150 เคลอ่ื นท่ีท่แี นนํ อนหรอื สมั พนั ธ๑กบั ทิศทางของสงิ่ เรา๎ ซึ่งอาจเปน็ ได๎ทงั้ เคลื่อนท่เี ข๎าหาหรือหนีออกเน่ืองจากมี หนวํ ยรบั ความรูส๎ กึ เจรญิ ดีทาํ ให๎รับร๎ูสงิ่ เร๎าทอ่ี ยูใํ กล๎ไดแ๎ ละยงั ทําให๎สิง่ มชี ีวิตเหลาํ น้ีรวมกลมุํ ได๎อยํางมี ประสทิ ธิภาพ ตัวอย่างของพฤติกรรมแบบแทกซิส เช่น - การเคลื่อนที่เข๎าหาแสงสวํางของพลานาเรีย โดยพยายามเคล่ือนท่ีไปทิศทางท่ีอวัยวะรับแสง คือ อายสปอต (eye spot) 2 ข๎าง ได๎รับการกระต๎ุนเทําๆ กัน ถ๎าแหลํงกําเนิดแสงน้ันอยํูน่ิง ทิศทางการ เคล่อื นท่กี ็จะอยํูในแนวตรงขนึ้ เรอ่ื ยๆเขา๎ สแูํ สงสวาํ ง - การบินตรงเข๎าหาดวงอาทิตย๑ขณะหนีศัตรูของผีเส้ือชนิดหน่ึง โดยผีเส้ือชนิดนี้เมื่อพบศัตรูมันจะบิน เขา๎ หาดวงอาทติ ย๑เพือ่ ใหต๎ าของศัตรูพรํา การที่มันหันไปอยํใู นทิศตรงเข๎าหาดวงอาทิตยไ๑ ด๎ เพราะตาของมันถูก กระตน๎ุ โดยแสงอาทิตย๑เทํากนั ท้งั 2 ขา๎ ง - การเคล่ือนท่ีเข๎าหาและหนีจากแรงดึงดูดของโลก (geotaxis) ของสัตว๑ เชํน ตวั ออํ นผีเสื้อ เมื่อมี การเจริญไปเป็นดกั แด๎จะมีการเคลื่อนตวั ลงจากต๎นไม๎ (positive geotaxis) แตํเมื่อเจริญเต็มวัย จะเคลื่อนตัว ขนึ้ บนสวนกับแรงดงึ ดดู ของโลก (negative geotaxis) เพอื่ ตากปีกให๎แหง๎ - การเคล่ือนทีข่ องคา๎ งคาวเข๎าหาแหลํงอาหารตามเสียงสะท๎อน 2.พฤติกรรมแบบรีเฟล็กซ์ (reflex หรือ simple reflex action) เป็นพฤติกรรมพื้นฐานซึ่ง พบในสัตว๑ท่ีมีระบบประสาททุกชนิด แสดงออกดว๎ ยการท่ีสํวนใดสํวนหนึ่งของรํางกายตอบสนองตอํ ส่ิงเร๎าจาก ภายนอกท่ีมากระตุ๎นอยํางทันทีทันใด โดยมีแบบแผนการตอบสนองที่แนํนอนคงที่ ไมํซับซ๎อน และเกิดขึ้น เฉพาะในเวลาส้ันๆ ซ่ึงจะมีประโยชน๑ในการดํารงชีวิตของสัตว๑ท่ีชํวยให๎สามารถหลีกเล่ียงจากส่ิงเร๎าท่ีเป็น อันตรายได๎อยํางรวดเร็ว การตอบสนองตํอส่ิงเร๎าจึงเกิดได๎เองโดยอัตโนวัติและไมํต๎องใช๎เวลาในการรับสํง กระแสประสาทมาก เชํน ในคนเรามีปฏกิ ิริยารีเฟล็กซ๑ที่ควบคุมดว๎ ยสันหลัง (spinal cord) และสมองออก ดว๎ ยการเคล่ือนไหวของแขนขา มี 2 ประเภทหลกั ๆ คือ 2.1 รีเฟล็กซ์ในการงอแขนขา (flexion หรือ withdrawal reflex) เป็นการ ตอบสนองเพ่ือปูองกันตัวจากสิ่งเร๎าที่เป็นอันตราย เชํน ถ๎าเอามือไปจับสิ่งของที่ร๎อนจัดจะกระตุกงอแขนหนี ออกจากสิ่งของน้ันทันที 2.2 รีเฟล็กซ์ในการเหยียดแขนขา (stretch reflex) เป็นการการตอบสนองเพ่ือชํวยใน การทรงตัว เชํน เมื่อล่ืนหกล๎มเราจะเหยียดแขนออกไปยังพื้นเมื่อเท๎าข๎างหน่ึงสะดุดกับวัตถุกับวัตถุท่ีอยูํตาม พ้นื ขาอีกข๎างหน่ึงจะเหยียดตรงเพอ่ื ยันพ้ืนเอาไว๎ไมํใหห๎ กลม๎ นอกจากน้ียังมีตัวอยํางอื่นๆ ของพฤติกรรมแบบรีเฟล็กซ๑ท่ีพบในคนอีก เชํน การไอหรือจามเมื่อมีสิ่ง ระคายเคืองทางเดนิ หายใจ การหรข่ี องชอํ งมานตา (pupil) เมอ่ื มีแสงมาก การกระพริบตาเม่อื มผี งเขา๎ ตา 3.พฤติกรรมรีเฟล็กซ์แบบต่อเน่ือง (chain of reflex) นักชีววทิ ยาบางคนเรียกพฤตกิ รรมแบบน้ี วาํ สญั ชาตญาณ (instinct) หรอื ปฏกิ ิรยิ ารเี ฟล็กซแ๑ บบซับซ๎อน (complex reflex action) ซึ่งมีลักษณะ สถานปี ศสุ ัตว๑
151 สําคัญดังน้ี 3.1 มีมาแต่กาเนิด ซ่ึงสัตว๑สามารถแสดงออกมาได๎โดยไมํต๎องผํานการเรียนร๎ู หรือมี ประสบการณ๑มากํอนเหมือนกับพฤติกรรมแบบรีเฟล็กซ๑ แตํตํางกันตรงที่มีความซับซ๎อนมากกวํา 3.2 มีแบบแผนของการแสดงออกที่แน่นอน และมีลักษณะเฉพาะในสัตว๑แตํละ ชนิด (species) ซ่ึงเรียกวํา fixed action patterns (FAP) แตํอาจเปลี่ยนแปลงได๎บ๎างตามสภาพทาง สรีรวิทยาของสัตว๑และส่ิงแวดล๎อม โดยเฉพาะอยํางยิ่งในสัตว๑ท่ีมีระบบประสาทที่เจริญดี อาจจะถูกดัดแปลง บ า ง สํ ว น ไ ด ด๎ ว ย ป ร ะ ส บ ก า ร ณ๑ จ า ก ก า ร เ รี ย น ร๎ู 3.3 เป็นการตอบสนองด้วยพฤติกรรมแบบรีเฟล็กซ์หลายพฤติกรรมเกิดต่อเนื่องกันเป็น ลูกโซ่ โดยพฤติกรรมท่ีเกิดขึ้นอันดับแรกจะไปกระต๎ุนให๎มีพฤติกรรมแบบรีเฟล็กซ๑อ่ืนๆ ตามมา ตัวอย่างพฤตกิ รรมรเี ฟล็กซ์แบบต่อเนอ่ื ง เช่น พฤติกรรมการเล้ียงดูตัวอํอนของหมารําเพศเมีย (digger wasp) โดยกํอนวางไขํจะขุดรูหลายรูแล๎ว ใสํหนอนผีเสื้อหรือตั๊กแตนที่ถูกตํอยจนเป็นอัมพาตไว๎ในแตํละรู แล๎วจึงวางไขํในรูดังกลําว และใสํอาหาร เพ่ิมเติมจนเพียงพอแล๎วก็จะปิดรูแล๎วบินจากไปโดยไมํย๎อนกลับมาดูอีกตัวอํอนท่ีอยูํในรูจะได๎อาหารและจะ เจริญเติบโตเป็นตัวเต็มวัยแล๎วเจาะรูบินออกสํูภายนอกและเมื่อมีการผสมพันธุ๑หมารําเพศเมียก็จะแสดง พฤตกิ รรมเล้ยี งดูตวั ออํ นแบบเดียวกนั ได๎ ท้ังทีไ่ มํเคยเห็นแมํของมันแสดงมากํอน - พฤติกรรมการกล้ิงไขํเข๎ารังของหํานเกรย๑แลค (graylag goose) โดยมันจะพยายามนําไขํกลับเข๎า รัง โดยใช๎จะงอยปากลาํ งแตะกับไขํและการยืดคอเพื่อพยายามกล้ิงไขํเข๎าสํูรัง พฤติกรรมนี้เม่ือเริ่มต๎นแล๎วหําน จะแสดงพฤติกรรมเชํนนี้ตํอเนื่องกันจนนําไขํเข๎ารังเรียบร๎อย แม๎วําระหวํางกําลังกล้ิงไขํกลับมาน้ันหากนําไขํ ออกเสยี กอํ นหาํ นยงั คงแสดงพฤติกรรมเชนํ นีต้ ํอไปจนจบ - การสร๎างรังของนกประกอบด๎วยพฤติกรรมยํอยๆ หลายพฤติกรรม เชํน การหาวัสดุท่ีนํามาสร๎าง รัง การหาท่ีท่ีเหมาะท่ีจะสร๎างรัง และแบบของรังท่ีจะสร๎าง ซึ่งมีลักษณะเฉพาะในนกแตํละชนิด - การชักใยของแมงมุม พบวําแมงมุมแตํละชนิดมีแบบแผนการชักใยเป็นของตัวเองโดเฉพาะ พฤติกรรมรีเฟล็กซ๑แบบตํอเนื่องนี้ มีประโยชน๑โดยตรงตํอสัตว๑ในแงํการชํวยดํารงเผําพันธ๑ุของสัตว๑ให๎คงอยํู ตํอไป เพราะการแสดง ออกสํวนมากจะเกี่ยวกับการหาอาหาร การสร๎างท่ีอยํู ตลอดจนการสืบพันธ๑ุและการ เลยี้ งดลู กู อํอนของสัตว๑ ซ่ึงพบวําเป็นผลมาจากปฏิกิริยาตอบสนองตํอส่ิงเร๎าภายนอกประเภทตํางๆ รํวมกับสภาพการทํางาน ของอวยั วะภายในรํางกายทส่ี ําคญั 2 ระบบ คือ 1. ระบบประสาททค่ี วบคมุ แบบแผนการแสดงออกใหเ๎ ปน็ ไปอยาํ งมีแบบแผน 2. ระบบตํอมไร๎ทํอหรือฮอร๑โมนทําหน๎าปรับสภาพในรํางกายให๎พร๎อมที่จะแสดงพฤติกรรมบางอยําง เชํน พฤติกรรมการสืบพันธุ๑จะไมํแสดงออก ถ๎ามีระดับฮอร๑โมนเพศไมํเพียงพอ พฤติกรรมรีเฟล็กซ๑ แบบตอํ เน่อื งท่ไี ดร๎ บั ความสนใจและศึกษามาก ไดแ๎ กํ พฤตกิ รรมของสัตวห๑ ลายชนิดที่แสดงออกตามชํวงเวลาที่ แนนํ อนโดยเฉพาะและแสดงแนจังหวะอยาํ งสม่าํ เสมอ (rhythmic หรอื periodic behavior) ตัวอย่างเชน่ สถานปี ศสุ ตั ว๑
152 - พฤติกรรมทแี่ สดงออกมาในช่วงเวลาที่หา่ งกนั เป็นวัน (circadian rhythms) ไดแ๎ กํ พฤติกรรมการหาอาหารของสตั ว๑ เชํน กวาง หมาปาุ ค๎างคาว นกเคา๎ แมว ไส๎เดอื น จะออกมาหากิน อาหารเฉพาะเวลากลางคนื (nocturnal life) สิงโต ช๎าง มา๎ ววั ควาย ผึง้ จะออกหากนิ เวลากลางวนั (diurnal life) นก แมลงหว่ี ออกหากนิ เวลารุํงเชา๎ หรอื หัวค่ํา (crepuscular life) การท่สี ัตวแ๑ สดงสตั วต๑ าม เวลาในแตํละวันแบบน้ีจะเกดิ ซ้าํ กนั ทุกๆวนั วันในเวลาท่ใี กลเ๎ คียงกนั คอื แตลํ ะครง้ั หํางกนั ประมาณ 24 ชว่ั โมง ซ่ึงพฤติกรรมแบบนเ้ี ปน็ การแสดงออกท่มี ปี ระโยชนต๑ ํอสตั วใ๑ นแงขํ องการปรบั ตวั ใหเ๎ ขา๎ กบั สภาพแวดล๎อม อยาํ งเหมาะสม เชนํ สัตว๑ท่ีอยตูํ ามทะเลทรายมักออกหากนิ เวลากลางคืนเพือ่ หลกี เลยี่ งอณุ หภูมทิ ีส่ งู เกนิ ไป ผง้ึ หาอาหารในเวลากลางวนั เพราะเป็นเวลาท่ีดอกไมส๎ ํวนใหญํบาน - พฤติกรรมท่ีแสดงออกในชว่ งเวลาหา่ งกันเปน็ เดือน (lumar cycle) ตวั อยาํ งเชนํ ในฤดูใบไม๎ ผลปิ ลา California grumions จะวาํ ยน้ําขึ้นมาผสมพนั ธกุ๑ นั บนชายหาด โดยเพศเมียจะฝังตวั อยํูในทราย สํวนเพศผจ๎ู ะวนอยูํรอบๆ เพศเมยี และปลอํ ยนํ้าเชอ่ื เขา๎ ผสม ซ่งึ พฤติกรรมอยํางน้ีจะเกดิ ขึ้นในทกุ คนื ท่มี ีดวง จันทรเ๑ ตม็ ดวงและคนื เดอื นมดื ซ่งึ มีชํวงเวลาหํางกันประมาณครง่ึ เดอื น โดยถูกกระตุ๎นจากชํวงโคจรของดวง จนั ทร๑และการขน้ึ ของนํ้า ซง่ึ จะขึ้นสงู สุดในคืนดวงจันทร๑เต็มดวงและคนื เดือนมดื - พฤติกรรมทีแ่ สดงออกในช่วงเวลาทีห่ า่ งกันเป็นปี (annual cycle) ตัวอยาํ งพฤตกิ รรมแบบน้ี ได๎แกํ - พฤติกรรมการอพยพ (migration) ซ่ึงมักเกิดข้ึนปีละคร้ังในชํวงเวลาที่ใกล๎เคียงของแตํละปีตาม สภาพการเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศ เชํน การอพยพของนกนางแอํนบ๎านจากประเทศจีน ซ่ึงมีอากาศ หนาวเย็นเขา๎ มาอยํูในประเทศไทยและอาจเลยไปจนถึงมาเลเซียในราวเดือนกันยายนของทุกปี การอพยพ ของนกปากหํางท่ีวัดไผํล๎อม จังหวัดปทุมธานี ซ่ึงสํวนหนึ่งอพยพมาจากอินเดีย บังกลาเทศ พมํา ในราว เดือนพฤศจิกายน เพ่ือมาผสมพันธ๑ุแล๎วบินกลับถ่ินเดิม จากการศึกษาพฤติกรรมการอพยพของสัตว๑พบวํา เส๎นทางการอพยพของสัตว๑แตํละชนิดมักจะคงท่ีแนํนอน จากการท่ีลูกสัตว๑เมื่อเติบโตขึ้นสามารถแสดง พฤติกรรมการอพยพในเส๎นทางเดียวกับรํุนพํอแมํได๎เองโดยไมํเคยติดตามการอพยพมากํอนเลย จัดเป็น สัญชาตญาณที่มีมาแตํกําเนิด โดยวิธีการรักษาเส๎นทางการอพยพให๎คงที่ด๎วยการอาศัยเคร่ืองนําทางตาม ธรรมชาติ ซึ่งเรียกการเคล่ือนที่ในลักษณะเชํนนี้วํา นาวิเกชัน (navigation) ตัวอยํางเชํน นกอาศัยดวง อาทติ ย๑เป็นสิ่งนําทางและรักษาเสน๎ ทางการอพยพดว๎ ยการบินทาํ มมุ คงทกี่ ับดวงอาทิตยต๑ ลอดเวลา - พฤติกรรมการจาศีล พบในสัตว๑หลายชนิด และสํวนมากมักจะแสดงออกปีละครั้งชํวงที่สภาวะ อากาศไมํเหมาะตํอการมีกิจกรรมตามปกติของสัตว๑ ในสัตว๑ที่อยํูในเขตหนาวหรือเขตอบอํุนการจําศีลอาจ เกิดขึ้น 2 ฤดู คือ การจําศีลในฤดหู นาว (hibernation หรือ winter sleep) เน่ืองจากอณุ หภมู ิอากาศ หนาวเย็นเกินไป และการจําศีลในฤดรู ๎อน (estivation หรือ summer sleep) เนื่องจากภาวะอากาศที่ ร๎อนและแห๎งแล๎งเกนิ ไป สาํ หรับสตั ว๑ทอี่ าศัยในเขตรอ๎ น ซ่งึ การเปล่ียนแปลงอุณหภมู ิของอากาศจากเดือนหน่ึง ไปยังอีกเดือนหนึ่งไมํมากนัก และมีฝนตกเกือบท้ังปี การจําศีลของสัตว๑มักเกิดในชํวงที่มีฝนตกน๎อยหรืไมํตก เลย โดยท่ัวไปสัตวเ๑ ลือดเยน็ มักมกี ารจาํ ศลี ทีแ่ ท๎จริง คือ จะเก็บตัวอยนูํ ่ิงไมํเคลื่อนไหว อณุ หภูมิรํางกายจะสูง กวาํ สิ่งแวดล๎อมเพียง 1-2 ◦C อตั ราเมแทบอลิซึมของรํางกาย อตั ราการเต๎นของหัวใจและการหายใจจะตํ่า สถานปี ศุสตั ว๑
153 ไมํมีการกนิ อาหารโดยจะอาศัยพลังงานจากไขมันท่ีสะสมในรํางกาย และจะไมํตื่นขึ้นเลยจนกวาํ ภาวะอากาศท่ี ไมํเหมาะสมจะผํานไป เชํน การจําศีลของกบในฤดูหนาว โดยขุดรูฝังตัวอยํูในดิน หรือส้ินสุดฤดูร๎อนตัวเต็ม วยั ของแมลงสํวนใหญํจะตายเหลือไว๎แตํไขํและดักแด๎ท่ีทนตํออากาศหนาวเย็นได๎ดี และจะฟักออกเป็นตัวเมื่อ ส้ินสุดฤดหู นาวแล๎ว สํวนในสัตว๑เลือดอุํนบางชนิด เชํน ค๎างค๎าว ตนํุ ปากเป็ด (duck billed platypus) ตัวบีเวอร๑ (beaver) มีการจําศีลทีแท๎จริงเหมือนกับสัตว๑เลือดเย็นในฤดูหนาว แตํในสัตว๑บางชนิด เชํน กระรอก หมี การจําศีลจะเป็นการนอนหลับครั้งละนานๆ และต่ืนข้ึนมากินอาหารเป็นครั้งคราวมากกวําเป็น การจาํ ศลี ที่แท๎จริง - พฤตกิ รรมท่ีแสดงออกมาตามชว่ งเวลาท้ังหมดนี้ เป็นผลจาการเปลี่ยนแปลงปัจจัยตาํ งๆ ท่ีเกิดขึ้น ในสภาพแวดล๎อมรํวมกับกลไกควบคุมที่อยํูภายในรํางกายของสัตว๑ซ่ึงจะทํางานเปรียบกับ นาฬิกา ชวี ภาพ (biological clock) ท่ีต้ังเวลาปลกุ เตอื นใหส๎ ัตวม๑ กี ารแสดงพฤติกรรมตามชวํ งเวลาท่ีกาํ หนด ขอ้ สังเกต พฤติกรรมแบบรเี ฟลก็ ซ๑และรเี ฟลก็ ซแ๑ บบตอํ เน่ืองเปน็ พฤตกิ รรมทม่ี ีมาแตกํ ําเนดิ เป็นลกั ษณะเฉพาะ ของสิ่งมชี วี ติ แตลํ ะชนิด ถูกควบคมุ โดยพันธุกรรม มีแบบแผนท่ีแนนํ อนเปลี่ยนแปลงไมไํ ด๎ หรอื ถา๎ ไดก๎ ็น๎อย มาก ซงึ่ สามารถแสดงได๎โดยไมจํ าํ เปูนต๎องเรยี นรมู๎ ากํอน และการกระตน๎ุ ใหเ๎ กิดไดง๎ ํายดว๎ ยส่งิ เรา๎ แบบงาํ ยๆ ที่ พบในสภาพแวดล๎อมทีส่ ตั ว๑อาศัยอยูํ เชนํ ปัจจัยทางกายภาพแตํบางพฤติกรรมจะแสดงไดเ๎ มอ่ื มีความพรอ๎ มทาง ราํ งกาย เชนํ การบินของนก นกแรกเกิดไมํสามารถบนิ ได๎ตอํ เมื่อเติบโตแขง็ แรงจงึ จะบนิ ได๎ 2. พฤตกิ รรมท่ีเกดิ จากการเรียนรู้ (learned behaviorหรือAcquired behavior) เปน็ พฤตกิ รรมที่ไมไํ ด๎มีมาแตกํ าํ เนิด เกดิ จากการเรียนรู๎ต๎องอาศยั ประสบการณม๑ ากอํ นจึงจะเกดิ พฤติกรรมได๎ เชนํ การทดลองในคางคกโดยนําแมลง 3 ชนดิ คือ แมลงปอ แมลงรอบเบอร๑ ซึง่ มีลกั ษณะคลา๎ ย ผงึ้ และผ้ึงมาแขวนไว๎ คางคกจบั กิน พบวําคางคกสามารถจับกนิ แมลงปอและแมลงรอบเบอรไ๑ ด๎อยํางสะดวก ปลอดภยั แตเํ มอื่ จบั ผ้ึงกินจะถูกผ้งึ ตอํ ย เม่ือนาํ แมลงรอบเบอรแ๑ ละผึ้งมาแขวนใหค๎ างคกจับกิน คางคกจะไมํจบั กินทง้ั แมลงรอบเบอรแ๑ ละผึง้ เม่ือนาํ แมลงปอมาแขวนไว๎ คางคกจบั กนิ ได๎สะดวก เหน็ ไดว๎ ําคางคกสามารถจบั แมลงเข๎าปากได๎มแี บบแผนแนํนอน จึงเปน็ พฤติกรรมที่มีมาแตํกาํ เนดิ แตกํ ารทคี่ างคกกนิ แมลงปอแตไํ มํกินผึ้ง หรือแมลงทรี่ ปู รํางเหมอื นผ้งึ เพราะคางคกได๎ถูกผ้ึงตํอยเมอื่ พยายามกนิ คางคกรจู๎ ักเลอื กแมลงทจี่ บั กินได๎หรอื ไมไํ ดน๎ ัน้ เป็นพฤติกรรมทีเ่ กดิ จากการเรยี นร๎คู อื ไมํกนิ ผงึ้ และแมลงรอบเบอร๑ ซ่งึ มลี กั ษณะคล๎ายผง้ึ เพราะกลวั ถกู ผึง้ ตอํ ยและสามารถเลอื กกนิ แมลงปอ ซึง่ กนิ ได๎และเคยกินมาแล๎วไดอ๎ ยํางถูกต๎อง 2.1 การเรยี นรู้แบบฝงั ใจ ( imprinting ) การฝงั ใจ( imprinting ) เปน็ พฤติกรรมท่เี กิดกับสง่ิ มชี ีวติ แรกเกดิ และในชวํ งเวลาที่จํากดั เทําน้นั ดร. คอนราด ลอเรนซ๑ (Dr. Konrad Lorenz) ได๎ทดลองและศกึ ษา พฤตกิ รรมของลูกหําน ซึง่ ฟกั ตวั ออกจากไขสํ ่ิงแรกท่ีลกู หํานพบคือตวั ของ ดร. ลอเรนซ๑ ลูกหํานจะเดนิ ตามดร. ลอเรนซ๑ แตํไมํเดนิ ตามแมํของมัน หลงั จากทท่ี ดลองอยหํู ลายครัง้ จงึ สรุปได๎วาํ ลูกหํานจะเดินตามวตั ถซุ ึ่ง เคลื่อนท่ไี ด๎และมนั ได๎เห็นเป็นคร้ังแรกเทําน้นั การเกดิ พฤติกรรมน้ี จะอยํูในชวํ งเวลาที่จํากดั เทํานน้ั เชนํ สัตว๑ จําพวกนก มชี วํ งเวลาท่ีทาํ ใหเ๎ กดิ การฝังใจประมาณ 36 ชวั่ โมง หลังจากที่ฟกั ออกจากไขเํ ทาํ นน้ั ระยะนี้เรยี กวาํ สถานปี ศุสตั ว๑
154 ระยะวิกฤต ( criticalperiod ) ถา๎ หากเลย 36 ช่วั โมงไปแลว๎ สัตวจ๑ าํ พวกนกจะไมเํ กิดความฝงั ใจอีกถงึ แมว๎ ําจะ เห็นวตั ถทุ เี่ คล่ือนไหวไดก๎ ต็ าม พฤติกรรมการฝงั ใจ มีประโยชนต๑ ํอสตั วแ๑ รกเกดิ มาก เนือ่ งจากส่ิงท่มี นั พบคร้ังแรก คือ แมํ และพ่ีนอ๎ งของมันน่ันเอง ดงั น้ันจงึ เกดิ ความผูกพนั อยาํ งแนนํ แฟนู กับแมํ และเดนิ ตามแมทํ ําให๎ลกู หําน หรือ ลูกไกํไดร๎ บั อาหารจากแมํ ไดร๎ ับการปกปูองจากแมํ ได๎การเรยี นรู๎ในด๎านอนื่ ๆ จากแมํ ไดร๎ ูจ๎ กั พ่นี ๎องและ เพอื่ นฝูง ซง่ึ เปน็ สัตว๑ชนิดเดยี วกัน ทําใหเ๎ กดิ การผสมพันธ๑ุ และดํารงพนั ธุ๑อยูไํ ดโ๎ ดยท่ไี มํสูญพันธ๑ุไป ถา๎ หากสัตว๑ จําพวกนกไมํมีความฝังใจ จะเป็นอนั ตรายแกํลกู อํอนมากเพราะลกู ออํ นยังพงึ่ ตัวเองไมํได๎ตอ๎ งอาศยั แมชํ วํ ย เหลอื อยํตู ลอดเวลา การฝงั ใจชํวยให๎มนั ดาํ รงพันธ๑อุ ยูํได๎ตลอดไป การฝงั ใจเป็นผลจากการทาํ งานของพันธกุ รรม โดยเปน็ ตัวกําหนดให๎เกดิ การฝังใจ และการเรยี นร๎ู เป็นตัวทที่ ําให๎เกิดความผูกพัน อยาํ งแนนํ แฟนู กับสิ่งแรกท่ี มันพบเหน็ ซึ่งก็คือแมํและพน่ี อ๎ ง ของมันนั่นเอง จงึ สรุปพฤติกรรมแบบการฝังใจและมีลกั ษณะพิเศษซงึ่ แตกตําง จากแบบอน่ื ได๎ดงั น้ี 1) เป็นพฤติกรรมท่เี กิดขน้ึ ในระยะเวลาส้ันๆ เม่ือผํานชวํ งเวลานีไ้ ปแล๎วสตั วจ๑ ะไมแํ สดงพฤติกรรมการ ฝังใจอกี 2) เป็นพฤติกรรมทเี่ กิดข้นึ อยาํ งถาวร เม่ือสัตว๑เกิดการเรียนรแ๎ู ละฝังใจตอํ สิ่งใดแล๎ว สตั วจ๑ ะจดจาํ สิง่ น้ัน และ แสดงพฤติกรรมตอบสนองตํอสิง่ นัน้ ตลอดไป 3) พฤติกรรมการฝังใจจะเกดิ ขนึ้ กับลูกสัตว๑แรกเกิดและลกู สัตวแ๑ รกเกดิ นี้ มกั จะแข็งแรงพอท่จี ะเดิน ตามแมํของมันได๎ เชํน ลูกไกํ ลกู เปด็ ลูกหาํ น ลูกแพะ ลูกววั เปน็ ตน๎ 4) เปน็ พฤตกิ รรมทส่ี ําคญั เป็นอยํางยงิ่ เนอื่ งจากทําใหล๎ ูกและแมํไดร๎ ๎ูจกั กนั ไดด๎ แู ลค๎ุมครองลูกออํ น และ ยังมีผลตํอเนื่องไปถึงพฤติกรรมตํางๆ ท่ีแสดงออกเม่ือสัตว๑มีอายุมากข้ึน ซึ่งเป็นพฤติกรรมทางสังคมของสัตว๑ ชนดิ เดียวกัน 2.2 การเรียนรู้แบบแฮบบิชูเอชัน ( habituation ) คือความเคยชิน เป็นพฤติกรรมตอบสนองที่ ตัวกระต๎ุนหรือสิ่งเร๎าไมํมีความหมายตํอการดํารงชีวิต ท้ังในดา๎ นบวกและในด๎านลบและพฤติกรรมท่ีตอบสนอง จะคํอยๆ ลดลงทั้งๆ ที่ตัวกระต๎ุนยังอยํูหรือเรียกอีกอยํางวํา การเพิกเฉย หรือละเลยตํอส่ิงเร๎าท่ีไมํมีความหมาย ตํอการดํารงชีวิต เชํน สัตว๑เล้ียงลูกด๎วยน้ํานมจะตอบสนองตํอเสียงดังด๎วยการหันหัวไปทางที่เกิดเสียงเสมอ หากเสียงนั้นดังอยูํเป็นประจําและไมํมีความหมายอยํางใดตํอสัตว๑นั้น จะทําให๎พฤติกรรมในการหันหัวไปทาง เสยี งที่เกดิ ขนึ้ ลดลงเรื่อยๆ เมอ่ื นานเข๎าๆ ก็จะไมํหันหัวไปทางเสียงนั้นเลย นอกจากน้ีพฤติกรรมที่ยังพบได๎ ก็คือ นกกระจอกท่ีหากินอยูํตามบ๎าน ตอนแรกๆ เม่ือเห็นคนเดินผํานเข๎ามา แม๎จะอยํูหํางมันก็จะบินหนีไปเสมอ ตอํ มาเม่อื คนอยูํหํางมันจะไมํบินหนี จะบินหนีเฉพาะเม่ือเวลาเข๎าไปใกล๎ตัวมันเทํานั้น ลูกนกนางนวลตอนแรกๆ จะกลัวทุกสิ่งที่อยูํเหนือตัวขึ้นไป ท้ังเหยี่ยว นกขนาดเล็กอื่นๆ หรือแม๎แตํใบไม๎รํวง โดยการก๎มตัว ลงหมอบ ตอํ มาก็สามารถแยกชนิดของวัตถุไดแ๎ ละจะกม๎ ตัวหมอบเมอ่ื เปน็ เหยยี่ วเทาํ น้ัน สถานปี ศสุ ัตว๑
155 พฤติกรรมการเรียนร๎ูแบบความเคยชินน้ี ตอ๎ งอาศยั ความจําและประสบการณเ๑ ปน็ พ้นื ฐาน คือ ตอ๎ ง สามารถจาํ ไดว๎ ําสงิ่ กระตนุ๎ นัน้ เป็นอะไรและไมํมีผลตํอตนเองจึงไมตํ อบสนอง สง่ิ มชี วี ิตท่ี มีพฤติกรรมแบบนไี้ ด๎ ต๎องมีสมองสวํ นเซรบี รมั เจรญิ ดี เพราะสมองสวํ นน้มี หี นา๎ ท่ใี นการจําและ คดิ สงิ่ ตํางๆดว๎ ย 2.3 การเรียนรู้แบบมเี ง่อื นไข (Conditioning) หรือการเรยี นรแ๎ู บบมีเง่อื นไข (Conditioned reflex หรอื Associative learning) เป็นการเรียนร๎ู แบบที่มตี อํ สง่ิ เรา๎ สองสง่ิ สงิ่ เรา๎ สิ่งหนึง่ เป็นสิง่ เร๎าแท๎ และ สงิ่ เร๎าอกี สง่ิ หนึง่ เป็นสิง่ เรา๎ เทยี มโดยสงิ่ เร๎าเทยี ม จะทําหนา๎ ท่ีแทนสง่ิ เร๎าแทไ๎ ด๎ โดยทีม่ ผี ลตอบสนอง เชนํ เดยี วกับ สง่ิ เร๎าแท๎ อวี าน พาฟลอฟ (Ivan Pavlov) ไดท๎ ดลองในสุนัข โดยใหอ๎ าหารสนุ ัข เมอ่ื สนุ ัขได๎อาหารจะเกิด พฤติกรรมแบบรเี ฟลก็ ซ๑อยํางงาํ ยขึ้น คอื น้ําลายไหลออกมาขณะที่กนิ อาหาร ตอํ มา พาฟลอฟ ใหอ๎ าหารพร๎อม กับสนั่ กระดิง่ ไปดว๎ ยหลายๆ ครง้ั สุนขั จะมีนํ้าลายไหลออกมาดว๎ ยเสมอ เพยี งแตํ พาฟลอฟส่นั กระด่ิงเทาํ นน้ั สุนัขก็เกิดอาการนา้ํ ลายไหลแล๎วทั้งๆ ทต่ี ามปกติ เสียงกระดง่ิ ไมํสามารถทําให๎สุนขั นาํ้ ลายไหลได๎ สรปุ ได๎ดังนี้ 1. สนุ ขั + เสียงกระด่งิ (ส่งิ เรา๎ เทยี ม) ไมํมนี า้ํ ลายไหล 2. สุนขั + อาหาร (ส่งิ เรา๎ แท๎) น้ําลายไหล 3. สุนัข + อาหาร + เสียงกระดง่ิ (สิ่งเรา๎ แท)๎ น้าํ ลายไหล ทําแบบข๎อ 3 หลายๆ ครง้ั ตดิ ตํอกัน 4. สนุ ัข + เสยี งกระดงิ่ (สิ่งเร๎าเทียม) นํ้าลายไหล เหน็ ไดว๎ ําในตอนแรกเสยี งกระด่ิงแตเํ พยี งอยาํ งเดยี ว สนุ ขั ไมมํ พี ฤตกิ รรมน้าํ ลายไหล สุนัขจะนํ้าลายไหล เฉพาะเม่อื ได๎กินอาหารเทาํ นั้น ตอํ มาเมื่อใหอ๎ าหารพรอ๎ มกบั ส่นั กระด่งิ ไปดว๎ ยหลายๆ คร้งั ติดตํอกนั ในระยะ เพยี งแตํสนั่ กระดงิ่ เทํานน้ั สนุ ัขกเ็ กดิ พฤตกิ รรมนํ้าลายไหลแล๎ว แสดงวําส่ิงเรา๎ เทียม คือ เสยี งกระด่ิงไปมี ความสมั พนั ธก๑ ับสง่ิ เรา๎ แท๎ และทําให๎เกดิ รเี ฟล็กซ๑ นํา้ ลายไหลได๎ เสยี งกระดิง่ จะกระต๎นุ หนํวยรับความรู๎สึกท่หี ู แล๎วสํงกระแสประสาทไปยงั ศนู ยก๑ ารได๎ยนิ ในสมองและจดจาํ เสยี งกระดิ่งไวพ๎ ร๎อมๆ กบั ไดร๎ บั อาหาร อาหารจะ กระตุน๎ ศนู ยร๑ ับรส ภายในไฮโพทาลามัส ใหเ๎ กิดรีเฟล็กซ๑ นาํ้ ลายไหล เมอ่ื เกดิ เหตุการณ๑อยาํ งนี้หลายๆ ครั้ง เม่อื ไดย๎ นิ เสียงกระด่งิ จะเกดิ การเชอ่ื มโยงกระแสประสาท จากหูมายังศนู ย๑การได๎ยนิ ในสมองและผาํ นประสาท ประสานงานไปยงั สมองสวํ นไฮโพทาลามสั ทําให๎เกิดรเี ฟลก็ ซ๑นา้ํ ลายไหลได๎ พฤตกิ รรมแบบมเี งื่อนไขนี้จะ เปล่ียนเปน็ พฤตกิ รรมแบบความเคยชนิ ได๎ ถา๎ หากให๎สิ่งเรา๎ เทียมบํอยๆ โดยทีไ่ มํมีส่งิ เร๎าแท๎ เชํน การที่สุนัข น้ําลายไหลเมอื่ ไดย๎ ินเสียงกระดงิ่ โดยท่ไี มํใหอ๎ าหาร แตเํ มอ่ื เราสนั่ กระด่งิ และไมํใหอ๎ าหารตดิ ตอํ กนั หลายๆ ครั้ง การนา้ํ ลายไหลของสุนขั จะลดน๎อยลงในท่สี ดุ จะไมมํ พี ฤติกรรมนา้ํ ลายไหลเมือ่ สั่นกระดงิ่ อีกเลย เน่อื งจากเสยี ง กระดงิ่ ไมํไดม๎ ผี ลดผี ลเสยี ตํอสนุ ขั อีกแล๎ว การฝกึ สัตวใ๑ นการแสดงละคร กอ็ าศัยพฤตกิ รรมแบบมเี ง่อื นไข เขา๎ ไป ชํวย การเลีย้ งไกํ โดยให๎อาหารไปพร๎อมกบั ทาํ เสยี ง เรียก กก๏ุ กุก๏ ก็เชํนเดยี วกัน 1. ไกํ + เสียง กุ๏ก ก๏ุก (สง่ิ เรา๎ เทียม) ไกไํ มมํ า 2. ไกํ + อาหาร (สง่ิ เรา๎ แท)๎ ไกํวิง่ มา 3. ไกํ + อาหาร + เสยี ง กกุ๏ กุก๏ ไกํว่ิงมา (ทําซา้ํ หลายๆ ครั้ง) 4. ไกํ + เสยี ง กุ๏ก ก๏กุ ไกวํ ิง่ มา สถานปี ศุสัตว๑
156 เมื่อทําเสยี ง กกุ๏ ก๏กุ แล๎วไมใํ ห๎อาหารหลายๆ ครัง้ ตํอมาไกจํ ะไมํตอบสนองตํอการเรยี กนอ้ี ีก คือ เกดิ ความเคยชนิ และเพกิ เฉยเสีย เพราะเสียง ก๏กุ กกุ๏ ไมไํ ดม๎ ผี ลดีผลเสยี ตํอมนั นกั พฤติกรรมศาสตร๑ได๎ศกึ ษาพฤติกรรมการมีเง่อื นไขในพลานาเรยี โดยการทดลองดังนี้ 1. เมอื่ ฉายไฟไปยงั พลานาเรยี พลานาเรีย ยดื ตวั ยาวออก 2. เมือ่ ใหก๎ ระแสไฟฟูาออํ นๆ แกํ พลานาเรีย พลานาเรยี หดตัวสน้ั เข๎า 3. เม่อื ใหแ๎ สงไฟแล๎วตามดว๎ ยการกระตุน๎ ดว๎ ยกระแสไฟฟูาออํ นๆ ซํ้ากัน 100 คร้งั พบวาํ พลานาเรีย แสดงพฤติกรรมยดื ตวั และหดตวั สลบั กนั 4. ใหแ๎ สงสวํางแตไํ มํตามด๎วยการกระตนุ๎ ดว๎ ยกระแสไฟฟูาอํอนๆ พบวําเมอื่ พลานาเรยี ยืดตวั แล๎วตามดว๎ ยการหดตวั (ซง่ึ เป็นพฤตกิ รรมแบบมีเง่อื นไขโดยไมมํ ตี ัวกระต๎นุ คอื กระแสไฟฟูาอํอนๆ ) เหน็ ไดว๎ าํ พลานาเรยี ก็มพี ฤตกิ รรมแบบมเี งอื่ นไข แตตํ อ๎ งการรับการฝึกตดิ ตํอกนั หลายๆ คร้ัง เพราะ ระบบประสาทของพลานาเรียยงั ไมเํ จริญมากนักเปน็ เพียงปมประสาทสมอง ทอ่ี ยูสํ วํ นหวั และมแี ขนงประสาท แยกไปเลยี้ งอวยั วะตํางๆ เทํานนั้ 2.4 การเรียนร้แู บบลองผดิ ลองถกู (trail and error learning) การลองผิดลองถกู (trail and error) เป็นพฤติกรรมท่ีสัตว๑ต๎องเผชญิ ตํอสง่ิ เรา๎ ทยี่ ังไมํทราบแนวํ ําจะเป็นผลดหี รอื ผลเสยี ตอํ ตวั มนั แตํหาก ตอบสนองแล๎วเปน็ ผลดีตํอมัน มนั จะตอบสนองตอํ สิ่งนั้น ถา๎ หากตอบสนองแล๎วเป็นผลเสยี ตอํ มัน มนั ก็จะไมํ ตอบสนองตํอสิง่ น้นั สัตว๑ตํางๆ จะใชเ๎ วลาในการเรยี นร๎แู บบน้แี ตกตาํ งกัน เชนํ มด จะตอบสนองไดเ๎ ร็วกวํา ไสเ๎ ดือน หนจู ะตอบสนองไดเ๎ รว็ กวาํ มด เพราะจาํ สง่ิ ตํางๆ ได๎ดกี วาํ การศกึ ษาพฤติกรรมของไส๎เดอื น โดยการใสไํ ส๎เดอื นในกลอํ งพลาสติกรปู ตวั T โดยดา๎ นหน่ึงเปน็ สวํ นที่ มืดและชืน้ อีกด๎านหนงึ่ โปรํงและมีกระแสไฟฟูาอํอนๆ ใหไ๎ ส๎เดอื นเคลอ่ื นตัว ไปในตอนแรกๆ ไสเ๎ ดอื นจะ เคลือ่ นทีไ่ ปทางดา๎ นมดื และชื้นกบั ดา๎ นโปรงํ และมกี ระแสไฟฟาู จํานวนครัง้ เทาํ ๆ กัน แตเํ มือ่ ฝึกไปนานๆ ไสเ๎ ดือน จะเลือกทางถกู และเคล่ือนทีไ่ ปทางดา๎ นมดื และชื้นเปน็ สวํ นใหญํ เคลอื่ นท่ีไปทางด๎านโปรงํ และมกี ระแสไฟฟูา นอ๎ ยลงมาก พฤตกิ รรมแบบนท้ี พี่ บในคน เชํน การรับประทานอาหารในรา๎ นอาหารตํางๆ ในตอนแรกไมทํ ราบวาํ อาหารรา๎ นใดอรํอยและถูกใจ เราก็ลองรบั ประทานรา๎ นนบี้ า๎ ง ร๎านโนน๎ บ๎าง ตํอมาเราตัดรา๎ นอาหารทไี่ มํอรํอย และไมํถูกใจออก ซ้อื เฉพาะรา๎ นอาหารทีท่ ําอรํอยและถูกปากถกู ใจเราเทาํ น้นั 2.5 การเรียนรู้แบบใช้เหตุผล (reasoning) การใช๎เหตุผล (reaning หรือ insight learning) เป็น พฤติกรรมทพี่ บในสตั ว๑เล้ยี งลกู ดว๎ ยนมเทํานัน้ และจะเกดิ มาในคนเรา เนือ่ งจากคนเรามีสมองและระบบประสาท ที่เจริญมากกวาํ สตั วอ๑ ่นื จึงเกิดการเรียนร๎ูแบบน้ีได๎ดีกวาํ สัตว๑อน่ื การใช๎เหตุผลเป็นการใชค๎ วามสามารถของสัตว๑ สถานีปศสุ ัตว๑
157 ท่ีจะตอบโต๎ตํอสิ่งเร๎า หรือสิ่งที่มากระตุ๎นอยํางถูกต๎องในคร้ังแรก โดยท่ีไมํต๎องใช๎การลองผิดลองถูกแม๎วํา เหตุการณ๑ใหมํน้ีตํางไปจากประสบการณ๑เกําเทําท่ีเคยพบมา และสามารถนําผลการเรียนร๎ูเกําๆ แบบอ่ืนๆ มา ชวํ ยในการแก๎ไขปัญหาด๎วย การทดลองโดยการจบั ลิงชิมแปนซี ใสใํ นหอ๎ งแล๎วแขวนกลว๎ ยไว๎ในระดับท่ีสูงกวําท่ีลิง จะเออื้ มถึง ที่พน้ื จะมีกลํองหลายใบวางอยูํ ตอนแรกลิงจะพยายามหยิบกล๎วยให๎ไดแ๎ ตหํ ยิบไมํถึงลิงจึงไปยกกลํองมาวางแล๎วลอง หยิบอีกก็ยังไมํถึง ลิงก็ไปยกกลํองมาตํออีก จนสามารถหยิบกล๎วยท่ีแขวนอยํูได๎ การทดลองอันนี้แสดงวํา ลิง ชิมแปนซีมีพฤติกรรมแบบการใช๎เหตุผล เน่ืองจากลิงสามารถใช๎ความสัมพันธ๑ของกลํองกับความสูงของกล๎วย และสามารถ ดึงความสัมพันธ๑อันน้ีมาใช๎ประโยชน๑ ทําให๎หยิบกล๎วยมากินได๎ ยิ่งถ๎าพวกลิงชิมแฟนชีเคยมี ประสบการณอ๑ ยาํ งนี้มาแลว๎ จะยง่ิ เปน็ การงาํ ยข้ึนเข๎าไปอีก เนอ่ื งจากลิงมสี มองทเี่ จริญดแี ละจดจําได๎ดดี ว๎ ย ตารางเปรียบเทียบพฤตกิ รรมลองผดิ ลองถกู กบั การใชเ๎ หตุผล ลองผิดลองถกู การใชเ๎ หตุผล 1. เกิดขน้ึ อยาํ งช๎าและคํอยๆ เกิดข้ึน 1. เกดิ ขึน้ อยาํ งรวดเร็ว 2. มกี ารลองทาํ กอํ นเมื่อเปน็ ผลดจี ึงกระทําซํ้าอกี 2. ไมํจาํ เป็นต๎องลองทํา สามารถตอบสนองได๎ ครัง้ แรกอยาํ งถกู ตอ๎ ง 3. พบไดใ๎ นสตั วช๑ ้ันตาํ่ ไมํมีกระดกู สนั หลังจนถงึ คน 3. พบในสัตวเ๑ ล้ียงลกู ดว๎ ยลูกด๎วยนมเทาํ น้ัน สรุปลักษณะสาํ คัญของพฤตกิ รรมท่ีเกิดจากการเรียนรู๎ ได๎ดังนี้ 1. ตอ๎ งมีประสบการณเ๑ ขา๎ มาเก่ียวข๎อง ซง่ึ ประสบการณ๑นีจ้ ะทําให๎เกิดการเปล่ยี นแปลงพฤตกิ รรมได๎ อยํางถาวร 2. พฤติกรรมทีแ่ สดงออกจะซบั ซอ๎ นมากกวําพฤตกิ รรมทมี่ ีมาแตกํ าํ เนิด 3. พฤติกรรมที่เกิดขน้ึ จะเกิดข้นึ กับสัตวแ๑ ตลํ ะตัวท่ีได๎รับประสบการณ๑การเรยี นรูแ๎ ละไมมํ กี ารถาํ ย พันธกุ รรมไปยังตวั อ่นื พฤตกิ รรมแตํละแบบของส่ิงมชี วี ิตท่ีแสดงออกมา จะมีความสัมพนั ธ๑กับระบบประสาท ของสงิ่ มีชวี ิต ชนดิ น้นั สิ่งมีชีวิตระดบั แรกๆ เชนํ พวกโพรทสี ต๑ มพี ฤติกรรมแบบไคนีซิส และแทกซสิ เทํานน้ั สวํ นในสตั วช๑ นั้ สงู เชํน สตั วเ๑ ลีย้ งลกู ดว๎ ยนม จะพฤติกรรมทซ่ี บั ซ๎อนกวาํ มีทั้งพฤตกิ รรมประเภทรเี ฟล็กซ๑ รเี ฟลก็ ซต๑ อํ เนื่อง และ พฤตกิ รรมการเรียนร๎ู ซงึ่ เป็นพฤติกรรมช้นั สงู ความสมั พนั ธร๑ ะหวาํ งพฤตกิ รรม และระบบประสาทดงั น้ี สถานปี ศสุ ตั ว๑
158 ตาราง สง่ิ มชี วี ิตกบั การพฒั นาของระบบประสาทและพฤตกิ รรม ชนิดของสงิ่ มชี วี ติ ระบบประสาท พฤตกิ รรมสว่ นใหญ่ 1.โพรทสี ตเ๑ ซลลเ๑ ดยี ว -ไมมํ ีระบบประสาทหรอื มีเสน๎ ใย -พฤติกรรมมมี าแตกํ ําเนดิ พวกไคนี 2.สัตวห๑ ลายเซลล๑ท่ไี มมํ ี กระดกู สนั หลงั ยงั ไมซํ บั ซ๎อน เชํน มรี ํางแห ซสิ ประสานงาน และแทกซสิ ประสาทและปมประสาท -สมองสํวนหนา๎ ไมํคํอยเจริญ แตํ -พฤตกิ รรมมมี าแตํกําเนิด เชนํ สมองสวํ นกลางเจรญิ ดมี าก รีเฟล็กซ๑และรเี ฟลก็ ซ๑ตอํ เนอ่ื ง 3.สตั ว๑มกี ระดูกสันหลังชั้น -เรมิ่ มกี ารเรยี นร๎เู พม่ิ มากข้นึ กวําสัตว๑ ตา่ํ -สมองสวํ นหนา๎ เจรญิ ดี แตสํ มอง ไมํมีกระดูกสันหลัง แตํยงั ไมรํ จ๎ู ักใช๎ สํวนกลางลดขนาดลง 4.สตั วเ๑ ลย้ี งลกู ดว๎ ยนม เหตผุ ล มนษุ ย๑ -สมองสํวนหนา๎ เจรญิ ดีมากแตํ -มีการเรียนรู๎มากยง่ิ ขนึ้ และมี สมองสํวนกลางลดขนาดไปมาก พฤติกรรมแบบการใช๎เหตผุ ลดว๎ ยมี การเรียนรู๎ และการใชเ๎ หตุผลท่ี สลบั ซบั ซอ๎ น และยุงํ ยากมากท่สี ดุ 6.3 ความสมั พันธร์ ะหว่างพฤติกรรมกับการตอบสนองของระบบประสาท พฤติกรรมแตํละแบบของสิง่ มชี วี ิตทแี่ สดงออกมาจะมีความสัมพนั ธก๑ บั ระบบประสาทของสิง่ มชี วี ิตชนิด นนั้ สงิ่ มีชวี ิตระดับแรกๆ เชํน พวกโพรทสิ ต๑ จะมีพฤตกิ รรมเป็นแบบไคนิซสิ และแทกซสิ เทํานั้น สํวนในสตั ว๑ ชัน้ สงู เชนํ สัตวเลีย้ งลกู ด๎วยนม จะมีพฤตกิ รรมท่ซี ับซอ๎ นกวาํ มที ัง้ พฤตกิ รรมแบบรีเฟลกซ๑ รีเฟกซ๑ ตอํ เนื่อง และพฤตกิ รรมการเรียนรูซ๎ ่งึ เปน็ พฤตกิ รรมชั้นสูง ความสัมพนั ธ๑ ระหวาํ งพฤตกิ รรม และระบบประสาทเปน็ ดงั น้ี สถานปี ศสุ ัตว๑
159 การเปรียบเทียบพฤตกิ รรมที่พบจากสัตว์ ชนดิ ของส่ิงมชี วี ติ ระบบประสาท พฤติกรรมส่วนใหญ่ 1.โพรทสิ ต๑เซลลเ๑ ดยี ว ไมมํ รี ะบบประสาทหรอื มเี สน๎ ใย พฤติกรรมมมี าแตกํ าํ เนดิ พวกไคนี 2.สัตวห๑ ลายเซลล๑ทไ่ี มมํ กี ระดกู สนั หลงั ซสิ ประสานงานและแทกซสิ 3.สัตว๑มกี ระดกู สนั หลงั ชั้นตํ่า ยงั ไมํซบั ซ๎อน พฤติกรรมมมี าแตกํ ําเนิด เชํน รีเฟ เชํน มีราํ งแหประสาทและปม ลกซ๑ และรเี ฟลกซ๑ตอํ เนื่อง ประสาท สมองสํวนหน๎าไมํคํอยเจรญิ แตํ เร่ิมมีการเรยี นร๎ูเพมิ่ มากขึน้ สมองสํวนกลางเจรญิ ดมี าก กวําสัตว๑ไมํมกี ระดกู สันหลงั แตยํ งั ไมรํ ๎จู กั ใชเ๎ หตุผล 4.สัตวเ๑ ล้ยี งลกู ด๎วยนม สมองสวํ นหน๎าเจริญดี แตสํ มอง มกี ารเรียนรูม๎ ากย่ิงขน้ึ และมี 5.มนุษย๑ สํวนกลางลดขนาดลง พฤตกิ รรมแบบการใช๎เหตุผลดว๎ ย สมองสวํ นหน๎าเจริญดี แตสํ มอง มกี ารเรยี นรู๎ และการใชเ๎ หตุผลท่ี สวํ นกลางลดขนาดลงไปมาก สลบั ซับซ๎อน 6.4การส่อื สารระหว่างสตั ว์ การสือ่ สาร เป็นพฤตกิ รรมทางสังคมของสตั ว๑ เพราะมกี ารสํงสัญญาณทําให๎สตั วซ๑ ึง่ ได๎รบั สัญญาณ มี พฤตกิ รรมเปลี่ยนแปลงไป สัตวท๑ ุกชนดิ ต๎องมกี ารส่ือสารอยาํ งนอ๎ ยในชวํ งใดชวํ งหน่งึ ของชวี ติ โดยเฉพาะชวํ งที่มี การสืบพันธุ๑ การศึกษาวิจยั ทีเ่ กย่ี วกับการสอ่ื สารจึงมักจะกระทํากับสัตวท๑ ีม่ ีพฤติกรรมทางสงั คมซบั ซอ๎ น เชํน ผ้ึง ปลวก มดและสตั ว๑เลีย้ งลูกดว๎ ยนม ทงั้ นเ้ี พราะ เม่อื สตั วเ๑ หลํานม้ี าอยูํรวมกันมากจะมีการแบํงหนา๎ ท่ีกันทํางาน จึงตอ๎ งมกี ารสอื่ สารกันตลอดเวลา พฤติกรรมสือ่ สารระหวาํ งสัตว๑ (animal communication behavior) มี หลายลกั ษณะดังน้ี 1. การสอื่ สารดว้ ยท่าทาง (visual communication) การสือ่ สารดว๎ ยทาํ ทาง พบได๎ในสัตว๑หลาย ชนิด เชํน การกระดกิ หางของสนุ ขั แสดงการต๎อนรับ และหางตกแสดงอาการกลวั 1.1 การส่อื สารของผ้งึ ศึกษาและทดลองเมื่อปี พ.ศ. 2488 โดย คารล๑ ฟอน ฟริช (Karl von Frisch) แหงํ มหาวิทยาลยั มิวนคิ เยอรมนั ตะวนั ตก โดยฟรชิ พบวําผง้ึ สาํ รวจ(scout honeybee) มี ความสามารถในการสํงขําวให๎ผงึ้ งาน (worker) ทราบไดว๎ ําท่ใี ดมอี าหารและเปน็ อาหารชนดิ ใด โดยทผี่ ้ึงสํารวจ สถานีปศสุ ตั ว๑
160 จะนําอาหารมายงั รังแลว๎ หยอดอาหารนัน้ ใหผ๎ ึง้ ในรังทราบตอํ จากน้นั ผง้ึ สํารวจจะเตน๎ ราํ เพ่อื บอกระยะทางและ ทิศทางของอาหาร โดยเตน๎ รําเปน็ 2 แบบคอื 1.1.1 การเตน้ ราแบบวงกลม (round dance) ถ๎าหากอาหารอยใํู กล๎ เชํน ประมาณ 50 เมตร และไมเํ กิน 80 เมตร ผึง้ สํารวจจะเต๎นรํา เป็นวงกลม โดยเคลือ่ นตัวไปทางด๎านขวากอํ นในลักษณะตาม เขม็ นาฬิกา แล๎วจึงหมนุ ไปทางซา๎ ยมือคือ ทวนเข็มนาฬิกา มันจะทําแบบนีซ้ ํา้ ๆกนั หลายๆ คร้ังผ้งึ อน่ื ๆ ท่อี ยํู รอบๆ จะเข๎ามาสัมผสั เพ่ือใหท๎ ราบชนิดของอาหารและดอกไมแ๎ ละทาํ ใหผ๎ ึง้ ตวั อน่ื บินตามผ้ึงสาํ รวจไปยงั แหลงํ อาหารได๎การเตน๎ ราํ แบบน้ไี มํสามารถบอกทศิ ทางของอาหารจาก ตําแหนงํ ของดวงอาทติ ย๑ได๎ การเตน๎ รําแบบวงกลม ทม่ี า : http://watchawan.blogspot.com/2010/05/blog-post_211.html 1.1.2 การเต้นราแบบสา่ ยท้อง (wagging dance) หรอื การเต๎นระบําแบบ เลขแปด ซ่งึ มีความซบั ซอ๎ นกวําแบบแรกเพราะจะใชใ๎ นการสอื่ สารบอกตาํ แหนงํ ของอาหารและระยะทางของ อาหารได๎ หลังจากที่ผ้ึงสํารวจไปพบแหลํงอาหารจะกลบั มารงั แล๎วเต๎นระบําแบบสาํ ยท๎องหมนุ ไปทางขวาทซี ๎าย ทเี ปน็ รปู เลขแปด โดยวงแรกจะเตน๎ ไปตามเขม็ นาฬกิ าและทวนเขม็ นาฬิกาในวงท่ี 2 ความเรว็ ของการเต๎นสําย ทอ๎ งประมาณ 13-15 คร้งั ตอํ นาที ถา๎ หากวําแหลํงอาหารอยํูไมํไกลมาก อัตราการเตน๎ ระบําสํายท๎องจะเรว็ และ ใชเ๎ วลาสนั้ ในการเต๎นจนครบรอบ หากแหลํงอาหารอยูํไกล อตั ราการสาํ ยทอ๎ งจะชา๎ ลง ใช๎เวลาในการเต๎นจน ครบรอบ ดังน้นั ความเรว็ ของการสาํ ยท๎องจะบอกระยะทางของแหลํงอาหารได๎ เชนํ ระยะทาง 100 เมตร จะ เต๎นใหค๎ รบรปู เลขแปด ในเวลา 1.24 นาที ระยะทาง 1000 เมตร ใชเ๎ วลา 3 นาที และถ๎าไกลถึง 8 กิโลเมตรจะ ใช๎เวลา 48 นาที สาํ หรบั การบอกทศิ ทางของแหลํงอาหารจะอาศัยดวงอาทติ ย๑เป็นเข็มทศิ หากผ้ึงสาํ รวจเต๎นรํา แลว๎ เคลอ่ื นตวั ไปขา๎ งหน๎า (ทางด๎านบนของรังผ้งึ ) แสดงวาํ อาหารอยทูํ ิศทางเดยี วกับดวงอาทิตย๑ หากเต๎นรํา แลว๎ เคลอื่ นตัวลงมาข๎างลํางแสดงวําทศิ ทางอาหารอยตํู รงขา๎ มกับตําแหนงํ ของดวงอาทิตย๑ หากเต๎นระบําแลว๎ เคลื่อนตวั ไปทางซ๎ายของรังผึ้งเป็นมุม 30 องศากับแนวดิ่ง แสดงวาํ อาหารอยํูทางซา๎ ยทํามมุ กบั ดวงอาทิตย๑ 30 องศา ถา๎ หากเต๎นรําแลว๎ เคลือ่ นตัวไปทางขวาเป็นมมุ 60 องศากับแนวดิ่ง แสดงวํา อาหารอยํูทางขวาทาํ มุมกบั ดวงอาทติ ย๑ เปน็ มุม 60 องศา ดังนนั้ ผ้ึงงานก็จะเขา๎ ใจท้งั ระยะทาง และทิศทางของอาหารจงึ ไปนําอาหารนน้ั มา เกบ็ ไวใ๎ นรงั ได๎ สถานีปศุสตั ว๑
161 1.2 การสอื่ สารของปลาสติกเกลิ สามหนาม (three spined stickleback) ศกึ ษาโดย เอน ทนิ เบอรเ์ กน และผ๎รู ํวมงาน เขาพบวําในฤดูใบไมผ๎ ลิซ่ึงเปน็ ฤดูผสมพันธุ๑ ปลาตวั ผจ๎ู ะมสี ํวนท๎องเปน็ สีแดง และปลาตวั เมียมที ๎องปอุ งบวมขนึ้ มา เนอื่ งจากการมไี ขสํ ีแดงสดท่ีท๎องปลาตวั ผ๎ูจะกระตุน๎ ใหป๎ ลาตวั เมียสนใจ และในขณะเดียวกัน ปลาตัวผ๎ูจะสนใจปลาตวั เมียทีท่ ๎องปอุ ง กอํ ใหเ๎ กิดพฤตกิ รรมการผสมพนั ธุ๑ เหตกุ ารณ๑ท่ี เกดิ ข้ึนมีลกั ษณะเปน็ ขน้ั ตอนและมแี บบแผน ซึ่งจะมีผลในการกระต๎นุ กนั เปน็ ระบบทาํ ให๎เกิดการผสมพันธุ๑ข้นึ และจะเกิดในรปู แบบนี้ ถา๎ หากเป็นปลาชนิดอนื่ กจ็ ะมีรปู แบบทแ่ี ตกตํางกัน มนั จึงไมมํ กี ารผสมผดิ ชนิดกัน อยาํ ง เด็ดขาด การส่อื สารของปลาสติกเกิลสามหนาม ท่ีมา : https://theloststars.wordpress.com/tag/behavior/ 2. การสื่อสารด้วยเสียง (sound communication) การสือ่ สารดว๎ ยเสยี งเป็นการส่อื สารท่ีคุ๎นพบ มากในสตั วช๑ นั้ สูงทวั่ ๆไป และยังพบในแมลงดว๎ ย เสยี งจะมีความแตกตาํ งออกไปโดยมีจุดมงุํ หมายคล๎ายๆกนั ดงั น้ี คอื 2.1 ใชบ๎ อกชนดิ ของสตั ว๑ ซงึ่ อยํูในสปชี ีสเ๑ ดยี วกนั 2.2 ใช๎บอกเพศวําเป็นเพศผหู๎ รอื เพศเมีย 2.3 ใชบ๎ อกตาํ แหนํงของตนเองให๎ทราบวาํ อยทํู ่ีจดุ ใด 2.4 เป็นการประกาศเขตแดนให๎สตั ว๑ตวั อื่นๆ รู๎ สถานีปศุสตั ว๑
162 2.5 ใชบ๎ อกสัญญาณเตือนภัยหรอื ขํมขํู 2.6 ใชบ๎ อกความรู๎สึกตํางๆ และการเกี้ยวพาราสี การสอื่ สารด๎วยเสยี งของผงึ้ ทม่ี า : https://theloststars.wordpress.com/tag/behavior/ ชนิดของเสยี ง มีดงั น้ี 1. เสยี งเรยี กตดิ ตํอ (contact calls) เปน็ สญั ญาณในการรวมกลมุํ ของสัตว๑ชนดิ เดียวกนั เชนํ แกะ สงิ โตทะเล 2. เสยี งเรียกเตอื นภยั (warning calls) โดยเมอื่ สัตว๑ตวั หนึ่งพบวาํ จะมีอนั ตราย เกดิ ขน้ึ จะสํงเสยี งรอ๎ งให๎สตั วต๑ ัวอ่นื ๆ ทราบเหตุการณ๑ท่เี กดิ ข้ึนเชนํ นก กระรอก 3. เสียงเรยี กคํู (mating calls) เชํน การรอ๎ งเรยี กคํขู องกบตวั ผู๎ เพ่ือเรียกตัวเมีย ให๎เขา๎ มาผสมพนั ธุ๑ การสปี ีกของจ้ิงหรดี ตัวผ๎รู ยี กร๎องความสนใจจากตัวเมยี การขยับปกี ของยงุ ตวั เมีย เพอ่ื ดึงดดู ความสนใจของยงุ ตัวผใู๎ หเ๎ ขา๎ มาผสมพันธ๑ุ 4. เสยี งกาํ หนดสถานทข่ี องวตั ถุ (echolocation) เชํน ในโลมาและคา๎ งคาวจะใช๎ เสียงในการนาํ ทางและหาอาหาร โดยปลํอยเสยี งท่มี ีความถ่สี งู ออกไป และรับเสยี งสะทอ๎ นท่ีเกดิ ตามมาและมนั จะร๎ูได๎วาํ ตาํ แหนงํ ของวตั ถุที่อยูํขา๎ งหนา๎ อยูํที่ตําแหนงํ ใด สถานีปศสุ ตั ว๑
163 ค๎างคาวสงํ เสียงเรียกเตือนภัย https://theloststars.wordpress.com/tag/behavior/ 3. การสอ่ื สารด้วยการสัมผสั (tactile communication) การสัมผสั เปน็ สื่อสําคญั อยาํ งหนงึ่ ของ สตั ว๑ การอุม๎ กอดซง่ึ เปน็ การแสดงถึงความรัก ทารกจะมีพฒั นาการดี ถ๎าหากแมเํ ล้ียงลูกด๎วยนํา้ นมของแมํเอง ลกู ได๎รบั การสัมผสั ไดร๎ ับความอบอํุนจากแมํ จากการทดลองใน ลงิ วอกหรอื ลิงรซี ัส โดย แฮร์รี่ เอฟ ฮาร์ โล (Harry F. Harlow) แหงํ มหาวทิ ยาลัยวสิ คอนซินโดยทาํ หุนํ โครงลวดแมํลงิ ขึ้น 2โครง โครงหนง่ึ มผี า๎ นํมุ ๆห๎ุม อีกโครงหน่ึงไมํมีผา๎ หุม๎ แตมํ ีขวดนมอยํู ฮาร์โลว์ พบวํา ลกู ลงิ จะเกาะอยกูํ ับโครงลวดแมํลงิ ท่ีมีผ๎าหมุ๎ และไปกนิ นมกบั หํนุ โครงลวดแมลํ ิงทไ่ี มมํ ผี า๎ หุ๎มกลับมาเกาะหํนุ โครงลวดท่มี ผี า๎ หม๎ุ อกี พบวาํ ลูกลิงที่แยกออกมาโดยไมํให๎ แมํของมันเล้ยี ง ลกู ลงิ น้จี ะมปี ัญหาในดา๎ นการปรับตัว และเขา๎ กับลูกลงิ ตวั อื่นๆ ท่มี ีแมเํ ลีย้ งไมํได๎ ลูกนกนางนวล จะใช๎จะงอยปากจิกท่ีจดุ สแี ดงบนจะงอยปากของแมํ แสดงการขออาหารจากแมํ สนุ ัขจะเข๎าไปเลยี ปากสนุ ัขตัว ท่เี หนือกวาํ ซึง่ เป็นการเอาใจ ลิงชมิ แปนซจี ะยน่ื มอื ใหล๎ งิ ตวั ทม่ี ีอาํ นาจเหนอื กวําจบั เปน็ ต๎น 4. การส่อื สารดว้ ยสารเคมี (chemical communication) มคี วามสําคัญมากในสตั ว๑ตํางๆ แตใํ นคนมี ความสาํ คัญนอ๎ ย สตั วต๑ ํางๆ จะสร๎างสารเคมีท่ีเรียกวํา ฟีโรโมน (pheromone) ใชใ๎ นการติดตํอส่อื สารในสตั ว๑ ชนิดเดียวกนั แบงํ ออกเปน็ 4.1 ฟีโรโมนทที่ าใหเ้ กดิ พฤตกิ รรมทนั ที (releaser pheromone) เชํน สารดงึ ดดู เพศ ตรงข๎าม (sex attractants) เชนํ ฟีโรโมนที่ผเี ส้ือไหมตัวเมยี ปลอํ ยออกมาเพอ่ื ดึงดูดความสนใจของผเี สือ้ ไหม ตวั ผู๎ 4.2 ฟโี รโมนทไ่ี ปกระตุน้ แต่ไม่เกดิ พฤติกรรมทนั ที (primer pheromone) ฟีโรโมนชนดิ นี้ จะไปกระต๎ุนใหเ๎ กดิ การเปลยี่ นแปลงทางสรรี วทิ ยา และเกดิ พฤตกิ รรมในเวลาตอํ มา เชํน ฟโี รโมนของหนูตัวผู๎ ชักนําให๎หนูตวั เมีย เป็นสัดและพรอ๎ มที่จะผสมพันธ๑ุ ฟโี รโมนของแมลงสํวนใหญํเปน็ สารพวกแอลกอฮอล๑โมเลกุล สั้นๆ จงึ ระเหยไปในอากาศ ไดด๎ ี จงึ สามารถไปกระตนุ๎ ให๎เกิดพฤตกิ รรมตาํ งๆ ได๎ฟีโรโมนท่ีสาํ คัญ ได๎แกํ 1) ฟโี รโมนทางเพศ (sex pheromone) พบในแมลงหลายชนดิ เชนํ ผเี ส้อื ไหมตัว เมยี จะปลอํ ยสารแอลกอฮอล๑เรียกวาํ บอมบายโกล (Bombygol) เพอื่ ดงึ ดดู ผเี ส้อื ไหมตัวผ๎ูให๎มาหาและเกิดการ สถานปี ศุสัตว๑
164 ผสมพนั ธุ๑ ผีเส้อื ไหมตวั ผจู๎ ะมหี นวด มีลักษณะเหมือนฟันหวีเปน็ อวยั วะรบั กล่ิน ฟโี รโมนชนิดน้ีมปี ระสิทธ์ิภาพสงู ทําให๎ดงึ ดดู เพศตรงข๎ามไดแ๎ มว๎ ําจะอยํไู กลๆ ในปัจจบุ นั มกี ารสงั เคราะหส๑ าร เชนํ ยจู ีนอล (eugnol) ซ่งึ เลยี นแบบฟีโรโมนธรรมชาติ เพ่ือดงึ ดดู แมลงวันทองหรอื แมลงวันผลไม๎ให๎มารวมกนั เพ่ือกําจัดแมลงได๎คร้งั ละ มากๆ 2) ฟโี รโมนปลกุ ระดม (aggregation pheromon) เป็นสารทใ่ี ช๎ประโยชน๑ ในการ ปลกุ ระดมให๎มารวมกลํุมกนั เพ่ือกินอาหารผสมพนั ธุห๑ รอื วางไขํ ในแหลํงทเ่ี หมาะสม เชนํ ดว๎ งทท่ี ําลายเปลอื กไม๎ (bark beetle) ปลํอยฟโี รโมนออกมา เพอื่ รวมกลุํมกนั ยงั ต๎นไมท๎ ่เี ป็นอาหารได๎ 3) ฟีโรโมนเตือนภยั (alarm pheromone) สารนีจ้ ะปลํอยออกมาเมอื่ มีอันตราย เชนํ มผี ู๎บุกรกุ ผ้งึ หรอื ตํอทที่ าํ หนา๎ ท่เี ปน็ ทหาร ยาม จะปลํอยสารเคมอี อกมาใหผ๎ ึง้ หรือตํอในรงั รู๎ ผึ้งเมื่อตอํ ยผ๎ู บุกรกุ แล๎วจะปลอํ ยสารเคมีเตอื นภยั เรียกวาํ ไอโซเอมลิ แอซเิ ตต (isoamyl acetate) ไปให๎ผึ้งตวั อ่ืนรเู๎ พอื่ จะได๎ ชวํ ยกันตํอส๎ศู ตั รูทบี่ กุ รุกเขา๎ มา ตวั ตอํ ปลํอยฟโี รโมนเรยี กผึ้งตัวอน่ื ชวํ ยกันไลศํ ัตรู ท่ีมา : http://manage.brr.ac.th/biology/bio30253/work/ppt2C501G6.pdf 4) ฟโี รโมนตามรอย (trail rhermone) เชนํ สุนัขจะปลํอยสารฟโี รโมนไปกบั ปัสสาวะตลอดทางทผ่ี ํานไป เพ่ือเปน็ เครอื่ งหมายนาํ ทางและประกาศเขตแดน ผง้ึ และมดจะผลิตสารจากตํอมดู เฟอร๑ (Dufour’s gland) ซงึ่ อยํูติดกบั ตํอมเหลก็ ในทําใหส๎ ามารถตามรอยไปยงั แหลํงอาหารได๎ ผง้ึ ยังใชส๎ ารท่ี สะสมจากดอกไมเ๎ รียกวํา เจรานอิ อล (geraniol) เป็นสารในการตามรอยดว๎ ย 5) ฟโี รโมนนางพญา (queen – substance pheromone) สารชนิดน้พี บใน แมลงสงั คม (social insect) เชํน ผ้งึ ตวั ตอํ แตน มด ปลวก สารชนดิ น้ที ําหน๎าท่ีในการควบคมุ สังคม ฟโี รโมน ของนางพญาผึ้ง คอื สารท่มี ฤี ทธ์ิเปน็ กรดคอื กรดคีโตเดเซโนอกิ (keto – decenoic acid) สารนีจ้ ะปลอํ ยออก สถานปี ศสุ ตั ว๑
165 จากตัวนางพญา เมื่อผึ้งงานทําความสะอาดจะไดร๎ บั กลนิ่ ทางหนวด และเมอื่ เลยี ตวั นางพญากจ็ ะได๎กนิ สารน้ี ดว๎ ย ทาใหผ้ ึ้งงานเปน็ หมันและทาํ งานตลอดไป นอกจากนย้ี งั ทําหน๎าท่เี ป็น ฟโี รโมนทางเพศ กระต๎ุนใหผ๎ ง้ึ ตวั ผู๎ ผสมพนั ธ๑ุ และยงั ควบคมุ ไมํใหผ๎ ้ึงงานผลติ ผงึ้ นางพญาตวั ใหมดํ ว๎ ย ดังนนั้ รงั ผึง้ จงึ มี นางพญาเพียงตวั เดยี ว สารเคมที ่ที ําหนา๎ ที่ในการปอู งกันตัวชํวยให๎ปลอดภัยเรียกวํา แอลโลโมน (allomone) เชํน ตวั สกงั๊ จะปลอํ ย กล่ินท่เี หม็นมาก ออกจากตอํ มทวารหนกั แมลงตดเมอื่ อยํูในภาวะอันตรายจะปลํอยสารเคมที ่ีมฤี ทธ์เิ ป็นกรด และมกี ล่นิ เหมน็ มากเพื่อปูองกันตัวทาํ ให๎ศตั รลู ะทงิ้ ไป 5. การสื่อสารโดยใชร้ หสั แสง (luminous communication) การสอ่ื สารแบบน้ี พบในสัตว๑ท่ีมกี จิ กรรมกลางคนื หรือในทม่ี ีแสงน๎อย เชนํ ใต๎ทะเลลกึ ซึง่ ไมํมแี สง (aphontic zone) สัตว๑กลํมุ น้ี เชนํ หงิ่ ห๎อย จะมกี ระบวนการไบโอลมู ิเนสเซนซ๑ (bioluminescence) โดยการ ทํางานของสารลูซเิ ฟอริน (luciferin) กับ แก๏สออกซเิ จน และมเี อนไซม๑ ลูซิเฟอเรส (luciferase) เปน็ ตัวเรงํ ปฎกิ ิรยิ าและมพี ลงั งานปลดปลอํ ยออกมา แมลงท่ีส่ือสารโดยใช๎รหัสแสง ท่ีมา : http://manage.brr.ac.th/biology/bio30253/work/ppt2C501G6.pdf ในห่ิงหอ๎ ยตวั เมยี บินไมํไดแ๎ ตํจะเกาะอยบํู นต๎นไม๎ เมอื่ หิ่งหอ๎ ยตัวเมยี ปลํอยรหัสแสงออกมา ทําให๎ ห่ิงหอ๎ ยตวั ผ๎เู ห็นและรูว๎ าํ เปน็ ชนดิ เดียวกนั ตวั ผู๎จะบนิ ไปหาและเกดิ การรวมกลํุมผสมพันธุ๑กันโดยไมผํ สมขา๎ ม พนั ธุ๑ เพราะรหัสแสงแตลํ ะชนิดจะมลี ักษณะแตกตํางกนั ไปทําใหม๎ ีความเฉพาะเจาะจงของสิ่งมชี ีวติ แตลํ ะสปีชีส๑ สถานีปศุสตั ว๑
166 บรรณานุกรม นนั ทนา สาํ เภา. (2559). พฤติกรรมกบั พัฒนาการของระบบประสาท. สืบคน๎ เมือ่ 18 เมษายน 2559.จาก : http://www.nana-bio.com/e-learning/Behavior/Nerve%20and%20behavior.html. บทความพิเศษ. (2559). ประเภทพฤติกรรมของสัตว์. สืบคน๎ เมือ่ 18 เมษายน 2559. จาก : http://www. electron.rmutphysics.com/news/index.php?option=com_content&task=view&id=1963 &Itemid=3&limit=1&limitstart=1. พฤติกรรมของสิง่ มชี วี ติ . (2559). ประเภทพฤตกิ รรมของสัตว์. สบื ค๎นเมือ่ 18 เมษายน 2559. จาก : http:// behavior-m5.exteen.com/20090910/entry-3. วชั วัลย๑ ครุฑไชยนั ต.๑ (2559). การสื่อสารระหว่างสัตว.์ สบื คน๎ เมื่อ 18 เมษายน 2559. จาก : http://watch awan.blogspot.com/2010/05/blog-post_211.html. วิชาการ.คอม. (2559). การส่อื สารระหวา่ งสัตว์. สบื คน๎ เมอื่ 18 เมษายน 2559. จาก : http://www.vchark arn.com/lesson/1411. สุปรีชา สงู สกลุ . (2559). บทเรียนชีววทิ ยา ม.4 เทอม 1. สืบค๎นเมอื่ 18 เมษายน 2559. จาก : https://kruy aibio.wordpress.com. Biology. (2559). การส่ือสารระหว่างสัตว์. สบื คน๎ เม่ือ 18 เมษายน 2559. จาก : http://noochomkapoo klook.exteen.com/20120218/entry-1. สถานปี ศุสตั ว๑
167 บทท่ี 7 จรรยาบรรณในการทดลองสตั ว์ 7.1 บทนา นับแตํอดีตกาลจนถึงปัจจุบัน สัตว๑หลากชนิดจํานวนหลายสิบล๎านตัวได๎ถูกนํามาใช๎ในงานวิจัย งาน ทดสอบ และงานสอนดา๎ นวิทยาศาสตร๑ การแพทย๑ เพื่อประโยชน๑ในการพฒั นาคุณภาพชีวติ ของมนุษย๑และสัตว๑ ความจําเป็นที่จะต๎องใช๎สัตว๑เพ่ือการนี้ยังมีอยํูตํอไป เน่ืองจากในหลายๆกรณียังไมํมีวิธีการอื่นใดที่จะนํามาใช๎ ทดแทนได๎ดีกวําหรือดีเทําอยํางไรก็ตาม ตลอดเวลาท่ีผํานมา ผู๎ใช๎สัตว๑จํานวนไมํน๎อยละเลยคุณธรรมท่ีพึงมีตํอ สัตว๑ ไมํคํานึงถึงชีวิตสัตว๑ท่ีจะต๎องสูญเสียไปในการทดลองแตํละครั้ง ไมํคํานึงวําวิธีการ ท่ีนํามาใช๎จะทําให๎เกิด ความทรมานและสร๎างความเจ็บปวดแกํสัตว๑หรือไมํ ไมํคํานึงถึงความกดดันท่ีสัตว๑ได๎รับเน่ืองจากถูกกักขัง สูญเสียอิสรภาพ และไมํคํานึงถึงการสูญพันธุ๑ของสัตว๑ปุาที่ถูกนําออกจากปุามาใช๎โดยไมํมีการเพาะขยายพันธ๑ุ เพ่ิม ด๎วยเหตุนี้กลุํม พิทักษ๑สิทธิของสัตว๑ กลุํมตํอต๎านการทรมานสัตว๑ และกลุํมอนุรักษ๑พันธ๑ุสัตว๑ปุา จึงตํอต๎าน ในรูปแบบตํางๆบางคร้ังมีการทําลายทรัพย๑สิน บางครั้งรุนแรงถึงกับเสียเลือดเนื้อและชีวิต กลํุมผู๎ใช๎สัตว๑และ ผรู๎ ักษากฎหมายจึงกําหนดมาตรการตํางๆ ขึ้นใชเ๎ ปน็ แนวทางปฏิบัติ รวมทั้งออกกฎหมายบงั คับใช๎ เชํนประเทศ อังกฤษ เป็นประเทศแรกที่ออกกฎหมายเกี่ยวกับการทารุณกรรมสัตว๑ขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 2419 และปรับปรุงให๎ รัดกุมยิ่งข้ึน เมื่อปี พ.ศ. 2529 จนเป็นที่ทราบกันดีวําประเทศอังกฤษเป็นประเทศที่มีการควบคุมการใชส๎ ัตว๑ใน งานวิจัยท่ีเข๎มงวดที่สุดองค๑กรระหวํางประเทศคือ สภาองค๑การระหวํางประเทศวําด๎วยวิทยาศาสตร๑การแพทย๑ (Council for International Organization of Medical Science หรือ CIOMS) ไดจ๎ ัดให๎มีการประชุม ระหวํางผู๎ใช๎สัตว๑ทดลอง และกลุํมผู๎คัดค๎านจากท่ัวโลก ที่นครเจนีวาประเทศสวิตเซอร๑แลนด๑ เม่ือ พ.ศ. 2528 และได๎จัดทําข๎อสรุปเป็นแนวทางการปฏิบัติในการใช๎สัตว๑เพื่อการวิจัยด๎านวิทยาศาสตร๑ การแพทย๑ (International Guiding Principles for Biomedical Research Involving Animals) ซึ่งหลายประเทศ เชํน สหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย ได๎นํามาใช๎เป็นแนวทางในการกําหนดจรรยาบรรณควบคุมการใช๎ สัตว๑ทดลองในประเทศของตนอยํางได๎ผล จรรยาบรรณดังกลําวได๎นําไปสูํมาตรฐานตํางๆ เชํน การพัฒนา พันธุกรรมของสัตว๑ขึ้นอยํางหลากหลาย และนําไปสํูการใช๎พันธุวิศวกรรมในการผลิตสัตว๑ เพ่ือแก๎ไขปัญหาโรค ตํางๆที่ยังไมํมีสัตว๑เป็นตัวแบบ นอกจากน้ัน จรรยาบรรณน้ียังได๎นําไปสูํการเลี้ยงสัตว๑อยํางเป็นระบบและได๎ พัฒนาเทคนิคในการปฏิบัติตํอสัตว๑แตํละชนิด โดยเฉพาะเพ่ือลดความทรมานสัตว๑ลง ขณะเดียวกันก็มีความ พยายามท่ีจะนําวิธกี ารทางดา๎ นคณิตศาสตร๑ ดา๎ นคอมพวิ เตอร๑ และ In vitro biological system มาใชแ๎ ทน การใช๎สัตว๑ เพื่อลดจํานวนการใช๎สัตว๑ลง แตํวิธกี ารเหลํานี้ได๎ผลเฉพาะบางกรณีเทําน้ัน ยังไมํสามารถใช๎ทดลอง ได๎ทุกกรณีนักวิชาการที่ใชส๎ ัตวใ๑ นการทดลองตาํ งตระหนักดวี ํา พนั ธกุ รรมของสัตว๑ สภาพแวดล๎อมในการเล้ียงดู และเทคนิคท่ีใช๎ปฏิบัติตํอสัตว๑ เป็นตัวแปรท่ีสําคัญตํอผลการทดลอง คณะกรรมการการนานาชาติวําด๎วย สถานีปศสุ ัตว๑
168 วทิ ยาศาสตร๑สัตว๑ทดลอง(International Committee on Laboratory Animal Science, ICLAS) ไดแ๎ นะนํา ให๎นักวิจัย รายงานปัจจัยทั้งสามอยํางละเอียดในการรายงานผลการวิจัยและได๎เรียกร๎องให๎วารสารท่ีตีพิมพ๑ ผลงานวิจัยทางวชิ าการตพี ิมพ๑เฉพาะผลงานท่ีเสนอรายละเอียดอยํางสมบูรณ๑ในการใชส๎ ัตว๑เทําน้ัน รวมทั้งเสนอ ให๎แหลํงทุนอุดหนนุ การวจิ ัยยกเลกิ ใหก๎ ารใหท๎ นุ ในกรณที ่ผี ไ๎ู ดร๎ ับทุนวจิ ัยปฏิบัติผิดแผนงานการใชส๎ ัตว๑ท่ีไดเ๎ สนอ ไว๎ ซ่ึงข๎อเสนอแนะดังกลําวได๎รับการสนับสนุนทั้งจากวารสารและแหลํงทุนอุดหนุนการวิจัยเป็นอยํางดีใน ปัจจุบัน วิทยาการด๎านวิยาศาสตร๑ของประเทศไทยก๎าวหน๎าไปอยํางไมํหยุดยั้ง มีผ๎ูใช๎สัตว๑ในงานวิจัย งาน ทดสอบ งานสอน และงานผลติ ชีววัตถเุ ปน็ จาํ นวนมาก เชํนเดียวกับในตํางประเทศ ดงั น้ันเพ่ือให๎การดาํ เนินงาน ดงั กลาํ วของประเทศ มีมาตรฐานในระดบั สากล สภาวจิ ัยแหํงชาติ จึงเหน็ ควรกาํ หนด \"จรรยาบรรณการใชส๎ ัตว๑\" ขึ้นเพื่อให๎นักวิจัยและนักวิชาการ ได๎ใช๎เป็นแนวทางปฏิบัติในการใช๎สัตว๑อยํางถูกต๎อง เหมาะสม และเป็นผลดี ตํอการพัฒนาคณุ ภาพชวี ิตของมนุษย๑และสัตว๑ อยาํ งแท๎จรงิ ตอํ ไป 7.2 คานยิ าม จรรยาบรรณ หมายถึง หลักความประพฤติอันเหมาะสม แสดงถึงคุณธรรมและจริยธรรมในการ ประกอบอาชีพ ที่กลุํมบุคคลแตํละสาขาวิชาชีพประมวลขึ้นไว๎เป็นหลัก เพ่ือให๎สมาชิกในสาขาวิชาชีพนั้นๆ ยึดถอื ปฏิบัตเิ พ่ือรักษาชือ้ เสยี ง และสํงเสริมเกยี รติคุณของสาขาวชิ าชพี ของตน สัตว๑ หมายถงึ สตั ว๑ท่ีมีกระดูกสันหลงั ทกุ ชนดิ รวมถงึ สตั ว๑ทดลอง สัตวป๑ ุา สัตว๑ทดลอง หมายถึง สัตว๑ท่ีถูกนํามาเพาะเล้ียวในที่กักขัง สามารถสืบสายพันธุ๑ได๎ ซึ่งมนุษย๑นํามาใช๎ เพื่อประโยชนใ๑ นเชิงวิทยาศาสตร๑และเทคโนโลยที ุกสาขา สัตวป๑ าุ หมายถึง สัตวท๑ กุ ชนิดท่ีเกดิ หรือดํารงชวี ิตอยูใํ นปาุ ตามธรรมชาติ ผู๎ใช๎สัตว๑ หมายถึง ผ๎ูใช๎สัตว๑ในงานวิจัย งานทดสอบ งานสอน และงานผลิตชวี วัตถุ ในเชิงวทิ ยาศาสตร๑ และเทคโนโลยีทุกสาขา องค๑การ หมายถึง สถาบันการศึกษาทุกระดับ หนํวยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ หนํวยงานเอกชน และ องค๑กรตํางๆ ดังน้ันเราจึงสรุปความหมายของคําวํา จรรยาบรรณการใช๎สัตว๑ หมายถึง หลักเกณฑ๑ ที่ผ๎ูใช๎สัตว๑และผ๎ู เล้ียงสัตว๑เพื่องานวิจัย งานทดสอบ งานสอน และงานผลิตชีววัตถุ ในเชิงวิทยาศาสตร๑และเทคโนโลยีทุกสาขา ยึดถือปฏิบัติ เพ่ือให๎การดําเนินงานตั้งอยูํบนพ้ืนฐานของจริยธรรม คุณธรรม มนุษยธรรม และหลักวิชาการท่ี เหมาะสม ตลอดจนเปน็ มาตรฐานการดําเนนิ งานที่เป็นทย่ี อมรับโดยทัว่ กัน สถานีปศสุ ตั ว๑
169 หนทู ่ใี ช๎ในการทดลอง ท่ีมา : http://www.prachachat.net/online/2014/03/13953066841395306695l.jpg 7.3 จรรยาบรรณในการใช้สัตว์ 7.3.1 ผู้ใชส้ ตั วต์ ้องตระหนกั ถงึ คุณคา่ ของชีวิตสตั ว์ ผู๎ใช๎สัตว๑ต๎องใช๎สัตว๑เฉพาะกรณีที่ได๎พิจารณาอยํางถ่ีถ๎วนแล๎ววําเป็นประโยชน๑และจําเป็นสูงสุดตํอการ พัฒนาคุณภาพชีวิตของมนุษย๑และสัตว๑และ/หรือความก๎าวหน๎าทางวิชาการและได๎พิจารณาอยํางถ่ีถ๎วนแล๎ววํา ไมมํ วี ธิ กี ารอ่ืนทเ่ี หมาะสมเทํา หรอื เหมาะสมกวาํ 7.3.2 ผ้ใู ช้สัตวต์ ้องตระหนักถึงความแม่นยาของผลงาน โดยใชส้ ตั วจ์ านวนน้อยทีส่ ดุ ผ๎ูใช๎สัตว๑จะต๎องคํานึงถึงคุณสมบัติทางพันธุกรรมของสัตว๑ท่ีจะนํามาใช๎ ให๎สอดคล๎องกับวัตถุประสงค๑ และเปาู หมายของการใชส๎ ตั ว๑ เพื่อให๎มีการใช๎สัตว๑จาํ นวนที่นอ๎ ยทสี่ ุด และได๎รบั ผลงานทถ่ี ูกต๎องแมํนยาํ มากทส่ี ุด 7.3.3 การใชส้ ตั วป์ ุาตอ้ งไม่ขัดตอ่ กฎหมายและนโยบายการอนุรกั ษ์สตั วป์ ุา การนําสัตว๑ปุามาใช๎ ควรกระทําเฉพาะกรณีที่มีความจําเป็นตํอการศึกษาวิจัย โดยไมํสามารถใช๎สัตว๑ ประเภทอ่นื ทดแทนได๎ และการใช๎สัตว๑ปาุ นน้ั จะตอ๎ งไมขํ ัดตอํ กฎหมายและนโยบายการอนรุ กั ษ๑สัตวป๑ ุา 7.3.4 ผู้ใชส้ ัตวต์ ้องตระหนกั วา่ สัตวเ์ ปน็ สิง่ มีชีวิตเช่นเดยี วกบั มนษุ ย์ ผู๎ใชส๎ ัตว๑ทดลองตอ๎ งตระหนักวํา สัตว๑มีความร๎ูสึกเจ็บปวดและมีความร๎ูสึกตอบสนองตํอสภาพแวดล๎อม เชํนเดียวกับมนุษย๑ จึงต๎องปฏิบัติตํอสัตว๑ด๎วยความระมัดระวังทุกข้ันตอน นับต้ังแตํการขนสํง การใช๎วัสดุ อปุ กรณใ๑ นการเลยี้ งสัตว๑ การจัดการสภาพแวดล๎อมของสถานที่เล้ียง เทคนิคในการเลี้ยง และการปฏิบัติตํอสัตว๑ โดยไมํใหส๎ ตั วไ๑ ด๎รับความเจ็บปวดความเครียดหรือความทกุ ขท๑ รมาน 7.3.5 ผู้ใช้สัตว์ต้องบันทึกขอ้ มูลการปฏบิ ตั ิตอ่ สัตว์ไว้เป็นหลกั ฐานอย่างครบถว้ น ผู๎ใช๎สัตว๑ต๎องปฏิบัติตํอสัตว๑ตรงตามวิธีการท่ีเสนอไว๎ในโครงการ และต๎องบันทึกไว๎เป็นหลักฐานอยําง ละเอยี ด ครบถ๎วน พร๎อมท่จี ะเปดิ เผยหรือช้ีแจงไดท๎ ุกโอกาส สถานปี ศุสัตว๑
170 7.4. จรรยาบรรณการใช้สัตว์ และแนวทางปฏิบัติ 7.4.1 ผู้ใช้สัตว์ต้องตระหนักถึงคุณค่าของชวี ิตสตั ว์ ผู๎ใช๎สตั ว๑ต๎องใช๎สัตว๑เฉพาะกรณีที่ไดพ๎ ิจารณาอยํางถ่ีถ๎วนแล๎ววําเปน็ ประโยชน๑และจําเป็นท่ีสูงสุดตํอการ พฒั นาคุณภาพชวี ิตของมนุษยแ๑ ละสัตว๑ และ/หรอื ความก๎าวหนา๎ ทางวิชาการ และได๎พิจารณาอยํางถ่ีถ๎วนแล๎ววํา ไมมํ วี ิธกี ารอน่ื ทีเ่ หมาะสมเทําหรือเหมาะสมกวํา โดยมีแนวทางปฏิบัติ ดังน้ี 1) ผ๎ูใช๎สตั ว๑ ควรใช๎เฉพาะในกรณีทจ่ี ําเป็นสูงสดุ หลีกเล่ยี งไมํไดห๎ รือไมํมีวธิ ีการอ่ืนที่เหมาะสมเทําน้ัน ไมํ ใช๎สตั วอ๑ ยํางพร่าํ เพร่ือ ทั้งน้ี ผ๎ูใชส๎ ตั วต๑ ๎องยอมรับและตระหนกั ถึงคณุ คําของชวี ิตและศีลธรรมตามหลกั ศาสนา 2) กํอนการใชส๎ ัตว๑ ผ๎ูใชต๎ ๎องศึกษาข๎อมูล หรือเอกสารท่ีเก่ียวข๎องกับงานน้ันอยํางถ่ีถ๎วน และนําข๎อมูลท่ี มอี ยแํู ลว๎ มาพิจารณา ประกอบการศึกษา ทดลอง เพือ่ ใหก๎ ารใชส๎ ัตว๑มีประสิทธภิ าพสงู สดุ 3) กํอนการใช๎สัตว๑ ผู๎ใช๎สัตว๑ต๎องนําเสนอโครงการที่แสดงถึงแผนงานและข้ันตอนการใช๎ พร๎อมท้ัง เหตผุ ลความจําเป็นและประโยชน๑ทจ่ี ะมตี อํ การพัฒนาคณุ ภาพชีวิตของมนุษย๑หรือสัตว๑ และ/หรือความก๎าวหน๎า ทางวิชาการและข๎อมูล หลักฐาน หรือเหตุผล ที่แสดงวําไมํมีวิธีการอื่นที่เหมาะสมที่จะนํามาใช๎ทดแทนได๎ใน สภาวการณข๑ ณะนน้ั 4) กรณีที่ผ๎ูใช๎สัตว๑ต๎องการให๎สัตว๑มีชีวิตอยูํตํอไป ผู๎ใช๎สัตว๑ต๎องรับผิดชอบเลี้ยงดู สัตว๑เอง โดยไมํใช๎ สถานทแี่ ละทรัพยส๑ นิ ขององค๑การ และหากมีการปลอํ ยสตั วก๑ ลับคืนสธํู รรมชาติ หรือมีการเล้ียงดูสัตว๑ตอํ ไป ตอ๎ ง พิจารณาถึงปัญหาอื่นๆ เชํน การแพรํกระจายขยายพันธ๑ุ การแพรํกระจายโรค และการขาดประสบการณ๑ที่จะ อยํรู อดตามธรรมชาติของสตั ว๑ 7.4.2 ผใู้ ช้สัตว์ตอ้ งตระหนกั ถึงความแม่นยาของผลงานโดยใชส้ ัตว์จานวนน้อยทส่ี ดุ ผู๎ใช๎สัตว๑จะต๎องคํานึงถึงคุณสมบัติทางพันธุกรรมของสัตว๑ที่จะนํามาใช๎ ให๎สอดคล๎องกับวัตถุประสงค๑ และเปูาหมายของการใชส๎ ตั ว๑ เพ่อื ให๎มกี ารใช๎สัตว๑จํานวนนอ๎ ยท่สี ุด และไดร๎ ับผลงานทีถ่ กู ตอ๎ งแมนํ ยาํ มากทีส่ ดุ โดยมแี นวทางปฏิบัติ ดังนี้ 1) ผู๎ใช๎สัตว๑ ควรศึกษาและพิจารณาข๎อมูลด๎านพันธุกรรมและระบบการเล้ียงท่ีมีอยูํในแหลํงเพาะ ขยายพนั ธ๑ุอยาํ งรอบคอบกํอนการใช๎สตั ว๑ 2) ผู๎ใช๎สัตว๑ ควรเลือกใช๎ชนิดและสายพันธุ๑ของสัตว๑ที่มีคุณสมบัติทางพันธุกรรมตรงกับวัตถุประสงค๑ และเปูาหมายของงานวจิ ัย และใช๎สตั วจ๑ าํ นวนน๎อยท่ีสุดท่จี ะให๎ผลงานถกู ตอ๎ ง แมํนยาํ และเป็นทยี่ อมรับ สถานีปศุสตั ว๑
171 3) ผู๎ใช๎สัตว๑ ควรเลือกใชส๎ ัตว๑จากแหลํงเพาะขยายพันธ๑ทุ ่ีมีประวัตกิ ารสืบสายพันธ๑ุและมีคุณสมบตั ิทาง พนั ธุกรรมคงท่ี มีข๎อมูลทางด๎านพันธุกรรมและระบบการเล้ียง และพร๎อมที่จะให๎บริการได๎ทุกรูปแบบของชนิด สายพนั ธุ๑ เพศ อายุ นํ้าหนกั และจาํ นวนสตั ว๑ 4) ผ๎ูใชส๎ ัตว๑ ควรเลอื กใช๎สัตว๑จากแหลํงทีม่ กี ารเล้ียงด๎วยระบบใดระบบหนึ่ง ดงั ตํอไปนี้ 4.1) Strict Hygienic Conventional 4.2) Specified Pathogen Free 4.3) Germ Free 5) ผู๎ใช๎สัตว๑ ควรนําสัตว๑ที่ไมํมีประวัติการสืบสายพันธุ๑มาใช๎เฉพาะในกรณีที่จําเป็น ซ่ึงตรงกับ วตั ถปุ ระสงคห๑ รือเปูาหมายของการศึกษาวจิ ยั เทําน้ัน 6) ผูใ๎ ชส๎ ตั ว๑ ควรเลือกใช๎วิธกี ารศกึ ษา วจิ ัย หรอื ทดลอง ทถี่ ูกตอ๎ งทง้ั ทางเทคนิคและทางสถิติ 7.4.3 การใช้สัตว์ปาุ ต้องไม่ขัดต่อกฎหมายและนโยบายการอนุรักษส์ ตั ว์ปุา การนําสัตว๑ปุามาใช๎ ควรกระทําเฉพาะกรณีท่ีมีความจําเป็นตํอการศึกษาวิจัย โดยไมํสามารถใช๎สัตว๑ ประเภทอื่นทดแทน และการใชส๎ ตั ว๑ปุานัน้ จะตอ๎ งไมํขดั ตอํ กฎหมายและนโยบายอนุรกั ษส๑ ตั วป๑ าุ โดยมีแนวทางปฏบิ ัติ ดงั นี้ 1) ผู๎ใช๎สัตว๑ ควรใช๎สัตว๑ปุาเฉพาะกรณีท่ีจําเป็นอยํางยิ่งตํอการวิจัยท่ีไมํมีวิธีการอื่น หรือใช๎สัตว๑อ่ืน ทดแทนได๎ 2) ผู๎ใช๎สัตว๑ปุาในการศึกษาวิจัย จะต๎องปฏิบัติตามบทบัญญัติของกฎหมายและนโยบายการอนุรักษ๑ สัตวป๑ ุาอยาํ งครบถ๎วนและเครงํ ครดั 7.4.4 ผ้ใู ช้สตั วต์ อ้ งตระหนักว่าสตั วเ์ ป็นสิง่ มชี ีวิตเช่นเดยี วกับมนษุ ย์ ผ๎ูใช๎สัตว๑ต๎องตระหนักวํา สัตว๑มีความรู๎สึกเจ็บปวดและมีความร๎ูสึกตอบสนองตํอสภาพแวดล๎อม เชํนเดียวกับมนุษย๑ จึงต๎องปฏิบัติตํอสัตว๑ด๎วยความระมัดระวังทุกข้ันตอน นับต้ังแตํการขนสํง การใช๎วัสดุ อปุ กรณใ๑ นการเลี้ยงสตั ว๑ การจัดการสภาพแวดล๎อมของสถานท่ีเลี้ยง เทคนิคในการเล้ียง และการปฏิบตั ิตอํ สัตว๑ โดยไมํใหส๎ ตั ว๑ได๎รับความเจ็บปวด ความเครียดหรอื ความทกุ ขท๑ รมาน โดยมีแนวทางปฏิบัติ ดังน้ี สถานปี ศุสตั ว๑
172 1) การขนสํงสัตว๑ หนํวยงานที่มีการใช๎สัตว๑ทดลอง และหนํวยงานท่ีเพาะเลี้ยงสัตว๑ทดลอง ตอ๎ งรํวมกัน จัดการให๎มีผ๎ูรับผิดชอบดูแลให๎การขนสํงสัตว๑ท้ังทางบก ทางน้ํา หรือทางอากาศ มีผลกระทบตํอสวสั ดิภาพและ สุขภาพของสัตว๑น๎อยที่สุด และให๎สัตว๑ได๎รับความปลอดภัยมากท่ีสุด (โดยให๎มีระบบควบคุมอุณหภูมิระบบ ร ะ บ า ย อ า ก า ศ ร ะ บ บ ปู อ ง กั น ก า ร ติ ด เ ช้ื อ ภ า ช น ะ บ ร ร จุ สั ต ว๑ ท่ี แ ข็ ง แ ร ง มั่ น ค ง ปอู งกนั สัตว๑หลบหนีได๎และมพี ้นื ท่ใี หส๎ ตั ว๑เคลื่อนไหวไดต๎ ามทกี่ ําหนดไว๎ในมาตรฐานสากล) 2) การจัดสภาพแวดล๎อมของสถานท่ีเลี้ยงสัตว๑ ตอ๎ งสามารถปอู งกันการตดิ เชื้อ มีการควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น การระบายอากาศ แสง และเสียง ให๎คงท่ีและเหมาะสมกับความตอ๎ งการของสัตวแ๑ ตํละชนิด ไมํสร๎าง ความเครียดให๎แกํสตั ว๑ 3) วสั ดุอุปกรณเ๑ ล้ยี งสัตว๑ 3.1) กรงหรือคอกสัตว๑ ต๎องแข็งแรงม่ันคงเพียงพอท่ีจะปูองกันสัตว๑หลบหนีได๎ และถูกต๎อง ตามกฎหมายมาตรฐานสากลที่กําหนดไว๎สําหรับชนิด ขนาด และจํานวนสัตว๑ ไมํมีสํวนประกอบท่ีจะทําให๎สัตว๑ บาดเจ็บและตอ๎ งทาํ ด๎วยวสั ดุท่ีคงทนตอํ สารเคมีหรือความร๎อนทใ่ี ชใ๎ นการปอู งกนั การติดเชือ้ 3.2) วัสดุรองนอน ต๎องเหมาะสมกับสัตวแ๑ ตํละชนิด ไมํแหลมคม มีคุณสมบัตทิ ่ีซึมซับนํ้าแล๎ว ไมเํ ป่ือยยยํุ และตอ๎ งปลอดจากสารพษิ และเช้อื โรค 3.3) สัตว๑ต๎องได๎รับอาหารและนํ้าท่ีสะอาดปราศจากเช้อื โรค สารพิษ และสารกํอมะเร็งต๎อง ได๎รับอาหารและนํ้ากินในปริมาณท่ีพอเพียงกับความต๎องการตามระยะเวลา อาหารต๎องมีสํวนประกอบของ โปรตีน ไขมนั แปูง วติ ามนิ แรธํ าตแุ ละกาก อยาํ งครบถว๎ นเหมาะสมกับความต๎องการของสัตว๑แตลํ ะชนดิ 4) การจัดการ 4.1) หนํวยงานเลี้ยงสัตว๑ ต๎องเลี้ยงสัตว๑ตามระบบการเล้ียง แบบ Strict Hygienic Conventional หรือ Specified Pathogen Free หรือ Grem Free ระบบใดระบบหนึ่งอยํางตอํ เนื่อง และ เข๎มงวดกวดขันในการปอู งกันการตดิ เช้อื โดยดาํ เนินการตามระบบดังกลาํ วข๎างต๎นอยาํ งเครงํ ครัด 4.2) หนํวยงานเล้ียงสัตว๑ ต๎องมี สัตว๑แพทย๑หรือนักวิชาการที่มีพ้ืนความรู๎และประสบการณ๑ ด๎านสตั วท๑ ดลอง และต๎องมีพนกั งานเลีย้ งสัตว๑ที่ผํานการอบรมการเลี้ยงสตั วท๑ ดลองทไ่ี ดม๎ าตรฐาน 4.3) หนํวยงานเล้ียงสัตว๑ ต๎องมีข๎อมูลแหลํงท่ีมาของวัสดุอุปกรณ๑ท่ีใช๎ในการเล้ียงสัตว๑ การ ปูองกันสัตว๑ติดเช้ือ การควบคุมตรวจสอบสภาพแวดล๎อม และการชํวยให๎สัตว๑ตายอยํางสงบในกรณีที่จําเป็น เพื่อให๎สามารถจัดหาวัสดุอุปกรณ๑ดังกลําวได๎อยํางตํอเน่ืองและถูกต๎องตามความต๎องการ พร๎อมทั้งต๎องมีวัสดุ อปุ กรณ๑สํารอง และหนํวยซํอมบํารุงที่มีประสิทธภิ าพ ทั้งนี้โดยต๎องได๎รับงบประมาณในการดําเนินการดงั กลําว อยาํ งเพียงพอและตํอเนอื่ ง สถานปี ศสุ ัตว๑
173 4.4) หนํวยงานเลี้ยงสัตว๑ ต๎องกําจัดซากสัตว๑ทุกชนิดด๎วยวิธีเผาเทําน้ัน ไมํใช๎วิธีอ่ืน และต๎อง กาํ จัดขยะปฏิกลู อยาํ งถูกต๎องเหมาะสม 5) เทคนคิ ในการปฏิบัติตํอสตั ว๑ 5.1) ผู๎ใช๎สัตว๑ ต๎องกําหนดแผนงานและวิธีการปฏิบัติตํอสัตว๑อยํางถูกต๎องสอดคล๎องกับ มาตรฐานสากลไว๎ในโครงการอยาํ งชัดเจน 5.2) ผู๎ใช๎สัตวแ๑ ละพนักงานเล้ียงสัตว๑ ต๎องปฏิบัติตํอสัตว๑ด๎วยความเมตตา ไมํทําให๎สัตว๑ได๎รับ ความเจ็บปวดหรอื เกิดความเครยี ด ในกรณที ไี่ มํสามารถหลีกเลี่ยงได๎ ตอ๎ งแสดงเหตผุ ลทางวชิ าการท่ีชดั เจนวําไมํ มที างเลอื กอื่นแลว๎ 5.3) ผู๎ใช๎สัตว๑ ตอ๎ งเรียนร๎ูเทคนิคพน้ื ฐานการปฏิบัติตํอสัตว๑และมีความชํานาญพร๎อม ในเรื่อง ตาํ งๆดังน้ี 1) การจับและควบคมุ สัตว๑ 2) การทําเคร่ืองหมายบนตวั สัตว๑ 3) การแยกเพศ 4) การให๎สารทางปาก ผิวหนงั กลา๎ มเน้ือ เส๎นเลอื ด ฯลฯ 5) การเกบ็ ตัวอยาํ งเลือด อจุ จาระ ปัสสาวะ ชิน้ เนอ้ื 6) การทาํ ใหส๎ ัตวส๑ ลบ 7) การทําใหส๎ ัตวต๑ ายอยาํ งสงบ 8) การชนั สตู รซากสตั ว๑ 7.4.5 ผู้ใชส้ ตั ว์ตอ้ งบนั ทกึ ขอ้ มลู การปฏบิ ตั ิต่อสตั วไ์ วเ้ ป็นหลักฐานอย่างครบถ้วน ผใ๎ู ชส๎ ตั ว๑ต๎องปฏิบัตติ อํ สตั วต๑ รงตามวธิ ีการทเ่ี สนอไว๎ในโครงการ และต๎องจดบันทึกไวเ๎ ป็นหลักฐานอยําง ละเอยี ด ครบถว๎ น พร๎อมทจ่ี ะเปิดเผยหรือช้แี จงไดท๎ ุกโอกาส โดยมีแนวทางปฏบิ ตั ิ ดงั นี้ 1) ผ๎ใู ช๎สตั วต๑ อ๎ งดําเนินการตามวิธีการทีเ่ สนอไว๎ในโครงการอยํางเครงํ ครดั สถานีปศสุ ัตว๑
174 2) ผ๎ูใช๎สัตว๑ต๎องบันทึกหลักฐานแหลํงที่มาของสัตว๑ วิธีการเลี้ยง ระบบการปูองกันการติดเช้ือและ สภาพแวดลอ๎ มของสถานทีเ่ ล้ยี งสัตว๑อยาํ งตํอเน่ือง 3) ผ๎ใู ช๎สตั วต๑ อ๎ งทาํ บนั ทึกทกุ ครง้ั ท่ีมกี ารปฏิบตั ติ อํ สัตว๑ การทดลองวัคซีนในหนู ทม่ี า : https://i.ytimg.com/vi/6fxBDg5Gw7g/maxresdefault.jpg 7.5 การกากับและดูแลให้ผ้ใู ชส้ ตั ว์ปฏบิ ัตติ ามจรรยาบรรณการใชส้ ัตว์ 7.5.1 ระดับองค์การ 1) องคก๑ ารท่ีมีการใชส๎ ตั ว๑ในงานวิจัย งานทดสอบ งานสอน และงานผลิต ชวี วตั ถุ ควรมีคณะกรรมการ อยํางน๎อยหน่ึงชุดเพ่ือรับผิดชอบและจัดการในเรื่องการใช๎สัตว๑ให๎เป็นไปตามจรรยาบรรณการใช๎สัตว๑และ แนวทางปฏิบัติทก่ี ําหนดไว๎ 2) คณะกรรมการควรประกอบด๎วย กรรมการบริหารขององค๑การ นักวิจัยและบุคคลภายนอกวงการ หรือนอกองค๑การ อยาํ งหลากหลาย 3) หนา๎ ทีข่ องคณะกรรมการ มดี ังนี้ 3.1) กําหนดรายละเอียด แนวทางปฏิบัติในการใช๎และการเล้ียงสัตว๑เพ่ืองานวิจัย งาน ทดสอบ งานสอน และงานผลติ ชีววตั ถุ ใหส๎ อดคลอ๎ งกับจรรยาบรรณการใชส๎ ัตว๑ 3.2) พจิ ารณาโครงการท่ีมกี ารใช๎สตั ว๑ในงานวิจัย งานทดสอบ งานสอน และงานผลิตชีว วตั ถุ ที่มีผู๎ เสนอ ทั้งท่ีต๎องการจะดําเนินการภายในหรือภายนอกองค๑การ โดย เฉพาะอยํางย่ิงโครงการที่ต๎องการ สถานปี ศสุ ัตว๑
175 ดําเนินการภายในองค๑การ และนําเสนอตํอผ๎ู บริหารองค๑การ เฉพาะโครงการท่ีมีแผนปฏิบัติการถูกต๎อง สอดคลอ๎ งกับจรรยา บรรณการใชส๎ ัตว๑ซง่ึ จะดาํ เนนิ การได๎ตอํ เม่อื ได๎รับอนมุ ัตแิ ล๎วเทาํ นั้น 3.3) ติดตามกํากับดูแลการใช๎สัตว๑ให๎เป็นไปตามแผนการปฏิบัติตํอสัตว๑โดยถูกต๎องไว๎ใน จรรยาบรรณการใชส๎ ตั ว๑ 3.4) จัดการให๎หนํวยงานเลี้ยงสัตว๑ดําเนินการอยํางมีมาตรฐานตามที่กําหนดไว๎ในจรรยา บรรณ การใชส๎ ตั ว๑ 3.5) สนับสนุนและผลักดันให๎หนํวยงานเล้ียงสัตว๑ได๎รับงบประมาณเพียงพอในการ ดําเนินการให๎ สอดคล๎องกบั จรรยาบรรณการใช๎สตั ว๑ 3.6) จัดให๎มีการสอน การอบรม การประชุมทางวิชาการ เพื่อให๎และเพมิ่ พูนความรู๎เก่ียว กับการ ใชส๎ ตั ว๑แกํนักศึกษา อาจารย๑ นักวิจัย นักวทิ ยาศาสตร๑ท่ีใชส๎ ัตว๑ และ พนักงานเลี้ยงสัตว๑ เพื่อให๎สามารถ ดําเนนิ การตามจรรยาบรรณการใชส๎ ัตว๑ไดอ๎ ยาํ ง ถกู ต๎อง ครบถว๎ น ภาพการสอนอบรมวชิ าการ ท่ีมาจาก : http://www.nlac.mahidol.ac.th/nlacth/images/anesthasia2013(95).JPG 7.5.2 ระดบั ชาติ 1) สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแหงํ ชาติ ควรแตํงต้ังคณะกรรมการชุดหน่ึง เพื่อกํากับดูแลสํงเสริมและ สนับสนุน ให๎การใช๎สัตว๑เพื่องานวิจัย งานสอน งานทดสอบ และงานผลิตชีววัตถุ ของทุกองค๑การ เป็นไปตาม จรรยาบรรณการใช๎สัตว๑และแนว ทางปฏบิ ตั ิ โดยมหี นา๎ ท่ีดงั ตอํ ไปนี้ 2) มีอํานาจหน๎าท่ีและความรับผิดชอบในการตรวจสอบข๎อเท็จจริงภายในองค๑การ กรณีที่มีการ รอ๎ งเรยี นจากประชาชน สื่อมวลชน วารสารที่ตพี มิ พ๑ผลงานทางวิชา การ และแหลํงให๎ทุนอดุ หนุนการวจิ ัย 3) สํงเสริมสนับสนุนและประชาสัมพันธ๑ให๎ ผู๎ใช๎สัตว๑ องค๑การท่ีใช๎สัตว๑ทั้งภาครัฐและ เอกชน ปฏิบัติ ตามจรรยาบรรณการใชส๎ ตั ว๑ อยาํ งเครํงครดั สถานปี ศุสตั ว๑
176 4) สนับสนุนและเสนอแนะแกํองค๑การ ทั้งภาครัฐและเอกชนท่ีใช๎สัตว๑ในการกําหนด รายละเอยี ดและ แนวทางปฏิบัติสําหรับการใช๎และการเลี้ยงสัตว๑เพ่ืองานวิจัย งาน ทดสอบ งานสอน และงานผลิตชีววัตถุ ของ องคก๑ าร ใหส๎ อดคล๎องกบั จรรยา บรรณการใช๎สตั ว๑ 5) แก๎ไขปรับปรุงจรรยาบรรณการใช๎สัตว๑ให๎เหมาะสมกับความก๎าวหน๎าทางวิทยา ศาสตร๑และ เทคโนโลยี ความเปลย่ี นแปลงทางสงั คม และขนบธรรมเนียมประเพณี ของประเทศ 6) สํงเสริมสนับสนุนให๎หนํวยงานตํางๆที่ใช๎สัตว๑ จัดการประชุมสัมมนา อบรมวิธีการ เล้ียงและ วธิ ีการใชส๎ ัตว๑ ตามจรรยาบรรณการใช๎สตั ว๑ 7) ประสานงานกับสํานักงบประมาณ หนํวยงานท่ีเก่ียวข๎องกับการจัดสรรงบประมาณ ให๎ได๎รับทราบ ถึงความสําคัญของการดําเนินงานตามจรรยาบรรณการใช๎สัตว๑ เพ่ือ สํงเสริมสนับสนุนด๎านงบประมาณให๎ เพียงพอแกกํ ารดาํ เนินงานอยาํ งมปี ระสิทธิ ภาพ 8) ประสานงานกับหนํวยงานทใี่ หท๎ ดุ อุดหนนุ การวจิ ัย ให๎พิจารณาให๎ทดุ อุดหนุนแกํ โครงการที่ผํานการ เห็นชอบจากคณะกรรมการของแตํละองค๑การแล๎วเทาํ น้นั 9) กองบรรณาธิการของวารสารท่ีตีพิมพ๑ผลงานวิจัย ควรกําหนดให๎ผ๎ูสํงบทความหรือ ผลงานวิจัยเพ่ือพิมพ๑เผยแพรํจัดสํงต๎นฉบับพร๎อมด๎วยข๎อมูลท่ีแสดงความชัดเจนท้ังด๎านพันธุกรรม สั ต ว๑ จํ า น ว น สั ต ว๑ ที่ ใ ช๎ วิ ธี ก า ร เ ลี้ ย ง แ ล ะ เ ท ค นิ ค ก า ร ป ฏิ บั ติ ตํ อ สั ต ว๑ ร ว ม ทั้ ง เ อ ก ส า ร แ ส ด ง ห ลั ก ฐ า น ก า ร ได๎รับอนุมัติจากคณะกรรมการขององค๑การ ให๎ ดาํ เนินการวิจัยได๎มาด๎วย และควรรอการตีพมิ พ๑ไว๎ จนกวําผ๎ูสํง บทความหรือผล งานวิจัยจะสํงเอกสารแสดงหลักฐานวําได๎ปฏิบัติถูกต๎องตามจรรยาบรรณการใช๎ สัตว๑มาให๎ ครบถว๎ นแล๎ว บรรณานุกรม มหาวิทยาลยั มหิดล. (2559). จรรยาบรรณการใชส้ ตั ว์ทดลอง. สบื ค๎นเม่ือ 2 เมษายน 2559. แหลงํ ทม่ี า :http://www.nlac.mahidol.ac.th/nlacth/index.php?option=com_content&view=article&id =130%3Aethics&catid=53%3Aresearch&Itemid=211&lang=en. สถานีปศุสตั ว๑
177 บทที่ 8 อนุรักษส์ ัตวป์ าุ สงวน สัตวป๑ าุ สงวน หมายถึง สัตวป๑ าุ หายาก 15 ชนิด ตามพระราชบญั ญัตสิ งวนและค๎ุมครองสัตวป๑ าุ พ.ศ.2535 ไดแ๎ กํ แมวลายหนิ ออํ น พะยนู เก๎งหม๎อ เลียงผา กวางผา ละมง่ั หรือละอง สมนั กปู รี ควายปุา แรด กระซํู สมเสรจ็ นกกระเรยี น นกแต๎วแลว๎ ท๎องดาํ และนกเจ๎าฟูาหญงิ สริ นิ ธร สตั วป๑ ุาสงวนเหลํานห้ี ายาก หรอื ใกล๎จะสญู พันธ๑ุหรืออาจจะสูญพนั ธไ๑ุ ปแลว๎ จงึ จาํ เปน็ ตอ๎ งมบี ทบญั ญตั ิ เขม๎ งวดกวดขนั เพือ่ ปอู งกนั ไมใํ หเ๎ กิดอนั ตรายแกสํ ตั วป๑ ุาทีย่ งั มชี วี ิตอยูํหรือซากสัตวป๑ าุ ซ่ึงอาจจะตกไปอยํูยัง ตํางประเทศด๎วยการซื้อขาย ตั้งแตแํ รกจึงกาํ หนดตามบัญชที า๎ ยพระราชบัญญตั สิ งวนและค๎มุ ครองสัตวป๑ ุา สถานีปศสุ ตั ว๑
178 พ.ศ. 2503 จาํ นวน 9 ชนิด เป็นสัตวป๑ ุาเลี้ยงลูกดว๎ ยนมท้งั หมด ไดแ๎ กํ แรด กระซํู กปู รี ควายปาุ ละมั่ง สมัน เน้อื ทราย เลียงผา และกวางผา ตอํ มาเมื่อสถานการณ๑ของสัตว๑ปุาในประเทศไทยเปล่ียนแปลงไป สตั ว๑ปาุ หลาย ชนิดมแี นวโนม๎ ถูกคกุ คามเสี่ยงตํอการสูญพนั ธุ๑มากย่งิ ขึ้น ประกอบกับเพอ่ื ใหเ๎ กดิ ความสอดคลอ๎ งกบั ความรํวมมือ ระหวาํ งประเทศในการควบคมุ ดูแลการค๎าหรือการลกั ลอบคา๎ สตั ว๑ปาุ ในรูปแบบตํางๆ ตามอนสุ ญั ญาวาํ ดว๎ ย การค๎าระหวํางประเทศวําด๎วยชนดิ สัตวป๑ าุ และพชื ปุาหรอื CITES ซึง่ ประเทศไทยได๎รวํ มลงนามรบั รองอนุสัญญา ในปี พ.ศ.2518 และไดใ๎ หส๎ ตั ยาบัน เม่ือวันท่ี 21 มกราคม พ.ศ.2526 นบั เปน็ สมาชกิ ลําดบั ท่ี 80 จงึ ได๎มีการ พิจารณาแก๎ไขปรบั ปรุงพระราชบญั ญตั ิฉบับเดิม และตราพระราชบัญญตั สิ งวนและคมุ๎ ครองสัตว๑ปุา พ.ศ. 2535 ขึน้ ใหมเํ ม่อื วนั ที่ 19 กุมภาพันธ๑ พ.ศ.2535 สัตว๑ปุาสงวนตามในพระราชบัญญัตฉิ บบั ใหมํ หมายถงึ สัตวป๑ ุาทหี่ ายากตามบัญชที า๎ ยพระราชบญั ญตั ิ ฉบบั น้ี และตามที่กาํ หนดโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา ทาํ ใหส๎ ามารถเปล่ียนแปลงชนิดสตั วป๑ ุาสงวนได๎โดย สะดวก โดยออกเป็นพระราชกฤษฎกี าแกไ๎ ขหรือเพิ่มเตมิ เทําน้นั ไมํตอ๎ งถงึ กบั ตอ๎ งแก๎ไขพระราชบญั ญตั ิอยําง ของเดมิ ท้ังนี้ไดม๎ กี ารเพิม่ เตมิ ชนดิ สตั ว๑ปุาท่มี ีสภาพลอํ แหลมตอํ การสญู พนั ธุ๑ อยํางยงิ่ 7 ชนิด และตัดสัตวป๑ ุาที่ ไมํอยูํในสถานะใกล๎จะสูญพันธุ๑ เนื่องจากการท่ีสามารถเพาะเล้ียงขยายพันธ๑ุได๎มาก 1 ชนิด คือ เนื้อทราย รวมกับสัตว๑ปุาสงวนเดิม 8 ชนิด รวมเป็น 15 ชนิด ได๎แกํ นกเจ๎าฟูาหญิงสิรินธร แรด กระซํู กูปรี ควาย ปุา ละองหรือละมั่ง สมัน เลียงผา กวางผา นกแต๎วแล๎วทอ๎ งดํา นกกระเรยี น แมวลายหนิ อํอน สมเสรจ็ เกง๎ หมอ๎ และพะยูน 8.1 ประเภทของสัตวส์ งวน ตามพระราชบัญญตั ิสงวนและคม๎ุ ครองสตั ว๑ปุา พ.ศ.2535 มสี ตั วป๑ ุาสงวนทัง้ หมด 15 ชนิด ไดแ๎ กํ 1. แมวลายหินออ่ น สถานีปศุสตั ว๑
179 แมวลายหินออํ น ท่ีมา : http://board.postjung.com/707614.html ช่ือสามัญ : Marbled Cat ชอื่ วทิ ยาศาสตร์ : Pardofelis marmorata ชื่ออ่นื : _ ลักษณะ : แมวลายหนิ ออํ นเปน็ แมวปุาขนาดกลาง น้ําหนักตัวเม่ือโตเต็มที่ 4-5 กโิ ลกรมั ใบหูเล็กมนกลมมี จุดดา๎ นหลงั ใบหู หางยาวมขี นหนาเปน็ พวงเดํนชดั สีขนโดยทัว่ ไปเป็นสีนา้ํ ตาลอมเหลอื ง มีลายบนลาํ ตวั คลา๎ ย ลายหินอํอน ดา๎ นใตท๎ อ๎ งจะออกสเี หลืองมากกวํา ดา๎ นหลังขาและหางมีจุดดาํ เทา๎ มพี ังผดื ยืดระหวาํ งน้วิ นิ้วมี ปลอกเล็บสองชัน้ และเลบ็ พับเก็บได๎ในปลอกเล็บทง้ั หมด อุปนสิ ยั : ออกหากนิ ในเวลากลางคืน สวํ นใหญมํ ักอยํูบนตน๎ ไม๎ อาหาร ไดแ๎ กํ สตั วข๑ นาดเล็กแทบทุกชนิด ต้ังแตํแมลง จงิ้ จก ตุก๏ แก งู นก หนู กระรอก จนถงึ ลิงขนาดเล็ก นสิ ัยคอํ นขา๎ ดรุ า๎ ย ท่อี ยู่อาศยั : ในประเทศไทยพบอยํูตามปุาดงดบิ เทือกเขาตะนาวศรแี ละปาุ ดงดบิ ช้นื ในภาคใต๎ เขตแพร่กระจาย : แมวปาุ ชนดิ นีม้ เี ขตแพรํกระจายตง้ั แตํประเทศเนปาล สิกขมิ แควน๎ อัสสมั ประเทศ อินเดยี ผาํ นทางตอนเหนือของพมาํ ไทย อินโดจีน ลงไปตลอดแหลมมลายู สมุ าตราและบอร๑เนยี ว สถานภาพ : แมวลายหนิ อํอนจัดเปน็ สัตวป๑ ุาชนิดหนึ่งใน 15 ชนดิ ของประเทศไทย และอนุสัญญา CITES จดั อยูํใน Appendix I สาเหตขุ องการใกลจ้ ะสูญพนั ธ์ุ : เนือ่ งจากแมวลายหนิ ออํ นเปน็ สตั ว๑ทหี่ าไดย๎ ากและมปี รมิ าณในธรรมชาติ คํอนข๎างต่ํา เมอื่ เทยี บกบั แมวปาุ ชนิดอน่ื ๆจาํ นวนจึงนอ๎ ยมาก เน่อื งจากถน่ิ ท่ีอยูํอาศัยถกู ทาํ ลายและถูกลําหรือ จบั มาเปน็ สตั วเ๑ ลีย้ งทม่ี รี าคาสงู จาํ นวนแมวลายหินออํ นจงึ น๎อยลงด๎านชีววทิ ยาของแมวปุาชนิดนีย้ งั รูก๎ ันน๎อย มาก 2. พะยูน สถานีปศสุ ัตว๑
180 พะยูน ทม่ี า : https://anocha01.wordpress.com/ ช่ือสามญั : Dugong ชื่อวทิ ยาศาสตร์ : Dugong dugon ช่ืออ่ืน : หมูนา้ , ปลาพะยนู ลักษณะ : พะยนู จัดเปน็ สตั วเ๑ ลยี้ งลูกด๎วยนมชนดิ หนึ่งท่ีอาศัยอยูใํ นนา้ํ มีลําตัวเพรยี วรปู กระสวย หาง แยกเปน็ สองแฉก วางตัวขนานกับพนื้ ในแนวราบ ไมมํ คี รบี หลัง ปากอยตูํ อนลาํ ง ของสํวนหน๎ารมิ ฝปี ากบนเป็น กอ๎ นเนื้อหนา ลักษณะเป็นเหลี่ยมคลา๎ ยจมูกหมู ตวั อายนุ ๎อยมลี าํ ตวั ออกขาว สวํ นตวั เตม็ วยั มสี ชี มพแู ดง เมอ่ื โต เตม็ วยั จะมีน้าํ หนักตวั ประมาณ 300 กโิ ลกรมั อุปนิสัย : พะยนู อยํูรํวมกันเป็นครอบครัว หลายครอบครวั จะหากนิ เป็นฝูงใหญํ ออกลกู ครั้งละ 1 ตวั ใช๎เวลาต้งั ท๎องนาน 13 เดอื น และจะโตเต็มท่ีเมอื่ มอี ายุ 9 ปี ทีอ่ ย่อู าศัย : ชอบอาศยั หากนิ พชื จําพวกหญา๎ ทะเลตามพ้ืนทอ๎ งทะเลชายฝง่ั ทั้งในเวลากลางวันและ กลางคืน เขตแพรก่ ระจาย : พะยนู มีเขตแพรํกระจายตง้ั แตํบรเิ วณชายฝง่ั ตะวนั ออกของทวีปแอฟรกิ า ทะเลแดง ตลอดแนวชายฝั่งมหาสมทุ รอนิ เดียไปจนถึงประเทศฟิลิปปนิ ส๑ ไตห๎ วนั และตอนเหนอื ของออสเตรเลยี ใน ประเทศไทยพบไมํบํอยนกั ทง้ั ในบริเวณอําวไทยแถบจังหวดั ระยองและชายฝ่งั ทะเลอันดามนั แถบจังหวดั ภูเก็ต พังงา กระบ่ี ตรงั สตูล สถานภาพ : ปัจจุบันพบพะยูนน๎อยมาก พะยนู ท่ยี ังเหลอื อยูํจะเป็นกลุํมเล็กหรืออยูโํ ดดเดย่ี ว บางครั้ง อาจจะเขา๎ มาจากนาํ นน้ําของประเทศใกลเ๎ คยี ง พะยนู จดั เป็นสตั ว๑ปุาสงวนชนดิ หน่งึ ใน 15 ชนิดของประเทศไทย และจัดโดยอนสุ ญั ญา CITES ไวใ๎ น Appendix I สาเหตขุ องการใกล้จะสญู พันธุ์ : เนื่องจากพะยนู ถกู ลาํ เพ่ือเปน็ อาหาร ติดเครอ่ื งประมงตายและเอา น้าํ มันเพือ่ เอาเปน็ เช้ือเพลงิ ประกอบกบั พะยูนแพรํพันธไ๑ุ ดช๎ า๎ มาก นอกจากนี้มลพษิ ทก่ี อํ ให๎เกดิ การเปล่ยี นแปลง สภาพแวดล๎อมตามชายฝงั่ ทะเล ไดท๎ าํ ลายแหลํงหญา๎ ทะเลท่เี ป็นอาหารของพะยนู เปน็ จํานวนมาก จึงนาํ เปน็ หวํ งวาํ พะยูนจะสญู ส้ินไปจากประเทศในอนาคตอนั ใกลน๎ ี้ 3. เกง้ หมอ้ สถานีปศุสัตว๑
181 เก๎งหมอ๎ ท่มี า : http://www.myfirstbrain.com/student_view.aspx?ID=49703 ชือ่ สามัญ : Fea’s Barking Deer ชื่อวทิ ยาศาสตร์ : Muntiacus feai ชอ่ื อืน่ : เกง้ ดา, กวางจกุ ลักษณะ : เก๎งหม๎อมีลกั ษณะโดยท่ัวไปคล๎ายคลึงกบั เกง๎ ธรรมดา ขนาดลําตวั ไลเํ ลีย่ กนั เมอ่ื โตเต็มที่ นํ้าหนักประมาณ 20 กโิ ลกรมั แตํเกง๎ หม๎อจะมีสลี ําตัวคลา้ํ กวําเกง๎ ธรรมดา ดา๎ นหลงั สอี อกนาํ้ ตาลเข๎ม ใตท๎ อ๎ งสี นํ้าตาลแซมขาว ขาสํวนทอ่ี ยเูํ หนอื กบี จะมีสีดาํ ดา๎ นหนา๎ ของขาหลังมีแถบขาวเห็นได๎ชัดเจน บนหนา๎ ผากจะมี เสน๎ สีดาํ อยดํู ๎านในระหวาํ งเขา หางส้นั ด๎านบนสีดําตัดกบั สขี าวดา๎ นลํางชัดเจน อปุ นิสยั : เกง๎ หม๎อชอบอาศยั อยเํู ด่ียว ในปุาดงดิบ ตามลาดเขา จะอยํเู ปน็ คเูํ ฉพาะฤดูผสมพันธุ๑เทําน้ัน ออกหากินในเวลากลางวันมากกวําในเวลากลางคนื อาหาร ได๎แกํ ใบไม๎ ใบหญา๎ และผลไม๎ปุา ตกลกู ครัง้ ละ 1 ตัว เวลาตง้ั ท๎องนาน 6 เดือน ทอ่ี ย่อู าศยั : ชอบอยํตู ามลาดเขาในปาุ ดงดิบและหบุ เขาทม่ี ปี ุาหนาทบึ และมีลาํ ธารน้ําไหลผาํ น เขตแพรก่ ระจาย : เก๎งหม๎อมเี ขตแพรกํ ระจาย อยํูในบรเิ วณต้ังแตํพมําตอนใตล๎ งไปจนถงึ ภาคใต๎ ตอนบน ของประเทศไทยเทาํ นนั้ ในประเทศไทยพบในบรเิ วณเทอื กเขาตะนาวศรลี งไปจนถึงเทือกเขาภูเกต็ ใน บริเวณเขตรกั ษาพันธุส๑ ัตว๑ปุาคลองนาคา และเขตรกั ษาพันธส๑ุ ัตวป๑ าุ คลองแสง ในจงั หวัดระนอง สรุ าษฎร๑ธานี และพังงา สถานภาพ : องค๑การสวนสัตว๑ ได๎ประสบความสาํ เร็จในการเพาะเล้ยี งเกง๎ หม๎อมาต้งั แตํปี พ.ศ.๒๕๒๘ ในปจั จุบนั เก๎งหมอ๎ จดั เปน็ สัตว๑ปุาสงวนชนิดหนงึ่ ใน 15 ชนิดของประเทศไทย และองค๑การ IUCN จดั เก๎งหมอ๎ ให๎ เปน็ สตั วป๑ าุ ท่ใี กลจ๎ ะสญู พนั ธ๑ุ สาเหตุของการใกล้จะสญู พนั ธ์ุ : ปจั จบุ นั เปน็ สัตว๑ปุาทห่ี ายากและใกล๎จะสูญพันธห๑ุ มดไปจากประเทศ เนอื่ งจากมเี ขตแพรกํ ระจายจาํ กดั และทอ่ี ยูอํ าศยั ถกู ทําลายหมดไปเพราะการตดั ไมท๎ ําลายปุา การเกบ็ กักนาํ้ เหนอื เขอ่ื นและการลาํ เปน็ อาหาร เก๎งหมอ๎ เป็นเนื้อท่ีนิยมรบั ประทานกันมาก 4. เลียงผา สถานีปศุสัตว๑
182 เลียงผา ท่ีมา : http://www.dnp.go.th/wildlifednp/index.php ชื่อสามญั : Serow ช่อื วิทยาศาสตร์ : Capricornis sumatraensis ช่อื อนื่ : _ ลกั ษณะ : เลียงผาเปน็ สัตวจ๑ ําพวกเดยี วกับแพะและแกะ เม่ือโตเตม็ ทม่ี คี วามสูงที่ไหลํประมาณ 1 เมตร ขา ยาวและแข็งแรง ใบหูยาวคลา๎ ยใบหูลา ขนตามลําตัวคอํ นข๎างยาว หยาบและมีสดี าํ ดา๎ นทอ๎ งขนสจี างกวํา มีขน เป็นแผงยาวบนสนั คอและสนั หลัง มีเขาทงั้ ในตัวผูแ๎ ละตวั เมีย เขามลี ักษณะตอนโคนกลม หยักเป็นวงแหวน โดยรอบคํอยๆ เรียวไปทางปลายเขาโคง๎ ไปทางดา๎ นหลงั เล็กนอ๎ ย อุปนิสยั : ในเวลากลางวันจะพกั อาศัยอยูใํ นถ้ํา หรอื ในพมุํ ไม๎ ออกหากนิ ในตอนเยน็ ถงึ พลบคํ่า และในเวลา เชา๎ มดื อาหารไดแ๎ กํพชื ตํางๆ ทุกชนิด เลยี งผามีประสาทหู ตา และรับกล่นิ ได๎ดี ผสมพนั ธุใ๑ นชํวงปลายเดือน ตลุ าคม ตกลูกครัง้ ละ 1-2 ตัว ใชเ๎ วลาตงั้ ท๎องราว 7 เดือน ในท่เี ลีย้ ง เลยี งผามีอายยุ าวกวาํ 10 ปี ท่ีอาศยั : เลียงผาอาศัยอยตํู ามภเู ขาท่มี หี นา๎ ผาสูงชนั มปี าุ ปกคลุม เขตแพร่กระจาย : เลยี งผามเี ขตแพรกํ ระจาย ตงั้ แตํแควน๎ แคชเมียร๑ มาตามเทอื กเขาหิมาลัยจนถงึ แคว๎น อสั สมั จนี ตอนใต๎ พมาํ อนิ โดจีน มลายู และสมุ าตรา ในประเทศไทยพบอาศัยอยตํู ามภเู ขาสูงในหลายภูมิภาค ของประเทศ เชํน เทือกเขาตะนาวศรี เทอื กเขาถนนธงชัย เทอื กเขาเพชรบูรณ๑ และภเู ขาทวั่ ไปในบริเวณภาคใต๎ รวมทงั้ บนเกาะในทะเลท่ีอยํูไมํหาํ งจากแผนํ ดินใหญมํ ากนกั สถานภาพ : เลียงผาจัดเป็นสตั วป๑ าุ สงวนชนิดหน่งึ ใน 15 ชนดิ ของประเทศไทย และอนุสญั ญา CITES จัดเรียงผาไวใ๎ น Appendix I สาเหตขุ องการใกลจ้ ะสูญพนั ธ์ุ : ในระยะหลังเลยี งผามีจาํ นวนลดลงอยํางรวดเรว็ เนอ่ื งจากการลําอยําง หนักเพื่อเอาเขา กระดูก และนํ้ามนั มาใชท๎ ํายาสมานกระดกู และพน้ื ท่หี ากินของเลียงผาลดลงอยาํ งรวดเร็ว จาก การทําการเกษตรตามลาดเขา และบนพืน้ ทที่ ไี่ มํชันจนเกนิ ไป 5. กวางผา สถานีปศสุ ัตว๑
183 กวางผา ท่ีมา : https://sites.google.com/site/thailand9animal/kwangpha ชอ่ื สามญั : Goral ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ : Naemorhedus griseus ช่ืออ่ืน : ม้าเทวดา ลักษณะ : กวางผาเป็นสตั วจ๑ าํ พวกแพะแกะเชนํ เดยี วกบั เลียงผา แตมํ ขี นาดเล็กกวาํ เมือ่ โตเตม็ ท่มี ีความสูง ทีไ่ หลมํ ากกวาํ 50 เซนตเิ มตร เพียงเลก็ น๎อย และมีนํา้ หนกั ตวั ประมาณ 30 กิโลกรมั ขนบนลําตวั สนี า้ํ ตาล หรือ สีน้ําตาลปนเทา มีแนวสีดําตามสนั หลงไปจนจดหาง ดา๎ นใต๎ทอ๎ งสีจางกวาํ ด๎านหลงั หางส้ันสดี าํ เขาสีดาํ มี ลกั ษณะเป็นวงแหวนรอบโคนเขา และปลายเรียวโค๎งไปทางด๎านหลงั อุปนิสัย : ออกหากนิ ตามที่โลํงในตอนเย็น และตอนเช๎ามดื หลับพกั นอนตามพํุมไม๎ และชะงอํ นหนิ ในเวลา กลางคนื อาหาร ได๎แกํ พชื ทีข่ น้ึ ตามสนั เขาและหน๎าผาหนิ เชํน หญา๎ ใบไม๎ กงิ่ ไม๎ และลูกไม๎เปลือกแขง็ จําพวก ลูกกอํ กวางผาอยํูรวมกันเปน็ ฝงู ๆละ 4-12 ตัว ผสมพนั ธ๑ุในราวเดือนพฤศจิกายน และธันวาคม ออกลกู ครอกละ 1-2 ตวั ตั้งทอ๎ งนาน 6 เดอื น ทอี่ าศยั : กวางผาจะอยบํู นยอดเขาสงู ชันในทร่ี ะดบั นํ้าสงู ชนั มากกวํา 1,000 เมตร เขตแพร่กระจาย : กวางผามเี ขตแพรํกระจายตงั้ แตํแควน๎ แพรกํ ระจาย ตั้งแตแํ คว๎นแคชเมียรล๑ งมาจนถึง แควน๎ อสั สมั จนี ตอนใต๎ พมาํ และตอนเหนือของประเทศไทย ในประเทศไทยมีรายงานพบกวางผาตามภเู ขาท่สี งู ชันในหลายบริเวณ เชนํ ดอยมอํ นจอง เขตรักษาพันธุส๑ ัตวป๑ ุาอมก๐อย ดอยเลีย่ ม ดอยมอื กาโด จงั หวดั เชียงใหมํ และบรเิ วณสองฝั่งลํานํา้ ปิงในอทุ ยานแหงํ ชาติแมปํ ิง จังหวดั ตาก สถานภาพ : กวางผาจัดเป็นสัตว๑ปุาสงวนชนดิ หนึ่งใน 15 ชนดิ ของประเทศไทยและอนุสญั ญา CITES จัดไวใ๎ นAppendix I สาเหตุของการใกล้จะสูญพันธุ์ : เนือ่ งจากการบุกรุกถางปาุ ท่ที ําไรเํ ล่ือนลอยของชาวเขาในระยะเร่ิมแรก และชาวบา๎ นในระยะหลงั ทาํ ใหท๎ ่ีอาศยั ของกวางผาลดน๎อยลง เหลืออยํูเพยี งตามยอดเขาท่ีสูงชนั ประกอบกบั การลาํ กวางผาเพอ่ื เอานํ้ามนั มาใชใ๎ นการสมานกระดูกท่หี กั เชนํ เดียวกับเลียงผา จาํ นวนกวางผาในธรรมชาติจงึ ลดลงเหลอื อยูํนอ๎ ยมาก 6. ละม่ังหรอื ละอง สถานีปศุสตั ว๑
184 ละมัง่ หรือละอง ที่มา : http://www.manager.co.th/IndoChina/ViewNews.aspx?NewsID=9490000087440 ชื่อสามญั : Eld's Deer ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ : Cervus eldi ช่ืออนื่ : _ ลักษณะ : เป็นกวางทีม่ ีขนาดโตกวําเนือ้ ทรายแตเํ ลก็ กวํากวางปาุ เม่อื โตเตม็ วยั มคี วามสูงที่ไหลํ 1.2- 1.3 เมตร นาํ้ หนัก 100-150 กิโลกรมั ขนตามตวั ทวั่ ไปมีสีน้าํ ตาลแดง ตัวอายนุ ๎อยจะมีจดุ สขี าวตามตัว ซง่ึ จะ เลอื นกลายเปน็ จุดจางๆ เมอื่ โตเต็มทีใ่ นตวั เมยี แตํจดุ ขาวเหลาํ น้จี ะหายไปจนหมด ในตวั ผู๎ตวั ผจู๎ ะมีขนทบี่ รเิ วณ คอยาว และมีเขาและเขาของละอง จะมีลักษณะตํางจากเขากวางชนดิ อืน่ ๆในประเทศไทย ซึ่งท่ีกง่ิ รบั หมาท่ยี ืน่ ออกมาทางด๎านหน๎า จะทาํ มมุ โคงํ ตํอไปทางดา๎ นหลัง และลาํ เขาไมํทาํ มุมหักเชํนท่ีพบในกวางชนดิ อ่นื ๆ อปุ นิสยั : ชอบอยรํู วมกนั เปน็ ฝูงเลก็ ตวั ผ๎ทู โี่ ตเตม็ วัยจะเขา๎ ฝูงเมอ่ื ถงึ ฤดผู สมพันธ๑ุ ออกหากินใบหญ๎า ใบไม๎ และผลไม๎ทั้งเวลากลางวนั และกลางคืน แตํเวลาแดดจัดจะเขา๎ หลบพกั ในท่ีรํม ละอง ละมงั่ ผสมพนั ธุ๑ใน เดือนกุมภาพันธจ๑ นถงึ เดือนเมษายน ตงั้ ทอ๎ งนาน 8 เดือน ออกลกู ครงั้ ละ 1 ตวั ทีอ่ ยู่อาศัย : ละองชอบอยํูตามปาุ โปรงํ และปาุ ทุงํ โดยเฉพาะปุาทม่ี ีแหลํงนา้ํ ขัง เขตแพรก่ ระจาย : ละองแพรํกระจายในประเทศอินเดยี พมํา ไทย ลาว กมั พชู า เวียดนาม และเกาะ ไหหลาํ ในประเทศไทยอาศยั อยใํู นบรเิ วณเหนือจากคอคอดกระขึ้นมา สถานภาพ : มีรายงานพบเพยี ง 3 ตัว ทเ่ี ขตรกั ษาพันธ๑ุสัตวป๑ าุ หว๎ ยขาแขง๎ จงั หวดั อทุ ยั ธานี ละอง ละมัง่ จดั เป็นปุาสงวนชนดิ หนึ่งใน 15 ชนิดของประเทศไทย และอนสุ ญั ญา CITES จดั อยใํู น Appendix สาเหตขุ องการใกล้จะสญู พันธุ์ : ปจั จบุ นั ละอง ละมั่งกาํ ลังใกลจ๎ ะสูญพันธ๑หุ มดไปจากประเทศไทย เนื่องจากสภาพปุาโปรํง ซง่ึ เปน็ ท่ีอยํอู าศัยถกู บกุ รกุ ทําลายเป็นไรนํ า และทอ่ี ยูอํ าศยั ของมนษุ ย๑ ทงั้ ยงั ถูกลําอยําง หนกั นบั ต้งั แตํหลงั สงครามโลกครง้ั ท่ีสองเป็นตน๎ มา 7. สมัน สถานปี ศุสัตว๑
185 สมนั ท่ีมา : http://www.rangsit.org/sculpture/samun/menu21.php ชอ่ื สามญั : Schomburgk’s Deer ช่อื วทิ ยาศาสตร์ : Cervus schomburgki ช่ืออื่น : เนอ้ื สมนั ลักษณะ : เน้อื สมันเปน็ กวางชนิดหน่ึงทีเ่ ขาสวยงามท่ีสุดในประเทศไทย เม่ือโตเต็มวัยจะมคี วามสูงทไี่ หลํ ประมาณ 1 เมตร สีขนบนลําตวั มีสีน้าํ ตาลเข๎มและเรยี บเป็นมนั หางคํอนขา๎ งสน้ั และมีสีขางทางตอนลํางสมนั มี เขาเฉพาะตัวผ๎ู ลักษณะเขาของสมันมขี นาดใหญํ และแตกกง่ิ กา๎ นออกหลายแขนง ดูคลา๎ ยสมุํ หรือตะกรา๎ สมนั จงึ มชี ่ือเรียกอีกอยาํ งหน่งึ วํา กวางเขาสมํุ อปุ นิสยั : ชอบอยูรํ วมกนั เปน็ ฝงู เลก็ ๆ โดยเฉพาะในฤดูผสมพนั ธ๑ุ หลังจากหมดฤดผู สมพนั ธ๑ุ และตวั ผจู๎ ะ แยกตวั ออกมาอยโูํ ดดเด่ยี ว สมันชอบกินหญา๎ โดยเฉพาะหญ๎าออํ น ผลไม๎ ยอดไม๎ และใบไมห๎ ลายชนิด ทอี่ ยอู่ าศยั : สมนั จะอาศัยเฉพาะในทํุงโลงํ ไมอํ ยตํู ามปุารกทึบ เนอ่ื งจากเขามีกิ่งก๎านสาขามาก จะเก่ียวพัน พนั กบั เถาวัลย๑ไดง๎ าํ ย เขตแพรก่ ระจาย : สมนั เปน็ สตั วช๑ นดิ ที่มเี ขตแพรกํ ระจายจํากัดอยํใู นบรเิ วณทรี่ าบภาคกลางของประเทศ เทาํ นั้น สมยั กอํ นมชี ุกชุมมากในทรี่ าบลมุํ แมนํ ํา้ เจา๎ พระยาบริเวณจงั หวดั รอบกรงุ เทพฯ เชํน นครนายก ปทุมธานี และปราจนี บุรี และแมแ๎ ตํบริเวณพ้ืนท่รี อบนอกของกรงุ เทพฯ เชํน บริเวณพญาไท บางเขน รังสติ ฯลฯ สถานภาพ : สมันไดส๎ ูญพันธ๑ไุ ปจากโลกและจากประเทศไทยเมือ่ เกือบ 60 ปที แ่ี ลว๎ สมนั ยงั จดั เป็นปาุ สงวนชนิดหน่ึงใน 15 ชนิดของประเทศไทยโดยมีวัตถปุ ระสงค๑เพ่อื ควบคุมซาก โดยเฉพาะอยาํ งยงิ่ เขาของสมัน ไมใํ ห๎มกี ารสงํ ออกนอกราชอาณาจกั ร สาเหตุของการสญู พนั ธุ์ : เนื่องจากแหลํงท่ีอยอูํ าศยั ได๎ถูกเปล่ียนเป็นนาข๎าวเกอื บทงั้ หมดและสมนั ท่ี เหลอื อยํูตามทห่ี ํางไกลจะถูกลาํ อยํางหนกั ในฤดูนา้ํ หลากทวํ มทอ๎ งทุงํ ในเวลานน้ั สมนั จะหนนี ้ําขึน้ ไปอยูํรวมกัน บนที่ดอนทําให๎พวกพรานลอ๎ มไลฆํ าํ อยาํ งงํายดาย 8. กูปรี สถานีปศสุ ตั ว๑
186 กรปู ี ทีม่ า : http://www.thaikasetsart.com/กูปรหี รอื โคไพร/ ชื่อสามญั : Kouprey ชื่อวทิ ยาศาสตร์ : Bos sauveii ชอ่ื อื่น : วัวเขาเกลียว(ลาว) โคไพร ลักษณะ : กูปรีเปน็ สัตว๑ปุาชนิดหนง่ึ เชํนเดยี วกับกระทิงและววั แดง เมอื่ โตเต็มท่มี ีความสูงทไ่ี หลํ 1.7- 1.9 เมตร นํา้ หนัก 700-900 กิโลกรมั ตัวผมู๎ ขี นาดลาํ ตวั ใหญกํ วาํ ตัวเมยี มาก สโี ดยทั่วไปเป็นสีเทาเข๎มเกอื บดาํ ขาท้งั 4 มีถุงเทา๎ สีขาวเชํนเดียวกบั กระทิง ในตวั ผ๎ูทมี่ ีอายมุ าก จะมีเหนยี งใตค๎ อยาวห๎อยลงมาจนเกอื บจะถึงดิน เขากูปรตี วั ผู๎กบั ตัวเมยี จะแตกตาํ งกนั โดยเขาตัวผู๎จะโคง๎ เปน็ วงกวา๎ ง แลว๎ ตวี งโคง๎ ไปขา๎ งหนา๎ ปลายเขาแตก ออกเปน็ พูคํ ลา๎ ยเส๎นไมก๎ วาดแข็ง ตัวเมียมีเขาตวี งแคบแล๎วมว๎ นขึน้ ดา๎ นบน ไมํมีพูํทปี่ ลายเขา อปุ นิสัย : อยรํู วมกนั เปน็ ฝูง 2-20 ตัว กินหญ๎า ใบไมด๎ ินโปงุ เป็นครั้งคราว ผสมพันธ๑ใุ นราวเดือน เมษายน ตัง้ ทอ๎ งนาน 9 เดือน จะพบออกลกู อํอนประมาณเดือนธนั วาคมและมกราคม ตกลูกครงั้ ละ 1 ตวั ท่ีอยอู่ าศยั : ปกติอาศัยอยูตํ ามปุาโปรํง ท่ีมที ุํงหญา๎ สลับกับปุาเต็งรงั และในปาุ เบญจพรรณท่คี ํอนข๎าง แล๎ง เขตแพร่กระจาย : กปู รีมเี ขตแพรํกระจายอยใูํ นไทย เวียดนาม ลาว และกัมพูชา สถานภาพ : ประเทศไทยมรี ายงานวาํ พบกูปรอี ยํูตามแนวเทอื กเขาชายแดนไทย-กมั พูชา และลาว เมอื่ ปี พ.ศ.2525 มีรายงานพบกูปรใี นบริเวณเทอื กเขาพนมดงรกั กูปรจี ัดเป็นสัตว๑ปุาสงวนชนิดหนึ่งใน 15 ชนิดของ ประเทศไทย และอยใํู น Appendix I ตามอนุสญั ญา CITES สาเหตขุ องการใกล้จะสูญพันธ์ุ : ปจั จุบนั กปู รีเปน็ สตั ว๑ปุาที่หายากกาํ ลังใกลจ๎ ะสูญพนั ธ๑หุ มดไปจากโลก เนอื่ งจากการถูกลําเป็นอาหารและสภาวะสงครามในแถบอินโดจนี ซึ่งเป็นแหลํงอาศยั เฉพาะกูปรี ทาํ ให๎ยากใน การอยรํู วํ มกนั ในการอนรุ กั ษก๑ ูปรี 9. ควายปุา สถานีปศุสตั ว๑
187 ควายปุา ท่ีมา : http://www.baanjomyut.com/library_2/extension1/bubalus_bubalis_linnaeus/index.html ชื่อสามัญ : Wild Water Buffalo ชือ่ วทิ ยาศาสตร์ : Bubalus bubalis ชือ่ อ่ืน : มหิงสา ลักษณะ : ควายปุาเปน็ สตั ว๑ชนิดเดยี วกับควายบา๎ นแตํมลี ําตวั ขนาดลาํ ตัวใหญํกวาํ มีนิสัยวอํ งไว และดุ รา๎ ยกวําควายบ๎านมาก ตวั โตเต็มวยั มคี วามสงู ทไี่ หลํเกือบ 2 เมตร นํ้าหนักมากกวาํ 1,000 กิโลกรมั สลี ําตัว โดยท่ัวไปเป็นสเี ทาหรอื สีนา้ํ ตาลดํา ขาทัง้ 4 สขี าวแกํ หรอื สีเทาคลา๎ ยใสถํ งุ เท๎าสีขาว ด๎านลํางของลําตวั เป็นลาย สีขาวรูปตวั วี (V ) ควายปาุ มเี ขาทั้ง 2 เพศ เขามีขนาดใหญกํ วาํ ควายเล้ยี ง วงเขากางออกกว๎างโคง๎ ไปทางดา๎ น หลงั ดา๎ นตัดขวางเปน็ รปู สามเหลี่ยม ปลายเขาเรยี วแหลม อุปนิสัย : ควายปุาชอบออกหากินในเวลาเชา๎ และเวลาเยน็ อาหาร ได๎แกํ พวกใบไม๎ หญ๎า และหนอํ ไม๎ หลงั จากกนิ อาหารอ่มิ แลว๎ ควายปุาจะนอนเค้ยี วเอื้องตามพํมุ ไม๎ หรอื นอนแชํปรกั โคลนตอนชํวงกลางวัน ควายปุาจะอยรํู ํวมกันเปน็ ฝงู ฤดผู สมพนั ธอุ๑ ยรูํ าวๆ เดือนตลุ าคมและพฤศจกิ ายน ตกลกู ครั้งละ 1 ตัว ตั้งท๎อง นาน 10 เดือน เทําทท่ี ราบควายปาุ มีอายุยืน 20-25 ปี เขตแพร่กระจาย : ควายปุามเี ขตแพรกํ ระจายจากประเทศเนปาลและอินเดยี ไปสิน้ สุดทางดา๎ นทิศ ตะวนั ออกท่ปี ระเทศเวยี ดนาม ในประเทศไทยปัจจบุ ันมคี วายปาุ เหลืออยบํู ริเวณเขตรักษาพันธ๑สุ ัตวป๑ าุ ห๎วยขา แข๎ง จงั หวดั อทุ ยั ธานี สถานภาพ : ปจั จบุ ันควายปุาท่ีเหลืออยํูในประเทศไทยมจี ํานวนน๎อยมาก จนนาํ กลัววําอีกไมนํ านจะ หมดไปจากประเทศ ควายปุาจัดเปน็ สัตว๑ปุาสงวนชนิดหนึง่ ใน 15 ชนิดของประเทศไทย และอนุสัญญา CITES จัดควายปุาไว๎ใน Appendix III สาเหตุของการใกลจ้ ะสูญพันธ์ุ : เนอื่ งจากการถูกลําเพ่ือเอาเนือ้ และเอาเขาท่สี วยงาม และการสญู เช้ือ พันธ๑ุ เนอ่ื งจากไปผสมกบั ควายบา๎ น ท่ีมีผ๎เู อาไปเลีย้ งปลํอยเปน็ ควายปละในปาุ ในกรณหี ลงั น้ีบางครงั้ ควายปาุ จะตดิ โรคตาํ งๆ จากควายบ๎าน ทาํ ใหจ๎ าํ นวนลดลงมากยิ่งขึน้ 10. แรด สถานปี ศุสตั ว๑
188 แรด ที่มา : http://easyweb.mnre.go.th/ewt/cict_demo/ewt_news.php?nid=204&filename=index ช่อื สามญั : Javan Rhinoceros ชือ่ วิทยาศาสตร์ : Rhinoceros sondaicus ช่ืออื่น : แรดชวา ลักษณะ : แรดจัดเปน็ สัตวจ๑ ําพวกมีกบี คอื มเี ลบ็ 3 เลบ็ ท้ังเท๎าหนา๎ และเท๎าหลัง ตวั โตเตม็ วยั มคี วามสูงที่ ไหลํ 1.6-1.8 เมตร น้าํ หนักตวั 1,500-2,000 กโิ ลกรัม แรดมหี นังหนาและมีขนแข็งขึน้ หํางๆ สพี ืน้ เป็นสเี ทาออก ดาํ สํวนหลงั มสี ํวนพบั ของหนัง 3 รอย บรเิ วณหวั ไหลดํ ๎านหลังของขาคหํู น๎า และด๎านหนา๎ ของขาคํูหลงั แรดตัวผ๎ู มีนอเดียวยาวไมํเกนิ 25 เซนตเิ มตร สํวนตัวเมียจะเห็นเปน็ เพียงปมุ นนู ขึน้ มา อุปนสิ ัย : ในอดีตเคยพบแรดหากนิ รวํ มเปน็ ฝูง แตํในปจั จุบันแรดหากนิ ตวั เดยี วโดดๆ หรืออยํเู ปน็ คใูํ นฤดู ผสมพันธ๑ุ อาหารของแรดได๎แกํ ยอดไม๎ ใบไม๎ กง่ิ ไม๎ และผลไม๎ทร่ี วํ งหลํนบนพ้ืนดิน แรดไมมํ ีฤดูผสมพันธุท๑ ่ี แนนํ อน จงึ สามารถผสมพนั ธุไ๑ ดต๎ ลอดปี ตกลกู คร้งั ละ 1 ตัว ต้งั ทอ๎ งนานประมาณ 16 เดอื น ทีอ่ ยูอ่ าศยั : แรดอาศัยอยํเู ฉพาะในบรเิ วณปาุ ดิบชื้นทม่ี ีความอุดมสมบูรณ๑ หรือตามปุาทึบรมิ ฝงั่ ทะเล สํวน ใหญจํ ะหากินอยํตู ามพนื้ ท่รี าบ ไมํคํอยขึ้นบนภเู ขาสูง เขตแพรก่ ระจาย : แรดมเี ขตกระจายต้งั แตํประเทศบงั คลาเทศ พมํา ไทย ลาว เขมร เวียดนาม ลงไปทาง แหลมมลายู สมุ าตรา และชวา ปัจจุบนั พบน๎อยมากจนกลาํ วไดว๎ ํา เกือบจะหมดไปจากผนื แผนํ ดนิ ใหญํของทวีป เอเชียแล๎ว เช่อื วาํ ยังอาจจะมีคงเหลอื อยํบู ๎างทางเทอื กเขาตะนาวศรี และในปุาลึกตามแนวรอยตอํ จงั หวดั ระนอง พังงา และสุราษฎร๑ธานี สถานภาพ : ปัจจุบันแรดจัดเป็นสัตว๑ปุาสงวนชนิดหน่ึงใน 15 ชนิดของประเทศไทย และจัดอยํู ใน Appendix 1ของอนสุ ญั ญา CITES ทง้ั ยงั เป็นสัตวป๑ ุาทใ่ี กลจ๎ ะสูญพันธุต๑ าม U.S.Endanger Species สาเหตุของการใกล้จะสูญพันธุ์ : เชํนเดียวกับแรดท่ีพบบริเวณอ่ืนๆท่ีพบในประเทศไทยถูกลําและทําลาย อยํางหนัก เพื่อต๎องการนอหรือสํวนอื่นๆ เชํน กระดูก เลือด ฯลฯ ซ่ึงมีคุณคําสูงยิ่ง เพ่ือใช๎ในการบํารุงและยา อน่ื ๆ นอกจากน้ีบรเิ วณปาุ ท่ีราบท่แี รดชอบอาศยั อยํกู ห็ มดไป กลายเป็นบา๎ นเรอื นและเกษตรกรรมจนหมด 11. กระซู่ สถานีปศุสัตว๑
189 กระซํู ทมี่ า : http://global.britannica.com/animal/Sumatran-rhinoceros ชอ่ื สามัญ : Sumatran Rhinoceros ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ : Dicermocerus sumatraensis ช่อื อืน่ : แรดสมุ าตรา ลกั ษณะ : กระซํเู ป็นสัตว๑จาํ พวกเดียวกับแรดแตํมีลกั ษณะลาํ ตวั เลก็ กวาํ ตวั โตเต็มวยั มคี วามสูงท่ีไหลํ 1-1.5 เมตร นํ้าหนักประมาณ 1,000 กโิ ลกรมั มีหนงั หนาและมีขนขน้ึ ปกคลมุ ทงั้ ตวั โดยเฉพาะในตวั ท่มี ีอายุ น๎อย ซง่ึ ขนจะลดนอ๎ ยลงเม่ือมีอายุมากข้นึ สลี ําตวั โดยทั่วไปออกเปน็ สเี ทา คลา๎ ยสีข้เี ถา๎ ด๎านหลังลําตัว จะปรากฏรอยพับของหนงั เพยี งพบั เดียว ตรงบริเวณดา๎ นหลังของขาคหํู น๎า กระซํูทงั้ สองเพศมีนอ 2 นอ นอหนา๎ มคี วามยาวประมาณ 25 เซนตเิ มตร สํวนนอหลังมีความยาวไมํเกิน 10 เซนติเมตร หรอื เปน็ เพยี งตุมํ นนู ขึน้ มาใน ตวั เมยี อุปนิสัย : กระซปํู นี เขาได๎เกงํ มปี ระสาทรับกล่นิ ดมี าก ออกหากนิ ในเวลากลางคนื อาหาร ไดแ๎ กํ พวก ใบไม๎ และผลไมป๎ าุ บางชนิด ปกติกระซํจู ะใชช๎ วี ติ อยํูอยํางโดดเดี่ยว ยกเว๎นในฤดผู สมพนั ธุ๑ หรอื ตัวเมียเล้ียงลูก อํอน ตกลูกครง้ั ละ 1 ตวั มรี ะยะตั้งทอ๎ ง 7-8 เดือน ในท่ีเลีย้ งกระซํมู ีอายุยนื 32 ปี ทอี่ ยู่อาศัย : กระซูํอาศัยอยูตํ ามปาุ เขาทมี่ ีความหนารกทึบ ลงมาอยูํในปาุ ท่รี าบตํา่ ในตอนปลายฤดูฝน ซ่ึงในระยะนนั้ มปี รักและน้าํ อยูํทว่ั ไป เขตแพร่กระจาย : กระซูมํ เี ขตแพรกํ ระจายตั้งแตํแคว๎นอัสสมั ในประเทศอนิ เดยี บงั คลาเทศ พมาํ ไทย เวียดนาม มลายู สุมาตรา และบอเนยี ว ในประเทศไทยมรี ายงานวาํ พบกระซูํอยํูในเขตรักษาพันธ๑ุสตั วป๑ ุาหลาย แหํงได๎แกํ ภูเขียว จงั หวัดชัยภูมิ เขาสอยดาว จงั หวดั จันทบุรี ห๎วยขาแข๎ง จงั หวัดอทุ ยั ธานี ทงุํ ใหญนํ เรศวร จังหวดั กาญจนบุรี และคลองแสง จังหวดั สรุ าษฏร๑ธานี และในบริเวณอุทยานแหํงชาตหิ ลายแหํง ไดแ๎ กํ แกํง กระจาน จังหวดั เพชรบรุ ี และเขอ่ื นบางลาง จังหวัดยะลา และบรเิ วณปุารอยตอํ ระหวํางประเทศกบั มาเลเซีย สถานภาพ : ปัจจบุ ันกระซจูํ ัดเป็นสตั วป๑ าุ สงวนชนิดหนง่ึ ใน 15 ชนิดของประเทศไทย อนุสัญญา CITES จัดไวใ๎ นAppendix I และ U.S. Endanger Species Act จดั ไวใ๎ นพวกที่ใกลจ๎ ะสญู พนั ธุ๑ สาเหตุของการใกลจ้ ะสูญพนั ธ์ุ : กระซปูํ จั จุบนั ใกลจ๎ ะสญู พนั ธไุ๑ ปจากโลก เนอ่ื งจากถูกลาํ เพอ่ื เอานอ และอวัยวะทกุ สํวนของตวั ซ่งึ มีฤทธใิ์ นทางเป็นยา กระซูจํ งึ ถกู ลําอยเูํ นืองๆ ประกอบกับกระซูํมอี ยูํในธรรมชาติ นอ๎ ย และประชากรแตํละกลมํุ และแมแ๎ ตํกลํมุ เดียวกันก็อยํหู าํ งกันมากไมํมโี อกาสจบั คูํขยายพนั ธไุ๑ ด๎ 12. สมเสร็จ สถานีปศุสตั ว๑
190 สมเส็จ ทีม่ า : http://tryanimal.blogspot.com/p/blog-page_94.html ชอ่ื สามญั : Malayan Tapir ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ : Tapirus indicus ช่อื อื่น : ผสมเสร็จ ลกั ษณะ : สมเสรจ็ เป็นสัตว๑กีบค่ี เทา๎ หนา๎ มี 4 เลบ็ และเท๎าหลงั มี 3 เลบ็ จมูกและริมฝีปากบนยนื่ ออกมาคล๎ายงวง ตามีขนาดเล็ก ใบหูรูปไขํ หางสัน้ ตัวเต็มวยั มีนาํ้ หนัก 250-300 กโิ ลกรมั สํวนหัวและลําตัว เปน็ สีขาวสลบั ดํา ตั้งแตํปลายจมูกตลอดทอํ นหวั จนถึงลาํ ตัว บริเวณระดับหลงั ของขาคหํู น๎ามีสดี าํ ทอํ นกลางตัว เป็นแผนํ ขาว สํวนบรเิ วณโคนหางลงไปตลอดขาคหํู ลงั จะเปน็ สีดาํ ขอบปลายหูและรมิ ฝีปากขาว ลูกสมเสรจ็ ลําตัวมลี ายเปน็ แถบ ดูลายพร๎อยคล๎ายลกู แตงไทย อปุ นิสัย : สมเสร็จชอบออกหากินในเวลากลางคนื กนิ ยอดไม๎ กิ่งไม๎ หนอํ ไม๎ และพชื อวบนํา้ หลายชนดิ มักมดุ หากนิ ตามทร่ี กทบึ ไมคํ อํ ยชอบเดินหากนิ ตามเส๎นทางเกาํ มปี ระสาทสมั ผัสทางกลิ่นและเสียงดีมาก ผสม พันธ๑ุในเดอื นเมษายนหรือเดือนพฤษภาคม ตกลกู คร้งั ละ 1 ตัว ใชเ๎ วลาตั้งท๎องนานประมาณ 13 เดือน สมเสร็จ ทเ่ี ลยี้ งไวม๎ ีอายุนานประมาณ 30 ปี ที่อยอู่ าศัย : สมเสร็จชอบอยูํอาศยั ตามบรเิ วณที่รํมครึ้ม ใกล๎หว๎ ยหรอื ลําธาร เขตแพรก่ ระจาย : สมเสร็จมเี ขตแพรํกระจายจากพมําตอนใต๎ ไปตามพรมแดนด๎านทศิ ตะวนั ตกของ ประเทศไทย ลงไปสดุ แหลมมลายูและสุมาตรา ในประเทศไทยจะพบสมเสร็จได๎ในปาุ ดงดิบตามเทือกเขาถนน ธงชัย เทือกเขาตะนาวศรี และปุาท่วั ภาคใต๎ สถานภาพ : ปจั จบุ นั สมเสร็จจัดเป็นสตั วป๑ ุาสงวนชนดิ หน่งึ ใน 15 ชนดิ ของประเทศไทย และจดั โดย อนุสญั ญาCITES ไวใ๎ น Appendix I และจดั เป็นสตั ว๑ท่ใี กลจ๎ ะสูญพันธต๑ุ าม U.S. Endanger Species Act สาเหตุของการใกล้จะสญู พนั ธ์ุ : การลาํ สมเสร็จเพือ่ เอาหนงั และเน้ือ การทําลายปาุ ดงดิบที่อยูอํ าศัย และหากนิ โดยการตัดไม๎ การสร๎างเข่ือนกกั เกบ็ นาํ้ และถนน ทาํ ใหจ๎ าํ นวนสมเสรจ็ ลดปริมาณลงจนหาได๎ยาก 13. นกกระเรียน สถานปี ศุสตั ว๑
191 นกกระเรียน ท่มี า : http://pirun.ku.ac.th/~b5310302948/นกกระเรียน.html ชอ่ื สามัญ : Sarus Crane ช่อื วทิ ยาศาสตร์ : Grus antigone sharpie ชอ่ื อืน่ : _ ลกั ษณะ : เปน็ นกขนาดใหญเํ มอื่ ยืนมีขนาดสงู ราว 150 เซนตเิ มตร สวํ นหวั และคอไมมํ ขี นปกคลมุ มี ลักษณะเปน็ ปุมหยาบสีแดง ยกเวน๎ บริเวณกระหมํอมสเี ขยี วอมเทา ในฤดูผสมพนั ธ๑มุ สี ีแดงสม๎ สดข้ึนกวําเดิม ขน ลําตัวสีเทาจนถงึ สีเทาแกมฟาู มีกระจกุ ขนสขี าวห๎อยคลุมสวํ นหาง จะงอยปากสีออกเขยี ว แขง๎ และเทา๎ สแี ดง หรอื สีชมพูอมฟาู นกอายุนอ๎ ยมขี นสนี ้าํ ตาลทว่ั ตวั บนสํวนหัวและลาํ คอมขี นสนี ํา้ ตาลเหลอื งปกคลมุ ในประเทศ ไทยเปน็ นกกระเรยี นชนดิ ยํอย Sharpii ซึ่งไมมํ ีวงแหวนสขี าวรอบลําคอ อปุ นสิ ยั : ออกหากนิ เปน็ คแํู ละเป็นกลํมุ ครอบครวั กนิ พวกสัตว๑ เชนํ แมลง สัตว๑เลื้อยคลาน กบ เขียด หอย ปลา กง๎ุ และพวกพชื เมลด็ ขา๎ วและยอดหญา๎ อํอน ทาํ รงั วางไขํในฤดฝู นราวเดอื นมถิ นุ ายน ปกตวิ างไขํ จาํ นวน 2 ฟอง พอํ แมํนกจะเลย้ี งดูลูกอกี เป็นเวลาอยาํ งนอ๎ ย 10 เดือน ท่อี ยูอ่ าศยั : ชอบอาศัยตามทุํงหญา๎ ที่ชื้นแฉะ และหนองบึงที่ใกลป๎ าุ เขตแพร่กระจาย : นกกระเรยี นชนิดยํอยนี้ มเี ขตแพรกํ ระจายจากแคว๎นอัสสัมในประเทศอินเดีย ประเทศพมาํ ไทย ตอนใตล๎ าว กมั พูชา เวียดนามตอนใต๎ ถงึ เมืองลูซุนประเทศฟิลปิ ปนิ ส๑ บางครง้ั พลัดหลงไปถงึ ประเทศมาเลเซยี และยงั มีประชากรอกี กลุํมหนึง่ ในรฐั ควนี แลนดป๑ ระเทศออสเตรเลยี สถานภาพ : นกกระเรียนเคยพบอยูทํ ั่วประเทศ ครงั้ สดุ ท๎ายเมอ่ื ปี พ.ศ.2507 พบ 4 ตวั ทวี่ ัดไผํล๎อม จงั หวัดปทุมธานี จากนน้ั มรี ายงานทไี่ มํยืนยันวาํ พบนกกระเรียน 4 ตัว ลงหากินในทงํุ นาอําเภอขขุ นั ธ๑ จังหวัดศรี สะเกษ เมือ่ เดอื นมกราคม พ.ศ.2528 14. นกแตว้ แล้วทอ้ งดา สถานปี ศุสัตว๑
192 นกแตว๎ แลว๎ ทอ๎ งดํา ทีม่ า : http://tryanimal.blogspot.com/p/blog-page_73.html ชื่อสามญั : Gurney's Pitta ช่อื วิทยาศาสตร์ : Pitta gurney ช่อื อ่ืน : _ ลักษณะ : เปน็ นกขนาดเล็ก ลาํ ตวั ยาว 21 เซนตเิ มตร จดั เปน็ นกทีม่ ีความสวยงามมาก นกตวั ผมู๎ สี วํ น หัวสีดาํ ท๎ายทอยมีสีฟาู ประกายสดใส ดา๎ นหลงั สีนํ้าตาลติดกบั อกตอนลําง และตอนใตท๎ ๎องทม่ี ดี ําสนิท นกตวั เมียมีสสี ดใสนอ๎ ยกวาํ โดยทัว่ ไปสีลําตวั ออกนาํ้ ตาลเหลือง ไมมํ แี ถบดาํ บนหน๎าอกและใต๎ท๎อง นกอายุนอ๎ ยมีหวั และคอสนี ้าํ ตาลเหลือง สวํ นอกใต๎ท๎องสนี าํ้ ตาล ทัว่ ตัวมีลายเกล็ดสีดํา อปุ นสิ ัย : นกแตว๎ แลว๎ ท๎องดาํ ทาํ รังเป็นซมุ๎ ทรงกลม ด๎วยแขนงไมแ๎ ละใบไผํ วางอยํูบนพน้ื ดนิ หรอื ในกอ ระกํา วางไขํ 3-4 ฟอง ท้ังพํอนกและแมนํ ก ชวํ ยกนั กกไขแํ ละหาอาหารมาเล้ียงลูก อาหารไดแ๎ กํหนอนดว๎ ง ปลวก จง้ิ หรดี ขนาดเลก็ และแมลงอน่ื ๆ ทีอ่ ยู่อาศยั : นกแต๎วแลว๎ ท๎องดาํ ชนดิ น้ีพบอาศัยอยํเู ฉพาะในบรเิ วณปุาดงดิบตาํ่ เขตแพรก่ ระจาย : พบต้ังแตํตอนใต๎ของประเทศพมํา ลงมาจนถึงเขตรอยตอํ ระหวาํ งประเทศไทย กบั ประเทศมาเลเซีย สถานภาพ : เคยพบชุกชมุ ในระยะเมื่อ 80 ปีกํอน แตํไมมํ รี ายงานทางวทิ ยาศาสตรเ๑ ลยตั้งแตปํ ี พ.ศ.2495 จนมีรายงานพบครงั้ ลาํ สุดเมื่อเดอื นมิถุนายน พ.ศ. 2531 นกแตว๎ แล๎วท๎องดํา ได๎รบั การจัดใหเ๎ ป็น สัตว๑ชนดิ ท่ีหายากชนดิ หนึ่งในสบิ สองชนดิ ท่ีหายากของโลก สาเหตุของการใกลจ้ ะสูญพันธุ์ : นกชนดิ น้ี จัดเป็นสตั ว๑ทอี่ าศยั อยูํเฉพาะในปาุ ดงดิบตํ่า ซ่งึ กําลังถูกตดั ฟนั อยํางหนัก และสภาพทอ่ี ยเูํ ชนํ นีม้ นี ๎อยมากในบริเวณเขตคม๎ุ ครองในภาคใต๎ นอกจากน้ี เน่ืองจากเป็นนกทีห่ า ยากเป็นท่ีตอ๎ งการของตลาดนกเลย้ี ง จงึ มีราคาแพง อนั เปน็ แรงกระต๎ุนให๎นกแตว๎ แล๎วทอ๎ งดาํ ถูกลํามากยงิ่ ขึ้น 15. นกเจา้ ฟาู หญงิ สริ ินธร สถานปี ศุสัตว๑
193 นกเจา๎ ฟาู หญิงสิรนิ ธร ทีม่ า : http://pottercc.blogspot.com/2013/11/blog-post_13.html ชอื่ สามญั : White-eyed River-Martin ชือ่ วิทยาศาสตร์ : Pseudochelidon sirintarae ชอื่ อืน่ : นกเจา้ ฟูา ลกั ษณะ : นกนางแอนํ ทม่ี ีลาํ ตัวยาว 15 เซนติเมตร สีโดยทั่วไปมีสีดําเหลือบเขียวแกมฟาู โคนหางมี แถบสขี าว ลกั ษณะเดนํ ไดแ๎ กํ มีวงสขี าวรอบตา ทําใหด๎ ูมดี วงตาโปนโตออกมา จึงเรียกวํานกตาพอง นกทีโ่ ตเตม็ วัย มีแกนขนหางคูกํ ลางยน่ื ยาวออกมา 2 เสน๎ อปุ นสิ ัย : แหลงํ ผสมพนั ธ๑วุ างไขํ และที่อาศัยในฤดูร๎อนยังไมทํ ราบ ในบรเิ วณบึงบอระเพ็ด นกเจา๎ หญงิ สิรินธรจะเกาะนอน อยใูํ นฝูงนกนางแอนํ ชนิดอนื่ ๆ ทเี่ กาะอยูํตามใบอ๎อ และใบสนุํนภายในบึงบอระเพ็ด บางครัง้ กพ็ บอยูใํ นกลุมํ นกกระจาบ และนกจาบปีกออํ น กลํุมนกเหลํานีม้ ีจาํ นวนนับพนั ตวั อาหารเชอ่ื ได๎วํา ได๎แกแํ มลงทีโ่ ฉบจับได๎ในอากาศ ทอ่ี ย่อู าศัย : อาศยั อยํตู ามดงออ๎ และพชื นาํ้ ในบริเวณบึงบอระเพด็ เขตแพร่กระจาย : พบเฉพาะในประเทศไทย พบในชํวงเดือนพฤศจิกายนจนถงึ เดือนมีนาคม ซึง่ เป็น ชํวงฤดูหนาว สถานภาพ : นกชนิดนส้ี ํารวจพบครั้งแรกในประเทศไทยเมอ่ื ปี พ.ศ.2511 จังหวดั นครสวรรค๑ หลังจาก การคน๎ พบครงั้ แรกแล๎วมรี ายงานพบอกี 3 ครง้ั แตํมเี พยี ง 6 ตัวเทาํ นนั้ นกเจา๎ ฟูาหญิงสิรินธร เป็นสตั วป๑ าุ สงวน ตามพระราชบญั ญัติสงวนและคุม๎ ครองสัตว๑ปุา พ.ศ.2535 สาเหตุของการใกลจ้ ะสูญพันธ์ุ : นกเจา๎ ฟูาหญงิ สิรนิ ธร เป็นนกทสี่ ําคญั อยาํ งยิ่งในด๎านการศกึ ษา ความสัมพันธข๑ องนกนางแอนํ เพราะนกชนิดที่มีความสมั พันธก๑ ับนกเจ๎าฟูาหญิงสริ ินธรมากทส่ี ดุ คอื นกนางแอนํ คองโก (Pseudochelidon euristomina ) ทีพ่ บตามลาํ ธารในประเทศซาอีร๑ ในตอนกลางของแอฟริกา ตะวันตก แหลํงที่พบนกทงั้ 2 ชนดิ นี้หํางจากกันถงึ 10,000 กิโลเมตร ประชากรในธรรมชาตขิ องนกเจ๎าฟูาหญงิ สิรินธรเชอ่ื วํามีอยูนํ ๎อยมาก เพราะเปน็ นกชนิดที่โบราณท่ีหลงเหลอื อยใูํ นปัจจบุ ัน แตลํ ะปใี นฤดูหนาวจะถกู จบั ไปพรอ๎ มๆกับนกนางแอนํ ชนดิ อน่ื นอกจากนี้ที่พกั นอนในฤดหู นาว คือ ดงออ๎ และพืชน้ําอ่นื ๆท่ีถูกทาํ ลายไปโดย การทําการประมง การเปลย่ี นหนองบึงเป็นนาข๎าว และการควบคุมระดบั นํา้ ในบึงเพ่ือการพัฒนาหลายรปู แบบ สง่ิ เหลํานกี้ ํอให๎เกิดผลเสยี ตอํ การคงอยขูํ องพชื น้ํา และตํอนกเจ๎าฟูาหญิงสริ นิ ธรมาก 8.2 การอนุรกั ษ์สตั ว์ปาุ ทาได้โดยหลักการดาเนนิ งาน 5 ประการ ดังน้ี สถานีปศุสัตว๑
194 1. ออกกฎหมาย คอื การออกกฎหมายควบคุมคุ๎มครองปอู งกันสัตว๑ปุา มิให๎ลดจํานวนน๎อยลงหรือสูญ พนั ธ๑ไุ ป เป็นการควบคมุ การใช๎ทรพั ยากรธรรมชาติสัตว๑ปาใหม๎ ีผลประโยชนต๑ ํอสํวนรวมและประเทศชาติมาก ทส่ี ดุ ซึ่งในประเทศไทยเราก็มพี ระราชบัญญตั ิสงวนและค๎มุ ครองสตั ว๑ปุา พ.ศ. 2503 ซึ่งประกอบดว๎ ยกฎเกณฑ๑ ขอ๎ บงั คบั ระเบียบการตาํ งๆ เก่ยี วกบั การค๎าสัตว๑ปาุ การคา๎ ซากสัตว๑ปา การลาํ สัตวป๑ าุ ระยะเวลาและวิธกี ารลํา หรือการจับสตั ว๑ การครอบครองสัตวป๑ ุาและซากของสตั ว๑ปาุ วธิ ีการปฏิบัตติ ามกฎหมาย การควบคมุ การสงํ สัตว๑ ปาุ ออกนอกราชอาณาจักร การกาํ หนดโทษผูฝ๎ ุาฝืนเก่ยี วกบั ผกู๎ ระทาํ ผิดกฎหมาย 2. การควบคุมศัตรูสตั ว๑ เพื่อเปน็ การปูองกันสัตว๑ปุาถกู ทาํ ลาย หรอื ปอู งกันมิให๎สตั วเ๑ ลีย้ งเขา๎ ไปอยํู รํวมกับสัตวป๑ าุ อันจะทาํ ให๎เกดิ โรคระบาดหรอื ทําลายทีอ่ ยํอู าศัยของสัตวป๑ ุา 3. การจดั ต้งั เขตรกั ษาพนั ธ๑ุสตั ว๑ปุา หรือการสงวนแหลํงทอ่ี ยํอู าศัยของสตั วป๑ าุ เปน็ การจดั พนื้ ทป่ี ุางาํ ย ปลอดภยั และสตั ว๑ปาุ มโี อกาสขยายพนั ธเ๑ุ พิ่มข้ึน เชํน จัดตง้ั เขตรกั ษาพนั ธุ๑สตั วป๑ าุ เขตหา๎ มลาํ สตั ว๑ปุา การจดั ตง้ั ก็อาศยั กฎหมาย สาํ หรับการจดั ต้งั เขตรกั ษาพนั ธุส๑ ตั ว๑ปาุ กเ็ พื่อให๎สัตวป๑ ุาไดอ๎ าศัยอยูอํ ยํางปลอดภัย มโี อกาส ขยายพันธุ๑ตามธรรมชาติเพมิ่ ขนึ้ และสัตว๑ปุาบางสํวนจะกระจายจาํ นวนไปอาศัยอยูใํ นพ้นื ที่ขา๎ งเคยี ง การจดั ต้งั เขตรกั ษาพนั ธ๑ุสตั ว๑ปุา นอกจากจะจัดตง้ั เพื่อค๎มุ ครองสัตวโ๑ ดยท่วั ไปแลว๎ บางสํวนยังจัดขึ้นเป็นพเิ ศษ คอื คม๎ุ ครอง ปอู งกันมใิ หส๎ ัตวป๑ ุาที่หาได๎ยากบางชนดิ ตอ๎ งสญู พนั ธุ๑ไปภายในเขตอนุรักษ๑สตั ว๑ปุา กจ็ ัดให๎มีการควบคมุ ปอู งกัน การปรบั ปรุงแหลํงอาหารของสตั ว๑ ฯลฯ เปน็ ต๎น 4. ขยายพนั ธ๑สุ ัตว๑ปุาใหเ๎ พ่ิมขึ้น โดยวิธีการตัง้ ฟาร๑มเพาะเลีย้ งสตั ว๑ปาุ โดยจะได๎มกี ารผสมพนั ธต๑ุ าม ธรรมชาติ หรือจดั ใหม๎ กี ารผสมเทียม สาํ หรับสัตว๑ทหี่ าไดย๎ าก การจัดต้ังฟารม๑ เพาะเลยี้ งยํอมทําให๎สตั วป๑ ุาบาง ชนิดท่ีมคี วามสําคญั ทางเศรษฐกิจ ก็จะเป็นประโยชนต๑ อํ ประเทศชาติ โดยเฉพาะในดา๎ นการค๎า 5. การปรับปรงุ ทีอ่ ยํูอาศัยของสัตวป๑ ุา หรือ (Biological Values) การปรับปรุงแหลงํ นาํ้ ที่หลบภัย การปลูกอาหารสัตว๑เพิ่มเตมิ หรอื การปรับปรุงสภาพปุาใหม๎ ีอาหารสตั ว๑เพิ่มเติม เชนํ การทาํ แหลงํ นํ้าการตัด วัชพชื ไมพ๎ ้ืนลํางในปุาออกให๎มพี ืชชนิดอื่นท่ีเปน็ อาหารสัตว๑ ข้ึนอยูํและจดั ใหม๎ กี ารควบคุมพืน้ ท่นี ้ัน เพ่อื ท่จี ะให๎มี การดาํ เนนิ งานอนุรกั ษส๑ ัตว๑ปาุ สําเรจ็ ตามความมงุํ หมายท่ีใหท๎ รัพยากรธรรมชาติ สตั ว๑ปุาคงมอี ยํูตลอดไปกโ็ ดย ปฏิบตั ิตามหลกั การทั้งห๎าประการดงั กลําวแล๎ว 8.3 หนว่ ยงานของสานักงานอนรุ กั ษส์ ตั วป์ ุา สถานีปศสุ ตั ว๑
195 8.3.1 เขตรักษาพันธุ์สัตว์ปุา หมายถึง พื้นที่ท่ีกําหนดขึ้นเพื่อให๎เป็นท่ีอยํูอาศัยของสัตว๑ปุาโดย ปลอดภยั เพ่อื วาํ สตั ว๑ปุาในพน้ื ท่ดี งั กลําวจะไดม๎ โี อกาสสืบพันธุแ๑ ละขยายพันธตุ๑ ามธรรมชาติไดม๎ ากข้ึน ทําให๎สัตว๑ ปุาบางสํวนได๎มีโอกาสกระจายจํานวนออกไปในท๎องท่ีแหลํงอ่ืนๆ ท่ีอยํูใกล๎เคียงกับเขตรักษาพันธุ๑-สัตว๑ปุา การกําหนดให๎มีเขตรักษาพันธสุ๑ ัตว๑ปุา สืบเน่ืองมาจากการท่ีสัตว๑ปุาจะสามารถดํารงชีพและสืบเช้ือสาย ตํอไปได๎ จําเป็นต๎องอาศัยปัจจัยท่ีสําคัญ ได๎แกํ แหลํงนํ้า แหลํงอาหาร แหลํงหลบภัย ปุาไม๎เป็นแหลํงกําเนิด ปัจจัยดังกลําว ซึ่งดูยิ่งจะเพิ่มความสําคัญ และจําเป็นอยํางย่ิงตํอสัตว๑ปุา เม่ือปุาไม๎ถูกทําลายลงสัตว๑ปุาก็ต๎อง ตํอสู๎กันเพ่ือแกํงแยํงแหลํงนํ้า แหลํงอาหารท่ีมีจํากัด ทําให๎สัตว๑ปุามีสุขภาพอํอนแอและล๎มตายไปมาก ขณะ เดียวกับมนุษย๑มีการพัฒนาอาวุธปืนและอุปกรณ๑ตํางๆ ที่ใช๎สําหรับการลําสัตว๑ปุาให๎มีประสิทธิภาพมากขึ้น เหลําน้ีเป็นสาเหตุให๎สัตว๑ปุาถูกทําลายไปได๎โดยงําย ทําให๎สัตว๑ปุาบางชนิดปริมาณลดลงอยํางรวดเร็ว จนบาง ชนิดเกือบสูญพนั ธุ๑หรือบางชนิดก็ได๎สูญพันธุ๑ไปแล๎ว ด๎วยเหตุน้ีจึงไดม๎ ีการพยายามสงวนและรักษาปุาไม๎ไว๎ เพ่ือ เป็นแหลํงทอ่ี ยูอํ าศยั ของสัตว๑ปุา ในรปู แบบของเขตรักษาพันธุส๑ ตั วป๑ ุา การพจิ ารณาเลือกพนื้ ทเ่ี พ่ือการจดั ตง้ั เขตรักษาพันธสุ์ ัตวป์ ุา ในการพจิ ารณาเลือกพนื้ ท่เี พ่อื การจัดต้ังเขตรกั ษาพันธุ๑สัตว๑ปุา อาศยั หลักการทส่ี ําคญั ในการพิจารณาดังนี้ 1. เปน็ บรเิ วณทมี่ ีสัตวป๑ าุ ชุกชุมและมสี ัตว๑ปาุ ชนิดทีห่ าได๎ยาก หรอื กําลังจะสูญพนั ธ๑ุอาศัยอยํู 2. เปน็ บรเิ วณที่มแี หลํงน้ําแหลงํ อาหารและท่ีหลบภัยของสตั วป๑ าุ เพียงพอ 3. เป็นพ้ืนทป่ี ุาไมท๎ อี่ ยหูํ ํางไกลจากชมุ ชนพอสมควร 4. มสี ภาพปุาหลายลักษณะอยูํในผืนเดยี วกนั เปน็ ตน๎ วาํ มที ง้ั ปาุ ดงดบิ ปาุ เบญจพรรณ ทุํงหญ๎า ฯลฯ ซึ่ง จะทําให๎มีความหลากหลายทางพชื และสัตว๑ปาุ สูง 5. จะต๎องเปน็ พ้นื ทีท่ ี่ไมอํ ยใูํ นกรรมสทิ ธห์ิ รือครอบครองโดยชอบด๎วยกฎหมายของบคุ คลใด รายช่ือเขตรกั ษาพันธ์ุสตั ว์ปาุ ในประเทศไทย มีทง้ั หมด 57 แหํงของไทย ซง่ึ แบํงเปน็ ภมู ภิ าค ดังน้ี ภาคกลาง มี 13 แหํง ไดแ้ ก่ ลาดบั ท่ี เขตรักษาพันธสุ์ ตั วป์ าุ จงั หวดั เนอ้ื ท(่ี ไร)่ 1 สลักพระ กาญจนบุรี 536,594.00 2 เขาสอยดาว จนั ทบุรี 465,602.00 3 หว๎ ยขาแขง๎ อทุ ัยธานี ตาก 1,737,587.00 4 ทํุงใหญํนเรศวรดา๎ นตะวนั ออก กาญจนบุรี ตาก 2,279,500.00 และตะวนั ตก 5 ชลบุรี 90,437.00 เขาเขยี ว-เขาชมภูํ สถานปี ศุสตั ว๑
6 เขาอํางฤาไน ฉะเชงิ เทรา สระแกว๎ 196 จนั ทบรุ ี ชลบรุ ี ระยอง 7 ภเู ม่ยี งและภทู อง อุตรดิตถ๑ พิษณุโลก 674,352.00 8 แมนํ า้ํ ภาชี 9 เขาสนามเพรียง ราชบุรี 435,320.00 0 ซบั ลงั กา กําแพงเพชร 305,820.00 11 ตะเบาะ-ห๎วยใหญํ 63,125.00 12 คลองเครอื หวาย ลพบรุ ี 96,875.00 13 ภผู าแดง เพชรบรู ณ๑ ชยั ภมู ิ 408,707.00 ภาคเหนือ มี 19 แหํง ไดแ้ ก่ 165,796.00 จนั ทบรุ ี 146,845.00 ลาดบั ที่ เขตรักษาพนั ธสุ์ ตั ว์ปาุ เพชรบรู ณ๑ 1 ลํุมนา้ํ ปาย เนือ้ ท(ี่ ไร่) 2 แมํต่นื จังหวดั 738,085.00 3 เชยี งดาว แมํฮอํ งสอน 733,125.00 4 สาละวนิ 325,625.00 5 ดอยผาเมอื ง ตาก 546,875.00 6 ดอยผาชา๎ ง เชียงใหมํ 364,449.00 7 อมก๐อย แมฮํ อํ งสอน 356,926.00 8 ดอยหลวง ลําพนู ลาํ ปาง 765,000.00 9 แมํยวมฝ่งั ขวา พะเยา นําน 60,625.00 10 อุ๎มผาง เชยี งใหมํ ตาก 182,500.00 11 1,619,280.00 12 แมํเลา-แมแํ สะ แพรํ 321,250.00 13 เวียงลอ แมฮํ อํ งสอน 231,875.00 14 แมจํ ริม 412,500.00 15 สนั ปนั แดน ตาก 173,125.00 16 เชียงใหมํ แมฮํ ํองสอน 146,875.00 17 ลําน้าํ นํานฝ่ังขวา 121,250.00 18 สะเมงิ พะเยา 291,610.00 19 อตุ รดติ ถ๑ 213,171.00 ดอยเวียงหลา๎ แมฮํ ํองสอน 320,197.00 ถํ้าเจา๎ ราม แพรํ อุตรดิตถ๑ นา้ํ ปาด เชียงใหมํ แมฮํ ํองสอน สโุ ขทยั ลาํ ปาง อุตรดิตถ๑ สถานปี ศสุ ัตว๑
ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ มี 11 แหํง ไดแ้ ก่ 197 ลาํ ดบั ท่ี เขตรกั ษาพันธ๑ุสัตวป๑ ุา จังหวดั เนอ้ื ที่(ไร)ํ ชยั ภูมิ 975,000.00 1 ภเู ขียว เลย 560,593.00 หนองคาย 116,562.00 2 ภหู ลวง อบุ ลราชธานี 140,845.00 ศรสี ะเกษ 197,500.00 3 ภวู ัว มุกดาหาร กาฬสินธุ๑ 189,541.00 ศรีสะเกษ 237,500.00 4 ยอดโดม สุรนิ ทร๑ 313,750.00 บรุ รี ัมย๑ 195,486.00 5 พนมดงรกั ชัยภูมิ 118,403.00 เลย 145,285.00 6 ภสู ีฐาน เนอ้ื ท่ี(ไร)ํ 7 หว๎ ยศาลา 331,456.00 722,067.00 8 ห๎วยทบั ทัน-หว๎ ยสําราญ 791,847.00 113,721.00 9 ดงใหญํ 95,988.00 10. ผาผึ้ง 415,620.00 11 ภูค๎อและภกู ระแต 196,875.00 ภาคใต๎ มี 14 แหงํ ไดแ้ ก่ 124,275.00 305,000.00 ลาํ ดับท่ี เขตรกั ษาพนั ธุ๑สตั ว๑ปุา จังหวัด 97,700.00 211,650.00 1 คลองนาคา ระนอง สุราษฎรธ๑ านี 270,725.00 290,000.00 2 คลองแสง สรุ าษฎร๑ธานี 138,712.50 3 เขาบรรทดั ตรัง พัทลุง สตูล สงขลา 4 โตนงาชา๎ ง สงขลา สตูล 5 คลองพระยา กระบี่ สรุ าษฎรธ๑ านี 6 อทุ ยาน เสดจ็ ในกรมและกรมหลวง ประจวบครี ีขนั ธ๑ ชุมพร (ทศิ เหนอื ) 7 อทุ ยาน เสดจ็ ในกรมและกรมหลวง ชมุ พร ระนอง ชมุ พร (ทศิ ใต๎) 8 เฉลมิ พระเกียตสมเดจ็ พระเทพฯ นราธิวาส 9 คลองยัน สุราษฎรธ๑ านี 10 เขาประ-บางคราม กระบี่ ตรัง 11 ทํุงระยะ-นาสกั ระนอง ชุมพร 12 ฮาลา-บาลา นราธวิ าส ยะลา 13 ควนแมํยายหมอํ น ชมุ พร ระนอง 14 โตนปรวิ รรต พงั งา สถานีปศุสตั ว๑
198 โดยที่มเี ขตรกั ษาพนั ธุส๑ ตั ว๑ปาุ อกี 3 แหงํ กําลงั รอประกาศข้นึ ทะเบียน คอื 1. เขตรกั ษาพนั ธส๑ุ ัตวป๑ าุ บณุ ฑริก-ยอดมน จงั หวดั อุบลราชธานี 2. เขตรักษาพนั ธ๑สุ ตั วป๑ ุาภขู ัด จงั หวัดพิษณุโลก 3. เขตรกั ษาพนั ธ๑ุสตั ว๑ปาุ กะทูน จงั หวัดนครศรธี รรมราช 8.3.2 เขตห้ามลา่ สตั วป์ ุา หมายถึง อาณาบริเวณพืน้ ทที่ ่ที างราชการได๎กําหนดไวใ๎ หเ๎ ปน็ ทีท่ ส่ี ตั ว๑ปุา โดยเฉพาะสตั ว๑ปุาทห่ี ายาก หรือถกู คกุ คามไดอ๎ ยูํอาศยั ในพืน้ ที่นั้นได๎อยาํ งปลอดภัย สามารถดํารงพันธต๑ุ ํอไปได๎ ตามธรรมชาติ การจดั ตง้ั เขตห๎ามลําสัตว๑ปาุ เป็นมาตรการหน่ึงในการอนรุ ักษส๑ ัตว๑ปุา โดยวัตถปุ ระสงคใ๑ นการ จัดตง้ั เขตห๎ามลําสัตว๑ปุา มดี ังนี้ 1. คม๎ุ ครองอารักขาสตั วป๑ าุ ในพน้ื ทใ่ี ห๎ได๎รบั ความปลอดภยั 2. เพื่อรักษาและฟื้นฟสู ภาพธรรมชาตใิ หเ๎ หมาะสมเอื้อตอํ การดาํ รงชวี ิตของสัตวป๑ าุ 3. เพ่อื ให๎ประชาชนได๎รบั ประโยชน๑อยาํ งย่งั ยืนจากการอนรุ กั ษ๑สตั ว๑ปุาและระบบนิเวศในพ้ืนที่ ลักษณะของพน้ื ที่ทก่ี าํ หนดเป็นเขตห๎ามลําสตั วป๑ าุ ได๎ ได๎แกํ สถานทีท่ ีใ่ ชใ๎ นราชการ ที่สาธารณะ ประโยชน๑ หรอื ท่ีประชาชนใช๎ประโยชน๑รวํ มกัน และควรเป็นพ้นื ทีท่ ่มี ีสตั วป๑ ุามาอยูอํ าศัยชกุ ชุม หรอื มสี ัตว๑ปุาที่ หายาก หรอื สัตวป๑ ุาทอ่ี ยใูํ นภาวะทีถ่ ูกคุกคาม ซ่ึงควรมมี าตรการค๎ุมครองอยํางใกล๎ชดิ การกาํ หนดพ้ืนทีใ่ ดเปน็ เขตหา๎ มลําสตั วป๑ าุ ดาํ เนนิ การโดยอาศัยอาํ นาจตามความในมาตรา 42 แหํง พระราชบญั ญตั สิ งวนและคมุ๎ ครองสัตว๑ปุา พ.ศ.2535 ซ่ึงบญั ญตั ไิ ว๎ ดงั น้ี \"บริเวณสถานที่ท่ใี ชใ๎ นราชการ หรือใชเ๎ พ่ือสาธารณประโยชน๑ หรอื ประชาชนใช๎ประโยชน๑รํวมกันแหงํ ใด รัฐมนตรโี ดยความเหน็ ชอบของคณะกรรมการจะกาํ หนดให๎เปน็ เขตหา๎ มลําสัตว๑ปุาชนิดหรือประเภทใดก็ได๎ โดยประกาศในราชกจิ จานุเบกษา เมื่อไดม๎ กี ารประกาศของรฐั มนตรีกาํ หนดเขตห๎ามลําสัตวป๑ ุาชนิดหรือประเภท ใดแลว๎ หา๎ มมิให๎ผใ๎ู ดกระทาํ การตํอไปนี้ ลําสัตวป๑ ุา ชนดิ หรือประเภทน้นั เก็บหรอื ทําอนั ตรายแกํรงั ของสัตว๑ปุาซง่ึ หา๎ มมใิ หล๎ าํ นั้น ยดึ ถอื ครอบครองที่ดนิ หรอื ตดั โคํน แผว๎ ถาง เผา หรอื ทําใหน๎ ้ําในลําน้ํา ลําหว๎ ย หนอง บงึ ทวํ มทน๎ เหือดแหง๎ เป็นพิษ หรือเปน็ อันตรายตอํ สตั วป๑ าุ เวน๎ แตไํ ด๎รับอนุญาตเป็นหนังสือจากอธบิ ดี หรอื เมื่ออธิบดีได๎ ประกาศอนุญาตไว๎เป็นคราวๆ ในเขตหา๎ มลาํ สตั ว๑ปุาแหงํ หนึง่ แหงํ ใดโดยเฉพาะ ในกรณีที่พนกั งานเจา๎ หนา๎ ทห่ี รือ เจ๎าพนกั งานอนื่ ใดมีความจาํ เป็นตอ๎ งปฏิบตั ติ ามกฎหมายหรือปฏิบัตกิ าร เพือ่ ประโยชนใ๑ นการศึกษาหรอื วจิ ัย สถานีปศสุ ตั ว๑
199 ทางวิชาการในเขตห๎ามลาํ สัตวป๑ าุ พนกั งานเจ๎าหน๎าทีห่ รือเจ๎าพนกั งานน้นั ต๎องปฏบิ ตั ติ ามระเบยี บที่อธบิ ดี กําหนด โดยความเหน็ ชอบของคณะกรรมการ\" ขณะนไ้ี ด๎มกี ารประกาศเขตหา๎ มลาํ สัตวป๑ าุ ไปแล๎ว 56 แหงํ ท่ัวประเทศ และอยํรู ะหวาํ งการประกาศ อีก 7 แหงํ เขตหา๎ มลําสัตวป๑ ุาสวํ นใหญมํ กั อยูใํ กล๎กับแหลงํ ชุมชน การคมนาคมคอํ นขา๎ งสะดวก จึงมปี ระชาชน เขา๎ ไปใช๎ประโยชน๑ในรูปแบบตําง ๆ จํานวนมาก รายชือ่ เขตหา้ มล่าสัตวป์ าุ ในประเทศไทย มีทง้ั หมด 60 แหํงของไทย ซง่ึ แบงํ เป็นภูมภิ าค ดังนี้ ภาคกลาง มี 23 แห่ง ไดแ้ ก่ ลําดับท่ี เขตหา๎ มลาํ สัตวป๑ าุ จังหวัด เน้ือที่ 66,250 1 บงึ บอระเพ็ด นครสวรรค๑ 11,600 2 อาํ งเก็บนํา้ บางพระ ชลบุรี 74 77 3 วัดไผํลอ๎ มและวดั อัมพุวราราม ปทุมธานี 2,000 1,775 4 ถ้ําคา๎ งคาว-เขาชํองพราน ราชบุรี 27,200 1,268 5 บึงฉวาก สุพรรณบรุ ี ชยั นาท 92,500 56,250 6 ถาํ้ ผาทาํ พล พษิ ณุโลก 8,440 80,900 7 เขาคอ๎ เพชรบรูณ๑ 13,052 4,850 8 เขาประทับช๎าง ราชบรุ ี 11,370 47 9 วังโปุง-ชนแดน เพชรบรูณ๑ 106 358 10 อทุ ยานสมเด็จพระศรีนครินทร๑ กาญจนบรุ ี 100 25,937 11 เขาสมโภชน๑ ลพบุรี 622 1,500 12 เขาน๎อย-เขาประดํู พษิ ณโุ ลก 13 ถาํ้ ประทนุ อุทัยธานี 14 เขากระปุก-เขาเตาหม๎อ เพชรบรุ ี 15 คง๎ุ กระเบน จันทบุรี 16 วัดราษฎร๑ศรทั ธากะยาราม สมุทรสาคร 17 วัดถา้ํ ระฆงั -เขาพระนอน ราชบุรี 18 หนองนาํ้ ขาว พิษณุโลก 19 วดั ตาลเอน พระนครศรีอยธุ ยา 20 ถ้ําละว๎า-ถ้าํ ดาวดึงค๑ กาญจนบรุ ี 21 ชะอาํ เพชรบรุ ี 22 เขาเอราวัณ ลพบุรี สถานปี ศุสตั ว๑
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211