โครงการกาํ หนดขอบเขตพื้นทเ่ี มอื งเกา่ เมอื งเก่าตรัง สาํ นกั งานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดล้อม และ คณะสถาปตั ยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศลิ ปากร
สารบญั หนา้ 1 1. ความเปน็ มา 1 1.1 นิยามความหมายของเมอื งเกา่ 2 1.2 การจดั จำแนกกลมุ่ เมืองเก่าในประเทศไทย 1.3 ระเบยี บสำนักนายกรฐั มนตรี วา่ ดว้ ยการอนุรกั ษ์และพฒั นากรุงรัตนโกสนิ ทร์ และ 4 เมอื งเก่า พ.ศ. 2546 5 1.4 การกำหนดขอบเขต และการประกาศเขตพ้นื ที่เมอื งเก่า 9 10 2. กรอบแนวทางการอนรุ ักษแ์ ละพัฒนาเมอื งเกา่ 10 2.1 การบรหิ ารจัดการ 10 2.2 การสง่ เสรมิ และรกั ษาคณุ ภาพสิง่ แวดลอ้ ม 10 2.3 การอนรุ กั ษโ์ บราณสถานและสถานทท่ี มี่ คี ุณค่าและความสำคญั 11 2.4 การควบคมุ การใช้ประโยชน์ที่ดิน 11 2.5 การควบคมุ การกอ่ สร้างและดัดแปลงอาคาร 11 2.6 การควบคมุ กิจกรรมบางประเภทท่ีไมเ่ หมาะสม 12 2.7 มาตรการด้านอนื่ ๆ ท่ีเออื้ ต่อการอนรุ กั ษ์และพัฒนาเมอื งเก่า 12 13 3. หลักการกำหนดขอบเขตพน้ื ทีเ่ มอื งเกา่ 15 3.1 การเก็บรวบรวมและศึกษาวเิ คราะห์หลกั ฐานและขอ้ มลู 16 3.2 การวเิ คราะหแ์ ละประเมนิ คณุ ค่าความสำคัญองคป์ ระกอบของเมอื ง 17 3.3 การระบหุ รอื กำหนดขอบเขตพื้นทเี่ มอื งเก่า 17 3.4 การมสี ว่ นรว่ มของท้องถ่นิ 35 41 4. ขอบเขตพ้ืนทีเ่ มืองเกา่ ตรัง จังหวัดตรัง 47 4.1 ความสำคัญของพนื้ ท่ีเมอื งเกา่ ตรัง 47 4.2 องคป์ ระกอบของเมืองเก่าตรัง 53 4.3 ขอบเขตพน้ื ทเี่ มืองเกา่ ตรงั จงั หวัดตรงั 53 4.4 เขตพืน้ ท่ี (Zoning) ภายในขอบเขตพน้ื ที่เมอื งเกา่ ตรัง 56 4.5 พื้นที่ต่อเนอ่ื งเมอื งเกา่ ตรัง 59 5. แนวทางการอนรุ ักษแ์ ละพฒั นาเมอื งเก่าตรัง จังหวดั ตรงั 5.1 แนวทางการอนรุ ักษ์และพัฒนาทัว่ ไป 5.2 แนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาสำหรับเขตพน้ื ที่ (Zoning) บรรณานุกรม
สารบญั (ตอ่ ) หนา้ ภาคผนวก ผ-1 ผ.1 ขอ้ มลู ทัว่ ไปของพน้ื ทีเ่ มอื งตรงั ผ-16 ผ.2 การรวบรวมขอ้ มูลโบราณสถาน อาคาร และสถานทสี่ ำคญั ในพน้ื ทเ่ี มืองตรงั ผ-32 ผ.3 บญั ชรี ายชือ่ อาคาร สถานที่ และโบราณสถานท่ีมีคณุ คา่ (Inventory) ในพื้นทีเ่ มอื งเกา่ ตรงั และบริเวณโดยรอบ ผ-46 ผ.4 การวเิ คราะหแ์ ละประเมนิ คุณคา่ องค์ประกอบทสี่ ำคญั ของเมอื งตรงั ผ-56 ผ.5 การประชมุ เพ่อื รบั ฟงั ความคิดเหน็ และขอ้ เสนอแนะ ตอ่ ขอบเขตพ้ืนทเี่ มืองเก่าตรงั ผ-62 ผ.6 สรุปสาระสำคัญภาพรวมของเมืองเก่าตรัง
เมืองเก่าตรัง 1. ความเปน็ มา 1.1 นิยามความหมายของเมืองเก่า ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่า พ.ศ. 2546 ได้กำหนดนยิ ามของ “เมืองเก่า” ดังนี้ (1) เมืองหรือบริเวณของเมือง ที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะแห่งสืบต่อมาแต่กาลก่อน หรือท่ีมี ลกั ษณะเปน็ เอกลกั ษณข์ องวฒั นธรรมท้องถ่ิน หรอื มีลักษณะจำเพาะของสมัยหน่งึ ในประวัติศาสตร์ (2) เมืองหรือบริเวณของเมือง ที่มีรูปแบบผสมผสานสถาปัตยกรรมต่างถิ่น หรือมีลักษณะเป็น รปู แบบววิ ฒั นาการทางสงั คมที่สบื ต่อมาในยุคตา่ ง ๆ (3) เมืองหรือบริเวณของเมือง ที่เคยเป็นตัวเมืองดั้งเดิมในสมัยหนึ่ง และยังคงมีลักษณะเด่น ประกอบด้วยโบราณสถาน (4) เมืองหรือบริเวณของเมือง ซึ่งโดยหลักฐานทางประวัติศาสตร์ หรือโดยอายุ หรือโดย ลักษณะแห่งสถาปัตยกรรมมีคุณค่าในทางศิลปะ โบราณคดี หรือประวัติศาสตร์ จากการจำแนกเมืองเก่า เป็น 4 ประเภทนั้น จะเห็นได้ว่ามีทั้ง “เมืองเก่าที่ยุติบทบาทความเป็น เมืองหรือชุมชนไปแล้ว” “เมืองเก่าที่มีการประกาศขอบเขตเป็นอุทยานประวัติศาสตร์” และ “เมืองเก่าที่มี พลวตั ” ต่อมาในปี พ.ศ. 2548 สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมซึ่งมี หน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่า ได้จัดทำเอกสารเผยแพร่ “ชุดความรู้ด้านการอนุรักษ์ พัฒนา และบริหารจัดการเมืองเก่า เล่ม 1 ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับเมืองเก่าในประเทศไทย” โดยให้อรรถาธิบายขยายความบริบทเพ่ือสร้างความเข้าใจ ดังนี้ “เมืองหรือบริเวณของเมืองที่มีเอกลักษณ์พิเศษเฉพาะแห่งสืบต่อมาแต่กาลก่อน หรือ มีรูปแบบ ผสมผสานของสถาปัตยกรรมท้องถิ่น หรือมีลักษณะของรูปแบบวิวัฒนาการ ทางสังคมที่สืบต่อมาของยุค ต่าง ๆ หรือเคยเป็นตัวเมืองดั้งเดิมในสมัยหนึ่ง หรือโดยหลักฐานทางประวัติศาสตร์ หรือสถาปัตยกรรมมี คุณค่าในทางศิลปะ โบราณคดี หรือประวัติศาสตร์”1 โดยมีทั้งลักษณะประเภทเมืองเก่า ประเภทเมือง โบราณ และเมืองเก่าที่มีการอยู่อาศัยสืบเนื่องมาจากอดีต มีการใช้สอยในลักษณะเมืองที่ยังมีชีวิต (Living Environment) ทั้งนี้ อาจสรุปให้เห็นความหมายของ “เมืองเก่า” ที่ได้รับการประกาศขอบเขตพื้นที่เมืองเก่า ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ดังนี้ “สภาพทางกายภาพที่แสดงออกถึงความเป็นเมืองที่เป็นผลสืบ เนื่องมาจากการตั้งถิ่นฐานและสั่งสมอารยธรรม และเป็นผลมาจากวัฒนธรรมที่เป็นผลจากการดำเนินชีวิต 1 สำนักนายกรัฐมนตร.ี (2546). “ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่า พ.ศ. 2546” ใน ราชกิจจานุเบกษา เลม่ ท่ี 120 ตอนพเิ ศษ 37 ง. 26 มนี าคม 2546. หน้า 9-10. เขา้ ถงึ ขอ้ มูลจาก : http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/00121665.PDF 1
โครงการกำหนดขอบเขตพน้ื ทีเ่ มืองเก่า ของมนุษย์ผู้อยู่อาศัยในพื้นที่ดังกล่าวมาตั้งแต่บรรพกาลเก่าก่อน และยังดำรงสถานะเป็นชุมชนหรือเป็น เมอื งทีย่ ังมีการต้ังถ่นิ ฐานของผู้คนท่ดี ำรงไว้ซงึ่ พลวัตทางสังคมวัฒนธรรมอยู่ในปจั จบุ นั ” ทั้งนี้ “เมืองหรือพื้นที่บริเวณของเมืองที่ได้รับการประกาศเขตพื้นที่เป็นเมืองเก่าตาม มติคณะรัฐมนตรี” จะมีหลักเกณฑ์สำคัญ คือ ต้องเป็นพื้นที่ที่บริบทของความเป็นเมืองนั้นยังมี “พลวัต” อยู่ในปัจจุบัน ด้วยความจำเป็นเร่งด่วนในการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าที่ต้องวางแผนเพื่อกำหนดแนวทาง อย่างเหมาะสม โดยรัฐบาลได้กำหนดนโยบายการดำเนินงานเป็นพิเศษเฉพาะพื้นที่ เป็นระเบียบสำนัก นายกรัฐมนตรี ว่าดว้ ยการอนรุ ักษแ์ ละพัฒนากรงุ รัตนโกสนิ ทร์ และเมอื งเกา่ พ.ศ. 2546 โดยมอบหมายให้ คณะกรรมการอนรุ กั ษ์และพฒั นากรงุ รัตนโกสินทร์ และเมืองเกา่ โดยมีรองนายกรัฐมนตรี ท่ีนายกรัฐมนตรี มอบหมายให้กำกับบริหารราชการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานกรรมการ ทำหน้าที่วางนโยบาย กำหนดพื้นที่ และจัดทำแผนแม่บท แนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า โดย ความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรพั ยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม ทำหน้าท่ีเป็นสำนักงานเลขานกุ ารของคณะกรรมการฯ 1.2 การจดั จำแนกกลุ่มเมืองเกา่ ในประเทศไทย จากนิยาม “เมืองเก่า” ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการอนุรักษ์และพัฒนา กรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่า พ.ศ. 2546 และแนวทางการจำแนกเมืองเก่าโดยคณะกรรมการอนุรักษ์ และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่า เป็น 4 ประเภท นั้นจะเห็นได้ว่ามีทั้ง “เมืองเก่าที่ยุติบทบาท ความเป็นเมืองหรือชุมชนไปแล้ว” “เมืองเก่าที่มีการประกาศขอบเขตเป็นอุทยานประวัติศาสตร์” และ “เมอื งเกา่ ท่ีมีพลวัต” การประกาศเป็นเขตพ้ืนท่ีเมืองเก่าตามนโยบายของรฐั บาลนนั้ ใหค้ วามสำคญั กับ “เมืองเก่าที่มี พลวัต” ซึ่งยังมีผู้คนตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัย มีความเคลื่อนไหวทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม โดยรัฐบาลได้ให้ความสำคัญเมืองเก่าที่มีพลวัตมากกว่าเมืองเก่าที่เป็นเมืองโบราณที่ตัดขาดจากพลวัตของ การตั้งถิ่นฐานและการอยู่อาศัยในปัจจุบันแล้ว เนื่องจากเมืองโบราณ เช่น เมืองอยุธยา เมืองสุโขทัย เมือง ศรีสัชนาลัย ดังกล่าวนั้นมีกลไกและกฎหมายที่คุ้มครองดูแลในฐานะการเป็นโบราณสถาน และมีกลไก การดูแลรักษาให้ธำรงคุณค่าไว้ในฐานะการเป็นอุทยานประวัติศาสตร์อยู่แล้ว ในขณะที่เมืองเก่าที่มีพลวัตนั้น ยังมีผู้คนตั้งถิ่นฐาน ยังมีความเคลื่อนไหวทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ประกอบกับมีลักษณะการใช้ที่ดินค่อนข้างสลับซับซ้อน จึงต้องการกลไกในการส่งเสริมให้ เกดิ การอนุรกั ษ์และพัฒนาด้วยกลไกท่ีเหมาะสมในการบริหารจัดการอย่างบูรณาการ เพราะหากไม่มีกลไก ขับเคลอ่ื นการอนรุ ักษ์และการพัฒนาอย่างเหมาะสมแล้ว อาจเกิดเหตุความเปลี่ยนแปลงที่ลดทอนคุณค่า และความหมายของมรดกวัฒนธรรมต่าง ๆ ในเมืองเก่าลง แต่หากมีการสร้างกลไกและเครื่องมือท่ีเหมาะสม ในการรักษาคุณค่าพร้อมการใช้ประโยชน์ เมืองเก่าจะเป็นต้นทุนสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาอย่าง ยง่ั ยืนใหแ้ กช่ มุ ชนในทอ้ งถิน่ ได้เปน็ อย่างดี 2
เมืองเกา่ ตรัง รัฐบาลให้ความสำคัญกับเมืองเก่าที่มีพลวัตด้วยเหตุผล คือ เมืองเก่ามีการตั้งถิ่นฐานของผู้คน อย่างต่อเนื่องตลอดหน้าประวัติศาสตร์ และทำหน้าที่เป็นเมืองศูนย์กลางการบริหารราชการ ศูนย์กลาง เศรษฐกิจและหน้าที่อื่น ๆ ของเมือง และเมื่อประกาศเขตพื้นที่เมืองเก่าแล้ว ย่อมจะทำให้พลเมืองที่อยู่ อาศยั ในเมืองเกิดความภาคภมู ใิ จ และได้รับประโยชน์ต่าง ๆ สืบเนื่องมาจากการอนุรักษแ์ ละพัฒนาเมืองเก่า ในอนาคต และการใชป้ ระโยชน์เมืองเกา่ ในบริบทร่วมสมัย จงึ มคี วามจำเปน็ ในการสร้างกลไกในการคุ้มครอง มรดกวัฒนธรรมเมืองเก่าให้อยู่คู่กับพลวัตในบริบทสังคมร่วมสมัย และเมื่อสามารถสร้างสมดุลของการ อนุรักษ์และการพัฒนาบนฐานความยั่งยืนให้เกิดขึ้นแล้ว ประชาชนในชุมชนท้องถิ่นในเมืองเก่าต่าง ๆ จะไดร้ บั ประโยชน์ในรูปแบบต่าง ๆ ท่ีสบื เน่ืองจากการบรหิ ารจัดการกับมรดกวัฒนธรรมเมือง อนั นำไปสู่การ พัฒนาคณุ ภาพชีวิตและความเป็นอยูท่ ่ดี ีร่วมกับการธำรงรักษาคุณค่าของเมอื งเก่าควบคไู่ ปดว้ ย การจำแนกกลุ่มของเมืองเก่าที่มีพลวัตเพื่อนำไปสู่การ “ประกาศเขตพื้นที่เมืองเก่า” โดยจำแนก เมอื งเก่าตาม “ความสำคัญทางประวตั ิศาสตร์และโบราณคดี” ซึง่ สมั พันธ์กบั “ขนาดของเมืองเกา่ ” ดว้ ย ทั้งนี้ จากการศึกษาของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่กล่าว มานั้น ไดน้ ำไปส่กู ารจำแนกเมอื งเก่าออกเป็น 3 กลุม่ คอื (1) เมอื งเก่ากลุ่มท่ี 1 เมืองเก่ากลุ่มที่ 1 เป็นเมืองที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี มีลักษณะเป็น เมืองขนาดใหญ่ ซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางของรัฐจารีตโบราณ (Traditional State) หรือเมืองในเครือข่ายของ รัฐโบราณ ทั้งนี้ยงั ปรากฏหลกั ฐานทางโบราณคดีและศลิ ปกรรมของยุคสมัยดงั กล่าวเป็นที่ประจักษ์ และยัง เป็นเมืองที่มีพลวัตอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นเมืองเก่าที่มีความเร่งด่วนในการจัดทำการประกาศเป็นเมืองเก่า เพื่อเป็นกลไกในการอนุรกั ษแ์ ละพัฒนาเมืองอย่างเหมาะสม คณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่า ได้พิจารณาจัดจำแนกเมือง เก่าในกลุ่มที่ 1 มีจำนวน 10 เมือง ได้แก่ เมืองเก่าเชียงใหม่ เมืองเก่าน่าน เมืองเก่าลำปาง เมืองเก่าลำพูน เมืองเก่ากำแพงเพชร เมืองเก่าพิษณุโลก เมืองเก่าลพบุรี เมืองเก่าพิมาย เมืองเก่านครศรีธรรมราช และ เมืองเก่าสงขลา (2) เมืองเกา่ กล่มุ ที่ 2 เมอื งเกา่ กลุ่มนี้เปน็ เมืองที่มีความสำคัญรองลงมาจากกลุ่มท่ี 1 ทง้ั ในประเดน็ เรื่องของขนาดเมือง และมติ ิความสำคญั ในหนา้ ประวตั ศิ าสตร์ นอกจากนี้ ยังมีการกลายเป็นเมืองท่ียังมีไม่สูงมากนัก ตลอดจน ปัญหาจากภัยคุกคามด้านต่าง ๆ ยังไม่มากและเร่งด่วนเทา่ กับเมอื งเก่ากลุ่มที่ 1 คณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่าได้พิจารณา จัดจำแนก เมืองเก่าในกลุ่มที่ 2 จำนวน 27 เมือง เพื่อกำหนดขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าและกรอบแนวทางการอนุรักษ์ และพัฒนาเมืองเก่า ได้แก่ เมืองเก่าเชียงราย เมืองเก่าพะเยา เมืองเก่าแพร่ เมืองเก่าตาก เมืองเก่าพิจิตร เมืองเก่าแม่ฮ่องสอน เมืองเก่าสรรคบุรี เมืองเก่าอู่ทอง เมืองเก่าสุพรรณบุรี เมืองเก่ากาญจนบุรี เมืองเก่า ราชบุรี เมืองเก่าเพชรบุรี เมืองเก่านครนายก เมืองเก่าระยอง เมืองเก่าจันทบุรี เมืองเก่านครราชสีมา 3
โครงการกำหนดขอบเขตพื้นทเ่ี มืองเก่า เมืองเก่าบุรีรัมย์ เมืองเก่าสุรินทร์ เมืองเก่าร้อยเอ็ด เมืองเก่าสกลนคร เมืองเก่าระนอง เมืองเก่าตะก่วั ปา่ เมอื งเกา่ ภูเก็ต เมอื งเกา่ ปตั ตานี เมอื งเก่ายะลา เมอื งเก่าสตูล และเมืองเก่านราธวิ าส (3) เมอื งเกา่ กล่มุ ท่ี 3 เมืองเก่ากลุ่มที่ 3 เป็นเมืองโบราณขนาดเล็ก มีหลักฐานทางโบราณคดีและศิลปกรรมไม่มาก รวมทั้งมีชุมชนตั้งถิ่นฐานอยู่ไม่มาก มีความหนาแน่นของการอยู่อาศัยเป็นชุมชนในระดับตำบลหรืออำเภอ หรือบางแหล่งก็ไม่มีการอยูอ่ าศยั จึงมีลักษณะเป็นเมอื งร้าง ซึ่งยังไม่จำเป็นเร่งดว่ นที่ต้องดำเนินการประกาศ เป็นเมืองเกา่ 1.3 ระเบียบสำนกั นายกรฐั มนตรี วา่ ด้วยการอนรุ กั ษแ์ ละพฒั นากรงุ รตั นโกสนิ ทร์ และเมอื งเกา่ พ.ศ. 2546 ด้วยคุณค่าและความหมายของเมืองเก่าที่เป็นต้นทุนสำคัญของการพัฒนาสู่ความยั่งยืนในทุกมิติ ด้วยตระหนกั ถงึ ความสำคญั ของการสร้างกลไกขับเคลื่อนให้เกิดการอนรุ ักษแ์ ละพฒั นาเมืองเกา่ ใหธ้ ำรงคณุ ค่า สืบต่อไป จึงมีการผลกั ดันให้มี “ระเบียบสำนักนายกรฐั มนตรี ว่าด้วยการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่า พ.ศ. 2546” เพื่อกำหนดนโยบาย แผนงาน มาตรการ และแนวทางเกี่ยวกับการอนุรักษ์และ พัฒนาเมืองเก่าอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งส่งเสริมภาคเอกชน และประชาชนได้มีส่วนร่วม เพอ่ื ธำรงรักษาคณุ คา่ ของเมืองเก่าสืบไป ในการนี้ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ จึงได้กำหนดให้มีการแต่งตั้ง “คณะกรรมการ อนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่า” ซึ่งประกอบด้วยรองนายกรัฐมนตรี ที่นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้กํากับการบริหารราชการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นประธานกรรมการ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ปลัดกระทรวงกลาโหม ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้อํานวยการสํานักงบประมาณ เลขาธิการ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เลขาธิการพระราชวัง ผู้อํานวยการทรัพย์สิน พระมหากษัตริย์ ผู้อํานวยการสํานักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร อธิบดีกรมโยธาธิการและ ผังเมือง อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น อธิบดีกรมธนารักษ์ อธิบดีกรมศิลปากร ผู้ว่าการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นายกสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ นายกสมาคมอนุรักษ์ ศิลปกรรมและสิ่งแวดลอ้ ม และผ้ทู รงคุณวุฒไิ ม่เกนิ เจด็ คน ในที่นี้ จะเห็นว่าคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่า ประกอบด้วยผู้มีอำนาจหน้าที่จากหน่วยงานที่เก่ียวข้องกับเมืองเก่าโดยตรง เพื่ออำนวยให้การอนุรักษ์และ พัฒนาเมืองเก่าที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานต่าง ๆ ขับเคลื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีผลสัมฤทธิ์ตาม เปา้ ประสงค์ของระเบียบฯ ตอ่ ไป โดยคณะกรรมการมอี ำนาจหน้าที่ ดงั ต่อไปน้ี 4
เมืองเก่าตรัง (1) วางนโยบาย กําหนดพื้นที่ และจัดทําแผนแม่บทการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และเมอื งเก่า โดยความเห็นชอบของคณะรฐั มนตรี (2) จัดทําแนวทาง แผนปฏิบัติการและมาตรการต่าง ๆ เพ่ือดําเนินการในพื้นที่รับผิดชอบ (3) ใหค้ ําปรกึ ษาและความเหน็ โครงการของรัฐในพืน้ ท่ีรบั ผดิ ชอบ (4) สนับสนุนการจัดสรรงบประมาณให้แก่หน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบ เพื่อดําเนินงานตาม แผนปฏบิ ตั ิการอนรุ กั ษแ์ ละพฒั นากรงุ รตั นโกสินทร์ และเมืองเก่า (5) ออกระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่า เท่าที่ไม่ ขัดหรอื แยง้ กับกฎหมาย โดยความเหน็ ชอบของคณะรัฐมนตรี (6) สนับสนุน และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชน และภาคเอกชนได้มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ และพัฒนากรงุ รตั นโกสินทร์ และเมืองเกา่ (7) ประสานงาน ติดตาม ตรวจสอบและกํากับดูแลให้การดําเนินงาน เป็นไปตามแนวทาง โครงการ และแผนงาน ทไี่ ดจ้ ดั ทาํ ไว้ (8) เชิญผู้แทนหน่วยงานราชการและภาคเอกชน หรือบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้อง มาให้คําชี้แจงและ ขอ้ มูล (9) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ หรือคณะทํางานตามความจําเป็นและเหมาะสม เพื่อทําการแทน คณะกรรมการในเรอื่ งทีไ่ ดร้ บั มอบหมาย (10) รายงานผลการดําเนนิ งานใหค้ ณะรัฐมนตรที ราบตามทเี่ ห็นสมควร (11) ดาํ เนินการอื่นใดท่ีจาํ เป็น ตามท่ไี ด้รับมอบหมายจากคณะรฐั มนตรี เพอ่ื ให้การอนุรักษ์และ พัฒนากรุงรัตนโกสนิ ทรแ์ ละเมอื งเก่าประสบความสำเร็จ 1.4 การกำหนดขอบเขต และการประกาศเขตพื้นท่ีเมืองเกา่ เพื่อให้การบริหารจัดการในพื้นที่เมืองเก่า มีการขับเคลื่อนและดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรม และทันต่อสถานการณ์ที่เปลยี่ นแปลงอย่างรวดเรว็ ตลอดจนรบั มือกับประเดน็ ที่จะสง่ ผลกระทบต่อการธำรง รักษาคุณค่าในมิติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่เมืองเก่า ภายใต้ “ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการ อนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่า พ.ศ. 2546” ขั้นตอนแรกของการดำเนินการศึกษาเพื่อการ “กำหนดขอบเขตพื้นที่เมืองเก่า” ใช้การศึกษา ข้อมูลในมิติต่าง ๆ ทั้งการปริทัศน์การศึกษาเพื่อทบทวนวรรณกรรมและผลการศึกษาที่ผ่านมา (Literature Review) ในพื้นที่เมืองเก่าและพื้นที่โดยรวม เพื่อทำความเข้าใจสถานภาพขององค์ความรู้ และขอ้ เสนอทางวชิ าการทม่ี ีอย่ใู นพื้นที่ศึกษา ตลอดจนเพ่ือทบทวนว่าในพื้นที่เป้าหมายน้ันมีโครงการใด ๆ ที่เกี่ยวเนื่องและได้ดำเนินการมาแล้วบ้าง อันจะนำไปสู่การวางแผนการดำเนินการในพื้นที่ได้อย่าง เหมาะสมบนฐานความเขา้ ใจในองคค์ วามรู้ และคณุ คา่ ของพน้ื ท่ี รวมทั้งการศึกษาข้อมูลทางประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ทั้งหลักฐานชั้นต้น เอกสารชั้นรองต่าง ๆ ซึ่งทั้งหมดต้องนำมาสู่กระบวนการทำสารัตถะวิพากษ์เพื่อกลั่นกรองข้อมูลทางประวัติศาสตร์และข้อเสนอ 5
โครงการกำหนดขอบเขตพื้นท่ีเมอื งเก่า ทางวิชาการต่าง ๆ ให้กระจ่างชัด ตลอดจนการชำระข้อมูล และลำดับเวลาของเหตุการณ์ทาง ประวัตศิ าสตรใ์ หถ้ ูกตอ้ งแม่นยำ เมื่อมีความเข้าใจพื้นฐานต่อพื้นที่เมืองเก่าแล้วจะนำไปสู่การลง “เก็บข้อมูลภาคสนาม” ซึ่งจะ ให้ความสำคัญกับ “การวิจัยแบบการบันทึกข้อมูล (Documentation Research)” ซึ่งจะบันทึกข้อมูล ประเภทตา่ ง ๆ ทงั้ “การสำรวจรงั วัดมรดกสถาปตั ยกรรม” “การบนั ทึกภาพถ่ายสภาพปจั จบุ ัน” “การเกบ็ พกิ ดั ทางภมู ศิ าสตร์ของทีต่ ัง้ ” ตลอดจน “การสัมภาษณ”์ เพ่อื ให้ได้ข้อมูลประวตั ิศาสตรต์ า่ ง ๆ ที่แฝงฝังอยู่ ในความทรงจำของผู้คนในเมือง ซึ่งข้อมูลประวัติศาสตร์ท้องถิ่นนี้มักไม่ปรากฏในหลักฐานลายลักษณ์อื่น ๆ เพื่อนำข้อมูลที่รอบด้านจากกระบวนการปฏิบัติการภาคสนามมาสู่การประมวลผลเพื่อทำความเข้าใจ “คุณค่าและความสำคัญของพ้ืนท่ีเมืองเกา่ ” จากการศึกษาภาคสนามและการปริทัศน์เพื่อทบทวนสถานภาพของความรู้ จะนำมาใช้ในการ เรียบเรียงเนื้อหาว่าด้วย “ความสำคัญของพื้นที่เมืองเก่า” ซึ่งประกอบด้วยโครงสร้างเนื้อหา คือ “ความ เป็นมา พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ และการตั้งถิ่นฐาน” เพื่อเรียบเรียงเนื้อหาทางประวัติศาสตร์ การตั้ง ถิ่นฐานและบริบททางวัฒนธรรมของพื้นที่เมืองเก่า เพื่อเป็นฐานคิดในการทำความเข้าใจประเด็นเรื่อง คุณค่าและพัฒนาการของเมือง ซึ่งข้นั ตอนการศกึ ษาข้อมูลต่าง ๆ ด้วยระเบียบวธิ ที างวชิ าการ และการวจิ ยั ท่ีรัดกุมในการค้นคว้าหลักฐานทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี มรดกทางสถาปัตยกรรม ตลอดจนมรดก วฒั นธรรมตา่ ง ๆ ทั้งทเี่ ป็นกายภาพเปน็ ประจักษ์ (Tangible Cultural Heritage) และมรดกวัฒนธรรมจับ ต้องไม่ได้ (Intangible Cultural Heritage) ซึ่งประกอบสร้างกันเป็นคุณลักษณะเฉพาะตัวของเมืองเก่า แต่ละเมือง ในการจัดทำฐานข้อมูลเพื่อประกอบการประกาศเขตพื้นที่เมืองเก่านั้น ได้รวบรวมข้อมูลเชิง พ้ืนที่มาเพ่ือประกอบการพิจารณาถึงองคป์ ระกอบต่าง ๆ ของเมอื ง อาทิ “องค์ประกอบเมืองที่แสดงขอบเขตทางกายภาพของเมือง” คือ ป้อม ประตู คูเมือง กำแพง เมือง ซ่ึงเป็นโบราณสถานทีส่ ำคญั ของเมือง “แบบแผนโครงข่ายคมนาคมในเขตเมืองเก่า” หมายถึง เส้นทางสัญจรต่าง ๆ ที่อยู่ในพื้นที่ เมืองเก่าหรือพื้นที่เกี่ยวเนื่อง มีทั้งที่เส้นทางสัญจรทางบก และเส้นทางสัญจรทางน้ำ ซึ่งต่างเชื่อมโยงกัน เป็นโครงข่ายเส้นทางสัญจรของผู้คนในอดีตที่ใช้ไปมาหากันในเมือง เช่น แม่น้ำลพบุรี และเครือข่ายคลอง ในเมืองเก่าลพบุรี แม่น้ำแม่กลางที่เมืองเก่าราชบุรี เป็นต้น และต่อมาเมื่อมีการพัฒนาระบบการขนส่งทาง รางนับตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เป็นต้นมา ในเมืองเก่าหลายเมืองจะมีองค์ประกอบเป็นสถานีรถไฟและราง รถไฟ เชน่ เมอื งเก่าลพบรุ ี เมอื งเก่าราชบุรี เมืองเกา่ สุรนิ ทร์ เปน็ ตน้ “จุดหมายตาในบริเวณเมืองเก่า” เป็นองค์ประกอบสำคัญที่แสดงเป็นภาพจำของเมืองอันมี ลักษณะที่มีความโดดเด่น และเป็นสัญลักษณ์บ่งชี้ถึงความเป็นสถานที่ของเมืองเก่านั้น ๆ ทั้งนี้ อาจจะเป็น สถานทที่ างธรรมชาติ เชน่ ภูเขา แมน่ ้ำ ต้นไมใ้ หญ่ เปน็ ตน้ “ย่านและบริเวณที่สำคัญและมีคุณค่าของเมืองเก่า” เนื่องจากในเมืองเก่าจะประกอบด้วยย่าน ต่าง ๆ ซง่ึ อาจจะมศี ูนย์กลางเป็นทที่ ำการหน่วยงานภาครฐั สถานขี นสง่ สถานีรถไฟ ตลาด หรือศาสนสถาน 6
เมอื งเก่าตรัง ในเมืองเก่า ซึ่งมีการตั้งถิ่นฐานของผู้คนรวมกันเป็นย่าน สร้างให้เกิดพลวัตทางสังคม วัฒนธรรม และ เศรษฐกิจภายในพื้นที่ย่านและประกอบสรา้ งใหเ้ มอื งเกา่ เป็นเมอื งทม่ี ีพลวตั “ธรรมชาติในเมืองเก่า” หมายถึง สภาพแวดล้อมและภูมิทัศน์ทางธรรมชาติที่ปรากฏอยู่ใน เขตพ้ืนท่ีเมืองเก่า อาจจะเป็นลักษณะของภูมิประเทศในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ภูเขา ดอย แม่น้ำ คู คลอง หนองน้ำ ทะเลสาบ ทั้งนี้ ในภาพรวมของการศึกษาจะทำให้ข้อมูล “สถานภาพของเมืองเก่า” ซึ่งมุ่งหมายเพื่อ ทราบสภาพข้อเท็จจริงของพื้นที่เมืองเก่าว่าในปัจจุบันมีสถานการณ์อย่างไร ทั้งข้อมูลว่าด้วยองค์ประกอบ ของเมืองเก่ามีอะไรบ้าง และมีสภาพปัจจุบันเป็นอย่างไร (Existing Condition) สถานการณ์ด้านการ อนุรักษ์ และสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงลดทอนคุณค่าขององค์ประกอบของเมืองเก่ามีหรือไม่ และเป็น อย่างไร ผู้มีอำนาจหน้าที่หรือสิทธิในการครอบครองดูแลเป็นอย่างไร พื้นที่ในเมืองเป้าหมายในการศึกษา ประกอบไปดว้ ยพืน้ ทใี่ นลกั ษณะใดบ้าง เมื่อจัดเก็บข้อมูลแวดล้อมดังกล่าวมาข้างต้น จะนำข้อมูลองค์ประกอบต่างๆ ที่อยู่ในขอบเขต พื้นที่เป้าหมายมาวิเคราะห์อย่างครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ข้อมูลเชิงพื้นที่จากการเก็บข้อมูล ผลลัพธ์ของการ ดำเนินการในส่วนนี้จะนำไปสู่การกำหนด “ร่างขอบเขตพื้นที่เมืองเก่า” ซึ่งร่างขอบเขตดังกล่าวนั้นจะมี ขอบเขตครอบคลุมพื้นที่ที่มีจำนวนของแหล่งมรดกวัฒนธรรมและธรรมชาติที่สำคัญ และมีจำนวนแหล่งท่ี เป็นประจักษ์ และประกอบด้วยคุณค่าและความหมายที่ร่วมกันประกอบสร้างขึ้นเป็นต้นทุนของเมืองท่ี แสดงถึงคุณลกั ษณะของการเปน็ เมอื งเกา่ ทท่ี รงคุณคา่ เมื่อดำเนินการจัดทำร่างขอบเขตพื้นที่เมืองเก่า จากการสำรวจข้อมูลภาคสนาม จากการศึกษา เอกสารต่าง ๆ อย่างรอบด้าน และผ่านกระบวนการวิเคราะห์ด้วยระเบียบวิธีในการวิจัยที่รัดกุมเป็นท่ี เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อมาคือการนำร่างขอบเขตไปสู่การนำเสนอในเวทีสาธารณะ โดยในขั้นตอนนี้ให้ ความสำคัญกับการมีส่วนรว่ มของทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานราชการในจังหวัด หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพืน้ ที่ ร่างขอบเขตเมืองเก่า ตลอดจนดำเนินกระบวนการมีส่วนร่วมเพื่อส่งเสริมการรับรู้ความเข้าใจต่อ “การกำหนดขอบเขตพื้นที่เมืองเก่า” เพื่อให้ทุกภาคส่วนที่มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่เมืองเก่า ทั้งหน่วยงาน ภาครัฐ ภาคประชาชน ภาคประชาสังคม ภาคเอกชน และภาคธรุ กจิ ในท้องถิน่ ร่วมกันตัดสินใจ รวมทั้งช้ีแจง ตอบข้อซักถามในประเด็นที่ทุกหน่วยงานสนใจหรือมีข้อสงสัย จากนั้นจึงนำผลการประชุมระดมความ คิดเห็น ตลอดจนข้อเสนอแนะต่าง ๆ ที่ได้รับจากขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนนำมา ประมวลผลและเสนอต่อ “คณะอนุกรรมการกลั่นกรองและพิจารณาแผนการดำเนินงานในพื้นที่เมืองเก่า” พจิ ารณาและใหค้ วามเหน็ ชอบ จากนั้นจึงนำร่างเขตพื้นที่เมืองเก่าที่ผ่านการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจจากภาคส่วนต่าง ๆ ของท้องถิ่น โดยคณะอนุกรรมการที่เกี่ยวข้อง ภายใต้คณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่า พิจารณาให้ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะ เมื่อดำเนินการครบตามขั้นตอนแล้ว จึงเสนอ คณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่า และคณะรัฐมนตรี พิจารณาให้ความ เหน็ ชอบ เพ่อื ประกาศเขตพ้นื ท่เี มอื งเก่าตอ่ ไป 7
โครงการกำหนดขอบเขตพน้ื ทเี่ มอื งเกา่ ซึ่งคณะกรรมการฯ โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีได้ประกาศเขตพื้นที่เมืองเก่ากลุ่มท่ี 1 แลว้ รวม 10 เมอื ง (เมืองเก่าเชียงใหม่ เมอื งเกา่ ลำพูน เมืองเก่าลำปาง เมอื งเกา่ นา่ น เมืองเก่ากำแพงเพชร เมืองเก่าลพบุรี เมืองเก่าพิมาย เมืองเก่านครศรีธรรมราช เมืองเก่าสงขลา และเมืองเก่าพิษณุโลก) สำหรับ เมืองเก่ากลุ่มที่ 2 คณะกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2556 เมื่อวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2556 ลงมติ เห็นชอบการจัดลำดับความสำคัญเมืองเก่ากลุ่มที่ 2 รวม 27 เมือง และเห็นชอบให้สำนักงานนโยบายและ แผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการกำหนดขอบเขตพื้นที่ เมืองเก่าและกรอบแนวทางการ อนุรกั ษแ์ ละพฒั นาเมืองเก่า ดังน้ี ภาคเหนอื ไดแ้ ก่ 1) เมืองเก่าแพร่ 2) เมืองเกา่ เชียงราย ภาคกลาง ไดแ้ ก่ 3) เมืองเกา่ พะเยา 4) เมืองเก่าพิจติ ร ภาคตะวันออก ไดแ้ ก่ 5) เมืองเกา่ ตาก 6) เมอื งเกา่ แมฮ่ ่องสอน ภาคตะวันออกเฉียงเหนอื ไดแ้ ก่ 1) เมืองเกา่ เพชรบุรี 2) เมอื งเก่าสุพรรณบุรี ภาคใต้ ไดแ้ ก่ 3) เมืองเกา่ กาญจนบุรี 4) เมอื งเก่าราชบรุ ี 5) เมอื งเกา่ อู่ทอง 6) เมืองเก่าสรรคบรุ ี 1) เมืองเก่าจันทบรุ ี 2) เมอื งเก่าระยอง 3) เมืองเก่านครนายก 1) เมอื งเก่าร้อยเอด็ 2) เมอื งเกา่ บรุ รี มั ย์ 3) เมอื งเก่านครราชสีมา 4) เมอื งเกา่ สรุ นิ ทร์ 5) เมอื งเก่าสกลนคร 1) เมอื งเก่าภเู กต็ 2) เมอื งเก่าปัตตานี 3) เมืองเก่าตะกัว่ ป่า 4) เมอื งเก่าสตลู 5) เมืองเก่ายะลา 6) เมอื งเกา่ นราธิวาส 7) เมอื งเกา่ ระนอง เมืองเก่ากลุ่มที่ 2 ที่ได้ดำเนินการกำหนดขอบเขตพื้นที่เมืองเก่า และแนวทางการอนุรักษ์และ พฒั นาเมอื งเก่าแล้ว มดี งั นี้ -เมืองเก่าแพร่ เมืองเก่าเพชรบุรี เมืองเก่าจันทบุรี และเมืองเก่าปัตตานี คณะรัฐมนตรีลงมติ เหน็ ชอบเม่อื วนั ท่ี 10 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2558 -เมืองเก่าเชียงราย เมืองเก่าสุพรรณบุรี เมืองเก่าระยอง เมืองเก่าบุรีรมั ย์ และเมืองเกา่ ตะก่ัวป่า คณะรฐั มนตรีลงมตเิ หน็ ชอบเมื่อวนั ท่ี 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 -เมืองเก่าพะเยา เมืองเก่าตาก เมืองเก่านครราชสีมา เมืองเก่าสกลนคร และเมืองเก่าสตูล คณะรัฐมนตรีลงมติเหน็ ชอบเมื่อวนั ท่ี 5 เมษายน พ.ศ. 2559 -เมืองเก่าราชบุรี เมืองเก่าสุรินทร์ เมืองเก่าภูเก็ต และเมืองเก่าระนอง คณะรัฐมนตรีลงมติ เห็นชอบเมอ่ื วนั ท่ี 11 เมษายน พ.ศ. 2560 8
เมืองเก่าตรงั -เมืองเกา่ กาญจนบุรี เมอื งเกา่ แม่ฮ่องสอน เมืองเกา่ ยะลา และเมืองเก่านราธิวาส คณะรัฐมนตรี ลงมติเห็นชอบเม่อื วนั ท่ี 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 นอกจากน้ี มีเมืองเปา้ หมายท่ีต้องดำเนินการประกาศเขตพื้นทีเ่ มืองเก่าเพม่ิ เติม จำนวน 4 เมือง (เมืองเก่าร้อยเอ็ด เมืองเก่าอุทัยธานี เมืองเก่าตรัง และเมืองเก่าฉะเชิงเทรา) สำหรับเมืองเก่าร้อยเอ็ด อยู่ระหว่างเสนอคณะรัฐมนตรี พิจารณาให้ความเห็นชอบขอบเขตพื้นที่เมืองเก่า กอปรกับคณะกรรมการ อนุรักษ์และพฒั นากรงุ รัตนโกสินทรแ์ ละเมอื งเกา่ ในการประชุมครัง้ ที่ 1/2561 เม่ือวนั ท่ี 16 มนี าคม 2561 มีมติให้ดำเนินการศึกษาความเหมาะสมในการประกาศเขตพื้นที่เมืองเก่าอุทัยธานี และเมืองเก่าตรัง และ คณะอนุกรรมการกลั่นกรองและพิจารณาแผนการดำเนินงานในพื้นที่เมืองเก่า ในการประชุมครั้งที่ 2/2561 เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2561 ให้ดำเนินการศึกษารวบรวมข้อมูลพื้นที่เมืองเก่าฉะเชิงเทรา เนื่องจากมีลักษณะเมืองเป็นไปตามนิยามเมืองเก่าตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการอนุรักษ์ และพฒั นากรงุ รัตนโกสนิ ทร์ และเมอื งเก่า ดังนั้น ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 จึงได้ดำเนินการศึกษาพื้นที่เมืองเก่าเพื่อประกาศเขตพื้นที่ เมืองเกา่ เพิ่มเตมิ 3 เมอื ง ได้แก่ เมืองเก่าอทุ ัยธานี เมืองเก่าตรัง และเมอื งเก่าฉะเชิงเทรา 2. กรอบแนวทางการอนุรักษแ์ ละพฒั นาเมืองเกา่ การอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า มุ่งเน้นความเป็นเมืองเก่าที่สะท้อนให้เห็นคุณค่าการพัฒนาท่ี เกิดข้นึ ในแต่ละยุคสมัย ผสมผสานววิ ฒั นาการผ่านกาลเวลาของระบบเศรษฐกิจ สงั คม การปกครอง จารีต ประเพณี วิถีการดำเนินชีวิต การสร้างการทำลายจากภัยคุกคามต่าง ๆ ที่เหลืออยู่ไม่ว่าขนาดรูปทรง สัณฐานของเมือง แนวคูเมือง กำแพงเมือง โบราณสถาน ศาสนสถาน แม่น้ำ เขตทางสัญจร รูปแบบ สถาปัตยกรรมอาคารและสิ่งปลูกสร้างทางศิลปกรรมเชิงช่างที่บ่งบอกความเป็นกลุ่มเชื้อชาติ เป็น องคป์ ระกอบของเมืองท่ถี ่ายทอดคุณคา่ ทางประวตั ิศาสตร์การตงั้ ถิน่ ฐาน รวมถึงสิ่งทเ่ี กิดขึน้ ใหม่ต่าง ๆ สภาพแวดลอ้ มของเมือง จะอยู่ภายในโครงสร้างของเมือง (Urban Structure) ในส่วนของที่ตั้ง อาณาเขตแนวคเู มอื ง กำแพงเมอื ง ภูมิประเทศ พนื้ ท่ี ซงึ่ รายลอ้ มองค์ประกอบของเมือง ใหเ้ กิดขนาดความ สมดุลอย่างลงตัว (Urban Optimum Size) หมายถึง การมีพื้นที่ไม่ใหญ่หรือเล็กเกินไป เพียงพอต่อการ รองรบั ประชาชนจำนวนหน่ึง มคี วามหนาแนน่ พอสมควร มสี าธารณปู โภค สาธารณปู การ ถนน ทางสัญจร ขนาดเล็ก ที่อยู่อาศัย สถานประกอบการ แยกอยู่เป็นบริเวณย่านเมือง ทำหน้าที่การบริหาร การปกครอง การผลิต การค้า และให้บริการแก่ชุมชนรอบนอก ตามศักยภาพที่เป็นอยู่ ซึ่งแตกต่างจากเมืองใหม่ คือ ไม่ต้องการเพิ่มหรือขยายการพัฒนาใด ๆ ลงในเมืองมากจนอาจเป็นเหตุให้เมืองต้องเสียความสมดุล ทว่าต้องพัฒนาบนฐานคุณค่า ส่วนการพัฒนาเพื่อเพิ่มผลตอบแทนด้านเศรษฐกิจ ควรจะออกไปยังพื้นที่ ใหม่ ปล่อยให้เมืองเก่ายังคงมีวิถีการคงอยู่เพียบพร้อมด้วยสภาพแวดล้อมที่ดี มีบรรยากาศอันเป็น เอกลักษณ์ ดำรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์โบราณคดี สถาปัตยกรรม ศิลปกรรม และขนบธรรมเนียม ประเพณี สืบทอดเป็นมรดกทางวัฒนธรรมใหช้ นรนุ่ หลงั ไดภ้ าคภมู ใิ จ 9
โครงการกำหนดขอบเขตพ้นื ทีเ่ มอื งเกา่ ดงั นน้ั กรอบแนวคิดหลกั จึงอยู่บนพื้นฐานของการพฒั นาในเชิงอนุรักษ์ โดยแยกพื้นที่พัฒนาเชิง เศรษฐกจิ ออกจากพ้ืนทีเ่ มืองเก่า แต่ยังคงแสดงให้เห็นถึงการเช่ือมโยงของพื้นที่ทั้งสองลักษณะ แล้วจงึ ค่อย ๆ ดำเนินมาตรการในการฟื้นฟูพื้นที่เมืองเก่าเพื่อให้องค์ประกอบของชุมชนเมืองเดิมปรากฏเอกลักษณ์ขึ้น อยา่ งเด่นชดั ทงั้ บูรณภาพ ความเป็นของแท้ และระบบนิเวศของเมอื ง กรอบแนวทางการอนรุ ักษ์และพัฒนาเมืองเก่า ประกอบด้วย 2.1 การบริหารจัดการ อาศัยอำนาจตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และ เมืองเก่า พ.ศ. 2546 แต่งตั้งคณะอนุกรรมการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าแต่ละเมือง เพื่อกำหนดนโยบาย แผนงาน มาตรการและแนวทางเกี่ยวกับการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า และให้การอนุรักษ์และพัฒนา เมืองเก่าดำเนินไปอย่างมีระบบและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการประชาสัมพันธ์และส่งเสริมให้ภาคเอกชน และประชาชนได้มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า ให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สืบทอดความ เจรญิ รุ่งเรอื งทางด้านศลิ ปวัฒนธรรมของชาตติ ลอดไป 2.2 การส่งเสรมิ และรกั ษาคุณภาพส่งิ แวดล้อม อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 เพ่อื กำหนดใหพ้ ืน้ ท่ีเมอื งเกา่ เปน็ เขตอนุรักษแ์ ละพน้ื ทคี่ ุ้มครองสง่ิ แวดล้อม เพอ่ื รกั ษาสภาพแวดล้อมและสร้าง ความชัดเจนในการพฒั นาท่เี หมาะสมกบั ศกั ยภาพ บทบาท ความสำคัญในแต่ละพื้นท่ี ซ่ึงจะใช้เปน็ แนวทางใน การออกข้อบัญญตั หิ รือขอ้ บงั คับควบคมุ ท่มี ีมาตรการปกป้องคุ้มครองพน้ื ท่เี มอื งเก่า 2.3 การอนุรกั ษโ์ บราณสถานและสถานทีท่ ่มี ีคณุ ค่าและความสำคัญ อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถาน แห่งชาติ พ.ศ. 2504 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 ในการปกป้องและคุ้มครองมรดกทาง วัฒนธรรมเพื่อประโยชน์ในการดูแลรักษาและการควบคุมโบราณสถาน โดยประกาศให้อาคารหรือสถานท่ี ท่ีมีคุณคา่ และความสำคญั ท่ียงั ไมไ่ ด้รับการขึ้นทะเบียนเปน็ โบราณสถาน ให้มกี ารขนึ้ ทะเบยี นและประกาศเขต โบราณสถาน รวมถึงโบราณสถานที่ขึ้นทะเบียนแล้ว ก็สามารถขยายเขตที่ดินโบราณสถานให้มากขึ้นตาม ความเหมาะสม เพือ่ สร้างพนื้ ทค่ี มุ้ ครองโบราณสถานท่มี ีประสิทธภิ าพย่งิ ขึ้น 2.4 การควบคมุ การใชป้ ระโยชน์ที่ดนิ อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. 2562 และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างหรือพัฒนาเมืองหรือส่วนของเมืองขึ้นมาใหม่ หรือแทนเมือง หรือส่วนของเมืองที่ได้รับความ เสียหาย ให้มีสภาพแวดล้อมและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ มีการดำรงรักษา หรือบูรณะสถานที่และวัตถุที่มีคุณค่าทางด้านศิลปกรรม สถาปัตยกรรม ประวัติศาสตร์ หรือโบราณคดี 10
เมืองเก่าตรัง หรือการบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติ รวมทั้งภูมิประเทศที่งดงาม หรือมีคุณค่าทางธรรมชาติ ซึ่งใน ภาพรวมจะมบี ทบาทสำคัญมากต่อการกำหนดทศิ ทางการพัฒนาเมอื ง เพือ่ ประโยชน์แกป่ ระชาชนส่วนรวมใน ด้านต่าง ๆ อย่างเป็นระเบียบแบบแผน โดยผังเมืองรวมจะกำหนดกรอบการพัฒนาเมืองทางด้านการใช้ ประโยชน์ที่ดิน โครงข่ายการคมนาคมขนส่ง การสาธารณูปโภคเอาไว้อย่างกว้าง ๆ ส่วนผังเมืองเฉพาะจะ เน้นรายละเอียดของแผนผัง และดำเนินการเพื่อโครงการพัฒนาหรือดำรงรักษาบริเวณเฉพาะแห่งหรือ กิจการที่เกี่ยวข้องในเมือง เพ่ือประโยชน์ในการพัฒนา อนุรักษ์ หรือฟื้นฟูเมือง ตลอดจนการกำหนด มาตรการอน่ื ๆ เพือ่ ใชค้ วบคมุ การใช้ประโยชนท์ ดี่ นิ และกจิ กรรมทลี่ ะเอียดกว่าในผงั เมืองรวม 2.5 การควบคุมการกอ่ สร้างและดัดแปลงอาคาร อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 และ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2543 (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2550 และ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2558 และกฎกระทรวงที่ เกี่ยวข้อง เพื่อรักษาสภาพแวดล้อมและองค์ประกอบของเมืองในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอาคารและการใช้ ประโยชน์ที่ดินเพื่อปลูกสร้างอาคาร ให้เมืองเกิดความเป็นระเบียบและมีความน่าอยู่ ซึ่งย่อมทำให้ ประชาชนส่วนรวมมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นอกจากนี้ยังให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมีอำนาจออก ประกาศกระทรวงมหาดไทยและกฎกระทรวงเพื่อควบคุมรายละเอียดการก่อสร้าง ดัดแปลง เคลื่อนย้าย รื้อถอน ใช้หรือเปลี่ยนการใช้อาคาร รวมถึงการกำหนดลักษณะ แบบ รูปทรง สัดส่วน เนื้อที่ ที่ตั้งของอาคาร ระดับ เนื้อที่ว่างภายนอกอาคาร หรือแนวอาคารและระยะหรือระดับ ระหว่างอาคารกับอาคารหรือเขตที่ดิน ของผอู้ น่ื หรือระหวา่ งอาคารกับถนน ทางเท้า หรือที่สาธารณะ มาตรการควบคมุ เรอ่ื งป้าย และทว่ี ่างรมิ แหล่ง น้ำสาธารณะ 2.6 การควบคุมกจิ กรรมบางประเภทที่ไมเ่ หมาะสม อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น พ.ศ. 2542 พระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2537 และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพ่ือ ควบคุมกิจกรรมบางประเภทที่ไม่เหมาะสมกับพื้นที่เมืองเก่าในรูปประกาศและ/หรือข้อบัญญัติท้องถิ่นท่ี เอื้อต่อการนไ้ี ด้ 2.7 มาตรการด้านอืน่ ๆ ทเ่ี ออ้ื ต่อการอนุรกั ษแ์ ละพฒั นาเมอื งเก่า (1) การจูงใจทางดา้ นภาษี ไดแ้ ก่ - ลดภาษีบางประเภทให้แก่เจ้าของที่ดินและเจ้าของอาคารที่ถูกควบคุมด้วย มาตรการตา่ ง ๆ - ลดภาษีบางประเภทแก่เจ้าของที่ดิน เจ้าของอาคาร ที่นำเงินไปใช้ในกิจกรรม ทเ่ี ก่ียวข้องกับการอนุรกั ษ์ เช่น การดัดแปลงอาคารให้เหมาะสมกบั แนวทางทกี่ ำหนด 11
โครงการกำหนดขอบเขตพื้นทีเ่ มืองเก่า - ปรับระบบการจัดเก็บบางประเภท ให้สอดคล้องกับระดับการจัดให้มีระบบ สาธารณูปโภคสาธารณูปการในพื้นที่ เช่น ผู้อยู่ในพื้นที่ที่มีสาธารณูปโภค-สาธารณูปการบริการสมบูรณ์ จะตอ้ งเสยี ภาษีสงู กวา่ พื้นทท่ี ยี่ ังขาดแคลนสาธารณปู โภค-สาธารณปู การ - ปรับปรุงระบบภาษีในกิจกรรมบางประเภทให้สอดคล้องกับความเป็นจริงเพื่อ ผกู้ อ่ ให้เกดิ มลพิษจะตอ้ งจ่ายภาษใี นการแก้ไขปัญหาและผลกระทบทีเ่ กดิ ขนึ้ (2) การนำค่าธรรมเนียมมาใช้บำรุงรักษาโบราณสถาน ให้มีการยกเว้นภาษีหรือ ค่าธรรมเนียมจากผู้ประกอบการประเภทพิพิธภัณฑ์หรือกิจกรรมที่คล้ายคลึงกัน เพื่อนำเงินไปใช้ในการ ดแู ลรกั ษาและบูรณะโบราณสถานและอาคารเก่าอนั ควรค่าตอ่ การอนุรักษ์ (3) การให้โอนสิทธกิ ารพัฒนา ในกรณีผูท้ ่ีเปน็ เจ้าของที่ดินหรอื เจ้าของอาคารอยู่ในพื้นที่ อนรุ กั ษ์ ได้รับผลกระทบจากมาตรการการควบคุมด้านตา่ ง ๆ เช่น การควบคุมการใช้พ้นื ที่เพ่ือก่อสร้างอาคาร มาตรการควบคุมความสูงอาคาร เป็นต้น ควรมีการพิจารณาให้สิทธิพิเศษแก่บุคคลกลุ่มนี้ เช่น สิทธิ ในการก่อสร้างอาคารสูงหรืออาคารขนาดใหญ่ในบางบริเวณหรือพื้นที่อื่น ให้ได้สิทธิทางภาษีและ ค่าธรรมเนียม ในการขายหรือโอนเพื่อเป็นการชดเชยการเสียสิทธิในพื้นที่อนุรักษ์ที่ตนเป็นเจ้าของ และ/หรือ ชดเชยผลกระทบจากการถกู ควบคมุ ดว้ ยมาตรการทางกฎหมาย (4) การมอบรางวัลอนุรักษ์ดีเด่น จัดให้มีการประกวดอาคารอนุรักษ์ดีเด่น โดยมอบ รางวัลเปน็ เงินกองทนุ หรือเกียรตบิ ัตรเพ่อื เป็นการเชิดชเู กียรตแิ กเ่ จา้ ของอาคารน้ัน ๆ (5) การจัดหาทุนสมทบการอนุรักษ์ โดยขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนต่าง ๆ ท้ัง ภาคราชการ เอกชน และประชาคม ได้แก่ กองทุนโบราณคดี กองทุนสิ่งแวดล้อม กองทุนจากองค์กร ระหว่างประเทศ กองทนุ สง่ เสริมกจิ การเทศบาล และกองทนุ สง่ เสริมกจิ การองค์การบริหารส่วนจังหวัด ฯลฯ 3. หลักการกำหนดขอบเขตพน้ื ที่เมืองเก่า การกำหนดขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าเป็นการดำเนินงานขั้นตอนแรกในการอนุรักษ์และพัฒนา เมืองเก่า ก่อนที่จะมีการกำหนดนโยบาย มาตรการ แผนงาน โครงการ และแนวทางการดำเนินงานต่างๆ เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติในการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าอย่างเป็นรูปธรรม โดยจังหวัดและทุกภาคส่วนท่ี เกี่ยวขอ้ ง ซ่งึ มขี ้ันตอนการดำเนนิ งานกำหนดขอบเขตพ้นื ทเ่ี มืองเก่า ดงั น้ี 3.1 การเกบ็ รวบรวมและศึกษาวเิ คราะห์หลกั ฐานและขอ้ มูล การเก็บรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่เมืองเก่า ทั้งข้อมูลปฐมภูมิ ข้อมูลทุติยภูมิ และข้อมลู ทไ่ี ด้จากการสำรวจภาคสนาม โดยมรี ายละเอียดของประเดน็ การศึกษา ประกอบดว้ ย (1) ประวัติความเป็นมา และพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของพน้ื ท่ีศึกษา (2) องค์ประกอบของเมืองเก่า ได้แก่ กำแพงเมือง คูเมือง แบบแผนโครงข่ายคมนาคมในเมือง บรเิ วณ/ยา่ นเกา่ ทส่ี ำคญั ของเมือง ที่หมายตาในบริเวณเมืองเกา่ และธรรมชาติในเมอื งเกา่ เป็นตน้ 12
เมอื งเกา่ ตรัง (3) สถาปัตยกรรม และศิลปกรรมของแหล่งโบราณสถาน อาคาร และสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ที่มี ความสำคญั และมีคุณคา่ ในพื้นท่ีศึกษา เป็นตน้ 3.2 การวิเคราะหแ์ ละประเมินคณุ คา่ ความสำคัญองค์ประกอบของเมอื ง ในการอนุรักษ์จำเป็นที่จะต้องอนุรักษ์ทั้งอาคาร สภาพแวดล้อม และบริเวณที่มีคุณค่า ซึ่งมักมี ความแตกต่างกันด้วยองค์ประกอบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ดังนั้นการวิเคราะห์และประเมินคุณค่าและ ความสำคัญขององค์ประกอบต่าง ๆ ของเมือง ในที่นี้จึงพิจารณาจากเกณฑ์คุณค่าในด้านต่าง ๆ ที่มี หลักเกณฑ์กำหนดไว้ ประกอบด้วย คุณค่าด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดี คุณค่าด้านอายุและความ เก่าแก่ คุณค่าด้านสภาพอาคาร สถานที่ และโบราณสถาน คุณค่าด้านสถาปัตยกรรมและศิลปกรรม คุณค่า ด้านองค์ประกอบเมืองและภาพลักษณ์ของเมือง (Image of City) และคุณค่าความสำคัญต่อสังคมและ ชุมชน ซึ่งผลจากการประเมินดังกล่าวเป็นแนวทางที่ทำให้ทราบถึงคุณค่า ตลอดจนระดับคุณค่าของ โบราณสถาน อาคาร และสถานที่เหล่านั้น อันเป็นประโยชน์ในการกำหนดขอบเขตพื้นที่เมืองเก่า และ ความสำคัญของพื้นที่ (Zones) เมืองเก่าในแต่ละเขต โดยบริเวณที่มีการรวมกลุ่มหรือกระจุกตัวของอาคาร และสถานที่ที่มีคุณค่า มักเป็นบริเวณที่มีความสำคัญมากกว่าบริเวณที่ปริมาณอาคารที่มีคุณค่าจำนวนน้อย กว่า ซึ่งจะเป็นประโยชน์ให้สามารถกำหนดความเข้มในการอนุรักษ์ บูรณะฟื้นฟู และพัฒนาได้ไม่เท่ากัน สำหรับการประเมินโบราณสถาน อาคาร และสถานที่สำคัญที่มีคุณค่า ในที่นี้พิจารณาจากผลของคะแนน รวมที่มาจากเกณฑ์หลักที่ใช้ในการประเมิน ซ่ึงได้จากการลงสำรวจพื้นที่ ซึ่งมีรายละเอียดของเกณฑ์ที่ใช้ใน การประเมนิ ดังนี้ (1) เกณฑ์คุณค่าทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี พิจารณาจากความสำคัญในทาง ประวัติศาสตร์และโบราณคดีว่ามีมากน้อยเพียงใด และจัดอยู่ในระดับชาติหรือระดับท้องถิ่น เช่น ระบุว่า มีความสำคัญมาก เนื่องจากเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สำคัญหรือบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ของชาติ หรือในเมืองนั้น ๆ หรือเป็นหลักฐานแสดงถึงวิวัฒนาการและอารยธรรมของเมือง หากเกี่ยวข้องมากจะได้ คะแนนมากตามลำดบั โดยมีค่าคะแนนสงู สดุ 3 คะแนน (2) เกณฑ์คุณค่าด้านอายุและความเก่าแก่ พิจารณาจากอายุขององค์ประกอบของ เมืองเหล่านั้นว่าปลูกสร้างขึ้นเมื่อใด มีอายุมากน้อยเพียงใด หรือประมาณความเก่าแก่ขององค์ประกอบ ของเมอื งนัน้ ๆ โดยพิจารณาจากลักษณะ/วิธีการก่อสร้าง ช่างฝมี อื และประวัตขิ องสิ่งปลูกสร้างน้ัน หากมี อายุมากหรือมีความเกา่ แก่มากจะไดค้ ะแนนมากตามลำดับ โดยมีค่าคะแนนสูงสดุ 3 คะแนน (3) เกณฑ์คุณค่าด้านสภาพอาคาร สถานที่ และแหล่งโบราณสถาน พิจารณาจาก สภาพของโบราณสถาน อาคาร และสถานที่สำคัญว่าอยู่ในระดับใด อยู่ในสภาพดีแค่ไหน ทรุดโทรมมาก นอ้ ยเพยี งใด การบรู ณะซ่อมแซมทำไดเ้ พยี งใด เชน่ อาคารที่มีคณุ ค่าทางศลิ ปกรรมใกล้เคียงกัน แตม่ ีสภาพ อาคารดีกว่าก็จะมีคะแนนที่สูงกว่า แม้ว่าอาคารที่มีคุณค่าทางศิลปกรรมสูงกว่าแต่ยากต่อการบูรณะ หากบูรณะใหม่เป็นส่วนใหญ่อาคารก็อาจเสี่ยงต่อการผิดเพี้ยนและทำให้คุณค่าด้อยลงไป รวมไปถึงความ สะอาดเป็นระเบียบเรยี บรอ้ ย ความม่นั คงแข็งแรง การประดับตกแตง่ ยงั คงความงดงามและมีคณุ คา่ หรือมี 13
โครงการกำหนดขอบเขตพน้ื ท่เี มืองเก่า การดัดแปลงทางกายภาพแต่ยังคงรูปแบบดั้งเดิมอยู่ในปริมาณมากพอสมควร และอยู่ในสภาพท่ีดี ซึ่งการ ให้คะแนนจะใหค้ ะแนนมากนอ้ ยตามลักษณะทางกายภาพทปี่ รากฏ โดยมีคา่ คะแนนสงู สุด 3 คะแนน (4) เกณฑ์คุณค่าด้านสถาปัตยกรรมและศิลปกรรม พิจารณาจากลักษณะทาง สถาปัตยกรรมและศิลปกรรมของอาคารและสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ว่าจัดอยู่ในรูปแบบ/รูปทรงลักษณะใด โดยเปรียบเทียบกับอาคารรูปแบบเดียวกันทั้งในระดับชาติหรือท้องถิ่น หรือมีลักษณะเฉพาะทาง สถาปัตยกรรมของพืน้ ที่นั้น ๆ ที่หาไมไ่ ด้ในพื้นท่ีอื่นในระดับชาติ หรือมีลักษณะโครงสรา้ งและการก่อสร้าง เฉพาะอย่างพิเศษ ซึ่งจะไดค้ ะแนนมากน้อยตามลำดับ โดยมีค่าคะแนนสูงสดุ 3 คะแนน เช่น พบว่าอาคาร หรือสิ่งปลูกสร้างที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์สูงจากเกณฑ์การพิจารณาข้างต้น แต่ความสำคัญ ทางศิลปกรรมไม่มาก เนื่องจากเป็นรูปแบบอาคารยุคสมัยอาณานิคมเช่นเดียวกับอาคารอื่น ๆ ที่ถูกสร้าง กันทั่วไปที่ไม่ค่อยมีความโดดเด่น โดยยังปรากฏอาคารที่มีคุณลักษณะเดียวกันนี้อยู่อีกมากพอควร จงึ ไดค้ ะแนนไม่มาก (5) เกณฑ์คุณค่าด้านองค์ประกอบและภาพลักษณ์ของเมือง (Image of City) พิจารณาจากคุณค่าด้านที่ตั้ง โดยคำนึงถึงความสัมพันธ์ต่อส่วนอื่น ๆ ของเมืองมากน้อยไม่เท่ากัน ความสัมพันธ์ขององค์ประกอบส่วนต่าง ๆ ของเมืองที่ทำให้เห็นร่องรอยรูปแบบหรือแบบแผนของผังเมือง เก่า หรือแสดงการใช้พื้นที่ ขนาดสัดส่วนที่ว่างเฉพาะอย่างภายในเมืองเก่า และความกลมกลืนของแต่ละ องค์ประกอบของเมืองกับบริเวณโดยรอบ เป็นต้น รวมถึงพิจารณาจากการออกแบบชุมชนเมืองหรือเมือง ว่าองค์ประกอบของเมืองที่สำคัญต่าง ๆ เหล่านั้นมีผลอย่างไรต่อการรบั รู้ได้ของผู้คนที่เกี่ยวกับภาพลักษณ์ หรือจินตภาพ ทั้งตัวอาคาร สถานที่ หรือบริเวณส่วนใดส่วนหนึ่งของเมือง เมื่อเดินทางเข้าไปยังเมืองน้ัน ๆ ตามทฤษฎี Image of the City (Lynch, 2000) เช่น ตำแหน่ง ที่ตั้ง สังเกตเห็นได้ง่าย โดยอยู่บนทาง สัญจรหลัก อยู่บริเวณจุดตัดของทางสัญจร หรือติดกับที่โล่งว่าง เมืองมีเส้นทาง (path) และขอบ (edge) ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ หรือตัวอาคารเองมีลักษณะทางกายภาพโดดเด่นจนเป็นที่หมายรู้/หมายตา (landmark) หรือมีย่าน (district) ที่มีลักษณะพิเศษทั้งลักษณะทางกายภาพและกิจกรรมที่ปรากฏบน พื้นที่ย่านนั้น เป็นต้น ซึ่งจะได้คะแนนมากน้อยตามสิ่งที่ปรากฏทางกายภาพและการรับรู้ได้ทางกายภาพ ของพนื้ ท่หี รือบรเิ วณนน้ั โดยมีค่าคะแนนสงู สุด 3 คะแนน (6) เกณฑ์คุณค่าความสำคัญต่อสังคมและชุมชน พิจารณาจากความสำคัญของอาคาร พื้นที่โบราณสถานที่มีต่อระบบทางสังคมและมีความสำคัญหรือเป็นส่วนหนึ่งต่อระบบของย่านหรือชุมชน ในปัจจุบันที่คนในชุมชนรับความเกี่ยวข้องอย่างใดอย่างหนึ่งต่อพื้นที่ดังกล่าว เช่น การเป็นสถานท่ี ศกั ดิ์สิทธ์ิ สถานทส่ี าธารณะของชุมชนหรือเมืองนั้น ๆ โดยมีค่าคะแนนสูงสดุ 3 คะแนน ทั้งนี้ การวิเคราะห์และประเมินคุณค่าโบราณสถาน อาคาร สถานที่สำคัญ จากการให้คะแนน ตามเกณฑ์ข้างต้น และการให้คา่ นำ้ หนักความสำคญั ของแต่ละปัจจัยที่มีผลต่อการอนุรักษ์จะดำเนินการใน รูปแบบกลุ่มผู้ประเมินเพื่อกระจายน้ำหนักต่อความคิดเห็นเฉพาะบุคคล ร่วมกับการกำหนดระดับคะแนน ค่าน้ำหนักต่อคุณค่าในแต่ละเกณฑ์ ซึ่งผลคะแนนรวมที่ได้จากการประเมินคุณค่าตามเกณฑ์ดังกล่าว 14
เมืองเก่าตรัง สามารถนำไปใช้สำหรับการวางแผนที่แยกแยะระดับความสำคัญ และศักยภาพขององค์ประกอบของเมอื ง ที่สำคัญในพื้นที่เมืองเก่า เพื่อการอนุรักษ์และพัฒนาในด้านต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม รวมทั้งนำไปใช้เป็น ขอ้ มูลสนับสนุนในการกำหนดขอบเขตพืน้ ท่เี มอื งเก่าไดอ้ ีกด้วย ทั้งนี้ การวิเคราะห์และประเมินคุณค่าโบราณสถาน อาคาร สถานที่สำคัญ จากการให้คะแนน ตามเกณฑ์ข้างต้น และการให้ค่าน้ำหนักความสำคัญของแต่ละปัจจัยท่ีมีผลต่อการอนุรักษ์จะดำเนินการใน รูปแบบกลุ่มผู้ประเมินเพื่อกระจายน้ำหนักต่อความคิดเห็นเฉพาะบุคคล ร่วมกับการกำหนดระดับคะแนน ค่าน้ำหนักต่อคุณค่าในแต่ละเกณฑ์ ซึ่งผลคะแนนรวมที่ได้จากการประเมินคุณค่าตามเกณฑ์ดังกล่าว สามารถนำไปใช้สำหรับการวางแผนที่แยกแยะระดับความสำคัญ และศักยภาพขององค์ประกอบของเมอื ง ที่สำคัญในพื้นที่เมืองเก่า เพื่อการอนุรักษ์และพัฒนาในด้านต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม รวมทั้งนำไปใช้เป็น ขอ้ มลู สนบั สนุนในการกำหนดขอบเขตพ้นื ทีเ่ มืองเกา่ ได้อกี ด้วย 3.3 การระบหุ รือกำหนดขอบเขตพ้นื ที่เมืองเก่า การระบุหรือกำหนดขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าเพื่อการอนุรักษ์และพัฒนาดำเนินการบนพื้นฐาน การสนับสนุนของข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูลที่ให้เห็นคุณค่าความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ศิลปกรรม สถาปัตยกรรมขององค์ประกอบเมืองข้างต้น ร่วมกับเหตุผลความจำเป็นที่จะต้องปกป้องคุ้มครองบริเวณ แวดล้อมของพื้นที่เมืองเก่านั้น ๆ ได้แก่ สภาวะเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ สภาวะคุกคามจากการพัฒนา สมัยใหม่ ระดับของการบูรณะหรือดูแลรักษา ความกลมกลืนกับบริบทของเมือง และความสนใจของ ท้องถิ่นต่อการมีส่วนร่วม เป็นต้น การกำหนดขอบเขตพื้นที่เมืองเก่า เพื่อการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า ในท่ีน้แี บ่งการกำหนดขอบเขตพน้ื ทีอ่ อกเป็น 3 ระดบั ดงั น้ี (1) ขอบเขตพ้ืนท่เี มอื งเก่า หรอื พน้ื ที่หลัก (Core Zone) เป็นขอบเขตที่ครอบคลุมพื้นที่ที่มีองค์ประกอบของเมืองเก่าที่มีคุณค่าความสำคัญท่ี เกาะกลุ่มรวมกันเป็นบริเวณที่ชัดเจน และมีความเป็นของแท้ดั้งเดิมและบูรณภาพ (Authenticity and Integrity) ร่วมกับเหตุผลความจำเป็นต่าง ๆ ข้างต้นที่ต้องได้รับการดูแลและปกป้องคุ้มครองท้ัง องค์ประกอบของเมืองและบริเวณแวดล้อมนั้นอย่างเข้มข้น โดยต้องเร่งวางแผนบริหารจัดการเพื่อการ อนุรกั ษ์และพัฒนาพื้นทเ่ี มืองเก่าให้สามารถรกั ษาบรรยากาศและอัตลกั ษณ์ของความเป็นเมืองเกา่ ไวไ้ ด้มาก ที่สุด นอกจากนี้ ภายในพื้นที่เมืองเก่ายังมีการแบ่งเขตพื้นที่ (Zoning) ตามคุณค่าและความสำคัญของ องคป์ ระกอบเมืองและบรเิ วณแวดลอ้ ม ทงั้ นี้ เพ่ือให้การวางแผนและการกำหนดมาตรการการจัดการพื้นท่ี ในแตล่ ะเขต (Zones) ภายในพน้ื ทีเ่ มืองเกา่ เกิดความเหมาะสมในทางปฏบิ ัติ 15
โครงการกำหนดขอบเขตพื้นท่เี มอื งเกา่ (2) พน้ื ที่ต่อเนอ่ื ง (Buffer Zone) เป็นบริเวณที่ต่อเนื่องกับเขตพื้นที่เมืองเก่าหรือพื้นที่หลัก โดยพื้นที่นั้นอาจมีหรือไม่มี องค์ประกอบที่สำคญั ของเมืองที่มีคุณค่าก็ได้ แต่เป็นบริเวณที่มีความสำคัญตอ่ การส่งเสริมการอนุรักษแ์ ละ พัฒนาพื้นที่เมืองเก่าหรือพื้นที่หลักให้มีความโดดเด่น และสอดคล้องกับบริบทความเป็นเมืองเก่านั้น ๆ ทั้งนี้ เพื่อเป็นข้อเสนอให้ท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พิจารณาวางแผนการพัฒนาในด้านต่าง ๆ ท่ี สอดคลอ้ งกบั พ้นื ที่เมืองเก่า (3) พนื้ ท่ีเกี่ยวเนอื่ ง (Related Zone) เป็นบริเวณที่มีความเกี่ยวข้องหรือมีความสัมพันธ์กับพื้นที่เมืองเก่าหรือพื้นที่หลักทั้ง ทางตรงและทางอ้อม เป็นบริเวณที่มีลักษณะเฉพาะที่โดดเด่นและมีความสำคัญต่อการส่งเสริมและ สนับสนุนการอนุรักษ์และพัฒนาพื้นที่เมืองเก่าและพื้นที่ต่อเนื่องให้มีคุณค่า หรือเพื่อป้องกันและบรรเทา ปัญหาทีอ่ าจเกิดขึ้นกบั พื้นท่เี มืองเก่าและพ้นื ทตี่ ่อเน่ืองได้ เชน่ การรักษาสมดุลของสภาพแวดลอ้ มและระบบ นิเวศ การป้องกันภัยพิบัติต่าง ๆ เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อเป็นข้อเสนอแนะให้ท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ พิจารณาวางแผนการพัฒนาในด้านต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับบริบทของพื้นที่เมืองเก่าและพื้นที่ต่อเนื่อง เช่น ควบคมุ หรือจำกัดการปลูกสรา้ งสิ่งทขี่ ัดแย้งกับธรรมชาตขิ องพื้นที่ การรักษาสภาพแวดล้อม และนิเวศวิทยา ดั้งเดิมของพื้นที่ การคำนึงถึงภัยพิบัติ เช่น การป้องกันน้ำท่วม กระแสลม และคลื่น การส่งเสริมฟื้นฟู และ พัฒนาพื้นที่เพื่อการใช้ประโยชน์ที่สอดคล้องกับสภาพธรรมชาติของพื้นที่ เช่น ปรับปรุงพื้นที่เพื่อการ พักผ่อนหยอ่ นใจ เป็นแหล่งท่องเทีย่ วทางธรรมชาติ แหล่งเรียนรรู้ ะบบนิเวศป่าชายเลน เปน็ ต้น 3.4 การมสี ่วนร่วมของทอ้ งถนิ่ การกำหนดขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าให้เกิดขึ้นได้จริงนั้น สิ่งที่สำคัญคือการได้รับการยอมรับจาก ภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่เมืองเก่า ประกอบด้วยภาคราชการทั้งส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่นท่ี เกี่ยวข้อง ภาคเอกชน และประชาชนผู้อาศัยหรือมีความเกี่ยวข้องกับพื้นที่เมืองเก่านั้น ก่อนที่จะมีการ ประกาศขอบเขตพื้นท่ีเมืองเก่าอย่างเป็นทางการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการอนุรักษ์และ พัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่า พ.ศ. 2546 โดยจัดให้มีกิจกรรมเพื่อรับฟังความคิดเห็นและ ข้อเสนอแนะต่อการกำหนดขอบเขตพื้นที่เมืองเก่า ไม่น้อยกว่า 2 ครั้งต่อเมือง แล้วรวบรวมความคิดเห็น และข้อเสนอแนะที่ไดจ้ ากการประชุมดังกล่าวไปปรับแก้แนวเขตพน้ื ท่ีเมืองเกา่ รวมท้ังแนวทางการอนุรักษ์ และพัฒนาพื้นที่เมืองเก่า ทั้งนี้ การยอมรับจากภาคส่วนต่าง ๆ จะส่งผลต่อความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ หากเมืองเหล่านัน้ ได้รบั การประกาศเขตพ้นื ทีเ่ มืองเกา่ แลว้ จึงนำเสนอตอ่ คณะกรรมการอนุรกั ษ์และพัฒนา กรุงรตั นโกสินทร์ และเมอื งเกา่ และคณะรัฐมนตรี เพ่ือพจิ ารณาใหค้ วามเห็นชอบในลำดับตอ่ ไป 16
เมอื งเก่าตรงั 4. ขอบเขตพนื้ ท่ีเมอื งเกา่ ตรงั จังหวัดตรัง 4.1 ความสำคญั ของพ้ืนท่ีเมืองเกา่ ตรงั 4.1.1 ความเป็นมา พฒั นาการทางประวตั ศิ าสตร์ และการต้งั ถิ่นฐาน ในบริเวณลุ่มแม่น้ำตรัง พบหลักฐานการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์มาตั้งแต่สมัยโบราณด้วยการปรับ สภาพแวดลอ้ มตามธรรมชาตมิ าเป็นท่ีอย่อู าศัย โดยพบหลักฐานการตัง้ ถ่นิ ฐานของมนุษยต์ ามถำ้ และเพิงผา บนภูเขาหินปูนลูกโดดทีอ่ ยู่ไม่ไกลจากแมน่ ้ำตรงั รวมทั้งแม่นำ้ สาขาสายต่าง ๆ ในเขตอำเภอห้วยยอด และ ทางทิศเหนอื ของอำเภอเมอื งตรัง รวมท้ังลุ่มแมน่ ำ้ ปะเหลียนด้วย (ดบี ุก เต็มมาศ, 2557: 146, 322) ทั้งนี้ งานสำรวจทางโบราณคดีที่สำคัญที่ค้นพบหลักฐานแสดงการตั้งถิ่นฐานทางโบราณคดีใน เขตจังหวัดตรัง คือ การขุดค้นที่ถ้ำซาไก อำเภอปะเหลียน (สุรินทร์ ภู่ขจร และคณะ, 2534) พบหลักฐาน แสดงให้เห็นถึงการตั้งถิ่นฐานของผู้คนมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ 3 ระยะ ทั้งนี้ ชั้นวัฒนธรรมที่มีการ ต้ังถ่ินฐานเกา่ แก่ทส่ี ดุ กำหนดอายุได้ราว 10,000-6,000 ปีมาแล้ว ดังพบหลักฐานเครอ่ื งมือหินกะเทาะหน้า เดียวจากกรวดแม่น้ำตามแบบแผนฮัวบิเนียน (Hoabinhian) ชั้นวัฒนธรรมถัดขึ้นมาพบโครงกระดูกฝัง ร่วมกับขวานหินขัด ภาชนะดินเผา ลูกปัดจากเปลือกหอย กำหนดอายุได้ราว 3,300 ปีมาแล้ว และช้ัน วัฒนธรรมบนสุด คือ ชั้นวัฒนธรรมที่สัมพันธ์กับกลุ่มชาติพันธุ์มันนิ1 ซึ่งยังพบการตั้งถิ่นฐานและการ เคลือ่ นย้ายอยบู่ ริเวณเทือกเขาบรรทดั ในเขตอำเภอปะเหลียน นอกจากนี้ ยงั มกี ารค้นพบหลกั ฐานทางโบราณคดีตามเพิงผาและถ้ำตา่ ง ๆ ในเขตจงั หวัดตรังอีก เป็นจำนวนมาก ดังที่จักรพันธ์ เพ็งประไพ (จักรพันธ์ เพ็งประไพ, 2554: 44-55) และสุนทรี สังข์อยุทธ์ (สุนทรี สังข์อยุทธ์, 2559: 15-27) นำเสนอข้อมูลไว้ อาทิ ถ้ำหน้าเขา 1 และถ้ำหน้าเขา 2 อำเภอนาโยง (มนตรี ธนภัทรพรชัย และคณะ, 2541), ถ้ำพระพุทธ ถ้ำเขาเทียมป่า อำเภอรัษฎา (จักรพันธ์ เพ็งประไพ, 2554), ถ้ำเขาโพธโิ์ ทน (สำนกั งานโบราณคดีและพิพิธภณั ฑสถานแห่งชาติท่ี 12 ภเู กต็ , 2545) ถ้ำภเู ขาสาย ถ้ำเขาปินะ (กัญชนิษฐ์ เจริญรัตนวัฒน์, 2556) ถ้ำหมูดิน (กรมศิลปากร, 2534) อำเภอห้วยยอด, ถ้ำเขา หลักจัน ถ้ำวัดภูเขาทอง ถ้ำเขาสามบาตร อำเภอเมืองตรัง ซึ่งต่างพบร่องรอยหลักฐานทางโบราณคดียุค กอ่ นประวตั ศิ าสตร์ ท้งั ภาชนะดนิ เผา เศษกระดูกสตั ว์ เปลือกหอย เป็นตน้ ในพื้นที่แถบชายฝั่งทะเล และหมู่เกาะต่าง ๆ พบแหล่งโบราณคดียุคก่อนประวัติศาสตร์ที่เขา หญ้าระ ซึ่งพบเครื่องมือหินกะเทาะ และเศษภาชนะดินเผาเนื้อดินมีอายุราว 10,000-6,000 ปีมาแล้ว แหล่งโบราณคดีถ้ำในวัง แหล่งโบราณคดีเขาไม้แก้ว (กรมศิลปากร, 2534) และถ้ำเขาหน้าเนื้อ อำเภอ ปะเหลียน (กรมศิลปากร, 2561: 22-24) รวมไปถึงแหล่งภาพเขียนสีบนหน้าผาเขาแบนะ หาดฉางหลาง อำเภอสิเกา ท่ีกำหนดอายุในราว 4,000-2,000 ปีมาแล้ว 1 กลุ่มชาติพันธมุ์ ันนิ เปน็ กลุม่ นิกรอยด์หรือเนกริโต แตพ่ ูดภาษาตระกูลออสโตรเอเชียตกิ ต้ังถ่ินฐานมาอยา่ งเก่าแกใ่ นเทือกเขาบรรทัดใน เขตตรัง และพทั ลงุ ทัง้ นี้ ในการศึกษาทผ่ี ่านมาน้ันใช้คำว่า “ซาไก” เปน็ ชื่อเรยี กกลุ่ม “ชาตพิ ันธม์ุ นั นิ” ซึง่ คำดงั กล่าวนน้ั มีนัย ของการไม่ใหเ้ กยี รติต่อชาตพิ ันธุแ์ ละวฒั นธรรม ในการกล่าวถงึ กล่มุ ชาตพิ ันธุ์ดงั กลา่ วจึงต้องใช้ชือ่ เรยี กขานท่ีกลมุ่ ชาตพิ ันธุ์ เรียกขานตนเอง คือ “มันนิ” หรือ “มาน”ิ และยกเลิกการใช้คำวา่ “ซาไก” 17
โครงการกำหนดขอบเขตพื้นทีเ่ มอื งเก่า การศึกษาประวัติศาสตร์ในดินแดนคาบสมุทรภาคใต้ของไทยตลอดไปจนถึงคาบสมุทรมลายูใน การทบทวนสถานภาพความรู้และข้อเสนอเกี่ยวกับดินแดนลุ่มแม่น้ำตรังในยุคหัวเลี้ยวหัวต่อเข้าสู่สมัย ประวัติศาสตร์นั้น ในเบื้องต้นมีข้อเสนอของมานิต วัลลิโภดม ที่มีข้อเสนอว่า “แม่น้ำเคอร์โซนีส (Khersoanese)” ต่อชื่อชุมชนที่ปรากฏในเอกสารของคลอดิอุส ปโตเลมี (Claudius Ptolemy) ในช่วงปี พ.ศ. 693–709 นามว่า “ตะโกลา” และเรียกดินแดนนี้ว่า “คาบสมุทรแห่งทองคำ (Golden Khersoanese)” ซึ่งมานิต วัลลิโภดม เสนอว่า คือ แม่น้ำตรังและพื้นที่บริเวณคลองกะปางในเขตอำเภอ รัษฎา (มานิต วัลลิโภดม, 2530) อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอดังกล่าวก็มีข้อโต้แย้งว่าหมายถึงพื้นที่แถบ ตะกั่วป่า (ปรีชา นุ่นสุข, 2525: 35) ในที่น้ี จึงยังต้องการหลักฐานทางประวัติศาสตร์และการศึกษาทาง โบราณคดเี พิ่มเตมิ จงึ จะใหภ้ าพของพนื้ ที่ศึกษาในช่วงเวลาดงั กลา่ วน้ันกระจ่างชัดย่ิงขึน้ อยา่ งไรก็ตาม แรงดึงดูดทางการค้าระหว่างกันของโลกทางตะวันออกทีม่ ีจีนเป็นศูนย์กลางการค้า และโลกทางตะวันตกที่มีอินเดีย ลังกา และอาหรับเป็นแหล่งอารยธรรมหลัก ซึ่งคาบสมุทรภาคใต้ของไทย และคาบสมุทรมลายูอยู่ในทำเลที่ตั้งที่อยู่ระหว่างทางจึงทำให้เกิดการปะทะสังสรรค์แลกเปลี่ยน การเสาะ แสวงหาเส้นทางข้ามคาบสมุทรเพื่อประหยัดเวลาและทรัพยากรในการเดินทางอ้อมไปทางช่องแคบมะละกา เนอ่ื งด้วยเรือสินค้ายุคโบราณนนั้ มีขนาดเลก็ และไม่ต้านทานลมพายุมากนักจึงแล่นเลาะไปตามแนวชายฝั่ง สุนทรี สังข์อยุทธ์ เสนอว่า ผู้คนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่อาศัยเพิงผาและโพรงถ้ำเริ่มต้ัง บ้านเรือนเป็นหย่อมบ้านตามที่ราบไม่ไกลจากแหล่งน้ำ จนในที่สุดพัฒนาขึ้นเป็นชุมชนใหญ่ริมน้ำ และ รองรับการติดต่อเดินทางมาค้าขายจากพ่อค้าต่างแดน และใช้เส้นทางแม่น้ำตรังเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทาง ข้ามคาบสมุทร (สุนทรี สังข์อยุทธ์, 2559: 29) โดยเดินทางตามแม่น้ำตรังไปยังดินแดนตอนในแล้วใช้การ เดินเท้าต่อไปทางหุบเขาช่องคอย ซึ่งมีหลักฐานยืนยันการเป็นเส้นทางการค้าแต่โบราณจากการค้นพบ จารึกอักษรราชวงศป์ ัลลวะของอินเดียใตท้ ี่กำหนดอายุไดใ้ นราวพุทธศตวรรษท่ี 11-12 เป็นหลักฐานสำคัญ (ประเสรฐิ ณ นคร, 2525) ทั้งนี้ พบหลักฐานทางโบราณคดีที่แสดงการเข้าสู่สมยั ประวัติศาสตร์ของพื้นที่ศึกษาในลุ่มแม่น้ำ ตรังเริ่มชัดเจนมากขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 12-18 ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวนั้น ชุมชนในพื้นที่ดินแดน คาบสมุทรและหมู่เกาะต่าง ๆ ในเขตมาเลเซียและอินโดนีเซียพัฒนาขึ้นเป็นเมืองและมีเครือข่าย ความสัมพันธ์กันทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ซึ่งเรียกพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ สังคมในคาบสมุทรมลายู และดินแดนหมู่เกาะว่า “ศรีวิชัย” รวมทั้งในดินแดนคาบสมุทรภาคใต้ของไทย และคาบสมทุ รมลายู สำหรับในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำตรังพบว่า มีความต่อเนื่องในการต้ังถิ่นฐานและวัฒนธรรมในการใช้ถ้ำ และเพิงผามาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์มาจนเข้าสู่สมัยของการรับเอาวัฒนธรรมอินเดีย-ลังกาใน ระยะแรก ๆ ทั้งนี้ เมื่อรับวัฒนธรรมพุทธศาสนาเข้ามาในพื้นที่ได้ปรับเปลี่ยนให้ความหมายของภูเขาและ เถื่อนถ้ำที่ผู้คนสมัยก่อนประวัติศาสตร์เคยใช้เป็นที่ตั้งถิ่นฐานให้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ดังพบการบรรจุพระ พิมพ์ดินดิบที่แสดงอิทธิพลศิลปะแบบทวารวดี และศรีวิชัย ซึ่งมีอายุในราวพุทธศตวรรษที่ 13–16 และพระ พิมพ์ดินดิบที่แสดงให้เห็นว่าได้รับอิทธิพลศิลปะเขมรโบราณที่พบในภาคกลางของไทย และแบบหริภุญไชย 18
เมืองเกา่ ตรัง ที่พบในภาคเหนือ ซึ่งมีอายุในราวพุทธศตวรรษที่ 17-18 (ดีบุก เต็มมาศ, 2557: 158) ดังตัวอย่างที่พบท่ี แหลง่ โบราณคดเี ขาสาย แหลง่ โบราณคดเี ขาน้ยุ และแหลง่ โบราณคดีวดั ครี วี หิ าร อำเภอห้วยยอด นอกจากนใ้ี นปี พ.ศ. 2561 ไดัมกี ารคน้ พบแหลง่ โบราณคดนี าพละ อำเภอเมอื งตรงั พบซากฐาน ของศาสนสถานก่ออิฐเนื่องในศาสนาพุทธแบบมหายานที่กำหนดอายุได้ในราวพุทธศตวรรษที่ 13-14 (เพลงเมธา ขาวหนูนา, 2561: 108-117) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าในพื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำตรังมีการประดิษฐาน พระพุทธศาสนาแบบมหายานมาอย่างเกา่ แก่ ก่อนหน้าที่พระพุทธศาสนาแบบเถรวาทสำนักมหาวิหารของ ลังกาจะมบี ทบาทแพร่หลายโดยมนี ครศรธี รรมราชทำหน้าทเี่ ป็นศนู ย์กลาง ดังปรากฏในครึ่งหลังของพุทธศตวรรษที่ 17 ตั้งแต่ปี พ.ศ. 1675 เป็นอย่างช้า มีหลักฐานการ ประดิษฐานพระพุทธศาสนาเถรวาทนิกายลังกาวงศ์จากลังกาท่ีเมืองนครศรีธรรมราชอย่างเป็นทางการ อันเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การปกครอง และพระพุทธศาสนาของคาบสมุทรฝั่งตะวันออก (วินัย พงศ์ศรีเพียร, 2554: 27) จากเส้นทางเชื่อมคาบสมุทรตั้งแต่ครั้งโบราณนั้นสันนิษฐานว่าใช้เส้นทาง ตาม “แม่น้ำตรงั ” แล้วเดินทางทางบกต่อไปทางหุบเขาช่องคอยตามเส้นทางท่ีมีมาแต่โบราณเพือ่ เชื่อมโยง กับเมืองในฝ่ายชายทะเลตะวันออกของคาบสมุทร รวมทั้งเส้นทางตามแม่น้ำปะเหลียนที่เชื่อมต่อไปยัง เมืองพัทลุง (สุนทรี สังข์อยุทธ์, 2559: 30) ทำให้ประวัติศาสตร์บอกเล่าในท้องถิ่นตรังผูกโยงกับเส้นทาง วัฒนธรรมดังกล่าวนี้ กล่าวคือ มีประวัติศาสตร์มุขปาฐะเล่าว่ามีการเดินทางของพุทธศาสนิกชนนำทรัพย์ สมบัติไปถวายเป็นพุทธบูชา และบูรณะพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช ซึ่งในห้วงเวลานั้นเมืองตรังมีสถานะ เป็นเมืองภายใต้เครือข่ายการเมืองของเมืองนครศรีธรรมราชท่ีมีการจัดการปกครองในระบบเมืองสิบสอง นักษตั ร โดยกำหนดให้เมืองตรังมสี ญั ลกั ษณ์เปน็ “เมอื งตรามา้ ” หรอื “ปีมะเมยี ” นอกจากนี้ ยงั มีประวตั ศิ าสตรท์ ้องถ่นิ เร่อื งอ่ืน ๆ ทแี่ สดงความสัมพันธ์ผ่านการติดต่อค้าขาย และ แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างกันของเมืองต่าง ๆ ทั้งสองฝั่งคาบสมุทร อาทิ เรื่องการสร้างวัดย่านเกลื่อน เรื่องการสร้างพระพุทธรูปที่ถ้ำพระองค์กลาง วัดเขาปินะ เรื่องการสร้างวัดหูแกง ฯลฯ ซึ่งนอกจากจะแสดง ให้เห็นว่าชุมชนในพื้นที่ดังกล่าวนั้นเป็นชุมชนชาวพุทธที่มีการตั้งถิ่นฐานมาอย่างยาวนาน และเครือข่าย ความสัมพันธร์ ะหวา่ งกนั กับเมืองอืน่ ๆ อาทิ เมอื งนครศรธี รรมราช เมอื งพทั ลงุ และเมอื งไทรบุรี เป็นตน้ นอกจากนี้ ยงั มีประวัติศาสตร์ทอ้ งถิ่นอีกกลมุ่ ท่ียึดโยงเข้ากับโครงเรื่องตำนานพระนางเลือดขาว ที่แพร่หลายกันในลุ่มทะเลสาบสงขลาแถบพัทลุง รวมทั้งตำนานพระพุทธสิหิงค์ที่กล่าวถึงว่ามีสตรีสูงศักดิ์ พระธิดาของเจ้าเมืองพัทลุงได้เดินทางไปอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์จากลังกาเพื่อไปประดิษฐานยังเมือง นครศรีธรรมราช ทั้งนี้ เพื่อสร้างคำอธิบายต่อแหล่งมรดกพุทธอารามแห่งต่าง ๆ ว่ามีสิทธิธรรมและเป็น มงคล ด้วยเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กับเหตุการณ์การอัญเชิญพระสิหิงค์อันศักดิ์สิทธิ์ อาทิ การสร้าง “วัดพระศรี สรรเพชญพทุ ธสิหิงค”์ หรือ “วัดพระพทุ ธสหิ งิ ค”์ ซึ่งเรียกกนั โดยยอ่ วา่ “วัดหึงค”์ ทตี่ ำบลนาโยง ตลอดจน “วัดพระงาม” “พระพุทธไสยาสน์วัดภูเขาทอง” “พระพุทธไสยาสน์วัดถ้ำพระพุทธ” เป็นต้น (คณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกยี รติ พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยูห่ วั , 2544: 49) ในสมัยอยุธยาตอนปลาย มีหลักฐานจารึกแสดงการตั้งถิ่นฐานเมืองตรังที่บริเวณเขาสามบาตร ที่ตำบลนาตาล่วง อำเภอเมืองตรัง คือ “อักษรเขียนสีเขาสามบาตร” หรือ “อักษรเขียนสีเขาสระบาป” 19
โครงการกำหนดขอบเขตพ้นื ที่เมืองเกา่ เป็นการเขียนสีเพื่อจารึกข้อความด้วยอักษรไทยสมัยอยุธยาบนผนังถ้ำท่ีเขาสามบาตร มีเนื้อหาการฉลอง ในการกระทำกิจบำรุงพระพุทธศาสนาโดยขุนนาง และกรมการเมืองในปี พ.ศ. 2157 ซ่ึงตรงกับสมัยสมเด็จ พระเจ้าทรงธรรม (ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. 2153-2171) แห่งกรุงศรีอยุธยา แสดงให้เห็นว่าช่วงเวลา ดังกลา่ วเมอื งตรงั ตั้งอยบู่ ริเวณเขาสามบาตร ต่อมาในสมัยอยุธยาตอนปลายราวพุทธศตวรรษที่ 22 อำนาจของอยุธยาในการกำกับควบคุม นครศรธี รรมราชลดลง จนกระทง่ั เสยี กรงุ ศรอี ยุธยาในปี พ.ศ. 2310 เจา้ นครศรีธรรมราชจึงต้ังตนเป็นอิสระ ไม่ขึ้นกับอยุธยา ทว่าในช่วงเวลานั้นเมืองตรังก็ยังคงเป็นเมืองในกำกับของนครศรีธรรมราชอยู่ จนกระท่ัง สมัยกรุงธนบุรี โดยในรัชกาลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี (ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. 2310-2325) ในปี พ.ศ. 2312 นั้นสามารถควบคุมเมืองนครศรีธรรมราช และยกหัวเมืองทั้งหมดของเมืองนครศรีธรรมราชมาขึ้น ตรงต่อกรุงธนบุรีในปี พ.ศ. 2319 ยกเว้นเมืองทา่ ทองทางชายฝั่งทะเลตะวันออก และเมืองตรังที่เปน็ ท่าฝ่งั ทะเลทางตะวันตก (ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา, 2546: 67-69) ซึ่งใน ขณะนน้ั เมืองตรังกไ็ ด้ปรากฏชอ่ื เมืองตรงั แลว้ บนแผนทโ่ี บราณในสมุดภาพไตรภมู ฉิ บบั กรุงธนบรุ ีด้วย จนกระทั่งเข้าสู่สมัยรัตนโกสินทร์ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลท่ี 1 (ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. 2325-2352) ทำเลที่ตั้งของศูนย์กลางการบริหารราชการแผ่นดิน ของเมืองตรังนั้นยังคงตั้งอยู่ที่ “เขาสามบาตร” ซ่ึงเป็นทำเลท่ีตั้งมาต้ังแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา นอกจากนี้ยังมีหลักฐานแสดงให้เห็นว่าเรือนของ “พระยาตรังนาแขก (สิงห์)” เจ้าเมืองตรัง และ ลูกหลานอยู่ที่ “บ้านนาแขก” ในเขตตำบลหนองตรุด ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเขาสามบาตร เช่น ของประดับบ้าน เครื่องถ้วยชาม สมุดข่อยกฎหมายตราสามดวงฉบับลายมืออาลักษณ์ และฉบับคัดลอกด้วยลายมือธรรมดา สมุดข่อยตำรายา ตำราดูฤกษ์ยาม บทสวด ร่องรอยหลุมลึกที่เคยเป็นคุกสำหรับขังนักโทษ เป็นต้น ซึ่งหัวเมืองขนาดเล็กในอดีตมักใช้เรือนของเจ้าเมืองเป็นศูนย์กลางราชการ มีบริเวณใกล้เคียงเป็นคุกคุมขัง นักโทษ และบ้านของกรมการเมืองอยู่กระจายออกไป ร่องรอยเรือนของเจ้าเมืองดังกล่าว จึงแสดงให้เห็นถึง การต้งั ศนู ยก์ ลางราชการของเมืองท่ีอยู่ไม่ไกลกัน (สนุ ทรี สังข์อยุทธ์, 2559: 59, 74) นอกจากนี้ เมอื งตรังยังมศี ูนยก์ ลางอีกแห่งที่ต้ังขึ้นอยคู่ ขู่ นานกัน คอื “เมืองภูรา” ซ่ึงในปัจจุบันนี้ คือ บ้านนาทองหลาง ต.บ้านโพธิ์ อ.เมืองตรัง โดยจดหมายเหตุพระยาพัทลุง (จุ้ย) ระบุว่าหลวงวิเศษเป็น เจ้าเมืองภูรา คู่กับ “เมืองตรัง” ที่บ้านควน (ต.นาวง อ.ห้วยยอด) ที่มีหลวงฤทธิเดชะเป็นเจ้าเมือง (สุนทรี สังข์อยุทธ์, 2559: 59) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อเมื่อแรกสร้างกรุงรัตนโกสินทร์นั้น ในพื้นที่เมืองตรังเองก็ยังไม่ได้มีระบบการปกครองที่เป็นเอกภาพนัก ดังสะท้อนให้เห็นการมีอยู่ของ ศูนย์กลางของเมือง 2 แห่งร่วมบริบทเวลาเดียวกัน ซึ่งต่อมาในปี พ.ศ. 2330 พระภักดีบริรักษ์ คงมีอำนาจ ในการบริหารจัดการและสร้างเอกภาพทางการเมืองในพื้นที่ได้แล้วจึงได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต จากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ในการรวมเมืองตรังที่อยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำ ตรงั เขา้ เปน็ หน่งึ เดยี วกันกับเมอื งภูรา ดงั ปรากฏในเอกสารตราเจ้าพระยาอัครมหาเสนาบดี เรือ่ งเมืองตรังภู รา (วันพุธ ขึน้ 3 คำ่ เดือน 10 ปมี ะแม ตรีศก จ.ศ.1173) ว่า 20
เมอื งเก่าตรัง “...แตเ่ ดมิ เมืองตรงั แบ่งออกเป็น 2 เมือง คือ เมืองภูรา ต้งั อยูฝ่ งั่ ตะวนั ออกของแม่น้ำตรัง เป็นเมืองขนาดเล็กแต่มีความสำคัญมากในฐานะเป็นที่เก็บมูลค้างคาวสำหรับทำดินปืน และที่ร่อนแร่ดีบุกด้วยเมืองหนึ่ง และเมืองตรังธานีตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกมีบริเวณ กว้างขวางมากอีกเมืองหนึ่ง อาณาเขตเมืองตรัง และเมืองภูรามีดังนี้ ทิศใต้ลงไปถึง เกาะลิบง ทิศตะวันตกจดทะเลต่อแดนที่ปากกุแหระแขวงเมืองนครศรีธรรมราช ทิศตะวันออกจดที่ปะเหลียน... ทั้งเมืองตรังและภูราแต่เดิมมีผู้รักษาเมืองเมืองละคน ครั้นต่อมาให้พระภักดีบริรักษ์ (นายจันมีชื่อมหาดเล็ก) ผู้ช่วยราชการเมือง นครศรีธรรมราชออกไปเป็นผู้รักษาเมอื งตรัง พระภักดีบรริ ักษ์ไดก้ ราบทูลขอยกเอาเมือง ตรงั กับเมอื งภรู าเปน็ เมอื งเดียวกนั เรียกว่าเมืองตรงั ภรู า” (คณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลมิ พระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั , 2544: 69-70) นอกจากนี้ ยังมีศูนย์กลางชุมชนอีกแห่งหนึ่งอยู่ที่ “เกาะลิบง” ซึ่งเป็นทำเลที่ต้ังอยู่บริเวณปาก แม่น้ำตรัง ด้วยเหมาะแก่การตั้งถิ่นฐาน สามารถหลบลมมรสุม และใช้เส้นทางแม่น้ำตรังเชื่อมต่อเข้าไปยัง ดินแดนตอนในได้ จึงถือเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญ โดยมี “โต๊ะปังกะหวา” เป็นผู้นำที่ชุมชนเกาะ ลิบง ซึ่งต่อมาได้รับพระราชทานความดีความชอบให้เลื่อนตำแหน่งเป็น “พระยาลิบง” ในที่นี้จะเห็นได้ว่า ในช่วงเวลาดังกล่าวนั้น พื้นท่ีเมืองตรังนั้นมีศูนย์กลางที่สำคัญทั้งอยู่ในดินแดนตอนในที่สามารถจัดการ ผลประโยชน์บนเส้นทางการค้าข้ามคาบสมทุ ร ตลอดจนผลติ ผลจากปา่ และนาในดินแดนตอนใน ในขณะท่ี เกาะลิบงก็ทำหน้าที่ทางยุทธศาสตร์ และการค้าทางทะเล ตลอดจนเป็นแหล่งรวบรวมผลิตผลต่าง ๆ จากดนิ แดนชายฝ่ังทะเล ด้วยความสมบูรณ์ดังกล่าวนำพามาซึ่งความมั่งคั่งซึ่งอาจะเป็นเหตุปัจจัยสำคัญที่ทำให้ในเวลา ต่อมาพระยาลิบงได้เกิดความขัดแย้งกับพระยานครศรีธรรมราช (พัฒน์) เพ่ือจัดการข้อขัดแย้งดังกล่าว อีกทั้งยังเป็นการถ่วงดุลอำนาจของเมอื งนครศรีธรรมราช ด้วยการกระจายอำนาจของราชธานศี ูนย์กลางท่ี ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาไปยังคาบสมุทรภาคใต้ให้มากขึ้น จะเห็นว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มหาราช โปรดเกล้าฯ ให้ยกเมืองตรังไปขึ้นกับกรุงเทพฯ แทนการขึ้นกับนครศรีธรรมราช จากประเด็น ดังกล่าวทำให้เห็นว่าราชสำนักสยามแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ให้ความสำคัญกับเมืองตรังมากพอกับเมือง นครศรีธรรมราช ด้วยมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ในการรับศึกจากทางตะวันตก ตลอดจนมีบทบาท สำคัญทางเศรษฐกิจ เนื่องมาจากทำเลที่ตั้งดังกล่าวนั้นเป็นชัยภูมิสำคัญที่มีบริบทแวดล้อมจากโลก ภายนอกเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่มาก ทั้งในแง่การเมืองกับพม่า และการขยายขอบเขตอาณานิคมของอังกฤษ ผ่านบริษัทอินเดียตะวนั ออกอีกดว้ ย จะเห็นว่าในช่วงปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และช่วงต้น รัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 (ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. 2352-2367) ได้ 21
โครงการกำหนดขอบเขตพืน้ ทเ่ี มืองเก่า เกิดสงครามระหว่างสยามกับพม่า (Burmese–Siamese พ.ศ. 2352-2355 | ค.ศ. 1809-1812) โดยพม่า ยกทัพมาตีเมืองถลาง ซึ่งชุมชนที่เกาะลิบงได้เป็นจุดชุมนุมทัพของหัวเมืองฝ่ายใต้ของสยามที่จะยกทัพไป ชว่ ยเมอื งถลางด้วย ต่อมาในปี พ.ศ. 2347 หลังจากพระยาลิบงถึงแก่กรรม หลวงฤทธิสงครามบุตรเขยได้ทำหน้าที่ ปกครองแทน ในช่วงเวลาดังกล่าวน้ันพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จึงโปรดเกล้าฯ ให้ยกเมือง ตรังภูราไปขึ้นกับเมืองสงขลา เมื่อหลวงฤทธิสงครามถึงแก่กรรม ความสำคัญของเกาะลิบงก็ลดลงไปด้วย เมืองตรังภูราจึงถูกย้ายกลับไปขึ้นกับเมืองนครศรีธรรมราชตามเดิม แต่ยังคงเป็นท่าเรือค้าขายต่อมาจน สมัยเจ้าพระยานคร (น้อย) (มูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยในพระ บรมราชปู ถมั ภ,์ 2514) ทั้งนี้ ในปี พ.ศ. 2355 มีการสำรวจเพื่อจัดทำทำเนียบกรมการเมืองตรัง เพื่อสำรวจชุมชนและ จำนวนประชากร จากเอกสารดังกล่าวพบว่า ช่ือชมุ ชนท่ีต้ังอยูท่ างฟากตะวันออกของแมน่ ้ำตรังมีหลายช่ือที่ ตรงกับหมู่บ้านในปัจจุบัน เช่น “นาแค” “โคกยูง” “นาแฟบ” “ควนขัน” “นาพรุ” “ลำภูรา” ส่วนทางฝั่ง ตะวันตก คือ “นาเมืองเพชร” ทว่าหลังจากนี้ไปทำเนียบรายชื่อผู้ว่าราชการเมืองและที่ตั้งเมืองไม่มีความ ชัดเจน เนื่องจากมีหลักฐานเอกสารทางประวัติศาสตร์กล่าวถึงเมืองตรังน้อยมาก อย่างไรก็ดี ศูนย์กลางการ ปกครองของเมืองตรังทีค่ วนธานี มพี ระอุภัยราชธานีเป็นเจ้าเมืองตรัง ซ่ึงประวัติศาสตรบ์ อกเลา่ จากชาวบ้าน เลา่ กันว่าพระอภุ ัยราชธานีผู้นเ้ี ป็นผสู้ ร้างศาลหลักเมืองที่ควนธานี (สุนทรี สังข์อยทุ ธ์, 2559: 65) ต่อมาเมื่อเข้าสู่แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 (ครองราชย์ ระหว่างปี พ.ศ. 2411-2453) ช่วงเวลานี้สยามเปิดตัวต่อต่างประเทศมากขึน้ และสง่ ผลต่อการปรบั เปลี่ยน ระบบการบริหารราชการแผ่นดินในหลายด้าน สำหรับหัวเมืองชายฝั่งทะเลตะวันตกก็ล้วนทวีความสำคัญ มากยิ่งขึ้นในฐานะเครือข่ายของเมืองการท่าการค้าซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวนั้นมีเมืองจอร์จทาวน์บนเกาะ ปีนังทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางทางการค้าและเศรษฐกิจในคาบสมุทรมลายูและช่องแคบมะละกา โดยเฉพาะ เศรษฐกิจพาณิชย์นาวี และการค้าแร่ดบี ุก ทั้งนี้ ผู้คนที่อาศัยในเขตเมอื งตรัง ภูเก็ต และพังงา ยึดอาชีพขุด หาแร่ดีบุก เพราะเป็นแหล่งแร่ดีบุกที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนเกิดการขยายตัวของ กิจการเหมืองแร่ดีบุก รวมทั้งการขยายตัวทางการค้ากับต่างประเทศ (ตวงทิพย์ พรมเขต, 2561: 70) เมืองตรงั จึงถกู โอนจากการเป็นเมืองในกำกบั ของนครศรธี รรมราชไปขน้ึ กับกรงุ เทพมหานครโดยตรง ชุมชนทับเที่ยงเติบโตขึ้นจากพื้นดินอันอุดมสมบูรณ์เหมาะสมสําหรับการเพาะปลูก ทว่าอยู่ ห่างไกลจากทะเล ซึ่งต่อมาในปี พ.ศ. 2433 เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาส เมืองต่าง ๆ ในคาบสมทุ รภาคใตฟ้ ากตะวันตก และไดป้ ระพาสเมอื งตรงั คร้ังน้ันพระยารษั ฎานุประดิษฐม์ หศิ ร ภักดี (คอซิมบ๊ี ณ ระนอง) ได้ทูลขอพระบรมราชานุญาตย้ายศูนย์กลางการปกครองไปตั้งอยู่ที่ “กันตัง” ซึ่ง เป็นเมอื งทา่ อยู่ใกลป้ ากนำ้ มากข้นึ เพื่อการค้าขายเมืองทา่ ชายฝั่งทะเลแหง่ อืน่ ๆ ในปี พ.ศ. 2436 อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะมกี ารย้ายเมืองศูนย์กลางไปยงั กันตัง แต่ทับเท่ียงยังคงเป็นตลาดขนาดใหญ่ และคึกคัก ดังที่ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ได้กล่าวไว้เมื่อครั้งเสด็จตรวจราชการ หัวเมืองทางใต้เมื่อ พ.ศ. 2445 (นริศรานุวัดติวงศ์, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยา, 2539) 22
เมืองเก่าตรัง รวมทั้งในบันทึกของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 (ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. 2453-2468) เมื่อครั้งยังทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เมือ่ ปี พ.ศ. 2452 (มงกฎุ เกลา้ เจ้าอยหู่ วั , พระบาทสมเด็จพระ, 2502) ในการน้ัน พระยารัษฎานุประดษิ ฐม์ หิศรภักดี ไดท้ ูลขอพระบรมราชานญุ าตย้ายที่ต้ังเมืองไปต้ังที่ ตำบลกันตัง ในปี พ.ศ. 2436 เนื่องจากมีความรุ่งเรืองจากการค้าขายกับปีนัง ชวา มลายู โดยเป็นท่าเรือส่ง ดีบุก และพริกไทยไปยังปีนัง เนื่องจากช่วงเวลานั้นเมืองตรังปลูกพริกไทยมากที่สุดในบรรดาหัวเมืองทะเล ทางตะวันตก จึงกล่าวได้ว่าพระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดีเป็นผู้วางรากฐานและพัฒนาเศรษฐกิจของ ตรังจนกลายเปน็ ศูนย์กลางการค้าท่ีใหญ่ท่ีสุดในภาคใตข้ องไทย (ศุลีมาน (นฤมล) วงศ์สภุ าพ, 2544: 8) ต่อมาในปี พ.ศ. 2444 พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดีเริ่มส่งเสริมการปลูกยางพาราอย่าง เป็นระบบ ด้วยการนำพันธุ์ยางพาราเข้ามาจากดินแดนคาบสมุทรมลายูและส่งเสริมการปลูกจนกลายเป็น สินค้าออกที่สำคัญของเมืองตรัง นอกจากน้ีในช่วงก่อนการส่งเสริมการปลูกยางพารา หลังการตรวจ ราชการของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพที่เมืองตรังในปี พ.ศ. 2439 พระยารัษฎานุประดิษฐ์- มหิศรภักดียังส่งเสริมให้ตำบลทับเที่ยงเป็นศูนย์กลางแลกเปลี่ยนสินค้า เพราะพื้นที่ทับเที่ยงมีศักยภาพที่ สามารถใช้เป็นเส้นทางข้ามคาบสมุทรไปสู่หัวเมืองทะเลทางตะวันออกได้ จึงมีการตัดถนนเพชรเกษมผ่าน เขาพับผ้าเพ่ือเช่ือมต่อเส้นทางท่ีออกจากทับเที่ยง ผา่ นตำบลช่องไปสู่เมืองพทั ลุง นอกจากนี้ ความเปลี่ยนแปลงต่อสังคม เศรษฐกิจครั้งใหญ่ของคาบสมุทรภาคใต้เกิดขึ้นอีกครั้ง จากการเร่ิมสร้างเส้นทางรถไฟสายใต้ในปี พ.ศ. 2442 จากสถานบี างกอกนอ้ ยไปยังเพชรบรุ ีซึ่งแล้วเสร็จใน ปี พ.ศ. 2446 ต่อมาในปี พ.ศ. 2452 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 (ครองราชย์ ระหว่างปี พ.ศ. 2411-2453) ได้ทรงเจรจาความร่วมมือกับอังกฤษในการสร้างทางรถไฟลงยังคาบสมุทร ภาคใต้โดยเส้นทางหลกั จะผ่านหาดใหญ่ไปจนถึงมลายู นอกจากนี้ ยังสร้างทางสายแยกจากชุมทางทุ่งสงไปยังกันตัง ระยะทาง 93 กิโลเมตร และเปิด เดินรถในปี พ.ศ. 2456 ในทนี่ ้ี สนั นษิ ฐานว่าการสร้างสถานีกันตังน้ันมคี วามสำคัญทางยทุ ธศาสตร์ด้วย คือ เป็นสถานีรถไฟบนเมืองท่าชายฝั่งทะเลมหาสมุทรอินเดียของสยามที่ทําให้สามารถเชื่อมต่อการขนส่ง ระบบรางกับการขนส่งทางทะเลเป็นของตัวเอง ซึ่งเป็นความมั่นคงทางการเมืองประการหนึ่ง เพราะลด การพึง่ พาการขนถา่ ยสินค้าท่สี ถานบี ัตเตอร์เวิร์ธ (butterworth) ท่ีปีนังเพียงอย่างเดียว ต่อมาในปี พ.ศ. 2458 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 (ครองราชย์ ระหว่างปี พ.ศ. 2453-2468) ได้เสด็จพระราชดำเนินมายังเมืองตรัง และมีพระราชดำริว่า ท้องที่ตำบล ทับเที่ยงมีความเจริญ มีพื้นที่ราบมากและยังเป็นชุมชนขนาดใหญ่ เหมาะกับการเป็นศูนย์กลางเมือง มากกว่าที่กันตังที่กำลังเกิดโรคอหิวาตกโรค รวมทั้งในขณะนั้นเป็นช่วงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้ไมน่ าน การต้ังเมืองท่ีกันตังจึงไม่ปลอดภัยจากศัตรู พระยาวิชติ วงศว์ ุฒิไกร สมหุ เทศาภบิ าลมณฑลภูเก็ต จึงกราบบังคมทูลขอพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ย้ายที่ตั้งเมืองตรัง จากกันตังมาที่ตําบลทับเที่ยง ตำบลบางรัก ซึ่งดําเนินการเรียบร้อยเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2458 (คณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลมิ พระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หัว, 2544) 23
โครงการกำหนดขอบเขตพืน้ ที่เมืองเกา่ กลุ่มประชากรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ตำบลทับเที่ยงในระยะแรกนี้ กลุ่มที่โดดเด่นมากที่สุด คือ ประชากรชาวจนี พลัดถน่ิ ทง้ั นเ้ี พราะชาวจีนท่อี อกเดินทางไปยังต่างบา้ นต่างเมอื งตง้ั แต่สมยั ราชวงศ์ซ้องใน ราวคริสต์ศตวรรษที่ 12 นั้นมีปัจจัยแวดลอ้ ม 2 ลักษณะ คือ การออกเดินทางไปตามนโยบายจักรวรรดจิ ีน (Imperial Policy) เพื่อส่งเสริมการค้า และออกเดินทางด้วยเหตุผลเฉพาะตน (Ronald G. Knapp, Jonathan Spence and A. Chester Ong, 2010: 20) แต่ในภาพรวมแล้วก็เพื่อติดต่อค้าขายด้วย ผลประโยชน์จูงใจทางการค้ารวมทั้งแนวคิดเรื่อง การขยายครอบครัวออกแสวงโชคยังเมืองต่าง ๆ ที่อยู่ ห่างไกล ซึ่งในบางครั้งก็มิอาจได้กลับมาตุภูมิของตนอีกเลย (Ronald G. Knapp, Jonathan Spence and A. Chester Ong, 2010: 12) ซึ่งสํานึกที่เป็นผลมาจากความพลัดถิ่น (Diaspora) อันเป็นผลจากการ เคลื่อนย้ายจากดินแดนมาตุภูมิเพื่อมาเสี่ยงโชคและแสวงหาชีวิตใหม่ในดินแดนอื่น เป็นผลให้ชาวจีนที่ ทับเที่ยงรวมกลุ่มกันอย่างเหนียวแน่น อีกทั้งการรวมตัวของกลุ่มคนที่เป็นสมัครพรรคพวกร่วมดินแดน มาตุภูมิเดียวกันในรูปแบบของ “สมาคม” เช่น สมาคมฮกเกี้ยน สมาคมฮากกา เป็นต้น รวมทั้งระบบ “กงสี” ในเครือข่ายของญาติพี่น้องซึ่งแมว้ ่าจะไม่ได้เรียกเป็นกงสีทีช่ ัดเจนเช่นที่ปนี ัง แต่ทว่าวิธีการบริหาร จัดการ และการลงทุน และการมีส่วนร่วมในระบบธุรกิจ รวมทั้งประโยชน์ ของการรวมตัวยังทําให้เกิด สํานึกของความปลอดภัย และยังสร้างฐานอํานาจเพือ่ ตอ่ รองในการคา้ ขายสนิ ค้าต่าง ๆ อีกด้วย ชาวจีนที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานที่ทับเที่ยงมีหลายกลุ่ม เช่น ฮกเกี้ยน กวางตุ้ง ฮากกา และไหหลำ ซึ่งเข้ามาเพาะปลูกยางพาราและพริกไทย ทำเลที่มีชาวจีนมาตั้งถิ่นฐานบริเวณแรก ๆ คือ “ย่านท่าจีน” ซึ่งมีบทบาทเป็นท่าเรือสินค้า อู่ต่อและซ่อมเรืออีกด้วย นอกจากนี้ เมื่อมีการพัฒนาเมืองด้วยโครงข่าย เสน้ ทางสัญจร บรเิ วณทา่ จีนยงั กลายเปน็ จดุ เร่มิ ต้นของถนนสายสำคญั ของเมอื ง คือ ถนนราชดำเนนิ การเกดิ ขึ้นของศูนยก์ ลางเมืองตรังแห่งใหมท่ ่ีตำบลทับเท่ียงยังเกี่ยวขอ้ งกับการเข้ามาตั้งถิ่นฐาน ของกลุ่มพ่อค้าชาวจีนฮกเกี้ยนพลัดถิ่น (Hokkien diaspora) ซึ่งเดินทางออกจากจีนแผ่นดินใหญ่มาสร้าง เนื้อสร้างตัวจากการเป็นแรงงานสู่การเป็นเจ้าของกิจการค้าขายในปีนัง ต่อมาจึงเดินทางเข้ามาเป็น หุ้นส่วนรวมไปถึงแรงงานในกิจการเหมืองแร่ทั้งในเมืองภูเก็ต ตรัง พังงา เช่น ตระกูลคอซู้เจียง (Khaw Soo Cheang) บรรพบรุ ุษของพระยารษั ฎานุประดิษฐม์ หิศรภกั ดี (คอซิมบ๊ี ณ ระนอง) เป็นตน้ หลังจากการย้ายเมืองศูนยก์ ลางการปกครอง และเศรษฐกิจจากกันตงั มายังทับเทย่ี งนบั เป็นการ เปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของการพัฒนาเมือง เนื่องจากพื้นที่ทับเที่ยงในช่วงก่อนที่จะกลายมาเป็นเมือง ศูนย์กลางนั้น ส่วนใหญ่เป็นเรือกสวนโดยเฉพาะสวนพริกไทย แต่ก็มีการพัฒนาพื้นที่ในลักษณะ องค์ประกอบของความเป็นเมืองอยู่บ้าง เช่น ตลาดขนาดใหญ่ และโรงพยาบาล ดังที่กล่าวถึงในจดหมาย เหตกุ ารณต์ รวจราชการสมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศ์เธอ เจา้ ฟา้ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เปน็ ต้น ในช่วงต้นของการพัฒนาเมืองตรังที่ทับเที่ยงมีการก่อสร้างตึกแถวเพื่อรองรับการอยู่อาศัย และ เป็นพื้นที่ค้าขายอยู่ภายในอาคารหลังเดียวกัน ซึ่งเป็นแบบแผนที่ก่อสร้างอย่างแพร่หลายในพื้นที่อาณา นิคมช่องแคบ (Strait Settlement) ต่อมาชุมชนชาวจีนย้ายจากชุมชนบริเวณท่าจีนมาอยู่ในพื้นที่ตำบล ทับเที่ยง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมเป็นประจำทุกปี จึงทำให้เมืองตรังที่ย่านทับเที่ยงมีความ เคลอื่ นไหวทางเศรษฐกจิ ท่ีคึกคักมากขึน้ 24
เมอื งเกา่ ตรัง วันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2458 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 (ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. 2453-2468) ได้เสด็จพระราชดำเนินมาเมืองตรังอีกครั้ง เพื่อทรงเปิด “โรงเรียนเพาะปัญญา” และพระราชทานพระแสงราชศัสตราประจำเมืองตรังท่ีพลับพลาพิธีวัดตรังคภูมิ พุทธาวาส ตำบลกันตังเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2458 ต่อมาในปี พ.ศ. 2456 สมเด็จพระศรีพัชริน ทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินมาเมืองตรังและพระราชทานเงิน จำนวน 4,000 บาท สร้างโรงเรียนวิเชียรมาตุที่ตำบลทับเที่ยง และในปี พ.ศ. 2460 พระบาทสมเด็จพระ มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินมายังเมืองตรังเป็นครั้งที่ 3 เพื่อทรงทำพิธีเปิดโรงเรียนวิเชียร มาตุ พร้อมกับพระราชทานเงินส่วนพระองค์สำหรับการปรับปรุงทาสีอาคารโรงเรียน นอกจากนี้ในปี พ.ศ. 2460 มกี ารกอ่ ต้งั โรงเรยี นสอนภาษาจนี แหง่ แรกชือ่ “ซันวาฮกเกา” ปี พ.ศ. 2463 พระยาสุรินทราชา (นกยูง วิเศษกุล) เป็นสมุหเทศาภิบาลมณฑลภูเก็ต ได้มีการ ตัดถนนสายสำคัญ ได้แก่ “ถนนพระราม 6” ซึ่งได้รับพระราชทานนามจากรัชกาลที่ 6 “ถนนวิเศษกุล” “ถนนเจิมปัญญา” “ถนนซิมบี๊” ซึ่งปัจจุบัน คือ “ถนนรัษฎาฯ” โดยตั้งชื่อเพื่อระลึกถึงพระยาสุรินทราชา (นกยูง วิเศษกุล) พระยาตรังคภูมาภิบาล (เจิม ปันยารชุน) และพระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี (คอซิมบี๊ ณ ระนอง) ตามลำดับ ปี พ.ศ. 2471 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 (ครองราชย์ พ.ศ. 2468- 2478) ได้เสด็จพระราชดำเนินเลยี บหัวเมอื งปักษ์ใต้โดยรถไฟพระที่นัง่ มายังเมืองตรัง ซึ่งการเสด็จพระราช ดำเนินในครั้งนั้นทรงจารึกพระปรมาภิไธยย่อที่ก้อนหินบริเวณน้ำตกโตนปลิว และที่ถ้ำเขาปินะ อำเภอ ห้วยยอด ต่อมาในปี พ.ศ. 2473 เมืองตรังขอจัดการสุขาภิบาลที่อำเภอทับเที่ยง และปี พ.ศ. 2474 ได้มี การประกาศใช้พระราชบญั ญัติจัดระเบียบเทศบาล ปี พ.ศ. 2475 ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย ซึ่งในปีถัดมามี การประกาศยกเลิกการปกครองแบบมณฑล เมืองตรังจึงเป็น 1 ใน 70 จังหวัดของไทยในขณะนั้น และ เม่อื มีการเลือกตัง้ สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร เมืองตรงั จึงมสี มาชิกสภาราษฎรคนแรกคือ นายจัง จรงิ จิตร ต่อมาในปี พ.ศ. 2483 จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้เดินทางมาตรวจราชการจังหวัดตรัง และ มีดำริว่าควรสร้างอนุสาวรีย์เพื่อรำลึกถึงคุณูปการของพระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี (คอซิมบี๊ ณ ระนอง) ซึ่งมตี ่อจงั หวดั ตรงั จงึ ได้ดำเนินการกอ่ สรา้ งแลว้ เสรจ็ และเปิดอนสุ าวรีย์ในปี พ.ศ. 2494 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 พ.ศ. 2484-2488 จังหวัดตรังมีกองทัพญี่ปุ่นเข้ามาประจำการ ทว่า ไมไ่ ดส้ ง่ ผลกระทบทางเศรษฐกิจมากนกั เนื่องจากยางพาราสรา้ งรายได้อยา่ งมากในชว่ งเวลาน้นั ปี พ.ศ. 2502 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถ บพิตร (ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. 2489-2559) และสมเดจ็ พระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรม ราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรในภาคใต้เป็นครั้งแรก และเสด็จฯ ประทับแรมที่จวน ผู้วา่ ราชการจงั หวดั ตรัง ระหวา่ งวันที่ 16-17 มนี าคม พ.ศ. 2502 หลงั จากน้นั จงึ เสด็จฯ ไปเมอื งพัทลงุ ความเปลย่ี นแปลงในแง่ผงั เมืองและองค์ประกอบเมือง คอื การสรา้ งหอนาฬกิ าในปี พ.ศ. 2504 แทนทีห่ อกระจายข่าวเดิมทีท่ ำหน้าท่กี ระจายข้อมลู ข่าวสารต่าง ๆ แก่ประชาชน ความเปลี่ยนแปลงสำคัญ 25
โครงการกำหนดขอบเขตพืน้ ท่เี มอื งเกา่ อีกประการหนึ่งที่เกิดขึ้นกับเมืองทับเที่ยง คือ เหตุอัคคีภัยใหญ่บริเวณถนนราชดำเนิน เมื่อวันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2518 ทำให้มีการก่อสร้างอาคารเรือนแถวและตึกแถวขึ้นใหม่ทดแทนอาคารบ้านเรือนท่ี เสียหาย (เทศบาลนครตรัง, 2548: 48) กล่าวได้ว่าพื้นที่เมืองเก่าทับเที่ยงมีพัฒนาการทางประวัติศาสตร์จากการเป็นชุมทางการค้าท่ี สำคัญแห่งหนงึ่ ของภาคใต้ โดยกลมุ่ ชาวจีนโพน้ ทะเลมีบทบาทสำคัญต่อการขับเคล่ือนทางด้านเศรษฐกิจที่ ทำให้ทับเที่ยงเป็นพื้นที่รวบรวมสินค้าหลากชนิด ทั้งของสด เครื่องอุปโภคบริโภคที่ผลิตในท้องถ่ิน ตลอดจนสินค้านำเข้าจากปีนัง มลายู กรุงเทพฯ และจากจังหวัดใกล้เคียงอย่างนครศรีธรรมราช รวมทั้ง การสร้างสรรค์ทางสังคมและวัฒนธรรมบนภูมิทัศน์แห่งใหม่ที่สะท้อนให้เห็นถึงความทรงจำร่วมกัน และ การตกลงร่วมกันเพื่อใช้วิถีชีวิตบนกิจกรรมการค้าขายของชาวจีนบนพื้นที่อยู่อาศัยในชุมทางการค้าแห่ง ใหม่ ณ ทับเที่ยงแห่งนี้ ซึ่งเป็นการปรับตัวอย่างสอดคล้องกับผู้คนและวัฒนธรรมในท้องถิ่น จนสามารถ สรา้ งสรรค์ใหท้ บั เท่ยี งเตม็ ไปด้วยกิจกรรมการคา้ และเต็มไปดว้ ยผคู้ นจากหลากหลายวัฒนธรรมต้ังแต่สมัย รัชกาลที่ 5 เป็นต้นมา โดยมีพระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี (คอซิมบี๊ ณ ระนอง) เป็นผู้วางรากฐาน โครงสรา้ งทางเศรษฐกิจและสงั คม ทำให้ทับเท่ยี งมคี วามโดดเดน่ มาจนปัจจุบัน 4.1.2 สถาปัตยกรรมและศิลปกรรม ในการวิเคราะห์คุณค่าและเอกลักษณ์ของเมืองเก่าตรัง สิ่งสำคัญที่ต้องให้ความสำคัญเป็น อันดับแรก คือ มรดกสถาปัตยกรรม เพราะสถาปัตยกรรมเป็นเครื่องสะท้อนยุคสมัยที่แตกต่างกัน รวมถึง บ่งบอกปัจจัยและอิทธิพลที่มีผลต่อการพัฒนาเมืองในยุคสมัยต่าง ๆ จากการสำรวจแหล่งมรดกทาง วัฒนธรรมในพื้นทเ่ี มืองทับเที่ยง ดังน้ี (1) สถาปัตยกรรมพน้ื ถ่ิน สถาปัตยกรรมพื้นถิ่น คือ สิ่งก่อสร้างที่เกิดขึ้นบนฐานภูมิปัญญาของท้องถิ่น และใช้วัสดุ ธรรมชาติที่หาได้ในท้องถิ่น โดยมรี ูปทรง องค์ประกอบ ที่เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพภูมิอากาศแบบ ร้อนชื้นของภาคใต้ ในพื้นที่ศึกษา พบที่บริเวณรอบนอกเขตเทศบาล ซึ่งเป็นสวนผลไม้และสวนยางพารา ได้แก่ ชุมชนคลองน้ำเจ็ด ชุมชนท้ายพรุ ชุมชนบ้านโพธิ์ ชุมชนท่าจีน และชุมชนหนองปรือในเขตเทศบาล นครตรงั อาคารส่วนใหญอ่ ยใู่ นสภาพที่ทรดุ โทรมเน่อื งจากวัสดุอาคารมอี ายกุ ารใชง้ านท่ีนอ้ ย รูปท่ี 1: ตวั อยา่ งสถาปตั ยกรรมเรือนพนื้ ถน่ิ ในเมอื งตรงั 26
เมอื งเกา่ ตรัง (2) สถาปตั ยกรรมแบบจีน สถาปัตยกรรมแบบจีน เป็นสัมภาระทางวัฒนธรรมที่ชาวจีนโพ้นทะเลได้นำพามาด้วยผ่านคติ ความเชื่อ ซึ่งสํานึกที่เป็นผลมาจากความพลัดถิ่น (Diaspora) อันเป็นผลการเคลื่อนย้ายจากดินแดน มาตุภูมิเพื่อมาเสี่ยงโชคและแสวงหาชีวิตใหม่ในดินแดนอื่น การก่อสร้างสถาปัตยกรรมและองค์ประกอบ ตกแต่งแบบที่คุ้นชินเมื่อครั้งยังอยู่อาศัยในดินแดนมาตุภูมิจึงเป็นสิ่งที่จะแสดงออกเมื่อมีความมั่นคงและ มั่งคั่งในดินแดนแห่งใหม่ และต้องการยึดโยงตนเองเข้ากับรากเหง้าของบรรพบุรุษที่ดินแดนมาตุภูมิ ทั้งนี้ สถาปัตยกรรมแบบจีนส่วนใหญ่จึงตั้งเป็นศูนย์กลางทางจิตวิญญาณของชุมชน ทั้งอาคารทางศาสนา เช่น ศาลเจ้า และโรงเจตา่ ง ๆ เปน็ ต้น รปู ท่ี 2: ตวั อยา่ งสถาปัตยกรรมแบบจีนในเมอื งตรงั (3) สถาปัตยกรรมบา้ นร้านค้า แนวคิดเรื่อง “บ้านร้านค้า (Shop House)” ก่อตัวขึ้นจากความต้องการด้านประโยชน์ใช้สอย เป็นสําคัญ (Paul Oliver, 1998: 657) โดยตอบโจทย์การพักอาศัยและการพาณิชย์ในอาคารหลังเดียวกัน โดยปลูกสร้างอยู่ริมถนน ทั้งนี้จะเห็นว่าเจ้าของบ้านจะทําการค้าหรือธุรกิจอยู่ในพื้นที่ชั้นล่างด้านหน้าของ ตัวอาคาร ในขณะที่คนในครอบครัวจะอยู่อาศัยในตัวอาคารด้านหลังและพื้นที่ชั้นสองของบ้าน (Julian Davison, 2010: 14) “บ้านร้านค้า (Shop House)” เป็นสัมภาระทางวัฒนธรรมของคนจีนที่ย้ายถิ่นไปตั้งถิ่นฐานท่ี อื่น ๆ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์สำคัญในพื้นที่คาบสมุทรมาลายู และมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่องจนเป็นเอกลักษณ์ โดยเฉพาะในเมืองท่าต่าง ๆ ที่รุ่งเรืองจากการเป็นสถานีการค้า แหล่งรวบรวมสินค้า แหล่งแลกเปลี่ยน สินค้า ตลอดจนแหล่งรวบรวมสินค้าอุปโภค บริโภคที่จําเป็นสําหรับการเดินทาง และเป็นกลไกในการ พัฒนาเมือง (Urban Development) โดยเริ่มต้นปลูกสร้างบ้านร้านค้าควบคู่กับการพัฒนาเมืองมาตั้งแต่ ปลายครสิ ต์ศตวรรษท่ี 17 เป็นต้นมา จากที่กล่าวมาข้างต้นว่าตึกแถวเป็นองค์ประกอบสําคัญในการพัฒนาเมืองสู่ความทันสมัย และ เป็นแบบแผนในการก่อรูปของสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นที่น่าสนใจ ก้าวข้ามจากหน้าที่สำหรับการอยู่อาศัย เพียงอย่างเดียวมาสู่หน้าที่ใช้สอยที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น และจากสถานภาพความรู้ที่เกี่ยวเนื่องกับ สถาปัตยกรรมพื้นถิ่นได้ถือว่าตึกแถวเป็นเอกลักษณ์สําคัญที่มีพัฒนาการขึ้นจนมีความชัดเจน และเป็น ตัวแทนของสถาปตั ยกรรมพืน้ ถ่ินของคาบสมทุ รมาลายดู ว้ ย (Paul Oliver, 1998: 657) 27
โครงการกำหนดขอบเขตพ้นื ทเ่ี มืองเกา่ ทั้งนี้ ย่านประวัติศาสตร์ทับเที่ยงมีตึกแถวก่อสร้างอยู่สองฝั่งถนนหลายแห่ง ได้แก่ “ถนนราช ดําเนิน” (เดิมชื่อถนนไปพัทลุง) “ถนนกันตัง” (เป็นถนนที่วางตัวในแนวเหนือ-ใต้ แต่เดิมเป็นทางเดินเท้า เชื่อมจากควนธานีถึงนครศรีธรรมราช ต่อมาแนวรางรถไฟซึ่งเชื่อมระหว่างอําเภอห้วยยอดและอําเภอกันตัง จึงสร้างขนานไปกับถนนกันตังเส้นน้ี) นอกจากนี้ยังมี “ถนนพระรามหก” เป็นถนนที่พระยาสุรินทราชา (นกยูง วิเศษกุล) สมุหเทศาภิบาลมณฑลภูเก็ต ตัดเมื่อ พ.ศ. 2463 และ “ถนนวิเศษกุล” ซึ่งอยู่ด้านข้าง ศูนย์ราชการ ชื่อถนนตั้งขึ้นเพื่อระลึกถึงพระยาสุรินทราชา (นกยูง วิเศษกุล) สมุหเทศาภิบาลมณฑลภูเกต็ ซง่ึ ถนนเหลา่ นล้ี ว้ นแตเ่ ป็นถนนเก่าแกข่ องพืน้ ท่ี (ปัทม์ วงค์ประดษิ ฐ,์ 2557: 23) สําหรับการพัฒนาเมืองในเมืองท่า หรือเมืองสําคัญที่สัมพันธ์กับมหาสมุทรอินเดียนั้นได้รับ อิทธิพลมาจากแนวคิดการพัฒนาเมืองใหม่ของสิงคโปร์โดย Sir Thomas Stamford Raffles ที่รู้จักกันใน นามของ “ผังเมืองของราฟเฟิล (Raffle Town Plan)” ซึ่งเขียนขึ้นในปี พ.ศ. 2366 (ค.ศ. 1823) และ บังคับใช้ในปี พ.ศ. 2371 (ค.ศ. 1828) (Lily Kong, 2010: 13-14) โดยใช้ประสบการณ์และข้อสังเกตมา จากผังเมืองจอร์จทาวน์ เกาะปีนัง โดยรูปแบบของตึกแถวที่ก่อสร้างขึ้นจะต้องมีทางเดินในร่ม (Covered Arched) เพื่อสร้างพื้นที่ร่มเงาจากแดดและฝนสําหรับผู้สัญจรไปมา ให้สอดคล้องกับสภาพภูมิอากาศใน เขตมรสุมใกล้เส้นศูนย์สูตรและชายฝั่งทะเลที่มีความแปรปรวนของภูมิอากาศ ซึ่งทางเดินมีความกว้าง อยา่ งนอ้ ย 5 ฟุต หรือท่เี รียกว่า “Five Foot Way” (Wan Hashimah Wan Ismail, 2005: 28) ทางเดิน ลักษณะนท้ี ่ปี ีนงั เรยี กวา่ “กาก่ลี มี า (kaki lima)” และในภูเกต็ เรียกวา่ “หงอ่ คาข่”ี ในการศกึ ษาเพ่อื จัดหมวดหมพู่ ฒั นาการของบ้านร้านค้าในย่านทบั เที่ยงได้เปลี่ยนมุมมองในการ อธิบายบ้านร้านค้าว่าเป็น “แบบชิโนโปรตุกีส” เนื่องจากโปรตุเกสได้หมดบทบาทจากเอเชียตะวันออก เฉียงใต้ไปหลายร้อยปีแล้ว เพราะฉะนั้น การเรียกคำเรียกดังกล่าวนั้นทําให้เกิดความเข้าใจผิดว่าคิดเป็น การผสมผสานกันระหวา่ งวฒั นธรรมจนี กับโปรตเุ กส รวมทัง้ การให้ความหมายของ “ความเป็นจีน” โดยไม่ แสดงความสัมพันธ์กับข้อมูลแวดล้อมอื่น ๆ เช่น อิทธิพลของอินเดีย และอิทธิพลภายในท้องถิ่น ซึ่งต่างก็ เปน็ ปจั จัยแวดลอ้ มของการก่อรูปทางสถาปัตยกรรมทงั้ สน้ิ เพราะฉะนั้น ในที่นี้จึงจําแนกพัฒนาการของบ้านค้าขายในย่านทับเที่ยงจึงพิจารณาบริบท แวดล้อมที่สัมพันธ์กับการก่อตัวของสถาปัตยกรรม รวมทั้งการเรียก “รูปแบบ (Style)” ของ “ศิลปสถาปัตยกรรม” ตามหลักสากล ซึ่งเรียกว่า “รูปแบบสรรค์ผสาน (Eclectic Style)” ซึ่งมีรากศัพท์ จากภาษากรีกโบราณว่า “ektektikos” ที่หมายความว่า “เลือกสิ่งที่ดีที่สุด” กล่าวคือ “แนวทางการ สร้างสรรค์ผลงานที่มิได้ยึดมั่นถือมั่นในปรัชญา รูปแบบ หรือแนวทางอย่างใดอย่างหนึ่งในการสร้างสรรค์ งานแต่ละชิ้น หากแต่จะหยิบยกเอาบางสิ่งบางอย่างมาจากทฤษฎีลักษณะ หรือความคิดต่าง ๆ รวมท้ัง องค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมที่มีลักษณะจําเพาะ หรือว่าบ่งชี้ได้ว่าเป็นของยุคสมัยใดมาเพื่อสร้างสรรค์ เป็นรปู แบบทางสถาปตั ยกรรมใหม”่ ในการศึกษานี้ จึงจําแนกพัฒนาการทางสถาปัตยกรรมของตึกแถวการคา้ ในย่านประวัติศาสตร์ ทบั เทย่ี ง ออกเป็น 7 ระยะ ดังต่อไปน้ี คือ 28
เมืองเกา่ ตรงั - ระยะที่ 1: ตึกแถวแบบท้องถิน่ ระยะท่ี 1 (Localization Step 1) สันนิษฐานว่าบ้านร้านค้าแบบนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2458 เป็นต้นมา ซึ่งช่วงเวลานั้นได้ย้าย ศนู ยก์ ลางเมอื งตรังมาจากกันตัง มีลักษณะเป็นอาคาร 1-2 ชนั้ กอ่ สร้างขึ้นในช่วงท่ีชาวจีนฮกเกี้ยนเข้ามาทํา การค้าและสวนพริกไทย มีทัง้ ที่สรา้ งด้วยไม้ท้ังหลัง และไมผ้ สมกบั การกอ่ อิฐ ผงั พ้นื แบ่งออกเป็น 2 สว่ น คือ พื้นที่ด้านหน้าปลูกสร้างเป็นอาคาร 2 ชั้น หลังคาจั่ว ส่วนด้านหลังมีทั้งเป็นอาคาร 1-2 ชั้น ด้านสกัด (ด้าน แคบของอาคาร) ด้านหน้ามีช่องเปิดเป็นประตูและหน้าต่างตลอดช่วงเสา ทั้งนี้มีการก่อสร้างทางเดินที่มีร่ม เงาอยู่หน้าอาคารเช่นเดียวกับบ้านร้านค้าในอาณานิคมช่องแคบที่ก่อตัวขึ้นภายใต้ข้อกําหนดในการวางผัง เมอื งของ Sir Thomas Stamford Raffles ซึ่งเรียกว่า “ผงั เมืองของราฟเฟลิ (Rafle Town Plan)” มีทั้งท่ี ก่ออฐิ เปน็ ซุ้มโคง้ เสาหรอื ไม้ใช้รบั พนื้ ย่ืนหรือค้ำยันหลังคากันสาดต่อเนื่องเปน็ แนว - ระยะท่ี 2: ตึกแถวแบบท้องถิน่ ระยะท่ี 2 (Localization Step 2) บ้านร้านค้าแบบนี้เป็นอาคาร 1-2 ชั้น ลักษณะทางสถาปัตยกรรมมีความคลา้ ยคลึงกับสมยั แรก แต่มีการตกแต่งรายละเอียดมากขึน้ เช่น มีบัวปูนปั้นตกแต่งเสา กระเบ้ืองเซรามคิ ตกแต่งราวระเบียง และ ช่องลมระบายอากาศเหนือประตู เป็นต้น และเริ่มพบการผลิตวัสดุก่อสร้างขึ้นเองในท้องถิ่น เช่น อิฐมอญ หลังคากระเบื้องดินเผาเป็นต้น สําหรับฝาผนงั ระหว่างคหู าเปน็ ผนงั กอ่ อิฐรับน้ำหนกั (Wall Bearing) และ ยังคงเน้นส่วนด้านสกัดหน้าเป็นช่องเปิด เป็นประตู และหน้าต่างตลอดช่วงเสา ช่องทางเดินหน้าอาคาร เป็นซุ้มโค้งก่ออิฐรับน้ำหนัก ตกแต่งด้วยปูนปั้นเพื่อความงามและความหมายมงคล รวมทั้งมีการใช้เสาไม้ หรือค้ำยันรบั กันสาดตอ่ เนอื่ งกนั ซ่งึ ทางเดนิ ในร่มน้นั สะทอ้ นให้เห็นความสัมพนั ธ์กับรปู แบบสถาปตั ยกรรม ในอาณานิคมชอ่ งแคบอย่างใกล้ชดิ - ระยะที่ 3: ตกึ แถวแบบสรรคผ์ สาน (Eclectic Style) บ้านร้านค้ารูปแบบนี้พัฒนาต่อจากบริบทท้องถิ่นสู่ความมั่งคั่งของคหบดีชาวตรังที่มี ความสัมพันธ์กับเมืองชายฝั่งทะเลในมหาสมุทรอินเดียเมืองอื่น ๆ โดยเฉพาะปีนัง และภูเก็ต เพื่อทํา การค้าขายและกิจการเหมืองแร่ กอปรกับการเชื่อมต่อระหว่างกันของเมืองต่าง ๆ ทําได้ง่ายขึ้นโดยทาง รถไฟและเรือ สําหรับรูปแบบทางสถาปัตยกรรมเป็นอาคาร 2 ช้ัน มีการประดับตกแต่งอาคารที่หยิบยืม ลักษณะและองคป์ ระกอบทางสถาปัตยกรรมอันเปน็ เอกลักษณข์ องสถาปตั ยกรรมในสมยั ต่าง ๆ มาใช้ เช่น การตกแต่งช่องลมเหนือบานหน้าต่างของอาคารชั้นบนด้วยช่องแสงรูปครึ่งวงกลม อาคารบางหลังตกแต่ง ด้วยแผงหน้าจั่ว (Pediment) ตรงกึ่งกลางหลังคาด้านหน้าอาคารและมักระบุปีที่ก่อสร้างอาคาร หรือ ตกแตง่ ด้วยสัญลักษณ์มงคล เป็นต้น ซึง่ วธิ คี ิดและการแสดงออกในการประดบั ตกแตง่ ด้วยวธิ กี ารดังกล่าวนี้ เกิดขึ้นและนิยมแพร่หลายมากในเมืองท่าต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ เมืองจอร์จทาวน์ เกาะปนี งั เมืองมะละกา และสิงคโปร์ นอกจากนี้ยังพบว่าอาคารบางหลังที่ด้านสกัดด้านหน้าเป็นผนังเครื่องก่อ เจาะช่องประตู และ หน้าต่างรวม 3 ช่อง ต่างจากตึกแถวในสองระยะแรก แสดงให้เห็นว่าตึกแถวเหล่านี้ตอบสนองการอยู่ อาศยั มากข้นึ กว่าเดิม ซ่ึงแสดงวา่ มีสถานทีท่ ํางาน หรอื ร้านขายของอยู่อกี ทห่ี น่ึง 29
โครงการกำหนดขอบเขตพ้ืนทเ่ี มืองเก่า เป็นที่น่าสนใจว่า การก่อรูปทางสถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลทางความคิดและแนวทางของ ตกึ แถว 2 ระยะแรกมาจนกลายเป็นบา้ นร้านค้าแบบผสมผสาน (Eclectic Style) แตบ่ า้ นร้านคา้ ในระยะนี้ กลับไม่ได้นํารูปแบบของการทําทางเดินที่มีร่ม (Cover Way) เช่นในบ้านร้านค้าแบบท้องถ่ินระยะที่ 1 และ 2 แต่จะมีการใช้กันสาดยื่นเป็นร่มเงาสําหรับทางเท้าด้านหน้าแทน นอกจากนี้โครงสร้างหลักของ อาคารได้ปรับเปลีย่ นมาใช้ผนังก่ออิฐรับน้ำหนัก หรือที่เรียกว่า “ฝาก่อ” และผนังหล่อคอนกรตี เสรมิ เหลก็ หรอื ทเี่ รยี กวา่ “ฝาหล่อ” ทง้ั นี้ วสั ดกุ ่อสรา้ งบางส่วนได้ขนมาทางรถไฟจากกรุงเทพฯ เช่น ปนู ซีเมนต์ และ บางส่วนนําเข้าจากต่างประเทศ เช่น ช่องแสงเหนือหน้าต่างรูปครึ่งวงกลมที่เป็นโครงเหล็กหรือไม้ แล้ว ประดบั ชอ่ งลูกฟักกระจก เป็นต้น - ระยะที่ 4: บา้ นรา้ นค้าแบบท้องถ่ิน ระยะท่ี 3 (Localization Step 3) สืบเนอ่ื งมาจากความเคลอ่ื นไหวทางเศรษฐกิจภายในและนอกชมุ ชน กอปรกบั ความไม่คล่องตัว ทางเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากภาวะสงคราม เป็นผลให้การค้าขายมีความยากลําบาก จึงเป็นช่วงที่ ขาดแคลนช่างฝีมือในการก่อสร้างบ้านเรือน ส่งผลให้รปู แบบบ้านรา้ นคา้ มกี ารตกแต่งนอ้ ยลง คงเหลือการ ตกแต่งเฉพาะองค์ประกอบที่จําเป็น เช่น ช่องลมและช่องแสงชนิดถอดพิมพ์ ซึ่งออกแบบเป็นรูปทรง เรขาคณิตที่ไม่ซับซ้อน มีลวดลายประดับตกแต่งเพียงเล็กน้อยเพื่อลดขั้นตอนการผลิตที่ยุ่งยาก และลด เวลาในการผลิตลง เน้นการเพิ่มพื้นที่ใช้สอยโดยยื่นระเบียงด้านหน้าอาคาร และตกแต่งด้วยค้ำยันรวมท้ัง ลกู กรงหล่อถอดพิมพ์ หลงั คายังคงเปน็ ทรงจ่วั ผนงั ดา้ นหนา้ อาคารเว้นช่องหนา้ ต่างชนั้ บนเป็นจังหวะ ส่วน ประตูชั้นล่างยังคงเป็นประตูไม้บานเฟี้ยมเปิดตลอดความกว้างคูหา บ้านร้านค้าที่ก่อสร้างในช่วงเวลานี้จะ มโี ครงสรา้ งอาคารเป็นฝาผนงั คอนกรีตเสริมเหลก็ ทเี่ รยี กว่า “ฝาหลอ่ ” เนือ่ งจากกอ่ สร้างงา่ ย แขง็ แรง และ ยังเหมาะสมกบั ช่วงสมัยที่หาแรงงานในการก่อสร้างได้ยาก จงึ นับเป็นภมู ปิ ญั ญาในการก่อสรา้ งของท้องถิ่น ท่ีนา่ สนใจ และมศี ักยภาพในการพฒั นาตอ่ ในปัจจบุ ันดว้ ย - ระยะท่ี 5: บ้านร้านค้าแบบอารต์ เดคโค (Art Deco) เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้นใหม่อีกครั้งในช่วงเวลาที่การติดต่อสื่อสารสะดวกรวดเร็วมากขึ้น จึงมี บ้านรา้ นคา้ รูปแบบทีส่ ะท้อนถงึ “ความเปน็ สมยั ใหม่ (Modernism)” สอดคลอ้ งกบั ชดุ ความคิดเรื่องความ เป็นสมัยใหม่ หากแต่มีการแสดงออกไปในหลายรูปแบบ อาทิ แบบอาร์ตนูโว (Art Nuveau) แบบอาร์ต เดคโค (Art Deco) แบบนีโอ-คลาสสิก (Neo-Classic) หรือแม้แต่ที่เรียกว่าแบบสากล (International Style) ทงั้ น้ี รปู แบบท่ีนิยมในการกอ่ สร้างบา้ นรา้ นค้าในปีนงั เปน็ แบบ “อาร์ตเดคโค (Art Deco)” ในขณะ ทีก่ รงุ เทพฯ นาํ รปู แบบดังกลา่ วมากอ่ สร้างอยบู่ า้ งแตไ่ ม่มากเท่ากบั ปีนัง เพราะฉะนั้นจึงมีความเป็นไปไดท้ ี่รูปแบบทางสถาปัตยกรรมในย่านทับเที่ยงอาจได้รับอิทธิพลมา จากกรุงเทพฯ อย่างไรก็ดี ก็มิอาจตัดทิ้งแรงบันดาลใจจากปีนังลงได้ เนื่องจากว่าในราว ค.ศ. 1930-1960 (ราว พ.ศ. 2473-2503) ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับการเปลี่ยนแปลงจากการปกครองแบบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่ประชาธิปไตยนั้น ในปีนังก็มีกระแสความนิยมในการสร้างบ้านร้านค้าแบบอาร์ต เดคโค อันเป็นผลผลิตทางวัฒนธรรมที่ได้รับอิทธิพลจากความเป็นสมัยใหม่แบบวัฒนธรรมกระแสนิยม (Popular Culture) ท่เี กิดข้ึนผา่ นสอ่ื ภาพยนตร์ โดยนกั ธรุ กิจท้องถนิ่ ไดร้ บั รูปแบบ “อารต์ เดคโคแบบเซ่ียงไฮ้ 30
เมอื งเกา่ ตรัง (Shanghi Art Deco Style)” ทําให้นอกจากจะนิยมการก่อสร้างบ้านร้านค้าใหม่ในรูปแบบดังกล่าวแล้วยัง มกี ารปรับปรุง รูปด้านหน้า (Facade) ของบ้านรา้ นค้าเดิมใหม้ รี ปู แบบท่สี อดคล้องกับความนยิ มใหม่ด้วย ในการนี้ จงึ สรปุ ได้วา่ การเกิดขน้ึ ของบ้านร้านค้าแบบอาร์ตเดคโค ได้รบั อทิ ธิพลมาจาก 2 แหล่ง คือ กรุงเทพฯ และปนี งั ท้งั น้ีมีเอกลกั ษณส์ ําคัญ คือ มหี ลังคาทรงจว่ั ยกสูง เพือ่ แสดงพน้ื หลงั คาท่มี ุงหลังคา ด้วยกระเบื้องลอนแบบที่เรียกว่า “Marseilles Tile” ด้านหน้าในแนวระดับชายคาจะมีแผงกั้นแบบเล่น ระดับ (Stepped Parapet VVall) เพื่อปกปิดเชิงหลังคาและรางน้ำฝน การตกแต่งที่เรียบง่ายด้วยเส้นตั้ง และเส้นนอนที่มีพลัง กรอบประตูหน้าต่างเป็นโลหะ และใช้กระจกสีน้ำทะเลกรุบานหน้าต่าง ผนัง ภายนอกจะฉาบผิวด้วยกรวดหรือทรายล้าง ซึ่งเป็นรูปแบบการตกแต่งที่แพร่หลายมาจากเมืองเซี่ยงไฮ้ ต่อมายังสิงคโปร์ และเมืองจอร์จทาวน์ เกาะปีนัง สําหรับบ้านร้านค้าที่ย่านประวัติศาสตร์ทับเที่ยงก็มีการ ออกแบบที่สอดคล้องกับคุณลักษณะข้างต้น และเป็นบ้านร้านค้าสูง 2-5 ชั้น อีกทั้งมีรายละเอียดที่ แตกต่างไป เชน่ การสร้างแผงกั้น (Parabet Wall) บังหลงั คาไว้ เปน็ ตน้ - ระยะท่ี 6: บา้ นร้านค้าแบบสมยั ใหม่ระยะต้น (Early Modernism Style) บ้านร้านค้ารูปแบบนี้มีบทบาทมากขึ้นอย่างมีนัยสําคัญ ด้วยสอดรับกับแนวความคิดเรื่อง “ความเป็นสมัยใหม่” ที่แพร่หลายในทุกแห่ง ซึ่งถือเป็น “สถาปัตยกรรมแบบทันสมัย” (ชาตรี ประกิตนนทการ, 2558: 289-290) สําหรับในปีนังนั้นเกิดความนิยมในรูปแบบดังกล่าวนี้ในราว ค.ศ. 1950-1970 (ราว พ.ศ. 2493-2513) ซึ่งจะเห็นได้ว่าการเกิดขึ้นของรูปแบบสมัยใหม่ระยะต้นนี้มีความ เหลื่อมซ้อนกับบ้านร้านค้ารูปแบบอาร์ตเดคโคอยู่ราว 10 ปี แต่เมื่อเทยี บกับตกึ ที่สร้างขึ้นในกรุงเทพฯ น้ัน จะเหน็ ว่าตกึ แบบสมัยใหมร่ ะยะต้นน้ันมีความนยิ มมาตง้ั แต่ พ.ศ. 2480 เป็นตน้ มา ในที่นี้มีความเห็นว่า บ้านร้านค้าแบบอาร์ตเดคโคที่ส่งอิทธิพลในการก่อสร้างของปีนังนั้นเป็น อิทธพิ ลที่สืบทอดมาจากเมืองเซี่ยงไฮ้ซึง่ เป็นเมืองท่าการค้าสาํ คัญที่อังกฤษมีบทบาทควบคุมดูแลมาในอดีต จึงทาํ ใหท้ ัง้ สองเมืองยอ่ มมีสายสมั พันธ์ทางสังคม เศรษฐกจิ การเมือง และวฒั นธรรมท่ใี กล้ชดิ กัน บ้านร้านค้าแบบสมัยใหม่ในระยะต้นมีเอกลักษณ์ คือ การกําหนดรูปทรงตัวอาคารให้เป็น เอกภาพชัดเจน ดังแสดงให้เห็นในการใช้แผงกั้น (Parapet) บังหลังคาซึ่งมีทั้งที่เป็นหลังคาแบนราบ และ หลังคาจั่ว มีการออกแบบกันสาดและครีบกันแดดที่เป็นเอกภาพกับองค์รวมของปริมาตรอาคาร สําหรับ อุปกรณ์อาคารจําพวกกรอบบานประตูและหน้าต่างทําด้วยโลหะ และกรุกระจกเป็นลูกฟัก สําหรับบ้าน ร้านค้าที่ปีนังนั้นจะมีการออกแบบทางเดินในร่มด้วย การหล่อเป็นกันสาดยื่นออกมาโดยไม่มีเสาหรือ โครงสร้างข้นึ ไปรบั น้ำหนกั บ้านร้านค้าแบบสมยั ใหม่ในระยะต้นที่ทับเที่ยงนัน้ สันนิษฐานว่าได้รับอิทธพิ ลมาจากกรุงเทพฯ มากกว่าปีนัง เนื่องมาจากหลังจากเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. 2475 ก็เกิดความ เปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างทางการเมอื ง เศรษฐกิจ และสังคมตามมา พร้อมกับความสัมพันธ์ระหว่างเมือง ในคาบสมุทรภาคใต้และมลายูลดบทบาทลงมาก หากแต่มีการติดต่อสัมพันธ์กับสว่ นกลางมากขึ้นท้ังที่เกดิ จากการติดต่อผ่านเส้นทางรถไฟ รวมไปถึงมีการตัดถนนเพื่อเชื่อมต่อจากส่วนกลางไปยังส่วนภูมิภาค เช่น การตัดถนนเพชรเกษมจากกรงุ เทพฯ ทาํ ให้ความสมั พนั ธต์ า่ ง ๆ นัน้ ใกล้ชดิ มากข้นึ ดว้ ย 31
โครงการกำหนดขอบเขตพื้นทีเ่ มืองเกา่ - ระยะที่ 7: บา้ นรา้ นคา้ สมยั ใหมแ่ ละหลังสมัยใหม่ (Modern and Post Modern) ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นกับบ้านร้านค้าในย่านประวัติศาสตร์ทับเที่ยง เกิดขึ้นจาก เหตุการณ์ไฟไหม้ตลาดครั้งใหญ่ในปี พ.ศ. 2518 ซึ่งในครั้งนั้นบ้านร้านค้าในย่านประวัติศาสตร์ทับเที่ยง ประสบกับอัคคีภัยเป็นจํานวนมาก จึงมีการก่อสร้างอาคารพาณิชย์สมัยใหม่ข้ึนแทนที่บ้านร้านค้าเก่า ซ่งึ เรยี กกันวา่ “อาคารพาณิชย”์ ความสูงหลายช้ันตามความต้องการในการใช้สอย มีการใช้ระบบคอนกรีต เสริมเหล็กและแบบหล่อสำเร็จกับองค์ประกอบของอาคารโดยเฉพาะด้านหน้า (Facade) ซึ่งมีรูปแบบท่ี หลากหลายตามแต่ช่วงเวลาที่ก่อสร้าง อาคารที่ก่อสร้างในช่วงเวลานี้จะใช้เทคโนโลยีที่สูงขึ้น ทั้งการ ก่อสร้างระบบอุตสาหกรรมและวัสดุก่อสร้างสมัยใหม่ เช่น คอนกรีตเสริมเหล็ก และกระจก ทำให้ ประหยัดเวลาและแรงงานในการก่อสร้าง อีกทั้งง่ายต่อการผลิตซ้ำหรือพลิกแพลง ทําให้บ้านร้านค้าท่ี กอ่ สร้างในระยะนสี้ บื เนอ่ื งมาถงึ ปจั จบุ นั มรี ูปแบบทีห่ ลากหลาย รูปท่ี 3: ตวั อยา่ งสถาปตั ยกรรมบา้ นร้านค้า (Shop House) แบบตา่ งๆ ในยา่ นทับเที่ยง 4.1.3 แหล่งโบราณคดแี ละโบราณสถาน จากข้อมูลแหล่งโบราณคดีและโบราณสถานในพื้นที่เมืองตรัง พบว่าภายในพื้นที่เขตเมืองตรังมี แหล่งโบราณสถานที่กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานและกำหนดที่ดินโบราณสถาน แล้ว จำนวน 5 แห่ง ได้แก่ - จวนผวู้ า่ หรือบา้ นพักผวู้ า่ ราชการจังหวัดตรัง - อาคารสโมสรข้าราชการจังหวดั ตรัง - วหิ ารครสิ ตจักรตรัง - พระอุโบสถวดั กะพงั สุรนิ ทร์ - อโุ บสถวัดนคิ มประทีป 32
33
34
เมืองเกา่ ตรัง 4.2 องค์ประกอบของเมอื งเก่าตรัง การที่เมืองเก่าตรังที่ทับเที่ยงทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการเมืองการปกครองของเมืองตรังโดยย้าย จากเมืองกันตังมาตั้งที่ตำบลทับเที่ยงตั้งแต่ปี พ.ศ. 2458 และการเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของกลุ่มคน หลากหลายในเมือง สง่ ผลให้มอี งค์ประกอบของเมอื งเกา่ ปรากฏอยูใ่ นเมอื งเก่าตรังจำนวนมาก ทั้งนี้ การศึกษา วิเคราะห์ และประเมินองค์ประกอบเมืองเก่า จะเน้นการศึกษาใน 5 ประเด็น ประกอบด้วย 1) กำแพงเมอื ง คูเมอื ง และป้อม 2) แบบแผนโครงข่ายคมนาคมในเขตเมืองเก่า 3) ทหี่ มายตา ในบริเวณเมืองเก่า 4) ย่าน/บริเวณที่สำคัญและมีคุณค่าของเมืองเก่า และ 5) ธรรมชาติในเมือง ซึ่งองค์ประกอบของเมืองท่ีสำคัญทแี่ สดงถงึ ความเป็นเมืองเกา่ ตรังทีย่ ังคงปรากฏใหเ้ ห็นอยใู่ นปจั จุบัน มีดงั น้ี 4.2.1 กำแพงเมือง คเู มือง และปอ้ ม เมอื งเกา่ ตรงั ทท่ี บั เท่ยี ง ไมป่ รากฏกำแพงเมือง คเู มอื ง และป้อม แตอ่ ยา่ งไรกด็ ี เมืองเก่าตรังที่ทับ เที่ยงเป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนที่ราบสลับกับเนินเขาเตี้ยหรือที่ราบลูกคลื่น มีแม่น้ำและคลองตัดผ่านหลายสาย ได้แก่ “แม่น้ำตรัง” หรือ “คลองท่าจีน” ทำหน้าที่เป็นขอบเขตของเมืองด้านทิศตะวันตก “คลองน้ำเจ็ด” ทำหน้าที่เป็นขอบเขตของเมืองด้านทิศตะวันออก “คลองนางน้อย” และ “คลองควนปริง” ทำหน้าที่เป็น ขอบเขตของเมืองด้านทิศใต้ และคลองปอนทำหน้าที่เป็นขอบเขตของเมอื งด้านทิศเหนือ เส้นทางน้ำตาม ธรรมชาตเิ หลา่ น้จี งึ เปน็ เสมือนคเู มอื งของเมืองตรังไปโดยปรยิ าย แม่น้ำตรงั คลองนางนอ้ ย คลองนำ้ เจด็ คลองปอน รปู ท่ี 4: เส้นทางนำ้ ตามธรรมชาตใิ นเขตเมอื งตรงั 35
โครงการกำหนดขอบเขตพืน้ ที่เมืองเกา่ 4.2.2 แบบแผนโครงข่ายคมนาคมในเขตเมืองเกา่ เมืองเกา่ ตรัง ตง้ั แตท่ ่าเรอื บริเวณปากคลองปอน และคลองนางน้อย รมิ แม่น้ำตรังบริเวณชุมชน ท่าจีน ต่อมาเมอื งขยายตัวและเกิดศูนยก์ ลางขึ้นบริเวณท่ีราบริมคลองปอนหรือคลองห้วยยาง โดยเริ่มจาก ตลาดคา้ ขายเครื่องเทศและพัฒนาเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของจังหวัดตรัง จนมีการสรา้ งทางรถไฟเมื่อ ปี พ.ศ. 2456 และการย้ายศูนย์กลางการปกครองจากเมืองกันตังไปตั้งที่ตำบลทับเที่ยงในปี พ.ศ. 2458 ทำให้ย่านพาณิชยกรรมที่อยู่บริเวณถนนราชดำเนินริมคลองห้วยยางเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว มีการสร้าง ศูนย์ราชการบนเนินด้านทิศตะวันออกของตลาดทับเที่ยง ทำให้พื้นท่ีรอยต่อระหว่างศูนย์กลาง พาณิชยกรรมและศูนย์กลางการปกครองริมถนนวิเศษกุล ทำให้กลายเป็นศูนย์กลางของเมือง ต่อมามีการ สร้างถนนหลายเส้นเป็นรัศมีออกมาจากศูนย์กลางของเมือง เช่น ถนนวิเศษกุล ถนนพระราม 6 เป็นต้น เชื่อมต่อกบั ถนนสายหลกั เช่น ถนนกันตงั ถนนไปพัทลงุ ถนนรัษฎา ถนนตรงั -ย่านตาขาว เปน็ ต้น ถนนราชดำเนนิ ถนนกนั ตัง รูปที่ 5: ถนนสายสำคัญในเมอื งตรัง 4.2.3 จุดหมายตาในบริเวณเมอื งเกา่ เมืองเก่าตรังมีโครงสร้างของผังเมืองที่มีความซับซ้อนอันมีมูลเหตุจากการสร้างเมืองบนพื้นที่ ลูกฟูก มี “หอนาฬิกาจังหวัดตรัง” เป็นจุดหมายตาสำคัญของย่านเมืองเก่า เนื่องจากมองเห็นได้จาก ระยะไกล และเดิมเป็นหอกระจายเสียงวิทยุท้องถนิ่ ภายในพื้นที่ย่านเมืองเก่ายังมีจุดหมายตาที่เป็นจุดนัดพบของคนในเมือง เช่น พระบรมราชานุ- สาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว บริเวณหน้าสำนักงานองค์การบริหารส่วนจังหวัดตรัง สถานรี ถไฟตรงั วิหารครสิ ตจกั รตรัง จวนผวู้ ่าหรือบ้านพกั ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง ซึ่งตัง้ อยู่บนเนินท่ีสูงของ ตัวเมืองตรัง ศาลเจ้ากิวอ๋องเอี่ย ศาลเจ้าหมื่นราม ศาลเจ้าท่ามกงเยี่ย วัดตันตยาภิรม (พระอารามหลวง) วดั กะพงั สรุ นิ ทร์ (พระอารามหลวง) วัดนิคมประทีป วดั ประสิทธิชยั และวัดกฏุ ยาราม เปน็ ตน้ 36
เมืองเกา่ ตรงั วหิ ารครสิ ตจกั รตรงั ศาลเจา้ กวิ อ๋องเอย่ี รปู ท่ี 6: จุดหมายตาทส่ี ำคญั ของเมืองตรัง 4.2.4 ย่าน/บรเิ วณท่ีสำคญั และมีคุณค่าของเมอื งเก่า เมืองเก่าตรัง เติบโตจากย่านการค้าริมแม่น้ำตรังบริเวณย่านท่าจีน ซึ่งสามารถเดินทางผ่าน คลองปอน และคลองห้วยยางเข้าสู่ตัวเมืองได้ และหากพิจารณาความเข้มข้นของมรดกทางวัฒนธรรม กายภาพ จะแบ่งพน้ื ท่ยี า่ นหรอื บริเวณท่ีสำคญั และมคี ุณค่าของเมืองตรงั ออกเป็น 3 ยา่ น ไดแ้ ก่ ย่านที่ 1 ย่านการค้าบริเวณเมืองเก่าตรัง ครอบคลุมพื้นที่ที่ล้อมรอบด้วยถนนสายสำคัญคือ ถนนพระราม 6 ถนนวิเศษกุล ถนนกันตัง และถนนราชดำเนิน ในย่านนี้เป็นที่ตั้งของอาคารเรือนแถวและ บ้านร้านค้าแบบจีนและแบบสรรค์ผสานจำนวนมาก อีกทั้งมีอาคารพาณิชย์ที่มีคุณค่าเป็นเอกลักษณ์ของ เมืองตรังหลายหลงั เช่น บา้ นไทรงาม รา้ นค้าสริ ิบรรณ รา้ นขายยา จ. จนิ ฉนุ้ โรงแรมจรงิ จรงิ เป็นต้น ย่านที่ 2 เป็นย่านศูนย์กลางราชการดั้งเดิม ครอบคลุมพื้นที่เนินสำคัญ 2 เนิน ล้อมรอบด้วย ถนนพระราม 6 ถนนวิเศษกุล ถนนเพชรเกษม (ถนนพัทลุง) ถนนประชาอุทิศ และซอยอุดมลาภ เป็นที่ต้ัง ของอาคารราชการที่มีคุณค่าและได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานโดยกรมศิลปากร ได้แก่ จวนผู้ว่า หรอื บา้ นพักผู้วา่ ราชการจงั หวัดตรัง อาคารสโมสรข้าราชการจังหวัดตรงั ทงั้ ยังเปน็ ท่ีตง้ั ของอาคารราชการ และบา้ นพักข้าราชการทีท่ รงคุณคา่ จำนวนมาก ย่านที่ 3 เป็นชุมชนเก่าแก่ชานเมืองทีท่ รงคุณค่า เช่น ชุมชนท่าจีน ย่านรอบกะพังสุรินทร์ และ ชมุ ชนบ้านโพธ์ิ เปน็ ตน้ รปู ท่ี 7: ตวั อย่างสถาปัตยกรรมท่ีทรงคณุ ค่าในยา่ นการคา้ ดงั้ เดิม 37
โครงการกำหนดขอบเขตพืน้ ที่เมอื งเก่า รูปที่ 8: ตัวอย่างสถาปัตยกรรมที่ทรงคณุ ค่าในยา่ นศนู ย์กลางราชการ 4.2.5 ธรรมชาตใิ นเมืองเก่า เมืองเก่าตรัง มีลักษณะภูมิประเทศแบบที่ราบลูกคลื่น มีแม่น้ำและคลองตัดผ่านหลายสาย ทำให้เป็นเมืองที่มีความอุดมสมบูรณ์และมีธรรมชาติภายในเขตเมือง โดยธรรมชาติในเมืองกลุ่มแรก คือ เส้นทางน้ำสายสำคัญ ได้แก่ “กลุ่มที่ 1” แม่น้ำตรัง คลองน้ำเจ็ด คลองปอน คลองนางน้อย คลองห้วยยาง และคลองไฟ “กลุ่มที่ 2” คือ สวนสาธารณะ ซึ่งเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวเมืองตรัง จำนวน 6 แห่ง ไดแ้ ก่ สวนสาธารณะสวนทับเที่ยง (เรือนจำเก่า) สวนสาธารณะอนุสาวรยี ์พระยารัษฎานุประดษิ ฐม์ หิศรภักดี สวนพรพฤกษา สวนสาธารณะสังขว์ ิทย์ สวนสาธารณะสระกะพังสรุ นิ ทร์ และสวนสาธารณะสมเดจ็ พระศรี นครินทร์ และ “กลุ่มที่ 3” คือ ต้นไม้ที่มีความสำคัญกับชาวเมือง ได้แก่ แนวต้นพิกุลริมถนนวิเศษกุล กลุ่มต้นไม้ใหญ่ในบ้านพักผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง กลุ่มต้นไม้ใหญ่ในบ้านนายชวน หลีกภัย และต้นไม้ใหญ่ ในสถานท่รี าชการต่าง ๆ รปู ท่ี 9: ธรรมชาตทิ สี่ ำคัญในตวั เมอื งตรงั 38
เมอื งเก่าตรงั 4.3 ขอบเขตพ้นื ท่ีเมอื งเกา่ ตรัง จังหวัดตรงั การวิเคราะห์ขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าตรัง หรือเมืองเก่าทับเที่ยง ที่ปรึกษาได้กำหนดเกณฑ์และทำ การประเมินคุณค่าความสำคัญในด้านต่างๆ ของโบราณสถาน อาคาร และสถานที่สำคัญ ซึ่งเป็น องค์ประกอบของเมืองเก่าที่อยู่ในพื้นที่เมืองทับเที่ยง รวมทั้งจัดลำดับความสำคัญตามระดับศักยภาพของ องค์ประกอบของเมืองเหล่านั้น จากผลการวิเคราะห์ดังกล่าวถือเป็นข้อมูลสำคัญในการพิจารณาเพ่ือ กำหนดขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าตรัง หรือเมืองเก่าทบั เท่ียง และเมื่อพิจารณาองค์ประกอบของเมืองทับเที่ยง ในเชิงที่ตั้ง พบว่า องค์ประกอบของเมืองที่มีคุณค่าและความสำคัญมาก หรือมีระดับศักยภาพสูงถึง ปานกลาง ส่วนใหญ่ตั้งเกาะกลุ่มอยู่รวมกันใน 2 ย่านหลัก ได้แก่ ย่านศูนย์กลางพาณิชยกรรมเก่าแก่ของ เมือง หรือเกาะเมืองเก่าทับเที่ยงครอบคลุมพื้นที่ที่ล้อมรอบด้วยถนน 4 สาย คือ ถนนพระราม 6 ถนนวิเศษกุล ถนนราชดำเนิน และถนนกันตัง และย่านศูนย์กลางราชการ ซึ่งล้อมรอบด้วยถนนวิเศษกุล ถนนพระราม 6 ถนนรัษฎา และถนนพัทลุง ส่วนองค์ประกอบของเมืองส่วนที่เหลือจะตั้งกระจายอยู่ใน พื้นที่ส่วนต่าง ๆ ของเทศบาลนครตรัง และหากพิจารณาขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าจากความกลมกลืนของ องค์ประกอบของเมืองกับบริบทของเมือง ขอบเขตการบริหารการปกครอง ขอบเขตทางธรรมชาติ ภูมิทัศน์วัฒนธรรม และความเป็นย่านที่ชัดเจนขององค์ประกอบเมือง การกำหนดขอบเขตพื้นท่ี เมอื งเกา่ ตรัง หรอื เมอื งเก่าทบั เที่ยง จงึ ควรให้ครอบคลมุ ย่านหลกั ทัง้ สอง ทงั้ น้ี การกำหนดขอบเขตดังกล่าว ก็เพื่อความสมบูรณ์ในแง่ขององค์ประกอบของเมืองเก่า และการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าตรัง หรือ เมอื งเก่าทบั เท่ียงในอนาคต โดยมรี ายละเอียดของขอบเขต ดงั นี้ ขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าตรัง หรือเมืองเก่าทับเที่ยง มีเนื้อที่ประมาณ 1.91 ตารางกิโลเมตร หรือ 1,192.95 ไร่ โดยมอี าณาเขตดังน้ี (แผนที่ 3 และแผนที่ 4) ทศิ เหนือ จดบริเวณกึ่งกลางคลองห้วยยาง บริเวณพิกัด X = 566048 และ Y = 835888 ต่อเนื่องไปตามแนวกึ่งกลางคลองห้วยยางไปทางทิศตะวันออก จนถึงจุดตัดระหว่าง กึ่งกลางคลองห้วยยางกับถนนห้วยยอด บริเวณพิกัด X = 566684 และ Y = 835586 และต่อเนื่องไปทางทิศเหนือตามแนวกึ่งกลางถนนห้วยยอด จนถึงจุดตัดถนนห้วยยอด กับถนนวิเศษกุล บริเวณพิกัด X = 566768 และ Y = 835959 ต่อเนื่องลงมาทางทิศ ตะวันออกเฉียงใต้ตามแนวกึ่งกลางถนนวิเศษกุล จนถึงจุดตัดถนนวิเศษกุลกับคลอง ห้วยยาง บริเวณพิกัด X = 567018 และ Y = 835678 และต่อเนื่องไป ทิศตะวันออกเฉียงเหนือตามแนวกึ่งกลางคลองห้วยยาง จนถึงบริเวณพิกัด X = 567405 และ Y = 836182 ต่อเน่ืองไปทางทิศตะวันออกตามแนวกึ่งกลางถนนควนคีรี ซอย 1 จนถึงจุดตัดถนนควนคีรี ซอย 1 กับถนนควนคีรี บริเวณพิกัด X = 567714 และ Y = 836193 ต่อเนื่องลงมาทางทิศใต้ตามแนวกึ่งกลางถนนควนคีรี จนถึงจุดตัด ถนนควนคีรีกับถนนอุดมลาภ บริเวณพิกัด X = 567761 และ Y = 835923 ต่อเนื่อง ไปทางทิศตะวันออกตามแนวกึ่งกลางถนนอุดมลาภ เชื่อมต่อกับถนนพัทลุง และ 41
โครงการกำหนดขอบเขตพ้นื ทีเ่ มืองเก่า ทิศตะวนั ออก ต่อเนื่องไปตามแนวกึ่งกลางถนนพัทลุง จนถึงจุดตัดถนนพัทลุงกับถนนเจิมปัญญา ทิศใต้ บริเวณพิกดั X = 567964 และ Y = 835947 จดจุดตัดถนนพัทลุงกับถนนเจิมปญั ญา บริเวณพกิ ดั X = 567964 และ Y = 835947 ทศิ ตะวนั ตก ต่อเนื่องลงไปด้านทิศใต้ตามแนวกึ่งกลางถนนเจิมปัญญา จนถึงจุดตัดถนนเจิมปัญญา กับถนนรัษฎา บริเวณพิกัด X = 567774 และ Y = 835443 และต่อเนื่องลงมาทาง ทิศใต้ตามแนวกึ่งกลางถนนรัษฎา จนถึงจุดตัดถนนรัษฎากับถนนวิเศษกุล ซอย 5 บรเิ วณพกิ ดั X = 567730 และ Y = 834801 จดจุดตัดถนนรัษฎากับถนนวิเศษกุล ซอย 5 บริเวณพิกัด X = 567730 และ Y = 834801 ต่อเนือ่ งไปทางทศิ ตะวันตกตามแนวกึ่งกลางถนนวิเศษกลุ ซอย 5 จนถึงจดุ ตดั ถนนวิเศษกุล ซอย 5 กับถนนวิเศษกุล บริเวณพิกัด X = 567301 และ Y = 834808 และต่อเนื่องขึ้นไปทางทิศเหนือตามแนวกึ่งกลางถนนวิเศษกุล จนถึงจุดตัด ถนนวิเศษกุลกับถนนวิเศษกุล ซอย 6 บริเวณพิกัด X = 567301 และ Y = 834834 ต่อเนือ่ งไปทางทิศตะวันตกตามแนวกึ่งกลางถนนวเิ ศษกุล ซอย 6 เชื่อมต่อกบั ซอยควน วิเศษ และต่อเนื่องไปตามแนวกึ่งกลางซอยควนวิเศษ จนถึงจุดตัดซอยควนวิเศษกับ ถนนกันตัง บริเวณพิกัด X = 566863 และ Y = 834999 และต่อเนื่องลงมาทางทิศใต้ ตามแนวกึง่ กลางถนนกนั ตัง จนถึงจดุ ตดั ถนนกันตงั กับถนนกนั ตงั ซอย 10 บรเิ วณพกิ ดั X = 566787 และ Y = 834456 ต่อเนื่องไปทางทิศตะวันตกตามแนวกึ่งกลางถนน กันตัง ซอย 10 จนถึงจุดเชื่อมต่อระหว่างถนนกันตัง ซอย 10 กับถนนกันตัง ซอย 5 บรเิ วณพกิ ัด X = 566417 และ Y = 834662 ตอ่ เนือ่ งไปทางทิศเหนือตามแนวก่ึงกลาง ถนนกันตัง ซอย 5 จนถึงจุดตัดถนนกันตัง ซอย 5 กับถนนสาธารณะ บริเวณพิกัด X = 566555 และ Y = 834857 ต่อเนอ่ื งไปทางทิศตะวนั ตกตามแนวกึ่งกลางถนนสาธารณะ จนถึงจุดตัดถนนสาธารณะกับถนนหนองยวน บริเวณพิกัด X = 566321 และ Y = 834916 และต่อเนื่องไปทางทิศตะวันตกตามแนวกึ่งกลางถนนหนองยวน จนถึงจุดตัด ถนนหนองยวนกบั ถนนมหาราช บริเวณพิกัด X = 565934 และ Y = 835059 จดจุดตัดถนนหนองยวนกับถนนมหาราช บริเวณพิกัด X = 565934 และ Y = 835059 ต่อเนื่องขึ้นไปทางทิศเหนือตามแนวกึ่งกลางถนนมหาราช จนถึงจุดตัด ถนนมหาราชกับถนนท่ากลาง ซอย 3 บริเวณพิกัด X = 566316 และ Y = 835522 และต่อเนื่องไปทางทิศตะวันตกตามแนวกึ่งกลางถนนท่ากลาง ซอย 3 จนถึง บริเวณพิกัด X = 566052 และ Y = 835576 ต่อเนื่องขึ้นไปทางทิศเหนือ ตามแนวกึ่งกลางถนนท่ากลาง ซอย 3 จนถึงจุดตัดถนนท่ากลาง ซอย 3 กับถนน ท่ากลาง บริเวณพิกัด X = 566047 และ Y = 835818 และต่อเน่ืองข้ีนไปทางทิศ เหนือเป็นเส้นตรงจนจดแนวกึ่งกลางคลองห้วยยาง บริเวณพิกัด X = 566048 และ Y = 835888 42
45
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140