Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การจัดการทรัพยากรสัตว์ป่าในพื้นที่คุ้มครอง

การจัดการทรัพยากรสัตว์ป่าในพื้นที่คุ้มครอง

Description: การจัดการทรัพยากรสัตว์ป่าในพื้นที่คุ้มครอง

Search

Read the Text Version

ทรพั ยากรในพ้นื ทเ่ี ขตรักษาพันธ์ุสตั ว์ปา่ การบริหารจัดการในปัจจุบันตามโครงสร้าง ขอบเขตและความสามารถ ความสำ� คญั ของทรพั ยากรในพน้ื ทเี่ ขตรกั ษาพนั ธส์ุ ตั วป์ า่ สว่ นใหญ่ ในการบริหารจัดการที่มีขีดจ�ำกัด บุคลากรที่มีอยู่ไม่สอดคล้องกับความ จะเปน็ พนื้ ทีท่ ่ีมคี วามสำ� คัญในชว่ งววิ ฒั นาการของโลก กระบวนการทาง ส�ำคัญของพ้ืนที่และปริมาณงาน บุคลากรผู้ท่ีท�ำหน้าท่ีบริหารจัดการมี ธรณวี ทิ ยา การวิวฒั นาการทางชวี วิทยาและความสมั พันธร์ ะหวา่ งมนุษย์ ความรขู้ ้นั พื้นฐานจำ� กดั คือ ด้านปา่ ไม้และวนศาสตร์ งานบริหารจดั การ กับสิ่งแวดล้อม เป็นพื้นท่ีท่ีมีลักษณะทางธรรมชาติที่เป็นเอกลักษณ์และ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ายังต้องการบุคลากรที่มีความรู้หลากหลายสาขา หายาก สิ่งท่ีส�ำคัญคือ เป็นถ่ินท่ีอยู่อาศัยของพืชและสัตว์ท่ีหายากและ ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการด้านนิเวศวิทยา การจัดการสัตว์ป่า สัตววิทยา ใกลส้ ญู พนั ธข์ุ องโลก เปน็ พน้ื ทที่ สี่ ามารถตอบสนองการดำ� รงชวี ติ ของสงิ่ มชี วี ติ วทิ ยาศาสตร์ พฤกษศาสตร์ ภมู ศิ าสตร์ ธรณวี ทิ ยา การวางแผน การสื่อ ทรัพยากรในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าถูกท�ำลายและมีปัญหา ความหมาย สงั คมศาสตร์ เปน็ ต้น ในการบรหิ ารจดั การทเ่ี กิดจากการใชป้ ระโยชน์ คือ 1. การใช้ประโยชน์ทรัพยากรโดยตรงจากราษฎรในพ้ืนที่ เป้าหมายการจัดการเขตรักษาพนั ธสุ์ ตั วป์ ่า ใกล้เคียงกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าท้ังเพ่ือการยังชีพและการค้า อันได้แก่ 1. การจัดการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าในพ้ืนท่ีจะต้องไม่มีราษฎร การลักลอบตัดไม้และเก็บหาของป่า การลักลอบล่าสัตว์ป่า การบุกรุก อาศัยอยู่ ทงั้ นี้ ตามระบบการจดั การพน้ื ท่ีตอ้ งการให้สตั ว์ป่าไดอ้ าศัยอยู่ ยึดครองพื้นที่ ทั้งนี้ มีสาเหตุจากการท่ีไม่สามารถสร้างความเข้าใจและ อยา่ งปลอดภยั บางพน้ื ทท่ี ่ีมรี าษฎรอาศยั อยู่ หากด�ำเนินการได้ ควรหา จิตส�ำนึกถึงความส�ำคัญและคุณค่าของทรัพยากร การไม่เปิดให้ชุมชน ทอี่ ยใู่ หมน่ อกเขตพน้ื ท่ี หากไมส่ ามารถหาทอี่ ยใู่ หมไ่ ด้ ควรมกี ารวางระบบ เขา้ มามสี ่วนร่วมในการบริหารจดั การ การจดั การทไ่ี มส่ ง่ ผลกระทบตอ่ ประชากรสตั วป์ า่ และถนิ่ ทอ่ี าศยั ของสตั วป์ า่ 2. การใชป้ ระโยชนพ์ น้ื ทขี่ องหนว่ ยงานอนื่ ๆ ของรฐั ในโครงการ 2. การเพิ่มประสิทธิภาพในการเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ พัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคม เพ่ือความเจริญของประเทศชาติ มีการ รวมทง้ั การสรา้ งระบบสอื่ ความหมายในการสรา้ งจติ สำ� นกึ ใหแ้ กป่ ระชาชน พฒั นาพนื้ ทห่ี ลายๆ แหง่ ทอี่ ยใู่ นเขตรกั ษาพนั ธส์ุ ตั วป์ า่ เชน่ การสรา้ งเขอื่ น ในการมีสว่ นรว่ มบริหารจัดการพ้ืนท่ี อ่างเก็บน�้ำ การสร้างถนนหรือการสร้างแนวสายไฟฟ้าแรงสูง เป็นต้น 3. ระบบข้อมูลพื้นฐานทางวิชาการจะต้องมีการส�ำรวจและ กิจกรรมต่างๆ ดังกล่าว ยังขาดการวางแผนงานร่วมกัน ขาดการศึกษา รวบรวมให้สมบูรณ์ทุกรูปแบบ มีการด�ำเนินงานทางด้านการศึกษาวิจัย ผลกระทบและการปอ้ งกนั การแกป้ ญั หามกั จะดำ� เนนิ การแกไ้ ขจากปญั หา เพือ่ ให้ได้มาซง่ึ ข้อมลู พื้นฐานของการจัดการเขตรักษาพนั ธุ์สัตว์ปา่ ท่ีเกดิ ขน้ึ แลว้ 4. การจ�ำแนกการใช้ประโยชน์ของพ้ืนท่ี การจัดท�ำแผน ในปัจจุบันเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าของประเทศไทยได้ประกาศ ยุทธศาสตร์การจัดการพื้นท่ีเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและวิเคราะห์ข้อมูล จดั ต้ังแลว้ จ�ำนวน 60 แห่ง มีพนื้ ทป่ี ระมาณ 37,269.36 ตารางกโิ ลเมตร ในดา้ นถน่ิ ทอี่ าศยั และประชากรสตั วป์ า่ เพอ่ื นำ� มาใชใ้ นการจำ� แนกการใช้ หรือ 23,293,350 ไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ 7.20 ของพ้ืนที่ประเทศ ประโยชน์พ้ืนท่ีโดยเฉพาะพื้นท่ีท่ีหวงห้ามพิเศษ พ้ืนท่ีท่ีใช้บริการด้าน เกง้ (Muntiacus muntjak) 150 ศาสตรแ์ ละศิลป์ การจดั การทรัพยากรสตั ว์ป่าในพื้นท่ีคุม้ ครอง

ศึกษาธรรมชาติ พนื้ ทส่ี ง่ิ ก่อสร้างตา่ งๆ ของการบริหารจดั การและจดั ให้ ชมธรรมชาติ เปน็ ต้น มีพืน้ ที่กนั ชนรอบพื้นทเ่ี พ่อื ประโยชนใ์ นการจดั การ 3. กำ� หนดแนวเขตรกั ษาพนั ธส์ุ ตั วป์ า่ ใหช้ ดั เจน โดยทำ� การรงั วดั และท�ำเคร่ืองหมายแสดงแนวเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าให้ชัดเจนโดยวิธีการ แนวทางการบริหารจัดการเขตรักษาพันธุส์ ัตวป์ ่า ต่างๆ เช่น การปลูกตน้ ไม้ การปกั หลกั เขต เปน็ ตน้ เพอ่ื การอนรุ กั ษท์ รพั ยากรธรรมชาตทิ ส่ี ำ� คญั ของประเทศใหค้ งอยู่ 4. ด�ำเนินการเก็บข้อมูลทางวิชาการด้านศักยภาพของพ้ืนท่ี ตลอดไป โดยเฉพาะอย่างยง่ิ สตั วป์ ่า ปา่ ไม้ แหลง่ ต้นนำ้� ล�ำธาร ลักษณะ อันได้แก่ ปริมาณน�้ำฝน อุณหภูมิ และลักษณะภูมิประเทศโดยท่ัวไป ทางธรรมชาติ ให้ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องและมี เพื่อใช้เป็นแนวทางการจัดการตอ่ ไป เจ้าหนา้ ทบ่ี รหิ ารจัดการอยา่ งพอเพียง เป็นแหล่งค้นคว้าวจิ ยั เรยี นรู้ และ 5. การประสานงานความรว่ มมอื กบั องคก์ รทเี่ กยี่ วขอ้ งทง้ั ภาครฐั ศกึ ษาเกย่ี วกบั ทรพั ยากรธรรมชาตดิ า้ นปา่ ไม้ สตั วป์ า่ และสงิ่ แวดลอ้ ม และ และเอกชน การจดั ตง้ั คณะกรรมการรว่ มในการอนรุ กั ษพ์ น้ื ท่ี เพอ่ื ใหช้ มุ ชน ใหค้ วามรว่ มมอื ประสานงานกบั องคก์ รตา่ งๆ เพอ่ื การศกึ ษาวจิ ยั ทางวชิ าการ มสี ว่ นรว่ มในการดแู ลรกั ษาถน่ิ ทอ่ี าศยั ของสัตวป์ ่า การจัดการทรัพยากรในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าจะต้องด�ำเนินการ เพ่ือให้ทรัพยากรในพ้ืนที่คงมีคุณค่าและรักษาสภาพธรรมชาติ โดยไม่มี การจดั การทรัพยากรสัตวป์ า่ การท�ำลายหรือเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศดั้งเดิมของพื้นท่ีเขตรักษา 1. การจดั การประชากรสตั วป์ า่ ใหอ้ ยใู่ นสภาพทส่ี มดลุ กบั สภาพ พนั ธุ์สตั ว์ปา่ สง่ิ แวดลอ้ มหรอื ถนิ่ ทอ่ี าศยั กำ� หนดใหม้ กี ารฟน้ื ฟทู งั้ ประชากรสตั วป์ า่ และ ถ่ินทอ่ี าศัย โดยการจัดท�ำโครงการปล่อยสัตว์ปา่ คนื สู่ป่าธรรมชาติ การจัดการถิน่ ที่อย่อู าศัย 2. ส�ำรวจสถานภาพ การกระจายและนิเวศวิทยาของสัตว์ป่า 1. พื้นท่ีถิ่นท่ีอาศัยของสัตว์ป่า ในกรณีที่พ้ืนที่ถูกท�ำลายโดย เพ่ือให้ทราบถึงข้อมูลพ้ืนฐานเก่ียวกับสัตว์ป่า การวางระบบงานเพื่อการ มนษุ ยแ์ ละภยั ธรรมชาติ จะตอ้ งปลกู ตน้ ไมท้ เ่ี หมาะสมกบั การอยอู่ าศยั ของ จัดการสัตว์ป่า ข้อมูลพื้นฐานดังกล่าวใช้ประกอบการตัดสินใจในการ สัตว์ป่า โดยศึกษาจากระบบนิเวศของพื้นที่ว่าพ้ืนที่แบบใดมีต้นไม้หรือ บริหารการจัดการ ทั้งในด้านทรัพยากร การก�ำหนดแนวทางการศึกษา ชนดิ พันธไ์ุ ม้อะไรข้นึ ได้ดี วจิ ัย และการประสานงานกบั องค์กรทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั งานวจิ ัย 2. กำ� หนดเขตจดั การพนื้ ที่ เพอ่ื ใหก้ ารจดั การเขตรกั ษาพนั ธส์ุ ตั วป์ า่ 3. ดำ� เนินการจดั การสัตวป์ ่า พืชพรรณ การควบคุมไฟปา่ และ สอดคล้องกบั ทรพั ยากรในพื้นที่ เช่น เขตสงวน เขตหวงหา้ ม เขตบริการ สง่ิ แวดลอ้ ม โดยยึดหลักนเิ วศวิทยา 151 ศาสตรแ์ ละศิลป์ การจัดการทรัพยากรสัตวป์ ่าในพืน้ ท่คี มุ้ ครอง

กระทงิ (Bos gauras) นกกระเต็นหวั ด�ำ (Halcyon pileata) เสอื โครง่ (Panthera tigis) การบรหิ ารจัดการเขตรักษาพันธส์ุ ัตว์ป่า 5. ก�ำหนดให้มีการติดตามและประเมินผลการบริหารจัดการ สำ� หรบั การบรหิ ารจดั การเขตรกั ษาพนั ธส์ุ ตั วป์ า่ สามารถแบง่ ออก พ้ืนที่เขตรักษาพนั ธุ์สตั ว์ปา่ โดยกำ� หนดตวั ช้วี ดั ท่สี ามารถวัดผลได้ ได้เป็นสองแนวทาง คือ การบริหารจัดการในภาพรวม และการบริหาร จดั การในระดับพืน้ ที่ การบริหารจดั การในระดบั พ้นื ท่ี 1. การวางแผนยุทธศาสตร์ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุกแห่ง การบรหิ ารจดั การในภาพรวม ควรด�ำเนินการจัดท�ำแผนยุทธศาสตร์การจัดการ (site conservation 1. กำ� หนดใหม้ กี ารจดั ลำ� ดบั ความสำ� คญั ของเขตรกั ษาพนั ธส์ุ ตั วป์ า่ management plan) ซึ่งเป็นแผนยทุ ธศาสตรร์ ะดบั พื้นท่ี มีการกำ� หนด โดยค�ำนึงถงึ พ้ืนทีส่ �ำคัญในระดบั นานาชาติ ระดับชาติ หรือระดบั ท้องถ่ิน แนวทาง ลำ� ดบั ความสำ� คญั และทางเลอื กในการปฏบิ ตั งิ าน ตามระยะเวลา เช่น การเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ การอนุรักษ์ความหลากหลายทาง ทเ่ี ขตรกั ษาพนั ธส์ุ ตั วป์ า่ แตล่ ะแหง่ กำ� หนด รวมถงึ การตดิ ตามและประเมนิ ชวี ภาพ การอนุรกั ษ์สัตว์ป่าทหี่ ายากหรือใกลส้ ูญพันธุ์ ผล แผนทีต่ ้องการรายละเอียดเฉพาะเรอื่ งในการปฏิบตั ิ เชน่ การวางผัง 2. นโยบายและแผน เพื่อก�ำหนดแผนระดับนโยบายที่ชัดเจน ส่ิงก่อสร้าง พ้ืนท่ีเพ่ือการศึกษา การจัดต้ังหน่วยพิทักษ์ป่า การตรวจ และสามารถใช้เป็นกรอบและแนวทางท่ีสามารถน�ำไปปฏิบัติได้ภายใต้ ลาดตระเวน การฟน้ื ฟสู ภาพถ่ินท่ีอาศัย หรอื แผนปอ้ งกนั สัตวป์ ่า ระเบียบกฎหมายและนโยบายท่ีเก่ียวข้อง โดยมีรายละเอียดครอบคลุม 2. การกำ� หนดใหม้ คี ณะกรรมการทป่ี รกึ ษาเขตรกั ษาพนั ธส์ุ ตั วป์ า่ งานทกุ ขนั้ ตอนนบั ตง้ั แตก่ ารวางแผนยทุ ธศาสตร์ การบรหิ ารจดั การจนถงึ (Protected Area Committee : PAC) โดยพจิ ารณาใหช้ มุ ชนหรอื ราษฎร การปฏิบัติในพื้นที่ และให้มีการประสานงานความร่วมมือกับหน่วยงาน ในทอ้ งทเ่ี ขา้ มามสี ว่ นรว่ มในการดแู ลรกั ษาทรพั ยากรในพน้ื ที่ คณะกรรมการ ทีเ่ ก่ยี วขอ้ ง ดังกล่าวควรประกอบด้วยผู้แทนฝ่ายปกครองส่วนภูมิภาค ฝ่ายปกครอง 3. กำ� หนดโครงสรา้ งการบรหิ ารจดั การเขตรกั ษาพนั ธส์ุ ตั วป์ า่ ให้ ระดบั ทอ้ งถน่ิ ผแู้ ทนองคก์ รภาคเอกชน หนว่ ยงานอน่ื ในสงั กดั กรมอทุ ยาน ชดั เจน กำ� หนดบทบาทและหนา้ ทใี่ หช้ ดั เจน มมี าตรฐานทสี่ ามารถใชเ้ ปน็ แหง่ ชาติ สตั วป์ า่ และพนั ธพ์ุ ชื สอ่ื มวลชน ผทู้ รงคณุ วฒุ ิ พนกั งานเจา้ หนา้ ท่ี หลักการบริหารจัดการได้ โดยยึดกิจกรรมการด�ำเนินงานเป็นหลัก เช่น จากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า โดยหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าน้ันๆ เป็น การบรหิ าร การปอ้ งกนั และปราบปราม การวจิ ยั และการจดั การทรพั ยากร กรรมการและเลขานกุ าร หนา้ ทขี่ องคณะกรรมการควรประกอบดว้ ยการให้ ใหเ้ ป็นทีย่ อมรบั จากส�ำนกั งานข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ค�ำปรึกษาและข้อเสนอแนะการปฏิบัติงานในด้านต่างๆ ในการจัดการ 4. ความรู้ความสามารถของบุคลากร ก�ำหนดให้มีหลักเกณฑ์ เขตรักษาพันธุ์สตั วป์ า่ ใหเ้ ปน็ ไปตามแผนยทุ ธศาสตร์ เสนอแนะแนวทาง ในการพิจารณาคัดเลือกและแต่งต้ังให้เป็นหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และใหค้ วามรว่ มมอื ในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ท่ีเกิดขึ้นในพ้ืนที่เขตรักษา และก�ำหนดให้มีการเพ่ิมประสิทธิภาพ เพ่ิมพูนความรู้และประสบการณ์ พันธุ์สัตว์ป่า การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งและการติดตามผลการปฏิบัติ โดยจดั ใหม้ กี ารฝกึ อบรมเกย่ี วกบั การจดั การทรพั ยากรสตั วป์ า่ แกเ่ จา้ หนา้ ที่ งานตามแผนยุทธศาสตร์ เปน็ ต้น ทง้ั ในระดบั บรหิ ารและระดบั ปฏิบตั โิ ดยมุ่งเน้นคุณภาพเปน็ ส�ำคัญ 3. การป้องกันและรักษาทรัพยากรในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า 152 ศาสตร์และศลิ ป์ การจดั การทรัพยากรสตั วป์ ่าในพืน้ ทคี่ ุ้มครอง

จะตอ้ งดำ� เนนิ การเพอื่ ปอ้ งกนั และรกั ษาทรพั ยากรในพนื้ ทใี่ หค้ งอยตู่ ลอดไป เต็มไปด้วยผู้คน ตึกสูงๆ มีคลองเล็กๆ เพื่อระบายน�้ำเต็มไปด้วยขยะ เชน่ การจดั ตง้ั หนว่ ยพทิ กั ษป์ า่ การตรวจตราลาดตระเวน การรงั วดั หมาย น้ำ� เน่าเหมน็ พบว่า ไม่มนี กชนดิ ใดมาอาศัยอยู่เลย ต่างกบั สวนนอกเมอื ง แนวเขต การท�ำเครื่องหมายแนวเขต การประชาสัมพันธ์ การประสาน ซง่ึ มตี น้ ไมห้ ลายชนดิ ทำ� ใหน้ กเข้ามาอาศยั อยบู่ ้าง งานกบั องคก์ รอนื่ ๆ การจัดการพื้นที่กนั ชน เปน็ ตน้ การจำ� แนกเขตเมอื ง การจดั การสตั ว์ปา่ ในเมอื ง (Urban Wildlife Management) การจ�ำแนกเขตเมืองมีความแตกต่างกันตามรูปแบบของการ พัฒนาและศักยภาพของพื้นท่ีท่ีมีสัตว์ป่าบางชนิดเข้ามาอาศัยอยู่ เพื่อ สัตว์ป่าท่ีอาศัยอยู่ในป่าธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นพ้ืนท่ีคุ้มครองหรือ ให้การจัดการสัตว์ป่าในเขตเมืองเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถ เขตรกั ษาพนั ธส์ุ ตั วป์ า่ มกี ารจดั การตามกฎระเบยี บทก่ี ำ� หนด แตย่ งั มสี ตั วป์ า่ แบง่ ออกไดเ้ ป็น 3 เขต ดงั นี้ ที่อาศัยหากินอยู่นอกพ้ืนที่ดังกล่าว เช่น บริเวณพื้นที่ในเมือง หมู่บ้าน 1. เขตกลางใจเมอื ง (metropolitan centers) เปน็ ศูนยก์ ลาง ชนบทหรืออาศัยอยู่ใกล้กับถ่ินท่ีอาศัยของมนุษย์ สัตว์ป่าหลายชนิดเป็น การค้ายา่ นธรุ กิจของเมือง มตี ึกรามบา้ นช่องที่สรา้ งขน้ึ อย่อู ย่างหนาแน่น สตั วป์ า่ คมุ้ ครองตามพระราชบญั ญตั สิ งวนและคมุ้ ครองสตั วป์ า่ พ.ศ. 2535 มีถนนหนทางเพ่ือการจราจร มีการปลูกต้นไม้ทั้งที่เป็นไม้ยืนต้น ไม้ดอก เป็นสัตว์ป่าที่มีประโยชน์ต่อมนุษย์ในด้านขจัดแมลงศัตรูพืช ผสมเกสร ไม้ประดับ เช่น อินทนิล เสลา ประดู่ ราชพฤกษ์ มะขาม หางนกยูง ดอกไม้ ประดบั ความงามตามธรรมชาติ หรอื สรา้ งความสมดลุ ของระบบนเิ วศ มะขามเทศ ลำ� ดวน จามจุรี โสกน�ำ้ พุดซา แสงจนั ทร์ ตนี เป็ด สนทะเล ในพืน้ ท่ใี ดทมี่ ตี ้นไม้นานาพนั ธุ์ มแี หลง่ น้�ำ พน้ื ทีม่ ีความเขียวชอ่มุ หูกวาง ไทร มะฮอกกานี โสกอนิ เดยี ยคู าลปิ ตัส ปาลม์ หรือหมากเหลอื ง มชี นดิ พนั ธไ์ุ ม้ทั้งไมผ้ ล ไม้ประดบั ดอกไม้ชนิดต่างๆ จะมสี ัตวป์ ่าจำ� พวก พรรณไม้เหล่าน้ีจะมีดอกสีสันที่สวยงาม มีแมลงหรือตัวหนอนอาศัยอยู่ นกเป็นส่วนใหญม่ าอาศยั หากินผลไม้ ลูกไม้ ตัวหนอน แมลง และใชเ้ ปน็ และจะมนี กเลก็ ๆ หลายชนดิ มาหากนิ แตไ่ มม่ าก สตั วป์ า่ สว่ นใหญใ่ นเขตเมอื ง ท่ีอาศัยท�ำรังวางไข่ พบว่านกเหล่าน้ีสร้างเสียงดนตรีธรรมชาติท่ีไพเราะ จะหากินตามบ้านเรอื น กนิ เศษอาหารทต่ี กหล่นรมิ ถนน หรอื ส่ิงกอ่ สรา้ ง เสนาะหู ท่ีนกใช้เป็นท่ีอยู่อาศัยในยามค�่ำคืน สัตว์ป่าจะมีการปรับตัวให้เข้ากับ ในทอ้ งทตี่ วั เมอื งใหญๆ่ หรอื เขตเทศบาลนคร เทศบาลเมอื งซงึ่ เปน็ สภาพแวดลอ้ มในเมอื ง เชน่ นกกระจอกบา้ น นกพริ าบ นกเอย้ี ง นกสาลกิ า ปา่ คอนกรีต มีตกึ รามบ้านช่องสูงระฟา้ ประชากรของมนษุ ย์อาศยั อย่กู นั เป็นต้น อย่างหนาแนน่ เช่น กรงุ เทพมหานคร มพี ้นื ท่สี ีเขยี วน้อยมาก แต่ยงั มีนก 2. เขตชานเมือง (suburban) เป็นเขตชนบทท่ีมีสภาพความ เข้ามาอาศยั สำ� รวจแลว้ ไมน่ อ้ ยกว่า 30 ชนดิ บางพ้ืนทีม่ สี วนสาธารณะ เป็นเมืองน้อยกว่าเขตกลางใจเมือง อยู่นอกเขตเทศบาล เป็นท่ีอยู่อาศัย ท่ีถูกสร้างข้ึนมาให้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของคนในกรุงเทพฯ และออก กำ� ลงั กาย มนี กหลายชนดิ เขา้ มาอาศยั อยเู่ ชน่ เดยี วกนั เพราะมตี น้ ไมห้ ลาย ชนิดท่ีเป็นไม้ป่า ไม้ผล ไม้ประดับ และสนามหญ้า เช่น สวนลุมพินี สวนรถไฟ สวนสมเดจ็ สวนหลวง ร. 9 และสวนธนบุรีรมย์ เปน็ ต้น จ�ำนวนและชนิดของนกได้ลดน้อยลง เนอื่ งมาจากพื้นทีส่ เี ขยี วได้ หายไปหรอื ลดนอ้ ยลง เนอ่ื งจากการพฒั นาบา้ นเมอื งเปน็ ไปอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง และรวดเรว็ แมว้ ่าจะมีความพยายามเพ่ิมสวนสาธารณะเพื่อการพกั ผอ่ น หย่อนใจของประชาชนหรือสวนสาธารณะในเมือง แต่ก็ไม่ประสบ ผลสำ� เรจ็ ในการเพมิ่ จำ� นวนประชากรของชนดิ พนั ธน์ุ ก เนอ่ื งจากการปลกู ต้นไม้ท่ีไม่ใช่แหล่งอาหารของนกหรือถิ่นท่ีอาศัยของนก บางพื้นท่ีมีสวน ในบริเวณบ้านมักจะมีนกเข้ามาอาศัยอยู่แต่บริเวณเมืองที่มีถนนหนทาง นกแอน่ ตะโพกแดง (Hirundo daurica) 153 ศาสตรแ์ ละศิลป์ การจัดการทรัพยากรสัตวป์ ่าในพ้นื ท่คี ุ้มครอง

ของสังคมเมืองใหญ่ เป็นที่ตั้งของชุมชนและครัวเรือนต่างๆ โรงเรียน บริเวณโบราณสถาน วัด บ้านร้าง ตึกสูง อาคารต่างๆ สายไฟฟ้า และ วัด ศาสนสถาน สถานีอนามัย สวนสาธารณะ โดยทั่วไปในเขตชานเมือง สิ่งก่อสร้าง นักวชิ าการหรอื นกั ดูนกได้มกี ารสำ� รวจในหลายๆ พน้ื ที่ ท้งั ท่ี จะมีสัตว์ป่าแพร่กระจายและอาศัยอยู่ตามสวนบริเวณบ้านเรือนหรือ เป็นเขตเมอื ง แหล่งน�้ำสาธารณะ ทงุ่ นา วดั โรงเรียน มหาวิทยาลยั พบวา่ สนามหญา้ ภายในบรเิ วณบา้ น มีถนนหนทางไมก่ ว้างขวางมากนัก มีการ มีสัตว์ป่าทั้งชนิดและจ�ำนวนประชากรมากน้อยแตกต่างกัน โดยเฉพาะ ปลูกตน้ ไม้ใหร้ ม่ เงาแก่ผู้ที่สญั จรไปมา เช่น ต้นราชพฤกษ์ อินทนลิ ประดู่ จ�ำพวกนก ซึ่งเป็นที่สนใจของนักวิชาการ หากจะแยกชนิดพันธุ์สัตว์ป่า มะฮอกกานี มะขาม ไทร เปน็ ตน้ บรเิ วณบา้ นเรอื นบางพน้ื ทแี่ ตล่ ะภมู ภิ าค เทา่ ทีส่ �ำรวจพบในแตล่ ะเขต คือ มกี ารปลกู ไมผ้ ลท่แี ตกต่างกัน เชน่ ปลูกมะม่วง มะขาม ล�ำไย ลนิ้ จ่ี หรือ เขตกลางใจเมอื ง พบชนิดพนั ธ์ุ เช่น นกกระจอกบา้ น นกเอีย้ ง มะพร้าว เป็นต้น บริเวณนี้จะมีชนิดและประชากรของสัตว์ป่ามากกว่า สาริกา นกพิราบ ซ่ึงพบเห็นได้ทั่วไป แต่บริเวณสวนสาธารณะจะพบ ในเขตกลางใจเมอื ง บางพนื้ ทเี่ ปน็ ทรี่ กรา้ งวา่ งเปลา่ จงึ เปน็ ทอี่ ยอู่ าศยั ของ มากขน้ึ เชน่ นกโพระดกธรรมดา นกตที อง นกเอยี้ งหงอน อกี า นกกาเหวา่ สตั วป์ า่ หลายชนดิ ถา้ มแี หลง่ นำ�้ สตั วป์ า่ จำ� พวกนกนำ�้ จะมาอาศยั อยเู่ พราะ นกปรอดสวน นกขมนิ้ นอ้ ย นกกนิ ปลอี กเหลอื ง นกกระจบิ นกนางแอน่ บา้ น เป็นแหลง่ ทีป่ ลอดภัย นกแซงแซวสีเทา นกอีเสือสีน�้ำตาล นกกวัก (ที่มีแหล่งน้�ำ) นกกาฝาก 3. เขตชนบท (rural areas) เปน็ พ้ืนท่ีชนบท บางพน้ื ทมี่ รี ะบบ นกสชี มพสู วน นกอแี พรด นกกางเขนบา้ น และนกเขาใหญ่ นเิ วศทด่ี พี อสมควร ยงั คงมสี ภาพความเปน็ ธรรมชาตบิ างสว่ นไว้ กลา่ วคอื เขตชานเมอื ง พบชนดิ พนั ธน์ุ ก ไดแ้ ก่ นกตที อง นกโพระดกธรรมดา พื้นที่ป่าไม้บางส่วนมีการเปล่ียนแปลงเป็นพื้นที่เกษตรกรรม แต่ยังคงมี นกตะขาบทุ่ง นกกาเหว่า นกกะปูดใหญ่ นกกะปูดเล็ก นกแสก นกฮูก กลุ่มป่าเดิมอยู่เป็นหย่อมๆ หรอื มกี ารเก็บต้นไมด้ ัง้ เดิมเอาไวเ้ ปน็ แนวเขต นกเขาใหญ่ นกเขาชะวา อีกา นกอีแพรดแถบอกด�ำ นกแซงแซวสีเทา หรือเป็นแม่ไม้เพื่อให้ผล หรือเพ่ือน�ำเนื้อไม้มาใช้ประโยชน์ในโอกาส นกเอี้ยงหงอน นกเอีย้ งสาริกา นกกระจิบ นกปรอดสวน นกกางเขนบ้าน ตอ่ ไป หรอื ใชเ้ ปน็ รม่ เงาเพอ่ื กำ� บงั แสงแดดในยามทมี่ แี ดดจา้ และรอ้ น ทงั้ นี้ หากเปน็ แหลง่ นำ�้ จะมนี กกวกั นกเปด็ แดง นกหนแู ดง นกยางกรอกพนั ธจ์ุ นี ขนึ้ อยกู่ บั สภาพพนื้ ทป่ี า่ แตล่ ะภมู ภิ าคของประเทศ ตน้ ไมท้ คี่ งเหลอื ไว้ เชน่ และนกอญั ชนั อกเทา เปน็ ตน้ สตั วเ์ ลอื้ ยคลาน เปน็ งหู ลาม งเู หลอื ม เตา่ นา กะบก พลวง ยางเหยี ง ยางนา ประดู่ เปน็ ตน้ บรเิ วณชนบทนจี้ ะมีสัตว์ปา่ เห้ีย เปน็ ต้น มากมายหลายชนิด เพราะสภาพที่อาศัยยังมีอยู่อีกมาก บริเวณท่ีเป็น เขตชนบท พบสตั วป์ า่ มากมายหลายชนดิ จำ� พวกนก เชน่ นกเปด็ กลุ่มป่าจะมีพรรณไม้ข้ึนอยู่มากทั้งให้ผล เมล็ด รวมท้ังมีแมลงมาก แดง นกยาง นกปากหา่ ง นกเหยย่ี ว นกกานำ�้ นกตะขาบทงุ่ นกกะปดู ใหญ่ เช่นเดียวกัน นอกจากน้ียังมีสวนผลไม้ต่างๆ เช่น สวนล�ำไย สวนล้ินจ่ี นกกะปูดเล็ก นกกระเต็นอกขาว นกอีเสือหัวสีน�้ำตาล นกแซงแซว สวนปาล์ม สวนมะพรา้ ว เป็นตน้ ชนิดต่างๆ นกขม้ิน นกเอี้ยงสาริกา นกกิ้งโครงคอด�ำ นกเอี้ยงหงอน ความหนาแน่นของประชากรสัตว์ป่าแต่ละชนิดในแต่ละบริเวณ นกนางแอ่นบ้าน และนกแอ่นทุ่ง เป็นต้น สัตว์เลื้อยคลานเป็นงูหลาม ของเมืองมีความแตกต่างกันไป แต่โดยทั่วไปแล้วสัตว์ป่าในเขตเมืองจะ งูเหลือม งูเห่า งูลายสอ งูกะปะ เป็นต้น ส่วนสัตว์เล้ียงลูกด้วยนม มีความหนาแน่นน้อยกว่าสัตว์ป่าในเขตชนบทหรือในพื้นท่ีป่าไม้ ความ เชน่ กระรอก กระแต พังพอน ชะมด อเี ห็น เปน็ ต้น จากตัวอย่างดงั กลา่ ว หนาแน่นของสัตว์ป่าในเขตเมืองแต่ละชนิดเป็นดัชนีแสดงถึงสภาพ ของชนิดพันธุ์สัตว์ป่า ส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง แวดลอ้ มของมนษุ ยด์ ว้ ย สตั วป์ า่ สว่ นใหญจ่ ะมคี วามสามารถในการปรบั ตวั ตามพระราชบญั ญตั ิสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 ให้เข้ากับส่ิงแวดล้อมในเขตเมืองได้ดี มีสัตว์ป่าหลายชนิดอาศัยอยู่ใน 154 ศาสตร์และศิลป์ การจดั การทรัพยากรสตั วป์ า่ ในพื้นทค่ี มุ้ ครอง

ภยั อันตรายท่ีเกิดข้นึ กับสตั วป์ า่ ในเขตเมือง ตามพื้นดินมากินเป็นอาหาร หรือแมวท่ีชอบปีนป่ายต้นไม้ ขโมยไข่นก 1. อุบัติเหตุจากการถูกรถชนตาย เน่ืองจากมีการสร้างถนน ลกู นกจากรังมากนิ เป็นอาหาร หนทางภายในเขตเมืองเพื่อการจราจรของราษฎร มักจะมีการขับรถเร็ว บางโอกาสจะมีการเกิดอุบัติเหตุรถชนสัตว์ป่าท่ีหากินบริเวณนั้น เช่น การจัดการสตั ว์ปา่ ในเมือง นกกะปดู กงิ้ กา่ คางคกบา้ น หรืองบู างชนดิ ท่ีขา้ มถนน มขี อ้ พจิ ารณาวา่ ในบางกรณสี ตั วป์ า่ อาจจะกอ่ ใหเ้ กดิ ความเดอื ดรอ้ น 2. การใชส้ ารพษิ ประเภทยาฆา่ แมลงหรอื ยาปราบวชั พชื สารพษิ ร�ำคาญให้แก่สังคมเมือง ซึ่งเป็นผลมาจากการวางผังเมือง ทิศทางการ ท่ีตกค้างอยู่ตามผลไม้ แมลงที่ตายจากยาฆ่าแมลง หรือสารพิษละลาย พฒั นาบา้ นเมอื งและการออกแบบส่ิงก่อสรา้ ง การจัดการสัตว์ปา่ ในเมอื ง สู่แหล่งน�้ำจะท�ำให้สัตว์ป่าบางชนิดได้รับสารพิษเข้าไปสะสมในร่างกาย จึงจ�ำเป็นต้องประยุกต์ให้เหมาะสมเพื่อป้องกันความเดือดร้อนร�ำคาญ จะส่งผลกระทบกบั การวางไข่ หรอื มีอนั ตรายถึงชวี ติ ได้ แนวทางการจดั การสตั วป์ า่ ในเขตเมอื งสามารถทำ� ไดห้ ลายวธิ กี าร กลา่ วคอื 3. การล่าจากราษฎรในชุมชนเอง หรือความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ 1. การปรับปรุงถิ่นท่ีอาศัยของสัตว์ป่าในเขตเมือง ในบริเวณ ในหลายพน้ื ทท่ี มี่ สี ตั วป์ า่ อาศยั อยมู่ กั จะมกี ารลา่ สตั วเ์ อาเนอื้ มาเปน็ อาหาร พ้นื ทเ่ี ขตชนบท มีพน้ื ทบ่ี างแหง่ มไี มย้ นื ตน้ ตาย หากเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ เดก็ ๆ ทอ่ี ยใู่ นเขตชมุ ชนเมอื งมกี ารใชห้ นงั สะตก๊ิ ยงิ สตั วป์ า่ โดยเฉพาะชนดิ สตั วป์ า่ จำ� พวกนกมาเกาะอาศยั ใชป้ ระโยชนใ์ นการหาอาหารหรอื การพกั ผอ่ น พันธุท์ ่มี ากนิ ผลไม้ ลูกไม้ หรอื เมล็ดไม้ในสวนในไรห่ รือในนา เช่น นกกะปูด นกเขา นกโพระดกบางชนิดจะเจาะเป็นโพรงท�ำรัง เช่น 4. การดกั จบั เปน็ เพอ่ื นำ� ไปจำ� หนา่ ย มสี ตั วป์ า่ หลายชนดิ ทอ่ี าศยั นกหัวขวานด่างอกลายจุด นกโพระดก นกตีทอง เป็นต้น บางชนิด อยู่ในเขตเมืองท่ีมีความสวยงามหรือร้องเสียงไพเราะ มักจะมีการดักจับ จะหากนิ มด ปลวก แมลงตามตน้ ไม้ หากมกี ารตดั หรอื ทำ� ลายไมย้ นื ตน้ ตาย ไปขายเป็นรายได้ เช่น การดักจับนกกวัก นกปรอดหัวโขน นกเขาชวา จะทำ� ใหส้ ตั วป์ า่ เหลา่ นไี้ มม่ ที อี่ ยอู่ าศยั แนวทางการจดั การสามารถกระทำ� นกกระตด๊ิ สีอิฐ เป็นต้น ได้โดยสามารถมีต้นไม้ยืนต้นตายหากอยู่ในบริเวณที่เหมาะสมไม่เป็น 5. ถกู สัตว์เลี้ยงจับกินเป็นอาหาร โดยเฉพาะพวกสนุ ัขและแมว อนั ตรายต่อความเปน็ อยู่โดยทว่ั ไปของชุมชนและสงั คมของมนุษย์ ซึ่งเป็นสัตว์เล้ียงของมนุษย์ ถ้ามีโอกาสก็จะจับพวกนกที่อาศัยหากิน นกจาบคาเลก็ (Merops orientalis) 155 ศาสตร์และศิลป์ การจัดการทรพั ยากรสัตว์ปา่ ในพืน้ ที่คมุ้ ครอง

บรเิ วณทเี่ ปน็ ไมพ้ มุ่ (understory) ภายในเขตเมอื ง เขตชานเมอื ง หรือเขตชนบท สัตว์ป่าบางชนิดจะแพร่กระจายและด�ำรงชีวิตอยู่ได้ เฉพาะบริเวณไม้พุ่มเท่านั้น เช่น นกกางเขนบ้าน นกกระจิบธรรมดา นกสชี มพสู วน นกกนิ ปลอี กเหลอื ง นกอแี พรด นกเขาใหญ่ เปน็ ตน้ ซง่ึ ปกติ ตามธรรมชาตแิ ลว้ นกหลายชนดิ นยิ มอาศยั ตามพมุ่ ของตน้ ไมข้ นาดกลาง ทส่ี ามารถใหผ้ ลหรอื เมลด็ ทเ่ี ปน็ อาหารของสตั วป์ า่ ได้ แนวทางการจดั การ คอื การปลกู พนั ธไ์ุ มท้ ม่ี ขี นาดลำ� ตน้ ไมใ่ หญม่ ากนกั ใหเ้ ปน็ แหลง่ อาหารของ สัตวป์ า่ โดยพิจารณาถงึ ความเหมาะสม เช่น ตน้ ตะขบ ไทร เชอร์ร่ี หรอื กลว้ ย เปน็ ตน้ พชื จำ� พวกหญา้ ในบรเิ วณพน้ื ทที่ ร่ี กรา้ งวา่ งเปลา่ ของเขตชานเมอื ง ที่ไม่มีการใช้ประโยชน์ มีพันธุ์พืชจ�ำพวกหญ้าข้ึนปกคลุมอย่างหนาแน่น บรเิ วณทร่ี าบลมุ่ มนี ำ้� ขงั จะมพี วกหญา้ ขน กก ธปู ฤาษี เปน็ ตน้ ซง่ึ เปน็ แหลง่ ถน่ิ ที่อาศยั ของสัตว์ป่าหลายชนิด เชน่ นกกวกั นกหนแู ดง นกกะปูดเลก็ นกกะปดู ใหญ่ งเู หลอื ม งหู ลาม ตะกวด หรอื เหยี้ เปน็ ตน้ ควรจดั การใหม้ ี การรักษาแหล่งน้ำ� ใหส้ ะอาดหรือไม่ใหม้ กี ารเผา การวางผังเมืองและการพัฒนาบ้านเมือง ควรแบ่งพื้นที่ที่เป็น ถิ่นที่อาศัยของสัตว์ป่าให้หลากหลายจากที่อยู่อาศัยของชุมชน บางแห่ง ของชานเมือง หากมีการจัดให้เป็นสวนสาธารณะย่อมจะเปน็ ทอี่ าศยั ของ สัตวป์ า่ จำ� พวกนก พื้นทที่ มี่ กี ารวางผงั เมือง บริเวณท่ีจะสรา้ งถนนหนทาง ทางเดินเท้าหรือการใช้ประโยชน์อย่างอื่นท�ำให้ถิ่นที่อาศัยของสัตว์ป่าไม่ ตอ่ เนือ่ งกัน สง่ ผลใหส้ ัตว์ปา่ ถกู รบกวนหรือถกู รถยนตช์ นถึงแกช่ ีวติ การ พิจารณาการจัดการควรค�ำนึงถึงถ่ินที่อาศัยของสัตว์ป่าบางชนิดให้ สามารถอาศัยอยู่ได้ ส่วนการจัดการจากชุมชนในท้องถิ่นควรมีการให้ อาหารแก่สัตว์ป่า เช่น การให้กล้วยสุกแก่นกกินผลไม้ รวมท้ังการปลูก ต้นไม้ให้เปน็ แหล่งอาหารของสตั ว์ปา่ 2. การประชาสมั พนั ธ์ พนกั งานเจา้ หนา้ ทท่ี ด่ี แู ลพน้ื ทใ่ี นเขตเมอื ง ไมว่ า่ จะเปน็ องคก์ ารบรหิ ารสว่ นทอ้ งถน่ิ ฝา่ ยปกครองหรอื ผดู้ แู ลทรพั ยากร ธรรมชาติในท้องที่หรือสถาบันการศึกษา ด�ำเนินการประชาสัมพันธ์ใน งานการจดั การสตั วป์ า่ ในเมอื ง คอื การสง่ เสรมิ การสรา้ งสรรค์ การพฒั นา ความรู้ความเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างสัตว์ป่ากับมนุษย์ในเมืองหรือ ชุมชน ผลดีและผลเสียจากสัตว์ป่าให้ประชาชนเข้าใจ การจัดการให้ สาธารณชนเล็งเห็นถึงความส�ำคัญ และให้สัตว์ป่าตอบสนองต่อความ ต้องการใช้ประโยชน์ได้ การรักษาความสมดุลของระบบนิเวศธรรมชาติ การให้สาธารณชนเกิดความเข้าใจท่ีถูกต้องและสนับสนุนการจัดการ 156 ศาสตรแ์ ละศิลป์ การจัดการทรพั ยากรสตั ว์ป่าในพื้นท่คี มุ้ ครอง

นกแวน่ ตาขาวสีทอง (Zosterops palpebrosus) 157 ศาสตร์และศลิ ป์ การจดั การทรพั ยากรสตั ว์ปา่ ในพื้นท่คี ุม้ ครอง

สตั วป์ า่ ตามหลกั วชิ าการ การจดั การพนื้ ทสี่ าธารณะโดยเปดิ ใหป้ ระชาชน เข้าไปใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสม เช่น การดูนก การถ่ายภาพสัตว์ป่า เปน็ ตน้ การประชาสมั พนั ธส์ ามารถทำ� ไดห้ ลายรปู แบบ เชน่ วทิ ยุ โทรทศั น์ วทิ ยกุ ระจายเสยี งทอ้ งถนิ่ เอกสาร บทความใหค้ วามรู้ เปน็ ตน้ 3. ชุมชนในเขตเมืองมีการจัดต้ังชมรมอนุรักษ์ธรรมชาติและ สงิ่ แวดลอ้ ม มแี นวทางการปลกู ตน้ ไมท้ ใ่ี หเ้ ปน็ แหลง่ อาหารและถน่ิ ทอ่ี าศยั ของสตั วป์ า่ มกี ารจดั ตงั้ โครงการศกึ ษาสตั วป์ า่ ในเขตเมอื งในพนื้ ทหี่ ลายแหง่ ในตา่ งประเทศ หรอื การจดั ตงั้ ชมรมอนรุ กั ษท์ รพั ยากรธรรมชาตขิ องผสู้ งู อายุ มกี ารพบปะสนทนา การเดนิ ทางไปดนู กและสตั วป์ ่าในพ้นื ท่ีเพือ่ เป็นการ ออกกำ� ลงั กายใหแ้ กผ่ สู้ งู อายทุ ง้ั หลาย นอกจากนภี้ าคเอกชนสามารถจดั ตง้ั เปน็ ชมรมได้ดว้ ย 4. จัดให้มีการส�ำรวจชนิดพันธุ์สัตว์ป่าในเขตเมือง เพ่ือค้นหา ชนดิ พนั ธท์ุ ไ่ี ดร้ บั การคมุ้ ครองตามพระราชบญั ญตั สิ งวนและคมุ้ ครองสตั วป์ า่ พ.ศ. 2535 นำ� ไปเปน็ เอกสารเผยแพร่ พรอ้ มทงั้ ระเบยี บปฏบิ ตั ติ ามกฎหมาย ให้ถูกต้อง และบทก�ำหนดโทษ ถ้าหากมีการกระท�ำผิดเกิดขึ้น รวมทั้ง การหลีกเลยี่ งชนิดพันธ์ทุ ีเ่ ป็นพาหะน�ำเชอ้ื โรค 5. บริเวณบ้านที่อยู่อาศัยของมนุษย์ในเขตเมือง ผู้ท่ีมีพื้นที่ดิน ส่วนตัวกวา้ งขวางควรจะมกี ารปลกู ต้นไมท้ ่ีเป็นไม้ผล ไม้ประดับ ต้นไม้ที่ เป็นอาหารของสัตวป์ ่า หรือท่ีอาศยั ของสตั ว์ปา่ ผสมบ้าง นกแขกเตา้ (Psittacula alexandri) การจดั การสตั วต์ า่ งถนิ่ (Exotic Species Management) เหย้ี (Varanus salvator) การนำ� เขา้ ซงึ่ ชนดิ พนั ธต์ุ า่ งถนิ่ เปน็ การนำ� ชนดิ พนั ธใ์ุ ดๆ ไปยงั สถานท่ี แห่งใหม่ซึ่งมิใช่ถิ่นเดิมของชนิดพันธุ์น้ัน การน�ำสัตว์ต่างถ่ินไปยังถิ่นใหม่ ได้มีมานานแล้วนับต้ังแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ เม่ือมนุษย์โยกย้ายถ่ินท่ี อาศัยจะน�ำสัตว์ไปเล้ียงไว้ใช้งานหรือเนื้อเป็นอาหาร การน�ำสัตว์ต่างถ่ิน เขา้ ไปยงั ถนิ่ ใหมย่ งั มกี ารดำ� เนนิ การตอ่ ไปอยา่ งไมม่ ขี อ้ ทจ่ี ะยตุ ไิ ด้ นบั ตงั้ แต่ ค.ศ. 1600 เป็นต้นมา พบว่ามีการน�ำสตั วต์ ่างถ่ินเขา้ ไปยังถิน่ ใหม่มากข้นึ นอกจากสตั วแ์ ลว้ มพี ชื พรรณหลายชนดิ ถกู นำ� ไปยงั ตา่ งถน่ิ ดว้ ย เพอื่ นำ� ไป ปลูกเป็นไม้ประดับป่า หรือใช้ประโยชน์อย่างอื่น ซ่ึงสรุปได้ว่ามนุษย์เรา เป็นตัวการท่ีน�ำสัตว์และพืชไปยังถิ่นใหม่ตามที่โยกย้ายไป เช่น การย้าย ไปต้ังถ่ินฐานใหม่หรือการไปสร้างอาณานิคมแห่งใหม่ เป็นการน�ำไปเป็น อาหารเพ่ือการอยู่รอด เพื่อเป็นเพื่อนมิให้เกิดความเหงาเม่ือคิดถึงบ้าน หรอื เลยี้ งไวเ้ ปน็ เพือ่ น 158 ศาสตร์และศิลป์ การจดั การทรัพยากรสตั ว์ปา่ ในพนื้ ท่คี มุ้ ครอง

ตวั อยา่ งการนำ� เขา้ ซง่ึ สตั วต์ า่ งถน่ิ พบวา่ มอี ยใู่ นหลายๆ แหง่ ของโลก หมีโคอาลา (Phascolarctos cinereus) เชน่ ประเทศนวิ ซแี ลนด์ ชนถิน่ เดิมเปน็ ชาวเผา่ เมารี มคี า้ งคาวสองชนดิ กระตา่ ย (Lepus peguensis) เปน็ สัตว์ป่าถิ่นเดมิ ตอ่ มาชาวเผ่าเมารีไดน้ ำ� สนุ ขั จากเกาะใกล้เคียงเขา้ ไป แกะ (Ovis aries) เล้ียงจนสุนัขขยายพันธุ์แพร่หลาย จากนั้นมีชนผิวขาวจากยุโรปในยุค ล่าอาณานิคมเข้าไปตั้งถิ่นฐาน โดยเฉพาะชาวอังกฤษเร่ิมมีการน�ำสัตว์ ตา่ งถน่ิ เข้าไป โดยเฉพาะสัตว์ปา่ จากประเทศองั กฤษหรอื จากแถบเอเชยี หรอื ยโุ รป ชาวองั กฤษทไี่ ปตงั้ ถน่ิ ฐานใหมอ่ ยหู่ า่ งไกลบา้ น มกั จะคดิ ถงึ บา้ น เพราะไมม่ สี ตั วเ์ ลย้ี งหรอื พนั ธพ์ุ ชื เหมอื นประเทศเดมิ จงึ หาวธิ กี ารแกเ้ หงา โดยการนำ� สตั วแ์ ละพนั ธพ์ุ ชื เขา้ ไปดว้ ย เชน่ กระตา่ ยพนั ธย์ุ โุ รป โอพอสซมั จากออสเตรเลยี เปน็ ตน้ จากสถติ ิพบวา่ ระหว่างปี ค.ศ. 1838 - 1907 ชนิดพันธุ์สัตว์ป่าที่น�ำเข้าประเทศนิวซีแลนด์มีแพะ แกะ วัว กวางแดง กวางฟอลโลว์ กวางป่า กวางญ่ีปุ่น กวางมูส กวางวาปิติ กวางหางขาว หมูป่า กระต่ายพันธุ์ยุโรป เป็นต้น รวมแล้วประมาณ 207 ชนิด และ มีเพียง 91 ชนิดเท่านัน้ ทดี่ �ำรงชวี ิตและแพรพ่ นั ธไ์ุ ด้อย่างดี กรณีกวางแดง จากยุโรปน�ำเข้าไปคร้ังแรกพบว่าไม่มีการแก่งแย่งหรือมีศัตรู กวางแดง สามารถขยายพนั ธม์ุ ปี ระชากรเพม่ิ ขน้ึ อยา่ งรวดเรว็ เพราะมลี กั ษณะพนื้ ท่ี ทเ่ี หมาะสมจนตอ้ งมกี ารอนญุ าตใหล้ า่ เปน็ ปรมิ าณมากเพอ่ื ควบคมุ ปรมิ าณ ประชากร จากเหตุผลท่ีว่ากวางแดงเร่ิมต่อสู้แก่งแย่งอาหารกับพวกแกะ ท�ำลายพืชผลทางการเกษตร ท�ำลายป่าไม้ ลูกไม้ที่ปลูกข้ึนใหม่ พบว่า มีการกินมาก ท�ำให้เกิดการพังทลายของดิน จนรัฐบาลของนิวซีแลนด์ เปิดอนุญาตใหล้ ่าสัตว์ป่าจ�ำพวกกวางมาใช้ประโยชน์ ประเทศออสเตรเลยี มสี ตั วพ์ นื้ เมอื งถนิ่ เดมิ หลายชนดิ เชน่ โอพอสซมั จิงโจ้ หมีโคอาลา วอลลาบี เป็นตน้ ชาวอังกฤษทีอ่ พยพมาต้ังถนิ่ ฐานน�ำ สัตว์จ�ำพวกสุนัข กระต่ายป่ามาด้วย เพื่อเป็นเพื่อนแก้ความคิดถึงบ้าน จนท�ำให้สัตว์ท่ีน�ำเข้าแพร่พันธุ์ได้ดีและขยายพันธุ์แพร่หลาย จนมีการ แกง่ แยง่ อาหารและถิ่นทีอ่ าศยั กับสัตว์พื้นเมอื ง ทำ� ให้สตั วพ์ ้ืนเมอื งถิ่นเดิม ใกลส้ ูญพนั ธุ์ สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศอีกตัวอย่างหน่ึงที่เกิดข้ึนในยุคการ อพยพของชนผวิ ขาวจากยโุ รปไปยงั อเมรกิ า มกี ารนำ� สตั วห์ ลายชนดิ พนั ธ์ุ เข้าไป เช่น นกเอี้ยงพันธุ์ยุโรป นกกระจอก นกเขา ไก่ฟ้าคอวงแหวน ปรากฏวา่ สตั วเ์ หลา่ นแี้ พรข่ ยายพนั ธไ์ุ ดด้ จี นมปี ระชากรเพม่ิ ขนึ้ จำ� นวนมาก สัตว์เล้ียงลูกด้วยนม เช่น หนูบ้าน หนูนา พังพอน หมูป่าพันธุ์ยุโรป จนกลายเป็นสัตว์ที่ท�ำลายพืชผลทางการเกษตร จากสถิติพบว่าตั้งแต่ปี ค.ศ.1850 มกี ารนำ� นกเขา้ ไปประมาณ 50 ชนดิ โดยมเี พยี ง 4 ชนดิ เทา่ นนั้ 159 ศาสตรแ์ ละศลิ ป์ การจดั การทรัพยากรสตั วป์ ่าในพ้นื ที่คมุ้ ครอง

ทข่ี ยายพนั ธไ์ุ ดด้ มี าก จนประชากรสตั วป์ า่ เหลา่ นนั้ ไปแกง่ แยง่ กบั สตั วช์ นดิ อน่ื จิงโจ้ (Macropus sp.) เชน่ นกเอ้ยี งพนั ธย์ุ ุโรปมีการนำ� ไปปล่อยทร่ี ัฐนวิ ยอร์คเพียง 80 ตัว แต่มี การแพร่ขยายพันธุ์ไปยังรัฐอ่ืนๆ จนถึงประเทศแคนาดา หรือไก่ฟ้า คอวงแหวน ท่ีมีถ่ินก�ำเนิดในทวีปเอเชียถูกน�ำเข้าไปยังอเมริกาประมาณ ปี ค.ศ. 1880 แต่แพร่ขยายพนั ธ์ุได้ดไี ปทวั่ ทกุ รฐั จงึ ไดม้ กี ารอนญุ าตให้ล่า เพ่อื เกมกีฬา นอกจากนี้ประเทศในยุโรปซ่ึงเป็นถ่ินท่ีอยู่ของชนผิวขาวท่ีมีการ อพยพโยกย้ายถ่ินฐานไปอยู่อาศัยในท้องท่ีอ่ืน มีการน�ำเข้าซ่ึงชนิดพันธุ์ สัตว์ป่าหลายชนิดเข้าประเทศเหมือนกัน เช่น นกชนิดต่างๆ โดยมีชนิด สัตว์ที่น�ำเข้าประมาณ 85 ชนิด แต่มีเพียง 13 ชนิดเท่านั้นท่ีสามารถ อยรู่ อดและขยายพันธไ์ุ ด้ดี ประเทศไทยเองก็ได้มีการน�ำท้ังพืชและสัตว์ต่างถิ่นเข้ามาใน ประเทศหลายชนดิ เชน่ กนั เชน่ ผกั ตบชวา ผกากรอง สาบเสอื หญา้ ขจรจบ เปน็ ตน้ ทงั้ นเี้ พอื่ นำ� มาใชป้ ระโยชน์ สว่ นชนดิ พนั ธส์ุ ตั วเ์ ทา่ ทพ่ี บมนี กเอยี้ ง นกสาลกิ า นกยงู หอยเชอร่ี เปน็ ตน้ ซง่ึ ชนดิ พนั ธเ์ุ หล่านีส้ ามารถอยรู่ อด และขยายพนั ธุไ์ ด้ดี จากตัวอย่างดังกล่าว จะเห็นได้ว่าการน�ำเข้าซึ่งสัตว์ต่างถิ่นมี มานานแล้ว มีทั้งชนิดพันธุ์ท่ีเป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ หรือ ไปท�ำลายพืชผลทางการเกษตร ท�ำลายพืชไร่ ท�ำลายป่าไม้ แก่งแย่งกับ สัตว์ประจ�ำถ่ิน ตลอดจนท�ำลายสวัสดิภาพของประชาชนหรือท�ำลาย ถ่ินทอี่ าศยั ใหมแ่ ละเป็นพาหะนำ� เช้ือโรค ความคดิ เห็นเก่ียวกับการนำ� เขา้ ซ่ึงชนิดพันธ์ุตา่ งถ่ิน นกยูงอนิ เดยี (Pavo cristatus) ไกฟ่ า้ คอวงแหวน (Phasianus colchicus) ความคดิ เหน็ เกย่ี วกบั เรอ่ื งนม้ี แี ตกตา่ งกนั ไป มที ง้ั ฝา่ ยเหน็ ดว้ ยและ ไม่เห็นด้วย เช่นในประเทศสหรัฐอเมริกา ฝ่ายที่เห็นด้วยเพราะจะได้รับ ผลประโยชนใ์ นดา้ นการลา่ สตั วช์ นดิ ใหม่ หรอื พบเหน็ ชนดิ พนั ธใ์ุ หม่ แตอ่ กี ฝ่ายหนึ่งไม่เห็นด้วย ซึ่งมีเหตุผลว่ามีความแตกต่างในเรื่องของสภาพ ภูมปิ ระเทศ ภมู อิ ากาศ ถนิ่ ทีอ่ าศยั ชนิดพนั ธท์ุ ี่น�ำเขา้ จะทำ� ให้สิ่งแวดลอ้ ม เปล่ียนแปลง ความสมดุลของธรรมชาติจะเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะ อย่างยิ่ง การแกง่ แย่งกับสตั วป์ ระจ�ำถ่นิ มชี นดิ พนั ธบ์ุ างชนดิ เทา่ นน้ั สามารถปรบั ตวั ใหเ้ ขา้ กบั สภาพแวดลอ้ ม ใหม่ได้ มีความเป็นอยู่อย่างปลอดภัย ซ่ึงการน�ำเข้าซ่ึงชนิดพันธ์ุต่างถ่ิน ตอ้ งมกี ารพิจารณาอยา่ งละเอียด 160 ศาสตรแ์ ละศลิ ป์ การจัดการทรพั ยากรสตั วป์ ่าในพื้นทค่ี ้มุ ครอง

อทิ ธิพลทางนิเวศวิทยา นักวิทยาศาสตร์ในสาขาที่เกี่ยวข้องได้ให้ข้อคิดการพิจารณา การน�ำเขา้ ซึ่งสัตว์ตา่ งถน่ิ วา่ ควรจะมกี ารวางแผนอยา่ งรอบคอบและวาง มาตรการเรื่องพ้ืนท่ีรองรับชนิดพันธุ์สัตว์ท่ีน�ำเข้า การปรับตัวของสัตว์ท่ี น�ำเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ การคุ้มครองถิ่นท่ีอาศัยท่ีจะมีสัตว์น�ำเข้า ทัง้ ทางดา้ นธรรมชาติ วฒั นธรรม การเกษตร และอ่นื ๆ ผลกระทบต่อพืช และสตั วป์ ระจำ� ถนิ่ หรอื สงิ่ แวดลอ้ ม จงึ ควรมกี ารศกึ ษาวจิ ยั ผลกระทบและ ความอยรู่ อดของชนดิ พนั ธใ์ุ หม่ รวมถงึ การปรบั ตวั หรอื การแพรก่ ระจายพนั ธ์ุ บทเรียนหรอื ความผดิ พลาดทเี่ กิดขึ้นในอดตี ในอดีตการน�ำเข้าซึ่งสัตว์ต่างถิ่นเข้าไปในท้องถิ่นใหม่ไม่ได้มีข้อ พิจารณากันมากนัก หวังผลประโยชน์แต่เพียงอย่างเดียว ไม่ได้ท�ำการ ศึกษาอย่างละเอียดเก่ยี วกบั ผลกระทบทมี ตี ่อพ้นื ทีแ่ ละตัวสตั วเ์ อง เชน่ 1. การทดสอบวา่ พน้ื ทแี่ หง่ ใหมม่ คี วามเหมาะสมกบั สตั วท์ นี่ ำ� เขา้ หรอื ไม่ 2. สัตวต์ ่างถ่นิ ท่นี �ำเข้าไปปลอ่ ยสามารถมชี ีวติ รอดหรอื ไม่ หรือ แพร่ขยายพนั ธ์ุไดห้ รอื ไม่ 3. ความแตกต่างของถ่ินที่อาศัยหรือสิ่งแวดล้อมใหม่กับถ่ินที่ อาศยั เดมิ ของสัตวต์ ่างถิน่ 4. กอ่ นการปลอ่ ยเขา้ ไปในพนื้ ทไี่ มม่ กี ารทดลองเลยี้ งไวใ้ นสถานท่ี เหมาะสมก่อน 5. การกำ� หนดจำ� นวนสตั วท์ ป่ี ลอ่ ยจะเขา้ ไปทำ� ลายถนิ่ ทอี่ าศยั ใหม่ หรอื มีการแก่งแยง่ กบั สตั วท์ ้องถ่ิน หรือถูกท�ำลายโดยสตั วป์ ระจ�ำถน่ิ 6. วิธีการจับ การขนย้าย และการปล่อยสู่ป่าธรรมชาติ ไม่มี วิธีการท่ีถูกต้องได้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์ มักจะท�ำให้สัตว์ได้รับบาดเจ็บจาก การจับและการขนยา้ ย 7. การควบคุมหลังจากการปล่อยสู่ธรรมชาติแล้ว ไม่มีการ ทดสอบว่าสัตว์ต่างถ่ินที่น�ำเข้ามีอิทธิพลกับพืชหรือสัตว์ท้องถ่ินอย่างไร รวมถึงพืชเกษตรท่ีมนุษย์ใช้ประโยชน์ ถ้าหากว่ามีผลกระทบเกิดขึ้น จะมีวิธีการควบคุมอยา่ งไร นกกระตดิ๊ ขี้หมู (Lonchura punctulata) 161 ศาสตรแ์ ละศิลป์ การจดั การทรัพยากรสัตวป์ า่ ในพืน้ ทค่ี มุ้ ครอง

สงิ โต (Leo leo) เสือโครง่ (Panthera tigris) ฮปิ โป (Hippopotamus amphibius) หลักการพจิ ารณาการน�ำเขา้ ซึง่ สตั ว์ต่างถ่นิ 4. การแก่งแย่ง ถ้าหากวา่ นำ� สัตว์ชนิดเดยี วกันหรือต่างชนิดกัน หลกั การพจิ ารณาถงึ การนำ� เขา้ ซงึ่ สตั วต์ า่ งถนิ่ เพอ่ื ใหช้ นดิ พนั ธส์ุ ตั วป์ า่ ไปอยใู่ นทเี่ ดยี วกนั ยอ่ มจะมกี ารแกง่ แยง่ ในเรอื่ งของอาหาร นำ�้ ทคี่ มุ้ กนั ภยั ด�ำรงชีวติ อยไู่ ด้อยา่ งปลอดภยั และมีความผาสุกในทอ้ งท่แี หง่ ใหม่ มดี ังนี้ หากวา่ ชนดิ พนั ธส์ุ ตั วป์ า่ มคี วามตอ้ งการอยา่ งเดยี วกนั จะทำ� ใหป้ จั จยั ตา่ งๆ 1. ถนิ่ ทอี่ ยอู่ าศยั ของชนดิ พนั ธส์ุ ตั วป์ า่ มกั จะมจี ำ� กดั และมกี ารใช้ ทเี่ ก่ียวข้องในท้องทเ่ี กดิ การขาดแคลนได้ สง่ ผลกระทบตอ่ สตั วป์ ระจำ� ถิ่น ประโยชนเ์ ตม็ พน้ื ทอ่ี ยแู่ ลว้ ในพนื้ ทป่ี า่ ไมท้ กุ แหง่ สตั วป์ า่ หลายชนดิ ใชเ้ ปน็ อาจท�ำลายสัตวป์ ระจำ� ถิน่ จนสูญพันธ์ุไปได้ ถน่ิ ทอี่ าศยั เมอื่ ปา่ ไมถ้ กู ทำ� ลายหรอื ถกู ใชป้ ระโยชนจ์ นมกี ารเปลย่ี นแปลง 5. ความสลบั ซบั ซอ้ นของสงั คมพชื สงั คมพชื ในทวปี ยโุ รปมพี นั ธไ์ุ ม้ สตั วป์ า่ บางชนดิ จงึ ไดส้ ญู พนั ธไ์ุ ป แตพ่ น้ื ทอี่ าศยั ไมไ่ ดว้ า่ งเปลา่ ถกู ครอบครอง ไมก่ ชี่ นดิ สว่ นสงั คมพชื แถบเสน้ ศนู ยส์ ตู รหรอื โซนรอ้ นมมี ากมายหลายชนดิ พนั ธ์ุ โดยชนิดพนั ธุอ์ ่ืน เช่น ในแถบหนาวมีชนดิ พนั ธ์ุสัตวป์ ่าท่สี ามารถปรับตวั การนำ� สตั วต์ า่ งถน่ิ จากพน้ื ทส่ี งั คมพชื ทหี่ ลากหลายไปอยใู่ นสงั คมพชื มอี ยู่ เข้ากับสภาพแวดลอ้ มได้ ในแถบทะเลทรายจะมีสัตว์เลี้ยงลกู ดว้ ยนมและ นอ้ ยชนดิ หรอื ทอ่ี ยอู่ าศยั เปน็ พนื้ ทกี่ ารเกษตร อตุ สาหกรรม สตั วป์ า่ ตอ้ ง พวกนกหลายชนิดที่สามารถด�ำรงชีวิตในเขตที่แห้งแล้งได้อาศัยอยู่เป็น ปรบั ตวั ใหเ้ ขา้ กบั สภาพแวดลอ้ มใหมใ่ หไ้ ด้ หากปรบั ตวั ไมไ่ ดก้ จ็ ะตายไป จำ� นวนมาก การปรบั ตวั จงึ จำ� เปน็ ตอ้ งใหเ้ ขา้ กบั สภาพทอ้ งท่ี เชน่ การดม่ื นำ�้ 6. ความสามารถในการรองรับของพ้ืนที่ จ�ำนวนชนิดพันธุ์ของ เป็นตน้ สัตว์ต่างถ่นิ จำ� นวนมากน้อยเพียงใดที่พน้ื ทสี่ ามารถรองรับไวไ้ ด้ 2. ขดี ความอดทนของชนดิ พนั ธส์ุ ตั วป์ า่ ชนดิ พนั ธส์ุ ตั วห์ ลายชนดิ สามารถอาศยั อยู่ในบริเวณทีม่ คี วามชุ่มช้นื มีแหลง่ น�้ำหรือมฝี นตกตลอด อนั ตรายทเ่ี กิดข้นึ จากการนำ� เข้าซึ่งสัตว์ต่างถิ่น ทั้งปี บางชนิดสามารถอาศัยอยู่ในที่แห้งแล้งได้ เช่น บริเวณทะเลทราย นกั วทิ ยาศาสตรห์ ลายทา่ นไดม้ กี ารคดั คา้ นการนำ� เขา้ ซง่ึ สตั วต์ า่ งถน่ิ บางชนดิ สามารถอาศยั อยใู่ นพน้ื ทปี่ กคลมุ ดว้ ยนำ�้ แขง็ ตลอดทงั้ ปี ชนดิ พนั ธ์ุ โดยมีขอ้ อันตรายที่จะเกิดขึ้นกบั ระบบนิเวศในพ้ืนท่ี ดงั น้ี สตั วแ์ ตล่ ะชนดิ จะมกี ารพฒั นารปู รา่ งใหเ้ ขา้ กบั สภาพแวดลอ้ ม หากสตั วป์ า่ 1. เกดิ การแกง่ แยง่ พนื้ ทถี่ นิ่ อาศยั อาหาร นำ้� ทค่ี มุ้ กนั ภยั ระหวา่ ง ตา่ งถนิ่ ทีน่ ำ� เข้าไปไม่สามารถอดทนไดก้ ็จะตายไป สัตว์ตา่ งถิน่ ท่ีน�ำเข้ากับสัตว์ปา่ ประจ�ำถ่ินหรอื สัตว์เล้ียง 3. การปรบั ตวั ของชนดิ พนั ธส์ุ ตั วป์ า่ สามารถแบง่ ชนดิ พนั ธส์ุ ตั วป์ า่ 2. สตั วต์ า่ งถนิ่ อาจแพรพ่ นั ธเ์ุ ขา้ ไปทดแทนในถนิ่ ทอ่ี าศยั ของสตั ว์ ออกได้เป็น 2 ประเภท คือ ประเภทท่ีสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพ ประจ�ำถิ่น ทำ� ให้สัตว์ประจ�ำถน่ิ สูญพันธไ์ุ ด้ แวดล้อมใหม่ไดก้ ับประเภททไี่ มส่ ามารถปรบั ตัวให้เขา้ กบั สภาพแวดลอ้ ม 3. สัตว์ต่างถ่ินท่ีน�ำเข้ามาอาจเป็นสาเหตุให้มีการท�ำลายความ ใหม่ได้ การน�ำสัตว์ป่าต่างถ่ินเข้าไปยังสถานที่ใหม่ สัตว์ป่าประเภทแรก สมดุลของธรรมชาติ ท�ำลายพน้ื ทที่ ่ีกำ� หนดใหเ้ ป็นป่าธรรมชาติถาวรหรอื สามารถปรับตัวได้ สามารถท่จี ะมีชวี ิตรอด มีขีดความอดทน และขยาย พ้นื ท่ีทกี่ �ำหนดให้เป็นท่อี ยอู่ าศยั ของสตั ว์ประจำ� ถ่นิ พันธุ์ได้ อาจจะเกิดเป็นชนิดพันธุ์ใหม่ขึ้นมาได้ ส่วนสัตว์ป่าที่ไม่สามารถ 4. หากสตั วต์ า่ งถนิ่ ทนี่ ำ� เขา้ มา แพรพ่ นั ธไ์ุ ดร้ วดเรว็ และเปน็ พาหะ ปรับตัวไดก้ จ็ ะตายไป น�ำโรคมาสู่มนษุ ยจ์ ะไมส่ ามารถควบคุมได้ 162 ศาสตรแ์ ละศิลป์ การจดั การทรพั ยากรสตั วป์ ่าในพ้ืนท่คี ุม้ ครอง

กระทงิ (Bos gaurus) 163 ศาสตรแ์ ละศลิ ป์ การจดั การทรพั ยากรสตั วป์ ่าในพื้นทีค่ ุ้มครอง

5. การก�ำจัดสัตว์ต่างถิ่นท่ีน�ำเข้ามาซ่ึงเจริญเติบโตแพร่พันธุ์ได้ เช่นเดียวกันมีการออกกฎหมายห้ามน�ำเข้าซ่ึงสัตว์ต่างถิ่นบางชนิดโดยมี รวดเร็วและแก่งแย่งกับสัตว์ประจ�ำถ่นิ จะต้องใช้งบประมาณเป็นจ�ำนวน เหตผุ ลเดยี วกัน มากโดยไรป้ ระโยชนใ์ นการด�ำเนินงาน การควบคุมและการป้องกันมิให้มีการน�ำสัตว์ต่างถ่ินเข้าประเทศ 6. ควรรักษาไว้ซึ่งสัตว์ประจ�ำถิ่น (endemic species) ตาม แต่ละประเทศจะมีกฎหมายของตนเองควบคุม ถึงแม้ว่าจะมีกฎหมาย หลักการของอนุสญั ญาว่าดว้ ยการอนุรกั ษค์ วามหลากหลายทางชีวภาพ ควบคมุ การหา้ มสง่ ออกสตั วป์ า่ บางชนดิ โดยเฉพาะสตั วป์ า่ ทห่ี าไดย้ ากหรอื ใกล้สูญพันธุ์หรือสัตว์ที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจ แต่ก็ยังมีการนำ� ออกไปใช้ กฎหมายควบคุมการนำ� เข้ามาซ่ึงสตั ว์ต่างถิน่ ในหลายกิจการโดยเฉพาะในทางการค้า การเลี้ยงไว้ดูเล่น การทดลอง การน�ำเข้าซ่ึงสัตว์ต่างถิ่นไปยังพ้ืนที่ใหม่ได้รับความนิยมสูงมาก ทางวทิ ยาศาสตร์ กจิ การสวนสตั วส์ าธารณะหรอื การใชป้ ระโยชนอ์ ยา่ งอน่ื ภายหลงั สงครามโลกครงั้ ทส่ี อง ถา้ หากการกระทำ� เปน็ ไปอยา่ งถกู ตอ้ งจะ ทำ� ใหส้ ตั วป์ า่ หลายชนดิ ถกู ลกั ลอบนำ� ออกไปจากถน่ิ เดมิ กอ่ ใหเ้ กดิ ปญั หา ก่อให้เกิดผลประโยชน์ แต่ถ้าไม่มีการพิจารณาให้รอบคอบเกิดผลเสีย ในหลายๆ ดา้ น เชน่ อตั ราการรอดตาย พาหะนำ� เชอื้ โรค สตั วอ์ าจสญู พนั ธ์ุ มากกว่าผลดี กฎหมายเกี่ยวกับการน�ำเขา้ ซ่งึ สัตว์ตา่ งถ่นิ ส่วนใหญ่จะเป็น ได้ จึงมกี ารวิตกวา่ ประชากรสัตว์ป่าจะลดน้อยลง ถึงแมว้ ่าจะมีกฎหมาย กฎหมายทกี่ �ำหนดโดยรัฐบาลของแตล่ ะประเทศ นานาชาตหิ รอื อนสุ ญั ญาวา่ ดว้ ยการคา้ ระหวา่ งประเทศซงึ่ ชนดิ สตั วป์ า่ และ ตัวอย่างเช่น สหรัฐอเมริกามีกฎหมายควบคุมการน�ำเข้าซึ่งสัตว์ พืชป่าท่ีใกล้สูญพันธุ์ (Convention on International Trade in ต่างถิ่นท่ีประกาศเม่ือปี ค.ศ.1900 ได้ก�ำหนดข้อห้ามน�ำเข้าซึ่งพังพอน Endangered Species of Wild Fauna and Flora) ก็ยังมกี ารลักลอบ ค้างคาวบางชนิด ปลาบางชนดิ สตั ว์เล้อื ยคลานบางชนดิ สัตวส์ ะเทนิ น้ำ� สง่ สตั วป์ า่ และพชื ปา่ ทม่ี กี ารหา้ มออกนอกราชอาณาจกั รอยเู่ สมอ จนเปน็ สะเทินบกบางชนิดเข้าประเทศ โดยให้เหตุผลว่าสัตว์ท่ีน�ำเข้าเหล่าน้ัน เหตใุ หส้ ตั วป์ า่ หรอื พชื ปา่ บางชนดิ ตอ้ งลดนอ้ ยลงจนเกอื บสญู พนั ธห์ุ รอื หา ท�ำลายสวัสดิภาพของประชาชน ท�ำลายพืชผลทางการเกษตร พืชไร่ ได้ยาก มาตรการการควบคุมทก่ี ำ� หนดมีหลายประการ เช่น การส่งออก ปา่ ไม้ สตั วป์ า่ และเปน็ พาหะนำ� เชอื้ โรคไปสสู่ ตั วป์ ระจำ� ถนิ่ ประเทศองั กฤษ จะไมก่ อ่ ใหเ้ กดิ ความเสยี หายตอ่ ชนดิ พนั ธน์ุ นั้ ๆ หรอื การอยรู่ อดของชนดิ พนั ธ์ุ การรักษาชนดิ พนั ธ์ใุ ห้เหมาะสมกบั ระบบนเิ วศที่น�ำเข้าไปในทอ้ งที่ใหม่ นกแกว้ มาคอว์ (Psittacus torquata) 164 ศาสตร์และศลิ ป์ การจดั การทรัพยากรสตั วป์ ่าในพื้นทค่ี ุม้ ครอง

นกยางโทนใหญ่ (Egretta alba) นกพริ าบ (Columba livia) สำ� หรบั ประเทศไทยมกี ฎหมายควบคมุ เกย่ี วกบั การนำ� เขา้ - สง่ ออก โรคที่เกิดข้ึนจากปรสิต พบในสัตว์ป่าหลายชนิดหรือทุกชนิด ซง่ึ สตั วป์ า่ ทไี่ ดร้ บั การคมุ้ ครอง คอื พระราชบญั ญตั สิ งวนและคมุ้ ครองสตั วป์ า่ ปรสิตบางชนิดไม่ได้ก่อให้เกิดโรค แต่มีส่วนช่วยในการเจริญเติบโตของ พ.ศ. 2535 ถงึ แมว้ ่าจะไมม่ ีบทบัญญตั ิเกย่ี วกบั สตั ว์ตา่ งถ่นิ แต่การน�ำเขา้ - สตั วป์ า่ เปน็ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง host - parasite แตถ่ า้ หากวา่ บางชนดิ ส่งออกก่อนการอนุญาต จะมีการพิจารณาถึงผลกระทบจากชนิดพันธุ์ที่ มีปรสิตมากเกินไปจะเป็นบ่อเกิดแห่งเช้ือโรค โดยทั่วไปสัตว์แต่ละชนิด น�ำเขา้ มีปรสิตมากน้อยแตกต่างกัน บางชนิดท�ำลายชีวิตสัตว์ป่า เช่น พยาธิ ชนิดหน่ึง คือ Paretaphostrogylus tenuis พบในกวางมูส (moose การจัดการโรคสตั ว์ป่า (Wildlife Diseases) deer) ท่ีมีถิ่นก�ำเนิดในสหรัฐอเมริกา พยาธิชนิดนี้เข้าไปท�ำลายระบบ โรคภัยตา่ งๆ ทเี่ กิดขึน้ กับชนิดพันธ์ุสตั วป์ ่าเป็นปจั จยั หนึง่ ทท่ี ำ� ให้ ประสาทไขสันหลัง ท�ำให้กวางมูสถึงตาย เรียกว่า moose sickness เกดิ การเปลยี่ นแปลงของประชากรสตั วป์ า่ ทำ� ใหม้ กี ารลดลงของประชากร ส่งผลให้ประชากรกวางมสู ลดจำ� นวนลง หรอื มผี ลกระทบตอ่ ความเปน็ อยปู่ กตสิ ขุ ของสตั วป์ า่ นบั วา่ เปน็ การยากทจี่ ะ วเิ คราะหถ์ งึ สาเหตกุ ารตายของชนดิ พนั ธส์ุ ตั วป์ า่ ทอ่ี าศยั อยใู่ นปา่ ธรรมชาติ การศึกษาโรคสัตวป์ ่า โดยเฉพาะสาเหตุจากโรค นอกจากชนิดพนั ธุ์ทต่ี ายด้วยการตอ่ ส้แู กง่ แยง่ ปจั จบุ นั ทำ� ไมตอ้ งมกี ารศกึ ษาโรคสตั วป์ า่ อาจจะกลา่ วไดว้ า่ ถา้ หากวา่ ระหว่างชนิดพันธุ์หรือสัตว์กลุ่มเดียวกัน แต่สามารถใช้การพิสูจน์ทาง ไมท่ ราบถงึ อาการของโรค จะไมส่ ามารถรกั ษาโรคนนั้ ได้ การรกั ษาโรคสตั วป์ า่ นิตวิ ิทยาศาสตร์ ในป่าดงดบิ ช้ืน ซง่ึ มอี าณาเขตกว้างขวาง การด�ำรงชีวติ ในธรรมชาติกระทำ� ได้ยาก นอกจากจะมมี าตรการเฝา้ ระวงั ควบคุมและ ของสัตว์ป่าเป็นไปอย่างอิสระ การที่ชนิดพันธุ์ตาย หรือประชากรลดลง ป้องกันการแพร่กระจายของโรค สตั วแพทย์ นักวทิ ยาศาสตร์หลายสาขา จะตอ้ งค้นหาวา่ ตายด้วยโรคอะไร ซากสัตวท์ ่ีตายอาจหาได้ยาก บางครง้ั ได้ท�ำการศึกษาโรคสัตว์ป่าจากสัตว์ป่าธรรมชาติ โดยการดักจับสัตว์ป่า พบวา่ ซากสตั วถ์ กู แทะหรือถูกแบคทเี รยี ทำ� ลายซึง่ ท�ำใหพ้ ิสูจน์ไดย้ าก จากธรรมชาตมิ าทำ� การศกึ ษาวจิ ยั เชอื้ โรค ปรสติ และตรวจเลอื ด นอกจากนี้ โรคบางชนดิ เกดิ ขน้ึ ในระยะยาว พวกโรคขาดสารอาหารสว่ นใหญ่ ยังมีการศึกษาโรคสัตว์ในกรงขัง เช่น สวนสัตว์หรือสัตว์ป่าท่ีอนุญาตให้ พบในพ้ืนท่ีท่ีมีประชากรของสัตว์มากเกินไป มีอาหารไม่เพียงพอ มีการ มกี ารเพาะเลยี้ งขยายพนั ธไ์ุ ด้ ทงั้ น้ี จงึ เปน็ การยากทจี่ ะทราบถงึ อาการปว่ ย แกง่ แยง่ เกดิ ขนึ้ มกี ารทำ� ลายถนิ่ ทอ่ี าศยั นอกจากนยี้ งั มโี รคสตั วป์ า่ ทไ่ี ดร้ บั ของสตั วป์ า่ ในธรรมชาติ นอกจากการสงั เกตการเปลยี่ นแปลงของรา่ งกายและ จากสตั วเ์ ลย้ี งของมนษุ ย์ โดยราษฎรทอ่ี าศยั อยใู่ กลเ้ คยี งกบั ปา่ อนรุ กั ษท์ มี่ ี พฤติกรรมที่เกิดขึ้น ประกอบกับต้องศึกษาการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อม อาชีพเลี้ยงปศุสัตว์ มักจะน�ำสัตว์พวกวัวควายเข้าไปเลี้ยงในป่าอนุรักษ์ โรคบางชนดิ ตดิ ตอ่ กนั ไดร้ ะหวา่ งสตั วป์ า่ ดว้ ยกนั เชน่ กวางปา่ กบั กระต่าย โรคท่ีเกิดข้ึนในสัตว์เล้ียงจะแพร่กระจายไปสู่สัตว์ป่า เช่น โรคปากและ หากว่ากระต่ายมีปริมาณประชากรมากท�ำให้เกิดโรคกับกวางป่า วิธีการ เท้าเป่ือย เปน็ ต้น ควบคุมโดยการลดจ�ำนวนประชากรของกระต่ายลง 165 ศาสตรแ์ ละศิลป์ การจัดการทรพั ยากรสตั วป์ ่าในพื้นที่คุ้มครอง

นกเงือกกรามชา้ ง (Rhyticeros undulatus) การระบาดและการควบคุมโรคสัตวป์ า่ ปัจจุบนั ไดม้ กี ารศกึ ษาโรคตา่ งๆ ทเี่ กดิ กบั สตั วป์ า่ และทสี่ ตั วป์ า่ เปน็ พาหะนำ� หรือแพรก่ ระจายเชื้อโรค ซึง่ พอจะแยกตัวอย่างใหเ้ หน็ เพือ่ จะได้ ทราบถงึ การเกดิ โรค การระบาด การควบคมุ และปอ้ งกนั การแพรก่ ระจาย ของเช้อื โรค ดังนี้ โรค botulism เกิดขึ้นในสัตว์ป่าจ�ำพวกนกน�้ำ เช่น นกเป็ดน�้ำ นกยาง ห่านป่า นกชายเลนชนิดต่างๆ โรคน้ีเกิดจากพิษของแบคทีเรีย ชนิดหนึ่งเรียกว่า Clostridium botulinum ที่อาศัยอยู่ในวัชพืชแห้ง วชั พชื เนา่ และซากสตั วป์ า่ ในนำ�้ แบคทเี รยี ชนดิ นเ้ี จรญิ เตบิ โตไดด้ ใี นอากาศ ท่ีอบอุ่นและชื้นในบริเวณแหล่งน�้ำต่างๆ ท่ีมีนกน�้ำอาศัยอยู่ พิษจากเช้ือ แบคทีเรียชนิดนี้จะกัดกินสัตว์จนถึงตาย ซากสัตว์นกน�้ำจะมีแบคทีเรีย เกาะอยู่ ในฤดูหนาวแบคทีเรียจะอาศัยอยู่ในดิน สร้างเกราะหุ้มตัวเอง หยุดพัก การเจริญเติบโตช่ัวคราว พอถึงฤดูร้อน มีฝนตกน�้ำขังในบึง เช้ือแบคทีเรียจะเจริญเติบโตและแพร่กระจายไปยังนกน้�ำท่ีตายแล้ว วิธีการควบคุม คือ การรักษาสภาพแวดล้อมให้ดี ควบคุมระดับน้�ำมิให้ มีมากหรอื นอ้ ยเกนิ ไปและระบายน้ำ� เขา้ ออกอยู่เสมอ อีกตัวอย่างหนึ่งท่ีเกิดข้ึนอยู่ในปัจจุบัน คือ การแพร่ระบาดของ เชือ้ ไขห้ วัดนก (avian influenza) หรือไข้หวัดใหญ่ในสตั ว์ปีก เปน็ โรคที่ เเกมิด่ือจไดาก้รับเชเอ้ืชไ้ือวจระสั แiสnดflงuอeาnกzาaรซvึiมrusกินtyอpาeหาAรนสา้อยยพลันงธมยุ์ ีออ่ ายกHา5รNท1าสงรตั ะวบ์ปบกี ประสาท หงอนเหนียงมสี ีคลำ�้ หรืออาจตายโดยไม่แสดงอาการ เช้ือไวรัส จะเพ่ิมจ�ำนวนอยู่ในระบบทางเดินอาหารและถูกขับออกมาทางอุจจาระ เป็นจ�ำนวนมาก ท�ำให้เกิดการแพร่เชื้อไปสู่สัตว์ปีกชนิดอื่นๆ ที่ใช้แหล่ง อาหารร่วมกัน สัตว์ที่ติดเชื้อสามารถแพร่ได้อย่างรวดเร็วและสามารถ ตดิ ตอ่ กนั ไดง้ า่ ย โดยเฉพาะสตั วป์ กี ทอี่ ยรู่ วมกนั เปน็ ฝงู ใหญ่ การทเี่ ชอื้ ไวรสั ไข้หวัดนกสามารถติดต่อไปยังนกหลายชนิดท�ำให้เกิดความหลากหลาย ในการแสดงอาการ นกหลายชนดิ สามารถเปน็ ตวั กกั เกบ็ และแพรเ่ ชอ้ื โรคได้ โดยไมแ่ สดงอาการปว่ ยหรอื ตาย ทำ� ใหก้ ารวเิ คราะห์ การควบคมุ การปอ้ งกนั และการแพรก่ ระจายเปน็ ไปอยา่ งล�ำบาก โรคไขห้ วดั นกสามารถตดิ ตอ่ ไปยงั สตั วเ์ ลย้ี งลกู ดว้ ยนมชนดิ อน่ื ๆ ได้ เช่น แมว เสือโครง่ สุนัขและมนษุ ย์ โดยการสมั ผสั กบั สัตวป์ ีกท่ปี ว่ ยหรอื ตาย เช้ือที่อย่ใู นนำ้� มกู น้�ำลาย และมูลของสัตว์ป่วยอาจตดิ มากบั มือและ เขา้ สรู่ า่ งกายทางเยอื่ บขุ องจมกู และตา ทำ� ใหม้ อี าการของโรคคลา้ ยไขห้ วดั ใหญ่ มีระยะฟกั ตวั 1 ถึง 3 วนั ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูง หนาวสนั่ ปวดศรีษะ 166 ศาสตรแ์ ละศิลป์ การจัดการทรัพยากรสัตวป์ า่ ในพื้นทค่ี ุ้มครอง

ปวดเมอื่ ยกลา้ มเน้ือ อ่อนเพลีย เจบ็ คอ ไอ ผปู้ ่วยเดก็ เลก็ ผสู้ ูงอายุหรอื นกอีแจว (Hydrophasianus chirurgus) ผู้ทีม่ ีโรคประจำ� ตวั จะมอี าการรนุ แรงได้ โดยมอี าการหอบ หายใจล�ำบาก นกปากห่าง (Anastomus oscitans) เนอื่ งจากปอดอกั เสบอยา่ งรนุ แรง ผทู้ มี่ คี วามเสยี่ งในการตดิ โรคไขห้ วดั นก กวางปา่ (Cervus unicolor) ไดแ้ ก่ ผู้ทีท่ ำ� งานในฟารม์ สัตวป์ ีกและผูท้ ่ีมีหน้าทชี่ �ำแหละสัตวป์ กี การศึกษาและการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของไข้หวัดนกใน ประเทศไทย ซึ่งระบาดต้ังแต่เดือนมกราคม 2547 ในท้องท่ีภาคกลาง ภาคเหนอื และภาคอีสาน จนเปน็ เหตใุ หม้ เี ด็กติดเชื้อและเสียชีวิตไปแล้ว ประมาณ 7 ราย โดยได้มกี ารเก็บตัวอยา่ งมลู นกปากห่างและ Tracheal Swab ของนกปากห่างในบริเวณพ้ืนท่ีสร้างรังวางไข่ในท้องท่ีจังหวัด นครสวรรค์ สพุ รรณบรุ ี นครปฐม อา่ งทอง ปทมุ ธานแี ละกรงุ เทพมหานคร จำ� นวน 270 ตวั นำ� มาวเิ คราะหห์ าเชอ้ื influenza virus ชนดิ H5N1 ตรวจ พบเชอ้ื H5N1 ในกลมุ่ ของนกปากหา่ งในทอ้ งทน่ี ครสวรรค์ กรงุ เทพมหานคร สพุ รรณบรุ ี และนครปฐม นอกจากนเี้ จา้ หนา้ ทก่ี รมอทุ ยานแหง่ ชาติ สตั วป์ า่ และพนั ธพ์ุ ชื ไดเ้ กบ็ ตวั อยา่ งนกในธรรมชาติ จำ� นวน 151 ชนดิ 36,419 ตวั ในปี พ.ศ. 2548 พบนกตดิ เชอ้ื ไขห้ วดั นกถงึ 14 ชนิด ไดแ้ ก่ นกกาน�้ำเล็ก นกกระตดิ๊ ขห้ี มู ซง่ึ เปน็ นกปลอ่ ยทขี่ ายตามวดั นกกงิ้ โครงคอดำ� นกกระจอก บ้านท่ีอาศัยตามบ้านเรือน นกชายเลนน้�ำจืด นกปากห่าง นกเป็ดแดง นกเขาไฟ นกเขาชวา นกแซงแซวหางปลา นกพิราบ เนอ่ื งจากชอบอาศยั ตามบ้าน วดั โรงเรียน นกยางควาย นกเอยี้ งสาริกาทอี่ าศัยอย่ตู ามสนาม หญ้า โรงอาหาร และนกเอ้ยี งหงอน โดยเช้ือโรคไขห้ วัดนกพบกระจายอยู่ ทว่ั ประเทศและพบทง้ั ในนกอพยพและนกประจ�ำถน่ิ การเฝา้ ระวงั การตดิ เชอ้ื ไขห้ วดั นกในนกประจำ� ถน่ิ นกในเมอื งและ นกอพยพ รวมทั้งตลาดค้าสัตว์ป่าจ�ำพวกสัตว์ปีก สวนสัตว์ของรัฐและ เอกชน โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ในพนื้ ทเี่ สยี่ ง เชน่ ทแี่ วะพกั ของนกอพยพ ทรี่ าบ ภาคกลาง หรอื ภาคเหนอื ตอนลา่ ง มกี ารวางมาตรการการควบคมุ การปอ้ งกนั การติดต่อของโรคระหว่างสัตว์ปีกธรรมชาติกับคน การเฝ้าระวังนกใน สถานที่เล้ียงนก มีการประสานงานตรวจสอบดูแลสวนสัตว์สาธารณะที่ เกยี่ วขอ้ งกบั สตั วป์ กี นอกจากนยี้ งั มกี ารศกึ ษา คน้ ควา้ วจิ ยั และคน้ หาขอ้ มลู พน้ื ฐานเกย่ี วกบั นกอพยพและการแพรร่ ะบาดของโรคไขห้ วดั นกในธรรมชาติ นอกจากน้ียังมีการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ความเข้าใจและการ ปอ้ งกนั การระบาดของโรคไขห้ วดั นกในธรรมชาติ รวมทง้ั เสรมิ สรา้ งความ ตระหนักของสาธารณชนถึงวิธีการเฝ้าระวังป้องกันการติดต่อของโรค ระหว่างนกในธรรมชาติกับคน โดยผ่านสื่อโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ นติ ยสารแก่ผ้นู �ำชุมชนและประชาชนโดยทัว่ ไป 167 ศาสตรแ์ ละศิลป์ การจัดการทรพั ยากรสตั วป์ ่าในพ้นื ทคี่ มุ้ ครอง

ช้างปา่ (Elephas maximus) อันตรายจากโรคสตั วป์ ่าทม่ี ตี ่อมนษุ ย์ ลิงกงั (Macaca nemestrina) โรคต่างๆ ที่เกิดข้ึนกับสัตว์ป่าสามารถแพร่กระจายมาสู่มนุษย์ ได้ง่าย ดังตัวอย่างการแพร่กระจายของเช้ือไข้หวัดนก และการน�ำเนื้อ สัตว์ป่ามาใช้บริโภคเป็นอาหาร โดยท่ีไม่ทราบว่าสัตว์ป่าชนิดนั้นเป็นโรค การศกึ ษา การเฝา้ ระวงั การปอ้ งกนั และการควบคมุ โรคสตั วป์ า่ จงึ มคี วาม จำ� เปน็ ไมเ่ พยี งแต่เพื่อการอยู่รอดของสัตวป์ ่าแตเ่ พียงอยา่ งเดียว ยงั เป็น การปอ้ งกนั การระบาดของโรคต่างๆ ทีจ่ ะติดตอ่ มายงั ปศสุ ัตวแ์ ละมนุษย์ สัตว์ป่าท่ีมีความแข็งแรง มีถิ่นท่ีอาศัยดี แสดงให้เห็นถึงคุณภาพของ สิ่งแวดล้อมที่ดี การป้องกันมิให้มนุษย์น�ำเนื้อสัตว์ป่ามาประกอบเป็น อาหาร เชน่ เนอื้ หมูป่า เนื้ออีเกง้ หรือฟาน เนอื้ กวางปา่ หรอื เน้ือสตั วป์ ่า ชนิดอื่นๆ ท่ีนำ� มาขายในทอ้ งตลาดทัว่ ไป การจดั การสตั ว์ปา่ ท่ที ำ� ใหเ้ กดิ ความเสียหาย (Wildlife Damage Management) สัตว์ป่าบางชนิดมีการเพิ่มปริมาณประชากรมากขึ้นจนท�ำให้เสีย ความสมดุลของระบบนิเวศภายในพื้นที่คุ้มครอง ในบางกรณีอาจก่อให้ เกิดความเดือดร้อนร�ำคาญต่อมนุษย์ที่อาศัยอยู่รอบๆ พื้นท่ีคุ้มครอง ในรูปแบบของการท�ำลายพืชผลทางการเกษตร ทรัพย์สินของชาวบ้าน อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน ชนิดพันธุ์สัตว์ป่าท่ีปรากฏ เปน็ ขา่ วอยบู่ อ่ ยๆ คอื ชา้ งปา่ เสอื โครง่ และลงิ ทอี่ าศยั อยใู่ นพน้ื ทค่ี มุ้ ครอง แตส่ ว่ นใหญเ่ ปน็ การเขา้ ทำ� ลายผลผลติ ทางการเกษตรของราษฎรทอ่ี าศยั อยู่โดยรอบ ดังนั้น การจัดการสัตว์ป่าในกรณีน้ีถือได้ว่าเป็นการจัดการ สัตว์ป่าในกรณีพิเศษที่มุ่งหวังการอนุรักษ์สัตว์ป่าที่เป็นต้นเหตุแห่งความ เสยี หายของราษฎรในขอบเขตของพน้ื ทคี่ มุ้ ครองเท่าน้ัน ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระท�ำของสัตว์ป่าแต่ละชนิดจะ มปี รมิ าณ ความรนุ แรงและรปู แบบแตกตา่ งกนั โดยตอ้ งมกี ารจำ� แนกชนดิ ของสตั วป์ ่าและความเสยี หายทเ่ี กดิ ขน้ึ เพื่อกำ� หนดวิธีการในการควบคมุ และการจัดการ ในหลายประเทศก�ำหนดวิธีการควบคุมสัตว์ป่าดังกล่าว โดยเปดิ ใหม้ กี ารล่าไดโ้ ดยไม่ต้องขออนญุ าต เพราะถอื ว่าสัตวป์ า่ เหล่านนั้ เป็นศัตรูพืชและทรัพย์สินของราษฎร อย่างไรก็ตาม การจัดการสัตว์ป่า ท่ีท�ำใหเ้ กดิ ความเดอื ดรอ้ นรำ� คาญน้สี ามารถด�ำเนินการได้หลายวิธี ตวั อยา่ งสตั วป์ า่ ชนดิ ทที่ ำ� ใหเ้ กดิ ความเดอื ดรอ้ นรำ� คาญแกร่ าษฎร ใกล้พน้ื ที่คมุ้ ครอง เช่น ชา้ งป่าทีอ่ อกมาหากินในไรส่ ับปะรดทอ้ งท่อี �ำเภอ กยุ บรุ ี จังหวดั ประจวบคีรีขันธ์ เป็นช้างป่าที่ออกมาจากอุทยานแหง่ ชาติ 168 ศาสตร์และศิลป์ การจดั การทรพั ยากรสตั วป์ า่ ในพ้ืนทค่ี มุ้ ครอง

169 ศาสตรแ์ ละศิลป์ การจดั การทรพั ยากรสตั วป์ ่าในพ้ืนทีค่ ้มุ ครอง

กุยบุรี ช้างป่าท่ีออกมากินอ้อยหรือพืชผลทางการเกษตรของราษฎร คมุ้ ครองหลายแหง่ โดยรวั้ ไฟฟา้ จะไดร้ บั พลงั งานไฟฟา้ จากการเปลย่ี นแปลง ท้องท่ีอ�ำเภอสนามชัยเขต จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นช้างป่าท่ีออกมาจาก พลงั งานแสงอาทติ ยเ์ ปน็ พลงั งานไฟฟา้ บรรจไุ วใ้ นแบตเตอรี่ เพอ่ื ใชป้ อ้ งกนั เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน ช้างป่าที่ออกมาจากเขตรักษาพันธุ์ การบุกรุกของสัตว์ป่า แต่ต้องค�ำนึงถึงก�ำลังกระแสไฟฟ้าที่ส่งผ่านไป สัตว์ป่าสลักพระ จังหวัดกาญจนบุรี เพ่ือกินพืชผลทางการเกษตรของ ตามเส้นลวดตัวน�ำรอบร้ัวไฟฟ้าด้วย โดยพิจารณาก�ำลังกระแสไฟฟ้า ราษฎรท่ีอาศัยอยู่รอบๆ พื้นที่ หรือช้างป่าที่ออกมาจากเขตรักษาพันธุ์ ใหเ้ หมาะสมกบั สตั วป์ า่ แตล่ ะชนดิ ตอ้ งไมท่ ำ� อนั ตรายถงึ ชวี ติ กบั สตั วป์ า่ นน้ั ๆ สตั วป์ า่ ภหู ลวง จังหวัดเลย ออกมาหากนิ พชื ไร่ของราษฎรท่ีต้ังบ้านเรือน การขดุ คนู ำ้� คลอง ปดิ กนั้ การเคลอ่ื นทขี่ องสตั วป์ า่ เปน็ การประยกุ ต์ อย่ใู กล้เคียงเขตรักษาพนั ธ์สุ ัตวป์ า่ เป็นต้น ความรทู้ างนเิ วศวทิ ยา พฤตกิ รรมของสตั วป์ า่ มาประกอบการพจิ ารณาโดย มีค�ำถามเกิดข้ึนมาว่าท�ำไมช้างป่าออกมาหากินพืชไร่ของราษฎร อาศยั ความกลวั ของสตั วป์ า่ เปน็ ปจั จยั สำ� คญั เชน่ อทุ ยานแหง่ ชาตจิ ติ ตวนั ดังกล่าว เชน่ ในประเทศเนปาลใชใ้ นการควบคมุ การแพรก่ ระจายของแรดอนิ เดยี เขตรกั ษา - ช้างป่ามีปรมิ าณประชากรเพม่ิ ขึ้นใช่หรือไม่ พันธ์ุสัตวป์ ่าปะดัง สุกหิ าน ในประเทศอนิ โดนเี ซยี ใช้วิธกี ารขุดคูน�ำ้ ขนาด - ในฤดูแล้ง อาหารและแหล่งน้�ำลดน้อยลงท�ำให้ช้างป่า กวา้ ง 3 เมตร ลกึ 2 เมตร เพอื่ ควบคมุ การแพรก่ ระจายของชา้ งปา่ เปน็ ตน้ ออกมาหากินภายนอกพืน้ ทีค่ ุม้ ครองใชห่ รอื ไม่ อุทยานแห่งชาติบางแห่งในประเทศอินเดียใช้การเปิดเทปเสียง - อาหารประเภทสบั ปะรด ออ้ ยหรอื พชื ไรช่ นดิ อน่ื ทเี่ ปน็ อาหาร เสือโคร่งไล่ช้างป่าที่ออกมาหากินพืชผลทางการเกษตรของราษฎร หรือ มคี วามอรอ่ ย และช้างชอบกินใช่หรอื ไม่ มีการใชเ้ สียงไล่ตอ้ นให้ช้างป่าออกจากพน้ื ท่ี - เมื่อเป็นเช่นน้ีจะมีการแก้ไขอย่างไร ท�ำรั้วรอบพ้ืนที่หรือใช้ วิธีการควบคุมการแพร่กระจายของสัตว์ป่าท่ีอาจก่อให้เกิดความ ปืนยงิ ไลห่ รอื จุดประทัดไล่ หรอื ขดุ ร่องลึกรอบพืน้ ท่ีการเกษตร เสียหายหรือความเดือดร้อนร�ำคาญต่อราษฎรโดยรอบพื้นท่ีคุ้มครอง - มกี ารปรบั ปรงุ แหลง่ นำ�้ แหลง่ อาหารในพนื้ ทคี่ มุ้ ครองหรอื ไม่ อกี วธิ กี ารหนง่ึ คอื การกำ� หนดเขตการใชป้ ระโยชนท์ ดี่ นิ รอบพนื้ ทค่ี มุ้ ครอง วิธีการต่างๆ ท่ีเคยใช้ด�ำเนินการเพ่ือการจัดการสัตว์ป่าดังกล่าว ในลักษณะเขตกันชน (Buffer Zone) เช่น การสร้างรั้วโดยรอบพน้ื ทค่ี ้มุ ครอง เป็นวธิ ีการท่ีใหส้ ัตวป์ ่าอยเู่ ฉพาะ จากวธิ กี ารทกี่ ลา่ วมาทงั้ หมด จะเหน็ ไดว้ า่ เปน็ วธิ กี ารจดั การสตั วป์ า่ ภายในพนื้ ทค่ี มุ้ ครองเทา่ นนั้ สตั วป์ า่ ไมส่ ามารถออกจากพนื้ ทเ่ี พอื่ ไปกอ่ ให้ เพ่ือป้องกันไม่ให้สัตว์ป่าออกมานอกพื้นท่ีคุ้มครอง เป็นวิธีการท่ีไม่ท�ำให้ เกิดความเสียหายหรือสร้างความเดือดร้อนร�ำคาญต่อราษฎรโดยรอบได้ สตั ว์ป่าไดร้ ับอนั ตรายถงึ ข้ันถงึ เสยี ชวี ติ อยา่ งไรกต็ าม การจัดการสตั วป์ า่ แตต่ อ้ งคำ� นงึ ถงึ ความแขง็ แรงและความสงู ของรว้ั รวมทง้ั คา่ ใชจ้ า่ ยในการ ทก่ี อ่ ใหเ้ กดิ ความเดอื ดรอ้ นรำ� คาญน้ี อาจทำ� ไดใ้ นบรเิ วณนอกพนื้ ทคี่ มุ้ ครอง ติดต้ังและดูแลรักษา นอกจากน้ีในพื้นที่ท่ีมีถนนตัดผ่านเข้าไปในพื้นที่ เปน็ การจดั การสตั วป์ า่ ทอ่ี าจจะทำ� ใหส้ ตั วป์ า่ ตายได้ เชน่ การขบั ไลส่ ตั วป์ า่ คุ้มครอง จ�ำเป็นต้องสร้างประตูปิด-เปิดก้ันถนน เพ่ือป้องกันสัตว์ป่า ออกจากบริเวณพ้ืนท่ีเกษตรกรรมด้วยวิธีการต่างๆ การฆ่าสัตว์ป่าอย่าง วงิ่ ขา้ มถนนและออกนอกพน้ื ทค่ี มุ้ ครอง การสรา้ งรวั้ โดยรอบพน้ื ทคี่ มุ้ ครอง ถูกต้องตามหลักวิชาการ การวางกับดักสัตว์ป่าท้ังชนิดกับดักเป็นและ ใช้ได้ดีกับสัตว์ป่าจ�ำพวกกวางป่า หมูป่า เก้ง ส่วนสัตว์ป่าท่ีมีขนาดใหญ่ กับดักตาย การใช้สารพิษ เป็นต้น ซึ่งเป็นการด�ำเนินการท่ีต้องค�ำนึงถึง การสรา้ งรวั้ โดยรอบพน้ื ทตี่ อ้ งการความแขง็ แรงทนทานมาก ทำ� ใหต้ น้ ทนุ ผลเสียหายท่ีอาจจะเกิดข้ึนกับสัตว์ป่าและระบบนิเวศสัตว์ป่าเป็นส�ำคัญ ในการดำ� เนนิ งานคอ่ นขา้ งสงู จงึ มกี ารพฒั นาระบบรว้ั ไฟฟา้ โดยรอบพน้ื ที่ เพราะอาจจะท�ำให้เกิดการสะสมของสารพิษในระบบนิเวศ การเสีย เปน็ ทนี่ ยิ มในการปอ้ งกนั ชา้ งปา่ เขา้ มาทำ� ลายพนื้ ทป่ี าลม์ นำ�้ มนั ในประเทศ ความสมดุลระหว่างเพศและอายุสัตว์ป่า และความสัมพันธ์ระหว่างสัตว์ มาเลเซีย เคนยา มาลาวี แม้แต่ในประเทศไทยก็มีการใช้กันในพ้ืนที่ ผู้ล่าและเหย่ือ 170 ศาสตรแ์ ละศิลป์ การจัดการทรัพยากรสตั ว์ป่าในพน้ื ทีค่ ุม้ ครอง

การจัดการสตั ว์ปา่ ในพ้นื ทีป่ ่าชมุ ชน ท้ังนี้หน่วยงานภาครัฐจะต้องส่งผู้เช่ียวชาญหรือนักวิชาการที่เกี่ยวข้อง จากการศึกษากฎระเบียบหรือข้อตกลงของชุมชนในเรื่องของ ช่วยเหลือชมุ ชน สตั วป์ า่ พบวา่ มกี ารหา้ มลา่ สตั วป์ า่ และแมลงทกุ ชนดิ โดยเดด็ ขาดและหา้ ม 4. จัดให้มีการฝึกอบรมให้ความรู้ด้านการอนุรักษ์และการ จบั สตั วน์ ำ�้ ทกุ ชนดิ จะเหน็ ไดว้ า่ สตั วป์ า่ เปน็ องคป์ ระกอบหนง่ึ ของปา่ ชมุ ชน จัดการสัตว์ป่าแก่คณะกรรมการป่าชุมชน สมาชิกในชุมชน เยาวชนใน และมีประโยชน์ต่อชุมชน ดังน้ัน เพื่อให้มีการจัดการสัตว์ป่าในพ้ืนที่ ทอ้ งถน่ิ หมบู่ า้ น ใหม้ คี วามเขา้ ใจเกย่ี วกบั ชนดิ พนั ธ์ุ ประโยชนท์ ส่ี มั พนั ธก์ บั ป่าชุมชน จงึ มีแนวทางและข้ันตอน ดงั น้ี การด�ำรงชีวิตของชุมชน การฝึกอบรมให้เยาวชนท�ำหน้าท่ีมัคคุเทศก์ 1. การสัมมนาเวทีชาวบ้านเร่ืองการจัดการสัตว์ป่าในพื้นที่ป่า ทอ้ งถน่ิ ในการศกึ ษาดงู านของประชาชนจากทอ้ งถน่ิ อน่ื ถา้ หากมโี ครงการ ชุมชนในดา้ นชนิดพนั ธุ์ ปรมิ าณ สถานภาพ ประโยชนแ์ ละถิ่นทอี่ ยูอ่ าศยั และจัดตั้งชมรมอนุรักษ์สัตว์ป่าส�ำหรับเยาวชนหรือกลุ่มผู้สนใจภายใน กล่าวคือ ด�ำเนินการวิเคราะห์ชนิดพันธุ์ท่ีมีประโยชน์ หรือชุมชนใช้ หมู่บา้ นหรอื ในท้องท่ที ี่มีการจัดต้ังป่าชุมชน ประโยชน์ หรือมีประโยชน์ต่อเกษตรกร หรือวิเคราะห์ผลกระทบท่ี 5. คณะกรรมการปา่ ชมุ ชนจดั ใหม้ กี ารตรวจตราลาดตระเวนรว่ ม เกิดจากสัตว์ป่า ตลอดจนการวิเคราะห์ถ่ินท่ีอาศัยโดยเฉพาะเรื่องแหล่ง กบั เจา้ หนา้ ทขี่ องรฐั พรอ้ มทง้ั กำ� หนดกฎระเบยี บกตกิ า ขอ้ ควรปฏบิ ตั หิ าก อาหาร แหล่งน�้ำ หรอื ท่คี ุ้มกนั ภยั มผี ฝู้ า่ ฝนื กฎระเบยี บหรอื ลกั ลอบลา่ สตั วป์ า่ จะตอ้ งถกู ลงโทษตามระเบยี บ 2. ให้คณะกรรมการป่าชุมชนและสมาชิกประชุมร่วมกัน หรอื ลงโทษตามบทบญั ญตั แิ หง่ พระราชบญั ญตั สิ งวนและคมุ้ ครองสตั วป์ า่ พิจารณาถงึ ภัยคกุ คามที่เกดิ ขึน้ กับสตั ว์ป่า โดยพิจารณาภัยคกุ คาม และ พ.ศ. 2535 โดยสง่ ตวั ผู้กระทำ� ผดิ ใหพ้ นักงานสอบสวน แหลง่ ทม่ี าของภยั คกุ คาม พรอ้ มกำ� หนดแผนยทุ ธศาสตรก์ ารบรหิ ารจดั การ 6. มีการส่งเสริมให้มีการปลูกต้นไม้ พันธุ์ไม้ท่ีสัตว์ป่าใช้เป็น สัตว์ป่าและตัวช้ีวัด โดยให้มีการด�ำเนินงานอย่างมีส่วนร่วมอย่างใกล้ชิด อาหารได้หรือเป็นท่ีคุ้มกันภัยได้ โดยการพิจารณาร่วมกันระหว่างคณะ กบั พนักงานเจา้ หนา้ ท่ีของรัฐ กรรมการปา่ ชุมชนและพนักงานเจ้าหนา้ ทีข่ องรฐั 3. ด�ำเนินการศึกษาหรือส�ำรวจชนิดและปริมาณของชนิดพันธุ์ 7. พนกั งานเจา้ หนา้ ทขี่ องรฐั ไมว่ า่ จะเปน็ พนกั งานเจา้ หนา้ ทจี่ าก สัตว์ป่าในพื้นที่ป่าชุมชนที่ก�ำหนดไว้รวมท้ังถิ่นท่ีอาศัยของสัตว์ป่า โดย กรมปา่ ไมห้ รอื กรมอทุ ยานแหง่ ชาติ สัตว์ป่า และพนั ธพ์ุ ชื ต้องจดั ใหม้ ีการ ความร่วมมือระหว่างคณะกรรมการป่าชุมชนและหน่วยงานของภาครัฐ ตดิ ตามและประเมนิ ผลเป็นระยะๆ ทุก 6 เดือน หรอื ทกุ ปหี รอื ตามเวลาที่ และเอกชนในท้องถิ่น เช่น กรมป่าไม้ หรือสถาบันการศึกษาในภูมิภาค ก�ำหนด เพ่ือตดิ ตามความก้าวหนา้ ของโครงการฯ 171 ศาสตรแ์ ละศิลป์ การจัดการทรัพยากรสัตวป์ ่าในพื้นท่ีคุ้มครอง

การจัดการชา้ งป่าที่ออกหากินนอกพ้ืนทีค่ ้มุ ครอง ชางปา คือ ชางที่อาศัยอยูในปาซึ่งไดรับความคุมครองตาม กฎหมายวา ดว ยการสงวนและคมุ ครองสตั วป า พ.ศ. 2535 โดยชอบธรรม แต่จากข้อเท็จจริงในปัจจุบันดูเหมือนวาจํานวนประชากรของชางปาท่ี อาศัยอยูในประเทศไทยมจี ำ� นวนเพม่ิ ขน้ึ ชา งปา มีความสําคัญสูงมากในระบบนิเวศของปาเขตรอน เพราะ ชวยสรา งแหลง อาหาร เชน ดนิ โปง ใหแ กสตั วป าชนิดอืน่ ๆ ชวยกระจาย พันธุไมบางชนิดที่เปนอาหารของสัตวปาบางชนิด และชวยชี้วัดความ สมบรู ณข องปา ชา งปา สามารถดาํ รงชวี ติ อยไู ดเ ฉพาะในปา ทมี่ ขี นาดใหญ มอี าหารและแหลง นำ้� สมบรู ณ ปา ใดยงั คงมชี า งแสดงวา ปา นนั้ ยงั คงมคี วาม อดุ มสมบรู ณ ปจั จบุ นั ประเทศไทยมปี ระชากรชา้ งปา่ ประมาณ 3,126 - 3,341 ตวั ในพื้นท่ีอุทยานแห่งชาติ 38 แห่ง และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า 31 แห่ง รวมพน้ื ท่ีอนุรกั ษ์ 69 แห่ง เปน็ พ้ืนทร่ี วม 52,000 ตารางกโิ ลเมตร หรือ รอ้ ยละ 30 ของพื้นทอ่ี นรุ ักษ์ในประเทศไทย พืน้ ทที่ ่พี บประชากรชา้ งปา่ มากทส่ี ดุ คอื เขตรกั ษาพนั ธส์ุ ัตว์ป่าห้วยขาแขง้ พบช้างปา่ ประมาณ 300 – 364 ตัว รองลงมา คอื เขตรกั ษาพนั ธ์ุสตั ว์ปา่ เขาอ่างฤาไน พบ 276 ตวั อทุ ยานแหง่ ชาตทิ บั ลานและอทุ ยานแหง่ ชาตปิ างสดี าพบ 251 ตวั อทุ ยาน แหง่ ชาตแิ กง่ กระจานพบ 250 ตวั อทุ ยานแหง่ ชาตกิ ยุ บรุ ี พบ 237 - 250 ตวั และอุทยานแหง่ ชาตเิ ขาใหญพ่ บ 220 ตวั ทัง้ นี้ จ�ำนวนประชากรชา้ งปา่ มีแนวโน้มเพิ่มมากข้ึนเกือบทุกพื้นที่ในประเทศไทย (ส�ำนักอนุรักษ์ สตั ว์ป่า, 2017) วิถีชีวิตของช้างป่าและผลกระทบจากการท�ำลายถิ่นท่ีอาศัย ของชา้ งปา่ โดยปกติแลววิถีชีวิตของโขลงชางปาจะเคล่ือนที่หากินไปเรื่อยๆ จากทห่ี นงึ่ ไปยงั อกี ทห่ี นงึ่ ขน้ึ กบั ตามความแตกตา งของฤดกู าล ซงึ่ เกยี่ วขอ ง กบั ปรมิ าณนำ้� ฝน และการกระจายตวั ของพชื อาหารทหี่ มนุ เวยี น ปรมิ าณนำ้� ตามแหลง ตางๆ แหลง ดนิ โปง ความอดุ มสมบูรณของพชื พนั ธธุ ัญญาหาร และความปลอดภยั หัวหนา โขลงจะกาํ หนดทิศทางในการออกหาอาหาร สว นมากจะใชเ สน ทางทเ่ี คยใชห ากนิ เปน ประจาํ ทเ่ี รยี กวา “ดา นชา ง” จา โขลง จะรูวาฤดูกาลไหนควรจะไปหาแหลงน�้ำ โปง ตนไมที่ใหใบ ใหผลเปน อาหาร ณ ท่แี หงใด หรอื ตอ งไปขดุ หาน�ำ้ ณ ทีใ่ ด ชางปา สามารถปรับตวั ใหเ ขา กบั สภาพปา และฤดกู าลเสมอ ทใ่ี ดทชี่ า งปา ผา นทน่ี น่ั แมจ ะราบเรยี บ 172 ศาสตรแ์ ละศิลป์ การจดั การทรัพยากรสตั วป์ ่าในพ้นื ที่ค้มุ ครอง

แตไ มร าบเลย่ี นเตยี นโลง เหมอื นทม่ี นษุ ยบ กุ รกุ ทาํ ลายปา ชา งแมจ ะหกั กนิ อาหารไปโดยปริยาย สงผลให้วิถีชีวิตพฤติกรรมตามธรรมชาติท่ีชางเคย ยอดไม กินเนื้อไม้ กินรากไมหรือกระชากเถาวัลยลงมาจากยอดไม ปฏบิ ตั ิสบื ทอดกนั มาหลายชัว่ อายุชา งตองสิน้ สุดลง แตชางไมไดกินทุกสวนของพืช สวนที่เหลือจะถูกท้ิงไวใหสัตวปาอ่ืนๆ กนิ ดวย ไมชาไมน านเม่อื ชางผานไป ไมทหี่ กั ราบเหลา นัน้ ก็จะพากนั แตก สาเหตุและปญั หาความขดั แยง ระหวางคนกับชา งปา ก่ิงกานสาขาขึ้นมาใหมอยางรวดเร็วและกลับไปเปนแหลงอาหารของ ปญ หาความขดั แยง ระหวา งคนกบั ชา งเกดิ ขน้ึ มานบั เปน เวลานาน สตั วป า ไดอีกตอ ไป ความขดั แยง นนั้ มแี นวโนม ทจี่ ะทวคี วามรนุ แรงขน้ึ อกี เรอื่ ยๆ หลายประเทศ การเคลื่อนท่ีไปทุกยางกาวของชางปานั้นเต็มไปดวยความหมาย สามารถทจี่ ะบริหารจัดการใหป ญหาลดลงไดบ า ง ภาครฐั และภาคเอกชน เนื่องจากเสนทางท่ีชางใชเดินทางหากินน้ัน เปนเสนทางท่ีชางเคยใช ไดพ ยายามหาแนวทางแกไ ขปญ หาทเ่ี กดิ ขน้ึ หลายแนวทาง เชน ใชเ สยี งปน มาแลวเปนประจําในหลายชั่วอายุชาง เสนทางเหลาน้ีจึงเชื่อมตอกันดุจ หรือประทัดไลชางปา สรางแนวก้ันเขตแดน สรางร้ัวก้ันไฟฟา เป็นต้น รา งแห เรียกวา “ดานชา ง” ดังนัน้ ความเดอื ดรอ นของชา งปา จงึ เกิดขึ้น แตย งั ไมส ามารถแกไ ขปญ หาทเี่ กดิ ขน้ึ อยา งยง่ิ ได ความขดั แยง ระหวา งชา ง เมื่อคนตดั ถนนหนทางบกุ รกุ เขา ไปทาํ ลาย “ดา นชาง” ซึ่งเปนอาณาจักร กบั คน สว นใหญม สี าเหตมุ าจากทคี่ นเขา ไปบกุ รกุ พนื้ ทปี่ า เพอ่ื ทาํ การเกษตร ของชางปา เกิดการบุกรุกถิ่นท่ีอาศัยของชางปา ทําใหชางปาถูกจํากัด และต้ังถิ่นฐานบานเรือน และชางปาประสบปญหาการขาดแคลนน�้ำ เสรีภาพในการเคล่ือนไหว ตองเปล่ียนพฤติกรรมในการออกแสวงหา แหลงอาหารในฤดูแลง จึงจําเปนตองออกจากปามาหากินในพื้นท่ี 173 ศาสตรแ์ ละศลิ ป์ การจัดการทรัพยากรสัตว์ปา่ ในพ้นื ทีค่ ุม้ ครอง

เกษตรกรรมของชาวบาน ทําใหเปนชนวนปญหาของความขัดแยงอยาง อยูอาศัยของชางปาเปนอยางมาก พื้นท่ีท่ีชางป่าเคยอยูอาศัยลดลง รนุ แรงระหวางคนกบั ชางในพ้นื ที่หลายแหง่ อยา งตอ เนอื่ ง การเขา ไปลกั ลอบลา สตั ว ตดั ไมแ ละเกบ็ หาของปา และจากการ สืบเนื่องจากชางปาอาศัยอยูเปนโขลง กล่าวไดวาสังคมของ ทภ่ี าครฐั สง เสรมิ ใหเ กษตรกรทาํ การเกษตรเพอื่ การสง ออกนน้ั ผลกระทบ ชางคล้ายคลึงกับสังคมมนุษย มีหัวหนาโขลงและมีสมาชิกในโขลง ที่เกิดขึ้นนอกจากจะเปนการลักลอบตัดไมทําลายปาและเผาปาของ ชา งนบั เปน สตั วส งั คมอนั ดบั สามของโลกทมี่ สี งั คม สตั วโ ลกทม่ี สี งั คมอนั ดบั ชาวบานแลว ยังเปนการรบกวนและทําลายพ้ืนท่ีแหลงอาหารและถิ่นที่ แรก คือ มนุษย อันดับสอง คือ วาฬ และอันดับสามก็คือ ชางน่ันเอง อาศยั ของชา งปา ดวย ดังนนั้ ปญ หาในสงั คมกย็ อมมอี ยเู ปนธรรมดา เชน พฤติกรรมของชางที่ นอกจากนกี้ ารทช่ี าวบา นรอบๆ พน้ื ทป่ี า อนรุ กั ษน์ าํ เอาโค กระบอื เปล่ียนแปลงอันเปนผลมาจากส่ิงแวดลอม เชน พื้นท่ีอยูอาศัยคับแคบ เขาไปเล้ียงในพ้ืนท่ีที่เปนถิ่นที่อาศัยของชางปาก็เทากับวาเปนการบุกรุก มอี าหารจาํ กดั ถกู ไลอ อกจากโขลง ทาํ ใหช า งเกดิ ความเครยี ดถงึ กบั ตอ สกู นั แยง ชงิ พื้นทแ่ี ละอาหารของชา งปา ดวยเชน กนั หรอื ทํารายกนั เองได นอกจากความขดั แยง ระหวา งคนและสตั วจ ะเกดิ ขนึ้ แลว โค กระบอื ดงั นน้ั การบกุ รกุ ผนื ปา ของมนษุ ยใ นหลายพน้ื ทโ่ี ดยเฉพาะอยา งยง่ิ กอ็ าจนาํ เชอ้ื โรคเขา ไปแพรใ หแ กป ระชากรชา งและสตั วป า อน่ื ๆ ดว ย เมอ่ื พื้นท่ีอุทยานแห่งชาติ และเขตรักษาพันธุสัตวปาสงผลกระทบตอถิ่นที่ กลมุ นกั ทอ งเทย่ี วเขา ไปพกั แรมในพนื้ ทป่ี า ทเ่ี ปน ถนิ่ ทอี่ าศยั ของชา งปา นน้ั 174 ศาสตรแ์ ละศลิ ป์ การจดั การทรัพยากรสตั ว์ป่าในพืน้ ท่ีคุ้มครอง

นักทองเที่ยวมักสงเสียงดัง ขับรถเร็ว บางครั้งในการสองสัตวเขาไปใกล้ ปญ หาดา นการบรหิ ารจดั การความขดั แยง้ ระหวา่ งคนกบั ชา้ ง โขลงชา งปา ขณะออกมาหากนิ มากเกนิ ไปสง่ ผลทาํ ใหช า งเกดิ ความเครยี ดได ในสวนของภาครฐั โครงการพฒั นาเศรษฐกจิ ในพน้ื ทปี่ า่ อนรุ กั ษไ์ มว่ า จะเปน โครงการใด 1. การขาดแคลนบุคลากร การมีบุคลากรไมเ พยี งพอทาํ ใหการ กต็ ามยอ มสง ผลกระทบตอ ระบบนเิ วศของปา ไมแ้ ละสตั วป า ไมม ากกน็ อ ย ดําเนินงานไมมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลท่ีเพียงพอและยั่งยืน เชน เสมอ เชน การสรางเข่อื นเปนการแยกปา ธรรมชาตอิ อกจากกัน การตัด การขาดแคลนนักวิจัยทําใหขาดขอมูลพื้นฐานและความรูที่ทันสมัยที่จะ ถนนผานปาเปนการเปดโอกาสใหมนุษยเขาไปรบกวนสัตวปาไดงายข้ึน นําไปใชงานได การขาดแคลนเจาหนาที่พิทักษปาทําใหการดูแลปองกัน นอกจากนน้ั เมอื่ มกี ารตดั ถนนผา นเขา ไปในปา ผลกระทบตอ สตั วป า กย็ อ ม พื้นที่เปน ไปอยางจาํ กดั เกิดข้ึน สวนใหญในเขตอุทยานแหงชาติเขาใหญ อุทยานแหงชาติเขา 2. การขาดแคลนงบประมาณ ทาํ ใหก ารดาํ เนนิ การตา งๆ เปน ไป ชะเมา-เขาวง หรอื เขตรกั ษาพนั ธสุ ตั วป า เขาอา งฤาไน มกั จะมโี ขลงชา งปา อยางจํากดั ลาชา และไมต อเน่ือง เชน การตรวจจบั ผลู กั ลอบกระทาํ ผิด ออกมาหากินในเวลากลางคืน ดังน้ัน จึงมีบอยครั้งที่ผูขับข่ีรถยนตขับข่ี ในการลาชาง การบุกรุกพื้นที่ปา และการขาดงบประมาณในการวิจัย ดว ยความเรว็ และขาดความระมดั ระวงั ทาํ ใหเ กดิ อบุ ตั เิ หตรุ ถชนกบั ชา งปา ทําใหไ ดร ับขอมลู ท่ผี ดิ พลาดจากความเปนจรงิ ทำ� ใหท้ ั้งคนท้งั สตั วตางไดรบั บาดเจ็บสาหสั หรอื เสยี ชวี ติ 3. การขาดแผนแมบทในการจัดการชางปา การขาดแคลน ยิ่งไปกวานั้นยังมีภัยธรรมชาติที่สรางปญหาใหกับชางปาได เชน ประเด็นน้ีเก่ียวเน่ืองกับการขาดแคลนบุคลากรและงบประมาณ ทําให กรณชี า งปา ในอทุ ยานแหง ชาตเิ ขาใหญแ ละอทุ ยานแหง ชาตกิ ยุ บรุ ตี กเหว ขาดขอ มลู ท่เี ช่ือถือไดและทีส่ ามารถนาํ ไปวเิ คราะหในการรางนโยบายใน หรอื ตกหลมุ ตกบอ จนตอ งสรา งแนวรวั้ เพอ่ื ปอ งกนั ไมใ หช า งปา เขา ไปใกล การจดั การบรหิ ารใหไ ดผ ลทนั กบั เหตกุ ารณแ ละเปน รปู ธรรม สง ผลกระทบ แหล่งอันตราย สําหรับไฟปาท่ีสวนใหญเกิดจากการกระทําของมนุษย ตอ การดาํ เนนิ งานการจดั การบรหิ ารเกย่ี วกบั ชา งปา ขาดทศิ ทางทแี่ นน อน นอกจากจะทาํ ลายพืชพนั ธธุ ัญญาหาร อาหารของชา งปาแลว ในบางครั้ง และยงั่ ยนื เมอ่ื ขาดแคลนแผนแมบ ทแลว การแกไ ขปญ หาจงึ เปน เพยี งการ ชางปา กไ็ ดรบั อันตรายจากไฟปา ดวย แกไขปญหาเฉพาะหนา เทา นน้ั อาหารท่ชี างปากนิ อยูนนั้ มีหลายชนิด แตละฤดชู างจะกินพชื ตา ง 4. การขาดการประชาสัมพันธ การประชาสัมพันธจะทําให ชนดิ กนั การบกุ รกุ พน้ื ทข่ี องมนษุ ยส ง ผลกระทบตอ วถิ ชี วี ติ ของชา งปา อยา ง เกดิ ความรู ความเขา ใจเกย่ี วกบั สถานการณ และสภาพปญ หาของชา งปา รุนแรง นอกจากพื้นทส่ี าํ หรบั หาอาหารจะมนี อ ยแลว แหลงดนิ โปง ตา งๆ เปน อยา งดี ซงึ่ ทาํ ใหส าธารณชนตน่ื ตวั และมองเหน็ คณุ คา ของการอนรุ กั ษ ของชางถูกทําลายตามไปดวย อันเปนเหตุสําคัญท่ีทําใหชางปาลงมากิน และคุมครองชางปา อันนําไปสูความรวมมือท่ีดีระหวางประชาชน พชื ไรข องเกษตรกร จนกอ ใหเ กดิ ความขดั แยง ระหวา งคนกบั ชา งปา ตามมา กับรัฐ 175 ศาสตร์และศลิ ป์ การจัดการทรพั ยากรสตั วป์ า่ ในพืน้ ทค่ี ุ้มครอง

แนวทางการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนกับช้างป่า 6. การจัดท�ำแนวเชื่อมต่อนิเวศของถิ่นที่อาศัยของช้างป่าและ ของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ปา่ และพันธุพ์ ืช สตั วป์ า่ ในกลมุ่ ปา่ ตา่ งๆ ของประเทศไทยและประเทศเพอ่ื นบา้ นทอ่ี ยแู่ นว 1. พื้นท่ีอนุรักษ์ที่มีช้างป่าออกมาหากินพืชผลทางการเกษตร ชายแดน เพอ่ื ใหช้ า้ งปา่ สามารถเคลอ่ื นยา้ ยไปมาได้ สามารถชว่ ยใหช้ า้ งปา่ ของราษฎร จะต้องด�ำเนินการตรวจสอบพื้นท่ีว่า พื้นที่นั้นมีสถานะเป็น มีการอพยพย้ายถ่ินท่ีอาศัยเม่ือมีประชากรเพ่ิมข้ึนในพื้นท่ีอนุรักษ์ใดๆ อะไร มีพื้นท่ีเท่าไร สมควรจะต้องด�ำเนินการอย่างไรกับพ้ืนที่น้ันๆ สามารถเคลอื่ นยา้ ยไปมาไดใ้ นเขตแนวเชอ่ื มตอ่ ดงั กลา่ วไปยงั พนื้ ทอ่ี นรุ กั ษ์ 2. เมอื่ ดำ� เนนิ การกบั พน้ื ทแี่ ลว้ ในกรณที ไี่ ดร้ บั คนื พนื้ ทมี่ าบางสว่ น ทอ่ี ยู่ใกลเ้ คยี งกนั ควรมีการวางแผนการฟื้นฟูและพัฒนาอย่างเป็นรูปแบบ มุ่งเน้นให้ เกิดประโยชน์ต่อช้างป่าและสัตว์ป่าให้มากท่ีสุด ในส่วนพื้นท่ีอนุรักษ์ให้ แนวทางการจดั การแนวเชอื่ มตอ่ ถน่ิ ทอี่ าศยั สำ� หรบั สตั วป์ า่ ด�ำเนินการตรวจสอบว่าบริเวณใดสมควรจะด�ำเนินการฟื้นฟูและพัฒนา ใหเ้ ปน็ ถิน่ ที่อาศัยและหากนิ ของช้างปา่ และสัตวป์ า่ ไดบ้ า้ ง โดยต้องจัดทำ� การแตกเปน็ หยอ่ มป่า (Forest Fragmentation) แผนการปฏิบัติงานแกไ้ ขปัญหาตอ่ ไป ในช่วงครึ่งศตวรรษท่ีผ่านมาประมาณว่าครึ่งหน่ึงของพ้ืนที่ 3. พื้นที่อนุรักษ์ที่มีช้างป่าออกมาหากินพืชผลทางการเกษตร ระบบนิเวศบนบกของโลกได้มีการสูญเสียพื้นที่ป่าไม้และเกิดการ ของราษฎรจะต้องจัดเจ้าหน้าที่ส�ำหรับเฝ้าระวังและขับไล่ช้างป่าไม่ให้ เปลยี่ นแปลงสภาพจากการใชป้ ระโยชนท์ ด่ี นิ อยา่ งถาวร สาเหตดุ งั กลา่ วน้ี ลงมาในพน้ื ทเ่ี กษตรกรรมของราษฎร ตลอดจนสำ� รวจความเสยี หายทกุ ครง้ั เป็นภัยคุกคามหลักต่อความเป็นอยู่ของความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อประกอบการช่วยเหลือเยียวยาให้กับราษฎรท่ีได้รับความเสียหาย การเปลยี่ นแปลงของสภาพพน้ื ทปี่ า่ ไมจ้ นกลายเปน็ การใชป้ ระโยชนท์ ดี่ นิ โดยใช้เงินกองทุนช่วยเหลอื อาหารช้างปา่ แห่งประเทศไทยตอ่ ไป ประเภทอื่นๆ อาทิเช่น พ้ืนที่เพื่อการเพาะปลูกและการปศุสัตว์ พื้นที่ 4. ประสานกับหน่วยงานที่เก่ียวข้อง เพ่ือด�ำเนินการส่งเสริม เพื่อการอุตสาหกรรม แหล่งน�้ำถาวรขนาดใหญ่ ตลอดจนเป็นพื้นท่ีเพื่อ อาชพี อน่ื ๆ ใหก้ บั ราษฎร ในพน้ื ทรี่ อบๆ ปา่ อนรุ กั ษเ์ พอื่ จะไดล้ ดการปลกู พชื เป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ ถือได้ว่าเป็นปัญหาส�ำคัญต่อการสูญเสียถ่ินท่ี เกษตรทีเ่ ปน็ อาหารชา้ งป่าและสัตว์ปา่ อาศยั ของชนิดพันธุ์พืชและสัตวป์ า่ ที่สามารถพบเห็นไดใ้ นประเทศตา่ งๆ 5. จัดให้มีการประชุมเพ่ือสร้างองค์กรเครือข่ายเกี่ยวกับการ ทวั่ โลก การสญู เสยี ถน่ิ ทอ่ี าศยั (habitat loss) กอ่ ใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลง อนุรักษ์ช้างป่าและสัตว์ป่าอื่นๆ และก�ำหนดแนวทางในการปฏิบัติงาน ของขนาดพน้ื ทป่ี า่ ไมห้ รอื พน้ื ทธี่ รรมชาตทิ ใี่ นอดตี เคยเปน็ พนื้ ทขี่ นาดใหญ่ ในพนื้ ที่มุ่งเนน้ การทำ� งานแบบมีสว่ นร่วม และตอ่ เนอ่ื งเปน็ ผนื เดยี วกนั กลบั กลายเปน็ ผนื ปา่ ทมี่ กี ารแตกเปน็ หยอ่ มๆ 176 ศาสตร์และศิลป์ การจัดการทรพั ยากรสัตว์ป่าในพน้ื ทค่ี ุ้มครอง

เขาอ่างฤาไน เขาอ่างฤาไน เขาชะเมา – เขาวง เขาชะเมา – เขาวง เขาอา่ งฤาไน เขาอา่ งฤาไน เขาชะเมา – เขาวง เขาชะเมา – เขาวง ภาพถา่ ยสผี สมเทจ็ ของดาวเทียม Landsat แสดงความเปลี่ยนแปลงของพ้นื ท่ปี า่ บรเิ วณแนวเชื่อมต่อระบบนิเวศ ของพน้ื ทอี่ ทุ ยานแหง่ ชาตเิ ขาชะเมา – เขาวง และเขตรักษาพนั ธสุ์ ัตว์ปา่ เขาอา่ งฤาไน พน้ื ท่สี ีแดง คอื พน้ื ทป่ี ่า สีเหลืองและสีฟ้าเป็นพ้ืนทเี่ กษตรกรรมและท่ีอยอู่ าศยั ผืนปา่ ถกู แบง่ แยกออกเปน็ หย่อมป่าที่มขี นาดเลก็ ลง ทมี่ า : ทรงธรรม และธรรมนญู (2557) (fragmentation) เกิดเป็นหย่อมป่าที่มีขนาดใหญ่บ้าง ขนาดเล็กบ้าง ตามระยะเวลาท่ปี ลี่ยนแปลงไป การแตกเปน็ หยอ่ มปา่ เป็นคำ� ท่ีใชใ้ นการ กระจายอยทู่ า่ มกลางสภาพพนื้ ทโ่ี ดยรอบทเี่ ปน็ การพฒั นามาจากกจิ กรรม อธบิ ายถงึ ภาวะของการเปลย่ี นแปลงพน้ื ทท่ี ม่ี ขี นาดใหญท่ ถี่ กู ปกคลมุ ดว้ ย ของมนุษย์ ผลจากการเปล่ยี นแปลงดงั กลา่ ว ท�ำให้เกดิ การเปลย่ี นแปลง พืชพรรณ จากการท�ำลายที่ยังไม่สมบูรณ์ก่อให้เกิดการเหลือหย่อมพื้นท่ี ตอ่ รปู แบบของสภาพภมู ปิ ระเทศ (landscape pattern) ของระบบนเิ วศ ทมี่ ีพชื พรรณขนาดเลก็ ๆ ที่ถูกแบ่งแยกออกจากกนั ฉะน้ัน การแตกเป็น โดยรวม โดยเฉพาะอย่างย่ิงการลดลงของพ้ืนที่ป่าไม้ตามธรรมชาติและ หย่อมป่าจึงมีความหมายถึงการเปลี่ยนแปลงของถ่ินท่ีอาศัยท่ีอดีตเคย การเพิ่มขึ้นของระยะห่างระหว่างหยอ่ มป่าเป็นหยอ่ ม ตอ่ เนอื่ งทเี่ ปน็ ผนื เดยี วกนั กลายเปน็ หยอ่ มทอ่ี าศยั ทมี่ คี วามผนั แปรทงั้ ทางดา้ น Bennett (2003) ได้ช้ีให้เห็นถึงกระบวนการการเกิดการแตก ขนาดและรูปลักษณท์ างภมู ปิ ระเทศ (landscape configuration) กระจายของผืนป่าว่าเป็นพลวัตการเปล่ียนแปลงของรูปแบบถิ่นที่อาศัย 177 ศาสตร์และศลิ ป์ การจัดการทรพั ยากรสัตว์ปา่ ในพน้ื ทค่ี ุม้ ครอง

3. การแตกเป็นหย่อมป่าถือได้ว่ามีผลกระทบต่อระบบนิเวศ ทั้งในระดับท้องถิ่น (local landscape) และระดับภูมิภาค (regional landscape) อกี ทัง้ ยงั มผี ลกระทบตอ่ โครงสรา้ ง (structure) และหน้าที่ (function) ของระบบนิเวศอีกดว้ ย สำ� หรบั กระบวนการเกดิ การแตกเปน็ หยอ่ มปา่ มกี ระบวนการตาม ข้นั ตอนตา่ งๆ สรปุ ไดด้ ังน้ี 1. การตดั ผา่ น (dissection) ขนั้ แรกของการเรม่ิ ตน้ การเกดิ การ แตกเปน็ หยอ่ มปา่ มกี ารพฒั นาเสน้ ทางคมนาคมประเภทตา่ งๆ ไดแ้ ก่ ถนน ทางเกวยี น ทางเดินเท้า หรือทางรถไฟ เปน็ การเพิ่มความสามารถในการ เขา้ ถึงพ้ืนที่ปา่ ของมนษุ ย์ กล่าวได้วา่ การเขา้ มาของเสน้ ทางคมนาคมเป็น จดุ เรมิ่ ตน้ ของการเกดิ การสูญเสยี ถิน่ ที่อาศัย 2. การกลายเป็นรูทะลุของผืนป่า (perforation) เกิดจาก กจิ กรรมตา่ งๆ ของมนษุ ย์ โดยการทำ� ลายพน้ื ทขี่ นาดเลก็ ๆ ใหเ้ ปน็ ทอี่ าศยั หรอื ปลกู พชื เกษตรในปา่ เสมอื นเปน็ การเจาะเปน็ รทู ะลใุ นพน้ื ทธ่ี รรมชาติ มกี ารสรา้ งทางเดนิ เทา้ หรอื ทางเกวยี น และการสรา้ งถนนเพอ่ื การคมนาคม อตั ราการสญู เสยี ถนิ่ ทอี่ าศยั จะเรว็ หรอื ชา้ ผนั แปรไปตามระดบั ความเขม้ ขน้ ของกจิ กรรมของมนุษย์ 3. การแตกเปน็ หยอ่ มปา่ (fragmentation) เมอ่ื มกี ารตงั้ ถน่ิ ฐาน ของมนษุ ยเ์ กดิ ขนึ้ การขยายพนื้ ทเ่ี ปน็ เขตหมบู่ า้ น ตำ� บลหรอื เขตเมอื งและ พนื้ ทเี่ กษตรกรรมเปน็ ไปอยา่ งรวดเรว็ ทำ� ใหพ้ น้ื ทธี่ รรมชาตเิ รมิ่ แยกตวั หา่ ง ออกจากกนั และทา้ ยทส่ี ดุ เกดิ เปน็ หยอ่ มปา่ ขนาดใหญ่ อยา่ งไรกต็ าม พน้ื ที่ สว่ นใหญท่ ี่อยโู่ ดยรวมยงั คงมีสภาพเปน็ ปา่ ธรรมชาติอยู่ แนวเช่ือมตอ่ ระบบนิเวศในรปู แบบต่างๆ 4. การลดจำ� นวนพน้ื ทปี่ า่ (attrition) ในระยะเวลาทผ่ี า่ นไปตาม ท่ีมา : ทรงธรรม และธรรมนญู (2557) รนุ่ ตา่ งๆ ของมนษุ ย์ การขยายพนื้ ทท่ี ที่ ำ� กนิ ของมนษุ ยท์ ำ� ใหพ้ น้ื ทห่ี ยอ่ มปา่ การเกิดการแตกเป็นหย่อมป่า (Forest Fragmentation ขนาดใหญ่กลายเป็นหย่อมป่าขนาดเล็ก ขณะท่ีพื้นที่โดยรอบมีการ Process) เปล่ียนแปลงสภาพไปเป็นพื้นที่การใช้ประโยชน์ของมนุษย์ประเภทอื่นๆ จากการศึกษาของ Bennett (2003) พบว่าการเกิดการแตกเปน็ มากย่งิ ข้ึน เชน่ พ้นื ท่ีเพอื่ การเกษตร การเลย้ี งปศุสัตว์และเขตชานเมือง หยอ่ มป่าประกอบดว้ ยส่วนท่สี �ำคญั 3 ประการ คอื เป็นต้น ในท่ีสุดพ้ืนท่ีป่าธรรมชาติส่วนใหญ่ถูกพัฒนากลายเป็นพ้ืนท่ี 1. การเกิดการสูญเสียถิ่นท่ีอาศัย ได้แก่ การลดลงของพ้ืนท่ี ส�ำหรบั การอยูอ่ าศัยและประกอบกิจกรรมตา่ งๆ สำ� หรบั มนษุ ยน์ ั่นเอง ถ่ินท่ีอาศัยภายหลังจากเกิดการแบ่งแยกของพื้นท่ีและการท�ำลายพ้ืนที่ บางสว่ นออกไป (habitat reduction) ผลกระทบทีเ่ กิดขนึ้ จากการแตกเปน็ หยอ่ มปา่ 2. การเพมิ่ ระดบั ความโดดเดย่ี วของถนิ่ ทอ่ี าศยั โดยการเพม่ิ ขน้ึ โดยทว่ั ไปแลว้ พน้ื ทท่ี ม่ี กี ารใชป้ ระโยชนท์ ด่ี นิ ของมนษุ ยอ์ ยา่ งเขม้ ขน้ ของระยะทางระหว่างหย่อมป่าท่ีเหลืออยู่ ขณะท่ีการใช้ประโยชน์พื้นที่ มักจะเป็นพ้ืนที่ท่ีเคยมีความเหมาะสมต่อการอยู่อาศัยของสัตว์ป่า เป็น ดินประเภทอน่ื ๆ เกดิ ขึน้ มาแทนท่ีระหว่างหยอ่ มปา่ (habitat isolation) พ้ืนท่ีที่มีสภาพภูมิประเทศเป็นท่ีราบลุ่ม หรือในที่ราบหุบเขาขนาดใหญ่ 178 ศาสตร์และศิลป์ การจัดการทรพั ยากรสตั วป์ า่ ในพ้นื ท่ีค้มุ ครอง

- 126 - 3. การแตกเป็นหย่อมป่า (Fragmentation) เมื่อมีการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์เกิดขึ้น การขยายพื้นที่เป็นเขตหมู่บ้าน ตำบลหรือเขตเมืองและพื้นที่เกษตรกรรมเป็นไปอย่างรวดเร็วทำให้พื้นที่ธรรมชาติเริ่มแยกตัวห่างออกจากกันและ ท้ายที่สุดเกิดเป็นหย่อมป่าขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตามพื้นที่ ส่วนใหญ่ที่อยู่โดยรวมยังคงมีสภาพเป็นป่าธรรมชาติอยู่ 4. การลดจำนวนพื้นที่ป่า (Attrition) ในระยะเวลาที่ผ่านไปตามรุ่นต่างๆ ทม่ี คี วามลาดชนั ไมม่ ากนกั และไมไ่ กลจากแหลง่ นำ้� มกั จะถกู ยดึ ครองโดย ของมนุษย์การขยายพื้นที่ที่ทำกินของมนุษย์ทำให้พื้นที่หย่อมป่าขนาดใหญ่กลายเป็นหย่อมป่าขนาดเล็ก ชมุ ชนทอ่ี ยใู่ กลเ้ คยี งกบั พนื้ ทป่ี า่ ไม้ การลดลงของขนาดหยอ่ มปา่ ทเี่ หมาะสม ขณะที่พื้นที่โดยรอบมีการเปลี่ยนแปลงสภาพไปเป็นพื้นที่การใช้ประโยชน์ของมนุษย์ประเภทอื่นๆ มากยง่ิ ขน้ึ เชน่ ต่อการเป็นถ่ินท่ีอาศัยของสัตว์ป่าและการเพิ่มขึ้นของบริเวณขอบป่า พื้นที่เพื่อการเกษตร การเลี้ยงปศุสัตว์และเขตชานเมือง เป็นต้น ในที่สุดพื้นที่ป่าธรรมชาติส่วนใหญ่ก็ถูกพัฒนากลายเป็นพื้นที่สำหรับการอยู่อาศัยและประกอบกิจกรรมต่างๆ (forest edge) ทมี่ อี ยอู่ ยา่ งตอ่ เนอ่ื งกบั พน้ื ทก่ี ารใชป้ ระโยชนท์ ดี่ นิ ประเภท สำหรับมนุษย์นั่นเอง ต่างๆ โดยรอบ พบว่าในระยะยาว พื้นท่ีหย่อมป่าท่ีเหลือมีแนวโน้มจะ ลดขนาดลงอีกและอาจจะหายไปในท่ีสุด หรือกลายเป็นพื้นที่ป่าชุมชน พ4นื ทปAี ่า ทมี่ กี ารอนรุ กั ษโ์ ดยชมุ ชน การเปลย่ี นแปลงทางดา้ นองคป์ ระกอบของนเิ วศ ของถ่ินที่อาศัยเกิดจากความกดดันจากการใช้ประโยชน์ท่ีดินในรูปแบบ ตา่ งๆ ทเี่ กดิ จากกจิ กรรมของมนษุ ย์ การบกุ รกุ ดงั กลา่ วมไิ ดเ้ กดิ โดยบงั เอญิ แตเ่ ปน็ ความตงั้ ใจของมนษุ ยท์ ต่ี อ้ งการเปลย่ี นสภาพการใชป้ ระโยชนท์ ดี่ นิ = เส้นทางคมนาคม เช่น การเลอื กพ้นื ทีเ่ พือ่ การเกษตรท่มี ีความอดุ มสมบรู ณข์ องดินสูง ท�ำให้ = พื้นที่ที่อาศัยและพื้นที่การเกษตรของมนุษย์ เกดิ พนื้ ทเ่ี กษตรกรรมใกลเ้ คยี งกบั พนื้ ทหี่ ยอ่ มปา่ เกดิ การเปลย่ี นแปลงรปู รา่ ง ของหยอ่ มปา่ เนอ่ื งจากแรงกดดนั จากการใชป้ ระโยชนข์ องมนษุ ยร์ อบพนื้ ที่ พบวา่ หยอ่ มปา่ ทม่ี รี ปู รา่ งไมส่ มำ�่ เสมอยอ่ มมเี สน้ รอบรปู ยาวกวา่ หยอ่ มปา่ ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการแตกเป็นหย่อมป่า ที่มีรูปร่างกลมหรือสี่เหลี่ยม และพ้ืนท่ีหย่อมป่าดังกล่าวมักมีความเสี่ยง โดยทั่วไปแล้วพื้นที่ที่มีการใช้ประโยชน์ที่ดินของมนุษย์อย่างเข้มข้น มักจะเป็นพื้นที่ที่เคยมีความเหมาะสมต่อการอยู่อาศัยของสัตว์ป่า เป็นพื้นที่ที่มีสภาพภูมิประเทศเป็นที่ราบลุ่ม ศาสตร์และศลิ ป์ การจัดการ1ทหกม7ราักรพั9รือจลยใะนดถาลทูกกงี่รยรขาึดสอบคตังหรขวุบอนป์ งเาขโา่ ดดาใหขยนนชยพุม่าอื้นดชมใทนปหทค่ี่าญที่อุ้ม่ี่เยคมหู่ใีครมกอวาลาะง้เมคสลียมางตกด่อับชกันพาไื้นรมเทป่มี่ป็นา่ากถไนิ่นมักท้ แี่อลาะศไัยมข่ไอกงลสจัตาวก์ปแ่าหแลล่งะนก้ำารเพิ่มขึ้นของบริเวณขอบป่า (Forest edge) ที่มีอยู่อย่างต่อเนื่องกับพื้นที่การใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทต่างๆ โดยรอบ พบว่าในระยะยาว

ต่อการถูกคุกคามท่ีสูงขึ้น เนื่องจากความขัดแย้งระหว่างหย่อมป่าและ พน้ื ทข่ี อบโดยรอบมีมากขึ้นตามช่วงเวลาทผี่ ่านไป ผลกระทบท่ีเกิดขึ้นจากการแตกเป็นหย่อมป่า หย่อมป่าที่ กระจัดกระจายอยู่ทั่วไปมักมีความใกล้เคียงกันในระดับที่แตกต่างกันไป ในแตล่ ะพน้ื ทแ่ี ละผนั แปรไปตามแรงกดดนั จากความตอ้ งการใชป้ ระโยชน์ ทด่ี นิ โดยรอบของชมุ ชน หยอ่ มปา่ จะไมเ่ หมาะสมตอ่ การเปน็ ถน่ิ ทอี่ าศยั ของ พืชพรรรณหรือท�ำให้สัตว์ป่าอยู่ห่างกันมากขึ้น หรือหย่อมป่าเหล่าน้ันมี ขนาดเลก็ ลง ประชากรของสง่ิ มชี วี ติ ทอ่ี าศยั อยมู่ กั มคี วามเสยี่ งตอ่ การสญู พนั ธ์ุ เรว็ ขน้ึ เปน็ ไปตามทฤษฎชี วี ภมู ศิ าสตรแ์ บบเกาะ (Island biogeography theory) โดย Levins (1969) กล่าวว่า ทฤษฎีการเกิดประชากรย่อย (metapopulation) ภายหลังที่พื้นที่เกิดหย่อมป่า สิ่งมีชีวิตโดยเฉพาะ อยา่ งยงิ่ สตั วป์ า่ ไมส่ ามารถเคลอื่ นทไ่ี ปมาอยา่ งอสิ ระระหวา่ งถนิ่ ทอี่ าศยั ได้ เช่นในอดีต ประชากรสิ่งมีชีวิตมีแนวโน้มถูกกักให้อาศัยอยู่ในเฉพาะ หย่อมป่าน้ันๆ ก่อให้เกิดปัญหาการผสมเลือดชิด (inbreeding) หรือ การผสมพนั ธุ์ภายในประชากรที่มลี ักษณะดอ้ ยทางพนั ธกุ รรม เปน็ เหตใุ ห้ พันธุกรรมของประชากรย่อยน้ันๆ ขาดความหลากหลาย อ่อนแอ และ มจี ำ� นวนลดลงในทสี่ ดุ จากทฤษฎผี ลกระทบดงั กลา่ วนเ้ี องเปน็ แรงขบั เคลอ่ื น ที่ส�ำคัญท่ีท�ำให้นักอนุรักษ์ด้านการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ หนั มาใหค้ วามสนใจในการออกแบบและจดั ทำ� ทางเชอ่ื มตอ่ ระหวา่ งหยอ่ มปา่ โดยเฉพาะการให้น้�ำหนักไปกับการออกแบบทางเช่ือมต่อส�ำหรับสัตว์ป่า ท่ีอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์มากกว่าสิ่งมีชีวิตประเภทอ่ืนๆ ทั้งนี้ เนอื่ งจากสตั วป์ า่ มกี ารเคลอื่ นทไี่ มอ่ ยนู่ งิ่ กบั ที่ การแตกเปน็ หยอ่ มปา่ สง่ ผล ตอ่ สตั วป์ า่ สตั วป์ า่ จงึ มคี วามจำ� เปน็ ตอ้ งมกี ารเคลอ่ี นทไ่ี ปมาระหวา่ งถน่ิ ที่ อาศยั ทแ่ี ตกตา่ งกนั โดยมเี หตผุ ลดงั น้ี 1. เพ่ือเสาะแสวงหาแหล่งอาหารที่เกิดข้ึนอยู่ในหย่อมป่าใน แต่ละวัน 2. เพื่อใช้แหล่งทรัพยากรในบางช่วงเวลาอาจจะเป็นรอบวัน หรอื รอบเดอื น 3. เพ่ือใช้สภาพแวดล้อมเฉพาะในบางฤดูกาล เป็นการย้ายถ่ิน หรืออพยพยา้ ยถ่ินตามฤดูกาล 4. เพอ่ื เปน็ แหลง่ ทอ่ี ยอู่ าศยั ในชว่ งชวี ติ ทแี่ ตกตา่ งกนั ตามฤดกู าล 5. เพอื่ กลบั มาสืบพนั ธุใ์ หล้ ูกในรอบปี 6. เพ่ืออพยพไปต้ังถิ่นฐานในสภาพแวดล้อมใหม่ 180 ศาสตรแ์ ละศิลป์ การจดั การทรัพยากรสัตว์ปา่ ในพื้นทคี่ มุ้ ครอง

7. เพอื่ การขยายพ้ืนทก่ี ารแพร่กระจาย 8. เพือ่ หาท่อี ย่ใู หมต่ ามการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ 9. เพ่ือการอพยพระหว่างเกาะหรือทวีป จากความตอ้ งการของสงิ่ มชี วี ติ ในการเคลอ่ื นทห่ี าแหลง่ ถน่ิ ทอ่ี าศยั ในระบบนเิ วศบนพ้นื ดินนน้ั พบวา่ สง่ิ มชี วี ติ ต่างๆ โดยเฉพาะสัตว์ป่าเป็น สงิ่ มชี วี ติ ทีส่ รา้ งอาหารเองไมไ่ ด้ จงึ มคี วามสามารถในการเคลื่อนท่สี ูงเพื่อ เสาะแสวงหาแหล่งอาหาร แสดงให้เห็นว่าสัตว์ป่าประสบปัญหาในการ เคล่ือนท่ีท่ีเห็นได้ชัดเจน ในสภาวการณ์ปัจจุบันสัตว์ป่าเลี้ยงลูกด้วยนม ขนาดกลางหรอื ขนาดใหญม่ กั จะถกู จำ� กดั ใหห้ ากนิ อยใู่ นพนื้ ทที่ ม่ี ขี นาดเลก็ โดยทว่ั ไปแลว้ พน้ื ทห่ี ยอ่ มปา่ ขนาดเลก็ ดงั กลา่ วไมส่ ามารถตอบสนองความ ตอ้ งการขน้ั พนื้ ฐานตอ่ การดำ� รงชวี ติ ของประชากรสตั วป์ า่ ได้ ฉะนนั้ จงึ ถอื ไดว้ า่ สภาพการแตกเปน็ หย่อมป่าที่พบอยู่ในปัจจุบนั เป็นอปุ สรรคส�ำคัญ ตอ่ การเคลอ่ื นทขี่ องสตั วป์ า่ ในธรรมชาตแิ ละจดั ใหเ้ ปน็ ภยั คกุ คามทสี่ ำ� คญั ที่สุดตอ่ ความหลากหลายทางชวี ภาพทุกระดับ ความหมายและแนวคดิ ของแนวเชื่อมต่อถ่นิ ทอ่ี าศยั (Definitions and Concepts of Habitat Linkage) คำ� วา่ ทางเชอื่ มตอ่ หรอื แนวเชอ่ื มตอ่ ถน่ิ ทอ่ี าศยั (habitat linkage) มกี ารใชก้ นั มากมายในหลายสาขาวชิ า แตก่ ม็ กี ารใหค้ วามหมายทใี่ กลเ้ คยี ง กนั เชน่ Beier et al. (2005) ไดใ้ หค้ วามหมายของคำ� วา่ habitat linkage ไวว้ า่ “a swath of land that is best expected of serve movement needs of an individual species after the remaining matrix has been converted to other uses” แตถ่ า้ หากจะใหค้ วามหมายในภาษา ไทย จากหลายบทนิยามตามท่ีได้ศึกษามา จึงให้ความหมายของค�ำว่า แนวเชอ่ื มตอ่ ไวว้ า่ “แนวเชอื่ มตอ่ หมายถงึ พน้ื ทขี่ นาดเลก็ โดยมากมกั มี รูปร่างเป็นแถบยาวช่วยท�ำหน้าที่ตอบสนองความต้องการของชนิดพันธุ์ เฉพาะทตี่ อ้ งการเคลอ่ื นทร่ี ะหวา่ งหยอ่ มปา่ ทแ่ี ตกตา่ งกนั ได้ โดยแนวเชอื่ มตอ่ มกั มชี นดิ พนั ธพ์ุ ชื ใกลเ้ คยี งกบั ถนิ่ ทอี่ าศยั หลกั ทตี่ งั้ อยใู่ กลเ้ คยี ง” จะเห็นได้ว่าค�ำจ�ำกัดความดังกล่าวได้เน้นย้�ำถึงความส�ำคัญของ ความสามารถในการเคล่ือนท่ีของชนิดพันธุ์จากถ่ินที่อาศัยแห่งหน่ึงผ่าน แนวเชื่อมต่อไปยังถ่ินท่ีอาศัยอยู่ห่างไกลออกไป โดยแนวเช่ือมต่อน้ีอาจ เป็นท่ีต้องการของชนิดพันธุ์เฉพาะในบางช่วงเวลาหนึ่งหรือทุกช่วงเวลา ของวงจรชีวิต ขณะที่ความหมายของถ่ินท่ีอาศัย (habitat) หมายถึง บริเวณพื้นท่ีท่ีมีความเหมาะสมทั้งในแง่ของการสนับสนุนปัจจัยพื้นฐาน 181 ศาสตรแ์ ละศิลป์ การจัดการทรัพยากรสตั วป์ า่ ในพ้นื ท่คี ้มุ ครอง

ต่างๆ ในการด�ำรงชีวิต เช่น แหล่งอาหาร แหล่งหลบภัย แหล่งน�้ำและ อยใู่ นสภาพแวดลอ้ มทเี่ ออื้ อำ� นวยใหช้ นดิ พนั ธส์ุ ามารถอยรู่ อดและสามารถ สืบพันธ์ุออกลูกออกหลานตอ่ ไปได้ มมุ มองของแนวเชอ่ื มตอ่ ทสี่ ำ� คญั สามารถแยกออกได้ 2 ประการคอื 1. มมุ มองทางด้านโครงสร้าง (structure perspective) เป็น การพิจารณาแนวเชื่อมต่อโดยเน้นไปท่ีลักษณะหรือรูปลักษณ์ภายนอก ของแนวเชอ่ื มต่อ เชน่ ความยาว ความกว้าง หรอื ความโค้งของทางเช่อื ม ตอ่ หรอื อกี นยั หนงึ่ คอื การพจิ ารณาถงึ การมกี ารเชอ่ื มตอ่ ทางดา้ นโครงสรา้ ง เทา่ นั้น 2. มุมมองทางด้านบทบาทหน้าท่ี (function perspective) เปน็ การพจิ ารณาเชอื่ มตอ่ ในฐานะของความสามารถทท่ี ำ� ใหม้ กี ารเชอื่ มตอ่ กันได้ (connectivity) โดยความสามารถในการเช่ือมต่อน้ันเป็นสิ่งท่ี บอกได้ว่าพืชหรือสัตว์สามารถเคลื่อนย้ายระหว่างหย่อมป่าหรือหมู่เกาะ และสภาพแวดลอ้ มของแนวเชอื่ มตอ่ ทช่ี นดิ พนั ธน์ุ นั้ ๆ จะสามารถผา่ นไปมา ไปได้ดว้ ยความยากงา่ ยเพยี งใด ไดห้ รอื ไม่ อาจจะกลา่ วไดว้ า่ การเขา้ ใจถงึ องคป์ ระกอบทางดา้ นพฤตกิ รรม ฉะนั้น นักวิชาการที่เกี่ยวข้องกับการจัดการพื้นท่ีแนวเช่ือมต่อมี อยา่ งแทจ้ รงิ ของชนดิ พนั ธแ์ุ ตล่ ะชนดิ ทเ่ี ปน็ เปา้ หมายการอนรุ กั ษ์ เปน็ สง่ิ สำ� คญั ความจ�ำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพิจารณาถึงความสามารถในการเคลื่อนท่ี อันดับแรกท่ีสุดท่ีจะรับประกันถึงความส�ำเร็จของการใช้แนวเชื่อมต่อ ของชนิดพันธุ์สิ่งมีชีวิตท่ีจะผ่านไปมาตามทางเชื่อมต่อ และต้องจดจ�ำไว้ ระหวา่ งผนื ป่าเพื่อการอนุรักษค์ วามหลากหลายทางชีวภาพ ว่าสิ่งมีชีวิตต่างชนิดกันย่อมมีความสามารถในการเคลื่อนท่ีท่ีแตกต่างกัน จงึ มคี วามจำ� เปน็ ทจี่ ะตอ้ งออกแบบทางเชอื่ มตอ่ ใหเ้ หมาะสมกบั พฤตกิ รรม เป้าหมายของแนวเช่ือมต่อระหว่างถิ่นที่อาศัยในผืนป่า ของชนดิ พันธนุ์ ั้นๆ Bennett (2003) ไดย้ ้�ำให้เห็นถงึ ความส�ำคญั ของการ (Habitat Linkage) ส่งเสริมให้เกิดความสามารถในการจัดการเชื่อมต่อกับทางด้านหน้าท่ี มีความจ�ำเป็นท่ีผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต้องเข้าใจถึงบทบาทและหน้าท่ี (functional connectivity) มากกวา่ ทจ่ี ะมงุ่ เนน้ การเชอื่ มตอ่ เฉพาะทาง ของทางเชอ่ื มทม่ี ตี อ่ ระบบนเิ วศ หนา้ ทห่ี ลกั ของแนวเชอ่ื มคอื การสนบั สนนุ ดา้ นกายภาพเท่าน้นั (physical connectivity) ใหพ้ ิจารณาถึงคณุ ภาพ (enhance) ใหเ้ กดิ ความสามารถในการเช่ือมตอ่ กันของสิ่งมชี ีวิตระหว่าง หยอ่ มปา่ ทกี่ ระจดั กระจายอยทู่ วั่ ไป กลา่ วคอื เปน็ การสนบั สนนุ หรอื ชว่ ยเหลอื ใหเ้ กดิ การเคลอื่ นทข่ี องสง่ิ มชี วี ติ โดยเฉพาะสตั วป์ า่ สามารถเคลอ่ื นยา้ ยไปมา ระหวา่ งหยอ่ มถน่ิ ทอี่ าศยั ทม่ี รี ะยะทางหา่ งจากกนั ได้ การสนบั สนนุ ใหเ้ กดิ มี ความเชอ่ื มต่อกนั ระหว่างหย่อมป่าตา่ งๆ น้นั จะช่วยใหส้ งิ่ มชี ีวิตมีโอกาส แลกเปล่ียนพันธุกรรมระหว่างประชากรที่แยกจากกันมากข้ึนเปิดโอกาส ให้ประชากรส่ิงมีชีวิตต้ังถิ่นฐานในพื้นท่ีแห่งใหม่ รวมทั้งการเพิ่มโอกาส ในการเสาะแสวงหาปัจจัยส�ำคัญหลักในการด�ำรงชีวิต (keystone resources) ได้มากขึ้น การจัดการพื้นท่ีคุ้มครองในลักษณะกลุ่มป่า โดยการจดั ใหม้ กี ารเชอื่ มตอ่ ระหวา่ งผนื ปา่ ตา่ งๆ ถอื ไดว้ า่ เปน็ หนง่ึ ในกลยทุ ธ์ หลักส�ำคัญในการจัดการพ้ืนท่ีคุ้มครองแบบเป็นระบบ (systematic conservation) ฉะนน้ั ขอ้ ดขี องการจดั ใหม้ แี นวเชอ่ื มตอ่ ระหวา่ งหยอ่ มปา่ 182 ศาสตรแ์ ละศลิ ป์ การจดั การทรพั ยากรสตั วป์ า่ ในพ้นื ท่ีคุม้ ครอง

สามารถสรปุ ไดด้ งั น้ี 1. เพม่ิ อตั ราการอพยพเขา้ สพู่ ้ืนท่คี ุ้มครอง โดยชว่ ยให้เกิดการ 1.1 เพม่ิ หรือรักษาความหลากหลายของชนิดพันธ์ุ 1.2 เพิ่มขนาดของประชากรแต่ละชนิดพันธุ์และช่วยลด โอกาสสญู พันธุ์ เกดิ การต้งั ถน่ิ ฐานใหม่ของบางประชากรในระดบั ท้องถนิ่ ซึง่ ได้สูญพันธุไ์ ปก่อนในอดีต 1.3 ปอ้ งกนั ไมใ่ หเ้ กดิ ความกดดนั ภายในประชากรจนเกดิ การ ผสมพันธุ์ในสายเลือดที่ใกล้ชิดกันและขณะเดียวกันเป็นการด�ำรงไว้ซึ่ง ความหลากหลายทางพนั ธุกรรมภายในประชากร 2. เพมิ่ พน้ื ทใี่ นการเสาะแสวงหาอาหาร เปน็ การชว่ ยใหช้ นดิ พนั ธ์ุ ทเ่ี คยอยใู่ นถน่ิ ทอ่ี าศยั ทไี่ มเ่ หมาะสมไดผ้ า่ นไปยงั พนื้ ทท่ี ม่ี คี วามเหมาะสมกวา่ 3. ท�ำหน้าท่ีเป็นพ้ืนที่คุ้มกันภัยส�ำหรับชนิดพันธุ์ในขณะที่มี การเคล่ือนทีร่ ะหว่างหย่อมปา่ 4. ก่อให้เกิดความหลากหลายของถิ่นที่อาศัย เพื่อช่วยให้สิ่งมี ชวี ติ ในแตล่ ะชว่ งชวี ติ สามารถเลอื กใชถ้ น่ิ ทอี่ าศยั ทเ่ี หมาะสมในพน้ื ทแี่ ละ ชว่ งเวลาท่ีต้องการตามวงจรชีวติ ของสตั ว์ชนดิ พนั ธุน์ น้ั 5. จัดหาพ้ืนท่ีท่ีเป็นทางเลือกส�ำหรับการหลบภัยของส่ิงมีชีวิต ในชว่ งทเี่ ผชญิ กบั การรบกวนทม่ี คี วามรนุ แรงมาก เชน่ ภยั จากไฟปา่ หรอื น�้ำท่วม เปน็ ตน้ 6. เกิดเสน้ ทางสเี ขยี ว (green belt) ช่วยชะลอการเติบโตของ เขตบา้ นเมอื งในทางออ้ ม สง่ เสรมิ ใหเ้ กดิ โอกาสทางดา้ นนนั ทนาการและชว่ ย พัฒนาทิวทศั น์ใหเ้ กิดความรม่ ร่ืนเปน็ การเพิ่มคุณค่าทางอ้อมใหก้ บั พ้นื ที่ 183 ศาสตรแ์ ละศลิ ป์ การจดั การทรพั ยากรสตั วป์ า่ ในพน้ื ท่ีคมุ้ ครอง

7. ส่งเสริมให้มีการดูแลคุณภาพของแหล่งน้�ำและการจัดการ แหลง่ นำ้� ทด่ี ขี น้ึ หนา้ ทีท่ างดา้ นนิเวศวทิ ยาของแนวเช่ือมต่อ (Ecological Function of Corridor) บทบาทของแนวเช่ือมต่อถ่ินท่ีอาศัยที่เห็นได้ชัดเจนท่ีสุดคือ การสนับสนุนให้สิ่งมีชีวิตสามารถกระจายและเคลื่อนตัวไปตามหย่อมท่ี อาศยั ทอ่ี ยหู่ า่ งไกลออกไปได้ Forman & Gordon (1986) ไดก้ ลา่ วถงึ บทบาทหน้าท่ีทางนิเวศวิทยาของแนวเชื่อมต่อถิ่นที่อาศัยว่ามีอยู่หลาย ประการ กลา่ วคอื 1. การเปน็ ถิ่นที่อาศยั (habitat) 2. การเป็นทางเช่อื มผ่าน (conduit) 3. การเปน็ ตัวกรอง (filter) 4. การเป็นตัวขดั ขวาง (barrier) 5. การเปน็ แหลง่ ผลิต (sources) 6. การเป็นแหล่งก�ำจัด (sink) นอกจากนี้ Hess & Fischer (2001) ไดเ้ น้นถงึ บทบาทของทาง เชื่อมต่อถ่นิ ทีอ่ าศยั ที่มีความสำ� คญั ทนี่ ักจัดการพน้ื ท่คี มุ้ ครองตอ้ งการ 1. บทบาทของทางเชื่อมต่อที่ท�ำหน้าท่ีช่วยเหลือการเคล่ือนที่ ของชนิดพนั ธุ์ (conduit function) 2. บทบาทของทางเช่ือมต่อที่ช่วยเหลือชนิดพันธุ์ในแง่การเป็น แหล่งอาหารและแหลง่ ผสมพันธ์ุด้วย (habitat function) โดยจะเรียก กล่มุ ของชนิดพนั ธสุ์ ัตว์ปา่ เหล่านวี้ า่ เปน็ ผ้อู าศยั ในทางเชือ่ มต่อ (corridor dwellers) บางชนิดพันธุ์อาจมีความสามารถในการเคล่ือนท่ีต�่ำ จ�ำเป็น ตอ้ งใชเ้ วลาหลายชั่วอายเุ พอ่ื การขยาย และ/หรอื ย้ายถ่นิ ฐานออกไปจาก ถ่ินเดิม แนวเชื่อมท่ีมีความกว้างมากๆ อาจช่วยให้สังคมแห่งชีวิตและ ระบบนิเวศสามารถอยู่ได้อย่างม่ันคง ท้ังสัตว์ป่าและพืชพรรณท่ีเป็น อาหารของสัตว์ป่า และชนิดพันธุ์สัตว์ป่าสามารถเคล่ือนท่ีไปมาระหว่าง พื้นทคี่ มุ้ ครองทมี่ ีขนาดใหญไ่ ด้ในชว่ งเวลาหลายชว่ั อายขุ องส่ิงชวี ติ ในทางตรงกันข้ามบทบาทการเป็นตัวกรองและตัวขัดขวางของ ทางเชื่อมต่อเป็นการพิจารณาบทบาทของบริเวณพื้นท่ีด้านนอกของ แนวเชื่อมต่อขั้นกลาง พื้นที่ที่อยู่ตรงข้ามกันของสองฝั่งทางเชื่อมต่อ ถูกแบ่งแยกออกจากกัน ฉะน้ัน หน้าที่ของแนวทางเชื่อมต่อเสมือนเป็น อปุ สรรคท่ไี ม่ให้สงิ่ มชี วี ติ บางประเภทข้ามไปมาได้โดยงา่ ย อาจมกี ารยอม 184 ศาสตรแ์ ละศลิ ป์ การจัดการทรพั ยากรสตั วป์ ่าในพื้นทค่ี มุ้ ครอง

185 ศาสตรแ์ ละศิลป์ การจดั การทรพั ยากรสตั วป์ ่าในพ้ืนทีค่ ้มุ ครอง

ให้สิ่งมชี วี ติ บางชนดิ ท่มี ีคณุ ลกั ษณะเฉพาะสามารถผ่านไปได้เท่านัน้ หรอื การเชอ่ื มต่อถน่ิ ที่อาศยั แบบโมเสค อาจไมย่ อมใหส้ ง่ิ มชี วี ติ ใดๆ ผา่ นไปเลยกไ็ ด้ เชน่ การใชล้ ำ� นำ้� เปน็ แนวเชอ่ื ม (habitat mosaics or landscape corridor) ตอ่ กนั ระหวา่ งทะเลสาบสองแหง่ ทที่ ำ� ใหส้ ตั วบ์ กขนาดเลก็ ไมส่ ามารถขา้ มไป มาได้ ขณะที่บทบาทในแง่ของการเป็นแหล่งผลิตและแหล่งก�ำจัดส่ิงมี ชวี ติ นน้ั เปน็ สงิ่ ทไ่ี มค่ อ่ ยไดร้ บั ความสนใจตอ่ การพจิ ารณาการออกแบบแนว เช่ือมต่อ เนื่องจากบทบาททางของแนวเช่ือมต่อที่มีอิทธิพลต่อด้านนี้ไม่ ชดั เจนมากนกั แหลง่ ผลติ เปน็ การอธบิ ายถงึ ถนิ่ ทอี่ าศยั ทม่ี กี ารสง่ เสรมิ การ เพ่ิมของประชากรมากกว่าในการลดจ�ำนวนของประชากร โดยที่แหล่ง ก�ำจัดหมายถึงถ่ินท่ีอาศัยท่ีมักพบว่ามีการลดลงของประชากรมากกว่า ภาวะเพ่ิมของประชากร ความสามารถในการเช่ือมถงึ กนั ของพนื้ ที่กับการอนรุ กั ษ์ การเชอ่ื มตอ่ ถ่ินที่อาศัยแบบระบบนเิ วศเดิม สัตวป์ า่ (Landscape Connectivity and Wildlife (habitat corridor) Conservation) การเชอื่ มต่อถน่ิ ทอี่ าศัยแบบ stepping stones Landscape connectivity คือ ความสามารถของพ้ืนที่ท่ี ที่มา : ทรงธรรม และธรรมนญู (2557) สามารถส่งเสริมหรือขัดขวางการเคลื่อนท่ีของสิ่งมีชีวิตที่ผ่านไปมา ระหว่างหย่อมปา่ ทเี่ หมาะสมตอ่ การเปน็ ถ่ินทีอ่ าศัยและการสบื พันธ์ุ สัตว์ป่าในเขตร้อนเช่นประเทศไทยโดยมากเป็นชนิดพันธุ์สัตว์ป่า ท่ีมีความต้องการปัจจัยในการด�ำรงชีวิตท่ีค่อนข้างเฉพาะเจาะจง ไม่ สามารถปรับตัวให้เข้ากับส่ิงแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป สัตว์ป่าเหล่าน้ี มีการตอบสนองตอ่ การเลือกใช้ถ่นิ ท่ีอาศัยแตกตา่ งกนั ไปตามระดับความ เหมาะสมของถนิ่ ทอี่ าศัยนนั้ ๆ ท้งั น้ี เนือ่ งจากสตั วป์ ่าตา่ งชนดิ กันมีระดบั ความทนทานทไ่ี มเ่ ทา่ กนั หรอื อาจกลา่ วอกี นยั หนง่ึ ไดว้ า่ การเปลยี่ นแปลง ของถิ่นท่ีอาศัยของสัตว์ป่ามีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อการรับรู้ของสัตว์ป่าและ ความทนทานท่ีไม่เท่ากัน ส่งผลต่อความสามารถในการเคล่ือนที่ไปตาม หย่อมป่าทเี่ หลืออยูน่ นั้ ไม่เทา่ กันในแต่ละชนดิ บางชนดิ มกี ารปรบั ตัวได้ดี กับสภาพแวดล้อมใหม่ที่เปล่ียนไปจากเดิม ท�ำให้ชนิดพันธุ์น้ันมีความ สามารถในการเสาะแสวงหาหยอ่ มปา่ ทมี่ คี วามอดุ มสมบรู ณก์ วา่ ไดไ้ มย่ ากนกั ขณะที่สัตว์ป่าอีกหลายชนิดโดยเฉพาะชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคาม ส่วนใหญ่ มักพบว่าด้อยความสามารถหรือไม่มีความสามารถในการปรับตัวให้เข้า กับถิ่นที่อาศัยที่เปลี่ยนสภาพไปจากเดิมได้ ท�ำให้สัตว์ป่าน้ันไม่สามารถ เดนิ ทางผา่ นพนื้ ทขี่ า้ งเคยี งทม่ี กี จิ กรรมของมนษุ ยร์ บกวนอยา่ งรนุ แรงและ ตอ่ เนอ่ื งได้ ในกรณนี พี้ บวา่ การรกั ษาไวซ้ งึ่ รปู แบบการกระจายของหยอ่ มปา่ 186 ศาสตร์และศลิ ป์ การจัดการทรัพยากรสตั วป์ า่ ในพน้ื ที่ค้มุ ครอง

รวมถึงการจัดเรียงตัวของหย่อมป่ามีผลกระทบโดยตรงต่อระดับความ สามารถในการเชือ่ มต่อกันของภมู ิภาพโดยรวม Bennett (2003) ไดเ้ สนอแนวทางในการสรา้ งทางเชอื่ มตอ่ สำ� หรบั สตั วป์ ่า โดยสามารถกระท�ำไดส้ องแนวทางหลกั คอื 1) การเชอื่ มตอ่ ถนิ่ ทอ่ี าศยั แบบโมเสค (habitat mosaics or landscape corridor) ในการเชื่อมต่อถ่ินที่อยู่อาศัยแบบโมเสค ในสภาพพื้นท่ีบางแห่งซึ่งมีการเปล่ียนแปลงจากสภาพธรรมชาติเดิม ไม่มากนัก ท�ำให้ถ่ินท่ีอาศัยที่เป็นธรรมชาติกับพื้นที่ท่ีได้เปล่ียนแปลง ไปนน้ั คอ่ นขา้ งไมแ่ ตกตา่ งกนั มาก การแยกแยะระหวา่ งถนิ่ ทอ่ี าศยั ทเี่ หมาะสม กบั ทไี่ มเ่ หมาะสมจงึ อาจทำ� ไดย้ าก แตส่ ตั วบ์ างชนดิ ยงั ใชถ้ น่ิ ทอ่ี าศยั เหลา่ นนั้ แมจ้ ะถูกเปล่ียนแปลงไปบ้างและมีข้อจ�ำกัดบางประการ การเชอื่ มตอ่ ใน สภาพพ้ืนที่เช่นนี้ขึ้นกับชนิดพันธุ์สัตว์ การเคลื่อนย้ายของสัตว์จะเป็น การใช้ทั้งผืนโมเสคในการเคล่ือนย้าย แม้ว่าจะต้องใช้บางพื้นท่ีซึ่งอาจไม่ เหมาะสมอยบู่ า้ งกต็ าม การจัดการเช่ือมต่อแบบน้ีเป็นวิธีการท่ีจะได้ผลดีเมื่อพื้นที่ ส่วนใหญ่ของภูมิทัศน์ยังคงเป็นธรรมชาติหรือค่อนข้างเป็นธรรมชาติ เชน่ สวนป่า ชนดิ พนั ธ์หุ รอื สังคมสัตวท์ ่เี ปน็ เปา้ หมายมีความทนทาน สงู ตอ่ ลกั ษณะการใชท้ ด่ี นิ ปจั จบุ นั และเปา้ หมายของการเชอ่ื มตอ่ แบบ โมเสค เนน้ ชนิดพนั ธต์ุ ่างๆ ท่ตี ้องการถิ่นทอี่ าศัยขนาดใหญ่ แต่การเชื่อมต่อแบบนี้จะไม่เหมาะสมในสภาพพ้ืนที่ท่ีมีการ เปลยี่ นแปลงไปจากธรรมชาตอิ ยา่ งมาก หรอื ชนดิ พนั ธส์ุ ตั วท์ จ่ี ะใชพ้ น้ื ทน่ี นั้ ไมส่ ามารถทนต่อถ่นิ ทีอ่ าศยั ทีม่ กี ารเปล่ียนแปลงดังกล่าวได้ 187 ศาสตร์และศลิ ป์ การจดั การทรัพยากรสตั ว์ป่าในพ้นื ที่คมุ้ ครอง

2) การเช่ือมต่อถ่ินท่ีอาศัยโดยอาศัยระบบนิเวศที่มีอยู่เดิม และแนวคลองขดุ เพอ่ื การระบายนำ�้ พนื้ ทดี่ งั กลา่ วมกั จะมสี งั คมพชื ปกคลมุ (habitat corridor) เปน็ การเชอ่ื มตอ่ ระหวา่ งถน่ิ ทอี่ าศยั ทเี่ หมาะสมผา่ น อยใู่ นระดบั หนงึ่ โดยทสี่ ตั วป์ า่ สามารถใชเ้ ปน็ ทหี่ ลบภยั และเปน็ แนวเชอื่ มตอ่ สภาพพนื้ ทท่ี ไ่ี มเ่ หมาะสม เชน่ พน้ื ทเี่ กษตรกรรม ถนน เปน็ ตน้ การเชอ่ื มตอ่ ส�ำหรับการเคล่ือนที่เพ่ือเสาะแสวงหาถ่ินท่ีอาศัยแห่งใหม่ต่อได้ กรณี ทางนเิ วศวทิ ยาแบบนพ้ี บในกรณที พ่ี นื้ ทสี่ ว่ นใหญถ่ กู เปลย่ี นแปลงแลว้ และ แนวเช่ือมต่อของสองข้างถนนเป็นแนวเชื่อมต่อที่สัตว์ป่ามีการใช้อยู่เป็น มีความไม่เหมาะสมกับชนิดพันธุ์สัตว์ ซ่ึงเป็นชนิดพันธุ์ที่ต้องอาศัยถิ่นที่ ประจ�ำมักจะเป็นถนนที่มีกิจกรรมของมนุษย์ไม่มากนัก อาจจะเป็นถนน อาศยั ทเี่ ปน็ ธรรมชาตไิ มถ่ กู รบกวนเทา่ นน้ั หรอื เปน็ ถน่ิ ทอี่ าศยั เฉพาะ รวมทงั้ สายรองหรอื เปน็ ถนนทใ่ี ชส้ ญั จรของประชาชนในทอ้ งถน่ิ มากกวา่ เปน็ ถนน มขี อ้ จำ� กดั ในการเคลอื่ นยา้ ยดา้ นระยะทางและความสามารถในการเคลอ่ื นท่ี สายหลกั ทเ่ี ชอื่ มตอ่ ระหวา่ งเมอื งใหญๆ่ สตั วป์ า่ ทพ่ี บวา่ มกี ารใชแ้ นวเชอ่ื มตอ่ โดยเปา้ หมายคอื ตอ้ งการใหร้ กั ษาความสมำ่� เสมอและตอ่ เนอ่ื งของประชากร สองข้างถนนมักจะเป็นชนิดพันธุ์ท่ีปรับตัวได้ดี (generalist) มีความ ระหวา่ งถน่ิ ทอี่ าศยั ทตี่ อ้ งการเชอื่ มตอ่ มากกวา่ การใชป้ ระโยชนน์ านๆ ครง้ั และ ทนทานสงู ต่อสภาพพ้ืนท่ที เี่ ปลีย่ นแปลงไปจากธรรมชาติเดิม สามารถใช้ เพอื่ รกั ษากระบวนการนเิ วศวทิ ยาทจ่ี ำ� เปน็ ตอ้ งมใี นการตอ่ เนอื่ งของถน่ิ ทอี่ าศยั ประโยชน์บริเวณพื้นท่ีท่ีถูกรบกวนจากกิจกรรมของมนุษย์ได้และไม่มี แนวเชอ่ื มตอ่ แบบอาศยั ระบบนเิ วศทมี่ อี ยเู่ ดมิ สามารถจำ� แนกออก ความเจาะจงในการเลือกใชป้ ัจจยั แวดลอ้ มที่พเิ ศษ อยา่ งไรกต็ ามสัตวป์ ่า เปน็ (a) แนวเชื่อมต่อธรรมชาติ (natural habitat corridor) เช่น ลำ� นำ�้ ที่ใช้ทางเช่ือมสองฝั่งถนนอาจประสบอุบัติเหตุจากรถยนต์ที่ผ่านไปมาได้ และพื้นท่ีชายฝั่งล�ำน�้ำ (b) แนวเช่ือมต่อพ้ืนท่ีธรรมชาติที่คงเหลืออยู่ ง่าย ขณะท่ีพ้ืนที่หัวไร่ปลายนา พื้นท่ีเกษตรกรรม พ้ืนท่ีท�ำการปศุสัตว์ (remnant habitat corridor) เช่น แนวป่าทเี่ หลืออยู่ริมถนนหรอื ตาม แนวรั้วต้นไม้ แนวกันลม แนวคูคลองระบายน้�ำท่ีไม่ได้มีการจัดการใช้ หบุ เขา ปา่ ในพน้ื ทชี่ มุ ชน เปน็ ตน้ (c) แนวเชอื่ มตอ่ พนื้ ทธ่ี รรมชาตทิ ฟี่ น้ื ตวั ประโยชน์อย่างเข้มข้นมักพบว่ามีสัตว์ป่าขนาดเล็กใช้เป็นพื้นที่ในการ ขน้ึ ใหม่ (regenerated habitat corridor) เชน่ พื้นทไ่ี รร่ ้างแล้วทิ้งไว้ให้ เคล่ือนท่ีไปหาถ่ินท่ีอาศัย หรือหาอาหาร สัตว์เล้ียงลูกด้วยนมขนาดเล็ก ฟนื้ ตวั ตามธรรมชาติ (d) แนวเชอ่ื มต่อพ้นื ทที่ ป่ี ลูกป่าขึน้ ใหม่ (planted นกขนาดเลก็ ทหี่ ากนิ ตามเรอื นยอดตน้ ไม้ สตั วเ์ ลอ้ื ยคลานและสตั วส์ ะเทนิ habitat corridor) และ (e) แนวเช่ือมต่อท่ีปรากฏการรบกวนของ นำ�้ สะเทนิ บก จะมศี กั ยภาพในการใชท้ างเชอื่ มตอ่ เหลา่ นเี้ พอื่ การเคลอ่ื นที่ กิจกรรมมนุษย์ (disturbance habitat corridor) เชน่ ถนน ทางรถไฟ 2. แนวทางเชอ่ื มทถ่ี กู ออกแบบมาเพอื่ วตั ถปุ ระสงคห์ ลกั สำ� หรบั พนื้ ทีใ่ ตส้ ายสง่ ไฟฟ้า เป็นตน้ การเชอื่ มตอ่ ระหวา่ งถน่ิ ทอี่ าศยั ของสตั วป์ า่ โดยเฉพาะ พบวา่ ในปจั จบุ นั ใน 3) การเชอื่ มตอ่ ถน่ิ ทอ่ี าศยั โดยใชห้ ยอ่ มปา่ ทก่ี ระจายอยใู่ นแนว หลายประเทศมีการจัดท�ำแนวพ้ืนท่ีสีเขียวเพ่ือตอบสนองวัตถุประสงค์ท่ี เชื่อมต่อ (stepping stones) เป็นการเช่ือมต่อถ่ินท่ีอาศัยในพ้ืนท่ีท่ีมี หลากหลาย โดยเฉพาะเพอ่ื การตอบสนองดา้ นนนั ทนาการของประชาชน การพัฒนา โดยจัดให้เกิดหย่อมป่าท่ีเหมาะสมส�ำหรับสัตว์เป็นช่วงๆ ท่ีอาศัยอยู่ในเขตชานเมืองและเขตเมือง รวมถึงวัตถุประสงค์รองเพ่ือใช้ เหมาะส�ำหรับสัตวท์ ่ีมีความสามารถในการเคลอ่ื นท่ีสงู สามารถข้ามผา่ น เปน็ ทางเชอื่ มตอ่ สำ� หรบั สตั วป์ า่ การจดั ทำ� แนวเชอื่ มตอ่ ระหวา่ งถน่ิ ทอ่ี าศยั บริเวณที่ไมเ่ หมาะสมได้ เช่น สตั ว์ปีก เปน็ ตน้ ของสัตว์ป่าจะถูกสร้างขึ้นมาในลักษณะท่ีจัดท�ำในพ้ืนที่ที่มีการสร้างถนน ทางเชอื่ มตอ่ ระหวา่ งถน่ิ ทอี่ าศยั ของสตั วป์ า่ อาจจะแบง่ แยกไดต้ าม ผา่ น เชน่ ทำ� เปน็ เสน้ ทางยกระดบั เพอื่ ใหส้ ตั วป์ า่ เคลอ่ื นทผ่ี า่ นไปมาไดห้ รอื ลักษณะของการเกิดทางเชื่อมท่ีอาจจะมีอยู่แล้วในธรรมชาติหรือเป็น ทำ� เปน็ เสน้ ทางลอดใตพ้ นื้ ดนิ ซง่ึ จะมคี วามกวา้ งยาวแตกตา่ งกนั ขน้ึ อยกู่ บั แนวทางเชอื่ มตอ่ ท่ีถกู ทำ� ขน้ึ มาใหม่ การศึกษาของผ้เู ช่ียวชาญด้านการจัดการสัตว์ปา่ 1. แนวเชอ่ื มตอ่ ตามธรรมชาตหิ รอื แนวเชอื่ มทเ่ี กดิ จากการสรา้ ง ของมนษุ ยโ์ ดยไมไ่ ดต้ ง้ั ใจ โดยทแี่ นวเชอ่ื มดงั กลา่ วเปน็ สว่ นหนงึ่ ของระบบ ความกวา้ งของแนวเชอื่ ม (Habitat Linkage Width) นเิ วศทมี่ อี ยแู่ ลว้ แนวเชอ่ื มประเภทนมี้ ไิ ดม้ วี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอื่ ชว่ ยเหลอื การ การออกแบบแนวเชอื่ มตอ่ ถนิ่ ทอี่ าศยั จำ� เปน็ ตอ้ งคำ� นงึ ถงึ คณุ ภาพ เคลอื่ นทขี่ องสงิ่ มชี วี ติ แตอ่ ยา่ งใด แตใ่ นทางพฤตนิ ยั สง่ิ มชี วี ติ มกี ารเคลอื่ นที่ ของแนวเชื่อมต่อว่ามีความเหมาะสมในการช่วยเหลือการเคล่ือนท่ีของ ผา่ นไปมาตามแนวทางเชื่อมนี้อย่แู ล้ว ทางเช่อื มประเภทนี้ ได้แก่ แนวรั้ว สัตว์ป่ามากน้อยเพียงใด แนวเชื่อมต่อท่ีมีประสิทธิภาพจ�ำเป็นอย่างย่ิงท่ี ตน้ ไม้ แนวกนั ลม ตน้ ไมต้ ามหวั ไรป่ ลายนา พชื พรรณทป่ี ลกู ไวส้ องขา้ งถนน ต้องมสี ่วนพนื้ ทีท่ ่ีเป็นแกนกลางของถ่นิ ทีอ่ าศยั กลา่ วคือแนวเชือ่ มต่อที่มี 188 ศาสตร์และศิลป์ การจดั การทรพั ยากรสตั ว์ปา่ ในพนื้ ท่คี มุ้ ครอง

189 ศาสตรแ์ ละศิลป์ การจดั การทรพั ยากรสตั วป์ ่าในพ้ืนทีค่ ้มุ ครอง

ความกวา้ งมาก จะเปน็ การเพมิ่ ประสทิ ธภิ าพในการเคลอื่ นทแี่ ละสง่ เสรมิ สั้นๆ มคี วามเปน็ ไปได้ที่จะชว่ ยให้ระดับความตอ่ เนอ่ื งของพน้ื ที่มากขึน้ ให้ชนิดพันธุ์ท่ีหลากหลายสามารถใช้แนวเช่ือมต่อได้ อย่างไรก็ตาม 3. แนวเชอ่ื มตอ่ จำ� เปน็ ทจี่ ะตอ้ งมขี นาดกวา้ ง ขณะทพ่ี นื้ ทส่ี ว่ นใหญ่ แรงกดดนั จากพนื้ ทที่ มี่ ใิ ชป่ า่ ไม้ จะเปน็ อปุ สรรคหลกั ทส่ี ำ� คญั ตอ่ การจดั การ ถกู ยึดครองของประชาชน แนวเช่ือมต่อให้มีความกว้างได้ในระดับที่เหมาะสม มีงานวิจัยมากมาย 4. หากมกี ารวางแผนใหแ้ นวเชอื่ มตอ่ มกี ารใชป้ ระโยชนใ์ นระยะ แตย่ งั มไิ ดม้ คี ำ� ตอบหลกั ทวี่ า่ ความกวา้ งของแนวเชอื่ มตอ่ ควรมคี วามกวา้ ง ยาวนานควรออกแบบให้แนวเชื่อมต่อมีความกวา้ งมากขนึ้ เทา่ ใด เพอ่ื ใหส้ ตั วป์ า่ กลมุ่ เปา้ หมายสามารถเคลอ่ื นทไ่ี ดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ความมีประสิทธิภาพของทางแนวเชื่อมมักผันแปรไปตามความยาวของ การจดั ทำ� แนวเช่ือมต่อของสตั วป์ ่าในประเทศไทย แนวเชื่อมต่อของถ่ินท่ีอาศัยและคุณภาพของถิ่นท่ีอาศัย โดยทั่วไปของ (Wildlife Habitat Linkage in Thailand) ความกว้างของแนวเช่ือมต่อกับประสิทธิภาพในเคลื่อนท่ีของสัตว์ป่ามี แนวคิดในการจัดท�ำแนวเชื่อมต่อส�ำหรับสัตว์ป่าในประเทศไทย ความสมั พนั ธ์กันดังน้ี ยังคงเป็นค�ำถามในหมู่ผู้ท่ีเกี่ยวข้องว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด 1. ชนิดพันธุ์ท่ีมีขนาดใหญ่จ�ำเป็นต้องใช้แนวเช่ือมต่อท่ีมีความ ในการก�ำหนดแนวเช่ือมต่อระหว่างผืนป่า เน่ืองจากแนวคิดด้านการท�ำ กวา้ งมาก เพอื่ ชว่ ยเหลือในการเคล่อื นท่แี ละเปน็ ถิน่ ที่อาศัยชว่ั คราว แนวเชอื่ มตอ่ ของสตั วป์ า่ ไดถ้ อื กำ� เนดิ มาจากประเทศในทวปี อเมรกิ าเหนอื 2. ความยาวของแนวเช่ือมต่อจ�ำเป็นต้องก�ำหนดให้มีความ โดยเฉพาะในประเทศแคนาดาและอเมริกา และได้แพร่หลายไปในหลาย สัมพันธ์กับความกว้างของแนวเช่ือมที่เหมาะสม แนวเช่ือมต่อท่ีมีระยะ ประเทศทมี่ รี ะดบั ของพนื้ ทม่ี กี ารแตกเปน็ หยอ่ มปา่ คอ่ นขา้ งสงู ประกอบ กับประชาชนท่ีอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีระดับต่�ำซ่ึงแตกต่างจากสถานการณ์ ในประเทศไทย เนอ่ื งจากสภาพพน้ื ทปี่ า่ ธรรมชาตมิ รี ะดบั ของการเปน็ พนื้ ที่ ท่ีมีการแตกแยกเป็นหย่อมป่าน้อยใหญ่พื้นที่ธรรมชาติส่วนใหญ่มี ประชาชนเขา้ ถงึ ไดง้ ่ายไมย่ ากนัก โดยเฉพาะพน้ื ท่ีนอกเขตพนื้ ทค่ี มุ้ ครอง มกั จะมกี ารตงั้ ถนิ่ ฐานของชมุ ชนทห่ี นาแนน่ และพน้ื ทปี่ า่ ธรรมชาตขิ องรฐั ทตี่ งั้ อยนู่ อกพนื้ ทค่ี มุ้ ครองกถ็ กู บกุ รกุ อยา่ งหนกั และมกี ารยดึ ถอื ครอบครอง ท่ีดินที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย รวมถึงเครือข่ายของเส้นทางคมนาคม ที่มีอยู่อย่างหนาแน่นท่ัวท้ังประเทศ นอกจากน้ียังมีถนนอีกหลายสายท่ี ตดั ผา่ นพนื้ ทป่ี า่ คมุ้ ครองและสรา้ งความเสยี หายใหแ้ กพ่ นื้ ทป่ี า่ และสตั วป์ า่ เปน็ จำ� นวนมาก เสน้ ทางคมนาคมเปน็ อปุ สรรคในการเคลอ่ื นทข่ี องสตั วป์ า่ แนวเชอื่ มตอ่ ถนนหมายเลข 304 190 ศาสตรแ์ ละศลิ ป์ การจดั การทรัพยากรสตั ว์ป่าในพ้ืนทีค่ ้มุ ครอง

191 ศาสตร์และศิลป์ การจดั การทรพั ยากรสัตวป์ า่ ในพ้นื ท่คี ุ้มครอง

การสร้างทางลอดหรือทางข้ามดังกล่าวนับได้ว่าเป็นปัญหาท่ีส�ำคัญย่ิง วัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้สัตว์ป่ามีการเคล่ือนที่ระหว่างกลุ่มป่า เช่น เน่ืองจากต้องมีการก่อสร้างในพื้นที่ธรรมชาติและมีต้นทุนสูง อย่างไร แนวเชอ่ื มตอ่ ระหวา่ งอทุ ยานแหง่ ชาตเิ ขาชะเมา-เขาวงและเขตรกั ษาพนั ธ์ุ ก็ตาม นักวิชาการและผู้บริหารพ้ืนที่คุ้มครองเห็นว่าประเทศไทยยังคงมี สตั วป์ า่ เขาอา่ งฤาไน โดยระหวา่ งพน้ื ทีอ่ นุรกั ษท์ ้ังสองมพี ืน้ ที่เกษตรกรรม ความจำ� เปน็ ตอ้ งศกึ ษาความเปน็ ไปไดข้ องการจดั ทำ� แนวเชอ่ื มตอ่ ระหวา่ ง คั่นกลาง จากการศึกษาพบว่าพื้นท่ีเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไนมี ผนื ปา่ หรอื ระหวา่ งพน้ื ทคี่ มุ้ ครอง โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ สำ� หรบั ชนดิ พนั ธส์ุ ตั วป์ า่ ความหลากหลายของสตั วป์ า่ สงู กวา่ พนื้ ทอ่ี ทุ ยานแหง่ ชาตเิ ขาชะเมา-เขาวง ที่มีสถานภาพถูกคุกคามและมีแนวโน้มต่อการสูญพันธุ์ เพ่ือให้กรอบ และพื้นที่เกษตรกรรมที่คั่นกลางมีความคล้ายคลึงของสัตว์ใกล้เคียงกับ แนวคดิ ในการจดั ทำ� แผนเชอ่ื มตอ่ ดงั กลา่ วมปี ระสทิ ธภิ าพทนั ตอ่ เหตกุ ารณ์ พน้ื ทอ่ี นรุ กั ษท์ ง้ั สอง หมายถงึ มชี นดิ สตั วป์ ระมาณครง่ึ หนง่ึ ทหี่ ากนิ ในพนื้ ที่ จะตอ้ งพจิ ารณาถงึ สตั วป์ า่ ทยี่ งั อยภู่ ายใตก้ ารถกู คกุ คามของมนษุ ยจ์ ำ� เปน็ อนรุ กั ษอ์ อกหากนิ ในพนื้ ทเี่ กษตรกรรมดว้ ย ซง่ึ มนี ยั สำ� คญั ถงึ ความเปน็ ไปได้ ต้องมแี นวทางการศกึ ษาอกี มาก เช่น และความจ�ำเป็นในการจัดท�ำแนวเช่ือมต่อระบบนิเวศระหว่างพื้นที่ 1. การศกึ ษาผนื ปา่ ทมี่ ศี กั ยภาพเปน็ แนวเชอ่ื มตอ่ สำ� หรบั สตั วป์ า่ อนุรกั ษท์ งั้ สอง ที่ยังคงเหลืออยู่ในสภาพธรรมชาติ ก่อนที่สภาพแนวเช่ือมต่อจะถูก 2. ส�ำหรับหย่อมป่าถิ่นท่ีอาศัยของสัตว์ป่าท่ีกระจัดกระจายอยู่ เปลยี่ นแปลงจากสงั คมพชื ไปเปน็ การใชป้ ระโยชนท์ ด่ี นิ ประเภทอน่ื ๆ ทไี่ ม่ ทั่วไปจ�ำเป็นต้องค้นหาสร้างทางแนวเช่ือมต่อท่ีมีศักยภาพระหว่างพ้ืนที่ เหมาะสมส�ำหรับการเคล่ือนที่ของสัตว์ป่า การออกแบบแนวเชื่อมต้องมี คุ้มครองต่างๆ ประชากรของสัตว์ป่าถูกแบ่งแยกออกจากกัน ถือว่าเป็น 192 ศาสตร์และศิลป์ การจัดการทรัพยากรสัตว์ป่าในพ้ืนท่คี ้มุ ครอง

เรื่องเร่งด่วนที่จะตอ้ งกระทำ� ควบคกู่ ันไปกบั การจดั การพื้นที่คมุ้ ครอง 3. ท�ำการค้นหาแนวเช่ือมต่อท่ีมีความส�ำคัญต่อการเป็นแนว เชอ่ื มตอ่ ของผนื ปา่ ระหวา่ งพน้ื ทคี่ มุ้ ครองของประเทศรวมถงึ พนื้ ทค่ี มุ้ ครอง ของประเทศเพ่ือนบ้านท่ีปรากฏว่าเป็นเครือข่ายพื้นที่คุ้มครองท่ีมีความ สำ� คัญในระดบั นานาชาติ เชน่ สำ� หรับประเทศไทยมพี ื้นท่ีคมุ้ ครองเชื่อม ต่อกับประเทศเพ่อื นบ้าน 11 แห่ง ตดิ ตอ่ กบั 4 ประเทศ ได้แก่ มาเลเซยี สาธารณรฐั แหง่ สหภาพเมยี นมาร์ สาธารณรฐั ประชาธปิ ไตยประชาชนลาว และราชอาณาจักรกัมพูชา (ทรงธรรม และธรรมนญู , 2557) 4. การประยุกต์แนวความคิดของเส้นทางสีเขียว หรือกลุ่มป่า ขนาดเลก็ หรอื กลมุ่ ปา่ ชมุ ชนระหวา่ งพน้ื ทก่ี ลมุ่ ทก่ี ำ� หนด โดยเฉพาะอยา่ ง ย่ิงพ้ืนท่ีสองฝั่งของล�ำน�้ำล�ำห้วย ถนนที่ผ่านไปตามเมืองต่างๆ หรือการ ปลกู ตน้ ไมใ้ นพนื้ ทป่ี า่ ชมุ ชนเปน็ การสง่ เสรมิ การเคลอื่ นทข่ี องสตั วป์ า่ ชนดิ ต่างๆ เช่น สตั วเ์ ลีย้ งลูกด้วยนมขนาดเลก็ นก สัตวเ์ ล้อื ยคลาน ตลอดจน สัตว์สะเทินน�้ำสะเทินบกและสัตว์นำ้� ความเหมาะสมของการเลือกประเภทของแนวเช่ือมต่อไม่ว่าจะ เป็นแบบใดจะต้องพิจารณาถึงความกว้าง ความยาวของแนวเชื่อมต่อ ส�ำหรับสัตว์ป่า จ�ำเป็นต้องมีการศึกษาต่อไป ความส�ำเร็จของแนวเชื่อม ต่างๆ ดังกล่าวแล้วยังไม่มีหลักประกันว่าจะประสบความส�ำเร็จเม่ือใด จ�ำเปน็ ต้องศกึ ษาและติดตามผลทกุ ระยะเวลาตามท่กี ำ� หนด 193 ศาสตร์และศลิ ป์ การจัดการทรัพยากรสตั ว์ป่าในพน้ื ท่คี มุ้ ครอง

พืน้ ท่คี มุ้ ครองเทชม่ี อ่ื ามต: ท่อรระงธหรวร่ามงปแรละะเธทรศรไมทนยญู แล(2ะ5ป5ร7ะ)เทศเพือ่ นบา้ น 194 ศาสตร์และศลิ ป์ การจัดการทรัพยากรสัตว์ป่าในพื้นท่คี มุ้ ครอง

ภาพ กรมอทุ ยานแหง่ ชาติ สตั วป์ า่ และพนั ธพ์ุ ชื หนา้ 12-13, 137, 164 (ขวา), (ขวา), 115, 118, 133 (ลา่ ง), 141 (ขวา), 146, 147 (บน), 148, 165 (ซ้าย) 150 (ขวา), 151, 161, 179 กรมปา่ ไม้ หน้า 113 (ซ้าย) วชั ระ สาลี หน้า 165 (กลาง) กุลพฒั น์ ศรลัมพ์ หนา้ 77 (ลา่ ง), 105, 114, 131, 135 (บน), 143, วรวุฒิ วิญญายงค์ หนา้ 41 (ลา่ ง) 144 (ขวา), 156-157, 166 วัตร วนาลี หนา้ 156-157 จุฑามาศ ไม้สุข หน้า 25 (ซ้าย), 32 (ซ้าย), 62 , 79, 124-125, 168 (บน), 173, 182 (บน), 190 (ซ้ายบน) ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรมอุทยานแห่งชาติ จังหวัดนครราชสีมา หนา้ 190 (ขวาลา่ ง) เฉลิมชัย โตไธสง หนา้ 142 (ซ้าย) ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรมอุทยานแห่งชาติ จังหวัดเพชรบุรี ทรงธรรม สขุ สวา่ ง หนา้ 183 (บนขวา), 187 (กลาง) ,190 (ซา้ ยลา่ ง) หนา้ 78 (บน), 84, 87 ทวี หนทู อง หนา้ 75, 135 (ขวาล่าง), 150 (ซา้ ย), 158 (บน), 172 (ล่าง) ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรมอุทยานแห่งชาติ จังหวัดพิษณุโลก หนา้ 152 (ซา้ ย), 187 (บน, ลา่ งขวา) ธนากร หงสพ์ นั ธ์ หนา้ 22,28, 29 (ซ้าย), 30 (บน), 36-37, 44 (บน), 52-53, 54, 55 (ล่างซา้ ย), 64-65, 67 (ลา่ ง), 70, 76, 86, 90-91, ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรมอุทยานแห่งชาติ จังหวัดสุราษฎร์ธานี 106 (กลางลา่ ง), 103, 111-112, 133 (บน), 134, 136, 138-140, หนา้ 43, 45 (กลาง), 66, 67 (บน), 83, 88 144 (ซ้าย), 147 (กลาง, ล่าง), 152 (กลาง, ขวา), 153, 155, 158 (กลาง, ล่าง), 159 (กลาง, ลา่ ง), 160 (กลาง), 164 (ซ้าย), สุชนิ วงศ์สวุ รรณ หน้า 183 (ซ้ายบน) 165 (ขวา), 167, 183 (กลาง, ลา่ ง) อุทยานแหง่ ชาติกุยบรุ ี หน้า 120 (ขวา) บญุ ลือ พลู นิล หน้า 15 (ขวา) อุทยานแห่งชาติเขาสิบห้าช้ัน หน้า 145, 169, 171, 174 (ซ้ายล่าง, ขวาล่าง), 184-185, 193 (ซ้าย) ประสิทธ์ิ ค�ำอุด หนา้ 77 (บน), 78 (ลา่ ง) อทุ ยานแห่งชาติเขาใหญ่ หนา้ 174 (ซ้ายบน) มลวภิ า ณ นรงค์ หนา้ 135 (ซ้ายล่าง) Bruce Kekule หน้า : 3, 14, 15 (กลาง), 17 (ซา้ ย), 19, 27, 30 (ลา่ ง), มลู นิธิสืบ นาคะเสถยี ร หน้า 35 (บนขวา) 31, 33-34, 40, 44 (ล่าง), 50 (ซ้าย, กลาง, ขวา), 51, 55 วรรณชนก สุวรรณกร หน้า 4-11, 15 (ซ้าย), 20-21, 24, 25 (กลาง, (ล่างขวา), 57, 58 (ซ้าย), 90-91, 92, 94, 102, 106 (บน, ขวา), 26, 32 (กลาง, ขวา), 38, 45 (ล่าง), 46-47, 49, 50, 58 ซ้ายล่าง, ขวาล่าง), 117, 119, 121-123, 126-127, 129-130, (ขวา), 60-61, 63, 68-69, 71-74, 80, 89, 96, 98-99, 113 141 (ซ้าย), 163 195 ศาสตร์และศลิ ป์ การจัดการทรัพยากรสัตว์ปา่ ในพ้นื ที่คุม้ ครอง

Jeffrey A. McNeely หน้า 132 https://nestwatch.org/wp-content/uploads/2012/02/ EUST_TheNatureNook_Birdshare.jpg หนา้ 56 Wayuphong Jitvijak/องค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) หนา้ 29 (ขวา), 180-181 https://mpics.mgronline.com/pics/Images/5600000 11076613.JPEG หน้า 109 https://www.dreamstime.com/royalty-free-stock-photos- bull-elk-meadow-image6480348 หน้า 16 http://petmaya.com/13-koala-facts หนา้ 159 (บน) https://pixabay.com/p-722151/?no_redirect หน้า 17 (ขวา) https://cdn.spokedark.tv/wp-content/uploads/2017/03/ Grey-Kangkaroo-300.jpg หนา้ 160 (บน) http://www.izw-berlin.de/tl_files/images/research/ research2/hyena_cubs.jpg หน้า 17 (กลาง) http://www.ไก่ฟ้า.com/ไก่ฟ้าต่างประเทศ/ไก่ฟ้าคอแหวน.html หนา้ 160 (ลา่ ง) https://pixabay.com/en/siberian-tiger-resting-wild- animal-601951/ หนา้ 45 (บน) http://thai.cri.cn/247/2011/10/18/232s191057.htm หนา้ 162 (ซ้าย, ขวา) https://sites.google.com/site/crocodilehimalayan000/ phanthu-crakhe หน้า 18 (ซ้าย) https://image.dogilike.com/1/38787/141753.jpg หน้า 162 (กลาง) https://th.wikipedia.org/wiki/จระเข้/media/File:Saltwater Crocodile(%27Maximo%27).jpg หนา้ 18 (ขวา) http://www.pttreforestation.com/uploads/_DSC8777_re.jpg หนา้ 172 (บน) https://www.japantimes.co.jp/wp-content/uploads/ 2016/09/n-bear-z-20160903.jpg หนา้ 23 http://www.77jowo.com/contents/14808 หน้า 172 (กลาง) http://www.flagvictory.com/images/Large/thai3.jpg http://www.tnamcot.com/view/58cfb297e3f8e44 หนา้ 35 (บนซา้ ย) ca13b6b30 หน้า 174 (ขวาบน) https://th.wikipedia.org/wiki/กูปรี หน้า 35 (ล่าง) http://www.bangkokbiznews.com/image/media/image/ news/2017/07/31/766916/750x422_766916_1501494137. http://www.imagensfotos.com.br/wp-content/uploads/ JPG หนา้ 175 (ขวา) 2012/05/foto-antartica-lugar-inospito-do-planeta-terra. jpg หนา้ 41 (บน) https://www.thairath.co.th/content/1014630 หนา้ 175 (ซา้ ย) https://www.thairath.co.th/content/497806 หนา้ 42 (ล่าง) http://news.sanook.com/1830454/ หน้า 176 (ซ้าย) http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2161207 https://www.khaosod.co.th/wp-content/uploads/2016/09/ หนา้ 42 (บน) 201609231517464-20041020102956.jpg หนา้ 176 (ขวา) https://image.dek-d.com/25/1284875/110445560 หนา้ 55 (บน) http://www.catdumb.com/bridges-for-animals-around-the- world/ หนา้ 187 (ลา่ งซ้าย) 196 ศาสตร์และศิลป์ การจัดการทรัพยากรสตั วป์ า่ ในพื้นทค่ี ุ้มครอง

บรรณานกุ รม กรมอุทยานแหง่ ชาติ สตั วป์ า่ และพันธ์ุพชื . 2547. รายงานผลงานประจำ� ปี 2547. กรงุ เทพฯ. กรมอุทยานแห่งชาติ สัตวป์ ่า และพันธพ์ุ ืช. 2551. สรุปค�ำของบประมาณประจำ� ปี 2550, 2551 และ 2552. (ติดตอ่ สว่ นตวั ). กระทรวงการตา่ งประเทศ. 2537. แผนปฏบิ ตั กิ าร 21 เพอื่ การพฒั นาอยา่ งยง่ั ยนื . บรษิ ทั อมรนิ ทรพ์ รนิ้ ตงิ้ แอนด์ พบั ลชิ ชง่ิ จำ� กดั (มหาชน). กรงุ เทพฯ: 90 หนา้ . ชุมเจตน์ กาญจนเกสร. 2539. อนุสัญญาและกฎหมายระหว่างประเทศท่ีเกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางชีวภาพ. ส�ำนักงานนโยบายและ แผนสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม, กรงุ เทพฯ. ชมุ พล งามผอ่ งใส. 2524. หลกั การจดั การและอนรุ กั ษส์ ตั วป์ า่ . ภาควชิ าอนรุ กั ษว์ ทิ ยา คณะวนศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร,์ กรงุ เทพฯ. (เอกสาร โรเนยี ว) ชุมพล งามผ่องใส. 2525. สมรรถนะการยอมให้มีไว้ได้สูงสุดในระบบส่ิงแวดล้อม (Carrying Capacity). ภาควิชาอนุรักษ์วิทยา คณะวนศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์, กรุงเทพฯ. (เอกสารโรเนยี ว) ทรงธรรม สุขสวา่ ง และ ธรรมนญู เตม็ ไชย. 2557. แนวเช่ือมตอ่ ระบบนิเวศในประเทศไทย. สถาบนั นวัตกรรมอทุ ยานแห่งชาตแิ ละพน้ื ทคี่ มุ้ ครอง สำ� นกั อทุ ยานแห่งชาติ กรมอทุ ยานแห่งชาติ สัตว์ปา่ และพันธ์ุพืช. ทวี หนทู อง. 2535. อนสุ ญั ญาวา่ ดว้ ยการคา้ ระหวา่ งประเทศซงึ่ ชนดิ สตั วป์ า่ และพชื ปา่ ทใี่ กลจ้ ะสญู พนั ธ.์ุ เอกสารการประชมุ การปา่ ไม้ ประจำ� ปี 2535 หนา้ 217-226. ทวี หนูทอง. 2543. การจดั การพ้นื ทคี่ ุม้ ครอง. กรมป่าไม้, กรงุ เทพฯ. (เอกสารโรเนียว) ทวี หนูทอง และ อนุช วงศช์ ุ่มเย็น. 2540. การจดั การทรัพยากรสัตว์ป่า. คณะเกษตรศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น, ขอนแกน่ . นริศ ภมู ิภาคพนั ธ.์ 2543. การจดั การสัตว์ปา่ . ภาควชิ าชวี วิทยาป่าไม้ คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์, กรุงเทพฯ. นิวตั เรืองพานิช. 2533. การอนรุ ักษ์ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดล้อม. อกั ษรสยามการพิมพ์ กรงุ เทพฯ. 382 หน้า. พระราชบัญญตั สิ งวนและคุม้ ครองสัตวป์ ่า พ.ศ. 2535 ราชกิจจานเุ บกษา เล่มท่ี 109 ตอนที่ 15 วนั ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2535. ราชกิจจานุเบกษา ฉบับประกาศท่ัวไป เล่ม 112 ตอนพิเศษ 4ง วนั ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2538. ราชกจิ จานเุ บกษา ฉบับกฤษฎีกา เล่ม 120 ตอนท่ี 59ก วนั ท่ี 27 มิถุนายน 2546. 197 ศาสตรแ์ ละศิลป์ การจัดการทรพั ยากรสตั ว์ป่าในพนื้ ทคี่ มุ้ ครอง

ราชกจิ จานเุ บกษา ฉบับกฤษฎีกา เลม่ 120 ตอนที่ 74 วนั ที่ 1 สิงหาคม 2546. ราชกจิ จานเุ บกษา ฉบับกฤษฎีกา เลม่ 11 ตอนที่ 5ก ลงวนั ที่ 16 พฤศจิกายน 2537. ราชกิจจานเุ บกษา เล่ม 109 ตอนท่ี 15 วนั ท่ี 28 กมุ ภาพันธ์ 2535. ราชกิจจานเุ บกษา เลม่ 110 ตอนท่ี 179 วนั ที่ 3 พฤศจกิ ายน 2536. ราชกิจจานเุ บกษา เล่ม 111 ตอนที่ 28ก วนั ที่ 30 มถิ ุนายน 2537. ราชกจิ จานุเบกษา เลม่ 111 ตอนที่ 51ก วันที่ 16 พฤศจกิ ายน 2537. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 111 ตอนที่ 58ก วันที่ 19 ธนั วาคม 2537. ราชกจิ จานุเบกษา เลม่ 112 ตอนที่ 14ก วันท่ี 28 เมษายน 2538. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 119 ตอนที่ 99ก วนั ที่ 2 ตุลาคม 2545. ราชกจิ จานเุ บกษา เลม่ 119 ตอนท่ี 102ก วันท่ี 8 ตลุ าคม 2545. ราชกจิ จานุเบกษา เล่ม 120 ตอนที่ 41ก วนั ท่ี 12 พฤษภาคม 2546. ราชกจิ จานเุ บกษา เล่ม 120 ตอนพเิ ศษ 60ง วันท่ี 28 พฤษภาคม 2546. สำ� นักงานนโยบายและแผนสิง่ แวดล้อม. 2539ก. ความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและส่ิงแวดล้อม, กรุงเทพฯ. ส�ำนักงานนโยบายและแผนสิง่ แวดลอ้ ม. 2539ข. อนสุ ญั ญาว่าดว้ ยความหลากหลายทางชวี ภาพ: คิดในระดับโลกและท�ำในระดับประเทศ. กระทรวง วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสงิ่ แวดล้อม, กรงุ เทพฯ. ส�ำนักงานนโยบายและแผนส่ิงแวดลอ้ ม. 2541. ความหลากหลายทางชีวภาพ เอกสารเผยแพร่: กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสงิ่ แวดล้อม, กรงุ เทพฯ. สำ� นกั งานนโยบายและแผนสง่ิ แวดลอ้ ม. 2542. อนสุ ัญญาแรมซาร์: กระทรวงวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยแี ละสง่ิ แวดล้อม, กรงุ เทพฯ. ส�ำนกั อนุรักษส์ ตั ว์ป่า. 2560. คู่มอื ความรูเ้ รื่องชา้ ง. กรมอุทยานแหง่ ชาติ สตั วป์ ่า และพนั ธุพ์ ืช กระทรวงทรพั ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. อ�ำนวย คอวนิช. 2524. การทำ� ไม้ (Logging). คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์, กรงุ เทพฯ. Anderson, S.H. 1985. Managing Our Wildlife Resources. Charles E. Merrill Publ. Co., Columbus. Bailey, J.A. 1984. Principles of Wildlife Management. John Wiley & Sons, Inc., New York. Beier, P., D. Majka &J. Jenness. 2005. An online document: Conceptual Steps for Designing Wildlife Corridors. [online] URL:http://corridordesign.org/dl/docs/ConceptualStepsForDesigningCorridors.pdf 198 ศาสตรแ์ ละศิลป์ การจัดการทรพั ยากรสตั วป์ ่าในพื้นท่ีคุม้ ครอง

Bennett, A. F. 2003. Linkages in the Landscape: The Role of Corridors and Connectivity in Wildlife Conservation. IUCN, Gland, Switzerland and Cambridge, UK. 254 p. Boughey, A.S. 1973. Ecology of Population. 2nd ed. Macmilllan Publ. Co., Inc., New York. Brokaw, H.P. 1978. Wildlife and America. Council on Environmental Quality. Washington, D.C. Campbell, N.A., Reece, J.B. and Mitchell, L.G. 1999. Biology. 5th ed. Addison Wesley Longman, Inc., California. CBD. 2004. The Ecosystem Approach. (CBD Guidelines) Montreal, 50 pp. Dasmann, R.F. 1964. Wildlife Biology. John Wiley & Sons, Inc., New York. Dasmann, R.F. 1981. Wildlife Biology. 2nd ed. John Wiley & Sons, Inc., New York. Dasmann, R.F., Milton, J.P. and Freeman, P.H. 1974. Ecological Principles for Economic Development. John Wiley & Sons Ltd., New York. Dasmann, R.F., Petrides, G.A., Roy, C., Klee, G. and Lovejoy, T. 1983. Wildlife P. 409 – 593. In Resource Inventory and Baseline Study Methods for Developing Countries. American Association for the Advance of Science, New York. Forman, R. T. T. and M. Gordon. 1986. Landscape Ecology. John Wiley and Sons. New York. 620 p. Gabrielson, I.N. 1951. Wildlife Management. The Macmillan Publ. Co., New York. Giles, Jr. and Robert, H. 1978. Wildlife Management. W.H. Freeman and Co., San Francisco, CA. Gysel, L.W. 1975. Lecture Note on Wildlife Habitat Analysis. Michigan State University, Michigan. Hess, G. R. & R. A. Fischer. 2001. Communicating clearly about conservation corridors. Landscape and Urban Planning 55: 195-208. IUCN. 1993. 1994 IUCN Red list of Threatened Animals. IUCN. Gland Switzerland, and Cambridge. UK. IUCN. 1994. Guidelines for Protected Area Management Categories. IUCN, Gland and Cambridge. IUCN. 1998. Economic Values of Protected Areas: Guidelines for Protected Area Managers. IUCN, Gland and Cambridge. IUCN. 2006. Financing Protected Areas. IUCN, Gland and Cambridge. Krebs, C.J. 2001. Ecology: The Experimental Analysis of Distribution and Abundance. 5th ed. Benjamin Cummings, San Francisco. Lavieren, L.P.V. 1982. Wildlife Management in the Tropics. Part I School of Environmental Conservation Management. Ciawi- Bogor. 199 ศาสตร์และศิลป์ การจัดการทรพั ยากรสัตวป์ า่ ในพน้ื ท่ีคมุ้ ครอง