ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธิบำยโดยพิสดำร อนวุ ตั ตำมพระไตรปฎิ ก พระอรรถกถำ ตำรำพระธำตโุ บรำณ คำนมัสกำรพระบรมสำรรี กิ ธำตุ(ของโบรำณ) และหลกั ฐำนเชงิ ประจักษ์
ข้อมลู บรรณานุกรม ธนวัฒน์ ทรงศิริ. ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธบิ ำยโดยพสิ ดำร. -- กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ ดจิ ิตอล เดอะ วัน พร้ินท์ต้ิง, 2564. 112 หนำ้ . 1. พระธำตุ. I. ชอื่ เรอ่ื ง. 294.3121 ISBN 978-616-586-780-1 ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธบิ ำยโดยพิสดำร พิมพ์คร้งั ท่ี 1 ตลุ าคม พ.ศ. 2564 จานวน 1,000 เล่ม จัดทำโดย นายธนวัฒน์ ทรงศิริ ปก นายนพรัตน์ รตั นวชิ ัย พิสจู นอ์ ักษร นายณัฐวุฒิ ธรรมไชย นายพิพฒั นพงศ์ ลานอ้ ย นายนพรตั น์ รตั นวชิ ัย พิมพท์ ่ี โรงพมิ พ์ดจิ ติ อล เดอะ วนั พร้ินท์ต้ิง 1/9 ซอยพหลโยธิน 40 แขวงเสนานคิ ม เขตจตุจกั ร กทม. 10900 โทรศพั ท์ 02 9401 909 / 095-5715091 ลิขสิทธิข์ อง นายธนวัฒน์ ทรงศิริ ที่อยู่ 615/16 หมู่ 7 ตาบลหนองปลงิ อ.เมอื ง จ.นครสวรรค์ 60000 โทรศัพท์ 065-5124654 ภาพและเรอื่ งของหนงั สอื เลม่ นี้ สงวนลิขสทิ ธ์ติ าม พ.ร.บ. ลิขสทิ ธ์ิ พ.ศ.2558 หา้ มคัดลอกเนอื้ หาและภาพก่อนไดร้ บั อนุญาต รวมท้งั การดดั แปลง เป็นเทปบันทึกเสยี ง วิดโี อ โทรทัศน์ ภาพยนตร์ ส่อื อิเล็กทรอนกิ สต์ า่ ง ๆ
สำรบัญ เรอ่ื ง หนำ้ อารัมภบท 1 ความหมายของพระบรมสารรี ิกธาตุและพระธาตุ ๒ พระบรมสารรี กิ ธาตุในพระไตรปิฎก 3 พระบรมสารีรกิ ธาตุในพระอรรถกถา 5 พระบรมสารีริกธาตุในตาราพระธาตุ 7 พระบรมสารีรกิ ธาตใุ นคานมัสการพระบรมสารีริกธาตุ (ของโบราณ) 8 ลกั ษณะทางกายภาพของพระบรมสารีริกธาตุ ๙ ตารางสรุปองคค์ วามร้เู กยี่ วกบั พระบรมสารรี ิกธาตุ 10 พระธาตุพระปัจเจกพุทธเจ้า 11 พระธาตขุ า้ ว (พระธาตขุ ้าวบณิ ฑ)์ 12 พระอรหนั ตธาตุ 19 พระอรหนั ตธาตุ ยคุ พุทธกาล 19 ลกั ษณะทางกายภาพของพระอรหันตธาตุ ยคุ พทุ ธกาล 20 พระอรหนั ตธาตใุ นพระอรรถกถา 21 พระอรหันตธาตุในตาราพระธาตุ 22 พระอรหันตธาตุ ยุคปจั จุบนั 64 แผนผงั พระอรหนั ตธาตุ ยคุ ปจั จบุ ัน โดยใชเ้ กณฑ์ลักษณะ 65 ปกิณกะความรู้เรือ่ งพระธาตุ 78 ประสบการณ์ปาฏหิ ารยิ พ์ ระธาตุ 85 คาบูชาพระธาตุ 98 ปจั ฉิมลิขิต 105 บรรณานกุ รม 107
ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธบิ ำยโดยพิสดำร ๑ อำรมั ภบท ขอนอบนอ้ มแดอ่ งค์สมเด็จพระบรมศาสดาสมั มาสมั พุทธเจา้ พระธรรมคาสัง่ สอนอนั ประเสริฐสดุ และพระอริยสงฆ์ผปู้ ฏบิ ตั ิดี ปฏิบตั ชิ อบ ขอนอบน้อมแด่พระบรมสารีริกธาตุองค์สมเด็จพระบรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันตธาตุแห่งองค์พระอรหันต์ผู้สิ้นอาสวะทั้งปวง ท่ีประดษิ ฐานอยทู่ ่ัวหมืน่ จกั รวาลดว้ ยเศียรเกลา้ หากกล่าวถึงพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุในยุคปัจจุบัน สามารถพบเห็นได้ง่ายเป็นพเิ ศษ มีการถวายกระจายอย่ทู ่ัวไปตามวัดวาอาราม และบ้านเรือนต่าง ๆ เกิดผู้สนใจข้ึนมาเป็นจานวนมากแต่เมื่อสิ่งใดเป็นที่นิยม สง่ิ นั้นย่อมมีส่ิงของเลียนแบบข้ึนมาเสมอ พระธาตุกเ็ ช่นกัน เมื่อเปน็ ที่นิยมมาก ก็เกิดการใช้วัสดุเลียนแบบมากขึ้น บางท่านต้ังตนเป็นมิจฉาชีพสร้างสิ่งของ เลียนแบบข้ึนมาเพื่อประโยชน์ทางการค้า เพ่ือลาภสักการะ อวดอ้างตนตั้งตน เป็นผู้วิเศษ เสกบ้าง อัญเชิญบ้าง มาอย่างพิสดาร จนในที่สุดก็มีผู้คนตกเป็น เหยื่อเป็นจานวนมาก ด้วยความเช่ือและความศรัทธาทาให้วัสดุเทียมเหล่าน้ี แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว สร้างบรรทัดฐานใหม่ให้กับสังคมให้เกิด ความเข้าใจผิด กลายเป็นศรัทธาที่ขาดปัญญาและพัฒนาเป็นความงมงายที่ไร้ ซ่งึ เหตุผล การเขียนตาราเล่มนี้ข้ึนมา หวังเพ่ือรักษาความรู้ด้ังเดิมเก่ียวกับ พระธาตุท่ีสามารถสืบค้นได้จากคัมภีร์และตาราต่าง ๆ ในอดีต พร้อมทั้งขยาย ความตามหลกั ฐานเชิงประจักษ์ท่เี กดิ ข้ึน รวมถึงข้อสันนิษฐานตา่ ง ๆ ท่ีเกิดจาก การตกผลึกความรู้ หวังว่าตาราเล่มนี้จะเป็นคู่มือสาหรับผู้ท่ีเข้ามาศึกษาและ เป็นวัคซีนท่ีสร้างภูมิความรู้เพ่ือป้องกันไม่ให้ท่านผู้อ่านถูกมิจฉาชีพหลอกลวง เอาได้ หรืออย่างน้อยที่สุดเป็นการรักษาความรู้ดั้งเดิมมิให้สูญสลายไปกับ กาลเวลา “ธาตโุ ย อวสิสฺสสึ ุ มุตฺตาภา กาญจฺ นปฺปภา อธิฏฺ าเนน พทุ ฺธสสฺ วิปฺปกณิ ฺณา อเนกธา” “พระธาตุทั้งหลาย ส่องสวา่ งประหนงึ่ แกว้ มกุ ดา สว่างไสวดงั่ ทองคา กระจดั กระจายมากมาย ด้วยการอธษิ ฐาน แห่งพระพุทธเจ้า”
๒ ตำรำพระธำตุ ฉบับ อรรถำธิบำยโดยพิสดำร ควำมหมำยของพระบรมสำรีรกิ ธำตแุ ละพระธำตุ พระบรมสารีริกธาตุ เปน็ ธาตุอันบรสิ ุทธ์ิท่ีเกดิ จากพระวรกายขององค์ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ประกอบด้วย พระมหากรุณาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระปัญญาธิคุณ อีกท้ังยังเป็นเครื่องยืนยันแห่งการดารง อยจู่ รงิ ขององค์พระบรมศาสดาสัมมาสัมพทุ ธเจา้ แสดงถึงพระธรรมคาสั่งสอน มีอยู่จริง ปฏิบัติได้จริง ย่อมเห็นผลจริงมิใช่เร่ืองงมงายโบราณคร่าครึ เปน็ เครือ่ งยดึ เหนย่ี วจิตใจและเป็นกาลงั ใจของพทุ ธศาสนิกชนทง้ั หลาย คาว่า “พระบรมสารีริกธาตุ ,พระบรมธาตุ” หมายถึง พระอัฐิธาตุ หรือกระดูกของพระพุทธเจ้า รวมถึงพระธาตุที่นับเน่ืองหรือเป็นส่วนร่างกาย หรอื พระวรกายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หากเป็นกระดูกส่วนใดส่วนหนงึ่ ของ พระพุทธเจ้า ก็เรียกตามความหมายของคานั้น ๆ เช่น พระอุรังคธาตุ พระทนั ตธาตุ พระเกศาธาตุ เป็นตน้ คาว่า “พระธาตุ“ หมายถึง กระดูก หรือ ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายผู้ท่ี บรรลุธรรมมีจิตใจท่ีบริสุทธ์ิ หมดกิเลส หรือเรียกว่า อรหันตธาตุ มีท้ัง พระสาวกและพระสาวิกาของพระพุทธเจ้า รวมถึงพระปัจเจกพุทธเจ้าและ อุบาสก อบุ าสิกาผู้ปฏิบตั ิดปี ฏิบัติชอบ กระบวนการเกิดข้ึนของพระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุน้ัน มิได้มี ระบไุ วใ้ นคัมภีร์หรอื ตาราเล่มใด ระบเุ พยี งว่ามลี กั ษณะทต่ี า่ งออกไปจากกระดูก หรอื ส่วนต่าง ๆ ของรา่ งกายบคุ คลธรรมดา มีรูปร่างและสีที่มีความงาม ซ่ึงจาก การช้ีแจงของพระเถราจารย์หลาย ๆ รูป ได้ให้ความเห็นว่า การเกิดข้ึนของ พระธาตุนนั้ เกดิ จากปฏิบัติธรรม พิจารณาธาตุขันธ์จนทาให้รา่ งกายซ่ึงเปน็ ของ หยาบค่อยกลายเป็นธาตุที่มีความบริสุทธิ์มีรูปร่างและสีที่สวยงาม พระธาตุ เหลา่ นลี้ ้วนเป็นประจักษ์พยานแหง่ การบรรลุธรรมของผู้ปฏิบตั ิตามคาสอนของ พระพุทธเจ้า เป็นกาลังใจให้ผู้ที่กาลังปฏิบัติตามคาสอนของพระพุทธเจ้าและ สร้างศรัทธา ความเชอื่ มัน่ ในธรรมของพระพทุ ธเจ้าไดเ้ ป็นอย่างดี
ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธิบำยโดยพิสดำร ๓ พระบรมสำรรี กิ ธำตุในพระไตรปฎิ ก พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒๗ ธาตุภาชนียกถาเล่ม : ๓๓ หน้า ๗๒๕ กล่าวไว้ว่า “พระบรมสารีริกธาตุ ๗ อย่าง คือ พระอุณหิส ๑ พระทาฐธาตุทั้ง ๔ และพระรากขวัญ ๒ ข้าง ไม่แตก พระบรมสารีริกธาตุที่เหลือแตกออกจากกัน พระบรมสารีริกธาตุขนาดใหญ่เท่ากับเมล็ดถั่วเขียว ขนาดกลางเท่าเมล็ด ข้าวสารหัก ขนาดเล็กเท่ากับเมล็ดพันธุ์ผักกาด มีสีต่าง ๆ กัน พระบรม สารีริกธาตุขนาดใหญ่มีสีเหมือนทองคา ขนาดกลางมีสีเหมือนแก้วมุกดา และ ขนาดเล็กมีสีเหมือนดอกมะลิ รวมท้ังหมดมีประมาณ ๑๖ ทะนาน พระบรม สารีริกธาตุเหล่านั้นทุกขนาด คือ ขนาดใหญ่มี ๕ ทะนาน ขนาดกลาง มี ๕ ทะนาน ขนาดเล็กมี ๖ ทะนานเท่าน้ัน พระบรมสารีริกธาตุเหล่าน้ี แม้ทั้งหมดประดิษฐานอยู่ในท่ีต่าง ๆ กัน คือ พระอุณหิสอยู่ที่เกาะสีหล พระรากขวัญเบื้องซ้ายอยู่ท่ีพรหมโลกและพระรากขวัญเบื้องขวาอยู่ท่ี เกาะสีหล พระทาฐธาตุองค์หนึ่งอยู่ท่ีภพดาวดึงส์ องค์หน่ึงอยู่ที่นาคปุระ องค์หน่ึงอยู่ที่เมืองคันธารวิสัย องค์หน่ึงอยู่ท่ีเมืองกาลิงคราช พระทันตธาตุ ทั้ง ๔๐ พระเกสาและพระโลมาท้ังหมด เทวดานามาไว้ จกั รวาลละหนงึ่ อย่าง” ในพระไตรปิฎก เล่มท่ี ๓๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มท่ี ๒ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ พทุ ธวังสะ จรยิ าปิฎก ธาตปุ ูชกเถราปทานท่ี ๖ ว่าดว้ ยผลแหง่ การบชู าพระบรมสารีรกิ ธาตุ กลา่ วไวว้ า่ “เม่ือพระโลกนาถผู้นาของโลกพระนามว่าสิทธัตถะปรินิพพานแล้ว เราได้นาพวกญาติของเรามาทาการบูชาพระธาตุ ในกัปที่ ๙๔ แต่กัปน้ี เราได้ บูชาพระธาตุใด ด้วยการบูชาน้ัน เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการบูชา พระธาตุ เราเผากิเลสท้ังหลายแล้ว ฯลฯ พระพุทธศาสนาเราได้ทาเสร็จแล้ว ดังน้ี ทราบว่า ท่านพระธาตุปูชกเถระได้ภาษิตคาถาเหล่าน้ี ด้วยประการฉะน้ี แล”
๔ ตำรำพระธำตุ ฉบับ อรรถำธบิ ำยโดยพสิ ดำร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ พุทธวังสะ จริยาปิฎก ธาตุภาชนียกถา ว่าด้วยการแบ่ง พระบรมสารรี กิ ธาตุ กล่าวไว้วา่ “พระมหาโคดมชินเจ้าผู้ประเสริฐ เสด็จนิพพานที่นครกุสินารา พระธาตุของพระองค์ เรี่ยรายแผ่ไปในประเทศน้ัน ๆ พระธาตุทะนานหนึ่ง พระเจ้าอชาตศัตรูทรงนาไปไว้ในพระนครราชคฤห์ ทะนานหน่ึงอยู่ในเมือง เวสาลี ทะนานหนึ่งอยู่ในนครกบิลพัสดุ์ ทะนานหน่ึงอยู่ในอัลลากัปปนคร ทะนานหน่ึงอยใู่ นรามคาม ทะนานหนึ่งอยู่ในเวฏฐาทีปกนคร ทะนานหนึ่งอยู่ ในเมืองปาวาของมัลลกษัตริย์ ทะนานหนึ่งอยู่ในเมืองกุสินารา โทณพราหมณ์ ให้ช่างสร้างสถูปบรรจุทะนานทอง กษัตริย์โมริยะผู้มีหทัยยินดี รับสั่งให้สร้าง สถูปบรรจุพระอังคาร พระสถูปบรรจุพระสารีริกธาตุ ๘ แห่ง เป็น ๙ แห่ง ทั้งตุมพเจดีย์ รวมพระอังคารสถูปด้วยเปน็ ๑๐ แห่งประดิษฐานอยู่แล้วในกาล นัน้ พระทาฐธาตุข้างหนึ่งอย่ใู นดาวดึงส์พิภพ ขา้ งหนงึ่ อยู่ในนาคบุรี ขา้ งหนึ่งอยู่ ในเมืองคันธารวิสัย ข้างหนึ่งอยู่ในเมืองกาลิงคราช พระทันตธาตุ ๔๐ พระเกศาธาตุและพระโลมาทั้งหมด เทวดานาไปไว้ในจักรวาลหนง่ึ ๆ จักรวาล ละอย่าง บาตร ไม้เท้าและจวี รของพระผู้มีพระภาคอยู่ในวชิรานคร สบงอยู่ใน กุลฆรนคร ผ้าปัจจัตถรณะอยู่ในสีหฬ ธมกรกและประคตเอว อยู่ในนคร ปาฏลีบุตร ผ้าอาบน้าอยู่ในจาปานคร อุณาโลมอยู่ในแคว้นโกศล ผ้ากาสาวพัสตร์อยู่ในพรหมโลก ผ้าโพกอยู่ในดาวดึงส์ (รอยพระบาทอัน ประเสริฐทหี่ ิน เหมือนมีอยทู่ ่ีกัจฉตบุร)ี ผา้ นสิ ีทนะอยใู่ นอวันตีชนบท ผ้าลาดอยู่ ในดาวดงึ ส์ ไมส้ ีฟันอยู่ในมิถิลานคร ผา้ กรองนา้ อย่ใู นวเิ ทหรฐั มีดและกล่องเขม็ อยู่ในอินทปัตถนคร ในกาลนั้น บริขารท่ีเหลือ อยู่ในชนบท ๓ แห่งในกาลน้ัน หมมู่ นษุ ยใ์ นกาลนน้ั จกั บชู าบรขิ ารทพ่ี ระมุนที รงบริโภค พระธาตุของพระโคดม ผู้แสวงหาคุณอันใหญ่หลวง กระจายแผ่กว้างไป เพื่ออนุเคราะห์แก่สัตว์ ทงั้ หลายเปน็ ของเกา่ ในกาลน้นั ฉะนีแ้ ล”
ตำรำพระธำตุ ฉบับ อรรถำธิบำยโดยพิสดำร ๕ พระบรมสำรีริกธำตุในพระอรรถกำ ในมหากสฺสปตฺเถรวตฺถุวณฺณนา อรรถกถา ทีฆนิกาย มหาวรรค มหาปรินพิ พานสูตร กล่าวไว้ในบทว่า สรรี าเนว อวสิสฺสึสุ ความว่า เมื่อกอ่ นได้ ช่ือว่าสรีระ ก็เพราะตั้งอยู่ด้วยโครงร่างอันเดียวกัน บัดน้ี ท่านกล่าวว่าสรีระ ทัง้ หมดกระจดั กระจายไปแลว้ อธิบายว่า พระธาตุทั้งหลายก็เสมือนดอกมะลิตูม เสมือนแก้วมุกดา ที่เจียระไนแล้ว และเสมือนจุณทองคายังเหลืออยู่ จริงอยู่ สรีระของ พระพุทธเจ้าผู้มีพระชนมายุยืนท้ังหลาย ยอ่ มติดกันเป็นพืดเช่นกับแท่งทองคา ส่วนพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอธิษฐานพระธาตุให้กระจายว่า เราอยไู่ ด้ไม่นานก็ จะปรินิพพาน ศาสนาของเรายังไม่แพร่หลายไปในท่ีท้ังปวงก่อน เพราะฉะน้ัน เมื่อเราแม้ปรินิพพานแล้ว มหาชนถือเอาพระธาตุแม้ขนาดเท่าเมล็ดพันธุ์ ผักกาดทาเจดีย์ในที่อยู่ของตน ปรนนิบัติ จงมีสวรรค์เป็นท่ีไปในเบ้ืองหน้า ถามว่า พระธาตุอย่างไหนของพระองค์กระจัดกระจาย อย่างไหนไม่กระจัด กระจาย ตอบว่า พระธาตุ ๗ เหล่าน้ี คือ พระเข้ียวแก้ว ๔ พระรากขวัญ ๒ พระอณุ หสิ ๑ นอกนนั้ กระจัดกระจาย บรรดาพระธาตเุ หล่าน้ัน พระธาตุเลก็ ๆ ท้ังหมดได้มีขนาดเท่าเมล็ดพันธ์ุผักกาด พระธาตุใหญ่ขนาดเท่าเมล็ดข้าวสาร หักกลาง พระธาตขุ นาดใหญย่ ิง่ มขี นาดเท่าเมล็ดถว่ั เขียวหกั กลาง ในอรรถกถา อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เอกธัมมาทิบาลี วรรคท่ี ๑ ช่ือว่าอันตรธานไปแห่งธาตุ พึงทราบอย่างนี้ ปรินิพพานมี ๓ คือ กิเลส ปรนิ ิพพาน การปรนิ ิพพานแหง่ กเิ ลส, ขันธปรนิ พิ พาน การปรนิ ิพพานแห่งขนั ธ์, ธาตุปรินิพพาน การปรินิพพานแห่งธาตุ บรรดาปรินิพพาน ๓ อย่างน้ัน กิเลสปรินิพพาน ได้มีที่โพธิบัลลังก์ ขันธปรินิพพาน ได้มีท่ีกรุงกุสินารา ธาตปุ รนิ ิพพาน จกั มีในอนาคต จกั มีอย่างไร
๖ ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธบิ ำยโดยพิสดำร คือ ครั้งนั้น ธาตุทั้งหลายท่ีไม่ได้รับสักการะและสัมมานะในที่นั้น ก็ไปสทู่ ่ี ๆ มีสักการะและสมั มานะด้วยกาลังอธิษฐานของพระพุทธเจา้ ทั้งหลาย เมื่อกาลล่วงไป สักการะและสัมมานะกไ็ ม่มีในที่ท้ังปวง เวลาพระศาสนาเสื่อม ลงพระธาตุทั้งหลายในตามพปัณณิทวีปน้ี จักประชุมกันแล้วไปสู่มหาเจดีย์ จากมหาเจดีย์ไปสู่นาคเจดีย์ แต่นั้นจักไปสู่โพธิบัลลังก์ พระธาตุท้ังหลาย จากนาคพิภพบ้าง จากเทวโลกบ้าง จากพรหมโลกบ้าง จักไปสู่โพธิบัลลังก์ แห่งเดยี ว พระธาตุแมป้ ระมาณเทา่ เมลด็ พันธ์ผุ ักกาดจักไมห่ ายไปในระหวา่ ง พระธาตุทั้งหมดจักประชุมกันที่มหาโพธิมัณฑสถานแล้ว รวมเป็น พระพุทธรูป แสดงพุทธสรีระประทับนั่งขัดสมาธิ ณ โพธิ มัณฑสถาน มหาปุรสิ ลักษณะ ๓๒ อนพุ ยัญชนะ ๘๐ พระรศั มีประมาณวาหนึง่ ทั้งหมดครบ บริบูรณ์ทีเดียว แต่นั้นจักกระทาปาฏิหาริย์แสดง เหมือนในวันแสดงยมก ปาฏิหาริย์ ในกาลน้ัน ช่ือว่าสัตว์ผู้เป็นมนุษย์ ไม่มีไปในที่นั้น ก็เทวดาใน หม่ืนจักรวาลประชุมกันทั้งหมด พากันครวญคร่าราพันว่า วันนี้พระทศพล จะปรินพิ พาน จาเดิมแต่บัดนไ้ี ป จักมแี ต่ความมืด ลาดับนน้ั เตโชธาตลุ กุ โพลงข้ึนจากพระสรีรธาตุ ทาให้พระสรรี ะนนั้ ถึง ความหาบัญญัติมิได้ เปลวไฟที่โพลงข้ึนจากพระสรีรธาตุ พลุ่งข้ึนจนถึง พรหมโลก เมอ่ื พระธาตุแมส้ ักเท่าเมล็ดพนั ธุ์ผกั กาดยงั มีอยู่ ก็จักมีเปลวเพลิงอยู่ เปลวหน่ึงเท่านั้นเม่ือพระธาตุหมดส้ินไป เปลวเพลิงก็จักขาดหายไป พระธาตุ ทั้งหลายแสดงอานุภาพใหญอ่ ย่างน้แี ล้ว กอ็ ันตรธานไป ในกาลน้ัน หมู่เทพกระทาสักการะด้วยของหอม ดอกไม้และดนตรี ทิพย์เป็นต้น เหมือนในวันท่ีพระพุทธเจ้าทั้งหลายปรินิพพาน กระทา ประทักษิณ ๓ คร้ัง ถวายบังคมแล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พวกข้าพระองค์จักได้เห็นพระพุทธเจ้าผู้เสด็จอุบัติข้ึนในอนาคต ดังน้ีแล้ว ก็กลบั ไปที่อยูข่ องตน น้ี ชอื่ ว่าอันตรธานแหง่ พระธาตุ
ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธิบำยโดยพิสดำร ๗ พระบรมสำรรี ิกธำตุในตำรำพระธำตุ ควำมเป็นมำของ “ตำรำพระธำต”ุ “ตาราพระธาตุ” เป็นตาราโบราณ บันทึกลักษณะสัณฐานของ พระบรมสารีริกธาตุ และการจาแนกลักษณะของพระอรหันตธาตุ ๔๗ พระองค์ อันมีทั้งก่อนและหลังพุทธปรินิพพานไม่นานโดยพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจันทรทัตจุฑาธาร กรมหม่ืนวิวิธวรรณปรีชา ดารงตาแหน่ง มหาอามาตย์ตรี กระทรวงยตุ ธิ รรม (ตาแหน่งขณะทรงพระนิพนธ์ตารา) เป็นผู้ รวบรวมและทรงพระนิพนธ์หนังสือ “ตาราพระธาตุ” ข้ึนเป็นคร้ังแรกใน รัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลท่ี ๖) และเป็น แบบแผนคัดลอกสืบต่อกันมา ในอารัมภกถาทรงอธิบายความเป็นมาว่า ได้คัดลอกมาจากฉบับโบราณ ซึ่งคัดลอกกันต่อมา มีความคลาดเคลื่อนหลาย ประการโดยเฉพาะนามพระอรหันต์ จึงทรงเทียบเคียงแก้ไขให้ถูกต้องและยัง อธิบายต่อไปว่าได้จาลองสัณฐานและวรรณะโดยเทียบเคียงจากตาราของเก่า และแก้ไขตามพระธาตุที่มีอยู่จริง พอเป็นอุทาหรณ์ในการศึกษาพระธาตุ ภายหลังคุณบญุ ช่วย สมพงษ์ อดีตอธบิ ดกี รมการศาสนา ได้คัดลอกเรียบเรียง ขน้ึ ไวอ้ กี คร้งั ใน พ.ศ. ๒๔๙๕ ซึ่งปัจจุบันได้นามาอ้างอิงข้อมูลมากท่ีสุด และได้ สืบต่อมาจนถึงหนังสือพระบรมสารีริกธาตุ ซ่ึงจัดพิมพ์โดยกรมศิลปากร กระทรวงศึกษาธิการ เม่ือปี พ.ศ. ๒๕๔๐ ท้ังนี้ในฉบับกรมศิลปากร ไดก้ ลา่ วถงึ ทมี่ าของตาราเพม่ิ เติมไว้วา่ ตาราพระธาตุนแี้ ท้จริงเปน็ ตาราท่ีสืบมา จากลงั กา แต่มไิ ด้มกี ารจดบันทกึ ไว้วา่ ใครเปน็ ผู้บนั ทกึ และเรยี บเรยี งไวเ้ ม่ือใด ลกั ษณะของพระบรมสำรรี กิ ธำตุ “ตาราพระธาต”ุ ไดก้ ลา่ วถงึ ลักษณะของพระบรมสารรี ิกธาตุไว้ ดังน้ี มีสัณฐำนดงั เมล็ดถั่วแตกอย่างหน่ึง ข้าวสารหักอย่างหน่ึง เมล็ดพรรณผักกาด อย่างหน่ึง มีพรรณดังสีทองอุไร สีแก้วผลึก หรือแก้วมุกดา สีดอกพิกุล อย่างทองอุไรบางทีมรี ูทะลตุ ลอด เส้นผมลอดได้
๘ ตำรำพระธำตุ ฉบับ อรรถำธบิ ำยโดยพิสดำร พระบรมสำรรี กิ ธำตใุ นคำนมัสกำรพระบรมสำรรี กิ ธำตุ (ของโบรำณ) “คานมัสการพระบรมสารีริกธาตุ (ของโบราณ)” พบในตาราพระธาตุ ฉบบั พระนิพนธ์พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจันทรทัตจุฑาธาร กรมหมื่น วิวิธวรรณปรชี า และมีการคดั ลอกสบื ต่อมาในหลายฉบับ คานมัสการพระบรม สารรี กิ ธาตุ (ของโบราณ) สามารถหาอ่านในตอนท้ายของตาราเลม่ นี้ เนื้อความในคานมัสการจะกล่าวถึง พระบรมสารีริกธาตุ แยกออกเป็น 2 ประเภท คือ ๑.พระบรมสารีริกธาตุ ที่มีขนาดใหญ่ซ่ึงคงสภาพเดิม ๗ องค์ ประกอบด้วย - พระรากขวญั (กระดกู ไหปลาร้า) ๒ องค์ - พระเข้ยี วแก้ว (ฟันเขย้ี ว) ๔ องค์ - พระศรอี ุณหิส (กระดูกหนา้ ผาก) ๑ องค์ ๒.พระบรมสารีริกธาตุ ที่มีขนาดย่อยซึ่งแปรสภาพต่างออกไปจากคน ทวั่ ไป แบง่ ตามขนาดได้ ดงั น้ี ขนำด วสั ดุเทียบ วรรณะ (สี) ปริมำณ ใหญ่ เมล็ดถั่วหัก สที องอไุ ร ๕ ทะนาน กลาง เมลด็ ข้าวสารหกั สแี กว้ ผลกึ ๕ ทะนาน เล็ก เมล็ดพนั ธผุ์ ักกาด สีด่งั ดอกพิกุล ๖ ทะนาน นอกจากนี้ ยังมีการกล่าวถึงสถานที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ขนาดใหญ่ซึ่งคงสภาพเดิม ๗ องค์ สถานท่ีประดิษฐานเคร่ืองอัฐบริขารของ พระพุทธเจ้า และกล่าวถึงเหตุการณ์ “ธาตุอันตรธาน” สลายหายไปของ พ ร ะ ธ า ตุ ทั้ ง ป ว ง แ ล ะ เ ป็ น ก า ร สิ้ น สุ ด พ ร ะ ศ า ส น า ข อ ง พ ร ะ ส ม ณ โ ค ด ม ใน พ.ศ. ๕๐๐๐
ตำรำพระธำตุ ฉบับ อรรถำธิบำยโดยพสิ ดำร ๙ ลกั ษณะทำงกำยภำพของพระบรมสำรีรกิ ธำตุ พระบรมสารีริกธาตุตามคัมภีรอ์ ้างอิงต่าง ๆ จะกล่าวถึงขนาดเล็กเท่า เมล็ดพันธุ์ผักกาด ถึงขนาดใหญ่เท่าเมล็ดถ่ัว มองผิวเผินจะคล้ายเม็ดกรวด ทราย แต่หากพิจารณาลักษณะโดยส่องผ่านเลนส์ขยายแล้ว จะพบว่าผิวของ พระบรมสารรี ิกธาตุจะมีความละเอียด เนื้อภายในมีความเนยี นละเอียดกว่าหิน กรวดทรายหรือหินอัญมณีทั่วไป ลักษณะผิวเป็นมันวาวและกลมมน ลักษณะ เป็นเหลี่ยมคมก็พบเห็นได้ สีขององค์พระธาตุจะไม่ฉูดฉาด มีความสวยงาม แบบธรรมชาติ มนี า้ หนักเบา ทั้งนีส้ าหรับผู้ศึกษาขอให้พิจารณาลักษณะเหล่าน้ีเป็นสาคัญ บางคร้ัง รปู รา่ งอาจไมแ่ นน่ อน มที งั้ รปู รา่ ง (สัณฐาน) ตามทปี่ รากฏในตาราพระธาตุและ รูปร่างอ่ืนๆนอกเหนือออกไปและมีทั้งสีที่อยู่ในตาราท่ีอ้างอิงได้ สีท่ีนอกเหนือ ออกไป กเ็ ป็นพระบรมสารรี ิกธาตทุ ง้ั ส้ิน นอกจากนี้ยังมีพระบรมสารีริกธาตุในกรุโบราณบางแห่งมีลักษณะ คล้ายกับพระอรหันตธาตุยุคพุทธกาลก็มี หรือมีลักษณะคล้ายก้อนหินขนาด เล็กโปร่งแสงก็มี ซึ่งพบมากในกรพุ ระเจดยี ท์ างภาคเหนือของประเทศไทย พรรณนาลักษณะทางกายภาพมานี้ เพียงเพ่ือเป็นแนวทางให้กับ ผู้สนใจได้ศึกษาเท่าน้ันเพราะอาจมีลักษณะที่นอกเหนือออกไปจากที่ผู้เขียน เคยพบเห็น และผู้เขียนไม่ได้หวังให้ผู้ใดใช้ตาราฉบับนี้ช้ีขาดว่า พระบรมสารีริกธาตุจะเป็นของจริงหรือของปลอม หวังเพียงเป็นคู่มือใน การศกึ ษาและรักษาความรทู้ เ่ี กดิ ข้ึนเอาไว้เทา่ น้ัน การชี้ขาดว่าเป็นของจริงของ ปลอมน้ัน อาจเปน็ ผลเสียมากกว่าผลดี แม้พระธาตุท่ีบชู าจะเป็นของปลอมแต่ หากบูชาด้วยความเคารพศรัทธา ย่อมได้อานิสงส์ดุจเดียวกันกับการบูชา พระธาตจุ รงิ การชข้ี าดวา่ ของทบี่ ชู าอยปู่ ลอมจะทาให้ผู้บชู าเสียศรัทธาได้ ท้ังนี้ การบูชาพระธาตุทงั้ จรงิ และปลอมสาคัญทใ่ี จระลกึ นึกถงึ คุณพระรตั นตรยั แมม้ ี พระธาตุจรงิ แต่ใจไม่ระลึกยอ่ มไม่มีประโยชน์
๑๐ ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธบิ ำยโดยพิสดำร ตำรำงสรุปองค์ควำมรู้เกี่ยวกับพระบรมสำรีริกธำตุ แหล่งข้อมลู สณั ฐำน ขนำด วรรณ/พรรณ(สี) (รูปรำ่ ง) (ใหญ/่ กลำง/เลก็ ) พระไตรปฎิ ก - -ขนาดใหญเ่ มลด็ ถ่ัวเขยี ว พรรณทองคา -ขนาดกลางเมล็ดข้าวสารหัก พรรณแกว้ มุกดา -ขนาดนอ้ ยเมลด็ พนั ธ์ุผักกาด พรรณสีดอกมะลิ พระอรรถกถา - -ขนาดใหญย่ ่งิ -สีดังดอกมะลิตมู เมลด็ ถั่วเขยี วหกั กลาง -สีดงั แกว้ มกุ ดา -ขนาดใหญ่เมลด็ ท่เี จยี ระไนแลว้ ขา้ วสารหัก -สีดังผงทอง -ขนาดเล็ก เมลด็ พันธุ์ผกั กาด ตาราพระธาตุ -เมลด็ ถวั่ แตก - -สีทองอุไร -เมลด็ ขา้ วสารหกั -สีแก้วผลึก หรอื -เมลด็ พนั ธุ์ แกว้ มุกดา ผักกาด -สีดอกพิกุล คานมัสการ - -ขนาดใหญเ่ มล็ดถวั่ หกั พรรณทองอุไร พระบรมสารรี กิ ธาตุ -ขนาดกลางเมลด็ ขา้ วสารหกั พรรณแกว้ ผลึก (ของโบราณ) -ขนาดน้อยเมลด็ พนั ธุ์ผกั กาด พรรณสดี อกพกิ ลุ ลักษณะทำงกำยภำพ พระบรมสารีริกธาตุตามคัมภีร์อ้างอิงต่าง ๆ จะกล่าวถึงขนาดเล็กเท่าเมล็ดพันธ์ุ ผักกาด ถึงขนาดใหญ่เท่าเมล็ดถั่ว มองผิวเผินจะคล้ายเม็ดกรวดทราย แต่หากพิจารณา ลักษณะโดยส่องผ่านเลนส์ขยายแล้ว จะพบว่าผิวของพระบรมสารีริกธาตุจะมี ความละเอียด เนื้อภายในมีความเนียน ละเอียดกว่าหินกรวดทรายหรือหินอัญมณีทั่วไป ลักษณะผิวเป็นมันวาวและกลมมน ลกั ษณะเป็นเหล่ียมคมก็พบเห็นได้ สีขององค์พระธาตุ จะไม่ฉูดฉาด มีความสวยงามแบบธรรมชาติ มนี ้าหนักเบา
ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธบิ ำยโดยพสิ ดำร ๑๑ พระธำตุพระปัจเจกพทุ ธเจ้ำ พระปัจเจกพุทธเจ้า หมายถึง พระพุทธเจ้าท่ีอุบัติข้ึนในระหว่าง ช่วงเวลาที่โลกว่างจากพระสัมมาสัมพทุ ธเจ้า (ว่างเว้นพระพุทธศาสนา) หรือท่ี เรียกว่า “พุทธันดร” ดังนั้น ในปัจจุบันน้ี จึงไม่มีพระปัจเจกพุทธเจ้าอุบัติขึ้น พระปัจเจกพุทธเจา้ ต้องบาเพญ็ พทุ ธบารมีนับแต่ต้ังความปรารถนาแล้วนานถึง 2 อสงไขยแสนกัป และตรัสรู้อริยสัจ 4 ด้วยพระองค์เองเช่นเดียวกับ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าตรัสรู้ได้หลายพระองค์ ในสมัยเดียวกัน แต่พระปัจเจกพุทธเจ้านั้น มิได้ก่อต้ังสถาบันศาสนา อันประกอบด้วย ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา เหมือนกับพระสัมมา สัมพุทธเจ้า แต่พระปัจเจกพุทธเจ้าย่อมมาสงเคราะห์สัตว์โลก ให้ต้ังอยู่ในทาน ในศีล เม่ือตายไปแล้ว ย่อมสู่สุคติภูมิ มีสวรรค์เป็นต้น สงเคราะห์บุคคล ท่ีตกยากแต่มีศรัทธาเตม็ เปีย่ มได้เป็นมหาเศรษฐี ดว้ ยการออกจากนโิ รธสมาบัติ แล้วมาสงเคราะห์บิณฑบาต พระปัจเจกพุทธเจ้า จึงเป็นเอก ควรแก่การได้รับ “ไทยทาน” ท่ีเขานามาถวาย หรือจะเรียกว่า “อัครทักขิไณยบุคคล” ในยุค พุทธันดรอย่างแท้จริง เพราะยุคนั้นไม่มีใครเปรียบเสมอ สมดังที่พระพุทธองค์ ตรัสแก่พระอานนท์ในคัมภีร์ปัจเจกพุทธาปธานว่า “ในโลกทั้งปวงเว้นจากเรา เสียแล้ว ไมม่ ใี ครเสมอกบั พระปัจเจกพทุ ธเจา้ ไดเ้ ลย” ลักษณะของพระธาตพุ ระปจั เจกพุทธเจา้ ไม่ปรากฏในตาราเล่มใดเลย เป็นเพียงแต่ข้อสันนิษฐานซึ่งมีแตกต่างกันออกไป เช่น มีขนาดใหญ่ ผิวแกร่ง ภายในพระธาตุเมื่อผ่าออกจะมีชั้นซ้อนกันเหมือนวงปีของต้นไม้ ทั้งนี้ยังมีการ กล่าวไปอีกว่า พระธาตุที่พบท่ีเขาสามร้อยยอดเป็นพระธาตุพระปัจเจก พุทธเจ้า ซึง่ อ้างว่าได้รับคายนื ยนั จากครูบาอาจารย์หลาย ๆ รูปซึ่งเป็นท่ีเคารพ นับถือของชนหมู่มากและในปัจจุบันยังมีการนาพระธาตุจากเขาสามร้อยยอด มาแกะเปน็ รปู เคารพต่าง ๆ โดยเช่ือว่ามีอานุภาพในทุก ๆ ด้าน จึงอาจอนุมาน พระธาตุพระปจั เจกพุทธเจ้าไดต้ ามข้อสันนษิ ฐานดังกล่าว
๑๒ ตำรำพระธำตุ ฉบับ อรรถำธิบำยโดยพิสดำร พระธำตุขำ้ ว (พระธำตขุ ้ำวบิณฑ์) ในสมัยพุทธกาล สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จไปตามสถานที่ ต่าง ๆ เพ่ือโปรดเวไนยสัตว์ วันหนึ่งได้เสด็จมาไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ของแม่ระมิงค์ (แม่น้าปิง ปัจจุบันต้ังอยู่ในเขต อ.ฮอด เชียงใหม่) เพื่อไปโปรด พวกละว้า พวกละว้าเหล่านั้นอยู่ในภาวะอดอยาก ผืนดินแห้งแล้งทาการ เพาะปลูกไม่ได้ผล ต้องหาหัวเผือกหัวมันมาต้มผสมกับข้าวกินเป็นอาหาร เม่ือพระพุทธองค์ได้เสด็จมาถึงที่น่ัน พวกละว้าก็เอาข้าวผสมมันซึ่งเป็น โภชนาหารของตนมาใส่บาตร พระบรมโลกนาถก็ทรงรับแล้วฉันภัตตาหารเช้า ณ ที่นั้นซ่ึงเรียกว่า ดอยน้อย เสร็จแล้วก็ทรงให้ศีลให้พรพวกละว้าทั้งหลาย หลังจากนั้นจึงทรงนาข้าวที่เหลือก้นบาตรไปเทคว่าไว้และแสดงปาฏิหาริย์ให้ ข้าวน้ันกลายเป็นหิน (เป็นพระธาตุข้าวดังที่เห็นในปัจจุบันนี้) พวกละว้าเม่ือ เห็นดังน้ันก็เกิดเล่ือมใสศรัทธาเป็นอันมาก พระพุทธองค์จึงทรงให้ศีล 5 และ แสดงธรรม และรับส่ังให้พวกละว้ารักษาดอยน้อยไว้ให้ดี ให้รักษาศีล 5 ไว้เป็นปกติ ถ้ารักษาศีลได้ก็เหมือนอยู่ใกล้พระพุทธองค์ ถ้ารักษาศีลไม่ได้ กเ็ หมอื นอยู่ไกลสุดขอบฟา้ จกั รวาล พทุ ธองค์ทรงมีพระเมตตาแสดงพุทธปาฏิหาริย์เฉพาะตามเหตุอันควร เพ่ือให้พวกละว้าท้ังหลายได้ละจากความเช่ือนับถือภูตผีต่าง ๆ เกิดมีศรัทธา ในพระองคก์ ่อน แลว้ จากนน้ั จึงค่อยแสดงธรรมโปรดและบงั เกดิ ผลในท่ีสดุ ข้าวก้นบาตรที่กลายเป็นหินน้ีแต่ละเม็ดมีเทพคุ้มครองอยู่ จากนั้น พระธาตุข้าวก็เพมิ่ ขึ้นเร่ือย ๆ
ตำรำพระธำตุ ฉบับ อรรถำธิบำยโดยพิสดำร ๑๓ หลวงปู่ครบู ำชัยวงศำพัฒนำ เม่ือหลวงป่คู รบู าชัยวงศาพัฒนา ได้มาพานักเพือ่ จาพรรษาและพฒั นา วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม อ.ล้ี จ.ลาพูน ท่านได้นิมิตเห็นพระธาตุข้าวซ่ึงอยู่ห่าง ออกไปประมาณ 200 กม. ที่ดอยเกิ้ง ท่านจึงได้อัญเชิญพระธาตุข้าวบางส่วน มาไวท้ ่วี ัดและแจกให้ลูกหลานนาไปสักการบชู า ผู้ท่ีอยู่ในศีลในธรรมท่ีมีพระธาตุข้าวไว้บูชาแล้ว ความอดอยาก ขาดแคลนจะไม่บังเกิดข้ึน การทามาค้าขายโดยสุจริตจะได้ผลเจริญงอกงาม เม่ือประสงค์สิ่งใดให้ทาสมาธิจิตระลึกถึงคุณขององค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้าและครูบาชัยวงศาฯ แล้วต้ังจิตขอในสิ่งท่ีปรารถนาจะได้ผลดีมาก สาหรับผูท้ ม่ี ีศลี 5 เปน็ ปกติ ถ้าหากเกิดโรคภัยไข้เจ็บ ให้ทาน้าพระพุทธมนต์โดยอัญเชิญพระธาตุ ข้าวลงจุ่มในภาชนะใส่น้าที่จะทาน้าพระพุทธมนต์ ตั้งจิตอธิษฐานระลึกถึงคุณ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและครูบาชัยวงศาฯ แล้วดื่มน้า พระพุทธมนต์น้ันจะบรรเทาทุกข์เวทนาท่ีเกิดข้ึนได้ และพระธาตุข้าวน้ี อาจแตกหักได้ 2 กรณี คอื 1. แตกโดยการชารดุ 2. แตกหกั โดยนาไปในสถานทีท่ ไี่ ม่เป็นมงคล เรยี บเรยี งใหมจ่ ากบทความ “คณุ นนั ทวัน” หนงั สือ ธรรมปกิณกะ หนา้ ๓๑-๓๒
๑๔ ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธิบำยโดยพิสดำร พระบรมสำรีริกธำตุ แหล่งขอ้ มลู ตำรำพระธำตุ สัณฐำนดงั เมล็ดถว่ั แตก สัณฐำนดังเมล็ดขำ้ วสำรหัก สัณฐำนดังเมลด็ พันธุ์ผกั กำด แหลง่ ข้อมลู พระไตรปฎิ ก พระอรรถกถำ ตำรำพระธำตุ และคำนมสั กำรพระบรมสำรรี ิกธำตุ (ของโบรำณ) สวุ ณฺณจณุ ณฺ ำ โธตมุตตฺ สทิสำ สมุ นมกลุ สทสิ ำ พรรณดังผงทองคำ พรรณแกว้ มกุ ดำทเ่ี จียระไนแล้ว พรรณดอกมะลติ มู พรรณทองอไุ ร พรรณแก้วผลึก พรรณดอกพิกลุ
ตำรำพระธำตุ ฉบับ อรรถำธบิ ำยโดยพสิ ดำร ๑๕ แหลง่ ข้อมูล พระไตรปิฎก พระอรรถกถำ และคำนมสั กำรพระบรมสำรีริกธำตุ (ของโบรำณ) สพพฺ ขุททฺ กำ ธำตุ สำสปวชิ มตฺตำ มหำธำตุ มชเฺ ฌ ภินฺนตณฑฺ ุลมตฺตำ พระบรมสำรีริกธำตุขนำดเลก็ สุด พระบรมสำรีรกิ ธำตุขนำดกลำง ประมำณเทำ่ เมลด็ พนั ธผ์ุ ักกำด ประมำณเทำ่ เมล็ดข้ำวสำรหกั อตมิ หตี มชฺเฌ ภินนฺ มุคฺคมตฺตำ พระบรมสำรีริกธำตุขนำดใหญส่ ุด ประมำณเท่ำเมล็ดถว่ั เขยี วผำ่ กลำง
๑๖ ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธบิ ำยโดยพสิ ดำร สัณฐำนดงั เมล็ดถ่ัว สัณฐำนดังเมล็ดขำ้ วสำร สัณฐำนดงั เมล็ดงำ สัณฐำนดังเมลด็ ถว่ั แตก สัณฐำนดังเมลด็ ข้ำวสำรหัก สณั ฐำนดังเมล็ดพันธุ์ผักกำด สัณฐำนสำมเหล่ยี ม สัณฐำนดงั ผลกระจับ สัณฐำนมีรเู ส้นผมลอดได้
ตำรำพระธำตุ ฉบับ อรรถำธิบำยโดยพิสดำร ๑๗ วรรณทองอไุ ร/ผงทอง วรรณแก้วมกุ ดำ วรรณดงั ดอกพกิ ลุ (สดี งั งำชำ้ ง) วรรณขำวดงั สีสังข์ วรรณใสประดจุ เพชร วรรณเขยี ว วรรณตำ่ ง ๆ หำกำหนดมไิ ด้ ให้สงั เกตว่ำสจี ะมคี วำมเป็นธรรมชำตไิ ม่ฉดู ฉำด
๑๘ ตำรำพระธำตุ ฉบับ อรรถำธบิ ำยโดยพิสดำร พระธำตุพระปัจเจกพทุ ธเจำ้ พระธำตุข้ำว (พระธำตขุ ้ำวบิณฑ์)
ตำรำพระธำตุ ฉบับ อรรถำธิบำยโดยพิสดำร ๑๙ พระอรหนั ตธำตุ พระอรหันตธาตุ หมายถึง กระดูก หรือ ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายผู้ท่ี บรรลุธรรมมีจิตใจท่ีบริสุทธ์ิ หมดกิเลส จากการศึกษาพระอรหันตธาตุ จะสามารถแยกออกไดเ้ ปน็ กลมุ่ จานวน ๒ กลมุ่ คอื ๑. พระอรหันตธาตุท่ีเกิดจากพระอรหันต์ในยุคพุทธกาลและหลัง พุทธกาลเล็กน้อย พระธาตุกลุ่มนี้ จะยึดตามสัณฐาน (รูปร่าง) ซึ่งอ้างอิงถึงได้ ๒ ส่วน คือ พระอรรถกถาระบุสัณฐาน (รูปร่าง) หรือวรรณะ (สี) ของ พระอรหันตธาตุไว้ ๓ องค์ และตาราพระธาตุ ระบุรูปร่าง (สัณฐาน) และ วรรณะ (สี) ของพระอรหันตธาตุไว้ ๔๗ องค์ ซ่ึงซ้าในพระอรรถกถา ๒ องค์ ทาให้เรารู้สัณฐานของพระอรหันตธาตุเพียง ๔๘ องค์เท่านั้น โดยเราจะเรียก พระอรหนั ตธาตกุ ลมุ่ น้วี า่ พระอรหันตธาตยุ คุ พุทธกาล ๒. พระอรหันตธาตุท่ีเกิดจากพระอรหันต์ในยุคหลังจากกลุ่มแรก จนถึงปัจจุบัน มีลักษณะที่ไม่แน่นอน บางครั้งเกิดจากเส้นผม เส้นขนต่าง ๆ เลบ็ ฟนั หนงั และอ่นื ๆ ซึ่งเกิดได้ตัง้ แต่พระอรหันต์รปู น้ันยังมีชีวิตอยู่ และเม่ือ มรณภาพแล้ว ส่วนท่ีเหลือจากการเผาท้ังท่ีเป็นกระดูก ผงเถ้าอังคาร อวัยวะ ในท่ีเผาไม่หมดก็สามารถแปรสภาพเป็นได้ท้ังส้ิน โดยกลุ่มนี้จะเรียกว่า พระอรหันตธาตุในยุคปจั จบุ ัน พระอรหันตธำตยุ ุคพุทธกำล พระอรหันตธาตุยุคพุทธกาล อ้างอิงตามพระอรรถกถาและตารา พระธาตุ พบที่สามารถระบุได้ทั้งส้ิน ๔๘ พระองค์ โดยในแหล่งอ้างอิงจะระบุ ชื่อพระอรหันต์ สัณฐาน (รปู ร่าง) ของพระธาตุและวรรณะหรือพรรณ (สี) โดย เทียบเคียงจากส่ิงต่าง ๆ ตามที่คาดว่าจะเข้าใจได้โดยง่ายในสมัยนั้น เช่น สัณฐานดังดอกมะลิตูม สัณฐานดังงาช้าง พรรณดังดอกพิกุลแห้ง เป็นต้น ทั้งน้ี สามารถอนุโลมให้ยึดเอาสัณฐานพระธาตุเป็นหลักในการศึกษา วรรณะหรือ พรรณ (สี) ตรงหรือไม่สามารถอนุโลมได้ ตามคาอารัมภบทของผู้นิพนธ์ตารา ด้ังเดิม ที่ว่า “...เป็นแต่เพียงอุทาหรณ์เท่านั้น ถ้าพระธาตุองค์ใดมีสัณฐาน คล้ายคลึง ถงึ ไม่เหมือนกนั ทเี ดียวกบั ตวั อย่าง กต็ อ้ งนับเอาเป็นใชไ้ ด้”
๒๐ ตำรำพระธำตุ ฉบับ อรรถำธบิ ำยโดยพสิ ดำร พระอรหนั ตธำตยุ ุคพทุ ธกำลในพระอรรถกถำ ในอรรถกถำ สังยุตตนิกำย สคำถวรรค วังคีสสังยุต โกณฑัญญสูตร ที่ ๙ กล่ำวไว้ว่ำ “พวกพรหมได้ให้เรือนยอดแก่พวกเทวดำ พวกเทวดำได้ให้ เรือนยอดแกช่ ้ำงทั้งหลำยตำมเดิมโดยลำดับด้วยประกำรฉะน้ีอีก เทวดำแต่ละ องค์ได้นำท่อนจันทน์ประมำณ ๔ องคุลี ได้มีจิตกำธำนประมำณ ๙ โยชน์ พวกเทวดำยกเรือนยอดขึ้นสู่จิตกำธำน ภิกษุประมำณ ๕๐๐ รูป เหำะมำ สำธยำยตลอดคืน พระอนุรุทธเถระแสดงธรรมเทวดำเปน็ อนั มำกได้ตรัสร้ธู รรม วันรุ่งขึ้น เวลำอรุณข้ึนน่ันเอง เทวดำทั้งหลำยให้ดับจิตกำธำนแล้ว เอำพระธาตุมีสีดังดอกมะลิตูมบรรจุผ้ำกรองน้ำ นำมำวำงไว้ในพระหัตถ์ของ พระศำสดำ เม่ือพระองค์เสด็จออกถึงซุ้มประตูพระวิหำรเวฬุวัน พระศำสดำ ทรงรับผ้ำกรองน้ำ บรรจุพระธำตุแล้ว ทรงเหยียดพระหัตถ์ไปที่แผ่นดิน พระเจดีย์เหมือนฟองเงินชำแรกแผ่นดินใหญ่ออกมำ พระศำสดำทรงบรรจุ พระธำตใุ นพระเจดยี ด์ ว้ ยพระหตั ถข์ องพระองค์ ได้ยนิ ว่ำพระเจดยี ์นัน้ ก็ยังดำรง อยจู่ นถงึ ทกุ วนั นแ้ี ล” ในอรรถกถำ มัชฌิมนิกำย อุปริปัณณำสก์ สุญญตวรรค พักกุลัต เถรัจฉริยัพภูตสูตร กล่ำวไว้ว่ำ “พระเถระดำริว่ำ แม้เรำมีชีวิตอยู่อย่ำได้เป็น ภำระแก่ภิกษุเหล่ำอื่น สรีระของเรำแม้ปรินิพพำนแล้ว อย่ำให้ภิกษุสงฆ์ต้อง เป็นกงั วลเลย จึงเข้ำเตโชธำตุ ปรินิพพำนแล้วเปลวไฟลุกข้ึนท่วมสรีระ ผิวหนัง เนื้อและโลหิตถูกเผำไหม้สิ้นไป เหมือนเนยใส เหลืออยู่แต่ธาตุ ท่ีมีลักษณะ ดงั ดอกมะลิตมู ” ในอรรถกถำ ขุททกนิกำย คำถำธรรมบท ทัณฑวรรคที่ ๑๐ กล่ำวว่ำ “สันตติมหำอำมำตย์น้ัน ครั้นทูลบรุ พกรรมของตนอย่ำงนั้นแล้ว น่ังบนอำกำศ เข้ำเตโชธำตุ ปรินิพพำนแล้ว เปลวไฟเกิดขึ้นในสรีระไหม้เน้ือและโลหิตแล้ว ธาตุท้ังหลายดุจดอกมะลิเหลืออยู่แล้ว พระศำสดำทรงคลี่ผ้ำขำว ธำตุทั้งหลำยก็ตกลงบนผ้ำขำวน้ัน พระศำสดำทรงบรรจุธำตุเหล่ำน้ันแล้ว รับสั่งให้สร้ำงสถูปไว้ท่ีทำงใหญ่ ๔ แพร่ง ด้วยทรงประสงค์วำ่ มหำชนไหว้แล้ว จกั เป็นผู้มีสว่ นแห่งบุญ”
ตำรำพระธำตุ ฉบับ อรรถำธบิ ำยโดยพสิ ดำร ๒๑ นามพระอรหนั ต์ ลกั ษณะของพระธาตุที่ปรากฎในพระอรรถกถา พระอญั ญำโกณฑัญญะ พระธำตุมสี ีดงั ดอกมะลิตูม พระพักกุละ พระธำตุมสี ัณฐำนดังดอกมะลติ ูม สนั ตตมิ หำอำมำตย์ พระธำตุมีสัณฐำนดังดอกมะลติ มู พระอรหันตธำตุยคุ พทุ ธกำลในตำรำพระธำตุ “ตำรำพระธำตุ” เป็นตำรำโบรำณ บันทึกลักษณะสัณฐำนของ พระบรมสำรีริกธำตุ และกำรจำแนกลักษณะของพระอรหันตธำตุ ๔๗ พระองค์ แบ่งเปน็ พระอรหนั ตธำตทุ ี่ระบุ สัณฐำน (รูปรำ่ ง) และวรรณะ/พรรณ (สี) ๓๓ พระองค์ บอกเฉพำะสัณฐำน ๑๔ องค์ ทั้งน้ีได้นำภำพพระธำตุ ของจริง เน้ือหำจำกตำรำพระธำตุของโบรำณ ลักษณะวัตถุเทียบสัณฐำน (รูปร่ำง) และวรรณะ/พรรณ (สี) ข้ึนมำประกอบเพ่ือควำมเข้ำใจและเป็น แนวทำงในกำรศกึ ษำ สำหรับภำพลักษณะวัตถุเทียบสัณฐำน (รูปร่ำง) และวรรณะ/พรรณ (สี) เป็นส่วนที่จัดทำขึ้นใหม่ ยังไม่เคยมีตำรำเล่มได้ท่ีผู้เขียนพบเห็นจัดทำ มำก่อนเป็นควำมเข้ำใจของผู้เขียนเป็นหลัก ซ่ึงตีควำมจำกข้อมูลในตำรำ พระธำตุ วตั ถุบำงชนิดในปจั จุบนั ถูกเปลย่ี นชอื่ ไปบำ้ งหรือเปล่ียนแปลงลกั ษณะ ไป เช่น สีดอกพุดตำน ซึ่งปัจจุบันเรำพบสีถึง ๓ สี ซึ่งเรำไม่สำมำรถเข้ำใจ ควำมหมำยในตำรำพระธำตุได้ว่ำจะระบถุ ึงสีไหน หรอื สีแดงดังเปลือกกรูซ่ึงไม่ สำมำรถสืบค้นได้ว่ำหมำยถึงสีอะไร ด้วยระยะเวลำและช่ือที่เปลี่ยนไปอำจทำ ให้เกิดควำมคลำดเคล่ือนไปบ้ำง ขอให้ผู้ศึกษำใช้วิจำรณญำณในกำรพิจำรณำ โดยให้ยึดตำมตัวหนังสือในตำรำด้ังเดิมเป็นสำคัญ ท่ำนผู้ศึกษำอำจตีควำม ทต่ี ำ่ งกันออกไป ลว้ นสำมำรถทำได้ทง้ั ส้นิ
๒๒ ตำรำพระธำตุ ฉบับ อรรถำธิบำยโดยพสิ ดำร ลกั ษณะทำงกำยภำพพระอรหันตธำตุยคุ พุทธกำล จากการสังเกตพระอรหันตธาตุยุคพุทธกาล มีลักษณะคล้าย ก้อนหินปูน มีน้าหนักเบา เม่ือเทียบกับก้อนหินขนาดใกล้เคียงกัน ผิวพระธาตุ มี ๓ ลักษณะ ๑. ผิวเนียน เน้ือละเอียด มีความมันวาวคล้ายผิวของเซรามิก มีความ แกร่ง แตกหักไดย้ าก ๒. ผิวฝนุ่ เนอื้ หยาบ ไมม่ ันวาว แตกหกั ไดง้ ่าย ๓. ผิวขุย เน้อื จะฟู ๆ ไมม่ นั วาว เมอื่ สมั ผสั จะมผี งติดนวิ้ ข้นึ มา แตกหกั งา่ ย บางครั้งทีผ่ วิ จะมีลักษณะคลา้ ยเกลด็ เพชรก็มี วรรณะ/พรรณ (สี) ของพระอรหันตธาตุ จะมีสีที่แตกต่างกันไป แต่สี จะมีความเป็นธรรมชาติไม่ฉูดฉาด ส่วนใหญ่ที่พบมักพบเป็นสีโทนอ่อนต้ังแต่ สีขาว สีครีม สีเหลืองนวล เป็นต้น ส่วนสีโทนเข้มจะพบ สีดาเข้ม สีดาอ่อน สีน้าตาลเข้ม สีน้าตาลอ่อนเป็นหลัก แต่ก็พบสีอื่น ๆ อีกก็มี แต่พบน้อย เช่น สีชมพูอ่อน สีส้ม สแี ดงเลอื ดนก สีเทาฟา้ ทั้งน้ีในการศึกษาพระอรหันตธาตุ ยุคพุทธกาล ขอให้ยึดเอาลักษณะ ผิวและเน้ือของพระธาตุเป็นหลัก ถ้าเนื้อและผิวถูกต้อง ขอให้ถือว่าน่ันคือ พระอรหันตธาตุ การจาแนกว่าพระธาตุเป็นของพระอรหันต์รูปใดนั้น ให้ยึดเอาตาม ตาราพระธาตุเป็นสาคัญ โดยในตาราพระธาตุจะระบุสัณฐาน (รูปร่าง) และ วรรณะ/พรรณ (สี) เอาไว้ เช่น พระธาตุพระสารีบุตร “สัณฐานกลมเป็น ปริมณฑลบ้าง รีเป็นไข่จ้ิงจกบ้าง เป็นดังรูปบาตรคว่าบ้าง พรรณขาวดังสีสังข์ สีพิกุลแห้ง สีหวายตะค้า” การคัดให้เริ่มดูท่ีสัณฐานก่อน แล้วจึงค่อยดูวรรณะ หากสณั ฐานตรงแต่วรรณะไมต่ รงก็ให้ถอื ว่าใชไ้ ด้เชน่ กนั ข้อมูลท้ังหมดเป็นเพียงข้อสังเกตที่ผู้เขียนเคยพบเห็น อาจมีลักษณะ ที่นอกเหนือออกไป ผู้เขียนไม่ได้หวังให้ผู้ใดใช้ตาราฉบบั นี้ช้ีขาดว่าพระธาตุจริง หรือปลอมหวังเพียงเป็นคู่มือในการศึกษาและรักษาความรู้ท่ีเกิดขึ้นเอาไว้ เทา่ นน้ั
ตำรำพระธำตุ ฉบับ อรรถำธบิ ำยโดยพสิ ดำร ๒๓ พระธำตพุ ระสำรบี ุตร กลมเปน็ ปริมณฑล รเี ป็นไข่จง้ิ จก ทรงบำตรควำ่ ขำวดงั สีสงั ข์ สีพกิ ุลแหง้ สีหวำยตะคำ้ ภำพอำ้ งอิงสณั ฐำนและวรรณะเป็นเพียงแนวทำงในกำรศึกษำเท่ำน้นั มิใชข่ อ้ สรุป
๒๔ ตำรำพระธำตุ ฉบับ อรรถำธบิ ำยโดยพสิ ดำร พระธำตุพระโมคคลั ลำนะ กลมเป็นปริมณฑล รเี ปน็ ผลมะตูม สีหวำยตะคำ้ สีขำว สีเขยี วช้ำใน เมล็ดสวำท เมลด็ คำ ลำยดังไข่นก รำ้ วเป็นสำยเลือด ภำพอ้ำงอิงสณั ฐำนและวรรณะเป็นเพียงแนวทำงในกำรศึกษำเท่ำน้นั มใิ ชข่ อ้ สรปุ
ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธิบำยโดยพิสดำร ๒๕ พระธำตุพระสวี ลี เมลด็ ในพุทรำ ผลยอปำ่ สีเขียวผกั ตบ สีแดงหม้อใหม่ เมลด็ มะละกอ สีพิกุลแหง้ สีหวำยตะค้ำ สีขำวสังข์ ภำพอ้ำงองิ สณั ฐำนและวรรณะเปน็ เพยี งแนวทำงในกำรศกึ ษำเท่ำนั้น มใิ ช่ข้อสรุป
๒๖ ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธบิ ำยโดยพสิ ดำร พระธำตุพระองคลุ มี ำล คอสำก(สำกตำขำ้ ว) ขำวดงั สสี งั ข์ สีดอกจำปำ สฟี ำ้ หมอก ภำพอำ้ งอิงสณั ฐำนและวรรณะเป็นเพียงแนวทำงในกำรศกึ ษำเทำ่ น้นั มใิ ช่ขอ้ สรปุ
ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธบิ ำยโดยพสิ ดำร ๒๗ พระธำตพุ ระอญั ญำโกณฑญั ญะ งอนช้อยดงั งำช้ำง ขำวดงั ดอกมะลิ สเี หลอื ง สีดำ ภำพอ้ำงอิงสณั ฐำนและวรรณะเป็นเพยี งแนวทำงในกำรศกึ ษำเท่ำน้นั มิใชข่ อ้ สรปุ
๒๘ ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธบิ ำยโดยพสิ ดำร พระธำตุพระอนรุ ทุ ธะ สำมเหลย่ี ม แดงดงั เลือดนก ภำพอ้ำงอิงสณั ฐำนและวรรณะเปน็ เพยี งแนวทำงในกำรศึกษำเทำ่ นน้ั มิใชข่ ้อสรปุ
ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธิบำยโดยพสิ ดำร ๒๙ พระธำตุพระมหำกัจจำยะนะ ศีรษะช้ำง เบ้ียจัน่ ขำวดังสสี งั ข์ สเี หลือง ภำพอ้ำงองิ สัณฐำนและวรรณะเป็นเพยี งแนวทำงในกำรศกึ ษำเทำ่ น้นั มิใช่ขอ้ สรปุ
๓๐ ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธิบำยโดยพสิ ดำร พระธำตพุ ระพิมพำเถรี หยดแปง้ เลบ็ มอื แผ่นแปง้ กระแจะ สใี บลำนแห้ง สีดำ สีพกิ ลุ แห้ง บำงทีมรี ูทะลุ หรือเปน็ สะดือ ภำพอำ้ งองิ สณั ฐำนและวรรณะเป็นเพยี งแนวทำงในกำรศึกษำเท่ำน้นั มิใชข่ อ้ สรุป
ตำรำพระธำตุ ฉบับ อรรถำธิบำยโดยพิสดำร ๓๑ พระธำตพุ ระสนั ตติมหำอำมำตย์ ดอกมะลิตูม สขี ำวดงั สสี งั ข์ ภำพอำ้ งองิ สัณฐำนและวรรณะเป็นเพียงแนวทำงในกำรศกึ ษำเท่ำนั้น มใิ ช่ขอ้ สรปุ
๓๒ ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธิบำยโดยพิสดำร พระธำตพุ ระภัทธิยะ กลอง ดอกพุดตำน (ปลำยสองข้ำงเรยี ว) (ดอกพดุ ตำนมีสตี ำ่ งกันตำมเวลำ) ภำพอ้ำงองิ สัณฐำนและวรรณะเป็นเพียงแนวทำงในกำรศึกษำเท่ำนัน้ มิใชข่ ้อสรุป
ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธบิ ำยโดยพสิ ดำร ๓๓ พระธำตพุ ระอำนนท์ ใบบัวเผอ่ื น สีดำดังน้ำรัก สีขำวดังสีเงนิ ภำพอำ้ งอิงสณั ฐำนและวรรณะเปน็ เพยี งแนวทำงในกำรศกึ ษำเทำ่ นั้น มิใช่ขอ้ สรปุ
๓๔ ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธบิ ำยโดยพสิ ดำร พระธำตพุ ระอุปคุต หวั คอดทำ้ ยคอด สีดอกพกิ ลุ แห้ง สเี ปลอื กหอม ภำพอ้ำงองิ สัณฐำนและวรรณะเป็นเพยี งแนวทำงในกำรศึกษำเท่ำนัน้ มิใชข่ อ้ สรปุ
ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธิบำยโดยพิสดำร ๓๕ พระธำตุพระอทุ ำยี ยำวและคดดงั กฤช สีดอกบัวโรย สดี อกหงอนไก่ สดี อกคำ(คำฝอย) ภำพอ้ำงองิ สัณฐำนและวรรณะเปน็ เพียงแนวทำงในกำรศึกษำเทำ่ นั้น มิใชข่ ้อสรปุ
๓๖ ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธบิ ำยโดยพิสดำร พระธำตุพระอุตตะรำยีเถรี พระควัมปติ หรือ พระปดิ ตำ สีดังเมฆ สีฟำ้ หมอก สีแดงเข้ม ภำพอ้ำงองิ สณั ฐำนและวรรณะเป็นเพียงแนวทำงในกำรศกึ ษำเท่ำน้นั มใิ ชข่ ้อสรปุ
ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธิบำยโดยพิสดำร ๓๗ พระธำตุพระกำฬุทำยี ลกู หนิ บดยำ สีดงั เมฆเกล็ดฟ้ำ ภำพอ้ำงองิ สัณฐำนและวรรณะเปน็ เพยี งแนวทำงในกำรศกึ ษำเท่ำนั้น มิใชข่ ้อสรปุ
๓๘ ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธิบำยโดยพิสดำร พระธำตพุ ระปุณณะ ส่ีเหล่ยี มจตั รุ สั สขี ำว สดี อกพกิ ุลแห้ง ภำพอ้ำงองิ สัณฐำนและวรรณะเปน็ เพยี งแนวทำงในกำรศกึ ษำเท่ำนั้น มใิ ช่ขอ้ สรปุ
ตำรำพระธำตุ ฉบับ อรรถำธิบำยโดยพิสดำร ๓๙ พระธำตพุ ระอปุ นันทะ กลมเปน็ ปริมณฑล สีเขยี ว (ทรงกลม กลง้ิ เป็นทำงตรงได้) ภำพอำ้ งองิ สัณฐำนและวรรณะเป็นเพยี งแนวทำงในกำรศกึ ษำเทำ่ นนั้ มิใช่ข้อสรปุ
๔๐ ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธบิ ำยโดยพิสดำร พระธำตุพระสัมปะฑญั ญะ หมำกสงปอกแลว้ (ลูกหมำกแดง ๆ) สีแดง สขี ำว ภำพอ้ำงองิ สัณฐำนและวรรณะเปน็ เพยี งแนวทำงในกำรศกึ ษำเท่ำนั้น มิใช่ข้อสรปุ
ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธิบำยโดยพสิ ดำร ๔๑ พระธำตพุ ระจลุ ลินะ หำกำหนดไม่ได้(เทยี บจำกรูปประกอบ) สีดอกจำปำ สีกลว้ ยครัง่ ภำพอำ้ งองิ สัณฐำนและวรรณะเป็นเพยี งแนวทำงในกำรศึกษำเท่ำน้นั มิใชข่ อ้ สรปุ
๔๒ ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธบิ ำยโดยพสิ ดำร พระธำตุพระจุลนำคะ ดอกดีปลี เปน็ ปมุ่ ยำวทบไปมำทัว่ ท้ังองค์ สีขำวดังสีสงั ข์ ภำพอ้ำงองิ สัณฐำนและวรรณะเป็นเพยี งแนวทำงในกำรศึกษำเท่ำนนั้ มิใช่ข้อสรปุ
ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธบิ ำยโดยพสิ ดำร ๔๓ พระธำตุพระมหำกปั ปินะ ผลชะเอม สีขำวขำ้ งแดงขำ้ ง สีเขยี วข้ำงแดงข้ำง สเี หลอื งข้ำงเขียวขำ้ ง ภำพอ้ำงอิงสณั ฐำนและวรรณะเปน็ เพียงแนวทำงในกำรศึกษำเท่ำน้นั มใิ ชข่ ้อสรุป
๔๔ ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธบิ ำยโดยพสิ ดำร พระธำตุพระยงั คิกะ สที องแดง สเี่ หลย่ี ม ภำพอำ้ งองิ สัณฐำนและวรรณะเป็นเพียงแนวทำงในกำรศึกษำเท่ำน้ัน มิใชข่ อ้ สรปุ
ตำรำพระธำตุ ฉบบั อรรถำธบิ ำยโดยพสิ ดำร ๔๕ พระธำตุพระสมุ ณะ หอยโข่ง สีแดงดงั สีชำด สีเสน สีกำมะถนั ภำพอ้ำงองิ สัณฐำนและวรรณะเป็นเพยี งแนวทำงในกำรศกึ ษำเทำ่ นน้ั มใิ ช่ข้อสรปุ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114