Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สถานีปศุสัตว์

สถานีปศุสัตว์

Published by shontisha kaewyata, 2021-08-26 06:51:03

Description: หนังสือเรียนรายวิชาหลักสูตรท้องถิ่น

Search

Read the Text Version

50 แสดงระบบ Harversian system ของกระดกู แขง็ ทมี่ า : Georce C.Kent and Larry Miller (1997) สถานีปศสุ ตั ว๑

51 บรรณานุกรม การเกษตรแบบผสมผสาน แนวทางการทําสวนเกษตรผสมผสาน ปลูกพชื ผสมผสาน ตามธรรมชาติ . (2557). ความรู้ท่วั ไปเร่อื งหมู . [ระบบออนไลน]๑ . สบื ค๎นเม่ือ 2 เมษายน 2559, แหลํงท่ีมา http://www.xn12ca4dscc8ayd2f.com/ความร๎เู ร่ืองหม/ู ชีววิทยาของแพะ. 2556. [ระบบออนไลน๑]. สบื คน๎ เมื่อ 2 เมษายน 2559, แหลงํ ทมี่ า http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:JSPphwAA_osJ:e- book.ram.edu/e-book/a/AT335/AT335-2.pdf+&cd=1&hl=th&ct=clnk&gl=th บทความดีดี มีสาระเวบ็ ไซทร๑ วบรวม บทความดีดี มีสาระ สาํ หรับทุกทํานท่ตี ๎องการสาระดี ด.ี (2554).โครงสร้างของระบบยอ่ ยอาหารของสัตวเ์ ลี้ยงลูกดว้ ยนมพวก วัว ควาย. [ระบบ ออนไลน๑]. สบื ค๎นเมื่อ 2 เมษายน 2559, แหลํงที่มา http://www.thaieditorial.com/ โครงสรา๎ ง ของระบบยอํ ยอาหารของสตั วเ๑ ลย้ี งลูกด๎วยนมพวก วัว ควาย/ ผศ. ประไพพรรณ สทิ ธกิ ลู .(2559).การผลติ สกุ ร.[ระบบออนไลน]๑ .สบื คน๎ เมอ่ื 2 เมษายน 2559, แหลงํ ท่มี า http://203.158.253.5/wbi/Professional%20&%20Technical/การผลิตสุกร/unit901.html. ระบบโครงร่าง The skeleton system. (ม.ป.ป). [ระบบออนไลน๑]. สืบค๎นเมอ่ื 2 เมษายน 2559, แหลงํ ทีม่ าhttp://webcache.googleusercontent.com/search?q= cache:qpaaC0W_pUsJ:seekun.net/physio7- skeleton1. doc+&cd=4&hl=th&ct=clnk&gl=th. วัว.(2559). [ระบบออนไลน๑]. สบื คน๎ เมอ่ื 2 เมษายน 2559, แหลงํ ท่มี า http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:EMIHFbGP5zwJ:vichakarn.tr iamudom.ac.th/comtech/studentproject/final54/832BioTec/bio/Website%2520(Digest ive)/Download/Cow.pdf+&cd=7&hl=th&ct=clnk&gl=th. ศนู ย๑กลางของคนรักกระตาํ ย. (2552) .ระบบทางเดนิ อาหารของกระต่าย (Alimentary canal). [ระบบ ออนไลน๑]. สืบคน๎ เมือ่ 2 เมษายน 2559, แหลํงท่มี า http://student.nu.ac.th/waynuka/rabbit/food/f1.html. สราวุธ สุธรี วงศ.๑ (2558).ระบบหมนุ เวียนเลือด.[ระบบออนไลน๑]. สบื คน๎ เมื่อ 2 เมษายน 2559, แหลงํ ที่มา http://www.krusarawut.net/wp/?p=11006. สถานปี ศสุ ตั ว๑

52 สวนสตั วด๑ สุ ติ . (2554) . กระตา่ ย.[ระบบออนไลน๑]. สบื ค๎นเม่อื 2 เมษายน 2559, แหลํงท่ีมา http://www.dusitzoo.org/product-กระตําย-196148-1.html. อรวมิ ล บญุ ค๎อม.(2556). พันธไุ์ ก.่ [ระบบออนไลน]๑ . สืบค๎นเมอ่ื 2 เมษายน 2559 , แหลงํ ทีม่ า http://onwimon.blogspot.com/p/blog-page.html. แหลํงเรยี นรูด๎ ๎านประมง.(2556).ระบบประสาทของปลา.[ระบบออนไลน]๑ . สบื ค๎นเม่อื 2 เมษายน 2559, แหลํงที่มา http://www.aquatoyou.com/index.php/2013-05-03-08-25-11/39-2013-02- 20-06-59-51/649-2013-05-06-10-37-29. แหลํงเรยี นรู๎ด๎านประมง.(2556).อวยั วะทีเ่ กี่ยวข้องกับการกินและการยอ่ ยอาหารของปลา.[ระบบออนไลน๑]. สืบคน๎ เมอื่ 2 เมษายน 2559 , แหลํงท่มี า http://www.aquatoyou.com/index.php/2013-05- 03-08-25-11/39-2013-02-20-06-59-51/645-organs-associated-with-eating-and-digestion- of-fish. Buffza. (2556) . ความหมาย ของควาย. [ระบบออนไลน๑]. สบื ค๎นเมอ่ื 2 เมษายน 2559 , แหลํงทีม่ า http://buffzaradio.com/article/7/what-is-buffalo . Winkkkwaing.(2555).การหายใจของสัตว.์ [ระบบออนไลน๑]. สืบคน๎ เม่ือ 2 เมษายน 2559 , แหลํงทมี่ า https://winkkkwaing.wordpress.com/2010/09/19/การหายใจของสัตว๑/ สถานีปศุสตั ว๑

53 บทท่ี 3 การสืบพันธุส์ ัตว์ การสืบพนั ธ์ุ (Reproduction) หมายถงึ กระบวนการที่ทําให๎เกดิ ส่ิงมชี ีวติ ตวั ใหมํขนึ้ มาจากสิ่งมีชวี ติ ชนดิ เดียวกนั โดยทสี่ งิ่ มีชวี ิตรนุํ ใหมทํ ี่เกิดข้ึนจะทดแทนสิง่ มีชวี ติ รนํุ เกําท่ีตายไป ทําใหส๎ ิ่งมีชวี ิตเหลือรอดอยํไู ด๎ โดยไมํสูญพนั ธุ๑ การสบื พนั ธุ๑มี 2 วธิ ี คอื การสืบพันธแุ๑ บบไมํอาศยั เพศ และการสืบพนั ธุ๑แบบอาศัยเพศ 3.1.การสืบพนั ธุ์แบบไมอ่ าศัยเพศ (asexual reproduction) เป็นการสืบพันธ๑ทุ ี่ไมํต๎องอาศัยเซลล๑สืบพนั ธุ๑ (sex cell) เป็นการสืบพนั ธ๑ุที่สร๎างหนํวยใหมํข้ึนมาจาก สิง่ มชี วี ิตเดิม อาจเกดิ ไดโ๎ ดยการจาํ ลองตัวเองของหนวํ ยพนั ธุกรรม การแบงํ นวิ เคลยี สแบบไมโตซีส หรือการแบงํ เซลล๑แบบ mitotic cell division หนํวยใหมํท่ีเกิดข้ึนมาจะมีลักษณะเหมือนตัวแมํทุกประการ การสืบพันธุ๑ แบบน้ีพบตั้งแตํสิ่งท่ีมีชีวิตที่ยังไมํเป็นเซลล๑ พวกเซลล๑เดียว และพวกหลายเซลล๑ไปจนถึงพืชชั้นสูงเป็นการ สืบพันธ๑ุที่งํายท่ีสุด พบในสัตว๑ชั้นต่ําท่ีไมํมีระบบสืบพันธุห๑ รือมีแตยํ ังไมํเจริญดี ทําได๎โดยการแบงํ ตวั จาก 1 เป็น 2 ได๎สิ่งมีชีวิตตัวใหมํท่ีมีลักษณะเหมือนเดิมทุกประการ แตํถ๎าส่ิงมีชีวิตเหลําน้ีไมํสามารถปรับตัวให๎เข๎ากับ สภาพแวดลอ๎ มทีเ่ ปลย่ี นแปลงได๎ ก็จะทาํ ให๎ตายและสญู พันธ๑ใุ นทีส่ ุด การแบํงตวั ของเซลล๑ ท่มี า : http://biology503.blogspot.com/2009/08/blog-post.html 3.1.1 การแตกหนอ่ (Budding) เป็นการสืบพันธ๑ุของสัตว๑ช้ันตํ่า โดยเมื่อเจริญเติบโตเต็มที่แล๎วจะมีการสร๎างเน้ือเย่ือข๎างลําตัวงอก ออกมา แล๎วเจรญิ เติบโตเปน็ ตวั เลก็ ๆ ที่มีอวยั วะตํางๆ เหมอื นตวั แมํ หลงั จากติดอยํูกับตวั แมํระยะหนึ่งก็จะหลุด ออกมาไปอยํูอิสระตามลําพัง สัตว๑ที่มีการสืบพนั ธ๑ุลักษณะนี้ได๎แกํ ไฮดรา หนอนตัวแบน ฟองน้ํา ปะการัง และ ส่ิงมีชีวิตเซลล๑เดียว (พวกโพรติสต๑) เชํน ยีสต๑ ไฮดราฟองน้ํา ในพืชชั้นสูงก็มีพวก ขิง ขํา กล๎วย หนํอไม๎ เปน็ ตน๎ -โพรตสิ ต์ หมายถงึ สง่ิ มีชีวิตเซลลเ๑ ดียวหรอื หลายเซลล๑ท่ีไมํอาจจัดเป็นพชื หรือสัตว๑ไดอ๎ ยํางชดั เจน เชํน เห็ด รา ยสี ต๑ โปรโตซัว ไวรสั สาหรํายสีเขียว สาหราํ ยสีเขียวแกมนา้ํ เงิน เป็นต๎น สถานปี ศุสัตว๑

54 -ไฮดรา (Hydra) เป็นสัตว๑ชั้นต่ําประกอบด๎วยเซลล๑หลายเซลล๑ มองเห็นได๎ด๎วยตาเปลํา ลําตัวคล๎าย เส๎นดา๎ ย มีขนาดประมาณ 0.5 - 1 มิลลิเมตร ยาวประมาณ 0.5 - 1 เซนตเิ มตร มีหนวดเป็นเส๎นยาว 4 - 12 เส๎นลําตัวสีขาวขุํน แตํบางชนิดมีสีเขียว ซึ่งเกิดจากสาหรํายสีเขียวท่ีอาศัยอยูํในตัวไฮดรา จึงทําให๎สามารถ สังเคราะห๑แสงได๎ อาหารของไฮดรา คือ ไรน้ําและตัวอํอนของแมลงในนํ้า ไฮดราสามารถสืบพันธุไ๑ ด๎ทั้งแบบไมํ อาศยั เพศและแบบอาศัยเพศ ดังน้ี การสบื พนั ธุ์แบบไม่อาศัยเพศของไฮดรา เมอ่ื ไฮดราเจริญเตบิ โตเตม็ วัย จะมกี ารสรา๎ งเนอื้ เยอ่ื ข๎างลาํ ตัวงอกออกมา แล๎วเจรญิ เตบิ โตเปน็ ไฮดรา ตัวเล็กๆ หลงั จากนน้ั กจ็ ะหลดุ ออกไปอยตูํ ามลาํ พังได๎เอง การสบื พันธแุ๑ บบนี้ เรียกวํา การแตกหนํอ(Budding) ไฮดรา ทีม่ า : http://biology503.blogspot.com/2009/08/blog-post.html การสืบพนั ธุ์แบบอาศยั เพศของไฮดรา ไฮดรามกี ารสบื พันธแุ๑ บบอาศยั เพศได๎ แตํเกดิ ข้ึนไมํบํอยนกั ซ่งึ จะเกิดขน้ึ ในกรณที อ่ี าหารไมสํ มบูรณ๑ ไฮดราจะมี 2 เพศอยํใู นตัวเดยี วกัน โดยมีรงั ไขํอยํขู า๎ งลําตวั ลกั ษณะเป็นปุมใหญเํ หนอื รงั ไขบํ รเิ วณใกล๎ๆ หนวด (Tentacle) จะมอี ัณฑะเป็นปุมเลก็ ๆ รงั ไขํจะผลติ เซลล๑ไขํ และอัณฑะจะผลติ เซลล๑อสุจิ โดยปกตไิ ขํและตวั อสุจิ จะเติบโตไมพํ รอ๎ มกนั จึงตอ๎ งผสมกบั ตวั อืน่ ตัวอสุจิจากไฮดราตวั หน่งึ จะวาํ ยนํ้าไปผสมกับไขํทส่ี ุกในรงั ไขขํ อง ไฮดราตวั อืน่ ไขทํ ีผ่ สมแลว๎ จะเป็นไซโกตซง่ึ จะเจรญิ เตบิ โตอยกูํ ับตัวแมํระยะหนง่ึ จึงจะหลุดออกไปจากตัวแมํ แล๎วเจรญิ เป็นไฮดราตวั ใหมํตํอไป สถานีปศุสัตว๑

55 3.1.2 การแบ่ง ตวั ออกเปน็ สอง (Binary Fission) เกิดข้ึนกับส่ิงมีชีวิตเซลล๑เดียว (พวกโพรติสต๑) ได๎แกํ อะมีบา พารามีเซียม ยูกลีนา และแบคทีเรีย การ สืบพันธ๑ุวิธีนี้เกิดข้ึนโดยการแบํงตัวจาก 1 เซลล๑เป็น 2 เซลล๑ โดยนิวเคลียสของเซลล๑จะแบํงตัวกํอน แล๎วไซ โทพลาซึมจะแบํงตามได๎เป็นตัวใหมํ 2 ตัว ซ่ึงแตํละตัวจะมีลักษณะเหมือนตัวเดิมทุกประการ เชํน - การแบงํ ตัวของอะมีบา การแบงํ ตวั ของ อะมีบา ทมี่ า : http://biology503.blogspot.com/2009/08/blog-post.html 3.1.3 พารธ์ ีโนเจเนซสิ (Parthenogenesis) เป็นการสืบพนั ธุ๑ไมํอาศัยเพศของแมลงบางชนิด เชํน ตั๊กแตนกิ่งไม๎ เพลีย้ ไรน้าํ ซึ่งตวั เมยี สามารถผลิต ไขํท่ีฟกั เป็นตวั ไดโ๎ ดยไมตํ ๎องมีการปฏสิ นธใิ นสภาวะปกติไขํของสัตว๑ดังกลําวจะฟักออกมาเปน็ ตัวเมยี เสมอ แตใํ น สภาวะทไ่ี มํเหมาะสมกับการดาํ รงชวี ิต เชนํ เกิดความแหง๎ แลง๎ หนาวเยน็ หรอื ขาดแคลนอาหาร ตัวเมียกจ็ ะผลิต ไขทํ ีฟ่ กั ออกเปน็ ทั้งตัวผูแ๎ ละตัวเมยี จากน้นั สัตว๑ตัวผแู๎ ละตวั เมยี เหลาํ นจ้ี ะผสมพันธก๑ุ ันแลว๎ ตัวเมียจะออกไขทํ มี่ ี ความคงทนตํอสภาวะท่ไี มเํ หมาะสมดงั กลําวได๎ ในผึ้ง มด ตํอ แตน กพ็ บวํามีการสบื พนั ธ๑ุแบบพาร๑ธโี นเจเนซิส ด๎วยเชนํ กนั โดยไขไํ มตํ อ๎ งมีการปฏสิ นธกิ ส็ ามารถฟักออกมาเปน็ ตัวได๎ ซง่ึ จะฟักออกมาเปน็ ตวั ผเ๎ู สมอ 3.1.4 การงอกใหม่ (Regeneration) พบในสัตว๑ช้นั ตํ่า ไดแ๎ กํ ปลาดาว พลานาเรีย ไสเ๎ ดอื นดนิ ปลิง ซแี อนนีโมนี การงอกใหมํเป็นการสร๎าง สวํ นของราํ งกายที่ขาดหายไป โดยสัตว๑เหลํานถี้ า๎ ราํ งกายถูกตัดออกเปน็ สํวน ๆ แตํละสวํ นจะสามารถงอกเปน็ สิ่งมีชีวิตตวั ใหมไํ ด๎ ดังนน้ั การงอกใหมนํ ี้จงึ ทาํ ให๎มีจาํ นวนสิ่งมชี ีวิตเพิม่ ข้นึ จากจํานวนเดมิ สถานีปศสุ ตั ว๑

56 3.1.5 การสร้างสปอร์ (Spore Formation) เป็นการสบื พันธุ๑ทเ่ี กิดจากการแบงํ นวิ เคลียสหลาย ๆ ครง้ั ตอํ จากนั้นไซโทพลาซึมจะแบํงตาม แลว๎ จะมี การสรา๎ งเย่ือก้ันเปน็ สํวน ๆ แตลํ ะสํวนจะมีนวิ เคลยี ส 1 อนั เรยี กวํา สปอร๑ (Spore) สตั ว๑ท่ีมกี ารสบื พันธ๑ุแบบน้ี ไดแ๎ กํ พลาสโมเดยี ม ซึ่งเปน็ สตั ว๑ทที่ ําใหเ๎ กดิ โรคไข๎มาลาเรีย 3.1.6 การขาดออกเปน็ ท่อน (Fragmentation) เป็นการสืบพันธ๑แุ บบไมํอาศัยเพศอีกแบบหน่งึ ของสง่ิ มชี วี ติ โดยเฉพาะพวกท่ีมีเซลล๑ตํอกันเปน็ เส๎นสาย โดยการหักเป็นทอํ นๆ แตลํ ะทอํ นที่หลุดไปกจ็ ะแบํงตัวแบบ Mitotic cell division ได๎เซลลใ๑ หมทํ ตี่ อํ กันเป็นเสน๎ สายเจริญตอํ ไป เชํน พวกหนอนตัวแบน สาหราํ ยทะเล 3.2. การสบื พนั ธุ์แบบอาศยั เพศ (sexual reproduction) เป็นการสบื พันธท๑ุ ีผ่ ลติ สง่ิ มีชวี ติ ใหมํข้นึ มาดว๎ ยการรวมตวั ของหนวํ ยพนั ธกุ รรมซึ่งอาจเกดิ จากสิ่งมีชวี ิต ตวั เดยี วกนั หรือคนละตวั ก็ได๎ หรอื เกิดจากการรวมตวั ของนวิ เคลียสของเซลลส๑ ืบพันธ๑ุ (sex cell or gamete) ซง่ึ จากการแบงํ ตัวของ germ line cell แบบ meiotic cell division การรวมตัวของเซลล๑สืบ พนั ธ๑ุเรยี กวํา ปฏสิ นธิ (fertilization) ไดน๎ ิวเคลียสใหมทํ เี่ ป็นdiploid ซึ่งเรยี กวาํ Zygote และ zygote ทไ่ี ด๎จะเป็นเซลล๑ เร่ิมตน๎ ของสงิ่ มีชีวิตรนุํ ตํอไป ไข่ (Egg) โดยท่ัวไปมลี ักษณะกลมหรือรี เคล่อื นที่ไมํได๎ ไขํของสัตวม๑ กั มอี าหารสะสมอยเํู พอ่ื เลยี้ งตัวอํอนทีอ่ ยูํ ภายในไขํ เชนํ ไขํแดงของไขํไกํและไขเํ ปด็ ไขํแดงซึง่ มเี ย่ือหมุ๎ อยูเํ ทยี บได๎กบั เซลล๑ 1 เซลล๑ สํวนจดุ กลมๆ ในไขํ แดง คอื นิวเคลยี ส เซลลไ๑ ขสํ วํ นมากมักจะมีส่งิ หํอหุม๎ เพอ่ื ปอู งกนั การกระทบกระเทือนจากส่งิ แวดลอ๎ ม เชนํ ไขํ กบมวี ุ๎นหมุ๎ ไขํเตําทะเลมีสิ่งทมี่ ีลักษณะเป็นเยอ่ื เหนยี วห๎มุ ไขํเป็ดและไขไํ กมํ ีเปลือกแขง็ หมุ๎ เปน็ ต๎น เซลล๑ไขํ ท่มี า : http://www.thaigoodview.com/files/u31928/ovum.jpg สถานีปศสุ ัตว๑

57 ตวั อสุจิ (Sperm) มีขนาดเล็กกวาํ ไขมํ าก มองดว๎ ยตาเปลาํ ไมเํ ห็นต๎องใชก๎ ล๎องจลุ ทรรศน๑สอํ งดจู งึ จะมองเหน็ ตัวอสุจิมี สํวนประกอบอยํู 3 สํวน คอื หวั (head) ลําตัว (body) และหาง (tail) สํวนหัวจะมีนิวเคลยี สเปน็ สวํ นประกอบ เคล่อื นที่โดยใช๎หาง ตวั อสจุ ิ ท่มี า : http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=1163900 ตัวอยํางเซลล๑อสุจิมีขนาดเล็กกวําไขํมากและมองไมํเห็นด๎วยตาเปลําและจะเคล่ือนที่ได๎เร็ว เพราะมี สํวนหางชํวยในการเคลื่อนที่เพ่ือสะดวกในการเข๎าผสมกับไขํตัวอสุจิจะมีขนาดเล็กกวําไขํมาก และมองไมํเห็น ดว๎ ยตาเปลํา และจะเคลื่อนท่ีได๎เร็ว เพราะมีสํวนหางชํวยในการเคล่ือนที่เพ่อื สะดวกในการเข๎าผสมกับไขํ เม่ือ สัตว๑โตเต็มท่ีและพร๎อมท่ีจะสืบพันธุ๑แล๎ว เพศเมียจะสร๎างไขํ เพศผู๎จะสร๎างอสุจิ ไขํและตัวอสุจิของสัตว๑แตํละ ชนดิ จะมขี นาดและจํานวนตํางๆกนั ไป โดยทวั่ ไปไขํจะมีลกั ษณะกลมหรือรี เคล่อื นทไ่ี มํได๎ และมกั มีอาหารสะสม อยํูเพื่อไว๎เล้ียงตัวอํอนที่อยูํภายใน เชํน ไขํแดงของไขํไกํ ไขํเป็ด นอกจากนี้ยังมีส่ิงหํอหุ๎มเพ่ือปูองกันการ กระทบกระเทอื นจากส่ิงแวดลอ๎ ม ซง่ึ อาจมลี กั ษณะเป็นวุ๎น เชํน ไขํกบ หรือมีลักษณะเปน็ เยื่อเหนียว เชํน ไขํเตํา ทะเล บางชนดิ มเี ปลือกแข็งหุม๎ เชนํ ไขเํ ป็ด ไขํไกํ ไขจํ ระเข๎ สถานีปศสุ ัตว๑

58 ไขํของสตั วช๑ นดิ ตํางๆ ท่มี า : http://www.atom.rmutphysics.com/charud/oldnews/0/286/8/biology/b57.jpg เม่ือตวั อสจุ ผิ สมกบั ไขจํ ะเกิด การปฏิสนธิ (Fertilization) ขึ้น การปฏสิ นธิ (Fertilization) แบํงออกเป็น 2 ชนดิ คอื 3.2.1 การปฏิสนธิภายใน (Internal Fertilization) ตวั อสุจิจากสัตวเ๑ พศผเู๎ ข๎าผสมกับไขซํ ึ่งยงั อยใํู นตัวของสัตวเ๑ พศเมยี ไดแ๎ กํ สัตว๑เล้ียงลกู ดว๎ ยนม สตั ว๑ปกี สตั ว๑เลื้อยคลาน แมลง ปลาท่ีออกลกู เปน็ ตัว เชํน ปลาเข็ม ปลาหางนกยงู ปลาฉลา, การสบื พันธ๑ขุ องสัตว๑เลย้ี งลกู ดว๎ ยน้ํานม ทม่ี า : http://www.thongthailand.com/private_folder/wildlife/lion4.jpg สถานปี ศสุ ตั ว๑

59 3.2.2 การปฏสิ นธิภายนอก (External Fertilization) การผสมระหวาํ งไขแํ ละตัวอสุจิภายนอกตวั ของสัตว๑เพศเมยี ได๎แกํ สัตว๑คร่งึ นาํ้ คร่ึงบก ปลาตําง ๆ และสตั ว๑นา้ํ ที่ ออกลูกเป็นไขทํ กุ ชนดิ การสืบพนั ธ๑ขุ องกบ ทม่ี า : http://www.atom.rmutphysics.com/charud/oldnews/0/286/8/biology/b60.jpg 3.3 การขยายพันธุ์สัตว์ ปัจจบุ ันนีค้ นเรารู๎จักใช๎เทคโนโลยเี ข๎ามาชวํ ยในการขยายพนั ธสุ๑ ัตว๑ เพอ่ื ใหส๎ ัตว๑มีจาํ นวนเพิ่มข้ึน และมี ปริมาณเพียงพอกบั ประชากรที่เพิม่ มากขึน้ รวมท้ังมีคุณภาพตามตอ๎ งการการขยายพนั ธส๑ุ ัตว๑เพื่อให๎ได๎ผลดีนั้นมี หลายวธิ ี เชนํ การคัดเลอื กพันธ๑ุ การผสมเทียม การถาํ ยฝากตวั อํอน การโคลน และพนั ธุวศิ วกรรม เปน็ ตน๎ 3.3.1.การคดั เลือกพันธุ์สตั ว์ การคัดเลือกพนั ธ๑ุ คือ การคัดเลือกสัตว๑ชนิดเดยี วกันที่มีลักษณะดีจํานวน 2 สายพนั ธ๑ุ มาผสมพันธุก๑ ัน ทําให๎ลูกท่ีเกิดมามีลักษณะดีเพิ่มมากขึ้น ซึ่งต๎องอาศัยความรู๎เร่ืองการถํายทอดทางพันธุกรรม แตํการคัดเลือก พันธ๑ตุ ๎องใชเ๎ วลานานกวาํ ปกติ กวําจะได๎สัตวท๑ มี่ ลี ักษณะตามที่ต๎องการ จดุ ประสงคข์ องการคดั เลือกพันธุ์สตั ว์ 1) เพ่ือให๎ได๎สัตว๑ที่ให๎ผลผลิตดีตามที่ต๎องการ เชํน ให๎ปริมาณเน้ือแดงมาก ให๎ปริมาณนํ้านมมาก มีไขํ ตก มไี ขมนั น๎อย เป็นตน๎ 2) เพ่อื นาํ สตั ว๑ไปใช๎เปน็ พอํ พันธห๑ุ รือแมพํ ันธ๑ุ 3) เพือ่ ใหไ๎ ด๎สัตวท๑ มี่ คี วามทนทานตํอสภาพดินฟูาอากาศ และโรคตาํ งๆ สถานปี ศุสัตว๑

60 4) เพื่อใหไ๎ ดส๎ ตั วพ๑ ันธใ๑ุ หมทํ มี่ ีคุณภาพดีกวาํ เดิม การคดั เลือกพันธุส๑ ตั ว๑ ทม่ี า : http://takanoex.exteen.com/images/001/P%20002.JPG 3.3.2.การผสมเทยี ม การผสมเทยี ม คอื การทาํ ให๎เกดิ การปฏิสนธใิ นสัตวโ๑ ดยไมํต๎องมีการรํวมเพศตามธรรมชาติ โดยมนุษย๑ เป็นผู๎ฉีดนํ้าเช้ือของสัตว๑ตวั ผู๎เข๎าไปในอวัยวะสืบพันธุ๑ของสัตว๑ตัวเมียที่กําลังเป็นสัด เพื่อให๎อสุจิผสมกับไขํทําให๎ เกดิ การปฏิสนธิ ซ่งึ เป็นผลใหต๎ วั เมยี ตัง้ ท๎องข้นึ การผสมเทียมสัตว๑ท่ีมีการปฏิสนธิภายภายในรํางกายนิยมทํากับสัตว๑ เชํน สุกร โค กระบือ แพะ เป็น ตน๎ มี 4 ขัน้ ตอนดังน้ี 1) การรีดน้าเชื้อ โดยการใช๎เครื่องมือชํวยกระต๎ุนให๎ตัวผ๎ูหล่ังน้ําเช้ือออกมา แล๎วรีดเก็บนํ้าเช้ือเอาไว๎ ซ่ึงต๎องคํานึงถึงอายุ ความสมบูรณ๑ของตัวผู๎ รวมทั้งระยะเวลาที่เหมาะสมและวิธีการซึ่งขึ้นอยูํกับชนิดของสัตว๑ นนั้ เอง 2) การตรวจคุณภาพนา้ เชือ้ นา้ํ เชือ้ ทร่ี ดี มาจะมกี ารตรวจดูปรมิ าณของตัวอสุจิและการเคลื่อนไหวของ ตวั อสุจดิ ๎วยกลอ๎ งจุลทรรศน๑ เพ่อื ตรวจดวู าํ ตวั อสุจิมคี วามแข็งแรงและมปี รมิ าณมากพอท่จี ะนําไปใช๎งานหรือไมํ 3) การเก็บรักษาน้าเช้ือ โดยจะเติมอาหารลงในน้ําเชื้อ เพ่ือให๎ตัวอสุจิได๎ใช๎เป็นอาหารตลอดการเก็บ รกั ษา และนํานา้ํ เช้ือไปเกบ็ ทอี่ ุณหภมู ติ าํ่ ซ่ึงมี 2 แบบคือ - น้าเชื้อสด เก็บในอณุ หภูมิ 15-20 องศาเซลเซียส จะสามารถเก็บได๎นาน 4-5 วัน แตํถ๎าเราเก็บท่ี อุณหภมู ิ 4-5 องศาเซลเซียส เก็บไดน๎ านถึง 1 เดอื น - น้าเชื้อแช่แข็ง โดยแชไํ ว๎ในไนโตรเจนเหลว อุณหภูมิ -196 องศาเซลเซียส สามารถเก็บไว๎นานหลาย ปี 4) การฉีดน้าเชื้อให้แม่พันธ์ุ การนาน้าเช้ือมาปรับสภาพปกติ แล๎วฉีดเข๎าไปในมดลูกของแมํพันธุ๑ที่ เตรียมไว๎ เพ่ือให๎เกดิ การปฏสิ นธแิ ละตัง้ ทอ๎ งตอํ ไป สถานปี ศุสตั ว๑

61 การผสมเทียมสตั ว์มี่มกี ารปฏสิ นธิภายนอกนยิ มทํากับสัตวจ๑ ําพวกปลา ไดแ๎ กํ ปลาบึก ปลาสวาย หอย และกุ๎ง มี 5 ข้นั ตอน ดังน้ี 1) คัดเลือกพ่อพันธุ์แมพ่ ันธป์ุ ลาที่สมบูรณ์ มนี ้าํ เชอื้ ดีและมีไขมํ ากจากปลาท่ีกําลังอยํูในวัยผสมพันธุ๑ได๎ 2) ฉดี ฮอรโ์ มนให้แม่ปลา เพอื่ เรงํ ให๎แมํปลามไี ขสํ ุกเรว็ ขึ้น ฮอร๑โมนที่ฉีดน้ีได๎จาการนําตํอมใตส๎ มองของ ปลาพันธุ๑เดียวกันซ่ึงเป็นเพศใดก็ได๎ นํามาบดให๎ละเอียดแล๎วผสมนํ้ากล่ันฉีดเข๎าที่บริเวณเส๎นข๎างลําตัวของแมํ ปลา 3) หลังจากฉีดฮอร์โมน ให๎แมํปลาแล๎วประมาณ 5-12 ช่ัวโมง แล๎วแตํชนิดและนํ้าหนักของแมํปลา ตํอจากนั้นจงึ รีดไขแํ ละนาํ้ เช้ือจากแมพํ นั ธแ๑ุ ละพํอพนั ธ๑ุท่เี ลือกไวใ๎ สํภาชนะใบเดียวกนั 4) ใช้ขนไก่คนไข่กับน้าเชื้อเบาๆ เพื่อคลุกเคล๎าให๎ท่ัว แล๎วใสํน้ําให๎ทํวม ทิ้งไว๎ประมาณ 1-2 นาที จึง ถํายท้ิงประมาณ 1-2 ครั้ง 5) นาไข่ที่ผสมแล้วไปพักในท่ีที่เตรียมไว้ ซึ่งตอ๎ งเป็นที่ที่มีน้ําไหลผํานตลอดเวลา เพื่อให๎ไขํลอยและ ปอู งกันการทบั ถมของไขํ ทิ้งไว๎จนกระทั่งไขํปลาฟักออกเป็นลูกปลาในเวลาตอํ มา การผสมเทียมปลา ทม่ี า : http://3.bp.blogspot.com/--qJOrkB2zR8/T6DkIEHEmEI/AAAAAAAAAHs/vtqMYhcfsCo/s1600/image002.gif ขอ้ ดีของการผสมเทยี ม 1.ไมํสนิ้ เปลอื งคําใช๎จํายในการเลีย้ งพอํ พนั ธ๑ุ 2.ประหยัดพํอพนั ธ๑ุ 3.ควบคุมใหส๎ ัตวม๑ ีลกู ได๎ตามต๎องการ และกาํ หนดระยะเวลาคลอดลูกได๎ 4.ปูองกันโรคตดิ ตํอและโรคระบาดที่เกิดขน้ึ ในการผสมพันธ๑ตุ ามธรรมชาติ 5.แก๎ปญั หาสัตวท๑ ่มี ีลกู ยาก 3.3.3.การถา่ ยฝากตวั อ่อน การถ่ายฝากตัวอ่อน ทําไดเ๎ ฉพาะสัตวเ๑ ล้ียงลูกด๎วยนํ้านม ท่ีออกลูกเพยี งคร้ังละ 1 ตวั โดยมีหลักการ คือ การนําตัวออํ นที่เกิดจากการปฏิสนธิระหวํางพํอพันธุ๑และแมํพันธุ๑ตัวให๎เพ่ือนําไปฝากไว๎ท่ีมดลูกของแมํพันธ๑ุ ตัวรับในระยะที่เป็นสัด หรือฉีดฮอร๑โมนเหนี่ยวนําให๎เป็นสัด แล๎วให๎แมํพันธุ๑ตัวรับตั้งท๎องและอุ๎มท๎องจนคลอด ลูก สถานปี ศุสัตว๑

62 การถาํ ยฝากตัวอํอนในโค ท่ีมา : http://www.suwattana.net/bio_technology/page11_clip_image002.jpg การถา่ ยฝากตวั ออ่ นประกอบดว้ ย 1.สัตว๑เพศเมียท่เี ป็นตวั ให๎ (donor) 2.ตวั รบั (recipients) ซึ่งมไี ด๎หลายตวั ตัวให้ จะเป็นแมํพันธุ๑ที่คัดเลือกไว๎ ซึ่งสัตว๑บางประเภท เชํนโค กระบือ จะตกไขํครั้งละ 1 ใบ แตํถ๎า ต๎องการให๎ตกไขํมากข้ึน ก็ต๎องใช๎ฮอร๑โมนกระตุ๎นรังไขํให๎สร๎างไขํได๎มากกวําปกติ ซึ่งจะทําให๎แมํพันธ๑ุมีไขํตก มากกวาํ คร้ังละ 1 ใบ เมื่อแมํพนั ธ๑ุสามารถตกไขํได๎ครั้งละหลายใบ ก็จะมีโอกาสผสมเปน็ ตัวอํอนไดห๎ ลายตวั ใน คราวเดียวกัน ตัวรบั เป็นสตั วเ๑ พศเมียท่ไี มํไดร๎ บั การเลือกเปน็ แมพํ ันธ๑ุ ตวั รับมีไดห๎ ลายตวั เพื่อรับตัวอํอนจากแมํพันธุ๑ ให๎มาเจริญเติบโตในมดลูกของตัวรับจนถึงกําหนดคลอด ตัวรับจะต๎องมีสภาพรํางกายท่ีเป็นปกติ มีมดลูกท่ี พร๎อมจะรับการฝังตัวของตัวอํอน ดังน้ัน ตัวรับมักจะเป็นพันธ๑ุพ้ืนเมืองเพราะจะแข็งแรงกวํา ในบางกรณีกํอน การถาํ ยฝากตัวอํอนอาจต๎องมีการฉดี ฮอรโ๑ มนให๎ตัวรบั เพ่ือเตรยี มสภาพของมดลกู ให๎พร๎อมทต่ี ัง้ ทอ๎ งตามปกติ ขอ้ ดีของการถ่ายฝากตัวอ่อน 1. ทําให๎ได๎ลูกจากพํอพนั ธุ๑และแมํพนั ธค๑ุ ูเํ ดยี วจาํ นวนมากในการผสมพนั ธ๑กุ นั เพียงครั้งเดียว 2. ชวํ ยประหยดั เวลาและคาํ ใชจ๎ ํายในการผลิตสตั ว๑ได๎เปน็ อยาํ งดี 3. สามารถเก็บรกั ษาตัวอํอนไว๎ได๎นานโดยการแชแํ ข็งซง่ึ สามารถท่ีจะนํามาใชถ๎ ํายฝากให๎กับตัวเมียอื่นๆ ได๎ทุกเวลาตามท่ตี ๎องการ 4. ทําใหไ๎ ด๎สตั วท๑ ี่มีลักษณะดตี ามความต๎องการในปริมาณมาก สถานีปศุสัตว๑

63 การผสมเทียม (Artificial insemination) เปน็ เทคโนโลยีทีน่ าํ มาใช๎กับการสืบพันธ๑ุแบบอาศัยเพศ ด๎วยหลกั การท่ีให๎ตวั อสุจิกับไขํไดผ๎ สมกันโดยไมํ ต๎องมีการรํวมเพศกันตามธรรมชาติ วิธีนี้ทําได๎โดยให๎มนุษย๑เป็นผู๎ฉีดเชื้ออสุจิของสัตว๑เพศผู๎เข๎าไปในอวัยวะ สืบพนั ธุ๑ของสัตว๑เพศเมียในระยะที่กําลังเปน็ สัด เพื่อให๎เกิดการปฏสิ นธิเปน็ ผลให๎เกิดการตั้งท๎องในสัตว๑เพศเมีย ได๎ ข้อดขี องการผสมเทยี มสตั ว์ มดี งั น้ี 1. ไดส๎ ัตวพ๑ นั ธุ๑ดตี ามความต๎องการ 2. ประหยัดน้ําเชื้อจากพํอพันธุ๑ เพราะสามารถใชน๎ ๎ายาละลายนา้ํ เชือ้ เพือ่ เพิม่ ปริมาณได๎ 3. ประหยัดคําใชจ๎ ํายในการเล้ียงพอํ พันธ๑ุ หรือการสง่ั ซือ้ พํอพนั ธุ๑จากตาํ งประเทศ และการขนสงํ พอํ พันธุไ๑ ปผสมพันธเุ๑ ปน็ ระยะทางไกลๆ 4. เปน็ การแกป๎ ญั หาการตดิ ลกู ยากและตกลูกผิดฤดูกาล การผสมเทียมในประเทศไทย เร่ิมทําการผสมเทียมโดยกรมปศุสัตว๑ ใน พ.ศ.2499 ได๎ส่ังซื้อพํอพันธุ๑จาก ตํางประเทศมารีดเก็บน้ําเช้ือ แล๎วสํงไปให๎สถานีผสมเทียมท่ัวประเทศ ปัจจุบันมีสถานีให๎บริการผสมเทียมโค กระบือ สุกร ท่ัวประเทศไทยจํานวน 465 หนํวย ซ่ึงเจ๎าหน๎าที่ประจําของแตํละหนํวยจะออกไปให๎บริการตํอ เกษตรกรในท๎องถิ่นท่ีสถานผี สมเทียมนนั้ ๆตั้งอยูํ สถานีผสมเทียมแหํงแรกของไทยตัง้ ขึ้นทจ่ี ังหวดั เชียงใหมํ นอกจากปศุสัตว๑จําพวกโค กระบือ และสุกรแล๎ว ยังสามารถใช๎วิธีผสมเทียมกับปลาตํางๆซึ่งเป็นสัตว๑ท่ีมี การปฏิสนธภิ ายนอกได๎อีกดว๎ ย เชํน การผสมเทียมปลาตะเพียนขาว ปลาสวาย ปลานิล ปลายี่สก ปลาดุก ปลา บึก จะเห็นไดว๎ าํ สามารถทาํ ได๎ท้งั ในปลาทีม่ ขี นาดเลก็ อยํางปลาดกุ จนถึงปลาทีม่ ีขนาดใหญํคอื ปลาบึก สถานปี ศสุ ัตว๑

64 ขั้นตอนการผสมเทยี มโค 1. สงั เกตอาการภายนอก โคทีเ่ ป็นสัดจะยนื นงิ่ ใหต๎ วั อื่นปนี ทับ มีเมือกใสไหลจากชอํ งคลอด อวัยวะเพศ บวมแดง การสังเกตอาการภายนอก ทม่ี า : http://biotech.dld.go.th/index.php/th/ 2. สวมถุงมือผสมเทียม ใช๎สารหลํอหล่ืน เชํนสบํู ถูถุงมือแล๎วล๎วงผํานทางทวารหนัก ล๎วงอุจจาระ ออกมาจากลําไสใ๎ หญํสํวนปลายใหห๎ มด ตรวจคลาํ ระบบสืบพนั ธ๑ุของแมํโควาํ แมโํ คเป็นสัดจริงหรือไมํ ใสถํ งุ มือแลว๎ ล๎วงผาํ นทางทวารหนัก ทมี่ า : http://biotech.dld.go.th/index.php/th/ 3. ล๎างบริเวณอวัยวะเพศภายนอกของแมํโคด๎วยน้ําให๎สะอาดและเช็ดทั้งด๎านนอกด๎านในให๎แห๎งด๎วย กระดาษทชิ ชู หรอื กระดาษฟาง การลา๎ งบริเวณอวัยวะเพศภายนอกของแมโํ ค ท่ีมา : http://biotech.dld.go.th/index.php/ สถานีปศุสัตว๑

65 4. ใช๎สําลีชุบแอลกอฮอล๑เช็ดปากคีบ (forceps) ให๎สะอาดกํอนใชค๎ ีบหลอดน้ําเช้อื ท่ีต๎องการออกจาก ถังสนาม แล๎วแชํนํ้าเชื้อลงในน้ําอํุนท่ีอุณหภูมิ 35-37 °C ทันทีนานเป็นเวลา 30 วนิ าที และเวลาต้ังแตํคีบ หลอดนาํ้ เชือ้ จนถึงแชลํ งในนา้ํ อุํน ไมํควรเกินกวาํ 3 วนิ าที การใชส๎ ําลชี บุ แอลกอฮอลเ๑ ชด็ ปากคีบ ท่ีมา : http://biotech.dld.go.th/index.php/th/ 5. เมอ่ื ละลายนํ้าเชอื้ ในนาํ้ อํุนครบ 30 วนิ าทีแลว๎ ใช๎ปากคีบคบี หลอดน้ําเช้อื ข้นึ มาเชด็ หลอดน้าํ เชอื้ ด๎วย กระดาษทชิ ชู หรอื สาํ ลใี หแ๎ ห๎งอยําให๎เหลือนํา้ ติดข๎างหลอด สะบดั หลอดนํา้ เช้อื ใหฟ๎ องอากาศไปอยดูํ ๎านทตี่ ีบ และตดั ดา๎ นที่ตบี โดยตัดระหวํางฟองอากาศ สอดหลอดน้ําเช้อื ด๎านที่ตดั เขา๎ ไปในพลาสติกชีท และดันตอํ เขา๎ ไป จนสุด หลอดน้าํ เช้อื จะล็อกกบั จุกสีเขยี วในพลาสติกชีท ดึงกา๎ นปืนออกมาจากตวั ปนื ประมาณ 1 คืบแล๎วสวม พลาสติกชีททม่ี หี ลอดนํ้าเชือ้ อยํภู ายในครอบปืนฉดี น้าํ เชอื้ ดนั ตัวปนื ไปจนสุดพลาสติคชที ใชว๎ งแหวนล็อคพลา สติคชีทให๎ติดปืน และลอ็ คใหแ๎ นนํ ข้ันการละลายนํา้ เช้อื ท่ีมา : http://biotech.dld.go.th/index.php/th/ สถานปี ศสุ ตั ว๑

66 6. ทดสอบน้ําเชื้อโดยกดก๎านปนื ให๎นํ้าเช้ือปร่ิมออกมาที่ปลายหลอดเล็กน๎อย เพื่อมั่นใจวําหากทําการ ผสมเทียม นํ้าเช้ือจะไหลออกไปด๎านนอก ไมํไหลย๎อนกลับเข๎าในพลาสติกชีท สวมแซนนิตารีชีทห๎ุมปืนท้ังหมด อีกช้ันหนึง่ การทดสอบนํ้าเช้ือโดยกดก๎านปืน ที่มา : http://biotech.dld.go.th/index.php/th/ 7. สวมถุงมือใชน๎ ้ิวหัวแมํมือและน้ิวช้ี เปิดถํางอวัยวะเพศแมํโคให๎กว๎างที่สุดและสอดปืนผํานเข๎าไปโดย สอดเฉียงดา๎ นบน 45 องศา เพ่อื ปูองกันปลายปืนเขา๎ ไปในรูเปิดของกระเพาะปัสสาวะ เมื่อปืนฉีดนํ้าเช้อื ผํานเข๎า ไปแล๎ว ให๎สอดตํอไปตามแนวระนาบ จากน้ันใช๎มือข๎างท่ีสวมถุงมือล๎วงผํานทวารหนัก ตามปนื ฉีดนํ้าเชื้อเข๎าไป และจับท่ีคอมดลูก (Cervix) ถ๎าขณะสอดปนื ผํานชํองคลอด(Vagina) ปลายปนื มักจะไปติดรอยยํนบางสํวนของ ชํองคลอดและสอดปนื ตอํ ไปไมไํ ด๎ ให๎ใช๎มือท่อี ยใูํ นชอํ งลําไสใ๎ หญํ ดงึ คอมดลกู ให๎ยืดออกไปด๎านหน๎าของตวั โค จะ ทําให๎รอยยํนที่อยูํในสํวนของชํองคลอดยืดออก ปืนจะสอดผํานเข๎าไปได๎ จนถึงหน๎าคอมดลูก เม่ือปลายปืนถึง หน๎าคอมดลูก ให๎ดงึ ปลายอกี ข๎างหนงึ่ ของแซนนติ ารี ชที จนปลายปืนทะลแุ ซนนิตารี ชที ขน้ั เตรีมยมฉดี น้ําเช้อื ให๎แมํโค ท่ีมา : http://biotech.dld.go.th/index.php/th/ 8. สอดปืนเข๎าไปในคอมดลูก วิธีการสอดปืนผํานคอมดลูกทําได๎โดย ใช๎มือข๎างท่ีอยูํในลําไส๎ใหญํ จับ ปลายคอมดลูกไว๎โดยจับระหวํางสํวนตํอของคอมดลูก(Cervix) กับชํองคลอด (Vagina) ยกขึ้นให๎อยํูระดับ เดียวกับปืนฉีดนํ้าเชื้อ จากน้ันใช๎หัวแมํมือกดหาสํวนท่ีเป็นรูเปิดของคอมดลูก ซ่ึงจะเป็นชํองทางท่ีจะสอดปืน ผํานเข๎าไปในคอมดลูก เม่ือพบแล๎วให๎สอดปลายปืนฉีดนํ้าเชื้อไปจนชนน้ิวหัวแมํมือ จากนั้นหลบหัวแมํมือออก ปลายปนื จะผาํ น เขา๎ ไปในรูของคอมดลูก สอดปนื เข๎าไปในคอมดลูก ท่ีมา : http://biotech.dld.go.th/index.php/th/ สถานปี ศสุ ตั ว๑

67 9. เมื่อปืนฉีดนํ้าเช้ือผํานเข๎าไปในรู ของคอมดลูกแล๎ว เนื่องจากรูของคอมดลูกไมํตรง มักจะคดไปมา และมีหลืบ ปลายปืนมักจะติดสํวนท่ีเป็นหลืบภายในโพรงของคอมดลูก ให๎ใช๎มือข๎างที่อยํูในลําไส๎ใหญํคํอย ๆ ขยับหรือดัดคอมดลูก ซ๎ายขวา บนลําง และสวมเข๎าในปืน ซึ่งผ๎ูทําการผสมเทียมจะรู๎สึกได๎วําปลายปืนผํานเข๎า ไปในคอมดลูกทีละเปลาะ ๆ ซ่ึงต๎องคํอย ๆ สอดผํานไป จนผํานทะลุคอมดลูก ขณะกําลังสอดปืนผํานคอมดลูก ผสู๎ อดปนื จะตอ๎ งทราบเสมอวํา ขณะนั้นปลายปืนอยทํู ่ีตาํ แหนํงใด 10. ขณะทปี่ ลายปืนกาํ ลงั จะผาํ นทะลคุ อ มดลกู ให๎สอดปนื อยํางช๎า ๆ และระมดั ระวงั อยําใหป๎ ลายปนื เลยเข๎าไปถึงตัวมดลูก(Body of Uterus) มากนัก เพราะอาจไปครูดกับผนังตัวมดลูก เม่ือปลายปนื ฉีดนํ้าเชื้อ ทะลุคอมดลูกแล๎ว ให๎สอดปลายปืนเข๎าไปอีกประมาณ 1 cm. โดยทําการคลําระหวํางรอยตํอของคอมดลูกกับ ตวั มดลูกทางด๎านลําง ถา๎ พบเพยี งปลายปืนฉดี นํา้ เชื้อ หมายถึงปลายปนื ผาํ นทะลคุ อมดลูกเข๎าไปในตัวมดลูกเป็น ระยะ 1 cm.ถูกต๎องแล๎ว หากคลํารอยตํอระหวาํ งคอมดลูกและตัวมดลูกพบก๎านปืนฉีดน้ําเช้ือ แสดงวําปลาย ปนื เขา๎ ลึกเกนิ ไปใหด๎ งึ ปืนฉีดนาํ้ เช้อื ถอยออกมาอยํางระมดั ระวงั ปลายปนื ผาํ นคอมดลูกเข๎าตวั มดลูก 1 cm. ท่ีมา : http://biotech.dld.go.th/index.php/th/ 11. ทาํ การบบี กา๎ นปนื ฉดี นํา้ เชื้อ ประมาณ 2 ใน 3 ของความยาว เพ่ือปลํอยนํ้าเชือ้ 2 ใน 3 ของหลอด ภายในตัวมดลูก ให๎ปลํอยนํ้าเช้อื ชา๎ ๆ ใชเ๎ วลาปลํอยนํ้าเช้ือประมาณ 8 วนิ าที จากนั้น ถอยปนื ออกมาจนปลาย ปนื อยูํกลางคอมดลกู (Cervix) ปลอํ ยนา้ํ เช้อื ทเ่ี หลือกลางคอมดลกู (Cervix) 12. ถอดถุงมือแล๎วม๎วนถุงท้ิงในถังขยะ ล๎างรองเท๎าบู๏ทและผ๎ากันเป้ือนให๎สะอาด บันทึกรายละเอียด การผสมเทยี มลงในแบบบนั ทกึ ตําง ๆ บันทึกรายละเอียด ท่ีมา : http://biotech.dld.go.th/index.php/th/ สถานีปศุสตั ว๑

68 เมื่อตอ้ งผสมซา้ จะทาอย่างไร แมํโคบางตัวแม๎ขณะตั้งท๎องก็ยังแสดงอาการเป็นสัดได๎ และแสดงอาการเป็นสัดได๎ในทุก ๆ ระยะของ การต้ังท๎องและการต้ังท๎องชํวงต๎นๆ อาจพบอาการเป็นสัดตรงรอบ จึงเป็นปัญหาสําหรับการผสมเทียมวําเม่ือ พบแมํโคท่มี ปี ระวตั กิ ารผสมแล๎วและแสดงการเปน็ สดั ใหเ๎ หน็ แมโํ คตัวนั้นอาจจะกําลังต้ังท๎องอยูํหรือไมํตงั้ ท๎องก็ ได๎ การท่จี ะทราบวาํ แมโํ ค ผสมติดตัง้ ท๎องหรือไมํ วิธีท่ีสะดวกที่สุดคือ การล๎วงตรวจการตั้งท๎องโดยล๎วงผํานทาง ทวารหนัก ผม๎ู ีความชํานาญสามารถตรวจต้ังแตํ 45 วนั หลังผสม โดยท่ัวไปการล๎วงตรวจการต้ังท๎องจะล๎วงตรวจ ที่ 60 วันหลังผสมเทียม ถ๎าหากจะผสมเทียมซํ้า ควรซักประวัติให๎แนํนอนวําแมํโคที่เป็นสัดท่ีต๎องผสมซ้ําน้ัน แสดงอาการยนื นิ่งใหต๎ วั อืน่ ขีใ่ ห๎เหน็ หรือไมํ นอกจากนี้ กอํ นทาํ การผสมเทียมควรล๎วงตรวจการตงั้ ท๎องกํอนเสมอ แตํถ๎าอยใํู นชวํ งท่ไี มสํ ามารถล๎วงเพ่อื ตรวจการตัง้ ท๎องได๎ เชํน ชํวงเวลาหํางจากผสมคร้ังท่ีผํานมาเพยี งแคํ 21-45 วัน และต๎องผสมซํ้า ก็ควรปลํอยน้ําเช้ือในคอมดลูก อยําสอดปืนทะลุคอมดลูกนอกจากน้ีนํ้าเชื้อท่ีใช๎ควรเป็น นํ้าเช้ือจากพํอพันธุ๑ตัวเดียวกับการผสมคร้ังที่ผํานมา เพื่อปูองกันการสับสนในการทําทะเบียนประวัติลูกเกิด กรณแี มํโคคลอดกํอนกาํ หนด ขัน้ ตอนการผสมเทยี มสกุ ร 1. ตอ๎ งทาํ การตรวจการเปน็ สัดของแมํสกุ รอยํูเสมอวันละ 2 คร้งั เช๎า เย็น โดยปกติการเป็นสัดจะ มีอายุ 2-3 วัน แตํระยะท่ีเหมาะสมท่ีสุดสําหรับการผสมเทียมคือ จะต๎องกระทําหลังจากที่แมํสุกรเป็นสัดอยําง แท๎จรงิ แลว๎ ประมาณ 24 ชัว่ โมง 2. การผสมเทยี มสกุ ร จะทําการฉีดน้ําเชื้อจากขวดนํ้าเช้ือ โดยใชอ๎ วัยวะเพศเทียมตัวผ๎ูสอดเข๎าไป ถงึ ปากมดลกู แล๎วจึงฉดี นํา้ ผาํ นเข๎าไปเพอื่ ผสมกับไขํ 3. นํ้าเชอ้ื สุกรจะตอ๎ งมีการบรรจุอยํางดี และตอ๎ งเกบ็ ไว๎ในอุณภูมิ 15-20องศาเซลเซียส เม่ือจะใช๎ ให๎นําขวดนา้ํ เชอ้ื ผสมกบั นา้ํ ยาละลายแลว๎ ทําการปดิ ฝาจกุ ขวด 4. ทําการทดสอบการร่ัวไหล โดยการตัดสํวนปลายแหลมของจุกขวดน้ําเชื้อออก โดยเอา นว้ิ หัวแมมํ อื กดท่ีปลายแหลม กลบั ขวดน้าํ เช้อื แล๎วบีบทดสอบดู 5. จับสํวนกลางของอวัยวะเพศเทียมตัวผ๎ูไว๎ แล๎วดัดให๎งอโค๎งข้ึนเล็กน๎อย เพื่อทําการสอดเข๎าไป ในชอํ งคลอด เพ่ือจะไดไ๎ มสํ อดผิดพลาดเข๎าไปในสํวนของกระเพาะปสั สาวะ สถานีปศสุ ตั ว๑

69 การสอดเข๎าไปในชํองคลอด ท่มี า : http://www.animals-farm.com/การผสมเทียมสกุ ร/ 6. ทําความสะอาดอวัยวะเพศของแมํสุกรด๎วยกระดาษชําระ แล๎วใช๎มือจับโดยใช๎น้ิวช้ี และ นวิ้ หวั แมมํ อื เปิดอวยั วะเพศแมํสุกร จากน้นั ทาํ การสอดอวยั วะเพศผู๎เข๎าไปด๎วยความน่ิมนวล และระมัดระวังโดย ให๎สํวนปลายสูงขึ้นเลก็ นอ๎ ย และสอดเขา๎ ไปจนถงึ ปากมดลกู 7. เมื่อทําการสอดอวัยวะเพศเทียมตัวผ๎ูเรียบร๎อยแล๎ว แมํสุกรจะสามารถรับถึงความรู๎สึกได๎ก็จะ ใช๎น้ิวช้ี และน้ิวหัวแมํมือเปิดอวัยวะเพศแมํสุกร จากนั้นทําการสอดอวัยวะเพศเทียมตัวผู๎ทวนเข็มนาฬิกา เพ่ือ ล็อกใหเ๎ ขา๎ กับปากมดลกู ปอู งกันมใิ ห๎นา้ํ ทะลักออกมา ในกรณีท่อี าจเกิดการไมลํ งล็อกก็ให๎ถอดมากระทาํ ใหมํ 8. จากน้ันให๎นําขวดน้ําเช้ือจํอเข๎าไปที่อวัยวะเพศเทียมตัวผู๎ แล๎วบีบน้ําเชื้อช๎า ๆ จนกวําน้ําเช้ือ ทงั้ หมดเขา๎ ไปจนหมด แลว๎ คลายขวดเพอ่ื ให๎อากาศเข๎าไปในขวด จากนั้นกบ็ ีบขวดไลํอากาศดันตามเข๎าไปอกี 9. ท้ิงไว๎สักครูํหน่ึง แล๎วจึงหมุนอวัยวะเพศเทียมตัวผ๎ูออก โดยหมุนตามเข็มนาฬิกา เช็ดและทํา ความสะอาดด๎วยกระดาษชําระ จากน้ันจึงนําไปทําความสะอาดนึ่งฆําเช้ืออีกประมาณ 10 นาที แล๎วจึงนํา อวยั วะเพศเทยี มตัวผ๎เู ก็บไว๎ และต๎องมัน่ ใจวาํ ทาํ ความสะอาดจนแหง๎ สนทิ การผสมเทียมถือวํามีประโยชน๑มากและเป็นการลดปัญหาการนําพํอพันธ๑ุเดินทางไปผสมพันธุ๑ในพ้ืนท่ี หํางไกล และยังเป็นการปูองกันการติดเชอื้ โรคได๎เป็นอยํางดี การผสมเทียมนี้หากจะให๎ได๎ผลดีแล๎วต๎องเป็นผ๎ูท่ีมี ความร๎ูทางเทคนิคอยํางดี มีความชํานาญพอสมควร มีความรอบคอบสูง จึงจะประสบผลสําเร็จได๎โดยงําย หาก เปน็ เกษตรกรทไี่ มมํ ีความรค๎ู วามชาํ นาญอาจทาํ ใหป๎ ระสบความสาํ เรจ็ ในการผสมเทยี มได๎ยากกวํา สถานปี ศสุ ัตว๑

70 การผสมเทียมปลา การผสมเทียมปลามวี ธิ กี ารดงั น้ี 1. คัดเลือกปลาที่จะใชเ๎ ปน็ พํอพนั ธแุ๑ ละแมพํ นั ธ๑ุท่ีอยูํในวัยทจ่ี ะผสมพันธุ๑ได๎ 2. ฉีดฮอร๑โมนให๎กับแมํปลา เพ่ือเรํงให๎แมํปลามีไขํสุกเร็วขึ้น ฮอร๑โมนท่ีนํามาฉีดไดม๎ าจากตอํ มใต๎สมอง ของปลาพันธุ๑เดียวกัน แตํเป็นเพศใดก็ได๎ นํามาบดให๎ละเอียดแล๎วผสมน้ํากล่ัน ฉีดเข๎าท่ีบริเวณเส๎นข๎างตัวของ แมปํ ลา 3. หลังจากฉีดฮอร๑โมนให๎แมํปลาประมาณ 5-12 ชั่วโมง นําแมํปลามารีดไขํ และนําพํอปลามารีด นํา้ เช้ือใสใํ นอาํ งพลาสตกิ 4. ใชข๎ นไกํคนเบาๆ เพื่อคลุกเคล๎าให๎ท่ัว แล๎วใสํนํ้าให๎ทํวมทิ้งไวป๎ ระมาณ 1-2 นาที จึงถํายน้ําทิ้ง 1-2 ครั้ง 5. นําไขํที่ผสมแล๎วไปพักในท่ีเตรียมไว๎และตอ๎ งมีนํ้าไหลผําน ได๎ตลอด เพื่อให๎ไขํลอยและปูองกันการ ทับถมของไขํ ไขํปลาท่ีได๎รบั การผสมก็จะฟกั เปน็ ตวั ตอํ ไป ข้ันตอนการผสมเทยี มปลา ทมี่ า : http://www.myfirstbrain.com/thaidata/image.aspx?id=307635 สถานีปศุสัตว๑

71 บรรณานุกรม เกรยี งไกร ภสู อดส.ี (2559). การขยายพันธ์ุสัตว์. สืบคน๎ เม่ือ 2 เมษายน 2559, จาก http://krootonwich. com/data-3794.html. บานเย็น จนั ทราฤทธกิ ุล. (2559). การสืบพันธุ์ และการเจรญิ เติบโตของสัตว์. สืบคน๎ เม่อื 2 เมษายน 2559, จาก http://www.neutron.rmutphysics.com/news/index.php?option=com_content &task=view&id=1964 จตเุ ทพ สมรบรวรสุข. (2559). การผสมเทยี ม. สบื คน๎ เม่อื 2 เมษายน 2559, จาก https://sites.google. com/site/animaltec/tec4/4-1kar-phsmtheiym. แม็คเอด็ ดูเคชั่น. (2559). การผสมเทียมปลา. สืบค๎นเมือ่ 2 เมษายน 2559, จาก http://www.maceduca tion.com/e-knowledge/2422210100/16.htm. สํานกั เทคโนโลยชี ีวภาพการผลติ ปศสุ ัตว๑. (2559). เทคนคิ การผสมเทียมโค. สบื ค๎นเมอื่ 2 เมษายน 2559, จาก http://biotech.dld.go.th/index.php/th/2013-02-25-15-18-18/95-2013-02-18-14-05- 37/129-2013-02-18-14-52-46. สตั ว๑เศรษฐกิจ ฟารม๑ เลยี้ งสตั ว.๑ (2559). การผสมเทยี มสกรุ . สืบคน๎ เมือ่ 2 เมษายน 2559, จาก http://www. animals-farm.com/การผสมเทียมสุกร/ สถานีปศุสตั ว๑

72 บทท่ี 4 การดูแลรักษาสัตว์ การเล้ยี งและดูแลสตั วเ์ ลี้ยง สตั ว๑แตํละชนดิ มพี ฤตกิ รรมและสภาพความเปน็ อยํแู ตกตํางกนั ดงั น้ันกํอนทจ่ี ะเลีย้ งสตั ว๑ จึงควรศกึ ษา ธรรมชาตทิ ั่วไปของสัตวช๑ นิดนั้น ๆ ให๎เขา๎ ใจกอํ น เพื่อทจ่ี ะเลยี้ งมนั ไดอ๎ ยํางถกู ต๎อง ขอ๎ มูลทจ่ี าํ เป็นเกย่ี วกบั การเล้ียงสตั ว๑ เชํน - ชนดิ ของสตั ว๑ที่ตอ๎ งการเลีย้ ง - การจดั ท่ีอยูํอาศัย - อาหารท่ีสตั ว๑กิน - วธิ ีดแู ลสตั ว๑ นอกจากนค้ี วรมีความรักและความเมตตาตอํ สัตว๑เลยี้ งดว๎ ย วิธีการดูแลสตั ว๑เลยี้ ง มดี ังน้ี 1. จัดท่อี ยใํู ห๎เหมาะสมกบั สตั ว๑ และรักษาความสะอาดทีอ่ ยํูของสตั ว๑เลย้ี งอยเํู สมอ 2. จดั อาหารใหเ๎ หมาะสม และเพียงพอกับสัตว๑ 3. คอยดแู ลรักษาเม่ือสตั ว๑เลี้ยงเจ็บปวุ ย 4. คอยระวังไมใํ หส๎ ตั วท๑ เี่ ป็นศัตรู มาทําอนั ตรายสตั วเ๑ ลี้ยง 5. นา้ํ สัตว๑เลี้ยงไปฉดี วัคซีนเพ่อื ปูองกนั โรคตาํ ง 4.1 มาตรฐานฟาร์มเลยี้ งสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ๑ได๎ประกาศเรื่องมาตรฐานฟาร๑มเลีย้ งสตั ว๑ประเทศไทย พ.ศ. 2542 เมื่อ วันท่ี 3 พฤศจกิ ายน 2542 จาํ นวน 3 เรื่อง คือ - มาตรฐานฟาร๑มเลยี้ งไกเํ น้ือของประเทศไทย - มาตรฐานฟาร๑มเล้ยี งสุกรของประเทศไทย - มาตรฐานฟารม๑ โคนมและการผลิตนํ้านมดบิ ของประเทศไทย โดยให๎ผูป๎ ระกอบการฟารม๑ เล้ยี งสัตวท๑ ่ีมีความต๎องการขอใบรับรองมาตรฐานฟาร๑มเลี้ยงสัตว๑จากกรม ปศุสัตว๑ เพอื่ ยน่ื คาํ ร๎องพร๎อมดว๎ ยหลักฐานตํอปศสุ ตั วจ๑ ังหวัดหรือปศสุ ัตว๑อาํ เภอในทอ๎ งทฟ่ี าร๑มต้งั อยํู แล๎วเจ๎า หน๎าท่ปี ศสุ ตั ว๑จงึ ไปทาํ การตรวจสอบฟาร๑มเพ่อื ดําเนินการตอํ ไป วัตถปุ ระสงคข๑ องการจัดทาํ มาตรฐานฟารม๑ 1. เพ่อื ปรับปรุงระบบการเลยี้ งสตั วข๑ องประเทศไทยให๎เปน็ รูปแบบมาตรฐานเดยี วกันและมคี ณุ ภาพ 2. เพ่อื ค๎มุ ครองผูบ๎ ริโภคใหป๎ ลอดภัยในการบริโภคเนื้อสัตว๑และผลติ ภณั ฑส๑ ตั ว๑จาก ฟารม๑ เล้ียงสัตวท๑ ีไ่ ด๎รับ สถานีปศุสัตว๑

73 การรบั รองเป็นฟาร๑มมาตรฐานจากกรมปศสุ ตั ว๑ 3. เพ่ืออาํ นวยความสะดวกทางการค๎าแกํผป๎ู ระกอบการฟารม๑ เลี้ยงสตั วส๑ งํ ออก 4. เพื่อลดมลภาวะจากฟารม๑ เลีย้ งสัตวท๑ ี่มผี ลกระทบตํอสง่ิ แวดลอ๎ มและชมุ ชน 5. เพื่อเพิ่มประสทิ ธภิ าพในการควบคุม ปอู งกนั และกาํ จัดโรคในฟาร๑มเล้ียงสตั ว๑ องคป์ ระกอบพื้นฐานของฟาร์มเล้ียงสตั วท์ ่ีขอใบรบั รองมาตรฐาน 1. มที ําเลที่ตัง้ ฟาร๑ม ตลอดจนมกี ารออกแบบส่งิ กํอสรา๎ งและโรงเรอื นท่เี หมาะสม 2. มีระบบทาํ ลายเช้ือโรคกํอนเขา๎ – ออกจากฟาร๑ม 3. มกี ารจดั การโรงเรอื น สิง่ แวดลอ๎ มและการจดั การของเสียท่ีถูกตอ๎ งตามหลักสขุ าภิบาล 4. โรงเรอื นท่ใี ช๎เลยี้ งสัตวม๑ ีลกั ษณะและขนาดทีเ่ หมาะสมกบั จํานวนสตั ว๑ 5. มกี ารจดั การดา๎ นอาหารสัตว๑อยาํ งถูกตอ๎ งตามหลักสุขศาสตร๑ 6. มคี มํู อื การจดั การฟาร๑มและมรี ะบบการบันทกึ ข๎อมลู 7. การจดั การดา๎ นสขุ ภาพสตั ว๑ มีโปรแกรมการใหว๎ ัคซีนปอู งกนั โรคและการให๎ยาบําบดั โรคเมอ่ื เกดิ โรค 8. การจัดการด๎านบุคคล สตั วแพทย๑ สัตวบาล และผู๎เล้ยี งสตั ว๑ต๎องมเี พียงพอและเหมาะสมกับจํานวนสัตว๑ พรอ๎ มทงั้ มีสวัสดกิ ารสังคมและการตรวจสขุ ภาพประจําปใี หก๎ บั บุคลากร สทิ ธปิ ระโยชน์ของฟาร์มเลยี้ งสตั วท์ ่ไี ด้มาตรฐาน 1. การเคลือ่ นยา๎ ยสัตว๑ ผ๎ูประกอบการฟาร๑มเล้ยี งโคนมและสกุ รสามารถขออนุญาตเคลื่อนยา๎ ยสัตว๑เขา๎ ใน หรือผาํ นเขตปลอดโรคระบาดได๎จากปศสุ ตั วจ๑ งั หวัด โดยปฏบิ ัติตามระเบียบกรมปศสุ ัตวว๑ าํ ด๎วยการนําเข๎าหรือ การเคลือ่ นย๎ายสัตวห๑ รอื ซากสัตวภ๑ ายในราชอาณาจักร 2. กรมปศสุ ัตว๑จะจดั สรรวัคซนี ปอู งกนั โรคปากและเท๎าเปอื่ ย และโรคอหวิ าตส๑ กุ รให๎มจี ําหนํายอยาํ งเพียงพอ ตามปริมาณสกุ รของฟารม๑ เลี้ยงสกุ รมาตรฐาน 3. กรมปศสุ ตั วจ๑ ะใหบ๎ รกิ ารการทดสอบโรคแทง๎ ตดิ ตํอในพอํ แมํพนั ธุ๑สกุ ร รวมท้ังโรคแท๎งติดตํอและวณั โรคใน โคนม โดยไมํคดิ มลู คาํ สําหรับฟารม๑ ทไ่ี ดม๎ าตรฐาน 4. กรมปศสุ ัตว๑จะใหบ๎ ริการตรวจวนิ ิจฉยั และชนั สูตรโรคสัตว๑ โดยไมํคิดมลู คําสาํ หรบั ตวั อยํางทสี่ งํ ตรวจจาก ฟาร๑มเลย้ี งสัตวม๑ าตรฐาน 4.2 การปอู งกนั และดูแลรักษาสตั ว์เล้ยี งไม่ให้เป็นโรค สาเหตทุ ท่ี าํ ให๎สัตว๑เปน็ โรค 1) บรเิ วณทอ่ี ยํขู องสตั วส๑ กปรก ชืน้ แฉะ และมีน้ําขงั 2) ภาชนะใสํอาหารและนา้ํ ของสตั วส๑ กปรก 3) สตั วท๑ ํารา๎ ยกันเอง ทาํ ใหส๎ ตั วบ๑ าดเจบ็ 4) สตั ว๑ติดโรคจากสัตว๑ท่อี ยูํรวํ มกนั 5) สตั ว๑ได๎รับอาหารไมํเพยี งพอการดูแลรกั ษาสตั วเ๑ ลีย้ ง สถานีปศสุ ตั ว๑

74 การดูและและปูองกนั 1) รกั ษาความสะอาดที่อยูํของสัตว๑ 2) จดั ท่อี ยูํของสัตว๑ให๎มอี ากาศถํายเทและแสงแดดสอํ งถึง 3) ให๎อาหารตรงเวลา และมีปริมาณเพียงพอกับความตอ๎ งการของสตั ว๑ 4) ให๎นํ้าและอาหารที่สะอาด 5) แยกสัตวท๑ ่เี ปน็ โรคออก 6) คอยดูแลอยําให๎สัตวท๑ าํ รา๎ ยกัน 7) ดูแลความสะอาดตัวสัตว๑เปน็ ประจาํ 8) ฉีดวัคซีนปูองกันโรคให๎สตั วต๑ ามกาํ หนดเวลา 4.3 การจดั ทอี่ ยอู่ าศยั ของสตั วเ์ ลี้ยง ทอ่ี ยอํู าศัยของสัตว๑จะแตกตาํ งกนั ไปตามลักษณะและขนาดของสัตว๑แตลํ ะชนิด ดังนี้ 1. คอก เปน็ ท่ีอยอูํ าศัยของสัตวเ๑ ลี้ยงขนาดใหญํ เชํน ม๎า ววั ควาย โดยอาจมีหลงั คาหรือไมมํ ีกไ็ ด๎ 2. เลา๎ เป็นทีอ่ ยอูํ าศยั ของสัตว๑เลยี้ งขนาดเล็ก เชํน หมู ไกํ เปด็ โดยจะมหี ลังคากันแดดกนั ฝน 3. กรง เปน็ ทอ่ี ยูํของสัตวท๑ ่นี ยิ มเลย้ี งไว๎เพอ่ื ความเพลิดเพลนิ เชนํ นก กระตาํ ย 4. ตกู๎ ระจก เปน็ ท่อี ยูอํ าศยั ของสัตว๑นาํ้ ทน่ี ยิ มเล้ียงไวด๎ เู ลํน เชํน ปลาสวยงามชนิดตาํ ง ๆ ทอี่ ยูอํ าศัยที่ดขี องสัตวเ๑ ล้ียงควรมีลักษณะ ดงั น้ี 1) มีลกั ษณะและขนาดเหมาะสมกับชนิดและจํานวนของสตั ว๑เลยี้ ง 2) มคี วามมน่ั คง แขง็ แรง ทนทาน กนั แดด กนั ฝน และให๎ความปลอดภยั แกสํ ัตว๑ 3) อยํูทีโ่ ลํง อากาศถาํ ยเทไดส๎ ะดวก ทําความสะอาดไดง๎ ําย 4) ไมทํ าํ ลายสภาพแวดล๎อมหรอื รบกวนสุขภาพของผู๎อนื่ การดูแลท่อี ยํอู าศัยของสัตวเ๑ ลยี้ งควรปฏิบตั ดิ ังนี้ 1) หมั่นทําความสะอาดบริเวณรอบ ๆ ทอี่ ยอูํ าศยั ของสตั ว๑ 2) หมนั่ ตรวจดวู ํา ที่อยํูของสตั ว๑มีสํวนใดชาํ รดุ เมอ่ื พบควรรบี ซํอมแซม 3) คอยดแู ลและกาํ จดั สัตว๑ท่ีชอบทําลายทอี่ ยํูอาศัยของสตั ว๑ เชนํ ปลวก มอด 4) เมอื่ สตั วเ๑ ลยี้ งมีจํานวนเพม่ิ ขน้ึ ควรจดั หาทอี่ ยใํู หมใํ ห๎เพียงพอกับสัตว๑ สถานีปศสุ ตั ว๑

75 4.4 การดแู ลเลย้ี งดูสัตวป์ ระเภทตา่ งๆ การดแู ลเลย้ี งดูสตั ว๑นัน้ จะกลาํ วถงึ สัตว๑หลกั ๆในสถานปี ศสุ ัตวท๑ เี่ ลยี้ งไว๎เพือ่ การศึกษาและวจิ ยั ดงั ตํอไปนี้ 4.4.1 สกุ ร โดยพันธุส๑ กุ รท่ีเกษตรกรหรือผ๎ูคนทวั่ ไปทเ่ี ล้ยี งสุกร จะนิยมนาํ มาขนุ สํวนมากจะนิยมใช๎ผสม 2, 3, หรอื 4 สายพันธุ๑ ซงึ่ จะมีลกั ษณะการให๎ผลผลิต การเตบิ โต และ ความแข็งแรง ที่ดกี วําการได๎จากพํอและแมํพันธทุ๑ ่ี ให๎กาํ เนดิ พนั ธ๑ุเดียวกัน พนั ธท๑ุ ี่สํวนมากใชใ๎ นการผสมข๎ามสายพนั ธมุ๑ หี ลายพันธุ๑ อยาํ งเชํน พันธ๑ุลารจ๑ ไวน๑ พนั ธแุ๑ ลนด๑เรช และพนั ธด๑ุ รู อ็ คเจอร๑ซี่ เป็นตนั พันธลุ๑ ารจ๑ ไวน๑ ทีม่ า : http://www.td-mark.com/index.php/2014-09-30-23-04-51 พันธุ๑แลนด๑เรซ ทม่ี า : http://www.td-mark.com/index.php/2014-09-30-23-04-53 พันธุ๑ดรู อ็ คเจอร๑ซ่ี ท่ีมา : http://www.animals-farm.com/สกุ รพนั ธ๑ุดรู อคเจอร๑ซ/ี สถานีปศุสัตว๑

76 1. ฟารม์ หรือโรงเรอื นท่ใี ชเ้ ลยี้ งสกุ ร ควรตง้ั อยํใู นทน่ี ํา้ ไมํทํวม สามารถระบายนํา้ ไดด๎ ี หํางไกลจากชุมชน หรอื ตลาดตาํ งๆ โรงเรอื นทีใ่ ช๎เลย้ี ง สุกรต๎องสามารถปูองกนั แดด กันฝน และ กันลม ย่ิงถา๎ ชํวงในฤดูร๎อนควรจะต๎องดแู ลเป็นพเิ ศษ พนื้ ในคอกของสถานทีเ่ ลยี้ ง ควรเปน็ พ้ืนคอนกรีต เพือ่ ความสะดวกในการทาํ ความสะอาด โดยขนาดของคอกควรมีประมาณ 4 x 35 เมตร จงึ จะสามารถเลีย้ งสกุ รขนุ ทม่ี ขี นาด 60 – 100 กโิ ลกรัม ประมาณ 8 – 10 ตวั สวํ นความยาว ของคอกนนั้ ให๎ข้ึนอยกํู ับวาํ จาํ นวนสุกรที่เกษตรกรเล้ยี งมจี ํานวนมากเทาํ ไหรํ การให้อาหารสกุ ร โดยสกุ รนนั้ เป็นสตั ว๑กระเพาะเดียว ไมสํ ามารถยํอยอาหารที่มีเยอ่ื มากๆไดด๎ ีเหมอื นสัตว๑กระเพาะ รวมชนดิ อน่ื ๆ ดงั นั้นอาหารท่ีใช๎เลย้ี งสกุ ร จึงควรจะต๎องมีโภชนาการทค่ี รบถว๎ น อาหารสําหรับสกุ รขุนสํวนใหญํ จะนยิ มใช๎อาหารแบบสาํ เร็จรปู หรอื ผเู๎ พาะเลีย้ ง เกษตรกรบางรายอาจผสมอาหารเพอ่ื ใชเ๎ ล้ยี งสุกรเอง ซึ่งจะ ชํวยให๎ลดต๎นทนุ การผลติ โดยใชห๎ วั อาหารผสมรวมกบั รํา, ปลายขา๎ ว หรอื วัสดอุ น่ื ๆตามสัดสวํ นทเ่ี กษตรกรเป็น คนกาํ หนด และการให๎อาหารสุกรแตลํ ะชวํ งนนั้ จะตอ๎ งมีความสอดคลอ๎ งกับความตอ๎ งการบริโภคของสุกรในแตํ ละชวํ งอายุของตัวสกุ ร 2. การเลย้ี งดแู ลสกุ ร ควรเรมิ่ เลยี้ งสุกรขนุ ตงั้ แตรํ ะยะท่ีสุกรนัน้ หยาํ นม โดยมีนํ้าหนกั ท่ีประมาณ 20 กโิ ลกรมั โดยใชอ๎ าหาร ทม่ี โี ปรตนี ประมาณ 18 เปอร๑เซ็นต๑ และใหส๎ กุ รกินเต็มท่ีประมาณวนั ละ 1 – 2 กิโลกรัม จากน้นั เมอื่ สกุ รขุนมี น้ําหนกั ประมาณ 60 กโิ ลกรัม ก็จะเปลี่ยนอาหารโดยใช๎อาหารท่ีมีโปรตีน 16 เปอรเ๑ ซ็นต๑แทน และใหส๎ กุ รกิน อาหารวนั ละ 2.5 – 3.5 กโิ ลกรมั จนถงึ ระยะท่จี ะสํงตลาดเม่อื สกุ รมนี ้าํ หนัก ประมาณ 100 กิโลกรัม โดยตลอด ระยะเวลาการเลี้ยงสุกรนนั้ จะตอ๎ งมีน้ําสะอาดให๎สุกรกนิ ตลอดทงั้ วัน 3. ด้านความสะอาดของสถานท่เี ลีย้ งหรือคอก ควรทําความสะอาดพน้ื คอกสกุ รอยํเู ป็นประจาํ เพ่ือลดการหมกั หมมของเช้อื โรคตาํ งๆ ท่อี าจจะนาํ โรค มาสู๎ตัวสุกรได๎ และอีกทง้ั ยังปอู งกนั กล่ินจากมูลสุกรไปรบกวนชุมชนสถานท่ีใกล๎เคียงอกี ด๎วย อีกดว๎ ย และสุกร ทุกตัวต๎องมีการถาํ ยพยาธิ และ จดั ฉีดวคั ซนี ตามกําหนด ทเี่ ราไดต๎ ง้ั ไว๎อยํางสม่ําเสมอ เพอื่ ให๎สกุ รมีสขุ ภาพทด่ี ี นอกจากนี้การเลีย้ งสุกรในกรมปศสุ ัตว๑ มีการเลี้ยงแบบทัง้ หมูหลุม ซ่งึ ก็จะเป็นการเล้ียงไดร๎ บั อทิ ธพิ ลมา จากเกาหลที ม่ี กี ารเล้ียงหมูหลมุ แลว๎ ทางกรมปศุสัตว๑กไ็ ดม๎ กี ารประยกุ ต๑ใหเ๎ ขา๎ กับสภาพแวดลอ๎ มก็เลยมีการ เล้ยี งแบบหมูคอนโดและหมูกลางแจง๎ ซงึ่ การเล้ยี งหมหู ลมุ หมูคอนโดนน้ั จะประหยัดและงาํ ยตํอการเลี้ยงดู สถานีปศสุ ตั ว๑

77 เปน็ ทางเลอื กสําหรบั ชาวบา๎ นทไี่ มตํ ๎องใชง๎ บประมาณในการลงทุนมาก แตํก็มขี ๎อจํากดั ทีว่ าํ เรื่องของความ สะอาด และมาตรฐานของการเลยี้ งดูทม่ี ีความสะอาดไมเํ พียงพอ 4.4.2 วัว และควาย การเลีย้ งววั ควาย จําแนกได๎ 2 แบบใหญๆํ แบบแรก ได๎แกํ การเลยี้ งวัวควายเพื่อใชแ๎ รงงาน การเลีย้ ง แบบน้ี เปน็ แบบท่ีดําเนนิ กันทวั่ ไปในเมืองไทย อนั ไดแ๎ กํ การเล้ยี งวัวควายเพอ่ื เปน็ สวํ นประกอบของการ ทําไรํ ทาํ นา โดยมิได๎มุงํ เลยี้ งเป็นการค๎าโดยเฉพาะ การเล้ียงเปน็ ไปแบบตามมตี ามเกิด ไมตํ ๎องมีวชิ าการเข๎าชวํ ยมาก นัก อาศัยธรรมชาติเป็นเครือ่ งอํานวยการเลีย้ ง การเลีย้ งวัวควายแบบนจ้ี งึ เรยี กวํา การเล้ยี งแบบธรรมชาติ การเลีย้ งววั ควายอีกแบบหนึ่ง คือ การเลีย้ งแบบการค๎า ซ่งึ ยงั กระทํากนั เป็นสวํ นนอ๎ ยในเมืองไทย การเล้ียง แบบน้ี อาศัยวิธีการทางวิทยาศาสตร๑เขา๎ ชํวยอยํางมาก เพอื่ มํงุ ให๎ได๎กําไรมากทีส่ ุดจากกิจการเลีย้ งวัวควายน้นั การเล้ยี งวัวควายแบบนี้ จงึ เรยี กไดว๎ ํา เปน็ การเลี้ยงแบบอุตสาหกรรม โดยมุงํ ใหไ๎ ดผ๎ ลติ ผล คอื เนอ้ื หรอื นม มากที่สุด ตอํ หน่งึ หนํวยของส่ิงลงทนุ การเลย้ี งแบบอุตสาหกรรมจงึ ตอ๎ งคาํ นึงถึงปจั จยั สาํ คัญ 4 ประการ คอื 1. การดูแลจดั การ การจัดสภาพแวดล๎อมและความเป็นอยูขํ องวัวควาย ใหอ๎ ยใูํ นสภาพทีด่ ี ใหผ๎ ลติ ผลสงู แตลํ งทนุ ตาํ่ การ ดูแลน้ี ครอบคลมุ ถึงการจัดโรงเรือน การปรนนิบัติตอํ สตั ว๑ การควบคุมอุณหภมู ิในโรงเรือน และความชนื้ การ ดูแลรกั ษาความสะอาด เพอ่ื ใหเ๎ หมาะสมแกกํ ารขยายพนั ธุ๑ การเจรญิ เตบิ โตตลอดจนการให๎ผลติ ผลของวัวควาย 2. อาหารและการให้อาหาร ผู๎เลยี้ งจะแสวงหาอาหารท่ีมคี ณุ ภาพในราคาพอสมควร มาใชเ๎ ล้ียงววั ควาย โดยมงุํ ใหไ๎ ดผ๎ ลติ ผล และผลกาํ ไรสงู ท้ังนี้จะไดพ๎ ิจารณารวมถึงวธิ ีการให๎อาหารทีเ่ หมาะสม เพยี งพอ และประหยัด 3. พันธแุ์ ละการผสมพันธุ์ ผเู๎ ล้ียงจะพจิ ารณาเลอื กเล้ยี งพนั ธ๑ุที่ให๎ผลิตผลสงู แตเํ ล้ยี งงาํ ยตามสภาพแวดลอ๎ มของท๎องถิ่น ยง่ิ กวาํ นั้น ผเู๎ ลยี้ ง จะเลอื กใช๎วิธีการผสมพันธุท๑ ่ีเหมาะตามวตั ถุประสงคข๑ องการผลติ วาํ เป็นการผลติ พนั ธแุ๑ ท๎ การผลิตเพ่อื ขนุ หรือ การผลิตววั ควายนม และพยายามปรับปรงุ คุณภาพใหด๎ ขี ้นึ เร่อื ยๆ 4. การปูองกันรกั ษาโรค การวางมาตรการอนั เหมาะสมในการปูองกนั โรค และดแู ลรกั ษาสขุ ภาพสัตว๑ เพื่อให๎สัตว๑สามารถให๎ ผลติ ผลไดส๎ ูงสดุ เทําทจี่ ะเป็นไปได๎ สถานปี ศสุ ัตว๑

78 ระบบการเล้ยี งวัวควายแบบอตุ สาหกรรมอาจจาํ แนกได๎เป็นประเภทตํางๆ ดงั น้ี คือ 1. การเลี้ยงวัวควายเน้ือ ได๎แกํ การเลย้ี งแบบทําไรปํ ศุสตั ว๑ การตอ๎ นเลีย้ งในทํุง และการเลีย้ งขนุ ในคอก 2. การเลี้ยงววั ควายนม ได๎แกํ การเลีย้ งแบบยนื โรง และการเล้ียงแบบปลํอย การเล้ียงววั ควายเนอ้ื แบบทาไร่ปศสุ ตั ว์ การเล้ียงววั ควายเน้อื แบบทําไรปํ ศุสตั ว๑ ที่มา : http://cownewstory.blogspot.com/2015/10/blog-post_17.html ใช๎พนื้ ทีก่ วา๎ งขวางมากและมีการลงทนุ ปรับปรงุ พื้นท่ีก้ันร้ัว และปลกู สร๎างแปลงหญ๎าเล้ียงสตั ว๑ การ เลย้ี งแบบนีโ้ ดยทว่ั ไป เปน็ การเล้ียงเพอ่ื ขายพันธุว๑ ัวควายคณุ ภาพดี ราคาแพง มีการลงทนุ สูง ใชว๎ ิชาการมาก ใช๎โรงเรอื นและเคร่อื งมอื อปุ กรณไ๑ รมํ าก ในเมอื งไทยได๎มีผู๎ลงทุนทาํ ไรปํ ศสุ ตั วก๑ ันอยบํู ๎าง เชนํ ไรํปศุสตั ว๑โชคชัย ใกล๎อาํ เภอปากชํอง จังหวดั นครราชสีมา การตอ้ นเลย้ี งววั ควายในทุ่ง การเล้ยี งววั นมแบบปลํอยที่ฟาร๑มโคนมไทย-เดนมาร๑ก อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี ที่มา : http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book.php?book=3&chap=9&page=t3-9-infodetail04.html สถานปี ศสุ ัตว๑

79 เป็นการเลี้ยงแบบไลํต๎อนสัตว๑ไปกินหญ๎าในทุํงกว๎าง ซ่ึงวํางเว๎นจากการเพาะปลูกหรือทํุงสาธารณะ ผู๎เล้ียงสัตว๑อาจไมํมีพื้นท่ีเป็นขอบเขตของตนเอง หรือจํากัดพ้ืนที่สําหรับการกักขังวัวควายเมื่อคราวจําเป็น เทําน้นั การเลี้ยงแบบนลี้ งทนุ เก่ียวกบั สถานทีเ่ ล้ียงและอปุ กรณ๑นอ๎ ยมาก โดยท่ัวไปไมํจําเป็นต๎องมีโรงเรือนหรือ อปุ กรณ๑มากนัก ใชว๎ ิชาการน๎อย ผู๎เล้ียงไลํต๎อนววั ควายไปเล้ียงโดยการเดินเท๎าหรือขี่ม๎าแบบเคาบอยอเมริกัน ตะวันตก วัตถุประสงคข๑ องการเล้ียงแบบน้ี โดยทว่ั ไป เพ่อื ผลิตวัวควายขายใชง๎ านและเอาเน้ือ มีผู๎เลี้ยงวัวควาย แบบนี้อยํูท่ัวไปในเมืองไทย การเลี้ยงแบบนี้สํวนใหญํเป็นการเลี้ยงวัว จํานวนวัวในฝูงหน่ึงๆ มีจํานวนต้ังแตํ 200-300 ตวั การเลี้ยงวัวควายแบบขนุ ในคอก การเลย้ี งวัวควายแบบขนุ ในคอก ท่ีมา : การเล้ียงววั ควายแบบขนุ ในคอก เปน็ การเลีย้ งวัวควาย เพ่อื ขุนให๎อ๎วนแลว๎ สํงตลาดโดยเฉพาะ ววั ควายจะถูกกักบริเวณโดยได๎รับอาหาร ท่ีมีพลังงานสูง ชํวยให๎อว๎ นเร็ว การเล้ียงแบบนี้ไมํจําเป็นต๎องใชท๎ ํุงหญ๎าหรือพ้ืนที่กว๎างขวาง สํวนใหญํกระทํา กันแถบชานเมือง ในเมืองไทยไมํคํอยมีการเล้ียงแบบนี้ แตํในอนาคตคาดวําจะมีการเล้ียงวัวควายแบบน้ี เกิดขึ้น เพราะราคาเน้ือแพงข้ึน ผ๎ูบริโภคนิยมเนื้อคุณภาพสูง ราคาอาหารขุนก็ไมํแพงนัก วิชาการเล้ียงวัว ควายแบบนแ้ี พรํหลายข้ึน พร๎อมทัง้ ความต๎องการเนือ้ วัวควายในตาํ งประเทศก็สงู ขน้ึ ด๎วย การเลี้ยงวัวควายนมในเมืองไทยสํวนใหญํใช๎วัวนม การเล้ียงควายนมมีน๎อย เนื่องจากควายพันธ๑นุ มมี จํานวนจํากัด และยังไมํร๎ูจักกันแพรํหลาย การเลี้ยงวัวนมในเมืองไทยมีอยูํหลายเขต เขตใหญํๆ คือ เขต นครปฐม - ราชบุรี เขตพระนครศรีอยุธยา เขตมวกเหล็ก (สระบุรี) และเขตเชยี งใหมํ มีแมํโคนมจํานวนทั้งส้ิน ประมาณ 13,000 ตัว ให๎นมวันละประมาณ 80-100 ตัน ซ่ึงหมายความวํา ถ๎าจะให๎คนไทยรับประทานนมกัน ในปริมาณคนละหน่ึงขวดนํ้าอัดลม/วัน จะต๎องเลี้ยงวัวนมกันเป็นจํานวนมากกวําน้ีหลายร๎อยเทําตัว หรืออยําง น๎อยต๎องมีแมํโคนมเป็นจํานวนล๎านตัว ซึ่งการเลี้ยงวัวควายนมแบบหน่ึง คือ การเลี้ยงแบบยืนโรง และการ เลย้ี งแบบปลํอย สถานปี ศุสัตว๑

80 การเล้ยี งแบบยืนโรง การเลย้ี งวัวนมแบบยนื โรง ทีม่ า : http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book.php?book=3&chap=9&page=t3-9-infodetail04.html แมวํ ัวรดี นมจะถูกกกั อยกํู บั ที่ในโรงเล้ยี งตลอดเวลา อาหารและหญ๎าถูกนาํ มาเลีย้ งถงึ ที่ การรดี นมมัก กระทาํ ในโรงเลย้ี งน่นั เอง การเลย้ี งแบบนี้ ตอ๎ งเปลอื งแรงงานในการเลย้ี งดูมาก แตกํ ารควบคุมดแู ลสะดวก และ ใกลช๎ ดิ กวาํ เหมาะสาํ หรับการเลย้ี งวัวนมพันธุท๑ ี่จําเปน็ ตอ๎ งดูแลใกลช๎ ิดเป็นพเิ ศษ หรือมอิ าจปลํอยแมวํ ัวลงเลยี้ ง ในทุงํ หญ๎าได๎ เพราะไมํมที ุงํ หญ๎าเพยี งพอ และมีบริเวณจาํ กดั การเลี้ยงแบบปล่อย การเล้ียงแบบปลอํ ย ทม่ี า : http://banthasang.blogspot.com/p/blog-page_26.html ซง่ึ แบงํ ได๎เปน็ 2 แบบ แบบหนึง่ ปลอํ ยในโรงกว๎าง เรยี กวาํ แบบปลอํ ยโรง แล๎วตัดหญา๎ มาใหก๎ ินถงึ ท่ี แบบน้ใี ช๎เมื่อมที ุํงหญ๎าจาํ กดั และต๎องการผลติ ผลสงู สุดจากทงุํ หญ๎า อกี แบบหนงึ่ ปลํอยในทํุงหญา๎ เรยี กวาํ แบบ ปลอํ ยทํงุ แบบนป้ี ระหยัดแรงงานและอปุ กรณแ๑ ตํไมํสะดวกในการควบคมุ ดแู ล หากมสี ัตว๑จาํ นวนมากๆ การ เลย้ี งแบบปลํอยท้งั สองวิธีจะมีโรงรีดนมแยกสํวนจากสถานทีเ่ ลีย้ ง และต๎อนววั ควายเข๎าไป เมือ่ ถงึ เวลารีดนม เทํานัน้ สถานปี ศุสัตว๑

81 อาหารเปน็ ปัจจยั สาํ คัญอยํางหน่ึงที่ชํวยใหว๎ วั ควายเติบโตและใหผ๎ ลิตผลมาก อาหารวัวควายนัน้ จาํ แนก ได๎เป็น 2 ชนดิ ตามปริมาณของเยอ่ื ใย (fiber) ทีม่ ีในอาหารชนดิ แรก คอื อาหารขน๎ (concentrate) ไดแ๎ กํ อาหารที่มเี ปอรเ๑ ซน็ ต๑เยื่อใยตาํ่ แตํมีสํวนประกอบยํอยงาํ ยมาก อาหารชนดิ นี้ ไดแ๎ กํ ปลาปนุ กากถวั่ เมล็ดพชื ราํ มนั สําปะหลงั อาหารอกี ชนิดหนึ่ง เรยี กวาํ อาหารหยาบ (roughage) ไดแ๎ กํ อาหารท่ีมีเปอร๑เซน็ ต๑เยือ่ ใยสงู มสี ํวนประกอบยอํ ยงํายน๎อยเมอ่ื เทยี บสดั สวํ นกัน เชนํ หญา๎ หรอื พืชสด ฟาง หญา๎ แห๎ง ชานอ๎อย เปลือก ถั่วลิสง อาหารท่ใี ชเ๎ ล้ยี งววั ควายใชง๎ านโดยทวั่ ไปมีแตํ หญา๎ และฟางเป็นสวํ นใหญํ ซึ่งเปน็ การเพียงพอแกํการ ดํารงชพี และทํางาน ววั ควายกนิ หญา๎ และฟางวันละประมาณ 10-15 กโิ ลกรมั หรอื โดยทัว่ ไปประมาณ 3-5 เปอร๑เซน็ ตข๑ องน้าํ หนักตัว การขุนววั ควายเน้อื และการเลย้ี งววั ควายนม จําเปน็ ต๎องใช๎อาหารข๎น ประกอบด๎วย เพ่ือใหว๎ วั ควายโตเรว็ และให๎นมมาก แตํไมคํ วรใชอ๎ าหารขน๎ เพยี งอยํางเดยี ว เพราะวัวควายอาจทอ๎ งเสีย ทาํ ให๎ ได๎ประโยชน๑จากอาหารไมํเตม็ ที่ตามทคี่ าดหมาย ย่ิงกวาํ นั้นยงั เปน็ การสิ้นเปลอื งเพราะราคาอาหารขน๎ แพงมาก 4.4.3 ไก่ ไกพ่ นั ธแุ์ ท้ เป็นไกํทไ่ี ด๎รบั การคดั เลอื กและผสมพันธุ๑มาเป็นอยาํ งดี จนลูกหลานในรํุนตํอๆ มามลี กั ษณะ รปู รําง ขนาด สี และอ่ืนๆ เหมือนบรรพบุรุษไกพํ ันธุ๑แท๎ 1. โร๏ดไอสแ๑ ลนดแ๑ ดงหรือทเ่ี รยี กสนั้ ๆ วํา ไกโํ ร๏ด เปน็ ไกํพันธ๑เุ กําแกพํ ันธุ๑หนงึ่ มอี ายกุ วาํ 100 ปี โดยการ ผสมและคัดเลอื กพันธ๑มุ าจากพนั ธม๑ุ าเลย๑แดง ไกเํ ซ่ยี งไฮ๎แดง ไกํเล็กฮอร๑นสีน้าํ ตาล ไกํไวยันดอทท๑ และไกบํ ราห๑ มาส๑ ไกํพนั ธ๑ุโรด๏ ไอส๑แลนด๑แดง มี 2 ชนดิ คือ ชนดิ หงอนกหุ ลาบและหงอนจกั ร แตํนยิ มเลยี้ งชนดิ หงอนจกั ร ไกพํ ันธโ๑ุ รด๏ ไอส๑แลนดแ๑ ดง ที่มา : http://onwimon.blogspot.com/p/blog-page.html สถานีปศุสตั ว๑

82 2. บาร๑พลมี ทั รอ็ ค หรือที่เรียกกนั วํา ไกํบาร๑ เปน็ ไกํพันธพ๑ุ ลมี ัทร็อค ผิวหนงั สีเหลอื ง ไกํพนั ธ๑ุบาร๑พลีมัทรอ็ ค ท่มี า : http://onwimon.blogspot.com/p/blog-page.html 3. เล็กฮอร๑นขาวหงอนจกั ร จดั เปน็ ไกพํ ันธุ๑ทีน่ ิยมเล้ยี งกนั แพรหํ ลายมากทสี่ ุดในบรรดาไกํเล็กฮอรน๑ ด๎วยกัน ปจั จบุ นั นยิ มผสมขา๎ มสายพันธ๑ตุ ัง้ แตํสองสายพนั ธ๑ุขึ้นไป เพ่อื ผลิตเป็นไกไํ ขลํ ูกผสมเพือ่ การคา๎ ไกํพนั ธ๑ุเลก็ ฮอร๑นขาวหงอนจักร ทีม่ า : http://onwimon.blogspot.com/p/blog-page.html ไกล่ กู ผสม เป็นไกํท่เี กิดจากการผสมพนั ธ๑ุระหวํางไกพํ ันธ๑แุ ท๎ 2 พนั ธุ๑ โดยมจี ดุ ประสงคเ๑ พอ่ื ให๎ไดไ๎ กํทีใ่ ห๎ไกํดก เพื่อเปน็ การผลิตไขํในราคาที่ถูกท่ีสุด สํวนมากแล๎วการผสมไกํประเภทนี้ลูกผสมท่ีได๎จะมีลักษณะบางอยํางท่ีดีกวําพํอ แมพํ ันธุ๑ โดยเฉพาะความทนทานตอํ โรค ไกํลูกผสมที่ยังมีผ๎ูนิยมเล้ียงอยูํบ๎าง ได๎แกํ ไกํลูกผสมระหวํางพํอโร๏ด+ แมํบาร,๑ พํอบาร+๑ แมโํ ร๏ด, เลก็ ฮอรน๑ +โร๏ด, โร๏ด+ไฮบรดิ และลกู ผสม 3 สายเลือด คือ ลูกตวั เมียท่ีไดจ๎ ากลูกผสม พอํ โร๏ด+แมํบาร๑ นําไปผสมกับพํอไกํอู ลูกผสมที่ไดจ๎ ะมีเนื้อดี โตเร็วและไขํดพี อสมควร เหมาะสําหรับนําไป เลี้ยงเป็นรายได๎เสริม สถานีปศุสัตว๑

83 ไกไฮบรดี เป็นไกพํ นั ธไุ๑ ขํท่ีมผี ูน๎ ิยมเลยี้ งมากทสี่ ุดในปจั จุบัน เปน็ พนั ธ๑ไุ กทํ ี่ผสมขึ้นเป็นพเิ ศษ ซงึ่ บรษิ ัทผผู๎ ลติ ลูกไกํ พนั ธ๑จุ ําหนาํ ยไดม๎ ีการพฒั นาและปรับปรุงพนั ธุ๑ให๎ได๎ ไกพํ นั ธท๑ุ ี่ใหผ๎ ลผลิตไขํสูง และมีคณุ ภาพตามความตอ๎ งการ ของตลาด คือ ให๎ไขํดก เปลือกไขสํ ีนํ้าตาล ไขํฟองโตและไขํทน ไกไํ ฮบรีดจะมลี กั ษณะเดนํ ประจาํ พันธุแ๑ ละมี ขอ๎ มูลประจําพนั ธอ๑ุ ยํางละเอยี ด เชนํ อัตราการเจริญเติบโต เปอรเ๑ ซ็นต๑การไขํ ระยะเวลาในการใหไ๎ ขํ ขนาด ของแมไํ กํ อัตราการเลีย้ งรอด ขนาดของฟองไขํ สขี องเปลอื กไขํ ปรมิ าณอาหารท่ีกิน เปน็ ต๎น อยาํ งไรกต็ ามไกํ ไฮบรดี นตี้ ๎องเล้ียงด๎วยอาหารทมี่ คี ุณภาพสงู มกี ารจัดการทถี่ ูกต๎อง เชํน การควบคุมนา้ํ หนักตวั การควบคมุ การ กนิ อาหาร การควบคมุ แสงสวาํ ง ตลอดทั้งการสขุ าภบิ าลและการปูองกันโรคที่ดี ด๎วยเหตุน้ที ่ีไกํไฮบรดี สวํ นใหญมํ กี ารผสมพนั ธท๑ุ ่ดี าํ เนนิ การโดยบรษิ ทั ผลติ พันธุ๑ไกํเป็นการค๎า ซง่ึ จะ รักษาไกํตน๎ พันธ๑แุ ละระบบการผสมพนั ธุไ๑ วเ๎ ปน็ ความลบั เพือ่ ผลประโยชน๑ ในทางการค๎า ไกไํ ขไํ ฮบรีดจึงมีช่ือ แตกตํางกันออกไปตามแตํบริษัทผ๎ูผลติ จะตง้ั ขนึ้ ทน่ี ิยมเล้ยี งกันในประเทศไทย ได๎แกํ ดคี าร๑บ, ซุปเปอรฮ๑ าร๑โก,๎ เอ-เอบราวน๑, เซพเวอร๑สตารค๑ ร็อส, เมโทรบราวน๑ เปน็ ต๎น โรงเรือนไกไ่ ข่ การจดั สร๎างโรงเรือนเลย้ี งไกเํ พ่ือการค๎านน้ั จาํ เป็นจะต๎องจัดสร๎างโรงเรอื นให๎ถูกแบบ มีความแข็งแรง ทนทาน และสามารถใชเ๎ ลี้ยงไกํได๎นานปี จาํ เปน็ อยาํ งยง่ิ ทีผ่ ูเ๎ ลี้ยงไกไํ ขํจะต๎องสร๎างโรงเรือนให๎ถูกแบบมาตรฐาน ตามสภาพแวดลอ๎ มของประเทศไทย โรงเรอื นทด่ี ีควรมีลักษณะดงั น้ี 1. สามารถปูองกนั แดด ลม และฝนไดด๎ ี 2. ปูองกนั ศัตรูตํางๆ เชนํ นก, หน,ู แมว ได๎ 3. รักษาความสะอาดไดง๎ าํ ย ลักษณะทด่ี โี รงเรือนควรเป็นลวด ไมรํ กรุงรัง น้าํ ไมขํ งั 4. ควรหํางจากบา๎ นคนพอสมควร ไมํควรอยํูทางด๎านตน๎ ลมของบ๎าน เพราะกล่นิ ข้ีไกอํ าจจะไปรบกวน ได๎ 5. ควรเป็นแบบท่ีสร๎างไดง๎ ําย ราคาถูก ใชว๎ สั ดุกํอสร๎างทห่ี าได๎ในทอ๎ งถ่ิน 6. หากมีโรงเรือนไกไํ ขํหลายๆ หลงั การจัดสรา๎ งไมคํ วรให๎เปน็ เรือนแฝดแตํควรเวน๎ ระยะหํางของแตํละ โรงเรือนไมํ น๎อยกวาํ 10 เมตร ทัง้ น้ี เพ่อื ใหม๎ กี ารระบายอากาศ และความชน้ื ดขี นึ้ สถานีปศสุ ัตว๑

84 การเลี้ยงไกไํ ขเํ ปน็ อาชีพหรอื เพือ่ การค๎าจําเป็นทจ่ี อ๎ งมีอุปกรณก๑ าร เลย้ี งทจี่ ําเปน็ และสาํ คญั นบั ต้ังแตรํ ะยะลกู ไกจํ นถึงระยะให๎ไขํ ดงั น้ี 1. อุปกรณก์ ารใหอ้ าหาร มอี ยูํหลายแบบแตทํ นี่ ยิ มใช๎กันมากมี 4 ชนดิ คือ อุปกรณก๑ ารใหอ๎ าหาร ทมี่ า : http://www.sahavicha.com/?name=knowledge&file=readknowledge&id=1360 1.1 ถาดอาหาร ขนาด 48 x 72 x 6.5 เซนตเิ มตร (กวา๎ งxยาวxสูง) จํานวน 1 ถาด ใช๎กับลกู ไกํอายุ 1- 7 วัน ได๎จาํ นวน 100 ตวั วางไวใ๎ ต๎เคร่อื งกก เพ่ือหัดไกกํ นิ อาหารเปน็ เร็วขึ้น 1.2 รางอาหาร ทาํ ด๎วยไม๎ สังกะสี เอสลอํ นหรือพลาสตกิ ทาํ เป็นรางยาวให๎ไกํยนื กินได๎ขา๎ งเดยี วหรือ สองขาง ทีม่ จี ําหนาํ ยโดยทัว่ ไปมี 2 ขนาดคือ ขนาดเลก็ สําหรบลูกไกํ และขนาดใหญใํ ช๎กับไกํอายุประมาณ 2 สปั ดาหข๑ ึน้ ไป นอกจากนรี้ างอาหารอาจทําจากปลอ๎ งไม๎ไผทํ ่มี ขี นาดใหญแํ ทนก็ได๎ 1.3 ถังอาหาร ทําด๎วยเอสลอํ นหรือพลาสตกิ เปน็ แบบถงั แขวนมีขนาดเดยี วเปน็ มาตรฐาน มีขนาด เสน๎ ผําศนู ย๑กลาง 16 นว้ิ มเี สน๎ รอบวงประมาณ 50 นว้ิ หลงั จากลกู ไกํอายุได๎ 15 วัน อาจใช๎ถังอาหารแบบแขวน ได๎ และใหอ๎ าหารดว๎ ยถังตลอดไป การใหอ๎ าหารดว๎ ยการใช๎ถงั แขวนนี้ตอ๎ งปรบั ใหอ๎ ยใูํ นระดับเดียวกบั หลงั ไกํหรือ ต่ํากวําหลงั ไกเํ ล็กน๎อย อาหารจะไหลลงจานลาํ งได๎โดยอตั โนมตั ิ และควรเขยาํ ถังบํอยๆ เพื่อไมํให๎อาหารติดคา๎ ง อยภูํ ายในถงั สาํ หรบั จาํ นวนถังสาํ หรบั ถังท่ใี ชจ๎ ะแตกตํางไปตามอายขุ องไกํ 1.4 รางอาหารแบบอตั โนมัติ โรงเรือนขนาดกว๎างประมาณ 10-12 เมตร ใชร๎ างอัตโนมัติ 2 แถว แลว๎ เพิ่งถงั อาหารแบบแขวนจํานวน 6-8 ถงั ตอํ ไกํจํานวน 1,000 ตัว แตถํ ๎าโรงเรือนที่มคี วามกวา๎ งเกิน 12 เมตร ควรต้ังรางอาหารเกนิ 4 แถว 2. อปุ กรณใ์ หน้ า้ แตกตํางกันไปตามชํวงอายขุ องไกํ อุปกรณ๑ใหน๎ ํ้าที่นิยม มีอยูํ 2 แบบ ดังน้ี 2.1 แบบรางยาว รางนา้ํ อาจทําดว๎ ยสังกะสี พลาสตกิ หรือเอสลอํ น การเลยี้ งลูกไกํอายุ 1-3 สปั ดาห๑ ถา๎ ใชร๎ างนาํ้ ทเี่ ขา๎ ไปกนิ ไดด๎ ๎านเดยี ว ควรใชร๎ างยาว 2-2.5 ฟุตตอํ ลูกไกํ 100 ตวั สาํ หรบั ไกํอายุ 3 สัปดาห๑ข้ึนไป ให๎ เพิ่มอีก 3 เทาํ โดยเฉพาะอยํางยง่ิ ในฤดูรอ๎ นควรเพิ่มข้ึนอีก สาํ หรับไกํในระยะไขํ ควรใหม๎ ีเนอื้ ทรี่ างประมาณ 1 นิว้ ตํอ ไกํ 1 ตวั 2.2 แบบขวดมีฝาครอบ เปน็ ภาชนะให๎นํา้ ท่นี ิยมใชม๎ ากเพราะใชส๎ ะดวกมขี ายอยูทํ ่วั ไป มหี ลายขนาด หรอื เกษตรกรอาจดดั แปลงจากขอบประมาณ 1 เซนติเมตร จํานวน 2 รู ใสนํ ้าํ สะอาดแล๎วคว่ําลงบนจานหรอื สถานีปศุสัตว๑

85 ถาดใช๎เลีย้ งลูกไกไํ ด๎ลูกไกํในระยะ 1-2 สัปดาห๑แรกควรใชข๎ วดน้ําขนาดบรรจุ 2 แกลลอน ในอตั ราสํวน 2 ใบ ตํอ ลกู ไกํ 100 ตวั เม่อื ลกู ไกอํ ายุ 3-6 สปั ดาห๑ ใชข๎ วดน้ําขนาดบรรจุ 2 แกลลอน ควรใช๎ 2 ใบตอํ ลูกไกํ 100 ตวั 3. เครอื่ งกกลูกไกํ เป็นอุปกรณท๑ ม่ี ีความสําคญั มากในการเลยี้ งลูกไกํ ทําหนา๎ ทใ่ี หค๎ วามอบอนุํ แทนแมไํ กํ ในขณะทล่ี ูกไกยํ งั เล็กอยูํ ซ่งึ มหี ลายแบบ ดงั น้ี เครื่องกกลูกไกํ ที่มา : http://www.thainativechicken.com/web/?name=page&file=page&op=chicken%201 3.1 เครอื่ งกกแบบฝาชี เป็นเคร่อื งกกท่ีนยิ มใช๎กนั อยํางแพรํหลายกวําเครอ่ื งกกแบบอืน่ มีรูปราํ งและ ขนาดแตกตาํ งกัน สวํ นมากมรี ูปรํางกลมหรือเปน็ เหลี่ยม ทําดว๎ ยโลหะชํวยใหค๎ วามร๎อนสะทอ๎ นลงสพํู ้ืนกก ขนาด ของกกแบบฝาชโี ดยทัว่ ไปมเี สน๎ ผาํ ศนู ยก๑ ลางประมาณ 1.5-2 เมตร สามารถกกลกู ไกไํ ด๎ประมาณ 500 ตวั เครื่องกกแบบฝาชีอาจจะเปน็ ห๎วยแขวนกับเพดาน สามารถปรบั ใหส๎ งู ตํา่ ไดต๎ ามต๎องการ เมื่อไมตํ อ๎ งการใชก๎ ็ สามารถดึงขน้ึ เก็บไว๎หรอื อาจเป็นแบบมีขาวางกบั พนื้ คอก ทส่ี ามารถปรับใหส๎ ูงต่าํ ได๎ และยกออกจากบรเิ วณกก เม่อื ไมํตอ๎ งการใช๎ เครื่องกกแบบนสี้ ํวนมากจะใช๎ไฟฟูา น้าํ มนั หรอื แก๏ส เป็นแหลงํ ให๎ความร๎อน 3.2 เครอ่ื งกกแบบหลอดอนิ ฟราเรด การกกดว๎ ยเครื่องกกแบบนีโ้ ดยใช๎หลอดไฟอนิ ฟราเรด ซึง่ หลอดไฟอนิ ฟราเรดขนาด 250 วัตต๑ 1 หลอด แขวนไว๎เหนือพืน้ ดนิ ประมาณ 45-60 เซนติเมตร จะสามารถกก ลกู ไกไํ ดป๎ ระมาณ 60-100 ตัว แตโํ ดยท่วั ไปจะใช๎หลอดอินฟราเรดจาํ นวน 4 หลอดตอํ กก ความร๎อนท่ีได๎จาก หลอดไฟจะไมํชํวยให๎อากาศรอบๆ อนํุ แตํจะให๎ความอบอนุํ โดยตรงแกํลกู ไกํ 3.3 เครื่องกกแบบรวม เปน็ การกกลูกไกํจาํ นวนมากๆ โดยให๎ความรอ๎ นจากแหลงํ กลางแล๎วปลอํ ยความ ร๎อนไปตามทอํ ในรปู ของน้ํารอ๎ นหรือไอ นํ้า วางทอํ ไปตามความยาวของโรงเรือนตรงกลางใตค๎ อนกรตี อยํางไรก็ ดี การกกลูกไกํด๎วยวิธนี กี้ ารใหค๎ วามร๎อนจะไมํทั่วพ้ืนคอนกรีตทั้งคอก แตจํ ะใหเ๎ ฉพาะตรงสํวนกลางไปตามความ ยาวของโรงเรือน กว๎างเพยี ง 2-2.5 เมตรเทาํ นั้น นอกจากนก้ี ารกกแบบรวมอาจปลํอยความร๎อนออกมาในรปู ของลมร๎อนออกมาตามทํอกระจาย ไปทั่วคอก ซึ่งแหลํงใหค๎ วามรอ๎ นอาจได๎จากนํ้ามัน แกส๏ ถํานหนิ หรอื ไม๎ฟืน เปน็ ต๎น 4. รงั ไข่ รังไขทํ ดี่ ตี ๎องมีขนาดกวา๎ งพอ สามารถเคลื่อนยา๎ ยได๎ ทําความสะอาดได๎งําย มีการระบาย อากาศได๎ดี เยน็ ภายในมคี วามมดื พอ และวางอยํูในทมี่ ีความเหมาะสมภายในโรงเรอื นไกํไขํ รงั ไขํอาจะทาํ ด๎วย ไม๎หรือสังกะสี รังไขทํ าํ ดว๎ ยไม๎อาจจะมีปญั หาเรอ่ื งการทาํ ความสะอาด และจะเป็นทีอ่ าศัยของไรแดง สถานปี ศุสัตว๑

86 รงั ไขํที่ทาํ จากไม๎ ที่มา : http://www.thaiarcheep.com/เคล็ดไมลํ บั ทําใหไ๎ กไํ ขํ.html 5. วัสดุรองพื้น หมายถึง วสั ดุท่ีใช๎รองพน้ื คอกเพื่อให๎ไกํในคอกสะอาดและอยํูไดส๎ บาย วัสดุท่ีใชร๎ องพื้น คอกเล้ียงไกํควรหาได๎งํายในท๎องถ่ิน ราคาถูก และเมื่อเลิกใช๎แล๎วสามารถนําไปใช๎เป็นปุ๋ยได๎อยํางดี วสั ดรุ องพ้นื ทเ่ี หมาะสําหรบั ใช๎ในประเทศไทยและนิยมใช๎กันท่ัวไป ได๎แกํ แกลบ ข้ีกบ ข้ีเลื่อย ชานอ๎อย ฟางข๎าว ซงั ขา๎ วโพด ตน๎ ขา๎ วโพด เปลอื กฝูาย เปลือกถ่ัวลิสง เปลือกไม๎และทราย ถ๎าใชแ๎ กลบควรมีฟางข๎าวโรยหน๎าบางๆ เพือ่ ปูองกนั ไกคํ ๎ยุ แกลบลงไปในรางน้ําและรางอาหาร 6. อุปกรณก์ ารใหแ้ สง เนอ่ื งจากแสงสวํางมีความจําเป็นตํอการมองเหน็ ของไกํ ไมวํ ําเวลากินอาหาร กนิ น้ํา หรอื อน่ื ๆ นอกจากนี้แสงยงั มคี วามสาํ คญั ตํอการให๎ไขํของไกํ ดังน้ัน ภายในโรงเรือนจะตอ๎ งมีอปุ กรณ๑การให๎ แสงสวํางอยาํ งเพียงพอ โดยท่วั ไปนยิ มติดตั้งหลอดไฟ หลอดไฟท่นี ยิ มใช๎กันมาก คอื หลอดกลมธรรมดาและ หลอดฟลูออเรสเซนตห๑ รือหลอดนีออน การตดิ หลอดไฟเพ่ือการมองเหน็ ของไกํ ทม่ี า : http://www.farmkaikhai.com/board/index.php/topic,144.0.html สถานีปศุสตั ว๑

87 7. ผา้ ม่าน ในระยะกกลูกไกํรอบๆ คอกมผี า๎ มํานไวเ๎ พ่ือปูองกนั ลมพัดแรงโดยเฉพาะในชํวงฤดหู นาว การปดิ ผา๎ มาํ นจะทําใหอ๎ ุณหภูมิภายในโรงเรอื นและอณุ หภูมิใตเ๎ คร่ืองกกอยูํใน สภาพท่ีคอํ นข๎างคงที่ ไมํเปลีย่ น แปลงขน้ึ ลงอยาํ งรวดเรว็ สาํ หรับการกกลกู ไกํในฤดรู อ๎ น ควรเปิดมํานขึน้ เล็กนอ๎ ยในเวลากลางวนั เพอื่ ใหล๎ มพัด ผํานภายในโรงเรือน และปดิ มาํ นในตอนเยน็ 8. คอนนอน การเลย้ี งไกํไขํแบบปลํอยพืน้ โดยเฉพาะในระยะไกํสาว มีความจําเปน็ จะต๎องทําคอนนอน สําหรับให๎ไกํไดน๎ อน และยังชํวยให๎ไกํเย็นสบาย ไมํร๎อนอบอ๎าวเหมือนอยํูในคอกคอนนอนอาจะทําข้ึนเป็นคอน นอนโดยเฉพาะ โดยใชไ๎ ม๎ขนาด 1x4 น้ิว หรือ 1x3 นิ้ว หรือ 2x3 นิ้ว หรือ 2x2น้ิว ก็ได๎ สํวนความยาวตาม ตอ๎ งการ ลบเหล่ยี มไม๎ให๎กลมเพ่ือให๎ไกํเกาะไดส๎ ะดวกและไมเํ ปน็ อนั ตรายตอํ เทา๎ และอก ไกํ โดยวางเอาด๎านแคบ ข้ึน วางหํางกันประมาณ 33-41 เซนตเิ มตร ให๎มีเน้ือท่ีคอนนอน 10-15 เซนตเิ มตรตอํ ตวั สําหรับไกํสาว และ 18-20 เซนตเิ มตร สาํ หรับไกํไขํ ใตค๎ อนนอนและด๎านข๎างตอ๎ งบดุ ว๎ ยลวดตาขาํ ยเพือ่ ปูองกนั ไมใํ หไ๎ กเํ ขา๎ ไปคย๎ุ เขี่ย อุจจาระใต๎คอนนอน ควรอยูํติดข๎างฝาดา๎ นใดดา๎ นหน่ึงของโรงเรือน ในระยะไกํสาวควรลดระดับด๎านหน๎าของ คอนนอนลงให๎ต่ําพอท่ีไกํจะข้ึนเกาะคอนได๎ สะดวก เม่ือไกํโตข้ึนคํอยยกระดับข้ึนให๎สูงกวําระดับปกติด ประมาณ 75 เซนตเิ มตร คอนนอนไกํ ทีม่ า : http://elearning.nsru.ac.th/web_elearning/animals/lesson5_2.php สถานปี ศุสัตว๑

88 อาหารไก่ไข่ อาหารเปน็ องค๑ประกอบทส่ี าํ คัญทส่ี ดุ ทจ่ี ะทําใหก๎ ารเล้ียงไกไํ ขํมีกาํ ไร หรือขาดทนุ เน่ืองจากตน๎ ทนุ การ ผลติ ประมาณ 60-70 เปอร๑เซ็นตข๑ องต๎นทุนท้งั หมดเป็นคําอาหาร ไกํไขนํ ้ันนอกจากจะตอ๎ งการอาหารเพือ่ การ ดาํ รงชพี การเจริญเติบโตแลว๎ ยงั ตอ๎ งนําไปใชใ๎ นการผลิตไขอํ ีกด๎วย การที่ผ๎ูเลี้ยงจะลดตน๎ ทนุ การผลติ ในสวํ น ของคําอาหารลงนั้น สามารถทาํ ได๎โดยการประกอบสูตรอาหารท่มี รี าคาถูก แตํคุณภาพดี เลอื กใช๎วตั ถดุ บิ อาหาร สตั ว๑ทมี่ รี าคาถกู ตามฤดกู าลและให๎อาหารแกํไกํกนิ อยําง มีประสิทธิภาพ เพอื่ ให๎ไดไ๎ ขํที่มคี ณุ ภาพและตน๎ ทนุ ตํ่า ชนิดของอาหารท่ีใชเ้ ลย้ี งไก่ไข่ 1. อาหารผสม เปน็ อาหารผสมจากวตั ถุดบิ ทบี่ ดละเอยี ดแลว๎ หลายๆ อยาํ งคลกุ เคลา๎ ใหเ๎ ข๎ากนั โดยมาก จะเติมยาปฏิชวี นะ, วิตามิน, แรํธาตุ และกรดอะมโิ นท่จี ําเป็นลงไปดว๎ ย อาหารนี้นาํ ไปเลีย้ งไกไํ ด๎ทนั ทโี ดยไมํตอ๎ ง เสรมิ อะไรอกี 2. หัวอาหาร เป็นอาหารเข๎มขน๎ ท่ีผสมจากวตั ถุดบิ พวกโปรตีนจากพืช สัตว๑ ไวตามนิ แรธํ าตุ และยา ตํางๆ ยกเวน๎ ธญั พชื หรอื วตั ถุดิบบางอยําง ท้ังนเ้ี พ่อื ใหเ๎ หมาะสมและลดต๎นทนุ คาํ อาหาร แตลํ ะทอ๎ งถิ่นทม่ี ี วตั ถุดบิ อ่ืนบางอยาํ งราคาถูกหรือท่ีปลูกเก็บเก่ยี วเอง เชนํ ขา๎ วฟุาง ขา๎ วโพด เมอื่ ผสมกบั อาหารขน๎ ตาม อัตราสํวนที่กําหนด ก็จะได๎อาหารสมดุลซ่งึ มีโภชนะตํางๆ ครบถว๎ นตามความตอ๎ งการ 3. อาหารอัดเม็ด เป็นการนาํ อาหารผสมสาํ เรจ็ รปู ทอี่ ยใํู นรปู ของอาหารผสมไปผํานกรรมวธิ กี ารอัดเม็ด ก็จะไดอ๎ าหารอดั เม็ดขนาดตํางๆ ตามอายขุ องไกํ 4. อาหารเสริม คืออาหารหรือวัตถดุ ิบทีเ่ ตมิ ไปกบั สวํ นประกอบตาํ งๆ ทจี่ ะผสมเปน็ อาหารใช๎เลย้ี งสตั ว๑ เพื่อชํวยเสริมคุณภาพของอาหารน้ันๆ ใหด๎ ขี ้ึนและใหเ๎ ปน็ อาหารทส่ี มดลุ การทาวคั ซีนไกไ่ ข่ 1. วคั ซีนเชือ้ เปน็ เป็นวัคซีนท่เี ตรยี มจากเช้อื ท่มี คี วามรนุ แรงแตํถูกทําใหอ๎ อํ นแอลง หรือถกู ทาํ ให๎เกิด การเปลยี่ นแปลงไปเป็นจลุ ชพี ทไี่ มํมคี วามรนุ แรง ซึ่งไมํสามารถทาํ ให๎เกดิ โรคได๎ จลุ ชพี เหลาํ น้ีสามารถแบํงตวั เพิม่ จํานวนไดเ๎ ม่ือเขา๎ สรูํ ํางกาย ทาํ ให๎เกดิ ความเครียดหรอื เกดิ อาการแพว๎ คั ซนี วัคซนี เชือ้ เปน็ สามารถใหไ๎ กไํ ด๎ที ละตัว โดยการหยอดตาหรือหยอดจมกู หรอื ใหไ๎ กเํ ปน็ กลมุํ โดยการละลายในนาํ้ ดมื่ หรือการสเปรย๑ ทาํ ให๎ ประหยดั แรงงาน วัคซีนเชอ้ื เป็นสามารถถกู ทาํ ลายได๎งาํ ยโดยภูมคิ ม๎ุ กนั ทถ่ี ํายทอดมาจากแมแํ ตํ ใหค๎ วามค๎ุมโรค สงู อาจทําใหส๎ ตั วเ๑ กิดโรคได๎ แตํการเก็บรักษายงํุ ยากกวําวัคซีนเช้ือตาย และมีราคาถกู 2. วคั ซีนเช้อื ตาย เปน็ วัคซนี ที่มักเตรยี มจากเช้อื ทคี่ วามรนุ แรงท่ีถกู ทําให๎ตายโดยทางเคมีหรือ ฟิสิกส๑ จลุ ชพี เหลํานี้ไมสํ ามารถแบงํ ตวั เพิม่ จํานวนได๎เมอื่ เข๎าสูรํ าํ งกาย จึงมคี วามปลอดภยั แตใํ หค๎ วามค๎ุมโรคตาํ่ วัคซนี เช้อื ตายจะให๎โดยวธิ ีการฉดี เทํานั้น สารทใี่ ชผ๎ สมกับวัคซีนจะเป็นนํ้ามนั หรอื อลูมิน่ัมไฮดร็อกไซด๑ สามารถกระต๎ุน ใหเ๎ กดิ ภมู คิ ุ๎มกนั ไดด๎ ี วคั ซนี เชอื้ ตายมรี าคาแพงแตํเก็บรกั ษางาํ ย วิธกี ารทาวัคซนี การทําวคั ซนี ไกํสามารถทาํ ไดห๎ ลายวิธีทง้ั น้ขี ้ึนอยูํกับชนิดของวัคซีนท่ีใชแ๎ ละชนดิ ของโรค 1. การหยอดตาหรอื หยอดจมกู เปน็ การสรา๎ งภูมิคุ๎มกันเฉพาะที่ เพ่อื ปอู งกนั โรคทเ่ี กิดขนึ้ กบั ระบบ ทางเดินหายใจ เชนํ โรคนิวคาสเซลิ และหลอดลมอกั เสบ โดยละลายวัคซีนในนา้ํ ยาละลายวัคซีน (น้ํากลน่ั ท่ี สถานีปศสุ ตั ว๑

89 อุณหภมู ิห๎อง) การใชน๎ าํ้ เยน็ จดั อาจทาํ ใหเ๎ ยอ่ื บุอกั เสบ ขวดท่ใี ชห๎ ยอดวัคซนี ควรเป็นขวดมาตรฐาน เพอ่ื ให๎ลูกไกํ ได๎รบั วคั ซนี ครบโดส๏ การหยอดตาให๎หยอดวคั ซีน 1-2 หยดตอํ ไกํ 1 ตวั ตาํ แหนงํ ทจ่ี ะหยอดวัคซนี ก็คอื ทบ่ี รเิ วณ มุมตาดา๎ นใน รอจนกระทงั่ วคั ซีนเขา๎ ไปในตาจงึ ปลํอยไกํ การหยอดจมูกจะให๎ผลดกี วําการหยอดตา การหยอด โดยใช๎นว้ิ มอื ปิดรจู มูกไว๎ข๎างหน่ึงแลว๎ จึงหยอดวัคซีนในรูจมกู อกี ข๎างหนึง การทําวัคซีนโดยการหยอดตาและ หยอดจมูกทาํ ให๎ไกํทกุ ตัวไดร๎ ับปรมิ าณวคั ซนี ที่ ใกลเ๎ คียงกันทุกๆ ตวั ดงั นนั้ ภูมคิ มุ๎ โรคทเี่ กิดจึงมีระดับใกล๎เคียง กนั เพยี งแตํวธิ ีการทํายุํงยาก เสยี เวลา และเสยี แรงงานมากกวาํ เทาํ นัน้ 2. การแทงปกี เปน็ การสร๎างภูมคิ มุ๎ กันเฉพาะที่ คือบริเวณใตผ๎ ิวหนัง เชํน วัคซีนปอู งกนั โรคฝดี าษ เป็น วคั ซีนท่ีมคี วามเข๎มขน๎ มาก เนอ่ื งจากใชน๎ ํา้ ยาละลายวัคซีนเพยี งเล็กน๎อย และใช๎เข็มจมํุ วัคซนี ครัง้ ละ 0.01 ซี.ซ.ี โดยสงั เกตุจากการท่วี คั ซีนเตม็ รูเข็มทง้ั สองข๎าง แลว๎ แทงเข็มจากทางด๎านลาํ งผาํ นทะลุผนังของปีกไกํ ระวังอยาํ ใหแ๎ ทงผาํ นขน กล๎ามเน้อื หรอื กระดกู ภายใน 7-10 วัน หลงั จากทําวคั ซนี จะเกดิ รอยสะเกด็ แผลทัง้ ดา๎ นบนและ ด๎านลาํ งของผนังปกี ไกํซงึ่ เกดิ จากการแทงเขม็ ผําน 3. การฉีดเข้าใตผ้ ิวหนงั เป็นวิธที นี่ ยิ มใชใ๎ นการทาํ วัคซนี ปูองกนั โรคมาเร็กซ๑ โดยฉดี เขา๎ ใต๎ผิวหนัง บรเิ วณทา๎ ยทอยหรือฐานคอ ทําให๎การสรา๎ งภมู คิ ุม๎ กันเกดิ ขน้ึ อยาํ งช๎าๆ แตํใหผ๎ ลในการค๎ุมกันโรคนาน 4. การฉีดเขา้ กล้ามเนอื้ เป็นวิธที น่ี ยิ มใช๎กับวัคซีนชนิดเชื้อตาย ซง่ึ จะฉดี เขา๎ กลา๎ มเนือ้ หนา๎ อก การฉดี เข๎ากล๎ามเน้อื จะกระตุ๎นการสรา๎ งภมู คิ ุม๎ กนั ดีกวาํ การหยอดตาและจมกู เพราะจะไปกระตุน๎ ระบบภมู คิ มุ๎ กนั ด๎วย สารนาํ ขึ้นในกระแสเลือดและเกดิ การหมนุ เวยี นไปทั่วรํางกาย ทาํ ใหภ๎ มู ิคมุ๎ กันเกิดขน้ึ อยํางรวดเรว็ ได๎แกํ การ ฉดี วัคซนี ปูองกันโรคอหิวาตไ๑ กํ เปน็ ตน๎ 5. การละลายน้าด่ืม เป็นวธิ ที ีท่ ําได๎งาํ ย ประหยัดแรงงาน และเหมาะสาํ หรบั ไกจํ าํ นวนมากๆ แตํการ สรา๎ งภมู ิคุ๎มกนั จะมคี วามผันแปรคํอนข๎างมาก เนอื่ งจากไกํแตลํ ะตัวได๎รบั วคั ซีนในปรมิ าณท่แี ตกตํางกนั ดังนั้น จะต๎องหยดุ ให๎นํา้ ไกเํ ป็นเวลาอยาํ งน๎อย 2 ช่ัวโมงกํอนทําวคั ซนี เพอื่ กระตุ๎นใหไ๎ กํกระหายนํา้ และกินนา้ํ ผสม วัคซีนให๎หมดภายใน 2 ชวั่ โมง ระยะเวลาในการอดน้ําจะข้ึนอยกํู บั สภาพอากาศ อุปกรณใ๑ หน๎ ้าํ ตอ๎ งเพยี งพอ สําหรบั ไกํจํานวน 2 ใน 3 ของคอกสามารถเข๎าไปกนิ น้ําได๎พร๎อมๆ กัน ถ๎าไมํพออาจเพ่มิ อุปกรณใ๑ หน๎ า้ํ ขน้ึ มา ชว่ั คราวสําหรบั การน้ีโดยเฉพาะ จุดนีถ้ ือวาํ เปน็ สํวนทส่ี าํ คยั ทีส่ ดุ เพราะการล๎มเหลวจากการใหว๎ คั ซนี น้ีมกั เกดิ จากระบบน้ําไมํถกู ตอ๎ งและอปุ กรณ๑ ไมเํ พียงพอ สาํ หรับปริมาณนา้ํ ทใี่ ชล๎ ะลายวัคซนี จะผนั แปรไปตามอายุของ ไกํ 4.4.4 แพะ แพะพ้ืนเมอื งในประเทศไทย มีหลายพนั ธุด๑ ว๎ ยกัน แพะทางแถบตะวนั ตก เชํน ท่จี ังหวดั ตาก จงั หวัด กาญจนบรุ ี เป็นแพะทําจากประเทศอนิ เดยี หรอื ปากีสถานมรี ูปราํ งใหญํกวาํ แพะทางใต๎ สวํ นแพะทางใตข๎ อง ประเทศไทยมขี นาดเล็ก เข๎าใจกันวาํ มสี ายพันธเุ๑ ดยี วกับแพะพน้ื เมอื งของมาเลเซยี คือ พนั ธแ๑ุ กมบงิ กตั จัง แพะพน้ื เมืองทางใต๎มีความสงู ประมาณ 50 เซนตเิ มตร มีนาํ้ หนักประมาณ 20-25 กโิ ลกรัม ให๎ผลผลิตท้ังเนอื้ และนม สถานีปศุสัตว๑

90 เนอื่ งจากแพะพนื้ เมืองของประเทศไทยมีขนาดเลก็ ให๎ผลผลติ ตํ่า กรมปศสุ ัตว๑มีเปาู หมายที่จะปรบั ปรุง พันธุ๑แพะของประเทศไทยใหม๎ ีคุณภาพสงู ขนึ้ ใหแ๎ พะเปน็ สตั วท๑ ี่ใหท๎ ั้งผลผลติ ท้งั เน้ือและนม ดงั นัน้ จึงไดน๎ าํ แพะ พันธ๑ตุ ํางประเทศเข๎ามาเลี้ยงและขยายพันธใุ๑ หเ๎ กษตรกรนาํ ไปผสม พันธุก๑ ับแพะพืน้ เมือง เพ่ือใหค๎ ณุ ภาพของ แพะดีขน้ึ สําหรับแพะพนั ธตุ๑ าํ งประเทศทก่ี รมปศสุ ตั วน๑ ําเขา๎ มาขยายพันธ๑ุ ไดแ๎ กํ แพะพันธซุ์ าเนน แพะพนั ธ๑ุชาเนน ทม่ี า : http://pasusat.com/แพะ/ เป็นแพะนมท่ีมีขนาดใหญํให๎ผลผลิตนมสูงกวาํ แพะพันธ๑ุอื่นๆ แพะพันธน๑ุ ี้มีขนส้ัน ด้ังจมูกและใบหน๎ามี ลักษณะตรง ใบหูเลก็ และตงั้ ชไี้ ปขา๎ งหนา๎ ปกติจะไมํมีเขาท้ังในเพศผแู๎ ละเพศเมีย แตเํ น่ืองจากมีแพะกระเทยใน แพะพันธ๑นุ มี้ าก จึงควรคัดเฉพาะแพะทีม่ ีเขาไวเ๎ ปน็ พํอพนั ธุ๑ เพราะมีรายงานวําลกั ษณะกระเทยมีความสัมพนั ธ๑ ทางพนั ธ๑กุ รรมอยูํกับลักษณะของ การไมํมีเขา แพะพันธนุ๑ ้ีมีสีขาว สีครีม หรือสีน้ําตาลออํ นๆนํ้าหนักโตเต็มท่ี ประมาณ 60 กิโลกรัม สูงประมาณ 70-90 เซนติเมตร ให๎นํ้านมประมาณวันละ 2 ลิตร ระยะเวลาการให๎ นมนานถึง 200 วัน มีหลายประเทศในแถบเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต๎ ท่ีเล้ียงแพะพันธนุ๑ ้ีอยูํมาก เชํน มาเลเซีย ฟิลิปปินส๑และประเทศไทย แตํก็มีปัญหาเพราะวําแพะพันธ๑ุนี้ปรับตัวเข๎ากับภูมิอากาศในแถบน้ีไมํคํอยดีนัก แตถํ ๎าหากเลีย้ งแพะพันธุน๑ ไ้ี ว๎ในลกั ษณะขังคอกตลอดเวลา กจ็ ะทาํ ใหป๎ ัญหาเรอื่ งเจบ็ ปุวยลดลงใหผ๎ ลผลิตดี สถานีปศสุ ัตว๑

91 แพะพันธแ์ุ องโกลนเู บยี น แพะพันธ๑แุ องโกลนเู บียน ทีม่ า : http://pasusat.com/แพะ/ กรมปศุสัตวน๑ ําเข๎ามาเลี้ยงขยายพันธุก๑ วาํ 20 ปีแลว๎ เพือ่ ปรบั ปรงุ พันธ๑ุแพะพ้ืนเมอื งให๎มขี นาดใหญขํ นึ้ แพะพันธนุ๑ ี้มีขนาดใหญํ น้ําหนักตวั มีนํา้ หนักแรกเกดิ 2-5 กโิ ลกรมั น้าํ หนกั หยาํ นม ( 3 เดือน ) 15 กโิ ลกรัม ดัง้ จมูกมลี กั ษณะโดงํ และงมุ๎ ใบหยู าวและปรกลง ปกตแิ พะพันธ๑นุ ี้จะไมํมเี ขา แตํถ๎าหากมเี ขาเขาจะส้ันและเอน แนบติดกบั หนงั หวั ขนส้ันละเอยี ดเป็นมนั มขี ายาวซงึ่ ชํวยให๎เตา๎ นมอยูํสงู กวํา ระดับพนื้ มากและทําใหง๎ ํายตํอ การรดี นม และยังชวํ ยให๎เตา๎ นมไมํไดร๎ บั บาดเจ็บเนอื่ งจากหนามวัชพชื เกยี่ ว แพะพันธนุ๑ ี้มหี ลายสี เชํน ดาํ เทา ครมี นาํ้ ตาล นา้ํ ตาลแดง และมีจุดหรอื ดํางขนาดตาํ งๆไดผ๎ ลผลิตนา้ํ มันประมาณ 1.5 ลติ รตํอวนั ระยะเวลาให๎ น้ํานมประมาณ 165 วัน แพะพนั ธเ์ุ บอร์ แพะพนั ธ๑เุ บอร๑ ทีม่ า : http://pasusat.com/แพะ/ สถานปี ศุสตั ว๑

92 กรมปศุสตั วน๑ ําเขา๎ มาจากประเทศแอฟริกาใต๎ เมอื่ ปี พ.ศ. 2539 เปน็ แพะเนอื้ ขนาดใหญํ ลักษณะเดนํ คือ มลี าํ ตัวสขี าว หวั และคอจะมีสีแดง ใบหยู าวปรก มนี ํา้ หนกั ประมาณ 90 กิโลกรมั ตัวเมยี หนักประมาณ 65 กิโลกรัม ตวั ผู๎หนกั ประมาณ 90-100 กโิ ลกรมั ตัวเมยี หนกั ประมาณ 65-70 กิโลกรมั จํานวนลูก 2-3 ตวั /ครอก และมีอตั ราการใหล๎ ูกแฝดสูง ใหน๎ ้ํานมวันละ 1.3-1.8 กโิ ลกรัม ใหน๎ มนาน 120 วัน นิยมเล้ยี งเป็นแพะเนอ้ื มากกวาํ แพะนม โรงเรือนและอุปกรณ์ในการเลยี้ งแพะ แพะก็เหมือนสัตวเ๑ ล้ยี งอื่นๆ คือจะตอ๎ งมสี ถานทีส่ าํ หรบั แพะไดพ๎ ักอาศัยหลบแดด หลบฝน หรือเป็นท่ี สาํ หรบั นอนในเวลากลางคนื การสร๎างโรงเรือนท่ีใช๎เลีย้ งแพะควรยดึ หลักตอํ ไปนี้ 1.พ้นื ทีต่ ั้งของคอก คอกแพะควรอยใูํ นทเ่ี นนิ นาํ้ ไมํทํวมขงั แตํถา๎ หากพื้นทท่ี ที่ าํ การเลยี้ งแพะมีน้าํ ทํวม ขงั เวลาฝนตก กค็ วรสร๎างโรงเรือนแพะใหส๎ งู จากพ้นื ดินตามความเหมาะสม แตํทางเดนิ สําหรบั แพะขน้ึ ลงไมํควร มีความสูงลาดสูงกวาํ 45 องศา เพราะหากสงู มากแพะจะไมคํ ํอยข้นึ ลง พ้นื คอกที่ยกระดับจากพ้ืนดนิ ควรให๎เป็น รอํ ง โดยใชไ๎ ม๎หนาขนาด 1 น้วิ กว๎าง 2 น้วิ ปูพ้ืนให๎เวน๎ รอํ งระหวํางไมแ๎ ตํละอนั หํางกันประมาณ 1.5 เซนตเิ มตร หรอื อาจจะใชพ๎ ืน้ คอนกรีต โดยปพู ้นื คอกแพะดว๎ ยสแลตทป่ี ูพ้นื คอกสุกรกไ็ ด๎ พืน้ ท่เี ปน็ รอํ งนี้จะทาํ ใหม๎ ลู ของ แพะตกลงข๎างลําง พืน้ คอกจะแหง๎ และสะอาดอยูํเสมอ 2.ผนงั คอก ผนังคอกแพะควรสร๎างใหโ๎ ปรงํ เพ่ือให๎อากาศถํายเทได๎ดี ผนงั คอกควรความสูงไมตํ ่ํากวํา 1.5 เมตร ท้งั นเ้ี พอื่ ปอู งกันไมํให๎แพะ กระโดดหรอื ปีนขา๎ มออกไปได๎ 3.หลงั คาโรงเรือน แบบของหลังคาโรงเรือนเลี้ยงแพะมีหลายแบบ เชํน เพิงหมาแหงน หรอื แบบหน๎า จั่ว เกษตรกรทจ่ี ะสรา๎ งควรเลอื กแบบที่คิดวาํ เหมาะสมกับสภาพภมู ิอากาศ และทนุ ทรพั ย๑ หลงั คาโดยปกตมิ กั จะ สรา๎ งให๎สงู จากพนื้ คอกประมาณ 2 เมตร ไมคํ วรสรา๎ งโรงเรอื นให๎หลังคาตา่ํ เกินไป เพราะอาจจะทําให๎รอ๎ นและ อากาศถํายเทไมํดี สําหรับวัสดทุ ใี่ ช๎มุงหลังคาจะใชจ๎ าก หรอื แฝก หรอื สงั กะสกี ไ็ ด๎ 4.ความตอ้ งการพน้ื ทีข่ องแพะ แพะมคี วามต๎องการพน้ื ทีใ่ นการอยํูอาศัยในโรงเรือนประมาณตัวละ 1 ตารางเมตร สวํ นใหญผํ เ๎ู ลี้ยงมักแบํงภายในโรงเรอื นประมาณตวั ละ 1 ตารางเมตร สํวนใหญผํ ูเ๎ ล้ยี งมกั แบํง ภายในโรงเรือนออกเป็นคอกๆแตลํ ะคอกขงั แพะรวมฝูงกัน ประมาณ 10 ตัว โดยคดั ขนาดของแพะ ใหใ๎ กล๎เคียง กันขังรวมฝูงกนั แตถํ ๎าหากเหน็ วาํ สน้ิ เปลอื งคํากํอสร๎างก็อาจขังแพะรวมกนั เป็นฝูงใหญใํ นโรง เรอื นเดยี วกนั โดย แบงํ เป็นคอกๆก็ได๎ 5.รั้วคอกแพะ เกษตรกรบางรายเลย้ี งแพะไวใ๎ นโรงเรือนและมบี รเิ วณสําหรบั ใหแ๎ พะเดนิ รอบโรง เรือน บรเิ วณเหลาํ นจี้ ะทาํ รวั้ ลอ๎ มรอบปอู งกนั ไมํใหแ๎ พะออกไปภายนอกได๎ รั้วทลี่ อ๎ มรอบโรงเรอื นแพะไมํควรใชล๎ วด สถานีปศสุ ัตว๑

93 หนามเป็นวสั ดุ เพราะแพะเปน็ สตั ว๑ซกุ ซน อาจได๎รบั อันตรายจากลวดหนามได๎ ร้วั ควรจะสร๎างด๎วยไมไ๎ ผํหรอื ลวด ตาขาํ ย ทกุ ระยะ 3-4 เมตร จะมเี สาปกั เพื่อยดึ ใหร๎ ั้วแข็งแรง หากจะสร๎างรวั้ ใหป๎ ระหยัดอาจใชํกระถินปลูกเป็น แนวรัว้ ปนกบั ใช๎ไมไ๎ ผํกจ็ ะทาํ ใหร๎ ้วั ไมไ๎ ผํคงทนและใช๎งานไดน๎ าน โดยระยะแรกสร๎างร้วั ไมไ๎ ผํแลว๎ ปลกู กระถนิ เปน็ แนวขา๎ งรวั้ ไผํ เมอ่ื กระถิ่นโตขน้ึ กจ็ ะเปน็ ร้วั ทดแทนตํอไป การเล้ียงแพะ มี 4 แบบ ดงั นี้ 1. การเลีย้ งแบบผูกล่าม การเลย้ี งแบบผูกลาํ ม ทีม่ า : http://www.manager.co.th/South/ViewNews.aspx?NewsID=9570000032618&Html=1&TabID=1& การเล้ียงแบบนีใ้ ช๎เชอื กผกู ลํามทค่ี อแพะแล๎วนําไปผูกให๎แพะหาหญ๎ากนิ รอบ บริเวณที่ผกู โดยปกติ เชอื กที่ใชผ๎ ูกลาํ มแพะมกั มคี วามยาวประมาณ 5-10 เมตร การเลีย้ งแบบน้ีผู๎เลย้ี งจะต๎องมนี าํ้ และอาหารแรธํ าตุ ไว๎ให๎แพะกินเปน็ ประจาํ ดว๎ ย ในเวลากลางคืนกต็ ๎องนําแพะกลับไปเลีย้ งไวใ๎ นคอกหรอื เพิงทม่ี ที หี่ ลบฝน การผูก ลํามแพะควรเลอื กพื้นทที่ ่ีมรี มํ เงาท่ีแพะสามารถหลบแดดหรือฝนไวบ๎ ๎าง หากจะใหด๎ ีเมอื่ ฝนตกควรไดน๎ ําแพะ กลับเขา๎ เล้ยี งในคอก 2.การเลยี้ งแบบปลอ่ ย การเล้ียงแบบปลํอย ทม่ี า : http://www.rakbankerd.com/agriculture/page.php?id=5136&s=tblanimal สถานีปศสุ ัตว๑

94 การเลย้ี งแบบปลํอยนเ้ี กษตรกรมกั ปลํอยแพะให๎ออกหากินอาหารใน เวลากลางวนั โดยเจ๎าของจะคอย ดูแลตลอดเวลา หรือเปน็ บางเวลาเทําน้ันลกั ษณะ การเล้ียงแบบนีท้ นี่ ิยมเลย้ี งกนั มากในบ๎านเราเพราะเป็นการ เล้ียงทป่ี ระหยัด เกษตรกรไต๎องตดั หญา๎ มาเลี้ยงแพะ การปลํอยแพะหาอาหารกินอาจปลอํ ยในแปลงผกั หลังการ เก็บเกี่ยวหรอื ปลํอยใหก๎ ิน หญ๎าในสวนยาง แตํต๎องระมัดระวงั อยําใหแ๎ พะเท่ยี วทําความเสียหายใหแ๎ กํพชื เกษตรกรเพาะปลกู ทงั้ น้ีเพราะแพะกนิ พชื ได๎หลายชนดิ การปลอํ ยแพะออกหากินอาหารกินไมํควรปลอํ ยเวลาท่ี แดดร๎อนจัดหรือฝนตก เพราะแพะอาจจะเจบ็ ปุวยได๎ โดยปกตเิ กษตรกรมักปลํอยแพะหากนิ อาหาร ตอนสาย แล๎วไลตํ ๎อนกลบั เขา๎ คอกตอนเทยี่ ง หรือปลอํ ยแพะออกหากนิ อาหารกนิ ตอนบํายแลว๎ ไลตํ ๎อนกลับเขา๎ คอกตอน เย็น หากพืน้ ทม่ี หี ญ๎าอดุ มสมบูรณแ๑ พะจะกนิ อาหารเพยี ง 1-2 ชวั่ โมงก็เพียงพอแล๎ว 3.การเลยี้ งแบบขังคอก การเล้ียงแบบขงั คอก ท่มี า : http://www.animals-farm.com/category/สตั ว๑บก/แพะ/ การเลย้ี งแบบนเี้ กษตรกรขังแพะไวใ๎ นคอกรอบๆ คอกอาจมีแปลงหญ๎าและร้วั รอบแปลงหญ๎าเพื่อให๎ แพะไดอ๎ ออกกินหญ๎าในแปลง บางครั้งเกษตรกรต๎องตดั หญา๎ เนเปียรห๑ รือกนิ นีใหแ๎ พะกนิ บ๎างนคอกตอ๎ งมนี ํา้ และ อาหารข๎นใหก๎ ิน การเลี้ยงวิธีนป้ี ระหยดั พืน้ ทีแ่ ละแรงงานในการดแู ลแพะ แตตํ ๎องลงทนุ สูง เกษตรกรจึงไมํนยิ ม ทาํ การเลย้ี งกัน สถานีปศสุ ัตว๑

95 4. การเลี้ยงแบบผสมผสานกบั การปลูกพืช การเลย้ี งแบบผสมผสานกับการปลกู พชื ทม่ี า : http://www.animals-farm.com/รปู แบบการเลยี้ งแพะ/ การเลี้ยงแบบนี้ ทําการเลยี้ งได๎ 3 ลกั ษณะ ท่ีกลาํ วข๎างตน๎ แตกํ ารเลีย้ งลักษณะนเ้ี กษตรกร จะเลย้ี งแพะ ปะปนไปกับการปลูกพชื เชํน ปลูกยางพารา ปลูกปาล๑มนํ้ามันและปลุกมะพร๎าว ในภาคใต๎ของประเทศไทย มี เกษตรกรจํานวนมากท่ีทําการเล้ียงแพะควบคํูไปกับการทําสวนยาง โดยให๎แพะหากินหญ๎าใต๎ยางที่มีขนาดโต พอสมควร การเลีย้ งแบบนที้ าํ ให๎เกษตรกรมรี ายไดเ๎ พมิ่ มากขนึ้ กวําการเพาะปลกู เพียงอยาํ งเดียว การปฏบิ ัตเิ ลี้ยงดแู พะ การปฏบิ ตั เิ ลย้ี งดแู พะตวั ผแ๎ู ละตวั เมยี กค็ ลา๎ ยกนั แตคํ วรแยกแพะตัวผู๎และตัว เมยี อยาํ ใหเ๎ ลี้ยงปนกัน ตัง้ แตอํ ายไุ ด๎ 3 เดือน การใชพ๎ อํ พนั ธุ๑ และแมพํ ันธผ๑ุ สมพนั ธก๑ุ ันควรมีอายุไมตํ าํ่ กวํา 8 เดือน 1.การเลี้ยงดพู อ่ พนั ธแุ์ พะ ภายหลงั จากแยกพํอพนั ธุ๑แพะอายุ 3 เดือนจากแพะตัวเมียแลว๎ พํอพันธ๑ุควรไดร๎ บั อาหารที่มี พลงั งานสงู และไดอ๎ อกกําลงั กายเพือ่ ใหร๎ าํ งกายแขง็ แรง พํอพันธุแ๑ พะเรมิ่ ใหผ๎ สมพันธเ๑ุ มอ่ื อายุได๎ 8 เดือน โดยไมํ ควรใหพ๎ อํ พนั ธ๑ผุ สมพนั ธุแ๑ บบคุมฝงู กับแพะ ตวั เมียเกนิ กวาํ 20 ตวั กอํ นอายุครบ 1ปหี ลงั จากนั้นก็คอํ ยๆใหผ๎ สม พันธไุ๑ ดม๎ ากขึ้นแตทํ งั้ นี้ไมคํ วรใชพ๎ ํอพนั ธ๑ุ แพะคมุ ฝงู แพะตัวเมียเกินกวํา 25 ตัว แพะตวั ผคู๎ วรไดร๎ บั การตัดแตํงกบี เสมอๆ และอาบนาํ้ กําจดั เหา เปน็ คร้งั คราว 2.การเล้ียงดูแม่พนั ธแ์ุ พะ แพะพันธพุ๑ ้นื เมืองมกั เริ่มเปน็ สัดต้ังแตํอายนุ ๎อยๆ โดยอาการเปน็ สดั ของแพะตัวเมียจะเป็นประมาณ 3 วัน หลงั จากนน้ั จะเปน็ สัดคร้งั ตอํ ไปหาํ งจากครง้ั แรกประมาณ 21 วัน แพะตัวเมยี เร่ิมใหไ๎ ดร๎ บั การผสมพันธ๑ุ เมือ่ อายุ 8 เดอื น การผสมพนั ธ๑แุ พะตวั เมียตง้ั แตอํ ายุยังนอ๎ ยๆอาจทาํ ให๎แพะแคระแกร็นได๎ หลงั จากได๎รับการ ผสมพนั ธุแ๑ ล๎วอาจจะปลอํ ยแพะตวั เมียเขา๎ ฝูงโดยไมํตอ๎ งให๎การ ดูแลเป็นพเิ ศษแตํอยาํ งใด นอกจากแพะตัวเมยี สถานีปศุสตั ว๑

96 น้ันจะผอมหรอื ปุวย ถ๎าแพะตวั เมียทีไ่ ดร๎ บั การผสมพนั ธ๑แุ ล๎วกลบั มาเปน็ สดั อีกภายหลงั จากผสม พนั ธุ๑ไปแล๎ว 21 วัน ให๎ทําการผสมพนั ธใ๑ุ หมํหากแพะตวั เมยี ยังกลบั เปน็ สดั ใหมอํ กี และพอํ พนั ธแ๑ุ พะท่ใี ชผํ สมมคี วามสมบรู ณ๑ พันธ๑ดุ ี ก็ควรจะคดั แพะตวั เมียทผ่ี สมไมตํ ดิ น้ที ง้ิ เสีย โดยปกติแพะตัวเมียท่ีผสมติดจะตง้ั ทอ๎ งนานประมาณ 150 วัน ลกั ษณะอาการใกล๎คลอดจะเห็นไดด๎ ังนี้ - เต๎านมและหัวนมจะขยายใหญขํ ึ้นกํอนคลอดประมาณ 2 เดอื น - แมแํ พะจะแสดงอาการหงุดหงดิ ต่นื เต๎น และร๎องเสยี งตํ่าๆ - บริเวณสวาป ด๎านขวาจะยุบเป็นหลมุ กอํ น จากน้นั จะเหน็ รอยยุบเปน็ หลมุ ชดั ทีส่ ะโพกทัง้ 2 ขา๎ ง -อาจมีเมือกไหลออกมาจากชํองคลอดเลก็ นอ๎ ยกํอนคลอดหลายวันจากนน้ั นา้ํ เมือกจะมลี กั ษณะ เปล่ยี นเปน็ ขนํุ ขนึ้ และสเี หลอื งอํอนๆ - อาจจะค๎ุยเข่ียหญา๎ หรือฟางรอบๆ ตัวเหมือนจะเตรยี มตัวคลอด - แมํแพะจะหงุดหงดิ มากข้นึ ทกุ ที เด๋ียวนอนเดยี๋ วลุกขนึ้ แล๎วนอนลงเบํงเบาๆ เมื่อแมแํ พะแสดงอาการดังกลําว ควรปลอํ ยแมแํ พะใหอ๎ ยูํเงียบๆ อยาํ ให๎มนั ถกู รบกวน เตรยี มผา๎ เกําๆ ด๎ายผกู สายสะดอื ใบมดี โกน และทิงเจอรไ๑ อโอดนี ไว๎ เม่ือถุงนาํ้ คล่ําแตกแล๎ว ลูกแพะจะคลอดออกมาภายใน 1 ชวั่ โมง หากแมํแพะเบํงนานและยังไมํคลอด จะชวํ ยใหล๎ กุ แพะในทอ๎ งคลอดงาํ ยขึ้น ทนั ทีทีล่ กู แพะคลอด ออกมา ให๎ใชผ๎ า๎ ทีเ่ ตรยี มไว๎เช็ดตัวใหแ๎ หง๎ พยายาม เช็ดเยื่อเมือกในจมกู ออกใหห๎ มดเพือ่ ให๎ลกู แพะหายใจได๎ สะดวก จากนัน้ ผูกสายสะดอื ใหห๎ าํ งจากพน้ื ทอ๎ งประมาณ 2-3 เซนตเิ มตร แลว๎ ตดั สายสะดอื และทาทิงเจอร๑ ไอโอดนี เม่อื ตดั สายสะดือแล๎วอ๎ุมลูกแพะไปนอนในท่ที ี่เตรยี มไวห๎ ากเป็นไปไดค๎ วรนําลูก แพะไปตากแดดสักครูํ เพื่อให๎ตวั ลูกแพะแห๎งสนทิ จะชํวยใหล๎ กู แพะกระชํมุ กระชวยข้นึ รกจะขบั ออกมาภายใน 4 ชวั่ โมง ถา๎ เกินกวํา 6 ช่ัวโมงแล๎วรกยงั ไมํถูกขับออก ก็ใหป๎ รึกษาสตั วแ๑ พทย๑ หลังจากคลอดใหเ๎ อานาํ้ มาต้ังให๎แมํแพะไดก๎ ินเพอื่ ทดแทน ของเหลวท่ีราํ งกายสญู เสียไป 3. การดูแลลูกแพะ ควรให๎ลกู แพะกินนมน้าํ เหลืองของแมแํ พะและปลอํ ยให๎ลกู แพะได๎อยํกู บั แมแํ พะ 3-5 วัน ถา๎ ต๎องการรีด นมแพะก็ใหแ๎ ยกแมํแพะออก ระยะนีเ้ ลยี้ งลูกแพะด๎วยหางนมละลายน้ําในอัตราสวํ นหางนม 1 สํวนตํอนํ้า 8 สวํ น การใหอ๎ าหารลกู แพะในระยะตาํ งๆ สามารถดไู ด๎จากตารางในเรื่องการให๎อาหาร ซ่ึงจะได๎กลาํ วตอํ ไป เกษตรกรไทยโดยทว่ั ไป มกั ไมไํ ด๎แยกลกู แพะออกจากแมํต้งั แตเํ ลก็ สวํ นใหญจํ ะปลํอยลูกแพะใหอ๎ ยูกํ บั แมํแพะ จนมนั โต ซง่ึ ดว๎ ยเหตนุ จ้ี ึงทาํ ให๎แมํแพะมักไมสํ มบรู ณแ๑ ละผสมพันธุ๑ ได๎ชา๎ เพราะแมแํ พะไมคํ อํ ยเป็นสดั ดงั น้นั ทาง ท่ดี หี ากเกษตรกรยังให๎ลกู แพะอยูํกับแมแํ พะตง้ั แตเํ ล็กๆ กค็ วรแยกลกู แพะออกจากแมํแพะเม่อื ลกู แพะมีอายไุ ด๎ ประมาณ 3 เดือน ลกู แพะท่มี ีอายุ 3 เดือน เราสามารถทําการคัดเลือกไว๎เป็นพอํ -แมํพนั ธแ๑ุ พะตัวผทู๎ ่ีไมํตอ๎ งการ ผสม พันธกุ๑ ็ทําการตอนในระยะนี้ หากไมตํ อ๎ งการใหแ๎ พะมีเขาก็อาจกําจัดโดยจ้เี ขาด๎วยเหล็กร๎อนหรอื สารเคมีก็ ได๎ ภายหลงั หยาํ นม ควรทําการถาํ ยพยาธิตวั กลม ตวั ตดื และพยาธใิ บไมใ๎ นตับ ทาํ การฉดี วัคซีนปูองกนั โรคปากและเท๎าเป่ือยและวคั ซีนปอู งกนั โรคเฮโมเรยิกเซ พติกซีเมีย การถาํ ยพยาธแิ ละฉดี วัคซนี จะต๎องทําอยําง สม่ําเสมอเพือ่ ใหแ๎ พะมีสขุ ภาพที่ดี และสามารถใช๎ผสมพนั ธุไ๑ ดเ๎ มอ่ื อายุ 8 เดอื น แมแํ พะท่คี ลอดลูกแลว๎ ประมาณ สถานีปศุสัตว๑

97 3 เดอื น เมื่อเปน็ สดั ก็สามารถเอาพอํ พันธแ๑ุ พะมาทาํ การผสมพนั ธ๑ไุ ด๎อกี หากแมแํ พะใชร๎ ีดนมผ๎เู ลยี้ งกร็ ีดนมแมํ แพะได๎จนถึง 6-8 สปั ดาห๑กอํ นคลอดจงึ หยดุ ทาํ การรีดนม อาหารที่ใชเ้ ลยี้ งแพะ แพะเป็นสตั ว๑ท่หี าอาหารกินเองเกงํ และสามารถกินอาหารไดห๎ ลายชนดิ แตไํ มชํ อบกินพชื อาหารชนดิ เดยี วกันเปน็ เวลานานๆ จะเลือกกนิ พชื อาหารหลายชนดิ สลับกนั ไป พชื อาหารบางชนิดที่โคกระบือไมํกิน แตํ แพะยงั กิน แพะชอบกินใบของไม๎พมํุ มาก รองลงไปคือ หญา๎ และถ่ัว แพะจะเลอื กกนิ ใบและยอดออํ นของพืช กํอน และจะไมกํ ินกา๎ นหรอื ลําตน๎ แปลงหญ้า ตามปกติแพะจะกินหญ๎าสดประมาณร๎อยละ 10 ของนํ้าหนักตัว ปจั จุบนั ทงุํ หญา๎ สาธารณะ มีจาํ นวนลดน๎อยลงโดยเฉพาะในชํวงฤดูแลง๎ ดงั น้นั ผูเ๎ ลย้ี งควรวางแผนการจัดหาพชื อาหารสําหรับใชเ๎ ล้ียงแพะ การเล้ยี งปลํอยให๎แพะแทะเลม็ พืชอาหารโดยตรงนนั้ ควรจัดเตรียมพืน้ ทสี่ ําหรับทาํ แปลงปลูกหญ๎าไวใ๎ หเ๎ ดินแทะ เลม็ ซ่งึ พ้นื ที่แปลงหญ๎าขนาด 1 ไรํสามารถเลย้ี งแพะได๎ประมาณ 5 ตัว หญา๎ ท่ีปลกู จะต๎องมคี วามเหมาะสม คอื เป็นหญ๎าชนดิ ทแ่ี พะชอบกนิ และทนตํอการเหยียบย่ําของแพะ เชํน หญา๎ ขน กนิ นี รูซ่ี ฯลฯ แปลงหญ๎าตอ๎ งไดร๎ บั การดแู ลและจดั การอยํางดี มกี ารรดนํ้าอยํางสม่าํ เสมอ การดูแลคณุ ภาพของดินโดยใช๎ปยุ๋ คอกจากมลู แพะ หญา๎ ขนและหญ๎ารซู ่ี ทม่ี า : http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=jae-hom47&month=08-09-2011&group=6&gblog=13 อาหารข้น ถึงแม๎วําแพะจะสามารถดาํ รงชีวิตอยูํได๎โดยการกินหญ๎าและพืชอาหารตามธรรมชาติ แตํ การเสริมอาหารข๎นก็เป็นสิ่งจําเป็น โดยเฉพาะในชํวงที่กําลังให๎ผลผลิต เพื่อให๎แพะได๎รับสารอาหารอยําง เพียงพอตํอการสร๎างผลผลิตได๎อยํางเต็มท่ี เน่ืองจากพืชอาหารตามธรรมชาติมักมีคุณภาพและปริมาณไมํ เพียงพอตํอความต๎องการ นอกจากการเสริมอาหารข๎นแล๎ว ควรเสริมแรํธาตุก๎อนแกํแพะด๎วย ไดม๎ ีรายงานวิจัย วํา การให๎อาหารข๎นที่ระดับโปรตีนร๎อยละ 13.7 เทียบกับการให๎อาหารข๎นที่ระดับโปรตีนร๎อยละ 20.7 แกํแพะ พ้ืนเมืองน้ําหนัก 26 กิโลกรัม จะให๎อตั ราการเจริญเติบโตไมํแตกตาํ งกันทางสถิติ คือ 49.5 ± 5 และ 49.5 ± 4.7 กรัมตํอวัน ตามลําดับ สถานีปศสุ ัตว๑

98 การดูแลสขุ ภาพแพะ โรคพยาธิในแพะ พยาธิมีผลกระทบตอํ การผลิตแพะทง้ั ทางตรงและทางออ๎ ม ซง่ึ พบวําพยาธภิ ายในเปน็ ตัวกํอปญั หากบั การเล้ยี งมากกวําพยาธภิ ายนอก ถ๎าแพะมพี ยาธิภายในจํานวนมากจะทาํ ให๎เกิดโรคเฉยี บพลันมีความรุนแรงถึง ตายได๎ แตถํ า๎ ได๎รับในปริมาณนอ๎ ยจะไมถํ ึงตาย แตํทาํ ใหผ๎ ลผลติ ลดลง เชนํ เนอื้ นม นอกจากนี้ทําให๎แพะ ออํ นแอ เป็นโรคอ่ืนๆ ได๎งาํ ย ทาํ ใหเ๎ กษตรกรสูญเสียรายได๎จากผลผลติ ทลี่ ดลงและเพ่มิ ต๎นทุนคําใชจ๎ ํายในการ ซือ้ ยาถํายพยาธิด๎วยมีแนวโนน๎ วําพยาธิจะมีการด้ือยาขน้ึ การใช๎ยาจงึ ตอ๎ งไมใํ ชย๎ าชนิดเดยี วกันทัง้ ปี พยาธิ ภายในแพะมหี ลายชนิดด๎วยกัน เกิดกบั แพะทุกภาคทเ่ี ลยี้ งแพะ โดยเฉพาะในเขต เอเชีย ตะวนั ออกเฉียงใต๎ เชํน พยาธิตัวกลม พยาธติ วั ตดื และพยาธติ วั แบน เป็นต๎น (ซ๎าย)พยาธติ ัวกลม (ขวา)พยาธติ วั ตดื ทีม่ า : http://healthytrendy.blogspot.com/2013/08/blog-post.html ข้อแนะนาการปอู งกันและควบคุมพยาธภิ ายในของแพะ 1. ถํายพยาธิเป็นประจําตามโปรแกรม โดยถาํ ยทกุ 4-6 สปั ดาห๑ ยาถาํ ยพยาธทิ ่ีใชป๎ ระกอบด๎วย - ยาถํายพยาธิตวั กลม เชนํ อลั เบนดาโซล , ไทอาเบน็ ดาโซล, ไพแรนเทล, เลวามซิ อล เป็นต๎น - ยาถํายพยาธิตัวตืด เชํน นโิ คลซาไมด๑ , เมเบนดาโซล เป็นต๎น - ยาถาํ ยพยาธใิ บไมใ๎ นตับ เชนํ ราฟอกซาไนด๑ , ไนโตรไซนิล เปน็ ต๎น - ยากาํ จัดเชื้อบิด เชนํ โทลทราซรู ลิ , ซัลฟาควนิ อกซาลนี ,เป็นตน๎ หรอื ถา๎ พบมีปญั หา พยาธภิ ายใน และเชอ้ื บิดรํวมกนั อาจใช๎ยาทง้ั สามชนิด และควรถํายทุก 4-6 สัปดาห๑ - สาํ หรับพยาธิตวั กลม ควรเรมิ่ ถาํ ยพยาธคิ ร้ังแรกเมอ่ื อายุ 8 สปั ดาห๑ 2. ทําความสะอาดโรงเรอื นแพะอยาํ งสมาํ่ เสมอ พนื้ โรงเรือนแพะต๎องเปน็ แบบเวน๎ ชํอง เพือ่ อุจจาระตก ลงไปข๎างลาํ ง และตอ๎ งล๎อมรอบ ใต๎ถุนไว๎ไมํใหแ๎ พะเข๎าไปได๎ มิฉะนน้ั จะตดิ โรคพยาธิจากอจุ จาระได๎ สถานีปศุสตั ว๑

99 3. อจุ จาระและสิง่ ปฏกิ ลู อ่นื ๆ ใหฝ๎ งั หรือเผาทาํ ลายใหห๎ มด 4. ใชร๎ ะบบแปลงหญ๎าหมุนเวียนโดยการแบํงแปลงหญ๎าออกเป็นแปลงยํอยแตํละแปลงลอ๎ มรว้ั กน้ั ไว๎ ปลํอยแพะเขา๎ แทะเล็มหญา๎ นานแปลงละ 2 สปั ดาห๑ หลังจากนัน้ ไปเลี้ยงแปลงอนื่ ตํอโดยจะตอ๎ งจดั การแปลงที่ แพะเล็มแล๎ว ด๎วยการตัดหญ๎าใหส๎ ้ันลงมากท่สี ุด หรือใหแ๎ สงแดดสํองถึงพ้นื ดนิ เพ่ือใหไ๎ ขแํ ละตัวออํ นของพยาธิ ตาย และหญา๎ เจริญงอกงามเร็ว สําหรับเลยี้ งแพะท่ีจะเข๎ามาแทะเล็มใหมํ หมนุ เวยี นกนั ไปหรือวธิ ีจํากดั พน้ื ที่ แทะเล็ม โดยการผูกลาํ มแพะไมํซํา้ ทเ่ี ดมิ 5. ทาํ ลายตวั นาํ ก่ึงกลางของพยาธิ เชนํ ไร และหอยนํ้าจืด 6. ไมคํ วรใหแ๎ พะลงแปลงหญ๎าชื้นๆ แฉะๆ เพระจะติดพยาธิไดง๎ ํายจากตัวออํ นพยาธทิ ี่อาศยั อยนํู านใน แปลงหญ๎าทีช่ นื้ นัน้ โรคตดิ เชอ้ื ในแพะ สาเหตขุ องโรคในแพะอาจเนอ่ื งมาจากอาหาร การจัดการเล้ียงดทู ่ีไมถํ ูกวธิ ี ทําใหส๎ ัตว๑เกดิ ความเครียด ออํ นแอ ไมํมคี วามต๎านทานโรคพอผู๎เลี้ยงแพะตอ๎ งทราบถงึ สาเหตุและสนั นฐิ านไดซ๎ ง่ึ จะ ชวํ ยในการรกั ษาและ ปอู งกันการระบาดของโรคได๎ โดยให๎สงั เกตวําแพะจะแสดงอาการหลายประการ เชํน การกนิ อาหารลดลงกวํา ปกติ มอี าการไอ จาม ท๎องเสีย ขนไมเํ ป็นเงา จมกู แห๎ง ซึมหงอย เปน็ ต๎น โรคท่เี กดิ ในแพะท่คี วรรจู๎ ักมดี งั ตํอไปนี้ โรคปากเป่อื ย เกิดจากเชอ้ื ไวรสั อาการคือพบแผลนนู คล๎ายหดู บรเิ วณริมฝีปาก รอบจมกู รอบตา บางครง้ั ลุกลามไป ตามลาํ ตวั ถา๎ เปน็ แพะโตอาการรนุ แรงและแผลจะตกสะเก็ด แห๎งไปเองภายในประมาณ 28 วนั การรักษา ใชย๎ ามํวง ( เจนเชีย่ นไวโอเลต ) หรอื ทงิ เจอรไ๑ อโอดีน ทาแผล วันละ 1-2 ครั้ง การปอู งกัน ในประเทศไทย ยังไมํมวี ัคซีนปอู งกนั โรคนี้ ถา๎ พบแพะ เป็นโรคนี้ให๎รีบแยกตวั ปุวยออก ทันที และรกั ษาจนกวาํ จะหายจึงนําเขา๎ รวํ มฝงู ได๎ โรคปากและเท้าเปื่อย เกดิ จากเชือ้ ไวรัส อาการทแ่ี พะจะซมึ นํา้ ลายไหลยดื ไมํกนิ อาหารบริเวณปากและแก๎มบวมแดง มเี ม็ด ตํมุ ใสเปน็ แผลบรเิ วณกีบและเท๎า แพะจะเดนิ ขากระเผลก แสดงอาการเจบ็ ปวดและถา๎ ติดเช้ือโรคแทรกซ๎อน อาจทําใหแ๎ พะตายได๎ ถ๎าไมมํ โี รคแทรกซอ๎ นจะหายได๎เองภายใน 21 วนั แพะทีต่ ั้งทอ๎ งอาจแท๎งลกู ได๎ เนอ่ื งจาก เปน็ โรคท่ีเกดิ จากเชื้อไวรสั จงึ ไมมํ ีทางรกั ษาโดยตรง การปอู งกนั อยํางนอ๎ ยปีละ 1 ครงั้ และการกักกันแพะที่จะ เขา๎ มาเลยี้ งใหมํเป็นเวลา 14 วัน กํอนเขา๎ ฝงู ทส่ี ําคญั มากคอื การเกดิ โรคแทรกซอ๎ นจากเชือ้ แบคทเี รยี ทาํ ให๎เปน็ หนองทแ่ี ผล เม็ดตุมํ พองแตกออกและจะหายชา๎ มากหรืออาจลกุ ลาม เกิดเลอื ดเป็นพิษถงึ ตายได๎ ถ๎าไมํมีโรค สถานปี ศสุ ัตว๑


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook