ละอาย และไม่ ปตุ ฺติมา โคมโิ ก โคหิ ตเถว โสจติ เกรงกลัวบาป พงึ รูว้ า่ ผนู้ น้ั เปน็ คนเลว อปุ ธหี ิ นรสสฺ โสจนา น หิ โส โสจติ โย นริ ปู ธิ ผู้มีบุตรย่อมเศร้าโศกเพราะบุตร, ผู้มีโคย่อม ส.ํ ส. ๑๕/๙ เศรา้ โศกเพราะโคเหมอื นกัน, นรชนมีความเศร้าโศกเพราะอุปธิ, ผู้ใด ไม่มี อปุ ธิ ผนู้ นั้ ไมต่ อ้ งเศร้าโศกเลย กมั มวรรค - หมวดกรรม สานิ กมมฺ านิ นยนตฺ ิ ทคุ คฺ ติ กรรมชัว่ ของตนเอง ยอ่ มนำไปสูท่ ุคคติ ข.ุ ธ. ๒๕/๔๗ สุกรํ สาธุนา สาธุ ความดี อันคนดีทำงา่ ย ข.ุ อุ. ๒๕/๑๖๗ สาธุ ปาเปน ทุกกฺ รํ ความดี อันคนชั่วทำยาก ข.ุ อุ. ๒๕/๑๖๗ ตญจฺ กมมฺ ํ กตํ สาธุ ยํ กตวฺ า นานุตปฺปติ ทำกรรมใดแล้วไม่ร้อนใจภายหลัง กรรมท่ี ขุ.ธ. ๒๕/๒๓ ทำนน้ั แลเปน็ ดี น ตํ กมฺมํ กตํ สาธุ ยํ กตฺวา อนตุ ปปฺ ติ ทำกรรมใดแล้วร้อนใจภายหลัง กรรมที่ทำ ข.ุ ธ. ๒๕/๒๓ แลว้ นั้นไมด่ ี ยาทสิ ํ วปเต พีชํ ตาทสิ ํ ลภเต ผลํ บุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นนั้น ส.ํ ส. ๑๕/๓๓๓ กลยฺ าณการี กลฺยาณํ ปาปการี จ ปาปกํ ผู้ทำกรรมดี ย่อมได้ผลดี ผู้ทำกรรมชั่ว ย่อม ไดผ้ ลชว่ั นสิ มฺม กรณํ เสยฺโย ใครค่ รวญก่อนแลว้ จงึ ทำดกี วา่ ว.ว. รกเฺ ขยฺย อตฺตโน สาธุ ลวณํ โลณตํ ยถา พึงรักษาความดีของตนไว้ ดังเกลือรักษา ส.ส. ความเค็ม นานตฺถกามสฺส กเรยยฺ อตฺถํ ไมพ่ ึงทำประโยชนแ์ กผ่ มู้ งุ่ ความพนิ าศ ข.ุ ชา.ทสก. ๒๗/๘๔ อติสตี ํ อตอิ ุณฺห ํ อตสิ ายมทิ ํ อหุ ประโยชนท์ ้ังหลายย่อมล่วงเลยคน ผู้ทอดทิ้ง ท.ี ปาฏ.ิ ๑๑/๑๙๙ อิติ วิสฺฏฐฺ กมฺมนเฺ ต อตฺถา อจฺเจนฺติ มาณเว การงาน ด้วยอ้างว่า หนาวนัก ร้อนนัก เย็น เสียแล้ว อถ ปาปานิ กมฺมานิ กรํ พาโล น พชุ ฺฌติ เม่ือคนโง่มีปัญญาทราม ทำกรรมชั่วอยู่ก็ไม่ ข.ุ ธ. ๒๕/๓๓

๑๗๙ เสหิ กมฺเมหิ ทมุ ฺเมโธ อคคฺ ทิ ฑฺโฒว ตปปฺ ติ รู้สึก เขาเดือดร้อนเพราะกรรมของตน เหมือนถูกไฟไหม้ โย ปพุ เฺ พ กรณียานิ ปจฉฺ า โส กาตมุ จิ ฉฺ ติ ผู้ใดป รารถน าท ำกิจท่ี ค วรท ำก่อน ใน (โพ ธิสตฺต) ขุ.ช า. วรุณกฏฐฺ ํ ภญโฺ ชว ส ปจฺฉา อนตุ ปปฺ ต ภายหลัง ผู้น้ันย่อมเดือดร้อนในภายหลัง ดุจ เอก. ๒๗/๒๓ มาณพ (ผ้ปู ระมาทแล้วรีบ) หักไม้กมุ่ ฉะนน้ั สเจ ปุพฺเพกตเหตุ สขุ ทกุ ฺขํ นคิ จฉฺ ติ ถ้าประสบสุขทุกข์ เพราะบุญบาปที่ทำไว้ (โ พ ธิ ส ตฺ ต ) ขุ . โปราณกํ กตํ ปาปํ ตเมโส มญุ จฺ เต อณิ ํ ก่อนเป็นเหตุ ชื่อว่าเปล้ืองบาปเก่าท่ีทำไว้ ชา.ปณฺณาส. ๒๘/ ดุจเปล้ืองหน้ี ฉะน้นั ๒๕ สุขกามานิ ภูตานิ โย ทณเฺ ฑน น หสึ ติ สัตว์ท้ังหลายย่อมต้องการความสุข ผู้ใด ข.ุ ธ. ๒๕/๓๒ อตฺตโน สขุ เมสาโน เปจจฺ โส ลภเต สขุ ํ แสวงหาสุขเพื่อตน ไม่เบียดเบียนเขาด้วย อาชญา ผนู้ น้ั ละไปแลว้ ยอ่ มไดส้ ขุ สขุ กามานิ ภตู านิ โย ทณเฺ ฑน วหิ สึ ติ สัตว์ทั้งหลายย่อมต้องการความสุข ผู้ใด ข.ุ ธ. ๒๕/๓๒ อตตฺ โน สุขเมสาโน เปจจฺ โส น ลภเต สขุ ํ แสวงหาสุขเพ่ือตน ่เบียดเบียนเขาด้วย อาชญา ผู้น้ันละไปแลว้ ย่อมไม่ได้สขุ อฏุ ฐฺ าตา กมฺมเธยเฺ ยสุ อปปฺ มตฺโต วจิ กขฺ โณ ผู้ห ม่ันใน การงาน ไม่ประมาท เป็ นผู้ ขุ.ช า.ม ห า. ๒ ๘ / สสุ วํ ิหติ กมมฺ นโฺ ต ส ราชวสตึ วเส รอบคอบ จัดการงานเรียบร้อย จึงควรอยู่ใน ๓๓๙ ราชการ ปาปญเฺ จ ปุรโิ ส กยิรา น นํ กยริ า ปุนปฺปุนํ ถ้าคนพึงทำบาป ก็ไมค่ วรทำบาปนนั้ บ่อยๆ ขุ.ธ. ๒๕/๓๐ น ตมหฺ ิ ฉนทฺ ํ กยิราถ ทกุ โข ปาปสสฺ อุจฺจโย ไม่ควรทำความพอใจในบาปนั้น เพราะการ สั่งสมบาป นำทุกข์มาให้ โย ปุพเฺ พ กตกลฺยาโณ กตตโฺ ถ นาวพชุ ฌฺ ติ ผู้อื่นทำความดีให้ ทำประโยชน์ให้ก่อน แต่ (โพ ธิสตฺต) ขุ.ช า. ปจฺฉา กจิ เฺ จ สมปุ ปฺ นเฺ น กตฺตารํ นาธิคจฉฺ ติ ไม่นึกถึง (บุญคุณ) เม่ือมีกิจเกิดขึ้นภายหลัง เอก. ๒๗/๒๙ จะหาผู้ชว่ ยทำไม่ได้ สพฺเพ ตสนฺติ ทณฺฑสฺส สพฺเพ ภายนฺติ มจฺจุโน สัตว์ทั้งปวงหวาดต่ออาชญา ล้วนกลัวต่อ ข.ุ ธ. ๒๕/๓๒ อตตฺ านํ อุปมํ กตฺวา น หเนยยฺ น ฆาตเย ความตาย ควรทำตนให้เป็นอุปมาแล้วไม่พึง ฆ่าเอง ไมพ่ งึ ใชผ้ ูอ้ นื่ ให้ฆ่า มจั จวุ รรค - หมวดความตาย สพพฺ ํ เภทปริยนฺติ เอวํ มจจฺ าน ชวี ิตํ ชีวิตของสัตว์เหมือนภาชนะดิน ซึ่งล้วนมี ที.มหา. ๑๐/๑๔๑ ความสลายเปน็ ท่สี ุด น มยิ ยฺ มานํ ธนมนเฺ วติ กิญฺจิ ทรัพย์สกั นิดกต็ ดิ ตามคนตายไปไม่ได้ ม.ม. ๑๓/๔๑๒ อฑฒฺ า เจว ทฬทิ ฺทา จ สพฺเพ มจฺจุปรายนา ทั้งคนมีคนจน ล้วนมีแต่ความตายเป็นเบื้อง ท.ี มหา. ๑๐/๑๔๑ หน้า

๑๘๐ ทหรา จ มหนฺตา จ เย พาลา เย จ ปณฺฑิตา ท้ังเด็ก ทั้งผใู้ หญ่ ทงั้ เขลา ทง้ั ฉลาด นัย ที.มหา. ๑๐/ สพเฺ พ มจจฺ ุวสํ ยนฺติ สพฺเพ มจจฺ ปุ รายนา ล้วนไปสู่อำนาจแห่งความตาย ล้วนมีความ ๑๔๑ ตายเปน็ เบ้ืองหน้า ยถา ทณเฺ ฑน โคปาลา คาโว ปาเชติ โคจรํ ผู้เลี้ยงโคย่อมต้อนฝูงโค ไปสู่ที่หากินด้วย ขุ.ธ. ๒๕/๓๓ เอวํ ชรา จ มจฺจุ จ อายุ ปาเชนฺติ ปาณินํ พลองฉันใด ความแก่และความตาย ย่อม ตอ้ นอายุของสัตวม์ ีชีวติ ไปฉนั น้ัน ยถา วาริวโห ปโู ร วเห รกุ ฺเข ปกลู เช ห้วงน้ำที่เต็มฝั่ง พึงพัดต้นไม้ซึ่งเกิดที่ตล่ิงไป (เตมิยโพธิสตฺต) ขุ.ชา. เอวํ ชราย มรเณน วยุ ฺ หนฺเต สพฺพปาณิโน ฉันใด สัตว์มีชีวิตทั้งปวง ย่อมถูกความแก่ มหา. ๒๘/๑๖๔ และความตายพัดไปฉันน้ัน อจฺเจนติ กาลา ตรยนฺติ รตฺติโย วโยคุณา อนุ กาลยอ่ มล่วงไป ราตรยี อ่ มผ่านไป ช้ันแห่งวัย (น นฺ ท เท ว ปุ ตฺ ต ) ปุพฺพํ ชหนฺติ เอตํ ภยํ มรเณ เปกฺขมาโน ย่อมละลำดับไป ผู้เล็งเห็นภัยในมรณะนั้น สํ.ส. ๑๕/๘๙ ปุญญฺ านิ กยิราถ สุขาวหานิ พึงทำบญุ อนั นำความสขุ มาให้ ธมั มวรรค - หมวดธรรม ธมโฺ ม รหโท อกทฺทโม ธรรมเหมือนห้วงนำ้ ไมม่ ีตม ขุ.ชา.ฉกกฺ .๒๗/๒๐๒ ธมโฺ ม สุจณิ ฺโณ สขุ มาวหาติ ธรรมที่ประพฤตดิ แี ล้ว นำสุขมาให้ สํ.ส. ๑๕/๕๘ ธมฺโม หเว รกขฺ ติ ธมฺมจารี ธรรมย่อมรกั ษาผู้ประพฤตธิ รรม ข.ุ เถร. ๒๖/๓๑๔ น ทุคคฺ ตึ คจฉฺ ติ ธมมฺ จารี ผู้ประพฤตธิ รรม ไม่ไปสทู่ ุคติ ข.ุ เถร. ๒๖/๓๑๔ ธมฺเม ฐติ ํ น วิชหาติ กิตฺติ เกียรติ ยอ่ มไมล่ ะผตู้ ัง้ อยู่ในธรรม องฺ.ปญฺจก. ๒๓/๕๑ ธมฺเม ฐิตา เย น กโรนตฺ ิ ปาปกํ ผตู้ ้งั อย่ใู นธรรม ยอ่ มไม่ทำบาป องฺ.จตุกฺก. ๒๑/๒๕ ธมฺมํ จเร สจุ ริตํ น ตํ ทุจฺจริตํ จเร พึงประพฤติธรรมให้สุจริต ไม่ควรประพฤติ ข.ุ ธ. ๒๕/๓๘ ให้ทุจรติ นภญฺจ ทูเร ปฐวี จ ทเู ร ปารํ สมุททฺ สฺส ตทาหุ เขากล่าวว่า ฟ้ากับดินไกลกัน และฝ่ังทะเลก็ (พฺราหฺมณ) ขุ.ชา. ทูเร ตโต หเว ทูรตรํ วทนฺติ สตญฺจ ธมฺโม ไกลกัน แต่ธรรมของสัตบุรุษกับอสัตบุรุษ อสีต.ิ ๒๘/๑๔๓ อสตญจฺ ราช ไกลกันยงิ่ กว่านน้ั ยทา จ พทุ ฺธา โลกสฺมึ อปุ ฺปชฺชนฺติ ปภงฺกรา เต เมื่อพระพุทธเจ้าผู้ทำความสว่างอุบัติข้ึนใน (สารีปุตฺต) ขุ.ปฏิ. อมิ ํ ธมฺมํ ปกาเสนตฺ ิ ทกุ ขฺ ูปสมคามินํ โลก พระองค์ย่อมประกาศธรรมสำหรับดับ ๓๑/๔๑๘ ทุกข์นี้ เย จ โข สมมฺ ทกขฺ าเต ธมฺเม ธมฺมานวุ ตตฺ ิโน เต ชนใดประพฤติธรรม ในธรรมที่พระพุทธเจ้า ข.ุ ธ. ๒๕/๒๖ ชนา ปารเมสสฺ นฺติ มจจฺ ุเธยยฺ ํ สุทตตฺ รํ กล่าวดีแล้ว ชนเหล่าน้ันจักข้ามแดนมฤตยูที่ ข้ามไดย้ าก โย อจิ ฺเฉ ทพิ พฺ โภคญจฺ ทพิ ฺพมายุ ํ ยสํ สุขํ ผู้ใดปรารถนาโภคทรัพย์ อายุ ยศ สุข อัน (เท ว ธีต า) ขุ .ช า. ปาปานิ ปริวชฺ เชตวฺ า ตวิ ิธํ ธมฺมมาจเร เป็นทิพย์ ผู้นั้นพึงงดเว้นบาปทั้งหลาย แล้ว มหา. ๒๘/๓๐๖

๑๘๑ ประพฤติสจุ ริตธรรม ๓ อย่าง อาทานตณฺหํ วินเยถ สพฺพํ อุทฺธํ อโธ ติริยํ พึงขจัดตัณหาที่เป็นเหตุถือมั่นท้ังปวง ทั้ง ขุ.สุ. ๒๕/๙๔๖, ขุ. วาปิ มชฺเฌ ยํ ยํ หิ โลกสฺมึ อุปาทิยนฺติ เตเนว เบื้องสูง เบื้องต่ำ เบื้องขวาง ท่ามกลาง, จู. ๓๑/๒๐๒. มาโร อนฺเวติ ชนฺตุ เพราะเขาถือม่ันสิ่งใดๆ ในโลกไว้ มารย่อม ตดิ ตามเขาไป เพราะส่งิ นนั้ ๆ อจุ ฉินฺท สิเนหมตฺตโน กุมุทํ สารทิกํว ปาณิ จงเด็ดเยื่อใยของตนเสีย เหมือนเอาฝ่ามือ ข.ุ ธ. ๒๕/๕๓ นา สนฺติมคฺคเมว พฺรูหย นิพฺพานํ สุคเตน เท เด็ดบัวในฤดูแล้ง จงเพิ่มพูนทางสงบ (ให้ถึง) สิตํ พระนิพพานที่พระสคุ ตแสดงแล้ว โอวเทยฺยานสุ าเสยยฺ อสพฺภา จ นิวารเย บุคคลควรเตือนกัน ควรสอนกัน และ ขุ.ธ. ๒๕/๒๕ สตํ หิ โส ปโิ ย โหติ อสตํ โหติ อปปฺ โิ ย ป้องกันจากคนไม่ดี เพราะเขาย่อมเป็นที่รัก ของคนดี แต่ไม่เป็นที่รกั ของคนไมด่ ี กาเมสุ พรฺ หฺมจริยวา วีตตณโฺ ห สทา สโต ภิกษุผู้เห็นโทษในกาม มีความประพฤติ ขุ.สุ. ๒๕/๕๓๑, ขุ. สงขฺ าย นพิ ฺพโุ ต ภกิ ฺขุ ตสสฺ โน สนฺติ อิญฺชติ า ประเสริฐ ปราศจากตัณหา จ.ู ๓๐/๓๕ มีสติทุกเม่ือ พิจารณาแล้ว ดับกิเลสแล้ว ยอ่ มไมม่ คี วามหวน่ั ไหว จเช ธนํ องฺควรสฺส เหตุ องคฺ ํ จเช ชีวติ ํ รกขฺ มา พึงสละทรัพย์เพ่ือรักษาอวัยวะ, เม่ือรักษา (โพ ธิสตฺต) ขุ.ช า. โน องฺคํ ธนํ ชีวิตญฺจาปิ สพฺพํ จเช นโร ธมฺม ชีวิตพึงสละอวัยวะ เม่ือคำนึงถึงธรรม พึง อสตี ิ. ๒๘/๑๔๗ มนุสสฺ รนฺโต สละอวยั วะ ทรัพย์ และแมช้ ีวติ ทุกอยา่ ง ฉนทฺ ชาโต อนกฺขาเต มนสา จ ผโุ ฐ สยิ า พึงเป็นผู้พอใจและประทับใจในพระนิพพาน ขุ.ธ. ๒๕/๔๔ กาเม จ อปฏพิ ทธฺ จติ ฺโต อทุ ธฺ ํโสโตติ วจุ ฺจติ ที่บอกไม่ได้ ผู้มีจิตไม่ติดกาม ท่านเรียกว่าผู้ มีกระแสอยูเ่ บอื้ งบน ชีรนฺติ เว ราชรถา สุจิตฺตา อโถ สรีรมฺปิ ชรํ ราชรถอันงดงามย่อมคร่ำคร่า แม้ร่างกายก็ สํ.ส. ๑๕/๑๐๒ อุเปติ สตญฺจ ธมฺโม น ชรํ อุเปติ สนฺโต หเว เข้าถึงชรา ส่วนธรรมของสัตบุรุษย่อมไม่ สพฺภิ ปเวทยนฺติ เข้าถึงชรา สัตบุรุษกับสัตบุรุษเท่าน้ันย่อมรู้ กนั ได้ เต ฌายิโน สาตตกิ า นิจจฺ ํ ทฬหฺ ปรกกฺ มา ผ้ฉู ลาดน้นั เป็นผู้เพ่งพนิ ิจ มคี วามเพยี รตดิ ต่อ ขุ.ธ. ๒๕/๑๘ ผุสนฺติ ธีรา นพิ ฺพานํ โยคกฺเขมํ อนตุ ตฺ รํ บากบั่นม่นั คงเปน็ นิตย์ ย่อมถูกตอ้ งพระนิพพาน อันปลอดจากโยคะ หาธรรมอ่นื ย่งิ กวา่ มไิ ด้ ทกุ ขฺ เมว หิ สมโฺ ภติ ทกุ ฺขํ ติฏฺฐติ เวติ จ ทุกข์เท่าน้ันเกิดขึ้น ทุกข์ย่อมตั้งอยู่ และ (วชิราภิกฺขุนี) สํ.ส. นาญฺญตร ทุกฺขา สมฺโภติ นาญฺญตฺร ทุกฺขา เสื่อ ม ไป น อ ก จาก ทุ กข์ ไม่ มี อะไรเกิ ด ๑๕/๑๙๙, ขุ.มหา. นิรชุ ฌฺ ติ นอกจากทุกขไ์ มม่ อี ะไรดบั ๒๙/๕๓๖

๑๘๒ ธมโฺ ม ปโถ มหาราช อธมฺโม ปน อปุ ฺปโถ มหาราช ธรรมเป็นทาง (ควรดำเนินตาม) (โ พ ธิ ส ตฺ ต ) ขุ . อธมโฺ ม นิรยํ เนติ ธมโฺ ม ปาเปติ สคุ ติ ส่วนอธรรมนอกลู่นอกทาง (ไม่ควรดำเนิน ชา.สฏฐฺ .ิ ๒๘/๓๙ ตาม) อธรรมนำไปนรกถงึ สวรรค์ น า ญฺ ญ ตฺ ร โพ ชฺ ฌ า ต ป ส า น า ญฺ ญ ตฺ ร เรา (ตถาคต) ไม่เห็นความสวัสดีของสัตว์ ส.ํ ส. ๑๕/๗๕ อินฺทริยสํวรา นาญฺญตฺร สพฺพนิสฺสคฺคา โสตฺถึ ทงั้ หลาย นอกจากปัญญา ความเพยี ร ความ ปสสฺ ามิ ปาณินํ ระวงั ตวั และการสละส่งิ ท้ังปวง เย สนฺตจิตฺตา นปิ กา สติมนโฺ ต จ ฌายิโน ผู้มีจิตสงบ มีปัญญาเคร่ืองรักษาตัว มีสติ ขุ.อิติ. ๒๕/๒๒๓/ สมฺมา ธมฺมํ วิปสฺสนฺติ กาเมสุ อนเปกขฺ ิโน เป็นผู้เพ่งพินิจไม่เยื่อใยในกาม ย่อมเห็น ๒๖๐ ธรรมโดยชอบ สมมฺ ปฺปธานสมฺปนฺโน สตปิ ฏฺฐานโคจโร ผู้ถึงพร้อมด้วยสัมมัปปธาน มีสติปัฏฐานเป็น (เทวสภเถร) ขุ.เถร. วิมตุ ฺติกสุ ุมสญฉฺ นฺโน ปรินิพฺพายิสสฺ ตฺยนาสโว อารมณ์ ดาดาษด้วยดอกไม้คือวิมุตติ หาอา ๒๖/๒๗๘๒ สวะมไิ ด้ จกั ปรินพิ พาน สุสุขํ วต นิพพฺ านํ สมฺมาสมพฺ ทุ ธฺ เทสติ ํ พระนิพพานที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรง (หาริตเถร) ขุ.เถร. อโสกํ วริ ชํ เขมํ ยตถฺ ทกุ ฺขํ นริ ุชฌฺ ติ แสดงแล้ว ไม่มีโศก ปราศจากธุลี เกษม เป็น ๒๖/๓๐๙ ท่ีดับทุกข์ เป็นสุขดีหนอ โสรจฺจํ อวหิ สึ า จ ปาทา นาคสสฺ เต ทเุ ว โสรจั จะและอวิหิสานั้น เป็นช้างเท้าหลัง สติ (อุทายีเถร) ขุ.เถร. สติ จ สมฺปชญญฺ ญฺจ จรณา นาคสสฺ เต ปเร และสัมปชญั ญะน้ัน เปน็ ช้างเทา้ หน้า ๒๖/๓๖๘ หนี ํ ธมมฺ ํ น เสเวยฺย ปมาเทน น สวํ เส ไม่ควรเสพธรรมที่เลว ไม่ควรอยู่กับความ ข.ุ ธ. ๒๕/๓๗ มิจฺฉาทฏิ ฺฐึ น เสเวยฺย น สยิ า โลกวฑฒฺ โน ประมาท ไม่ควรเสพมิจฉาทิฏฐิ ไม่ควรเป็น คนรกโลก หเี นน พฺรหฺมจริเยน ขตตฺ ิเย อปุ ปชชฺ ติ. บุคคลย่อมเข้าถึงความเป็นกษัตริย์ ด้วย ขุ.ช า.ม ห า. ๒ ๘ / มชฌฺ เิ มน จ เทวตตฺ ํ อตุ ตฺ เมน วสิ ุชฺฌนฺติ พรหมจรรย์อย่างเลว, ถึงความเป็นเทวดา ๑๙๙ ด้วยพรหมจรรย์อย่างกลาง, ย่อมบริสุทธิ์ ด้วยพรหมจรรยอ์ ย่างสงู จเช ธนํ องคฺ วรสสฺ เหตุ องฺคํ จเช ชีวติ ํ รกฺขมา พึงสละทรัพย์เพ่ือรักษาอวัยวะ เมื่อรักษา ขุ.ชา. ๒๘/๓๘๒/ โน องฺคํ ธนํ ชีวิตญฺจาปิ สพฺพํ จเช นโร ธมฺม ชีวิตพึงสละอวัยวะ เม่ือคำนึงถึงธรรม พึง ๑๔๗ มนสุ ฺสรนฺโต สละอวยั วะ ทรพั ย์ และแมช้ วี ติ ทุกอย่าง ชีรนฺติ เว ราชรถา สุจิตฺตา อโถ สรีรมฺปิ ชรํ ราชรถอันงดงามย่อมคร่ำคร่า แม้ร่างกายก็ สํ.ส. ๑ ๕ /๓ ๓ ๓ / อุเปติ สตญฺจ ธมฺโม น ชรํ อุเปติ สนฺโต หเว เข้าถึงชรา ส่วนธรรมสัตบุรุษย่อมไม่เข้าถึง ๑๐๒ สพฺภิ ปเวทยนฺติ ชรา สตั บุรษุ กบั สตั บรุ ษุ เทา่ น้ันยอ่ มรกู้ นั ได้

๑๘๓ บทสรุป พุทธศาสนสุภาษติ คือถ้อยคำทก่ี ล่าวไว้ดีในพระพุทธศาสนา สามารถนำมาเปน็ คติ ยึดถือเป็นหลกั ใจได้ มิได้หมายความเฉพาะคำทพ่ี ระพุทธองค์ตรสั ไวเ้ ท่านนั้ แม้สุภาษติ แทบทงั้ หมดจะเป็นพระพุทธพจน์กต็ าม เช่น ถ้าเป็นภาษติ พระสัมมาสัมพุทธตรัสเอง เรียกว่า พุทธภาษิต ถ้าพระโพธิสตั ว์ กล่าวเรยี กว่า โพธสิ ตั วภ์ าษิต ถา้ พระ สาวกกลา่ ว กเ็ รยี กวา่ เถรภาษิต บ้าง สาวกภาษติ บ้าง แมแ้ ตค่ ำท่เี ทวดากลา่ ว และพระพุทธองค์ไดต้ รัสรับรองว่าดี ด้วยการตรสั คำน้ันซำ้ เรยี กว่า เทวดาภาษิต เป็นต้น ฉะนน้ั จงึ เปน็ เรอ่ื งที่ควรระมดั ระวงั มิใช่วา่ เห็นวา่ เปน็ พทุ ธ ศาสนสภุ าษติ หรอื เห็นเปน็ คำบาลี แล้วกเ็ ดาเอาวา่ เปน็ พระพุทธพจน์ โดยมิไดด้ ูทมี่ าของสภุ าษิตนั้นใหแ้ นน่ อน อาจจะเป็นการตู่พระพุทธวจนะได้ พุทธศาสนสุภาษิต ได้มาจากเน้ือหาที่ปรากฎอยู่ในคำสอนดังกล่าว ที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก เป็น เนอ้ื ความส้ัน ๆ ที่ทรงคุณค่า ใหข้ ้อคิด ข้อเตือนใจ ให้ผทู้ ี่ได้ศกึ ษาแล้ว มีความรคู้ วามเข้าใจ และยึดถือเป็นหลักธรรม ประจำใจ เพื่อนำไปประพฤติปฏิบัติ ในแนวทางที่ถูกท่ีควร ตรงทาง อันจะนำไปสู่ความสุข ความเจริญงอกงามใน ชวี ิตของตน แล้วยังเป็นการเสริมสร้างสันติสขุ ในสงั คมโลกอีกด้วย ตัวอย่างพุทธศาสนสุภาษิต เช่น อตฺตา หเว ชิตํ เสยฺโย แปลว่า ชนะตนนั่นแหละ เป็นดี, นตฺถิ โลเก อนินฺทิโต คนไม่ถูกนินทาไม่มีในโลก, วิริเยน ทุกฺขมจฺเจติ คนล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร, อสาธุ สาธุนา ชิเน พึงชนะคนไม่ดีด้วยความดี, โลโกปตฺถมฺภิกา เมตฺตา เมตตาเป็น เครื่องค้ำจุนโลก เป็นต้น ผู้ท่ีสนใจศึกษาภาษาบาลีจะต้องเรียนรู้ไวยากรณ์บาลี ซ่ึงประกอบด้วย คำนามศัพท์ คือ นามนาม คุณนาม สรรพนาม ซึ่งประกอบด้วย ลิงค์ วจนะ วิภัตติ คำกิริยาศัพท์ซึ่งประกอบด้วยวิภัตติ กาล บท วจนะ บุรุษ ธาตุ วาจก ปัจจัย ซ่ึงเปน็ ความงดงามของภาษาและเมอื่ รู้หลักไวยากรณ์บาลีแล้วก็เรียนรู้ด้วยการนำเอา ศัพท์พุทธศาสนสุภาษิตที่ปรากฏในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนามาแปลและหาความหมายในภาษาไทยต่อไปดังท่ีได้ ยกขน้ึ ไว้ในเบอ้ื งต้นนนั้

๑๘๔ คำถามทบทวนประจำบทที่ ๙ ------------------- ๑.พุทธสุภาษิต มีประโยชน์ตอ่ การเรยี นรภู้ าษาบาลอี ยา่ งไรบา้ ง ? อธิบาย ๒.พุทธภาษิตทว่ี า่ อสนโฺ ต นริ ยํ ยนฺติ. แปลความหมายวา่ อย่างไร ? ทา่ นไดข้ ้อคดิ อะไรจากสุภาษิตนี้ ๓. พุทธภาษติ ท่วี ่า สวุ ชิ าโน ภวํ โหติ. แปลความหมายวา่ อย่างไร ? ทา่ นไดข้ ้อคิดอะไรจากสภุ าษิตนี้ ๓.พุทธภาษิตทว่ี ่า ครุ โหติ สคารโว. แปลความหมายว่าอย่างไร ? ท่านได้ข้อคดิ อะไรจากสภุ าษติ นี้ ๔.พุทธภาษิตที่วา่ เนกาสี ลภเต สุขํ. แปลความหมายวา่ อย่างไร ? ท่านได้ข้อคิดอะไรจากสภุ าษิตนี้ ๕.พทุ ธภาษิตทว่ี า่ นตฺถิ โลเก อนินทฺ โิ ต. แปลความหมายวา่ อย่างไร ? ท่านได้ขอ้ คิดอะไรจากสุภาษติ นี้ ๖.พุทธภาษิตทว่ี า่ ธมมฺ ํ จเร สจุ รติ ํ น ตํ ทุจฺจริตํ จเร. แปลความหมายว่าอย่างไร ? ทา่ นไดข้ ้อคิดอะไรจากสภุ าษิตน้ี ๗.พุทธภาษติ ทว่ี า่ หีนํ ธมฺมํ น เสเวยฺย ปมาเทน น สํวเส มจิ ฉฺ าทิฏฐฺ ึ น เสเวยยฺ น สิยา โลกวฑฺฒโน. แปลความหมายว่าอย่างไร ? ท่านได้ขอ้ คดิ อะไรจากสุภาษติ นี้ ๘.พทุ ธภาษติ ทว่ี ่า เต ฌายิโน สาตตกิ า นจิ ฺจํ ทฬฺหปรกฺกมา ผสุ นตฺ ิ ธีรา นิพพฺ านํ โยคกฺเขมํ อนุตตฺ รํ. จงอ้างท่ีมาและความหมายของพุทธภาษติ น้ี ? ๙.พทุ ธภาษติ ทว่ี า่ เย สนตฺ จิตฺตา นปิ กา สตมิ นฺโต จ ฌายโิ น สมมฺ า ธมฺมํ วิปสสฺ นตฺ ิ กาเมสุ อนเปกฺขโิ น. แปลความหมายวา่ อย่างไร ? ท่านไดข้ อ้ คดิ อะไรจากสุภาษิตน้ี ๑๐.พุทธภาษิตที่ว่า โสรจฺจํ อวหิ สึ า จ ปาทา นาคสสฺ เต ทเุ ว สติ จ สมฺปชญญฺ ญฺจ จรณา นาคสสฺ เต ปเร. จงอ้างทม่ี าและความหมายของพทุ ธภาษติ น้ี ?

๑๘๕ เอกสารอ้างอิงประจำบทที่ ๙ ------------------------ กรมการศาสนา.พระไตรปิฎกภาษาบาลี ฉบบั สยามรฐั .เลม่ ท่ี ๙,๑๕,๒๕.กรุงเทพฯ:กรมการศาสนา,๒๕๒๕. กรมการศาสนา.พระไตรปฎิ กภาษาไทย ฉบบั หลวง,เล่มที่ ๑๕. กรงุ เทพ ฯ:กรมการศาสนา,๒๕๑๔. http://www.dhammathai.org/proverb/proverbthai.php http://www.heritage.thaigov.net/religion/proverb/proverb.htm

บรรณานุกรม กอ่ งแก้ว วีระประจักษ์. จารึกลานทองสมเดจ็ พระมหาเถรจพุ ามณี .ศลิ ปากร ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๒๖. มหามกุฏราชวิทยาลยั .อรรถกถาวินยั มหาวิภังค์,เล่ม ๑ ภาค ๑. กรุงเทพฯ:,มหามกุฏราช วิทยาลัย,๒๕๒๕. มหามกฏุ ราชวิทยาลยั .อรรถกถาทฆี นิกาย สลี ขันธวรรค.กรุงเทพฯ: มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๒๕. พระเทพดลิ ก (ระแบบ ฐติ ญาโณ). ประวตั ศิ าสตร์พระพุทธศาสนา.พมิ พค์ ร้งั ท่ี ๕.กรุงเทพฯ: โรงพมิ พม์ หามกฏุ ราชวิทยาลยั ,๒๕๔๒. โปร่ง ช่นื ใจ,น.ท.พระพุทธเจา้ ทรงใชภ้ าษาอะไรแสดงพระธรรมเทศนา.พิมพค์ รง้ั ท่ี ๒.กรุงเทพฯ: โรงพมิ พม์ หามกุฏราชวทิ ยาลัย,๒๕๓๒. พระมหาฉลาด ปรญิ ฺ าโณ.คมู่ อื การเรยี นบาลีไวยากรณ์.กรุงเทพฯ: เลี่ยงเชยี ง,๒๕๓๐. พระมหาเสฐยี รพงษ์ ปณุ ณวณฺโณ. โครงการตำราสงั คมศาสตรแ์ ละมนุษยศาสตร์.พระนคร: โรงพิมพไ์ ทยวฒั นาพานชิ ,๒๕๑๔. เสนาะ ผดงุ ฉตั ร.ความร้เู บือ้ งตน้ เกีย่ วกบั วรรณคดีบาลี.กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พม์ หามกุฏราช วิทยาลยั ,๒๕๓๒. เสถียร โพธนิ ันทะ.ประวตั ิศาสตรพ์ ระพุทธศาสนา.พมิ พค์ รง้ั ที่ ๔.กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พ์มหา มกฏุ ราชวิทยาลยั , ๒๕๔๓. ฉลาด บญุ ลอย.ประวตั ิวรรณคดบี าลตี อน ๑.พระนคร: มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๐๕. พระเทพเมธาจารย์ (เช้า ฐติ ปุญโฺ ญ).แบบเรยี นวรณคดีประเภทคมั ภีร์บาลไี วยากรณ์.พระนคร : โรงพมิ พป์ ระยูรวงศ์,๒๕๐๔. พระพรหมคณุ าภรณ์ (ประยุทธ ปยุตฺโต).พระไตรปิฎก: ส่งิ ท่ีชาวพทุ ธตอ้ งรู้.กรงุ เทพฯ: ธรรมสภา, ๒๕๕๐. ราชบณั ฑิตยสถาน. พจนานกุ รมไทย. กรุงเทพฯ: ราชบณั ฑิตยสถาน, ๒๕๔๖. ลิขิต ลิขติ านนท์. ยุคทองแห่งวรรณกรรมพระพทุ ธศาสนาในล้านนาไทย:ลา้ นนาไทย.อนุสรณ์ พระราชพธิ ีเปดิ พระบรมราชานสุ รณส์ ามกษัตรยิ ์.เชียงใหม:่ ทิพยเ์ นตรการพมิ พ์,๒๕๒๓. อุดม รุง่ เรืองศร.ี วรรณกรรมลายลักษณ์ลา้ นนา.เชียงใหม่. เอกสารประกอบนทิ รรศการ

๑๘๗ วรรณกรรมล้านนา คณะมนษุ ยศ์ าสตร์ มหาวิทยาลัยพายัพ, ๒๕๒๘. พระราชปรยิ ัติ (สฤษด์ิ สริ ิธโร).งานวจิ ัยและวรรณกรรมทางพระพทุ ธศาสนา.กรงุ เทพฯ: มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย,๒๕๔๘. สนามหลวงแผนกบาล.ี เรอื่ งสอบบาลี พ.ศ.๒๕๔๗.กรุงเทพฯ: อาทรการพมิ พ์,๒๕๔๗. สนามหลวงแผนกบาลี.เรอื่ งสอบบาลี พ.ศ.๒๕๕๗. กรุงเทพ ฯ อาทรการพิมพ์,๒๕๕๗. สุภาพรรณ ณ บางชา้ ง. ววิ ฒั นาการงานเขยี นภาษาบาลีในประเทศไทย: จารกึ ตำนาน พงศาวดาร สาส์น ประกาศ. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์มหามกฏุ ราชวิทยาลัย,๒๕๒๙. สมเดจ็ พระมหาสมณณเจ้า กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส. บาลีไวยากรณ์ สมญั ญาภธิ าน-สนธิ. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลยั ,๒๕๒๘. สมเดจ็ พระมหาสมณณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส. บาลไี วยากรณ์ นาม-อัพยยศัพท์. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพม์ หามกุฏราชวทิ ยาลยั ,๒๕๒๘. สมเด็จพระมหาสมณณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส. บาลไี วยากรณ์ อาขยาต-กิตก์. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พม์ หามกฏุ ราชวิทยาลัย,๒๕๒๘. สมเด็จพระมหาสมณณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส. บาลไี วยากรณ์ สมาส-ตทั ธิต.กรงุ เทพฯ: โรงพิมพ์มหามกุฏราชวทิ ยาลัย,๒๕๒๘. สมเด็จพระมหาสมณณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส. อุภยพากย์ปรวิ ัตน์. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์ มหามกุฏราชวทิ ยาลัย,๒๕๒๘. หลวงเทพดรุณานุศษิ ฎ์ (ทวี ธรรมธชั ).บาลีไวยากรณพ์ เิ ศษ.กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์มหามกฏุ ราช วทิ ยาลัย,๒๕๓๔. Website: http://oldaad.mcu.ac.th/html/scripture.html http://www.medeepali.net/pali.html http://www.huso.buu.ac.th/thai/web/personal/subhrang/208322/208322chap1-2.htm http://midnightuniv.org/midnight 2545/newpage๘.html

\"\" 69 ถนนวิสทุ ธิเทพ ตําบลกดุ ปอง อําเภอเมอื ง จงั หวัดเลย 42000 โทร 042 830434, 042 830423 โทรสาร. 042 830686 เวบ็ ไซต์ http:// www.mbuslc.ac.th


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook