Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การจัดการทรัพยากรสัตว์ป่าในพื้นที่คุ้มครอง

การจัดการทรัพยากรสัตว์ป่าในพื้นที่คุ้มครอง

Description: การจัดการทรัพยากรสัตว์ป่าในพื้นที่คุ้มครอง

Search

Read the Text Version

กวางผา (Naemorhedus caudatus) เป็ดก่า (Cairina scutulata) 5. มีแนวโน้มใกลส้ ญู พนั ธ์ุ (Vulnerable : VU) นกตะกรมุ (Leptoptilos javanicus) นกตะกราม (Leptoptilos dubius) ชนดิ พนั ธใ์ุ ดจะอยใู่ นกลมุ่ มแี นวโนม้ ใกลส้ ญู พนั ธ์ุ ตอ่ เมอื่ ชนดิ พนั ธน์ุ นั้ นกแตว้ แลว้ ทอ้ งดำ� (Pitta gurneyi) จระเขน้ ำ�้ เคม็ (Crocodylus porosus) ไม่ได้อยู่ในกลุ่มใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง และใกล้สูญพันธุ์ แต่ประสบ จระเขน้ ำ�้ จดื (Crocodylus siamensis) ปลาบกึ (Pangasianodon gigas) ความเสยี่ งตอ่ การสญู พนั ธไ์ุ ปจากธรรมชาตใิ นอนาคตอนั ใกล้ ตวั อยา่ งสตั วป์ า่ ในประเทศไทยท่ีจัดอยู่ในสถานภาพมีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ เช่น กระทิง 4. ใกล้สญู พันธุ์ (Endangered : EN) (Bos gaurus) หมาจ้ิงจอก (Canis aureus) หมาใน (Cuon alpinus) ชนิดพันธุ์ใดจะอยู่ในกลุ่มใกล้สูญพันธุ์ ต่อเมื่อชนิดพันธุ์นั้นไม่ได้ หมีหมา (Helarctos malayanus) หมีควาย (Ursus thibetanus) อยู่ในกลุ่มใกล้สูญพันธุ์อย่างย่ิง แต่ประสบความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ใน เสือปลา (Prionailurus viverrinus) เสือไฟ (Profelis temminckii) ธรรมชาติในอนาคตอันใกล้ ตัวอย่างสัตว์ป่าในประเทศไทยที่จัดอยู่ใน นกกระสาแดง (Ardea purpurea) นกหว้า (Argusianus argus) สถานภาพใกล้สูญพันธุ์ เช่น ควายป่า (Bubalus bubalis) ช้างป่า นกกาบบัว (Mycteria leucocephala) กิ้งก่าภูวัว (Mantheyus (Elephas maximus) ชะนีมงกุฎ (Hylobates pileatus) เสือโคร่ง phuwuaensis) ตะพาบธรรมดา (Amyda cartilaginea) กบอกหนาม (Panthera tigris) สมเสรจ็ (Tapirus indicus) นกเงือกคอแดง (Aceros จันทบุรี (Paa fasciculispina) ปลาการ์ตูน (Amphiprion sebae) nipalensis) นกเงือกหัวแรด (Buceros rhinoceros) นกยูงไทย (Pavo ปลาบมู่ หดิ ล (Mahidolia spp.) muticus) นกกระทงุ (Pelecanus philippensis) นกแกว้ โมง่ (Psittacula eupatria) เต่าปลู ู (Platysternon megacephalum) ตะกองหรอื ลงั้ 6. ใกลถ้ ูกคุกคาม (Near Threatened : NT) (Physignathus cocincinus) ปลากระโห้ (Catlocarpio siamensis) ชนดิ พนั ธใ์ุ ดจะอยใู่ นกลมุ่ ใกลถ้ กู คกุ คาม ตอ่ เมอ่ื ชนดิ พนั ธน์ุ นั้ ไมไ่ ด้ ปลากระเบนราหู (Himantura chaophraya) อยู่ในกลุ่มใกล้สูญพันธุ์อย่างย่ิง ใกล้สูญพันธุ์หรือมีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ แต่ใกล้ท่ีจะมีคุณสมบัติเข้าอยู่ในจ�ำพวกมีแนวโน้มที่ถูกคุกคามในอนาคต อนั ใกล้ ตวั อยา่ งสตั วป์ า่ ในประเทศไทยทจี่ ดั อยใู่ นสถานภาพทใี่ กลถ้ กู คกุ คาม กลมุ่ ใกลถ้ ูกคกุ คาม กลุ่มใกลส้ ญู พันธ์ุ กล่มุ ใกล้สญู พันธ์อุ ย่างย่งิ นกเงือกกรามชา้ ง (Aceros undulatus) นกยูงไทย (Pavo muticus) นกแตว้ แล้วทอ้ งดำ� (Pitta gurneyi) 50 ศาสตร์และศิลป์ การจัดการทรพั ยากรสัตวป์ ่าในพ้ืนที่คุ้มครอง

เช่น เลยี งผา (Capricornis sumatraensis) ล่ินชวา (Manis javanica) ของชนิดพันธุ์อยู่บ้างและชนิดพันธุ์ในกลุ่มนี้อาจจะได้รับการศึกษา และ นกเงอื กกรามชา้ ง (Aceros undulatus) นกกก (Buceros bicornis) นก เป็นท่ีรู้จักทางชีววิทยาเป็นอย่างดี แต่ไม่มีข้อมูลท่ีเหมาะสมเกี่ยวกับ ขนุ ทอง (Gracula religiosa) นกแสก (Tyto alba) เห่าชา้ ง (Varanus ปริมาณและการกระจายท่ีเพียงพอ กลุ่มข้อมูลไม่เพียงพอ จึงไม่ใช่กลุ่ม rudicollis) ตะกวด (Varanus nubulosus) ตุ๊กแกสยาม (Gekko ชนดิ พนั ธท์ุ ถี่ กู คกุ คามหรอื มคี วามเสย่ี งนอ้ ย การจดั ชนดิ พนั ธเ์ุ ขา้ ในกลมุ่ น้ี siamensis) กบท่าสาร (Ingerana tasanae) กบทดู (Limnonectes แสดงให้เห็นว่ามีความจ�ำเป็นในการจัดหาข้อมูลความรู้เพิ่มเติมจากการ blythii) ปลาเทโพ (Pangasius larnaudi) วิจัยในอนาคต ซ่ึงจะท�ำให้สามารถจ�ำแนกชนิดพันธุ์ในกลุ่มที่ถูกคุกคาม ทเี่ หมาะสม ตวั อยา่ งสตั วป์ า่ ในประเทศไทยทถี่ กู จดั อยใู่ นสถานภาพขอ้ มลู 7. มีความเส่ยี งน้อย (Least Concern : LC) ไมเ่ พียงพอ เชน่ เพียงพอนดอยผ้าหม่ ปก (Mustela nivalis) จิ้งจกดนิ ชนิดพนั ธ์ุใดจะอยู่ในกลุม่ ท่มี คี วามเสย่ี งน้อย ต่อเมือ่ ชนดิ พันธ์นุ ้นั (Dixoneus spp.) จิ้งเหลน (Sphenomorphus spp.) กบดอยช้าง ไม่ได้อยู่ในกลมุ่ ใกลส้ ญู พันธอ์ุ ยา่ งย่ิง ใกลส้ ูญพนั ธ์ุ มีแนวโนม้ ใกล้สูญพนั ธุ์ (Chaparana aenea) กบดอยอินทนนท์ (Rana schmackeri) หรอื กลมุ่ ใกลถ้ กู คกุ คาม กลมุ่ สงิ่ มชี วี ติ หลายชนดิ ไดถ้ กู จดั ไวใ้ นสถานภาพนี้ ส�ำหรับเกณฑ์การพิจารณาชนิดพันธุ์ท่ีใกล้สูญพันธุ์อย่างย่ิง ใกล้ ตวั อยา่ งสตั วป์ า่ ในประเทศไทยทถ่ี กู จดั อยใู่ นสถานภาพกลมุ่ ทเี่ ปน็ กงั วลนอ้ ย สูญพันธุ์และมีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ ไม่แตกต่างกันมากนัก อาจจะ ที่สุด เช่น เม่นหางพวง (Atherurus macrourus) เม่นใหญ่ (Hystrix พิจารณาได้ยาก แต่มีหลักเกณฑ์ที่ก�ำหนดรายละเอียดแตกต่างกันบ้าง brachyura) อ้นกลาง (Rhizomys pruinosus) งูแมวเซา (Daboia ในบางส่วน กลา่ วคอื siamensis) ตกุ๊ แกบา้ น (Gekko gecko) งจู งอาง (Ophiophagus hannah) 1. มกี ารลดลงของประชากร จะกลา่ วถงึ การประมาณการหรอื เหย้ี (Varanus salvator) งแู สงอาทติ ย์ (Xenopeltis unicolor) จงโครง่ วินิจฉัยโดยตรง การลดลงของพื้นท่ีถิ่นที่อาศัย ศักยภาพในการใช้ (Bufo asper) คางคกบา้ น (Bufo melanostictus) กบ (Rana spp.) ประโยชน์แทจ้ รงิ โดยกำ� หนดตัวเลขที่เทียบเคียงกัน 2. ขอบเขตทางภมู ิศาสตร์ เกยี่ วกับขอบเขตการกระจาย พน้ื ท่ี 8. ข้อมูลไม่เพยี งพอ (Data Deficient : DD) ขอบเขตการกระจาย คุณภาพของถ่นิ ทอ่ี าศัย จ�ำนวนถ่ินท่อี าศยั จำ� นวน ชนดิ พนั ธท์ุ จี่ ดั อยใู่ นกลมุ่ ขอ้ มลู ไมเ่ พยี งพอ เปน็ ชนดิ พนั ธท์ุ ม่ี ขี อ้ มลู ประชากรวัยเจริญพันธุ์ การเปล่ยี นแปลงมีความรุนแรงอย่างไร จากการ ไม่เพียงพอที่จะวิเคราะห์ถึงความเส่ียงต่อการสูญพันธุ์โดยตรง หรือโดย สังเกต วนิ จิ ฉยั หรือคาดการณ์ ออ้ ม แม้จะมีพื้นฐานความรู้ในสถานภาพของประชากรและการกระจาย 3. จำ� นวนประชากรในวยั เจรญิ พนั ธโ์ุ ดยประมาณการเทยี บเคยี ง เปน็ เปอรเ์ ซน็ ต์ หรอื การเปลย่ี นแปลงในจำ� นวนประชากรทสี่ งั เกต คาดการณ์ กลมุ่ ใกล้ถูกคกุ คาม หรือวินิจฉัย เช่น ใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง ประมาณการน้อยกว่า 250 ตัว ใกลส้ ญู พนั ธ์ุ ประมาณการนอ้ ยกวา่ 2,500 ตวั หรอื มแี นวโนม้ ใกลส้ ญู พนั ธ์ุ ประมาณการนอ้ ยกว่า 10,000 ตวั 4. จำ� นวนประชากรในวยั เจรญิ พนั ธโ์ุ ดยประมาณการเทยี บเคยี ง เป็นจ�ำนวน เช่น ใกล้สูญพันธุ์อย่างย่ิงมีประชากรวัยเจริญพันธุ์น้อยกว่า 50 ตัว ใกล้สูญพันธุ์มีประชากรวัยเจริญพันธุ์น้อยกว่า 250 ตัว และมี แนวโน้มใกลส้ ูญพันธม์ุ ปี ระชากรวัยเจรญิ พนั ธุ์ 1,000 ตวั 5. การวเิ คราะหเ์ ชงิ ปรมิ าณ แสดงใหเ้ หน็ ถงึ โอกาสในการสญู พนั ธ์ุ ไปจากธรรมชาตเิ ปน็ รอ้ ยละภายในระยะเวลาทก่ี ำ� หนด แลว้ แตว่ า่ ชว่ งเวลาใด จะยาวกวา่ กัน โดยช่วงเวลาท่ีสูงสุดคือ 100 ปี นกกก (Buceros bicornis) 51 ศาสตร์และศลิ ป์ การจัดการทรัพยากรสัตว์ป่าในพ้นื ทคี่ มุ้ ครอง

3นเิ วศวิทยาสตั ว์ป่า 52 ศาสตรแ์ ละศลิ ป์ การจดั การทรัพยากรสัตวป์ า่ ในพ้นื ทคี่ ุ้มครอง

53 ศาสตรแ์ ละศิลป์ การจัดการทรพั ยากรสัตวป์ า่ ในพื้นทีค่ ุม้ ครอง

บทที่ 3 (Wนเิiวldศlวifทิ eยEาcสoัตlวoป์ g่าy) นิเวศวิทยา (Ecology) หมายถึง การศึกษาทางวิทยาศาสตร์ และระบบนเิ วศ ทีเ่ ก่ยี วข้องกบั ความสมั พันธ์ระหวา่ งสิ่งมชี วี ิตกบั สง่ิ แวดล้อมของสิ่งมชี ีวติ การศกึ ษานเิ วศวทิ ยาโดยทว่ั ไปจำ� เปน็ จะตอ้ งใชค้ วามรขู้ น้ั พนื้ ฐาน เหล่านั้น การศึกษานิเวศวิทยาเป็นการศึกษาที่ใช้กระบวนการทาง ทางชวี วทิ ยาโดยเฉพาะสรรี วทิ ยา พนั ธศุ าสตร์ ววิ ฒั นาการและพฤตกิ รรม วทิ ยาศาสตรท์ เี่ กยี่ วขอ้ งกบั ปจั จยั สง่ิ แวดลอ้ มทงั้ ทม่ี ชี วี ติ (biotic factor) และ จากท่กี ลา่ วแลว้ การศกึ ษานเิ วศวิทยาสตั วป์ า่ จงึ มีอยู่ 4 ระดับ ไมม่ ชี ีวิต (abiotic factor) ท่มี ีความสมั พันธซ์ ึง่ กนั และกนั (interaction) 1. นิเวศวิทยาเชิงสรีรวิทยา (physiological ecology or นิเวศวทิ ยาสตั ว์ป่า (Wildlife Ecology) จึงหมายถงึ การศกึ ษาทาง species ecology) เปน็ การศกึ ษาความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสงิ่ มชี วี ติ แตล่ ะตวั วทิ ยาศาสตรท์ เ่ี กยี่ วขอ้ งกบั ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสตั วป์ า่ กบั สงิ่ แวดลอ้ ม กับสิ่งแวดล้อม ศึกษาเรื่องการปรับตัวของสิ่งมีชีวิตเพื่อให้เหมาะสมกับ ในการศึกษานิเวศวิทยาสัตว์ป่าเป็นการศึกษาชนิดพันธุ์สัตว์ป่า สภาพแวดล้อมที่สัตว์ด�ำรงชีวิตอยู่ได้อย่างไร เช่น อูฐที่ต้องอาศัยอยู่ใน แต่ละชนิด (species) หลายๆ ชนิดพันธุ์มาอยู่รวมกันเป็นประชากร บรเิ วณทคี่ ่อนขา้ งแหง้ แลง้ จะต้องปรบั ตัวหลายอยา่ งเพอื่ ใหด้ �ำรงชวี ติ อยู่ (population) หลายๆ ประชากรจะรวมกันเป็นสังคมส่ิงมีชีวิต รอด เช่น มีไตทำ� หน้าทขี่ ับถ่ายปัสสาวะท่เี ขม้ ข้นเพ่ือรักษานำ�้ ไว้ (community) และประชากรจะมีความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับปัจจัย 2. นิเวศวิทยาเชิงประชากร (population ecology) เป็น ทางกายภาพเกิดเป็นระบบนิเวศ (ecosystem) ฉะน้ันในการศึกษา การศึกษาเกี่ยวกับการแพร่กระจายและขนาดประชากรของสัตว์ป่า นิเวศวิทยาสัตว์ป่าเป็นการศึกษาถึงชนิดพันธุ์ ประชากร สังคมส่ิงมีชีวิต แตล่ ะชนดิ ประชากรของสัตวป์ า่ มมี ากน้อยแค่ไหน มอี ตั ราสว่ นระหว่าง 54 ศาสตรแ์ ละศิลป์ การจดั การทรพั ยากรสัตวป์ า่ ในพน้ื ที่ค้มุ ครอง

ตัวผู้กับตัวเมียต่างกันอย่างไร มีปัจจัยอะไรบ้างที่มีอิทธิพลต่อโครงสร้าง อูฐสองโหนก (Camelus bactrianus) ประชากร ประชากรสตั วป์ า่ มกี ารเปลย่ี นแปลงไปตามกาลเวลาและฤดกู าล รวมท้ังปัจจัยท้ังหลายท่ีท�ำหน้าที่ควบคุมการเปลี่ยนแปลงของขนาด ประชากรสัตว์ปา่ 3. นิเวศวิทยาเชิงสังคมส่ิงมีชีวิต (community ecology) เปน็ การศกึ ษาเกยี่ วกบั โครงสรา้ งของสงั คมสงิ่ มชี วี ติ เชน่ ความหลากหลาย ของชนิดพันธุ์ ความสัมพันธ์เชิงอาหาร ความสัมพันธ์ระหว่างประชากร สัตว์ป่า รวมทั้งปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อโครงสร้างสังคมส่ิงมีชีวิต การศึกษา เกยี่ วกบั เสถยี รภาพและการดำ� รงอยขู่ องสงั คมสง่ิ มชี วี ติ และการเปลยี่ นแปลง ไปตามกาลเวลาของสงั คมส่งิ มีชีวติ 4. นิเวศวิทยาเชิงระบบนิเวศ (ecosystem ecology) เป็น การศกึ ษาทเ่ี นน้ เกย่ี วกบั กระบวนการตา่ งๆ ทเี่ กดิ ขน้ึ ในระบบนเิ วศอนั เนอื่ ง มาจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างสังคมสิ่งมีชีวิตและปัจจัยทางกายภาพ การถา่ ยทอดพลงั งานและวฏั จกั รของสารอาหารตา่ งๆ ภายในระบบนเิ วศ รวมถึงการควบคุมตวั เองของระบบนเิ วศให้ดำ� รงอยู่ได้อย่างมเี สถียรภาพ นกเคา้ จุด (Athene brama) นกทดึ ทือพนั ธุเ์ หนือ (Ketupa zeylonensis) 55 ศาสตรแ์ ละศลิ ป์ การจดั การทรัพยากรสตั ว์ปา่ ในพื้นทค่ี มุ้ ครอง

ปัจจัยจำ� กดั การแพร่กระจายของชนดิ พนั ธ์สุ ัตวป์ า่ นกก้ิงโครงพนั ธุ์ยโุ รป (Sturnus vulgaris) สตั วป์ า่ แตล่ ะชนดิ มกี ารแพรก่ ระจายอยบู่ นพน้ื ผวิ โลกไมเ่ หมอื นกนั บางชนิดมีการแพร่กระจายท่ีกว้างขวางมาก บางชนิดพบได้เฉพาะท่ีใด ท่ีหน่ึง เช่น การแพร่กระจายของหมีขั้วโลกหรือหมีขาวจะพบอยู่ทาง ขวั้ โลกเหนอื ซึ่งมอี ากาศหนาว สิงโตจะแพร่กระจายในทวปี แอฟรกิ าและ บางประเทศในเอเชยี จงิ โจแ้ พรก่ ระจายอยใู่ นทวปี ออสเตรเลยี เป็นตน้ สัตว์ป่าแต่ละชนิดมีปัจจัยที่ท�ำหน้าที่ควบคุมขอบเขตการแพร่ กระจายทางภูมิศาสตร์ (geographic range) ที่แตกต่างกันไป ปัจจัย ส�ำคัญที่จ�ำกัดการแพร่กระจายของสัตว์ป่าแต่ละชนิด สามารถพิจารณา ไดจ้ ากปจั จยั ต่อไปน้ี 1. ปจั จยั ทางกายภาพ (physical factor) สตั วป์ า่ มกี ารปรบั ตวั โดยการวิวัฒนาการให้สามารถอยู่ได้ในสภาพแวดล้อมที่มีปัจจัยทาง กายภาพท่ีเหมาะสมต่อการด�ำรงชีวิต ซ่ึงจะพบว่าสัตว์ป่าเหล่าน้ันอาศัย อยู่ในพืน้ ท่ที ี่สภาพแวดลอ้ มเหมาะสมโดยเฉพาะ 2. ความสัมพนั ธก์ ับสัตว์ป่าชนิดอ่นื ๆ หรอื เป็นสัตวผ์ ลู้ า่ หรอื มี การแกง่ แย่งกนั จนบางชนดิ ไมส่ ามารถอย่ใู นบริเวณนน้ั ได้ 3. สงิ่ ขวางกน้ั ทางภมู ศิ าสตร์ (geographical range) ทำ� หนา้ ที่ ขัดขวางไม่ให้สัตว์ป่าบางชนิดแพร่กระจายไปท่ัวบริเวณได้ เช่น ทะเล มหาสมทุ ร ภูเขาหรือเทือกเขาสูงๆ การแพรก่ ระจายของนกกงิ้ โครงพนั ธย์ุ โุ รป (European starling) เปน็ ตวั อยา่ งหนง่ึ ทแ่ี สดงใหเ้ หน็ ถงึ อทิ ธพิ ลของปจั จยั ตา่ งๆ ทเ่ี ปน็ ตวั จำ� กดั การแพร่กระจายของนกชนิดนี้ น่ันคือปัจจัยส่ิงขวางกั้นทางภูมิศาสตร์ กลา่ วคอื ในอดีตนกก้ิงโครงพันธุ์ยุโรปมีการแพร่กระจายอยู่ในทวีปยุโรป และเอเชียเท่าน้ัน ไม่พบในทวีปอเมริกา มีการศึกษาท�ำให้ทราบว่า นกก้ิงโครงพันธุ์ยุโรปไม่สามารถแพร่กระจายจนถึงทวีปอเมริกาได้ เนอื่ งจากมมี หาสมทุ รแอตแลนตกิ ขวางกนั้ จากการทดลองนำ� นกกง้ิ โครง พนั ธย์ุ โุ รปไปปลอ่ ยในทวปี อเมรกิ า ปรากฏวา่ นกกงิ้ โครงพนั ธย์ุ โุ รปสามารถ อยู่รอดและสืบพันธุ์เพิ่มจ�ำนวนประชากรขึ้นอย่างรวดเร็ว การแพร่พันธุ์ ได้ดีในทวีปอเมริกาแสดงให้เห็นว่าสภาพแวดล้อมในทวีปอเมริกามี ความเหมาะสมต่อการดำ� รงชีวิต แต่มมี หาสมุทรเป็นส่งิ ขวางกัน้ 56 ศาสตรแ์ ละศลิ ป์ การจดั การทรพั ยากรสตั วป์ า่ ในพืน้ ที่คมุ้ ครอง

ปจั จยั ทางกายภาพทส่ี ำ� คญั ทเ่ี ปน็ ตวั กำ� หนดขอบเขตการแพร่ ยังมีผลต่อการเจริญเติบโตและพฤตกิ รรมของสัตวห์ ลายชนดิ อีกดว้ ย กระจาย 4. ลม สัตว์และพืชหลายชนิดไม่สามารถอยู่ได้ในท่ีที่มีลมแรง ปัจจัยทางกายภาพที่มักจะเป็นตัวก�ำหนดขอบเขตการแพร่ มากๆ กระแสลมแรงหรือลมอ่อนมีผลต่อปัจจัยทางกายภาพอ่ืนๆ เช่น กระจายของสัตวป์ า่ ทีส่ �ำคัญๆ ได้แก่ อณุ หภมู ิ การระเหยของนำ้� การคายนำ้� ของพชื การละลายของออกซเิ จน 1. อุณหภูมิ มีอิทธิพลต่อกระบวนการทางชีวเคมีของร่างกาย ในน�ำ้ ลมแรงยังเป็นตัวจ�ำกัดการเติบโตของกงิ่ กา้ นสาขาของพชื ความสามารถของตัวสัตว์ป่าที่จะควบคุมอุณหภูมิภายในร่างกายจึงเป็น 5. ดนิ และหิน ลกั ษณะทางกายภาพของดินและหนิ ความเปน็ ปัจจัยท่ีส�ำคัญอย่างหน่ึงที่จะก�ำหนดให้สัตว์ป่ามีการแพร่กระจายได้ กรดและด่างของดนิ และสารตา่ งๆ ทม่ี ีอยูใ่ นดนิ เป็นปัจจัยจ�ำกัดการแพร่ กว้างขวางมากนอ้ ยแค่ไหน กระจายของพชื และจะมผี ลมายงั การแพรก่ ระจายของสตั วด์ ว้ ย เพราะพชื 2. น้�ำ มีความจ�ำเป็นต่อการด�ำรงชีวิตของส่ิงมีชีวิตทุกชนิด เปน็ แหลง่ อาหารของสัตว์หรือถิ่นทีอ่ าศัย และยังท�ำให้ถ่ินท่ีอาศัยแต่ละแห่งมีความช้ืนแตกต่างกัน สัตว์ป่ามี 6. การถูกรบกวนเป็นระยะๆ ภัยธรรมชาติที่เกิดข้ึนเป็นบาง การปรับตัวให้อยู่ในสถานที่ที่มีความชื้นแตกต่างกัน และจะอาศัยอยู่ ระยะ บางคร้ังหรือเป็นประจ�ำ เช่น ไฟป่า ลมพายุ ภูเขาไฟระเบิด เฉพาะในถิน่ ท่อี าศัยที่มีความชืน้ เพยี งพอตอ่ การด�ำรงชีวิตเท่าน้ัน เปน็ เหตใุ หส้ ตั วป์ า่ บางชนดิ ไมส่ ามารถทนอยไู่ ด้ ภยั ธรรมชาตสิ ามารถจำ� กดั 3. แสงอาทติ ย์ มคี วามจำ� เปน็ มากสำ� หรบั การสงั เคราะหด์ ว้ ยแสง การแพรก่ ระจายของพชื และสตั ว์ได้ เชน่ ไฟปา่ ทเ่ี กดิ ในทุ่งหญา้ บางแหง่ ของพืชท้ังบนบกและในน้�ำ บริเวณใดมีแสงมากหรือน้อยจะมีผลต่อ จะไม่พบพืชทไ่ี มส่ ามารถทนไฟไดข้ ึน้ อยู่ในระบบนิเวศทุ่งหญา้ น้ี การกระจายของชนดิ พชื และตอ่ เนอื่ งถงึ สตั วป์ า่ นอกจากนน้ั แสงอาทติ ย์ 57 ศาสตร์และศลิ ป์ การจัดการทรัพยากรสตั วป์ า่ ในพนื้ ท่คี ุม้ ครอง

การตอบสนองตอ่ ความผนั แปรของสภาพแวดลอ้ มของสตั วป์ า่ วา่ วิถชี วี ิตของสงิ่ มชี ีวติ เชน่ สตั วป์ ่าแต่ละชนิดจะต้องอาศัยอยู่ในพ้นื ทที่ ่ีมี สัตว์ป่าแต่ละชนิดในแต่ละท้องที่มีวิธีการต่างๆ กันเพื่อที่จะ อณุ หภมู ชิ ว่ งทส่ี ตั ว์อาศยั อยไู่ ด้ ถา้ อณุ หภมู สิ งู หรอื ต�ำ่ กว่านน้ั มนั จะอาศยั อยู่ ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยแวดล้อมต่างๆ สามารถแบ่ง ไมไ่ ด้ ชว่ งอณุ หภมู ทิ ส่ี ตั วอ์ าศยั อยไู่ ดจ้ ดั วา่ เปน็ วถิ ชี วี ติ ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั อณุ หภมู ิ ออกไดเ้ ป็น 3 ประการ คือ เมื่อกล่าวถึงวิถีชีวิตของสัตว์ป่าชนิดหน่ึงชนิดใดมักจะเกี่ยวข้องกับปัจจัย 1. การตอบสนองทางด้านสรีรวิทยา (physiological หลายอย่างโดยส่วนใหญ่จะเก่ียวข้องกับเร่ืองของอาหาร (chain niche) response) เชน่ การทเ่ี ส้นโลหติ ของสัตว์หลายชนดิ มีการหดหรือขยาย ซึ่งเป็นบทบาทหน้าที่ของสัตว์ป่าที่เกี่ยวข้องกับการถ่ายทอดพลังงาน เช่น ตวั เมื่อเผชิญกับอณุ หภมู ิภายนอกรา่ งกายท่หี นาวจัดหรือรอ้ นจัด เป็นสัตว์กินพืชหรือสัตว์กินเนื้อ เป็นผู้ผลิตหรือเป็นผู้ย่อยสลาย วิถีชีวิตท่ี 2. การตอบสนองทางด้านสัณฐาน (morphological เกี่ยวข้องกับถ่ินที่อาศัย (habitat niche) เช่น อาศัยอยู่บนบกหรือในน้�ำ response) เชน่ การทสี่ ตั วป์ า่ หลายชนดิ มสี สี นั เปลย่ี นแปลงไปตามสถาน อาศยั อยูบ่ นดนิ หรือบนต้นไม้ ท่หี รือฤดูกาลท่ีเปลี่ยนแปลงไป จากการศึกษา นักนิเวศวิทยาพบว่าสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ไม่มีโอกาส 3. การตอบสนองทางดา้ นพฤตกิ รรม (behavioral response) ได้ใช้ปัจจัยหรือไม่ได้อยู่ในพื้นที่ท่ีเหมาะสมเสมอไป วิถีชีวิตของสิ่งมีชีวิต เช่น การอพยพของนกหลายชนิดท่ีเป็นการตอบสนองต่ออุณหภูมิที่ จึงแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ วิถีชีวิตพ้ืนฐาน (fundamental niche) หนาวเยน็ รวมไปถงึ การขาดแคลนอาหาร ตวั อยา่ งทเ่ี หน็ ไดช้ ดั คอื กวางแดง หมายถงึ วถิ ชี วี ิตของสง่ิ มชี วี ติ สามารถใชป้ จั จัยต่างๆ ได้เต็มท่เี ท่าที่ตอ้ งการ ไปอยรู่ มิ แมน่ ำ�้ ในฤดหู นาวเปน็ การปอ้ งกนั มใิ หผ้ วิ กายสมั ผสั กบั ความหนาว ตามธรรมชาติ และวิถที เี่ กิดจรงิ (realized niche) หมายถึง วิถีชีวิตของ เยน็ ของลมและหมิ ะโดยการรบั ไออุน่ จากแมน่ ำ้� ทกี่ �ำลังไหลอยู่ สงิ่ มีชวี ติ ทสี่ ามารถใชป้ ัจจยั ต่างๆ ได้จริงในธรรมชาติ การที่ส่ิงมีชีวิตชนิดต่างๆ มีวิถีชีวิตคล้ายคลึงกัน ท�ำให้เกิด วิถชี วี ิตทางนเิ วศวทิ ยาของสตั ว์ป่า การแกง่ แยง่ ปจั จยั ตา่ งๆ ขน้ึ ยง่ิ มวี ถิ ชี วี ติ ใกลเ้ คยี งกนั มากเทา่ ไร การแกง่ แยง่ แนวคดิ ทส่ี ำ� คญั ทางนเิ วศวทิ ยาอกี แนวคดิ หนงึ่ คอื แนวคดิ เกยี่ ว แข่งขันก็จะสูงตามไปด้วย ส่ิงมีชีวิตหลายชนิดที่มีความต้องการปัจจัย กบั วถิ ชี วี ติ ทางนเิ วศวทิ ยา (ecological niche) ซงึ่ หมายถงึ บทบาท ต่างๆ คล้ายกัน สามารถอยู่ร่วมกันได้ในบริเวณใดบริเวณหนึ่ง สิ่งมีชีวิต หรอื หนา้ ทขี่ องสงิ่ มชี วี ติ ชนดิ ใดชนดิ หนึง่ ในสงั คมสง่ิ มชี วี ติ นน้ั ๆ สง่ิ มี เหล่าน้ันมีการปรับตัวให้มีการใช้ปัจจัยต่างๆ แตกต่างกันไป ท�ำให้วิถีชีวิต ชวี ติ แตล่ ะชนดิ จะมคี วามตอ้ งการปจั จยั ตา่ งๆ หรอื ใชป้ จั จยั แตกตา่ ง ของสตั วท์ ง้ั สองไมท่ บั ซอ้ นกนั (overlap) หรอื เหมอื นกนั ทง้ั หมด การแบง่ สรร กันไปตามแต่ละชนิด เราเรียกความต้องการหรือการใช้ปัจจัยต่างๆ การใช้ปัจจัยต่างๆ ไม่ให้เหมือนกันเพื่อลดการแก่งแย่งแข่งขันกันระหว่าง หมูปา่ (Sus scrofa) เป็ดแดง (Dendrocygna javanica) 58 ศาสตร์และศิลป์ การจัดการทรพั ยากรสัตวป์ ่าในพ้นื ท่คี มุ้ ครอง

ส่ิงมชี ีวติ หลายๆ ชนิด เรยี กว่า การแบง่ ปันการใชท้ รัพยากร (resource ประสทิ ธภิ าพ ปรากฏการณท์ อ่ี วยั วะหรอื พฤตกิ รรมของสตั วท์ ม่ี าอยรู่ วมกนั partitioning) และใช้ปัจจัยแตกต่างกัน มีการปรับตัวให้แตกต่างกัน ความแตกต่างกัน ตวั อยา่ งเชน่ นกหวั ขวาน (woodpecker) กบั นกไตไ่ ม้ (nuthatch) จะเกิดขึ้นตอ่ เมื่ออยรู่ วมกัน เราเรยี กวา่ character displacement เชน่ นกท้ังสองชนิดมักกินแมลง มด ปลวก ตัวหนอนตามต้นไม้ ซึ่งจะอาศัย บางชนดิ มปี ากเหมาะสมกบั การกนิ เมลด็ พชื บางชนดิ เหมาะสมในการกนิ หากนิ อยใู่ นตน้ เดยี วกนั นกหวั ขวานจะไตห่ ากนิ จากโคนไมส้ เู่ รอื นยอดของ ใบไมห้ รอื บางชนดิ เหมาะสมในการกินแมลง เปน็ ตน้ ต้นไม้ ส่วนนกไต่ไม้จะไต่หากินจากก่ิงก้านเรือนยอดสู่โคนไม้ หรือกรณี นกั วทิ ยาศาสตรไ์ ดศ้ ึกษาการอยรู่ ่วมกันของกิ้งก่า 7 ชนดิ ในสกลุ Anolis คุณลกั ษณะของประชากรสัตว์ป่า ในป่าประเทศโดมนิ ิกัน (Cambell et al., 1999) พบว่า กิง้ ก่าแตล่ ะชนดิ ค�ำวา่ ประชากร (population) ในทางนิเวศวทิ ยา หมายถงึ จะมีการแบ่งแยกกันอยู่ตามบริเวณต่างๆ ในป่าและตามส่วนต่างๆ ของ กลมุ่ ของสงิ่ มชี วี ติ ชนดิ เดยี วกนั ทอ่ี าศยั อยรู่ วมกนั ในบรเิ วณใดบรเิ วณหนง่ึ ตน้ ไม้ ท�ำให้กง้ิ กา่ ท้ัง 7 ชนิด ไม่มกี ารแกง่ แย่งแข่งขนั กนั สงู จนเกนิ ไป เชน่ ในชว่ งเวลาใดเวลาหนง่ึ ตวั อยา่ งเชน่ ประชากรช้างปา่ ทีอ่ าศัยอยใู่ นเขต บางชนิดหากินหรืออาศัยอยู่บนเรือนยอดของต้นไม้ท่ีสูงๆ บางชนิด รกั ษาพนั ธ์สุ ัตวป์ า่ สลกั พระ จงั หวดั กาญจนบุรี จะเปน็ คนละประชากรกับ ขึ้นๆ ลงๆ หากนิ อย่บู ริเวณกลางล�ำตน้ ของตน้ ไม้ บางชนิดหากินอยู่ตาม ประชากรชา้ งปา่ ทอี่ าศยั อยใู่ นอทุ ยานแหง่ ชาตเิ ขาใหญ่ จงั หวดั นครราชสมี า โคนต้นของต้นไม้หรือบนต้นไม้ต้นเต้ียๆ ในขณะที่อีกสองสามชนิด หรือเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าหรืออุทยานแห่งชาติอื่นๆ แต่ถ้าหากพูดถึง กลา้ ทจ่ี ะออกหากนิ ใกลก้ บั แหลง่ ซงึ่ มกี จิ กรรมของมนษุ ย์ กง้ิ กา่ ทง้ั 7 ชนดิ ชา้ งปา่ ทงั้ หมดในประเทศไทยจะเปน็ ประชากรกลมุ่ เดยี วกนั คอื ประชากร สามารถอยู่ร่วมกันได้ในป่าเดียวกันโดยไม่มีการแก่งแย่งแข่งขันสูงมาก ชา้ งปา่ ในประเทศไทยในเวลาใดเวลาหนึ่งขณะทพี่ ดู ถึง เราเรียกว่าการแบ่งแยกบริเวณที่หากินหรืออยู่อาศัยแบบการแบ่งปัน ทรพั ยากร ลกั ษณะเฉพาะของประชากรสตั ว์ป่า การแบง่ ปนั ทรพั ยากรมกั จะเปน็ เหตใุ หส้ ตั วป์ า่ หรอื สง่ิ มชี วี ติ แตล่ ะ เมอื่ ชนดิ พนั ธส์ุ ตั วป์ า่ หลายๆ ตวั มาอยรู่ วมกนั กลายเปน็ ประชากร ชนิดซึ่งแบ่งแยกการใช้ปัจจัยต่างๆ มีการวิวัฒนาการทางด้านรูปพรรณ สัตว์ป่า จะมีลักษณะเฉพาะบางอย่างเกิดขึ้นซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของ สัณฐาน ให้มีอวัยวะเหมาะสมกับการใช้ปัจจัยต่างๆ ที่แตกต่างกัน ประชากรสตั วป์ ่า เหลา่ นนั้ ดว้ ย การปรบั ตวั ของอวยั วะตา่ งๆ เพอื่ ใหใ้ ชป้ จั จยั ตา่ งๆ ไดอ้ ยา่ งมี 59 ศาสตร์และศลิ ป์ การจัดการทรัพยากรสตั วป์ ่าในพ้ืนท่คี ุ้มครอง

1. ขนาดของประชากร (population size) หมายถึง จ�ำนวน สมาชิกของประชากรทมี่ อี ย่ทู ัง้ หมด เช่น ชา้ งปา่ 100 ตวั เลยี งผา 20 ตวั หรือเสือโคร่ง 30 ตัว เปน็ ต้น 2. ความหนาแน่นของประชากร (population density) ประชากรมีความหนาแน่นในทางนิเวศ หมายถึง จ�ำนวนสมาชิกของ ประชากรทงั้ หมดต่อ 1 หน่วยพน้ื ที่ ในเวลาใดเวลาหนงึ่ เชน่ จ�ำนวนของ ประชากรกวางป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง 0.5 ตัวต่อหนึ่ง ตารางกโิ ลเมตรในเดือนมนี าคม พ.ศ. 2553 3. การกระจายของประชากร (distribution) หมายถึง การ กระจายตวั ของสมาชกิ ในประชากรบรเิ วณใดบรเิ วณหนงึ่ ปกตจิ ะแบง่ ออก ไดเ้ ปน็ 3 รปู แบบ คอื ก. การกระจายแบบกลมุ่ (clumped distribution) การ กระจายแบบน้ีเกิดข้ึนเมื่อปัจจัยบางอย่างท่ีส�ำคัญต่อการด�ำรงชีวิตของ สัตว์ป่ามีการกระจายไม่สม่�ำเสมอทั่วบริเวณ จะกระจุกอยู่บริเวณใด บริเวณหน่ึง ซึ่งการกระจายแบบน้ีจะพบมากเน่ืองจากสัตว์ป่ามีการรวม กลมุ่ หรือพฤติกรรมการอยู่รวมกลมุ่ หรือเป็นสงั คม ข. การกระจายแบบสม่�ำเสมอ (uniform distribution) การกระจายแบบนี้มักพบในบริเวณที่มีปัจจัยบางอย่างที่สัตว์ป่าต้องการ ค่อนข้างจ�ำกัด แต่มีการกระจายปัจจัยสม่�ำเสมอ ในขณะที่ประชากร มกั จะมคี วามหนาแนน่ สงู การรวมอยดู่ ว้ ยกนั จะทำ� ใหไ้ ดร้ บั ปจั จยั เทา่ ๆ กนั เช่น การท�ำรังของนกทะเลตามชายหาดหรือหน้าผา ซ่ึงจะมีที่ว่างท�ำรัง จ�ำกัด เพราะฉะนั้นนกทุกตัวท่ีท�ำรังจะจัดตัวให้ห่างเท่าๆ กัน รังของ แต่ละตัวกจ็ ะมพี ้ืนทเี่ ทา่ ๆ กัน ค. การกระจายแบบสุ่ม (random distribution) การ กระจายแบบนม้ี ักจะเกิดในบรเิ วณท่ีปจั จัยต่างๆ ที่สัตว์ป่าตอ้ งการมีการ กระจายอย่างสม่�ำเสมอตลอดพ้ืนท่ีและมีปริมาณมากพอ สัตว์ป่าจะอยู่ บริเวณใดก็ได้ จะได้รับปัจจัยเหล่านั้นเพียงพอเท่ากัน ไม่มีการแก่งแย่ง แขง่ ขนั กนั มาก เชน่ การกระจายของตน้ ไมข้ นาดใหญๆ่ ในปา่ เขตรอ้ นชนื้ ตน้ ไมม้ กั จะมกี ารกระจายตวั แบบไมเ่ จาะจงแนน่ อน เนอื่ งจากสารอาหาร หรือความชื้นไม่เปน็ ปจั จยั จำ� กัดสำ� หรบั ตน้ ไม้เหลา่ นั้น 4. โครงสร้างอายุของประชากร (age structure) หมายถึง จ�ำนวนหรือสัดส่วนของกลุ่มสมาชิกท่ีมีอายุต่างๆ กันในประชากร เช่น สัตว์ท่ีมีอายุ 5 ปี มีสัดส่วนเป็นจ�ำนวนเท่าไรหรือกี่เปอร์เซ็นต์ของ ประชากรทั้งหมด ในทางนิเวศวิทยามักจะมีการแบ่งสัตว์ป่าตามอายุ 60 ศาสตรแ์ ละศิลป์ การจดั การทรัพยากรสัตว์ปา่ ในพื้นท่ีคุ้มครอง

ค่างแวน่ ถิน่ เหนือ (Trachypithecus phayrei) 61 ศาสตร์และศลิ ป์ การจดั การทรัพยากรสัตว์ปา่ ในพ้ืนที่คุ้มครอง

โดยแยกเปน็ กลุม่ อายใุ หญ่ๆ 3 กลุ่ม คือ ก. วยั กอ่ นเจรญิ พนั ธ์ุ (pre - reproductive age) คอื สมาชกิ ประชากรกลมุ่ ที่ยงั สืบพนั ธ์ไุ ม่ได้ ข. วยั เจรญิ พนั ธ์ุ (reproductive age) คอื สมาชกิ ประชากร กลุ่มที่อยู่ในช่วงระยะของชีวิตที่มีการสืบพันธุ์ได้ ต้ังแต่เริ่มต้นจนไม่ ้ชันอายุ ( ีป) สามารถสบื พนั ธไุ์ ด้อกี ค. วัยหลังเจริญพันธุ์ (post - reproductive age) คือ สมาชกิ ประชากรกลมุ่ ทจ่ี ะไมส่ บื พันธุ์อกี แล้วในประชากรน้นั ถ้าน�ำจ�ำนวนสมาชิกที่มีอายุในกลุ่มต่างๆ มาเขียนแผนภาพ เพื่อแสดงสัดส่วนของแต่ละกลุ่มในแต่ละประชากร จะเรียกแผนภาพ สัดสว่ นช้นั อายุ นั้นว่า ปิรามิดอายุ (age pyramid) โดยน�ำกลุ่มอายุท้ังสามกลุ่มมา ปริ ามดิ อายขุ องสตั วป์ า่ ในรปู แบบตา่ งๆ (1) Declining (2) Stable และ (3) Expanding เปรยี บเทยี บกัน กลา่ วคอื ปิรามิดที่แสดงจ�ำนวนประชากรท่ีมีแนวโน้มลดลง (declining) ในอนาคตวยั เจรญิ พนั ธจ์ุ ะไมส่ ามารถสบื พนั ธ์ุ ในขณะทว่ี ัยก่อนเจริญพันธุ์ ซ่งึ จะเติบโตมาแทนท่เี ปน็ วัยเจริญพนั ธ์มุ นี อ้ ย ปิรามิดอายุมีฐานคอ่ นขา้ ง แคบ ในขณะที่วัยเจริญพันธุ์มีจ�ำนวนมากและวัยหลังเจริญพันธุ์น้อย ในอนาคตวัยเจริญพันธขุ์ องประชากรนอ้ ย ประชากรจงึ มแี นวโน้มลดลง ปริ ามดิ ทแี่ สดงขนาดประชากรคงที่ (stable) ปริ ามดิ อายจุ ะมฐี าน กว้างพอประมาณ ในขณะท่ีวัยเจริญพันธุ์มีไม่น้อยหรือมากจนเกินไป ฐานหรอื วยั กอ่ นเจรญิ พนั ธน์ุ จี้ ะตอ้ งมคี วามกวา้ งเลก็ นอ้ ย เนอ่ื งจากกวา่ จะ ขน้ึ มาเปน็ วยั เจรญิ พนั ธม์ุ กี ารตายเกดิ ขนึ้ บา้ ง แสดงวา่ ในอนาคตมแี นวโนม้ ประชากรคอ่ นขา้ งคงที่ กวางปา่ (Cervus unicolor) 62 ศาสตร์และศิลป์ การจดั การทรัพยากรสัตวป์ า่ ในพืน้ ท่ีคมุ้ ครอง

ปริ ามดิ ทม่ี ฐี านกวา้ ง (expanding) วยั กอ่ นเจรญิ พนั ธม์ุ มี ากขณะท่ี คอ่ นขา้ งคงทตี่ ลอดอายขุ ยั จะพบในพวกสตั วป์ า่ ขนาดเลก็ เชน่ กงิ้ กา่ สตั ว์ วยั เจรญิ พนั ธม์ุ นี อ้ ย แมว้ า่ ในอนาคตวยั กอ่ นเจรญิ พนั ธจ์ุ ะมกี ารตายลงบา้ ง ฟันแทะ (rodents) เปน็ ต้น ด้วยสาเหตุใดก็ตาม แต่เมื่อถึงวัยเจริญพันธุ์แล้วยังคงมีจ�ำนวนมาก Type III curve พวกสตั วท์ อ่ี อกลกู คราวละมากๆ ประชากรทเี่ กดิ ในอนาคต ดงั น้ัน ประชากรจะมจี ำ� นวนมาก มามอี ตั ราการตายทส่ี งู มาก ทำ� ใหก้ ารอยรู่ อดตำ�่ การออกลกู คราวละมากๆ 5. อัตราส่วนระหว่างเพศ (sex ratio) หมายถึง อัตราส่วน เพอ่ื เปน็ การทดแทนจำ� นวนลกู ทตี่ ายไปกวา่ ทจ่ี ะเจรญิ เตบิ โตเปน็ ตวั เตม็ วยั ระหวา่ งเพศชายกบั เพศหญิงหรอื อัตราส่วนระหวา่ งตัวผู้กับตวั เมีย การมี เช่น พวกปลาหลายชนดิ ท่อี อกไข่เปน็ จ�ำนวนมาก สัดส่วนดังกล่าวมีผลต่อการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของขนาดประชากร จากขอ้ มลู การอยรู่ อดของประชากรในชว่ งวยั ตา่ งๆ นกั นเิ วศวทิ ยา เชน่ เดียวกนั โครงสร้างอายขุ องประชากรคืออัตราส่วนวยั เจริญพนั ธุ์และ น�ำขอ้ มลู มาค�ำนวณสร้างตารางทเ่ี รยี กวา่ ตารางชวี ติ (life table) เป็น วัยก่อนเจริญพันธุ์มีมากหรือน้อย ในการสืบพันธุ์ของสัตว์ป่าแต่ละชนิด ตารางทสี่ ามารถทำ� นายอตั ราการตายของสตั วใ์ นชว่ งอายตุ า่ งๆ ได้ สตั วใ์ น การที่มตี ัวเมยี มากๆ มโี อกาสท่ีจะท�ำใหป้ ระชากรเพ่มิ ขนึ้ ได้ในอนาคต แต่ละวัยมีโอกาสอย่รู อดได้อีกประมาณกปี่ ี 6. อตั ราการเกดิ (birth rate) หมายถงึ จำ� นวนสมาชกิ ทเี่ พมิ่ ขนึ้ ต่อหน่วยเวลา ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เล้ียงลูกด้วยนมท่ีออกลูกเป็นตัวหรือ จำ� นวนนกทอี่ อกไข่เปน็ ฟอง 7. อตั ราการตาย (death rate) หมายถึง จ�ำนวนสมาชกิ ทตี่ าย จำ�นวน ัสตว์ ่ทีอ ่ยูรอด ไปตอ่ หนงึ่ หนว่ ยเวลา ไมว่ า่ จะตายดว้ ยวธิ ใี ดกต็ าม คงมผี ลลพั ธเ์ หมอื นกนั คอื ทำ� ให้จำ� นวนสมาชิกของประชากรลดลง ทั้งอัตราการเกิดและอัตราการตายของประชากรเป็นลักษณะ เฉพาะของประชากร เปน็ การหาอตั ราการเกดิ และการตาย แตไ่ มส่ ามารถ หาอตั ราการเกดิ หรอื อตั ราการตายในแตล่ ะตวั ได้ อตั ราการเกดิ และอตั รา การตายจึงเปน็ ลกั ษณะเฉพาะที่พบในสัตวท์ ่อี ยรู่ วมกนั เป็นประชากร อายุ (ป)ี 8. กราฟการอยู่รอด (survival curve) หมายถึง การอยู่รอด กราฟแสดงการอยรู่ อดของชนิดพันธ์ุสัตว์ป่า ของสมาชิกประชากรในแต่ละช่วงอายุขัยของสัตว์ป่า นักนิเวศวิทยา สามารถศึกษาได้ว่าสัตว์ป่าแต่ละชนิดในแต่ละช่วงอายุต้ังแต่เกิดจนตาย ช่วงไหนของชีวิตที่มีอัตราการตายสูงหรือต่�ำ ในการศึกษาอัตราการตาย หรืออัตราการอยู่รอดตลอดอายุขัย นักนิเวศวิทยานิยมติดตามสิ่งมีชีวิต นั้นๆ ตั้งแต่เกิดจนตาย ซ่ึงอาจจะใช้วิธีต่างๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อม มกั จะเริ่มต้นจากจ�ำนวนประชากร 1,000 ตัว หรือ 500 ตัว แลว้ นำ� มา เขยี นกราฟของการอยรู่ อด (survivorship) แสดงจำ� นวนสมาชกิ ทอี่ ยรู่ อด โดยเฉล่ยี ในแต่ละช่วงอายุตลอดอายขุ ยั ของสตั ว์ชนดิ ใดชนิดหนึ่ง Type I curve ประชากรในช่วงอายุน้อยๆ จะมีอัตราการตาย ค่อนข้างต่�ำ การอยู่รอดค่อนข้างสูง อัตราการตายจะค่อยๆ สูงข้ึน เมื่อ สัตว์ชนิดนี้มีอายุมากข้ึน จะสูงมากตอนแก่เฒ่า จะพบในสัตว์เลี้ยงลูก ดว้ ยนมขนาดใหญ่ Type II curve ประชากรที่มอี ัตราการตายหรืออัตราการอยู่รอด เปด็ ผีเล็ก (Tachybaptus ruficollis) 63 ศาสตรแ์ ละศลิ ป์ การจดั การทรพั ยากรสัตวป์ า่ ในพืน้ ทค่ี ้มุ ครอง

64 ศาสตร์และศิลป์ การจัดการทรพั ยากรสตั ว์ปา่ ในพื้นท่คี ุ้มครอง

เป็ดแดง (Dendrocygna javanica) 65 ศาสตรแ์ ละศิลป์ การจัดการทรพั ยากรสัตวป์ า่ ในพ้นื ที่ค้มุ ครอง

โครงสร้างประชากร (Population Structure) อาจจะตอ้ งใชเ้ วลาในการเจริญเติบโตอยนู่ าน ในขณะทบ่ี างชนิดสามารถ ลักษณะเฉพาะต่างๆ ของประชากรที่กล่าวมาแล้ว ช่วยให้เรา เรมิ่ มลี กู ไดค้ ่อนข้างเร็ว สามารถท�ำนายได้ว่าประชากรจะมีการเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างไร ในอนาคต ซึ่งลักษณะเฉพาะต่างๆ ของประชากรอาจรวมกันได้เรียกว่า พฤติกรรมของสตั วป์ า่ (Wildlife Behavior) โครงสร้างประชากร ซึ่งหมายถึงองค์ประกอบต่างๆ ในประชากรท่ีมี การเรยี นรูพ้ ฤตกิ รรมของสัตวช์ นดิ ตา่ งๆ เป็นการศกึ ษาสว่ นหนง่ึ อิทธิพลต่อการสืบพันธุ์ของสมาชิกในประชากรนั้น การที่มีประชากร ของวิชาชีววิทยา พฤติกรรมของสัตว์น้ีเองท่ีช่วยท�ำให้สัตว์มีวิวัฒนาการ ในวัยเจริญพันธุ์มากหรือน้อย อัตราส่วนตัวผู้กับตัวเมียมากน้อย มาไดจ้ นถงึ ปจั จบุ นั มนษุ ยเ์ ราเองกม็ กี ารศกึ ษาพฤตกิ รรมสตั วม์ าเปน็ เวลา แตกต่างกัน มักจะเป็นปัจจัยส�ำคัญที่มีผลต่อการเพ่ิมหรือลดขนาด นานแล้ว ท�ำให้เรียนรู้เก่ียวกับสัตว์ป่าในการแสวงหาอาหาร หลีกเลี่ยง ประชากรในอนาคต การกระจายตวั ของสมาชกิ ในประชากรชว่ ยทำ� นาย ศตั รหู รอื หลบภยั ธรรมชาติ เชน่ เสยี งนกรอ้ งทเ่ี ราไดย้ นิ อยทู่ กุ วนั เปน็ เสยี ง ในเร่อื งของการจับคผู่ สมพนั ธ์ุ ทนี่ กใช้ในการสื่อสารระหวา่ งกนั นอกจากโครงสรา้ งประชากรจะเปน็ ตวั ชว่ ยทำ� นายการเพม่ิ ขนึ้ หรอื พฤตกิ รรมของสตั ว์ หมายถงึ การกระทำ� หรอื การตอบโตข้ องสตั ว์ ลดลงของขนาดประชากรในอนาคตแลว้ การรวมกลมุ่ หรอื การอยรู่ ว่ มกนั ตอ่ การเปลยี่ นแปลงทเ่ี กดิ ขนึ้ ในสภาพแวดลอ้ ม คอื การมสี งิ่ เรา้ ในรปู แบบ กอ็ าจจะมผี ลตอ่ การเพมิ่ หรอื ลดของขนาดประชากรไดเ้ ชน่ กนั เราเรยี กวา่ ต่างๆ ท่ีอยู่ในสภาพแวดล้อม สิ่งเร้ามีผลท�ำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ชีวประวัติ (life history) ในทางชีววิทยา หมายถึงเร่ืองราวหรือวิธีที่ ทางประสาทและฮอรโ์ มนชกั นำ� ใหเ้ กดิ พฤตกิ รรมการผสมพนั ธ์ุ ในฤดรู อ้ น สงิ่ มชี วี ติ ใชใ้ นการเจรญิ เตบิ โต สบื พนั ธแ์ุ ลว้ กต็ ายไป ชวี ประวตั จิ ะหมายถงึ แถบหนาวกลางวันจะยาวกว่ากลางคืน สัตว์รับรู้ปริมาณแสงท่ีเพ่ิมข้ึน เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นตลอดชีวิตของสัตว์ตั้งแต่เกิดจนตาย เม่ือเรา แสงจะเป็นสิ่งเร้ากระตนุ้ ให้เกดิ การผสมพนั ธ์ุหรอื การแพร่พนั ธ์ุ นอกจาก กล่าวถึงชวี ประวตั มิ กั จะหมายถงึ เรอ่ื งราวทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั การสบื พนั ธห์ุ รอื การอยรู่ อดของสัตว์ จะมขี ้อมูลท่เี กย่ี วขอ้ งมาพิจารณาไดอ้ กี ดังนี้ ความถ่ีในการมีลูก (frequency of breeding) สิ่งมีชีวิตต่างๆ สามารถแบ่งการสืบพนั ธุ์ออกไดเ้ ป็นแบบ semelparity คอื ในชว่ งชวี ติ ของส่ิงมีชีวิตจะออกลูกเพียงคร้ังเดียวแล้วตาย และพวกที่มีการสืบพันธุ์ แบบ iteroparity คือ พวกทใ่ี นชว่ งชีวิตสามารถออกลูกได้หลายครงั้ จำ� นวนลกู ทอี่ อกในแตล่ ะครงั้ (clutch size หรอื litter size) สตั ว์ บางชนิดออกลูกคร้ังหนึ่งหลายๆ ตัวหรือเป็นจ�ำนวนมาก บางชนิด ออกลูกคร้ังละตัวเดียวหรือไม่กี่ตัว ความถี่ในการมีลูกจะมีอิทธิพลต่อ จ�ำนวนลกู ของสตั ว์ เนื่องมาจากการใช้พลังงาน พวกทมี่ ีการสบื พนั ธ์ุแบบ semelparity มกั จะออกลกู เปน็ จำ� นวนมาก ในขณะทพี่ วกทมี่ กี ารสบื พนั ธ์ุ แบบ iteroparity จะออกลกู จ�ำนวนน้อยกวา่ การเรมิ่ มลี กู เรว็ หรอื ชา้ หรอื เรม่ิ การสบื พนั ธค์ุ รงั้ แรก (age at first breeding) ส่ิงมีชีวิตบางชนิดกว่าจะเริ่มมีลูกหรือเริ่มสืบพันธุ์ครั้งแรกได้ อีเหน็ ข้างลาย (Paradoxurus hermaphroditus) 66 ศาสตร์และศลิ ป์ การจัดการทรัพยากรสตั ว์ปา่ ในพื้นทีค่ มุ้ ครอง

แสงสว่างแล้ว ฤดูร้อนเป็นช่วงท่ีมีอาหารสมบูรณ์มากเพียงพอที่จะ เล้ียงดูลูกหลานท่ีก�ำลังเจริญเติบโต ในปัจจุบันมีความเชื่อกันว่า พฤติกรรมเป็นผลจากการท�ำงานร่วมกันของพันธุกรรมและอิทธิพลของ สภาพแวดล้อม พฤตกิ รรมทเี่ ปน็ มาแตก่ ำ� เนดิ ของสตั วป์ า่ (Innate Behavior) กระทิง (Bos gaurus) หากยอมรับว่าพฤติกรรมมีท้ังพันธุกรรมและประสบการณ์เป็น องคป์ ระกอบ เราจะใหค้ วามหมายของคำ� วา่ พฤตกิ รรมทเี่ ปน็ มาแตก่ ำ� เนดิ อย่างไร ตัวอย่างเช่น ลูกนกท่ีออกจากไข่ใหม่ๆ ตายังมองไม่เห็นเม่ือ พ่อแม่นกบินมาเกาะที่ขอบรัง ลูกนกจะแสดงพฤติกรรมโดยการผงกหัว ขออาหาร เข้าใจว่าพฤติกรรมน้ีเป็นลักษณะท่ีควบคุมโดยพันธุกรรม สัตว์ทุกตัวจะแสดงพฤติกรรมการเรียนรู้ถึงแม้ว่าจะอยู่ในสภาพแวดล้อม ตา่ งๆ กัน เปน็ การเรียนรู้โดยอตั โนมตั ทิ ี่เป็นมาต้ังแตก่ �ำเนดิ นเิ วศวทิ ยาของพฤตกิ รรมสตั วป์ า่ (Behavioral Ecology) การศึกษาบทบาทของพฤติกรรมในเชิงนิเวศวิทยาช่วยอธิบาย ววิ ัฒนาการได้ดียิง่ ขนึ้ เพราะธรรมชาตจิ ะคดั เลือกพนั ธุกรรมทเี่ หมาะสม ในการด�ำรงชีวิตในธรรมชาติและมีประสิทธิภาพสูงสุด เช่น พฤติกรรม การกนิ อาหารทจ่ี ะทำ� ใหส้ ตั วไ์ ดร้ บั พลงั งานสทุ ธอิ ยา่ งเหมาะสม การเลอื กคู่ ทมี่ สี ขุ ภาพแขง็ แรง ยอ่ มทำ� ใหม้ ลี กู ทส่ี ขุ ภาพดี เปน็ ตน้ ตวั อยา่ งการศกึ ษา ทางนเิ วศวิทยาของพฤตกิ รรม มีดงั น้ี 1. คลังเสียงเพลงของนก (songbird repositories) นกที่ นกอีแพรดคอขาว (Rhipidura albicollis) รอ้ งเพลงไดห้ ลายชนดิ มคี ลงั เสยี งเพลงหลายแบบและบง่ บอกถงึ อายหุ รอื จากการกนิ อาหารแบบผลู้ า่ สตั วห์ ลายชนดิ มอี าหารใหเ้ ลอื กกนิ ไดม้ ากมาย การเลือกคู่ สัตว์เพศผู้เรียนรู้เพลงได้มากชนิดเมื่ออายุมากขึ้น คลังเสียง กินอะไรกไ็ ด้ เช่น นกนางนวลกนิ ของเปน็ ก็ได้ ของตายก็ได้ พชื หรือสัตว์ จะเป็นดัชนีท่ีบอกอายุของสัตว์ได้ หรือสัตว์เพศเมียชอบผสมพันธุ์กับ ทอ่ี ยบู่ นบกหรอื ในนำ�้ กไ็ ด้ นกชายฝง่ั หรอื นกชายเลนหากนิ บรเิ วณทน่ี ำ�้ ขน้ึ สตั ว์เพศผูท้ ่มี คี ลังเสียงขนาดใหญ่ น้�ำลง มักจะกินปู กุ้ง หอยบางชนิดเท่าน้ัน นอกจากนี้ พฤติกรรมการ 2. พฤติกรรมการกินอาหาร (foraging behavior) การกิน กินอาหารท่ีเกี่ยวข้องกับความชอบและการเลือกกินมีส่วนสัมพันธ์กับ อาหารจ�ำเป็นต่อการอยู่รอดและความส�ำเร็จในการสืบพันธุ์ สัตว์กิน ประโยชนส์ ูงสุดในรปู ของพลังงานทส่ี ตั ว์ได้รบั อาหารได้หลายวิธีด้วยพฤติกรรมการกินอาหารท่ีเหมาะสมกับลักษณะ 3. การเรยี นรู้ (learning) การเรยี นรเู้ ปน็ พฤตกิ รรมทเี่ ปลย่ี นแปลง ทางกายภาพ เชน่ การกนิ อาหารทลี่ อยอยใู่ นนำ้� จะตอ้ งใชพ้ ฤตกิ รรมแตกตา่ ง ไปเนื่องจากประสบการณ์เฉพาะอย่าง สัตว์จะสามารถแสดงพฤติกรรม 67 ศาสตรแ์ ละศลิ ป์ การจัดการทรพั ยากรสัตวป์ า่ ในพื้นทีค่ มุ้ ครอง

เนื้อทราย (Cervus porcinus) ทไ่ี มเ่ คยพบเหน็ มากอ่ น ซง่ึ เปน็ พฤตกิ รรมทเ่ี ปน็ มาตงั้ แตก่ ำ� เนดิ สตั วแ์ สดง เชน่ สนามแมเ่ หลก็ โลก ดวงอาทติ ยใ์ นเวลากลางวนั และดวงดาวในเวลา พฤตกิ รรมไดด้ ขี น้ึ เมอ่ื มปี ระสบการณม์ ากขนึ้ เชน่ การฝกึ ลกู ชา้ ง การฝกึ ลงิ กลางคนื นอกจากนี้ ยงั มคี �ำถามว่าท�ำไมสตั วต์ อ้ งอพยพ อาจจะเกยี่ วกบั การฝกึ ลูกเสอื โครง่ เป็นต้น การหากนิ การขาดแคลนอาหารหรอื ความยาวของชว่ งเวลากลางวนั และ 4. ความฝงั ใจ (imprinting) การเรยี นรชู้ นดิ น้เี กดิ ขน้ึ ได้ในช่วง กลางคืน เวลาใดเวลาหน่ึงในชว่ งชวี ติ สตั ว์เทา่ น้นั เชน่ ลูกเปด็ ป่าหรือหา่ นป่าจะว่ิง ตามแม่ เพราะเปน็ ความผกู พันระหว่างแม่ลูก ถา้ พอ่ แม่ไมเ่ ลย้ี ง ลูกกจ็ ะ พฤติกรรมทางสังคม (Social Behavior) ไม่รอดชีวิต ความฝังใจน้ีได้มีการทดลองกันในสัตว์หลายชนิด พบว่า พฤติกรรมทางสังคม คือ การปฏิสัมพันธ์ใดๆ ระหว่างสัตว์ ความฝงั ใจในการเรยี นรจู้ ะเกิดในช่วงการพัฒนาร่างกายของสตั ว์ สองตัวหรือมากกว่าน้ัน สัตว์ท่ีมีการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศส่วนใหญ่ 5. พฤติกรรมการเล่น (play) สัตว์เล้ียงลูกด้วยนมหลายชนิด มีการแสดงออกทางสังคมในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตเพ่ือการสืบพันธุ์ และนกบางชนิดแสดงพฤติกรรมการเล่น ซึ่งจะไม่มีเป้าหมายท่ีแน่นอน การปฏสิ มั พนั ธร์ ะหวา่ งสตั วแ์ ตล่ ะตวั จะเปน็ รปู แบบการกา้ วรา้ ว การรว่ มมอื เน่ืองจากสัตว์มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด เช่น การเดินเข้าหา หรือการหลอกลวง ตัวอย่างพฤติกรรมทางสงั คม เชน่ การโจมตี แมวและสุนัขมีการแสดงออกที่คล้ายคลึงกัน การจับ 1. พฤตกิ รรมการแขง่ ขนั ทางสงั คม (competition) การแกง่ แยง่ การฆ่าเหย่ือ การคว้าหรือการคาบ เหล่านี้จะเป็นการปรับตัวที่ช่วยให้ ความเป็นเจ้าของทรพั ยากร จะมีพฤติกรรมการขม่ ขู่ การยอม การต่อสู้ ระบบกล้ามเนอื้ และการหมนุ เวยี นของเลอื ดดีขน้ึ จะทำ� ใหฝ้ า่ ยใดฝา่ ยหนงึ่ สามารถเขา้ ถงึ ทรพั ยากรได้ เชน่ อาหาร คผู่ สมพนั ธ์ุ 6. การอพยพ (migration behavior) การอพยพหรือการ ระดบั ความรนุ แรงในการแสดงการตอ่ สมู้ คี วามแตกตา่ งกนั ไปในสตั วแ์ ตล่ ะชนดิ เคลอ่ื นทร่ี ะยะไกลทเ่ี กดิ ขนึ้ อยา่ งสมำ่� เสมอ สตั วท์ อ่ี พยพมกั จะเดนิ ทางไป เชน่ กระรอกเพศผจู้ ะตอ่ สแู้ ละแยง่ กนั เขา้ ไปผสมพนั ธก์ุ บั กระรอกเพศเมยี กลบั ระหวา่ งพ้ืนท่ีสองพ้นื ทท่ี กุ ๆ ปี ซึ่งสตั วอ์ พยพท่นี า่ สนใจ คือ นก เชน่ ท่ีพร้อมจะผสมพันธุ์ ทั้งนี้กระรอกเพศเมียจะสามารถผสมพันธุ์ได้เพียง นกนางแอน่ ทมี่ าอาศยั อยแู่ ถวสลี ม กรงุ เทพฯ กลไกการหาเสน้ ทางในการ ปลี ะ 2-3 ชว่ั โมงเท่านน้ั อพยพที่สัตว์เคลื่อนที่จากต�ำแหน่งหน่ึงไปยังอีกต�ำแหน่งหน่ึงท่ีคุ้นเคย 2. การจัดล�ำดับความส�ำคัญในสังคม (pecking order) สัตว์ จนถึงจุดหมาย ส่วนมากจะใช้การน�ำร่องเป็นการเคลื่อนท่ีระยะใกล้ๆ หลายชนดิ อยดู่ ว้ ยกนั เปน็ สงั คมทคี่ งอยไู่ ดด้ ว้ ยพฤตกิ รรมกา้ วรา้ ว จะมกี าร การเคล่ือนท่ีในระยะไกลๆ จะก�ำหนดทิศทางจากการสังเกตธรรมชาติ แสดงตำ� แหนง่ ทางสงั คมทส่ี งู จนถงึ สงั คมทตี่ ำ�่ สดุ มกี ารขม่ ขู่ การแสดงออก 68 ศาสตรแ์ ละศลิ ป์ การจัดการทรัพยากรสตั ว์ป่าในพนื้ ท่คี ุ้มครอง

คา้ งคาว (Oreoglanis siamensis) ถึงการครอบครองและการดูแล เรียกว่า pecking order หรือ 69 dominance hierarchy ยก ตวั อย่าง หมาปา่ มักจะรวมกลุ่มกนั ศาสตร์และศลิ ป์ การจดั การทรัพยากรสัตว์ป่าในพน้ื ทคี่ ุม้ ครอง ท�ำงาน โดยเฉพาะการล่าเหยื่อ ขนาดใหญ่ ภายในกลมุ่ ของหมาปา่ จะมีการล�ำดับความส�ำคัญในหมู่ เพศผู้และสัตว์เพศผู้ท่ีมีต�ำแหน่ง สูงสุดจะควบคุมการผสมพันธุ์กับ เพศเมียตัวอื่นๆ หากอาหารอุดม สมบรู ณ์ สตั วท์ ด่ี ำ� รงตำ� แหนง่ สงู สดุ จะผสมพันธุ์และยอมให้สัตว์เพศ เมยี ตัวอื่นผสมพนั ธด์ุ ว้ ยเชน่ กนั แต่ ถ้าอาหารไม่เพียงพอหรือไม่อุดม สมบูรณ์ ก็จะดูแลสัตว์เพศเมียตัว อน่ื ใหม้ กี ารผสมพนั ธน์ุ อ้ ยลงเพอื่ ให้ ลูกตัวเองมีอาหารกินมากข้ึน การ จดั ลำ� ดบั ความสำ� คญั ของสงั คมพบ ไดใ้ นสัตว์อกี หลายชนิด 3. ความเป็นเจ้าของ พื้นที่ (territoriality) พืน้ ที่ปกปอ้ ง (territory) หมายถงึ บริเวณท่ีสตั ว์ แต่ละชนิดแต่ละตัวปกป้องไว้จาก การบกุ รกุ ของสตั วอ์ น่ื หรอื สตั วช์ นดิ เดยี วกนั เพอื่ ไวใ้ ชใ้ นการทำ� กจิ กรรม ต่างๆ เชน่ การกนิ อาหาร การผสม พนั ธ์ุ การเลย้ี งดลู กู ออ่ นหรอื เพอื่ ทำ� กิจกรรมรวมๆ กนั ไปหลายๆ อยา่ ง ปกติบริเวณพื้นที่ปกป้องมักจะมี ต�ำแหน่งที่แน่นอนและมีขนาด เปลยี่ นแปลงไปตามชนดิ พนั ธ์ุ มกั จะ เก่ียวข้องกับปริมาณทรัพยากรที่ สงวนไวใ้ ช้ นกกระจอกคหู่ นงึ่ อาจมี บรเิ วณพนื้ ทป่ี กปอ้ งประมาณ 300

เปด็ แดง (Dendrocygna javanica) ตารางเมตร นกบางชนดิ จะแสดงกจิ กรรมเฉพาะในชว่ งฤดผู สมพนั ธ์ุ นก เกยี้ วพาราสี (courtship) ซงึ่ เปน็ ปฏสิ มั พนั ธแ์ ละลกั ษณะเฉพาะชนดิ พนั ธ์ุ ทะเลบางชนดิ จะผสมพนั ธแ์ุ ละทำ� รงั ในบรเิ วณพนื้ ทปี่ กปอ้ งทม่ี ขี นาดเพยี ง พฤติกรรมท่ีซับซ้อนมักจะประกอบด้วยอาการแสดงท่ีเกิดข้ึนอย่างเป็น 2 - 3 ตารางเมตร และออกไปหากินบรเิ วณนอกพ้นื ทปี่ กป้อง ขั้นเป็นตอน เพ่ือให้รู้ว่าแต่ละฝ่ายมีสถานภาพพร้อมท่ีจะผสมพันธุ์ สัตว์ การปกปอ้ งพนื้ ท่ี สตั วม์ กั จะแสดงอาการกา้ วรา้ วตอ่ ผบู้ กุ รกุ ไมว่ า่ เพศผู้ส่วนใหญ่พยายามที่จะผสมพันธุ์ให้ได้มากท่ีสุด จึงมีการแข่งขันกัน จะเป็นการจิกตี โจมตี ไล่กัด การอวดอ้างสิทธ์ิความเป็นเจ้าของพื้นที่ และพยายามให้ตัวเมียประทับใจ เพศผู้จะเป็นผู้เก้ียวพาราสีอย่างจริงจัง ปกป้อง อาจจะท�ำเป็นเคร่ืองหมายให้สัตว์อื่นรู้ด้วยกล่ิน การออกตรวจ มักจะมีลักษณะเด่นให้เห็นชัด เช่น ขนสีฉูดฉาด เขาใหญ่โตสวยงาม การเตือนผู้บุกรุก การเหา่ หอน เปน็ ตน้ เปน็ ตน้ ความสำ� เรจ็ ในการสบื พนั ธจ์ุ ากการดงึ ดดู หรอื แขง่ ขนั หาคู่ เรยี กวา่ นอกจากพน้ื ทปี่ กปอ้ งแลว้ ยงั มบี รเิ วณทอ่ี ยอู่ าศยั (home range) sexual selection เปน็ บรเิ วณทส่ี ตั วใ์ ชส้ ญั จรไปมา หาอาหารกนิ แตไ่ มม่ กี ารปกปอ้ งคมุ้ ครอง 5. ระบบผสมพันธุ์ (mating system) ความสัมพันธ์เชิงการ สัตว์บางชนิดมีบริเวณพ้ืนที่ปกป้องกับบริเวณถิ่นที่อาศัยเป็นบริเวณ สบื พันธ์ขุ องเพศผู้และเพศเมยี แตกต่างกันออกไปในแตล่ ะชนิด บางชนดิ เดียวกัน บางชนิดมีพื้นที่ปกป้องเล็กกว่าพ้ืนที่อยู่อาศัย บางชนิดมีการ มีการผสมพนั ธุ์แบบฉาบฉวย ไมม่ ีการสร้างพนั ธะ บางชนิดจะอยูร่ ่วมกัน ครอบครองพนื้ ทไ่ี มช่ ดั เจนและทบั ซอ้ นกนั อาจจะมกี ารปกปอ้ งสว่ นทเ่ี ปน็ ทงั้ สองเพศในชว่ งเวลาหนงึ่ ในลกั ษณะมคี ผู่ สมพนั ธต์ุ วั เดยี ว (monogamous) ท่อี ยู่อาศัยเทา่ น้ัน หรือจับคู่ผสมพันธุ์หลายตัว (polygamous) กล่าวคือ เพศผู้จะผสมกับ 4. การเก้ียวพาราสี (courtship behavior) สัตว์หลายชนิด เพศเมยี หลายตวั เรยี กวา่ polygyny บางชนดิ ตวั เมยี ตวั เดยี วผสมพนั ธก์ุ บั ก่อนการผสมพันธุ์ สัตว์ตัวผู้มีบทบาทเชิงรุกในการสืบพันธุ์จะแสดงการ ตวั ผ้หู ลายตวั เรยี กวา่ polyandry 70 ศาสตรแ์ ละศลิ ป์ การจดั การทรัพยากรสตั ว์ป่าในพืน้ ท่คี มุ้ ครอง

71 ศาสตรแ์ ละศิลป์ การจัดการทรพั ยากรสัตวป์ า่ ในพื้นทีค่ ุม้ ครอง

หมาใน (Cuon alpinus) กับกวางปา่ (Cervus unicolor) 6. พฤตกิ รรมกับเวลาการหากิน (feeding time) พน้ื ฐานการ สังคมส่งิ มชี ีวิตของสัตวป์ า่ (Wildlife Community) ด�ำรงชีวิตของสัตว์ป่าตามระบบนิเวศ อาจจะเป็นการหลบหลีกการ สงั คมสงิ่ มชี วี ติ (community) หมายถงึ ประชากรของสง่ิ มชี วี ติ แก่งแย่งหรือลดผลกระทบจากปัจจัยทางกายภาพ ท�ำให้สัตว์ออกหากิน หลายๆ ชนิดทีอ่ ยรู่ ว่ มกนั ในบรเิ วณใดบรเิ วณหน่งึ เมื่ออยูใ่ นธรรมชาติ ในเวลาทแ่ี ตกตา่ งกนั สตั วเ์ ลย้ี งลกู ดว้ ยนมสว่ นมากหากนิ ในเวลากลางคนื ประชากรส่ิงมีชีวิตแต่ละชนิดจะมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน สังคม (nocturnal) และพวกนกส่วนใหญ่จะหากินเวลากลางวนั (diurnal) สง่ิ มชี วี ติ จะต้องประกอบด้วยส่งิ มีชีวิตหลายๆ ชนดิ แตกตา่ งไปจากกลมุ่ สรปุ ไดว้ า่ พฤตกิ รรมของสตั วป์ า่ เปน็ สงิ่ ทน่ี กั จดั การสตั วป์ า่ จะตอ้ ง ของสง่ิ มชี วี ติ ชนดิ เดยี วกนั บางครง้ั เราจะกลา่ วถงึ สงั คมพชื หรอื สงั คมสตั ว์ เรยี นรแู้ ละทำ� ความเขา้ ใจ เพอ่ื จะไดน้ ำ� หลกั วชิ าการมาจดั การใหเ้ หมาะสม ในป่าแห่งหน่ึง ซ่ึงหมายถึงพืชทุกชนิดหรือสัตว์ทุกชนิดท่ีอาศัยอยู่ในป่า ในเรอ่ื งที่เกย่ี วข้องกบั ส่ิงแวดล้อม อาหาร ถนิ่ ทีอ่ าศัย เปน็ ต้น แหง่ นนั้ 72 ศาสตร์และศลิ ป์ การจัดการทรพั ยากรสัตว์ป่าในพื้นที่คุม้ ครอง

เพ่อื บอกความหลากหลายทางด้านชนดิ พันธุ์ (species diversity) ของ สังคมสง่ิ มชี วี ิตในแตล่ ะบริเวณ การอยรู่ ว่ มกนั ของสง่ิ มชี วี ติ หลายๆ ชนดิ ในทใี่ ดทห่ี นง่ึ สามารถอยู่ รว่ มกนั ไดอ้ ยา่ งไร มขี อ้ สมมติฐานที่อธบิ ายอยู่ 2 สมมติฐาน คอื 1. สมมตฐิ านเรอ่ื ง The individualistic hypothesis มแี นวคดิ ว่าการท่ีสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆ มาอยู่ร่วมกันได้ในบริเวณใดบริเวณหน่ึงนั้น เนอื่ งมาจากสงิ่ มชี วี ติ แตล่ ะชนดิ มคี วามตอ้ งการปจั จยั หลายๆ อยา่ งคลา้ ยกนั 2. สมมตฐิ านเรอื่ ง The interactive hypothesis สงั คมสง่ิ มชี วี ติ หนว่ ยหนง่ึ ๆ มคี วามสมั พนั ธร์ ะหวา่ งประชากรสง่ิ มชี วี ติ และประกอบกนั ขนึ้ เป็นสงั คมทแ่ี นน่ แฟน้ มาก สิง่ มีชีวติ มาอยู่ร่วมกันจะมีความสมั พนั ธ์ซง่ึ กนั และกนั หากมอี ะไรเกดิ ขน้ึ กบั สงิ่ มชี วี ติ หนงึ่ จะมผี ลกระทบไปถงึ สงิ่ มชี วี ติ กระทงิ (Bos gaurus) ชนิดอน่ื ได้ สิ่งมีชีวิตหลายชนิดมาอยู่ร่วมกันเป็นสังคมสิ่งมีชีวิตก็จะเกิด ลักษณะเฉพาะท่ีเป็นสังคมสิ่งมีชีวิตเช่นเดียวกับประชากรท่ีมีลักษณะ อทิ ธพิ ลของความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสงิ่ มชี วี ติ ตอ่ โครงสรา้ งสงั คม หลายอย่างเป็นลักษณะประชากร ลักษณะของสังคมส่ิงมีชีวิตท่ีส�ำคัญ สงิ่ มีชวี ติ ของนเิ วศวทิ ยาสตั ว์ปา่ และจดั เปน็ โครงสร้างของสงั คมสิง่ มีชวี ติ ในบรเิ วณต่างๆ กนั คือ จ�ำนวน สังคมส่ิงมีชีวิตจะมีลักษณะเฉพาะของตัวเอง ซ่ึงไม่สามารถพบ ชนิดของสิ่งมีชีวิตท่ีมาอยู่ร่วมกัน (species richness) และจ�ำนวนของ ได้ในสิ่งมีชีวิตท่ีมาอยู่ร่วมกันเช่นเดียวกับท่ีประชากรมีลักษณะเฉพาะ สงิ่ มชี วี ติ เหลา่ นน้ั แตล่ ะชนดิ เมอ่ื เปรยี บเทยี บกนั วา่ ชนดิ ใดมมี ากนอ้ ยกวา่ ของตนเอง ลักษณะเฉพาะของสงั คมสงิ่ มชี วี ติ ทส่ี ำ� คญั ซึง่ ประกอบกันขึ้น กนั อยา่ งไร (relative abundance) คา่ ทง้ั สองนมี้ กั จะนำ� มาพจิ ารณารว่ มกนั เป็นเหมือนโครงสร้างของสังคมส่ิงมีชีวิต (community structure) นกอโี ก้ง (Porphyrio porphyrio) 73 ศาสตร์และศิลป์ การจดั การทรัพยากรสตั วป์ ่าในพ้นื ที่ค้มุ ครอง

ซึ่งจะมกี ารศึกษากันมาก ได้แก่ ไม่ได้มีจ�ำนวนมากเลยเม่ือเปรียบเทียบกับสิ่งมีชีวิตอ่ืนๆ ท่ีอยู่ในสังคม 1. จำ� นวนชนดิ ของสงิ่ มชี วี ติ (species richness) ทมี่ าอยรู่ ว่ มกนั เดียวกนั ในสงั คมสงิ่ มชี วี ติ สว่ นใหญต่ อ้ งการทราบวา่ ในสงั คมสงิ่ มชี วี ติ แตล่ ะสงั คม มีสิ่งมีชีวิตอยู่กี่ชนิด และมีชนิดใดบ้างหรือมีปัจจัยอะไรที่เป็นตัวก�ำหนด การเปล่ียนแปลงแทนท่ีของสงั คมส่ิงมีชวี ติ ของสตั วป์ ่า จ�ำนวนชนดิ ของส่งิ มีชวี ติ ในสังคมน้ันๆ สงั คมสง่ิ มชี วี ติ ในแตล่ ะบรเิ วณเกดิ การเปลย่ี นแปลงได้ จากสงั คม 2. รปู แบบและโครงสรา้ ง (growth form and structure) ของ ส่ิงมีชีวิตแบบหนึ่งไปเป็นสังคมสิ่งมีชีวิตอีกแบบหน่ึง การเปลี่ยนแปลงท่ี สังคมพชื ลกั ษณะของสงั คมพืชได้จากการแบ่งพืชออกเปน็ รูปแบบต่างๆ เกิดข้ึนอาจเป็นการเปล่ียนแปลงเป็นวัฏจักรตามฤดูกาลหรือเกิดข้ึนเม่ือ เช่น เป็นไมต้ น้ หรอื ไม้พุ่ม มใี บกวา้ งหรือใบแคบ รวมทั้งการแบง่ ออกเป็น ถูกรบกวนจากปัจจยั ตา่ งๆ การเปลี่ยนแปลงชนดิ ของส่งิ มีชีวติ ต่างๆ ทม่ี า ระดับชัน้ ต่างๆ อยู่รวมกนั ในสังคมสง่ิ มีชวี ติ อยา่ งช้าๆ ไปตามกาลเวลา อนั เป็นสาเหตใุ ห้ 3. จ�ำนวนของสง่ิ มีชวี ิตแตล่ ะชนดิ (relative abundance) ใน สงั คมสง่ิ มชี วี ติ มกี ารเปลยี่ นแปลงไปตามลำ� ดบั ขน้ั เรยี กวา่ การเปลย่ี นแปลง สงั คมส่ิงมชี วี ติ ส่ิงมชี ีวิตแต่ละชนิดในสงั คมสง่ิ มีชีวิตนัน้ ๆ มจี ำ� นวนเท่าไร แทนทที่ างนเิ วศวทิ ยา (ecological succession) หรอื เรยี กกนั ทว่ั ไปวา่ หรือปริมาณเป็นสัดส่วนกันอย่างไร ท�ำไมบางชนิดจึงพบน้อย บางชนิด การเปลย่ี นแปลงแทนที่ (succession) การเปล่ียนแปลงทางนเิ วศวิทยา สามารถพบได้มาก มี 2 แบบ คอื การเปลีย่ นแปลงแทนท่ีปฐมภูมิ (primary succession) 4. โครงสรา้ งในเรอ่ื งทเ่ี กยี่ วกบั อาหาร (trophic structure) เปน็ เปน็ การเปลย่ี นแปลงแทนทข่ี องสงั คมสงิ่ มชี วี ติ ทเี่ กดิ ขน้ึ ในพน้ื ทท่ี ไี่ มเ่ คยมี เร่ืองท่ีเก่ียวข้องกับการถ่ายทอดพลังงาน มีห่วงโซ่อาหารและสายใย สงิ่ มชี วี ติ อาศยั อยกู่ อ่ น และการเปลย่ี นแปลงแทนทที่ ตุ ยิ ภมู ิ (secondary อาหารแบบใด ใครเปน็ ผู้ผลติ ท่ีสำ� คัญ ใครเป็นผูล้ า่ ใครเปน็ เหยื่อ succession) เปน็ การเปลยี่ นแปลงแทนทที่ เี่ กดิ ขน้ึ ในบรเิ วณซงึ่ เดมิ เคยมี ปัจจัยที่เป็นตัวก�ำหนดโครงสร้างของสังคมส่ิงมีชีวิตในแต่ละ สงั คมสงิ่ มชี วี ติ อยกู่ อ่ นแลว้ แตถ่ กู ทำ� ลายไป จงึ เกดิ การเปลยี่ นแปลงแทนท่ี บริเวณมหี ลายปจั จยั เช่น ขนาดของพ้นื ที่ ความสมั พนั ธร์ ะหว่างส่งิ มชี ีวติ ของสงั คมสง่ิ มชี วี ติ อกี ครง้ั หนงึ่ เชน่ พนื้ ทปี่ า่ ทถ่ี กู ถางทำ� ไร่ หากปลอ่ ยทงิ้ ไว้ ในสงั คมสงิ่ มชี วี ติ นนั้ ๆ ชนดิ พนั ธท์ุ ม่ี อี ทิ ธพิ ลมากตอ่ โครงสรา้ งสงั คมสงิ่ มชี วี ติ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงแทนท่ีขึ้นมาอีกคร้ังหนึ่ง อาจจะเป็นทุ่งหญ้า ที่อาศัยอยู่ ซ่ึงเราเรียกว่า keystone species ท้ังๆ ที่ตัวมันเอง ไม้พุม่ หรือเปน็ ปา่ ดัง้ เดมิ ได้ นกอ้ายงั่ว (Anhinga melanogaster) หมาใน (Cuon alpinus) 74 ศาสตรแ์ ละศลิ ป์ การจดั การทรพั ยากรสตั ว์ป่าในพืน้ ทีค่ ้มุ ครอง

การเปลยี่ นแปลงแทนทขี่ องสงั คมพชื จากพนื้ ทวี่ า่ งเปลา่ กลายเปน็ อาศัย ตัวปรสิตแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ พวกปรสิตภายนอก ปา่ ไม้ จะทำ� ใหส้ งั คมสงิ่ มชี วี ติ ดา้ นสตั วป์ า่ มกี ารเปลย่ี นแปลงแทนทเ่ี ชน่ กนั (ectoparasite) เชน่ เห็บ เหาหรือไร และปรสิตภายใน (endoparasite) อันเนอื่ งมาจากปจั จยั แหล่งอาหารท่เี ป็นตัวกำ� หนด เช่น พยาธิชนิดต่างๆ ในทางเดนิ อาหาร 3. การแขง่ ขนั (competition) เปน็ ความสมั พนั ธแ์ บบสง่ิ มชี วี ติ ความสัมพันธ์ระหวา่ งประชากรสิ่งมชี ีวติ ของสตั วป์ ่า ตา่ งชนดิ แกง่ แยง่ แขง่ ขนั กนั เพอื่ ใหไ้ ดป้ จั จยั ตา่ งๆ ทจ่ี ำ� เปน็ ตอ่ การดำ� รงชวี ติ เม่ือสง่ิ มีชวี ติ ตา่ งๆ มาอยูร่ ่วมกนั ในสังคมสง่ิ มชี ีวิต ความสมั พันธ์ ความสัมพันธ์แบบนี้ต่างฝ่ายต่างเสียประโยชน์ ท้ังสองฝ่ายมีการต่อสู้ ของส่ิงมีชีวิตเหล่าน้ันมักจะก่อให้เกิดวิวัฒนาการร่วม (coevolution) แกง่ แยง่ กนั หรอื ไมม่ กี ารตอ่ สกู้ นั แตต่ า่ งฝา่ ยตา่ งแยง่ กนั ใชป้ จั จยั ตา่ งๆ ให้ ซ่งึ หมายถงึ การเกิดววิ ัฒนาการรว่ มกันของสง่ิ มีชีวิตตง้ั แตส่ องชนดิ ขนึ้ ไป ได้มากทส่ี ุด โดยที่วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตจะมีผลต่อการวิวัฒนาการของกันและกัน 4. ภาวะอิงอาศัย (commensalism) เป็นความสัมพันธ์ท่ี เช่น วิวัฒนาการร่วมกันของพืชดอกกับแมลงท่ีช่วยผสมเกสรให้พืชดอก ประชากรสง่ิ มชี วี ติ ชนดิ หนงึ่ ไดป้ ระโยชน์ ขณะทป่ี ระชากรสงิ่ มชี วี ติ อกี ชนดิ ซง่ึ ท้ังสองฝา่ ยไดป้ ระโยชน์รว่ มกนั สูงสุด หรอื วิวฒั นาการร่วมกนั ระหว่าง หนง่ึ ไมไ่ ดห้ รือไม่เสยี ประโยชน์ ตัวอย่างเชน่ นกเอีย้ ง นกยางที่ชอบเกาะ สัตว์ผู้ล่ากับเหยื่อ เหยื่อจะปรับตัวเพ่ือให้สัตว์ผู้ล่ามีโอกาสจับกินได้น้อย อาศยั หรอื เดนิ ตามสตั วพ์ วกววั ควาย นกจะเปน็ ฝา่ ยไดป้ ระโยชน์ เหน็ ไดช้ ดั ท่ีสุด ในขณะเดียวกันสัตว์ผู้ล่าจะมีการปรับตัวให้มีการล่าเหย่ือได้อย่าง จากทม่ี นั ไดม้ โี อกาสจบั แมลงกนิ เปน็ อาหาร เมอ่ื ววั ควายเดนิ แมลงตกใจ มีประสิทธิภาพมากที่สุด บินข้ึนจากพ้ืนดิน ส่วนวัว ควายไม่ได้อะไรจากผลของความสัมพันธ์นี้ บางครง้ั กอ็ าจไดร้ บั ประโยชน์ เชน่ นกจกิ กนิ ปรสติ บนตวั ววั ควาย เปน็ ตน้ ความสมั พนั ธร์ ะหว่างสิ่งมชี ีวติ ต่างชนิด มีหลายรปู แบบ เชน่ 5. ภาวะพ่ึงพากัน (mutualism) เป็นความสัมพันธ์แบบท่ี 1. การล่าเหยื่อ (predation) เป็นความสัมพันธ์ระหว่างผู้ล่า ประชากรสิ่งมีชีวิตทั้งสองฝ่ายได้รับผลประโยชน์ร่วมกัน เช่น ความ (predator) ทไี่ ดป้ ระโยชนก์ บั เหยอื่ (prey) ทเ่ี ปน็ ฝา่ ยเสยี ประโยชน์ ทงั้ คู่ จะมีวิวัฒนาการร่วม โดยที่ผู้ล่าจะมีการปรับตัวให้มีประสิทธิภาพในการ ล่าเหยื่อ เช่น ผู้ล่าจะมีขนาดใหญ่กว่าเหยื่อ มีความแข็งแรง มีอวัยวะที่ เหมาะสมในการล่า ผลู้ ่ามสี ารพษิ ในตวั มอี วยั วะพเิ ศษช่วยในการตามลา่ เหย่ือหรือพฤติกรรมการล่าเหยื่อท่ีเหมาะสม เช่น เสือโคร่งและสิงโต มักจะกัดเหย่ือท่ีคอหอยหรือหมาในท่ีใช้พฤติกรรมล่าเหย่ือเป็นหมู่ ส่วน เหยื่ออาจมีการปรับตัวเอง เช่น การพรางตัวให้มีสีหรือรูปร่างกลมกลืน กับสภาพแวดล้อม มีสีสันที่ท�ำให้ผู้ล่าเข้าใจผิด หรือบางชนิดมีพิษ หรือ ปรับตัวให้เข้ากับสัตว์ชนิดอ่ืนท่ีผู้ล่าไม่ชอบกิน หรือพฤติกรรมอย่างอื่น เช่น การส่งเสยี งเรยี กเพ่อื นในฝูงให้มาชว่ ยขับไลผ่ ลู้ ่า 2. ภาวะปรสติ (parasitism) เปน็ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งตวั ปรสติ (parasite) ซึ่งเป็นฝ่ายไดป้ ระโยชน์กับตวั ให้อาศยั (host) ซึ่งเปน็ ฝา่ ยเสยี ประโยชน์ ภาวะปรสิตต่างกับการล่าเหยื่อตรงที่ปรสิตมักจะไม่ฆ่าตัวให้ กวางป่า (Cervus unicolor) 75 ศาสตร์และศิลป์ การจัดการทรพั ยากรสตั วป์ า่ ในพืน้ ที่คุม้ ครอง

76 ศาสตรแ์ ละศิลป์ การจัดการทรพั ยากรสัตวป์ า่ ในพื้นทีค่ ุม้ ครอง

การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชน้�ำชนิดต่างๆ การกินอาหารของส่ิงมีชีวิต ท�ำให้เกิดการถ่ายทอดพลังงานในระหว่างส่ิงท่ีมีชีวิต รวมไปถึงการย่อย สลายซากอินทรีย์ (decomposition) เพ่ือให้สารอาหารกลับไปยังพืช ไดอ้ กี การถา่ ยทอดพลงั งาน สตั วป์ า่ เปน็ องคป์ ระกอบทสี่ ำ� คญั ของระบบนเิ วศ เนอ่ื งจากสตั วป์ า่ ทุกชนิดมีความจ�ำเป็นต้องใช้พลังงานในการด�ำรงชีวิต พลังงานจึงเป็น ปจั จยั สำ� คญั ทจ่ี ำ� เปน็ สำ� หรบั ระบบนเิ วศ พลงั งานเขา้ สรู่ ะบบนเิ วศบนโลก ในรูปของพลังงานแสงจากดวงอาทิตย์ พลังงานแสงน้ีจะถูกเปลี่ยนเป็น กวางป่า (Cervus unicolor) กบั นกขนุ แผน (Urocissa erythroryncha) พลงั งานเคมใี นอาหารโดยสงิ่ มชี วี ติ ทสี่ ามารถสรา้ งอาหารไดเ้ อง (autotroph) สัมพันธ์ระหว่างนกกับกวางป่า นกจิกกินปรสิตบนตัวกวางป่า กวางป่า และเนอื่ งจากเปน็ สง่ิ มชี วี ติ ทส่ี ามารถสรา้ งสารอนิ ทรยี ซ์ ง่ึ เปน็ อาหารทจี่ ะถกู ไม่มีปรสิตรบกวน บางกรณีเป็นความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นมาก และ ถา่ ยทอดไปยังผู้บรโิ ภคตอ่ ๆ ไป สงิ่ มีชีวติ ที่เปน็ ผผู้ ลิตจึงถูกเรียกว่า ผ้ผู ลิต วิวัฒนาการอยู่ร่วมกัน เช่น จุลินทรีย์ในล�ำไส้ของสัตว์เคี้ยวเอ้ือง ผู้ผลิตท่ีส�ำคัญในระบบนิเวศ ได้แก่ พืชสีเขียวและแพลงก์ตอนพืช เป็นตน้ ซึง่ สังเคราะห์ด้วยแสงได้ ปัจจัยส�ำคัญท่ีเป็นตัวจ�ำกัดอัตราการผลิตของระบบนิเวศจะข้ึน อยู่กับชนิดของระบบนิเวศและการเปล่ียนแปลงตามฤดูกาลของสภาพ สตั ว์ปา่ ในระบบนิเวศ (Wildlife in Ecosystem) แวดล้อมท้ังบนบกและในน้�ำ ปัจจัยทส่ี ำ� คัญ ได้แก่ ปริมาณนำ�้ อุณหภูมิ ระยะเวลาทไ่ี ดร้ บั แสงแดด รวมไปถงึ สารอาหารทจี่ ำ� เปน็ สำ� หรบั พชื ไดแ้ ก่ ระบบนเิ วศ (ecosystem) หมายถงึ สงั คมสงิ่ มชี วี ติ ในบรเิ วณใด ไนโตรเจนและฟอสฟอรัส เป็นต้น พลังงานท่อี ยูใ่ นผู้ผลิตจะถูกถา่ ยทอด บรเิ วณหนง่ึ และปจั จยั ทางกายภาพในบรเิ วณนน้ั ทม่ี คี วามสมั พนั ธก์ นั เปน็ ไปยังส่ิงมีชีวิตอ่ืนๆ ที่สร้างอาหารเองไม่ได้ (heterotroph) ท่ีเรียกว่า หน่วยหนึ่งในทางนิเวศวิทยา สัตว์ป่าในระบบนิเวศเป็นสังคมสิ่งมีชีวิต ผู้บริโภค ผู้บริโภคมีหลายประเภท เช่น สัตว์กินพืช (herbivore) หน่ึงท่ีเป็นองค์ประกอบของระบบนิเวศ ท้ังน้ี ระบบนิเวศจะต้องมีท้ัง สัตว์กินเนื้อ (carnivore) สัตว์กินซาก (detritivore หรือ scavenger) องค์ประกอบ (component) ซ่ึงแบ่งออกไดเ้ ป็น 2 พวกใหญๆ่ คือ สงั คม สิ่งมีชีวิตและปัจจัยทางกายภาพต่างๆ และต้องมีกระบวนการต่างๆ (process) ทเ่ี กดิ ขนึ้ ภายในระบบนเิ วศซง่ึ ทำ� ใหร้ ะบบนเิ วศดำ� รงอยไู่ ดเ้ ปน็ ปกติ กระบวนการท่ีส�ำคัญท่ีจ�ำเป็นในระบบนิเวศคือ การถ่ายทอด พลังงาน (energy flow) และวัฏจักรสารอาหาร (nutrient cycles) ในระบบนิเวศ ยกตวั อยา่ ง ระบบนเิ วศของแหลง่ นำ�้ จะมอี งคป์ ระกอบทเี่ ปน็ สง่ิ มี ชีวิตชนดิ ต่างๆ อย่รู ว่ มกัน เช่น บัว กก หรือหญา้ ชนิดตา่ งๆ เตา่ ปลา กบ เขยี ดและงู องคป์ ระกอบอีกส่วนหนงึ่ คือสว่ นทไ่ี ม่มชี วี ติ ได้แก่ น้�ำ ดนิ กน้ สระ ออกซเิ จนทลี่ ะลายในนำ้� หรอื แรธ่ าตตุ า่ งๆ องคป์ ระกอบเหลา่ นมี้ คี วาม สมั พนั ธซ์ ง่ึ กนั และกัน และกอ่ ให้เกิดกระบวนการตา่ งๆ ทำ� ให้ระบบนิเวศ ทง้ั ระบบดำ� รงอยไู่ ด้ กระบวนการตา่ งๆ ทเ่ี หน็ ไดช้ ดั คอื การระเหยของนำ�้ 77 ศาสตรแ์ ละศลิ ป์ การจดั การทรัพยากรสัตวป์ ่าในพื้นทค่ี ้มุ ครอง

และผูย้ อ่ ยสลาย (decomposer) ซง่ึ ไดแ้ ก่ สิ่งมชี วี ติ พวกแบคทีเรยี และ เห็ดรา เนื่องจากในกระบวนการย่อยสลายมักจะเกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิต หลายชนิด เช่น กระบวนการย่อยสลายตน้ ไมท้ ตี่ ายแลว้ แมลงหลายชนิด จะเป็นผู้บุกเบิกโดยการเจาะไชเนื้อไม้ ช่วยท�ำให้เชื้อราและแบคทีเรีย สามารถเข้าย่อยสลายไมไ้ ดเ้ ร็วข้นึ การถา่ ยทอดพลงั งานของสงิ่ มชี วี ติ ตา่ งๆ เกดิ ขน้ึ เมอ่ื สงิ่ มชี วี ติ แตล่ ะ ชนิดกินอาหารและกินกันเป็นทอดๆ พลังงานทั้งหมดท่ีสัตว์ได้รับการ ถา่ ยทอดมาโดยการกนิ หรอื ถกู บริโภค ส่วนหนง่ึ จะไมถ่ ูกยอ่ ย พลังงานที่ ถกู กนิ เขา้ ไปสว่ นหนง่ึ เทา่ นน้ั ที่ถกู ยอ่ ยและนำ� ไปใชป้ ระโยชน์ สว่ นทเ่ี หลอื จะเป็นกากอาหารถูกขับถ่ายออกมา พลังงานส่วนท่ีถูกย่อยและน�ำไปใช้ ประโยชน์ ส่วนหน่ึงยังต้องเสียไปในรูปของปัสสาวะ หรือน�ำไปใช้ใน กจิ กรรมตา่ งๆ เชน่ กระบวนการหายใจ มวลชวี ภาพเพ่อื การเจริญเติบโต และการสบื พนั ธโ์ุ ดยทวั่ ไป พลงั งานทงั้ หมดในสง่ิ มชี วี ติ หนง่ึ จะถกู ถา่ ยทอด การถ่ายทอดพลังงานและการถ่ายทอดสารอาหารในระบบนิเวศ ไปสะสมเป็นมวลชีวภาพในล�ำดับขั้นการกินต่อไปของห่วงโซ่อาหาร พลังงานเม่ือถูกถ่ายทอดแล้วค่อยๆ หมดไป พลังงานจะสูญเสียไปจาก ประมาณร้อยละ 5 - 20 เท่านัน้ พลงั งานปรมิ าณทเ่ี หลือร้อยละ 80 - 95 ระบบนิเวศในรูปของพลังงานความร้อน แต่สารต่างๆ จะหมุนเวียนอยู่ จะไม่ถูกถ่ายทอดไป แต่จะสูญเสียไปในรูปแบบดังกล่าว ยกตัวอย่างให้ ในระบบนเิ วศ เมื่อสารอนิ ทรยี ์ถูกถา่ ยทอดไปยงั ผยู้ ่อยสลาย ผู้ย่อยสลาย เหน็ ชดั ๆ พลงั งานในผผู้ ลติ จำ� นวน 10,000J (จลู ) พลงั งานจะถกู ถา่ ยทอด จะเปลี่ยนให้เป็นสารอนินทรีย์กลับคืนสู่สิ่งแวดล้อมอีกครั้งหนึ่ง ผู้ผลิต ไปสะสมในผบู้ ริโภคล�ำดับท่ีหนึ่ง 1,000J ล�ำดบั ทสี่ อง 100J ลำ� ดับท่ีสาม สามารถนำ� สารอนนิ ทรยี ม์ าใชส้ รา้ งอาหารและถา่ ยทอดไปยงั ผบู้ รโิ ภคตอ่ 10J และลดลงไปเรอ่ื ยๆ จนถงึ ผบู้ รโิ ภคลำ� ดบั สดุ ทา้ ยเหลอื ประมาณรอ้ ยละ 1 ไปได้อีก ท�ำให้เกิดการหมุนเวียนของสารในระบบนิเวศเรียกว่า วัฏจักร เท่านั้นเอง แสดงว่าพลังงานแสงอาทิตย์ท่ีตกลงมาสู่โลก จ�ำนวนร้อยละ สารอาหาร (nutrient cycling) 100 พชื นำ� ไปใช้ในการสร้างผลผลติ ปฐมภูมิประมาณรอ้ ยละ 1 วัฏจักรสารอาหาร นอกจากการถ่ายทอดพลังงานแล้ว การหมุนเวียนของสารต่างๆ ที่จ�ำเป็นต่อการด�ำรงชีวิตของส่ิงมีชีวิตเป็นกระบวนการที่ส�ำคัญอีก กระบวนการหนง่ึ ในระบบนเิ วศ คอื วฏั จกั รสารอาหาร ซง่ึ แบง่ ออกไดเ้ ปน็ 2 แบบใหญ่ๆ คือ วัฏจักรแก๊ส (gaseous cycle) และวัฏจักรการ ตกตะกอน (sedimentary cycle) วฏั จกั รแกส๊ เปน็ วฏั จกั รของสารทป่ี กติ ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของแก๊ส มีแหล่งสะสมในอากาศหรือสารละลาย ในแหล่งน้�ำ เช่น วัฏจักรของออกซิเจน คาร์บอนและไนโตรเจน ส่วน สารอาหารทีม่ ีการเคล่ือนย้าย หมุนเวียนแบบวฏั จักรการตกตะกอน เช่น ฟอสฟอรสั จะพบอยใู่ นดนิ ตะกอนใตท้ อ้ งนำ�้ ใตท้ อ้ งทะเล หรอื ในหนิ ตาม ภเู ขา 78 ศาสตร์และศิลป์ การจัดการทรพั ยากรสัตว์ป่าในพน้ื ทค่ี ุ้มครอง

วัฏจักรของน้ำ� (water cycle) เกย่ี วกับกระบวนการระเหยของ ลงสู่ทะเล บริเวณใต้ทะเลจะมีการยกตัวเป็นภูเขา เกิดการสึกกร่อน น้�ำ การคายน้�ำ การตกกลับลงมาของน้�ำในอากาศในรูปแบบต่างๆ เช่น ฟอสฟอรสั กลบั มาใช้ในระบบนเิ วศบนพ้ืนผิวโลกอีกคร้ังหนงึ่ ลม ฝน หมิ ะ การระเหยของน้ำ� ในทะเล มหาสมทุ ร ซึ่งมีมากในอากาศจะ ถูกลมพัดมาตกยังพ้ืนดิน น�้ำจากพื้นดิน ใต้ดิน ก็จะมีกระบวนการกลับ ระบบนิเวศทีส่ �ำคญั ลงสทู่ ะเลและมหาสมทุ ร ทำ� ใหน้ ำ�้ หมุนเวยี นอยู่บนโลกได้ ในธรรมชาตมิ ีระบบนเิ วศมากมายหลายแบบ นักนิเวศวทิ ยาแบง่ วัฏจักรของคาร์บอน (carbon cycle) คาร์บอนหมุนเวียนและ ระบบนเิ วศในธรรมชาตเิ ปน็ 2 รปู แบบ คอื ระบบนเิ วศบนบก (terrestrial สมดลุ อยไู่ ดด้ ว้ ยกระบวนการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสงและการหายใจของสงิ่ มชี วี ติ ecosystem) และระบบนิเวศแหล่งน้�ำ (aquatic ecosystem) ระบบ การเพิ่มขึ้นของปริมาณคาร์บอนในรูปของแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ใน นิเวศบนบกแบ่งออกเป็นแบบต่างๆ ตามชนิดของสังคมพืช โดยดูจาก อากาศอาจเกิดขึ้นได้ในบริเวณต่างๆ แถบซีกโลกเหนือในฤดูหนาวท่ีมี ลักษณะโครงสร้างของพรรณพชื (vegetation) ในแต่ละบรเิ วณเปน็ หลัก กลางวันสั้น ทำ� ใหพ้ ชื สงั เคราะห์ด้วยแสงไดน้ อ้ ยลง ระบบนิเวศบนบกมักจะแบง่ ตามแนวคดิ ชีวนเิ วศ (biome) เชน่ ชีวนิเวศ วัฏจักรของไนโตรเจน (nitrogen cycle) วัฏจักรของไนโตรเจน ปา่ เขตรอ้ นชนื้ ชวี นเิ วศระบบทงุ่ หญา้ เขตรอ้ น ระบบนเิ วศบนบกมกี ารกระจาย ต้องอาศัยแบคทีเรียหลายชนิดช่วยให้ไนโตรเจนหมุนเวียนอยู่ได้ พืชไม่ ทางภูมิศาสตร์เป็นบริเวณกว้างและมีลักษณะเฉพาะตัว จึงมีสังคมพืช สามารถใช้ไนโตรเจนที่อยู่ในอากาศได้ จึงต้องการแบคทีเรียที่สามารถ และสังคมสัตว์เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ปัจจัยส�ำคัญที่ท�ำให้ชีวนิเวศ เปลยี่ นไนโตรเจนใหอ้ ยใู่ นรปู ของแอมโมเนยี มและไนเตรททพี่ ชื นำ� ไปใชไ้ ด้ แตล่ ะแบบแตกตา่ งกนั คอื ภูมิอากาศ อุณหภูมิ ปริมาณน�้ำฝน ลกั ษณะ แบคทีเรียกลุ่มนี้เรียกว่า แบคทีเรียตรึงไนโตรเจน (nitrogen-fixing ภมู ิประเทศ และลกั ษณะของดนิ บรเิ วณนัน้ bacteria) ซ่ึงมอี ยู่ 2 กลมุ่ คอื พวกที่อยูแ่ บบภาวะพ่งึ พากนั ทร่ี ากพืชและ ระบบนิเวศแหล่งน้�ำไม่สามารถแบ่งแยกออกเป็นชีวนิเวศได้ พวกท่ีอยู่เปน็ อิสระในดนิ ตามลักษณะของพรรณพืช เพราะผผู้ ลติ ส่วนใหญเ่ ป็นสาหร่ายเซลล์เดยี ว วัฏจักรของฟอสฟอรัส (phosphorus cycle) วฏั จกั รฟอสฟอรสั เหมือนกันทุกแห่ง แต่สามารถแบ่งได้โดยใช้ลักษณะทางกายภาพ คือ เป็นวัฏจักรการตกตะกอน แหล่งสะสมของฟอสฟอรัสส่วนใหญ่จะอยู่ใน ความเค็มของน�้ำ ความลึกของน�้ำ และกระแสน�้ำ ระบบนิเวศแหล่งน้�ำ ดนิ ดนิ ตะกอนใตท้ ะเลหรอื สว่ นประกอบของหนิ ภเู ขา ฟอสฟอรสั มกั จะมี ทสี่ ำ� คญั คอื แมน่ ำ้� ลำ� คลอง ทะเลสาบ เขตนำ�้ กรอ่ ยหรอื ปากแมน่ ำ้� บรเิ วณ การหมนุ เวียนกบั ส่ิงมีชวี ิตและไม่มีชวี ติ ฟอสฟอรัสสว่ นหนึ่งจะถูกชะลา้ ง ชายฝ่ังทะเลและมหาสมุทร 79 ศาสตรแ์ ละศลิ ป์ การจัดการทรัพยากรสัตว์ปา่ ในพนื้ ท่คี มุ้ ครอง

พลศาสตรป์ ระชากรสัตว์ปา่ (Wildlife Population Dynamics) คำ� วา่ พลศาสตรป์ ระชากร (population dynamics) หมายถงึ อตั ราการเตบิ โตของประชากรหรอื จำ�นวนสมาชกิ ทเี่ พมิ่ ขน้ึ หรอื การศกึ ษาเกย่ี วกบั การเปลย่ี นแปลงขนาดของประชากร รวมไปถงึ ปจั จยั ลดล งใน ช่วงเวลาหนึ่ง จะเท่ากบั ทั้งหลายที่เก่ียวข้องกับการเปลี่ยนแปลงขนาดประชากรน้ันด้วย ∆N = B–D การเปลยี่ นแปลงขนาดประชากรไมว่ า่ จะเปน็ การเพมิ่ ขน้ึ หรอื ลดลง มกั จะ พูดถงึ การเตบิ โตของประชากร (population growth) การเจริญเติบโต ถา้ กำ�หนดให้ ∆t ของประชากรในช่วงเวลาใดเวลาหน่ึง หาได้จากจ�ำนวนประชากรท่ีเกิด b = จำ�นวนสมาชกิ ทเ่ี กดิ ภายในชว่ งเวลานน้ั เฉลย่ี ตอ่ สมาชกิ 1 ตวั หรืออพยพเข้ามาทั้งหมด ลบด้วยประชากรท่ีตายหรืออพยพออกไป d = จำ�นวนสมาชกิ ทต่ี ายภายในชว่ งเวลานน้ั เฉลย่ี ตอ่ สมาชกิ 1 ตวั ทั้งหมด ประชากรในธรรมชาตสิ ่วนใหญ่ การเพมิ่ หรือลดขนาดประชากร อตั ราการเตบิ โตของประชากรเท่ากับ มักจะเกดิ จากอตั ราการเกดิ และอัตราการตายเปน็ ส�ำคัญ การหาอัตราการเติบโตของประชากร (population growth ∆N = bN – dN rate) หาไดโ้ ดยใช้สมการทางคณติ ศาสตร์ ดงั น้ี ∆t = (b – d) N กำ�หนดให้ N = ขนาดประชากรทงั้ หมด (จำ�นวนสมาชกิ ในประชากร) (b – d) คอื อตั ราการเติบโตของประชากรตอ่ สมาชิก 1 ตัว (per capita population growth rate) ซงึ่ นยิ มใช้สัญลักษณ์ r ดงั น้ี ∆ N = ขนาดประชากรท่ีเปลีย่ นแปลง (เช่น 10 ตวั , 200 ตวั ) ∆N t = เวลา (ปี, วัน) ∆t = rN ∆ t = ชว่ งเวลาหน่ึง (เชน่ 1 ปี, 1 วัน) อตั ราการเจรญิ เตบิ โตของประชากรในชว่ งเวลาหนง่ึ ทส่ี น้ั มาก สามารถ B = จำ�นวนสมาชกิ ท่ีเกิดภายในชว่ งเวลา ∆ t เขยี นเป็นสมการของ differential calculus ได้ดังน้ี D = จำ� นวนสมาชิกทีต่ ายภายในช่วงเวลา ∆ t dN = rN dt คา่ r น้ีจะเป็นตัวบอกวา่ ประชากรกำ�ลงั เพมิ่ หรือลด ถ้าประชากร ตายมากกว่าเกิด ค่า r จะติดลบ แสดงว่าประชากรกำ�ลังลด ปกติอัตรา การเกิดมกั จะสงู กว่าอตั ราการตาย คา่ r กจ็ ะมคี า่ เป็นบวก ใiนnสtrภinาsพicแวrดaลteอ้ มoทfไี่ มinม่ cปี rจัeจaยัseจำ�หกรดั อืเลยbiroจtiะcมคีpา่oสtงูeสnดุ tiคaอืl เปในน็ กrรmณaxี เรียกว่า การเจรญิ เตบิ โตของประชากรจะถกู กำ�หนดโดยสรรี วทิ ยาการสบื พนั ธแุ์ ละ ชวี ประวตั ขิ องสง่ิ มชี วี ติ เปน็ หลกั เมอ่ื ประชากรเตบิ โตโดยมอี ตั ราการเตบิ โต สูงทส่ี ุด อตั ราการเตบิ โตของประชากรในแตล่ ะช่วงเวลาจะเท่ากนั นกขุนแผน (Urocissa erythroryncha) 80 ศาสตรแ์ ละศิลป์ การจัดการทรัพยากรสัตวป์ า่ ในพ้นื ทคี่ ้มุ ครอง

- 43 - ค่า r นจ้ี ะเป็นตัวบอกวา่ ประชากรกำลงั เพ่มิ หรือลด ถา้ ประชากรตายมากกว่าเกดิ คา่ r ติดลบแสดงวา่ ประชากรกำลงั ลด ปกติอตั ราการเกิดมกั จะสงู กวา่ อตั ราการตาย ค่าr ก็จะมีคา่ เปน็ บวก สภาพแวดล้อมทไี่ มม่ ปี จั จยั จำกดั เลย r จะมีคา่ สงู สุดคือเปน็ rmax เรยี กว่า intrinsic rate of increase หรอื วงศน์ กยาง (Ardeidae) tic potential กมรอื่ ณปกี ราะรชเาจกรร ิญเตเติบิบโ ตโตโddดขกอยtNามง ร ป  อีเจรัตะรรชิญา ากเก=าตรริบจเตะโrบิตถmโกูขaตddxกอสำNtNงงู หทปนส่ีรดดุะโ=ชดอยาตั สกรรารrรีกmแะาaบxวริทบเNตยนิบาี้เโกรตาียขรกอสวงืบป่าพรนั ะธชแุ์าeลกxะรpชในoวี แปnตรeล่ะnะวtตัชiaิข่วงlอเงวสลิง่ท ใเาหนมจค่ี ีชมระมุ้ ีวะเอื กทติดนนั่าเบัปทกภถค็นันส่ี ยังึ วหตัแาเลวมปมัป์ว้น็จา่่าทุสปสารี่ ารเบั หมะไชตาดราใุ ส้ หถกงู จป้รสะใรดุนเะตธขชิบรนารโกาตมรดไชไขดมาอ้ใส่ตนงาสิ ปสมว่ รภานะราใชถพหาเทญตกไี่บิรจ่ มกโะ่มตม็มไปี ไิขีดดจั นเ้ อ้ตจายัยม็ ดคู่จทปงำ�ตี่ รทกาะต่ีัดมชลศาอกักดยรเทภวาอ่ีลพยาู่ จะนำมากเขาียรเpนเจตเoรปบิ pญิ ็นโuตเกตlขริบaาอtโฟงตioจปขะnอรไะงดgปชก้ rราoระกาwชฟราtกเกhรารยี รแถกเจบา้วรบจา่ ิญนะเน้ีเตeรำิบียx�มกโpตาวoขเา่ ขnอEียeงxปนnpรเtoปะianชน็ leากnกgรtรirาเaoรฟlยีwpกจtoวhะp่าไuดelcx้กauptรirooาvnฟneeกgnrาหtoรiawรเlจอื tรghรrญิปูowthกมากีcรuาเรrปvเปeลย่ีลนย่ี นแปแปลงลขงนขึ้ น้ึๆๆลลงๆงๆข(อpงoขpนuาlดaปtiรoะnชfาlกuรcทtuใ่ี aกtลioเ้ คnยี )งอกยบั เู่ สรมะดอบั เพควยี างมแตจุ่ อรูปกราฟคลก้ารยาตฟวั คJลห้ายรือตเวัรียJกหวา่ รือJ-เsรhยี aกpวeา่ dJgr-oswhtahpceudrvgerowth curve ที่รับได้สูงสุดน้ัน ประชากรบางชนิดมีการเปล่ียนแปลงขนาดประชากร ขึ้นๆ ลงๆ อย่างมีวัฏจกั รท่แี น่นอน การเปลีย่ นแปลงขนาดประชากรทม่ี ี การเพมิ่ ขนึ้ หรอื ลดลงเปน็ วฏั จกั รทแี่ นน่ อนเรยี กวา่ population cycle Carrying Capacity สง่ิ มชี วี ติ มกี ารปรบั ตวั ในเรอ่ื งตา่ งๆ ใหเ้ หมาะสมกบั สภาพแวดลอ้ ม ประชากรประชากร ทอ่ี าศยั อยู่ รวมทง้ั การปรบั ตวั ใหม้ วี ธิ กี ารเพม่ิ ขนาดประชากรทเ่ี หมาะสม ดว้ ย บางชนดิ ความหนาแนน่ ของประชากรสงู อยเู่ กอื บตลอดเวลา เป็นเหตุ ใหม้ กี ารแขง่ ขนั สงู ในระหวา่ งพวกเดยี วกนั และตา่ งชนดิ กนั สง่ิ มชี วี ติ กลมุ่ นี้ จะปรับตัวให้มีความอยู่รอดและสืบพันธุ์ได้ในสภาพแวดล้อมที่มีปัจจัย ตา่ งๆ ค่อนข้างจำ� กดั เรยี กว่า K - selected species ในทางตรงกันข้าม ระยเวะลเาวล(ปา)ี (ปี) S-shกaรpาeฟdแ(ส1gดr)oงJกwก-ราthราsเhฟจcaแรupิญสrveดเeตdงิบกgโาrตoรขwเอจtงรhปิญรcเะuตชrิบาvกโeตรสแขตัลอวะงป์ ป(่า2รใ)ะนชSรปูา-กแsรบhสบaตั p(ว1e์ป)dา่J-gใsนrhoรawปู ptแehบdcบgurrovweth cใสuหง่ิ rมส้veาชี มวี แาติ ลรบะถาเงพชมิ่ นขดิ นมาคี ดวขาอมงหปนราะแชนาน่กขรไอดงเ้ปรรว็ ะเชรายี กกรวตา่ ำ่� rอ-ยsเู่ eสlมeอctมeกี dารspปeรบcั iตeวัs นรวานมสกั มจาะเชนพิก่อืูดทง สถจัง้งึัตหาควกมว์ปใาดนม่าขธมสอเรนาักงรมป่ือมจารงชะระจามถชตาสีอากิปงูกยใจัสรนู่จจุดใ�ำธนัยขกรตแอรัา่ดตงมงปล่ ๆชัจะจจสาท�ำัยตภน่ีจแิปาำววพเัจนปดแจส็นลวัย้อตมดตม่อลา่าทกอ้ชงา่ีสมิกๆราจทดมึงั้งำทถารหรกู่ีจงถมก�ำชจำเดีวปะหิตขร็นนขออดอตงงโงร่อปดสบั กยรตั จาปะวำรช์ปัจนดจ่าาว�ำัยมกนรตกัรหงา่จใรชงนะอื ๆีวมแขิตอีทนตขยีม่า่ลอู่จดีอะงำขยกออู่ ดั งยปs า่ pรงจะeำชcกาieกดั sรขสแ้อูงสแสดตุ งกไตดา่ ้ดงังรนะี้หว่าง K - selected species กบั r - selected ยมเรยี กว่า CสaภrrาyพinแgวCดaลpอ้ aมcจitึงyถใกูชก้สัญ�ำหลนกั ษดณโดว์ ย่าป“ัจKจ”ัยตา่ งๆ ทมี่ ีอยอู่ ยา่ งจำ� กัด ซง่ึ เรามัก ลกั ษณะเปรยี บเทียบ K -spseelceiectsed r -sspeelceicetsed ดตรรษำางกะม็แเดปณปยาทกขรระ็นะ่ง่ีตอะแแแกตาชงกรยามอ่ปา่งกรถป่งศกกรแแเขงึจัะกัารจยแขอจรเชรยง่Sจ แจกใลครมง่งดัยญิาภชแิ่มขก�ำลักว้าะือทำก-ขา้เสนัมน่าาระรษพตรีส่พง่ปรsัญรเีองจวกกิบขำณูพดเhเชะรตันตะ็มหคันาลโหะีวถaิ่มระตบิติไัญมหรใักิตชpาวปึดงคกนนโำ�่อืแรอกกา่าษคอ้ตeจั่อา้ีหลเนกอืกงยาจ็รยปณจdวรนสงารทร่อืะ่าข่งคู่ยเรัาเกมเใงขม์ง่สีวแจรนgตะงนสมเหาขกี่ัต้าาอื่ขทรrยชิบาธำช�สนอoงาวิญยีย่ีตาด่งรโคิกงสึง่ราป์“wตนกรๆแลขญอเภัทขมูงK่ามตรตเอขtอาาาปี่มจสจอำ่ชhา”ดิบหดย่งงเอีน็านะแายรเมขใปาแโมทิมวcลตกใาถน่ใตรื่อคันลารนuอีะนธรสิงหปสนลรถะาาหิพจรัตว่ทrรรรูถงนvฟี้หชึงะนะรลนมะือสะี่สจeจตาจาาใหตชีกยแงึ่ดุะุหดกุดะ่ำกกทอ่าาหวะเปลาญเขๆตรเกรกปม่ี่ลาแรขงรสเิบอรา่จงเง่็นอปีระียพดรเูงหโะนสงกทรริลชตเนสว้ม่มิป้ำนจูป่ือม่ยีขธไายุดเีขหครดยัึ่งนจาปพกิอกSนิญ่อรปๆ้ใชแจรันน็นงลนือนาเหรปิจกกัยจตดตยิทกสขเะระลภานแมปอิบ่ภมคี่รา้ือชไงรใื่องกราาวโมุ้าเมเขนาตเสระรพปฟยดากต้ึนม่กทขยีูงียชรรทในัจลิบเๆกีรอก่ีสกาเนะม่ีไภะจ้อเกงโาวุดชมวอื่ลปรัยเตรปรร่ามปาา่ม่ปถงิ่มเญิรทเรกปๆรีปทSึงป็นมะะCป่ีอระเจ-น็จั่ีสลตชรีอ(ชมsยaชรุดPจสhาูปย่ีบาิีข่ใูัตาrาะๆoยัากนarมนกนกโรชเyจppรตรหรSาาาแราiำuะenจขดตคกรดปกกlดdะอgใหุใaือถาัด้วรลบัหหไtงรรgจมจยCงiคญ้ปปoเrือขม่ะะกตoaวรnร่ขเีกนมราัpwนะิบระึน้ มาอfาชีอียaชtโlปรจดuhาตงัตcกาเเจัุทกมปรcอiกตรวจctรtร่ีับื่ลกีอรyา่�ำ่าuuยัไับ่ียมrตaไvน่สtดา่ eiแงาoส้ ๆปมnูงขเจจออกสราสล�ำ�ำ)นภัตาา่ิมรนนดุงยรรอาามถขเขุาววดพยจลีเนกนนยัขตแูเ่รูกสาาคลอิญวิบครดมกูรงดโเตรลอั้งอทตตลั้งาทูกีกบิไ่อีอ้แย่ีมหอมโรลีตรกกขอืูกจใอนนไงขเแทป่ ตีอ่ น็ ่ลยตะอู่ ัวคาเรศต้ังยัม็ วัย มคี วามผันแปรตำ�่ มีความผนั แปรสูง ใชเ้ วลานาน ใช้เวลาสน้ั ยนื ยาว สัน้ ปกตจิ ะต่ำ� มกั จะสูง นอ้ ย มาก มลี กู หลายครง้ั เพียงครงั้ เดยี ว ช้า เรว็ ใหญ่ เล็ก ประชากรมีขนาดใหญ่ข้ึน ปัจจัยต่างๆ ท่ีจ�ำเป็นต่อการด�ำรงชีวิตก็จะมี การเล้ยี งดจู ากพอ่ -แม่ มีมาก ไมม่ ี การขาดแคลน เกิดการแก่งแยง่ แข่งขนั ในเร่อื งของอาหาร แหล่งน�ำ้ หรือ 81 ศาสตร์และศลิ ป์ การจดั การทรัพยากรสัตว์ป่าในพื้นทีค่ ุม้ ครอง

ปัจจยั ทม่ี ีอิทธิพลตอ่ ขนาดของประชากร ความหนาแน่นเข้ามาเก่ยี วข้อง โดยรวมกนั อยเู่ ปน็ กลมุ่ ๆ ประชากรจะมี การเปลี่ยนแปลงขนาดของประชากรมักจะถูกควบคุมโดยปัจจัย ความหนาแน่นสูง กวางหางขาวหลายตัวท่ีไม่ได้อาหารซึ่งมีอยู่น้อยและ หลายๆ ชนิดในสภาพแวดล้อม อาจจะเรียกปัจจัยที่ท�ำหน้าท่ีควบคุม หายากก็ต้องตายไป การเปลี่ยนแปลงขนาดประชากรไม่ให้มากเกินไปหรือน้อยเกินไปว่า population limiting factor ซึ่งจะแบง่ ออกได้เป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ คอื การวิเคราะห์ประชากรสัตว์ป่า (Wildlife Population 1. ปจั จยั ทข่ี ้นึ อยกู่ บั ความหนาแน่น (density - dependent Analysis) factor) เปน็ ปจั จยั ทม่ี คี วามรนุ แรงขน้ึ อยกู่ บั ความหนาแนน่ ของประชากร การวเิ คราะหป์ ระชากรสตั วป์ า่ เปน็ เทคนคิ วธิ กี ารขนั้ พน้ื ฐานของ โดยจะไปจ�ำกัดอัตราการเจริญเติบโตของประชากรด้วยการลดการ การอนุรักษ์และการจัดการสัตว์ป่า ไม่ว่าจะด�ำเนินการในพื้นท่ีใดๆ เช่น สืบพันธห์ุ รอื เพม่ิ อัตราการตายของประชากร ส่วนใหญ่จะเป็นปัจจัยทาง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า อุทยานแห่งชาติ หรือเขตห้ามล่าสัตว์ป่า จะต้อง ชีวภาพซ่ึงจ�ำเป็นส�ำหรับการด�ำรงชีวิต เช่น การแก่งแย่งแข่งขันในเร่ือง มีข้อมลู ทีใ่ ช้ประกอบการพิจารณา อยา่ งนอ้ ยทีส่ ดุ ควรมี คอื ปริมาณหรือ อาหารที่มีอยู่ จะรุนแรงมากข้ึนเมื่อความหนาแน่นของประชากรสูง ความหนาแนน่ ของประชากรสตั วป์ า่ หรอื การปรากฏของชนดิ พนั ธส์ุ ตั วป์ า่ การแกง่ แยง่ สารอาหารในดนิ ของพชื ทอ่ี ยรู่ ว่ มกนั เปน็ จำ� นวนมาก มกั จะมี หรอื ไมม่ ปี รากฏในพน้ื ทน่ี นั้ ๆ ในการวเิ คราะหป์ ระชากรสตั วป์ า่ จงึ มคี วาม ผลต่อการสร้างเมล็ดของพืชเหล่านั้น สัตว์ป่าท่ีมีการสร้างอาณาเขตของ จำ� เปน็ อยา่ งยง่ิ ในการทจี่ ะไดม้ าซงึ่ ขอ้ มลู ประชากรสตั วป์ า่ ทเ่ี ปน็ ประโยชน์ ตนเองหรือ territory หรือท่ีเรียกวา่ territoriality มพี ืน้ ที่ว่างทใ่ี ชท้ ำ� รัง ในการอนุรักษ์และการจัดการสัตว์ป่า การเปล่ียนแปลงของประชากร หรือใช้ในการหากินก็จะเป็นปัจจัยหน่ึงที่ต้องแก่งแย่งแข่งขันกัน ยิ่ง สัตว์ป่าไม่ว่าจะเพิ่มข้ึนหรือลดลง จะต้องพิจารณาถึงโครงสร้าง ส่วน ประชากรมีความหนาแน่นสูง การแก่งแย่งแข่งขันกันก็จะสูงตามไปด้วย ประกอบของระบบและตัวประชากร ความสัมพันธ์พิจารณาได้จากการ เป็นสาเหตุให้สัตว์บางตัวไม่สามารถสืบพันธุ์ได้ การเจริญเติบโตจึงถูก วเิ คราะห์พฤติกรรมในธรรมชาติ พฤตกิ รรมการจับคู่ การผสมพนั ธุ์ การ จำ� กัดโดยปริยาย แกง่ แยง่ การอยรู่ ว่ มกนั การเปลยี่ นแปลงจะพจิ ารณาถงึ กระบวนการและ 2. ปัจจัยที่ไมข่ นึ้ กับความหนาแนน่ (density - independent วธิ ีการ factor) เปน็ ปจั จยั ทม่ี อี ทิ ธพิ ลหรอื ความรนุ แรงไมข่ น้ึ อยกู่ บั ความหนาแนน่ การวิเคราะห์ประชากรสัตว์ป่าสามารถกระท�ำได้โดยการส�ำรวจ ของประชากร มกั จะเปน็ ปจั จยั ทางกายภาพทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั ดนิ ฟา้ อากาศ ชนดิ และประชากรสตั วป์ า่ ซง่ึ ตอ้ งใชค้ วามรคู้ วามสามารถของผดู้ ำ� เนนิ การ หรอื ภมู อิ ากาศเปน็ สว่ นใหญ่ เชน่ อณุ หภมู ิ ไมว่ า่ ประชากรจะมคี วามหนาแนน่ ท้ังน้ีเพราะสัตว์ป่าที่พบในธรรมชาติมีการเคลื่อนที่และหลบซ่อนตัว นอ้ ยหรอื มาก เมอ่ื อณุ หภมู ิเย็นหรือรอ้ น ประชากรทกุ ตวั ไดร้ ับผลกระทบ อยูใ่ นป่าหรอื ถิ่นทอี่ าศยั วธิ กี ารหากินท่ีแตกต่างกันตามเวลา เชน่ หากิน เหมอื นกนั หมด นอกจากน้ี ยงั มปี จั จยั อน่ื ๆ อกี เชน่ ไฟปา่ พายุ การระเบดิ กลางคืนหรือหากินกลางวัน ในการส�ำรวจเราจะใช้วิธีส�ำรวจอย่างไร ของภูเขาไฟ เปน็ ต้น ใหเ้ หมาะสมในพื้นท่แี ละเวลาใด เชน่ การสำ� รวจบนเสน้ ทาง การสำ� รวจ ขนาดของประชากรน้ันอาจจะถูกควบคุมได้จากปัจจัยท่ีขึ้นกับ บนเส้นแนวผ่านสภาพถ่ินที่อาศัยชนิดต่างๆ การดักจับเป็น และการใช้ ความหนาแน่นและปัจจัยที่ไม่ขน้ึ กับความหนาแนน่ ในธรรมชาติสตั ว์ปา่ อุปกรณด์ ักถ่ายภาพ เปน็ ตน้ การพบเห็นตัวสตั วห์ รือร่องรอยตอ้ งจ�ำแนก อาจจะมีปัจจัยทั้งสองอย่างเข้ามาควบคุม เช่น แถบหนาวท่ีมีหิมะ ให้ถูกต้องแม่นย�ำ เป็นงานท่ีอาศัยศาสตร์และการประยุกต์ใช้แนวทาง ปกคลมุ ในฤดูหนาว กวางหางขาว (white - tailed deer) จะตอ้ งตายไป ตา่ งๆ หลายวธิ กี าร เพอื่ ใหเ้ หมาะสมกับชนดิ พนั ธส์ุ ตั ว์ปา่ พืน้ ที่ เวลา และ เนื่องจากขาดอาหาร ซ่งึ ไม่ขึ้นอยูก่ ับความหนาแน่นของประชากร การท่ี ฤดกู าล ตวั เลขทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั ความหนาแนน่ ของสตั วป์ า่ ไดจ้ ากการประเมนิ อุณหภูมิต�่ำมากร่างกายของสัตว์ต้องการเพ่ิมพลังงาน ในขณะเดียวกัน ประชากรสตั ว์ป่า (population estimation) หิมะทับถมอาหารท่ีเคยกินท�ำให้หาอาหารยาก ก็จะมีปัจจัยเก่ียวกับ 8822 ศศาาสสตตรรแ์ แ์ ลละะศศลิ ลิ ปป์ ์ กกาารรจจัดัดกกาารรททรรัพัพยยาากกรรสสตั ัตววป์ ์ปา่ ่าใในนพพื้นนื้ ททคี่ ีค่ ุ้มุ้มคครรอองง

การส�ำรวจชนิดพันธสุ์ ตั วป์ ่า (Species Survey) 1. การสำ� รวจบนเสน้ ทาง (roadside survey) เป็นวิธกี ารเดิน การส�ำรวจชนิดพันธุ์สัตว์ป่ามีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการทราบ ไปตามเส้นทางด่านสัตว์ป่า แนวล�ำห้วย บนเส้นทางที่มีอยู่แล้วเป็นหลัก ข้อมูลด้านความหลากชนิดของชนิดพันธุ์สัตว์ป่าท่ีพบในพ้ืนที่ สามารถ เพ่ือสังเกตและบันทึกชนดิ พันธ์ุสตั ว์ป่าที่พบเหน็ โดยตรง ด�ำเนินการได้หลายแนวทางประกอบกัน การส�ำรวจจะต้องมีเส้นทาง 2. การส�ำรวจจากการวางแนวเส้นตรง (transect survey) สำ� รวจหรือแปลงตวั อยา่ งกระจายอยู่ท่ัวพ้นื ที่ ท่วั ทุกสงั คมของพรรณพืช เป็นวิธีการส�ำรวจที่สุ่มผ่านพ้ืนท่ีโดยอาศัยการวางทิศทางจากแผนที่และ หรือทุกสภาพถิ่นที่อาศัย เจ้าหน้าที่ผู้ด�ำเนินการจะต้องมีความรู้ความ เขม็ ทศิ แลว้ เดนิ ตามแนวสำ� รวจตามทศิ ทางทกี่ ำ� หนดไว้ แมว้ า่ จะผา่ นพน้ื ท่ี ชำ� นาญดา้ นชนดิ พนั ธส์ุ ตั วป์ า่ และชนดิ พนั ธพ์ุ ชื จะตอ้ งมกี ลอ้ งสอ่ งทางไกล รกทึบหรือลาดชัน การเดินส�ำรวจค่อนข้างล�ำบาก แต่จะให้ผลดีในส่วน แบบสองตา (binoculars) หรือกลอ้ งแบบตาเดยี ว (telescope) ซึ่งจะ ของการเก็บข้อมูลชนิดพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ล�ำเอียง สามารถท่ีจะท�ำให้ ช่วยเพ่ิมประสิทธิภาพในการมองระยะไกลได้ดี สมุดหรือแบบฟอร์ม ทราบถึงการกระจายของประชากรสตั วป์ า่ ไดด้ ว้ ย การบันทึก ประกอบด้วยชนิดและจ�ำนวนท่ีพบ พร้อมทั้งบันทึกสภาพ 3. การสอ่ งไฟดูสตั วใ์ นเวลากลางคืน (spotlighting) ชนิดพนั ธ์ุ ถิ่นท่ีอาศัย สังคมพืช หรือลักษณะภูมิประเทศ ลักษณะภูมิอากาศ เช่น ของสัตว์ป่าทหี่ ากินในเวลากลางคืน เช่น นกตบยงุ บา่ ง กวางป่า อเี ก้ง ลำ� ธาร หนา้ ผาหนิ ปนู ปา่ ดบิ ชนื้ ปา่ เบญจพรรณ หรอื ทงุ่ หญา้ เวลา ฤดกู าล และชนิดพันธุ์อ่ืนๆ สามารถใช้ไฟส่องหาไปตามเส้นทาง จะพบเห็น แ ละผ้สู �ำแรนว วจ  ทตาอ้ งงวลิธงีกชา่อื รกส�ำ�ำกรบั ววจา่ชเนปิด็นพผันูส้ �ำธรุ์สวัตจว์ป่า สามารถที่จะเลือกใช้วิธี แสงสะท้อนจากดวงตาของสัตวป์ ่าทำ� ให้บอกต�ำแหนง่ และชนิดพนั ธ์ไุ ด้ 4. การใชต้ าขา่ ยและกับดัก (netting and trapping) เป็นวธิ ี การใดวิธกี าแรทหนนภึ่งาใหพ้เหมนาา้ ะ๖สม๐ก   บั สถานที่ เวลา และฤดูกาล โดยมีวิธีการ การดักจับชนิดพันธุ์สัตว์ป่าที่สามารถดักจับตัวเพ่ือตรวจสอบชนิด เพศ ท่เี ลือกใช้ ดังนี้ มีการถ่ายภาพไว้และปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ หรือติดวิทยุ ติดเครื่องหมาย ขสป. ท่งุ ระยะ – นาสัก แนวส�ำรวจ อช.น้ำ� ตกหงาว   แทนภาพท่ี ๒   83 ศาสตรแ์ ละศลิ ป์ การจดั การทรพั ยากรสตั วป์ ่าในพืน้ ทค่ี มุ้ ครอง เหน็ เสน้ แบง่ พน้ื ทีใ่ นภาพที่ ๒ ไหมคะ ฝง่ั ขวา หนั หนา้ ให้ภาพ ส่วนบน พิมพ์วา่ ขสป. ทุ่งระยะ – นาสัก  

แล้วปล่อยสู่ธรรมชาติ เพื่อศึกษาพฤติกรรมความเป็นอยู่ของสัตว์ป่า ดงั กลา่ วตอ่ ไป การใชอ้ ปุ กรณด์ กั จบั ตอ้ งเหมาะสมและไมเ่ ปน็ อนั ตรายตอ่ สตั ว์ป่า เช่น ใชก้ บั ดักเปน็ (live traps) เปน็ ต้น 5. การใช้หลุมดัก (pitfall) วิธีการใช้หลุมดักมีความเหมาะสม ส�ำหรับสัตว์ป่าขนาดเล็ก เช่น กบ เขียด หรือสัตว์เล้ือยคลานบางชนิด หลุมพรางนี้มีวิธีการกระจายหลุมลึกพอประมาณว่าเมื่อสัตว์ตกลงไป ในหลุมจะไม่สามารถขึ้นได้ มีการใช้ปี๊ปฝังลงไปในดิน ด้านบนคลุมด้วย กิ่งไม้และใบไม้ ส�ำหรับสัตว์ป่าขนาดใหญ่ เช่น ช้างป่า เคยมีการดักจับ โดยใช้หลมุ พราง แต่ไม่เหมาะสมเพราะอาจจะท�ำใหส้ ตั ว์ป่าขาหกั ได้ 6. การเฝ้าสังเกตจากซุ้มบังไพรและห้างบนต้นไม้ (blind or hind out) เป็นวธิ กี ารสร้างบงั ไพรมที ัง้ บนดนิ หรอื บนตน้ ไม้ บริเวณใกล้ๆ แหล่งนำ้� ดนิ โปง่ หรือบริเวณทสี่ ร้างรัง โดยใช้กิง่ ไม้ ใบไม้ ใหก้ ลมกลนื กบั สภาพแวดลอ้ มบรเิ วณนน้ั ใบไม้ กงิ่ ไมจ้ ะตอ้ งนำ� มาจากทอ่ี นื่ ถา้ หากใชว้ สั ดุ 8. การจำ� แนกรอ่ งรอยทางเดินและรอ่ งรอยอน่ื ๆ (tracks and บริเวณดังกล่าวอาจท�ำให้เกิดความผิดปกติได้ สถานท่ีสร้างซุ้มบังไพร signs) เป็นวิธีการศึกษาร่องรอยต่างๆ ที่เกิดจากสัตว์กระท�ำไว้ เช่น ตอ้ งไมก่ ดี ขวางการเคลอื่ นทข่ี องสตั วป์ า่ การสรา้ งหา้ งบนตน้ ไมต้ อ้ งแขง็ แรง รอยทางเดิน รอยเท้า รอยลับเขา รอยนอนแช่ปลัก รอยขุดโพรงดิน และมดิ ชิด เพ่ือไม่ให้สัตว์มองเห็น ซุม้ บงั ไพรเปิดเปน็ ช่องเลก็ ๆ ไว้ส�ำหรับ มูลดิน รอยกัดกินพืชอาหาร เศษขน กองมูล ไข่หรือรังนก สามารถ มอง ถ่ายภาพ หรือบนั ทึกพฤตกิ รรมสัตว์ทีพ่ บเห็น แยกชนิดพันธุ์ได้ ร่องรอยเหล่านจ้ี ะเห็นไดช้ ดั บริเวณแหลง่ ดินโปง่ นำ�้ ซบั 7. การใช้เสียงร้องเรียกสัตว์ป่าหรือต่อสัตว์ป่า เป็นวิธีการจาก ลำ� ห้วยหรือล�ำธาร ภมู ปิ ญั ญาชาวบา้ น ในการเลยี นเสยี งสตั วป์ า่ การผวิ ปาก เปา่ ใบไม้ เคาะพน้ื 9. การจำ� แนกเสยี งรอ้ ง เสยี งขนั (song and call identification) สามารถเรียกสัตว์ป่าบางชนิดได้ หรือใช้เทปเสียงล่อให้สัตว์ป่าเข้ามา เสียงร้องของสัตว์ป่าบางชนิดมีลักษณะเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ใช้ ใกล้ๆ เชน่ เสยี งขันของไก่ปา่ เสียงนกกางเขนดง เสยี งนกกวกั เสยี งนก ในการจำ� แนกชนดิ พนั ธไ์ุ ด้ เชน่ ไกป่ า่ นกยงู นกโพระดก นกกะรางหวั หงอก เขยี วก้านตอง เสยี งนกคมุ่ อดื หรอื บางพนื้ ทใ่ี ช้กระจกเงาตดิ ในกรงนกต่อ นกตั้งล้อ นกขนุ ทอง นกปรอดหวั โขน หรือนกกางเขนดง หากไม่เหน็ ตวั นกปา่ จะเขา้ มาเกาะและจกิ ตภี าพในกระจกเงานน้ั แต่ได้ยนิ เสียงร้องสามารถจะแยกชนดิ พันธ์ุได้ 10. การใช้อุปกรณ์ดักถา่ ยภาพ (camera trapping) เปน็ วิธกี าร ทใ่ี ชก้ ลอ้ งถา่ ยรปู หรอื กลอ้ งถา่ ยภาพทำ� งานทใี่ ชอ้ นิ ฟราเรดตรวจจบั ตวั สตั ว์ ในขอบเขตของรังสีอินฟราเรด กล้องถ่ายภาพจะถ่ายภาพอัตโนมัติและ ฟิล์มข้ึนได้โดยอัตโนมัติเช่นกัน สามารถถ่ายภาพสัตว์ป่าชนิดพันธุ์ท่ี เราไมส่ ามารถเขา้ ถ่ายภาพสัตวป์ ่าในธรรมชาตไิ ด้ เชน่ เสือโครง่ เสือดาว เสอื ไฟ แมวลายหนิ ออ่ น ชะมด อเี หน็ เป็นต้น 84 ศาสตรแ์ ละศิลป์ การจดั การทรัพยากรสัตว์ป่าในพ้ืนที่คุ้มครอง

การประเมินประชากรสตั วป์ ่า (Population ส่วนในกรณีที่ไม่ได้วางแปลงตัวอย่าง สามารถประเมินจ�ำนวน Estimation) ประชากร ดังนี้ การประเมนิ ประชากรสตั วป์ า่ ตอ้ งปฏบิ ตั งิ านเกบ็ ขอ้ มลู ในพน้ื ทจ่ี รงิ 1. การนบั ทง้ั หมด (total counts) เปน็ วธิ กี ารนบั จำ� นวนชนดิ พนั ธ์ุ วิธีการส�ำรวจสามารถท�ำโดยวางแปลงตัวอย่างเพ่ือเป็นตัวแทนใน สตั วป์ า่ ทั้งหมด โดยวิธีการท�ำส�ำมะโนประชากร (census) ตัวเลขท่ีได้ การศึกษา และทำ� โดยการสำ� รวจทวั่ ๆ ไป ไม่ต้องน�ำมาค�ำนวณใดๆ ท้ังสิ้น เป็นการนับจ�ำนวนตัวหรือจ�ำนวนคู่ต่อ การวางแปลงตวั อยา่ งเพอื่ ทำ� การศกึ ษา มวี ธิ กี ารประเมนิ ประชากร หน่วยพื้นที่ แต่มีข้อจ�ำกัดคือ จะต้องกระท�ำในพ้ืนท่ีเปิดโล่งและแคบ ดังน้ี ในเวลาที่กำ� หนด ตอ้ งใช้กำ� ลงั คนและค่าใช้จ่ายสูง 1. การนบั ทงั้ หมด (total counts) นับชนดิ พันธุส์ ตั ว์ป่าทกุ ตวั 2. การนบั ทางอากาศ (aerial counts) เปน็ วธิ กี ารทใ่ี ชไ้ ดใ้ นกรณี ในพ้นื ท่ีตัวอย่าง ทพี่ ้นื ทีเ่ ป็นท่งุ โลง่ หรอื ทุ่งหญา้ เชน่ ทงุ่ หญา้ ในทวีปแอฟริกา สามารถใช้ 2. การสมุ่ ตวั อยา่ ง (sample estimation) สำ� หรบั พนื้ ทข่ี นาดใหญ่ การถ่ายภาพจากเคร่ืองบิน ถ่ายภาพสัตว์ป่าชนิดต่างๆ ท่ีหากินอยู่ใน สำ� รวจโดยวางแปลงตัวอยา่ ง ท�ำการนับแลว้ คำ� นวณหาจำ� นวนประชากร ทุง่ หญ้า หรอื นบั จากเคร่ืองบนิ 3. ใชเ้ ลขดชั นเี ปน็ ตวั บง่ ชี้ (indices) เชน่ ปรมิ าณกวางปา่ 10 ตวั 3. การนับจากแนวถนน (roadside counts) เสน้ ทางอาจจะ /ตารางกิโลเมตร เสอื โครง่ 0.6 ตวั /ตารางกิโลเมตร เปน็ ต้น เป็นถนน ทางเท้า ทางเดินสัตว์ หรือด่านสัตว์ ล�ำห้วยหรือล�ำธาร เป็น วิธีการท่ีง่ายและคล่องตัว สามารถนั่งรถยนต์นับจ�ำนวนสัตว์ป่าที่วิ่งผ่าน 85 ศาสตรแ์ ละศิลป์ การจัดการทรพั ยากรสัตว์ป่าในพื้นที่คุ้มครอง

- 48 - 3. (Roadside counts) 4 / 10 ( D index = N/L D = N/(W x L) D= N= L= กระทงิ (Bos gaurus) ถนนหรือเครื่องหมายระยะทาง การนับสามารถนับได้ทั้งกลางวันและ 4. การนับบนเส้นตรง (strip transect) เป็นวิธีการก�ำหนด กลางคนื ผลที่ไดจ้ ากการประเมนิ อาจใช้คา่ ดัชนีจำ� นวนตวั ตอ่ ความยาว ทศิ ทางเดนิ ผา่ นบรเิ วณถนิ่ ทอ่ี าศยั ของสตั วป์ า่ นบั จำ� นวนและวดั ระยะหา่ ง ของเสน้ ทาง เชน่ นกตะขาบทุ่ง 4 ตัว/10 กิโลเมตร โดยใชส้ ตู รค�ำนวณ ทพี่ บเหน็ ตวั สตั วใ์ นครงั้ แรก นบั จำ� นวนครง้ั ของการวางเสน้ เชอื ก วดั ระยะ ดงั น้ี จากจดุ เรมิ่ ตน้ ไปยงั จดุ สดุ ทา้ ยของการสำ� รวจ จะชว่ ยทำ� ใหท้ ราบระยะทาง D index = N/L ทใี่ ช้ส�ำรวจทงั้ หมด หรอื D = N/(W x L) .F D = ความหนาแน่นของประชากร d N = จ�ำนวนสตั ว์ป่าท่พี บเหน็ ท้ังหมด .b (ชนดิ ที่ต้องการสำ� รวจ) .B ) L = ระยะทางที่สำ� รวจ D W = ความกว้างของพ้นื ที่ศึกษา จากภาพจะแสดงผสู้ ำ� รวจ (B) ตำ� แหนง่ ทพี่ บเหน็ สตั ว์ (F) และจดุ ตง้ั ฉาก (D) 86 ศาสตร์และศิลป์ การจดั การทรพั ยากรสัตว์ปา่ ในพื้นที่คุ้มครอง

การคำ� นวณผลจากการส�ำรวจจะใช้วิธกี ารของ b = ระยะตั้งฉากจากแนวส�ำรวจถงึ สตั วป์ ่า b = f/tan α King’s formula D = UN/2 d L b = ระยะเฉลยี่ ตง้ั ฉากจากเสน้ แนวสำ� รวจถงึ สัตว์ปา่ Webb’s formula D = UN/2 b L U = คา่ คงทใี่ ชใ้ นการปรบั หนว่ ยขอ้ มลู (unit-of-area factor) Hayn’s formula D = U/2L (n1/d1+n2/d2……+nm/dm) ข้อควรระวงั คือ จ�ำเป็นต้องวดั ระยะและมมุ (α) ให้ถกู ต้องดว้ ย Kelker’s formula D = U/2L (n1/b1+n2/b2……+nm/bm) มิฉะนั้นผลการค�ำนวณ d หรอื b จะผดิ พลาดได้ N = จำ� นวนท่พี บเหน็ ชนิดพนั ธสุ์ ตั วป์ ่าทสี่ �ำรวจทัง้ หมด 5. การใชแ้ นวเสน้ ตรง (transect counts) เป็นวธิ กี ารสำ� รวจ L = ระยะทางท่ีส�ำรวจ โดยอาศยั การใชเ้ ขม็ ทศิ กำ� หนดทศิ ทางแบบสอ่ งหนา้ - สอ่ งหลงั เพอ่ื ควบคมุ d = ระยะจากผู้ส�ำรวจถึงสตั วป์ า่ d = f/ cos α ทิศทางและเดินส�ำรวจไปตามทิศทางท่ีก�ำหนด เช่น ก�ำหนดส�ำรวจนก d = ระยะเฉลี่ยจากผู้สำ� รวจถึงสัตวป์ า่ บนเสน้ ทางเปน็ แนวระยะ 4 กโิ ลเมตร ในช่วงระยะเวลา 6.30 – 8.30 น. ซ่งึ เปน็ ช่วงเช้า 2 ชว่ั โมง เนื่องจากช่วงเชา้ เป็นเวลาทนี่ กออกหากิน 6. การจบั สตั ว์ท�ำเคร่ืองหมาย - ปลอ่ ย - จบั ซำ้� (capture and recapture) วธิ กี ารนเ้ี ปน็ การจบั สตั วป์ า่ ชนดิ พนั ธท์ุ ตี่ อ้ งการทราบจำ� นวน ประชากร โดยการจับเป็น ท�ำเครื่องหมาย แล้วปล่อยสู่ธรรมชาติ และ ท�ำการจับซ้�ำอีกครั้งหนึ่ง พบว่า อัตราส่วนของสัตว์ที่ถูกท�ำเครื่องหมาย กับสัตว์ป่าท้ังหมด เท่ากับ อัตราส่วนของสัตว์ที่ถูกท�ำเครื่องหมายจาก การสุ่มตัวอย่างกับสัตว์ทงั้ หมดที่สมุ่ ตัวอย่าง ในการประเมินประชากรแบบน้มี ีขอ้ กำ� หนดทีค่ วรทราบ คือ 1) ประชากรไมม่ กี ารเปลยี่ นแปลง ไมม่ กี ารเพมิ่ ดว้ ยการเกดิ หรืออพยพเข้า และไมม่ ีการลดลงดว้ ยการตายหรือการอพยพออก 2) ในการสมุ่ ตวั อยา่ งแตล่ ะครงั้ สตั วแ์ ตล่ ะตวั มโี อกาสถกู จบั เทา่ กนั 3) สตั วท์ ีต่ ดิ เครอื่ งหมายตอ้ งไมม่ กี ารสญู หาย 7. การนบั กองมลู (fecal counts) ไดแ้ ก่ การนบั มลู ประเภทเมด็ (pellet group counts) เชน่ กวางป่า อีเก้ง เนื้อทราย และกระตา่ ยปา่ โดยจะตอ้ งมกี ารวางแปลงตวั อยา่ ง ไมว่ า่ จะเปน็ วงกลมหรอื แปลงขนาดใหญ่ เป็นส่ีเหล่ียมจัตุรัสส�ำหรับกระทิง วัวแดง หรือช้างป่า วิธีการนี้จะต้อง ทราบอัตราการถ่ายมูลต่อตัวต่อวัน (defication rate) เช่น กวางป่า 12.00 คร้ังต่อตัวต่อวัน อีเก้ง 11.88 ครั้งต่อตัวต่อวัน กระทิง/วัวแดง 9.50 คร้ังต่อตัวต่อวัน ชา้ ง 12.50 ครง้ั ตอ่ ตัวต่อวัน การหาคา่ ความหนาแนน่ ของสตั วป์ า่ อาจจะเปน็ สตั วป์ า่ ทยี่ งั มชี วี ติ อยู่ หรอื กองมลู ทพี่ บตอ่ พนื้ ที่ โดยการเดนิ สำ� รวจตามแนวเสน้ ตรงหลายๆ แนว ทำ� การนบั จำ� นวนสตั วห์ รอื กองมลู และวดั ระยะตงั้ ฉากจากเสน้ แนวสำ� รวจ ไปยงั สตั ว์หรือกองมูลท่พี บทุกจุด 87 ศาสตรแ์ ละศลิ ป์ การจัดการทรัพยากรสัตว์ปา่ ในพน้ื ท่ีคมุ้ ครอง

วิธีการนี้จะมีการน�ำเอาค่าอัตราการสลายตัวของมูลสัตว์ เส้นรอบวงของวงกลม = πD (deterioration rate) เขา้ มาเกย่ี วขอ้ งดว้ ย ความหนาแนน่ ของรอยกบี เทา้ กวางปา่ /ระยะทาง = t = 4N/ πD 8. การนบั รอย (track counts) เปน็ วธิ กี ารนบั รอยเพอ่ื ประเมนิ 9. การนบั เสยี งรอ้ ง (call counts) เสยี งรอ้ งของสตั วป์ า่ บางชนดิ ประชากรสตั วป์ า่ มขี อ้ กำ� หนดวา่ สตั วป์ า่ เชน่ กวางปา่ จะตอ้ งเดนิ ตดั ผา่ น จะช่วยบอกต�ำแหน่งท่ีพบสัตว์ป่าหรือชนิดพันธุ์สัตว์ป่าได้ เช่น ชะนี เส้นรอบวงตามที่สมมติไว้ และกวางจะเดินกลับสู่ท่ีนอนในบริเวณที่เดิน นกยูง ไก่ป่า นกกระทาทุง่ นกเขาใหญ่ นกกะปดู ใหญ่ และสตั วช์ นิดอื่นๆ อยเู่ ปน็ ประจำ� โดยเสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางของวงกลมเทา่ กบั D สมการจะเปน็ จะท�ำการประเมินได้อย่างคร่าวๆ ว่าบริเวณน้ันๆ มีสัตว์ป่าดังกล่าวอยู่ Y = 4N/ πD2 จ�ำนวนตัวในแต่ละจุดสามารถหาได้จากค่าเฉลี่ยการศึกษาที่พบเห็นจริง = t/D เช่น ชะนี ประกอบด้วยครอบครัวละ 3.6 ตัว หากได้ยินเสียงชะนีร้อง เมือ่ จำ� นวนรอยกีบเท้าทัง้ หมด = 4N ประกาศอาณาเขตทั้งหมด 7 จุด ที่แตกต่างกันและห่างกัน ประเมินว่า จำ� นวนกวางปา่ = N ในบรเิ วณนน้ั มชี ะนที ง้ั หมด 25.2 ตัว พืน้ ทว่ี งกลม = πD2 4 88 ศาสตรแ์ ละศลิ ป์ การจัดการทรพั ยากรสตั วป์ ่าในพนื้ ทีค่ ุ้มครอง

การวเิ คราะหผ์ ล ขอ้ มลู ทเี่ กบ็ ไดใ้ นภาคสนามทง้ั หมดจากทกุ วธิ กี ารจะมกี ำ� หนดเวลา ที่ตอ้ งการ แล้วจะน�ำมาวเิ คราะห์ผลทีม่ คี วามสมั พันธก์ นั 1. การประเมินความมากมาย (abundance) ความมากมาย เป็นการแสดงจ�ำนวนหรือปริมาณสัตว์ท่ีนับได้ในพ้ืนที่เฉพาะเจาะจง (absolute abundance) เช่น ประชากรช้างป่า 50 ตัว ในพ้ืนที่ 950 ตารางกิโลเมตร ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2553 นอกจากน้ี ยังมี การประเมินความมากมายของการพบสัตว์ป่าในรูปของความถ่ีสัมพัทธ์ มไิ ดร้ ะบเุ ปน็ จำ� นวนตวั จากจำ� นวนครงั้ ทส่ี ำ� รวจอาจกำ� หนดเปน็ ระดบั ของ เปอร์เซ็นต์ เช่น ก�ำหนดเป็น 3 ระดบั พบนอ้ ย (less common) ค่าทีไ่ ด้อยู่ในช่วง 1 - 40 % พบปานกลาง (common) ค่าทีไ่ ดอ้ ย่ใู นชว่ ง 41 - 70 % พบมาก (very common) ค่าที่ได้อยใู่ นชว่ ง 71 - 100 % 2. การประเมนิ จำ� นวนประชากร (estimating in population) การประเมินความหนาแน่นต่อหน่วยพ้ืนท่ี สามารถหาได้จากวิธีการเก็บ ข้อมูลดังกล่าว เป็นการระบุจ�ำนวนตัวต่อหน่วยตารางกิโลเมตร และจะต้องก�ำหนดหรือระบุเวลาด้วย เช่น กวางป่าในอุทยานแห่งชาติ เขาใหญม่ ีความหนาแน่น 10 ตวั ตอ่ 1 ตารางกโิ ลเมตร ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2553 เป็นต้น 3. การประเมินหามวลชีวภาพสตั ว์ (zoomass) โดยการหาคา่ เฉล่ียของน�้ำหนักตัวในสัตว์ป่าแต่ละชนิด คูณด้วยความหนาแน่นของ สัตว์ป่าชนิดน้ันๆ ต่อหน่วยพื้นท่ีต่อเวลาท่ีก�ำหนด เช่น ความหนาแน่น ของเก้งในเขตรกั ษาพนั ธสุ์ ตั ว์ปา่ ภเู ขยี ว จงั หวดั ชยั ภมู ิ มีมวลชีวภาพสัตว์ 90 กโิ ลกรัม ตอ่ 1 ตารางกโิ ลเมตร ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2553 นกปากหา่ ง (Anastomus oscitans) ชะนมี อื ขาว (Hylobates lar) 89 ศาสตรแ์ ละศิลป์ การจัดการทรพั ยากรสตั วป์ ่าในพ้ืนที่คมุ้ ครอง

4การจัดการถ่นิ ที่อาศัยของสัตวป์ า่ 90 ศาสตร์และศิลป์ การจดั การทรพั ยากรสตั วป์ า่ ในพ้ืนท่ีคุ้มครอง

91 ศาสตรแ์ ละศิลป์ การจัดการทรพั ยากรสัตวป์ า่ ในพื้นทีค่ ุม้ ครอง

บทท่ี 4 (WกiาldรจliัดfeกาHรaถbิ่นiทtaี่อtาศMัยaขnอaงgสeตั mว์ปenา่ t) ถน่ิ ทอ่ี าศยั ของสตั วป์ ่า (wildlife habitat) เปน็ ที่รวมของปัจจัย คำ� วา่ food patch หมายถงึ การตัดต้นไม้ในปา่ ธรรมชาติออก สง่ิ แวดลอ้ มสำ� หรบั สตั วป์ า่ หรอื ปจั จยั การดำ� รงชวี ติ ของสตั วป์ า่ การจดั การ เป็นแถวหรือเปน็ แนว เพ่อื เปิดโอกาสใหแ้ สงแดดสอ่ งลงมาถงึ พน้ื ดินหรอื ถิ่นที่อาศัยเป็นส่วนหนึ่งของการจัดการสัตว์ป่า โดยป้องกันไม่ให้ถิ่นที่ พ้ืนปา่ ทำ� ใหต้ อไม้และพืชเลก็ ๆ ตามพื้นดนิ แตกหน่อใหมห่ รือมีการเจรญิ อาศัยของสัตว์ป่าถูกท�ำลายและปรับปรุงระบบนิเวศให้มีความอุดม เติบโตข้ึน สัตว์ป่าโดยเฉพาะสัตว์จ�ำพวกกวางออกมาอาศัยหากินใบไม้ สมบูรณ์ เป็นการเพม่ิ ผลผลติ ของสัตวป์ า่ ในพน้ื ที่นน้ั ๆ ใบหญ้าในแนวต้นไม้ที่ถูกตัดออก ลักษณะของ food patch จึงเป็น การจดั การถน่ิ ทอ่ี าศยั มมี านานแลว้ โดย Patton (1991) ไดก้ ลา่ ววา่ การปรับปรงุ แหล่งอาหารสำ� หรับสตั วป์ า่ ดังจะเหน็ ในรูปหนา้ ตอ่ ไป มารโ์ ค โปโล ชาวเมอื งเวนสิ ประเทศอติ าลี ไดบ้ นั ทกึ การเดนิ ทางเกยี่ วกบั การจดั การสตั วป์ า่ ครงั้ มายงั ทวปี เอเชยี ตามเสน้ ทางสายไหมถงึ เมอื งตา้ ตู ปัจจัยเพ่อื การด�ำรงชวี ิตของสตั วป์ ่า แห่งราชอาณาจักรมองโกล สมัยจักรพรรดิกุบไลข่าน (Kublai Khan) ถ่ินท่ีอาศัย (habitat) เป็นท่ีรวมของปัจจัยส่ิงแวดล้อมส�ำหรับ ค.ศ. 1259 – 1294 วา่ จกั รพรรดใิ หก้ ำ� หนดพน้ื ทส่ี งวนนอกเมอื งหลวงตา้ ตู สตั วป์ า่ หรอื ปจั จยั สำ� หรบั การดำ� รงชวี ติ ของสตั วป์ า่ อนั ประกอบดว้ ยแหลง่ ใช้ส�ำหรับเป็นท่ีอยู่อาศัยของสัตว์ป่าท่ีเป็นพื้นท่ีธรรมชาติ และเป็นเขต อาหาร (food) แหล่งน้�ำ (water) ท่ีคุ้มกันภัย (cover) พ้ืนท่ีเพื่อ หา้ มลา่ สตั วป์ า่ มกี ารสงวนแหลง่ อาหารสำ� หรบั สตั วป์ า่ มกี ารจดั การปา่ ไม้ แสดงออกถึงกิจกรรมตา่ งๆ (living space) และปัจจยั เฉพาะ (specific ให้เป็นอาหารของสัตว์ป่า หรือการปรับปรุงแหล่งอาหารของสัตว์ป่า requirements) โดยมรี ายละเอียดดังนี้ เรียกว่า “food patch” 92 ศาสตรแ์ ละศลิ ป์ การจดั การทรัพยากรสัตวป์ า่ ในพ้นื ทีค่ ุ้มครอง

1. อาหาร (food) จะสะสมแรธ่ าตอุ าหารไวใ้ นสว่ นทอ่ี อ่ นของพชื เพอ่ื การเจรญิ เตบิ โต ใบแก่ อาหารเปน็ ปจั จยั แรกทส่ี ตั วป์ า่ ตอ้ งการ สตั วป์ า่ ทอ่ี าศยั อยใู่ นพน้ื ที่ หรือกิ่งแก่ไม่ค่อยจะมีคุณค่าทางอาหาร สัตว์กินพืชชนิดท่ีกินผลไม้และ ท่ีมีอาหารอุดมสมบูรณ์ จะมีร่างกายท่ีสมบูรณ์ อัตราการขยายพันธุ์ เมล็ดไม้ จะไดร้ ับแร่ธาตอุ าหารจากผลไม้และเมล็ดไม้ เพราะพืชจะสะสม จะเพิม่ ขึ้น สว่ นประกอบของอาหารจะประกอบดว้ ยคาร์โบไฮเดรต หรอื แร่ธาตุอาหารไว้เพ่ือการขยายพันธุ์ อีกทั้งยังเป็นแหล่งท่ีให้คุณค่าทาง อาหารจ�ำพวกแป้ง ซึ่งจะเปล่ียนไปเป็นน้�ำตาลและพลังงานความร้อน อาหารมาก ส่วนสตั ว์ท่กี นิ เน้ือเปน็ อาหารจะไดร้ ับแรธ่ าตอุ าหารจากสตั ว์ ในกรณีท่ีร่างกายขาดคาร์โบไฮเดรต ไขมันท่ีสะสมอยู่ในร่างกาย กนิ พืชซ่งึ เป็นไปตามหลกั ของการถ่ายทอดพลงั งาน บางพ้นื ท่หี ากว่าสตั ว์ หรือโปรตีนจะถูกน�ำมาแปลงเป็นพลังงานความร้อนท�ำให้ร่างกายมีแรง กินพืชมีปริมาณน้อย พวกสัตว์กินเนื้ออาจจะอาศัยหาผลไม้ที่มีแร่ธาตุ เพียงพอส�ำหรับการด�ำเนินชีวิต สัตว์กินพืชจะได้รับสารอาหารพวก อาหารจำ� พวกคารโ์ บไฮเดรตกนิ ชวั่ คราวจนกวา่ จะหาอาหารทเี่ ปน็ สตั วก์ นิ คาร์โบไฮเดรตมากกว่าสัตว์ท่ีกินเนื้อ เพราะสัตว์กินพืชจะได้อาหารแป้ง พชื ได้ จากพืชโดยตรง ส่วนสตั วก์ นิ เน้ือจะไดร้ ับมาจากสตั วก์ ินพืชอกี ต่อหน่ึง ความต้องการอาหารของสัตว์ป่า สัตว์ป่าแต่ละชนิดมีความ นอกจากนี้ ในส่วนของอาหารจะมีแร่ธาตุท่ีสัตว์ป่าต้องการ โดย ต้องการอาหารที่ไม่เท่ากัน โดยธรรมชาติสัตว์ป่าท่ีกินเนื้อเป็นอาหารจะ แร่ธาตุที่ต้องการในปริมาณมาก (macronutrients) เช่น แคลเซียม สามารถย่อยอาหารจ�ำพวกโปรตีนให้เป็นกรดอะมิโนได้ทันที แต่สัตว์ป่า โซเดียม ฟอสฟอรัส เป็นต้น และแร่ธาตุท่ีต้องการในปริมาณน้อย บางชนดิ โดยเฉพาะสตั วเ์ คยี้ วเออ้ื งตอ้ งใชพ้ วกแบคทเี รยี ทอ่ี าศยั อยใู่ นลำ� ไส้ (micronutrients) เชน่ ทองแดง โคบอลต์ เป็นต้น แรธ่ าตุเหล่านีจ้ ะเปน็ ช่วยเปลี่ยนเซลลูโลสในพืชให้กลายเป็นคาร์โบไฮเดรต แล้วจึงเปล่ียนไป สว่ นท่กี อ่ ให้เกดิ การเจรญิ เติบโตและสรา้ งความแข็งแรงให้แกร่ ่างกาย เแปล็นะก-บร5อ่ ด2ยอค-ะรมง้ั ิโกนวอ่าีกสตัต่อวก์หนินเงึ่ นือ้ฉะน้นั สัตว์กนิ พชื ตอ้ งกนิ พชื เป็นจำ� นวนมาก สัตว์กินพืชจะมีจ�ำนวนชนิดพันธุ์และประชากรมากกว่ากลุ่มสัตว์ กินเนื้อ เพราะพืชมีอยู่เป็นปริมาณมากในธรรมชาติเมื่อเทียบกับสัตว์ แรธ่ าตอุ าหารทมี่ อี ยใู่ นพชื มคี วามแตกตา่ งขนึ้ อยกู่ บั ฤดกู าล ในฤดฝู น ส่วนของพชื ท่ีสตั วช์ อบกนิ จะเปน็ บริเวณยอดออ่ นหรอื ใบอ่อน เพราะพืช การเจรญิ เตบิ โตของพชื จะมแี รธ่ าตอุ าหารสงู หลงั จากทพ่ี ชื ออกดอกออกผล การปรับปรงุ แหลง่ อาหารของสตั ว์ป่า โดยการตดั ตน้ ไม้ออกเป็นแถวๆ หรอื ทเ่ี รยี กว่า food patch ภาพที่ 4.1 แสดงถงึ การปรับปรงุ แหล9่ง3อาหารของสัตว์ปา่ โดยการตดั ต้นไม้ออกเป็นแถวๆ หรือทเ่ี รียกวา่ Food Paศtาcสhตรแ์ ละศลิ ป์ การจดั การทรัพยากรสัตวป์ ่าในพน้ื ทค่ี ้มุ ครอง

นกกก (Buceros bicornis) 94 ศาสตรแ์ ละศลิ ป์ การจดั การทรัพยากรสัตวป์ า่ ในพื้นท่ีคมุ้ ครอง

แล้วแร่ธาตุอาหารท่ีสะสมในใบและกิ่งจะลดลง แต่จะไปเก็บสะสมไว้ใน อดน�ำ้ ได้ สำ� หรบั รา่ งกายของสัตว์ทอี่ ดนำ้� ได้นาน ไตทีท่ ำ� หนา้ ทขี่ บั นำ้� และ เมล็ดที่ผลิตได้แทน ภูมิอากาศแต่ละฤดูกาลจะมีการเปล่ียนแปลง เช่น ของเสียในร่างกายจะเปล่ียนไปท�ำหน้าท่ีรับน้�ำท่ีเหลือจากการเผาผลาญ บางปฝี นตกนอ้ ย บางปฝี นตกมาก บางครงั้ กแ็ หง้ แลง้ ตลอดทง้ั ปี พชื อาหาร หรอื การยอ่ ยอาหารจำ� พวกแปง้ แทน สตั วป์ า่ เหลา่ นจี้ ะไมห่ ากนิ ในระหวา่ ง สัตว์ที่มีอยู่ก็จะเปล่ียนแปลงไปด้วย ตัวอย่างเช่น ทุ่งหญ้าแถบแอฟริกา ที่มีอากาศร้อนในเวลากลางวัน โดยมักจะหลบภัยอยู่ในโพรง รงั หรอื รู ปีใดที่เกิดความแห้งแล้ง ฝนไม่ตก พืชจะแห้งตาย สัตว์ป่าที่อาศัยอยู่จะ กลางคืนจึงจะออกหากิน เช่น พวกหนู ท่ีอาศัยอยู่ในทุ่งหญ้าบริเวณที่ ไม่มีอาหารกิน อดอยาก ไม่มีน้�ำกิน สัตว์ป่าจะอ่อนแอและตายไปเป็น แห้งแล้ง ไม่มีฝนตก มีการปรับตัวให้เข้ากับสภาพธรรมชาติ สามารถ จำ� นวนมาก ประชากรสตั วป์ ่าจะลดจ�ำนวนลง อดน�้ำได้นานหลายวัน แต่ก็มีสัตว์ป่าหลายชนิดท่ีต้องการน้�ำเป็นประจ�ำ ความอดุ มสมบรู ณข์ องดนิ จะมคี วามสมั พนั ธอ์ ยา่ งใกลช้ ดิ กบั ความ ในฤดูรอ้ นจึงอาศยั อยู่ใกล้บริเวณแหลง่ นำ้� อุดมสมบูรณ์ของสัตว์ป่า ในพื้นท่ีป่าแห่งใดท่ีดินอุดมสมบูรณ์ไปด้วยแร่ บริเวณถิ่นที่อาศัยของสัตว์ป่ามักจะอยู่ใกล้แหล่งน�้ำถาวร ท่ีมีน�้ำ ธาตอุ าหารของพชื พชื จะเจรญิ เติบโต ขยายพันธ์ไุ ดด้ ี กลายเปน็ อาหารที่ เกือบตลอดท้ังปี บางคร้ังในฤดูแล้ง ปริมาณน้�ำมีไม่เพียงพอ สัตว์ป่า มคี ณุ ภาพและปรมิ าณมาก ทำ� ใหพ้ นื้ ทนี่ น้ั มชี นดิ พนั ธส์ุ ตั วป์ า่ และประชากร บางชนดิ จงึ อพยพไปหาพน้ื ทท่ี มี่ นี ำ�้ แหง่ ใหม่ เมอ่ื ไหรก่ ต็ ามทเี่ กดิ การรวมกลมุ่ สูงกว่าพ้ืนท่ีอ่ืนที่มีดินไม่ดี เช่น ดินในป่าดงดิบกับดินในป่าเต็งรังมีความ ของสัตว์ป่าในพ้ืนท่ีใดพ้ืนท่ีหน่ึงมากๆ การแก่งแย่งแข่งขันจะเกิดข้ึน แตกตา่ งกนั อย่างไรก็ดี สัตว์กินพืชจะถูกควบคุมปริมาณโดยสัตว์กินเน้ือท่ีคอย การท�ำลายแหล่งอาหารของสัตว์ป่า มีภัยคุกคามหลายอย่างที่ ซุ่มจับเหย่ืออยู่บริเวณแหล่งน้�ำ ฉะน้ัน ในการจัดการแหล่งน้�ำส�ำหรับ ท�ำให้แหล่งอาหารของสัตว์ป่าถูกท�ำลายลง เช่น ไฟป่า การแผ้วถางป่า สตั วป์ า่ สามารถกระทำ� ไดโ้ ดยการสรา้ งฝายกน้ั นำ้� ขดุ บอ่ นำ้� หรอื อา่ งเกบ็ นำ�้ การตัดไม้ท�ำลายป่า การยึดถือครอบครองท่ดี ิน เหล่าน้ลี ้วนมผี ลกระทบ ขณะเดียวกันจ�ำเป็นต้องมีที่ระบายน้�ำ เพ่ือป้องกันไม่ให้มีน�้ำเสียเกิดข้ึน ต่อปริมาณอาหารในธรรมชาติ สัตว์ป่าท่ีเคยอยู่อาศัยในพ้ืนท่ีอาจจะ หรือมสี งิ่ สกปรกเจือปน หนไี ปอยทู่ อ่ี น่ื หรอื มอี าหารไมเ่ พยี งพอ หรอื ถกู ลา่ ออกมาเสยี กอ่ น หากเกดิ การทำ� ลายปา่ ไม้ พชื อาหารของสตั วป์ า่ กจ็ ะลดนอ้ ยลง อาหารและแรธ่ าตุ 3. ท่ีคุม้ กันภยั (cover) ในดินไม่มีการหมนุ เวยี นในช่วงฤดฝู น ฝนจะตกชะล้างหนา้ ดนิ ให้ไหลลงสู่ ทค่ี มุ้ กนั ภยั หมายถงึ พน้ื ทท่ี สี่ ตั วป์ า่ ใชอ้ าศยั และหลบภยั จากศตั รู ท่ีต�่ำ อีกท้ังชะล้างแร่ธาตุอาหารให้หมดไปจากดิน ในฤดูแล้งดินก็จะไม่ หรอื ภมู อิ ากาศ และใชเ้ ปน็ ทอ่ี าศยั สรา้ งรงั วางไข่ และเลยี้ งลกู โดยปกติ สามารถเก็บความช้นื ไว้ได้ พชื อาหารสตั วจ์ ึงไม่เจริญเตบิ โตเทา่ ทีค่ วร ธรรมชาตขิ องสตั วป์ า่ จะอาศยั หากนิ และหลบภยั ภายในพน้ื ทที่ มี่ กี ำ� บงั ในกรณที ีเ่ กดิ ไฟปา่ มีทัง้ ข้อดีและขอ้ เสยี ขอ้ ดคี ือ ไฟป่าจะเผาไหม้ หรอื พน้ื ทที่ มี่ ตี น้ ไม้ โดยใชเ้ ปน็ ทห่ี ลบภยั และแหลง่ อาหาร หากเปน็ พนื้ ที่ พวกใบ - ก่ิงแก่ให้หมดไป พืชจะแตกใบ - ยอดอ่อน เป็นอาหารช้ันยอด ปา่ ไม้กจ็ ะประกอบด้วยปา่ ไมห้ ลายประเภท มีพนั ธ์ไุ ม้นานาชนดิ ส�ำหรับสัตว์ป่าที่กินพืชเป็นอาหาร ส่วนข้อเสียน้ันคือ เกิดผลกระทบกับ จำ� นวนอาหารของสตั วป์ า่ มสี ว่ นเกย่ี วขอ้ งกบั ทคี่ มุ้ กนั ภยั ของสตั วป์ า่ สตั วป์ า่ เชน่ ถกู ไฟคลอกตาย เผาไหมร้ งั ทอ่ี ยอู่ าศยั หรอื ลกู ออ่ นถกู ไฟคลอกตาย ในทกุ ฤดกู าล บางฤดกู าลทค่ี มุ้ กนั ภยั จะอำ� นวยประโยชนใ์ หแ้ กส่ ตั วป์ า่ ทาง เพราะหนีไม่ทัน ท�ำลายพืชอาหารสัตว์ป่าบางชนิดให้หมดไปจากพ้ืนที่ ด้านอาหาร เช่น ดอกไม้ ผลไม้ เมล็ดไม้ ซึ่งสัตว์ป่าได้ใช้อาหารเหล่าน้ี การจะใชไ้ ฟเพอ่ื เผาปา่ จงึ จำ� เปน็ ตอ้ งพจิ ารณาถงึ ความเหมาะสมใหร้ อบคอบ โดยท่ีไม่ต้องไปหากินไกล การเปลี่ยนแปลงของที่คุ้มกันภัยจะขึ้นอยู่กับ สภาพภูมิอากาศเช่นกัน เช่น บริเวณพื้นท่ีท่ีแห้งแล้ง ต้นไม้ผลัดใบ 2. แหลง่ นำ้� (water) ทีค่ มุ้ กันภยั ของสตั วป์ ่าจะลดลง ท�ำให้สัตว์ป่าไม่ปลอดภยั จากศตั รู นำ�้ เปน็ ปจั จยั จ�ำเปน็ ส�ำหรบั สตั วป์ า่ ทกุ ชนดิ เพอื่ หลอ่ เลย้ี งรา่ งกาย ในการปรับปรุงท่ีคุ้มกันภัยของสัตว์ป่า จะด�ำเนินการได้เพียงใด หรอื ชำ� ระรา่ งกายใหส้ ะอาด สตั วป์ า่ บางชนดิ เชน่ นกนำ้� ตอ้ งพง่ึ พาอาศยั ขน้ึ อยกู่ บั ธรรมชาตวิ า่ จะตอ้ งดำ� เนนิ การอยา่ งไร โดยคำ� นงึ ถงึ องคป์ ระกอบ หากินในแหล่งน้�ำ เป็นต้น ปริมาณน้�ำที่สัตว์ป่าต้องการจะมากน้อย ตามธรรมชาติ เวลา และงบประมาณที่จะใช้ รวมถึงผลประโยชน์ที่จะ แตกต่างกัน บางชนิดสามารถอดน�้ำได้นาน บางชนิดไม่สามารถท่ีจะ ไดร้ บั 95 ศาสตร์และศลิ ป์ การจดั การทรัพยากรสัตวป์ ่าในพน้ื ท่ีค้มุ ครอง

4. พน้ื ที่เพ่ือกจิ กรรม (living space) ทร่ี องรบั เปน็ ปจั จยั ทส่ี ำ� คญั ทจี่ ะตอ้ งนำ� มาพจิ ารณาใชใ้ นการวางแผนการ พื้นท่ีที่จะให้สัตว์ป่าอาศัยอยู่มีจ�ำนวนเท่าไร มีขนาดกว้างขวาง จัดการและการน�ำมาใช้ประโยชน์ การปรับปรุงถิ่นท่ีอาศัยจะต้องทราบ มากน้อยเพียงใด เช่น ช้างใช้พื้นที่หากินเท่าไร เสือโคร่งใช้พ้ืนที่อาศัย รายละเอยี ดเกยี่ วกบั ความตอ้ งการของสตั วป์ า่ วา่ ตอ้ งการพนื้ ทอี่ าศยั แบบใด หากนิ เท่าไร พวกกระรอก กระแตจะใช้พื้นท่ีเท่าไร ท้ังนี้ขึน้ อย่กู ับแหลง่ จะปรบั ปรุงอย่างไร เชน่ สัตวจ์ �ำพวกกวางป่าต้องการอาหารพวกพืชทีม่ ี อาหาร และที่คุ้มกันภัยในพ้ืนท่ี หากเราจะรักษาประชากรสัตว์ป่าชนิด ความสูงระดับเหนือพ้ืนดินพอสมควร อาจจะเลือกวิธีการตัดต้นไม้ใหญ่ ที่ต้องการพ้ืนที่หากินกวา้ งขวาง จะตอ้ งกำ� หนดพ้นื ทีใ่ หเ้ ปน็ พ้นื ท่อี นุรกั ษ์ ออกเพ่ือให้แสงแดดสอ่ งถงึ พื้นปา่ เพิม่ โอกาสใหต้ น้ ไม้เล็กๆ เจริญเติบโต สัตว์ป่าที่กว้างใหญ่พอสมควรและมีการดูแลรักษา คุ้มครองสภาพป่าให้ เป็นแหล่งอาหาร อย่างไรก็ตาม หากมีการวางแผนจัดการท่ีดี ต้องให้ คงไว้ตามธรรมชาติ ไม่เข้าไปรบกวน แผ้วถาง หรือท�ำลายพืชพรรณ ประชากรสตั วป์ า่ อาศยั อยอู่ ยา่ งกระจายตวั ในพนื้ ท่ี โดยการปรบั ปรงุ ปจั จยั ธรรมชาติ การด�ำรงชีวิตให้กระจายอยู่ท่ัวไปเช่นเดียวกัน เพ่ือสร้างความปลอดภัย การปรับปรุงถิ่นท่ีอาศัยของสัตว์ป่าในด้านพ้ืนที่เพื่อกิจกรรม ให้แกส่ ตั ว์ป่าและเอ้อื อ�ำนวยใหส้ ัตว์ป่าสามารถขยายพันธเ์ุ พม่ิ ขึ้นได้ อาจจะเปน็ การปลกู พชื อาหารสตั วเ์ พมิ่ เตมิ การทำ� โปง่ เทยี ม จดั ทำ� แหลง่ นำ�้ ให้กระจายอยู่ในพ้ืนท่ีตามความเหมาะสม จะช่วยให้สัตว์ป่ามีพฤติกรรม ทฤษฎีเก่ียวกับถ่ินทีอ่ าศัย การใช้พ้ืนท่ีเพื่อกิจกรรมต่างๆ ได้ เช่น ขอบเขตครอบครอง (home จากเรอื่ งทไ่ี ดก้ ลา่ วถงึ ปจั จยั เพอ่ื การดำ� รงชวี ติ ของสตั วป์ า่ อนั ประกอบ range) อาณาเขตหวงแหน (territory) เป็นต้น เพราะสัตว์ป่าได้อาศัย ด้วยอาหาร น�้ำ ท่ีคุ้มกันภัย พื้นท่ีเพื่อกิจกรรมต่างๆ และปัจจัยเฉพาะ อย่อู ย่างปลอดภยั มีแหล่งอาหาร ทคี่ ุ้มกันภยั สามารถท่ีจะขยายพนั ธุ์ได้ การจัดการปัจจัยเพ่ือการด�ำรงชีวิตของสัตว์ป่า จะต้องพิจารณาถึงถ่ินท่ี มากขึน้ อาศัยของสัตว์ป่าว่ามีความเหมาะสมเพียงใด เพียงพอกับการรองรับ 5. ปจั จัยเฉพาะ (specific requirements) นกหวั ขวานสีน่ ้วิ หลังทอง (Dinopium javanense) เป็นความต้องการสิ่งจ�ำเป็นพิเศษบางอย่างจากพื้นที่ เพื่อให้ การดำ� รงชวี ติ มีความสมบรู ณ์ยิง่ ข้ึน เชน่ ความตอ้ งการดนิ โปง่ (salt lick) ซึ่งเป็นแหล่งที่ให้แร่ธาตุที่จ�ำเป็นส�ำหรับการเจริญเติบโตของร่างกาย ในสตั วป์ า่ ทกี่ นิ พชื เปน็ อาหาร เชน่ กวางปา่ กระทงิ ววั แดง ชา้ งปา่ เปน็ ตน้ แหลง่ ดินฝุ่น (dust wallow) สำ� หรบั ชา้ งปา่ และนกป่าบางชนดิ เพ่ือไล่ ตวั ไรหรอื แมลง พน้ื ทหี่ รอื ลานผสมพนั ธ์ุ (mating area) เชน่ นกยงู ไกฟ่ า้ จะต้องมีลานกว้างขวางพอในการร�ำแพนของตัวผู้เพ่ือการผสมพันธุ์ ปลักโคลน (mud wallow) ส�ำหรบั ช้างปา่ หมูป่า กวางป่า แรด กระซู่ เพ่ือป้องกันแมลงท่ีมาไต่ตอมตามร่างกายสัตว์ ซึ่งปัจจัยเฉพาะแหล่งน้ี เปน็ ปัจจยั พิเศษทีส่ ตั วป์ ่าตอ้ งการ นอกจากนี้ ในการจดั การปจั จยั การดำ� รงชวี ติ ของสตั วป์ า่ จะคำ� นงึ ถงึ แนวความคิดของ Carrying Capacity ซงึ่ เปน็ การกล่าวถงึ ความสามารถ ของพ้ืนที่ที่จะรองรับจ�ำนวนประชากรสัตว์ป่าไว้ได้อย่างดีในสภาพของ สงิ่ แวดลอ้ มทเี่ ลวรา้ ยในชว่ งเวลาทอี่ า้ งถงึ เชน่ ฤดแู ลง้ เปน็ ตน้ ปจั จยั ตา่ งๆ จะขน้ึ อยกู่ บั ความอดุ มสมบรู ณข์ องแหลง่ อาหาร นำ้� ทคี่ มุ้ กนั ภยั และพน้ื ที่ 96 ศาสตร์และศิลป์ การจดั การทรพั ยากรสัตว์ปา่ ในพ้ืนท่ีคมุ้ ครอง

จ�ำนวนประชากรสัตว์ป่าได้หรือไม่ ซ่ึงในการพิจารณาจะต้องใช้วิธีการ ของจำ� นวนดงั กลา่ ว บางชนดิ อยรู่ วมกนั เปน็ กลมุ่ ๆ บางชนดิ อาศยั อยอู่ ยา่ ง สำ� รวจ ประเมนิ วเิ คราะหถ์ ิ่นที่อาศยั ท่ีปรากฏอยู่ หากจะมกี ารปรบั ปรุง กระจดั กระจาย เนอื่ งจากพนื้ ทดี่ นิ มจี ำ� กดั และโครงสรา้ งของสงั คมพชื และ จะดำ� เนนิ การใชว้ ธิ ใี ดทเี่ หมาะสม ถา้ ขาดพชื อาหารสตั วอ์ าจจะมกี ารปลกู สงั คมสตั วม์ คี วามสมั พนั ธก์ บั ลกั ษณะปจั จยั ทางฟสิ กิ ส์ ชวี วทิ ยา ภมู อิ ากาศ พันธุ์ไม้ที่เป็นอาหารสัตว์เพิ่มข้ึน การปรับปรุงแหล่งน�้ำ ควรจะใช้วิธีการ ดนิ พชื กระบวนการววิ ฒั นาการทางธรรมชาติ การอยรู่ ว่ มกนั การแกง่ แยง่ ขดุ สระนำ�้ หรือทำ� ฝายก้ันนำ�้ ตามล�ำหว้ ย ลำ� ธาร หรอื มีการสร้างรงั โพรง ต่อสู้กัน เป็นต้น ปัจจัยเหล่าน้ีเป็นรายละเอียดข้ันพื้นฐานท่ีมีความ หรอื ถ�้ำ เพ่ือใหเ้ ป็นทีค่ ุม้ กนั ภยั ของสตั ว์ป่า เกี่ยวข้องกับตวั สัตวป์ า่ นกั จดั การสตั วป์ า่ จงึ ตอ้ งมคี วามเขา้ ใจในทฤษฎเี กย่ี วกบั ถนิ่ ทอี่ าศยั ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสง่ิ มชี วี ติ อาจจะเปน็ ความสมั พนั ธซ์ ง่ึ กนั และกนั วา่ มีอะไรบา้ ง และจะตอ้ งมีการสร้างความเข้าใจในเรอื่ งของบทบาทและ ระหวา่ งสตั วก์ บั สตั ว์ พชื กบั พชื หรอื พชื กบั สตั ว์ ทงั้ นเ้ี พอ่ื ใหเ้ กดิ ความสมดลุ องคป์ ระกอบของถิ่นทอี่ าศยั ตามธรรมชาติ บทบาทของสงั คมสง่ิ มีชีวิตอย่างใดอย่างหนึง่ จะขน้ึ อยู่กับ การกระทำ� รว่ มกนั ของสมาชกิ ในสงั คมนนั้ ๆ หากไมม่ กี ารกระทำ� รว่ มกนั แลว้ 1. ความเขา้ ใจเกย่ี วกบั ระบบนเิ วศ (Understanding สังคมส่ิงมีชีวิตก็จะมีปัญหาทางด้านความสมดุลธรรมชาติ ส่ิงมีชีวิตน้ัน of Ecosystem) อาจจะสูญพนั ธไุ์ ด้ ความรู้ทางนิเวศวิทยาของถ่ินที่อาศัย (habitat ecology) เป็น ความสัมพันธ์ระหว่างส่ิงมีชีวิตด้วยกัน ที่เห็นได้ชัดท่ีสุดคือเร่ือง ความเขา้ ใจเรอื่ งนเิ วศวทิ ยา กระบวนการววิ ฒั นาการทางธรรมชาติ มกี าร ของอาหาร ซง่ึ เปน็ การถา่ ยทอดพลงั งานจากสงิ่ มชี วี ติ หนงึ่ ไปยงั สง่ิ มชี วี ติ หนงึ่ กระท�ำร่วมกัน หรือมีการต่อสู้แก่งแย่งกัน การขึ้นอยู่ของชนิดพันธุ์และ และหมุนเวียนอยู่ในระบบนิเวศ โดยเริ่มต้นจากพืชสีเขียวท่ีได้พลังงาน มคี วามสมั พนั ธซ์ งึ่ กนั และกนั ความสมั พนั ธข์ องสง่ิ มชี วี ติ ระหวา่ งพชื กบั พชื จากดวงอาทิตย์กระท�ำร่วมกับอินทรียวัตถุต่างๆ โดยวิธีการท่ีเรียกว่า หรอื พืชกบั สัตว์ เพอื่ ให้เกดิ ความสมดลุ ตามธรรมชาติ “สงั เคราะหด์ ว้ ยแสง” (photosynthesis) เมอื่ มสี ตั ว์กินพืช มากนิ พืชจะ ปจั จยั พน้ื ฐานทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั ระบบนเิ วศมกี ารกลา่ วกนั วา่ พชื และ ทำ� ใหพ้ ลงั งานยา้ ยจากพชื ไปยงั สตั วท์ กี่ นิ พชื สตั วก์ นิ เนอ้ื จะกนิ สตั วก์ นิ พชื สตั วท์ มี่ อี ยใู่ นโลกนไี้ มต่ ำ�่ กวา่ 1,800,000 ชนดิ ทสี่ ามารถทราบชนดิ พนั ธแ์ุ ลว้ พลังงานก็จะย้ายไปยังสัตว์กินเน้ือ แต่จ�ำนวนพลังงานจะถูกถ่ายทอด กระจดั กระจายตามพน้ื ทตี่ า่ งๆ ทวั่ โลก โดยเปน็ แมลงประมาณ 2 ใน 3 ไปตามขน้ั ตอนลำ� ดบั การกินและลดนอ้ ยลงตามลำ� ดับ 97 ศาสตรแ์ ละศลิ ป์ การจัดการทรัพยากรสัตวป์ ่าในพน้ื ทคี่ มุ้ ครอง

การถา่ ยทอดพลงั งานจากสง่ิ มชี วี ติ หนงึ่ ไปยงั อกี สงิ่ มชี วี ติ หนง่ึ หรอื หลายสงิ่ มชี วี ติ ทางนเิ วศวทิ ยา เรยี กวา่ ผ“หู้ผ่วลงิตโซ(่อpาrหoาdรu”ce(fro) oตd่อมchาพaiวnก) สพัตชื วส์ทเี ี่กขยีินวพเืชปกน็ ินพพวกืชแสรีเขกียท-วไี่ ดเ6ป้ร0็ับน-พกลลุ่มังงแารนกจทา่ีไกดแ้รสับงพอลาทังงติ ายน์ มเราาโเดรยยี ไกมพ่ไดืช้สกรล้ามุ่ งนเอ้วี ่าง วตกแเตพสเสส ท(พอกเ รรfรชิลตันิอ่อ่ดุูินนัญoชื่ีสลียยียี าะทวoมเดัมสังจสกหกกนนงก์dจับา้พสาตัาเีาสาื้อวยขเิตสัะสินันยกนวwทวตัา่พยีวาพใมไธตัก์เโนศโี่นผกวปeม์วนด์ซวลตีผวินธกน้ัลbว์กบู้ใยึ่งเังกอื้(์พบู้รนม่ยุปก)ิทเtงไลอวรรนทeมร่อนานัรวโน็่ายมุ่มโิาดrนะ่ไยอื้วี่กี้ิโกแtภชดาจพนยหภา่ใiสมลหนิaกาน้สคแจวลี้ววีพคะผเrตกินรสรหตy่ราาอะ่ากกบู้ลหิอ้าือางัต่ล่ยวพียผันมะรcงันแว่กรนังกะจวกเโิoกง้บูืชโรีสถรอภดชะดโินหก์ซn�ำวะกกซรงไั้น่าตัคับล่อ่วับsินพ่าดบอ่ิโนิทยอจuงงัวาเภสร้สาวพชืรนโัะทท“หพmไ่ีท์บัหซนียอค่ีหมดดอชืแ่ีาหอไชือ่ากก่ีeกผีบงอัรขปร้รกีเราว่ดสวrาปห้ผูิน็งแือบัจนัอ)หทา่รงหพแเีลรระน็กีเแถพขาดโหีรกือตินQไรผลซทลร่ากมงียับลสแนอืู้บทะอ้ื(ยงัีหอ่uเ่ลpวาลแงัปหมงรี่มทง่ึนทายarะงุ่มSโิารน็ผีกมีรiอเึง่หใmภtผาีโ่eนปอืก้บูแทยา็จeดตู้บนคามกบaอcรจ็นพะr่ีสอรรกหrจกโิปีาnบoาyเลกโิภัน”อหววาปรรภงaกnังคลดcา่าง่ะกา่าอืคงr็นหสoหยอdบัรสทุม่yหาแอnๆไง่ิผันนรทิสนPaแี่ไ่ืนมสรมsCอืดอ่งึ้บูธดโตrrรu่ไๆืองสดีชiyับิภงoด่ารmก้รmอาFยมสางีวม้ถโิnับ(ยทมCาoๆพesภี่ห่าิตาีพasมทสeีพrไี่ยกoทoรrคหu)าลดาcเทyกือิตส่ีลdnปสสยอomนะร้วองูยมัตัเ็ังนqsnCนัา่ับกดึ่งกดCว์พeงuudตหไoวยีดจเพกำ์าhนัrปaa้นรmนา่วาnนิลบันrrลaธากวก่งึตยtyเsกงั์กสชเee่iานังันโผงัาnuรินทดนัสนงrาcดอูื้้ผrอมnียmสาูญหoิดมงทยี่แัลกีaลกัตกนnขริต่กีหขไreสลวำือหพsy้ึนมมไนิาง็ก์ruา่ปด่งิตไรยชืสแาไ่cวนิmปมยอ่บัดือไัตoโแกรเังปกชีดeนวnลส้งผลันจTีวก์ยrว้sอื้หู้บร)ุ่มานuนิติeอไแา้รรกนmี้เตมพrหกีติโรอืงกt่อภ้ีว่ไทืชยีจ่eเนiามจดaคอะา่เกีหrรป่งึาีปrมทส้ผวงหนตกหy็นา่หีร้ังรูผ้่งึาานกหรละกา้ยมCล“น้ัลอืมา็จงสใลสติoอ่มุยจดเหะ�ำทิาอาหnทเดยล(ปจธกว่งพส่ีsPับใจา็นงภิาuยอลrโะยรผoองซาังmมขสทบู้งาอ่พdัสีบาหไ่ีร่ิงeาuทนตัดถิโหมาrภวร้cจ่ารส่ีาีชท์ับคะย”eรูงีว่ีrกิต)ว่า ความสัมพันธข์ องสัตวป์ า่ ในระบบนเิ วศ ภาพที่ 4.2 แสดงความสัมพันธข์ องสัตว์ป่าในระบบนเิ วศ 98 ในธรรมชาติหว่ งโซ่อาหารจะไมเ่ ปน็ แบบศงา่าสยตรๆแ์ โลดะศยิลมปสี์ ากายรเจดัดียกาวรกทรนั ัพดยางั กกรลสตัา่ วว์ปแ่าใลนว้พแืน้ ทตคี่ จ่ ุม้ ะคมรอีหงลายห่วงโซ่อาหา รทีส่ ัมพนั ธซ์ ่ึงกนั และกนั ห่วงโซ่อาหารทม่ี ีมากกว่าหนงึ่ สายมาสมั พันธก์ นั หรือตอ่ กนั นเ้ี รยี กวา่

นกอัญชันคิ้วขาว (Porzana cinerea) 99 ศาสตรแ์ ละศลิ ป์ การจดั การทรัพยากรสัตวป์ า่ ในพื้นท่คี มุ้ ครอง