Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore โครงการกำหนดขอบเขตพื้นที่เมืองเก่า เมืองเก่าอุทัยธานี

โครงการกำหนดขอบเขตพื้นที่เมืองเก่า เมืองเก่าอุทัยธานี

Published by oldtown.su.research, 2021-09-07 17:31:09

Description: โครงการกำหนดขอบเขตพื้นที่เมืองเก่า เมืองเก่าอุทัยธานี

Keywords: เมืองเก่า,อุทัยธานี

Search

Read the Text Version

โครงการกาํ หนดขอบเขตพื้นท่เี มืองเกา่ เมืองเก่าอทุ ยั ธานี สาํ นักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อม และ คณะสถาปตั ยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร



สารบัญ หน้า 1 1. ความเป็นมา 1 1.1 นยิ ามความหมายของเมืองเกา่ 2 1.2 การจัดจำแนกกลุ่มเมืองเก่าในประเทศไทย 1.3 ระเบยี บสำนกั นายกรัฐมนตรี ว่าดว้ ยการอนรุ ักษ์และพฒั นากรงุ รัตนโกสินทร์ และ 4 เมอื งเกา่ พ.ศ. 2546 5 1.4 การกำหนดขอบเขต และการประกาศเขตพนื้ ทีเ่ มอื งเกา่ 9 10 2. กรอบแนวทางการอนรุ กั ษ์และพัฒนาเมืองเก่า 10 2.1 การบรหิ ารจดั การ 10 2.2 การสง่ เสรมิ และรักษาคณุ ภาพสงิ่ แวดล้อม 10 2.3 การอนรุ กั ษโ์ บราณสถานและสถานทที่ ม่ี คี ณุ คา่ และความสำคญั 11 2.4 การควบคมุ การใช้ประโยชนท์ ีด่ ิน 11 2.5 การควบคมุ การก่อสรา้ งและดดั แปลงอาคาร 11 2.6 การควบคมุ กจิ กรรมบางประเภททไ่ี มเ่ หมาะสม 12 2.7 มาตรการด้านอืน่ ๆ ทเี่ ออ้ื ต่อการอนรุ กั ษแ์ ละพัฒนาเมืองเก่า 12 13 3. หลักการกำหนดขอบเขตพ้นื ทีเ่ มอื งเก่า 15 3.1 การเกบ็ รวบรวมและศกึ ษาวเิ คราะห์หลกั ฐานและขอ้ มลู 16 3.2 การวิเคราะหแ์ ละประเมนิ คุณค่าความสำคัญองคป์ ระกอบของเมือง 17 3.3 การระบุหรือกำหนดขอบเขตพ้นื ทเ่ี มอื งเกา่ 17 3.4 การมสี ว่ นร่วมของทอ้ งถ่ิน 37 45 4. ขอบเขตพ้ืนที่เมอื งเก่าอทุ ยั ธานี จงั หวัดอทุ ัยธานี 51 4.1 ความสำคัญของพนื้ ที่เมอื งเกา่ อุทัยธานี 51 4.2 องคป์ ระกอบของเมืองเก่าอุทยั ธานี 57 4.3 ขอบเขตพน้ื ทเี่ มอื งเก่าอุทยั ธานี จงั หวัดอทุ ยั ธานี 57 4.4 เขตพืน้ ท่ี (Zoning) ภายในขอบเขตพน้ื ทเ่ี มอื งเกา่ อทุ ัยธานี 60 4.5 พื้นทีต่ อ่ เนอื่ งเมืองเก่าอุทัยธานี 63 5. แนวทางการอนุรกั ษ์และพฒั นาเมอื งเก่า 5.1 แนวทางการอนุรกั ษแ์ ละพัฒนาทั่วไป 5.2 แนวทางการอนรุ ักษ์และพัฒนาสำหรบั เขตพนื้ ท่ี (Zoning) บรรณานุกรม

สารบัญ (ตอ่ ) หนา้ ภาคผนวก ผ-1 ผ.1 ขอ้ มลู ท่ัวไปของพน้ื ท่เี มืองอทุ ัยธานี ผ-20 ผ.2 การรวบรวมขอ้ มลู โบราณสถาน อาคาร และสถานทส่ี ำคัญในพน้ื ทเ่ี มอื งอุทยั ธานี ผ-48 ผ.3 บญั ชีรายชือ่ อาคาร สถานที่ และโบราณสถานทมี่ คี ณุ ค่า (Inventory) ในพ้นื ทีเ่ มอื งเก่าอุทยั ธานี และบริเวณโดยรอบ ผ-58 ผ.4 การวเิ คราะหแ์ ละประเมนิ คุณค่าองค์ประกอบทสี่ ำคญั ของเมอื งอุทยั ธานี ผ-67 ผ.5 การประชมุ เพอื่ รับฟังความคดิ เห็น และข้อเสนอแนะ ต่อขอบเขตพ้ืนท่ีเมืองเกา่ อุทยั ธานี ผ-73 ผ.6 สรุปสาระสำคญั ภาพรวมของเมืองเกา่ อุทยั ธานี

เมอื งเก่าอทุ ยั ธานี 1. ความเป็นมา 1.1 นิยามความหมายของเมืองเก่า ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่า พ.ศ. 2546 ได้กำหนดนยิ ามของ “เมืองเก่า” ดังนี้ (1) เมืองหรือบริเวณของเมือง ที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะแห่งสืบต่อมาแต่กาลก่อน หรือท่ีมี ลกั ษณะเปน็ เอกลกั ษณ์ของวฒั นธรรมท้องถนิ่ หรือมีลักษณะจำเพาะของสมยั หน่ึงในประวัตศิ าสตร์ (2) เมืองหรือบริเวณของเมือง ที่มีรูปแบบผสมผสานสถาปัตยกรรมต่างถิ่น หรือมีลักษณะเป็น รูปแบบววิ ฒั นาการทางสังคมท่สี บื ต่อมาในยุคต่าง ๆ (3) เมืองหรือบริเวณของเมือง ที่เคยเป็นตัวเมืองดั้งเดิมในสมัยหนึ่ง และยังคงมีลักษณะเด่น ประกอบดว้ ยโบราณสถาน (4) เมืองหรือบริเวณของเมือง ซึ่งโดยหลักฐานทางประวัติศาสตร์ หรือโดยอายุ หรือโดย ลักษณะแห่งสถาปัตยกรรมมีคุณค่าในทางศิลปะ โบราณคดี หรือประวัตศิ าสตร์ จากการจำแนกเมืองเก่า เป็น 4 ประเภทนั้น จะเห็นได้ว่ามีทั้ง “เมืองเก่าที่ยุติบทบาทความเป็น เมืองหรือชุมชนไปแล้ว” “เมืองเก่าที่มีการประกาศขอบเขตเป็นอุทยานประวัติศาสตร์” และ “เมืองเก่าที่มี พลวตั ” ต่อมาในปี พ.ศ. 2548 สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมซึ่งมี หน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่า ได้จัดทำเอกสารเผยแพร่ “ชุดความรู้ด้านการอนุรักษ์ พัฒนา และบริหารจัดการเมืองเก่า เล่ม 1 ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับเมืองเก่าในประเทศไทย” โดยให้อรรถาธิบายขยายความบริบทเพ่ือสร้างความเข้าใจ ดังนี้ “เมืองหรือบริเวณของเมืองที่มีเอกลักษณ์พิเศษเฉพาะแห่งสืบต่อมาแต่กาลก่อน หรือ มีรูปแบบ ผสมผสานของสถาปัตยกรรมท้องถิ่น หรือมีลักษณะของรูปแบบวิวัฒนาการ ทางสังคมที่สืบต่อมาของยุค ต่าง ๆ หรือเคยเป็นตัวเมืองดั้งเดิมในสมัยหนึ่ง หรือโดยหลักฐานทางประวัติศาสตร์ หรือสถาปัตยกรรมมี คุณค่าในทางศิลปะ โบราณคดี หรือประวัติศาสตร์”1 โดยมีทั้งลักษณะประเภทเมืองเก่า ประเภทเมือง โบราณ และเมืองเก่าที่มีการอยู่อาศัยสืบเนื่องมาจากอดีต มีการใช้สอยในลักษณะเมืองที่ยังมีชีวิต (Living Environment) ทั้งนี้ อาจสรุปให้เห็นความหมายของ “เมืองเก่า” ที่ได้รับการประกาศขอบเขตพื้นที่เมืองเก่า ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ดังนี้ “สภาพทางกายภาพที่แสดงออกถึงความเป็นเมืองที่เป็นผลสืบ เนื่องมาจากการตั้งถิ่นฐานและสั่งสมอารยธรรม และเป็นผลมาจากวัฒนธรรมที่เป็นผลจากการดำเนินชีวิต 1 สำนักนายกรัฐมนตร.ี (2546). “ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการอนุรักษ์และพัฒนากรงุ รัตนโกสินทร์ และเมืองเก่า พ.ศ. 2546” ใน ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 120 ตอนพเิ ศษ 37 ง. 26 มนี าคม 2546. หน้า 9-10. เขา้ ถงึ ข้อมูลจาก : http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/00121665.PDF 1

โครงการกำหนดขอบเขตพนื้ ท่เี มืองเกา่ ของมนุษย์ผู้อยู่อาศัยในพื้นที่ดังกล่าวมาตั้งแต่บรรพกาลเก่าก่อน และยังดำรงสถานะเป็นชุมชนหรือเป็น เมอื งท่ียงั มกี ารต้งั ถิน่ ฐานของผ้คู นที่ดำรงไวซ้ ึ่งพลวัตทางสังคมวฒั นธรรมอยใู่ นปจั จุบัน” ทั้งนี้ “เมืองหรือพื้นที่บริเวณของเมืองที่ได้รับการประกาศเขตพื้นที่เป็นเมืองเก่าตาม มติคณะรัฐมนตรี” จะมีหลักเกณฑ์สำคัญ คือ ต้องเป็นพื้นที่ที่บริบทของความเป็นเมืองนั้นยังมี “พลวัต” อยู่ในปจั จุบนั ด้วยความจำเป็นเร่งด่วนในการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าที่ต้องวางแผนเพื่อกำหนดแนวทาง อย่างเหมาะสม โดยรัฐบาลได้กำหนดนโยบายการดำเนินงานเป็นพิเศษเฉพาะพื้นที่ เป็นระเบียบสำนัก นายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการอนุรักษแ์ ละพัฒนากรงุ รัตนโกสินทร์ และเมืองเกา่ พ.ศ. 2546 โดยมอบหมายให้ คณะกรรมการอนุรกั ษแ์ ละพัฒนากรงุ รัตนโกสินทร์ และเมอื งเกา่ โดยมีรองนายกรฐั มนตรี ท่นี ายกรัฐมนตรี มอบหมายให้กำกับบริหารราชการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานกรรมการ ทำหน้าที่วางนโยบาย กำหนดพื้นที่ และจัดทำแผนแม่บท แนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า โดย ความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดล้อม ทำหนา้ ที่เป็นสำนกั งานเลขานุการของคณะกรรมการฯ 1.2 การจดั จำแนกกล่มุ เมืองเก่าในประเทศไทย จากนิยาม “เมืองเก่า” ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการอนุรักษ์และพัฒนา กรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่า พ.ศ. 2546 และแนวทางการจำแนกเมืองเก่าโดยคณะกรรมการอนุรักษ์ และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่า เป็น 4 ประเภท นั้นจะเห็นได้ว่ามีทั้ง “เมืองเก่าที่ยุติบทบาท ความเป็นเมืองหรือชุมชนไปแล้ว” “เมืองเก่าที่มีการประกาศขอบเขตเป็นอุทยานประวัติศาสตร์” และ “เมอื งเก่าที่มพี ลวตั ” การประกาศเป็นเขตพน้ื ที่เมอื งเก่าตามนโยบายของรฐั บาลนั้น ให้ความสำคญั กับ “เมืองเก่าที่มี พลวัต” ซึ่งยังมีผู้คนตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัย มีความเคลื่อนไหวทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม โดยรัฐบาลได้ให้ความสำคัญเมืองเก่าที่มีพลวัตมากกว่าเมืองเก่าที่เป็นเมืองโบราณที่ตัดขาดจากพลวัตของ การตั้งถิ่นฐานและการอยู่อาศัยในปัจจุบันแล้ว เนื่องจากเมืองโบราณ เช่น เมืองอยุธยา เมืองสุโขทัย เมืองศรีสัชนาลัย ดังกล่าวนั้นมีกลไกและกฎหมายที่คุ้มครองดูแลในฐานะการเป็นโบราณสถาน และมีกลไกการดูแลรักษาให้ธำรงคุณค่าไว้ในฐานะการเป็นอุทยานประวัติศาสตร์อยู่แล้ว ในขณะที่เมืองเก่าที่มีพลวัตนั้น ยังมีผู้คนตั้งถิ่นฐาน ยังมีความเคลื่อนไหวทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ประกอบกับมีลักษณะการใช้ที่ดินค่อนข้างสลับซับซ้อน จึงต้องการกลไกในการส่งเสริมให้ เกดิ การอนุรักษแ์ ละพัฒนาด้วยกลไกทเ่ี หมาะสมในการบริหารจัดการอย่างบรู ณาการ เพราะหากไม่มีกลไก ขบั เคลื่อนการอนรุ กั ษแ์ ละการพัฒนาอย่างเหมาะสมแล้ว อาจเกิดเหตุความเปล่ียนแปลงท่ีลดทอนคุณค่า และความหมายของมรดกวัฒนธรรมต่าง ๆ ในเมืองเก่าลง แต่หากมีการสร้างกลไกและเครื่องมือที่เหมาะสม ในการรักษาคุณค่าพร้อมการใช้ประโยชน์ เมืองเก่าจะเป็นต้นทุนสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาอย่าง ย่งั ยืนใหแ้ กช่ มุ ชนในท้องถ่ินไดเ้ ป็นอย่างดี 2

เมอื งเกา่ อทุ ัยธานี รัฐบาลให้ความสำคัญกับเมืองเก่าที่มีพลวัตด้วยเหตุผล คือ เมืองเก่ามีการตั้งถิ่นฐานของผู้คน อย่างต่อเนื่องตลอดหน้าประวัติศาสตร์ และทำหน้าที่เป็นเมืองศูนย์กลางการบริหารราชการ ศูนย์กลาง เศรษฐกิจและหน้าที่อื่น ๆ ของเมือง และเมื่อประกาศเขตพื้นที่เมืองเก่าแล้ว ย่อมจะทำให้พลเมืองที่อยู่ อาศัยในเมอื งเกิดความภาคภมู ิใจ และได้รบั ประโยชนต์ ่าง ๆ สืบเนือ่ งมาจากการอนรุ ักษ์และพัฒนาเมืองเก่า ในอนาคต และการใช้ประโยชน์เมอื งเกา่ ในบริบทร่วมสมัย จงึ มีความจำเปน็ ในการสรา้ งกลไกในการคุ้มครอง มรดกวัฒนธรรมเมืองเก่าให้อยู่คู่กับพลวัตในบริบทสังคมร่วมสมัย และเมื่อสามารถสร้างสมดุลของการ อนุรักษ์และการพัฒนาบนฐานความยั่งยืนให้เกิดขึ้นแล้ว ประชาชนในชุมชนท้องถิ่นในเมืองเก่าต่าง ๆ จะ ได้รับประโยชน์ในรูปแบบต่าง ๆ ที่สืบเนื่องจากการบริหารจัดการกับมรดกวัฒนธรรมเมือง อันนำไปสู่การ พัฒนาคณุ ภาพชีวติ และความเป็นอยูท่ ี่ดีร่วมกบั การธำรงรกั ษาคุณค่าของเมืองเกา่ ควบคไู่ ปด้วย การจำแนกกลุ่มของเมืองเก่าที่มีพลวัตเพื่อนำไปสู่การ “ประกาศเขตพื้นที่เมืองเก่า” โดยจำแนก เมอื งเกา่ ตาม “ความสำคญั ทางประวัตศิ าสตร์และโบราณคดี” ซง่ึ สมั พนั ธก์ บั “ขนาดของเมอื งเกา่ ” ด้วย ทั้งนี้ จากการศึกษาของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่กล่าว มานัน้ ไดน้ ำไปสกู่ ารจำแนกเมอื งเกา่ ออกเป็น 3 กลมุ่ คอื (1) เมืองเกา่ กลุ่มที่ 1 เมืองเก่ากลุ่มที่ 1 เป็นเมืองที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี มีลักษณะเป็น เมืองขนาดใหญ่ ซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางของรัฐจารีตโบราณ (Traditional State) หรือเมืองในเครือข่ายของ รัฐโบราณ ทั้งนี้ยงั ปรากฏหลักฐานทางโบราณคดีและศิลปกรรมของยุคสมัยดงั กล่าวเป็นที่ประจักษ์ และยัง เป็นเมืองที่มีพลวัตอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นเมืองเก่าที่มีความเร่งด่วนในการจัดทำการประกาศเป็นเมืองเก่า เพื่อเปน็ กลไกในการอนุรกั ษแ์ ละพัฒนาเมืองอย่างเหมาะสม คณะกรรมการอนุรกั ษแ์ ละพฒั นากรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเกา่ ไดพ้ ิจารณาจัดจำแนกเมืองเก่าใน กลุ่มที่ 1 มีจำนวน 10 เมือง ได้แก่ เมืองเก่าเชียงใหม่ เมืองเก่าน่าน เมืองเก่าลำปาง เมืองเก่าลำพูน เมืองเก่า กำแพงเพชร เมอื งเกา่ พษิ ณุโลก เมืองเกา่ ลพบรุ ี เมอื งเกา่ พิมาย เมืองเกา่ นครศรธี รรมราช และเมอื งเก่าสงขลา (2) เมืองเกา่ กลุม่ ที่ 2 เมืองเก่ากลมุ่ นีเ้ ป็นเมืองทีม่ คี วามสำคญั รองลงมาจากกล่มุ ท่ี 1 ท้ังในประเด็นเรื่องของขนาดเมือง และมติ ิความสำคัญในหนา้ ประวตั ิศาสตร์ นอกจากน้ี ยงั มีการกลายเป็นเมืองท่ียังมีไม่สูงมากนัก ตลอดจน ปัญหาจากภัยคุกคามด้านต่าง ๆ ยังไม่มากและเรง่ ดว่ นเทา่ กับเมอื งเก่ากลมุ่ ท่ี 1 คณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่าได้พิจารณา จัดจำแนกเมือง เก่าในกลุ่มที่ 2 จำนวน 27 เมือง เพื่อกำหนดขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าและกรอบแนวทางการอนุรักษ์และ พัฒนาเมืองเก่า ได้แก่ เมืองเก่าเชียงราย เมืองเก่าพะเยา เมืองเก่าแพร่ เมืองเก่าตาก เมืองเก่าพิจิตร เมืองเก่าแม่ฮ่องสอน เมืองเก่าสรรคบุรี เมืองเก่าอู่ทอง เมืองเก่าสุพรรณบุรี เมืองเก่ากาญจนบุรี เมืองเก่า ราชบุรี เมืองเก่าเพชรบุรี เมืองเก่านครนายก เมืองเก่าระยอง เมืองเก่าจันทบุรี เมืองเก่านครราชสีมา 3

โครงการกำหนดขอบเขตพื้นทเ่ี มืองเก่า เมืองเก่าบุรีรัมย์ เมืองเก่าสุรินทร์ เมืองเก่าร้อยเอ็ด เมืองเก่าสกลนคร เมืองเก่าระนอง เมืองเก่าตะก่วั ปา่ เมอื งเกา่ ภูเก็ต เมอื งเกา่ ปตั ตานี เมอื งเก่ายะลา เมอื งเก่าสตูล และเมอื งเก่านราธวิ าส (3) เมอื งเกา่ กล่มุ ท่ี 3 เมืองเก่ากลุ่มที่ 3 เป็นเมืองโบราณขนาดเล็ก มีหลักฐานทางโบราณคดีและศิลปกรรมไม่มาก รวมทั้งมีชุมชนตั้งถิ่นฐานอยู่ไม่มาก มีความหนาแน่นของการอยู่อาศัยเป็นชุมชนในระดับตำบลหรืออำเภอ หรือบางแหล่งก็ไม่มีการอยูอ่ าศยั จึงมีลักษณะเป็นเมืองร้าง ซึ่งยังไม่จำเป็นเร่งดว่ นที่ต้องดำเนินการประกาศ เป็นเมืองเกา่ 1.3 ระเบียบสำนกั นายกรฐั มนตรี วา่ ด้วยการอนรุ กั ษแ์ ละพฒั นากรงุ รตั นโกสนิ ทร์ และเมอื งเกา่ พ.ศ. 2546 ด้วยคุณค่าและความหมายของเมืองเก่าที่เป็นต้นทุนสำคัญของการพัฒนาสู่ความยั่งยืนในทุกมิติ ด้วยตระหนกั ถงึ ความสำคญั ของการสร้างกลไกขับเคลอ่ื นให้เกิดการอนุรักษแ์ ละพัฒนาเมืองเกา่ ใหธ้ ำรงคณุ ค่า สืบต่อไป จึงมีการผลกั ดันให้มี “ระเบียบสำนักนายกรฐั มนตรี ว่าด้วยการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่า พ.ศ. 2546” เพื่อกำหนดนโยบาย แผนงาน มาตรการ และแนวทางเกี่ยวกับการอนุรักษ์และ พัฒนาเมืองเก่าอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งส่งเสริมภาคเอกชน และประชาชนได้มีส่วนร่วม เพอ่ื ธำรงรักษาคณุ คา่ ของเมืองเก่าสืบไป ในการนี้ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ จึงได้กำหนดให้มีการแต่งตั้ง “คณะกรรมการ อนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่า” ซึ่งประกอบด้วยรองนายกรัฐมนตรี ที่นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้กํากับการบริหารราชการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นประธานกรรมการ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ปลัดกระทรวงกลาโหม ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้อํานวยการสํานักงบประมาณ เลขาธิการ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เลขาธิการพระราชวัง ผู้อํานวยการทรัพย์สิน พระมหากษัตริย์ ผู้อํานวยการสํานักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร อธิบดีกรมโยธาธิการและ ผังเมือง อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น อธิบดีกรมธนารักษ์ อธิบดีกรมศิลปากร ผู้ว่าการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นายกสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ นายกสมาคมอนุรักษ์ ศิลปกรรมและสิ่งแวดลอ้ ม และผ้ทู รงคุณวุฒไิ ม่เกนิ เจด็ คน ในที่นี้ จะเห็นว่าคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่า ประกอบด้วยผู้มีอำนาจหน้าที่จากหน่วยงานที่เก่ียวข้องกับเมืองเก่าโดยตรง เพื่ออำนวยให้การอนุรักษ์และ พัฒนาเมืองเก่าที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานต่าง ๆ ขับเคลื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีผลสัมฤทธิ์ตาม เปา้ ประสงค์ของระเบียบฯ ตอ่ ไป โดยคณะกรรมการมอี ำนาจหน้าที่ ดงั ต่อไปน้ี 4

เมืองเก่าอุทัยธานี (1) วางนโยบาย กําหนดพื้นที่ และจัดทําแผนแม่บทการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่า โดยความเหน็ ชอบของคณะรฐั มนตรี (2) จัดทําแนวทาง แผนปฏิบัติการและมาตรการต่าง ๆ เพื่อดําเนินการในพื้นท่ีรบั ผิดชอบ (3) ใหค้ าํ ปรึกษาและความเห็นโครงการของรฐั ในพื้นท่รี ับผิดชอบ (4) สนับสนุนการจัดสรรงบประมาณให้แก่หน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบ เพื่อดําเนินงานตาม แผนปฏิบตั ิการอนุรักษ์และพฒั นากรุงรตั นโกสนิ ทร์ และเมืองเกา่ (5) ออกระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่า เท่าที่ไม่ ขดั หรอื แย้งกับกฎหมาย โดยความเห็นชอบของคณะรฐั มนตรี (6) สนับสนุน และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชน และภาคเอกชนได้มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ และพัฒนากรงุ รัตนโกสินทร์ และเมอื งเก่า (7) ประสานงาน ติดตาม ตรวจสอบและกํากับดูแลให้การดําเนินงาน เป็นไปตามแนวทาง โครงการ และแผนงาน ท่ไี ดจ้ ัดทําไว้ (8) เชิญผู้แทนหน่วยงานราชการและภาคเอกชน หรือบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้อง มาให้คําชี้แจงและ ขอ้ มลู (9) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ หรือคณะทํางานตามความจําเป็นและเหมาะสม เพื่อทําการแทน คณะกรรมการในเรอื่ งทีไ่ ด้รบั มอบหมาย (10) รายงานผลการดาํ เนนิ งานให้คณะรฐั มนตรีทราบตามที่เห็นสมควร (11) ดําเนินการอ่นื ใดที่จําเปน็ ตามทีไ่ ด้รับมอบหมายจากคณะรัฐมนตรี เพือ่ ให้การอนุรักษ์และ พัฒนากรุงรัตนโกสนิ ทรแ์ ละเมืองเก่าประสบความสำเรจ็ 1.4 การกำหนดขอบเขต และการประกาศเขตพนื้ ทเี่ มืองเกา่ เพื่อให้การบริหารจัดการในพื้นที่เมืองเก่า มีการขับเคลื่อนและดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรม และทันต่อสถานการณ์ท่ีเปลย่ี นแปลงอยา่ งรวดเรว็ ตลอดจนรบั มอื กับประเดน็ ท่จี ะส่งผลกระทบต่อการธำรง รักษาคุณค่าในมิติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่เมืองเก่า ภายใต้ “ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการ อนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่า พ.ศ. 2546” ขั้นตอนแรกของการดำเนินการศึกษาเพื่อการ “กำหนดขอบเขตพื้นที่เมืองเก่า” ใช้การศึกษา ข้อมูลในมิติต่าง ๆ ทั้งการปริทัศน์การศึกษาเพื่อทบทวนวรรณกรรมและผลการศึกษาที่ผ่านมา (Literature Review) ในพื้นที่เมืองเก่าและพื้นที่โดยรวม เพื่อทำความเข้าใจสถานภาพขององค์ความรู้ และขอ้ เสนอทางวิชาการทีม่ ีอยู่ในพื้นที่ศึกษา ตลอดจนเพ่ือทบทวนว่าในพ้ืนท่ีเป้าหมายนั้นมีโครงการใด ๆ ที่เกี่ยวเนื่องและได้ดำเนินการมาแล้วบ้าง อันจะนำไปสู่การวางแผนการดำเนินการในพื้นที่ได้อย่าง เหมาะสมบนฐานความเข้าใจในองคค์ วามรู้ และคณุ ค่าของพืน้ ที่ รวมทั้งการศึกษาข้อมูลทางประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ทั้งหลักฐานชั้นต้น เอกสารชั้นรองต่าง ๆ ซึ่ง ทง้ั หมดตอ้ งนำมาสกู่ ระบวนการทำสารตั ถะวิพากษเ์ พอื่ กล่นั กรองขอ้ มลู ทางประวัตศิ าสตรแ์ ละข้อเสนอทาง 5

โครงการกำหนดขอบเขตพ้ืนที่เมอื งเก่า วิชาการตา่ ง ๆ ให้กระจ่างชดั ตลอดจนการชำระขอ้ มลู และลำดับเวลาของเหตกุ ารณท์ างประวัติศาสตร์ให้ ถูกตอ้ งแมน่ ยำ เมื่อมีความเข้าใจพื้นฐานต่อพื้นที่เมืองเก่าแล้วจะนำไปสู่การลง “เก็บข้อมูลภาคสนาม” ซึ่งจะ ให้ความสำคัญกับ “การวิจัยแบบการบันทึกข้อมูล (Documentation Research)” ซึ่งจะบันทึกข้อมูล ประเภทต่าง ๆ ทง้ั “การสำรวจรงั วดั มรดกสถาปัตยกรรม” “การบนั ทกึ ภาพถ่ายสภาพปจั จบุ นั ” “การเก็บ พิกดั ทางภมู ศิ าสตร์ของท่ีตัง้ ” ตลอดจน “การสมั ภาษณ”์ เพอื่ ใหไ้ ด้ขอ้ มลู ประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ท่ีแฝงฝังอยู่ ในความทรงจำของผู้คนในเมือง ซึ่งข้อมูลประวัติศาสตร์ท้องถิ่นนี้มักไม่ปรากฏในหลักฐานลายลักษณ์อื่น ๆ เพื่อนำข้อมูลที่รอบด้านจากกระบวนการปฏิบัติการภาคสนามมาสู่การประมวลผลเพื่อทำความเข้าใจ “คุณค่าและความสำคัญของพื้นที่เมอื งเกา่ ” จากการศึกษาภาคสนามและการปริทัศน์เพื่อทบทวนสถานภาพของความรู้ จะนำมาใช้ในการ เรียบเรียงเนื้อหาว่าด้วย “ความสำคัญของพื้นที่เมืองเก่า” ซึ่งประกอบด้วยโครงสร้างเนื้อหา คือ “ความ เป็นมา พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ และการตั้งถิ่นฐาน” เพื่อเรียบเรียงเนื้อหาทางประวัติศาสตร์ การต้ัง ถิ่นฐานและบริบททางวัฒนธรรมของพื้นที่เมืองเก่า เพื่อเป็นฐานคิดในการทำความเข้าใจประเด็นเรื่อง คุณค่าและพฒั นาการของเมือง ซงึ่ ขัน้ ตอนการศึกษาข้อมลู ต่าง ๆ ดว้ ยระเบียบวธิ ีทางวชิ าการ และการวจิ ัย ที่รัดกุมในการค้นคว้าหลักฐานทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี มรดกทางสถาปัตยกรรม ตลอดจนมรดก วฒั นธรรมตา่ ง ๆ ทง้ั ทเ่ี ปน็ กายภาพเป็นประจักษ์ (Tangible Cultural Heritage) และมรดกวัฒนธรรมจับ ต้องไม่ได้ (Intangible Cultural Heritage) ซึ่งประกอบสร้างกันเป็นคุณลักษณะเฉพาะตัวของเมืองเก่า แตล่ ะเมอื ง ในการจัดทำฐานข้อมูลเพื่อประกอบการประกาศเขตพื้นที่เมืองเก่านั้น ได้รวบรวมข้อมูลเชิง พื้นท่ีมาเพื่อประกอบการพิจารณาถึงองค์ประกอบตา่ ง ๆ ของเมือง อาทิ “องค์ประกอบเมืองที่แสดงขอบเขตทางกายภาพของเมือง” คือ ป้อม ประตู คูเมือง กำแพง เมอื ง ซ่ึงเปน็ โบราณสถานทีส่ ำคัญของเมือง “แบบแผนโครงข่ายคมนาคมในเขตเมืองเก่า” หมายถึง เส้นทางสัญจรต่าง ๆ ที่อยู่ในพื้นที่ เมืองเก่าหรือพื้นที่เกี่ยวเนื่อง มีทั้งที่เส้นทางสัญจรทางบก และเส้นทางสัญจรทางน้ำ ซึ่งต่างเชื่อมโยงกัน เป็นโครงข่ายเส้นทางสัญจรของผู้คนในอดีตที่ใช้ไปมาหากันในเมือง เช่น แม่น้ำลพบุรี และเครือข่ายคลอง ในเมืองเก่าลพบุรี แม่น้ำแม่กลองท่ีเมอื งเก่าราชบุรี เป็นต้น และต่อมาเมื่อมีการพฒั นาระบบการขนสง่ ทาง รางนับตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เป็นต้นมา ในเมืองเก่าหลายเมืองจะมีองค์ประกอบเป็นสถานีรถไฟและราง รถไฟ เช่น เมอื งเกา่ ลพบุรี เมืองเกา่ ราชบรุ ี เมืองเกา่ สุรินทร์ เป็นต้น “จุดหมายตาในบริเวณเมืองเก่า” เป็นองค์ประกอบสำคัญที่แสดงเป็นภาพจำของเมืองอันมี ลักษณะที่มีความโดดเด่น และเป็นสัญลักษณ์บ่งชี้ถึงความเป็นสถานท่ีของเมืองเก่านั้น ๆ ทั้งนี้ อาจจะเป็น สถานที่ทางธรรมชาติ เช่น ภเู ขา แม่นำ้ ต้นไม้ใหญ่ เป็นต้น “ย่านและบริเวณที่สำคัญและมีคุณค่าของเมืองเก่า” เนื่องจากในเมืองเก่าจะประกอบด้วยย่าน ต่าง ๆ ซึ่งอาจจะมีศนู ยก์ ลางเป็นท่ที ำการหน่วยงานภาครฐั สถานขี นส่ง สถานีรถไฟ ตลาด หรือศาสนสถาน 6

เมืองเก่าอุทัยธานี ในเมืองเก่า ซึ่งมีการตั้งถิ่นฐานของผู้คนรวมกันเป็นย่าน สร้างให้เกิดพลวัตทางสังคม วัฒนธรรม และ เศรษฐกิจภายในพื้นท่ีย่านและประกอบสรา้ งให้เมอื งเก่าเป็นเมืองทม่ี พี ลวตั “ธรรมชาติในเมืองเก่า” หมายถึง สภาพแวดล้อมและภูมิทัศน์ทางธรรมชาติที่ปรากฏอยู่ใน เขตพื้นที่เมืองเก่า อาจจะเป็นลักษณะของภูมิประเทศในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ภูเขา ดอย แม่น้ำ คู คลอง หนองน้ำ ทะเลสาบ ทั้งนี้ ในภาพรวมของการศึกษาจะทำให้ข้อมูล “สถานภาพของเมืองเก่า” ซึ่งมุ่งหมายเพื่อ ทราบสภาพข้อเท็จจริงของพื้นที่เมืองเก่าว่าในปัจจุบันมีสถานการณ์อย่างไร ทั้งข้อมูลว่าด้วยองค์ประกอบ ของเมืองเก่ามีอะไรบ้าง และมีสภาพปัจจุบันเป็นอย่างไร (Existing Condition) สถานการณ์ด้านการ อนุรักษ์ และสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงลดทอนคุณค่าขององค์ประกอบของเมืองเก่ามีหรือไม่ และเป็น อย่างไร ผู้มีอำนาจหน้าที่หรือสิทธิในการครอบครองดูแลเป็นอย่างไร พื้นที่ในเมืองเป้าหมายในการศึกษา ประกอบไปด้วยพืน้ ทใี่ นลกั ษณะใดบ้าง เมื่อจัดเก็บข้อมูลแวดล้อมดังกล่าวมาข้างต้น จะนำข้อมูลองค์ประกอบต่าง ๆ ที่อยู่ในขอบเขต พื้นที่เป้าหมายมาวิเคราะห์อย่างครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ข้อมูลเชิงพื้นที่จากการเก็บข้อมูล ผลลัพธ์ของการ ดำเนินการในส่วนนี้จะนำไปสู่การกำหนด “ร่างขอบเขตพื้นที่เมืองเก่า” ซึ่งร่างขอบเขตดังกล่าวนั้นจะมี ขอบเขตครอบคลุมพื้นที่ที่มีจำนวนของแหล่งมรดกวัฒนธรรมและธรรมชาติที่สำคัญ และมีจำนวนแหล่งที่ เป็นประจักษ์ และประกอบด้วยคุณค่าและความหมายที่ร่วมกันประกอบสร้างขึ้นเป็นต้นทุนของเมืองท่ี แสดงถงึ คณุ ลักษณะของการเปน็ เมืองเกา่ ท่ีทรงคุณค่า เมื่อดำเนินการจัดทำร่างขอบเขตพื้นที่เมืองเก่า จากการสำรวจข้อมูลภาคสนาม จากการศึกษา เอกสารต่าง ๆ อย่างรอบด้าน และผ่านกระบวนการวิเคราะห์ด้วยระเบียบวิธีในการวิจัยที่รัดกุมเป็นท่ี เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อมาคือการนำร่างขอบเขตไปสู่การนำเสนอในเวทีสาธารณะ โดยในขั้นตอนนี้ให้ ความสำคัญกับการมีส่วนรว่ มของทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานราชการในจังหวัด หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นท่ี ร่างขอบเขตเมืองเก่า ตลอดจนดำเนินกระบวนการมีส่วนร่วมเพื่อส่งเสริมการรับรู้ความเข้าใจต่อ “การกำหนดขอบเขตพื้นที่เมืองเก่า” เพื่อให้ทุกภาคส่วนที่มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่เมืองเก่า ทั้งหน่วยงาน ภาครัฐ ภาคประชาชน ภาคประชาสังคม ภาคเอกชน และภาคธุรกจิ ในท้องถน่ิ ร่วมกันตัดสินใจ รวมท้ังช้ีแจง ตอบข้อซักถามในประเด็นที่ทุกหน่วยงานสนใจหรือมีข้อสงสัย จากนั้นจึงนำผลการประชุมระดมความ คิดเห็น ตลอดจนข้อเสนอแนะต่าง ๆ ที่ได้รับจากขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนนำมา ประมวลผลและเสนอต่อ “คณะอนุกรรมการกลั่นกรองและพิจารณาแผนการดำเนินงานในพื้นที่เมืองเก่า” พิจารณาและให้ความเหน็ ชอบ จากนั้นจึงนำร่างเขตพื้นที่เมืองเก่าที่ผ่านการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจจากภาคส่วนต่าง ๆ ของท้องถิ่น โดยคณะอนุกรรมการที่เกี่ยวข้อง ภายใต้คณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่า พิจารณาให้ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะ เมื่อดำเนินการครบตามขั้นตอนแล้ว จึงเสนอ คณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่า และคณะรัฐมนตรี พิจารณาให้ความ เห็นชอบ เพอ่ื ประกาศเขตพืน้ ท่เี มอื งเกา่ ตอ่ ไป 7

โครงการกำหนดขอบเขตพนื้ ท่เี มอื งเกา่ ซึ่งคณะกรรมการฯ โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีได้ประกาศเขตพื้นที่เมืองเก่ากลุ่มที่ 1 แลว้ รวม 10 เมอื ง (เมืองเก่าเชยี งใหม่ เมืองเก่าลำพูน เมืองเกา่ ลำปาง เมืองเก่านา่ น เมอื งเกา่ กำแพงเพชร เมืองเก่าลพบุรี เมืองเก่าพิมาย เมืองเก่านครศรีธรรมราช เมืองเก่าสงขลา และเมืองเก่าพิษณุโลก) สำหรับ เมืองเก่ากลุ่มที่ 2 คณะกรรมการฯ ในการประชุมครั้งท่ี 1/2556 เมื่อวันท่ี 22 มกราคม พ.ศ. 2556 ลงมติ เห็นชอบการจัดลำดับความสำคัญเมืองเก่ากลุ่มท่ี 2 รวม 27 เมือง และเห็นชอบให้สำนักงานนโยบายและ แผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการกำหนดขอบเขตพื้นท่ีเมืองเก่าและกรอบแนวทางการ อนรุ ักษแ์ ละพฒั นาเมืองเก่า ดังนี้ ภาคเหนือ ไดแ้ ก่ 1) เมืองเกา่ แพร่ 2) เมอื งเกา่ เชยี งราย ภาคกลาง ได้แก่ 3) เมืองเกา่ พะเยา 4) เมืองเก่าพจิ ติ ร ภาคตะวันออก ไดแ้ ก่ 5) เมืองเกา่ ตาก 6) เมืองเกา่ แมฮ่ อ่ งสอน ภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ ได้แก่ 1) เมอื งเก่าเพชรบุรี 2) เมืองเก่าสพุ รรณบรุ ี ภาคใต้ ไดแ้ ก่ 3) เมืองเกา่ กาญจนบุรี 4) เมืองเก่าราชบุรี 5) เมืองเก่าอูท่ อง 6) เมืองเก่าสรรคบรุ ี 1) เมืองเก่าจันทบรุ ี 2) เมืองเกา่ ระยอง 3) เมอื งเกา่ นครนายก 1) เมอื งเก่ารอ้ ยเอด็ 2) เมืองเก่าบรุ รี ัมย์ 3) เมอื งเก่านครราชสีมา 4) เมอื งเกา่ สุรนิ ทร์ 5) เมืองเก่าสกลนคร 1) เมืองเก่าภเู กต็ 2) เมืองเก่าปัตตานี 3) เมอื งเก่าตะก่ัวปา่ 4) เมืองเกา่ สตลู 5) เมอื งเก่ายะลา 6) เมอื งเกา่ นราธิวาส 7) เมืองเกา่ ระนอง เมืองเก่ากลุ่มท่ี 2 ที่ได้ดำเนินการกำหนดขอบเขตพื้นที่เมืองเก่า และแนวทางการอนุรักษ์และ พฒั นาเมอื งเกา่ แลว้ มดี งั น้ี -เมืองเก่าแพร่ เมืองเก่าเพชรบุรี เมืองเก่าจันทบุรี และเมืองเก่าปัตตานี คณะรัฐมนตรีลงมติ เหน็ ชอบเมือ่ วนั ที่ 10 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2558 -เมืองเก่าเชียงราย เมืองเก่าสุพรรณบุรี เมืองเก่าระยอง เมืองเก่าบุรีรมั ย์ และเมืองเก่าตะก่ัวปา่ คณะรัฐมนตรลี งมตเิ ห็นชอบเมอ่ื วนั ท่ี 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 -เมืองเก่าพะเยา เมืองเก่าตาก เมืองเก่านครราชสีมา เมืองเก่าสกลนคร และเมืองเก่าสตูล คณะรฐั มนตรีลงมติเห็นชอบเม่อื วนั ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2559 -เมืองเก่าราชบุรี เมืองเก่าสุรินทร์ เมืองเก่าภูเก็ต และเมืองเก่าระนอง คณะรัฐมนตรีลงมติ เหน็ ชอบเม่อื วนั ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2560 8

เมืองเกา่ อุทยั ธานี -เมอื งเกา่ กาญจนบุรี เมืองเก่าแม่ฮ่องสอน เมอื งเกา่ ยะลา และเมืองเก่านราธิวาส คณะรัฐมนตรี ลงมติเห็นชอบเม่อื วนั ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 นอกจากน้ี มีเมอื งเปา้ หมายทตี่ อ้ งดำเนินการประกาศเขตพื้นทเ่ี มืองเกา่ เพิ่มเตมิ จำนวน 4 เมือง (เมืองเก่าร้อยเอ็ด เมืองเก่าอุทัยธานี เมืองเก่าตรัง และเมืองเก่าฉะเชิงเทรา) สำหรับเมืองเก่าร้อยเอ็ด อยู่ ระหว่างเสนอคณะรัฐมนตรี พิจารณาให้ความเห็นชอบขอบเขตพื้นที่เมืองเก่า กอปรกับคณะกรรมการ อนรุ ักษแ์ ละพฒั นากรงุ รตั นโกสนิ ทร์และเมืองเก่า ในการประชมุ ครงั้ ท่ี 1/2561 เมื่อวนั ท่ี 16 มีนาคม 2561 มีมติให้ดำเนินการศึกษาความเหมาะสมในการประกาศเขตพื้นที่เมืองเก่าอุทัยธานี และเมืองเก่าตรัง และ คณะอนุกรรมการกลั่นกรองและพิจารณาแผนการดำเนินงานในพื้นที่เมืองเก่า ในการประชุมครั้งที่ 2/2561 เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2561 ให้ดำเนินการศึกษารวบรวมข้อมูลพื้นที่เมืองเก่าฉะเชิงเทรา เนื่องจากมีลักษณะเมืองเป็นไปตามนิยามเมืองเก่าตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการอนุรักษ์ และพัฒนากรงุ รัตนโกสนิ ทร์ และเมืองเก่า ดังนั้น ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 จึงได้ดำเนินการศึกษาพื้นที่เมืองเก่าเพื่อประกาศเขตพื้นที่ เมืองเกา่ เพ่มิ เตมิ 3 เมือง ได้แก่ เมอื งเกา่ อุทยั ธานี เมอื งเกา่ ตรัง และเมืองเกา่ ฉะเชิงเทรา 2. กรอบแนวทางการอนุรักษแ์ ละพัฒนาเมอื งเกา่ การอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า มุ่งเน้นความเป็นเมืองเก่าที่สะท้อนให้เห็นคุณค่าการพัฒนาท่ี เกดิ ข้นึ ในแตล่ ะยุคสมัย ผสมผสานววิ ัฒนาการผ่านกาลเวลาของระบบเศรษฐกจิ สังคม การปกครอง จารีต ประเพณี วิถีการดำเนินชีวิต การสร้างการทำลายจากภัยคุกคามต่าง ๆ ที่เหลืออยู่ไม่ว่าขนาดรูปทรง สัณฐานของเมือง แนวคูเมือง กำแพงเมือง โบราณสถาน ศาสนสถาน แม่น้ำ เขตทางสัญจร รูปแบบ สถาปัตยกรรมอาคารและสิ่งปลูกสร้างทางศิลปกรรมเชิงช่างที่บ่งบอกความเป็นกลุ่มเชื้อชาติ เป็น องคป์ ระกอบของเมืองที่ถา่ ยทอดคณุ ค่าทางประวตั ศิ าสตรก์ ารต้ังถ่นิ ฐาน รวมถงึ สงิ่ ท่เี กิดขึ้นใหม่ตา่ ง ๆ สภาพแวดล้อมของเมอื ง จะอยู่ภายในโครงสรา้ งของเมือง (Urban Structure) ในส่วนของทีต่ ้งั อาณาเขตแนวคูเมอื ง กำแพงเมือง ภูมปิ ระเทศ พ้ืนท่ี ซง่ึ รายล้อมองคป์ ระกอบของเมือง ใหเ้ กิดขนาดความ สมดุลอย่างลงตัว (Urban Optimum Size) หมายถึง การมีพื้นที่ไม่ใหญ่หรือเล็กเกินไป เพียงพอต่อการ รองรบั ประชาชนจำนวนหนึ่ง มีความหนาแน่นพอสมควร มสี าธารณูปโภค สาธารณปู การ ถนน ทางสัญจร ขนาดเล็ก ที่อยู่อาศัย สถานประกอบการ แยกอยู่เป็นบริเวณย่านเมือง ทำหน้าที่การบริหาร การปกครอง การผลิต การค้า และให้บริการแก่ชุมชนรอบนอก ตามศักยภาพที่เป็นอยู่ ซึ่งแตกต่างจากเมืองใหม่ คือ ไม่ต้องการเพิ่มหรือขยายการพัฒนาใด ๆ ลงในเมืองมากจนอาจเป็นเหตุให้เมืองต้องเสียความสมดุล ทว่า ต้องพัฒนาบนฐานคุณค่า ส่วนการพัฒนาเพื่อเพิ่มผลตอบแทนด้านเศรษฐกิจ ควรจะออกไปยังพื้นที่ใหม่ ปล่อยให้เมืองเก่ายังคงมีวิถีการคงอยู่เพียบพร้อมด้วยสภาพแวดล้อมที่ดี มีบรรยากาศอันเป็นเอกลักษณ์ ดำรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์โบราณคดี สถาปัตยกรรม ศิลปกรรม และขนบธรรมเนียมประเพณี สืบทอด เปน็ มรดกทางวัฒนธรรมให้ชนร่นุ หลงั ไดภ้ าคภมู ใิ จ 9

โครงการกำหนดขอบเขตพื้นทีเ่ มืองเกา่ ดังนั้น กรอบแนวคิดหลักจึงอยู่บนพื้นฐานของการพัฒนาในเชิงอนุรักษ์ โดยแยกพื้นที่พัฒนาเชิง เศรษฐกจิ ออกจากพ้ืนทีเ่ มอื งเกา่ แต่ยังคงแสดงให้เห็นถึงการเชื่อมโยงของพ้ืนที่ทัง้ สองลักษณะ แล้วจึงค่อย ๆ ดำเนินมาตรการในการฟื้นฟูพื้นที่เมืองเก่าเพื่อให้องค์ประกอบของชุมชนเมืองเดิมปรากฏเอกลักษณ์ขึ้น อยา่ งเด่นชดั ทง้ั บูรณภาพ ความเปน็ ของแท้ และระบบนเิ วศของเมือง กรอบแนวทางการอนุรักษแ์ ละพัฒนาเมอื งเก่า ประกอบด้วย 2.1 การบริหารจัดการ อาศัยอำนาจตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และ เมืองเก่า พ.ศ. 2546 แต่งตั้งคณะอนุกรรมการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าแต่ละเมือง เพื่อกำหนดนโยบาย แผนงาน มาตรการและแนวทางเกี่ยวกับการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า และให้การอนุรักษ์และพัฒนา เมืองเก่าดำเนินไปอย่างมีระบบและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการประชาสัมพันธ์และส่งเสริมให้ภาคเอกชน และประชาชนได้มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า ให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สืบทอดความ เจรญิ รุ่งเรอื งทางด้านศลิ ปวัฒนธรรมของชาติตลอดไป 2.2 การส่งเสริมและรักษาคุณภาพสงิ่ แวดลอ้ ม อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 เพ่ือกำหนดใหพ้ ้นื ท่ีเมอื งเกา่ เปน็ เขตอนุรักษแ์ ละพน้ื ท่ีคุม้ ครองสิ่งแวดล้อม เพ่อื รักษาสภาพแวดล้อมและสร้าง ความชัดเจนในการพฒั นาทีเ่ หมาะสมกบั ศกั ยภาพ บทบาท ความสำคัญในแตล่ ะพื้นท่ี ซ่ึงจะใช้เปน็ แนวทางใน การออกข้อบัญญตั หิ รอื ข้อบงั คบั ควบคุมทมี่ มี าตรการปกป้องคมุ้ ครองพ้นื ทีเ่ มอื งเก่า 2.3 การอนุรกั ษ์โบราณสถานและสถานที่ทีม่ ีคุณค่าและความสำคัญ อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถาน แห่งชาติ พ.ศ. 2504 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 ในการปกป้องและคุ้มครองมรดกทาง วัฒนธรรมเพื่อประโยชน์ในการดูแลรักษาและการควบคุมโบราณสถาน โดยประกาศให้อาคารหรือสถานท่ี ท่ีมีคุณคา่ และความสำคญั ที่ยงั ไมไ่ ดร้ ับการข้ึนทะเบยี นเป็นโบราณสถาน ใหม้ กี ารขนึ้ ทะเบยี นและประกาศเขต โบราณสถาน รวมถึงโบราณสถานที่ขึ้นทะเบียนแล้ว ก็สามารถขยายเขตที่ดินโบราณสถานให้มากขึ้นตาม ความเหมาะสม เพือ่ สร้างพน้ื ท่ีคุ้มครองโบราณสถานท่มี ปี ระสทิ ธภิ าพยิ่งข้ึน 2.4 การควบคมุ การใช้ประโยชน์ที่ดนิ อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. 2562 และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างหรือพัฒนาเมืองหรือส่วนของเมืองขึ้นมาใหม่ หรือแทนเมือง หรือส่วนของเมืองที่ได้รับความ เสียหาย ให้มีสภาพแวดล้อมและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ มีการดำรงรักษา หรือบูรณะสถานที่และวัตถุที่มีคุณค่าทางด้านศิลปกรรม สถาปัตยกรรม ประวัติศาสตร์ หรือโบราณคดี 10

เมืองเกา่ อทุ ยั ธานี หรือการบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติ รวมทั้งภูมิประเทศที่งดงาม หรือมีคุณค่าทางธรรมชาติ ซึ่งใน ภาพรวมจะมบี ทบาทสำคญั มากต่อการกำหนดทศิ ทางการพฒั นาเมือง เพ่อื ประโยชน์แก่ประชาชนส่วนรวมใน ด้านต่าง ๆ อย่างเป็นระเบียบแบบแผน โดยผังเมืองรวมจะกำหนดกรอบการพัฒนาเมืองทางด้านการใช้ ประโยชน์ที่ดิน โครงข่ายการคมนาคมขนส่ง การสาธารณูปโภคเอาไว้อย่างกว้าง ๆ ส่วนผังเมืองเฉพาะจะ เน้นรายละเอียดของแผนผัง และดำเนินการเพื่อโครงการพัฒนาหรือดำรงรักษาบริเวณเฉพาะแห่งหรือ กิจการที่เกี่ยวข้องในเมือง เพ่ือประโยชน์ในการพัฒนา อนุรักษ์ หรือฟื้นฟูเมือง ตลอดจนการกำหนด มาตรการอ่นื ๆ เพื่อใชค้ วบคมุ การใช้ประโยชนท์ ี่ดนิ และกิจกรรมทีล่ ะเอยี ดกวา่ ในผงั เมอื งรวม 2.5 การควบคมุ การกอ่ สร้างและดดั แปลงอาคาร อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 และ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2543 (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2550 และ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2558 และกฎกระทรวงท่ี เกี่ยวข้อง เพื่อรักษาสภาพแวดล้อมและองค์ประกอบของเมืองในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอาคารและการใช้ ประโยชน์ที่ดินเพื่อปลูกสร้างอาคาร ให้เมืองเกิดความเป็นระเบียบและมีความน่าอยู่ ซึ่งย่อมทำให้ ประชาชนส่วนรวมมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นอกจากนี้ยังให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมีอำนาจออก ประกาศกระทรวงมหาดไทยและกฎกระทรวงเพื่อควบคุมรายละเอียดการก่อสร้าง ดัดแปลง เคลื่อนย้าย รื้อถอน ใช้หรือเปลี่ยนการใช้อาคาร รวมถึงการกำหนดลักษณะ แบบ รูปทรง สัดส่วน เนื้อที่ ที่ตั้งของอาคาร ระดับ เนื้อที่ว่างภายนอกอาคาร หรือแนวอาคารและระยะหรือระดับ ระหว่างอาคารกับอาคารหรือเขตที่ดิน ของผู้อน่ื หรือระหว่างอาคารกับถนน ทางเท้า หรอื ที่สาธารณะ มาตรการควบคุมเร่ืองปา้ ย และท่วี า่ งริมแหล่ง นำ้ สาธารณะ 2.6 การควบคุมกิจกรรมบางประเภทท่ีไม่เหมาะสม อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น พ.ศ. 2542 พระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2537 และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อ ควบคุมกิจกรรมบางประเภทที่ไม่เหมาะสมกับพื้นที่เมืองเก่าในรูปประกาศและ/หรือข้อบัญญัติท้องถิ่นท่ี เอือ้ ตอ่ การนี้ได้ 2.7 มาตรการด้านอื่นๆ ทเ่ี อ้ือตอ่ การอนรุ กั ษ์และพัฒนาเมอื งเกา่ (1) การจงู ใจทางด้านภาษี ได้แก่ - ลดภาษีบางประเภทให้แก่เจ้าของที่ดินและเจ้าของอาคารที่ถูกควบคุมด้วย มาตรการตา่ ง ๆ - ลดภาษีบางประเภทแก่เจ้าของที่ดิน เจ้าของอาคาร ที่นำเงินไปใช้ในกิจกรรม ทีเ่ กย่ี วข้องกับการอนรุ ักษ์ เชน่ การดดั แปลงอาคารให้เหมาะสมกบั แนวทางทีก่ ำหนด 11

โครงการกำหนดขอบเขตพน้ื ที่เมืองเกา่ - ปรับระบบการจัดเก็บบางประเภท ให้สอดคล้องกับระดับการจัดให้มีระบบ สาธารณูปโภคสาธารณูปการในพื้นที่ เช่น ผู้อยู่ในพื้นที่ที่มีสาธารณูปโภค-สาธารณูปการบริการสมบูรณ์ จะตอ้ งเสยี ภาษีสูงกวา่ พ้ืนทีท่ ีย่ ังขาดแคลนสาธารณูปโภค สาธารณปู การ - ปรับปรุงระบบภาษีในกิจกรรมบางประเภทให้สอดคล้องกับความเป็นจริงเพ่ือ ผูก้ อ่ ให้เกิดมลพษิ จะตอ้ งจ่ายภาษใี นการแกไ้ ขปญั หาและผลกระทบทีเ่ กิดขึ้น (2) การนำค่าธรรมเนียมมาใช้บำรุงรักษาโบราณสถาน ให้มีการยกเว้นภาษีหรือ ค่าธรรมเนียมจากผู้ประกอบการประเภทพิพิธภัณฑ์หรือกิจกรรมที่คล้ายคลึงกัน เพื่อนำเงินไปใช้ในการ ดแู ลรักษาและบูรณะโบราณสถานและอาคารเก่าอนั ควรคา่ ตอ่ การอนรุ กั ษ์ (3) การให้โอนสิทธิการพัฒนา ในกรณีผู้ที่เปน็ เจ้าของที่ดินหรือเจ้าของอาคารอยู่ในพื้นที่ อนุรักษ์ ได้รับผลกระทบจากมาตรการการควบคุมด้านตา่ ง ๆ เชน่ การควบคุมการใช้พ้นื ที่เพื่อก่อสร้างอาคาร มาตรการควบคุมความสูงอาคาร เป็นต้น ควรมีการพิจารณาให้สิทธิพิเศษแก่บุคคลกลุ่มนี้ เช่น สิทธิในการ ก่อสร้างอาคารสูงหรืออาคารขนาดใหญ่ในบางบริเวณหรือพื้นที่อื่น ให้ได้สิทธิทางภาษีและค่าธรรมเนียม ใน การขายหรอื โอนเพื่อเป็นการชดเชยการเสียสิทธิในพื้นที่อนุรักษ์ที่ตนเป็นเจ้าของ และ/หรือชดเชยผลกระทบ จากการถูกควบคมุ ด้วยมาตรการทางกฎหมาย (4) การมอบรางวัลอนุรักษ์ดีเด่น จัดให้มีการประกวดอาคารอนุรักษ์ดีเด่น โดยมอบ รางวัลเปน็ เงนิ กองทุนหรอื เกียรติบตั รเพือ่ เปน็ การเชดิ ชูเกียรตแิ กเ่ จา้ ของอาคารนั้น ๆ (5) การจัดหาทุนสมทบการอนุรักษ์ โดยขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนต่าง ๆ ท้ัง ภาคราชการ เอกชน และประชาคม ได้แก่ กองทุนโบราณคดี กองทุนสิ่งแวดล้อม กองทุนจากองค์กร ระหวา่ งประเทศ กองทุนสง่ เสรมิ กิจการเทศบาล และกองทนุ ส่งเสรมิ กิจการองคก์ ารบริหารสว่ นจงั หวดั ฯลฯ 3. หลักการกำหนดขอบเขตพ้นื ท่ีเมืองเก่า การกำหนดขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าเป็นการดำเนินงานขั้นตอนแรกในการอนุรักษ์และพัฒนา เมืองเก่า ก่อนที่จะมีการกำหนดนโยบาย มาตรการ แผนงาน โครงการ และแนวทางการดำเนินงานต่าง ๆ เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติในการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าอย่างเป็นรูปธรรม โดยจังหวัดและทุกภาคส่วนท่ี เกยี่ วข้อง ซงึ่ มีขนั้ ตอนการดำเนนิ งานกำหนดขอบเขตพ้นื ท่ีเมอื งเก่า ดังนี้ 3.1 การเกบ็ รวบรวมและศึกษาวิเคราะห์หลักฐานและขอ้ มูล การเก็บรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับพื้นทีเ่ มืองเก่า ทั้งข้อมูลปฐมภูมิ ข้อมูลทุติยภูมิ และข้อมูล ทีไ่ ดจ้ ากการสำรวจภาคสนาม โดยมรี ายละเอยี ดของประเด็นการศึกษา ประกอบด้วย (1) ประวัตคิ วามเปน็ มา และพฒั นาการทางประวัตศิ าสตรข์ องพน้ื ท่ศี ึกษา (2) องค์ประกอบของเมืองเก่า ได้แก่ กำแพงเมือง คูเมือง แบบแผนโครงข่ายคมนาคมในเมือง บริเวณ/ยา่ นเกา่ ทส่ี ำคญั ของเมือง ทห่ี มายตาในบรเิ วณเมอื งเกา่ และธรรมชาตใิ นเมืองเกา่ เปน็ ตน้ 12

เมอื งเก่าอุทยั ธานี (3) สถาปัตยกรรม และศิลปกรรมของแหล่งโบราณสถาน อาคาร และสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ที่มี ความสำคัญและมคี ุณคา่ ในพ้นื ทศ่ี กึ ษา เป็นตน้ 3.2 การวเิ คราะห์และประเมินคุณค่าความสำคญั องคป์ ระกอบของเมือง ในการอนุรักษ์จำเป็นที่จะต้องอนุรักษ์ทั้งอาคาร สภาพแวดล้อม และบริเวณที่มีคุณค่า ซึ่งมักมี ความแตกต่างกันด้วยองค์ประกอบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ดังนั้นการวิเคราะห์และประเมินคุณค่าและ ความสำคัญขององค์ประกอบต่าง ๆ ของเมือง ในที่นี้จึงพิจารณาจากเกณฑ์คุณค่าในด้านต่าง ๆ ที่มี หลักเกณฑ์กำหนดไว้ ประกอบด้วย คุณค่าด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดี คุณค่าด้านอายุและความ เก่าแก่ คุณค่าด้านสภาพอาคาร สถานที่ และโบราณสถาน คุณค่าด้านสถาปัตยกรรมและศิลปกรรม คุณค่า ด้านองค์ประกอบเมืองและภาพลักษณ์ของเมือง (Image of City) และคุณค่าความสำคัญต่อสังคมและ ชุมชน ซึ่งผลจากการประเมินดังกล่าวเป็นแนวทางที่ทำให้ทราบถึงคุณค่า ตลอดจนระดับคุณค่าของ โบราณสถาน อาคาร และสถานที่เหล่านั้น อันเป็นประโยชน์ในการกำหนดขอบเขตพื้นที่เมืองเก่า และ ความสำคัญของพื้นที่ (Zones) เมืองเก่าในแต่ละเขต โดยบริเวณที่มีการรวมกลุ่มหรือกระจุกตัวของอาคาร และสถานที่ที่มีคุณค่า มักเป็นบริเวณที่มีความสำคัญมากกว่าบริเวณที่ปริมาณอาคารที่มีคุณค่าจำนวนน้อย กว่า ซึ่งจะเป็นประโยชน์ให้สามารถกำหนดความเข้มในการอนุรักษ์ บูรณะฟื้นฟู และพัฒนาได้ไม่เท่ากัน สำหรับการประเมินโบราณสถาน อาคาร และสถานที่สำคัญที่มีคุณค่า ในที่นี้พิจารณาจากผลของคะแนน รวมที่มาจากเกณฑ์หลักที่ใช้ในการประเมิน ซึ่งได้จากการลงสำรวจพื้นที่ ซึ่งมีรายละเอียดของเกณฑ์ที่ใช้ใน การประเมิน ดงั น้ี (1) เกณฑ์คุณค่าทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี พิจารณาจากความสำคัญในทาง ประวัติศาสตร์และโบราณคดีว่ามีมากน้อยเพียงใด และจัดอยู่ในระดับชาติหรือระดับท้องถิ่น เช่น ระบุว่า มีความสำคัญมาก เนื่องจากเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สำคัญหรือบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ของชาติ หรือในเมืองนั้น ๆ หรือเป็นหลักฐานแสดงถึงวิวัฒนาการและอารยธรรมของเมือง หากเกี่ยวข้องมากจะได้ คะแนนมากตามลำดบั โดยมคี า่ คะแนนสูงสดุ 3 คะแนน (2) เกณฑ์คุณค่าด้านอายุและความเก่าแก่ พิจารณาจากอายุขององค์ประกอบของ เมืองเหล่านั้นว่าปลูกสร้างขึ้นเมื่อใด มีอายุมากน้อยเพียงใด หรือประมาณความเก่าแก่ขององค์ประกอบ ของเมืองนั้น ๆ โดย พิจารณาจากลักษณะ/วิธีการก่อสร้าง ช่างฝีมือ และประวัติของสิ่งปลูกสร้างนั้น หาก มีอายุมากหรอื มคี วามเกา่ แกม่ ากจะได้คะแนนมากตามลำดบั โดยมคี า่ คะแนนสงู สดุ 3 คะแนน (3) เกณฑ์คุณค่าด้านสภาพอาคาร สถานที่ และแหล่งโบราณสถาน พิจารณาจาก สภาพของโบราณสถาน อาคาร และสถานที่สำคัญว่าอยู่ในระดับใด อยู่ในสภาพดีแค่ไหน ทรุดโทรมมาก นอ้ ยเพยี งใด การบูรณะซ่อมแซมทำไดเ้ พยี งใด เช่น อาคารทีม่ คี ณุ คา่ ทางศิลปกรรมใกล้เคยี งกนั แต่มสี ภาพ อาคารดีกว่าก็จะมีคะแนนที่สูงกว่า แม้ว่าอาคารที่มีคุณค่าทางศิลปกรรมสูงกว่าแต่ยากต่อการบูรณะ หากบูรณะใหม่เป็นส่วนใหญ่อาคารก็อาจเสี่ยงต่อการผิดเพี้ยนและทำให้คุณค่าด้อยลงไป รวมไปถึงความ สะอาดเป็นระเบยี บเรยี บร้อย ความม่ันคงแข็งแรง การประดับตกแต่งยงั คงความงดงามและมีคุณค่า หรือมี 13

โครงการกำหนดขอบเขตพนื้ ที่เมอื งเก่า การดัดแปลงทางกายภาพแต่ยังคงรูปแบบดั้งเดิมอยู่ในปริมาณมากพอสมควร และอยู่ในสภาพที่ดี ซึ่งการ ให้คะแนนจะให้คะแนนมากนอ้ ยตามลักษณะทางกายภาพท่ีปรากฏ โดยมคี า่ คะแนนสูงสดุ 3 คะแนน (4) เกณฑ์คุณค่าด้านสถาปัตยกรรมและศิลปกรรม พิจารณาจากลักษณะทาง สถาปัตยกรรมและศิลปกรรมของอาคารและสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ว่าจัดอยู่ในรูปแบบ/รูปทรงลักษณะใด โดยเปรียบเทียบกับอาคารรูปแบบเดียวกันทั้งในระดับชาติหรือท้องถิ่น หรือมีลักษณะเฉพาะทาง สถาปัตยกรรมของพื้นที่นั้น ๆ ที่หาไม่ได้ในพื้นที่อืน่ ในระดับชาติ หรือมีลกั ษณะโครงสร้างและการก่อสรา้ ง เฉพาะอย่างพิเศษ ซึ่งจะได้คะแนนมากน้อยตามลำดับ โดยมีค่าคะแนนสูงสดุ 3 คะแนน เช่น พบว่าอาคาร หรือสิ่งปลูกสร้างที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์สูงจากเกณฑ์การพิจารณาข้างต้น แต่ความสำคัญ ทางศิลปกรรมไม่มาก เนื่องจากเป็นรูปแบบอาคารยุคสมัยอาณานิคมเช่นเดียวกับอาคารอื่น ๆ ที่ถูกสร้าง กันทั่วไปที่ไม่ค่อยมีความโดดเด่น โดยยังปรากฏอาคารที่มีคุณลักษณะเดียวกันนี้อยู่อีกมากพอควร จงึ ได้คะแนนไมม่ าก (5) เกณฑ์คุณค่าด้านองค์ประกอบและภาพลักษณ์ของเมือง (Image of City) พิจารณาจากคุณค่าด้านที่ตั้ง โดยคำนึงถึงความสัมพันธ์ต่อส่วนอื่นๆ ของเมืองมากน้อยไม่เท่ากัน ความสมั พันธ์ขององค์ประกอบส่วนต่าง ๆ ของเมืองที่ทำให้เห็นรอ่ งรอยรูปแบบหรอื แบบแผนของผงั เมอื งเก่า หรือแสดงการใช้พื้นท่ี ขนาดสัดส่วนที่ว่างเฉพาะอย่างภายในเมืองเก่า และความกลมกลืนของแต่ละ องค์ประกอบของเมืองกับบริเวณโดยรอบ เป็นต้น รวมถึงพิจารณาจากการออกแบบชุมชนเมืองหรือเมือง ว่าองค์ประกอบของเมืองที่สำคัญต่าง ๆ เหล่านั้นมีผลอย่างไรต่อการรับรู้ได้ของผูค้ นที่เกี่ยวกับภาพลักษณ์ หรือจินตภาพ ทั้งตัวอาคาร สถานที่ หรือบริเวณส่วนใดส่วนหนึ่งของเมือง เมื่อเดินทางเข้าไปยังเมืองนัน้ ๆ ตามทฤษฎี Image of the City (Lynch, 2000) เช่น ตำแหน่ง ที่ตั้ง สังเกตเห็นได้ง่าย โดยอยู่บนทาง สัญจรหลัก อยู่บริเวณจุดตัดของทางสัญจร หรือติดกับที่โล่งว่าง เมืองมีเส้นทาง (path) และขอบ (edge) ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ หรือตัวอาคารเองมีลักษณะทางกายภาพโดดเด่นจนเป็นที่หมายรู้/หมายตา (landmark) หรือมีย่าน (district) ที่มีลักษณะพิเศษทั้งลักษณะทางกายภาพและกิจกรรมที่ปรากฏบน พื้นที่ย่านนั้น เป็นต้น ซึ่งจะได้คะแนนมากน้อยตามสิ่งที่ปรากฏทางกายภาพและการรับรู้ได้ทางกายภาพ ของพืน้ ท่หี รอื บริเวณน้นั โดยมีคา่ คะแนนสูงสุด 3 คะแนน (6) เกณฑ์คุณค่าความสำคัญต่อสังคมและชุมชน พิจารณาจากความสำคัญของอาคาร พื้นที่โบราณสถานที่มีต่อระบบทางสังคมและมีความสำคัญหรือเป็นส่วนหนึ่งต่อระบบของย่านหรือชุมชน ในปัจจุบันที่คนในชุมชนรับความเกี่ยวข้องอย่างใดอย่างหนึ่งต่อพื้นที่ดังกล่าว เช่น การเป็นสถานท่ี ศกั ดสิ์ ิทธ์ิ สถานที่สาธารณะของชมุ ชนหรือเมอื งน้นั ๆ โดยมคี ่าคะแนนสูงสดุ 3 คะแนน ทั้งนี้ การวิเคราะห์และประเมินคุณค่าโบราณสถาน อาคาร สถานที่สำคัญ จากการให้คะแนน ตามเกณฑ์ขา้ งต้น และการให้ค่านำ้ หนักความสำคญั ของแต่ละปัจจัยที่มีผลต่อการอนุรักษ์จะดำเนินการใน รูปแบบกลุ่มผู้ประเมินเพื่อกระจายน้ำหนักต่อความคิดเห็นเฉพาะบุคคล ร่วมกับการกำหนดระดับคะแนน ค่าน้ำหนักต่อคุณค่าในแต่ละเกณฑ์ ซึ่งผลคะแนนรวมที่ได้จากการประเมินคุณค่าตามเกณฑ์ดังกล่าว 14

เมอื งเกา่ อทุ ัยธานี สามารถนำไปใช้สำหรับการวางแผนที่แยกแยะระดับความสำคัญ และศักยภาพขององค์ประกอบของเมือง ที่สำคัญในพื้นที่เมืองเก่า เพื่อการอนุรักษ์และพัฒนาในด้านต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม รวมทั้งนำไปใช้เป็น ข้อมูลสนับสนุนในการกำหนดขอบเขตพื้นทเี่ มอื งเกา่ ได้อกี ด้วย ทั้งนี้ การวิเคราะห์และประเมินคุณค่าโบราณสถาน อาคาร สถานที่สำคัญ จากการให้คะแนน ตามเกณฑ์ขา้ งต้น และการให้ค่านำ้ หนักความสำคญั ของแต่ละปัจจัยท่ีมีผลต่อการอนุรักษ์จะดำเนินการใน รูปแบบกลุ่มผู้ประเมินเพื่อกระจายน้ำหนักต่อความคิดเห็นเฉพาะบุคคล ร่วมกับการกำหนดระดับคะแนน ค่าน้ำหนักต่อคุณค่าในแต่ละเกณฑ์ ซึ่งผลคะแนนรวมที่ได้จากการประเมินคุณค่าตามเกณฑ์ดังกล่าว สามารถนำไปใช้สำหรับการวางแผนที่แยกแยะระดับความสำคัญ และศักยภาพขององค์ประกอบของเมอื ง ที่สำคัญในพื้นที่เมืองเก่า เพื่อการอนุรักษ์และพัฒนาในด้านต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม รวมทั้งนำไปใช้เป็น ขอ้ มลู สนบั สนนุ ในการกำหนดขอบเขตพ้ืนท่เี มอื งเก่าได้อีกด้วย 3.3 การระบหุ รอื กำหนดขอบเขตพ้ืนทเ่ี มอื งเกา่ การระบุหรือกำหนดขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าเพื่อการอนุรักษ์และพัฒนาดำเนินการบนพื้นฐาน การสนับสนุนของข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูลที่ให้เห็นคุณค่าความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ศิลปกรรม สถาปัตยกรรมขององค์ประกอบเมืองข้างต้น ร่วมกับเหตุผลความจำเป็นที่จะต้องปกป้องคุ้มครองบริเวณ แวดล้อมของพื้นที่เมืองเก่านั้น ๆ ได้แก่ สภาวะเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ สภาวะคุกคามจากการพัฒนา สมัยใหม่ ระดับของการบูรณะหรือดูแลรักษา ความกลมกลืนกับบริบทของเมือง และความสนใจของ ท้องถิ่นต่อการมีส่วนร่วม เป็นต้น การกำหนดขอบเขตพื้นที่เมืองเก่า เพื่อการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า ในทนี่ ี้แบ่งการกำหนดขอบเขตพืน้ ที่ออกเปน็ 3 ระดบั ดงั น้ี (1) ขอบเขตพนื้ ที่เมอื งเกา่ หรือพื้นทหี่ ลัก (Core Zone) เป็นขอบเขตที่ครอบคลุมพื้นที่ที่มีองค์ประกอบของเมืองเก่าที่มีคุณค่าความสำคัญที่ เกาะกลุ่มรวมกันเป็นบริเวณที่ชัดเจน และมีความเป็นของแท้ดั้งเดิมและบูรณภาพ (Authenticity and Integrity) ร่วมกับเหตุผลความจำเป็นต่าง ๆ ข้างต้นที่ต้องได้รับการดูแลและปกป้องคุ้มครองท้ัง องค์ประกอบของเมืองและบริเวณแวดล้อมนั้นอย่างเข้มข้น โดยต้องเร่งวางแผนบริหารจัดการเพื่อการ อนุรกั ษแ์ ละพฒั นาพน้ื ท่ีเมอื งเก่าให้สามารถรกั ษาบรรยากาศและอตั ลักษณข์ องความเป็นเมอื งเกา่ ไวไ้ ด้มาก ที่สุด นอกจากนี้ ภายในพื้นที่เมืองเก่ายังมีการแบ่งเขตพื้นที่ (Zoning) ตามคุณค่าและความสำคัญของ องค์ประกอบเมืองและบริเวณแวดลอ้ ม ท้งั นี้ เพือ่ ให้การวางแผนและการกำหนดมาตรการการจัดการพื้นที่ ในแตล่ ะเขต (Zones) ภายในพื้นทีเ่ มืองเก่าเกดิ ความเหมาะสมในทางปฏบิ ตั ิ (2) พนื้ ที่ต่อเน่อื ง (Buffer Zone) เป็นบริเวณที่ต่อเนื่องกับเขตพื้นที่เมืองเก่าหรือพื้นที่หลัก โดยพื้นที่นั้นอาจมีหรือไม่มี องค์ประกอบที่สำคญั ของเมืองที่มีคุณค่าก็ได้ แต่เป็นบริเวณที่มีความสำคญั ต่อการส่งเสริมการอนุรักษแ์ ละ 15

โครงการกำหนดขอบเขตพ้นื ทีเ่ มอื งเก่า พัฒนาพื้นที่เมืองเก่าหรือพื้นที่หลักให้มีความโดดเด่น และสอดคล้องกับบริบทความเป็นเมืองเก่านั้น ๆ ทั้งนี้ เพื่อเป็นข้อเสนอให้ท้องถ่ินและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พิจารณาวางแผนการพัฒนาในด้านต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับพน้ื ทเี่ มอื งเก่า (3) พน้ื ท่เี ก่ียวเน่ือง (Related Zone) เป็นบริเวณที่มีความเกี่ยวข้องหรือมีความสัมพันธ์กับพื้นที่เมืองเก่าหรือพื้นที่หลักทั้ง ทางตรงและทางอ้อม เป็นบริเวณที่มีลักษณะเฉพาะที่โดดเด่นและมีความสำคัญต่อการส่งเสริมและ สนับสนุนการอนุรักษ์และพัฒนาพื้นที่เมืองเก่าและพื้นที่ต่อเนื่องให้มีคุณค่า หรือเพื่อป้องกันและบรรเทา ปญั หาทีอ่ าจเกิดขน้ึ กับพน้ื ที่เมอื งเก่าและพ้ืนท่ีต่อเนื่องได้ เชน่ การรักษาสมดุลของสภาพแวดลอ้ มและระบบ นิเวศ การป้องกันภัยพิบัติต่าง ๆ เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อเป็นข้อเสนอแนะให้ท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ พิจารณาวางแผนการพัฒนาในด้านต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับบริบทของพื้นที่เมืองเก่าและพื้นที่ต่อเนื่อง เช่น ควบคมุ หรือจำกัดการปลูกสรา้ งส่ิงที่ขัดแย้งกับธรรมชาติของพ้ืนท่ี การรักษาสภาพแวดล้อม และนิเวศวิทยา ดั้งเดิมของพื้นที่ การคำนึงถึงภัยพิบัติ เช่น การป้องกันน้ำท่วม กระแสลม และคลื่น การส่งเสริมฟื้นฟู และ พัฒนาพื้นที่เพื่อการใช้ประโยชน์ที่สอดคล้องกับสภาพธรรมชาติของพื้นที่ เช่น ปรับปรุงพื้นที่เพื่อการ พักผอ่ นหยอ่ นใจ เปน็ แหล่งท่องเทย่ี วทางธรรมชาติ แหล่งเรยี นร้รู ะบบนิเวศป่าชายเลน เป็นต้น 3.4 การมสี ่วนรว่ มของทอ้ งถ่ิน การกำหนดขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าให้เกิดขึ้นได้จริงนั้น สิ่งที่สำคัญคือการได้รับการยอมรับจาก ภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่เมืองเก่า ประกอบด้วยภาคราชการทั้งส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น ที่เกี่ยวข้อง ภาคเอกชน และประชาชนผู้อาศัยหรือมีความเกี่ยวข้องกับพื้นท่ีเมืองเก่านั้น ก่อนที่จะมีการ ประกาศขอบเขตพื้นท่ีเมืองเก่าอย่างเป็นทางการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการอนุรักษ์และ พัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และเมืองเก่า พ.ศ. 2546 โดยจัดให้มีกิจกรรมเพื่อรับฟังความคิดเห็นและ ข้อเสนอแนะต่อการกำหนดขอบเขตพื้นที่เมืองเก่า ไม่น้อยกว่า 2 ครั้งต่อเมือง แล้วรวบรวมความคิดเห็น และข้อเสนอแนะท่ีได้จากการประชมุ ดังกล่าวไปปรบั แกแ้ นวเขตพื้นท่ีเมืองเก่า รวมทงั้ แนวทางการอนุรักษ์ และพัฒนาพื้นที่เมืองเก่า ทั้งนี้ การยอมรับจากภาคส่วนต่าง ๆ จะส่งผลต่อความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ หากเมอื งเหล่านั้นได้รับการประกาศเขตพืน้ ทเ่ี มืองเกา่ แลว้ จงึ นำเสนอต่อคณะกรรมการอนุรักษแ์ ละพัฒนา กรุงรตั นโกสนิ ทร์ และเมืองเก่า และคณะรฐั มนตรี เพื่อพิจารณาใหค้ วามเหน็ ชอบในลำดับตอ่ ไป 16

เมืองเกา่ อทุ ัยธานี 4. ขอบเขตพ้นื ท่ีเมืองเก่าอุทัยธานี จังหวดั อุทัยธานี 4.1 ความสำคัญของพนื้ ที่เมอื งเกา่ อุทัยธานี 4.1.1 ความเปน็ มา พฒั นาการทางประวตั ศิ าสตร์ และการต้ังถ่ินฐาน ในทอ้ งทเ่ี ขตจงั หวดั อุทัยธานีพบหลักฐานทางโบราณคดที ี่แสดงให้เห็นถงึ การตั้งถิ่นฐานของผู้คน มาอย่างช้าราวยุคก่อนประวัติศาสตร์สมัยเหล็กเป็นต้นมา ดังประจักษ์หลักฐานภาพเขียนสียุคก่อน ประวตั ศิ าสตรบ์ นผาหนิ เขาปลาร้า ทอี่ ำเภอลานสัก ซึง่ กำหนดอายุไดร้ าว 3,000 ปีมาแล้ว นับเป็นหลักฐาน สำคัญทแ่ี สดงให้เห็นว่าดนิ แดนแถบน้มี ีผู้คนลงหลกั ปักฐานมาแล้วแตโ่ บราณกาล สำหรับแหล่งโบราณคดียุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายที่พบในเขตจังหวัดอุทัยธานี เช่น “แหล่งโบราณคดีบ้านหลุมเข้า” (กรมศิลปากร, 2531) อำเภอหนองขาหย่าง “แหล่งโบราณคดีบ้านท่าทอง” อำเภอเมืองอุทัยธานี แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการทางสังคม วัฒนธรรมและการตั้งถิ่นฐานเป็นหลักแหล่งโดยมี ทำเลที่ต้ังเข้าใกลแ้ มน่ ้ำมากย่ิงขึ้น จากการศึกษาพื้นทด่ี ้วยเทคนิคการสัมผสั ระยะไกล (Remote Sensing) เพ่อื การแปลความหมาย จากภาพถ่ายดาวเทียม พบว่าพื้นที่ทางทิศใต้ของเมืองอุทัยธานีลงมาถึงบริเวณด้านทิศใต้ของวัดท่าซุง มีลำ คลองที่ปัจจุบันเรียกกันว่า “คลองยาง” เนื่องจากมี “วัดยาง” ตั้งอยู่บริเวณปากคลอง ซึ่งเป็นตำแหน่งท่ีลำ คลองได้มาบรรจบกับแม่น้ำสะแกกรัง เมื่อสำรวจลึกเข้าไปตามคลองยางจะผ่านแหล่งโบราณคดีบ้านท่าทอง และพบว่าภูมิประเทศบริเวณนี้มีกุดหรือทะเลสาบรูปแอกอยู่จำนวนหนึ่ง ทั้งยังปรากฏพื้นท่ีเป็นรอยบึงโค้ง (Oxbow Scar) ซึ่งเป็นพื้นที่ราบต่ำมีน้ำท่วมถึง อันเป็นลักษณะของลำน้ำโบราณ เป็นแนวลงไปจนถึงวัด หลมุ เข้า และตอ่ เน่อื งไปจนถึง “คลองเคียน” ซ่ึงคาดวา่ เคยเป็นลำน้ำโบราณท่ีมีบทบาทสำคัญในอดีต ลักษณะของพื้นที่ลุ่มอันเป็นร่องรอยของลำน้ำโบราณ สามารถลากเส้นสมมติเชื่อมระหว่าง “คลองยาง” ถึง “คลองเคียน” ได้ บ่งชี้ว่าคลองทั้งสองอาจเคยเป็นแม่น้ำสายเดียวกันมาก่อน และ สันนิษฐานว่าลำน้ำโบราณดังกล่าวยังเคยเป็นส่วนหนึ่งของแม่น้ำสะแกกรังสายเดิมก่อนที่จะเปลี่ยน ทิศทางและต้ืนเขนิ ไปในที่สุดอกี ด้วย จากยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายสู่การตั้งถิ่นฐานของผู้คนในช่วงสมัยที่เรียกว่า “ทวารวดี” ซึ่งมีอายุการตั้งถิ่นฐานระหว่างพุทธศตวรรษที่ 11-16 นั้น ในเขตพื้นที่จังหวัดอุทัยธานีก็ปรากฏหลักฐาน ชุมชนสมัยทวารวดีอยู่เช่นกัน อาทิ แหล่งโบราณคดีบ้านคูเมือง แหล่งโบราณคดีเมืองการุ้ง แหล่ง โบราณคดีบ้านด้าย และแหล่งโบราณคดีบึงคอกช้าง ซึ่งสัมพันธ์กับเส้นทางแม่น้ำโบราณด้วยเช่นกัน อาทิ เมืองโบราณบ้านคูเมือง อำเภอหนองขาหย่าง ซึ่งสันนิษฐานว่ามีความสัมพันธ์กับคลองขุนแก้ว ที่ปัจจุบัน เป็นแนวคลองทแี่ บ่งเขตจงั หวดั อุทยั ธานีกับจงั หวดั ชัยนาท (1) จากอุไทยธานีในเร่อื งเลา่ สู่อไุ ทยธานใี นประวัติศาสตร์ นับแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์สมัยโลหะจนกระทั่งสมัยทวารวดี พื้นที่จังหวัดอุทัยธานีไม่เคยร้าง ผู้คน ทั้งนี้ ประวัติศาสตร์ของท้องถิ่นได้กล่าวถึง“เมืองอุไทยธานี” หรือที่เรียกกันว่า “เมืองอุไทยเก่า” 17

โครงการกำหนดขอบเขตพน้ื ที่เมอื งเกา่ ปัจจบุ นั ตงั้ อยใู่ นเขตท้องที่อำเภอหนองฉาง อยา่ งไรก็ตามในการทบทวนสถานภาพความรทู้ างประวัติศาสตร์ ของเมอื งอไุ ทยเกา่ ยังรอคอยหลกั ฐานทางประวตั ิศาสตร์และโบราณคดีในการยืนยันข้อเสนอดังกล่าว สำหรับข้อเสนอเกี่ยวกับเมืองอุไทยเก่าที่กล่าวกันว่าเป็นเมืองที่มีอายุเก่าแก่ถึงสมัยสุโขทัยนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เมื่อคราวเสด็จประพาสมณฑลฝ่ายเหนือ ทรงมีพระ บรมราชวินิจฉัยไว้ ความว่า “...เมืองอุไทยธานีเก่าตั้งอยูใ่ นทีซ่ ึ่งเปนที่ดอน ห่างจากคลองสะแกกรังประมาณ 500 เส้น ไตถ่ ามไมค่ อ่ ยได้ความ แต่สังเกตโดยพระพุทธรูปซึ่งมผี ู้นำมาให้ เหน็ วา่ เปนเมืองเก่ามาก คงจะเปน ชั้นเมืองกำแพงเพ็ชร แต่เห็นจะได้ทิ้งโทรมเสียแต่เมื่อครั้งกรุงเสียนั้นแล้ว...” (จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ, 2508: 12) ทั้งนี้ ไม่เป็นการแน่ชัดว่าพระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นพระพุทธรูปองค์ใด จึงสันนิษฐานว่าพระบรมราชวินิจฉัยดังกล่าวเป็นที่มาของคำอธิบายถึงอายุของเมืองอุไทยเก่าว่ามีอายุราว สมัยสุโขทยั ทั้งนี้ ประวัติศาสตร์ของเมืองอุไทยธานีเริ่มชัดเจนมากขึ้น ในราวปลายพุทธศตวรรษที่ 20 ถึงต้น พุทธศตวรรษที่ 21 ในช่วงสมัยอยุธยา ดังปรากฏหลักฐานกล่าวถึง “เมืองอุไทยธานี” ในรัชสมัยสมเด็จพระ บรมไตรโลกนาถ (ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. 1991-2031) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่บ้านเมืองเป็นปึกแผ่นจาก เสถียรภาพของราชบัลลังก์ที่ยาวนานถึง 40 ปี ในช่วงเวลานี้ราชสำนักอยุธยาได้มีการปฏิรูประบบการ บริหารราชการแผ่นดินครั้งใหญ่ และตรากฎหมาย “พระไอยการตำแหน่งนาหัวเมือง” (ราชบัณฑิตยสถาน, 2550: 1158) เพื่อจัดระเบียบการปกครองหัวเมืองให้รวมอำนาจไว้ที่กรุงศรีอยุธยา ในฐานะศูนย์กลางแห่ง อาณาจกั ร โดยยกให้เมืองอุไทยธานีมีฐานะเป็น “เมืองข้ึนเมืองตรี” มีตำแหนง่ “ออกพระพิไชยสุนทร” เป็น ผู้ครองเมอื ง (ราชบณั ฑติ ยสถาน, 2550: 1121-1149) ในรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. 2133-2148) เมืองอุไทย ธานียิ่งมีบทบาทมากขึ้น เนื่องจากทำเลที่ตั้งเป็นพื้นที่ต่อแดนกับพื้นที่ขอบวงแห่งอำนาจของราชสำนัก ตองอูของพม่า (Lieberman, 2018) ด้วยเหตุน้ีเมืองอุไทยธานีจึงมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ต่อความ มั่นคงของกรุงศรีอยุธยาด้วย ด้วยเหตุที่เมืองอุไทยธานีตั้งอยู่บนเส้นทางการเดินทัพ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช จึงโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งด่านป้องกันขึ้นเป็นด่านเมืองอุไทยธานี ที่บ้านคลองค่าย รวมถึงด่านแม่กลอง ด่านเขาปูน ด่านหนองหลวง ด่านสลักพระ โดยมีเมืองอุไทยธานเี ป็นหัวเมอื งด่านชั้นนอกดูแลดา่ นต่าง ๆ ทำให้พื้นที่ใน อารกั ขาของเมืองอไุ ทยธานกี นิ อาณาบรเิ วณกวา้ งขวาง ต่อมาในรัชสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ (ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. 2148-2163) เมืองอุไทยธานี มีฐานะเป็นเมืองหน้าด่านชั้นนอก ดังระบุในกฎหมายเก่าลักษณะพระธรรมนูญว่า “เมืองอุไทยธานี เป็นหัว เมอื งขนึ้ แกม่ หาดไทย” และมบี ทบาทในฐานะเมอื งหน้าดา่ นตง้ั แตส่ มยั อยุธยาจนกระท่ังเสยี กรงุ ในปี พ.ศ. 2310 เมืองอุไทยธานีในฐานะเมืองที่กองทัพพม่าต้องเคลื่อนพลผ่านก็คงย่อยยับปรักหักพัง และคงเป็นเช่นนี้มาอยู่ บ่อยครั้ง ตลอดหน้าประวัติศาสตร์สงครามระหว่างราชสำนักในลุ่มน้ำอิระวดีและลุ่มน้ำเจ้าพระยา ดังภาษิต ที่ว่า “ชา้ งสารชนกัน หญ้าแพรกย่อมแหลกลาญ” 18

เมอื งเกา่ อทุ ัยธานี สำหรับความเปลี่ยนแปลงในดินแดนลุ่มแม่น้ำอิระวดีเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2295 | ค.ศ. 1752 เม่ือ ราชสำนกั ตองอลู ่มสลายลง และมกี ารสถาปนาราชวงศ์คองบองขึ้นโดยพระเจ้าอลองพญา (Alaung Phra) (Lieberman, 1996: 152–168) ซึ่งพระเจ้าอลองพญาได้ดำเนินวิเทโศบายที่จะขยายพระราชอำนาจเข้า มาโจมตเี มืองตา่ ง ๆ เช่น เชียงใหม่ และอยุธยา (สรัสวดี อ๋องสกลุ , 2562: 308) ภายหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ. 2310 บ้านเมืองแตกออกเป็นหลายส่วน สมเด็จพระเจ้า กรุงธนบุรี (ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. 2310-2325) ได้ดำเนินการกอบกู้เอกราชจากพม่า ปราบปรามและ รวบรวมชมุ นมุ ตา่ ง ๆ ทีต่ ง้ั ตนเปน็ ใหญ่ ชุมนมุ เจ้าพระฝางซง่ึ เปน็ หน่ึงในหา้ ชุมนมุ ทตี่ ง้ั ตนขึ้นไดส้ ร้างความหวั่น เกรงต่อเจ้าเมืองและกรมการหัวเมืองฝ่ายเหนือต่าง ๆ ชุมนุมเจ้าพระฝางได้ยกทัพมาโจมตีเมืองอุไทยธานีกับ เมืองไชยนาท สร้างความเสียหายอย่างมากมายแก่เมืองทั้งสอง เป็นที่น่าสนใจว่าการที่ชุมนุมเจ้าพระฝางเข้า มาโจมตีเมืองอุไทยธานีซึ่งดำรงสถานะเป็นเมืองหน้าด่านที่สำคัญมากนั้นอาจเพื่อต้องการเปิดช่องทางให้ กองทัพจากราชสำนักของพระเจ้าอลองพญากรีธาทัพเข้ามา เนื่องจากมีหลักฐานว่าเจ้าพระฝางมีสายสัมพันธ์ กบั โปม่ ะยงุ ่วน ซึง่ เปน็ ผู้ปกครองเมอื งเชียงใหมท่ ี่ถกู แต่งตัง้ มาจากราชสำนกั คองบอง ในชว่ งสมยั กรงุ ธนบุรีเปน็ ราชธานนี ั้น เมืองอไุ ทยธานกี ็ไดด้ ำรงบทบาทเปน็ เมอื งหนา้ ด่านท่ีสำคัญที่ ใช้ในการคดั กรองผู้คน ตลอดจนการรับศึกที่อาจจะมีขน้ึ ซงึ่ เมอื งอุไทยธานีก็ไดด้ ำเนินบทบาทดงั กลา่ วเรื่อยมา เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 (ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. 2325-2352) สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นเป็นราชธานีแห่งใหม่นั้น เมืองอุไทยธานีก็ยังคงดำรงบทบาทเป็น เมอื งหนา้ ดา่ นเชน่ เดิม ท้งั ยงั โปรดเกล้าฯ พระราชทานบรรดาศกั ด์ิ “พระยาอุไทยธาน”ี แกเ่ จา้ เมอื งอกี ด้วย ด้วยความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ดังกล่าว ทำให้เมืองอุไทยธานีดำรงบทบาทเมืองหน้าด่านมา อย่างตอ่ เนื่อง จนกระท่งั ถงึ รชั สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี 3 (ครองราชย์ระหว่าง ปี พ.ศ. 2367-2394) แห่งกรงุ รัตนโกสนิ ทร์ ทั้งนี้ ด้วยเมืองเก่าอุไทยธานีตั้งอยู่บนเส้นทางกรีธาทัพ จึงทำให้เมืองแห่งนี้ไม่หลงเหลือศิลป สถาปัตยกรรมที่เก่าแก่เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ ตลอดจนหลักฐานเอกสารต่าง ๆ ก็คงถูกทำลายลงด้วยไฟ แห่งสงคราม ทำให้การศึกษาประวตั ิศาสตร์ของเมืองอุไทยเก่าที่อำเภอหนองฉางนั้นทำได้ไม่แจ่มชัดเท่าที่ควร จะเป็น ทำให้ข้อเสนอทางวิชาการและข้อมูลที่นำเสนอประเด็นต่าง ๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ยังต้องได้รับการ ตรวจสอบยืนยันด้วยเครื่องมืออื่น ๆ อาทิ การขุดสำรวจทางโบราณคดีเพื่อการตรวจสอบอายุของการตั้งถ่ิน ฐานดว้ ยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ เพอ่ื ทดแทนท่ีหลกั ฐานประเภทอ่นื ๆ ทไ่ี มป่ รากฏเป็นประจักษเ์ พิ่มเตมิ (2) ชมุ ชนบ้านทา่ : ทำเลท่ตี ง้ั เมอื งอทุ ัยธานใี นปจั จบุ ัน จากประวัติศาสตร์บอกเล่าที่กล่าวถึงการอพยพละทิ้งเมืองอุไทยเก่ามาตั้งถิ่นฐานใหม่ ณ พื้นที่ ริมแม่น้ำสะแกกรังบริเวณ “บ้านท่า” หรือ “บ้านสะแกกรัง” ยังไม่พบหลักฐานที่แน่ชัดว่าชุมชนบ้าน สะแกกรังท่ีบ้านท่าน้ีเร่มิ กอ่ ร่างเปน็ ชุมชนขึ้นมาตงั้ แตเ่ มอ่ื ใด จากการปริทัศน์เอกสารทางประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ร่วมกับการสำรวจภาคสนาม และการแปล ความหมายภาพถา่ ยทางอากาศและภาพถา่ ยดาวเทียม มีข้อเสนอว่า “ชุมชนบ้านท่า” หรือ “ชุมชนสะแกกรงั ” 19

โครงการกำหนดขอบเขตพืน้ ทีเ่ มอื งเก่า มมี าแลว้ ต้ังแต่สมัยอยธุ ยา โดยเฉพาะหลกั ฐานเชิงประจักษ์ของโบราณสถานทม่ี ีรูปแบบทางศิลปสถาปัตยกรรม แบบศิลปะอยุธยาหลายแหล่ง อาทิ “วัดพิชัยปุรณาราม” “วัดหลวงราชาวาส” และ “วัดใหม่จันทราราม” ในที่นี้ จึงมีข้อเสนอว่าชุมชนเมืองที่บ้านท่าคงมีสถานะเป็นชุมชนริมน้ำที่อยู่ร่วมสมัยกับชุมชนระดับเมืองท่ี เมืองอไุ ทยเกา่ ด้วยนนั่ เอง ทั้งนี้ หลักฐานสำคัญท่ียืนยันข้อเสนอดังกล่าว คือ “วิหารวัดพิชัยปุรณาราม” ซ่ึงเดิมเป็นวิหาร ของ “วัดกร่าง” ที่ถูกทิ้งร้างลง และมีการบูรณะปฏิสังขรณ์ฟื้นฟูวัดขึ้นใหม่ โดยจะเห็นว่ารูปทรง สถาปัตยกรรม ระบบโครงสร้างของตัวอาคารและหลังคา ตลอดจนพุทธศิลปกรรม และพระพุทธรูป ประธานของวิหารมีลักษณะร่วมแบบกับศิลปสถาปัตยกรรมท่ีอยู่ในช่วงสมัยสโุ ขทัยตอนปลายและอยธุ ยา ตอนต้น กล่าวคือ พระประธานมีซุ้มเรือนแก้ว ซึ่งเป็นคติที่นิยมในช่วงเวลาดังกล่าว เช่นเดียวกับซุ้มเรือน แก้วพระพุทธชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ พิษณุโลก พระประธานในพระอุโบสถวัดจอมคีรีนาคพรต จังหวัดนครสวรรค์ และพระประธานในวหิ ารวดั ไลย์ จงั หวัดลพบรุ ี เปน็ ต้น นอกจากทำเลที่ตั้ง รูปแบบทางสถาปัตยกรรม ศิลปกรรมตกแต่ง และขนาดของวิหาร “วัดพิชัย ปุรณาราม” ที่เป็นเครื่องสะท้อนถึงความสำคัญของย่านว่ามีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้นแล้วยังมี ข้อสันนิษฐานเพิ่มเติมว่าทำเลในละแวกดังกล่าวอาจทำหน้าที่เป็นจุดพักคอย เพื่อเปลี่ยนรูปแบบการ คมนาคมขนส่งจากทางน้ำมาเป็นทางบกเพื่อเข้าสู่พ้ืนท่ีตอนใน อันเป็นทต่ี ้ังของ “เมอื งอุไทยธานี” เน่ืองจาก พื้นที่ตอนในเป็นที่ราบที่สามารถเชื่อมต่อไปยังที่ตั้งของเมืองอุไทยเก่าได้ โดยผ่านด้านใต้ของเขาสะแกกรัง ทำเลทต่ี ั้งดังกล่าวน้ยี ่อมต้องมีความสำคญั มากพอสมควร จนเปน็ แรงจูงใจใหม้ ีการสร้างเสนาสนะขนาดใหญ่ ในที่นี้จึงเสนอว่าพื้นที่ริมแม่น้ำสะแกกรังนั้นก็มีการตั้งถิ่นฐานมาอย่างยาวนานควบคู่กับ “เมืองอุไทยธานี” ซง่ึ ตั้งอย่บู รเิ วณตอนในมาแล้วต้ังแต่สมยั อยุธยาตอนต้น การตั้งถิ่นฐานริมฝั่งแม่น้ำสะแกกรังนั้นเริ่มมีบทบาทมากยิ่งขึ้นในช่วงปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา ดังพระราชประวัติ “สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก (ทองดี)” ซึ่งเป็นบุตรของ “พระยาราชนิกุล (ทองคำ)” ปลัดทูลฉลองมหาดไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยาในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ (ครองราชย์ ระหว่างปี พ.ศ. 2275-2301) โดยสืบเชื้อสายมาจากเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) โดยพระองคไ์ ด้ประสูติ ที่บ้านสะแกกรังในสมัยอยุธยาตอนปลาย สอดคล้องกับข้อเสนอที่ว่าบริเวณเมืองอุทัยธานีที่บ้านท่านั้นมี การตง้ั ถ่นิ ฐานเป็นชุมชนมาแล้วอย่างช้าคอื สมัยอยธุ ยาตอนปลาย ในปี พ.ศ. 2376 ในรัชสมยั พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจา้ อยู่หวั รัชกาลท่ี 3 (ครองราชย์ระหว่าง ปี พ.ศ. 2367-2394) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แตง่ ตง้ั “พระยาเมืองอทุ ัยธานี (เสอื พยฆั วเิ ชียร)” ให้ดำรง ตำแหน่งเจ้าเมืองอุไทยธานี ในช่วงเวลาดังกล่าวเมอื งอุไทยธานีเดิมอยู่ท่ามกลางป่าดงและการระบาดของไข้ปา่ ตลอดจนการคมนาคมขนส่งไม่สะดวกนัก รวมทัง้ การศึกสงครามกับพม่านั้นก็ร้างลง จงึ ไมม่ ีความจำเป็นต้อง ใชเ้ มอื งอุไทยธานีเป็นที่มัน่ เพื่อรบั ศึกในฐานะเมืองหน้าด่านอกี ต่อไป เมื่อพิจารณาทำเลที่บ้านท่าสะแกกรังจะเห็นว่ามีความสะดวกในการคมนาคมทางน้ำเพื่อเชื่อม ต่อไปยังแม่น้ำเจ้าพระยา และมีความอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การตั้งถิ่นฐาน การทำเกษตรกรรม และการ ประมง จึงได้ขอพระราชทานย้ายที่ตั้งเมืองจากท้องที่เมืองอุไทยธานีมาตั้งยังท้องที่ปัจจุบัน (บ้านสะแก 20

เมืองเกา่ อุทัยธานี กรัง) โดยเริ่มต้นก่อสร้างศาลาว่าการเมือง คณะกรมการเมืองฯ และประชาชนก็ไดย้ ้ายออกมาต้ังบ้านเรือน ณ เมอื งใหมน่ จี้ นเมอื งอุไทยธานเี ดิมน้นั ได้ซบเซาและท้งิ ร้างไปในทส่ี ดุ ในช่วงปี พ.ศ. 2391 เกิดปัญหาการจัดเก็บภาษีอากรสมพัตสรและอากรตลาดระหว่างเมือง อุไทยธานีกับเมืองไชยนาท เนื่องจากพื้นที่เชื่อมต่อกันแต่ไม่ได้มีการแบ่งเขตกันอย่างเป็นกิจจะลักษณะ ทำให้เกิดเป็นพื้นที่ทับซ้อนกันจึงเกิดปัญหาขึ้น ในการนั้นทางส่วนกลางจึงได้มอบหมายให้พระยามหา อำมาตย์มาเป็นผู้ไต่สวน และได้ทำให้มีการแบ่งพื้นที่ระหว่าง 2 เมือง ดังที่กล่าวถึงในเอกสารพระนิพนธ์ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชนุภาพ ความว่า “จึงให้ตัดเขตบ้านสะแกกรังทางฝั่งคลองฟากใต้ กว้าง 100 เส้น ตั้งแต่ท้ายบ้านสะแกกรังไปจดแดนเมืองอุไทยเก่า โอนพื้นที่นั้นจากเมืองไชยนาทเป็นของเมือง อุไทยธานี เมืองอุไทยธานีจึงตั้งอยู่ปลายสุดเขตแดนทางฝั่งคลองสะแกกรังฝากเหนือ ตรงบ้านเจ้าเมือง อุไทยธานี ข้ามไปก็เป็นเขตแดนเมืองมโนรมย์ ข้างใต้บ้านลงมาสักคุ้งน้ำหนึ่งก็เป็นแดนเมืองไชยนาท” (เอนก นาวกิ มลู และธงชยั ลขิ ิตพรสวรรค,์ 2561: 11) จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 (ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. 2411-2457) ในช่วงเวลานี้ย่านเมืองอุไทยธานีที่ริมแม่น้ำสะแกกรังมีความเปลี่ยนแปลงมากขึ้นจากกลุ่ม คนที่เข้ามาอยู่อาศัยใหม่ โดยเฉพาะพ่อค้าชาวจีนที่มาเป็นคนกลางในการค้าข้าวก็ได้เข้ามาตั้งบ้านเรือน และยุ้งฉางเพื่อรวบรวมข้าวเปลือกจากท้องนาแถบอุทัยธานี กล่าวคือ ในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวที่มีผลผลิตจำนวน มากก็จะเก็บข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉาง รอให้ถึงฤดูน้ำหลากเพื่อท่ีเรือข้าวระวางใหญ่จะสามารถล่องเข้ามาตาม แม่น้ำสะแกกรังได้ บรรดาพอ่ ค้าจนี จงึ จะลำเลยี งขา้ วใส่เกวยี นไปยังท่ารมิ ฝ่งั แมน่ ำ้ สะแกกรงั เพ่อื ทำการคา้ ขาย ทั้งนี้ คนจีนทำหน้าที่เป็นผู้นำทางเศรษฐกิจซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งผลต่อความเปลี่ยนแปลง ทางวัฒนธรรม และเป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของเมืองอุไทยธานี รวมทั้งโครงข่าย ความเชื่อมโยงกับเมอื งข้างเคียง คือ เมืองมโนรมย์ และเมืองไชยนาท นอกจากการค้าข้าวแล้ว เมืองอุไทยธานียังมีสินค้าที่เป็นของป่านานาชนิดที่รวบรวมมาจาก ดินแดนตอนในท่ีอุดมไปด้วยป่าไม้ เช่น หนังสัตว์ เขาสัตว์ สเี สยี ด น้ำมันยาง เป็นต้น ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 (ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. 2411-2453) เป็นช่วงเวลาทร่ี ะบบบรหิ ารบ้านเมืองมีความเปลีย่ นแปลงอย่างพลิกฝา่ มือหลายด้านจากปัจจัย ทั้งภายในและภายนอก มีการปฏิรูปการปกครองเป็นระบบ “มณฑลเทศาภิบาล” ทั้งนี้ ได้มีการจัดต้ัง “มณฑลนครสวรรค์” ข้นึ เมื่อปี พ.ศ. 2438 โดยมีพืน้ ท่ีการปกครองครอบคลุมเมืองนครสวรรค์ เมืองชัยนาท เมืองกำแพงเพชร เมืองมโนรมย์ เมืองพยุหะคีรี เมืองสรรคบุรี เมืองตาก รวมทั้งเมืองอุไทยธานีด้วย (พลาดิศัย สิทธธิ ญั กิจ, 2550) การรับรู้ต่อเมืองอุไทยธานีมีมากขึ้นจากประสบการณ์ตรงของผู้ปกครอง กล่าวคือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โปรดการเสด็จฯ ไปยังท้องที่ต่าง ๆ และเสด็จ ประพาสเมืองอุไทยธานีถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกในคราวเสด็จประพาสหัวเมืองฝ่ายเหนือในปี พ.ศ. 2444 (จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ, 2508) และครั้งที่ 2 เป็นการเสด็จประพาสต้น ในปี พ.ศ. 2449 (จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ, 2520) เพื่อทำความเข้าใจบริบทแวดล้อมด้านต่าง ๆ 21

โครงการกำหนดขอบเขตพื้นท่เี มืองเก่า ในฐานะที่พระองค์ทรงเป็นผู้ปกครองบ้านเมือง และเพื่อนำไปสู่การดูแลทุกข์สุขของอาณาประชาราษฎร์ ตลอดจนการจัดการทรัพยากรในพระราชอาณาจักร โดยมีพระราชหัตถเลขาประจำวนั บันทกึ เรื่องราวตา่ ง ๆ ของการเสด็จประพาสทั้งสองคราซึ่งเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญสำหรับการศึกษาถึงสภาพ บา้ นเมืองและวิถชี ีวิตของชมุ ชนบา้ นสะแกกรังเม่อื รอ้ ยกวา่ ปที ี่ผ่านมาได้เปน็ อยา่ งดี การเสด็จประพาสอุทัยธานี ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2444 (ร.ศ. 120) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการเสด็จ ประพาสยังหัวเมืองฝ่ายเหนือ ด้วยเรือพระที่นั่งกลไฟองครักษ์ ดังความในพระราชหัตเลขาฯ ฉบับที่ 6 ถึง สมเด็จฯ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ เกี่ยวกับเมืองอุไทยธานี ดงั นี้ “เมื่อเวลาวานนี้ (วันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2444) เวลาเช้า 3 โมงเศษ ออกจาก พลับพลาไปด้วยเรือกลไฟองครักษ์ ล่องน้ำลงไปเข้าคลองโกรกกราก ที่ปากคลองนั้นต้นื เปนคัน ช่องข้างเหนือเข้าไม่ได้ เข้าได้แต่ช่องข้างใต้ ถัดปากคลองเข้าไปหน่อยหนึ่ง มีบ้านเรือนแลแพอยู่บ้าง เปนที่ลุ่มจนถึงพรมแดนเมืองอุไทยธานี ต่อเข้าไปจนถึงเปนท่ี ดอน เปนคันสูงบ้างตำ่ บ้าง ฟากขา้ งขวามือเปนป่ายางโดยมาก ทางในลำคลอง ประมาณ ชั่วโมงเศษ รวมทั้งที่ล่องน้ำ 2 ชั่วโมง จึงถึงเมืองอุไทยธานี ตั้งพลับพลาที่ท้ายเมืองใกล้ ที่ว่าการซึ่งปลูกขึ้นใหม่ ทำการพิธีให้พระแสงตามเช่นเคยให้ในเมืองอื่น แลแจกเครื่อง ราชอิศริยาภรณ์ แจกเสมา แล้วกนิ ข้าวกลางวนั ในทนี่ น้ั เวลาบ่ายลงเรือแจวมีเรือไฟเล็กลากไปตามลำคลอง ถนนมีแต่ร้อนนัก จึงไม่ได้ เห็นบ้านเรือนตอนข้างบกซึ่งซ้อนกันอยู่เปนสองชั้น เห็นแต่ข้างหลังบ้าน ไปขึ้นที่ท่า ตลาดใต้วัดขวิด ตลาดนั้นมีผู้คนแน่นหนา แต่ถนนยังเปนทรายอ่อนแลรางน้ำมักจะเต็ม ไมเ่ ปนถนนทีไ่ ด้ทำ เปน็ แต่ทางคนเดิน ได้เห็นบ้านเรือนแน่นหนา ราษฎรเปนคนบริบูรณ์โดยมาก ความบริบูรณ์ของ เมืองนี้อาไศรยการค้าเข้าอย่างเดียว เพราะเหตุที่ออกแผ่นดิน นอกคลองนั้นออกไปเปน พื้นที่ราบมาก มีลำห้วยซ่ึงมีน้ำแต่ระดฝู น ราษฎรเข้าใจไปเองในวิธีซึง่ จะปิดขังน้ำไว้เลี้ยง ต้นเข้าเหมือนอย่างอิริเคชั่น เข้าไม่มีเสีย จึงเปนที่นาอุดมดีกว่าตอนข้างริมน้ำซึ่งอาไศรย น้ำท่า เมื่อน้ำมามากเกินไปเข้าก็เสีย แลยังมีที่ซึ่งลุ่มเกินไปจนทำนาไม่ได้เสียเลยก็มี โดยมาก... …กลับจากตลาดแวะที่วัดอุโบสถารามอยูต่ รงกันขา้ ม พระครูอุไทยธรรมนิเทศทำ แพช่อฟ้าจอดที่น่าวัด แล้วเชิญพระพุทธรูปหล่อด้วยเงิน 2 องค์ ๆ หนึ่งหนัก 70 ช่ัง องค์หนึ่งหนัก 50 ชั่ง มาตั้งให้ดูแลบอกให้ด้วย เห็นว่าเปนพระซึ่งราษฎรได้มีใจศรัทธา หล่อขึ้น ควรจะคงไว้ให้เขาได้สักการบูชา จึงไม่ได้รับ แลพระ 2 องค์นั้นที่หนัก 50 ช่ัง ห่มผ้ามีกลีบจีวรหล่อด้วยเงินไม่ได้ผสม แต่รูปร่างไม่งามเลย อิกองค์หนึ่งผสมทองแดง เจา้ ของว่าเพื่อจะใหเ้ งาฦก เปนพระอยา่ งแม่ลกู อิน แต่ดูค่อยดูได้หนอ่ ยหนงึ่ ออกจากวัดมาตามลำคลองสะแกกรัง แล้วลัดออกทางคลองส่าเหล้าออกหนอง ขุมสุนักข์ แล้วออกคลองปากบาง คลองทั้ง 2 นี้เปนคลองแคบ แต่คลองหลังน้ำเชี่ยวจัด 22

เมอื งเกา่ อทุ ัยธานี ต้องขึ้นเดินเลียบคลองมาลงแม่น้ำออกที่เกาะเทโพ แลเห็นพลับพลาท่าฉนวน กลับข้ึน มาถึงพลับพลาบ่าย 4 โมงเศษ ที่พลบั พลารอ้ นจัด ต้องข้ึนไปยู่บนบก เวลาค่ำฝนตกหนัก แล้วตกมากบ้างน้อยบา้ งไปตลอดคนื ยันรงุ่ ยุงชมุ ” (จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเดจ็ พระ, 2508) การเสด็จประพาสต้นมาเมืองอุไทยธานีเป็นครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2449 (ร.ศ. 125) ภายหลังการเสด็จมาอุไทยธานีครั้งก่อนหน้า 5 ปี ดังความในพระราชนิพนธ์ ดังน้ี (จุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเดจ็ พระ, 2520) “วันที่ 10 ออกเรือ 2 โมงเช้า… 5 โมงเช้า ลงเรือมาไปเข้าคลองสะแกกรังชั่วโมงเศษถึง เขายืมแพ วดั ไปจอดที่ ๆ เคยจอดแตก่ อ่ น ทำกับข้าว กนิ ขา้ วแล้ว บ่าย 2 โมงเศษ ลงเรือข้นึ ไปเหนือน้ำ หยุดถ่ายรูปแล้ว ขึ้นตลาด คราวนี้ถนนแห้ง เดินดูได้ทั่วถึง ดูครึกครื้นกว่าตลาดกรุงเก่ามาก กลับมาลงเรือแวะที่หน้าวัดโบสถ์ พบพระครูจันครู่หนึ่ง แล้วกลับมามโนรมย์ ขึ้นเดินบนบกครึกครื้นดีกว่าที่คาดเป็นอันมาก ที่ติดได้เพราะเหตุ ดว้ ยหนา้ แล้ง พวกสะแกกรังตอ้ งเดินมาซอ้ื ในที่นี้ เพราะปากคลองปิด เข้าได้แต่เรือพายมา้ 2 แจว” จากเนื้อหาในพระราชหัตถเลขาและพระราชนิพนธ์ที่ยกมาข้างต้น เป็นหลักฐานปฐมภูมิร่วม สมัยกับเหตุการณ์ที่ให้ข้อมูลและให้สภาพของบ้านเมืองที่อุทัยธานี อันทำให้เห็นพลวัตทางสังคมและ สิ่งแวดล้อมของชมุ ชนระหว่างปี พ.ศ. 2444-2449 หรอื ราว 120 กวา่ ปที ่ผี า่ นมาได้เปน็ อย่างดี ในพระราชนิพนธ์ทั้ง 2 ฉบับเรียกขาน “คลองสะแกกรัง” ไม่ได้เรียกว่า “แม่น้ำสะแกกรัง” เช่น ในปัจจุบัน ในที่นี้ตีความได้ 2 แบบ คือ ด้วยลำน้ำมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับแม่น้ำเจ้าพระยา พระองค์จึงทรง เรียกขานว่าเป็น “คลอง” อีกประการหนึ่ง คือ คำว่า “คลอง” ในความหมายเก่านั้นหมายถึง “เส้นทาง สัญจรทางน้ำ” ซึง่ หมายถึง “ลำน้ำท่ถี ูกขุดขึน้ โดยมนษุ ย”์ ซง่ึ เปน็ ประเดน็ ทช่ี วนคดิ วิเคราะห์กันต่อไป นอกจากนี้ ยังทรงอธิบายถึงการกระจายตัวของเรือนแพว่ามีตั้งแต่คลองโกรกกรากจนถึงเขต เมืองอุไทยธานี ตลอดจนให้ภาพบรรยากาศอันคึกคักของตลาดริมฝั่งแม่น้ำสะแกกรังในช่วงเวลาดังกล่าว ว่ามีพลวัตมากกว่าตลาดกรุงเก่าที่อยุธยา มีการสร้างบ้านเรือนเป็นชุมชนอย่างหนาแน่น มีทางเชื่อมถึง กันตลอดทั้งชุมชนแม้ว่าจะเป็นถนนดินตามสภาพธรรมชาติ ยังไม่ได้มีการก่อสร้างที่ได้มาตรฐาน เมื่อฝนตกจึงมีน้ำขังและเฉอะแฉะ บ้านเรือนที่ก่อสร้างนั้นมีบ้านสองชั้น รวมทั้งยังเห็นความสัมพันธ์ของ ผู้คนชาวเมืองอุไทยธานีกับเมืองมโนรมย์ท่ีไปมาหาสูแ่ ละแลกเปลย่ี นสนิ คา้ ระหวา่ งกนั ในปี พ.ศ. 2450 ในระหว่างที่ “พระไชยนฤนาท (หม่อมหลวงอั้น เสนีวงศ์)” ดำรงตำแหน่งผู้ว่า ราชการเมืองอุไทยธานีนั้น ได้มีการก่อสร้างศาลากลางเมืองอุไทยธานีเป็นอาคารไม้ยกพื้น กว้าง 6 วา ยาว 22 วา 2 ศอก แบ่งเป็น 15 ห้องเสา เสาใต้ถุนเป็นเสาไม้แล้วก่ออิฐหุ้ม มีมุขโถงหลังคาทรงจั่ว หลังคาประธานเป็นแบบปั้นหยา มุงหลังคาด้วยกระเบื้องซีเมนต์ หรือที่เรียกกันว่ากระเบื้องว่าว ด้านหน้าอาคารตั้งแต่หน้ามุขกลางอาคารออกไปทางซ้ายและขวามีระเบียงโถง รวมเป็นโถงระเบียง จำนวน 11 ห้องเสา ที่หัวและท้ายอาคารเป็นห้องฝากระดาน ฟากละ 2 ห้องเสา อาคารศาลากลางนี้ได้ ถูกรื้อถอนออกไปเพ่ือการก่อสร้างศาลากลางหลังปจั จบุ ันในปี พ.ศ. 2508 23

โครงการกำหนดขอบเขตพนื้ ทเ่ี มอื งเกา่ หลังจากปี พ.ศ. 2450 จะเห็นได้ว่าเมืองอุไทยธานีเป็นเมืองที่มีพลวัตทางเศรษฐกิจสูง และมี บทบาทเป็นเมืองแห่งโอกาสสำหรับการประกอบธุรกิจ ดังที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงกล่าวว่าตลาดที่เมืองอุไทยธานีมีความคึกคักยิ่งกว่าตลาดที่กรุงเก่าอยุธยา และด้วยเหตุ ดังกล่าวคงเป็นปัจจัยดึงดูดให้ผู้คนเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัยอย่างหนาแน่นมากขึ้น จึงมีการลงทุนในการ กอ่ สรา้ งทีท่ ำการหนว่ ยงานภาครฐั ข้ึนน่นั เอง หลังการก่อสร้าง “ศาลากลางเมืองอุทัยธานี” ในปี พ.ศ. 2450 พื้นที่เมืองอุไทยธานีเริ่มมีการ กอ่ สรา้ งอาคารที่ทำการของหน่วยงานต่าง ๆ อาทิ “สำนกั งานทดี่ ิน” ที่สรา้ งขน้ึ ในราวปี พ.ศ. 2460 “ศาลเมือง อไุ ทยธาน”ี ซง่ึ สรา้ งขึน้ ก่อนปี พ.ศ. 2470 เปน็ ตน้ (เอนก นาวิกมูล และธงชัย ลขิ ิตพรสวรรค,์ 2561: 56, 96) ในช่วงเวลาดังกล่าวท่าน้ำฝั่งตลาดด้านใต้วัดขวิดทำหน้าที่เป็นท่าน้ำและเป็นตลาดสดขาย สินค้าต่าง ๆ อย่างคึกคัก ตลอดจนเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของเมืองอุทัยธานีมาจนกระท่ังปัจจุบัน นอกจากนี้ชุมชนบ้านสะแกกรังมีชีวิตความเป็นอยู่ที่อุดมสมบูรณ์ กิจกรรมที่ขับเคลื่อนทาง เศรษฐกจิ หลัก คือ การคา้ ข้าว เนอ่ื งจากยังมีวถิ ชี ีวิตท่ีดำรงชีพด้วยการทำนาท่ีพ่ึงพาอาศัยธรรมชาติเป็นหลัก ด้วยยังไม่มีระบบการชลประทานที่มีประสิทธิภาพ เพราะฉะนั้นพื้นที่ทำนาจึงเกาะอยู่กับแนวลำน้ำ ทว่า การทำนาที่เมืองอุไทยธานีนั้นไม่ค่อยประสบปัญหาจากอุทกภัยเพราะนาส่วนใหญ่เป็นนาดอน ทำให้มี ผลผลิตค่อนข้างสม่ำเสมอ สร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับผู้คนภายในพื้นที่ อีกทั้งยังทั้งเป็นสินค้าท่ี ส่งออกมาแลกเปล่ยี นกบั สินคา้ อนื่ ๆ เพื่อนำกลบั ไปยงั ชุมชนของตนเอง เมืองอุทยั ธานีมีการขยายตัวแผ่ออกไปตามถนนสายสำคัญต่าง ๆ ในเมอื งอุทัยธานี เกิดเป็นชุมชน และย่านการค้าต่าง ๆ ซึ่งใช้ไม้เป็นวัสดุก่อสร้างบ้านเรือนเป็นหลัก เนื่องจากหาได้ง่ายในท้องถิ่นใน ลักษณะของ “บ้านค้าขาย (Shop house)” ซึ่งเป็นแบบแผนทางสถาปัตยกรรมที่อยู่อาศัยที่น่าสนใจ และ เปน็ เอกลักษณข์ องเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้รวมท้ังประเทศไทยด้วย กลา่ วคอื ชาวจีนที่มีถิ่นฐานเดิมอยู่แถบ ชายฝั่งทะเลในจีนภาคใต้ (Southern China) ได้อพยพเคลื่อนย้ายมาตั้งถิ่นฐานใหม่ในที่ต่าง ๆ พวกเขา เหล่านั้นได้นำเอาสัมภาระทางวัฒนธรรมเข้ามาด้วย ซึ่งในที่นี้คือแบบแผนการสร้างที่อยู่อาศัยแบบเรือนแถว ที่สามารถประกอบธุรกิจการค้าอยู่ในอาคารหลังเดียวกันติดตัวมาจากดินแดนต้นทางเกิดเป็นย่านเรือน แถวการค้าอยู่ในเมืองต่าง ๆ รวมท้ังที่เมืองอุทัยธานีแห่งนี้ก็มคี นจีนเขา้ มาต้งั ถ่ินฐานอยู่ดว้ ย ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 (ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. 2453–2468) พระองค์เสด็จพระราชดำเนินมาที่เมืองอุทัยธานีในปี พ.ศ. 2459 ดังข้อความใน “บันทึกของการแปรพระราชฐานของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 พ.ศ. 2459” ท่ีกล่าวไว้ในบันทึกของจม่นื อมรดรุณารักษ์ (แจม่ สุนทรเวช) (อมรดรุณารักษ์, จม่ืน, 2512) ความว่า “พอเวลาบ่ายของวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2459 เรือยนต์พระที่นั่งประจําทวีป นําโดยเรือยนต์ของจังหวัดอุทัยธานี พร้อมด้วยเรือพระที่นั่งรอง และเรือพระประเทียบ ทั้งหลาย อันแล่นเป็นขบวนลดหลั่น แต่ช้า ๆ สง่างามเป็นทิวแถว แล่นเข้าเทียบท่าหน้า เมืองอุทัยธานี ท่ามกลางเสียงโห่ร้องถวายสดุดีต้อนรับอยู่กึกก้องของบรรดาข้าราชการ และประชาชนชาวจงั หวัดท้ังจังหวดั ท่มี าคอยเฝา้ แน่นสองฝ่ังแม่น้ำสะแกกรังอย่างล้นหลาม 24

เมืองเก่าอทุ ยั ธานี ณ ริมแม่น้ำ ศาลากลางจังหวัด อันเป็นศูนย์กลางของตัวเมือง ที่เรือพระที่นั่งเข้าจอด เทียบท่าเป็นฉนวนใหญ่ยาว หลังคามุงจากสูงรโหฐาน พอเรือยนต์พระที่นั่งและเรืออื่น ๆ จอดพกั ไดส้ บายตัว พลับพลาที่ประทับนั้นสร้างด้วยไม้ไผ่อันเป็นของพื้นเมืองที่หาได้จากภูมิประเทศ ใกล้เคียง มุงหลังคาจาก รูปลักษณะสี่เหลี่ยมทํานองศาลา แต่กั้นห้องเรียบร้อย และ สวยงามด้วยไม้ไผ่เขียวสด ยังเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่จัดไว้ถวาย เช่น โต๊ะ เก้าอี้ ที่ประทับอื่น ๆ ก็จัดสรรขึ้นด้วยไม้ไผ่ของพื้นเมืองเราทั้งสิ้น นับว่าเป็นศิลปะของไทยแท้ที่ทําด้วยความ ฉลาดสามารถเป็นที่สะดุดตาอย่างอวดฝีมือกันทีเดียว ทั้งนี้ ปรากฏว่าเป็นที่สนพระราช หฤทัย และเหล่าข้าราชการประจําท้องที่เฝ้ารับเสด็จ กับได้ทรงมีพระราชดํารัส ปฏิสันถารโดยควรแก่เวลาแล้ว ได้ประทับแรมอยู่ ณ พลับพลาไม้ไผ่หลังนั้นเป็นราตรี แรกของการประพาสเมืองอุทยั ธานี ครน้ั วันรุง่ ขึ้น ซงึ่ เป็นวนั กําหนดเสดจ็ ประพาสวดั เขาสะแกกรัง บรรดาผู้ตามเสด็จ เตรียมคอยอยู่พร้อม ณ หน้าพลับพลาหลวงที่ประทับ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรง ฉลองพระองค์ด้วยพระภูษาม่วงหางกระรอก สีปีกแมลงทับ ส่วนฉลองพระองค์แพรขาว แบบข้าราชการ กระดุมทองลงยาห้าเม็ด ทรงพระมาลาแบบปีกกว้างหางนกยูง มีธารพระกร อยู่ในพระหัตถ์ และทรงฉลองพระบาทสวมหุ้มส้นอย่างธรรมดา ก็เสด็จขึ้นประทับนั่งพระ แคร่หามโดยพระตํารวจหลวง ซึ่งแต่งกายแบบไทยเดิม คือ นุ่งผ้าม่วงสีน้ำเงิน สวมเสื้อ นอกกระดุมห้าเม็ดสีขาว คาดรัดประคดแดง ใส่ถุงเท้าขาว รองเท้า และสวมหมวกแบบ ทรงประพาส มีมหาดเล็กถวายพระกลดเดินเคียงไปใกล้ ๆ แวดล้อมด้วยราชองครักษ์ทั้งสี่ และข้าราชบริพาร ใหญ่น้อยตามลําดับชั้น เคลื่อนขบวนเสด็จออกจากพลับพลาหน้าเมือง ไปตามถนนเลียบริมน้ำ ท่ามกลางประชาชนที่คอยเฝ้าชมพระบารมีอยู่แออัดตลอดทาง ฯลฯ บริเวณตลาดอันยาวเหยียดซึ่งมีสภาพเป็นห้องแถวไม้หลังคามุงจากบ้าง สังกะสีบ้าง สองข้างทางที่ขบวนเสด็จผ่านนี้จึงเป็นริ้วติดต่อกันมีขาดด้วยผืนผ้าสีขาว-แดงที่ประดับ ตกแตง่ จบี หอ้ ยในลกั ษณะต่าง ๆ จนลานตา ...ในระหว่างทางเสด็จพระราชดําเนินนั้น พระองค์ได้พบธงชาติรูปช้างผืนหนึ่งใน ลักษณะช้างนอนหงายเอาสี่เท้าชี้ฟ้าอยู่ อันเป็นเหตุให้เห็นใจพสกนิกรอย่างยิ่ง ควรที่จะ ได้รับการแก้ไขการใช้ธงชาติไทยใหม่ โดยเปลี่ยนเป็นแถบสีแทนการใช้รูปช้างเสีย เพือ่ สะดวกในการใช้ อันเป็นทีม่ าของธงไตรรงค์ทีใ่ ชอ้ ยใู่ นปัจจุบันน่ันเอง” บันทึกของจมื่นอมรดรุณารักษ์ (แจ่ม สุนทรเวช) ที่ยกข้อความมาข้างต้นนั้น ได้ให้ข้อมูลของ เมืองอุไทยธานีที่น่าสนใจหลายประเด็น อาทิ รูปแบบทางสถาปัตยกรรมของอาคารบ้านเรือนที่ก่อสร้างใน เมืองอุไทยธานีว่าเรือนแถวที่ปลูกสรา้ งนั้นมีทั้งทีม่ งุ หลังคาด้วยตับจากและสังกะสี ทั้งนี้ ประเด็นที่กล่าวว่า หลงั คาทม่ี ุงดว้ ยตับจากน้ันมคี วามน่าสนใจ ซ่งึ อาจแปลความไดส้ องแนวทาง คอื เป็นหลังคาทนี่ ำใบของพืช 25

โครงการกำหนดขอบเขตพืน้ ที่เมืองเกา่ ตระกูลปาล์มมาเย็บไพเป็นตับแล้วนำมามุงหลังคา ซึ่งผู้บันทึกเรียกหลังคาแบบดังกล่าวด้วยความว่า “หลังคาจาก” เพราะมีลักษณะที่เห็นคล้ายคลึงกัน เนื่องจากแถบอุทัยธานีพบพืชตระกูลปาล์มที่เรียกว่า “ตาด” ซ่งึ มีลักษณะทางใบเชน่ เดยี วกับใบจากซง่ึ น่าจะถูกนำมาใชท้ ำเปน็ วัสดมุ งุ หลงั คาได้ หรอื ถ้าหากเป็น ตับจากก็แสดงให้เห็นเครือข่ายการค้าที่เชื่อมโยงกับชุมชนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ริมชายฝั่งทะเลจะผลิตตับจาก ขายเป็นสินค้า ซ่ึงเป็นเครอื ขา่ ยการแลกเปล่ียนสินคา้ ระหวา่ งกันทน่ี ่าสนใจยิ่ง นอกจากนี้ การเสด็จพระราชดำเนินมายังเมืองอุไทยธานีในครั้งนั้นยังมีความสำคัญต่อ ประวัติศาสตร์ไทย กล่าวคือ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนรูปแบบธงชาติจากธงช้างเผือกมาเป็นธงไตรรงค์ที่มี ลักษณะเป็นแถบสามสี เพื่อให้สะดวกแก่การใช้งาน ดังที่จมื่นอมรดรุณารักษ์ (แจ่ม สุนทรเวช) ได้บันทึกไว้ (อมรดรุณารักษ์, จมื่น, 2512) อนึ่ง ธงที่เป็นแถบสีนั้นมีการใช้ร่วมกับธงช้างเผือกมาก่อนแล้วในสมัยรัชกาลที่ 6 น้ี ซ่ึงเป็น ธงแถบสี 5 แถบ สีขาวสลับสีแดง เรียกว่าธงค้าขาย (สัดส่วนอย่างธงชาติไทยปัจจุบัน) ใช้ควบคู่กับธง ช้างเผือกที่ใช้เป็นธงราชการ จึงสันนิษฐานว่าพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้นำรูปแบบของธงค้าขายท่ีมีอยู่แล้วมาใช้แทน และเปลี่ยนสีแถบกลางจากสีแดงเป็นสีขาบ (สีน้ำเงิน แก่ม่วง อันเป็นสีประจำวันพระบรมราชสมภพ) ใส่แทน เรียกว่าธงไตรรงค์ ซึ่งหมายถึงธง 3 สีน่ันเอง สำหรับสถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของเมืองอุไทยธานีที่สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระ มงกฎุ เกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี 6 คอื “โรงเรียนเบญจมราชูทิศ” ซึ่งจัดการเรียนการสอนครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2456 ต่อมาในปี พ.ศ. 2462 เป็นช่วงเวลาที่อุไทยธานีต้องประสบกับความยากลำบากอีกคร้ัง เนื่องจากเกิดการแพร่ระบาดของอหิวาตกโรค ทำให้ผู้คนเจ็บป่วยและล้มตาย เนื่องจากในอดีตระบบ สุขาภิบาลด้านการจัดการขยะและสิ่งปฏิกูล ตลอดจนการจัดการน้ำอุปโภคบริโภคนั้นไม่ได้มาตรฐาน ชาวเมืองอุไทยธานีที่ผูกโยงชีวิตทั้งหมดไว้กับสายน้ำสะแกกรัง จึงได้รับผลกระทบอย่างหนักเมื่อเกิดการ แพรร่ ะบาดของโรคภัยดงั กล่าว ซง่ึ ยอ่ มทำใหเ้ ศรษฐกิจซบเซาลงช่ัวระยะเวลาหนึง่ ด้วย วนั ที่ 5 ตลุ าคม พ.ศ. 2468 ได้มกี ารจดั การศกึ ษาโดยให้ “โรงเรียนอทุ ยั ทวีเวท” จัดการเรียนการ สอนเป็นโรงเรียนบุรุษ และ “โรงเรยี นเบญจมราชูทศิ ” เปน็ โรงเรียนสตรปี ระจำจงั หวัด ตามลำดับ ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 (ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. 2468-2478) ได้มีการประกาศยกเลิกการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาลในปี พ.ศ. 2476 สถานะ ของเมอื งอทุ ัยธานีจึงเปลี่ยนเปน็ “จงั หวดั อทุ ัยธานี” จากการศึกษาภาพถ่ายเก่าต่าง ๆ ของเมืองอุทัยธานีพบว่า ในช่วงเวลานี้มีภาพถ่ายอาคารที่ทำ การของรัฐหลายแห่ง เช่น “สถานีตำรวจภูธรจังหวัดอุทัยธานี” สันนิษฐานว่าสร้างข้ึนก่อนปี พ.ศ. 2470 มีลักษณะเป็นอาคารเครื่องไม้หลังคาปั้นหยา มีระเบียงโถงล้อมรอบพื้นที่ห้องทำงานตอนในซึ่งเป็น แผนผังลักษณะเดียวกันกับที่ทำการที่ดินอุทัยธานี เพียงแต่แตกต่างกันที่วัสดุในการก่อสร้างและโครงสร้าง ทางสถาปตั ยกรรม 26

เมอื งเกา่ อทุ ัยธานี ในปี พ.ศ. 2478 ได้เกิดเหตุอัคคีภยั ใหญ่ 2 จุด คือบนเขาสะแกกรัง ซึ่งเพลิงไดล้ ุกไหม้เครื่องบน มณฑปพระพุทธบาทจนเสียหาย และเพลิงไหม้ในเขตตัวเมือง โดยต้นเพลิงมาจากบริเวณหัวมุมวงเวียน น้ำพุ (ปฏิภาณ วงศ์กาญจนา, 2563) ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะบ้านเรือนที่อยใู่ น ละแวก “วดั ขวิด” จากเหตุอัคคีภัยดังกล่าวได้สร้างความเสียหายให้แก่เรือนแถวไม้อันเป็นเอกลักษณ์สำคัญของ เมืองอุทัยธานี และมรดกทางสถาปัตยกรรมอื่น ๆ เป็นอย่างมาก จึงทำให้มีการสร้างตึกแถวขึ้นแทนทเ่ี รือน แถวไม้เดิม ต่อมามีการถมพื้นที่บริเวณชายแม่น้ำใกล้กับตลาดสะแกกรังซึ่งลาดชัน ให้เป็นที่สําหรับสร้าง บ้านเรือนใหม่ รวมทั้งมีการผาติกรรมวัดขวิดที่อยู่ริมน้ำสะแกกรังออกไปเพื่อให้ตัวเมืองขยายได้ โดย อาราธนาพระสงฆ์ไปจำพรรษารวมกับ “วัดทุ่งแก้ว” ซึ่งตอ่ มาได้เปล่ียนช่อื เปน็ “วดั มณีสถิตกปิฎฐาราม” ทั้งนี้ จากเหตุการณ์ไฟไหม้ใหญ่ดังกล่าว ทำให้มีการปรับปรุงการวางผังใหม่ในปี พ.ศ. 2481 พื้นที่ย่านวัดขวิดได้กลายมาเป็นย่านตลาดและที่ตั้งของ “โรงภาพยนต์นิวเฉลิมอุทัย” ซึ่งมีรูปแบบทาง สถาปัตยกรรมแบบสมัยใหม่ระยะต้น (Early Modern Style) ซึ่งเคยเป็นสัญลักษณ์ของความเจริญและการ พัฒนาทางเศรษฐกจิ ของเมืองอทุ ัยธานี ทวา่ ในปัจจุบนั กลายเป็นโรงภาพยนตร์ ้างแลว้ เนือ่ งจากการประกอบ ธุรกิจของโรงภาพยนต์เดี่ยว (Stand Alone Cinema) ไม่เป็นที่นิยม เนื่องจากถูกแทนที่ด้วยโรงภาพยนต์ รวมกลมุ่ (Cineplex) ทีอ่ ยคู่ ่กู ับห้างสรรพสินคา้ ไดเ้ ข้ามาแทนท่ี รวมถงึ มกี ารสร้างตลาดสดเทศบาลขึน้ ด้วย ความเป็นเมือง (Urbanization) ของย่านเมืองเก่าอุทัยธานีมีความเข้มข้นอยู่ในบริเวณท่าน้ำ ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อการค้าระหว่างเมือง ซึ่งทำให้มีความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจสูง จึงเป็นทำเลที่ตั้งที่ เหมาะสำหรับการตั้งตลาดสด และโรงภาพยนต์ จึงมีการก่อสร้างอาคารแถวเพื่อการพาณิชยกรรม ถัดจากศูนย์กลางเมืองบริเวณวงเวียนวิทยุออกไปจะเริ่มมีความเข้มข้นของการใช้สอยที่ลดลง จึงเริ่มมี อาคารเดี่ยวที่เป็นเรือนพักอาศัยจำนวนมากขึ้น แทรกด้วยพื้นท่ีเปิดโล่งลักษณะเป็นทุ่งซึ่งสามารถมองเห็น หลังคาของวัดต่าง ๆ ที่วางตัวอยู่ในภูมิทัศน์วัฒนธรรมเมืองเก่าอุทัยธานี เช่น วัดหลวงราชาวาส วัดใหม่ จนั ทราราม วัดธรรมโฆษก (ปฏภิ าณ วงศ์กาญจนา, 2563) เมืองอุทัยธานีถือกำเนิดและเติบโตขึ้นจากแม่น้ำสะแกกรัง ทั้งในแง่ของการเป็นแหล่งน้ำ สำหรับอุปโภคบริโภค และการเกษตร นอกจากนี้ ยังทำหน้าที่เป็นเส้นทางลำเลียงสินค้านานาชนิด โดยเฉพาะข้าวเปลือกจากท้องนาและผลิตผลจากผืนป่าตอนในบนเทือกเขาทางด้านตะวันตกของเมืองซ่ึง อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ โดยลำเลียงผ่านลำน้ำสาขาต่าง ๆ ของแม่น้ำสะแกกรังที่ไหลต่อลงไป บรรจบกับแม่น้ำเจ้าพระยาตรงหน้าเมืองมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท ซึ่งเป็นเส้นทางเชื่อมต่อลงไปสู่กรุงเทพฯ นอกจากขนสินค้าการเกษตรและสินค้าป่าลงไปแล้ว ขากลับก็ขนสินค้าอุปโภคบริโภคขึ้นมาขายยัง อุทัยธานีซ่งึ สรา้ งความมั่งคงั่ ใหแ้ กพ่ ่อค้าและผู้คนชาวอุทัยธานเี ป็รชนอย่างย่งิ ตลอดช่วงพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของการตั้งถิ่นฐานในเขตพื้นที่เมืองเก่าอุทัยธานี กล่าวได้ ว่าทำเลที่ตั้งบ้านสะแกกรังที่เป็นจุดขนถ่ายสินค้าระหว่างเมืองอุไทยธานีกับเมืองมโนรมย์เป็นปัจจัยสำคัญ ต่อจุดเริ่มต้นของการเป็นเมืองท่าที่ส่งผลให้วิถีชีวิตของผู้คนที่บ้านสะแกกรังผูกพันกับกิจกรรมการค้าขาย ของชุมชนชาวจีนบริเวณริมแม่น้ำสะแกกรัง ซึ่งภาพอดีตของพื้นที่ชุมชนริมแม่น้ำสะแกกรังในเขตเมืองเก่า 27

โครงการกำหนดขอบเขตพ้ืนท่เี มอื งเกา่ อุทัยธานีนั้นจะมีท่าน้ำสำหรับการขนถ่ายสินค้า อาทิ ท่าข้าว ท่าแร่ และท่าสินค้าอื่น ๆ ซึ่งยังฉายภาพเป็น ความทรงจำของผูค้ นทีใ่ ชช้ ีวิตในเมืองเก่าอุทยั ธานี ดงั ตวั อย่างของท่าน้ำตอ่ ไปนี้ (ยงยุทธ ภาครัตณ,ี 2563) “ท่าวัดโค่ง” บริเวณหน้าวัดธรรมโศภิต (วัดโค่ง) ปัจจุบันยังคงใช้เป็นทา่ น้ำสำหรบั ชาวแพ “ท่านายบ้วน” คือ ท่าน้ำเดียวกันกับ “ท่าครูไล้” และ “ท่าโกวา” เพียงแต่มีชื่อเรียกต่างกัน ตามเจ้าของผู้บริหารท่าเรือที่เปลี่ยนตามช่วงเวลา ลำดับพัฒนาการเจ้าของท่าน้ำคือ นายบ้วน ครูไล้ และ โกวา (สามพี่น้องเชื้อสายจีนคือ โกพก โกวา และโกแหลม) ตามลำดับ ชื่อ “ท่าโกวา” เป็นชื่อเรียกระยะ หลังสดุ ในชว่ งที่เกิดการคมนาคมทางบกทีเ่ มอื งอุทยั ธานแี ลว้ “ท่าแร”่ บริเวณศาลเจ้าพอ่ กวนอู ในอดตี เป็นทา่ สำหรับขนส่งแร่เหล็ก มีการค้ามีดและโรงตีเหล็ก นอกจากนี้บริเวณบ้านท่าแร่ยังเป็นนิวาสสถานเดิมของสมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารี) (พ.ศ. 2425) สมเด็จ พระราชาคณะ เจ้าคณะใหญห่ นใต้ ประธานสังฆสภารปู แรก ปจั จุบนั ทา่ นี้ยงั คงใชเ้ ป็นทา่ น้ำสำหรับชาวแพ “ทา่ ครอ้ ” ตง้ั ชอื่ ตามตน้ ตะคร้อทีข่ ึ้นอยู่บริเวณหน้าวัดขวดิ ปัจจบุ ันเป็นตลาดสดเทศบาล “ท่าช้าง” เป็นท่าน้ำที่สำคัญมากที่สุดของเมืองอุทัยธานี ตั้งอยู่บริเวณศูนย์กลางเมืองที่เต็มไป ด้วยบรรยากาศการค้าที่คึกคัก และมียุ้งข้าวอยู่ในบริเวณใกล้เคียง ในอดีตเคยเป็นท่าน้ำสำคัญสำหรับใช้ ชา้ งชกั ลากซุงมาลงเรือเพ่อื นำซงุ สง่ ไปขาย ซึง่ เป็นทม่ี าของการต้ังชอื่ “ถนนทา่ ช้าง” ตรงท่าช้างยังเป็นท่าน้ำหลักสำหรับการสัญจรข้ามฝั่งไปมาระหว่างฝั่งเทศบาลเมืองและฝั่ง วัดโบสถ์ที่เกาะเทโพด้วยเรือชักลาก ก่อนจะมีสะพานข้ามจากฝั่งตลาดไปยังเกาะเทโพ ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2525 เพอื่ เป็นการร่วมเฉลมิ ฉลองในวาระครบรอบ 200 ปกี รงุ รัตนโกสินทร์ และยงั เปน็ ทีข่ นส่งสินค้า ของบรรดารา้ นค้าโชห่วยในยา่ นตลาดใจกลางเมอื งเกา่ อทุ ยั ธานี นอกจากนี้ ยังมีท่าตาแว่นทำหน้าที่เป็นท่าเรือโดยสาร และสินค้าที่เดินทางไปยังกรุงเทพฯ ของ ชาวอุทัยธานี โดยมีเรือเหล็กสำหรับการโดยสารและขนข้าวของต่าง ๆ ซึ่งชาวอุทัยธานีเรียกขานกันว่า “เรือแดง” ออกเดินทางจากเมืองอุทัยธานี เวลา 6 โมงเช้า และจะไปถึงท่าเตียนที่กรุงเทพฯ ในเวลา 6 โมงเช้าของวันรุ่งขึ้น รวมทั้งยังเป็นท่าเทียบเรือโยงที่มาจากกรุงเทพฯ ซึ่งมาพร้อมกับสินค้าจาก กรุงเทพฯ นานาชนิด และรับสินค้าของเมืองอุทัยธานีกลับไปขายที่กรุงเทพฯ เช่น สมุนไพร ข้าวเปลือก เปน็ ตน้ (ยงยุทธ ภาครตั ณ,ี 2563) 28

เมอื งเก่าอุทัยธานี รูปที่ 1: ภาพถา่ ยฝีพระหตั ถพ์ ระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยูห่ วั ชมุ ชนเรือนแพบนแม่นำ้ สะแกกรงั บรเิ วณตวั เมือง อุทยั ธานี ปี พ.ศ. 2449 ท่มี า: เอนก นาวิกมลู และธงชัย ลขิ ติ พรสวรรค์, 2561: 36 ในช่วงการเข้าสู่ความเป็นสมัยใหม่ในระยะแรกนั้น เส้นทางสัญจรทางน้ำสำหรับการเดินทาง ของผู้คน และการขนถ่ายสินค้ามายังอุทัยธานีได้รับความนิยมมากขึ้น เนื่องจากอุทัยธานีนั้นไม่มีเส้นทาง รถไฟผ่าน อีกทั้งตัวเมืองยังตั้งห่างออกมาจากถนนสายหลักที่เปรียบเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่เชื่อมจาก กรุงเทพฯ ไปยังภาคเหนือ การขนส่งทางเรือจึงมีบทบาทอย่างยิ่งสำหรับชาวอุทัยธานี ทว่าในเวลาต่อมา เรือที่ใช้ขนถ่ายสินค้าก็มีขนาดใหญ่กินน้ำลึกขึ้น สวนทางกับปริมาณน้ำต้นทุนจากแม่น้ำสาขาต่าง ๆ จาก ป่าตน้ นำ้ สะแกกรังทีม่ ีปรมิ าณลดนอ้ ยลงมาก โดยเฉพาะอย่างยงิ่ ในช่วงฤดแู ลง้ การคมนาคมขนส่งผ่านทาง แม่น้ำสะแกกรังจึงมีความลำบาก เพราะน้ำจะงวดแห้งลงจนถึงก้นท้องน้ำ ผลกระทบดังกล่าวไม่ได้เกิด ขึ้นกับการสัญจรทางน้ำเพียงเทา่ น้ัน ทว่ายังมีผลต่อเรือนแพท่ีอยู่อาศัยอันเป็นอัตลกั ษณข์ องเมอื งอุทัยธานี ก็พลอยไดร้ บั ความเดือดร้อนไปด้วย ในการนี้ จึงมีการแก้ปัญหาดังกล่าวด้วยการถมดินเป็นคันเขื่อนใหญ่ตรงบริเวณท่ีน้ำสะแกกรัง ไหลบรรจบกับแม่น้ำเจ้าพระยาที่บ้านท่าซุง เพื่อกักน้ำไว้ยามหน้าแล้ง แม้ว่าจะแก้ปัญหาเรื่องปริมาณน้ำใน แม่น้ำได้ แต่ก็สร้างปัญหาใหญ่เรื่องการสัญจรทางน้ำ เล่ากันว่าหากจะใช้เรือในการสัญจรผ่านจะต้องลง แรงเขน็ เรือข้ามเขื่อนไป หรอื หากจะสัญจรทางบกต้องใช้เส้นทางเกวียนไป ต่อมาเม่ือเส้นทางสัญจรทางบก ได้รับการพัฒนามากขึ้น ทำให้มีการลงทุนให้บริการแพขนานยนต์เพื่อข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาที่อำเภอ มโนรมย์มายังฝั่งอุทัยธานีตรงปลายเกาะเทโพด้านใต้ ซึ่งเพิ่งเลิกกิจการไปเมื่อมีการสร้างสะพานเพื่อข้าม แมน่ ้ำเจา้ พระยาเพอ่ื เชอื่ มระหว่างอทุ ัยธานี และอำเภอมโนรมย์ จังหวดั ชยั นาท จนกระทั่งเมื่อการสร้างเขื่อนเจ้าพระยาแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2500 ซึ่งโครงการชลประทานใน พื้นที่บริเวณนี้ได้ริเริ่มมาตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงมอบหมายให้ กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงเกษตราธิการ จัดหาผู้เชี่ยวชาญมาวางแผนโครงการพัฒนาการ 29

โครงการกำหนดขอบเขตพน้ื ท่เี มอื งเกา่ ชลประทานในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ซึ่งได้เริ่มต้นแนวคิดโครงการพัฒนาลุ่มแม่น้ำภาคกลาง ในนาม “โครงการเจ้าพระยา” โดยมีพื้นที่เป้าหมาย คือ “เขตที่ราบแห่งลาดแม่น้ำเจ้าพระยาตอนใต้” ซึ่ง ครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่นครสวรรค์ลงมา (พงศกรณ์ ผะอบเพ็ชร, 2559: 5) ในที่นี้ย่อมรวมอุทัยธานีด้วย แต่โครงการดังกล่าวมิได้ก่อสร้าง เน่ืองจากใช้งบประมาณสูง และต้องใช้เงินงบประมาณในการสร้างการ ขนส่งระบบราง ต่อมาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2488 โครงการเจ้าพระยาได้กลับเข้ามาอยู่ใน ความสนใจอีกครั้งและได้รับการก่อสร้างในกลางทศวรรษที่ 2490 และสร้างเขื่อนเจ้าพระยา แล้วเสร็จ ในปี พ.ศ. 2500 (พงศกรณ์ ผะอบเพ็ชร, 2559) การสร้างเขื่อนเจ้าพระยาทำให้น้ำเหนือเขื่อนมีระดับที่คงที่ขึ้นกว่าเดิมมากและส่งผลต่อแม่น้ำ สะแกกรังซึ่งเป็นแม่น้ำสาขาให้มีระดับน้ำที่คงที่มากขึ้นด้วย ทว่ามิติทางสังคม วัฒนธรรม และเศรษฐกิจท่ี เมืองอุทัยธานีได้รบั จากเขื่อนนัน้ มีแง่มุมที่คาดไม่ถึง กล่าวคือ แม้ว่าจะทำให้เกดิ พื้นที่ที่ได้รับประโยชนจ์ าก การชลประทานเขื่อนเจ้าพระยา ทว่าการสร้างเขื่อนเจ้าพระยาได้ทำให้การขนส่งทางน้ำหมดบทบาทลงโดย สิ้นเชิง เนื่องจากว่าเรือที่แล่นผ่านเขื่อนเจ้าพระยา โดยเฉพาะเรือเมล์ขนส่งมวลชนและเรือสินค้านั้น จะต้องรอคอยเวลาอยู่ในประตูน้ำ จึงไม่เป็นการสะดวกในการคมนาคมขนส่ง ทำให้การคมนาคมขนส่งทาง นำ้ ไดย้ กเลิกการดำเนนิ การไปโดยปรยิ าย ซง่ึ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกจิ ของเมอื งอุทยั ธานี (3) เมอื งอุทยั ธานี และสถานการณ์การอนุรักษ์และพฒั นาในบริบทปจั จุบนั ทั้งนี้ ในอดีตนั้นพ่อค้าชาวจีนอาศัยอยู่แบบอาคารแถวริมน้ำ ในลำน้ำมีชุมชนเรือนแพ และใน พื้นที่ที่ห่างออกไปจากริมน้ำยังมีชาวสวน ซึ่งชาวจีนเหล่านี้มีการตั้งรกรากค้าขายตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา สบื ตอ่ มาถึงปัจจุบนั กล่าวได้ว่า “ชุมชนบ้านท่า” ริมแม่น้ำสะแกกรังที่ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น “บ้านสะแกกรัง” ตามชื่อของแม่น้ำ และเป็นทำเลที่สำคัญที่ทำให้เกิดการพัฒนาการทางสังคมและวิถีชีวิตของผู้คนที่เป็น บรรพบุรุษของผู้ที่อยู่อาศัยในเขตเมืองเก่าอุทัยธานีผ่านการซ้อนทับของพื้นที่การใช้งานที่เปลี่ยนแปลงไป ตามกาลเวลาจากอดตี จนถึงปจั จบุ ัน นอกจากนี้แม่น้ำสะแกกรังยังเป็นองค์ประกอบสำคัญทางภูมิทัศน์ทางประวัติศาสตร์ที่เป็น ประจักษ์พยานถึงพลวัตของการอยู่อาศัยและการทำมาหากินที่พึ่งพากันระหว่างมนุษย์และ ทรัพยากรธรรมชาติที่ทำให้ทุกชีวิตสามารถดำรงวิถีชีวิตควบคู่ไปกับสายน้ำอย่างแนบแน่นและเปี่ยมด้วย สขุ ภาวะทท่ี ำใหเ้ มืองเกา่ อทุ ยั ธานยี งั คงดำรงไดจ้ วบจนทุกวันนี้ ดังเห็นได้จากวิถีชีวิตชาวแพ ณ บ้านสะแกกรังที่ดำรงอยู่และสืบทอดมาหลายชั่วอายุคน มี กิจกรรมที่พึ่งพาอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของสายน้ำ มีวิถีชีวิตที่เริ่มต้นจากแสงแรกของวันดำเนินไปจน ส้ินแสงสุดทา้ ยของวันในสายน้ำ ทว่าในสถานการณ์ปัจจุบันที่เส้นทางสัญจรทางบกทวีความสำคัญมากขึ้น นับตั้งแต่การตัดทาง รถไฟสายเหนือจากลพบุรีขึน้ สู่ปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งเปิดการเดินรถเมื่อ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2448 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ซึ่งแม้ว่าในช่วงเวลาดังกล่าวการเดินรถ 30

เมอื งเก่าอุทยั ธานี ยังมีความล่าช้าและยังไม่สะดวกนัก ดังจะเห็นได้ว่าแม้การเสด็จประพาสต้นครั้งที่ 2 ของพระองค์ไปยังหัว เมืองเหนือนั้นก็ยังใช้การเดินทางด้วยเรือพระที่นั่ง อย่างไรก็ดี ในเวลาต่อมาการตัดทางรถไฟดังกล่าวก็ทำให้ ศนู ย์กลางทางเศรษฐกิจของภาคกลางตอนบนยิ่งขยับไกลจากอุทัยธานีออกไป ต่อมาในปี พ.ศ. 2479 ได้มีการตัดถนนพหลโยธินโดยเริ่มต้นจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเพื่อ เป็นเส้นทางขึ้นสู่ภาคเหนือทว่ายังตัดไปได้ถึงเพียงดอนเมือง ต่อมาปี พ.ศ. 2483 ได้ขยายเส้นทางต่อไป จนถึงลพบุรีแล้วตัดเชื่อมไปทางตะวันตกไปทางชัยนาท จากนั้นจึงวกขึ้นทางเหนือไปนครสวรรค์และเชื่อม ต่อไปยังภาคเหนือ ทำให้เกิดเส้นทางเชื่อมต่อมายังอุทัยธานี 2 เส้นทาง คือ จากถนนพหลโยธินเชื่อมต่อ เข้ามายังอำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท ซึ่งทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจจากการเป็นชุมทาง การค้าทางน้ำมาตั้งแต่อดีตและซบเซาลงในชั้นหลัง ทว่าด้วยการเป็นทำเลที่ตั้งของท่าแพขนานยนต์ จึงยัง ทำให้ตลาดคุ้งสำเภายังดำรงบทบาทการเป็นชุมทางและยังคึกคัก ทั้งนี้ การข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาต้องใช้ แพขนานยนต์ที่ตลาดคุ้งสำเภา อำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท ที่เชื่อมต่อไปยังอุทัยธานีทางด้านใต้ของ เมือง ซึ่งแพขนานยนต์ที่ทำหน้าที่เชื่อมสองฟากฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาเข้าหากันนั้นได้ดำเนินกิจการมาตั้งแต่ พ.ศ. 2480 และได้ปิดกิจการลงเม่ือวนั ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2562 เมื่อสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาสร้างแล้ว เสร็จและเปิดใช้งาน สำหรับเส้นทางที่ 2 คือ เส้นทางแยกจากถนนพหลโยธินที่บ้านท่าน้ำอ้อย อำเภอ พยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรคซ์ ่งึ เป็นทางแยกเขา้ ไปยังจังหวัดอทุ ยั ธานี จากความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ของเมืองอุทัยธานีได้เกิดข้ึนมาโดยตลอดหน้าประวัตศิ าสตร์ เพราะ เมืองเป็นสิ่งที่มีพลวัตและสัมพันธ์กับบริบทแวดล้อมต่าง ๆ ทั้งที่เป็นปัจจัยแวดล้อมภายในและภายนอก สร้าง ความเปลี่ยนแปลงแก่เมืองอุทัยธานีอย่างมากมาย แม้ว่าจะเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ ก็ตามที อย่างไรก็ดีความ เปลี่ยนแปลงที่ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างก้าวกระโดดเช่นที่เกิดขึ้นกับเมืองอื่น ๆ ทำให้อุทัยธานีถูกมองว่าเป็นเมืองที่ เติบโตชา้ และสญู เสียโอกาสจากการพัฒนา ทว่าในบริบทสังคมร่วมสมัยในสถานการณ์ปัจจุบัน กลับมองเห็นว่าการที่อุทัยธานีเติบโตและ เปลยี่ นแปลงอยา่ งช้า ๆ นัน้ เปน็ โอกาสทองทที่ ำให้เมืองอทุ ัยธานสี ามารถธำรงรกั ษาต้นทุนหลากมิติไว้เพ่ือ การต่อยอดในบรบิ ทสังคม วัฒนธรรม และเศรษฐกจิ ฐานวัฒนธรรมไปส่คู วามย่ังยืนได้ ในราวสองทศวรรษที่ผ่านมา เมืองเก่าอุทัยธานีสามารถรักษาต้นทุนทางวัฒนธรรมไว้ได้จาก การพัฒนาไปอย่างช้า ๆ ในขณะที่มรดกทางวัฒนธรรมทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมของเมืองอื่น ๆ ได้ ถูกละทิ้งและเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ผลลัพธ์การพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไปของเมืองอุทัยธานีที่ ผ่านมานั้น กลับกลายเป็นต้นทุนสำคัญด้วยเป็นกลไกที่ทำให้มีเวลาขบคิดและตั้งคำถามต่อความ เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เพราะความเปลี่ยนแปลงโดยไม่รักษาคุณค่าและตัวตนทางวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นใน พน้ื ทีอ่ ่ืน ๆ นั้น ได้แสดงผลแลว้ ว่าไมไ่ ด้สร้างความยั่งยนื มรดกวัฒนธรรมเมืองเก่าอุทัยธานีที่ได้เก็บรักษาไว้จึงได้ประจักษ์แก่สายตาสาธารณชน โดยเฉพาะภาพวัฒนธรรมการอยู่อาศัยฐานน้ำของชาวแพหน้าเมืองอุทัยธานีที่กลายเป็นภาพจำและ สัญลักษณข์ องเมอื งอทุ ัยธานที ่ีใครต่อใครได้รู้จกั จดจำ เมอื งเก่าอุทยั ธานีจงึ เป็นพื้นทีท่ ี่ได้รับความสนใจจาก ภาคีต่าง ๆ ที่จะขับเคลื่อนทุนทางวัฒนธรรมของเมืองไปสู่การต่อยอดและการใช้สอยให้สอดคล้องกับบริบท 31

โครงการกำหนดขอบเขตพื้นท่ีเมืองเก่า ของสังคมร่วมสมัยและเศรษฐกิจฐานวัฒนธรรม ที่มุ่งรักษาคุณค่าของเมืองเก่าไว้เป็นต้นทุนสำหรับการ พัฒนาอยา่ งย่งั ยนื จากการปริทัศน์การศึกษาที่ผ่านมาพบว่ามีโครงการศึกษาวิจัยเพื่อขับเคลื่อนต้นทุนทาง วฒั นธรรมสำหรับการพัฒนาอย่างยั่งยืนหลายโครงการ อาทิ ในปี พ.ศ. 2543 ตรึงใจ บรู ณสมภพ และคณะผู้ ร่วมวิจัย จากมหาวิทยาลัยศิลปากรได้ดำเนินโครงการวิจัย “อุทัยธานี: โครงการรักษาเอกลักษณ์ของ สถาปัตยกรรมท้องถิ่นและสิ่งแวดล้อมเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว” (ตรึงใจ บูรณสมภพ, 2543: 5) เป็น โครงการวิจัยลำดับแรก ๆ ที่ดำเนินการในจังหวัดอุทัยธานี รวมทั้งพื้นที่ภายในเมืองเก่าอุทัยธานี โดยมี วัตถุประสงค์ของโครงการ คือ มุ่งส่งเสริมคุณค่าของแหล่งมรดกทางสถาปัตยกรรมสำคัญต่าง ๆ ตลอดจน สิ่งแวดล้อมท่ีมีศักยภาพต่อการพัฒนาผา่ นการบริหารจดั การเพอื่ ดึงดูดผมู้ าเยอื น นอกจากผลลัพธก์ ารวิจัย ที่เป็นองค์ความรู้แล้ว ยังให้ข้อเสนอแนวทางเพื่อการพัฒนา ปรับปรุงสภาพทางกายภาพของแหล่งให้มี คุณภาพมากขึน้ ปี พ.ศ. 2546 อรศริ ิ ปาณนิ ท์ ได้ดำเนนิ การวิจัยเรอื่ ง “หมูบ่ า้ นลอยน้ำของไทย” (อรศิริ ปาณินท์, 2546) ซึ่งศึกษาเปรียบเทียบชุมชนฐานนำ้ 2 แห่ง คือ เรือนแพในแม่น้ำน่านที่จังหวัดนครสวรรค์ และแม่น้ำ สะแกกรงั ทจี่ งั หวัดอุทยั ธานี โดยศกึ ษาถงึ ลักษณะการต้งั ถ่ินฐาน การจำแนกรปู แบบเรอื นแพ ตามอายใุ นการ กอ่ สร้าง ศึกษามติ ทิ างสถาปตั ยกรรมตา่ ง ๆ ของเรือนแพทคี่ ดั สรรเป็นกรณีศกึ ษา ซึง่ เป็นงานวจิ ัยทใ่ี ห้ความรู้ เกี่ยวกับชุมชนเรือนแพอย่างเป็นระบบ และเป็นฐานข้อมูลสำคัญสำหรับการศึกษาเรื่องเรือนแพในแม่น้ำ สะแกกรังในพืน้ ที่เมืองเกา่ อุทัยธานีทีส่ มบูรณ์ท้ังมิติมรดกทางวัฒนธรรมรูปธรรม และในมิติมรดกวฒั นธรรม นามธรรมทส่ี รา้ งความเขา้ ใจในคณุ ค่าของเรือนแพอย่างลึกซงึ้ ปี พ.ศ. 2552 “แผนพัฒนาที่อยู่อาศัยและแผนป้องกัน/แก้ปัญหา ชุมชนแออัดในเขตเมือง อุทัยธานี” (มหาวิทยาลัยนเรศวร, 2552) การวจิ ยั นเ้ี ป็นความร่วมมือระหวา่ งการเคหะแห่งชาติ และคณะ สถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร เพ่ือจัดทำแผนพัฒนาท่ีอยู่อาศัยแบบมีส่วนร่วม โดยมุ่งหมาย ให้ท้องถิ่นมีความสามารถในการวางแผนบริหารจัดการ และแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยภายในพื้นท่ีเมืองเก่า อุทัยธานีอย่างเหมาะสม ซึ่งได้มีการดำเนินการปรับปรุงเรือนไม้ในตรอกโรงยาเพื่อเป็นตัวอย่างของการ อนุรักษ์ และการปรับประโยชน์ใช้สอยอาคารให้สอดคล้องกับความต้องการในบริบทร่วมสมัย แต่ยัง รักษารูปแบบทางสถาปัตยกรรมของตัวอาคารและภมู ิทัศน์ภาพรวมของยา่ นเอาไว้ ในปี พ.ศ. 2559 “โครงการพิพิธภัณฑ์เสมือนเรื่องที่อยู่อาศัยที่เป็นเอกลักษณ์สะท้อนถึง อัตลักษณ์ความเป็นชุมชนเมืองอุทัยธานี” (สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง, 2559) การวิจัยนี้เป็นความร่วมมือระหว่างฝ่ายวิชาการพัฒนาที่อยู่อาศัย การเคหะแห่งชาติ และคณะ สถาปัตยกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ซึ่งได้ดำเนินการคัดเลือก และนำเสนอข้อมูลอาคารทรงคุณค่าในเขตเมืองเก่าอุทัยธานีมาศึกษาด้วยวิธีการสำรวจรังวัด และการ จัดทำแบบสถาปัตยกรรมเพื่อนำไปต่อยอดแสดงผลในรูปแบบพิพิธภัณฑ์เสมือน คือ เรือนแถวไม้ใน ชุมชนตรอกโรงยาเซ็กเกี๋ยกั้ง โรงภาพยนตร์นิวเฉลิมอุทัย อาคารฮกแซตึ๊ง และเรือนแพในแม่น้ำ สะแกกรัง ซึ่งเป็นอาคารที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เมืองเก่าอุทัยธานีที่แสดงออกถึงภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมและมี 32

เมอื งเกา่ อุทัยธานี รูปแบบทางสถาปัตยกรรมที่โดดเด่น และแสดงออกถึงวิถีชีวิตในการอยู่อาศัยและการประกอบอาชีพอัน เป็นเอกลกั ษณข์ องชาวเมอื งเก่าอุทยั ธานี ปี พ.ศ. 2561 จังหวัดอุทัยธานีร่วมกับสำนักพิมพ์ต้นฉบับได้รวบรวมภาพถ่ายเก่าและสิ่ง ทรงคุณค่าที่ควรชมของอุทัยธานีและเผยแพร่เป็นหนังสือ 2 เล่ม คือ “สมุดภาพเมืองอุทัยธานี” (เอนก นาวิกมูล และธงชัย ลิขิต พรสวรรค์, 2561) และ “ของสวยของงามอุทัยธานี” (เอนก นาวิกมูล และ ธงชัย ลิขิต พรสวรรค์, 2561) ซึ่งได้รวบรวมภาพเก่าที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์จำนวนมากจากแหล่ง ต่าง ๆ ทั้งทีเ่ ป็นภาพถ่ายเก่าท่ีตพี ิมพใ์ นหนงั สือต่าง ๆ ภาพถา่ ยเก่าทเี่ กบ็ รักษาไว้ท่ีหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ตลอดจนภาพถ่ายเก่าที่อยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ ทั้งที่ติดแสดง และเก็บรักษาไว้ตามวัดวาอาราม สถานท่ี ราชการ และภาพถ่ายเก่าท่ีเป็นสมบัติสะสมของเอกชน ทำให้หนังสือท้ัง 2 เล่มน้ี เป็นหนังสือท่ีทรงคณุ ค่า สำหรับเป็นหนังสืออ้างอิงที่สำคัญสำหรับการค้นคว้าทำความเข้าใจบริบททางประวัติศาสตร์ สังคม และ วัฒนธรรมอทุ ัยธานที ่คี รบถ้วนสมบูรณย์ ิ่ง 4.1.2 สถาปตั ยกรรมและศลิ ปกรรม พื้นที่ในเขตเมืองเก่าอุทัยธานีนอกจากจะเป็นศูนย์กลางการค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าแล้ว ยังเปน็ พื้นทส่ี ำคญั ในการเชอื่ มโยงเสน้ ทางสัญจรทางบก และการสญั จรทางนำ้ เขา้ ดว้ ยกัน จึงเกดิ เปน็ ชุมชน ที่มีคนหลากหลายกลุ่มรวมตัวกัน ทั้งคนท้องถิ่น คนจีนโพ้นทะเล รวมถึงคนหลากชาติพันธุ์เข้ามาในพื้นท่ี เพื่อการลงทุน ค้าขาย และตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัย แต่เดิมการค้าขายผ่านการขนส่งทางน้ำ ซึ่งเป็นหัวใจหลัก ของชุมชนบ้านสะแกกรัง เรือนแพนอกจากจะใช้สอยเป็นที่อยู่อาศัยแล้วยังใช้เป็นเรือนร้านค้าในคราว เดียวกัน รูปแบบของเรือนแพในแม่น้ำสะแกกรัง เป็นเรือนไม้ชั้นเดียว สัดส่วนของเรือนไม่สูงชะลูดนัก หลังคาทรงจั่ว วางสันหลังคาขนานไปกับลำน้ำ ฝาเรือนยังคงใช้ฝาไม้จริง และบางส่วนเป็นฝาไม้สานขัด เป็นลวดลาย พื้นไม้กระดานวางอยู่บนตงไม้จริงทับบนลูกบวบที่ทำด้วยไม้ไผ่มัดรวมกันเป็นกลุ่ม พยุงให้ เรอื นทง้ั หลังลอยตวั อยู่บนลำน้ำ ตอ่ มาเมื่อการค้าขายทางน้ำลดบทบาทลง ชมุ ชนตลาดบกมีความสำคญั เช่ือมต่อปฏิสัมพันธ์ผ่าน เส้นทางเกวียนและถนนเป็นหลัก เป็นผลให้ชาวแพบางส่วนเลือกขึ้นจากแม่น้ำ มาปลูกสร้างเรือนบนบก เพื่อความสะดวกในการทำธุรกิจการค้าและการเดินทาง บริเวณสองฝั่งถนนศรีอุทัยและถนนท่าช้างจึงเปน็ เส้นทางคมนาคมสายแรกที่ปลูกสร้างที่อยู่อาศัย เรือนร้านค้า ตึกแถว ฯลฯ ลักษณะสถาปัตยกรรมของ เรือนแถวการค้าเป็นเรือนไม้สูง 1-2 ชั้น หลังคาทรงจั่ว มุงด้วยกระเบื้องดินเผาหรือสังกะสี ส่วนด้านหน้า อาคารชั้นบนเป็นฝาไม้ตีตามนอน กึ่งกลางมีหน้าต่างบานเปิดคู่ ชั้นล่างเป็นประตูบานเฟี้ยมไม้เปิดตลอด ช่วงเสา คลุมด้านหน้าอาคารด้วยหลังคากันสาดมุงสังกะสี ยื่นคลุมตลอดทางเดินเท้า (Foot path) พื้นท่ี ชั้นล่างใช้ประกอบธุรกิจการค้า ส่วนชั้นบนเป็นพื้นที่อยู่อาศัย จะเห็นได้ว่ารูปทรงอาคารถูกออกแบบให้ สอดคล้องกับสภาพภูมิอากาศและการใช้งาน เช่น การยื่นชายคาคลุมตลอดทางเดินเท้าเพื่อกันแดดกันฝน ตลอดจนการใช้ประตูบานเฟี้ยมเพื่อเปิดพื้นที่ค้าขายให้ลูกค้าสามารถเข้าเลือกชมสินค้า และขนส่ง 33

โครงการกำหนดขอบเขตพื้นทเี่ มืองเกา่ สินค้าเข้าออกไดส้ ะดวก เปน็ ต้น อีกท้ังวัสดุที่ใชใ้ นการปลูกสรา้ งอาคาร เปน็ วัสดทุ หี่ าไดใ้ นท้องถน่ิ หรอื เป็น ภูมิปัญญาท่ีคนในทอ้ งถิ่นสามารถผลิตขน้ึ ได้ด้วยตนเอง ส่วนตึกแถวการค้า เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กที่ได้รับอิทธิพลสถาปัตยกรรมรูปแบบ สมัยใหม่ช่วงต้น (Early Modern) โดยการออกแบบให้รูปทรงของอาคารสอดคล้องกับการใช้งานเป็นหลัก รูปด้านหน้าของอาคารดูเรียบง่าย ใช้เส้นตั้งเส้นนอนเป็นองค์ประกอบหลักภายใต้อาคารรูปทรงเรขาคณิต อาคารสงู 2 ช้นั หลงั คาแบน (Slab roof) ก่อแผงกรอบผนังบน (Parapet) สว่ นด้านหน้าอาคารชั้นบนเป็น ผนังก่ออิฐฉาบผิวเรียบ กึ่งกลางมีหน้าต่างบานกระทุ้ง ขนาบสองข้างด้วยหน้าต่างบานเปิดเดี่ยว ชั้นล่าง เป็นประตูบานเฟี้ยมไม้เปิดตลอดช่วงเสา คลุมด้านหน้าอาคารด้วยการยื่นหลังคาแบน (Slab roof) ตลอด ทางเดินเท้า (Foot path) สว่ นการใชส้ อยอาคารยงั คงแบบแผนในลักษณะเดยี วกัน 4.1.3 แหลง่ โบราณคดแี ละโบราณสถาน จากข้อมูลแหล่งโบราณคดีและโบราณสถานในพื้นที่เมืองอุทัยธานี พบว่าภายในพื้นที่เมือง อุทัยธานีมีแหล่งโบราณสถานที่กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานและกำหนดที่ดิน โบราณสถานแล้ว จำนวน 2 แห่ง โดยเป็นโบราณสถานที่มีอายุเก่าแก่สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ประเภทศาสนสถานในศาสนาพุทธ ได้แก่ (สำนกั ศลิ ปากรท่ี 4 ลพบุรี, ม.ป.ป.) (1) วัดอโุ ปสถาราม (วัดโบสถ์) (2) วัดขวดิ (ร้าง) ส่วนแหล่งโบราณคดีและโบราณสถานที่ทางกรมศิลปากรได้มีการสำรวจและจัดเก็บข้อมูลไว้ เรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่ได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติ มีจำนวน 6 แห่ง โดยเป็น โบราณสถานที่มีอายุเก่าแก่สมัยอยุธยาตอนปลาย และสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ซึ่งทั้งหมดเป็น โบราณสถานประเภทที่เป็นศาสนสถานในศาสนาพุทธที่ปัจจุบันยังมีการใช้ประโยชน์ ได้แก่ (สำนัก ศลิ ปากรที่ 4 ลพบุรี, ม.ป.ป.) (1) วัดสงั กัสรตั นคีรี (วัดเขาสะแกกรัง) (4) วัดมณสี ถิตกปฏิ ฐาราม (วดั ทุ่งแกว้ ) (2) วดั ธรรมโฆษก (วดั โรงโค) (5) วัดอมฤตวารี (วัดหนองน้ำคนั ) (3) วัดพิชัยปรุ ณาราม (6) วดั ใหม่จนั ทราราม ท้ังนี้ ท่ีตัง้ ของแหลง่ โบราณคดแี ละโบราณสถานในพ้นื ท่ีเมอื งอุทัยธานี ดังแผนท่ี 1 34



35



36

เมอื งเกา่ อทุ ยั ธานี 4.2 องค์ประกอบของเมอื งเกา่ อทุ ยั ธานี เมืองอุทัยธานีเป็นเมืองเก่าแก่เมืองหนึ่งในประเทศไทย แม้ว่าจะมีประวัติศาสตร์ความเป็นมา และพัฒนาการของการตั้งถิ่นฐานที่ไม่ยาวนานนัก เนื่องจากปรากฏหลักฐานชัดเจนของการตั้งถิ่นฐานเป็น บ้านเมืองในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ แต่ก็มีพัฒนาการของเมืองมาอย่างต่อเนื่องและชัดเจนมาจนถึง ปัจจุบัน ผู้คนที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานทำมาหากินในเมืองอุทัยธานีมีทั้งชาวไทยและชาวจีน จึงได้รับอิทธิพลทาง ศิลปะ วัฒนธรรม และสถาปัตยกรรม รวมถึงความเชื่อและความศรัทธาในศาสนา และเกิดการผสมผสาน ทางวัฒนธรรม ก่อให้เกิดมรดกทางวัฒนธรรมทั้งที่จับต้องได้และจับต้องไม่ได้เป็นจำนวนมากที่มีลักษณะ เฉพาะตัวของชุมชนรมิ น้ำสะแกกรัง ซึง่ รายละเอียดทสี่ ำคญั ดังปรากฏในแผนที่ 2 และรายละเอียดเพิ่มเติม ในภาคผนวก ผ.2 ทั้งนี้ กระบวนศึกษา วิเคราะห์ และประเมินองค์ประกอบเมืองเก่า จะเน้นการศึกษาใน 5 ประเด็น ประกอบด้วย 1) กำแพงเมือง คูเมือง และป้อม 2) แบบแผนโครงข่ายคมนาคมในเขตเมืองเก่า 3) ที่หมายตาในบริเวณเมืองเก่า 4) ย่าน/บริเวณที่สำคัญและมีคุณค่าของเมืองเก่า และ 5) ธรรมชาติใน เมือง ท้ังนี้ องคป์ ระกอบของเมืองทสี่ ำคัญทแ่ี สดงถึงความเป็นเมืองเก่าอุทยั ธานที ี่ยังคงปรากฏให้เห็นอยู่ใน ปจั จุบัน มดี ังน้ี 4.2.1 กำแพงเมอื ง คูเมือง และปอ้ ม เมืองอุทัยธานี แม้ว่าจะปรากฏหลักฐานชัดเจนของการตั้งถิ่นฐานเป็นบ้านเมืองในสมัยต้น กรุงรัตนโกสินทร์ แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีการสร้างกำแพงเมือง คูเมือง และป้อมเหมือนกับเมืองอื่น ๆ ในรนุ่ เดียวกนั แตอ่ ยา่ งไรก็ดี จากสภาพภมู ิประเทศของเมอื งอุทยั ธานที ่ตี ้งั อยู่บริเวณทร่ี าบรมิ ฝัง่ แมน่ ้ำ และ ลักษณะภูมิประเทศที่มีภูเขาสะแกกรังทอดตัวในแกนทิศเหนือ-ใต้ ตั้งขนาบด้านทิศตะวันตกของตัวเมือง มีแม่น้ำสะแกกรังไหลผ่านขนาบด้านทิศตะวันออกของตัวเมือง และมีคลองท่าโพไหลผ่านทางด้านทิศใต้ พาดจากทางตะวันตกไปสู่ทางตะวันออกและเชื่อมลงสู่แม่น้ำสะแกกรัง อาจกล่าวได้ว่า แนวธรรมชาติ เหลา่ น้เี ป็นเสมอื นกำแพงเมอื งและคูเมอื งของเมืองอทุ ยั ธานีไปโดยปรยิ าย รูปท่ี 2: แม่นำ้ สะแกกรงั บริเวณตวั เมืองอุทยั ธานี 37

โครงการกำหนดขอบเขตพ้ืนทเ่ี มอื งเกา่ 4.2.2 แบบแผนโครงขา่ ยคมนาคมในเขตเมอื งเก่า จากสภาพภมู ิประเทศของเมืองอุทยั ธานที ีต่ ้ังอยรู่ ิมฝ่ังแม่นำ้ สะแกกรัง และมีภเู ขาสะแกกรงั ขนาบ ด้านทิศตะวันตกของตัวเมือง ในอดีตการคมนาคมทางน้ำมีบทบาทสำคัญในการเดินทางติดต่อค้าขายกับ เมืองน้ี จึงเกดิ ท่าเรอื จำนวนมากบริเวณพนื้ ทร่ี ิมฝ่ังแมน่ ้ำสะแกกรัง และเชอื่ มโยงกับเสน้ ทางคมนาคมทางบก มีผลให้แบบแผนโครงข่ายคมนาคมในตัวเมืองอุทัยธานีที่ปรากฏมาถึงปัจจุบัน มีรูปแบบโครงข่ายถนนท่ี เด่นชัด คือ การสร้างถนนสายหลักที่ขนานไปกับแม่น้ำสะแกกรัง ในที่นี้คือ ถนนศรีอุทัย และมีถนนรักการดี ที่วางทอดตัวขนานไปกับแนวเขาสะแกกรัง โดยมีถนนสายต่าง ๆ ตัดขวางเพื่อเชื่อมต่อกับถนนศรีอุทัย และท่าเรือที่ตั้งอยู่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำสะแกกรัง ในการขนส่งสินค้าและการเดินทางเข้าสู่พื้นที่ตอนในของ ตัวเมืองอุทัยธานี ได้แก่ ถนนท่าช้าง ถนนศรีน้ำซึม ถนนพิบูลย์ศิริ ถนนบูรพาภิผล และถนนซอยต่าง ๆ ทำให้โครงข่ายคมนาคมในเมืองอุทัยธานีมีแบบแผนเป็นแนวยาวเหนือ-ใต้ และแนวตัดขวางทางตะวันออก- ตะวันตกคลา้ ยตารางกรดิ 4.2.3 จุดหมายตาในบริเวณเมืองเกา่ บริเวณที่หมายตาที่สำคัญของเมืองอุทัยธานีที่มีความโดดเด่นเป็นสง่า และสามารถรับรู้ได้ใน มมุ มองของชาวอุทัยธานีและผู้คนทว่ั ไป มดี ว้ ยกนั 3 แหง่ คอื (1) เขาสะแกกรัง และวัดสังกัสรัตนคีรีที่ตั้งอยู่บนยอดเขาสะแกกรัง เขาสะแกกรังเป็นภูเขา ขนาดเล็กขนาบด้านทิศตะวันตกของตัวเมืองอุทัยธานีในแกนทิศเหนือ-ใต้ จุดสูงสุดของเขาสะแกกรังมี ความสูงประมาณ 119 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง และมีวัดสังกัสรัตนคีรีตั้งอยู่บนยอดเขา สิ่งที่ สำคัญของวัดแห่งนี้คือมณฑปสิริมหามายากุฎาคารที่ตั้งอยู่บนยอดเขา สามารถมองเห็นมณฑปที่ตั้ง โดดเด่นเป็นสง่าในระยะไกลได้ทุกทิศทุกทาง ทั้งเขาสะแกกรังและพระมณฑปของวัดสังกัสรัตนคีรีจึงถือ เป็นภูมิสัญลักษณ์ของเมืองอุทัยธานี รวมทั้งเป็นจุดชมวิวทิวทัศน์จากมุมสูงที่สามารถมองเห็นภูมิประเทศ และสภาพตัวเมอื งอทุ ยั ธานไี ด้อย่างชัดเจน (2) วัดอุโปสถาราม (วดั โบสถ)์ ตง้ั อยูบ่ นเกาะเทโพ ตดิ ริมฝัง่ ตะวันออกของแม่นำ้ สะแกกรัง และ อยู่ฝั่งตรงข้ามกับฝั่งตลาดสดเทศบาลเมืองอุทัยธานี จากสภาพแวดล้อมของเกาะเทโพที่ยังความเป็น ธรรมชาติอยู่มาก ด้านหลังของวัดอุโปสถารามมีแนวต้นไม้ใหญ่เป็นฉากหลัง ประกอบกับตัวอาคาร เสนาสนะของวัดมีรูปแบบสถาปัตยกรรมสวยงามและโดดเด่นตั้งอยู่ติดริมฝั่งแม่น้ำ และบริเวณด้านหน้า ของวัดมีเรือนแพจอดอยู่ริมน้ำตามชายฝั่งเห็นเป็นทิวแถวยาวตลอดลำน้ำสะแกกรังจนสุดสายตา เมื่อมอง มาจากฝั่งตัวเมืองอุทัยธานี จะพบว่าบริเวณหน้าวัดแห่งนี้ถือเป็นจุดชมวิวของเมืองอุทัยธานีที่สวยงามแห่ง หนึ่งทีผ่ ู้คนทว่ั ไปและชาวอุทัยธานีสว่ นใหญ่จดจำได้ และเปน็ สญั ลักษณท์ ่อี ยูค่ ู่ริมน้ำสะแกกรงั มาชา้ นาน (3) วงเวียนวิทยุ (วงเวียนห้าแยกวิทยุ) ตั้งอยู่บนจุดตัดของถนนศรีอุทัยและถนนท่าช้าง ซึ่งอยู่ บริเวณห้าแยกพอดี เป็นย่านใจกลางเมืองอุทัยธานี ตัววงเวียนเป็นที่ตั้งของหอกระจายเสียงวิทยุที่สร้างขึน้ ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และเป็นสถานที่หลักที่ใช้จัดกิจกรรมที่สำคัญต่าง ๆ ของเมืองอุทัยธานี 38

เมืองเก่าอุทัยธานี ตลอดทั้งปี วงเวียนแห่งนี้จึงเป็นจุดหมายตา (Landmark) ที่สำคัญที่ชาวเมืองอุทัยธานีใช้อ้างอิงเมื่อพูดถึง ทตี่ งั้ ของสถานทต่ี า่ ง ๆ ในเมอื งอทุ ัยธานี เขาสะแกกรงั พระมณฑปสิรมิ หามายากุฎาคารท่ตี งั้ อย่บู นยอดเขาสะแกกรงั วัดอุโปสถารามท่ีตง้ั อยตู่ ิดริมฝ่ังแม่นำ้ สะแกกรงั วงเวยี นวิทยุ รูปที่ 3: ที่หมายตาทส่ี ำคญั ของเมอื งอุทยั ธานี 39

โครงการกำหนดขอบเขตพื้นท่ีเมอื งเกา่ 4.2.4 ยา่ น/บริเวณท่ีสำคัญและมีคุณคา่ ของเมอื งเกา่ ปจั จบุ นั ในเมืองอทุ ยั ธานีมยี ่าน/บริเวณทส่ี ำคัญและมีคณุ ค่าด้วยกัน 3 บรเิ วณ คือ (1) ยา่ นชุมชนชาวจีนตรอกโรงยา ในอดีตบริเวณแห่งน้ีเคยเปน็ ท่ีอยู่อาศัยของชุมชนชาวจีนโพ้น ทะเลจำนวนมาก เป็นย่านที่เต็มไปด้วยผู้คนที่มาซื้อขายและสูบฝิ่นกันอย่างเสรี เพราะเป็นที่ตั้งของโรงยา ฝน่ิ อย่างถกู กฎหมาย จงึ เปน็ ทม่ี าของช่ือ “ตรอกโรงยา” นอกจากเปน็ ย่านที่สามารถสะท้อนประวัติศาสตร์ และวิถีชีวิตชาวเมืองอุทัยธานีในอดีตได้เป็นอย่างดีแล้ว ในปัจจุบันยังมีสิ่งที่มีคุณค่าปรากฏให้เห็น คือ เรือนไม้แถวดั้งเดิมตลอดแนวสองฝั่งของถนนที่ยังคงทิ้งร่องรอยของความเจริญรุ่งเรืองในอดีตผ่านตัว อาคารบา้ นไมเ้ หล่าน้ัน ปจั จบุ นั เรอื นแถวไมเ้ ก่าในย่านดังกลา่ วได้ถูกปรับปรงุ ฟน้ื ฟใู ห้กลายเป็นถนนคนเดิน ท่ีเตม็ ไปดว้ ยร้านคา้ ในบริบทรว่ มสมัยมากขึ้น (2) กลุ่มอาคารเก่าในเขตเมืองอุทัยธานี ปัจจุบันในเขตเทศบาลเมืองอุทัยธานีสามารถพบเห็น กลุ่มอาคารเก่าตั้งอยู่ตามพื้นที่ส่วนต่าง ๆ ของเมือง โดยเฉพาะบริเวณถนนศรีอุทัย ถนนท่าช้าง และถนน พิบูลย์ศิริ ซึ่งเป็นย่านการค้าใจกลางเมืองอุทัยธานีมาตั้งแต่ครั้งอดีต กลุ่มแรกมีลักษณะสถาปัตยกรรมเปน็ เรือนแถวไมส้ ูง 2 ช้ัน หลงั คาทรงจั่ว มงุ ดว้ ยกระเบื้องดินเผาหรอื สังกะสี สว่ นดา้ นหน้าอาคารช้ันบนเป็นฝา ไม้ตีตามแนวนอน กึ่งกลางมีหน้าต่างบานเปิดคู่ ชั้นล่างเป็นประตูบานเฟี้ยมไม้เปิดตลอดช่วงเสา และอีก กลุ่มมีลักษณะสถาปัตยกรรมเป็นตึกแถวการค้า ตั้งอยู่บริเวณย่านตลาดสดเทศบาลเมืองอุทัยธานีเป็น อาคารที่ปลูกสร้างภายหลังเหตุเพลิงไหม้ในปี พ.ศ. 2478 ที่ได้รับอิทธิพลรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบ สมัยใหม่ช่วงต้น (Early modern) รูปทรงของอาคารถูกออกแบบให้สอดคล้องกับการใช้งานเป็นหลัก ด้านหน้าอาคารชั้นบนจึงฉาบผิวเรียบ กึ่งกลางมีหน้าต่างบานกระทุ้ง ขนาบสองข้างด้วยหน้าต่างบาน เปิดเดี่ยว ชั้นล่างเป็นประตูบานเฟี้ยมไม้เปิดตลอดช่วงเสา คลุมด้านหน้าอาคารด้วยการยื่นหลังคาแบน ตลอดทางเดินเท้า (3) ชุมชนชาวแพแม่นำ้ สะแกกรัง เป็นชุมชนชาวเมืองอทุ ยั ธานีที่อยู่อาศัยบนเรือนแพซึ่งจอดอยู่ ริมน้ำตามชายฝั่งตลอดลำน้ำสะแกกรัง ชาวแพแห่งน้ีใช้ความอุดมสมบูรณ์ของสายน้ำในการปลูกเตยและ ประกอบอาชีพทำการประมงน้ำจืด โดยการเลี้ยงปลาในกระชัง เรือนแพในแม่น้ำสายน้ีอยู่อาศัยมาหลาย ชั่วอายุคน ในสมัยก่อนมีเรือนแพอยู่ทั้งหมดกว่า 300 หลัง ทุกเรือนแพมีบ้านเลขที่และทะเบียนบ้าน รับรองการอยู่อาศัย เป็นการถือกรรมสิทธิ์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย ปัจจุบันยังเหลือชาวแพที่อาศัยอยู่ ประมาณ 180 หลัง และทางการไม่อนุญาตให้มีการออกทะเบียนบ้านให้แพที่สร้างใหม่อีกแล้ว ชุมชนชาว แพในแม่น้ำสายนี้นับเป็นเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมท้องถิ่นของเมืองอุทัยธานีที่ยังคงเหลือจำนวนเรือน แพมากทสี่ ุดในประเทศไทยในขณะนี้ และนับเป็นชมุ ชนชาวแพแหง่ สดุ ทา้ ยของไทยทีย่ ังคงดำรงวถิ ีชวี ิตอยู่ นอกจากน้ียังมสี ถานที่สำคัญในเมอื งเกา่ ทเ่ี ป็นวดั หรือศาสนสถาน ได้แก่ วัดอุโปสถาราม (วดั โบสถ)์ วัดสังกัสรัตนคีรี วัดมณีสถิตกปิฏฐาราม (วัดทุ่งแก้ว) วัดธรรมโศภิต (วัดโค่ง) วัดธรรมโฆษก (วัดโรงโค) วดั ใหม่จนั ทราราม วดั พชิ ยั ปุรณาราม วัดอมฤตวารี (วัดหนองนำ้ คนั ) วัดขวิด (รา้ ง) ศาลหลักเมืองอุทัยธานี ศาลเจา้ พอ่ หลกั เมอื ง ศาลเจา้ พอ่ กวนอู ศาลเจ้าแม่ทับทมิ อทุ ัยธานี ศาลเจา้ แมล่ ะอองสำลี 40

เมืองเกา่ อุทัยธานี ย่านชมุ ชนชาวจีนตรอกโรงยา กลมุ่ อาคารไม้เกา่ บรเิ วณถนนทา่ ช้าง รูปที่ 4: ย่าน / บรเิ วณทสี่ ำคัญและมคี ณุ ค่าของเมอื งอทุ ยั ธานี กลมุ่ อาคารไม้เกา่ บริเวณถนนพบิ ูลยศ์ ิริ (ย่านตลาดพัฒนา) ชมุ ชนชาวแพในแมน่ ้ำสะแกกรงั รูปที่ 5: ย่าน / บริเวณทส่ี ำคญั และมีคุณคา่ ของเมืองอุทัยธานี 41

โครงการกำหนดขอบเขตพ้นื ทเี่ มอื งเก่า 4.2.5 ธรรมชาติในเมืองเก่า ปัจจุบันในพื้นที่ชุมชนเมืองอุทัยธานีมีพื้นที่แหล่งธรรมชาติของเมืองอยู่เป็นจำนวนมาก เนื่องจากลักษณะภูมิประเทศท่ีมเี ขาสะแกกรงั เป็นแนวทิวเขาทีไ่ มส่ งู นักขนาบตัวเมืองอุทัยธานีทางด้านทิศ ตะวันตก มีพื้นที่ราบลุ่มบริเวณคุ้งน้ำเหมาะแก่การตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณตอนกลาง มีแม่น้ำสะแกกรังไหล ผ่านและขนาบด้านทิศตะวันออกของตัวเมือง ส่วนพื้นที่ฝ่ังตรงข้ามของแม่น้ำสะแกกรัง คือ เกาะเทโพ มีลักษณะเปน็ พืน้ ทร่ี าบลุ่มต่ำน้ำทว่ มถึงในฤดูน้ำหลาก เน่ืองจากถกู โอบลอ้ มดว้ ยแม่น้ำสะแกกรังและแม่น้ำ เจ้าพระยา สภาพพ้นื ทีจ่ ึงมีความอุดมสมบูรณเ์ หมาะแกก่ ารทำเกษตรกรรม จากลักษณะภูมิประเทศของเมืองอุทัยธานีดังกล่าว เมื่อมองจากตัวเมืองอุทัยธานีออกไปในทุกทิศ ทุกทางจะเห็นแนวทิวเขาสะแกกรังที่มีสภาพป่าที่สมบูรณ์เป็นฉากหลังทางทิศตะวันตก และแนวต้นยางนา ตน้ ไผ่ และตน้ ไมข้ นาดใหญจ่ ำนวนมากตลอดแนวริมฝ่งั แม่น้ำสะแกกรงั ฉากหลงั ทางทศิ ตะวันออก จึงส่งผล ให้ตัวเมืองอุทัยธานีมีสภาพแวดล้อมและบรรยากาศที่ยังคงความเป็นธรรมชาติอยู่มาก และมีสภาพภูมิ ทศั นท์ ่ีโดดเดน่ และสวยงาม สภาพความสมบรู ณข์ องเขาสะแกกรงั แนวทวิ เขาสะแกกรงั เม่ือมองจากแมน่ ำ้ สะแกกรัง แม่นำ้ สะแกกรงั และแนวต้นไม้ใหญฝ่ ่งั เกาะเทโพ แนวธรรมชาตบิ ริเวณเกาะเทโพ รปู ท่ี 6: แหลง่ ธรรมชาติทสี่ ำคัญของเมอื งอทุ ยั ธานี 42