เครอื ขา่ ยสุจรติ ไทย ขอมอบเก ธันยาภรณ ไดส้ อบผา่ นหลักสูตร ผ่านระบบ E-Learning จาก 27 เมษาย
กียรตบิ ัตรนไ้ี ว้ให้ เพ่ือแสดงว่า ณ์ จุลศักดิ์ รสำหรับขา้ ราชการ ก www.thaihonesty.org ยน 2562 ดร.วิรยิ ะ ฤาชยั พาณชิ ย์ ประธานเครอื ขา่ ยสจุ รติ ไทย
นางสาวธนั ยา บทเรียน ออกให้ ณ วันที่ ๒๑ เดอื น พฤ
าภรณ์ จลุ ศกั ดิ์ นเบอื้ งต้น ฤษภาคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๒
นางสาวธนั ยา การให้การปรกึ ษาวัยร่นุ กร ออกให้ ณ วันท่ี ๒๒ เดือน พฤ
าภรณ์ จลุ ศกั ดิ์ รณีความรนุ แรง (35 นาที) ฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒
นางสาวธนั ยา การใหก้ ารปรึกษาวัยรุน่ กรณยี า ออกให้ ณ วันท่ี ๒๒ เดอื น พฤ
าภรณ์ จลุ ศกั ด์ิ าเสพติด (กรณศี ึกษา) (20 นาท)ี ฤษภาคม พุทธศกั ราช ๒๕๖๒
ธันยาภรณ หลักสูตรอบรมออนไลน์การจัดการเรยี นรู้วิทยา Coding Online for Grade ใหไ้ ว้ ณ วันที ๑๓ พ
ณ์ จุลศักดิ าการคํานวณสาํ หรับครูมธั ยมศกึ ษาปที ๑ - ๓ ๗-๙ Teacher (C๔T – ๘) พฤษภาคม ๒๕๖๓ course-v1:IPST+CS001+2020-1
ธนั ยาภรณ ให้ไว้ ณ วนั ท่ี ๑๘ กมุ ภาพ
ณ์ จุลศกั ดิ์ พันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๔ สทศ.สพฐ. รหสั ๖๒๑๒๑-๑o๑๓o / ๒๕๖๔
เลขท่ี 5104/28-05444 สํานักงานเลขาธิการคุรุสภา มอบเกียรติบตั รน้ีเพ่ือแสดงว่า นางสาว ธันยาภรณ์ จุลศักดิ์ ได้ผา่ นการพฒั นาในหลักสูตร การพัฒนาสมรรถนะครูมอื อาชีพ ด้านการจัดการเรียนรู้ยคุ ใหม่ โดยใช้แหล่งเรียนรู้นอกช้ันเรียน และเทคโนโลยเี ปน็ ฐาน The Development Learning Competency for Thai Professional Teachers by Using Learning Resource and Information Communication Technology รหัสหลักสูตร 639181001 รุ่น 011 ระดับ พน้ื ฐาน (Basic level) จํานวน 12 ช่ัวโมง รอบที่ 1 ระหว่างวันที่ 16 มกราคม - 16 กุมภาพนั ธ์ 2564 ของสํานักพัฒนาและส่งเสริมวิชาชีพ สํานักงานเลขาธิการคุรุสภา รหัสหน่วยงาน 0994000000081 เนื่องในงานวันครู คร้ังที่ 65 พ.ศ. 2564 วันท่ี 16 มกราคม 2564 ให้ไว้ ณ วันที่ 20 เมษายน 2564 (นายดิศกุล เกษมสวัสดิ์) เลขาธิการคุรุสภา
นางสาว ธันยาภรณ์ จุลศักดิ์ 1200900123440 0911629962 สํานักพฒั นาและส่งเสริมวิชาชีพ สํานักงานเลขาธิการคุรุสภา [email protected] Apr 22 2021 1:29 PM
นางสาวธนั ยา โรงเรยี นวังจ 21/04/2021
No.45346/2564 าภรณ จลุ ศกั ดิ์ จันทรว ิทยา 09:03:52
Banana Activity This activity can help students improve their abilities to generate a testable research question and to conduct a scientific investigation in the context of teaching scientific concepts such as buoyancy and density. During this activity, students make predictions as to whether a banana will sink or float when it is put into an aquarium filled with water. A teacher demonstrates what really happens when bananas are placed into the aquarium. After observing the demonstration, students generate a question and investigate what they want to know. A discussion can focus on the consistency between data and a conclusion as asking students what data they have to support their answer. lt is also important to address how scientists can take the same data as evidence to support two incomparable explanations. Materials: Different kind of bananas, aquariums Video Clips: Floating orange 12 3 4 O q http://msed. iit.ed u/oroiectica n/ba na na. htm I Twirly Activity Twirly can be a great activity for introducing how to do a scientific investigation Students are given a twirly and drop it which is followed by careful observations about how a twirly works. With materials (e.g., different sizes of twirlies, paper clips, different kinds of paper, etc.), students are asked to generate a question to answer and to design and conduct an investigation. Ssitzuedsenotfstwmirigliehst \"c,o\"mdipffaerreen\"tthteypteimseoffopraapecro,',m,p,dleiffteerednrot pm', ass with \"different of a twirly\", and \"different types of wings on a twrily\". A discussion can deal with an understanding about inquiry that a scientific investigation begins with a question and skills for doing a scientific investigation, such as generating a sclentific question, controlling variables, repeating an investigation, and analyzing and presenting data. Materials: Twirlv template http://msed. iit.edu/proiectican/twirlv. html
Banonn rctivlty Possible Scenario l. Place an aquarium filled with water. 2. Ask students to predict what will happen when a banana is put into the aquarium. \"Is it going to sink or float?\" 3. Have students make their prediction and explain why. 4. Place the banana into the aquarium and ask studcnls to meke a careful observation. 5. Show students different banana and ask them to make a prediction what will happen if when you try different bananas in size and in fieshness. 6. Place the different bananas into the aquarium Bnd ask students to make a careful observation. 7. Ask students \"What's going to happen if I peel offthis banana? Is it going to sink or float?\" \"Do you think this banana will behave in the same way as before?\" 8. Place the banana into the aquarium and ask students to make a careful observation. 9. Ask students why or why not bananas behave differently. 10. Ask students to come up with a question to investigate and how they can test their explanation for bananas' different behaviors. I l. When sharing students' work, ask students ',What data do you have to support your conclusion?\" to discuss the consistency between data and a conclusion. It is also important to address the difference between data and evidence. Explain that data are the same as observations, but scientists can take observations as evidence in favor oftheir explanations. As a result, the same data can be taken as evidence for two incomparable explanations.
1. fracc lhc ?altcrn bclow on a piccc of papcn ?, Cui auf, Lhc ?attirn, cuttinq alonq all solid lint LIst of Materials Paper Scissors
การพฒั นาผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนดว้ ยสื่อประสม กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ สาหรบั นักเรยี นชั้นประถมศึกษาปที ่ี 3 THE DEVELOPMENT OF LEARNING ACHIEVEMENT USING MULTI-MEDIA IN SCIENCE LEARNING AREA FOR PRATHOMSUKSA 3 STUDENTS สุนันทา ยนิ ดีรมย์ บุญเรอื ง ศรเี หรญั และชาตรี เกิดธรรม Sunanta yindeerom, Boonrueng Sriharun, and Chatree Gerdtham หลกั สตู รครุศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน บณั ฑติ วิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถมั ภ์ จังหวัดปทุมธานี บทคัดย่อ การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาส่ือประสม กลุ่มสาระการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ 2) พัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนที่ไดร้ ับการสอนด้วยส่ือประสม ก่อนเรียน ระหว่างเรียน และหลังเรียนของนักเรียนหลังได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยส่ือ ประสมท่ีพัฒนาขนึ้ และ 3) เพื่อศกึ ษาเจตคติตอ่ วิชาวิทยาศาสตร์ของนกั เรยี นหลงั ได้รับการ จัดการเรียนรู้ด้วยสื่อประสมส่ือ กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการศึกษาคร้ังน้ี เป็นนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนลาดบัวหลวง (นิ่มนวลอุทิศ) อาเภอ ลาดบัวหลวง จังหวัด พระนครศรีอยุธยา ท่ีกาลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2556 จานวน 2 ห้องเรียน จานวนนักเรียน 60 คน ซึ่งได้มาโดยใช้วิธีการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster random sampling) และใช้การสุ่มอย่างง่ายเพื่อเลือกห้องหน่ึงเป็นห้องทดลอง อีกห้องหน่ึงเป็น ห้องควบคุม เรียนโดยใช้วิธีการสอนเมื่อใช้ส่ือประสม เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัยคร้ังนี้ ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ จานวน 4 แผนๆ ละ 2 ชั่วโมง 2) ส่ือประสม ประกอบด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน แบบฝึก และเกม จานวน 4 เรื่อง 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ชนิด 4 ตัวเลือก จานวน 30 ข้อ ท่ีมีความเช่ือม่ัน เท่ากับ 0.80 ค่าอานาจจาแนกระหว่าง 0.27 – 0.80 และค่าความยากระหว่าง 0.27 – 0.80 4) แบบวัดเจตคติต่อวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนที่สอนโดยใช้ส่ือประสมแบบมาตร ส่วนประเมินคา่ 5 ระดับ 5) แบบประเมินคุณภาพของสื่อประสม สถิติพรรณนาที่ใช้ในการ วิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าเฉล่ีย ค่าร้อยละ ค่าส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และสถิติที่ใช้ทดสอบ
66 วารสารบัณฑิตศึกษา มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถัมภ์ ปที ่ี 8 ฉบับท่ี 2 พฤษภาคม-สิงหาคม 2557 สมมุติฐานความแตกต่าง ค่าเฉลี่ยของคะแนนจากแบบทดสอบวัดผล สัมฤทธ์ิทางการเรียน โดยใช้ส่ือประสม ซ่ึงใช้การวิเคราะห์ความแปรปรวนสองทางแบบวัดซ้า (Repeated measure two ways ANOVA) ผลการศึกษาวิจัยพบว่า 1) ส่ือประสมที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพ 81.03/89.00 ซึง่ เป็นไปตามเกณฑท์ ่กี าหนด 2) ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นของนักเรียนท่เี รียนดว้ ยสอ่ื ประสม สงู กว่าผลสัมฤทธิท์ างการเรียนของนักเรียนที่ไม่ได้เรยี นด้วยส่ือประสมและมีพัฒนาการของ ผลสัมฤทธิ์เป็นไปในทางท่ีเพ่ิมข้ึนตามลาดับขั้นของการทดลอง 3) เจตคติต่อวิชา วิทยาศาสตร์ของนักเรียนที่สอนโดยใช้สื่อประสมหลังการเรียนด้วยสื่อประสมอยู่ในระดับ ดี มาก ABSTRACT This research aimed to 1) develop multi-media for Science learning area 2) develop learning achievement of students before, between and after learning by using multi-media and 3) study the attitude towards science of students by using multi-media. The samples used in this study were 2 classes of sixty students who were studying in Prathomsuksa 3 in the first semester, academic year 2013, at Latbualuang School ( Nimnuanutid) , Latbualuang district, Pranakornsriayutthaya Province. Simple random Sampling was used to divide students into an experimental group and a controlled group. Multi-media were used in the controlled group. The instruments used in this research were 1) 4 Science lesson plans, 2 periods for each plan, 2) the multi-media, consisted of 4 sets of computer aided instruction, exercises and games, 3) 30 item of 4 choices learning achievement test in Science with alpha coefficient equal to 0.80, discrimination value between 0.27 – 0.80 and difficulty value between 0.27 – 0.80, 4) the 5 rating scales attitude test in Science of students who learned by multi-media and 5) the quality evaluative form for multi-media. Statistics used in data analysis were mean, standard deviation and percentage. The statistics used in hypothesis test was repeated measure two ways ANOVA.
วารสารบัณฑิตศกึ ษา มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถัมภ์ 67 ปที ี่ 8 ฉบบั ท่ี 2 พฤษภาคม-สิงหาคม 2557 The results were found that 1 ) the efficiency of the inventive multimedia was 81.03/89.00, in accordance with criteria determined, 2) the learning achievement of students that learned by using the inventive multi- media was higher than learning achievement of students who did not learn by using the inventive multimedia. The development of learning achievement was increasing towards the rank of the experiment and 3) the attitude towards Science of students after learning using the inventive multimedia was at the highest level. คาสาคญั สือ่ ประสม ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน เจตคติตอ่ วชิ าวิทยาศาสตร์ ความสาคญั ของปัญหา พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และท่ีแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 มาตรา 23 (2) ระบุแนวทางในการจัดการศึกษาไว้ว่า การจัดการศึกษาควร เน้นการจัดการศึกษาในระบบ นอกระบบและตามอัธยาศัยโดยให้ความสาคัญของการบูร ณาการความรู้ คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้ ตามความเหมาะสมของระดับการศึกษา โดยเฉพาะความรู้และทักษะด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางการ พัฒนาเศรษฐกิจ นอกจากน้ีรัฐยังเห็นความจาเป็นในการส่งเสริมผู้เรยี นในการใช้เทคโนโลยี สารสนเทศและการส่ือสาร โดยในหมวด 9 มาตรา 66 กล่าวว่า ผู้เรียนมีสิทธิ์ได้รับการ พัฒนาขีดความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเพ่ือการศึกษาในโอกาสแรกท่ีทาได้ เพื่อให้มี ความรแู้ ละทักษะเพียงพอท่ีจะใชเ้ ทคโนโลยีเพื่อการศึกษาในการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง ได้อย่างต่อเน่ืองตลอดชีวิต สอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ท่ีมีจุดมุ่งหมายในการพัฒนาผู้เรียนทุกคนให้มีความรแู้ ละทักษะพ้ืนฐาน รวมท้ังเจตคติที่จาเป็นต่อการศึกษา การประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชีวิต โดย มุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญบนพ้ืนฐานความเชื่อว่าทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ ตามศักยภาพและมุ่งให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสาคัญคือ มีความสามารถในการสื่อสาร การ แกป้ ัญหา การใชท้ ักษะชวี ิตและการใช้เทคโนโลยี (หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาข้ันพน้ื ฐาน, 2551) ซ่ึงจะทาให้การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นไปตามเจตนารมณ์พระราชบัญญัติ การศึกษาแหง่ ชาติ พทุ ธศกั ราช 2542 และทแี่ กไ้ ขเพ่มิ เติม (ฉบบั ท่ี 2) พ.ศ. 2545
68 วารสารบณั ฑิตศกึ ษา มหาวิทยาลยั ราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถมั ภ์ ปีที่ 8 ฉบับที่ 2 พฤษภาคม-สงิ หาคม 2557 การนาสื่อประสมมาใช้ในกระบวนการเรียนการสอน เพื่อช่วยให้การเรียนการ สอนบรรลุวัตถุประสงค์ เนื่องจากสื่อเป็นตัวกลางท่ีช่วยให้สื่อสารระหว่างผู้สอนและผู้เรยี น ดาเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพทาให้ผู้เรียนเข้าใจความหมายของเน้ือหาบทเรียนได้ตรง กับผู้สอนต้องการ ซ่ึงจาเป็นจะต้องใช้สื่อหลาย ๆ อย่างมาช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้ใน รูปแบบของส่ือประสม สาหรับใช้ในการจัดการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบ เพ่ือให้บรรลุ วตั ถุประสงค์ของการเรียนการสอน ในการเรียนการสอนผสู้ อนมวี ัตถุประสงค์หลัก คือ การ ถ่ายทอดความรู้ใหผ้ ู้เรียนเกดิ การพัฒนาทางสติปัญญา ทกั ษะ เจตคติ เพื่อให้ผเู้ รียนสามารถ นาความรู้ไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ท้ังน้ีส่ือแต่ละชนิดมี คุณสมบัติเด่นและด้อยแตกต่างกัน การเลือกใช้ต้องพิจารณาถึงจุดมุ่งหมายของการสอน เป็นสาคัญ โดยครูผูส้ อนตอ้ งจัดเตรียมสอ่ื ประกอบการสอน เพื่อการนาเสนอให้เปน็ ไปอย่าง มีประสิทธิภาพมากท่ีสุด ดังน้ันในการสอนแต่ละคร้ังต้องจัดเตรียมส่ือหลาย ๆ อย่างเพ่ือ นามาประกอบในการสอนแตล่ ะคร้งั ในลกั ษณะทีเ่ รยี กวา่ “สื่อประสม” จากการศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้น ประถมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนลาดบัวหลวง(นิ่มนวลอุทิศ) ปีการศึกษา 2554 จากรายงาน การพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียน พบว่า ผลสัมฤทธิท์ างการเรียนในกลุ่มสาระการ เรียนรู้วิทยาศาสตร์ต่ากว่าเป้าหมายของโรงเรียน เม่ือศึกษาในรายสาระพบว่าสาระดารา ศาสตร์และอวกาศ หน่วยการเรียนรู้เรอ่ื งปรากฏการณข์ องโลกและดวงอาทติ ย์ มผี ลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนตา่ กว่าทุกสาระในกลุ่มสาระน้ี เน่ืองมาจากการจัดการเรียนการสอนของครูใช้ วธิ ีสอนแบบบรรยาย ใช้เพียงสื่อท่ีเป็นเอกสารใบความรู้ประกอบเท่าน้ัน ไม่มีการใช้ส่ือการ เรยี นการสอนด้านเทคโนโลยีใหม่ ๆ ทจี่ ะตอบสนองต่อความตอ้ งการของผเู้ รียน ในปัจจุบัน สื่อการสอนที่สามารถตอบสนองต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในสาระวิทยาศาสตร์ ได้คือส่ือประสม เพราะเป็นสื่อท่ีมีความสมบูรณ์ ในตัวท้ังด้านเนื้อหา ภาพน่ิง ภาพเคล่ือนไหว และเสียง ส่งเสริมให้นักเรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเองตามศักยภาพ ช่วยให้ ผ้เู รียนเกิดการเรยี นรอู้ ย่างมีประสิทธภิ าพ จากเหตุผลดังท่ีกล่าวมาข้างต้น ผู้วิจัยในฐานะของครูผู้สอน กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ มีความสนใจท่ีจะพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วยสื่อประสม กลุ่มสาระ การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 3 เพ่ือให้การเรียนการสอน บรรลุตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตร ส่งผลดีต่อการพัฒนาการเรียนการสอนในสถานศึกษา ทาให้การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพย่ิงขึ้นและส่งผลให้มีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรยี นสงู ขึ้น
วารสารบณั ฑติ ศกึ ษา มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถมั ภ์ 69 ปีท่ี 8 ฉบบั ท่ี 2 พฤษภาคม-สงิ หาคม 2557 โจทย์วจิ ัย/ปัญหาวิจัย ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนที่ได้รับการจัดกิ จกรรมการ เรยี นรูด้ ้วยสอื่ ประสมก่อนเรยี น ระหวา่ งเรยี น และหลงั เรยี นแตกต่างกนั หรือไมอ่ ยา่ งไร วตั ถปุ ระสงค์การวจิ ัย 1. เพอ่ื พัฒนาสื่อประสม กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ ให้มปี ระสิทธิภาพ ตามเกณฑ์ 80/80 2. เพ่อื พฒั นาผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นก่อนเรยี น ระหวา่ งเรียน และหลงั เรยี น ของนักเรยี นหลังได้รบั การจดั การเรียนรู้ด้วยสื่อประสมทพี่ ัฒนาขน้ึ 3. เพื่อศึกษาเจตคติต่อวิชาวทิ ยาศาสตรข์ องนักเรียนหลงั ได้รับการจัดการเรียนรู้ ดว้ ยสอ่ื ประสม วิธีดาเนินการวิจยั ผู้วิจยั ดาเนินการเก็บรวบรวมขอ้ มูล โดยกาหนดขน้ั ตอนดงั น้ี 1. หาประสิทธิภาพของส่ือประสม กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ให้มี ประสทิ ธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 โดยนาสือ่ ประสมทพี่ ัฒนาขึน้ ไปดาเนินการใช้กับกลุม่ ขนาด เล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ และนาข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของสื่อ ประสม E1/ E2 ตามเกณฑ์ 80/80 2. ดาเนินการทดลองใช้สื่อประสมเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของ นักเรียนท่ีได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) 2 ห้องเรียน จานวน 60 คน ไดแ้ ก่โรงเรียนลาดบัวหลวง (นมิ่ นวลอุทิศ) 1 หอ้ งเรียน จานวน 30 คน ซ่ึงเป็นกลุ่ม ทดลอง และโรงเรียนรอซีดี อีก 1 ห้องเรียน จานวน 30 คน ซึ่งเป็นกลุ่มควบคุม สังกัด สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 2 เป็นเวลา 4 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 2 คาบ โดยทาการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนการทดลอง ระหว่างการทดลอง และหลังการทดลองด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน แบบ 4 ตัวเลือก จานวน 30 ข้อ ท่ีมีค่าความเช่ือมั่นเท่ากับ 0.805 ค่าความยาก ระหว่าง 0.27 – 0.80 และมีคา่ อานาจจาแนก ระหวา่ ง 0.27 – 0.80 และนาข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ดว้ ยสถิติ พรรณนา ได้แก่ คา่ เฉล่ีย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่ารอ้ ยละ สถิตทิ ่ีใช้ในการทดสอบ สมมุติฐานความแตกต่างค่าเฉลี่ยของคะแนนจากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
70 วารสารบณั ฑติ ศกึ ษา มหาวิทยาลยั ราชภฏั วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถัมภ์ ปีท่ี 8 ฉบับท่ี 2 พฤษภาคม-สิงหาคม 2557 โดยใช้ส่ือประสม ซ่ึงใช้การวิเคราะห์ความแปรปรวนสองทางแบบวัดซ้า (Repeated Measure two ways ANOVA) 3. หลงั จากทดลองใชส้ ื่อประสมเสรจ็ เรียบร้อยแล้วผูว้ ิจยั ได้ทาการวดั เจตคติต่อ วิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนที่เรียนด้วยสื่อประสมโดยใช้สถิติพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และ ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานวิเคราะห์ข้อมูลเพ่ือศึกษาเจตคติต่อวิชาวิทยาศาสตร์ท่ีได้รับการ จัดการเรียนรู้ด้วยส่ือประสม โดยการคานวณค่าเฉลี่ย และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน การ วิเคราะห์เจตคติของนกั เรยี นหลังการจดั การเรียนร้ดู ้วยสอ่ื ประสม กาหนดระดับเจตคติไว้ 5 ระดบั ตามวธิ ีของลิเคริ ์ท (Likert) เปน็ แบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ดังน้ี ระดับ 5 คะแนน หมายถึง เห็นดว้ ยอยา่ งยิง่ ระดับ 4 คะแนน หมายถงึ เหน็ ด้วย ระดบั 3 คะแนน หมายถงึ ไมแ่ นใ่ จ ระดบั 2 คะแนน หมายถึง ไมเ่ หน็ ด้วย ระดบั 1 คะแนน หมายถึง ไม่เห็นดว้ ยอยา่ งยิ่ง การสรปุ ผลเจตคติของนักเรยี น แบ่งเป็น 5 ระดบั ดงั นี้ ระดบั ดีมาก มีคา่ เฉลย่ี 4.50 – 5.00 ระดบั ดี มีค่าเฉล่ีย 3.50 – 4.49 ระดับปานกลาง มคี า่ เฉลี่ย 2.50 – 3.49 ระดับน้อย มีคา่ เฉลี่ย 1.50 – 2.49 ระดบั นอ้ ยทส่ี ุด มคี า่ เฉลย่ี 1.00 – 1.49 ผลการวิจัย 1. ส่อื ประสม กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ สาหรับนกั เรยี นชั้น ประถมศกึ ษาปีที่ 3 มีประสิทธภิ าพตามเกณฑ์ 80/80 คอื มีประสทิ ธิภาพเท่ากับ 81.03/89.00 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียน ระหว่างเรียน และหลังเรียนของนักเรียน มคี วามแตกตา่ งอย่างมีนยั สาคัญทางสถติ ทิ ่ีระดับ .05 3. นักเรียนมีเจตคติต่อวชิ าวทิ ยาศาสตร์หลงั เรียนด้วยส่ือประสม อยู่ในระดบั ดี มาก โดยมคี ่าเฉลยี่ 4.90 คะแนน
วารสารบัณฑติ ศึกษา มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ 71 ปที ่ี 8 ฉบบั ท่ี 2 พฤษภาคม-สงิ หาคม 2557 อภิปรายผล จากผลการวจิ ัยเร่ือง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นด้วยส่ือประสม กลุ่มสาระ การเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 นาไปสู่การอภิปรายผลการ ทดลองได้ดงั นี้ 1. ประสิทธภิ าพของส่ือประสม การดาเนินการทดลองเพ่ือหาประสิทธิภาพของสื่อประสม เร่ือง ปรากฏการณข์ องโลกและดวงอาทิตย์ กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ สาหรบั นกั เรยี นชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 ผู้วิจัยได้ดาเนินการทดลองการพัฒนาสื่อประสมโดยแบ่งการทดลอง ออกเป็น 3 ครง้ั การทดลองคร้ังท่ี 1 ทดลองกับนักเรียนจานวน 3 คน ผ้วู ิจัยไดน้ าสอ่ื ประสม ไปดาเนินการทดลองกับกลุ่มตัวอย่างจานวน 3 คน ที่เรียนเก่ง ปานกลาง และอ่อน ให้ นักเรียนเรียนเนื้อหาเร่ืองท่ี 1 ในขณะที่นักเรียนเรียนอยู่นั้น ผู้วิจัยจะสังเกตพฤติกรรมของ นักเรียนว่าสงสัยหรือไม่เข้าใจอย่างไร เม่ือจบเรื่องที่ 1 ให้นักเรียนทาแบบฝึกหัดหลังเรียน เร่ืองท่ี 1 ด้วยควบคู่กัน ทาเช่นเดียวกันน้ีจนครบทั้ง 4 เรื่อง หลังจากเรียนจบท้ัง 4 เรื่อง ผู้วิจัยสัมภาษณ์ความคิดเห็นเกี่ยวกับคุณภาพของส่ือปะสม และรวบรวมบันทึกไว้เพื่อเป็น แนวทางในการปรับปรุงแก้ไข การทดลองคร้ังท่ี 2 ทดลองกับนักเรียนจานวน 9 คน ผู้วิจัย ได้นาส่ือประสมไปดาเนินการทดลองกับกลุ่มตัวอย่างจานวน 9 คน ที่เรียนเก่ง ปานกลาง และอ่อน ให้นักเรียนเรียนเน้ือหาเรื่องที่ 1 ในขณะท่ีนักเรียนเรียนอยู่นั้น ผู้วิจัยจะสังเกต พฤติกรรมของนักเรียนว่าสงสัยหรือไม่เข้าใจอย่างไร เมื่อจบเร่ืองที่ 1 ให้นักเรียนทา แบบฝึกหัดหลังเรียนเรื่องท่ี 1 ด้วยควบคู่กันและให้นักเรียนทาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนเร่ืองท่ี 1 ทันที ทาเช่นเดียวกันน้ีจนครบท้ัง 4 เรื่อง จากน้ันนาคะแนน แ บ บ ฝึ ก หั ด แ ล ะ แ บ บ ท ด ส อ บ วั ด ผ ล สั ม ฤ ท ธิ์ ห ลั ง เรี ย น ไป วิ เค ร า ะ ห์ เพ่ื อ ห า แ น ว โ น้ ม ประสิทธิภาพของส่ือประสม การทดลองคร้ังท่ี 3 ผู้วิจัยได้นาสื่อประสมไปดาเนินการ ทดลองกับกลุ่มตัวอย่างจานวน 30 คน ที่เรียนเก่ง ปานกลาง และอ่อน ให้นักเรียนเรียน เน้ือหาเรื่องท่ี 1 ในขณะที่นักเรียนเรียนอยู่น้ัน ผู้วิจัยจะสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนว่า สงสัยหรือไม่เข้าใจอย่างไร เมื่อจบเร่ืองท่ี 1 ให้นักเรียนทาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนเรื่องที่ 1 ทันที ทาเช่นเดียวกันนี้จนครบทั้ง 4 เรื่อง เม่ือนักเรียนเรียนครบท้ัง 4 เร่ืองแล้ว จึงทาการวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียน จากน้ันนาคะแนนผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนระหว่างเรียนและหลังเรียนไปวิเคราะห์เพ่ือหาประสิทธิภาพของส่ือประสม กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 3 ที่ผู้วจิ ัยสร้างข้ึนมี ประสิทธิภาพ 81.03/89.00 ซึ่งสูงกว่าเกณ ฑ์ 80/80 ส่ือประสมที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น
72 วารสารบัณฑิตศกึ ษา มหาวิทยาลยั ราชภฏั วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถมั ภ์ ปที ี่ 8 ฉบับท่ี 2 พฤษภาคม-สิงหาคม 2557 ประกอบด้วย คอมพิวเตอรช์ ่วยสอน แบบฝึก และเกม ส่ือแต่ละชนิดมีจุดเด่นท่ชี ่วยเสริมให้ นักเรยี นเกิดความสนใจ และชว่ ยเพ่มิ ความเขา้ ใจดงั นี้ 1.1 คอมพิวเตอร์ช่วยสอน เป็นสื่อการสอนที่ผู้วิจัยสร้างข้ึนซ่ึงได้ผ่าน ขั้นตอนในการจัดทาอย่างมีระบบ มีแบบแผนเพ่ือพัฒนาบทเรียนให้เหมาะสมกับวัยและ ความสามารถของผู้เรียน ใช้หลักการของส่ือมัลติมีเดียทาให้บทเรียนมีทั้งตัวอักษร ภาพ แสง สี เสียงและภาพเคล่ือนไหว มีเนื้อหาถูกต้องครบถ้วนตามสาระและมาตรฐานการ เรียนรู้ของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้ผ่านการตรวจสอบแก้ไขข้อบกพร่อง ตามข้อเสนอแนะของอาจารย์ท่ีปรึกษางานวิจัย รวมทั้งผ่านการตรวจสอบประเมินความ ถกู ต้องจากผู้เช่ียวชาญ เพื่อนามาปรับปรงุ แก้ไขให้มีความถูกต้องสมบรู ณ์ก่อนนาไปทดลอง สอนจริงถือได้ว่าคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่สร้างข้ึนมีคุณภาพสามารถนาไปใช้เป็นสื่อในการ เรียนการสอนจริงได้ในโรงเรียนซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของเนรมิต สุดชนะ (2551) ได้ทา การวิจัยเรื่องการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง ระบบสุริยะ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ผลการวิจัยพบว่า ประสิทธิภาพของบทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอนท่ีพัฒนาขึ้นมีค่าเท่ากับ 75.67/77.97 ตามสมมติฐานการวิจัยท่ี กาหนดไว้ งานวิจัยของมาลัย ดิลกชัย (2553) ได้ทาการวิจัยเก่ียวกับการพัฒนาบทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอนทักษะการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษ สาหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนสองคอนวิทยาคม จานวน 40 คน ผลการวิจัยพบว่า บทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอนมีประสิทธิภาพเท่ากับ 83.80/86.43 โดยแต่ละหน่วยมีประสิทธิภาพ เท่ากับ 83.50/80.00, 81.80/81.30 และ 86.00/80.30 งานวิจัยของพิกุล ปักษ์สังคะเนย์ (2553) ได้ทาการวิจัยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง ชีวิตพืชและสัตว์ กลุ่มสาระการ เรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 2 ผลการวิจัยพบว่า บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วย สอน เรื่องชีวิตพืชและสัตว์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 มี ประสิทธิภาพ 82.12/81.54 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ท่ีตั้งไว้ 80/80 และยังสอดคล้องกับงานวิจัย ของ เกศกนก วงษ์นอก (2554) ไดท้ าการวจิ ัยบทเรียนคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน กลุ่มสาระการ เรียนรู้วิทยาศาสตร์ ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 ผลการวิจัยพบว่า 1) ประสิทธิภาพบทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน ได้พัฒ นาข้ึนมีประสิทธิภาพดีพอใช้ (86.67/85.83) ซึ่งมี ประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ที่ต้ังไว้ (80/80) 2) คุณภาพของบทเรียนท่ีผู้ศึกษาได้พัฒนาขึ้น อยู่ในระดับเหมาะสมมาก ( X = 4.49 S.D = 0.50) 3) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน หลังเรียนแตกต่างจากก่อนเรียน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.5 และ 4) ดัชนี ประสทิ ธผิ ลการเรียนรมู้ คี า่ เทา่ กับ 0.6936 คิดเป็นร้อยละ 69.36
วารสารบัณฑติ ศึกษา มหาวิทยาลยั ราชภฏั วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถัมภ์ 73 ปที ี่ 8 ฉบบั ท่ี 2 พฤษภาคม-สิงหาคม 2557 1.2 แบบฝึก เป็นสื่อการสอนท่ีผู้วิจัยสร้างขึ้นเพื่อใช้ฝึกทักษะให้กบั ผู้เรียน หลังเรียนจบเน้ือหาในช่วงหน่ึง ๆ เพ่ือฝึกฝนให้เกิดความรู้ความเข้าใจ รวมทั้งเกิดความ ชานาญในเร่ืองน้ัน ๆ แบบฝึกท่ีผู้วิจัยสร้างข้ึนได้ผ่านข้ันตอนการสร้างอย่างมีขั้นตอนโดย ได้รับการตรวจสอบแก้ไขข้อบกพร่องตามข้อเสนอแนะของอาจารย์ที่ปรึกษา รวมท้ังผ่าน การตรวจสอบประเมินความถูกต้องจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อนามาปรับปรุงแก้ไขให้มีความ ถูกต้องสมบูรณ์ก่อนที่จะนาไปทดลองสอนจริงถือได้ว่าแบบฝึกท่ีผู้วิจัยสร้างข้ึนมีคุณภาพ และสามารถนาไปใช้เป็นส่ือในการเรยี นการสอนจริงได้ในโรงเรยี นซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัย ของ จุไรรัตน์ จรรยา (2555) ได้ทาการวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาแบบฝึกทักษะการเขียน สะกดคาภาษาไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอุดมวิทยา จังหวัดปทุมธานี จานวน 40 คน ผลการวิจัยพบว่า แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคาภาษาไทย ของนักเรียน ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนอุดมวิทยา จังหวัดปทุมธานี มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่ กาหนด 80/80 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 81.72/80.94 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูง กวา่ ก่อนเรียนอย่างมนี ัยสาคัญทางสถติ ิทร่ี ะดับ .01 1.3 เกม เป็นส่ือการสอนที่ผู้สอนใช้ในการช่วยให้ผู้เรียนเกิดการ เรียนรู้ตามจุดประสงค์ที่กาหนด โดยมีกฎ กติกาในการเล่น เป็นสิ่งที่ช่วยให้ผู้เรียนได้ เรียนรู้เร่ืองต่าง ๆ อย่างสนุกสนาน ทาให้ผู้เรียนเกิดประสบการณ์ตรง เสริมสร้างลักษณะ การเป็นผู้นาและผูต้ ามท่ีดีและเกดิ ความสามัคคี เกมเป็นกิจกรรมท่ีนามาใช้ในการเรียนการ สอน เป็นกิจกรรมผ่อนคลายความตงึ เครียด มีกฎกติกาในการเล่นเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ ทา ให้เกิดแรงจูงใจในการเรียน เพราะตอ้ งการท่ีจะชนะหรือใหถ้ ึงจุดประสงค์ และทาใหผ้ ู้เรียน เกิดความรู้สกึ เป็นสมาชิกของกล่มุ ส่งผลใหเ้ กดิ การเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพซ่ึงสอดคล้อง กบั งานวจิ ัยของ ละมูล วนั ทา (2555) ไดท้ าการวิจยั เร่ืองการพัฒนาผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน วิชาคณิตศาสตร์ เรื่องอัตราส่วนและร้อยละ ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้เกม ประกอบการสอน ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนท่ีเรียนโดยใช้กิจกรรมการแข่งขันเป็นทีมมี ทักษะการคิดคานวณ หลงั เรียนสงู กว่าก่อนเรยี น 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของกลุ่มทดลองสูงกว่ากลุ่มควบคุมท่ีระดับนัยสาคัญ ทางสถติ ทิ .ี่ 05 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คะแนนหรือผลการเรียนรู้วิชา วิทยาศาสตร์ของนักเรียนท้ังในด้านความรู้ ความจา ความเข้าใจและรวมทั้งทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และนาไปใช้ ซ่ึงต้องอาศัยการวัด โดยการใช้แบบทดสอบ วดั ผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นวิชาวิทยาศาสตร์ ในการวิจัยในครั้งนี้ผูว้ ิจยั วัดผลสัมฤทธ์ิทางการ
74 วารสารบณั ฑติ ศกึ ษา มหาวิทยาลยั ราชภฏั วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถมั ภ์ ปที ่ี 8 ฉบบั ท่ี 2 พฤษภาคม-สิงหาคม 2557 เรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ท่ีได้รับการสอนโดยการใช้ส่ือประสม โดยวัดจาก แบบทดสอบผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นเป็นแบบปรนัย 4 ตัวเลือก จานวน 30 ข้อ ผู้วิจยั จะนา สื่อประสมมาใช้กับนักเรียนโดยให้อาจารย์ที่ปรึกษาและผู้ทรงคุณวุฒิ ตรวจสอบเน้ือหา รูปแบบขั้นต้นก่อนทดลองใช้อีกท้ังได้ทาการทดลองใช้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จานวน 3 คน และ 9 คน แล้วนาไปปรับแก้ไขให้สมบูรณ์ ก่อนทาการทดลองใช้กบั กลุ่มจริง ในชั้นเรียน ทาให้นักเรียนสามารถเรียนรู้เนื้อหาและฝึกทักษะได้ ซ่ึงสอดคล้องกับงานวิจัย ของ ศยามล ฐิตะยารักษ์ (2554) ได้ทาการวิจัยการพัฒนาชุดส่ือประสม เรื่องคาคล้องจอง สาหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 3 อาเภอเมืองปทุมธานี สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษา ปทุมธานี เขต 1 ผลการวิจัยพบวา่ ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนหลังเรียนของผู้เรยี นมีค่าสูงกว่า ก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 จากผลการวิจัยผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ของนักเรียนท่ีไดร้ ับการพัฒนาโดยใช้ส่ือประสมท่ีผู้วจิ ัยพัฒนาขน้ึ มีลักษณะสูงข้ึนตลอดการ ทดลองและคะแนนเฉล่ียของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตั้งแต่ก่อนเรียน ระหว่างเรียน และ หลังเรียนของนักเรียนมีความแตกต่างอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซ่ึงเป็นไปตาม สมมติฐานท่ีต้ังไว้ ทั้งนี้เนื่องจากการเรียนด้วยส่ือประสมเป็นการจัดการเรียนการสอนที่นา สื่อหลาย ๆ ชนิดมาใช้ร่วมกัน ทาให้เกิดการส่งเสริมและเพิ่มพูนความรู้ซึ่งกันและกัน ดังคา กล่าวของ กิดานันท์ มลิทอง (2548) ได้ให้ความหมายของส่ือประสมแบบด้ังเดิมไว้ว่า ส่ือ ประสมแบบดั้งเดิม หมายถึง การนาสื่อหลายประเภทมาใช้ร่วมกันทั้งวัสดุ อุปกรณ์ และ วิธีการ เพ่ือให้เกิดประสทิ ธิภาพและประสิทธิผลสูงสุดในการเรียนการสอน โดยใชส้ ่ือแต่ละ อย่างตามลาดับข้ันตอนของการนาเสนอเนื้อหา หลังจากที่นักเรียนเรียนด้วยส่ือประสมจบ ในแต่ละเรือ่ งแลว้ นักเรยี นทาแบบทดสอบระหว่างเรียน และหลังเรียน ทาใหน้ ักเรียนได้รับ ความรู้อย่างเต็มท่ี ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ ฮัซลินดา อัลมะอาริฟีย์ (2551) ได้ทาการ วิจัยเร่ืองผลสัมฤทธิ์ในการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์และเจตคติต่อวิชาวิทยาศาสตร์ของ นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยวัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้ประกอบการเขียน แผนผังมโนมติ ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียน หลังได้รบั การจัดการเรยี นรดู้ ้วยวฏั จกั รการสืบเสาะหาความรปู้ ระกอบการเขียนแผนผงั มโน มติสงู กว่าก่อนได้รับการจัดการเรยี นรู้ อย่างมีนยั สาคัญทางสถติ ิท่รี ะดับ .01 และสอดคล้อง กับงานวจิ ัยของ ธิตมิ า อุปศรี (2553) ได้ทาการวจิ ัยเร่ืองการพฒั นาผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น วิชาวทิ ยาศาสตร์ หน่วยสารและสมบัติของสาร ของนักเรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียน บ้านแดงใหญ่ (ราษฎร์คุรุวิทยาคาร) ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หลังพัฒนาสูงข้ึนกว่าก่อนพัฒนาอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และนักเรียนมี
วารสารบณั ฑติ ศกึ ษา มหาวิทยาลยั ราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ 75 ปีที่ 8 ฉบบั ที่ 2 พฤษภาคม-สงิ หาคม 2557 ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนสงู กวา่ เกณฑท์ ่ีกาหนด รอ้ ยละ 70 อยา่ งมนี ัยสาคญั ทางสถติ ิทรี่ ะดับ .05 จากผลการวิจัยท่ีกล่าวมาแล้วนั้น สรุปได้ว่าการสอนโดยใช้สื่อประสมทาให้ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรยี นของนกั เรียนมีพัฒนาการท่ีสูงขน้ึ ตามระยะเวลาท่ีผา่ นไป 3. นกั เรยี นมเี จตคติทดี่ ีตอ่ วชิ าวทิ ยาศาสตร์หลังเรยี นดว้ ยสื่อประสม ในการจดั กิจกรรมการเรยี นการสอน เจตคติเป็นสง่ิ สาคัญ เพราะการเรียน การสอนไม่ได้เพียงมุ่งหวังแต่จะให้นักเรียนได้รับรูเ้ พียงอย่างเดียวเท่าน้ัน แต่จะต้องปลูกฝัง เจตคติท่ีดีให้กับนักเรียนด้วยเจตคติเป็นสภาพทางจิตใจด้านความรู้สึกที่มีต่อบุคคล สภาพการณ์ หรือสิ่งใดส่งิ หนึง่ โดยเกดิ จากประสบการณ์และการเรียนรู้ ซ่ึงแสดงออกมาให้ เห็นเป็นพฤติกรรมต่าง ๆ เช่น ลกั ษณะท่าทางความคิดเห็น ความรู้สึกท่ีตอบสนองต่อสิ่งใด สิ่งหน่ึงท้ังทางบวก (ด้านดี) และทางลบ (ด้านไม่ดี) เป็นลักษณะภายในจิตใจท่ีคนเราแสดง ตอ่ การกระทาหรือสิ่งต่าง ๆ การตระหนักคุณค่า หรือเป็นสภาพการณ์ หรือการกระทาของ แตล่ ะบุคคล ท่ีนิยมยดึ ม่นั ว่ามคี ุณค่าแกต่ นเองและสังคม อนั เป็นหลักหรือเกณฑ์สาหรบั การ น้อมนามาซึ่งการประพฤติปฏิบัติหรือเป็นแนวทางในการตัดสินใจ เลือกวิธีการดาเนินชีวิต เพื่อให้บรรลุถึงจุดหมายที่ต้ังไว้เน่ืองจากเจตคติต่อวิชาวิทยาศาสตร์เป็นส่ิงสาคัญในการ ดารงชีพเป็นนักวิทยาศาสตร์ นักเรยี นทเ่ี รียนวิทยาศาสตรค์ วรมีความรู้เกยี่ วกบั พลงั และแรง ขับท่ีทาให้นักวิทยาศาสตร์ใช้ในการทางาน การพัฒนาเจตคติต่อวิชาวิทยาศาสตร์ให้เกิด ขึ้นกับนักเรียน เนื่องจากในการเรียนวิทยาศาสตร์ นักเรียนจะต้องปฏิบัติกิจกรรมทาง วิทยาศาสตร์ที่คล้ายคลงึ กับการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ เพื่อจะได้เกิดความเข้าใจในงาน ทางวทิ ยาศาสตร์ และลอกเลียนแบบการทางานเยี่ยงนักวิทยาศาสตร์มาใช้ในการดารงชีวิต จริงด้วย ซ่ึงจะช่วยให้เกิดความเข้าใจธรรมชาติของวิทยาศาสตร์และงานท่ีนักวิทยาศาสตร์ ทาไว้แล้ว เจตคติต่อวิชาวิทยาศาสตร์ยังเป็นคุณลักษณะของบุคคลที่ทุกคนต้องมี ผู้วิจัย สร้างเคร่อื งมอื วดั เจตคติซึง่ ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ส่วนท่ีเปน็ ข้อความ ซง่ึ เรยี กวา่ ข้อความ วัดเจตคติ (statement attitude) และส่วนที่เป็นคาตอบ ซึ่งเป็นแบบมาตราส่วนประเมิน ค่า ซึ่งรวมเรียกว่า มาตราวัดเจตคติ (attitude scale) ผู้วิจัยได้สร้างแบบวัดเจตคติต่อวิชา วทิ ยาศาสตร์และให้นักเรยี นประเมนิ หลังจากเรียนด้วยสื่อประสมครบทุกเน้ือหาแล้วผลการ ประเมินพบว่านักเรียนมีเจตคติที่ดีต่อวิชาวิทยาศาสตร์หลังได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยสื่อ ประสม อยู่ในระดับดีมาก โดยมีค่าเฉล่ีย 4.90 คะแนน และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.24 คะแนน เพราะการเรียนด้วยส่ือประสมทาให้นักเรียนมีเจตคติท่ีดีต่อวิชาวิทยาศาสตร์มาก ขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ พจมาน วงษ์ทองแท้ (2547) ได้ทาการวิจัยการ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและเจตคติต่อวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้น
76 วารสารบณั ฑิตศกึ ษา มหาวิทยาลยั ราชภฏั วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถมั ภ์ ปีท่ี 8 ฉบบั ที่ 2 พฤษภาคม-สิงหาคม 2557 ประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเทพวิทยา จังหวัดราชบุรี ที่สอนโดยใช้วิธีสอนแบบมีส่วน ร่วมกับวิธีสอนแบบปกติ ผลการวิจัยพบว่า เจตคติของนักเรียนที่มีต่อวิชาวิทยาศาสตร์ท่ี ได้รับการสอนโดยวิธีสอนแบบมีส่วนร่วมสูงกว่านักเรียนท่ีได้รับการสอนแบบปกติอย่างมี นยั สาคญั ทางสถิตทิ ี่ระดับ .01 จากผลการวจิ ัยการเรียนด้วยส่อื ประสมทาให้ผู้เรียนมีเจตคติ ที่ดีต่อวิชาวิทยาศาสตร์ และสอดคล้องกับงานวิจัยของ ฮัซลินดา อัลมะอาริฟีย์ (2551) ได้ ทาการวิจัยเรือ่ งผลสมั ฤทธ์ิในการเรียนวชิ าวิทยาศาสตร์และเจตคติตอ่ วิชาวิทยาศาสตร์ของ นักเรียนท่ีได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยวัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้ประกอบการเขียน แผนผังมโนมติ ผลการวิจัยพบว่าเจตคติต่อวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนหลังได้รับการ จัดการเรียนรู้ด้วยวัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้ประกอบการเขียนแผนผังมโนมติสูงกว่า นักเรียนท่ีได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยวัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้ อย่างมีนัยสาคัญทาง สถิติท่ีระดับ .01 จากผลการวิจัยการเรียนด้วยส่ือประสมทาให้ผู้เรียนมีเจตคติที่ดีต่อวิชา วทิ ยาศาสตร์ ขอ้ เสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะเพือ่ การวจิ ยั 1.1 สถานศึกษาควรมีการส่งเสริมพัฒนาครูผู้สอนให้มีการใช้ส่ือประสมใน โรงเรียนใหม้ ากข้ึน เพราะครูผู้สอนบางคนยังยึดการสอนแบบเดมิ ๆ อาจทาให้นักเรียนเกิด ความเบื่อหน่ายและมผี ลต่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน 1.2 ควรสร้างสื่อประสม สาหรับกลุ่มสาระการเรียนรู้อ่ืน ๆ เพ่ือเร้า ความสนใจแก่นักเรียนในการนาไปใช้ประกอบการจัดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพซ่ึง จะสอดคล้องกบั การพฒั นาผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นในรายวชิ านั้น ๆ อย่างแท้จริง 1.3 ควรมีการสารวจความต้องการของนักเรียนเก่ียวกับการเลือกสื่อ ประสม และให้นักเรียนมสี ่วนรว่ มในการดาเนินการ 2. ขอ้ เสนอแนะในการเรียนการสอน 2.1 ควรมีการศึกษาเก่ียวกบั ความพรอ้ มของผู้เรียนกบั การใช้สื่อประสม 2.2 ครคู วรลดบทบาทจากการเปน็ ผู้สอนมาเปน็ ผู้ให้คาปรึกษา หรือ คาแนะนา ควรมีการกระตุ้นและใหก้ าลังใจผเู้ รียนในการทากจิ กรรมต่าง ๆ เพ่ือให้เด็กเกิด เจตคติต่อวิชาน้ัน ๆ 2.3 ควรมกี ารส่งเสริมให้นักเรียนไดท้ าการอภิปรายและสรุปเนื้อหาใน บทเรยี นอยา่ งสมา่ เสมอ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157