กล่องความร้ทู ี่ 1 (ต่อ) การใช้น้ำ�มันของไทยมีความยืดหยนุ่ ตอ่ ราคาหรือไม่ ? ในช่วงท่ีราคานำ้�มันในตลาดโลกเพ่ิมข้ึนมาก ซึ่งถ้าราคานำ้�มันในประเทศปรับสูงข้ึนตาม ก็อาจ ส่งผลกระทบต่อประชาชนผู้ใช้น้ำ�มันและภาคธุรกิจ รัฐบาลจึงเข้ามาช่วยตรึงราคานำ้�มันดีเซล เพื่อช่วยลดค่าขนส่งและชะลอการปรับข้ึนของราคาสินค้าอื่น รวมทั้งอาจเป็นเจตนาดีท่ีอยากให้ ผบู้ รโิ ภคและผผู้ ลิตมเี วลาปรบั ตัว แต่ดว้ ยราคาที่ถูกเกินจรงิ นน้ั กลับท�ำ ใหพ้ ฤติกรรมการใชน้ ำ�้ มนั ของประชาชนบดิ เบอื น คอื แทนทค่ี นจะลดการใชน้ �้ำ มนั แตก่ ลายเปน็ ใชน้ �ำ้ มนั เพม่ิ ขน้ึ ในชว่ งทรี่ ฐั บาล ตรึงราคา เช่นเดียวกับช่วงต้ังแต่ปลายเดือนสิงหาคม 2554 ที่รัฐบาลงดเว้นการเก็บเงินเข้ากองทุนนำ้�มัน คนก็ใช้น้ำ�มันกันมากอย่างท่ีเราเห็นกันว่าวันที่ประกาศนโยบายน้ีออกมา มีรถรอต่อแถวเข้าป๊ัมเพ่ือเติมนำ้�มัน กนั แน่นขนัด และบางปมั๊ ติดป้ายวา่ น้ำ�มันเบนซนิ 91 หมดดว้ ยซ�ำ้ ไป ซ่งึ นโยบายเช่นนอ้ี าจท�ำ ให้กลไกตลาด ขาดประสทิ ธภิ าพในระยะยาวได้ เพราะเรารดู้ ีอยู่แลว้ วา่ รฐั บาลอาจไมส่ ามารถฝนื กลไกตลาดได้ตลอดไป เพราะการลดราคาน�้ำ มนั เชน่ น้มี ตี น้ ทุนทีต่ ้องเขา้ ไปอุดหนุน ชดเชย หากวนั ใดรฐั บาลไมส่ ามารถอดุ หนนุ ได้อกี ตอ่ ไป จำ�เปน็ ตอ้ งปล่อยใหร้ าคาลอยตัว เมอื่ นัน้ จะย่ิงทำ�ใหร้ าคาน้�ำ มันและราคา สินคา้ อื่น ๆ เพิ่มข้ึนอยา่ งรวดเร็ว จนเกดิ ผลเสียรุนแรงกว่าการที่รัฐบาลทยอยลดการอดุ หนนุ ลงเพอื่ ให้ผูใ้ ช้น้�ำ มนั ไดค้ อ่ ย ๆ ปรบั ตวั อย่างไรก็ดี ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว เช่น การผลิตรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงเศรษฐกิจแบ่งปัน (sharing economy) อยา่ งธรุ กิจ Grab หรือ Uber ก็น่าจะท�ำ ให้ปรมิ าณการใช้น�ำ้ มันลดลงในอนาคต จำ�ไว้ว่า นำ้�มันเป็นทรัพยากรท่ีใช้แล้วหมดไป เราทุกคนจึงควรตระหนักถึงความสำ�คัญของการนำ�ทรัพยากรนำ้�มันมาใช้ให้เกิด ประโยชน์สงู สดุ และร่วมกนั อนรุ ักษพ์ ลงั งานเพื่อจะไดม้ พี ลังงานไว้ใช้ในวันข้างหนา้ คำ�ถามชวนคิด...? การตรงึ ราคานำ้�มนั ไปเรอ่ื ย ๆ หรอื นโยบายลดราคาน้ำ�มันจะท�ำ ใหผ้ ู้ใชน้ ้�ำ มัน ประหยัดน�้ำ มันจริงหรอื ? นำ้�มนั เปน็ วตั ถดุ บิ ในการผลติ ซ่งึ เป็นต้นทนุ อยา่ งหน่งึ ของผู้ผลิต และเป็นเชอื้ เพลงิ สำ�หรบั การขับข่ีรถยนต์ เมอ่ื ราคานำ�้ มันแพงขน้ึ ทุกคนกต็ ้องมีการปรบั ตัวโดยใช้น�้ำ มันน้อยลง โดยไม่จำ�เป็นต้องรอให้รฐั บาลช่วยตรงึ ราคา/ลดราคา หรือจ่ายชดเชยราคานำ�้ มนั ทสี่ งู ขนึ้ ผผู้ ลิตและผบู้ รโิ ภคมคี วามสามารถในการปรบั ตวั ถา้ ให้เวลาและโอกาส และใหส้ ญั ญาณทีถ่ กู ต้อง ตรงกับความเป็นจรงิ ว่า ราคานำ้�มันยงั คงแพงตอ่ ไป เมอื่ นัน้ เราจะได้เห็นการปรบั ตัวของ ผู้ใช้น้ำ�มนั เกดิ ขึน้ อย่างไรกด็ ี หากมีกลุ่มทป่ี รบั ตวั ล�ำ บาก รฐั บาลอาจจะสร้างกลไกบางอยา่ ง เพอ่ื ชว่ ยเหลือเฉพาะกลุ่มนี้ก็ได้ 57เศรษฐศาสตร.์ ..เล่มเดียวอยู่
เสริมความรู้ จรงิ ๆ แล้ว แนวคดิ เร่ืองความยืดหยุ่นในทางเศรษฐศาสตร์ไม่ได้มแี คค่ วามยดื หยุ่นของอปุ สงคต์ ่อราคาของสนิ คา้ แตส่ ามารถคดิ หาความยืดหยุ่นอนื่ ๆ ไดด้ ว้ ย เชน่ ความยืดหยุ่นของอปุ สงคต์ ่อรายได้ และความยืดหยนุ่ ของอุปสงค์ ต่อราคาสินคา้ อนื่ ท่ีเกย่ี วข้อง เปน็ ต้น ตัวอยา่ งเชน่ เมือ่ รายไดเ้ พม่ิ ขน้ึ ทำ�ไมเราถงึ ซื้อสนิ ค้าบางอยา่ งเพม่ิ ขึ้นมาก ขณะทซี่ ้อื สินคา้ บางอยา่ งเพิ่มขึ้นเพียงนดิ เดยี ว หรืออาจจะซ้อื ลดลงดว้ ยซ�ำ้ กเ็ ป็นไปได้ เช่น บะหมี่กึ่งสำ�เร็จรูป ถา้ รายได้เพิม่ ขน้ึ ความต้องการซือ้ บะหมี่กึ่งสำ�เร็จรปู อาจจะ นอ้ ยลง ขณะที่รายไดเ้ พม่ิ ขนึ้ เราอาจจะอยากซือ้ เสื้อผ้ามากขนึ้ ที่เป็นแบบนก้ี เ็ พราะความตอ้ งการสินคา้ แตล่ ะอยา่ งของคนเรา มีความออ่ นไหวต่อรายไดท้ เ่ี ปลีย่ นแปลงไปไม่เท่ากัน หรอื มคี วามยดื หยนุ่ ของอุปสงค์ต่อรายได้แตกตา่ งกนั ความยดื หย่นุ ของอุปสงคต์ อ่ รายได้ = % การเปลีย่ นแปลงในปริมาณอปุ สงค์ % การเปล่ียนแปลงของรายได้ของผู้บริโภค ดงั นน้ั แนวคดิ ความยดื หยนุ่ ของอุปสงคต์ อ่ รายได้ ทำ�ใหเ้ ราทราบว่า รายได้ที่เปล่ียนแปลงไปจะท�ำ ให้ปรมิ าณการซื้อสนิ ค้า เปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน และทราบวา่ สินคา้ น้ันเป็นสนิ ค้าปกติ (normal goods) หรือเปน็ สินค้าดอ้ ยคณุ ภาพ (inferior goods) เพราะถา้ ความยดื หย่นุ มีคา่ เปน็ บวกแสดงว่า เมอื่ รายไดเ้ พิม่ ข้ึน จะมีความต้องการซ้อื สนิ คา้ มากขึน้ และเมือ่ รายไดล้ ดลง จะมคี วามตอ้ งการซ้ือสินค้านอ้ ยลง ซ่ึงเป็นลักษณะของสนิ คา้ ปกติ ในทางกลบั กัน ถา้ ความยืดหยุ่นมีคา่ เปน็ ลบ แสดงว่า เม่อื รายได้ลดลง จะมีความต้องการซือ้ สนิ ค้ามากข้ึน และเม่ือรายได้เพม่ิ ขึ้น จะมคี วามตอ้ งการซ้ือสินคา้ นอ้ ยลง ซ่ึงเปน็ ลักษณะของสินคา้ ด้อยคุณภาพ ตวั อย่างเช่น รถไฟชน้ั 3 เสือ้ ผา้ โหล บะหมกี่ งึ่ สำ�เรจ็ รปู เปน็ ตน้ ซ่ึงลักษณะของสินค้าปกติ และสินค้าดอ้ ยคณุ ภาพได้พูดถงึ ไปแลว้ ในหัวข้อ “การเปลย่ี นแปลงในอุปสงค”์ อกี ตัวอยา่ งหน่ึง ถ้าราคาหมูสูงขน้ึ ท�ำ ไมคนถึงกินไกม่ ากขนึ้ ที่เป็นแบบนก้ี เ็ พราะเรากนิ หมูหรอื ไก่แทนกันก็ได้ ความตอ้ งการ กินไก่ของเราจงึ มคี วามออ่ นไหวตอ่ ราคาหมูที่เปลี่ยนแปลงไป หรอื มีความยดื หยนุ่ ของอุปสงคต์ อ่ ราคาสินคา้ อื่นทีเ่ กีย่ วข้อง (ความยืดหยุ่นไขว)้ ความยดื หยุน่ ของอุปสงค์ตอ่ ราคาสินค้าอื่นท่เี กีย่ วข้อง = % การเปล่ียนแปลงในปริมาณอุปสงค์ % การเปลย่ี นแปลงของราคาของสนิ คา้ อน่ื ที่เกีย่ วขอ้ ง ดังนั้น แนวคิดความยืดหยุน่ ของอปุ สงคต์ ่อราคาสนิ คา้ อน่ื ท่ีเกยี่ วข้อง ทำ�ให้เราทราบว่า ราคาสินคา้ ชนิดหนึง่ ท่ีเปล่ียนแปลงไป จะทำ�ใหป้ ริมาณการซื้อสนิ คา้ อีกชนดิ ท่ีเกยี่ วขอ้ งเปล่ยี นแปลงไปแค่ไหน และทราบวา่ สินค้านั้นเปน็ สนิ ค้าทดแทนกนั (substitute goods) หรอื เปน็ สนิ ค้าทใ่ี ช้รว่ มกัน (complementary goods) โดยถ้าความยดื หยนุ่ มคี า่ เป็นบวก แสดงวา่ เมอื่ ราคาสนิ ค้า ก. เพ่มิ ขนึ้ ความต้องการซ้อื สินค้า ข. จะมีมากข้ึน และเม่อื ราคาสินคา้ ก. ลดลง ความตอ้ งการซือ้ สนิ ค้า ข. จะมนี ้อยลง นั่นแสดงว่า สินคา้ ข. สามารถทดแทนสนิ ค้า ก. ได้ ตัวอยา่ งเช่น เนื้อหมูกบั เนื้อไก่ แตใ่ นทางกลบั กัน ถา้ ความยดื หยุน่ มีคา่ เป็นลบ แสดงว่า เมอ่ื ราคาสินค้า ก. ลดลง ความต้องการซ้ือสินคา้ ข. จะมมี ากข้นึ และเมือ่ ราคา สนิ คา้ ก. เพิ่มข้นึ ความตอ้ งการซ้ือสนิ คา้ ข. จะมีนอ้ ยลง นั่นแสดงว่าสินค้า ข. จะเป็นสินคา้ ที่ใชร้ ่วมกับสนิ คา้ ก. ตัวอย่างเชน่ รถยนต์กับนำ�้ มัน ซง่ึ ได้พดู ถึงไปแลว้ ในหัวข้อ “การเปลยี่ นแปลงในอุปสงค”์ ทัง้ น้ี ขนาดของความยืดหยนุ่ ของอปุ สงคต์ อ่ ราคาสนิ คา้ อ่ืนท่เี กย่ี วข้อง (ความยดื หยนุ่ มีคา่ มากหรอื นอ้ ย) จะบอกใหเ้ ราทราบว่าสนิ คา้ นั้นสามารถ ทดแทนหรอื ใชร้ ว่ มกนั ไดด้ เี พยี งใด 58 เศรษฐศาสตร.์ ..เล่มเดียวอยู่
ความยืดหยนุ่ ของอปุ ทานตอ่ ราคา มาในฟากผผู้ ลติ กนั บา้ ง ความยดื หยนุ่ ของอปุ ทานตอ่ ราคา กห็ ลกั การคดิ เดียวกันกับความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคา แต่เป็นการเปรียบเทียบ การเปลี่ยนแปลงของปริมาณอุปทานกับการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าท่ีมี ความยืดหยุ่นของอปุ ทานต่อราคา = % การเปล่ยี นแปลงในปริมาณอปุ ทาน % การเปลยี่ นแปลงของราคา ความยืดหยุ่นของอุปทานต่อราคามาก หรือ elastic คือสินค้าท่ีมีการ เปลี่ยนแปลงของปริมาณอุปทานจะมากกว่าการเปล่ียนแปลงของราคา ตวั อยา่ งเชน่ เสอ้ื ผา้ ส�ำ เรจ็ รปู เพราะเมอื่ ราคาเพมิ่ ขนึ้ ผผู้ ลติ สามารถผลติ ออก มาขายได้เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ไม่มีปัญหาในเรื่องวัตถุดิบ ผู้ผลิตสามารถ หาวัตถุดิบมาใช้ได้ง่าย ไม่เหมือนกับน้ำ�มันท่ีการขยายการผลิตอาจ จะยากกวา่ อาจต้องมีการขอสัมปทาน มตี น้ ทุนการขดุ เจาะท่ีสูง ซงึ่ น�ำ้ มัน จะมีการเปล่ียนแปลงของปริมาณอปุ ทานน้อยกวา่ การเปลีย่ นแปลงของราคา หรือเปน็ สนิ คา้ ท่มี ีความยืดหยนุ่ ของอปุ ทานต่อราคานอ้ ย หรือ inelastic นอกจากต้นทุนการผลิตจะเป็นปัจจัยท่ีกำ�หนดค่าความยืดหยุ่นของ อปุ ทานตอ่ ราคาวา่ จะมากหรอื นอ้ ยแล้ว ยงั มปี จั จัยอืน่ ๆ อกี ไดแ้ ก่ (1) ระยะเวลา ซงึ่ ท�ำ ใหอ้ ปุ ทานในระยะยาวมคี า่ ความยดื หยนุ่ มากกวา่ ในระยะสั้น เพราะผู้ผลิตสามารถเปล่ียนแปลงจำ�นวนการผลิตได้เต็มที่ตาม การเปลย่ี นแปลงของราคา (2) ความคงทนของสินคา้ สนิ ค้าซึ่งเก็บไว้ได้ไม่นาน เชน่ ผักผลไม้ ที่เน่าเสียได้ง่าย จะมีค่าความยืดหยุ่นของอุปทานน้อยมากหรือแทบจะ ไม่มีความยืดหยุ่นเลย ลองนึกถึง ช่วงเย็น ๆ (ใกล้ค่ำ�) แม่ค้าจะรีบขาย เลหลงั ผลไม้ แม้ว่าราคาจะลดลงมาก ๆ แต่ปรมิ าณผลไมท้ ีเ่ อาออกมาขาย จะไมล่ ดลง เพราะแมค่ า้ กลวั ผลไมจ้ ะเนา่ เสยี กอ่ น ถงึ แมจ้ ะเกบ็ ไวก้ ไ็ มส่ ามารถ ขายได้ สูเ้ อามาลดราคายงั จะพอไดท้ ุนคืนบา้ ง 59เศรษฐศาสตร.์ ..เล่มเดียวอยู่
กจิ กรรมทดสอบความเข้าใจ ลองยกตวั อยา่ งสนิ คา้ ท่ีใช้ในชวี ติ ประจ�ำ วนั ทมี่ ลี กั ษณะ elastic หรอื มคี วามยดื หยนุ่ ของอปุ สงคต์ อ่ ราคามาก ขณะเดียวกันก็มคี วามยืดหยุ่นของอปุ ทานตอ่ ราคามากเชน่ เดยี วกันมาสัก 1 อย่าง กลอ่ งความร้ทู ี่ 2 ตลาดแรงงานและการกำ�หนดค่าจ้างขน้ั ต�ำ่ นอกจากอุปสงค์และอุปทานของสินค้าท่ีได้พูดถึงไปก่อนหน้านี้ กฎของอุปสงค์และอุปทานก็นำ�มาประยุกต์ใช้กับตลาดแรงงานได้ เช่นกัน โดยพิจารณาว่า จำ�นวนคนงานหรือจำ�นวนชั่วโมงทำ�งานเป็นสินค้าชนิดหนึ่งมีราคาเป็นค่าจ้าง เมื่อค่าจ้างเพิ่มสูงข้ึน นายจ้างจะมีความต้องการจ้างแรงงานลดลง แต่แรงงานจะมีความต้องการขายแรงงานหรือทำ�งานเพิ่มขึ้น ซึ่งกลไกราคาจะเป็น ตัวปรับให้ความต้องการจ้างแรงงานของนายจ้างเท่ากับความต้องการขายแรงงานพอดีกัน หรือได้จำ�นวนคนงานหรือจำ�นวนช่ัวโมง ท�ำ งานท่เี ปน็ ดลุ ยภาพ ณ ค่าจ้างท่ีสองฝ่ายตกลงร่วมกัน หรอื เรยี กวา่ “คา่ จา้ งดลุ ยภาพ” แตด่ ว้ ยความเปน็ หว่ งวา่ คา่ จา้ งดลุ ยภาพอาจอยใู่ นระดบั ต�่ำ เกนิ ไป เนอ่ื งจากแรงงานมอี �ำ นาจตอ่ รองนอ้ ยกวา่ นายจา้ ง ท�ำ ใหต้ อ้ งยอมรบั ค่าจา้ งที่ตำ�่ ซ่ึงอาจจะไม่เพยี งพอตอ่ การใช้จา่ ยเพอ่ื ดำ�รงชีพในชวี ติ ประจ�ำ วัน รฐั บาลจึงก�ำ หนดให้มคี ณะกรรมการชุดหน่งึ เขา้ มาดูแล เพ่ือให้เกิดความเหมาะสมในการกำ�หนดค่าจ้างเรียกว่า “คณะกรรมการค่าจ้าง” ท่ีประกอบด้วยตัวแทนของนายจ้าง ลูกจ้างและ ภาครัฐ โดยจะทำ�การกำ�หนด “ค่าจ้างขั้นต่ำ�” ซึ่งเป็นค่าจ้างตำ่�สุด ซึ่งนายจ้างจะต้องจ่ายแก่ลูกจ้างเป็นรายช่ัวโมง รายวันหรือ รายเดือนตามท่ีกฎหมายก�ำ หนด โดยพิจารณาจากปจั จัยต่าง ๆ เช่น ราคาสินคา้ ท่จี �ำ เป็นในการดำ�รงชพี ก�ำ ไรของนายจ้าง และ ภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ซง่ึ ที่ผา่ นมาจะมีการพจิ ารณาปรับคา่ จ้างขัน้ ต่�ำ เปน็ ประจำ�อยา่ งน้อยปลี ะ 1 ครัง้ แล้วการก�ำ หนดค่าจา้ งขน้ั ตำ่� จะสง่ ผลอย่างไรตอ่ ตลาดแรงงาน ? คาจาง อุปสงคใหม อุปทาน อุปสงค คา จา งข้ันตำ่ อปุ ทานสวนเกEนิ 1 E จำนวนแรงงาน 60 เศรษฐศาสตร.์ ..เลม่ เดยี วอยู่
กลอ่ งความรู้ท่ี 2 (ตอ่ ) ตลาดแรงงานและการก�ำ หนดคา่ จ้างขัน้ ต�ำ่ หากมีการกำ�หนดค่าจ้างข้ันต่ำ�ให้สูงกว่าค่าจ้างดุลยภาพในตลาด ก็จะมีแรงงานที่ต้องการทำ�งานมากขึ้น แต่นายจ้างจะต้องการ จ้างงานลดลงแสดงว่า มีคนท่ีต้องการทำ�งานแต่ไม่ถูกจ้างงานหรือคนว่างงาน น่ันคือ ทำ�ให้เกิดภาวะอุปทานของแรงงาน ส่วนเกินขน้ึ น่ันเอง แต่ในความเป็นจริงแล้ว การกำ�หนดค่าจ้างข้ันตำ่�ไม่จำ�เป็นต้องทำ�ให้เกิดการว่างงานมากข้ึนเสมอไป หากแรงงานมีการพัฒนา ความรู้ และทักษะฝีมือทำ�ให้ผลิตสินค้าได้มากข้ึน นายจ้างก็จะยอมจ่ายค่าจ้างมากข้ึนได้ ทำ�ให้อุปสงค์ของแรงงานเพิ่มสูงขึ้น หรือเส้นอุปสงค์เคลื่อนจากเดิมไปทางขวาเป็นเส้นใหม่ และตัดกับเส้นอุปทาน เกิดดุลยภาพใหม่ที่จุด E1 ซ่ึงแรงงานจะได้ค่าจ้าง เท่ากับค่าจา้ งข้ันต�่ำ ซึง่ สงู กวา่ คา่ จ้างดุลยภาพเดมิ ในตลาด และเกดิ การจา้ งงานมากขึน้ ไม่เกิดอปุ ทานแรงงานส่วนเกิน กลอ่ งความรู้ที่ 3 ทักษะแรงงานในโลกการทำ�งานยุคใหม…่ เราตอ้ งทำ�อย่างไรเพอื่ อย่รู อดในอนาคต ? จากที่เราเขา้ ใจแล้ววา่ อะไรท่เี ปน็ ตวั ก�ำ หนดค่าจ้างแรงงาน การพฒั นาทกั ษะฝีมือทำ�ใหเ้ กดิ อปุ สงคห์ รือความตอ้ งการแรงงานเพมิ่ ขน้ึ แล้วรู้หรือไม่ว่า ในโลกการทำ�งานยุคใหม่ท่ีเทคโนโลยีกำ�ลังจะเข้ามาเปลี่ยนโลก หรือท่ีเราได้ยินกันว่า “เทคโนโลยีดิสรัปช่ัน” แรงงานไทยหรือผทู้ ่จี ะเข้าสตู่ ลาดแรงงานต้องเตรียมพรอ้ มรบั มือกบั การเปลยี่ นแปลงขนานใหญน่ ีก้ นั อยา่ งไร อย่างทีร่ ู้กนั “โรบอต - เอไอ” หรือ เจ้าหุ่นยนต์ - ปัญญาประดษิ ฐ์ ทใ่ี ชร้ ะบบสมองกล ตัวอยา่ งเช่น ยานยนตข์ บั เคลอื่ นอตั โนมตั ิ หุ่นยนต์ท่ีช่วยดูแลผู้สูงอายุ นอกจากจะทำ�ให้เราใช้ชีวิตสะดวกสบายขึ้นแล้ว ยังมีแนวโน้มที่จะเข้ามาแย่งงานมนุษย์หรือมาทำ�งาน รว่ มกบั มนษุ ยม์ ากขนึ้ ขณะเดยี วกนั เราเหน็ เทรนดก์ ารเตบิ โตของ “Gig Economy” ซง่ึ คอื ระบบเศรษฐกจิ ทผี่ ทู้ �ำ งานรบั งานเปน็ ครง้ั ๆ มคี วามเปน็ อิสระและไม่ไดเ้ ปน็ ลกู จ้างประจ�ำ ของบรษิ ทั หรือทเ่ี รียกคนทำ�งานอาชีพอสิ ระนว้ี ่า “ฟรีแลนซ์ (freelance)” สว่ นใหญ่ เป็นคนรุ่นใหม่ทเ่ี ตบิ โตมาพรอ้ มกบั เทคโนโลยี แม้จะสามารถใช้โครงสร้างพืน้ ฐานอินเทอร์เน็ตท�ำ ใหท้ �ำ งานได้ทกุ ที่ ทกุ เวลา และเน้น “การใชช้ วี ติ ไปด้วยและท�ำ งานไปดว้ ย” แตแ่ รงงานกลุ่มนี้จะมีรายไดท้ ีไ่ มแ่ นน่ อน รวมถึงขาดสวัสดกิ ารและรายได้ในยามเจบ็ ปว่ ย ภาวะตลาดแรงงานไทยเอง ปัจจุบันก็มีแรงงานนอกระบบถึงกว่าคร่ึงหนึ่งของแรงงานท้ังหมด ซึ่งไม่ได้รับความคุ้มครองและไม่มี หลกั ประกนั ทางสงั คม ส่วนใหญม่ กี ารศกึ ษาและผลติ ภาพนอ้ ย หรือกค็ อื จำ�นวนผลผลิตที่แรงงาน 1 คนผลิตไดน้ อ้ ยและมรี ายไดต้ �ำ่ เมอื่ เทยี บกับแรงงานท่ีอยู่ในระบบ ยง่ิ ไปกวา่ นั้นเป็นทน่ี ่าตกใจว่า ในชว่ ง 20 ปที ผ่ี ่านมา ผลิตภาพแรงงานไทยแทบไม่เตบิ โต หรือ อยู่ในระดับใกล้เคียงเดิม มิหนำ�ซำ้� กำ�ลังแรงงานไทยก็ลดลงจากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซ่ึงศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ได้ประเมินว่า หากแรงงานยังไม่ปรับปรุงผลิตภาพให้ดีข้ึน เศรษฐกิจไทยอาจต้องใช้เวลา 30 ปีหรือมากกว่า ในการก้าวพน้ กบั ดักรายได้ปานกลางเพื่อกลายเป็นประเทศรายไดส้ ูง จึงเป็นความท้าทายต่อผู้ท่เี กี่ยวข้องทุกฝ่าย 61เศรษฐศาสตร์...เล่มเดยี วอยู่
กล่องความรูท้ ่ี 3 (ต่อ) ทกั ษะแรงงานในโลกการท�ำ งานยคุ ใหม่…เราตอ้ งทำ�อย่างไรเพ่อื อย่รู อดในอนาคต ? ในส่วนของแรงงานเอง กุญแจที่จะทำ�ให้แรงงานไทยเป็น “แรงงานแห่งอนาคต” พร้อมรับมือกับคล่ืนเทคโนโลยีดิสรัปช่ันได้ คือ การยกระดบั และพฒั นาทักษะแรงงาน (upskil & reskil) หรอื การพัฒนาทักษะท่ีมีอย่เู ดิมใหแ้ ขง็ แกรง่ มากขน้ึ นำ�มาปรับในบริบทใหม่ ทีเ่ กดิ ขน้ึ และการเพ่มิ ทักษะใหม่ๆ ทไี่ ม่เคยมีมากอ่ น ตวั อยา่ งเชน่ ทักษะดา้ นการทำ�งานร่วมกบั เครือ่ งจักรท่ีควบคุมด้วยโปรแกรม เอไอ ซ่ึงหลายองค์กรในสหรัฐฯ และประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศพยายามหาทางออกกับเรื่องน้ี มุ่งมั่นให้พนักงานต้องผ่าน การฝึกอบรม reskiling และ upskiling เพ่ือปิดชอ่ งว่างทกั ษะในปจั จุบัน และพัฒนาการศึกษาสำ�หรบั อนาคต เหน็ ได้ชดั ว่าการปรับ ทกั ษะมีความส�ำ คญั อย่างมากในยุคเทคโนโลยีดสิ รปั ช่นั นอกจากนี้ การเรียนรู้ตลอดชีวิต (lifelong learning) เป็นอีกส่ิงหนึ่งท่ีสำ�คัญ ไม่จำ�เป็นต้องเป็นการเรียนรู้เร่ืองใหม่ท้ังหมดก็ได้ แตเ่ ป็นการเอาความรเู้ ก่ามาตอ่ ยอด หรือจะเรยี นร้จู ากการท�ำ งานไปด้วย เปน็ การอยากเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง ไมต่ ้องมีใครมาเค่ียวเข็ญ และเช่ือว่าทุกอย่างพัฒนาได้ หรือการมี “growth mindset” รวมท้ังต้องปรับการเรียนรู้ของตัวเองให้เป็น “active learning” คือ ต้องคดิ ตาม พยายามทำ�ความเขา้ ใจ เชอื่ มตอ่ กับความรูเ้ ก่าทีม่ ีอยู่ ในสว่ นของภาครฐั และภาคเอกชน ตอ้ งมกี ารออกแบบหลกั สตู รทส่ี นองตอบความตอ้ งการของตลาดแรงงานทเี่ ปลย่ี นแปลงอยา่ งรวดเรว็ เหมือนในประเทศเยอรมนีและสิงคโปร์ และเช่ือมโยงกับระบบการศึกษาให้มากขึ้นโดยเฉพาะพัฒนาทักษะแรงงานท่ีเป็นท่ีต้องการ ในอนาคต เช่น ทกั ษะดา้ นการคิดวเิ คราะห์ (critical thinking) การคิดเชิงนวตั กรรม (innovative thinking) ทักษะความคิดเชงิ ริเรมิ่ สร้างสรรค์ (creative thinking) และภาษาต่างประเทศ นอกจากนี้ ต้องเน้นผ้เู รยี นเป็นศูนย์กลาง และเรยี นรู้พัฒนาทกั ษะต่างๆ ผ่านการทำ�โครงงาน (project-based) เน้นความคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหา ซ่ึงจะเป็นความท้าทายของระบบการศึกษาไทย อยา่ งมาก ตรงกับค�ำ กลา่ วทวี่ า่ “We can’t educate today’s students for tomorrow’s world with yesterday’s schools” วารู…ไหม? จริง ๆ แล้ว นวัตกรรมไมจ่ �ำ เป็นต้องเป็นการประดษิ ฐส์ งิ่ ของชนดิ ใหมเ่ สมอไป อาจเป็นการพัฒนาผลติ ภณั ฑ์ กระบวนการ รูปแบบองค์กร หรือการตลาดก็ได้ ทง้ั นี้ กเ็ พอื่ สร้างมลู ค่าเพิม่ ให้สนิ คา้ หรือลดค่าใช้จา่ ยในการผลิต เพ่ิมประสิทธิภาพหรือเพ่ิมอ�ำ นาจตอ่ รองในการกำ�หนด ราคาสินคา้ ให้สงู ขน้ึ ซึง่ นวัตกรรมนี่แหละ...จะเป็นแรงขับเคล่ือนสำ�คัญทจ่ี ะช่วยใหเ้ ศรษฐกิจไทยสามารถเตบิ โตได้ในระยะยาวอย่างย่งั ยนื จากทีเ่ คยขับเคลือ่ นโดยปัจจัยการผลิต (factor-driven) และประสิทธิภาพ (efficiency-driven) การพัฒนานวตั กรรมต้องมกี ารลงทุนในการวจิ ัยและพัฒนาในระดับสูงและตอ่ เน่ือง ควบคู่ไปกบั พฒั นาก�ำ ลงั คนเพ่อื ทจี่ ะสามารถ สรา้ งนวตั กรรมและสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ ด้วยการบรู ณาการความรู้ใน 4 สหวิทยาการ ไดแ้ ก่ วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี วศิ วกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ หรือท่เี รียกวา่ “STEM (Science, Technology, Engineering and Mathematics)” ท่ีเชอื่ มโยงกับชีวติ ประจ�ำ วัน ทเี่ ป็นเร่ืองใกล้ตวั ทส่ี ามารถน�ำ มาใช้ไดท้ กุ วัน 62 เศรษฐศาสตร.์ ..เล่มเดยี วอยู่
คณุ เรยี นรู้สิ่งเหล่านีแ้ ลว้ หรือยงั • เขา้ ใจการท�ำ งานของกลไกราคา โดยมอี ปุ สงคแ์ ละอุปทานเป็นตวั ก�ำ หนดราคาและปรมิ าณดลุ ยภาพ • น�ำ ความรเู้ กี่ยวกบั กลไกราคา ความยืดหยุ่นของอปุ สงคต์ อ่ ราคาสินคา้ ไปประยกุ ต์ใช้ในชวี ิตประจำ�วันได้ จากบทนี้เราทราบแล้วว่า กลไกราคาจะเป็นตัวปรับให้ราคาท่ีผู้ซื้อ ต้องการซ้ือเท่ากับราคาท่ีผู้ขายเสนอขาย หรือเกิด “ราคาดุลยภาพ” และ จำ�นวนสินค้าท่ีผู้ซ้ือต้องการซื้อเท่ากับจำ�นวนสินค้าที่ผู้ขายเสนอขายพอดี หรอื “ปรมิ าณดลุ ยภาพ” ในระบบตลาดทเี่ ปน็ การแขง่ ขนั เสรี จงึ ใชก้ ลไกราคา เป็นตัวจัดสรรทรัพยากรในระบบเศรษฐกิจเพราะราคาทำ�ให้เรารู้ว่าระบบ เศรษฐกจิ ควรจะผลิตสงิ่ ใด (what) ผลติ อยา่ งไร (how) และจะผลติ ให้ใคร (for whom) รวมทั้งใครจะไดร้ บั ผลตอบแทนเท่าใด จากท่ีเราทราบเฉพาะส่วนย่อย ๆ หรือในระดับจุลภาคว่า อุปสงค์และ อุปทานเป็นอย่างไร และกลไกราคาทำ�งานอย่างไรจึงเกิดเป็นราคา ดุลยภาพ และปริมาณดลุ ยภาพ ตอ่ ไปในบทท่ี 5 - 7 ภาพจะใหญ่ขนึ้ จะเปน็ การศกึ ษากจิ กรรมทางเศรษฐกจิ ในภาพรวมหรอื ในระดบั ประเทศ โดยจะเร่มิ จากบทที่ 5 ท่ีเปน็ การอธบิ ายกิจกรรมทางเศรษฐกจิ ในระบบ เศรษฐกิจปิดที่มีแค่ผู้บริโภค (ภาคครัวเรือน) และผู้ผลิต (ภาคธุรกิจ) กันกอ่ น จากนน้ั บทที่ 6 ภาพจะค่อย ๆ ซับซอ้ นขึน้ โดยมภี าครัฐบาล เข้ามาด้วย ต่อจากนั้นบทท่ี 7 จะเป็นลักษณะระบบเศรษฐกิจแบบเปิด ท่มี ภี าคตา่ งประเทศ ซงึ่ จะมีความซับซอ้ นมากย่งิ ข้ึน 63เศรษฐศาสตร์...เล่มเดยี วอยู่
บทที่ 5 การทำ�งานของระบบเศรษฐกจิ แบบปดิ บทน้ีเป็นการทำ�ความเข้าใจเกี่ยวกับ กิจกรรมทางเศรษฐกิจในระบบเศรษฐกิจ แบบปิดท่ียังมีความซับซ้อนน้อย มีเพียง ภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจที่ผลิตและค้าขาย กันเอง โดยภาคครัวเรือนจะทำ�หน้าท่ีในการบริโภค (ซ้ือของ) ขณะเดียวกันก็เป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต ท่ีขายให้กับภาคธุรกิจด้วย ส่วนภาคธุรกิจจะทำ�หน้าท่ี ในการผลิตและลงทุน (ขายของ) ซึ่งสองภาคนี้มีความ เก่ียวโยงซึ่งกันและกัน และมีผลตอ่ เศรษฐกิจโดยรวม การท�ำ งานของระบบเศรษฐกจิ แบบปดิ ระบบเศรษฐกิจท่ีมีการผลิตและการบริโภคมากข้ึน กิจกรรมทางเศรษฐกิจก็จะยุ่งยากซับซ้อนข้ึน โดยที่ ในความเปน็ จริง ผบู้ รโิ ภคเองก็ไม่สามารถผลติ สงิ่ ของใช้เองได้ทกุ อย่าง จึงเกดิ หนว่ ยธุรกิจหรอื ภาคธรุ กิจขึน้ ซงึ่ เปน็ ผู้ท่ีรวบรวมปัจจัยการผลิตเพ่ือนำ�มาผลิตสินค้าและบริการเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค จากบทที่ 3 เราทราบแล้วว่าภาคครัวเรือนจะมีบทบาทเป็นทั้งผู้บริโภค ขณะเดียวกันก็เป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตด้วย โดยวงจร กิจกรรมทางเศรษฐกิจ ก็คือ ภาคครัวเรือนขายปัจจัยการผลิตให้กับภาคธุรกิจ และเมื่อภาคครัวเรือนได้เงิน คา่ ตอบแทนมากน็ �ำ มาซอื้ หาสนิ คา้ และบรกิ ารจากภาคธรุ กจิ เพอื่ ตอบสนองความตอ้ งการของตน ในขณะทภี่ าคธรุ กจิ เมื่อได้รับปัจจัยการผลิตมาก็จะผลิตสินค้าและบริการแล้วจำ�หน่ายให้ภาคครัวเรือน ซึ่งก็จะได้รับเงินค่าสินค้าและ บริการจากภาคครัวเรือนซึ่งเป็นผู้บริโภคเป็นการตอบแทน และลงทุนเพ่ือขยายการผลิตต่อไป สรุปได้ง่าย ๆ ว่า ภาคครวั เรอื นซ้อื ของ ภาคธรุ กจิ ขายของ 64 เศรษฐศาสตร.์ ..เล่มเดียวอยู่
ระบบเศรษฐกิจแบบปด กรณีไมมีรฐั บาล ธรุ กิจ รายจา ยของธรุ กิจ = รายรับของครวั เรอน (คาเชา คาจาง ดอกเบ้ีย กำไร) ครัวเรอน ครวั เรอนขายปจจัยการผลต (ทด่ี นิ แรงงาน ทนุ ผปู ระกอบการ) ธุรกิจขายสนคา และบรการ รายรับของธรุ กิจ = รายจายของครัวเรอน เสรมิ ความรู้ ในการดำ�รงชีพในแต่ละครัวเรือน ไม่ว่าจะมีรายได้หรือค่าตอบแทน จากการขายปจั จยั การผลติ มากนอ้ ยเพยี งใดกต็ าม จ�ำ เปน็ จะตอ้ งมกี ารใชจ้ า่ ย อรรถประโยชน์ (utility) หมายถึง เงินที่หามาได้น้ันไปในการซ้ือสินค้าและบริการมาเพื่อบริโภค ซึ่งหลังจาก ความพอใจท่ผี บู้ ริโภคได้รับจากการ ใช้จ่ายเพ่ือซ้ือสินค้ามาบริโภค รายได้ส่วนที่เหลือก็จะเก็บออมไว้เพ่ือ บรโิ ภคสนิ ค้าหรอื บรกิ ารชนิดใดชนดิ หนงึ่ ใช้จ่ายในการบริโภคในอนาคตเพราะปกติแล้วมนุษย์จะกลัวความเสี่ยง ณ เวลาใดเวลาหน่งึ กงั วลวา่ รายได้ในอนาคตอาจจะไมแ่ นน่ อน จงึ ไมใ่ ช้สอยเงนิ ทีไ่ ด้มาในวันนี้ รวดเดยี วหมด แตจ่ ะเกบ็ ออมเพอื่ วนั ขา้ งหนา้ โดยอาจน�ำ เงนิ ออมนนั้ ไปลงทนุ เมอ่ื ผบู้ รโิ ภคไดบ้ ริโภคสินค้าและบรกิ าร เพ่ือหากำ�ไรต่อ หรือนำ�ไปให้ภาคธุรกิจกู้ยืมเป็นเงินลงทุนขยายการผลิต เพ่มิ ข้นึ ทีละหน่วยแล้ว อรรถประโยชน์ ซงึ่ เราจะไดร้ บั ผลตอบแทน คือ ดอกเบ้ยี ดังนั้น ในระบบเศรษฐกิจหน่ึง ๆ สว่ นทเ่ี พม่ิ ขึ้นหรอื ความพอใจของ จะมีทั้งการบรโิ ภค การออม และการลงทุน ผู้บรโิ ภคทเ่ี พ่มิ ขึ้นจากการบรโิ ภคสินคา้ นัน้ ๆ จะลดลงตามล�ำ ดับ ลองนึกถึง ภาคครัวเรอื นกบั การบริโภค ตอนท่เี ราหวิ และกนิ กว๋ ยเตย๋ี วชามแรก ความพอใจของเรากจ็ ะสงู มาก แตพ่ อ เมื่อสมาชิกในครัวเรือนได้รับผลตอบแทนของปัจจัยการผลิต เช่น กินอกี เป็นชามท่ี 2 ชามท่ี 3 ความพอใจ ไดร้ บั คา่ จา้ งจากการขายแรงงาน กส็ ามารถน�ำ เอาคา่ ตอบแทนหรอื รายไดน้ น้ั ส่วนทีเ่ พมิ่ ขน้ึ จากการกนิ กว๋ ยเต๋ียว ไปจับจ่ายใช้สอย ซ้ือหาสินค้าและบริการที่ต้องการได้ การจับจ่ายใช้สอย เพมิ่ อีก 1 ชาม ก็จะนอ้ ยลงเร่อื ย ๆ น้ีเองท่ีเรียกว่า การบริโภค (consumption) ซ่ึงเม่ือครัวเรือนบริโภคสินค้า จนในท่สี ุด ความพอใจที่ได้กินเพิ่ม หรือบริการท่ีต้องการก็จะได้รับความสุขหรือได้รับประโยชน์จากการบริโภค อีกชามอาจจะถงึ กับตดิ ลบไปเลย ตอบแทน ภาษาทางเศรษฐศาสตร์เราจะเรียกว่า อรรถประโยชน์จากการ (ไม่พอใจ) นนั่ คอื เราอ่ิมมากจน บรโิ ภค (utility) ไม่อยากกินตอ่ แลว้ 65เศรษฐศาสตร.์ ..เล่มเดยี วอยู่
สินค้าและบริการท่ีครัวเรือนบริโภคมีท้ังของใช้ท่ีจำ�เป็นในการ ด�ำ รงชวี ติ ไดแ้ ก่ ปจั จัย 4 (อาหาร เคร่ืองนงุ่ หม่ ทอ่ี ยอู่ าศยั และยารักษาโรค) และสง่ิ อ�ำ นวยความสะดวกตา่ ง ๆ ท่ีช่วยสรา้ งความสขุ ในการดำ�รงชีวิต เชน่ คำ�ถามชวนคิด...? รถยนต์ โทรศัพท์มอื ถือ การไปดูหนงั เปน็ ตน้ ในบรรดาสนิ ค้าตา่ ง ๆ ยังอาจ ในชว่ งทีเ่ ศรษฐกจิ ไม่ดี เราจะชะลอการบรโิ ภค แยกประเภทสินค้าตามความคงทนหรือระยะเวลาการใช้งานได้ด้วย เช่น สนิ ค้าประเภทไหนมากกว่ากัน ระหวา่ งสินคา้ คงทน เช่น โทรทศั น์ กบั สนิ คา้ ไมค่ งทน เช่น รถยนต์ ตู้เย็น โทรทัศน์ เปน็ สนิ คา้ ท่มี คี วามคงทนสามารถใชไ้ ด้นานหลายปี อาหาร สบู่ ยาสีฟัน ในขณะท่ีเส้ือผ้า รองเท้า ใช้ได้หลายคร้ัง แต่ก็ไม่นาน เราเรียกพวกนี้ว่า สนิ ค้ากึง่ คงทน และสินคา้ บางอย่างไม่คงทนเลย เชน่ พชื ผักผลไม้ทเ่ี น่าเสีย น่าจะตอบได้ไม่ยาก เมอ่ื รายไดล้ ดลง คนจะชะลอซอ้ื สินค้าที่ไมจ่ ำ�เป็นและมีราคาแพง ไดใ้ นเวลาไมก่ ีว่ นั หรอื สบู่ ยาสระผม ยาสฟี นั ทใ่ี ช้แล้วก็หมดไป ต้องซ้อื ใหม่ ออกไปกอ่ น ซ่ึงก็คือ พวกสนิ ค้าคงทน นั่นเอง โดยอาจจะใชง้ านของทีม่ ีอยูแ่ ล้วนานข้นึ ปัจจัยทก่ี ำ�หนดการบริโภคของภาคครวั เรอื น การบริโภคของภาคครัวเรือนได้จากการบริโภคของแต่ละคนในทุก วารู…ไหม? ครวั เรอื นยอ่ ย ๆ มารวมกนั เพราะฉะนน้ั ปจั จยั สว่ นใหญท่ ก่ี �ำ หนดอปุ สงคก์ าร ซอื้ สินค้าของแต่ละบคุ คล (ทีไ่ ดก้ ลา่ วไว้ในบทท่ี 4) จงึ สามารถนำ�มาอธิบาย การบรโิ ภคของภาคครัวเรือนได้ 1. ระดับรายได้ของผู้บริโภค คงเป็นปัจจัยอย่างแรกที่ผู้บริโภค ถ้ารวมรายจ่ายของคนท่ีอยูใ่ น จะพิจารณา เพราะรายได้มากก็บริโภคได้มาก รายได้น้อยก็บริโภคได้น้อย ประเทศไทยทกุ คนรวมกนั เกอื บครึง่ หนึ่ง ลงมา แตก่ ็มกี ารบริโภคท่ไี ม่ข้ึนกบั รายไดเ้ หมือนกัน เพราะคนเรากต็ ้องกิน ของรายได้ทงั้ หมดน้ัน เปน็ การจับจ่าย อาหารเพ่ือประทังชีวิต มีเสื้อผ้าไว้สวมใส่ ซ่ึงเราเรียกการบริโภคอย่างนี้ว่า ใชส้ อยเพอ่ื บริโภคสินค้าและบรกิ าร เป็นระดับการบรโิ ภคข้นั ตำ�่ ทจี่ ะดำ�รงชวี ติ ได้ และถึงจะไมม่ ีรายได้ เราก็ตอ้ ง ในประเทศ หรือการบริโภคของ กูม้ าเพื่อซอ้ื หามาบรโิ ภค หรือขอคนอน่ื มา ครัวเรอื นคิดเปน็ สดั สว่ นถงึ คร่ึงหนงึ่ 2. การคาดคะเนเหตุการณ์ในอนาคต การคาดการณ์ของผู้บริโภค ใน GDP ดว้ ยเหตนุ ้ีเอง การเพม่ิ ขน้ึ ไม่ว่าจะเป็นรายได้ในอนาคต ราคาสินค้า ปริมาณสินค้า ล้วนส่งผลต่อ หรอื ลดลงของการบรโิ ภค จึงสง่ ผลตอ่ การตัดสนิ ใจในการบริโภคท้ังสิน้ เชน่ ถ้าคาดวา่ เงินเดอื นจะข้ึน 10% หรอื เศรษฐกิจโดยรวมอย่างมาก ซึ่งการ เงินโบนัสจะออกเดือนหน้า เขาอาจจะใช้จ่ายเพื่อการบริโภคเพ่ิมขึ้นต้ังแต่ คาดคะเนเหตุการณ์ในอนาคตหรือ วนั น้ี ท�ำ นองใช้กอ่ นลว่ งหน้า แต่ถา้ คาดการณ์วา่ ในอนาคตรายไดข้ องเขา ความเชอื่ มัน่ ของผู้บริโภคมสี ว่ นส�ำ คญั จะลดลง เขาก็จะลดการบริโภคลง และออมให้มากข้ึนเพ่ือเอาไปใช้จ่าย ตอ่ การตดั สนิ ใจในการบริโภค ในวนั ขา้ งหนา้ หลายประเทศจงึ มกี ารจัดท�ำ ดัชนี ความเชื่อม่ันผบู้ รโิ ภคเพอื่ คาดการณ์ แนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศ 66 เศรษฐศาสตร์...เลม่ เดยี วอยู่
วารู…ไหม? ส่วนในแง่ของการคาดการณ์ราคาสินค้า ถ้าคาดว่าราคาจะสูงข้ึน ผู้บริโภคก็จะพากันไปซ้ือสินค้ามากกว่าปกติ ก็คงไม่แปลกเพราะไม่มีใคร บัตรเครดติ หรอื บตั รสินเชอ่ื ก็เปน็ สนิ เชือ่ อยากซ้ือของแพง ลองนึกถึงว่า พอวันน้ี บริษัทนำ้�มันประกาศว่า พรุ่งนี้ ประเภทหนง่ึ ทที่ ำ�ให้ผูบ้ ริโภคสามารถ ราคาน้�ำ มนั จะปรับข้นึ อีก 80 สตางค์ตอ่ ลิตร เราจะเห็นรถแหเ่ ขา้ ปั๊มเพอื่ รอ ซ้ือก่อนจา่ ยทหี ลังได้ บตั รเครดติ เตมิ น้ำ�มนั กันตั้งแตว่ ันน้ี หรือถ้าคาดวา่ ราคาสินค้าจะลดลง เช่น สนิ้ เดอื นนี้ ถอื กำ�เนดิ ขึน้ ในประเทศสหรฐั อเมรกิ า จะมีงาน MIDNIGHT SALE ห้างดังจะมีการนำ�สินค้าย่ีห้อดังมาลดราคา ปี 1914 โดยบรษิ ัท เยอเนอรลั กระหน่�ำ ถงึ 30 -70% หลายคนกค็ งชะลอการซื้อสินค้ายห่ี อ้ ดังน้นั ออกไปกอ่ น ปิโตรเลยี ม คอร์ปอเรช่ัน ออฟ เพื่อรอซอ้ื ในงานทส่ี ามารถซ้ือไดถ้ กู กวา่ แคลิฟอร์เนยี ซ่งึ ปัจจบุ ัน คือ สำ�หรับการคาดการณ์ปริมาณสินค้า ถ้าเรารู้ว่า จะเกิดน้ำ�ท่วมใหญ่ บรษิ ัท โมบลิ ออยส์ จ�ำ กดั โดยท�ำ หรอื จะเกดิ ภาวะสงคราม แน่นอนว่า ปรมิ าณสนิ คา้ ทอ่ี อกขายกจ็ ะมีน้อยลง บัตรดังกล่าว ใหก้ บั ลกู คา้ และพนักงาน ผู้บริโภคก็จะแห่กันไปซ้ือสินค้าเพ่ือกักตุนไว้ก่อน การใช้จ่ายเพื่อการบริโภค ของบรษิ ทั เพอ่ื น�ำ ไปชำ�ระคา่ นำ�้ มนั กจ็ ะมาก ต่อมาราวปี 1950 นายแฟรงค์ 3. สนิ เชอ่ื เพอื่ การบรโิ ภค แมว้ า่ ผบู้ รโิ ภคจะมรี ายไดใ้ นขณะนไี้ มพ่ อจา่ ย แมคนามารา ซึ่งเป็นนกั ธุรกิจเกิดลมื ซอื้ สนิ คา้ และบรกิ าร แตผ่ บู้ รโิ ภคกส็ ามารถกยู้ มื โดยขอเงนิ สนิ เชอื่ จากธนาคาร พกกระเปา๋ เงนิ ตดิ ตัวไปทานอาหาร เพื่อที่จะสามารถบริโภคสินค้าและบริการน้ัน ๆ ได้ การบริโภคในปัจจุบัน และไมม่ ีเงนิ จ่าย จึงคิดว่าถ้ามบี ัตรพเิ ศษ จงึ สงู ข้นึ แต่ผ้บู ริโภคก็มีภาระท่ีต้องจ่ายคนื ในอนาคต ท�ำ ใหค้ วามสามารถ ที่ใช้แทนเงินไดก้ จ็ ะดี จึงได้สรา้ งบัตร ในการใช้จ่ายเพ่ือการบริโภคในอนาคตลดลง หรือเป็นการนำ�เงินในอนาคต ไดเนอร์สคลับขึ้นมา ซึง่ สามารถใช้ได้ มาจ่ายซอ้ื สนิ ค้าเพ่ือบรโิ ภคในปัจจุบัน กับรา้ นอาหารต่าง ๆ ในกลมุ่ เพื่อนเขา 200 คน โดยไม่ต้องพกเงนิ สด แล้วกพ็ ฒั นาเรอ่ื ย ๆ จนเปน็ บตั รเครดิตในปจั จบุ นั Interest rate 4. อัตราดอกเบี้ย อัตราดอกเบ้ียส่งผลต่อท้ังผู้ออมและผู้กู้ โดยเมื่อ อัตราดอกเบ้ียสูงข้ึน จูงใจให้คนออมเงินเพิ่มข้ึนและใช้จ่ายเพ่ือการบริโภค น้อยลง ส่วนผู้กู้ก็จะกู้มาบริโภคน้อยลงเพราะอัตราดอกเบ้ีย ซ่ึงเป็นต้นทุน ในการกูย้ ืมสงู ขึน้ (อ่านเพ่ิมเติมได้จากกล่องความรูท้ ี่ 3 เร่ือง ความเชอ่ื มโยง ของภาคเศรษฐกจิ จรงิ และภาคการเงิน) 67เศรษฐศาสตร์...เล่มเดยี วอยู่
5. รสนิยม หรอื คา่ นยิ มทางสงั คม ฟังเผนิ ๆ อาจจะคลา้ ยกนั แตไ่ ม่ใชส่ ิง่ เดยี วกัน เพราะค่านิยมทางสงั คม คือ ความนิยมของคนส่วนมากในสงั คมหนึง่ ๆ ท่เี ปน็ ทย่ี อมรบั เป็นการทัว่ ไป เช่น แฟชนั่ การแต่งตัวในแต่ละยคุ สมัย แต่รสนิยม คือ ความชอบหรือไม่ชอบส่วนตัวของเรา ซ่ึงก็ถูกกำ�หนดจากค่านิยมทางสังคมเพราะมนุษย์เป็น สัตว์สังคมที่มีพฤติกรรมเลียนแบบการบริโภคของคนในสังคมเดียวกัน ดังนั้น ถ้าค่านิยมทางสังคมให้ความสำ�คัญ กับวัตถุ ผู้บริโภคบางกลุ่มก็จะมุ่งใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการที่ฟุ่มเฟือยและมีราคาสูง ทำ�ให้สังคมน้ันมีการบริโภค อยใู่ นระดบั สงู ขณะทีก่ ารออมต�่ำ ยกตัวอย่าง เด็กนักเรียนช้นั ประถมทแ่ี ข่งกนั มีโทรศพั ท์มือถอื รุ่นใหม่ ๆ ภาคครัวเรือนกับการออม บุคคลหรือครัวเรือนจะมีการแบ่งสรรรายได้ของเขาระหว่างการบริโภคและการออม โดยส่วนที่เหลือจาก ใชจ้ ่ายเพ่ือการบรโิ ภค ก็คอื การออมนน่ั เอง ดังนั้น การออมกบั การบรโิ ภคจึงมคี วามสมั พนั ธ์กัน ถ้าเรามีรายได้อยู่ จ�ำ นวนหนง่ึ หากบริโภคมาก การออมก็จะน้อยลง ขณะท่บี ริโภคนอ้ ย การออมก็จะมากขึน้ หรอื เขียนอยา่ งง่าย ๆ ได้วา่ รายได้ = การบริโภค + การออม เมือ่ เราออมเงนิ กเ็ ท่ากบั เราเสยี สละการบริโภคในวนั นีเ้ พื่อไปใช้จา่ ยในวนั ขา้ งหน้า ผลตอบแทนของการออม ในวันนี้ ก็คือ ดอกเบีย้ ที่ได้รบั ดงั นั้น การออมของคนเราจะมากหรือน้อยจงึ ขึ้นอยู่กับดอกเบี้ย นอกจากน้ี ยังข้นึ อยู่ กบั รายได้ (รายไดม้ าก ออมได้มาก) และการใชจ้ า่ ยในการบรโิ ภค (บริโภคมาก ออมน้อย) เราทราบแล้วว่า รายได้ = การบริโภค + การออม ค�ำ ถาม คือ เราจะบรโิ ภคมากกวา่ รายได้ ได้หรือไม่ ถา้ หากเราบรโิ ภคมากกว่ารายได้ น่ันกเ็ ทา่ กบั การออมติดลบ ซ่งึ ก็คือ คำ�ถามชวนคดิ ...? เราตอ้ งไปกมู้ านนั่ เอง โดยอาจจะไปกคู้ นอน่ื มา หรอื กตู้ วั เอง ซงึ่ กค็ อื การเอา เงนิ ออมของตวั เองออกมาใชก้ อ่ น เราควรจะกกู้ ต็ อ่ เมอ่ื เราคาดวา่ จะสามารถ ภาคครัวเรือนเป็นแหล่งเงินออมทส่ี �ำ คัญ ชำ�ระคืนได้ในอนาคต และถ้าเรามีวินัยในการใช้เงิน เงินที่เรากู้มาน้ัน ของประเทศท่ีภาคธุรกิจกยู้ มื น�ำ ไปใช้ ควรต้องนำ�ไปใช้จ่ายในสิ่งท่ีสามารถสร้างผลตอบแทนได้มากกว่าดอกเบี้ย ในการลงทนุ แล้วภาคธุรกจิ มกี ารออม เงินกู้ที่เราต้องจ่าย นั่นก็คือ ควรกู้เพียงเพ่ือใช้จ่ายสำ�หรับลงทุนให้ได้ ดว้ ยหรือไม่ การออมในภาคธรุ กจิ ไดแ้ กอ่ ะไร ผลตอบแทนงอกเงยกลับมา ไม่ควรกู้เพื่อบริโภค เนื่องจากการบริโภคเป็น การออมในภาคธุรกจิ ได้แก่ ผลกำ�ไร การใช้จ่ายแลว้ ก็หมดไป ท่ีเกบ็ ไว้ (retained earnings) หรอื ก็คือ กำ�ไรของธรุ กจิ ทเี่ กบ็ สะสมไวห้ ลังจาก ทีจ่ า่ ยเงนิ ปนั ผลให้กับผถู้ ือหุ้นแลว้ 68 เศรษฐศาสตร์...เลม่ เดียวอยู่
วารู…ไหม? การบริโภค การออม กับผลทม่ี ตี อ่ เศรษฐกจิ เม่ือการบริโภคของภาคครัวเรือนมากขึ้น ก็จะกระตุ้นให้ภาคธุรกิจ ทำ�การผลติ สินคา้ และบริการมากขนึ้ เกดิ การลงทุนขยายการผลิต มีการใช้ ปจั จัยการผลิตและเกดิ การจ้างงานเพิ่มข้ึน ทำ�ให้คนมีรายได้เพม่ิ ขึ้น น่นั คือ เศรษฐกจิ เตบิ โต หรือรายได้ของคนในประเทศเพ่ิมข้ึนนน่ั เอง ขณะท่กี ารออมจะทำ�ใหเ้ ศรษฐกจิ เติบโตไดใ้ นอนาคต เพราะการออม ทำ�ให้เรามีเงินเหลือเพ่ือไปใช้ในการลงทุนมากข้ึน เม่ือเราลงทุนมากข้ึน อาทิ มีการซื้อเคร่ืองจักรเพิ่ม ขยายโรงงาน ก็จะทำ�ให้เรามีความสามารถ ในการผลิตเพม่ิ ขน้ึ เมื่อมีการผลิตมากขนึ้ กจ็ ะสง่ ผลให้การจา้ งงานเพิ่มขึ้น คนมีรายได้เพิ่มขึน้ บริโภคเพม่ิ ขน้ึ และเศรษฐกิจจึงขยายตวั การออมเป็นปัจจยั ส�ำ คญั ตอ่ การขยายตัวทางเศรษฐกิจ แต่อัตราการออมของไทยยงั ตำ�่ มากเม่ือเทยี บกับอดตี และเทยี บกบั ประเทศอ่ืน ๆ ในภูมภิ าค ยิง่ ไปกวา่ น้นั ไทยเข้าสสู่ ังคมผู้สงู วยั โดยสมบรู ณ์ หรือพดู ให้เหน็ ภาพ ทกุ 7 คน จะมคี นแก่ 1 คน โดยผสู้ งู อายมุ สี ดั ส่วนเพิ่มขึ้นเรอ่ื ย ๆ ขณะทป่ี ระชากรในวัยแรงงานมแี นวโนม้ ลดลงอยา่ งรวดเร็ว การออมจึงมีความส�ำ คญั มากข้ึน โดยเฉพาะเพือ่ เปน็ ค่าใชจ้ ่ายหลงั เกษียณ อ่านเพมิ่ เตมิ ไดจ้ ากโครงการศกึ ษาดา้ นโครงสรา้ งเศรษฐกจิ ไทยทม่ี นี ัยต่อการด�ำ เนนิ นโยบายการเงนิ เรื่อง “สังคมสงู วยั กบั ความท้าทายของตลาดแรงงานไทย” ได้ท่ี ประชากรไทยวัยแรงงาน 10 คน คาดวา ตอ งดูแลผูสูงอายเุ พมข้นจากประมาณ 2 คน ในป 2553 เปน ประมาณ 6 คน ในป 2583 อตั ราการพ่งึ พิง การออมภาคครัวเรอนตอ ผลติ ภัณฑม วลรวมประชาชาติ (GDP) ตอ แรงงาน 100รอยละ รอยละ เดก็ (0-14 ป) ผูสูงอายุ (60 ปข ึ้นไป) รวม 12 10 เขาสสู ังคมผูสงู วัย 75 8 50 6 4 25 2 0 0 2553 2558 2563 2568 2573 2578 2583 2533 2535 2537 2539 2541 2543 2545 2547 2549 2551 2553 2555 2557 2559 2561 ท่ีมา: การคาดประมาณประชากรของประเทศไทย พ.ศ. 2553 - 2583 ทม่ี า: สำนกั งานสภาพฒั นาการเศรษฐกจิ และสังคมแหง ชาติ คำนวณโดย สำนกั งานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสงั คมแหงชาติ ธนาคารแหงประเทศไทย * ค�ำ นยิ ามจาก องค์การสหประชาชาติ สงั คมผ้สู ูงวยั (aging society) คือ สงั คมทม่ี ปี ระชากรอายุ 65 ปขี ้ึนไปมากกว่ารอ้ ยละ 7 ของประชากรทงั้ หมด สงั คมผูส้ งู วยั โดยสมบรู ณ์ (aged society) คอื สงั คมทีม่ ปี ระชากรอายุ 65 ปีขนึ้ ไปมากกวา่ ร้อยละ 14 ของประชากรท้งั หมด 69เศรษฐศาสตร.์ ..เล่มเดียวอยู่
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172