Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Training_plan

Training_plan

Description: Training_plan

Search

Read the Text Version

51 ความรู้เพมิ่ เตมิ สาหรับครู ทศิ สนามแม่เหลก็ ของแม่เหลก็ ไฟฟ้ า สนามแม่เหลก็ รอบสายไฟหรือลวดตวั นาท่ีมกี ระแสไฟฟ้ าผา่ นมลี กั ษณะเป็นวงกลมที่มี ระนาบต้งั ฉากกบั ลวดตวั นา โดยทิศของสนามแมเ่ หลก็ รอบลวดตวั นาหาจากกฎมอื ขวาดงั น้ี ใหห้ วั แม่มือของมอื ขวาช้ีไปตามทิศของกระแสไฟฟ้ าในลวดตวั นา น้ิวท่ีเหลอื ท้งั สี่นิ้วกา รอบลวดตวั นา น้ิวท้งั ส่ีจะแสดงทิศของสนามแม่เหลก็ รอบลวดตวั นาดงั รูป รูปท่ี 1 การหาทศิ ของสนามแม่เหลก็ รอบลวดตวั นาเม่อื มีกระแสไฟฟ้ าผ่าน ทิศสนามแมเ่ หลก็ ของขดลวดและของแม่เหลก็ ไฟฟ้ า กใ็ ชก้ ฎมอื ขวาไดเ้ ช่นเดียวกนั โดย ใหห้ วั แมม่ ือของมือขวาช้ีไปตามทิศของกระแสไฟฟ้ าที่ผา่ นขดลวดวงใดวงหน่ึง เมื่อกามือ นิ้วท้งั สี่ ท่ีเหลอื จะแสดงทิศสนามแม่เหลก็ ดงั รูป ซ่ึงจะเห็นไดว้ ่า ข้วั เหนือ (N)ของขดลวดและแม่เหลก็ ไฟฟ้ า อยทู่ างซา้ ย และข้วั ใต้ (S) อยทู่ างขวา รูปที่ 2 สนามแมเ่ หลก็ ของขดลวด รูปที่ 3 สนามแม่เหลก็ ของแมเ่ หลก็ ไฟฟ้ า สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

52 ใบกจิ กรรมที่ 4.1 เร่ือง สนามแม่เหลก็ รอบแท่งแม่เหลก็ มีลกั ษณะอยา่ งไร กรอบตวั ชี้วดั สมรรถภาพ 1. วางแมเ่ หลก็ 1 แท่งบนโตะ๊ และวางกระดาษขาว ทดลองและสรุปลกั ษณะของ ทบั บนแท่งแม่เหลก็ สนามแมเ่ หลก็ รอบแท่งแม่เหลก็ ได้ 2. โรยผงตะไบเหลก็ บาง ๆ บนกระดาษขาวใหท้ ว่ั เคาะเบา ๆ สงั เกตและบนั ทึกผล 3. ทาซ้าขอ้ 1 และ 2 แต่เพมิ่ แม่เหลก็ เป็น 2 แท่ง และวางในลกั ษณะต่าง ๆ ดงั น้ี วสั ดุอุปกรณ์ (ต่อกลมุ่ ) ก. 1. แท่งแม่เหลก็ 2 แท่ง 2. ผงตะไบเหลก็ 3. กระดาษขาวขนาด A4 1 แผน่ ข. ค. ง. จ. สถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

53 ใบบันทกึ กจิ กรรมท่ี 4.1 เรอ่ื ง สนามแม่เหลก็ รอบแท่งแม่เหลก็ มลี กั ษณะอย่างไร บนั ทึกลกั ษณะการเรียงตวั ของผงตะไบเหลก็ เมื่อวางแท่งแม่เหลก็ ในลกั ษณะตา่ ง ๆ ก. ข. ค. ง. จ. สถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

54 ใบกจิ กรรมท่ี 4.2 เร่ือง รอบสายไฟมีอะไร กรอบตวั ชีว้ ดั สมรรถภาพ ตอนท่ี 1 ทดลองและสรุปไดว้ ่าเมอ่ื มี 1. ต่อหลอดไฟฟ้ า 2.5V เขา้ กบั ถ่านไฟฉาย 2 กอ้ น กระแสไฟฟ้ าผา่ นสายไฟจะเกิด และสวติ ชต์ ามวงจรไฟฟ้ า สนามแมเ่ หลก็ เป็นวงกลมรอบ สายไฟ วสั ดุอปุ กรณ์ (ต่อกลุ่ม) 2. วางเขม็ ทศิ บนโต๊ะ นาสายไฟวางทบั ตามแนวเขม็ 1. ถ่านไฟฉาย 4 กอ้ นพร้อม ทิศดงั รูป กดสวิตชเ์ ปิ ดและปิดหลายๆ คร้ัง แต่ละ คร้ังสงั เกตและบนั ทกึ ผล กระบะถา่ น 2. หลอดไฟฟ้ า 2.5V พร้อมฐาน ตอนที่ 2 1 ชุด 1. ขดั ปลายลวดทองแดงท่ีมฉี นวนหุม้ เพ่ือเอาฉนวน 3. สวติ ช์ 1 อนั 4. เขม็ ทิศ 1 อนั ออก ปลายละประมาณ 1 เซนติเมตร 5. สายไฟพร้อมปากหนีบจระเข้ 2. ร้อยลวดทองแดงผา่ นรูกลางกระดาษแขง็ 10 รอบ 4 เสน้ ต่อปลายเสน้ ลวดเขา้ กบั ถ่านไฟฉาย 4 กอ้ น 6. ลวดทองแดงอาบน้ายา เบอร์ และสวติ ชด์ งั รูป 26 ยาว 5 เมตร 1 เสน้ 7. ผงตะไบเหลก็ 8. กระดาษแข็ง 5  5cm. เจาะรู ตรงกลาง 1 แผน่ 3. โรยผงตะไบเหลก็ ลงบนกระดาษแขง็ รอบ ลวดทองแดง เคาะเบา ๆ สงั เกตและบนั ทึกผล สถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

55 ใบบันทกึ กจิ กรรมท่ี 4.2 เรอ่ื ง รอบสายไฟมอี ะไร ตารางบนั ทกึ ผล ตอนท่ี 1 เม่อื นาสายไฟทบั ตามแนวเขม็ ทิศ การทดลอง การเปล่ียนแปลงของเข็มทิศ 1. ขณะไมม่ กี ระแสไฟฟ้ าผา่ นสายไฟ เขม็ ทิศช้ีแนวทิศเหนือ – ทิศใต้ 2. ขณะมกี ระแสไฟฟ้ าผา่ นสายไฟ เขม็ ทิศเบนไปจากแนวทิศเหนือ – ทิศใต้ ตอบคาถามท้ายการทดลอง สรุปผลการทดลองไดว้ ่าอยา่ งไร .......................................................................................... ...............................(รอบสายไฟท่ีมีกระแสไฟฟ้ าผ่าน จะมีสนามแม่เหลก็ เกิดขนึ้ สังเกตได้จาก เขม็ ทิศเบนไปจากเดิม).................................................................................................................... บันทกึ ผลการทดลอง ตอนที่ 2 1. เขียนภาพการเรียงตวั ของผงตะไบเหลก็ บนกระดาษแข็งรอบลวดทองแดง ตอบคาถามท้ายการทดลอง 1. กระแสไฟฟ้ าท่ีผา่ นลวดทองแดงแต่ละเสน้ ตรงจุดท่ีผา่ นรูกลางกระดาษ มีทิศแตกต่างกนั หรือไม่ อยา่ งไร.......................................................................................................................................... ................................(ขณะผ่านรูกลางกระดาษ กระแสไฟฟ้ าในลวดทองแดงแต่ละเส้นมีทิศ เดียวกนั )........................................................................................................................................ 2. สรุปผลการทดลองไดว้ า่ อยา่ งไร..................................................................................................... ...............................(รอบสายไฟที่มกี ระแสไฟฟ้ าผ่าน จะเกิดสนามแม่เหลก็ ลกั ษณะเป็นวงกลม รอบสายไฟ)................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................ สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

56 ใบกจิ กรรมที่ 4.3 เรื่อง ทาแมเ่ หลก็ ไดอ้ ยา่ งไร กรอบตวั ชีว้ ดั สมรรถภาพ ตอนที่ 1 1. ทดลองและสรุปลกั ษณะ 1. ขดั ฉนวนท่ีหุม้ ลวดทองแดงท้งั สองปลายออกขา้ ง สนามแม่เหลก็ ของขดลวดที่มี ละ 1 cm. พนั ลวดรอบท่อพวี ีซี ประมาณ 30 รอบ กระแสไฟฟ้ าผา่ นได้ 2. ทดลองและอธิบายการทา แมเ่ หลก็ ไฟฟ้ าได้ 3. ทดลองและหาวธิ ีทาให้ 2. ถอดขดลวดออกจากท่อพวี ซี ี สอดขดลวดเขา้ ช่อง สนามแม่เหลก็ จากขดลวดมคี ่า กลางของกระดาษแขง็ จดั ใหข้ ดลวดยาวประมาณ มากข้ึนได้ 5 cm. ต่อขดลวดเขา้ กบั ถ่านไฟฉาย 2 กอ้ น และสวิตช์ ดงั รูป วสั ดุอุปกรณ์ (ต่อกลุ่ม) 3. โรยผงตะไบเหลก็ บนกระดาษแข็งท้งั ดา้ นนอกและ 1. กระดาษแขง็ ขนาด 10 × 20 ในขดลวด เคาะเบา ๆ สงั เกตและบนั ทึกผล cm. ตดั เป็นรูป 2. ท่อพีวีซีขนาด 12 mm. ยาว 4. ศกึ ษาใบความรู้เพิ่มเติม เรื่องทิศสนามแมเ่ หลก็ ของ 10 cm. 1 อนั แมเ่ หลก็ ไฟฟ้ าแลว้ ทดลองหาทิศของ 3. ลวดทองแดงอาบน้ายาเบอร์ สนามแมเ่ หลก็ ในขอ้ 3 26 ยาว 2.5 เมตร 4. ถ่านไฟฉาย 4 กอ้ นพร้อม ตอนท่ี 2 กระบะถา่ น 4. พนั ลวดทองแดงรอบแท่งเหลก็ (ตะป)ู 20 รอบ แลว้ 5. สวติ ช์ 1 อนั 6. สายไฟพร้อมปากหนีบ ต่อกบั ถ่านไฟฉาย 1 กอ้ น และสวติ ชด์ งั รูป จระเข้ 4 เสน้ 7. ลวดเสียบกระดาษ 1 กลอ่ ง 8. ผงตะไบเหลก็ 9. ตะปูยาว 10 cm. 1 ตวั สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

57 ใบกจิ กรรมที่ 4.3 เรื่อง ทาแม่เหลก็ ไดอ้ ยา่ งไร (ต่อ) 5. กดสวติ ชต์ ่อวงจร นาแท่งเหลก็ เขา้ ใกลล้ วดเสียบกระดาษ สงั เกตและบนั ทกึ ผล 6. ทาซ้าขอ้ 4 โดยเพิม่ จานวนรอบของขดลวดเป็น 40 และ 80 รอบ สงั เกตและบนั ทึกผล 7. จากขอ้ 6 ขณะพนั ขดลวดรอบแท่งเหลก็ ไว้ 80 รอบ เพิม่ จานวนถ่านไฟฉายเป็น 2 3 และ4 กอ้ น แต่ละคร้ังนาเขา้ ใกลล้ วดเสียบกระดาษ สงั เกตและบนั ทึกผล สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

58 ใบบันทกึ กจิ กรรมท่ี 4.3 เรื่อง ทาแม่เหลก็ ได้อย่างไร บนั ทกึ ผลการทดลอง ตอนที่ 1 บนั ทึกภาพการเรียงตวั ของผงตะไบเหลก็ บนกระดาษแข็งขณะมกี ระแสไฟฟ้ าผา่ นขดลวด ตอบคาถามท้ายการทดลอง สรุปผลการทดลองไดว้ า่ อยา่ งไร……………………………………………………………………… ………………..( ขดลวดที่มกี ระแสไฟฟ้ าผ่านจะเกิดสนามแม่เหลก็ ลกั ษณะเดียวกบั สนามแม่เหลก็ ของแท่งแม่เหลก็ ).......................................................................................... ตารางบนั ทึกผลการทดลอง ตอนที่ 2 คร้ังท่ี จานวนรอบของขดลวด จานวนถ่านไฟฉาย จานวนลวดเสียบกระดาษที่ตะปู (รอบ) (กอ้ น) ดดู ได(้ ตวั ) 1 20 1 2 40 1 3 80 1 4 80 2 5 80 3 6 80 4 ตอบคาถามท้ายการทดลอง 1. เมอื่ มีกระแสไฟฟ้ าผา่ นขดลวดที่พนั รอบแท่งเหลก็ แท่งเหลก็ มีการเปลย่ี นแปลงหรือไม่ อยา่ งไร……………………………………………………………………………………………… ……………( แท่งเหลก็ จะเป็นแม่เหลก็ ดึงดดู กบั ลวดเสียบกระดาษได้)............................. 2. เมอ่ื จานวนรอบของขดลวดท่ีพนั รอบแท่งเหลก็ เปลยี่ นไป แต่จานวนถ่านไฟฉายคงท่ี ผลจะ เป็นอยา่ งไร………………………………………………………………………………… …………….( แท่งเหลก็ เป็นแม่เหลก็ ท่ีแรงขึน้ สังเกตได้จากดึงดดู ลวดเสียบกระดาษได้มาก สถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

59 ขึน้ )............................................................................................................................ 3. เมอ่ื จานวนรอบของขดลวดท่ีพนั รอบแท่งเหลก็ คงที่ แต่จานวนถา่ นไฟฉายเปลีย่ นไป ผลจะ เป็นอยา่ งไร........................................................................................................................... ...................( เม่ือใช้ถ่านไฟฉาย 1 และ 2 ก้อน แท่งเหลก็ จะเป็นแม่เหลก็ ท่ีแรงขึน้ ตาม ถ่านไฟฉายท่ีเพ่ิมขนึ้ แต่เม่ือเพิ่มถ่านไฟฉายเป็น 3 และ 4 ก้อนแท่งเหลก็ จะเป็นแม่เหลก็ ที่มี แรงดึงดูดลดลง)..................................................................................................................... 4. สรุปผลการทดลองไดว้ า่ อยา่ งไร…………………………………………………………………. …………..( ขดลวดท่ีพนั รอบแท่งเหลก็ เมอ่ื มีกระแสไฟฟ้ าผ่านจะทาให้แท่งเหลก็ เป็น แม่เหลก็ ความแรงของแม่เหลก็ ขนึ้ กบั จานวนรอบของขดลวดและปริมาณกระแสไฟฟ้ าท่ี ผ่านขดลวด).......................................................................................................................... สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

60 แผนการอบรมครู หิน และการเปล่ียนแปลงตามวฏั จกั ร สถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

61 ลาดับแนวความคดิ ต่อเนื่อง เร่ือง หินและการเปลีย่ นแปลงตามวฏั จกั ร หินเป็นมวลของแขง็ ที่เกดิ ข้ึนเองตามธรรมชาติ หินประกอบดว้ ยแร่ต้งั แต่หน่ึงชนิดข้ึนไป ซ่ึงมีสมบตั ิทางกายภาพและทางเคมแี ตกต่างกนั หินแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ตามลกั ษณะการเกิดคือ หินอคั นี หินตะกอนและหินแปร การตรวจสอบสมบตั ิทางกายภาพของหินเป็นขอ้ มลู เบ้ืองตน้ ท่ีใชร้ ะบุชนิดและชื่อหิน กระบวนการทางธรณีวทิ ยาทาใหห้ ินท้งั 3 ประเภท มกี ารเกิดหมนุ วนสมั พนั ธก์ นั เป็นวฏั จกั รหิน สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

62 แผนการอบรมครู 1 สาระท่ี 6 โลกและการเปลีย่ นแปลง เวลา 1 ชว่ั โมง เร่ือง ลกั ษณะของหิน แนวคดิ หลกั หินเป็นมวลของแขง็ ที่เกิดข้ึนเองตามธรรมชาติ มลี กั ษณะต่างๆ ท่ีสามารถสังเกตไดโ้ ดยใช้ ประสาทสมั ผสั ท้งั หา้ จุดประสงค์การเรียนรู้ เลือกใชป้ ระสาทสมั ผสั อยา่ งเหมาะสมในการสงั เกต และบอกลกั ษณะของหิน ความรู้พนื้ ฐาน 1. หินเป็นส่วนประกอบของโลก พบไดท้ วั่ ไปในธรรมชาติ 2. ประสาทสมั ผสั ท้งั หา้ เป็นเครื่องมอื เบ้ืองตน้ ในการสงั เกตเพื่อเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตวั ความเข้าใจคลาดเคลอื่ น มนุษยส์ ามารถสงั เคราะห์หินใหเ้ หมือนกบั ที่เกิดข้ึนในธรรมชาติได้ แนวทางการจดั กจิ กรรม กจิ กรรม 1 หินของใคร 1. ผรู้ ับการอบรมแต่ละกลุ่มร่วมกันระดมความคิด ช่วยกนั บอกแหล่งที่พบหินให้มาก ที่สุด แลว้ นาเสนอขอ้ มลู แหลง่ หิน โดยไม่ซ้ากบั กลุ่มอนื่ 2. วิทยากรกบั ผรู้ ับการอบรมร่วมกนั อภิปรายว่าหินท่ีพบตามแหล่งต่างๆ ที่นาเสนอ เกิดข้ึนไดเ้ พราะเหตุใด โดยใชค้ าถามเพื่อนาไปสู่การอภิปรายดงั น้ี - หินท่ีพบตามแหลง่ ต่างๆ เกิดข้ึนไดอ้ ยา่ งไร - ถา้ มนุษยใ์ ชห้ ินใหห้ มดไป จะทาหินใหเ้ กิดข้ึนไดห้ รือไม่ เพราะเหตุใด จากการอภิปรายควรสรุปได้ว่า หินเกิดข้ึนเองตามธรรมชาติ มนุษยไ์ ม่สามารถ สร้างหินใหเ้ กิดข้ึนได้ 3. วิทยากรทบทวนการใชป้ ระสาทสมั ผสั ท้งั หา้ ซ่ึงเป็นเคร่ืองมือในการสงั เกต จากน้นั ให้ ผรู้ ับการอบรมบอกไดว้ ่าในการใชป้ ระสาทสัมผสั แต่ละอย่างจะพบขอ้ มูลอะไรบา้ ง และจะเลือกใชป้ ระสาทสมั ผสั อยา่ งไรใหเ้ หมาะสมในการสงั เกตตวั อยา่ งหิน สถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

63 4. วทิ ยากรนาเขา้ สู่กิจกรรมท่ี 1 “ใครคือเจา้ ของหิน” โดยใหแ้ จกหินใหผ้ รู้ ับการอบรมคน ละ 1 กอ้ น และกระดาษสาหรับบนั ทึก ใหผ้ รู้ ับการอบรมสงั เกตลกั ษณะของหินโดยใช้ ประสาทสัมผสั วาดรูปและบนั ทึกขอ้ มูลท่ีไดจ้ ากการสังเกตอยา่ งละเอียดลงในบตั ร แข็ง พร้อมเขียนเขียนชื่อของตนเอง แต่ละกลุ่มรวบรวมกอ้ นหินและบตั รแข็งแลว้ นา แลกกบั กลุ่มอืน่ ซ่ึงมีจานวนสมาชิกในกล่มุ เท่ากนั 5. ผรู้ ับการอบรมแต่ละคนศึกษาขอ้ มูลจากบตั รและหาหินท่ีมีลกั ษณะตรงตามขอ้ มลู ใน บตั ร เม่อื พบแลว้ ใหน้ าไปตรวจสอบ หากถกู ตอ้ งใหส้ ่งหินและบตั รคืน แลว้ กลบั มานงั่ ท่ี กลุ่มใดท่ีกลบั มานงั่ ที่จนครบไดเ้ ร็วที่สุดใหพ้ ดู พร้อมกนั ว่า บิงโก (หรือคาอื่นตามที่ ตกลง) 6. ใหก้ ลมุ่ ท่ีทากิจกรรมเสร็จเป็นกลุ่มแรกช่วยกนั เล่า วิธีการที่ทาภารกิจเสร็จไดเ้ ร็ว และ ใหก้ ลมุ่ ท่ีเสร็จเป็นกลมุ่ สุดทา้ ยช่วยกนั บอกเหตุผลว่าเป็ นเพราะเหตุใดเช่นกนั จากน้นั ใหผ้ รู้ ับการอบรมท้งั หอ้ งอภิปรายร่วมกนั ว่า ปัจจยั ที่มีผลทาใหค้ น้ หาหินพบมอี ะไรบา้ ง ซ่ึงควรสรุปไดว้ ่า ผบู้ นั ทึกขอ้ มลู ตอ้ งสังเกตโดยใชป้ ระสาทสัมผสั มากที่สุด รวมท้ัง บนั ทึกผลอย่างถูกตอ้ งเที่ยงตรงและชดั เจน ส่วนผคู้ น้ หาหินอ่านขอ้ มลู ให้เขา้ ใจ และ ตรวจสอบหินอยา่ งละเอียดเท่ียงตรง 7. เม่ือเสร็จกิจกรรมแลว้ วทิ ยากรร่วมกนั อภิปรายว่ากิจกรรมน้ีมลี กั ษณะท่ีสาคญั ของการ เรียนรู้แบบสืบเสาะหรือไม่ กระบวนการเรียนรู้แบบสืบเสาะสามารถสรุปเป็นแผนภาพ ไดด้ งั น้ี แผนผงั ของกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ผเู ้ รยี นมสี ว่ นรว่ มในประเด็น คาถามทางวทิ ยาศาสตร์ ผเู ้ รยี นสอ่ื สารและใหเ้ หตผุ ล ผเู ้ รยี นใหค้ วามสาคญั กับขอ้ มลู หลกั ฐาน ผเู ้ รยี นเชอื่ มโยงคาอธบิ ายของตนกับความรู ้ ผเู ้ รยี นสรา้ งคาอธบิ ายเชงิ ทางวทิ ยาศาสตรห์ รอื คาอธบิ ายอน่ื ๆ วทิ ยาศาสตรต์ ามขอ้ มลู หลกั ฐาน สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

64 การวดั และประเมนิ ผล 1. การมีส่วนร่วมในการทากิจกรรมของผเู้ ขา้ รับการอบรม 2. การตอบคาถามในใบบนั ทึกกิจกรรม 3. การตอบคาถามในใบสะทอ้ นการการเรียนรู้ การเตรียมล่วงหน้าวทิ ยากร - ข้อเสนอแนะเพมิ่ เตมิ ผเู้ ขา้ รับการอบรมอาจนากิจกรรมสังเกตและคน้ หาหินไปจดั กิจกรรมในค่ายวิทยาศาสตร์ โดยอาจใชช้ ื่อเกมว่า “ตามล่าหาหิน” หรือ “ยอดนกั ลา่ หิน” สถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

65 ตวั อยา่ งการบนั ทึกกิจกรรมที่ 1 ช่ือ.................................................................. ช้นั ...................... เลขท่ี ....................... วนั ท่ี................................ เดือน.................................... พ.ศ. .......................... 1. บอกประสาทสมั ผสั ที่ใชใ้ นการสงั เกตหิน พร้อมระบุว่าประสาทสมั ผสั น้นั ใหข้ อ้ มลู อะไร ประสาทสัมผสั ทีใ่ ช้ ข้อมูลทไ่ี ด้จากการสังเกต ตา ไดข้ อ้ มลู เกี่ยวกบั สี เน้ือหิน หยาบ ละเอยี ด มีรูพรุน รูปทรง ขนาดใหญ่ เลก็ เหลย่ี ม กลมมน เป็นลกั ษณะของ ผวิ หนงั หินท่ีสงั เกตดว้ ยตา หู ไดข้ อ้ มลู เกี่ยวกบั เน้ือหินหยาบ ละเอยี ด แข็ง นิ่ม แหง้ เปี ยก เยน็ ร้อน แหลม ทู่ ไดข้ อ้ มลู เกี่ยวกบั การเคาะหินแต่ละชนิดแลว้ มีเสียงต่างกนั เป็นลกั ษณะท่ีสงั เกตดว้ ยหู 2. ปัจจยั ท่ีทาใหน้ กั เรียนสามารถคืนหินแก่เจา้ ของไดเ้ ร็วทส่ี ุด มีอะไรบา้ ง -ผ--บู้ --นั --ท--ึก--ข--อ้ -ม--ลู---ต--อ้ -ง--ส--งั -เ-ก--ต--โ-ด--ย--ใ-ช--ป้--ร--ะ-ส--า-ท---ส--มั --ผ-ส-ั --ม--า-ก--ท--ี่ส--ุด---ร-ว--ม--ท--้งั--บ--นั --ท--ึก--ผ--ล--อ--ย-า่--ง-ถ--กู --ต--อ้ --ง------ --เท--ี่ย--ง-ต--ร--ง-แ--ล--ะ-ช--ดั--เ-จ-น---ส--่ว--น--ผ--คู้--น้ --ห--า-ห--ิน--อ--า่--น--ข--อ้ -ม--ลู--ใ-ห--เ้-ข--า้-ใ--จ--แ--ล-ะ--ต--ร--ว-จ--ส--อ--บ--ห--ิน--อ--ย--า่ -ง--ล--ะ-เ-อ--ีย--ด------ --เท--่ีย--ง-ต--ร--ง----------------------------------------------------------------------------------------------------- ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------- คาถามชวนคดิ มนุษยส์ ามารถสร้างหินใหเ้ หมือนกบั ที่เกิดข้ึนในธรรมชาติไดห้ รือไม่ เพราะเหตุใด -ม--น--ุษ--ย-ไ-์ -ม--่ส--า-ม--า-ร--ถ--ท--า-ห--ิน--ใ--ห--เ้ -ห--ม--ือ-น---ห--ิน--ใ-น--ธ--ร--ร-ม--ช--า-ต--ิ -เ-พ--ร-า--ะ-ก--ร--ะ-บ--ว--น--ก--า-ร--เก--ิด--ห--ิน--ม--คี--ว--า-ม------------ --ซ--บั --ซ--อ้ -น---ม--น--ุษ--ย--ไ์-ม--่ส--า--ม--า-ร-ถ--จ--า-ล--อ--ง-ใ--ห--เ้ ห---ม-อื--น--ใ--น--ธ--ร-ร--ม--ช-า--ต--ิไ-ด--้---------------------------------------- ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ---- สถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

66 แผนการอบรมครู 2 สาระท่ี 6 โลกและการเปลย่ี นแปลง เวลา 3 ชว่ั โมง เร่ือง องคป์ ระกอบของหิน แนวความคดิ หินประกอบไปดว้ ยแร่ต้งั แต่ 1 ชนิดข้ึนไป แร่ท่ีเป็นองคป์ ระกอบของหินอาจเป็ นธาตุหรือ สารประกอบอนินทรียท์ ี่เกิดข้ึนตามธรรมชาติ มีโครงสร้างภายในที่เป็นระเบียบ มีสูตรทางเคมีและ สมบตั ิอน่ื ๆ ค่อนขา้ งแน่นอน เปล่ยี นแปลงไดใ้ นวงจากดั และมีสถานะเป็ นของแข็ง แร่แต่ละชนิดมี ลกั ษณะทางกายภาพและทางเคมีแตกต่างกนั จดุ ประสงค์การเรียนรู้ 1. สงั เกตและอธิบายไดว้ า่ หินประกอบดว้ ยแร่ต้งั แต่ 1 ชนิดข้ึนไป 2. สงั เกตและเปรียบเทียบลกั ษณะทางกายภาพและทางเคมีของแร่ตวั อยา่ งได้ ความรู้พนื้ ฐาน ลกั ษณะทางกายภาพของแร่ ได้แก่ รูปผลึก สี สีผงละเอียด ความแข็ง ความวาว สภาพ แมเ่ หลก็ ลกั ษณะทางเคมี คือความสามารถในการทาปฏิกิริยาเคมีกบั สารอื่น เช่น กรดไฮโดรคลอริก เจือจาง ความเข้าใจคลาดเคลอ่ื น หินประกอบดว้ ยแร่มากกวา่ 1 ชนิดเสมอ แนวทางการจดั กจิ กรรม กจิ กรรม 2.1 ทาไมหินแตกต่างกนั 1. ร่วมกนั อภิปรายวา่ หินที่ผรู้ ับการอบรมเคยพบมีลกั ษณะอย่างไร เหมือนหรือแตกต่าง กนั 2. ใหผ้ รู้ ับการอบรมสงั เกตหินหมายเลข 1 และ 12 อยา่ งละเอียด 3. นาเสนอข้อมูลเกี่ยวกับลกั ษณะของเน้ือหินท้งั สองก้อนท่ีสังเกตได้ และอภิปราย เปรียบเทียบ โดยใชค้ าถามดงั น้ี - เน้ือหินหมายเลข 1 และ 12 มลี กั ษณะอยา่ งไร - เปรียบเทียบลกั ษณะของเน้ือหินเป็นอยา่ งไร สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

67 - เน้ือหินหมายเลขใดมหี ลายสี และหมายเลขใดมสี ีเป็นสีเดียวเกือบท้งั กอ้ น 2. วทิ ยากรใหค้ วามรู้เพิ่มเติมว่า สิ่งที่มองเห็นเป็ นสีต่างๆ น้นั คือ แร่ ประกอบหิน การท่ี หินหมายเลข 1 มีสีหลายสี เพราะมีแร่ประกอบหินมากกว่า 1 ชนิด ส่วนหินหมายเลข 12 มีสีเพียงสีเดียวเกือบท้งั ก้อน เพราะมีแร่ประกอบหินเพียง 1 ชนิด ดังน้ันหินจึง ประกอบดว้ ยแร่ต้งั แต่ 1 ชนิดข้ึนไป จากน้นั วิทยากรใหค้ วามรู้เพ่ิมเติมว่า แร่เป็ นธาตุ หรือสารประกอบอนินทรีย์ เป็ นของแข็ง เกิดข้ึนเองตามธรรรมชาติ มีโครงสร้าง ภายในเป็นระเบียบ มีสูตรเคมแี ละสมบตั ิอื่นๆ ค่อนขา้ งแน่นอนหรือเปลยี่ นแปลงไดใ้ น วงจากดั กจิ กรรม 2.2 จานวนแร่ในหินแต่ละชนดิ เป็ นอย่างไร 1. วิทยากรใชค้ าถามว่า หินส่วนมากมอี งคป์ ระกอบเป็นแร่ชนิดเดียวหรือหลายชนิด และ แร่แต่ละชนิดมลี กั ษณะแตกต่างกนั หรือไม่ 2. นาเสนอผลการสงั เกตและร่วมกนั อภิปรายจนไดข้ อ้ สรุปว่า หินส่วนมากมีแร่เป็ น องคป์ ระกอบชนิดเดียวหรือหลายชนิด พร้อมแสดงเหตุผลจากขอ้ มลู ท่ีสงั เกต ซ่ึงจาก การทากิจกรรมควรสรุปไดว้ า่ หินประกอบดว้ ยแร่ต้งั แต่ 1 ชนิดข้ึนไป จานวนแร่ในหิน อาจสงั เกตไดจ้ ากจานวนสีในหิน หรือขอ้ มลู อ่ืนๆ อยา่ งไรก็ตามการท่ีจะรู้จานวนแร่ใน หินอยา่ งถกู ตอ้ งจะตอ้ งนาหินไปตรวจสอบในหอ้ งปฏบิ ตั ิการ กจิ กรรม 2.3 แร่แต่ละชนดิ มสี มบตั อิ ย่างไร 1. วทิ ยากรใหผ้ รู้ ับการอบรมแต่ละกลมุ่ ร่วมกนั อภิปรายว่าอยากรู้อะไรเกี่ยวกบั แร่ และจะ มีวธิ ีสารวจตรวจสอบสิ่งที่อยากรู้ไดอ้ ยา่ งไร จากน้นั ใหน้ าเสนอ 2. วทิ ยากรใหผ้ รู้ ับการอบรมอา่ นใบความรู้เก่ียวกบั การตรวจสอบสมบตั ิของแร่ จากน้นั ตรวจสอบความเขา้ ใจของผรู้ ับการอบรมโดยอาจใหผ้ รู้ ับการอบรมออกมาสรุปให้ฟัง วา่ จะทาอยา่ งไร (ใหผ้ รู้ ับการอบรมแต่ละคนอธิบายวิธีตรวจสอบสมบตั ิของแร่คนละ อยา่ ง) 3. นาตวั อยา่ งแร่แต่ละชนิดมาสงั เกตและศึกษาสมบตั ิทางกายภาพ ไดแ้ ก่ ความหนัก สี สี ผงละเอยี ด ความแขง็ ความวาว สภาพแมเ่ หลก็ และตรวจสอบสมบตั ิทางเคมี บนั ทึก ผลการทากิจกรรม 4. แต่ละกลุม่ นาเสนอผลการทากจิ กรรมและร่วมกนั อภิปราย จนไดข้ อ้ สรุปว่าอะไรบา้ ง เป็นสมบตั ิทางกายภาพและเคมขี องแร่ โดยวทิ ยากรอาจใชค้ าถามดงั ต่อไปน้ี - ใหแ้ ต่ละกลมุ่ บอกลกั ษณะของแร่ที่สงั เกตมากลุ่มละ 1 อยา่ ง ไมซ่ ้ากนั สถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

68 - ลกั ษณะใดบา้ งที่เป็นสมบตั ิทางกายภาพ และลกั ษณะใดเป็นสมบตั ิทางเคมี ของแร่ เพราะเหตุใด - แร่ชนิดหน่ึงๆ มสี มบตั ิทางกายภาพและทางเคมีคงท่ีหรือไม่ เพราะเหตุใด (คงท่ีเพราะเป็นธาตุหรือสารประกอบท่ีมโี ครงสร้างภายในค่อนขา้ งคงที่) - จะสรุปสิ่งที่คน้ พบจากขอ้ มลู ไดว้ า่ อยา่ งไร (แร่ต่างๆ มสี มบตั ิทางกายภาพและ สมบตั ิทางเคมที ้งั ท่ีเหมือนกนั และแตกต่างกนั ) - การเห็นผลกึ แร่ในหินน้นั โดยทว่ั ไปจะเห็นเพียงแค่ดา้ นเดียว ส่วนการ มองเห็นแร่ที่เป็น 3 มติ ิน้นั จะมองเห็นไดย้ าก การวดั และประเมนิ ผล 1. การมสี ่วนร่วมในการทากจิ กรรมของผเู้ ขา้ รับการอบรม 2. การแสดงความคิดเห็นต่อช้นั เรียน 3. การตอบคาถามในใบบนั ทึกกิจกรรม 4. การตอบคาถามในใบสะทอ้ นการการเรียนรู้ การเตรียมล่วงหน้าวทิ ยากร 1. เตรียมกรดไฮโดรคลอริกเจือจาง (10% w/w) 2. ถา้ ตอ้ งการสอนกิจกรรมเพิ่มเติม เร่ือง การสร้างแบบจาลองแสดงรูปผลึกของแร่ วิทยากรควร ปริ้นหรือถ่ายเอกสารแม่แบบรูปผลึกในหนังชุดกิจกรรมหนา้ 17 – 19 โดยอาจปร้ินลงในกระดาษสี ขนาด A4 ข้อเสนอแนะเพมิ่ เตมิ เพอ่ื ใหก้ ิจกรรมเร่ืองการสร้างแบบจาลองของร่น่าสนใจมากข้ึน วิทยากรควรใหผ้ รู้ ับการ อบรมออกแบบแม่แบบจาลองรูปผลกึ ของแร่ชนิดต่างๆ สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

69 ความรู้เพม่ิ เตมิ สาหรับครู ชนิดแร่ เร่ือง ลกั ษณะท่วั ไปของตวั อย่างแร่ชนดิ ต่าง ๆ ทลั ก์ ลกั ษณะและสมบัตทิ ว่ั ไป การนาไปใช้ประโยชน์ และแหล่งทพี่ บ ยปิ ซัม แร่ทลั กเ์ ป็นแร่ในหมู่ซิลเิ กตชนิดหน่ึง มีสูตรเคมี 3MgO.4SiO2.H2O มีเน้ือคลา้ ย แคลไซต์ เทียนไขและเม่ือจับแลว้ จะรู้สึกล่ืนมือ มีเน้ืออ่อนจนเล็บขูดเป็ นรอยได้ มีค่า ความแขง็ เทา่ กบั 1 ตามสเกลของโมห์ ส่วนใหญ่ใชท้ าแป้ งฝ่ ุน สี เคร่ืองสาอาง ฟลูออไรต์ เคร่ืองเคลอื บดนิ เผา เซรามกิ และกระดาษ ควอตซ์ แร่ยิปซัมหรือแร่เกลือจืดเป็ นแร่ซัลเฟตชนิดหน่ึง มีสูตรเคมี CaSO4.2H2O มี เน้ือออ่ น มคี า่ ความแขง็ 2 ตามสเกลของโมห์ มีสีขาว หรือใสไม่มีสี อาจมีสีเทา เหลอื ง น้าผ้งึ แดง น้าตาลและมีสีคล้าจนถงึ ดา ประโยชนข์ องแร่ยปิ ซัมใชใ้ นการ ทาปูนปลาสเตอร์ ชอล์ก แผ่นยิปซัมบอร์ด ใช้เป็ นวัตถุดิบในอุตสาหกรรม ปูนซีเมนต์ และใชใ้ นการปรับสภาพความเคม็ ของดิน ในประเทศไทยพบมากที่ จงั หวดั นครสวรรค์ พจิ ิตรและสุราษฎร์ธานี แร่แคลไซตเ์ ป็นแร่ประกอบหินที่สาคญั มากชนิดหน่ึง พบมากในหินปูนและหินอ่อน มีสูตรเคมี CaCO3 มีคา่ ความแขง็ 3 ตามสเกลของโมห์ อาจมีสีหรือไม่มีสีก็ได้ และจะ ทาปฏิกิริยากบั กรดไฮโดรคลอริก แร่แคลไซตม์ ีแนวแตกแนวเรียบเป็ นรูปขนมเปี ยก ปูนท่ีชดั เจนและแร่แคลไซต์ท่ีพบ ประโยชน์ของแร่แคลไซต์จะใชใ้ นอุตสาหกรรม หลายชนิด นอกจากจะใชท้ าปูนขาวแลว้ แร่แคลไซต์ท่ีมีมลทินเจือปนน้อย จะใช้เป็ น ส่วนผสมของพลาสติก กระดาษ ยาสีฟันและยาง เป็ นต้น มีแหล่งผลิตท่ีสาคญั อยู่ที่ จงั หวดั สระบรุ ีและลพบรุ ี แร่ฟลอู อไรตเ์ ป็นแร่ท่ีสาคญั ของฟลูออรีน มีสูตรเคมี CaF2 ผลึกรูปลูกบาศก์ มี ลกั ษณะโปร่งใสจนถึงโปร่งแสง มีไดห้ ลายสีจนถึงไม่มีสี มีสมบตั ิเรืองแสงเม่ือ อยภู่ ายใตแ้ สงอลั ตราไวโอเลต มคี ่าความแข็ง 4 ตามสเกลของโมห์ พบเกิดเป็ น สายแร่ มปี ระโยชนใ์ นอตุ สาหกรรมการถลุงเหล็ก เป็ นสารช่วยใหโ้ ลหะหลอม ง่าย ใช้ทากรดฟลูออริก ในประเทศไทยพบมากทางภาคเหนือและภาคกลาง แหล่งผลติ ทใี่ หญ่ที่สุดในประเทศไทยอยทู่ ี่จงั หวดั ลาพูน แร่ควอตซ์หรือแร่เข้ียวหนุมานเป็ นแร่ประกอบหินที่สาคญั ชนิดหน่ึง เช่น ใน หินแกรนิต หินทราย หินควอตซ์ไซต์ มีสูตรเคมี SiO2 แร่ควอตซ์ปกติมสี ีขาวข่นุ แตท่ ่ีใสไมม่ ีสีกม็ แี ละมสี ีอืน่ ๆ ไดแ้ ก่ สีเขียว ชมพแู ละม่วง มีค่าความแขง็ 7 ตาม สเกลของโมห์ สามารถขูดกระจกเป็ นรอยได้ แร่ควอตซ์ที่เป็ นผลึกใช้ทา เครื่องประดบั เช่น โป่ งข่าม ที่อาเภอเถิน จังหวดั ลาปาง แร่ควอตซ์ท่ีเกิดใน แหล่งทรายแกว้ ใชใ้ นอุตสาหกรรมผลติ แกว้ และแร่ควอตซ์ที่พบบริเวณทางน้า (ทรายแม่น้า) จะใชใ้ นการก่อสร้าง เป็นตน้ สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชนดิ แร่ 70 ไพไรต์ ลกั ษณะและสมบตั ทิ วั่ ไป การนาไปใช้ประโยชน์ และแหล่งทีพ่ บ เฟลด์สปาร์ แร่ไพไรต์ เป็ นแร่โลหะซัลไฟด์ชนิดหนึ่ง มีสูตรเคมี FeS2 ส่วนใหญ่พบเป็ นผลึก เฮไลต์ รูปลูกบาศก์ แร่ไพไรต์มีสีเหลอื ง ผิวเป็ นเงาคล้ายโลหะทองคาจนส่วนใหญ่เข้าใจ ผิดคดิ ว่าเป็ นทองคา จึงเรียกกันว่า ทองคนโง่ เป็ นสินแร่กามะถันที่สาคญั ฮีมาไทต์ แมกนีไทต์ แร่เฟลดส์ ปาร์หรือแร่ฟันมา้ เป็ นแร่ประกอบหินอคั นีท่ีสาคญั ชนิดหน่ึง ส่วน แบไรต์ ใหญ่มสี ีขาวดา้ น ๆ เหมือนฟันของมา้ นิยมใชใ้ นงานอุตสาหกรรมเซรามิก ผง เฟลด์สปาร์ที่ผสมอยู่จะทาหนา้ ท่ีคล้ายฟลกั ซ์ ทาให้ผลิตภณั ฑ์มีเน้ือแขง็ แกร่ง เป็ นวตั ถุดิบที่สาคญั ในการผลิตถว้ ยชาม เครื่องเคลือบดินเผา เคร่ืองสุขภณั ฑ์ ต่าง ๆ ในประเทศไทย พบแร่น้ีอยใู่ นหินแกรนิต หินเพกมาไทตแ์ ละหินไนส์ แหล่งใหญ่พบทจ่ี งั หวดั ราชบรุ ีและตาก แร่เฮไลตห์ รือแร่เกลอื หินเป็นแร่คลอไรดช์ นิดหน่ึง มีสูตรเคมี NaCl อาจเกิดเป็ น เม็ดสมานแน่นหรือเป็ นผลึกรูปลูกบาศก์ก็ได้ มีรสเค็ม ส่วนใหญ่เกิดจากการ สะสมตวั เป็ นช้นั โดยการตกผลึกจากน้าเค็ม นิยมเรียกว่า เกลือหิน บริเวณท่ีมี เฮไลตอ์ ยใู่ ตด้ ินจะพบคราบขาวบนผวิ ดนิ ซ่ึงสามารถขดู เอามาละลายน้าแลว้ ตม้ จนไดผ้ ลกึ เกลือทีร่ ู้จกั กนั ว่า เกลอื สินเธาว์ นอกจากใชป้ รุงและถนอมอาหารแลว้ ยงั ใชใ้ นภาคอุตสาหกรรมอกี ดว้ ย แหล่งสาคญั พบอยู่ในภาคอีสานของประเทศ ไทย แร่ฮีมาไทตเ์ ป็ นแร่เหล็กออกไซด์ท่ีสาคัญชนิดหน่ึง มีสูตรเคมี Fe2O3 มีสีเทา เหลก็ ถึงดา มีความวาวเหมอื นโลหะ อาจเกิดเป็นแบบเน้ือสมานแน่นรูปไต เป็ น เส้ียน แร่ฮีมาไทตม์ สี ีผงละเอยี ดเป็นสีน้าตาลแดงหรือแดงอิฐ มีค่าความแข็ง 5-6 ตามสเกลของโมห์ พบทบี่ ริเวณเขาทบั ควาย จงั หวดั ลพบุรี แร่แมกนีไทตเ์ ป็ นแร่เหลก็ ออกไซด์ชนิดหน่ึง มีสูตรเคมี Fe3O4 สีแร่และสีผง ละเอียดเป็นสีดา มีสมบตั ิดดู ติดแมเ่ หลก็ บางกอ้ นเป็ นแม่เหลก็ เป็ นสินแร่เหลก็ ทีส่ าคญั มคี วามวาวเหมือนโลหะ เป็ นแร่ที่แขง็ และรู้สึกหนกั มือ ใชป้ ระโยชน์ เป็นสินแร่เหลก็ ซ่ึงถลงุ เอาโลหะมาใชใ้ นงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ พบท่ีเขาทบั ควาย จงั หวดั ลพบุรี แร่แบไรตม์ ีสูตรเคมี BaSO4 มสี ีขาว เหลอื งหรือไม่มสี ี เป็ นแร่ที่มีความแขง็ น้อย เมื่อบริ สุทธ์ิจะมีความถ่วงจาเพาะสูงมาก นิยมใช้ในทางการแพทย์เพื่อ วินิจฉัยโรค และนามาทาโคลนผงสาหรับงานเจาะสารวจระดบั ลกึ เชน่ งานเจาะ สารวจปิ โตรเลียมและใชใ้ นอุตสาหกรรมหลายประเภท แหล่งแบไรตท์ ี่พบใน ประเทศไทยส่วนมากเกิดเป็นสายแร่ พบทางตะวนั ตกและใตข้ องประเทศ เอกสารอ้างองิ : ราชบณั ฑิตยสถาน. 2544. พจนานุกรมศพั ทธ์ รณีวทิ ยา ฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน. อรุณการพิมพ.์ กรุงเทพฯ. 374 หนา้ สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

71 ความรู้เพม่ิ เตมิ สาหรับครู เร่ือง มาตราความแข็งของแร่ มาตราความแขง็ ของแร่ที่นิยมใชก้ นั อยา่ งแพร่หลาย คือ มาตราความแข็งของแร่ตามท่ีโมห์ (Mohs) กาหนดข้ึน ซ่ึงจะประกอบดว้ ยแร่มาตรฐาน 10 ชนิด เรียงลาดบั ต้งั แต่แร่ท่ีทนทานต่อการ ขดู ขีดนอ้ ยท่ีสุดจนถงึ มากท่ีสุด ไดแ้ ก่ ชื่อแร่ ค่าความแข็ง ชื่อแร่ ค่าความแขง็ ทลั ก์ 1 ออร์โทเคลส 6 ยปิ ซมั 2 ควอตซ์ 7 แคลไซต์ 3 โทแพซ 8 ฟลอู อไรต์ 4 คอรันดมั 9 อะพาไทต์ 5 เพชร 10 เอกสารอ้างองิ ราชบณั ฑิตยสถาน. 2544. พจนานุกรมศพั ทธ์ รณีวิทยา ฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน. อรุณการ พมิ พ.์ กรุงเทพฯ. 374 หนา้ สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

72 ตวั อยา่ งการบนั ทึกกิจกรรมท่ี 2.1 ช่ือ.................................................................. ช้นั ...................... เลขท่ี ....................... วนั ท่ี................................ เดือน.................................... พ.ศ. .......................... วาดรูปพร้อมบรรยายลกั ษณะของหินท้งั 2 ชนิด หนิ หมายเลข 12 หนิ หมายเลข 1 หินแกรนิ ต หินอ่อน มเี น้ือหยาบ มหี ลายสี เน้ือละเอยี ด มีสีขาว คาถามชวนคดิ คาดคะเนและใหเ้ หตุผลว่า ทาไมหินท้งั 2 กอ้ นจึงมลี กั ษณะแตกต่างกนั _เน_่ือ_งจ_า_กช_น_ิด_แ_ล_ะจ_า_นว_น_ข_อ_งแ_ร_่ท_่ีเป_็น_ส_่ว_น_ป_ระ_ก_อ_บ_ข_อ_งห_ิน_ท_้งั _2_ช_นิ_ด_แต_ก_ต_่าง_ก_นั _____ _________________________________________________ _________________________________________________ _________________________________________________ _________________________________________________ สถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

73 ตวั อยา่ งการบนั ทึกกิจกรรมท่ี 2.2 ช่ือ.................................................................. ช้นั ...................... เลขท่ี ....................... วนั ท่ี................................ เดือน.................................... พ.ศ. .......................... หมายเลขหิน จานวนแร่ ลกั ษณะท่ีสังเกต 13 เน้ือหยาบมองเห็นเป็นลวดลายและมี 3 สี 21 เน้ือหยาบ มองเห็นเป็นสีเทาเขม้ ท้งั กอ้ น คาถามชวนคดิ ถา้ อยากร้จู านวนที่แน่นอนว่าหินแต่ละชนดิ มีแรเ่ ปนองคป์ ระกอบอยู่เท่าไหร่ จะทาไดอ้ ย่างไร _____นา_ต_ัวอ_ย_่าง_หนิ_ไ_ป_วเิ ค_ร_าะ_ห_ห์ _าช_น_ดิ ข_อ_งแ_ร่ท_ีเ่ _ปน_อ_งค_ป์ _ระ_ก_อบ_ใ_น_หอ้_ง_ปฏ_บิ _ตั _กิ า_ร_________ _________________________________________________ _________________________________________________ _________________________________________________ _________________________________________________ สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

74 ตวั อยา่ งการบนั ทึกกิจกรรมที่ 2.3 ช่ือ.................................................................. ช้นั ...................... เลขท่ี ....................... วนั ท่ี................................ เดือน.................................... พ.ศ. .......................... แร่ ความ ความ สมบัติทางกายภาพ การดึงดดู การทา หนกั แขง็ สี สีผง ความวาว แม่เหลก็ ปฏกิ ริ ิยา กบั HCl ละเอยี ด ไมท่ า แมกนี หนกั 5-6 สีดา สีดา เหมอื น ดึงดดู แม่เหลก็ ปฏิกิริยา ไทต์ มาก โลหะ ยปิ ซมั ปาน 2 ขาว สีขาว เหมอื นมกุ ไมด่ ึงดูด ไม่ทา เหมือนแกว้ แมเ่ หลก็ ปฏกิ ริ ิยา กลาง เหมือนไหม คาถามชวนคดิ 1. ถ้าอยากเปรยี บเทียบความหนักของแรท่ ้ัง 12 ชนดิ จะทาได้อยา่ งไร (ก้อนแร่ท้ัง 12 ชนดิ มี ขนาดไม่เทา่ กนั ) _ห_าค_่า_คว_า_มห_น_า_แ_น่_นข_อ_ง_แร_่แ_ต_่ละ_ช_น_ิด_จ_าก_น_้นั _น_าม_า_เป_ร_ียบ_เ_ท_ียบ_ก_นั ______________ _________________________________________________ 2. แร่ยิบซัมขดู ด้วยเลบ็ จะเกดิ รอยทีแ่ ร่ ขณะทแี่ ร่แคลไซตข์ ดู ดว้ ยเหรยี ญทองแดงจะเกิดรอย แต่ แมกนีไทต์ขูดด้วยแผ่นกระจกเกิดรอย สว่ นแร่ควอตซ์ขูดดว้ ยตะไบเหล็กเกิดรอย ใหเ้ รียงลาดบั ความแขง็ ของแรจ่ ากมากท่สี ุดไปหานอ้ ยทสี่ ดุ _ค_ว_อ_ต_ซ__์ แ_ม__ก_น_ีไ_ท__ต_์ แ__ค_ล_ไ_ซ_ต__์ แ_ล_ะ__ย_ปิ _ซ__มั _ต__า_ม_ล_า_ด_บั ___________________________________ ___________________________________________________________________________ สถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

75 แผนการอบรมครู 3 เวลา 1.5 ชวั่ โมง สาระท่ี 6 โลกและการเปล่ียนแปลง เรื่อง การเกดิ หินอคั นี แนวความคดิ หินอคั นีเป็นหินที่เกิดจากการเยน็ ตวั และตกผลึกของหินหนืดและลาวาท่ีอย่ใู ต้พ้ืนผิวโลกและบน พ้ืนผิวโลกตามลาดบั ลกั ษณะการเกิดของหินอคั นีท่ีแตกต่างกนั จะทาใหเ้ น้ือหินที่ได้มีลกั ษณะ ต่างกนั เช่น มลี กั ษณะเน้ือผลึกหยาบ เน้ือละเอยี ด เน้ือแกว้ และเน้ือฟองอากาศ เป็นตน้ จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. วเิ คราะหส์ ถานะการณ์จาลองเพื่ออธิบายลกั ษณะการเคลือ่ นตวั ของหินหนืด 2. สร้างสถานการณ์จาลองเพื่ออธิบายการตกผลกึ ของแร่ขณะท่ีลาวาเยน็ ตวั ลง 3. อธิบายการเกิดหินอคั นี ความรู้พนื้ ฐาน โครงสร้างโลกแบ่งตามสมบตั ิทางกายภาพออกเป็ นช้นั เปลือกโลก ช้นั เน้ือโลก และช้นั แก่นโลก ความเข้าใจคลาดเคลอื่ น - หินหนืดเป็นหินท่ีหลอมเหลวในช้นั เน้ือโลกและช้นั แก่นโลก (หินหนืดเป็นหินที่หลอมเหลวในช้นั เปลอื กโลกตอนล่างจนถึงช้นั เน้ือโลก) - หินอคั นีเกิดจากการระเบิดของภเู ขาไฟเสมอ แนวทางการจดั กจิ กรรม กจิ กรรม 3.1 หินหนดื เคลอ่ื นตวั อย่างไร 1. วทิ ยากรใหผ้ รู้ ับการอบรมทากิจกรรม KWL เก่ียวกบั การจาแนกหินของนกั ธรณีวิทยา 2. วทิ ยากรและผเู้ ขา้ รับการอบรมร่วมกนั อภิปรายการจาแนกประเภทของหินตามเกณฑ์ ของนักธรณีวิทยา จนไดข้ อ้ สรุปว่า ถา้ พิจารณาตามลกั ษณะการเกิดจะจาแนกหินได้ เป็น 3 ประเภทคือ หินอคั นี หินตะกอน และหินแปร 3. ใช้ Video Clip แสดงการระเบิดของภเู ขาไฟ แลว้ ให้ผรู้ ับการอบรมร่วมกนั อภิปรายว่า หินอคั นีเกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟเสมอไปหรือไม่ ผรู้ ับการอบรมจะแสดงความ สถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

76 คิดเห็นไดห้ ลากหลาย โดยวิทยากรไม่จาเป็ นตอ้ งแกไ้ ขที่เป็ นความเขา้ ใจคลาดเคล่ือน แต่ตอ้ งใหส้ นใจกบั ความคิดเห็นต่างๆ ดว้ ยการบนั ทึกความคิดเห็นเหล่าน้นั ไว้ 4. วิทยากรและผรู้ ับการอบรมร่วมสร้างสถานการณ์จาลองการเคล่อื นตวั ของหินหนืดตาม ใบกิจกรรม 3.1 โดยให้ผรู้ ับการอบรมแต่ละกลุ่มคาดคะเนสิ่งที่จะเกิดและลงมือทา กิจกรรม 5. ผรู้ ับการอบรมแต่ละกลุ่มนาเสนอขอ้ มูลจากการสังเกต ซ่ึงไม่ซ้ากบั กลุ่มอื่น (ควรได้ ขอ้ มลู วา่ เม่ือใหค้ วามร้อนเทียนจะหลอมเหลวจากน้นั จะค่อยๆ ดนั ตวั ข้ึนแทรกเขา้ ไป ในช้นั ทราย จนในที่สุดดนั ตวั ผา่ นช้นั ทรายออกไปที่ช้นั ของน้า) 6. วทิ ยากรเสนอขอ้ เทียบเคียงว่า ถา้ ให้ช้นั ของสารต่างๆ ในบีกเกอร์แทนช้นั ต่างๆ ของ โครงสร้างโลก เทียนที่หลอมแทนหินหนืด ซ่ึงเกิดจากหินในช้นั เปลือกโลกตอนล่าง และช้นั เน้ือโลกบางส่วนเกิดการหลอมเหลว การให้ความร้อนกบั บีกเกอร์แทนการ เพิม่ ข้ึนของอุณหภูมิอยา่ งรวดเร็ว และการกดทบั ของสารในบีกเกอร์แทนความดนั ที่ เพ่มิ ข้ึนภายในโลก ผรู้ ับการอบรมอธิบายการเคล่ือนที่ของหินหนืดไดอ้ ยา่ งไร (ผลของ การเพมิ่ ข้ึนของอุณหภูมิและความดนั อยา่ งรวดเร็ว ทาให้หินเกิดการหลอมเหลวเป็ น หินหนืด บางส่วนเยน็ ตวั ใตผ้ วิ โลก บางส่วนเคล่ือนออกสู่ผวิ โลกเหมือนการปะทุของ ภูเขาไฟเป็นลาวาเยน็ ตวั บนผวิ โลก) 7. ใหผ้ รู้ ับการอบรมร่วมกนั อภิปรายและลงขอ้ สรุปตามประเดน็ ต่างๆ ดงั น้ี - ผลการสงั เกตสถานการณ์จาลองน้ีเป็นไปตามที่คาดคะเนหรือไมอ่ ยา่ งไร - สถานการณ์จาลองน้ี มีอะไรบ้างท่ีหมือนสถานการณ์จริง และมีอะไรที่ไม่ เหมือน - หินหนืดเกิดข้ึนเฉพาะช้นั เน้ือโลกหรือไม่ 8. วิทยากรให้ความรู้เพ่ิมเติมว่า หินท่ีเกิดจากการที่หินหนืดบางส่วนเยน็ ตัวใตผ้ วิ โลก เรียกว่า หินอคั นีแทรกซอน ส่วนหินท่ีเกิดจากหินหนืดท่ีประทุออกสู่ผวิ โลกและเยน็ ตวั บนผวิ โลกเรียกว่า หินอคั นีพุ ในบางคร้ังการเคล่ือนของหินหนืดไม่ไดป้ ระทุข้ึนมาบน ผวิ โลก ซ่ึงไมเ่ กิดการระเบิดของภเู ขาไฟ มีแต่หินหนืดบางส่วนเยน็ ตวั ใตผ้ วิ โลก ดงั น้นั หินอคั นีไม่ไดเ้ กิดเนื่องจากการระเบิดของภูเขาไฟเพียงอยา่ งเดียว กจิ กรรม 3.2 หินอคั นที เ่ี กดิ บนและในเปลอื กโลกเป็ นอย่างไร 1. วิทยากรใหผ้ รู้ ับการอบรมคาดคะเนและให้เหตุผลว่า หินหนืดท่ีเยน็ ตวั ใตผ้ ิวโลกและ ลาวาเยน็ ตวั บนผวิ โลก จะเกิดผลกึ ของแร่ลกั ษณะอย่างไร ใหแ้ ต่ละกลุ่มบนั ทึกผลการ สถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

77 ต้งั สมมติฐาน แลว้ ช่วยกนั ทาการทดลองการเกิดหินอคั นีตามใบกิจกรรม3.2 และ บนั ทึกผลการทดลองลงในใบบนั ทึกผลการทากิจกรรม 2. แต่ละกลุม่ นาเสนอผลการทดลอง และร่วมกนั อภิปรายตามคาถามดงั น้ี - การเยน็ ตวั ของสารสม้ ในถว้ ยฟอยลใ์ บใดท่ีเยน็ ตวั เร็ว - สารสม้ ในถว้ ยที่เยน็ ตวั เร็วเทียบกบั การเยน็ ตวั ของหินหนืดที่ใด - สารสม้ ในถว้ ยที่เยน็ ตวั ชา้ เทียบไดก้ บั การเยน็ ตวั ของหินหนืดท่ีใด - สารสม้ ที่เยน็ ตวั เร็วและชา้ จะทาใหเ้ กิดผลึก มลี กั ษณะอยา่ งไร เพราะเหตุใด - จะสรุปผลการทดลองน้ีไดอ้ ย่างไร (หินหนืดที่เยน็ ตวั ใตผ้ วิ โลกจะเยน็ ตวั ชา้ ทา ใหเ้ กิดผลึกของแร่ขนาดใหญ่ของหินอคั นีแทรกซอน ส่วนหินหนืดที่เป็ นลาวา เยน็ ตวั เหนือผวิ โลกจะเยน็ ตวั เร็ว เป็ นผลใหเ้ กิดผลึกของแร่มีขนาดเล็กของหิน อคั นีพุ การวดั และประเมนิ ผล 1. การมีส่วนร่วมในการทากิจกรรมของผเู้ ขา้ รับการอบรม 2. การแสดงความคิดเห็นต่อช้นั เรียน 3. การตอบคาถามในใบบนั ทึกกิจกรรม 4. การตอบคาถามในใบสะทอ้ นการการเรียนรู้ การเตรียมล่วงหน้าวทิ ยากร ทรายหรือกรวดละเอยี ดที่จะใชท้ ากิจกรรมจะตอ้ งลา้ งใหส้ ะอาด ข้อเสนอแนะเพม่ิ เตมิ - สถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

78 ความรู้เพมิ่ เตมิ สาหรับครู เร่ือง หนิ อคั นี นกั ธรณีวิทยาแบ่งหินตามลกั ษณะการเกิด ออกเป็ น 3 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ หินอคั นี (Igneous Rocks) หินตะกอนหรือหินช้ัน (Sedimentary Rocks) และหินแปร (Metamorphic Rocks) หินอคั นีเป็นหินท่ีเกิดจากการเยน็ ตวั และตกผลกึ ของหินหนืดซ่ึงอาจเกิดข้ึนใตพ้ ้ืนผิวโลก หรือบนพ้ืนผวิ โลกกไ็ ด้ ลกั ษณะการเกิดของหินอคั นีท่ีแตกต่างกันจะทาให้เน้ือหินที่ไดม้ ีลกั ษณะ ต่างกนั เช่น มลี กั ษณะเน้ือผลึกหยาบ เน้ือละเอียด เน้ือแกว้ และเน้ือฟองอากาศ เป็นตน้ หินอคั นีแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 1. หนิ อคั นแี ทรกซอน (Intrusive Igneous Rocks) หินชนิดน้ีเกิดจาการเยน็ ตวั ของหินหนืด ซ่ึงอย่ลู ึกลงไปใตเ้ ปลือกโลกซ่ึงเราจะเรียก หินหนืดน้นั ว่า แมกมา (Magma) โดยหินแมกมาจะแทรกดนั ข้ึนมาอย่เู ปลือกโลกระดบั หน่ึง แลว้ เยน็ แข็งเสียก่อนจะออกสู่ผวิ โลก ขณะที่แมกมาเยน็ ตวั ลง แร่จะตกผลึกและผลึกจะค่อยๆ เติบโตข้ึน ผลึกแร่จึงหยาบและมีลกั ษณะเป็ นเหล่ียมเกาะประสานตวั กันอย่างแน่นสนิท ตวั อยา่ งของหินอคั นีแทรกซอน ไดแ้ ก่ หินแกรนิต หินไดออไรต์ และหินแกบโบร 2. หนิ อคั นพี ุ (Extrusive Igneous Rocks) เกิดจากหินหนืดที่ปะทุออกมานอกผิวโลกซ่ึงเราจะเรียกหินหนืดน้ันว่า ลาวา (Lava) ปรากฏการณ์ลกั ษณะน้ีเรียกว่า ภเู ขาไฟระเบิด (Volcanism) การที่หินแมกมาปะทุออกมานอกผิว โลกน้นั จะเกิดการเยน็ ตวั เร็วมาก แร่จะมเี วลาในการตกผลกึ นอ้ ย ดงั น้นั ผลึกแร่จะมีขนาดเล็กมาก จนมองดว้ ยตาเปล่าไมเ่ ห็น และถา้ ยงิ่ เยน็ ลงเร็วอยา่ งฉับพลนั ดว้ ยแลว้ ผลึกอาจไม่เกิดข้ึนเลย เน้ือ หินที่เกิดข้ึนจึงมีลกั ษณะเนียนเป็ นแก้ว เช่น หินออบซิเดียน (Obsidian) หินเพอร์ไลต์ (Perlite) เป็ นตน้ สถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

79 ตวั อยา่ งการบนั ทึกกิจกรรมท่ี 3.1 ช่ือ.................................................................. ช้นั ...................... เลขที่ ....................... วนั ท่ี................................ เดือน.................................... พ.ศ. .......................... 1. วาดรูปและบนั ทึกผลการคาดคะเน พร้อมบอกเหตุผล รูปและคาอธิบายตามที่คาดคะเน 2. วาดรูปและอธิบายผลการสงั เกต รูปและคาอธิบายตามที่สงั เกต คาถามชวนคดิ ปรากฏการณ์ใดในธรรมชาติท่ีมีลกั ษณะคลา้ ยคลงึ กบั การเปลย่ี นแปลงของเทียนไขในกจิ กรรมน้ี การเกดิ หินอคั นีซ่ึงเป็นผลมาจากการเพ่มิ ข้ึนของอุณหภูมิและความดนั อยา่ งรวดเร็ว ทาใหห้ ินเกดิ การหลอมเหลวเป็นหินหนืด บางส่วนเยน็ ตวั ใต้ ผวิ โลก บางส่วนเคลอ่ื นออกสู่ผวิ โลกเหมอื นการปะทุของภเู ขาไฟเป็น ลาวาเยน็ ตวั บนผวิ โลก สถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

80 ตวั อยา่ งการบนั ทึกกิจกรรมที่ 3.2 ชื่อ.................................................................. ช้นั ...................... เลขที่ ....................... วนั ท่ี................................ เดือน.................................... พ.ศ. .......................... 1. บนั ทึกผลการทากิจกรรม ลกั ษณะของผลกึ ถ้วยใบที่ เวลาในการเยน็ ตวั ผลกึ มีขนาดเลก็ 1 เร็ว 2 ชา้ ผลึกมีขนาดใหญ่ คาถามชวนคดิ 1. การเยน็ ตวั ของสารสม้ ใบท่ี 1 เทียบไดก้ บั การเกดิ หินประเภทใด และผลึกแร่ของหินประเภทน้ี เป็นอยา่ งไร เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นน้นั เทียบไดก้ บั การเกดิ หินอคั นีพซุ ่ึงมีผลึกแร่ขนาดเลก็ และละเอยี ด ผลกึ มีขนาดเลก็ เน่ืองจากสารมกี ารเยน็ ตวั (ตกผลกึ ) อยา่ งรวดเร็ว 2. การเยน็ ตวั ของสารสม้ ใบที่ 2 เทียบไดก้ บั การเกิดหินประเภทใด และผลึกแร่ของหินประเภทน้ี เป็นอยา่ งไร เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นน้นั เทียบไดก้ บั การเกิดหินอคั นีแทรกซอนซ่ึงมผี ลกึ แร่ขนาดใหญ่ ผลึกมีขนาดใหญ่เน่ืองจากสารมกี ารเยน็ ตวั (ตกผลกึ ) อยา่ งชา้ ๆ สถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

81 แผนการอบรม 4 สาระท่ี 6 โลกและการเปลี่ยนแปลง เวลา 1.5 ชว่ั โมง เรื่อง การเกิดหินตะกอน แนวความคดิ หินตะกอนเป็นหินที่เกิดจากการสะสมและทบั ถมของตะกอนที่มีขนาดต่างๆ กนั จาพวก กรวด ทราย เศษหิน เศษแร่ ดิน ซากพชื ซากสตั ว์ โดยที่ตวั กลาง เช่น น้า ลมและธารน้าแข็ง จะพดั พาตะกอนดงั กล่าวมาสะสมในบริเวณแอ่งสะสมตะกอน เมื่อตะกอนต่างๆ สะสมตวั กันมากข้ึน น้าหนกั ของตะกอนท่ีกดทบั อยดู่ า้ นบน และ/หรือจากการถกู เช่ือมประสานดว้ ยวตั ถุประสานตะกอน ชนิดต่างๆ จะทาใหต้ ะกอนดงั กลา่ วเกิดการแขง็ ตวั กลายเป็นหินตะกอนข้ึน และหินตะกอนอาจเกิด จากการตกตะกอนจากสารละลายทางเคมกี ไ็ ด้ เช่น หินปูน เป็นตน้ จดุ ประสงค์การเรียนรู้ 1. สร้างแบบจาลองและอธิบายการเกิดหินตะกอน 2. อภิปรายเปรียบเทียบการเกิดหินตะกอนในธรรมชาติกบั แบบจาลอง ความรู้พนื้ ฐาน แรงดึงดดู หรือแรงโนม้ ถว่ งของโลกจะกระทาต่อวตั ถุที่มีมวลในทิศทางเขา้ หาจุดศูนยก์ ลาง ของโลก ความเข้าใจคลาดเคลอื่ น 1. กระบวนการเกิดหินตะกอนเก่ียวขอ้ งกบั ความร้อน 2. หินตะกอนท่ีแตกออกจะกลายเป็นหินแปร วธิ ีการจดั กจิ กรรม กจิ กรรม 4.1 หินตะกอนเกดิ ขึน้ ได้อย่างไร (1) 1. วทิ ยากรใหผ้ รู้ ับการอบรมแต่ละกลุ่มยกตวั อยา่ งหินตะกอนที่รู้จกั แลว้ ร่วมกนั อภิปราย ว่าเกิดข้ึนไดอ้ ยา่ งไร พร้อมบอกเหตุผล 2. ผรู้ ับการอบรมทากิจกรรมตามใบกิจกรรม 4.1 บนั ทึกผลในใบบนั ทึกกิจกรรม 3. แต่ละกลุ่มนาเสนอผลการทากิจกรรม แลว้ ร่วมกนั อภิปรายเพ่ือสรุปผลตามประเด็น ต่างๆดงั น้ี สถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

82 - กรวดหยาบ ทรายหยาบ และทรายละเอยี ด มีมวลเท่ากนั หรือไม่ อยา่ งไร - เม่ือเทของผสม กรวดหยาบ ทรายหยาบ และทรายละเอียด ลงในน้า จะเกิด อะไรข้ึน เป็นเพราะเหตุใด - กรวดที่มีขนาดต่างกนั ตกตะกอนพร้อมกนั หรือไม่ ขณะท่ีตะกอนขนาดใหญ่ ตกตะกอน ตะกอนขนาดอน่ื อยทู่ ี่ไหน และเราจะเรียกสภาพน้ีวา่ อยา่ งไร - ถา้ เรียงลาดบั จากกน้ ขวดข้ึนไป จะพบอะไรบา้ ง ทาไมจึงเป็นเช่นน้นั - เม่อื ทาซ้าอีก 2 คร้ัง ไดผ้ ลเช่นเดิมหรือไม่ - จะสรุปขอ้ คน้ พบไดว้ า่ อยา่ งไร 4. ให้ผูร้ ับการอบรมแต่ละกลุ่มร่วมกันอภิปรายเปรี ยบเทียบการเกิดหินตะกอนใน ธรรมชาติกบั แบบจาลอง โดยมปี ระเด็นการอภิปรายดงั น้ี - ในธรรมชาติมีปัจจยั อะไรบา้ งที่พาตะกอนไปสะสมและทบั ถมในแอ่งสะสม ตะกอน - ตะกอนที่สะสม แข็งตวั เป็นหินตะกอนไดอ้ ยา่ งไร กจิ กรรม 4.1 หินตะกอนเกดิ ขึน้ ได้อย่างไร (2) 1. วทิ ยากรถามผรู้ ับการอบรมว่า ในธรรมชาติมีกระบวนการอ่ืนที่ทาใหเ้ กิดหินตะกอนอีก หรือไม่ ใหแ้ ต่ละกลุ่มร่วมกนั อภิปรายและนาผลการอภิปรายเสนอความคิดเห็นต่อช้นั เรียน แลว้ ใหต้ รวจสอบความคิดเห็นโดยทากิจกรรมตามใบกิจกรรม 4.2 บนั ทึกผลใน ใบบนั ทึกกิจกรรม 2. แต่ละกลุ่มนาเสนอผลการสงั เกตและร่วมกนั อภิปรายเพ่ือสรุปขอ้ คน้ พบโดยมีคาถามที่ นาไปสู่การสรุปดงั น้ี - กิจกรรมน้ีเกิดปฏกิ ิริยาเคมีข้ึนหรือไม่ ทราบไดอ้ ยา่ งไร - ในธรรมชาติมีเหตุการณ์ใดบา้ งที่คลา้ ยคลึงกับกิจกรรมน้ี ซ่ึงทาใหเ้ กิดหิน ตะกอน - การเกิดหินตะกอนในกิจกรรม 4.1 และ 4.2 แตกต่างกนั หรือไมเ่ พราะเหตุใด 3. วทิ ยากรใหค้ วามรู้เพิม่ เติมเก่ียวกบั การเกิดหินตะกอนพร้อมกบั ยกตวั อย่างการเกิดหิน ตะกอนในธรรมชาติซ่ึงสามารถพบเห็นไดท้ วั่ ไป การวดั และประเมนิ ผล 1. การมสี ่วนร่วมในการทากิจกรรมของผเู้ ขา้ รับการอบรม 2. การแสดงความคิดเห็นต่อช้นั เรียน สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

83 3. การตอบคาถามในใบบนั ทึกกิจกรรม 4. การตอบคาถามในใบสะทอ้ นการการเรียนรู้ การเตรียมล่วงหน้าวทิ ยากร - สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

84 ความรู้เพมิ่ เตมิ สาหรับครู เร่ือง การเกดิ หินตะกอน การเกดิ หินตะกอน (Sedimentary Rocks) กระบวนการต่างๆ ท่ีมผี ลต่อการเกิดการสะสมตวั ของหินตะกอน 1. การผพุ งั จากหินเดิม 2. การเคลอ่ื นยา้ ยเศษหิน ดิน แร่จากแหลง่ ผพุ งั สู่ท่ีท่ีเหมาะสมในการตกทบั และสะสมตวั 3. การสะสมตวั ของเศษหิน ดิน แร่ และขบวนการแข็งตวั หินตะกอนโดยทวั่ ไปมกั ประกอบดว้ ยหินสาคญั ๆ 3 กลมุ่ คือ 1. กลมุ่ ที่เกิดจากการสะสมตวั ของเศษหิน ดิน และเศษแร่ (Detrital Fraction) ซ่ึงมลี กั ษณะ เป็นเมด็ เป็นกอ้ นที่มขี นาดเท่าๆกนั หรือต่างกนั (Clastic Sedimentary Rocks) 2. กลุ่มที่เกิดจากการตกตะกอนของสารละลายซ่ึงปนอยใู่ นน้า (Chemical Sed. Rles) 3. กล่มุ ท่ีเกิดซากพชื และซากสตั ว์ ซ่ึงสะสมตวั ร่วมกบั เศษหิน เศษดินต่างๆ (Biogenic Sedimentary Rocks) ตารางการแบ่งหนิ ตะกอนอย่างง่ายๆ กาเนดิ เนือ้ ดนิ ขนาดหรือ ช่ือหิน ส่ วนประกอบ การทบั ถมของตะกอน เป็นเมด็ (Clastic) 4 – 2 mm. และใหญ่กว่า หินกรวดมน (Detrital) 2 – 1/16 mm. หินทราย 1/16 – 1/256 mm. หินทรายแป้ ง 1/16 – 1/256 mm. และเล็ก หินโคลน และ กวา่ หินดนิ ดาน กระบวนการทางเคมีอ เป็ นเมด็ และไม่เป็ นเมล็ด แคลไซต์ หินปูน นินทรีย์ (Clastic & Nonclastic) โดโลไมต์ หินโดโลไมต์ เฮไลต์ เกลอื ยปิ ซัม เกลอื หิน ยปิ ซมั อินทรียห์ รือชีวเคมี เป็ นเม็ดและไม่เป็ นเม็ด แคลไซต์ หินปนู (Clastic & Nonclastic) ซากพชื ซากสตั ว์ ถ่านหิน หินน้ามนั สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

85 ตวั อยา่ งการบนั ทึกกิจกรรมท่ี 4.1 ช่ือ.................................................................. ช้นั ...................... เลขท่ี ....................... วนั ที่................................ เดือน.................................... พ.ศ. .......................... วาดรูปและบนั ทกึ ผลการสงั เกต รูปและคาอธิบายตามท่ีสงั เกตจริง คาถามชวนคดิ สรุปผลจากกิจกรรมไดว้ ่าอยา่ งไร ______ก_อ้ _น_ก__ร_ว_ด_ท_่ีม__ขี _น_า_ด_ใ_ห__ญ_่แ_ล_ะ__น_้า_ห_น__กั _ม_า_ก_จ_ะ_ต__ก_ต_ะ_ก_อ_น__ล_ง_ม_า_ก_่อ__น_______________________ _______________________________________________________________________________ _______________________________________________________________________________ _______________________________________________________________________________ _______________________________________________________________________________ สถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

86 ตวั อยา่ งการบนั ทึกกิจกรรมที่ 4.2 ชื่อ.................................................................. ช้นั ...................... เลขที่ ....................... วนั ท่ี................................ เดือน.................................... พ.ศ. .......................... 1. บนั ทึกผลการคาดคะเน ผลการคาดคะเนตามจริง 2. วาดรูปและอธิบายส่ิงท่ีสงั เกตพบ รูปภาพและคาอธิบายตามการสงั เกตจริง คาถามชวนคดิ ปรากฏการณ์ใดในธรรมชาติท่ีมกี ระบวนการเกิดคลา้ ยคลงึ กบั กิจกรรมน้ี ____________ก_า_ร_เ_ก_ิด_ห_ิน__ง_อ_ก_ห_ิน__ย_อ้ _ย__________________________________________________ _______________________________________________________________________________ _______________________________________________________________________________ _______________________________________________________________________________ _______________________________________________________________________________ สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

87 แผนการอบรม 5 สาระท่ี 6 โลกและการเปลีย่ นแปลง เวลา 1.5 ชว่ั โมง เร่ือง การเกิดหินแปร แนวความคดิ หินแปรเป็นหินท่ีเกิดจากการเปลยี่ นแปลงลกั ษณะ และ/หรือ ส่วนประกอบของหินเดิมใน สภาพท่ีเป็นของแขง็ เกิดข้ึนเนื่องจาก ความร้อน ความดนั และปฏกิ ิริยาเคมีของสารละลายที่เกิดข้ึน ภายใตผ้ วิ โลก จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. สร้างแบบจาลองและอธิบายการเกิดหินแปร 2. อภิปรายเปรียบเทียบการเกิดหินแปรในธรรมชาติกบั แบบจาลอง ความรู้พนื้ ฐาน การกดทบั ของมวลมหาศาลทาใหเ้ กิดความร้อน และความดนั ภายในโลก ความเข้าใจคลาดเคลอ่ื น - วธิ กี ารจดั กจิ กรรม กจิ กรรม 5 หินแปรเกดิ ขึน้ ได้อย่างไร 1. ใหผ้ เู้ ขา้ รับการอบรมสงั เกตภาชนะท่ีป้ันดว้ ยดินดิบ เปรียบเทียบกบั ดินเผา ใหแ้ ต่ละ กลุม่ ร่วมกนั อภิปรายวา่ แตกต่างกนั เพราะเหตุใด 2. วิทยากรถามผเู้ ขา้ รับการอบรมว่า ในธรรมชาติมีเหตุการณ์กรณีดงั กล่าวหรือไม่ หาก ตอ้ งการคาตอบใหท้ ากิจกรรมตามใบกิจกรรมท่ี 5 3. แต่ละกลมุ่ นาเสนอผลการสงั เกต แลว้ ร่วมกนั อภิปรายเพื่อลงขอ้ สรุป โดยวิทยากรใช้ คาถามดงั น้ี - ดินเหนียวท่ีได้รับความร้อนและถูกกดทับมีลักษณะอย่างไร เหมือนกัน หรือไม่ อะไรที่ทาใหเ้ ป็นเช่นน้นั - คลิปหนีบกระดาษในกอ้ นดินเหนียว ก่อนและหลงั ถกู กดทับดว้ ยหนังสือมี ลกั ษณะอยา่ งไร เหมือนกนั หรือไม่ เป็นเพราะเหตุใด สถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

88 - เมอ่ื นาดินเหนียวไปเผาจะมีลกั ษณะเปลี่ยนไปหรือไม่อยา่ งไร และคิดว่าเป็ น เพราะเหตุใด - จะอธิบายการเกิดหินแปรในธรรมชาติ เปรียบเทียบกับแบบจาลองน้ีได้ อยา่ งไร - จะสรุปขอ้ คน้ พบไดว้ ่าอยา่ งไร 4. วิทยากรและผรู้ ับการอบรมร่วมกนั อภิปรายเพ่ิมเติมจนไดข้ อ้ สรุปวา่ การเกิดหินแปรใน ธรรมชาติ ความร้อนและความดนั จะเกิดข้ึนพรัอมกนั และเกิดภายใตเ้ ปลือกโลกซ่ึงมี ความดนั มหาศาล การวดั และประเมนิ ผล 1. การมสี ่วนร่วมในการทากิจกรรมของผเู้ ขา้ รับการอบรม 2. การแสดงความคิดเห็นต่อช้นั เรียน 3. การตอบคาถามในใบบนั ทึกกิจกรรม 4. การตอบคาถามในใบสะทอ้ นการการเรียนรู้ การเตรียมล่วงหน้าวทิ ยากร - ข้อเสนอแนะเพม่ิ เตมิ - สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

89 ความรู้เพมิ่ เตมิ สาหรับครู เรื่อง การเกดิ หนิ แปร หินแปรเป็นหินท่ีเกิดจากการแปรสภาพของเดิมท่ีอาจเป็นหินตะกอน หินอคั นี หรือหินแปร ภายใตอ้ ทิ ธิพลของความร้อน และ ความดนั ซ่ึงอาจไดร้ ับอิทธิพลของอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง มากกว่า หินแปรบางชนิดยงั แสดงเคา้ เดิม บางชนิดผดิ ไปจากเดิมมากจนตอ้ งอาศยั ดู รายละเอียดของเน้ือใน หรือสภาพสิ่งแวดลอ้ มจึงจะทราบที่มา อยา่ งไรก็ตามหินแปรชนิด หน่ึงๆ จะมีองคป์ ระกอบเดียวกนั กบั หินตน้ กาเนิด แต่อาจจะมกี ารตกผลกึ ของแร่ใหม่ หรือ อาจเกิดแร่ใหม่ หินแปรอาจแสดงการเรียงตวั ของแร่ชดั เจนหรือไม่แสดงการเรียงตวั ของแร่ เลยกไ็ ด้ ตวั อยา่ งหินแปร หนิ แปร หินด้งั เดิม หินไนส์ - หินอคั นีเน้ือหยาบ - หินตะกอนเน้ือเมด็ หินควอร์ตไซต์ หินทราย หินชนวน หินดินดาน หินออ่ น หินปูน กระบวนการแปรสภาพ (Metamorphism) การแปรสภาพจากหินเดิมเป็นการเปล่ยี นแปลงทางส่วนประกอบท่ีเป็นแร่ หรือธาตุ หรือ เปลย่ี นทางเน้ือหิน หรือโครงสร้างของหินเดิม ตวั การสาคญั ที่ทาใหเ้ กิดการเปลย่ี นแปลงของหิน เดิม ไดแ้ ก่ 1. ความร้อน หรืออุณหภมู ิ 2. ความดนั 3. สารเคมี ความร้อน และความดนั เป็นตวั แปรสาคญั ที่ทาใหเ้ กิดการเปล่ียนแปลงของหิน ความร้อน และความดนั มอี ยทู่ ว่ั ไปในเปลอื กโลกยง่ิ ลึกลงไปยง่ิ มคี วามร้อน และความดนั มาก โดยปกติความ ร้อนจะเพิม่ ข้ึนประมาณ 3 องศาเซลเซียส ทุกๆ ความลกึ 100 เมตร นอกจากน้นั ความร้อนยงั อาจ ไดจ้ ากหินหลอมเหลวท่ีเคล่ือนท่ีข้ึนมาอกี ดว้ ย ส่วนความดนั จะเพ่มิ ข้นึ ประมาณ 1 กิโลบาร์ ทุกๆ ความลกึ 3.5 กิโลเมตร ส่วนตวั การทางเคมที ่ีสาคญั คือ น้าท่ีประกอบดว้ ยสารละลายแกส๊ และ ไอออนต่างๆ ซ่ึงเม่อื มคี วามร้อน และความดนั มากระตนุ้ สารเคมเี หลา่ น้ีจะทาใหเ้ กิดการ เปลย่ี นแปลงของแร่ท่ีประกอบอยใู่ นหิน สถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

90 ตวั อยา่ งการบนั ทึกกิจกรรมท่ี 5 ช่ือ.................................................................. ช้นั ...................... เลขท่ี ....................... วนั ที่................................ เดือน.................................... พ.ศ. .......................... บนั ทึกผลการคาดคะเนและการสงั เกต กจิ กรรม ลกั ษณะของดนิ และคลปิ หนบี กระดาษ ก่อนกดทบั ผลตามการสงั เกตจริง ดิน ผลการคาดคะเน ผลการสงั เกต หลงั กดทบั ผลตามการคาดคะเนจริง ผลตามการสงั เกตจริง ดิน ก่อนเผาดิน ผลตามการสงั เกตจริง ผลการคาดคะเน ผลการสงั เกต หลงั เผาดิน ผลตามการคาดคะเนจริง ผลตามการสงั เกตจริง สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

91 แผนการอบรม 6 สาระที่ 6 โลกและการเปลี่ยนแปลง เวลา 0.5 ชว่ั โมง เร่ือง การเปล่ยี นแปลงของหิน โดยการผพุ งั อยกู่ บั ที่ และการกร่อน แนวความคดิ หินในธรรมชาติมกี ารเปลี่ยนแปลงโดยการผพุ งั อยกู่ บั ท่ี ซ่ึงแบ่งออกเป็ น กระบวนการผุพงั ทางกายภาพ และชีวเคมี กระบวนการผุพงั ทางกายภาพจะเกิดจากแรงกระทาต่างๆ จากธรรมชาติ เช่น การขยายตวั และการหดตวั ที่ไม่เท่ากนั ในทุกส่วนของหินเมื่อไดร้ ับความร้อน แรงท่ีเกิดจาก การขยายตวั ของน้าที่ซึมอยตู่ ามรอยแตกของหินเมื่อกลายเป็ นน้าแข็งในฤดูหนาว แรงของรากไมท้ ี่ ไชชอนลงในหิน กระบวนการทางกายภาพทาใหข้ นาดของเมด็ หินเปล่ียนแปลง แต่ยงั มีสมบตั ิทาง เคมีเหมือนหินเดิม ส่วนกระบวนการทางเคมีเป็นการสลายตวั ของหิน ตวั อยา่ งของปฏิกิริยาเคมีที่ทา ใหห้ ินเปลี่ยนแปลง เช่น การเกิดสนิมของเน้ือหินท่ีมแี ร่เหลก็ เป็นองคป์ ระกอบ การสลายตวั ของเน้ือ หินที่เกิดจากสารละลายกรด หินใหมท่ ี่เกิดจากการผพุ งั โดยกระบวนการเคมจี ะมสี มบตั ิทางเคมีต่าง ไปจากหินเดิม หินท่ีผพุ งั อยกู่ บั ที่จะถกู พดั พาโดยลม น้า การเคลอ่ื นที่ของธารน้าแขง็ และแรงโนม้ ถว่ งของ โลก ทาใหเ้ กิดการขดั สีของหินระหว่างพดั พาจนเกิดการกดั กร่อน ทาใหห้ ินแตกเป็ นช้ินเล็กและมี ส่วนทาใหเ้ ปลือกโลกเกิดการเปล่ียนแปลงจนเกิดลกั ษณะภมู ปิ ระเทศที่แปลกตา และสวยงาม จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. จาลอง และทดลองเพอ่ื อธิบายการเปลีย่ นแปลงของหินโดยการผพุ งั 2. สร้างสถานการจาลองเพ่อื อธิบายการเปลยี่ นแปลงหินโดยการกร่อน ความรู้พนื้ ฐาน การเกิดปฏิกิริยาเคมี ความเข้าใจคลาดเคลอ่ื น กอ้ นกรวดหมายถงึ กอ้ นหินเลก็ ๆท่ีใชท้ าถนนเท่าน้นั วธิ ีการจดั กจิ กรรม กจิ กรรม 6 หนิ เกดิ การเปลย่ี นแปลงได้อย่างไร สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

92 1. วทิ ยากรยกกอ้ นหินขนาดที่มองเห็นชดั ท้งั หอ้ ง แลว้ ถามผรู้ ับการอบรมว่า หากหินกอ้ น น้ีวางอยใู่ นธรรมชาตินานๆ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ อยา่ งไร 2. วิทยากรใหผ้ รู้ ับการอบรมร่วมกนั คาดคะเนและอภิปรายในแต่ละประเดน็ ดงั น้ี - ขวดน้าแขง็ กบั ขวดน้ามีลกั ษณะเป็ นอย่างไร แตกต่างกนั หรือไม่ เป็ นเพราะ เหตุใด (น้าเปลย่ี นเป็นน้าแข็งจะม่ปี ริมาตรเพิ่มข้ีน เกิดแรงกระทาต่อขวด) - น้าที่อยู่ในรอยแตกของหินบนภูเขาสูงๆ เปลี่ยนเป็ นน้าแข็ง จะมีผลต่อหิน อยา่ งไร - การขยายตวั และหดตวั ของหินเนื่องจากการเปล่ียนแปลงอุณหภูมิติดต่อกัน เป็ นเวลานานจะมีผลต่อหินหรือไม่ อย่างไร เพราะเหตุใด (ภาพหินรูปเจดีย์ สมอง) - ตน้ ไมท้ ี่เจริญเติบโตบนกอ้ นหินจะทาใหก้ อ้ นหินมีการเปลี่ยนแปลง อยา่ งไร เพราะเหตุใด (ภาพตน้ ไมข้ ้ีนบนหิน) - การเปล่ยี นแปลงของหินเนื่องจากสาเหตุที่กลา่ วจากขา้ งตน้ ทุกขอ้ ทาให้หินมี สมบตั ิทางเคมีเช่นเดิมหรือไม่ เพราะเหตุใด 3. วิทยากรให้ความรู้เพิ่มเติมว่า การที่หินเกิดการเปลี่ยนแปลง เน่ืองจากถกู แรงกระทา ต่างๆ เรียก ว่าการผุพงั อย่กู บั ที่ และการผุพงั อย่กู ับที่ของหินเนื่องจากแรงต่างๆ มา กระทาโดยท่ีหินยงั คงมีสมบตั ิทางเคมีเหมอื นเดิมน้ี เป็นกระบวนการทางกายภาพ 4. วทิ ยากรใหผ้ รู้ ับการอบรมร่วมกนั คาดคะเนและอภิปรายในแต่ละประเดน็ ดงั น้ี a. ฝอยเหลก็ ในภาชนะท้งั 4 มีการเปล่ียนแปลงอย่างไร เพราะเหตุใด เมื่อฝอย เหลก็ เปลยี่ นแปลงมีส่วนใดแตกหลดุ ออกมาบา้ ง b. ในธรรมชาติกอ้ นหินซ่ึงมีแร่เหลก็ เป็ นองค์ประกอบมีปัจจยั อะไรบา้ งที่จะทา ใหแ้ ร่เหลก็ เกิดการเปลีย่ นแปลงดงั เช่นกิจกรรมน้ี และเมอื่ เปล่ียนแปลงจะมีผล ต่อกอ้ นหินอยา่ งไร c. เมอ่ื หยดกรดเกลือเจือจางลงบนหินปูนจะเกิดอะไรข้ึน ทราบไดอ้ ยา่ งไร d. บริเวณหินปูนท่ีหยดกรดหากสังเกตเปรียบเทียบกบั ก่อนหยดกรด จะเป็ น อยา่ งไร ทาไมจึงเป็นเช่นน้นั e. หินปนู ซ่ึงอยใู่ นธรรมชาติจะมีโอกาสทาปฏิกิริยากบั กรดเจือจางไดห้ รือไม่ ถา้ มีกรดน้นั คือกรดอะไร และมผี ลต่อหินปูนอยา่ งไร f. การเปลีย่ นแปลงของหินซ่ึงเกิดข้ึนโดยมสี าเหตุเช่นเดียวกนั กบั กิจกรรมน้ี หิน ที่เปลยี่ นไปมสี มบตั ิทางเคมีเหมือนเดิมหรือไม่ เพราะเหตุใด สถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

93 5. วิทยากรให้ความรู้ผูเ้ ข้ารับการอบรมว่าคาดคะเนว่าถ้าหยดกรดลงในหินปูนกับ หินดินดาน ผลจะเป็นอยา่ งไร จากน้นั ใหผ้ รู้ ับการอบรมทาการทดลอง 6. การที่หินผพุ งั อยกู่ บั ท่ีแลว้ ทาใหม้ สี มบตั ิทางเคมีแตกต่างจากเดิมเป็ นการผุพงั อยกู่ บั ที่ ที่เกิดจากกระบวนการทางเคมี 7. ใหผ้ เู้ ขา้ รับการอบรมร่วมกนั อภิปรายว่าอะไรบา้ งท่ีทาให้วสั ดุต่างๆ ในธรรมชาติเกิด การเคล่ือนที่ และผลท่ีเกิดจากที่วสั ดุเคลอ่ื นที่ไปเป็นอยา่ งไร จากน้นั ให้ผรู้ ับการอบรม นาหินมาครูดถกู นั 8. ใหผ้ รู้ ับการอบรมนาเสนอผลการสงั เกต จากการทากิจกรรมแลว้ ร่วมกนั อภิปราย เพ่ือ ลงขอ้ สรุป โดยใชแ้ นวคาถามดงั น้ี - ในธรรมชาติมีอะไรบา้ งท่ีจะทาใหห้ ินเกิดการเคล่อื นท่ี และมีผลต่อหินอยา่ งไร - ขณะท่ีวสั ดุเคลื่อนท่ี ครูดถกู บั ส่ิงอนื่ ๆ จะมผี ลต่อหินอยา่ งไร - หินในแมน่ ้า หรือลาธารบางกอ้ นกลมเกล้ยี ง บางกอ้ นยงั เป็นเหล่ียม จะอธิบาย ไดว้ ่าเป็นเพราะเหตุใด 9. วทิ ยากรใหค้ วามรู้เพ่ิมเติมว่า การที่หินและวสั ดุต่างๆ ในธรรมชาติเกิดการเคลือ่ นที่ ลม น้า ธารน้าแข็ง และแรงโนม้ ถ่วงของโลก ทาให้หินเกิดการแตกหลุด กระบวนการน้ี เรียกว่า การกร่อน 10. วิทยากรใหผ้ เู้ ขา้ รับการอบรมแต่ละกล่มุ ช่วยกนั ทาแผนผงั ความคิดจากการทากิจกรรม เร่ือง การเปลี่ยนแปลงของหิน โดยการผพุ งั อยกู่ บั ที่และการกร่อน การวดั และประเมนิ ผล 1. การมีส่วนร่วมในการทากิจกรรมของผเู้ ขา้ รับการอบรม 2. การแสดงความคิดเห็นต่อช้นั เรียน 3. การตอบคาถามในใบบนั ทึกกิจกรรม 4. การตอบคาถามในใบสะทอ้ นการการเรียนรู้ การเตรียมล่วงหน้าวทิ ยากร เตรียมฝอยเหล็กในกล่องพลาสติก 4 ใบ ก่อนทากิจกรรม 1 – 2 วนั (ดูกิจกรรมตอนท่ี 2 ประกอบ) ข้อเสนอแนะเพม่ิ เตมิ - สถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

94 ความรู้เพมิ่ เตมิ สาหรับครู เรื่อง การผุพงั อย่กู บั ทแ่ี ละการกร่อน การผุพงั อย่กู บั ท่ี การผุพงั ทางกายภาพ อาจเรี ยกว่า การแตกสลาย ซ่ึงเป็ นกระบวนการที่หินแตกหัก ออกเป็นเศษเลก็ เศษนอ้ ยลงไปเร่ือยๆ โดยเกิดจากพลงั งานที่เกิดข้ึนจากแรงต่างๆ ทางฟิ สิกส์ เช่น แรงดนั ที่เกิดจากการขยายตวั ของน้าซ่ึงแทรกอย่ใู นรอยแตกของหินที่เปล่ียนเป็ นน้าแข็ง (Frost Wedding) ในฤดหู นาว แรงท่ีเกิดจากการขยายตวั และหดตวั ของหินเม่ือไดร้ ับความร้อน (Thermal Expansion) แรงโน้มถ่วงของโลก แรงที่เกิดจากแผน่ ดินไหว และภูเขาไฟระเบิด เป็ นตน้ หินท่ี แตก จะมีสมบตั ิทางเคมีเหมือนหินเดิม การผพุ งั ทางเคมี อาจเรียกว่า การสลายตวั เป็ นกระบวนการที่ซบั ซอ้ นมากกว่า การผุพงั ทางกายภาพซ่ึงทาใหห้ ินแตกออกเป็ นกอ้ นเล็กๆ ไม่มีการเปล่ียนแปลงส่วนประกอบ เกิดข้ึนดว้ ย แต่การเปลี่ยนแปลงทางเคมีน้ัน เปลี่ยนวตั ถุเดิมให้เป็ นวตั ถุใหม่ท่ีต่างออกไปหรือมี สมบตั ิเคมีต่างจากเดิม การกร่อน การกร่อน เป็นกระบวนการท่ีทาใหว้ สั ดุต่างๆ บนเปื อกโลกหลดุ ไป หรือกร่อนไปโดย การกระทาของธรรมชาติ เชน่ แรงโนม้ ถว่ งของโลก ซ่ึงจะดดู ทุกสิ่งใหต้ กลงสู่ผวิ โลก ทาใหห้ ิน หรือดินในที่สูงชนั ท่ีจบั ตวั กนั หลวมๆ เนื่องจากการผพุ งั อยกู่ บั ที่ ตกลงมายงั พ้ืนราบท่ีอยตู่ ่ากวา่ ไดแ้ ก่ การเกิดแผน่ ดินถล่ม โคลนไหล การไหลของน้า การเคลือ่ นท่ีของธารน้าแข็ง และการพดั พาของลม ก็ทาใหว้ สั ดุต่างๆ หลุดไปไดเ้ ช่นกนั สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

95 ตวั อยา่ งการบนั ทึกกิจกรรมท่ี 6 ช่ือ.................................................................. ช้นั ...................... เลขท่ี ....................... วนั ที่................................ เดือน.................................... พ.ศ. .......................... ตอนท่ี 1 บนั ทึกผลที่เกิดข้ึนเม่ือใส่น้าในขวดพลาสติกจนเต็มขวด ปิดฝาขวดใหแ้ น่น แลว้ นาไปแช่ ตูเ้ ยน็ จนกลายเป็นน้าแขง็ ผลการคาดคะเน ผลการสงั เกต ขวดน้าก่อนแช่แขง็ บนั ทึกตามจริง บนั ทึกตามจริง ขวดน้าหลงั แช่แข็ง บนั ทึกตามจริง ขวดมรี ูปทรงต่างไปจาก เดิม (บุบเบ้ียว) ไมส่ ามารถต้งั ขวด น้าได้ สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

96 ตอนท่ี 2 บนั ทึกการเปลยี่ นแปลงของฝอยเหลก็ ในภาชนะท้งั 4 ภาชนะ การทดลอง ผลการเปลยี่ นแปลง 1 ฝอยเหลก็ แหง้ วางในภาชนะ ไมม่ ีสนิมเกิดข้นึ 2 ฝอยเหลก็ ชุบน้าวางในภาชนะ มสี นิมเกิดข้นึ จานวนมาก 3 ฝอยเหลก็ แช่อยใู่ นน้า มีสนิมเกิดข้นึ 4 ฝอยเหลก็ ฝังอยใู่ นดินท่ีชุ่มช้ืน มีสนิมเกิดข้นึ ภาชนะที่ฝอยเหลก็ มกี ารเปล่ียนแปลงมากที่สุดคือ ฝอยเหลก็ ชุบน้า สถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

97 ตอนที่ 3 ผลการสงั เกต บนั ทึกผลที่เกิดข้ึนเม่อื หยดกรดลงบนหินชนวนและหินปูน ไมม่ ีฟองแกส๊ เกิดข้ึน หิน ผลการคาดคะเน หินชนวน บนั ทึกตามจริง หินปูน บนั ทึกตามจริง มฟี องแก๊สเกิดข้ึน ตอนที่ 4 บนั ทึกผลที่เกิดเมอื่ นากอ้ นหิน 2 กอ้ นมาครูดถกู นั ลกั ษณะของกอ้ นหิน ผลการคาดคะเน ผลการสงั เกต บนั ทึกตามจริง กอ้ นหิน บนั ทึกตามจริง ก่อนนามาครูดถกู นั กอ้ นหินขณะขดั สีกนั บนั ทึกตามจริง มเี น้ือหินหลุดออกมา สงั เกต กระดาษท่ีรองจะมผี งเน้ือหิน กอ้ นหิน บนั ทึกตามจริง กอ้ นหินมีเหล่ยี มนอ้ ยลง หลงั นามาครูดถกู นั (มีคมมากข้ึน) เน้ือหินบางส่วน หลุดไป สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

98 คาถามชวนคดิ 1. การเจริญเติบโตของตน้ ไมบ้ นกอ้ นหิน ทาใหห้ ินเกดิ การเปลย่ี นแปลงอยา่ งไร หินแตกและรูปร่างเปลยี่ นไป เน่ืองจาก 1. ปฏกิ ิริยาเคมี 2. การซอนไซรของรากตน้ ไม้ 2. การเปลี่ยนแปลงของหินในรูปเกดิ ข้ึนไดอ้ ยา่ งไร เกิดจากหินมีช่องว่าง ทาใหน้ ้า เขา้ ไปแทรกในช่องวา่ ง เมือ่ น้า แข็งตวั จะดนั ใหห้ ินแตก 3. การเปลย่ี นแปลงของเขาหินปะการัง ดงั รูป เกิดข้ึนไดอ้ ยา่ งไร เกิดน้าฝนท่ีมฤี ทธ์ิเป็นกรด ทาปฏิกิริยาเคมกี บั หินปูน 4. หินรูปเจดียส์ มองเกิดข้ึนไดอ้ ยา่ งไร การขยายและหดตวั ของหินแต่ละ ส่วนไม่เท่ากนั เมื่อไดร้ ับและคาย ความร้อน สถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

99 แผนการอบรม 7 สาระท่ี 6 โลกและการเปลย่ี นแปลง เวลา 1 ชว่ั โมง เรื่อง วฏั จกั รหิน แนวความคดิ วฏั จกั รหินเป็นลาดบั เหตุการณ์ ที่แสดงการเปลย่ี นแปลง ของหินอคั นี หินตะกอน และหิน แปร โดยกระบวนการทางธรณีวทิ ยา โดยการเยน็ ตวั และตกผลึกของหินหนืดใตผ้ ิวโลก และลาวา บนผวิ โลกเกิดเป็นหนิ อคั นี เมือ่ หินอคั นี หินตะกอน และหินแปร เกิดการผพุ งั อยกู่ บั ที่ และเกิดการ กร่อนดว้ ยปัจจยั ต่างๆ ในธรรมชาติ ทาใหเ้ กิดตะกอนขนาดต่างๆข้ึน เมอ่ื น้า ลม ธารน้าแข็ง และแรง โนม้ ถ่วงของโลกพาตะกอนไปสะสม และทบั ถมกนั ในแอ่งสะสมตะกอน จนช้นั ตะกอนหนาข้ึน จะ มีการกดทบั บีบอดั โดยน้าหนกั ตะกอน ที่กดทบั อยดู่ า้ นบน หรืออาจเกิดการเชื่อมประสาน ดว้ ยวตั ถุ ประสานตะกอนชนิดต่างๆ ทาใหต้ ะกอนเกิดการแข็งตวั เป็ นหินตะกอน การแปรสภาพโดยความ ร้อน และ/หรือ ความดนั และ/หรือ จากปฏิกิริยาทางเคมีของสารละลาย ทาใหห้ ินเดิม (หินอคั นี หิน ตะกอน หินแปร) กลายเป็ นหินแปร หินชนิดต่างๆท่ีอย่รู ะดบั ลึกใตผ้ วิ โลกจะถกู หลอมเหลวก็จะ กลายสภาพเป็นหินหนืดใหม่ หมุนวนกนั ไปเช่นน้ีอย่างไม่มีท่ีสิ้นสุด เป็ นวฏั จกั ร ซ่ึงจะเรียกว่า วฏั จกั รของหนิ จดุ ประสงค์การเรียนรู้ อธิบายการเกิดวฏั จกั รหิน ความรู้พนื้ ฐาน การเกิดหินอคั นี หินตะกอน และหินแปร ความเข้าใจคลาดเคลอื่ น - วธิ กี ารจดั กจิ กรรม กจิ กรรม 7 วฏั จกั รหนิ เกดิ ขึน้ ได้อย่างไร 1. ผรู้ ับการอบรมแต่ละกลุ่ม สังเกตและวิเคราะห์วฏั จกั รหิน จากโปสเตอร์ แลว้ ร่วมกนั อภิปรายเพื่ออธิบายเก่ียวกบั วฏั จกั รของหิน โดยใชแ้ นวคาถามดงั น้ี - วฏั จกั รหินมจี ุดเริ่มตน้ และส้ินสุดหรือไม่ เพราะเหตุใด สถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

100 - หินชนิดใดเปล่ียนแปลงเป็นหินหนืด เมื่อความร้อนและความดนั เพิม่ ข้ึน - หินชนิดใดเปล่ยี นแปลงเป็นหินตะกอน เพราะเหตุใด - หินชนิดใดเปลี่ยนแปลงเป็นหินแปร - กระบวนการใดบา้ งทาใหเ้ กิดหินอคั นี - กระบวนการใดบา้ งที่ทาใหเ้ กิดหินตะกอน - กระบวนการใดที่ทาใหเ้ กิดหินแปร 2. ทากิจกรรมตามใบกิจกรรมท่ี 7 3. ผรู้ ับการอบรมออกมานาเสนอว่าไดอ้ ะไรจากกิจกรรมน้ี การวดั และประเมนิ ผล 1. การมสี ่วนร่วมในการทากิจกรรมของผเู้ ขา้ รับการอบรม 2. การแสดงความคิดเห็นต่อช้นั เรียนและการนาเสนอหนา้ ช้นั เรียน 3. การตอบคาถามในใบบนั ทึกกิจกรรม 4. การตอบคาถามในใบสะทอ้ นการการเรียนรู้ การเตรียมล่วงหน้าวทิ ยากร - ข้อเสนอแนะเพมิ่ เตมิ - สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook