องค์ประกอบตัวช้ีวัด ๒ หมายถึง โรงเรยี นจัดกจิ กรรมทส่ี ง่ เสริมให้นักเรียนไ เข้าโรงเรียนทุกเช้า การสวดมนต์ทกุ วัน กิจกรรมวันพร คร้ัง ๑ หมายถงึ โรงเรียนจัดกิจกรรมท่ีสง่ เสรมิ ใหน้ ักเรยี นไ เขา้ โรงเรียนทกุ เชา้ การสวดมนต์ทกุ วนั กิจกรรมวันพร ตัวช้ีวดั ท่ี ๒.๓.๒.๓ ๔ หมายถึง โรงเรยี นจัดกิจกรรมส่งเสริมให้ครูและนัก ส่งเสริมให้ทกุ คนมสี ่วนรว่ ม กิจกรรมทางพระพุทธศาสนา กิจกรรมการประชาสัม และคุณค่าในการรักษาและ สปั ดาห์ละ ๑ ครงั้ สืบตอ่ พระพุทธศาสนา ๓ หมายถึง โรงเรยี นจดั กจิ กรรมส่งเสริมให้ครูและนัก กิจกรรมทางพระพุทธศาสนา กิจกรรมการประชาสัม สปั ดาหต์ ่อ ๑ ครง้ั ๒ หมายถึง โรงเรียนจัดกจิ กรรมส่งเสริมให้ครแู ละนัก กิจกรรมทางพระพุทธศาสนา กิจกรรมการประชาสัม เดือนละ ๑ ครั้ง ๑ หมายถึง โรงเรยี นจัดกิจกรรมส่งเสริมให้ครูและนัก กจิ กรรมทางพระพุทธศาสนา กจิ กรรมการประชาสมั พ เรยี นละ ๑ ครั้ง มาตรฐานที่ ๓ ด้านผลผลติ (Output) องค์ประกอบหลักท่ี ๓.๑ พัฒนา กาย ศีล จติ และปัญญา อย่างบูรณาการ (ภาวน องค์ประกอบยอ่ ยท่ี ๓.๑.๑ กาย (กายภาพ) ตวั ชว้ี ดั ๓.๑.๑.๑ บรโิ ภค ๔ หมายถึง ร้อยละ ๙๐-๑๐๐ ของนักเรียนมีพฤติกรร ใช้สอยปจั จัยสใ่ี นปรมิ าณ หรอื การกินการใชข้ องในชีวิตประจาวนั ในปรมิ าณที่เห และคุณภาพท่เี หมาะสม ได้ การไมเ่ ลือกรบั ประทานอาหาร ทดี่ สู วยงาม รสชาตถิ กู คณุ คา่ แท้
คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ | ๘๗ ข้อบ่งช้คี ณุ ภาพ ไดร้ ะลึกและเพิม่ ศรัทธาในพระรัตนตรัย อยา่ งสม่าเสมอเปน็ วิถีชวี ิต เช่น การกราบพระก่อน ระ และจดั กจิ กรรมบูชาพระรัตนตรัยในโอกาสวันสาคัญต่าง ๆอย่างนอ้ ย ๒ สปั ดาห์ต่อ ๑ ได้ระลึกและเพ่ิมศรทั ธาในพระรตั นตรัย อยา่ งสม่าเสมอเปน็ วิถีชวี ิต เช่น การกราบพระก่อน ระ และจดั กิจกรรมบชู าพระรตั นตรัยในโอกาสวนั สาคัญตา่ ง ๆอยา่ งนอ้ ยเดอื นละ ๑ ครัง้ กเรยี นทุกคนมีสว่ นรว่ ม และเห็นคุณค่าในการรักษาและสืบต่อพระพุทธศาสนา เชน่ การจัด มพันธ์คุณค่าและความสาคัญของการร่วมกันรักษาและสืบต่อพระพุทธศาสนาอย่างน้อย กเรียนทุกคนมีสว่ นร่วม และเห็นคณุ ค่าในการรักษาและสืบต่อพระพุทธศาสนา เชน่ การจัด มพันธ์คุณค่าและความสาคัญของการร่วมกันรักษาและสืบต่อพระพุทธศาสนาอย่างน้อย ๒ กเรียนทุกคนมีสว่ นร่วม และเหน็ คณุ ค่าในการรักษาและสืบต่อพระพุทธศาสนา เชน่ การจัด มพันธ์คุณค่าและความสาคัญของการร่วมกันรักษาและสืบต่อพระพุทธศาสนาอย่างน้อย กเรยี นทุกคนมีสว่ นร่วม และเหน็ คุณค่าในการรักษาและสืบต่อพระพุทธศาสนา เชน่ การจัด พนั ธ์คุณค่าและความสาคัญของการร่วมกันรักษาและสบื ต่อพระพทุ ธศาสนาอยา่ งน้อย ภาค นา ๔) รมท่ีแสดงออกถึงการบริโภคใช้สอยปัจจัยส่ี (อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค) หมาะสม และรู้จักเลือกกิน ใช้ สง่ิ ทม่ี คี ณุ ภาพเหมาะสม ไดป้ ระโยชน์ ไดค้ ุณคา่ ต่อชีวิต เช่น กปาก และมกี ารโฆษณามากเปน็ หลัก ฯลฯ
องคป์ ระกอบตัวช้ีวดั ๓ หมายถึง ร้อยละ ๘๐-๘๙ ของนักเรียนมีพฤติกรรม หรือการกินการใชข้ องในชวี ติ ประจาวันในปริมาณที่เห การไมเ่ ลือกรับประทานอาหาร ทดี่ สู วยงาม รสชาตถิ ูก ๒ หมายถึง ร้อยละ ๗๐-๗๙ ของนักเรียนมีพฤติกรรม หรอื การกินการใชข้ องในชวี ิตประจาวันในปริมาณท่ีเห การไม่เลือกรบั ประทานอาหาร ทด่ี สู วยงาม รสชาติถูก ๑ หมายถึง รอ้ ยละ ๖๐-๖๙ ของนักเรียนมีพฤติกรรม หรือการกินการใชข้ องในชีวติ ประจาวันในปรมิ าณทเี่ ห การไมเ่ ลือกรบั ประทานอาหาร ที่ดูสวยงาม รสชาติถูก ตัวชวี้ ดั ๓.๑.๑.๒ การดแู ล ๔ หมายถึง ร้อยละ ๙๐-๑๐๐ ของนกั เรยี นที่มีการดแู ร่างกาย และการแต่งกาย ๓ หมายถึง ร้อยละ ๘๐-๘๙ ของนักเรียนทม่ี ีการดแู ล สะอาดเรยี บร้อย ๒ หมายถงึ ร้อยละ ๗๐-๗๙ ของนกั เรยี นทม่ี กี ารดแู ล ๑ หมายถึง ร้อยละ ๖๐-๖๙ ของนักเรยี นท่มี ีการดแู ล ตวั ชี้วดั ๓.๑.๑.๓ ๔ หมายถึง ร้อยละ ๙๐-๑๐๐ ของนักเรียนมีการดา ดารงชีวิตอยา่ งเกื้อกูล ทวั่ ถงึ ทั้งในและนอกบริเวณโรงเรียน สิ่งแวดล้อม ๓ หมายถึง ร้อยละ ๘๐-๘๙ ของนักเรียนมีการดาเน ทั่วถงึ ทั้งในและนอกบรเิ วณโรงเรยี น ๒ หมายถึง ร้อยละ ๗๐-๗๙ ของนักเรียนมีการดาเ ท่วั ถึง ทั้งในและนอกบรเิ วณโรงเรียน ๑ หมายถึง ร้อยละ ๖๐-๖๙ ของนักเรียนมีการดาเ ท่ัวถงึ ทง้ั ในและนอกบริเวณโรงเรยี น
คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ | ๘๘ ขอ้ บ่งช้คี ณุ ภาพ มท่ีแสดงออกถึงการบริโภคใช้สอยปัจจัยสี่ (อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ท่ีอยู่อาศัย ยารักษาโรค) หมาะสม และรจู้ ักเลอื กกิน ใช้ สิ่งทมี่ ีคณุ ภาพเหมาะสม ไดป้ ระโยชน์ ได้คณุ ค่าต่อชีวติ เช่น กปาก และมีการโฆษณามากเป็นหลัก ฯลฯ มที่แสดงออกถึงการบริโภคใช้สอยปัจจัยส่ี (อาหาร เคร่ืองนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค) หมาะสม และรู้จกั เลือกกิน ใช้ สิ่งท่ีมคี ณุ ภาพเหมาะสม ไดป้ ระโยชน์ ไดค้ ุณคา่ ต่อชีวิต เช่น กปาก และมกี ารโฆษณามากเปน็ หลกั ฯลฯ มทแ่ี สดงออกถึงการบริโภคใชส้ อยปัจจยั ส่ี (อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ท่ีอย่อู าศยั ยารกั ษาโรค) หมาะสม และรจู้ ักเลือกกิน ใช้ สง่ิ ทมี่ คี ุณภาพเหมาะสม ได้ประโยชน์ ไดค้ ุณค่าตอ่ ชวี ติ เชน่ กปาก และมกี ารโฆษณามากเปน็ หลัก ฯลฯ แลรกั ษาร่างกายให้มีสุขภาพดี และแต่งกายสะอาดเรียบรอ้ ยอยูเ่ สมอ (ตามกาลเทศะ) ลรกั ษารา่ งกายใหม้ สี ขุ ภาพดี และแต่งกายสะอาดเรียบรอ้ ยอย่เู สมอ (ตามกาลเทศะ) ลรักษาร่างกายให้มีสุขภาพดี และแต่งกายสะอาดเรยี บรอ้ ยอยู่เสมอ (ตามกาลเทศะ) ลรักษาร่างกายให้มสี ุขภาพดี และแต่งกายสะอาดเรียบร้อยอยเู่ สมอ (ตามกาลเทศะ) าเนินชีวิตประจาวันท่ีไม่ทาลายสิ่งแวดล้อมแต่มีลักษณะช่วยดูแลส่ิงแวดล้อมให้มีสภาพที่ดี นินชีวิตประจาวันท่ีไม่ทาลายสิ่งแวดล้อมแต่มีลักษณะช่วยดูแลส่ิงแวดล้อมให้มีสภาพ ท่ีดี เนินชีวิตประจาวันท่ีไม่ทาลายส่ิงแวดล้อมแต่มีลักษณะช่วยดูแลส่ิงแวดล้อมให้มีสภาพที่ดี เนินชีวิตประจาวันท่ีไม่ทาลายส่ิงแวดล้อมแต่มีลักษณะช่วยดูแลส่ิงแวดล้อมให้มีสภาพท่ีดี
องคป์ ระกอบย่อยที่ ๓.๑.๒ ศีล องค์ประกอบตัวชี้วดั ตัวบ่งชี้ ๓.๑.๒.๑ มีศลี ๕ ๔ หมายถึง รอ้ ยละ ๙๐-๑๐๐ ของนกั เรียนสามารถ เป็นพ้นื ฐานในการดารงชีวิต ๓ หมายถึง รอ้ ยละ ๘๐-๘๙ ของนักเรียนสามารถป ๒ หมายถึง รอ้ ยละ ๗๐-๗๙ ของนกั เรียนสามารถป ๑ หมายถึง ร้อยละ ๖๐-๖๙ ของนกั เรยี นสามารถป ตวั บ่งชี้ ๓.๑.๒.๒ มวี นิ ัย มี ๔ หมายถึง ร้อยละ ๙๐-๑๐๐ ของนักเรยี น มวี นิ ัยหร ความรับผดิ ชอบ ซ่ือสัตย์ ตรงต่อเวลาทน่ี ดั หมาย หรือที่ตกลงกนั ๓ หมายถึง ร้อยละ ๘๐-๘๙ ของนักเรยี นมีวินยั หรือ ตอ่ เวลาที่นดั หมาย หรือที่ตกลงกนั ๒ หมายถึง ร้อยละ ๗๐-๗๙ ของนักเรยี นมวี ินัย หรอื ตอ่ เวลาทนี่ ดั หมาย หรือท่ตี กลงกนั ๑ หมายถึง นกั เรียน ร้อยละ ๖๐-๖๙ ของนกั เรยี น ม หลอกลวงและตรงตอ่ เวลาทีน่ ัดหมาย หรือทต่ี กลงกัน ตัวบง่ ชี้ ๓.๑.๒.๓ สามารถ ๔ หมายถึง ร้อยละ ๙๐-๑๐๐ ของนกั เรียน สามารถพ พ่งึ ตนเองได้หรือทางาน อนบุ าล และประถมศึกษาสามารถดแู ลในการปฏิบตั กิ เล้ียงชพี ด้วยความสุจรติ ทางานให้ไดซ้ ง่ึ เงินทองหรอื ปัจจัยในการดารงชีวติ ประ ๓ หมายถึง ร้อยละ ๘๐-๘๙ ของนักเรียน สามารถพึ่ง อนุบาล และประถมศึกษาสามารถดแู ลในการปฏิบัติก ทางานให้ไดซ้ ่งึ เงินทองหรือปัจจยั ในการดารงชีวติ ประ ๒ หมายถึง ร้อยละ ๗๐-๗๙ ของนักเรยี นสามารถพึง่ ต อนุบาล และประถมศกึ ษาสามารถดแู ลในการปฏิบัติก ทางานให้ได้ซึ่งเงนิ ทองหรือปัจจัยในการดารงชีวติ ประ
คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ | ๘๙ ข้อบ่งชคี้ ณุ ภาพ ถปฏบิ ัตใิ นศีล ๕ เปน็ ไดค้ รบทุกข้อ ปฏบิ ตั ิในศีล ๕ เป็นได้ครบทุกข้อ ปฏิบัตใิ นศีล ๕ เป็นได้ครบทุกข้อ ปฏบิ ัติในศลี ๕ เป็นไดค้ รบทุกข้อ รือมกี ารปฏิบตั หิ นา้ ที่ที่ไดร้ บั มอบหมายจนสาเร็จ มคี วามซื่อสตั ย์ จรงิ ใจไม่หลอกลวงและ อมีการปฏบิ ตั ิหน้าทีท่ ไ่ี ด้รับมอบหมายจนสาเรจ็ มีความซื่อสตั ย์ จรงิ ใจไมห่ ลอกลวงและตรง อมีการปฏิบตั ิหนา้ ที่ท่ีได้รบั มอบหมายจนสาเร็จ มคี วามซอื่ สตั ย์ จริงใจไมห่ ลอกลวงและตรง มวี นิ ัย หรือมีการปฏบิ ตั หิ นา้ ทีท่ ี่ได้รับมอบหมายจนสาเรจ็ มีความซือ่ สตั ย์ จริงใจไม่ พึ่งตนเองได้ หรอื ทางานเลี้ยงชพี ด้วยความสุจรติ ตามวุฒิภาวะของตนเอง เชน่ เด็กระดับ กจิ วัตรประจาวัน ด้วยตนเอง โดยพ่ึงผู้อืน่ นอ้ ยหรือนักเรยี นระดับมัธยมศึกษาท่สี ามารถ ะจาวัน สามารถดูแลแบ่งเบาหนา้ ที่ผูป้ กครองได้ งตนเองได้ หรอื ทางานเล้ยี งชพี ด้วยความสจุ รติ ตามวุฒิภาวะของตนเอง เชน่ เดก็ ระดับ กจิ วตั รประจาวนั ดว้ ยตนเอง โดยพง่ึ ผู้อ่นื น้อยหรือนักเรยี นระดับมธั ยมศกึ ษาทสี่ ามารถ ะจาวัน สามารถดูแลแบง่ เบาหนา้ ที่ผ้ปู กครองได้ ตนเองได้ หรือทางานเลย้ี งชีพ ดว้ ยความสจุ ริตตามวฒุ ิภาวะของตนเอง เช่น เดก็ ระดับ กจิ วัตรประจาวันด้วยตนเอง โดยพง่ึ ผ้อู ่ืนน้อยหรอื นักเรยี นระดบั มัธยมศึกษาท่สี ามารถ ะจาวัน สามารถดูแลแบง่ เบาหนา้ ที่ผู้ปกครองได้
องค์ประกอบตัวชี้วดั ๑ หมายถึง ร้อยละ ๖๐-๖๙ ของนักเรยี น สามารถพง่ึ อนุบาล และประถมศึกษาสามารถดูแลในการปฏิบัตกิ ทางานให้ได้ซึ่งเงินทองหรอื ปัจจัยใน การดารงชีวติ ประ องคป์ ระกอบยอ่ ยที่ ๓.๑.๓ จิต ตัวบ่งช้ีท ๓.๑.๓.๑ มี ๔ หมายถึง รอ้ ยละ ๙๐-๑๐๐ ของนกั เรียนมีความกต ความกตัญญูร้คู ณุ ตอบแทน ความเคารพตอ่ พ่อแม่ ผปู้ กครอง และการมีนา้ ใจช่วยเ คณุ ๓ หมายถึง รอ้ ยละ ๘๐-๘๙ ของนักเรียนมคี วามกตญั เคารพต่อพ่อแม่ ผู้ปกครอง และการมนี ้าใจช่วยเหลอื ง ๒ หมายถึง ร้อยละ ๗๐-๗๙ ของนักเรยี นมีความกต เคารพต่อพ่อแม่ ผู้ปกครอง และการมีนา้ ใจชว่ ยเหลือง ๑ หมายถึง ร้อยละ ๖๐-๖๙ ของนักเรยี นมีความกตญั เคารพต่อพ่อแม่ ผปู้ กครอง และการมีนา้ ใจช่วยเหลือง ตัวบ่งชี้ ๓.๑.๓.๒ มจี ติ ใจ ๔ หมายถึง ร้อยละ ๙๐-๑๐๐ ของนกั เรยี น มีจิตใจ เม เมตตา กรุณา (เอื้อเฟอื้ เผ่ือ ต้องการความชว่ ยเหลอื หรือมนี า้ ใจแบ่งปันความรู้ แล แผ่ แบง่ ปนั ) ๓ หมายถึง ร้อยละ ๘๐-๘๙ ของนักเรียน มีจติ ใจ เมต ต้องการความชว่ ยเหลอื หรอื มีนา้ ใจแบ่งปนั ความรู้ แล ๒ หมายถึง ร้อยละ ๗๐-๗๙ ของนักเรียน มจี ติ ใจ เม ต้องการความชว่ ยเหลือ หรือมีนา้ ใจแบ่งปนั ความรู้ แล ๑ หมายถงึ ร้อยละ ๖๐-๖๙ ของนักเรยี น มีจติ ใจ เม ตอ้ งการความช่วยเหลอื หรอื มีนา้ ใจแบง่ ปันความรู้ แล ตวั บ่งช้ี ๓.๑.๓.๓ ทางาน ๔ หมายถึง ร้อยละ ๙๐-๑๐๐ ของนกั เรยี น ทางานแล และเรยี นรู้อยา่ งตั้งใจ จนสาเรจ็ มีผลของงานชัดเจน อดทน ขยัน หมัน่ เพียร ๓ หมายถึง ร้อยละ ๘๐-๘๙ ของนักเรียน ทางานและ จนสาเร็จ มผี ลของงานชดั เจน
คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ | ๙๐ ขอ้ บ่งชีค้ ุณภาพ งตนเองได้ หรอื ทางานเลย้ี งชพี ด้วยความสจุ รติ ตามวุฒิภาวะของตนเอง เช่น เด็กระดับ กิจวัตรประจาวันดว้ ยตนเอง โดยพึ่งผู้อืน่ น้อยหรอื นักเรียนระดับมัธยมศึกษาทีส่ ามารถ ะจาวัน สามารถดแู ลแบ่งเบาหนา้ ท่ีผู้ปกครองได้ ตญั ญูรคู้ ณุ ตอบแทนคุณต่อผมู้ ีพระคุณ โดยมีพฤติกรรม ทีป่ ฏิบตั ิให้เหน็ เช่น การแสดง เหลอื งานของพ่อแม่ผู้ปกครอง หรือผทู้ ่ีมีพระคณุ อ่นื ฯลฯ ญญรู คู้ ุณ ตอบแทนคุณต่อผู้มีพระคุณ โดยมีพฤติกรรมที่ปฏบิ ตั ิให้เหน็ เช่น การแสดงความ งานของพ่อแม่ผปู้ กครอง หรอื ผู้ทีม่ ีพระคุณอ่ืน ฯลฯ ตัญญรู ู้คณุ ตอบแทนคุณต่อผ้มู ีพระคุณ โดยมีพฤติกรรมท่ีปฏบิ ตั ิให้เหน็ เช่น การแสดงความ งานของพ่อแม่ผปู้ กครอง หรือผู้ทม่ี ีพระคุณอน่ื ฯลฯ ญญรู ู้คุณ ตอบแทนคณุ ตอ่ ผู้มีพระคุณ โดยมีพฤติกรรมที่ปฏบิ ตั ิให้เห็น เชน่ การแสดงความ งานของพ่อแม่ผูป้ กครอง หรอื ผู้ที่มีพระคณุ อ่ืน ฯลฯ มตตา กรณุ า (เออ้ื เฟ้อื เผอ่ื แผ่ แบง่ ปัน) เชน่ มีนา้ ใจ ทจ่ี ะช่วยเหลอื ผอู้ ่ืนเมอื่ ผอู้ ื่นทเ่ี ดือดร้อน ละสิ่งของให้ผอู้ นื่ ไดร้ บั ประโยชน์ เป็นต้น ตตา กรณุ า (เอือ้ เฟ้ือ เผื่อแผ่ แบ่งปนั ) เช่น มนี า้ ใจ ทจี่ ะช่วยเหลือผู้อืน่ เมื่อผู้อ่ืนที่เดือดร้อน ละสงิ่ ของใหผ้ ้อู ่นื ไดร้ บั ประโยชน์ เปน็ ตน้ มตตา กรุณา (เออ้ื เฟื้อ เผ่อื แผ่ แบง่ ปัน) เช่น มีน้าใจ ที่จะชว่ ยเหลอื ผู้อ่นื เม่ือผู้อนื่ ที่เดือดร้อน ละส่ิงของให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์ เปน็ ตน้ มตตา กรณุ า (เออ้ื เฟ้ือ เผอื่ แผ่ แบง่ ปนั ) เช่น มนี ้าใจ ที่จะชว่ ยเหลือผอู้ น่ื เมอ่ื ผู้อื่นทเี่ ดือดร้อน ละส่ิงของให้ผูอ้ น่ื ไดร้ บั ประโยชน์ เป็นตน้ ละเรยี นรอู้ ยา่ งตง้ั ใจ มีความขยนั หมั่นเพยี ร และอดทนท่ีจะทางาน หรือเรยี นร้อู ย่างตอ่ เน่ือง ะเรียนรู้อย่างต้ังใจ มีความขยันหมั่นเพียร และอดทนท่ีจะทางาน หรือเรียนรู้อย่างต่อเน่ือง
องคป์ ระกอบตัวช้ีวัด ๒ หมายถงึ ร้อยละ ๗๐-๗๙ ของนกั เรียน ทางานแล จนสาเรจ็ มผี ลของงานชดั เจน ๑ หมายถึง ร้อยละ ๖๐-๖๙ ทางานและเรียนรู้อย่าง ของการทางาน มีผลของงานชดั เจน ตวั บง่ ชี้ ๓.๑.๓.๔ มี ๔ หมายถึง ร้อยละ ๙๐-๑๐๐ ของนักเรยี น มสี ุขภาพ สุขภาพจิตดี แจ่มใส ร่างเริง ๓ หมายถึง รอ้ ยละ ๘๐-๘๙ ของนักเรยี นมสี ขุ ภาพจติ เบิกบาน ๒ หมายถึง ร้อยละ ๗๐-๗๙ ของนักเรยี น มีสขุ ภาพจิต ๑ หมายถึง รอ้ ยละ ๖๐-๖๙ ของนกั เรียน มีสุขภาพ องค์ประกอบยอ่ ยที่ ๓.๑.๔ ปัญญา ตัวบ่งช้ี ๓.๑.๔.๑ มีศรัทธา ๔ หมายถึง ร้อยละ ๙๐-๑๐๐ ของนักเรียน มีความศ และความเข้าใจที่ถกู ต้องใน ทม่ี ีตอ่ มนุษยไ์ ด้ พระรัตนตรยั ๓ หมายถึง รอ้ ยละ ๘๐-๘๙ ของนักเรยี นมคี วามศรัท มีต่อมนุษย์ได้ ๒ หมายถงึ รอ้ ยละ ๗๐-๗๙ ของนักเรยี นมคี วามศรทั ตอ่ มนษุ ย์ได้ ๑ หมายถงึ ร้อยละ ๖๐-๖๙ ของนกั เรยี นมคี วามศรทั ต่อมนษุ ยไ์ ด้ ตวั บง่ ช้ที ี่ ๓.๑.๔.๒ รบู้ าป- ๔ หมายถึง รอ้ ยละ ๙๐-๑๐๐ ของนกั เรียน รเู้ ข้าใจ แ บุญ คุณ-โทษ ประโยชน์- บญุ หรอื บาป เปน็ คณุ หรอื เป็นโทษ มิใช่ประโยชน์ ๓ หมายถึง ร้อยละ ๘๐-๘๙ ของนักเรียน รู้เข้าใจ แล บุญ หรอื บาป เปน็ คุณ หรือเปน็ โทษ ๒ หมายถึง ร้อยละ ๗๐-๗๙ ของนักเรียน รู้เข้าใจ แล บุญ หรือบาป เป็นคณุ หรือเปน็ โทษ
คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ | ๙๑ ข้อบ่งช้ีคณุ ภาพ ละเรยี นรู้อย่างตั้งใจ มคี วามขยนั หมั่นเพยี ร และอดทนท่ีจะทางาน หรอื เรยี นรอู้ ย่างต่อเน่ือง งตั้งใจ มีความขยันหม่ันเพียร และอดทนที่จะทางาน หรือเรียนรู้อย่างต่อเน่ืองจนสาเร็จผล พจิตดี มคี วามร่างเรงิ แจ่มใส หรือมีอารมณ์ดอี ยูเ่ สมอ ตดี มีความร่างเรงิ แจ่มใส หรอื มีอารมณ์ดีอยู่เสมอ ตดี มีความรา่ งเริงแจ่มใส หรอื มีอารมณด์ อี ยู่เสมอ พจิตดี มคี วามรา่ งเรงิ แจม่ ใส หรือมอี ารมณ์ดีอยู่เสมอ ศรัทธา ความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เป็นท่ีเคารพบูชา และบอกประโยชน์ของพระรัตนตรัย ทธา ความเชอื่ มั่นในพระรัตนตรยั เป็นท่เี คารพบูชา และบอกประโยชน์ของพระรัตนตรัย ที่ ทธา ความเชอื่ มนั่ ในพระรัตนตรยั เปน็ ท่ีเคารพบชู า และบอกประโยชนข์ องพระรตั นตรยั ทม่ี ี ทธา ความเชอื่ ม่ันในพระรัตนตรัย เป็นท่ีเคารพบชู า และบอกประโยชนข์ องพระรตั นตรัย ท่ีมี และยงั อธบิ ายไดถ้ ึงการกระทา และผลของการกระทาท่ีจะเกิดขึ้นว่าการกระทาอย่างไรเป็น ละยังอธิบายได้ถึงการกระทา และผลของการกระทาที่จะเกิดข้ึนว่าการกระทาอย่างไรเป็น ละยังอธิบายได้ถึงการกระทา และผลของการกระทาท่ีจะเกิดข้ึนว่าการกระทาอย่างไรเป็น
องคป์ ระกอบตัวชี้วดั ๑ หมายถึง ร้อยละ ๖๐-๖๙ ของนักเรียน รู้เข้าใจ แล บุญ หรอื บาป เปน็ คุณ หรือเปน็ โทษ ตัวบ่งชีท้ ี่ ๓.๑.๔.๓ ใฝร่ ู้ ใฝ่ ๔ หมายถึง ร้อยละ ๙๐-๑๐๐ ของนักเรียนเป็นผู้ใฝร่ ศกึ ษาแสวงหาความจริง คดิ สร้างสรรคส์ งิ่ แปลกใหม่พฒั นาจากการเดิมมากข้นึ และใฝส่ ร้างสรรค์พฒั นา ๓ หมายถึง ร้อยละ ๘๐-๘๙ ของนกั เรยี นเป็นผใู้ ฝร่ ู้ ใฝ งานอย่เู สมอ สรา้ งสรรค์ส่ิงแปลกใหมพ่ ัฒนาจากการเดิมมากขน้ึ ๒ หมายถึง รอ้ ยละ ๗๐-๗๙ ของนกั เรยี นของนักเรียน สามารถคดิ สร้างสรรค์ส่งิ แปลกใหมพ่ ฒั นาจากการเดิม ๑ หมายถึง รอ้ ยละ ๖๐-๖๙ ของนักเรยี นของนักเรยี น สามารถคดิ สรา้ งสรรค์สง่ิ แปลกใหม่พัฒนาจากการเดมิ ตัวบง่ ชท้ี ่ี ๓.๑.๔.๔ รู้ ๔ หมายถึง ร้อยละ ๙๐-๑๐๐ ของนักเรียนสามารถใช เทา่ กัน แกไ้ ขปญั หาชวี ติ ๓ หมายถึง ร้อยละ ๘๐-๘๙ ของนักเรียนสามารถใช้ห และการทางานได้ดว้ ย ๒ หมายถึง ร้อยละ ๗๐-๗๙ ของนักเรียนสามารถใช้ห สตปิ ญั ญา ๑ หมายถึง ร้อยละ ๖๐-๖๙ ของนักเรยี นสามารถใ มาตรฐานท่ี ๔ ดา้ นผลกระทบ (Outcome/Impact) องค์ประกอบหลกั ที่ ๔.๑. บ ว ร ไดร้ ับประโยชน์จากการพฒั นาโรงเรยี นวิถีพุทธ องค์ประกอบย่อยที่ ๔.๑.๑ บ้าน (ผ้ปู กครองและชุมชน) ตัวบง่ ช้ี ๔.๑.๑.๑ บา้ น ๔ หมายถึง ร้อยละ ๙๐-๑๐๐ ผปู้ กครอง นักเรียนแ และชมุ ชนมีสมาชิกที่เป็น ๓ หมายถงึ ร้อยละ ๘๐-๘๙ ผ้ปู กครอง นักเรียนและ คนดีไม่ยุ่งเก่ียวกับอบายมขุ ๒ หมายถึง ร้อยละ ๗๐-๗๙ ผู้ปกครอง นักเรียนแล เพิ่มขึ้น ๑ หมายถึง ร้อยละ ๖๐-๖๙ ผู้ปกครอง นกั เรียนและ ตัวบง่ ชี้ที่ ๔.๑.๑.๒ ชมุ ชน ๔ หมายถึง รอ้ ยละ ๙๐-๑๐๐ มีผปู้ กครอง ชุมชนและ มผี ชู้ ว่ ยเหลือใน การ ๓ หมายถงึ ร้อยละ ๘๐-๘๙ มีผปู้ กครอง ชมุ ชนและอ พัฒนาชุมชนมากย่ิงขน้ึ
คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ | ๙๒ ข้อบ่งช้ีคุณภาพ ละยังอธิบายได้ถึงการกระทา และผลของการกระทาท่ีจะเกิดขึ้นว่าการกระทาอย่างไรเป็น รู้ ใฝ่ศึกษา กระตือรือร้นหาความร้หู าความจริง และพัฒนางานของตนเองอยู่เสมอ สามารถ ฝ่ศึกษา กระตอื รือร้นหาความรู้หาความจริง และพัฒนางานของตนเองอยเู่ สมอ สามารถคิด นเป็นผ้ใู ฝร่ ู้ ใฝ่ศึกษา กระตือรือรน้ หาความรหู้ าความจริง และพัฒนางานของตนเองอยู่เสมอ มมากขึน้ นเป็นผ้ใู ฝ่รู้ ใฝศ่ ึกษา กระตือรือร้นหาความรูห้ าความจรงิ และพัฒนางานของตนเองอย่เู สมอ มมากขึน้ ชห้ ลักธรรมในการแกไ้ ขปญั หาในชีวติ ไดอ้ ยา่ งมีสติ หลกั ธรรมในการแก้ไขปญั หาในชวี ติ ไดอ้ ย่างมสี ติ หลกั ธรรมในการแก้ไขปญั หาในชีวติ ได้อยา่ งมสี ติ ใชห้ ลักธรรมในการแกไ้ ขปญั หาในชีวติ ไดอ้ ย่างมีสติ และคนในชมุ ชน เปน็ คนดี ลด ละ และไม่ยุ่งเกยี่ วกบั อบายมุขมากข้นึ ะคนในชมุ ชน เปน็ คนดี ลด ละ และไม่ยงุ่ เกีย่ วกับอบายมขุ มากขึน้ ละคนในชมุ ชน เป็นคนดี ลด ละ และไมย่ งุ่ เกย่ี วกบั อบายมุขมากขน้ึ ะคนในชมุ ชน เปน็ คนดี ลด ละ และไม่ยงุ่ เกีย่ วกับอบายมขุ มากขึ้น ะองค์กรอนื่ ๆ ร่วมมอื กนั ในการพฒั นาชมุ ชนหรอื ทางานของชมุ ชนมากขึ้น องคก์ รอ่ืนๆ ร่วมมือกนั ในการพัฒนาชุมชนหรอื ทางานของชุมชนมากขนึ้
องค์ประกอบตัวชี้วดั ๒ หมายถงึ ร้อยละ ๗๐-๗๙ มีผปู้ กครอง ชุมชนและอ ๑ หมายถงึ รอ้ ยละ ๖๐-๖๙ มผี ปู้ กครอง ชมุ ชนและอ องคป์ ระกอบท่ี ๔.๒.๑ วัด ตวั ช้ีวดั ท่ี ๔.๒.๑.๑ วดั ได้ ๔ หมายถงึ ร้อยละ ๙๐-๑๐๐ ของพุทธศาสนิกชน ช่ว ศาสนาทายาทและกาลัง วันสาคญั ทางพระพุทธศาสนาทว่ี ดั ตอ้ งการความรว่ มม ช่วยงานสง่ เสรมิ ๓ หมายถึง ร้อยละ ๘๐-๘๙ ของพุทธศาสนิกชน ช่ว พระพุทธศาสนามากข้ึน วนั สาคัญทางพระพทุ ธศาสนาทว่ี ดั ต้องการความร่วมม ๒ หมายถึง รอ้ ยละ ๗๐-๗๙ ของพทุ ธศาสนกิ ชน ช่ว วันสาคัญทางพระพุทธศาสนาทว่ี ัดต้องการความรว่ มม ๑ หมายถึง ร้อยละ ๖๐-๖๙ ของพุทธศาสนิกชน ช่ว วันสาคญั ทางพระพุทธศาสนาทว่ี ัดตอ้ งการความรว่ มม องคป์ ระกอบที่ ๔.๓.๑ โรงเรียน ตัวบง่ ช้ที ี่ ๔.๓.๑.๑ ๔ หมายถงึ รอ้ ยละ ๙๐-๑๐๐ มผี ปู้ กครอง ชุมชน ว โรงเรียนไดร้ บั ความไว้วางใจ พฒั นาโรงเรียนตามแนวทางวิถพี ุทธมากขึ้น เช่อื มนั่ ศรัทธา และไดร้ ับ ๓ หมายถึง ร้อยละ ๘๙-๙๐ มีผู้ปกครอง ชุมชน วัด ความรว่ มมือจากผู้มสี ่วน พฒั นาโรงเรยี นตามแนวทางวถิ พี ุทธมากขึน้ ร่วมเกี่ยวขอ้ ง (บ้าน วดั ๒ หมายถึง ร้อยละ ๗๙-๘๐มีผู้ปกครอง ชุมชน วัด ราชการ) พฒั นาโรงเรยี นตามแนวทางวถิ พี ทุ ธมากข้นึ ๑ หมายถึง ร้อยละ ๖๐-๖๙ มีผู้ปกครอง ชุมชน ว พฒั นาโรงเรยี นตามแนวทางวถิ พี ุทธมากขนึ้
คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ | ๙๓ ข้อบ่งช้คี ุณภาพ องคก์ รอ่นื ๆ ร่วมมือกนั ในการพฒั นาชุมชนหรอื ทางานของชมุ ชนมากขน้ึ องคก์ รอ่ืนๆ รว่ มมอื กันในการพัฒนาชมุ ชนหรือทางานของชุมชนมากขึ้น วยทากจิ กรรมต่าง ๆ ของวัดในชุมชนมากขึ้น เช่น ผู้ร่วมงานศาสนาประเพณี หรือกิจกรรม มือหรอื มากขึ้น วยทากิจกรรมต่าง ๆ ของวัดในชุมชนมากข้ึน เช่น ผู้ร่วมงานศาสนาประเพณี หรือกิจกรรม มือหรือมากขึน้ วยทากิจกรรมตา่ ง ๆ ของวดั ในชมุ ชนมากขนึ้ เชน่ มผี รู้ ่วมงานศาสนาประเพณี หรอื กจิ กรรม มือหรือมากขึน้ วยทากิจกรรมต่าง ๆ ของวัดในชุมชนมากขึ้น เช่น ผู้ร่วมงานศาสนาประเพณี หรือกิจกรรม มือหรือมากขนึ้ วัด และหน่วยงานอื่น ๆใหค้ วามไว้วางใจ เชือ่ มัน่ ศรัทธา ร่วมมอื หรอื ใหค้ วามช่วยเหลือ ด และหน่วยงานอื่นๆ ให้ความไว้วางใจ เช่ือมั่น ศรัทธา ร่วมมือ หรือให้ความช่วยเหลอื ด และหน่วยงานอื่นๆ ให้ความไว้วางใจ เชื่อมั่น ศรัทธา ร่วมมือ หรือให้ความช่วยเหลอื วัด และหน่วยงานอ่ืนๆ ให้ความไว้วางใจ เช่ือมั่น ศรัทธา ร่วมมือ หรือให้ความชว่ ยเหลอื
คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ | ๙๔ บทที่ 7 วถิ ีพทุ ธกบั การเรียนร้ใู นศตวรรษที่ ๒๑ แนวคิดทกั ษะแห่งอนาคตใหม่: การเรยี นรใู้ นศตวรรษท่ี ๒๑ และกรอบแนวคิดเพื่อการเรยี นรู้ในศตวรรษท่ี ๒๑ การเรียนรู้ในศตวรรษท่ี ๒๑ เป็นการกาหนดแนวทางยุทธศาสตร์ในการจัดการเรียนรู้ โดย ร่วมกันสร้างรูปแบบและแนวปฏิบัตใิ นการเสริมสรา้ งประสิทธภิ าพของการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ ๒๑ โดยเน้นที่องค์ความรู้ ทักษะ ความเช่ียวชาญและสมรรถนะท่ีเกิดกับตัวผู้เรียน เพ่ือใช้ในการ ดารงชีวิตในสังคมแห่งความเปล่ียนแปลงในปัจจุบัน โดยจะอ้างถึงรูปแบบ (Model) ที่พัฒนามาจาก เครือข่ายองค์กรความร่วมมือเพ่ือทักษะแห่งการเรียนรู้ในศตวรรษที่ ๒๑ (Partnership For 21st Century Skills) ที่มีช่ือย่อว่า เครือข่าย P21 ซึ่งได้พัฒนากรอบแนวคิดเพื่อการเรียนรู้ในศตวรรษที่ ๒๑ โดยผสมผสานองค์ความรู้ ทักษะเฉพาะด้าน ความชานาญการและความรู้เท่าทันด้านต่าง ๆ เข้า ดว้ ยกนั เพื่อความสาเร็จของผเู้ รยี นทั้งดา้ นการทางานและการดาเนินชีวติ ๑ ๙ ความท้าทายด้านการศึกษาในศตวรรษท่ี ๒๑ ในการเตรียมนักเรียนให้พร้อมกับชีวิตใน ศตวรรษท่ี ๒๑ เป็นเร่ืองสาคัญของกระแสการปรับเปลี่ยนทางสังคมที่เกิดข้ึนในศตวรรษท่ี ๒๑ ส่งผล ต่อวิถีการดารงชีพของสังคมอย่างทั่วถึง ครูจึงต้องมีความตื่นตัวและเตรียมพร้อมในการจัดการเรียนรู้ เพื่อเตรียมความพร้อมให้นักเรียนมีทักษะสาหรับการออกไปดารงชีวิตในโลกในศตวรรษท่ี ๒๑ ที่ เปล่ียนไปจากศตวรรษท่ี ๒๑ และ ๑๙ โดยทักษะแห่งศตวรรษท่ี ๒๑ ท่ีสาคัญท่ีสุด คือ ทักษะการ เรียนรู้ (Learning Skill) สง่ ผลให้มกี ารเปลี่ยนแปลงการจดั การเรียนร้เู พ่อื ใหเ้ ดก็ ในศตวรรษที่ ๒๑ นี้ มี ความรู้ ความสามารถ และทักษะจาเปน็ ซ่ึงเป็นผลจากการปฏริ ูปเปล่ียนแปลงรูปแบบการจัดการเรียน การสอน ตลอดจนการเตรียมความพรอ้ มดา้ นตา่ ง ๆ ทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี ๒๑ (21st Century Skills) ได้กลา่ วถงึ ทักษะเพือ่ การดารงชวี ิตในศตวรรษที่ ๒๑ สาระวิชาก็มีความสาคัญ แต่ไม่เพียงพอสาหรับการเรียนรู้เพื่อมีชีวิตในโลกยุคศตวรรษที่ ๒๑ ปัจจุบันการเรียนรู้สาระวิชา (content หรือ subject matter) ควรเป็นการเรียนจากการค้นคว้า เองของศิษย์ โดยครชู ว่ ยแนะนา และช่วยออกแบบกิจกรรมท่ชี ่วยใหน้ ักเรียนแตล่ ะคนสามารถประเมิน ความกา้ วหน้าของการเรยี นรูข้ องตนเองได้ โดยวิชาแกนหลักน้ีจะนามาสู่การกาหนดเป็นกรอบแนวคิดและยุทธศาสตรส์ าคัญต่อการจัดการเรียนรู้ ในเน้ือหาเชิงสหวิทยาการ (Interdisciplinary) หรือหัวข้อสาหรับศตวรรษที่ ๒๑ โดยการส่งเสริมความเข้าใจใน เนอ้ื หาวิชาแกนหลัก และสอดแทรกทักษะแห่งศตวรรษที่ ๒๑ เขา้ ไปในทุกวิชาแกนหลัก ๑ ฉวีวรรณ ๙ไชยพิเศษ, ทักษะในศตวรรษท่ี ๒๑, [ออน-ไลน์]. เข้าถึงแหล่งข้อมูลได้จาก : http://noi.esdc.go.th/home/thaksa-ni-stwrrs-thi-21, เขา้ ถงึ เมื่อ ๑๔ ก.ย. ๒๕๖๑.
คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ | ๙๕ ทักษะแห่งศตวรรษท่ี ๒๑ ความรเู้ กยี่ วกบั โลก (Global Awareness) ความรู้เกี่ยวกับการเงิน เศรษฐศาสตร์ ธุรกิจ และการเป็นผู้ประกอบการ (Financial, Economics, Business and Entrepreneurial Literacy) ความรู้ดา้ นการเป็นพลเมอื งทด่ี ี (Civic Literacy) ความร้ดู ้านสขุ ภาพ (Health Literacy) ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Literacy)ทักษะด้านการเรียนรู้และนวัตกรรม จะเป็น ตัวกาหนดความพร้อมของนักเรียนเขา้ สู่โลกการทางานทม่ี ีความซับซ้อนมากข้ึนในปัจจบุ ัน ไดแ้ ก่ - ความริเร่มิ สรา้ งสรรค์และนวัตกรรม - การคิดอยา่ งมีวจิ ารณญาณและการแก้ปญั หา - การส่ือสารและการรว่ มมือทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี เน่ืองด้วยในปจั จบุ นั มีการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารผ่านทางส่ือและเทคโนโลยีมากมาย ผู้เรียนจึงต้องมี ความสามารถในการแสดงทักษะการคิดอย่างมีวจิ ารณญาณและปฏบิ ตั ิงานได้หลากหลาย โดยอาศัยความรูใ้ นหลายดา้ น ดงั นี้ ๑) ความรู้ดา้ นสารสนเทศ ๒) ความรูเ้ ก่ยี วกบั ส่ือ ความรู้ด้านเทคโนโลยที ักษะด้านชีวิตและอาชีพ ในการดารงชวี ิตและทางานในยุคปัจจุบัน ให้ประสบความสาเร็จ นักเรยี นจะตอ้ งพฒั นาทักษะชีวิตทีส่ าคัญดงั ต่อไปน้ี ความยืดหยุน่ และการปรบั ตัว การริเริม่ สรา้ งสรรคแ์ ละเปน็ ตวั ของตวั เอง ทกั ษะสงั คมและสงั คมขา้ มวัฒนธรรม การเปน็ ผสู้ รา้ งหรือผผู้ ลิต (Productivity) และความรบั ผดิ ชอบเชื่อถือได้ (Accountability) ภาวะผู้นาและความรับผิดชอบ (Responsibility) ทักษะของคนในศตวรรษที่ ๒๑ ที่ทุก คนจะตอ้ งเรียนรูต้ ลอดชีวติ คอื การเรยี นรู้ 3R x 7C 3R คอื Reading (อ่านออก),(W)Riting (เขยี นได้),และ(A)Rithemetics (คิดเลขเป็น) 7C ได้แก่ Critical Thinking and Problem Solving (ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และทกั ษะในการแก้ปญั หา) Creativity and Innovation (ทกั ษะด้านการสร้างสรรค์ และนวัตกรรม) Cross-cultural Understanding (ทกั ษะดา้ นความเข้าใจความต่างวฒั นธรรม ต่างกระบวนทัศน์) Collaboration, Teamwork and Leadership (ทกั ษะดา้ นความรว่ มมอื การทางาน เปน็ ทมี และภาวะผูน้ า) Communications, Information, and Media Literacy (ทักษะด้านการสื่อสาร สารสนเทศ และร้เู ท่าทนั สือ่ ) Computing and ICT Literacy (ทักษะดา้ นคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร) Career and Learning Skills (ทักษะอาชีพ และทกั ษะการเรยี นรู้)
คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ | ๙๖ แนวทางในการพัฒนาทกั ษะศตวรรษท่ี ๒๑ ดว้ ยหลักธรรมทางพทุ ธศาสนา ทักษะศตวรรษท่ี ๒๑ หลักธรรม 3R Reading (อ่านออก), (W)Riting สุ จิ ปุ ลิ ฟงั คดิ ถาม เขยี น (เขยี นได)้ , และ (A)Rithemetics เป็นหวั ใจนกั ปราชญ์ (คดิ เลขเปน็ ) ฟัง ด้วยการฟงั อย่างลกึ ซึ้ง คิด ในส่งิ ท่ีเรียนมา ถาม ใชค้ าถามเพือ่ แสวงหาความรู้ เขยี น จดบันทกึ ไวก้ นั ลืม 7C 1.Critical Thinking and Problem โยนโิ สมนสกิ าร โยนิโสมนสิการ กระบวนการคิด 10 Solving วิธี ประกอบด้วย อริยสจั จ์ 4 ทักษะดา้ นการคดิ อย่างมีวิจารณญาณ อริยสัจจ์ 4 กระบวนการวิเคระห์และ แก้ปัญหา 4 ข้นั ตอน คือ และทกั ษะในการแกป้ ญั หา 2.Creativity and Innovation สัมมัปปธาน 4 คิดเป็นระบบ โดยสร้างองคืความรู้ได้ที่ ทักษะด้านการสร้างสรรค์ และ ปญั ญาวฒุ ธิ รรม 4 ไมเ่ ปน็ ภยั ต่อสงิ่ แวดลอ้ มและสงั คม นวัตกรรม สมาธิ 3 ระดับ 3.Cross-cultural Understanding เมตตาพรหมวหิ าร 4 มีความเข้าใจว่ามนุษย์ทุกคนจะต่าง ทกั ษะด้านความเข้าใจความตา่ ง สาราณิยธรรม4 ศ า ส นา ค วา ม เ ชื่ อ เ ช้ื อชา ติ แ ล ะ วัฒนธรรม ตา่ งกระบวนทัศน์ วั ฒ น ธ ร ร ม ต่ า ง ก็ มี ค ว า ม เ ป็ น ค น เหมือนกัน ต่างรักสุข เกลียดทุกข์ เหมือนๆกัน 4.Collaboration, Teamwork and สาราณียธรรม4 มีน้าใจในการทางานร่วมกัน และเข้าใจ Leadership กันดว้ ยดี รู้บทบาทหนา้ ท่ขี องตนๆ อปรหิ าณิยธรรม7 ทกั ษะดา้ นความร่วมมือ การทางานเป็น ทมี และภาวะผู้นา มติ รแท้ พทุ ธคุณ 3 5.Communications, สัมมาวาจา 4 การส่ือสารท่ีเป็นประโยชน์ สร้างสรรค์ Information, and Media Literacy องค์คุณนักแสดงธรรม ไม่เป็นไปเพื่อทารา้ ย ให้ร้ายเบียดเบยี น ทกั ษะด้านการส่อื สารสารสนเทศ และ สมั มาสงั กปั ปะ กันแตเ่ ปน็ ไปเพื่อประโยชนส์ ่วนรวม รู้เท่าทนั ส่ือ อคติ 4 6.Computing and ICT Literacy อิทธิบาท 4 การฝึกทักษะที่ไม่มี ให้มี และมีแล้วให้ ทักษะดา้ นคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยี กศุ ลมูล อกุศลมูล เช่ียวชาญย่ิงข้ึนโดยไม่สร้าง หรือใช้ให้ สารสนเทศและการสือ่ สาร เป็นภัยตอ่ ผอู้ ืน่ ทศพลญาณ 10 7.Career and Learning Skills สัมมาอาชีวะ มอี าชีพสจุ ริตและเช่ยี วชาญในอาชีพข้ึน ทักษะอาชพี และทกั ษะการเรยี นรู้ สมั มากัมมันตะ ไป อทิ ธบิ าท4 อปุ ปัญญาตธรรม
คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ | ๙๗ บทท่ี ๘ การบรหิ ารโรงเรียนวถิ พี ทุ ธ การบริหารเป็นศาสตร์และศิลป์ที่ผู้บริหารต้องมีท้ังสองอย่าง เพ่ือให้การดาเนินงานบริหารให้ สาเร็จตามวัตถุประสงค์ โดยงานสาเร็จอย่างได้ผล คนก็ผู้เกี่ยวข้องก็มีความสุข การบริหารท่ัวไปเป็น หลักพื้นฐานที่ควรทราบก่อน แล้วจึงเข้าสู่การบริหารสถานศึกษา ซ่ึงจะมีส่วนเพ่ิมขึ้นมาก็คือการ บริหารงานวิชาการ กิจกรรมนักเรียน การบริหารชั้นเรียน นอกจากน้ันได้เสนอแนวทางการบริหาร สถานศึกษาสมยั ใหม่ การบรหิ ารโรงเรยี นวิถีพทุ ธ รูปแบบการบริหารโรงเรียนวถิ ีพทุ ธ การดาเนนิ การสู่ ความเป็นโรงเรยี นวถิ ีพุทธ ตามลาดบั หลักการบรหิ ารทั่วไป การบริหารทั่วไป หมายถึง หลักการบริหารองค์กร สานักงาน หน่วยงานต่างๆ ท้ังภาครัฐและ เอกชน การบริหารสถานศึกษาจาเป็นต้องนาเอาแนวคิดทฤษฎีการบริหารองค์การมาประยุกต์ใช้ให้ เหมาะสมกับสถานศกึ ษาของตนเอง ดงั น้นั ในหัวขอ้ นี้จะเปน็ การกล่าวถึงทฤษฎอี งค์การทเี่ หมาะสมกับ การบริหารสถานศึกษา ในเบื้องต้นนี้จะนาเสนอแนวคิด ทฤษฎีการบริหารแบบต่าง ๆ ซึ่งได้แบ่งเป็น กลุ่ม ดงั ต่อไปน้ี ๑. ทฤษฎีการบริหารแบบคลาสสิค (Classical Management Approach) การบริหารองค์การแบบคลาสสิค เป็นหลักพื้นฐานของการบริหารงานที่เกิดขึ้นจากนักคิดนัก บริหารสมัยใหม่ต่อจากยุคด้ังเดิมซ่ึงไม่ได้มีการระบุอย่างชัดเจนว่าการบริหารต้อ งทาอย่างไรบ้าง วรรณพร พุทธภมู พิ ทิ ักษ์ และกญั ญามน อินหวา่ ง (๒๕๕๔: ๑๑-๒๗) สรุปไว้ดังน้ี เฟรดเดอร์ริค เทเลอร์ (Frederick W. Taylor) ทาการศึกษาหลักการจัดการแบบ วิทยาศาสตร์ (Principles of Scientific Management) จนได้รับการเรียกขานว่า บิดาของการ จัดการตามหลักวิทยาศาสตร์ (Father of Scientific Management) การจัดการ แบบวิทยาศาสตรม์ ี ความเชอื่ ในเรื่องของการเพิ่มผลผลิตโดยอาศัยการเพม่ิ ประสิทธภิ าพในการผลติ และเพิ่มค่าจา้ งคนงาน ผ่านการใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ด้วยการใช้วิธีการสร้างการเข้ากันได้ของคนงานและความร่วมมือ จากกลุ่ม เพื่อให้ได้รับผลผลิตสูงสุดและการพัฒนาคนงานการทางานโดยใช้วิธีท่ีดีที่สุด (The one best way) ให้ความสาคัญต่อการศึกษาด้านเวลา (Time study) และการเคลื่อนไหวในการทางาน (Motion study) ในยุคนีม้ กี ารเน้นการใช้แนวความคดิ วทิ ยาศาสตร์ ยอมรับความกลมกลืนในกิจกรรม กล่มุ มากและให้ความสาคัญต่อความร่วมมือของมนุษยย์ อมรับความกลมกลืนในกจิ กรรมกลุ่มมากและ ให้ความสาคัญต่อความร่วมมือของมนุษย์ มากกว่าความไม่มีระเบียบของบุคคล สาหรับด้านการ ทางานนั้น แนวคิดตามหลักวิทยาศาสตร์สนใจการเพิ่มผลผลิตสูงสุดมากกว่าผลผลิตในวงจากัด และ พัฒนาคนงานด้วยการให้เข้าฝึกอบรมท้ังกับหัวหน้างานและคนงานทุกคนเพ่ือให้สามารถใช้ ความสามารถสูงสุดมาปฏิบัติงานเพ่ือให้เกิดประสิทธิผลและประสิทธิภาพ เทเลอร์สนใจในการเพ่ิม ประสิทธิภาพในการผลิต ไม่เพียงแต่การลดต้นทุนและการเพิ่มกาไรเท่าน้ัน แต่ยังศึกษาในเรื่องอัตรา
คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ | ๙๘ ค่าตอบแทนท่ีเหมาะสม (A Fair day’s pay) และแรงงานท่ีเหมาะสมด้วย (A Fair day’s work) กล่าวได้ว่า ปัจจุบันนี้แนวคิดตามหลักวิทยาศาสตร์นี้ยังคงมีการนามาใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมเป็น จานวนมากโดยเฉพาะกับประเทศที่กาลังพัฒนา จากนี้แนวความคิดด้านการฝึกอบรมยังคงมี ความสาคัญต่อการพฒั นาทรัพยากรมนุษย์ในองค์การอยจู่ นปจั จบุ นั น้ี และไดม้ ีผูค้ ิดค้นแนวคดิ ดา้ นการ ฝึกอบรมให้ก้าวหน้าย่ิงข้ึนด้วยวิธีการใช้องค์การแห่งการเรียนรู้ สร้างเครือข่ายการเรียนรู้ร่วมกันของ องค์กรต่อไป สิ่งนี้ยืนยันได้ว่าแนวคิดด้านวิทยาศาสตร์น้ีเป็นทฤษฎีคลาสสิคของสังคมโลกแม้เวลาจะ ผ่านไปถงึ เกือบร้อยปกี ต็ าม เฮนรี่ แอล แกนท์ (Henry L. Gantt) มีความสนใจในด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการทางาน ให้กับองค์การโดยเน้นในเรื่องค่าตอบแทนของคนงานกบั การผลิตของแตล่ ะชิ้นแต่ละวัน สง่ิ ทท่ี าให้เขา มีชื่อเสียงมากคือ การคิดแผนภูมิเพื่อใช้ในการดูอัตราการผลิตแต่ละวันในโรงงาน แผนภูมิท่ีใช้มีชื่อ เรยี กว่า Grantt Chart แผนภมู นิ ี้ได้ถูกนาไปใช้กับองค์การต่าง ๆ มาก แผนภูมิแกนท์ได้พัฒนาแนวคิด เพ่ือนามาใช้กับการตัดสินใจและใช้ในการควบคุมการปฏิบัติงานด้วยกิจกรรม PERT ในปัจจุบัน แนวทางของแกนท์ได้กลายเป็นส่ิงท่ีสังคมโลกนามาปรับใช้กับการสร้างองค์ความรู้ต่าง ๆ มากยิ่งข้ึน และพฒั นาไปสู่แผนภมู ิในรูปแบบตา่ ง ๆ แฮริงตัน อีเมอร์สัน (Harrington Emerson) เป็นท่ีปรึกษาทางด้านวิศวกรรม ผลงานส่วน ใหญ่เนน้ ดา้ นการจดั สรรทรัพยากรและการขจดั ความสูญเปล่า อเี มอรส์ นั ยอมรับแนวความคิดดา้ นการ จดั การตามหลักวิทยาศาสตร์ของเทเลอร์มากและสนบั สนุนแนวคิดดว้ ยการศึกษาด้านความสาคัญของ โครงสร้างและจุดมงุ่ หมายขององคก์ าร จากการศึกษาน้ีทาให้เกิดแนวทางด้านประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ๑๒ ประการ ซ่ึง สะท้อนถึงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและการจัดการท่ีมีระบบโดยมุ่งที่การทางานให้เหมาะสมและ งา่ ยขนึ้ เพื่อลดความสนิ้ เปลอื งในดา้ นทรัพยากรต่าง ๆ ดงั นี้ ๑. ผู้บรหิ ารควรทราบถงึ ส่ิงทตี่ ้องการเพ่ือลดความคลมุ เครือและความไม่แนน่ อน และกาหนด จดุ ม่งุ หมายท่ีชัดเจน ๒. ผู้บริหารต้องพัฒนาความสามารถ ใช้หลักเหตุผล สร้างความแตกต่างโดยค้นหาความจริง และคาแนะนาให้มากเท่าทจี่ ะทาได้ ๓. ผบู้ ริหารตอ้ งรบั ฟงั คาแนะนาจากบุคคลอน่ื เพ่อื รบั ทราบปญั หาตา่ ง ๆ ได้ ๔. ผู้บริหารควรกาหนดกฎเกณฑ์ขององคก์ ารเพ่อื ใหพ้ นักงานถือตามกฎและวินยั ต่าง ๆ ๕. ผู้บริหารควรใหค้ วามยุติธรรมและความเหมาะสมแก่ผู้ใตบ้ ังคับบัญชา ๖. ผู้บริหารควรมขี อ้ มูลที่เช่อื ถือได้ เปน็ ปจั จบุ ัน ถกู ตอ้ งและแน่นอน ๗. ผู้บรหิ ารควรใชก้ ารวางแผนสาหรบั แตล่ ะหน้าที่ มคี วามฉับไวของการจดั สง่ ๘. ผู้บริหารต้องพัฒนาวิธีการทางานและกาหนดเวลาทางานสาหรับแต่ละหน้าที่มีมาตรฐานและ ตารางเวลา ๙. ผู้บรหิ ารควรรักษามาตรฐานและสภาพแวดลอ้ มใหด้ ี ๑๐. ผ้บู ริหารควรรักษารูปแบบมาตรฐานของวธิ กี ารปฏิบตั ิทมี่ ีมาตรฐาน ๑๑. ผู้บริหารต้องระบุการทางานท่มี ีระบบถูกตอ้ งและเปน็ ลายลักษณอ์ ักษร ๑๒. ผู้บรหิ ารควรให้รางวลั พนักงานสาหรบั พนกั งานที่ทางานมีประสิทธภิ าพ
คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ | ๙๙ จากแนวทาง ๑๒ ประการข้างต้นจะพบว่าแนวคิดของอีเมอร์สันยังคงสามารถนามา ประยุกต์ใชก้ บั การบรหิ ารองค์การโรงเรยี นวิถีพุทธในปัจจุบนั ได้ ดังเช่น ระบบขอ้ เสนอแนะ หรอื ระบบ การใหร้ างวัล หรือการสร้างนโยบายท่ีชดั เจนขององคก์ าร ๒. ทฤษฎีการบริหารจัดการ (Administrative Management) เฮนรี ฟาโยล (Henri Fayol) เป็นนักอุตสาหกรรมชาวฝร่ังเศส ได้เสนอแนวความคิด เก่ียวกับหลักการบริหารงาน ๑๔ ประการ ซ่ึงถือว่าเป็นหลักการจัดการที่มีประสิทธิภาพของ Fayol (Fayol’s principles of effective management) ดงั นี้ ๑. การแบ่งงานกนั ทา (Division of work) ๒. อานาจและหนา้ ทคี่ วามรบั ผิดชอบ (Authority and Responsibility) ๓. ความมรี ะเบยี บวนิ ยั (Discipline) ๔. ความมผี ้บู ังคบั บญั ชาเพยี งคนเดยี ว (Unity of command) ๕. การมีเปา้ หมายเดียวกนั (unity of direction) ๖. ผลประโยชน์ส่วนตัวมีความสาคัญน้อยกว่าผลประโยชน์ขององค์การ (Subordination of individual to the general interest ) ๗. คา่ ตอบแทนและวธิ กี ารจ่ายค่าตอบแทน (Remuneration and methods) ๘. การรวมอานาจ (Centralization) ๙. สายการบงั คบั บญั ชา (Scalar chain) ๑๐. คาส่ัง (Order) ๑๑. หลักความเสมอภาค (Equity) ๑๒. ความม่นั คงในงาน (Stability of tenure) ๑๓. ความคดิ ริเร่มิ (Initiative) ๑๔. ความสามัคคี (Esprit de corps) นอกจากน้ี ฟาโยยังได้เสนอแนวความคิดในด้านกระบวนการจัดการว่า ประกอบด้วยหน้าที่ (Functions) ทางการบรหิ าร คอื ๑. การวางแผน (Planning) เป็นหน้าที่ของผู้บริหารที่จะต้องทาการคาดการณ์ ล่วงหน้าถึงเหตุการณ์ที่จะมีผลกระทบต่อธุรกิจ และกาหนดข้ึนเป็นแผนการปฏิบัติงานหรือวิถีทางจะ ปฏบิ ัตเิ อาไว้เพือ่ สาหรบั เปน็ แนวทางของการทางานในอนาคต ๒. การจัดองค์การ (Organizing) เป็นหน้าท่ีที่ผู้บริหารจาต้องจัดให้มีโครงสร้างของ งานตา่ ง ๆ และอานาจหนา้ ท่ี เพื่อใหท้ รัพยากรในการบรหิ ารงานเปน็ ไปอยา่ งมีประสิทธิภาพ ๓. การบงั คบั บญั ชาส่งั การ (Commanding) เปน็ หนา้ ที่ในการส่งั การงานต่าง ๆ ของ ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา ผู้บริหารและคนงานจะต้องเข้าใจถึงข้อตกลงในการทางานของคนงานและ องคก์ ารที่มีอยูร่ วมถึงการติดต่อส่ือสารกับผูใ้ ตบ้ ังคบั บัญชาอย่างใกลช้ ิด ๔. การประสานงาน (Co-ordinating) เป็นหนา้ ทที่ จ่ี ะตอ้ งเช่ือมโยงงานของทุกคนให้ เข้ากนั ได้ และกากับให้ไปส่จู ดุ หมายเดยี วกัน ๕. การควบคุม (Controlling) เป็นหน้าท่ีในการที่จะต้องกากับใหส้ ามารถประกันได้ วา่ กจิ กรรมต่าง ๆ ทีท่ าไปนั้นสามารถเขา้ กนั ได้กบั แผนท่ีไดว้ างไว้
คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ | ๑๐๐ ในระยะต่อมามีผู้ให้การสนับสนุนแนวความคิดของฟาโยในด้านการบริหารอีกมากมาย เช่น Luther Gulick และ Lyndall Urwick นักทฤษฎีเหลา่ น้ีได้แสดงความคิดเกี่ยวกับกระบวนการบริหาร ๗ ประการ (POSDCoRB) ๑. การวางแผน (Planning) ๒. การจดั องค์การ (Organizing) ๓. การจดั บคุ คล (Staffing) ๔. การอานวยการ (Directing) ๕. การประสานงาน (Co-ordinating) ๖. การรายงาน (Reporting) ๗. การงบประมาณ (Budgeting) สรุป หลักการจัดการข้างต้นน้ีถือว่าเปน็ หนา้ ท่ีของงานบริหารที่ผู้บริหารสามารถนาไปปรับใช้ ในการปฏิบัติงานในแต่ละสถานการณ์ที่แตกต่างกันได้เป็นการดาเนินงานให้ผู้ปฏิบัติงานในองค์การได้ ปฏิบัติงานให้สาเร็จตามวัตถุประสงค์ท่ีกาหนดไว้ อย่างไรก็ตามแนวคิดของ POSDCORB นั้นมีความ เหมาะสมกับองค์การขนาดใหญ่มากกว่าที่จะนาไปใช้กับองค์การขนาดเล็ก เพราะกระบวนการจัดการ สาหรับองค์การขนาดเล็ก เช่น ธุรกิจขนาดย่อม (Small Business) ซึ่งไม่จาเป็นต้องใช้กระบวนการ จัดการทม่ี รี ะบบมากสามารถใช้การวางแผน การจัดองค์การ การอานวยการและการควบคุมกส็ ามารถ จะทาใหก้ ระบวนการทางานดาเนินไปได้ ๓. ทฤษฎกี ารบริหารเชงิ ระบบ (Systems Theory) ลดุ วจิ วอน เบอรท์ แลนฟี่ (Ludwig von Bertlanffy) ได้เสนอทฤษฎีระบบที่อาศัยแนวคิด ด้านพฤติกรรมศาสตร์ และแนวคิดด้านวิทยาศาสตร์ผสมผสานกัน โดยมององค์การเป็นระบบตาม หน้าท่ีที่สัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม มีความเก่ียวข้องกันซ่ึงต้องการบรรลุจุดมุ่งหมายร่วมกัน ทุกระบบจะ ประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ท่ีใช้กระบวนการแปรสภาพเพ่ือเปลี่ยนปจั จยั นาเข้าเป็นผลผลิต ระบบข้ึนกบั การป้อนกลับเพื่อสอบผลลพั ธ์และปรบั ปรงุ ปจั จัยนาเข้า โดยมี ๔ สว่ น ดังนี้ ๑. ปัจจัยนาเข้า ประกอบด้วย ทรัพยากรมนุษย์ การเงิน ส่ิงแวดล้อมทางกายภาพและข้อมูล ข่าวสารเพ่ือการผลิตสนิ ค้า การบริการและการตัดสินใจ ๒. กระบวนการแปรสภาพ ประกอบดว้ ย การจัดการ เทคโนโลยี และการปฏบิ ตั ิ การผลิตเพื่อ เปลีย่ นปัจจัยนาเขา้ เป็นผลผลิต ๓. ผลผลิต ประกอบด้วย สินค้า บริการ กาไร ขาดทุน พฤติกรรมของพนักงานและผลลัพธ์ที่ คาดหวัง โดยผบู้ รหิ ารในทกุ ระดบั ทีท่ างานเพื่อให้บรรลุวตั ถปุ ระสงค์ขององค์การ ๔. การปอ้ นกลบั เปน็ ข้อมลู เก่ยี วกับสภาพและผลลัพธ์เก่ยี วกบั กิจกรรมองค์การโดยมีลูกค้า คู่ แข่งขนั ภาครฐั บาล และผจู้ ัดหาเป็นผปู้ ้อนกลับข้อมูลให้กับองค์การ เสมอื นเปน็ ผู้ตรวจการทางธรุ กิจ องค์การธุรกิจเป็นเสมือนระบบหนึ่งท่ีทาหน้าที่แปรสภาพ เร่ิมจากการนาเอาทรัพยากรต่างๆ เข้าสู่ระบบ จากน้ันองค์การก็จะทาหน้าที่แปรสภาพส่ิงที่นาเข้าไปด้วยกรรมวิธีต่าง ๆ เช่น การใช้ กระบวนการจัดการ การใช้กระบวนการผลิต การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่
คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ | ๑๐๑ ตั้งเป้าหมายไว้ เช่น ผลิตภัณฑ์ การบริการ การค้า บริการภายในระบบจะประกอบด้วยระบบย่อยซึ่ง ต่างฝ่ายต้องทาหน้าทแี่ ปรสภาพทรัพยากรจนกระทง่ั เปน็ สนิ ค้าสาเรจ็ รูปและบริการตา่ ง ๆ สาหรับการบริหารเชิงระบบนน้ั มีประโยชนม์ าก เพราะผู้บริหารสามารถมองเหน็ ขอบเขตของ องค์การและทรี่ ะบบย่อยขององค์การทม่ี ีความสัมพันธ์กนั กับสภาพแวดลอ้ ม ดงั นน้ั องคก์ ารทุกองค์การ ควรจะเป็นระบบเปดิ อย่างแท้จริงเพราะว่าต้องใชป้ ัจจัยนาเข้าจากสภาพแวดล้อมและเปลย่ี นแปลงให้ เป็นปจั จัยส่งออกสู่สภาพแวดล้อม แนวความคิดนี้จะไดผ้ ลต่อเม่ือองค์การทน่ี าไปใช้สามารถปรับตัวให้ เข้ากับสถานการณ์ ส่ิงแวดล้อมท่ีเปลี่ยนแปลงได้ โดยเฉพาะข่าวสารข้อมูลจะเป็นสิ่งสาคัญสาหรับ แนวคิดน้ีอย่างย่ิง ฉะน้ันองค์การควรตรวจสอบสภาพแวดล้อมและปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม เพือ่ การพฒั นาการบริหารต่อไป ๔. ทฤษฎีองคก์ ารแหง่ การเรยี นรู้ (Learning Organization Theory) แนวคิดองค์การแห่งการเรียนรู้เป็นแนวคิดท่ีต้องการให้คนเกิดความต้องการในการที่จะ แบ่งปันความรู้ให้เกิดข้ึนและแพร่ขยายไปท่ัวท้ังองค์การ แนวคิด แบ่งเป็น ๕ ประการ (วรรณพร พทุ ธภมู ิพทิ ักษ์ และกญั ญามน อินหว่าง, ๒๕๕๔: ๒๘-๒๙) คอื ๑. Personal Mastery บุคคลได้ขยายขีดความสามารถของตนอย่างต่อเนื่อง ทุกคน ตอ้ งเปน็ นักพัฒนาตนเอง มีทักษะความสามารถ เพ่อื ให้เกิดการปรบั ปรงุ ผลงานตลอดเวลา ๒. Share Vision การมีเป้าหมายหรือผลลัพธ์ท่ีพึงประสงค์ร่วมกัน โดยสนับสนุนให้ บุคลากรได้แสดงวิสัยทัศน์ของแต่ละคนออกมา แล้วจึงเปิดโอกาสให้ทุกคนได้ร่วมอภิปรายร่วมกันอัน เป็นเครือ่ งมอื ทจี่ ะนาไปสู่การมวี สิ ัยทัศนร์ ่วมกนั ซ่ึงต้องมคี วามต่อเนื่อง ๓. Mental Model การมีความปรารถนาหรือแรงบันดาลใจร่วมกัน โดยบุคคลต้อง ตระหนักถึงสภาพการปัจจุบันขององค์การและพร้อมท่ีจะตรวจสอบท้าทายสภาพท่ีเกิดขึ้นโดยจะมี แม่แบบทางความคิดชดุ หนง่ึ คอยควบคุมการตดั สนิ ใจของพนักงานในองค์การ ๔. Team Learning การให้องค์การสร้างการถ่ายทอดความรู้ซึ่งกันและกันเป็นการ สร้างบทเรียนแห่งความสาเร็จ เพื่อขยายต่อไปในหน่วยงานอื่นเป็นการคิดและสร้างสรรค์ ส่ิงใหม่ ภายใต้การประสานงานร่วมกัน การเรียนรู้เป็นทีมจึงอาศัยความรู้ ความคิดของสมาชิกในกลุ่มมา แลกเปลย่ี นความคิดเหน็ เพอื่ พฒั นาความรคู้ วามสามารถของทีมต่อไป ๕. System Thinking การพฒั นาแบบแผนทางความคดิ ท่แี ปลกใหม่ที่เป็นระบบ คือ เป็นการหาสาเหตทุ ่มี อี ิทธพิ ลและสง่ ผลต่อพฤตกิ รรมและความสาเรจ็ ขององค์การ เป็นการคิดแบบองค์ รวม (Holistic) หรือมองภาพกว้างที่องค์ประกอบต่าง ๆ มีความสัมพันธ์กันอย่างซับซ้อน เพื่อท่ีจะ เข้าใจและเห็นภาพสาเหตทุ ่ีมาของปัญหาไดอ้ ย่างแทจ้ ริง หลักการบรหิ ารสถานศกึ ษา สถานศึกษาเป็นแหล่งให้การศึกษา จาเป็นต้องมีผู้บริหารและการบริหารที่ดี การบริหาร การศึกษาเป็นวิชาชีพช้ันสูง (Profession) และใช้บุคลากรมืออาชีพ (Professional) มาบริหาร (ธีระ รุญเจริญ, ๒๕๔๗: ๒๒) จึงจะทาให้การบริหารและการจัดการศึกษาประสบความสาเร็จและเป็นไป ตามแนวทางที่พงึ ประสงค์ ตามพระราชบัญญัตกิ ารศกึ ษาแหง่ ชาติ
คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ | ๑๐๒ ๑. ความหมายของการบรหิ ารสถานศกึ ษา สัมมา รธนิธย์ (๒๕๓๖: ๙๕) กล่าวว่า การบริหารการศึกษาต้องอาศัยผู้บริหารที่มี ประสิทธิภาพ มคี วามรู้ความสามารถ เพ่ือใหก้ ารบรหิ ารบรรลุวตั ถุประสงค์ มอี งค์ประกอบดังน้ี ๑) การวางเป้าหมายและวัตถปุ ระสงคช์ ัดเจน ๒) การวางแผน และนาเทคโนโลยใี นการบริหารงาน ๓) การจัดโครงสร้าง และวางระบบงาน ๔) การใชท้ รพั ยากร และค่าใชจ้ ่ายทีค่ ุ้มค่า ๕) การใชอ้ านาจในการสัง่ การ และควบคมุ ๖) การประเมินผลเพอ่ื ปรับปรุงงาน หลักการน้สี อดคลอ้ งกับแนวคดิ ของนกั การศึกษา ดังต่อไปน้ี หวน พนิ ธพุ นั ธ์ (๒๕๕๐: ๓๖) กลา่ ววา่ การบรหิ ารสถานศึกษา หมายถงึ การดาเนินงานของ กลุ่มบุคคลเพื่อพัฒนาคนให้มีคุณภาพทั้งความรู้ ความคิด ความสามารถ และความเป็นคนดี และ นพพงษ์ บุญจิตราดุล (๒๕๔๘: ๕๑) กล่าวว่า การบริหารสถานศึกษา หมายถึง กิจกรรมต่าง ๆ ที่บุคคลหลายคนร่วมมือกันดาเนินการเพ่ือพัฒนาสมาชิกของสังคมในทุกๆด้าน นับต้ังแต่หลักการ ความรู้ ความสามารถ พฤติกรรมและคุณธรรมเพื่อให้มีค่านิยมตรงกับความต้องการของสังคม โดยกระบวนการต่าง ๆ ท่ีอาศัยการควบคุมส่ิงแวดล้อมให้มีผลต่อบุคคลและอาศัยทรัพยากรตลอดจน เทคนิคตา่ ง ๆ อย่างเหมาะสม เกษม วัฒนชัย (๒๕๔๖: ๒) กล่าวว่า การบริหารสถานศึกษา หมายถึง ระบบการบริหาร การออกแบบและจัดระบบการศึกษาทั้งระบบความคิด และรวมถึงการนาทรัพยากรเพ่ือการศึกษาไป บริหารให้เกิดผลทางการศึกษา โดยผู้บริหารเป็นบุคคลสาคัญในการบริหารสถ านศึกษา และ สอางค์ จงสวัสด์ิพัฒนา (๒๕๔๖: ๑๑) กล่าววา่ การบรหิ ารสถานศกึ ษา หมายถึง การดาเนนิ งานของ กลุ่มบุคคลที่จัดกิจกรรมทางการศึกษา ทางด้านวิชาการ งบประมาณ การบริหารงานบุคคล และการ บรหิ ารทว่ั ไปของโรงเรยี น เพอ่ื บรรลวุ ัตถุประสงค์ในการจดั การศึกษาแก่สมาชิกในสังคม สรุปว่า การบริหารสถานศึกษา หมายถึง กระบวนการดาเนินกิจกรรมของกลุ่มบุคคลใน โรงเรียน และผู้ท่ีเก่ียวข้องภายนอกโรงเรียน ได้ร่วมกันในการบริหารจัดการศึกษาให้เกิดกิจกรรมท่ี หลากหลาย โดยใช้เทคนิคที่ประยุกต์ศาสตร์และศิลป์ทางการบรหิ ารมาใช้ในกิจการทางการศึกษา ใน การท่พี ัฒนาสมาชกิ ในสังคมให้เปน็ ผู้มปี ระสทิ ธภิ าพ ๒. ภารกิจการบรหิ ารสถานศกึ ษา สถานศึกษาเป็นองค์กรที่มีภารกิจหลัก คือ การจัดการเรียนรู้เพ่ือให้ผู้เรียนได้บรรลุตาม จุดมุ่งหมายของหลักสูตร ในส่วนของการบริหารสถานศึกษาโดยรวม กระทรวงศึกษาธิการกาหนด ภารกจิ การบรหิ ารสถานศึกษาใน ๔ งานหลกั คอื การบรหิ ารงานวิชาการ การบรหิ ารงานงบประมาณ การบรหิ ารงานบคุ คล การบรหิ ารงานท่ัวไป (กระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๔๗: ๓๓-๓๔) จากหลักการนี้ ภารกิจหลักท่ีผู้บริหารจะต้องปฏิบัติให้บรรลุเป้าหมายอย่างมีคุณภาพ เกี่ยวกับเร่ืองนี้ผู้บริหารจาเป็นอย่างย่ิงท่ีจะต้องมีความรู้ ความเข้าใจ ภารกิจ นอกจากน้ีผู้บริหาร สถานศึกษาจาเป็นต้องรู้จักกระบวนการบริหารที่นามาประยุกต์ใช้ จึงจะสามารถพัฒนางานบริหาร สถานศกึ ษาใหบ้ รรลุตามเป้าประสงค์ได้
คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ | ๑๐๓ กระบวนการบริหารสถานศกึ ษา กระบวนการบริหารสถานศึกษา ผู้บริหารต้องศึกษาแนวทางในการปฏิบัติภารกิจหลักท้ัง ๔ ด้านให้เข้าใจเพื่อการบริหารให้บรรลุเป้าหมายอย่างมีคุณภาพ จึงขอนาเสนอกระบวนการบริหาร โรงเรยี นท่ีสานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาได้เสนอแนะไว้ (มานะ ทองรกั ษ,์ ๒๕๔๙: ๔๔-๔๖) ดงั ต่อไปนี้ ๑. การศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหาและความต้องการ เป็นขั้นตอนข้ันพ้ืนฐานก่อนท่ีจะมีการ วางแผนงานบริหารโรงเรียน เพราะผู้บริหารจะได้ข้อมูลที่แสดงถึงสถานการณ์ที่เป็นอยู่จริงในปัจจุบัน ของโรงเรียน สภาพการปฏิบัติงานแสดงให้เห็นถึงปัญหาสาคัญของระบบงาน การปฏิบัติงานแสดงถึง ความพรอ้ ม ความสามารถของโรงเรียนเปรียบเทยี บกบั มาตรฐานและความคาดหวงั นน่ั คือแสดงความ ต้องการในอนาคตน่ันเอง ๒. การวางแผน คือ การคิดและกาหนดสิ่งที่จะต้องปฏิบัติ เป็นการตัดสินใจไว้ล่วงหน้าว่าจะ ทาอะไร ทาไมจึงทา ทาอย่างไร จะให้ใครทา จะทาท่ีไหนและทาเมื่อไหร่ ๓. การดาเนนิ งานตามแผน เป็นขัน้ ตอนทป่ี ระกอบดว้ ย การควบคมุ กากับติดตาม และ นเิ ทศงาน ๔. การประเมินผล เป็นข้ันตอนสุดท้ายของกระบวนการบริหาร การประเมินผลช่วยให้ ผบู้ รหิ ารทราบวา่ ผลการปฏบิ ัติงานบรรลวุ ตั ถุประสงค์เพียงใด แสดงข้อบกพรอ่ งของการปฏิบตั ิงานเพื่อ ปรบั ปรุงแกไ้ ขการปฏบิ ตั ิงานคร้งั ต่อไปให้มปี ระสทิ ธภิ าพยิ่งขน้ึ สรุป ผู้บริหารจะดาเนินงานให้ประสบความสาเร็จจะต้องมีกาหนดวิสัยทัศน์ กระบวนการ วางแผน มีการทาตามแผน มุ่งสู่เป้าหมายท่ีชัดเจน (Plan) มีการทางานเป็นทีม คณะกรรมการ สถานศึกษาต้องร่วมมือกับผู้บริหาร ครู ผู้ปกครอง ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ต้องร่วมกันพัฒนาและ ดาเนนิ การอย่างต่อเนื่องโดยไมห่ ยุด (Do) มีการตรวจสอบประเมินผลและพัฒนาปรบั ปรุงงานอยู่เสมอ ช่วยกันตรวจสอบ (Check) และปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องและพัฒนาปรับปรุงคุณภาพให้ดีย่ิงขึ้นอยู่ เสมอ (Act) แนวทางการบริหารสถานศกึ ษาสมยั ใหม่ ๑. บริหารอยา่ งมธี รรมาภิบาล (Good Governance) การบริหารจัดการศึกษาภายในสถานศึกษาให้เกิดพลังและมีประสิทธิภาพ จาเป็นต้องยึด เงือ่ นไขและหลักการสาคญั ดังนี้ ๑. การตัดสินใจที่ยึดโรงเรียนเป็นฐาน (School-Based Decision) เป็นแนวคิดที่มุ่ง ให้โรงเรยี นมีอิสระในการตดั สินใจดว้ ยตนเอง โดยยดึ ประโยชน์ท่ีจะเกิดกับผู้เรียนเป็นสาคัญ ๒. การมีส่วนร่วม (Participation) กาหนดให้บุคคลหลายฝ่ายท่ีเกี่ยวข้องกับ การศึกษา หรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการจัดการศึกษา เข้ามามีส่วนร่วมเป็นคณะกรรมการร่วมแสดง ความคดิ เห็นหรอื ร่วมกากบั ติดตาม ดูแล ๓. การกระจายอานาจ (Decentralization) เป็นการกระจายอานาจด้านการบริหาร จัดการด้านวิชาการ งบประมาณ การบริหารบุคคลและการบริหารทั่วไป ให้คณะกรรมการเขตพ้ืนท่ี การศกึ ษาและคณะกรรมการสถานศึกษาเปน็ ผูร้ บั ผิดชอบ
คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ | ๑๐๔ ๔. ความรับผิดชอบที่สามารถตรวจสอบได้ (Accountability) มีการกาหนดหน้าท่ี ความรบั ผิดชอบและภารกจิ ของผ้รู ับผดิ ชอบ เพื่อเป็นหลักประกนั คุณภาพการศกึ ษาใหเ้ กิดขึ้น ๕. ธรรมาภิบาล (Good Governance) เป็นหลักคิดสาหรับการบริหารจัดการที่ดี เพื่อประกันว่าในองค์การจะไม่มีการฉ้อราษฎร์บังหลวง ไม่ด้อยประสิทธิภาพ ท้ังนี้ ยึดหลักเป้าหมาย สอดคล้องต่อสังคม กระบวนการโปร่งใสและทุกขน้ั ตอนมีผรู้ บั ผดิ ชอบ ๖. ความเป็นนิติบุคคล (A juristic person) เป็นการให้สิทธิและอานาจหน้าที่ที่กาหนด ไว้เป็นของตนเอง ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการ กระทรวงศึกษาธิการพระราชบัญญตั ิระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาและพระราชบัญญัติ การศึกษาภาคบังคับ ซ่งึ ไดก้ าหนดอานาจหนา้ ทท่ี ีเ่ ปน็ ของโรงเรียนไวโ้ ดยเฉพาะ ๒. การบรหิ ารแบบ POLC การทาใหก้ ารบริหารประสบความสาเรจ็ เปน็ หน้าที่ของผู้บรหิ าร หรอื หนา้ ทก่ี ารบริหารท่ีต้อง ปฏิบัติ ท้ังนี้ การจาแนกหน้าที่การบริหารของนักวิชาการสว่ นใหญ่มีแนวคิดสอดคล้องกัน แต่มีการจัด กลุ่มกิจกรรมย่อยแตกต่างกันไปตามความคิดเห็นของแต่ละคน ในที่น้ีอาจสรุปและจาแนกหน้าที่การ บริหารครอบคลุมใน ๔ ดา้ น ดงั น้ี (DuBrin, ๒๐๐๐) ๑. การวางแผน (Planning) หมายถึง การตัดสินใจล่วงหน้าว่าจะดาเนินการอย่างไร ใหบ้ รรลุและวัตถุประสงคท์ กี่ าหนดไวอ้ ย่างมีประสทิ ธภิ าพ เกดิ ประโยชน์ต่อองคก์ รมากทส่ี ดุ ๒. การจัดองค์กร (Organizing) หมายถึง กระบวนการจัดการทรัพยากรต่างๆ และ การจัดระบบการดาเนินงานเพอ่ื ใหบ้ รรลเุ ป้าหมายขององค์กร ๓. การนา (Leading) หมายถงึ การอานวยการและการประสานงาน เพือ่ ให้บคุ ลากร ปฏิบตั ิงานบรรลุเป้าหมายขององค์กร ซ่ึงต้องอาศัยภาวะผู้นาของผบู้ ริหาร ๔. การควบคุม (Controlling) หมายถึง การกากับให้การดาเนินงานและกิจกรรม ต่าง ๆ ทีป่ ฏิบัตใิ ห้เปน็ ไปตามเปา้ หมายและแผนขององคก์ รท่ไี ด้กาหนดไว้ ๓. การบรหิ ารคณุ ภาพภายใน (PDCA) กระบวนการทางานเชิงระบบ (PDCA) ถือเป็นวงจรบริหารงานคุณภาพ มีการหมุนวงจรเล็ก ไปสู่วงจรใหญ่ อันทาให้เกิดรอบต่อไปท่ีทาให้เกิดการปรับปรุงต่อเนื่อง ทาให้งานมีการพัฒนาอย่างไม่ สิ้นสุด ท้ังน้ี อาจเร่ิมด้วยการปรับปรุงเล็กน้อยก่อนท่ีจะก้าวไปสู่การปรับปรุงท่ีมีความซับซ้อนมาก ยงิ่ ขึ้น ดงั ภาพนี้ วงจรการทางานเชงิ ระบบ (PDCA) กบั การปรับปรงุ อย่างต่อเน่อื ง
คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ | ๑๐๕ ขัน้ ตอนการทางานเชิงระบบ (PDCA) ข้นั ตอนการทางานเชงิ ระบบ (PDCA) ๔ ข้นั ตอน สรุปไดด้ งั น้ี ๑. การวางแผน (Plan) การวางแผนที่ดชี ่วยใหส้ ามารถคาดการณ์ส่ิงท่ีเกดิ ข้ึนในอนาคตช่วย ลดความสูญเสียต่าง ๆ ท่ีอาจเกิดขึ้นได้ ท้ังในด้านแรงงาน วัตถุดิบช่ัวโมงการทางาน เงิน เวลา ฯลฯ และช่วยให้รับรู้สภาพปัจจุบันพร้อมกับกาหนดสภาพที่ต้องการให้เกิดข้ึนในอนาคต ด้วยการผสาน ประสบการณ์ ความรู้และทักษะอย่างลงตัว การวางแผนที่ดีสามารถทาให้บรรลุจุดมุ่งหมายได้ ควรมี ลักษณะดังนี้ ๑) ครอบคลุมถึงการกาหนดกรอบหัวข้อที่ต้องการปรับปรุงเปล่ียนแปลงซ่ึงรวมถึง การพัฒนาส่ิงใหม่ ๆ สามารถแสดงถงึ การแก้ปญั หาท่ีเกดิ ขน้ึ จากการปฏิบตั ิงาน ฯลฯ ๒) พร้อมสู่การพิจารณาว่ามีความจาเป็นต้องใช้ข้อมูลใดบ้างเพ่ือการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงนนั้ โดยระบุวธิ กี ารเก็บขอ้ มูลให้ชดั เจน ๓) วเิ คราะห์ขอ้ มูลท่รี วบรวมได้ ๔) กาหนดทางเลือกในการปรับปรงุ เปลี่ยนแปลงดงั กล่าว ๒. การปฏิบัติ (DO) เป็นการลงมือทา ปรับปรุง เปล่ียนแปลงตามทางเลอื กที่ได้กาหนดไว้ใน ข้ันตอนการวางแผน ในข้ันนี้ต้องตรวจสอบระหว่างการปฏิบัติด้วยว่าได้ดาเนินไปในทิศทางท่ีตั้งใจ หรือไม่ พร้อมกับส่ือสารให้ผู้ท่ีเกี่ยวข้องรับทราบไม่ควรปล่อยให้ถึงวินาทีสุดท้ายเพื่อดูความคืบหน้าที่ เกิดขึ้น หากเป็นการปรับปรุงในหน่วยงานผู้บริหารต้องทราบความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง เพ่ือจะได้ มั่นใจวา่ โครงการปรับปรงุ มีความผิดพลาดนอ้ ยที่สุด ๓. การตรวจสอบและประเมนิ ผล (Check) เป็นขั้นตอนทท่ี าให้เราทราบว่าการปฏิบัติในข้ัน ท่ีสองสามารถบรรลุเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ท่ีได้กาหนดไว้หรือไม่ ส่ิงสาคัญก็คือ ต้องรู้ว่าจะ ตรวจสอบอะไรบ้างและบ่อยคร้ังแค่ไหน ข้อมูลท่ไี ดจ้ ากการตรวจสอบจะเป็นประโยชน์สาหรับข้ันตอน ถดั ไป กรอบและแนวทางการตรวจสอบและประเมินผล สรปุ ได้ดังนี้ ๑) ตรวจสอบและประเมินผลข้ันตอนการดาเนินงาน ไดแ้ ก่ - ขั้นการศกึ ษาข้อมูล มีการศึกษาข้อมูลได้ครบถว้ น - ขั้นการเตรยี มงาน การเตรียมงานตามแผนงานมีความพรอ้ มหรือไม่ - ขน้ั ดาเนนิ งาน มีบุคลากรและทรัพยากรหรอื ไม่ - ขนั้ ตอนการประเมนิ มีเครอ่ื งมีและข้ันตอนการประเมินผลท่ีเหมาะสม ๒) ตรวจสอบประเมินผลงานตามเกณฑ์ที่กาหนด เช่น Delta Principle คือ เกณฑ์ การประเมิน ๓) ตรวจสอบและประเมินความพึงพอใจของผู้รับบริการ ซ่ึงสามารถตรวจสอบได้ จากข้อมูลการรับบรกิ ารหรือการให้คาแนะนาจากผูร้ บั บริการโดยตรง ๔) ตรวจสอบและประเมนิ คุณภาพทั่วท้งั องค์กร ไดแ้ ก่ - บคุ ลากรมีคุณสมบตั ิ เหมาะสมกบั งานหรือไม่ เพยี งใด - วัสดุอุปกรณ์สานักงานหรือเคร่ืองใช้ว่ามีขีดความสามารถท่ีเหมาะสมและ สรา้ งผลผลติ ทม่ี ีคุณภาพเพียงใด
คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ | ๑๐๖ - ระบบการทางาน เช่น ระบบการใหบ้ ริการระบบการส่ือสารภายในองค์กร มีความเหมาะสมมากพอกับการบรรลเุ ปา้ หมายคุณภาพหรือไม่ - ระบบการบริหารงาน ประกอบด้วย โครงสร้าง องค์กร การบริหารด้าน การผลติ และกาหนดเป้าหมายหรอื ไม่ อย่างไร - ความตอ้ งการของผู้รบั บรกิ ารเป็นอย่างไร - งบประมาณทีใ่ ชล้ งทุนมีความจาเป็นและเพยี งพอตอ่ สร้างคณุ ภาพหรอื ไม่ - ทัศนคติของบุคลากร มีความกระตือรือร้นต่อการทางาน สามารถสร้าง งานทีม่ ีคุณภาพหรือไม่ อยา่ งไร เป็นต้น เมื่อดาเนินงานตรวจสอบและประเมินคุณภาพแล้ว ควรมีการจัดทารายงานผลการตรวจสอบ และประเมนิ ผลต่อฝ่ายบริหาร เพอื่ นาไปสูก่ ารปรบั ปรงุ แกไ้ ขต่อไป ๔. การปรับปรุงและพัฒนา (Act) ข้ันตอนการดาเนินงานจะพิจารณาผลท่ีได้จากการ ตรวจสอบ มี ๒ กรณี ดังน้ี กรณีท่ี ๑ ผลท่ีเกิดข้ึนเป็นไปตามแผนท่ีได้วางไว้ ก็ให้นาแนวทางหรอื กระบวนการ ปฏิบัติน้ันมาจัดทาให้เป็นมาตรฐานพร้อมทั้งหาวิธีการท่ีจะปรับปรุงให้ดียิ่งข้ึนไปอีก ซึ่งอาจหมายถึง สามารถบรรลเุ ป้าหมายได้เร็วขน้ึ หรือเสยี คา่ ใช้จา่ ยน้อยลง หรอื ทาให้คุณภาพดียง่ิ ขน้ึ ก็ได้ กรณีที่ ๒ ผลที่เกิดขึ้นไม่เป็นไปตามแผนที่ได้วางไว้ ควรนาข้อมูลท่ีรวบรวมไว้มา วิเคราะหแ์ ละพจิ ารณาว่าควรจะดาเนนิ การอย่างไร ตอ่ ไปน้ี ๑) มองหาทางเลือกใหม่ทน่ี ่าจะเปน็ ไปได้ ๒) ใช้ความพยายามใหม้ ากข้นึ กวา่ เดมิ ๓) ขอความชว่ ยเหลอื จากผรู้ ู้ ๔) เปล่ยี นเปา้ หมายใหม่ ๔. การบริหารโดยใช้โรงเรยี นเปน็ ฐาน (School Based Management : SBM) การบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน (School Based Management) เป็นนวัตกรรมทางการ บริหารรูปแบบหนึ่งท่ีนามาใช้ในการปฏริ ูปการศึกษา โดยมีหลักการประกอบด้วย การกระจายอานาจ การใช้โรงเรียนเป็นศูนย์กลาง การมีส่วนร่วม การพึ่งตนเอง การประสานงาน ความต่อเน่ืองและ หลากหลาย การพัฒนาตนเองและการตรวจสอบและถ่วงดุล การใช้อานาจหน้าท่ี ความรับผิดชอบใน การตัดสินใจใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ ดาเนินการ แก้ปัญหา และจัดกิจกรรมการศึกษาของโรงเรียน ให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลเพื่อคุณภาพในการเรียนรู้ของนักเรียนทุกคน จะต้องคานึงถึงหลัก ธรรมาภิบาล (Good Governance) มาประกอบการบริหารด้วย การบริหารจัดการให้เป็นไปตาม ความต้องการของโรงเรยี นเอง แบ่งเป็น ๔ รูปแบบ ดังน้ี ๑. รูปแบบท่ีผู้บริหารสถานศึกษาเป็นหลัก (Administrator Central SBM) ผู้บริหารสถานศึกษาเป็นประธาน กรรมการจะเลือกตั้งจากกลุ่มผู้ปกครอง ครูอาจารย์ และชุมชน คณะกรรมการมบี ทบาทใหค้ าปรึกษาแต่อานาจการตัดสินใจอยู่ทผี่ บู้ ริหารโรงเรยี น ๒. รูปแบบที่ครูเป็นหลัก (Professional Central SBM) โดยครูในฐานะเป็นผู้ ใกล้ชิดเด็กมากท่ีสุดย่อมรู้ปัญหาได้ดีกว่าและสามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุด ตัวแทนคณะครูจะเป็น กรรมการโรงเรียนมากที่สดุ และรว่ มเปน็ คณะกรรมการบริหารโรงเรยี น
คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ | ๑๐๗ ๓. รูปแบบที่ชุมชนมีบทบาทหลัก (Community Central SBM) รูปแบบนี้จะ ตอบสนองความตอ้ งการของผูป้ กครองและชมุ ชนมากท่สี ดุ โดยตวั แทนชมุ ชนจะเปน็ ประธาน ผู้บริหาร เป็นกรรมการและเลขานกุ าร ๔. รปู แบบทค่ี รูและชุมชนมบี ทบาทหลัก (Professional Community Central SBM) เป็นรูปแบบที่เช่ือว่าครูและผู้ปกครองต่างมีความสาคัญในการจัดการศึกษาให้แก่เด็ก การ บริหารงานในรูปกรรมการจะมีสัดส่วนของครูและผู้ปกครองมากกว่ากลุ่มอ่ืน ๆ โดยผู้บริหารโรงเรียน เป็นประธานคณะกรรมการและคณะกรรมการโรงเรียนเปน็ คณะกรรมการบริหาร ดงั สรุปจากตารางน้ี ผเู้ ก่ยี วขอ้ ง การบรหิ ารแบบเดิม การบรหิ ารทีใ่ ช้โรงเรยี นเป็นฐาน (SBM) ผบู้ ริหาร - รบั คาสัง่ จากส่วนกลาง - เป็นแบบผู้นาการพัฒนาโดยอาศยั ความร่วมมือจาก ตั้งแต่งานวิชาการ คณะกรรมการมีอิสระและคล่องตัวในการบริหารจัดการ หลกั สตู ร งบประมาณ ควบคูก่ บั ความรับผิดชอบที่ตรวจสอบได้ สาหรบั บุคลากรและทรพั ยากร งบประมาณจะไดร้ บั เงินอุดหนนุ แบบเหมาจา่ ย (block เพือ่ การศึกษา grant) สถานศึกษาจะตอ้ งกาหนดสาระการเรียนรู้ และ วธิ กี ารจดั กิจกรรมการเรียนการสอนและรบั ผดิ ชอบในการ บริหารงานบุคคลมากขนึ้ กว่าเดิม - การแกป้ ญั หาต้องเสนอ - แกป้ ญั หาทเี่ กดิ ขน้ึ ตดั สินใจเองโดยใช้กระบวนการกลมุ่ เรื่องขึน้ ไปตามลาดับ และข้อมูลสารสนเทศ และกระบวนการ ตดั สินใจ ครู เป็นผู้ปฏบิ ตั ติ ามคาสัง่ จาก เปน็ ผรู้ ว่ มงาน ร่วมตัดสินใจ เปน็ นกั พฒั นาและนกั ปฏบิ ัติ ผูบ้ ังคับบญั ชาตามลาดับ ร่วมกับผ้บู ริหารและคณะกรรมการวางแผนพฒั นาระยะ ข้ันทุกกรณี ยาว(school charter) และการจดั ทาแผนประจาปี ผู้ปกครอง เป็นผรู้ บั บรกิ ารจาก เปน็ ทั้งผใู้ ห้ ผ้รู ับ ผ้รู ว่ มหุน้ ผสู้ นับสนนุ ทง้ั ในเชิงปรมิ าณ หรอื ชุมชน โรงเรียนท้งั ในเชงิ ปริมาณ และ คณุ ภาพ ชว่ ยเหลอื ดูแลทรัพยากร บุคคลในโรงเรยี น และคุณภาพ ใหข้ ้อมูลทเี่ ป็นประโยชน์ มีสว่ นร่วมแก้ไขปัญหาในกรณี เกดิ ปญั หาข้ึนในโรงเรยี น ตารางแสดงบทบาทของผ้บู ริหาร ครู และชุมชนในการบริหารการศึกษาทใ่ี ชโ้ รงเรยี นเปน็ ฐาน ยทุ ธศาสตรก์ ารดาเนินงานให้การบริหารจดั การศึกษาท่ีใชโ้ รงเรยี นเป็นฐาน ยุทธศาสตร์การดาเนินงานให้การบริหารจัดการศึกษาท่ีใช้โรงเรียนเป็นฐาน บรรลุผล จาเปน็ ตอ้ งกระจายอานาจและพัฒนาสถานศึกษา ดงั น้ี ๑. ดาเนินการให้สถานศึกษาพัฒนาวิสัยทัศน์ พันธกิจภารกิจ เป้าหมายและ วิธีดาเนินการของสถานศึกษาอย่างชัดเจน ท่ีมุ่งสู่การปฏิบัติอย่างแท้จริง มิใช่จัดทาเพ่ือเสนอ ผบู้ ังคับบัญชารบั ทราบและช่นื ชม ความสาเรจ็ อยทู่ ่ีการปฏบิ ัตติ ามแผน มิใชก่ ารนาเสนอแผน
คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ | ๑๐๘ ๒. ให้สถานศึกษามีทีมงานท่ีมีคุณภาพหลากหลาย จะต้องมีคณะทางานทั้งแนวต้ัง และแนวนอน โดยคณะครูเป็นผู้นา ภายใต้การกากับดูแลของผู้บริหารโรงเรียนท่ีมีภาวะผู้นาสูง เปิด กว้างให้ครูและผู้ปกครองมีส่วนร่วมเป็นสมาชิก จัดระบบการสื่อสารและแลกเปล่ียนความคิดเห็นท่ี ทกุ คนมีส่วนรว่ มในการตดั สนิ ใจ รบั รูแ้ ละชืน่ ชมผลงานร่วมกัน ๓. พัฒนาบุคลากรในสถานศึกษาให้เป็นมืออาชีพ ท้ังในด้านมาตรฐานวิชาชีพ คุณธรรมจริยธรรม มีความสามารถและทักษะท้ังในด้านหน้าท่ีและกระบวนการ มีการพัฒนาตนเอง ใหท้ ันสมัยในวชิ าชพี อยา่ งต่อเนอื่ ง ๔. พัฒนาระบบขา่ วสารขอ้ มูลในสถานศึกษา สถานศกึ ษาตอ้ งมีกลไกในการจัดระบบ ข่าวสารข้อมูล มีระบบสารสนเทศท่ีทันสมัย สื่อสารได้หลายทาง รวมทั้งการประชาสัมพันธ์ เผยแพร่ ข่าวสารขอ้ มลู ไปยงั ผูป้ กครองและชุมชนภายนอกด้วย ๕. ให้เกียรติและยกย่องครูเพ่ือสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน เช่น การจัดทาป้าย หรือให้คาชมเชย การจัดเลี้ยงในวาระต่าง ๆ การให้เกียรติบัตร การเสนอเข้าประกวดผลงาน รวมทั้ง การพิจารณาเลอื่ น ขน้ั เงินเดือน เปน็ ตน้ ๖. ยกยอ่ งผ้บู ริหารสถานศึกษาที่เป็นมืออาชีพผ้บู ริหารสถานศึกษาท่ีประสบความสาเร็จ สามารถอานายความสะดวกและผลักดัน ให้การปฏิรูปการศึกษาก้าวหน้า ประสบความสาเร็จสูง สามารถ ประสานพลังของกลุ่มต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างย่ิง การสร้างศรัทธาท่ีทาให้ครจู ัดกิจกรรม การเรียนการสอนให้ผู้เรียนรู้วิธีเรียน ครูเปลี่ยนวิธีสอนจัดบรรยากาศที่เอ้ืออานวยต่อการเรียนรู้ ผ้บู ริหารสถานศกึ ษาดงั กลา่ วจะต้องได้รบั การยกย่องสรรเสริญในรูปแบบตา่ ง ๆ ๗. มีการประชาสัมพันธ์ท่ีดี จะต้องประชาสัมพันธ์ทุกด้าน ในด้านวิชาการจะต้อง ประสานสมั พนั ธ์กับผปู้ กครองอย่างต่อเนื่องการพัฒนาดา้ นอ่ืน เชน่ การพัฒนาแหลง่ เรียนรู้ การจัดภูมิ ทัศน์โรงเรียน การจัดบริการท่ีดี เช่น โครงการอาหารกลางวัน ซ่ึงจาเป็นต้องประชาสัมพันธ์ให้ท่ัวถึง และตอ่ เนือ่ ง ๕. การบริหารแบบมุ่งผลสัมฤทธ์ิ (Result Based Management: RBM) การบริหารแบบมุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ เป็นการบริหารโดยมุ่งเน้นผลลัพธ์หรือผลสัมฤทธิ์ของงาน เป็นหลัก มีการประเมินผลลัพธ์หรือผลสัมฤทธ์ิของการดาเนินงานโดยใช้ตัวชี้วัดทั้งในแง่ของปัจจัย นาเข้า กระบวนการ ผลผลิตและผลลัพธ์ ซ่ึงจะต้องมีการกาหนดตัวช้ีวัดผลการดาเนินงาน (Key Performance Indicators) รวมท้ังมีการกาหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ล่วงหน้า ซ่ึงต้องอาศัย ความร่วมมอื ผูบ้ รหิ าร ผปู้ ฏิบัตงิ าน และผู้มีสว่ นได้เสยี ทุกกลมุ่ มี ๔ ข้นั ตอน ดงั น้ี ๑. การวางแผนกลยุทธ์ขององค์กร ซ่ึงองค์กรต้องกาหนดทิศทางโดยรวมว่าจะทาอะไร อย่างไรเป็นการวางแผนเชิงกลยุทธ์ เพ่ือทาการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมทั้งภายนอกและภายในองค์การ (SWOT Analysis) และให้ได้มาซง่ึ วสิ ัยทศั น์ พนั ธกจิ วตั ถปุ ระสงค์ เป้าหมายและกลยุทธ์การดาเนนิ งาน รวมท้ังพิจารณาถึงปัจจัยหลักแห่งความสาเร็จขององค์การและสร้างตัวชี้วัดผลการดาเนินงานในด้านต่าง ๆ ๒. การกาหนดรายละเอียดของตัวช้ีวัดผลดาเนินงาน ซ่ึงจะกาหนดความชัดเจน ของตัวชี้วัดทั้งในเชิงปริมาณ (Quantity) คุณภาพ (Quality) เวลา (Time) และสถานที่หรือความ ครอบคลมุ (Place) อันเปน็ เป้าหมายท่ตี ้องการของแต่ละตัวช้ีวัด
คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ | ๑๐๙ ๓. การวัดและการตรวจสอบผลการดาเนินงาน ผู้บริหารจะต้องจัดให้มีการ ตรวจสอบและรายงานผลการดาเนินงานของแต่ละตัวช้วี ดั ตามเงอ่ื นไขที่กาหนดไว้ เชน่ รายเดือน รายไตรมาส หรือรายปีเป็นต้นเพื่อแสดงความก้าวหน้าและสัมฤทธ์ิผลของการดาเนินงานว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่ ต้องการหรือไม่อย่างไรซึ่งการวัดผลการปฏิบัติงานหรือผลสัมฤทธิ์การปฏบิ ัติงานโดยทั่วไปจะมีจุดเน้น ของการดาเนินการ ๓ ดา้ น ไดแ้ ก่ ความประหยัด ความมีประสทิ ธภิ าพ และมปี ระสทิ ธิผล ๔. การให้รางวัลตอบแทน เมื่อได้พิจารณาผลการดาเนินงานแล้วผู้บริหารจะต้องมี การให้รางวัลตอบแทนตามระดับของผลงานทไี่ ด้ตกลงกันไว้ ลักษณะขององคก์ รท่ีบรหิ ารงานแบบมุ่งเนน้ ผลสัมฤทธิ์ สรุปได้ดงั น้ี ๑. มพี ันธกิจวัตถปุ ระสงคข์ ององค์การท่ชี ดั เจนและมเี ป้าหมายที่เปน็ รูปธรรมโดยเน้น ท่ผี ลผลติ และผลลัพธ์ ๒. ผบู้ รหิ ารทุกระดับในองคก์ รมีเปา้ หมายของการทางานทีช่ ัดเจน ๓. เปา้ หมายเปน็ รปู ธรรม มีตวั ชวี้ ัดซึง่ สามารถติดตามผลและวัดได้อย่างชดั เจน ๔. การตัดสินใจในการจัดสรรงบประมาณให้หน่วยงานหรือโครงการต่าง ๆ จะ พจิ ารณาจากผลสัมฤทธข์ิ องงานเปน็ หลัก ๕. บคุ ลากรทุกคนร้วู า่ งานทอี่ งค์กรคาดหวงั คืออะไร ๖. มีการกระจายอานาจการตัดสินใจ การบริหารเงิน บริหารคน สู่หน่วยงานระดับล่าง เพื่อให้สามารถทางานบรรลุผลได้อย่างเหมาะสมทั้งยังเป็นการช่วยลดข้ันตอนในการทางานแก้ปัญหา การทางานทล่ี ่าช้าเพ่ิมความยดื หยุ่นและประสทิ ธภิ าพในการทางานอีกดว้ ย ๗. มวี ฒั นธรรมและอดุ มการณร์ ่วมกนั เพ่ือการทางานทส่ี ร้างสรรค์เป็นองคก์ รท่ีมุ่งม่ัน จะทางานรว่ มกนั เพอ่ื ให้บรรลุเปา้ หมายที่กาหนดไว้ ๘. บคุ ลากรมีขวัญและกาลังใจดีเนื่องจากได้มโี อกาสปรับปรุงงานและใช้ดุลยพินิจใน การทางาที่กว้างขวางขึ้นและได้รับการตอบแทนตามผลการประเมินจากผลสัมฤทธิ์ของงาน การ บรหิ ารโรงเรยี นวิถพี ทุ ธ แนวทางการบรหิ ารโรงเรยี นวถิ พี ทุ ธ โรงเรยี นวิถีพุทธเป็นการพัฒนาผู้เรยี นโดยใชห้ ลักไตรสิกขา คอื ศีล สมาธิ ปัญญา อย่างบรู ณา การผ่านการพัฒนา กิน อยู่ ดู ฟัง เป็น ดังนั้นการบริหารโรงเรียนวิถีพุทธจึงมีส่วนสาคัญอย่างยิ่งท่ีจะ ทาใหส้ ถานศกึ ษาประสบความสาเรจ็ ในการดาเนินงาน ๑. แนวทางการบรหิ ารโรงเรยี นวถิ ีพทุ ธ พระมหาพงษ์นรินทร์ ฐิตวโส (๒๕๔๖: ๑-๓) กล่าวว่า การบริหารโรงเรียนวิถีพุทธต้อง จัดระบบบริหารจัดการทั้งองค์กร ให้ใช้ธรรมาธิปไตย เพราะเป็นหลักธรรมที่ใหญ่กว่า อัตตา (ตัวตน) สมคั รสมานสามคั คีดว้ ยสงั คหวตั ถุ ๔ ไดแ้ ก่ ทาน ปยิ วาจา อัตถจริยา และสมานัตตตา ร่วมกับสาธาณีย ธรรม ๖ (ธรรมเปน็ ทต่ี ้ังแหง่ ความใหร้ ะลกึ ) สืบต่อองค์กรมใิ หเ้ สื่อมทรามดว้ ยอปริหานยิ ธรรม ๗ คือ ๑) หม่ันประชุมกันเนืองนิตย์ ๒) พร้อมทากิจไม่เก่ียวก่อน–หลัง ๓) ต้ังมั่นในหลักการไม่หาญหัก ๔) เคารพรกั พระ ปราชญ์ ผเู้ ฒ่าผู้ใหญ่ ๕) คุ้มกันภัยมวลหมมู่ ใิ ห้หว่นั หวาด ๖) รกั ในชาติ ศาสน์ กษัตรยิ ์ ศนู ยร์ วมใจ ๗) สง่ เสรมิ ใหค้ นดีมกี าลังนาสังคม
คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ | ๑๑๐ สมคิด โพธิ์จุมพล (๒๕๔๘: ๘๒-๘๓) กล่าวว่า การบริหารจัดการโรงเรียนวิถีพุทธจะบรรลุ ตามวัตถปุ ระสงค์อย่างมปี ระสทิ ธิภาพมอี งค์ประกอบสาคัญ ดงั ตอ่ ไปนี้ ๑.ผูบ้ รหิ ารสถานศกึ ษา ครู จะตอ้ งเปน็ บคุ คลท่ีมีวสิ ัยทัศน์ ปฏบิ ัตงิ านอย่างเปน็ ระบบ มีความศรัทธา ประพฤติปฏิบัติตามหลักของพุทธศาสนา โดยเฉพาะศีล ๕ ซ่ึงเป็นพ้ืนฐานในการ ดารงชีวิต เป็นแบบอย่างที่ดีแก่ศิษย์และชุมชน การบริหารจัดการศึกษาต้องเปิดโอกาสให้ชุมชนใน ท้องถิ่น บ้าน วัด โรงเรียนเข้ามามีส่วนร่วมกาหนดวิสัยทัศน์ จัดทาหลักสูตรปรับปรุงภูมิทัศน์และ ปรบั ปรงุ กายภาพและสง่ิ แวดลอ้ ม ๒. สถานศึกษาจัดการเรียนการสอนเชิงบูรณาการสอนตามหลักไตรสิกขาทุกกลุ่ม สาระการเรียนรู้ เชื่อมโยงกับชีวิตประจาวันทุกช่วงชั้น มีการวัดผลประเมินผลตามสภาพจริง ด้วยวิธี หลากหลายรวมท้ังการส่งเสริมความสัมพันธ์แบบกัลยาณมิตร โดยเฉพาะอย่างย่ิงการปฏิบัติกิจกรรม ทางพุทธศาสนารว่ มกับพระสงฆ์ ชุมชนอย่างตอ่ เน่ือง กระทรวงศึกษาธิการ (๒๕๔๘: ๖๑-๖๓) กาหนดวิธีการบริหารโรงเรียนวิถีพุทธทั้งใน ระดบั ชาตแิ ละระดับโรงเรยี น จะยึดหลักการพัฒนา ดังต่อไปนี้ การบริหารโครงการระดบั ชาติ จะมีกิจกรรมหลกั ไดแ้ ก่ ๑. สร้างความเข้าใจแก่ผบู้ รหิ ารโรงเรยี น และผ้รู ับผิดชอบโครงการ ๒. ผลิตสื่อ เอกสาร วีดีทัศน์ เพ่ือเผยแพร่แนวคิดและตัวอย่างการดาเนินงาน โรงเรยี นวถิ พี ทุ ธ ๓. สร้างความเขา้ ใจแกค่ รู ท้ังในการจดั การเรยี นรู้แบบบูรณาการวิถีพทุ ธ และการจดั กิจกรรมเสรมิ ลกั ษณะตา่ ง ๆ ๔. นิเทศ เย่ยี มเยือน ประเมนิ ผลการดาเนนิ งาน ๕. สัมมนาเพื่อสะท้อนประสบการณ์ผลการดาเนินงานโรงเรียนวิถีพุทธ เพ่ือ แลกเปลย่ี นเรียนรู้ และการปรบั ปรงุ การดาเนินงานใหด้ ยี ง่ิ ขนึ้ การบริหารโครงการระดับโรงเรยี น จะมกี จิ กรรมหลกั ได้แก่ ๑. ประชาสัมพันธ์ สร้างความเข้าใจแก่ผู้เก่ียวข้องทุกฝ่าย เช่น ครูและบุคลากรทุก คนผ้ปู กครอง นักเรียน องคก์ รสงฆท์ ีส่ ถานศกึ ษาจะขอความอนุเคราะห์ ฯลฯ ๒. ปรบั สภาพบรรยากาศของสถานศึกษาตามแนวทางโรงเรยี นวิถีพุทธ ๓. ปรับปรุงการจัดการเรียนรู้ โดยสอดแทรกหลักธรรมในการเรียนรู้ทุกสาระการ เรยี นรู้ ๔. ปรบั ปรงุ กิจกรรมเสรมิ หลักสูตรของสถานศึกษาใหส้ อดคล้องกบั หลักการโรงเรียน วถิ ีพุทธ ๕. นเิ ทศ เย่ียมเยียน ชื่นชมใหก้ าลังใจผู้ปฏบิ ตั ิงาน และปรับปรุงงานใหด้ ียง่ิ ขน้ึ ๖. ร่วมสัมมนาเพ่ือรับฟังประสบการณ์ การดาเนินงานโรงเรียนวิถีพุทธของ สถานศึกษาอนื่ ๆ เพ่ือนามาปรับกจิ กรรมการเรียนรู้ของสถานศึกษาตนเองต่อไป
คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ | ๑๑๑ สุทธิพงษ์ ศรีวิชัย และคณะ (๒๕๔๗: ๗๒) ให้ทัศนะว่า การบริหารโรงเรียนวิถีพุทธจะต้อง ดาเนินการโดยทุกฝ่ายมีส่วนร่วม ท้ังวัด ชุมชน ผู้ปกครอง ครู อาจารย์ ผู้บริหาร ผู้เรียน และผู้บริหาร การศึกษาในพ้ืนท่ี จัดสรรทรัพยากรอย่างท่ัวถึง มีการปฏิบัติไปในแนวทางเดียวกัน หรือมาตรฐาน เดยี วกนั อดิศัย โพธารามิก (๒๕๔๘: ๙๓) กล่าวว่า ยุทธศาสตร์ที่สาคัญและจะทาให้โรงเรียนบริหาร จัดการบรรลุตามวัตถุประสงค์ คือ ความรัก ความสมัครใจ ความพึงพอใจ (ฉันทะ) ของผู้บริหาร โรงเรียน ซ่ึงถือว่าเป็นบคุ คลท่สี าคญั ท่ีต้องรับการปฐมนิเทศการเขา้ รว่ มโครงการดว้ ยตนเอง มีการปรับ แนวทางการดาเนินงานโรงเรียนวิถีพุทธให้เป็นไปตามศักยภาพความพร้อมของโรงเรียน และกาหนด ตัวช้ีวัดการดาเนินงานซึ่งเป็นแนวทางท่ีเสริมความชัดเจนมากยิ่งขึ้น มีการบูรณาการให้เข้ากับระบบ บรหิ ารจดั การของโรงเรียน พรอ้ มทง้ั ประสานเครือข่ายด้านพระพุทธศาสนาท่สี าคญั ทุกองค์การ โดยมี สานกั งานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาให้ความสนับสนุนชว่ ยเหลือ และมีการแลกเปลี่ยนเรียนรโู้ รงเรียนวิถีพุทธ ในแตล่ ะภมู ภิ าค ๒. ข้นั ตอนการบรหิ ารโรงเรยี นวิถีพุทธ โรงเรียนวถิ ีพทุ ธดาเนินการโดยใชห้ ลกั พุทธธรรมบูรณาการกับหลกั การบริหารสมยั ใหม่ ดังน้ี ๑. การเตรียมการ (ศรัทธาและฉันทะ) เพ่ือให้การดาเนินการพัฒนาเป็นไปได้ โดยสะดวกซ่งึ มีประเดน็ สาคัญทต่ี ้องคานึงถงึ ในการเตรยี มการ เชน่ การหาที่ปรกึ ษา แหลง่ ศึกษา และเอกสารข้อมูลตา่ ง ๆ โดยเฉพาะอย่างยงิ่ ที่ปรึกษาที่ เป็นกัลยาณมิตรในการพัฒนาวิถีพุทธอาจจะเป็นพระภิกษุหรือคฤหัสถ์ท่ีทรงคุณวุฒิ เป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบตั ิชอบ มศี รทั ธาและความรชู้ ดั ในพุทธธรรม ถ้าเปน็ คฤหสั ถ์ควรเป็นแบบอย่างในสังคมได้ เชน่ เป็น ผูไ้ ม่ข้องแวะในอบายมขุ ผูท้ รงศีลปฏบิ ตั ิธรรมเป็นต้นทปี่ รึกษาจะมีความจาเปน็ มากโดยเฉพาะในระยะ เรม่ิ ของการพัฒนา การเตรียมบุคลากร คณะกรรมการสถานศึกษา นักเรียน ผู้ปกครอง และชุมชนให้มี ความรู้ เข้าใจ และตระหนักในคุณประโยชน์ที่จะเกิดข้ึนจากการพัฒนาโรงเรียนไปสู่โรงเรียนวิถีพุทธ สามารถดาเนนิ การได้หลากหลายวิธี เชน่ การประชุมชีแ้ จง การสมั มนา การประชาสมั พนั ธ์ การศกึ ษา ดูงาน เปน็ ตน้ การกาหนดเป้าหมาย จุดเน้น หรือวิสัยทัศน์ และแผนงาน ที่ชัดเจนท้ังระยะส้ัน ระยะยาวในธรรมนูญสถานศึกษา และแผนปฏิบัติการรายปี ท่ีผู้เกี่ยวข้องเห็นพ้องกันจะเป็น หลักประกันความชดั เจนในการดาเนินการพฒั นาโรงเรียนวิถีพทุ ธได้อย่างดี ๒.การดาเนินการจัดสภาพและองค์ประกอบ (ปัญญาวุฒิธรรม) เพ่ือการพัฒนา ผู้เรียน ประกอบด้วยสภาพทางกายภาพและองค์ประกอบต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง อันจะเป็นปัจจัยในการ พัฒนาผู้เรยี นตามหลกั ปัญญาวฒุ ิธรรม ๔ ประการ ดังกล่าวขา้ งต้น ตวั อยา่ ง เช่น ๑) หลักสูตรสถานศึกษา หน่วยการเรียนรู้ และแผนการจัดการเรียนรู้ ต้อง บรู ณาการหลกั ธรรมท้ังท่ีเปน็ ความรู้ (Knowledge) ศรทั ธา ค่านิยม คณุ ธรรม (Attitude) และการฝึก ปฏิบัติหลักธรรม (Practice) ในการเรียนการสอน โดยอาจกาหนดในระดับจุดเน้นหลักสูตร สถานศึกษาที่แทรกในทุกองค์ประกอบหลักสูตรสถานศึกษา หรือกาหนดในระดับหน่วยการเรียนรู้ หรอื แผนการจัดการเรียนรทู้ ่คี รูจะนาส่กู ารจัดการเรยี นรตู้ ่อไป
คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ | ๑๑๒ ๒) กิจกรรมการเรียนการสอน โรงเรียนหรือครูคิดและกาหนดกิจกรรมท่ี เหมาะสมกับนักเรียนของตน ทั้งท่ีเป็นกิจกรรมประจาวัน ประจาสัปดาห์ หรือเนื่องในโอกาสต่างๆ และกจิ กรรมวถิ ชี ีวิต ถา้ โรงเรยี นเตรียมการไว้ลว่ งหน้าจะชว่ ยสง่ เสริมการเรยี นรู้ของผเู้ รียนท่ีสะท้อนให้ เห็นตามคากลา่ วทีว่ ่า “การศกึ ษาเรม่ิ ตน้ เม่อื คนกิน อยู่ ดู ฟงั เปน็ ” ๓) การจัดสภาพแวดล้อมในสถานศึกษา อาคารสถานท่ี ห้องเรียน แหล่ง เรียนรู้ สภาพแวดล้อม อาณาบริเวณสถานศึกษา ให้เหมาะสมและมุ่งเน้นส่งเสริมให้เกิดการพัฒนา ไตรสิกขาใหม้ ากทส่ี ุด ผเู้ รยี นจะได้เรยี นรูจ้ ากการ “กนิ อยู่ ดฟู งั เป็น” ในชวี ิตประจาวนั ๔) การจดั บรรยากาศปฏสิ มั พันธ์ โรงเรียนมอบหมายบคุ ลากรรบั ผิดชอบใน การจัดกิจกรรมท่สี ่งเสริมการสรา้ งบรรยากาศให้มปี ฏิสมั พันธท์ ี่ดี เป็นกลั ยาณมติ ร อยา่ งจริงจงั ตอ่ เน่ือง เช่น การกระตุ้นทุกคนให้ทาตนเป็นตัวอย่างที่ดี การยกย่องผู้ทาดี การปลูกศรัทธาค่านิยมปฏิบัติดี ปฏบิ ตั ิชอบตอ่ ผู้อ่นื เปน็ ต้น ๓. การพัฒนาผู้เรียนตามระบบไตรสิกขา นาหลักไตรสิกขามาบูรณาการใน กิจกรรมการเรียนการสอนตามหลักสูตรและกิจกรรมวถิ ีชีวิตต่าง ๆ ส่งเสริม “การกิน อยู่ ดู ฟัง เป็น” เพื่อพัฒนาทง้ั องค์รวมของชีวติ สู่การเป็นชวี ิตทสี่ มบรู ณ์ท้ังดา้ นกายภาพ สงั คม (ศลี ) จติ ใจ (สมาธ)ิ และ ปัญญา (ปัญญา) ๔. การดูแลสนับสนุนใกล้ชิด การดูแลสนับสนุนที่เหมาะสม เป็นกัลยาณมิตร ปรารถนาดี ตอ่ กัน ปรารถนาดตี ่อการพัฒนาผู้เรียน กิจกรรมสาคัญในข้ันตอนน้ี คือการนิเทศ การตดิ ตามดูแลให้เป็นไปตามแผน ที่กาหนดไว้ การให้คาปรึกษา การช่วยเหลือทางวิชาการ การสนับสนุนทรัพยากร ข้อมูลและเคร่ืองมือต่าง ๆ การ รวบรวมข้อมูลและการประเมินผลระหวา่ งดาเนินการ เปน็ ตน้ ๕. การปรับปรุงและพัฒนาต่อเนื่อง เป็นการปรับปรุงหรือพัฒนางานท่ีกาลัง ดาเนินการอยู่ให้ดีย่ิงขึ้น ตามหลักธรรมท่ีสนับสนุนการพัฒนาและปรับปรุงงาน คือ อิทธิบาท ๔ (ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา) และอุปัญญาตธรรม ๒ (ความไม่สันโดษในกุศลธรรม และความไม่ระย่อ ในการพากเพยี ร) เปน็ ตน้ ๖. การประเมินผลและเผยแพร่ผลการดาเนนิ งาน การประเมนิ จะสะทอ้ นให้ทราบ ถึงผลการดาเนินงานในช่วงเวลาหน่ึง ๆ อาจเป็น ๑ ปี หรือ ๓ ปี หรือเมื่อเสร็จส้ินกิจกรรม เป็นต้น การประเมินจะเนน้ ขอ้ มลู เชิงประจกั ษ์ กรรมการผ้ตู รวจ หรอื ผู้ท่ีเก่ยี วขอ้ งจะไดท้ ราบผลการดาเนนิ งาน ของสถานศกึ ษาจากสถานท่ีจริงและจากการปฏิบตั ิจริง
คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ | ๑๑๓ สรุปแนวทางการบริหารโรงเรียนวถิ พี ทุ ธโดยมบี ูรณาการหลักธรรม ๖ ขน้ั ตอน ดังน้ี ๑. การเตรียมการ (ศรทั ธาและฉนั ทะ) ๒. การดาเนินการและจดั องคป์ ระกอบ (ปัญญาวุฒธิ รรม) - หาทีป่ รกึ ษา แหลง่ ศกึ ษา เอกสารขอ้ มลู - จดั หลักสตู ร, หน่วยการเรียน, แผนการสอน - เตรยี มบคุ ลากร กรรมการสถานศกึ ษา - เตรยี มกจิ กรรมนกั เรยี น - เตรียมนกั เรยี น, ผู้ปกครอง, ชุมชน - จัดสภาพแวดลอ้ มสถานศึกษา (กายภาพ) - กาหนดธรรมนญู สถานศกึ ษา - จดั บรรยากาศปฏสิ ัมพันธ์ ฯลฯ - จดั แผนปฏิบตั ิการ ฯลฯ ๖. การประเมินและเผยแพรผ่ ลการ ๓. การดาเนินการพัฒนาตามระบบไตรสกิ ขา ดาเนินงาน (ปิติและชื่นชมร่วมกัน) - นักเรียน และบุคลากรและผู้เกย่ี วขอ้ ง ๕. การปรับปรุงและพฒั นาตอ่ เน่ือง ๔. การดูแลสนับสนนุ ใกล้ชิด (กลั ยาณมิตร) (อทิ ธิบาท ๔ และอุปัญญาตธรรม ๒) - นเิ ทศ ตดิ ตาม - สนบั สนนุ - รวบรวมขอ้ มลู - ประเมนิ ระหว่างดาเนินงาน ภาพท่ี ๓ การบรหิ ารจดั การโรงเรียนวิถีพุทธ (ทม่ี า: กระทรวงศึกษาธกิ าร, ๒๕๔๖: ๑๘)
คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ | ๑๑๔ รูปแบบการบรหิ ารโรงเรียนวิถพี ุทธ โรงเรียนวถิ ีพทุ ธ กก.สถานศกึ ษา งานวชิ าการ งานบคุ คล งานงบประมาณ งานบริหารทว่ั ไป โรงเรียนวิถีพุทธคือโรงเรียนปกติท่ีมีโครงสร้างการบริหารตามพระราชบัญญัติการศึกษา แห่งชาติ พุทธศักราช ๒๕๔๒ มี ๔ ด้านคือ การบริหารวิชาการ การบริหารงานบุคคล การบริหารงบประมาณ การบริหารงานทั่วไป จากน้ันจึงบูรณาการความเปน็ โรงเรียนวิถีพุทธเข้าไปใน งานย่อย ๕ ด้าน คือ การจัดการเรียนการสอน การใช้ส่ือและแหล่งเรียนรู้ การจัดบรรยากาศโรงเรียน การจัดกจิ กรรมพน้ื ฐานชวี ติ และการจัดกิจกรรมทางพระพทุ ธศาสนา มรี ายละเอียดดงั นี้ ๑ การจัดการเรยี นการสอน และส่อื การศึกษา กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ ได้กาหนดให้มีการสอนพระพุทธศาสนาเพ่ือปลูกฝัง คุณธรรมจริยธรรมในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรมวา่ เปน็ หน่งึ ในสาระการ เรียนรู้กลุ่มสาระการเรยี นรทู้ ั้ง ๘ กลุ่ม ตามหลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔ ซ่ึงเป็น กลุม่ สาระท่ีเรียนต่อเน่ืองตลอด ๑๒ ปี ต้งั แตช่ น้ั ประถมศึกษาปีที่ ๑ ถึงชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ ๖ การสอน หรอื การปฏิบตั ิท่ไี ด้ผลดีทสี่ ดุ คือการสอนตามหลกั พุทธวิธี เนน้ การคิด ใครค่ รวญ ไตรตรองด้วยเหตุผล แลว้ ฝึกปฏบิ ัตใิ ห้เห็นจรงิ ด้วยตนเอง บญุ ถม ธรรมศิริ (๒๕๕๒) ได้สรุปเกี่ยวกบั การจดั การเรียนการสอนไวด้ งั น้ี ๑) การวางแผน ประกอบด้วยการประชุมครู มอบหมายงาน จัดทาหลักสูตรจัดทา แผนการเรียนรู้ คาส่งั แตง่ ต้งั มอบหมายงาน ๒) จัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ ประกอบด้วย จัดการเรียนการสอนแบบร่วมมือ การทากิจกรรมกลมุ่ การจัดการเรียนการสอนแบบ JIGSAW มกี ารบนั ทึกหลังการสอน ๓) การประเมินผล ประกอบด้วย การประเมินตามสภาพจริง การประเมินผลก่อน และหลงั การเรยี น การสงั เกตพฤตกิ รรม การทดสอบ ผลการเรยี นของผู้เรยี นรายบคุ คล ๔) การปรับปรุงการจดั การเรียนการสอน ประกอบด้วย การประชุมครูและบุคลากร ทางการศึกษา การมอบหมายงาน การสอนซอ่ มเสรมิ รายงานผลการสอนซ่อมเสรมิ
คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ | ๑๑๕ ๒. การจดั บรรยากาศโรงเรียน โรงเรียนวิถีพุทธกาหนดให้มีสภาพด้านกายภาพตามหลักสัปปายะ ๗ หมายถึงส่ิงท่ีสบาย สิ่งท่ีเหมาะสม สิ่งท่ีเกื้อกูล ช่วยสนับสนุนการเจริญภาวนาให้บังเกิดผลดี ช่วยให้สมาธิต้ังมั่น ไม่เส่ือมถอยง่าย สอดคล้องกับคณะ กรรมการบริหารโครงการโรงเรียนวิถพี ุทธกาหนดหลักเกณฑด์ ้านกายภาพไว้ ดังนี้ ๑.จัดประดิษฐานพระพุทธรูปประจาโรงเรียนและประจาห้องเรียนอย่างเหมาะสม ได้แก่ จัดสถานท่ีประดิษฐานพระพุทธรูปประจาโรงเรียน มีสัญลักษณ์ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ประจาห้องเรียน มหี ้องจริยธรรมหรอื หอ้ งพระพุทธศาสนาอย่างเหมาะสม ๒.มปี ้ายนิเทศ ป้ายคตธิ รรม คาขวัญ คณุ ธรรมจรยิ ธรรมโดยท่ัวไปในบรเิ วณโรงเรียน ได้แก่ มปี ้ายคตธิ รรมตดิ ตามหอ้ งเรยี น หรือตามอาคารเรียน มปี า้ ยคาขวญั คณุ ธรรมจริยธรรมโดยท่วั ไป ในบริเวณโรงเรียน มีปา้ ยนเิ ทศใหค้ วามรเู้ กี่ยวกบั พระพทุ ธศาสนาโดยเฉพาะอยา่ งเหมาะสม ๓.บรรยายกาศโรงเรียน มคี วามสะอาด สวา่ ง สงบ ปลอดภัย ร่มรนื่ เรียบงา่ ย ใกล้ชิด ธรรมชาติ กล่าวคือมีสาธารณูปโภคเพียงพอตามความจาเป็น ห้องเรียนสะอาดเป็นระเบียบเหมาะสม ต่อกิจกรรมการเรียนรู้ นักเรียนและบุคลากรในโรงเรียนมีส่วนร่วม และมีการดาเนินกิจกรรมสร้าง จิตสานกึ ในการอนุรักษส์ ่งิ แวดล้อม ๔.บรเิ วณโรงเรยี นปราศจากสิ่งเสพติด อบายมุข สิ่งมอมเมาทุกชนิด โรงเรียนไม่มีมุม อับหรือแหล่งม่ัวสมุ มบี ริเวณใหน้ กั เรียนได้ออกกาลงั กาย มีกจิ กรรมสง่ เสรมิ นักเรยี นใชเ้ วลาว่างให้เป็น ประโยชน์ห่างไกลยาเสพติด มีระบบช่วยเหลือนักเรียน มีมาตรการเพื่อให้โรงเรียนปลอดส่ิงเสพติด อบายมขุ และสง่ิ มอมเมาตา่ ง ๆ โดยผู้ปกครองและชมุ ชนมีสว่ นรว่ ม เมื่อโรงเรียนพัฒนาสู่วิถีพุทธและได้พัฒนาจนเป็นโรงเรียนวิถีพุทธท่ีชัดเจน จะสังเกตได้ถึง ความเปลยี่ นแปลงและประโยชน์อนั มากมายท่เี กดิ ตามมา ท่ีเปี่ยมไปดว้ ยความงดงามและคุณค่า ไดแ้ ก่ (กระทรวงศึกษาธกิ าร, ๒๕๔๖: ๒๔-๒๕) ๑.นักเรียนได้รับการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ต่างๆ อย่าง ชัดเจนพร้อมกับการพัฒนาทางด้านปัญญา และด้านอ่ืน ๆซ่ึงเป็นการพัฒนาท่ีจะทาให้คนเป็นคนดีเกง่ และมคี วามสขุ ๒.การพัฒนาผู้เรียนท่ีเกิดข้ึนชัดเจนจะเป็นท่ีช่ืนชอบและช่ืนชมท้ังของครูผู้ปกครองครู อาจารยแ์ ละชมุ ชนทไ่ี ด้รบั ทราบ อกี การยอมรับและความร่วมมือช่วยเหลือจะเกดิ ขึ้นอยา่ งทวีคณู ๓.สภาพแวดลอ้ มและบรรยากาศและปฏิสัมพันธ์ของโรงเรียนจะดีข้ึนมากในลักษณะทเ่ี กื้อกูล ต่อการพัฒนาผู้เรียนรอบด้าน ทั้งศีล สมาธิและปัญญาผู้ที่เกี่ยวข้องเป็นกัลยาณมิตรแก่กันโดยเฉพาะ อยา่ งยง่ิ ตอ่ นักเรียน ๔.บุคลากรในโรงเรียนพัฒนาตนเองทั้งวิถีการดาเนินงานและวิถีชีวิตทาให้การทางานมี ความสุข พฒั นาสู่ความสะอาด สว่าง สงบ เพราะความเปน็ วถิ พี ทุ ธชว่ ยกลอมเกลา ๕.โรงเรียนโดยผู้บริหาร ครู บุคลากรและนักเรียนเป็นแบบอยา่ งต่อสังคมและพลังการพัฒนา สงั คมวงกวา้ งให้ดงี ามย่ิงข้นึ ไป
คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ | ๑๑๖ ๓.ด้านการจดั กจิ กรรมพนื้ ฐานชวี ติ การบริหารงานวิถีพุทธในสถานศึกษาทุกแห่งจะมีกิจกรรมต่าง ๆ หลากหลายโดยมีเป้าหมาย คือการพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ซ่ึงสรุปเป็นหลักการใหญ่ ๆ คือ ดีเก่ง มีความสุข และมีความเป็นไทย ซ่ึงสอดคล้องกันอยู่แล้วกับเป้าหมายการพัฒนาในพระพุทธศาสนาคือภาวนา ๔ ดังนั้น ในเบ้ืองต้นโรงเรียนวิถีพุทธจึงควรดาเนินการโดยเน้นคุณค่าทางพระพุทธศาสนาซ่ึงแฝงอยู่ใน กิจกรรมตา่ ง ๆ ใหโ้ ดดเดน่ ชดั เจนยงิ่ ขึน้ (เมตตา ภิรมยภ์ กั ด์ิ, ๒๕๔๗: ๑๔) กิจกรรมพื้นฐานวิถีชีวิตน้ันเป็นการปฏิบัติอย่างบูรณาการทั้งศีล สมาธิ ปัญญา โดยเน้นการมี วิถีชีวิตหรือวัฒนธรรมของการกิน อยู่ ดู ฟัง ด้วยสติสัมปชัญญะ เพ่ือเป็นไปตามคุณค่าแท้ของการ ดาเนินชีวิต อาจจัดกิจกรรมประจาวัน ประจาสัปดาห์ ประจาเดือน หรือในโอกาสต่าง ๆ เพ่ือให้ นักเรยี นได้ซมึ ซบั นาไปสู่การมพี ฤติกรรมถาวรทีพ่ งึ ประสงค์ ดงั นี้ ๑.ฝึกฝนอบรมให้ผู้เรียนเกิดการกินอยู่ ดู ฟัง เป็น (รู้เข้าใจเหตุผลได้ประโยชน์ตามคุณค่าแท้ ตามหลกั ไตรสิกขา) ดว้ ยโครงการหรอื กจิ กรรมตอ่ ไปนี้ ๑) โครงการ/กจิ กรรมฝึกการกินอยู่ ดู ฟัง ของนกั เรียน ๒) การฝกึ อบรมใหน้ ักเรียนกนิ อยู่ ดู ฟังอยา่ งมีสติ และใช้ปัญญาเป็นนสิ ยั ๓) การฝึกอบรมให้นักเรียนบริโภคปัจจัย ๔ ด้วยปัญญา และอย่างพอดี ไม่เกิดโทษ หรอื ความเสียหายแกต่ นเองแก่ผ้อู ื่นและส่งิ แวดลอ้ ม ๒.ส่งเสริมกิจกรรมการรับผิดชอบดูแลรักษาพัฒนาอาคารสถานที่และส่ิงแวดล้อมอย่าง สม่าเสมอจนเป็นนิสัย ดงั นี้ ๑) กาหนดบทบาทหนา้ ทค่ี วามรบั ผิดชอบของนักเรียนในการดแู ลรักษาพฒั นาอาคาร สถานทแี่ ละสง่ิ แวดลอ้ มในโรงเรียนอย่างชดั เจน ๒) จัดกิจกรรมรณรงค์เพื่อรักษาความสะอาดและสภาพแวดล้อมของโรงเรียนอย่าง นอ้ ยภาคเรียนละ ๒ ครัง้ ๓) จัดกิจกรรมรณรงค์เพ่ือรักษาความสะอาดและสภาพแวดล้อมรอบ ๆ โรงเรียน อย่างน้อยภาคเรียนละ ๑ ครั้ง ๓.จัดกจิ กรรมสง่ เสริมการระลึกและศรัทธาในพระรตั นตรัยเปน็ ประจาและในโอกาสวันสาคัญ อยา่ งต่อเนอื่ งเปน็ วิถชี วี ติ ดังน้ี ๑) มีกิจกรรมประจาวัน/ประจาสปั ดาหท์ ่ีเตือนให้ระลึกถึงพระรัตนตรัยเหมาะสมกับ วยั ของนกั เรยี น ๒) มีกิจกรรมเสริมหลักสูตร เช่นแข่งขันตอบปัญหาธรรมะสง่ เสริมการเรียนการสอน ธรรมศกึ ษา เข้าคา่ ยพทุ ธบุตร เป็นต้น ๓) นานกั เรยี นรว่ มกจิ กรรมวันสาคญั ทางพระพทุ ธศาสนาทวี่ ัดจดั ขน้ึ เปน็ ประจา ๔.ส่งเสริมให้ทุกคนมีส่วนร่วมและเห็นคุณค่าการรักษาสืบทอดพระพุทธศาสนาได้หลายวิธี ดงั นี้ ๑) จัดกิจกรรมเผยแผ่หลักธรรมคาสั่งสอนทางพระพุทธศาสนาโดยครแู ละนักเรียนมี ส่วนรว่ มในการดาเนินงานเชน่ กิจกรรมเสยี งตามสายจดหมายข่าวฯลฯ
คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ | ๑๑๗ ๒) โครงการรักษาและสืบทอดต่อพระพุทธศาสนาเช่นการบรรพชาสามเณรฤดูร้อน กิจกรรมค่ายพุทธบตุ รพทุ ธธรรมการสอนธรรมศึกษาฯลฯ ๓) สนับสนุนการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานเพื่อให้นักเรียนได้สารวจค้นคว้าศึกษา เก่ยี วกับประเพณวี ัฒนธรรมทางพระพุทธศาสนาโบราณสถานโบราณวตั ถุประวตั ิพระสงฆ์ ฯลฯ ๔) จัดกิจกรรมประชุมสัมมนาหรือสนทนาธรรมโดยเชญิ วิทยากรผรู้ ู้ร่วมอภิปรายกับ ผ้บู รหิ ารครแู ละผปู้ กครองเปน็ ประจา ๕) จัดกิจกรรมรณรงค์ให้ผู้บริหารครูผู้ปกครองนักเรียนชุมชนมีจิตสานึกในการ ปกป้องและสืบตอ่ พระพทุ ธศาสนา นอกจากน้ยี งั มีตวั อย่างกิจกรรมพ้ืนฐานวิถีชวี ติ ซ่ึงมหี ลากหลายรปู แบบดังน้ี ๑.กจิ กรรมเนอ้ื หาสาระหลักสูตร ๒.กจิ กรรมประจาวนั /สัปดาห์ ๓.กจิ กรรมเนือ่ งในวันสาคัญทางพระพทุ ธศาสนา ๔.กิจกรรมพิเศษอ่นื ๆ โรงเรียนวิถีพุทธสามารถจัดกิจกรรมส่งเสริมเนื้อหาสาระตามหลักสูตร เช่น พิธีแสดงตนเป็น พุทธมากะ การประกวดมารยาทชาวพุทธ เข้าค่ายพุทธบุตรตามสาระการเรียนรู้พระพุทธศาสนา การ บริหารจิตเจริญปัญญา เรียนธรรมศึกษา สอบธรรมศึกษา บรรพชาสามเณรฤดูร้อน กิจกรรม ประจาวันประจาสัปดาห์ เป็นต้น นอกจากน้ียังสามารถจัดกิจกรรมเสริมในกิจกรรมต่าง ๆ ของ โรงเรียนก็ได้ เชน่ ๑.กิจกรรมหน้าเสาธง ไดแ้ ก่ กจิ กรรมทีก่ ระทาเพ่ือราลกึ ถึงสถาบนั หลกั มีชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ (ก่อนเคารพธงชาติ) กิจกรรมไหว้พระสวดมนต์ แผ่เมตตาและสงบน่ิงและกิจกรรม สุภาษิตวันละบท กิจกรรมน้องไหว้พี่ กิจกรรมเดินแถวเข้าห้องเรียนอย่างมีสติ เช่นเดินพร้อมท่องคติ ธรรมขณะเข้าห้องเรียน ๒.กิจกรรมความดีร่วมกัน เช่น กิจกรรมเดินอย่างมีสติเข้าโรงอาหาร กิจกรรมกล่าว คาพิจารณาอาหารก่อนการรับประทานอาหาร กิจกรรมรับประทานอาหารอย่างมีสติ เช่น มีกติกาว่า ไม่เสียงดังไมท่ าหก ไมเ่ หลือ กจิ กรรมขอบคณุ หลังรบั ประธานอาหาร กิจกรรมการน่ังสมาธิ ๑นาทกี ่อน เรยี นโดยให้นกั เรยี นท่องจาพร้อมกนั ทหี่ นา้ ห้องเรยี น ๓.กิจกรรมก่อนเลิกเรียน เช่น กิจกรรมสวดมนต์ไหว้พระ กิจกรรมราลึกถึงพระคุณ ของผู้มีพระคณุ กิจกรรมทองอาขยานสร้างสมาธิฯลฯ ๔.กิจกรรมประจาสัปดาห์ เช่น กิจกรรมสวดมนต์ทานองสรภัญญะประจาสัปดาห์ กิจกรรมทาบุญตักบาตรประจาสัปดาห์โดยทาในวนั พระหรือวันทีท่ างโรงเรยี นกาหนดขน้ึ ๕.กิจกรรมเนื่องในวนั สาคัญทางพระพุทธศาสนา โรงเรียนวิถีพุทธควรจัดกิจกรรมใน วันสาคัญต่าง ๆ คือวันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอัฏฐมีบูชา วันอาสาฬหบูชาวันเข้าพรรษา วันออก พรรษาดังน้ี ๑) กิจกรรมวันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอัฏฐมีบูชา วันอาสาฬหบูชา วัน เขา้ พรรษาวันออกพรรษา สถานศึกษาผปู้ กครองและชุมชนร่วมกิจกรรมดังนค้ี ือทาบุญตักบาตรบริเวณ สนามของโรงเรียน ฟังพระแสดงธรรมเวียนเทียนทว่ี ัดหรือทโี่ รงเรยี น
คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ | ๑๑๘ ๒) หล่อเทยี นพรรษาหรอื ร่วมกับชมุ ชนในการหล่อเทียนเขา้ พรรษา ๓) สถานศึกษาจัดบรรยากาศวันสาคัญทางพุทธศาสนาโดยการประดับธง ธรรมจักรธงชาติและเปิดเพลงธรรมเสยี งตามสายของโรงเรยี น ๖.กิจกรรมอ่ืน ๆ เช่น การตอบปัญหาธรรม วันสาคัญของชาติ ศาสนาและ พระมหากษัตริย์ การประเมินผลการทาความดี การยกย่องเชิดชูเกียรติผู้ทาความดี จิตอาสาตาวิเศษ สังเกตพฤตกิ รรมของผู้ปฏิบตั ธิ รรม การบนั ทึกความดขี องผู้ปฏบิ ตั ิธรรม ต้นไม้พูดได้เน้นข้อคิดคติธรรม การจัดนิทรรศการผลงานทางพระพุทธศาสนา การเพ่ิมทักษะและความรู้ทางพระพุทธศาสนา เช่น โครงงานคุณธรรม เป็นตน้ ๔. การจดั กจิ กรรมทางพระพทุ ธศาสนา บญุ ถม ธรรมศิริ (๒๕๕๒) ไดส้ รุปกจิ กรรมการทาทางพระพทุ ธศาสนา ดงั น้ี ๑.การวางแผน ประกอบด้วย มีการศึกษาดูงานโรงเรียนวิถีพุทธต้นแบบ การ มอบหมายงานให้ครูรับผิดชอบงาน มีการจัดกิจกรรมวันสาคัญทางพระพุทธศาสนา มีปฏิทินจัด กิจกรรมของโรงเรียนวถิ ีพุทธ ๒. การจัดกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา ประกอบดว้ ย มีการจัดกิจกรรมวันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา เป็นต้น การจัดกิจกรรมตามปฏิทิน มีการสวดมนต์ไหว้พระ รับศีล เวยี นเทียน และปฏิบัติธรรม มรี ายงานการจัดกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา ๓.การประเมินผล ประกอบด้วย มีการประเมินผลตามสภาพจริง การประเมินผล ก่อนและหลังจากการจัดกิจกรรม ประเมินโดยการสัมภาษณ์ มีการรายงานผลการจัดกิจกรรมทาง พระพทุ ธศาสนา ๔.การปรับปรุงแก้ไขการจัดกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา ประกอบด้วย มีการจัด ประชุมครู การมอบหมายงาน จัดทาแผนการจัดกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา มีการรายงานการ จดั ทาแผนการจดั กจิ กรรมทางพระพทุ ธศาสนา เปน็ ตน้ บทสรปุ การบริหารสถานศึกษาถือเป็นวิชาชีพช้ันสูง (Profession) และใช้บุคลากรมืออาชีพ (Professional) มาบริหาร โดยอาศัยหลักและทฤษฎีการบริหารท่ัวไปแบบต่างๆ มาประยุกต์ใช้ ทั้ง แบบด้ังเดิมหรือแบบใหม่ๆ หรือเรียกรวมๆ ว่าการจัดการ (Management) ซ่ึงเก่ียวข้องกับบุคลากร (Man) งบประมาณ (Money) และวัสดุ ครุภัณฑ์ อุปกรณ์ เคร่ืองไม้เคร่ืองมือต่างๆ รวมถึงอาคาร สถานที่ ยานพาหนะ เป็นต้น (Material) โดยต้องเพ่ิมเติมในส่วนเกี่ยวกับการศึกษาโดยตรงเข้าไป ได้แก่ การบริหารงานวิชาการ การจัดการเรียนการสอน การวิจัยและพัฒนาการศึกษา การจัดการชั้น เรียน การกิจการและกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ห้องสมุดหรือแหล่งเรียนรู้ จนทาให้การเรียนรู้มีคุณภาพ และประสิทธิภาพนั่นเอง ส่วนการบริหารโรงเรียนวิถีพุทธ ก็เป็นการบริหารโรงเรียนปกติที่ได้นา หลกั การ หลักธรรม และกจิ กรรมสง่ เสริมการเรยี นรเู้ พื่อบ่มเพราะคุณลกั ษณะของนักเรยี นอยา่ งบูรณา การในวถิ ชี วี ิต ผ่านการปฏบิ ัตใิ นวถิ ชี วี ติ ประจาวันคือ การกิน อยู่ ดู ฟงั เปน็ ตน้
คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ | ๑๑๙ บทท่ี ๙ ศนู ยก์ ารเรียนรโู้ รงเรียนวถิ พี ุทธ นิยาม ของคาวา่ ศนู ยก์ ารเรยี นรูโ้ รงเรยี นวิถีพทุ ธ ศูนย์การเรยี นร้โู รงเรียนวิถีพุทธ หมายถึง สถานท่ี ทเ่ี ปน็ ศูนย์กลางการจัดการศึกษาเพ่ือการ เรียนรู้และเป็นแบบอย่างในทุก ๆ ด้านของความเป็นโรงเรียนวิถีพุทธ สาหรับสถาบันการศึกษาและ ประชาชนผู้สนใจ อธบิ าย ศูนย์การเรียนรู้โรงเรียนวิถีพุทธ หมายถึง คือ สถานที่ ท่ีเป็นศูนย์กลาง การจดั การศึกษาเพื่อการเรยี นรู้และเปน็ แบบอยา่ งในทุก ๆ ด้านของความเปน็ โรงเรียนวถิ พี ุทธ สาหรบั สถาบันการศึกษาและประชาชนผู้สนใจ ให้เป็นสถานที่สร้างโอกาสในการเรียนรู้ ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็น แหล่งเรียนรทู้ จี่ ัดตง้ั ขนึ้ เพ่ือตอบวตั ถปุ ระสงค์ของศูนย์การเรยี นด้านโรงเรียนวถิ ีพทุ ธ เป็นแหลง่ รวมของ ความรู้ รวบรวมวัสดุอุปกรณ์เพื่อให้บุคคล สามารถเข้าไปฝึกอบรม ทางานและเรียนรู้ได้ โดยท่ี สามารถศึกษาหาความรูด้ ้วยตนเอง เป็นศนู ยก์ ลางแลกเปลย่ี นประสบการณ์ เปิดโอกาสให้บคุ คลเข้าไป หาความรู้ได้ตลอดเวลา จัดกิจกรรมอย่างต่อเน่ือง ทันกับการเปล่ียนแปลงในยุคโลกาภิวัตน์ เป็น ต้นแบบ ศึกษาดูงานได้ เป็นแม่ข่ายขยายผลสร้างเครือข่ายได้ เป็นพ่ีเลี้ยงให้แก่สถานศึกษาทั่วไปท่ี ต้องการพัฒนาตนเองเป็นศูนย์ประสานงานและให้คาปรึกษาระหว่างชุมชุนกับแหล่งวิทยาการความรู้ กลุ่มเป้าหมาย และที่สาคัญ เป็นสถานท่ี ท่ีมีความตระหนักเห็นความสาคัญของการเป็นศูนย์การ เรียนรดู้ า้ นโรงเรียนวถิ ีพุทธ นั่นเอง. องคป์ ระกอบหลกั ของศูนยก์ ารเรียนรูโ้ รงเรยี นวถิ พี ทุ ธ รูปแบบการพัฒนาศูนย์การเรียนรู้โรงเรียนวิถีพุทธนี้ ประกอบไปด้วย องค์ประกอบ หลัก ๓ ส่วน คือ ๑) ส่วนนาศูนย์การเรียนรู้โรงเรียนวิถีพุทธ, ๒) กระบวนการของศูนย์การเรียนรู้ โรงเรียนวิถีพุทธ ๓) การนารูปแบบการพัฒนาศูนย์การเรียนรู้โรงเรียนวิถีพุทธไปใช้ อธิบายได้ ดังตอ่ ไปนี้ ส่วนท่ี ๑ ส่วนนาศูนย์การเรียนรู้โรงเรียนวิถีพุทธ ประกอบไปด้วย ๑) หลักการ, ๒) วัตถปุ ระสงค์, ๓) ส่ิงแวดลอ้ ม ๔) ตัวชว้ี ัด ส่วนที่ ๒ กระบวนการของศูนย์การเรียนรู้โรงเรียนวิถีพุทธ ประกอบไปด้วย ๑) องค์ประกอบศูนย์การเรียนรู้โรงเรียนวิถีพุทธ, ๒) การดาเนินงานของศูนย์การเรียนรู้โรงเรียนวิถีพุทธ ๓) การพัฒนาศูนยก์ ารเรยี นรูโ้ รงเรียนวิถพี ทุ ธ ๔) กจิ กรรมพัฒนาของศนู ย์การเรยี นรู้โรงเรยี นวถิ พี ุทธ ส่วนท่ี ๓ การนาไปใช้ ประกอบไปด้วย ๑) การเตรียมการนาไปใช้ ๒) การนาไปใช้ ๓) การตดิ ตามและประเมนิ ผล ส่วนท่ี ๑ สว่ นนาศูนยก์ ารเรียนร้โู รงเรียนวิถพี ุทธ ประกอบไปด้วย ๑) หลกั การ, ๒) วตั ถุประสงค,์ ๓) สิ่งแวดล้อม ๔) ตัวชี้วดั
คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ | ๑๒๐ ๑) หลักการศูนยก์ ารเรยี นร้โู รงเรยี นวิถีพทุ ธ ๑. เป็นสถานที่ ทเ่ี ปน็ ศูนยก์ ลางการจัดการศกึ ษาด้านโรงเรียนวถิ ีพุทธ เพือ่ การเรียนรู้ และเปน็ แหล่งรวมของความรู้ ๒. รวบรวมวัสดุอุปกรณเ์ พื่อใหบ้ ุคคล สามารถเข้าไปฝึกอบรม ทางานและเรียนร้ดู า้ น โรงเรยี นวถิ พี ทุ ธ ๓. เป็นศูนยก์ ลางแลกเปล่ียนประสบการณ์ ๔. มีการจดั กจิ กรรมอย่างตอ่ เน่ือง ทนั กับการเปล่ียนแปลงในยุคโลกาภวิ ัตน์ ๕. เปน็ ตน้ แบบ ศกึ ษาดูงานได้ ๖. เป็นแม่ข่ายขยายผลสร้างเครือข่ายได้ เป็นพี่เล้ียงให้แก่สถานศึกษาทั่วไปท่ี ตอ้ งการพฒั นาตนเองเปน็ ศูนยป์ ระสานงาน ๗. ให้คาปรึกษาด้านโรงเรียนวิถีพุทธระหว่างสถานศึกษา, ชุมชุนกับแหล่งวิทยาการ ความรู้กลุม่ เป้าหมาย ๘. เป็นสถานท่ี ที่มีความตระหนักเห็นความสาคัญของการเป็นศูนย์การเรียนรู้ โรงเรียนวถิ ีพุทธ ๒) วัตถุประสงค์ศูนยก์ ารเรียนรโู้ รงเรยี นวถิ ีพทุ ธ คือ ๑. เพ่อื เป็นแหล่งรวบรวมองค์ความรู้ วัสดุอุปกรณ์ เอกสาร ผลงานและกิจกรรมด้าน การดาเนนิ งานโรงเรียนวิถพี ทุ ธ ๒. เพ่ือเป็นแหล่งให้บริการกิจกรรมโรงเรียนวิถีพุทธแก่โรงเรียน ชุมชนและหนว่ ยงาน อื่น ๆ ที่มารับบริการ โดยระบบการเรียนรู้ด้วยตนเอง หรือเป็นหมู่คณะ เปิดโอกาส ให้บุคคลเขา้ ไปหาความรู้ได้ตลอดเวลา ๓. เพื่อเปน็ ศูนยก์ ลางแลกเปล่ียนประสบการณ์องคค์ วามรูด้ า้ นการศึกษาแนวพทุ ธ ๔. เพื่อเป็นสถานที่จัดกิจกรรมเก่ียวกับวิถีพุทธของโรงเรียน ชุมชนและหน่วยงานอื่น ๆ ท่ีมารบั บรกิ าร ๕. เพื่อเป็นแหล่งศึกษาดูงานด้านการดาเนินงานและกิจกรรมโรงเรียนวิถีพุทธแก่ โรงเรยี น ชมุ ชนและหน่วยงานอ่นื ๆ ทม่ี ารบั บรกิ าร ๖. เพื่อเป็นศูนย์การประสานงานเครือข่ายด้านโรงเรียนวิถีพุทธและเป็นพ่ีเล้ียงให้แก่ สถานศึกษาทัว่ ไปทต่ี อ้ งการพฒั นาตนเองใหเ้ ป็นศูนย์ต่อไป ๓) สภาพแวดลอ้ ม “ศนู ยก์ ารเรยี นรโู้ รงเรยี นวถิ ีพทุ ธ” ๑. บง่ บอกถงึ ความเปน็ โรงเรียนวถิ ีพทุ ธ ๒. ยดึ หลกั ความสะอาด (ศีล) ๓. มคี วามสงบ (สมาธิ) ร่มเย็น ร่มรืน่ เรียบงา่ ย ใกล้ชดิ ธรรมชาติ ๔. เปน็ แหล่งเสริมสว่าง (ปัญญา) ๕. เป็นการจัดสภาพแวดล้อมภายในโรงเรียนให้ ปราศจากยาเสพติด อบายมุข สิ่ง มอมเมาทุกชนิด ๖. ประดษิ ฐานพระพทุ ธรูปประจาโรงเรยี น และประจาหอ้ งเรียน
คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ | ๑๒๑ ๗. จัดสถานทีเ่ ป็นแหล่งเรยี นรู้ มปี า้ ยศาสนสุภาษติ ปา้ ยพระบรมราโชวาท ปา้ ยนเิ ทศ คติธรรม คาขวัญและกิจกรรมท่ีสร้างสรรค์ ตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาและ ควรมีรูปภาพพระอริยสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เช่น หลวงปู่มั่น หลวงปู่ชา หลวงปู่ เทสก์ หลวงปขู่ าว เป็นตน้ เพือ่ เปน็ สอื่ การเรียนการสอนให้นักเรียนสามารถปฏิบัติตน ตามได้อย่างถกู ต้อง ๔) ตวั ชวี้ ดั “ศูนย์การเรยี นรโู้ รงเรียนวถิ ีพทุ ธ” ๑. ดา้ นมีความทนั สมัย (ความเป็นสากล, ศตวรรษที่ ๒๑, อาเซยี่ น) ๒. ด้านองคค์ วามรู้ (หลกั ธรรมของพระพุทธเจ้า, ความเปน็ วิถ)ี ) ๓. ดา้ นฝกึ สติ สมาธิ Mindfulness ๔. ดา้ นสถิติ ๕. ดา้ นจดุ เด่นจากการเป็นโรงเรยี นวิถพี ทุ ธพระราชทาน ๖. ด้านการปฏบิ ัติ Active Learning จับต้องได้เป็นรูปธรรม การเรียนรแู้ บบลงมือทา ส่วนท่ี ๒ กระบวนการของศูนย์การเรียนร้โู รงเรียนวิถีพุทธ ประกอบไปด้วย ๑) องค์ประกอบ ศูนยก์ ารเรียนรู้โรงเรยี นวถิ ีพุทธ, ๒) การดาเนนิ งานของศูนย์การเรียนรู้โรงเรียนวถิ ีพุทธ ๓) การพัฒนา ศูนย์การเรียนรู้โรงเรยี นวถิ ีพุทธ ๔) กิจกรรมพัฒนาของศูนย์การเรียนรูโ้ รงเรยี นวิถีพุทธ มีรายละเอียด ดังน้ี ๑) องค์ประกอบของศนู ยก์ ารเรียนรูโ้ รงเรียนวิถพี ุทธมี ๕ ดา้ น ๑. ดา้ นการบรหิ าร (๑) การกาหนดนโยบายทีส่ าคญั ของศูนยก์ ารเรยี นรู้ (๒) การกาหนดแผนของศนู ยก์ ารเรยี นรู้ (๓) การนาการตดั สินใจและนโยบายไปปฏิบตั ิ โดยมหี ลกั เกณฑ์ (๔) การจัดระเบียบทรัพยากรต่าง ๆ ในศูนย์การเรียนรู้ มาประกอบการ ตามกระบวนการบริหาร ให้บรรลุวัตถุประสงค์ท่ีกาหนด ให้มี ประสิทธภิ าพมากทสี่ ุดเพ่อื ตอบสนองความต้องการ (๕) การดาเนินการใหท้ กุ โครงการของศูนย์การเรียนร้ทู าหน้าท่ีสัมพนั ธ์กนั (๖) บุคลากรในโรงเรียน ต้องมีวิถีชีวิตตามแนวทางพระพุทธศาสนา พอสมควร พร้อมที่จะช่วยขับเคลื่อนอย่างเป็นระบบ ตามหน้าท่ีของตน และต้องมกี ารพฒั นาบคุ ลากรอย่างสมา่ เสมอ (๗) มีการส่งต่อการบริหารศูนย์การเรียนรู้โรงเรียนวิถีพุทธ ด้านโรงเรียนวิถี พทุ ธให้กับผู้บริหารสถาบันการศึกษา รนุ่ ตอ่ ไป อยา่ งต่อเนื่อง ๒. ดา้ นอาคารสถานท่ี (๑) ท่ดี นิ ทต่ี ัง้ ศนู ย์การเรยี นรู้ (๒) สิ่งปลูกสร้างที่มนุษย์สร้างขึ้นในพื้นท่ีของศูนย์การเรียนรู้ เช่น อาคาร สถานทตี่ า่ ง ๆ อาทหิ ้องเรยี น ห้องสุขา เปน็ ต้น
คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ | ๑๒๒ (๓) บริเวณโดยรอบสิ่งปลูกสร้างนั้น ๆ ตัวอย่างคือ ถนน ท่ีจอดรถ สนาม เดก็ เลน่ (๔) สภาพแวดลอ้ มทางธรรมชาติ เชน่ ตน้ ไม้ น้าตก กอ้ นหนิ หรอื ภเู ขา เป็นต้น ๓ ด้านแหลง่ เรยี นรู้ (๑) สถานทเ่ี รียนรู้ภายในศนู ย์ (๒) ศูนย์รวมความรู้ในด้านโรงเรียนวิถีพุทธท่ีประกอบด้วย ประวัติข้อมูล ข่าวสาร เทคโนโลยี หนังสือ วีดีทัศน์ต่าง ๆ เหมาะกับศูนย์การเรียนรู้ โรงเรยี นวถิ ีพุทธ (๓) สถานที่ทากิจกรรมต่าง ๆ หรือฝึกหัดตนเอง ในด้านต่าง ๆ ทาง พระพุทธศาสนา (๔) สถานท่ี ท่ีภูมิปัญญาท้องถ่ินหรือปราชญ์ชาวบ้านแลกเปล่ียน ประสบการณ์ต่าง ๆ ในด้านวิถีพุทธหรือพระพุทธศาสนาหมายถึง เป็น แหลง่ เรยี นรู้ทมี่ ีชีวติ (๕) สถานที่ ท่ีมกี จิ กรรมท่ีเป็น นวตั กรรม ในด้านวิถีพทุ ธที่เปน็ ของตนเอง ที่ สามารถเปน็ แบบอย่างให้กับโรงเรียนอ่ืนได้ ๔ ดา้ นการบริการ (๑) การบรกิ ารด้านตา่ ง ๆ ของศนู ย์การเรียนรู้ (๒) ผใู้ หบ้ ริการ (๓) ผรู้ บั บริการ (๔) ปฏิกิริยาหรือการปฏิบัติงานท่ีฝ่ายหน่ึงเสนอให้กับฝ่ายอื่น โดยต้ังใจส่ง มอบบริการอนั นน้ั หรอื รบั บรกิ ารสง่ิ นัน้ (๕) การบรกิ ารดว้ ยหลกั กลั ยาณมิตร ๕ ด้านเครือขา่ ย (๑) กลุ่มของความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนต่อโรงเรียน หรือโรงเรียนต่อ ชุมชน หรือโรงเรียนต่อหน่วยงานอ่ืน ๆ หรือโรงเรียนที่มีต่อบุคคล ที่มี ต่อกัน (๒) การประสานแหล่งความรู้ต่าง ๆ ด้านโรงเรียนวิถีพุทธ เข้าด้วยกัน และ ประสานการเรียนรู้ สภาพการเรียนรู้ร่วมกันอย่างเป็นทางการหรือไม่ เป็นทางการ (๓) การสร้าง ถ่ายทอด กระจายความรู้ และแลกเปลี่ยนความรู้ซ่ึงกันและ กันด้านโรงเรียนวิถีพุทธตามความต้องการของสถานศึกษา, หน่วยงาน, บุคคลและชุมชน ให้มีการจัดระบบและพัฒนาให้แหล่งความรู้ให้ สามารถถ่ายโยงเกิดกระบวนการเรยี นรู้ (๔) ส่งเสริมให้มีการทาบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ MOU ว่าด้วยการ พฒั นาโรงเรยี นวิถีพุทธช้ันนา ระหว่างโรงเรียนกับโรงเรียน โรงเรยี นกับ ชมุ ชน และโรงเรยี นกบั หน่วยงานอน่ื ๆ หรอื ในรปู แบบคขู่ นาน
คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ | ๑๒๓ (๕) สามารถการมีกิจกรรมที่ปฏิบัติการทางสังคมร่วมกัน รวมถึงการรับรู้ ขา่ วสารรว่ มกัน ผา่ นสื่อการเรยี นรู้ทมี อี ยอู่ ย่างหลากหลาย ในปัจจบุ ัน ๒) การดาเนนิ งาน “ศนู ยก์ ารเรยี นรู้โรงเรียนวิถพี ุทธ” โดยส่วนมากโรงเรียนดาเนินงานตาม แนวโรงเรียนวิถีพุทธจะใชห้ ลักการดาเนินงานของเดมมง่ิ ร่วมกบั แนวทางการดาเนินงานตามอตั ลักษณ์ ๒๙ ประการส่คู วามเป็นโรงเรยี นวถิ พี ทุ ธ การดาเนนิ งานของเดมม่งิ มี ๔ ข้ันตอน คือ ๑. มีการวางแผน (Plan: P) เป็นส่วนประกอบของวงจรที่มีความสาคัญเน่ืองจากการ วางแผนเป็นจุดเร่ิมต้นของงานและเป็นส่วนสาคัญท่ีจะทาให้การทางานในส่วนอ่ืน เป็นไปอย่างมีประสิทธิผล การวางแผนในวงจรเดมมิ่ง เป็นการหาองค์ประกอบของ ปัญหา โดยวิธีการระดมความคิด การหาสาเหตุของปัญหา การหาวิธีการแก้ปัญหา การจัดทาตารางการปฏิบัติงาน การกาหนดวิธีดาเนินการ การกาหนดวิธีการ ตรวจสอบและประเมนิ ผล ในข้นั ตอนนม้ี กี ารดาเนนิ การดงั น้ี (๑) ตระหนักและกาหนดปัญหาท่ีต้องการแก้ไข หรือปรับปรุงให้ดีขึ้น โดย สมาชิกแต่ละคนร่วมมือและประสานกันอย่างใกล้ชิด ในการระบุ ปัญหาท่ีเกิดข้ึน ในการดาเนินงาน เพ่ือท่ีจะร่วมกันทาการศึกษาและ วเิ คราะหห์ าแนวทางแก้ไขตอ่ ไป (๒) เก็บรวบรวมข้อมูล สาหรับการวิเคราะห์และตรวจสอบการ ดาเนินงาน หรือหาสาเหตุ ของปัญหา เพื่อใช้ในการปรับปรุง หรือ แก้ไขปัญหาท่ีเกิดข้ึน ซ่ึงควรจะวางแผนและดาเนินการเก็บข้อมูลให้ เป็นระบบระเบียบ เข้าใจง่าย และสะดวกตอ่ การใช้งาน เช่น ตาราง ตรวจสอบ แผนภมู ิ แผนภาพหรือแบบสอบถาม เป็นต้น (๓) อธิบายปัญหาและกาหนดทางเลือก วิเคราะห์ปัญหา เพื่อใช้กาหนด สาเหตุของความบกพร่อง ตลอดจนแสดงสภาพปัญหาที่เกิดข้ึน ซึ่ง นิยมใช้วิธีการเขียนและวิเคราะห์แผนภูมิหรือแผนภาพเช่น แผนภูมิ ก้างปลา แผนภูมิพาเรโต และแผนภูมิการควบคุม เป็นต้น เพื่อให้ สมาชิกทุกคน ในทีมงานคุณภาพ เกิดความเข้าใจในสาเหตุและปัญหา อย่างชัดเจน แล้วร่วมกันระดมความคิด (Brainstorm) ในการ แก้ปัญหา โดยสร้างทางเลือกต่าง ๆ ที่เป็นไปได้ในการตัดสินใจ แก้ปัญหา เพ่ือมาทาการวิเคราะห์และตัดสินใจเลือกที่เหมาะสมที่สุด มาดาเนินงาน (๔) เลือกวิธีการแก้ไขปัญหา หรือปรับปรุงการดาเนินงาน โดยร่วมกัน วิเคราะห์ และวิจารณ์ทางเลือกต่าง ๆ ผ่านการระดมความคิด และ การแลกเปล่ียนความคิดเห็นของสมาชิก เพื่อตัดสินใจเลือกวิธีการ แก้ไขปัญหาที่เหมาะสมที่สุดในการดาเนินงาน ให้สามารถบรรลุตาม เป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซ่ึงอาจจะต้องทาวิจัยและหาข้อมูล เพิ่มเติม หรือกาหนดทางเลือกใหม่ท่ีมีความน่าจะเป็นในการ แกป้ ญั หาได้มากกว่าเดิม
คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ | ๑๒๔ ๒. การปฏบิ ัติตามแผน (Do: D) เป็นการลงมือปฏิบัตติ ามแผนท่ีกาหนดไวใ้ นตารางการ ปฏิบัติงาน ท้ังนี้ สมาชิกกลุ่มต้องมีความเข้าใจถึงความสาคัญและความจาเป็นใน แผนน้ัน ๆ ความสาเร็จของการนาแผนมาปฏิบัติต้องอาศัยการทางานด้วยความ ร่วมมือเป็นอย่างดีจากสมาชิก ตลอดจนการจัดการทรัพยากรที่จาเป็นต้องใช้ในการ ปฏิบัติงานตามแผนนั้น ๆ ในข้ันตอนน้ี ขณะที่ลงมือปฏิบัติจะมีการตรวจสอบไป ด้วย หากไม่เป็นไปตามแผนอาจจะต้องมีการ ปรับแผนใหม่และเมื่อแผนน้ันใช้งาน ได้ก็นาไปใช้เป็นแผนและถอื ปฏบิ ตั ิต่ อไป ๓. การตรวจสอบ (Check: C) หมายถึง การตรวจสอบดูว่าเม่ือปฏิบัติงานตามแผน หรือการแก้ปัญหางานตามแผนแล้ว ผลลัพธ์เป็นอย่างไร สภาพปัญหาได้รับการ แก้ไขตรงตามเป้าหมายที่กลุ่มต้ังใจหรือไม่ การไม่ประสบผลสาเร็จอาจจะเกิดจาก สาเหตหุ ลายประการ เช่น ไม่ปฏิบตั ติ ามแผน ความไม่เหมาะสมของแผนการเลือกใช้ เทคนิคท่ไี ม่เหมาะสม เปน็ ตน้ ๔. การแก้ไขปรับปรุง (Action : A) เป็นการกระทาภายหลัง หลังจากที่ทา กระบวนการ 3 ขน้ั ตอน ตามวงจรไดด้ าเนนิ การเสร็จแล้ว ขนั้ ตอนน้ีเป็นการนาเอา ผลจากข้ันการตรวจสอบ(C) มาดาเนินการให้เหมาะสมต่อไป ว่าจะปรับปรุง หรือ พัฒนาเพิ่มประสทิ ธภิ าพต่อไป # สาหรับแนวทางการดาเนินงานตามอัตลักษณ์ ๒๙ ประการสู่ความเป็นโรงเรียนวิถีพุทธนน้ั ให้สังเคราะห์เขา้ ไปในการดาเนนิ ตามการดาเนนิ งานของเดมม่ิง ๓) การพัฒนา “ศูนยก์ ารเรยี นรูโ้ รงเรยี นวิถพี ุทธ” แยกเป็น ๕ ดา้ น คือ ๑ การพัฒนาด้านบริหาร (๑) ดา้ นระบบบริหารภายใน (๒) ดา้ นการเรยี นการสอน (๓) ดา้ นการมสี ว่ นรว่ มของชุมชน (๔) ด้านการใชเ้ ทคโนโลยีในการบริหาร (๕) ด้านเกณฑป์ ระเมนิ ต่าง ๆ (๖) ด้านการบรหิ ารงบประมาณ ๒. การพฒั นาด้านอาคารสถานที่ (๑) จัดรูปแบบการเรียนรู้เป็นธรรมชาติ และสามารถปรับสภาพแวดล้อม ไปตามแตล่ ะกจิ กรรมไดต้ ลอด (๒) ใหส้ ะอาดเป็นพื้นฐาน อยเู่ สมอ (๓) พัฒนาศูนย์ให้เป็นสถานท่ีประกอบกิจกรรมทางศาสนา เช่น การสอบ ธรรมศึกษา การตอบปัญหาธรรมะ การแข่งขันทางวิชาการ หรือ กจิ กรรมอน่ื ๆ เกี่ยวขอ้ งได้
คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ | ๑๒๕ ๓. การพัฒนาด้านแหล่งเรียนรู้ (๑) มีนาหลักเศรษฐกิจพอเพยี งมาบูรณาการในกิจกรรมของศูนย์การเรียนรู้ วิถีพทุ ธด้วย (๒) มีการส่งเสริม การเรียนรู้หลายหลากในศูนย์ เช่น การงานอาชีพ ประเพณีวัฒนธรรมเพ่ือให้นักเรียนเห็นคุณค่าของสังคมท้องถ่ิน ควบคู่ กับวิชาการ (๓) มีการพัฒนาศูนย์การเรียนรู้โรงเรียนวิถีพุทธ ให้เป็นสถานที่ ท่ีนักเรียน ผูเ้ รียน ผู้สนใจ สามารถใชเ้ ปน็ แหลง่ เรยี นรู้ได้ตลอดชวี ติ (๔) พัฒนาส่ือท่ีสารสนเทศ ท่ีทันสมัย เช่น BAR CODE หรือ QR CODE ใน ศนู ย์การเรยี นรู้ (๕) พัฒนากิจกรรมที่หลากหลายในศูนย์ ทั้งท่ีสงบ และ สนุกสนาน ให้ครบ ๕ ส. (สนกุ สาระ สงบ สติ สานกึ ) (๖) ให้นักเรยี นปฏบิ ัติ มากกวา่ นงั่ เรียนในห้อง ใช้ประโยชนจ์ ากศูนย์อย่างเต็มที่ ๔. การพฒั นาดา้ นบริการ (๑) พัฒนาให้ระบบบริการศูนย์การเรียนรู้โรงเรียนวิถีพุทธ ต้องเก้ือกูลด้วย ระบบครูกบั ศิษย์ เปน็ กัลยาณมิตรทดี่ ี (๒) พัฒนาให้นักเรียนหรอื ผู้สนใจ สามารถเข้าไปเรียนร้ใู นศนู ย์ได้ดว้ ยตนเอง ไม่ต้องมีผนู้ าเสนอ (๓) พัฒนาบุคลากรของโรงเรียนท้ังผบู้ ริหาร ครู นักเรียน ผู้ปกครอง ชุมชน หรือพระสงฆ์ สามารถให้ข้อมูลโรงเรียนวิถีพุทธได้ และสามารถปฏิบัติ เปน็ แบบอยา่ งแก่ผ้เู ยย่ี มชมได้ (๔) ควรจดั ใหม้ ีบุคลากรประจาศูนย์โดยตรงเหมือนบรรณารักษ์ดูแลห้องสมุด (๕) ควรพิจารณาให้มรี ะบบบรกิ ารดแู ล บุคคลผู้ด้อยโอกาส และ พกิ าร (๖) ควรมกี ารกาหนดเวลาเขา้ ชม เพอ่ื ความเหมาะสม กบั การจัดเวลาเข้าชม และเวลาสอนโดยปกติ ๕. การพัฒนาดา้ นเครือข่าย (๑) มีการอบรม แลกเปล่ียน เสริมสร้าง นวัตกรรมใหม่ ๆ เก่ียวกับโรงเรยี น วถิ ีพุทธอยู่เสมอระหวา่ งเครอื ขา่ ย (๒) พัฒนาโดยใช้ระบบอินเตอร์เน็ต สารสนเทศ จัดทาข้อมูลของศูนย์การ เรียนรูแ้ ละเครอื ข่าย (๓) ให้มีการต่อยอดเครือข่ายศูนย์การเรียนรู้โรงเรียนวิถีพุทธในด้านต่าง ๆ ให้เพ่มิ ขนึ้ ทกุ ปี (๔) พัฒนาศูนย์การเรียนรู้ของตนเพื่อเป็นแบบอย่างท่ีดี แก่เครือข่าย อย่าง สม่าเสมอ (๕) หน่วยงานผิดชอบหลักดูแลศูนย์การเรียนรู้ เช่น สพฐ. มจร. ให้มีการ พัฒนาศนู ยก์ ารเรยี นรอู้ ยเู่ สมอ
คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ | ๑๒๖ ๔) กจิ กรรม “ศูนย์การเรยี นรโู้ รงเรียนวถิ พี ุทธ” สาหรับศูนย์การเรียนรู้โรงเรียนวิถีพุทธ เมื่อมีการดาเนินการบริหารและพัฒนาขึ้นมา จนเป็นท่ีประจักษ์ ต่อโรงเรยี นอื่น ๆ หรอื หน่วยงานต่าง ๆ สนใจท่ีจะมาศึกษาดูงานกิจกรรมของศูนย์การเรียนรู้โรงเรียนวิถีพุทธน้ี กิจกรรมท่ีได้ออกแบบเป็นตัวอย่างสาหรับศูนย์การเรียนรู้โรงเรียนวิถีพุทธ แบ่งตาม องคป์ ระกอบของศูนยก์ ารเรียนรูโ้ รงเรยี น ๕ ดา้ น คือ ๑. กจิ กรรมพฒั นาคนดีตน้ แบบศูนย์ เป็นกจิ กรรมพฒั นาด้านการบรหิ าร ๒. กจิ กรรมอนุรกั ษ์สิ่งแวดลอ้ มตามแนววิถีพทุ ธ เปน็ กิจกรรมพัฒนาด้านอาคารสถานที่ ๓. กิจกรรมส่งเสริมการจัดแหล่งเรียนรู้ในศูนย์การเรียนรู้ตามอัธยาศัย เป็นกิจกรรม พัฒนาดา้ นแหลง่ เรียนรู้ ๔. กิจกรรม ประหยัดออมถนอมใช้ เปน็ กจิ กรรมพัฒนาดา้ นงานบริการ ๕. กิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการครูผู้รับผิดชอบโครงการเสริมสร้างคุณธรรมในโรงเรียน วถิ ีพทุ ธ เปน็ กจิ กรรมพัฒนาดา้ นเครือขา่ ย สาหรบั กิจกรรมอน่ื ๆ ใหแ้ ต่ละศูนย์ฯ ดาเนนิ การเพ่มิ เตมิ ตามความเหมาะสม ส่วนท่ี ๓ การนาไปใช้ ประกอบไปด้วย ๑) การเตรียมการ ๒) การนาไปใช้ ๓) การติดตาม และประเมนิ ผล มรี ายละเอียดดงั น้ี ๑ การเตรียมการ รูปแบบการพัฒนาศูนย์การเรียนรู้โรงเรียนวิถีพุทธน้ีจะประสบผลสาเร็จและมีประสิทธิภาพมากน้อย เพียงใดน้ัน ยอ่ มขนึ้ อยู่กับการเตรียมการที่ดีเป็นสาคัญ ในขน้ั ตอนของการเตรียมการนั้น จดั ว่าเป็นหัวใจของรูปแบบ การพัฒนาศูนย์การเรยี นรโู้ รงเรียนวิถีพุทธอย่างมากในการเตรียมการนาไปใช้ ๒ การนาไปใช้ การนาผลงานวิจัยรูปแบบการพัฒนาศูนย์การเรียนรู้โรงเรียนวิถีพุทธ ไปใช้ประโยชน์ คือ การนาไปใช้ ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ที่ระบุไว้ในโครงการ/โครงการวิจัย และรายงานการวิจัยอย่างถูกต้อง สามารถนาไปสู่การ แก้ปัญหาได้อย่างเป็นรูปธรรมกับกลุ่มเป้าหมาย โดยมีหลักฐานปรากฏอย่างชัดเจนถึงการนาไปใช้ จนก่อให้เกิด ประโยชนไ์ ด้จรงิ ตามวัตถุประสงค์ และได้การรับรองการใช้ประโยชน์จากหน่วยงานที่เก่ียวข้อง ๓. การติดตามและประเมินผล การตดิ ตาม (Monitoring) เปน็ การเก็บรวบรวมข้อมูลท่ีแสดงให้เห็นว่า ได้มกี ารดาเนินการในขั้นตอนต่าง ๆ ของงานวจิ ัย ทกี่ าหนดได้อย่างไร ข้อมูลทไี่ ด้จะนามาประกอบเป็นเคร่ืองมือ ควบคุม กากบั การดาเนินงานในขณะ ปฏิบัตติ ามการวจิ ยั ทง้ั ในด้านปัจจยั (Input) ด้านกระบวนการดาเนินงาน (Process) และด้านผลผลิต (Output) การประเมินผล (Evaluation) มีขอบข่ายกว้างขวาง ขึ้นอยู่ว่าจะประเมินในขั้นตอนใดของโครงการ เช่น ก่อนเร่ิมการดาเนินงาน ขณะดาเนินงานตามรูปแบบการพัฒนาศูนย์การเรียนรู้โรงเรียนวิถีพุทธ ซึ่งอาจดาเนินการ เป็นช่วง เป็นระยะต่าง ๆ เช่น ทุก 3เดือน ทุก 6 เดือน ทุกปี ประเมินเม่ือกิจกรรมดาเนินงานไประยะครึ่งโครงการ
คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ | ๑๒๗ เป็นตน้ หรอื เป็นการประเมินผล เม่อื ดาเนนิ การตามรูปแบบการพัฒนาศูนย์การเรียนรโู้ รงเรียนวถิ ีพุทธเรียบร้อยแล้ว ๒๐ เครอื ขา่ ยโรงเรยี นวิถีพทุ ธ เครือข่าย หมายถึง กลุ่มของคนหรือองค์กรท่ีสนใจ, สมัครใจแลกเปล่ียนข่าวสารข้อมูล ระหว่างกัน หรือทากิจกรรมร่วมกัน ในลักษณะท่ีบุคคลหรือองค์กร สมาชิกยังคงมีความเป็นอิสระใน การดาเนินกิจกรรมของตน การสร้างเครือข่ายเป็นการทาให้บุคคลและองค์กรท่ีกระจัดกระจายได้ ติดตอ่ และแลกเปลยี่ นข้อมูลข่าวสารและการร่วมมือกันดว้ ยความสมัครใจ อีกทัง้ ให้สมาชิกในเครือข่าย มคี วามสัมพนั ธก์ ันฉนั ทเ์ พอื่ นทีต่ ่างกม็ ีความเป็นอิสระมากกวา่ สร้างการคบค้าสมาคมแบบพงึ่ พิง เครือข่าย คือ กลุ่ม องค์กรหลายๆ กลุ่มมารวมตัวกัน ประสานเชื่อมโยง สร้างความสัมพันธ์ ถักทอ สร้างสรรค์กิจกรรมบนพื้นฐานของความเอื้ออาทร เกิดพลังในการทางานให้บรรลุเป้าหมายทุก องค์กร และชุมชนเข้มแข็ง หัวใจของเครือข่าย คือ การเช่ือมความสัมพันธ์พลังของเครือข่าย คือ เป้าหมายและความพยายามท่จี ะทาใหบ้ รรลุเป้าหมาย เครือขา่ ยสถานศกึ ษาประเทศไทย การบริหารระบบเครือข่ายพัฒนานี้ถือได้ว่าเป็นการพัฒนาท่ีมีการเปล่ียนแปลงและมีความ แปลกใหม่สาหรับผู้เกี่ยวข้องโดยเฉพาะครูผู้บริหารสถานศึกษาและบุคลากรท่ีเกี่ยวข้องทางการศึกษา โรงเรียนยังไม่สามารถปรับตัวเก่ียวกับการบริหารระบบเครือข่ายแนวปฏิบัติซึ่งเป็นกระบวนการ ส่งเสริมคุณภาพการศึกษาและจากผลการวิจัยของสานักงานเลขาธิการสภาการศึกษาที่มีข้อค้นพบว่า โรงเรียนขนาดใหญ่มีความพร้อมในการพัฒนาระบบเครือข่ายมากกว่าโรงเรียนขนาดเล็ก จึงเกิด แนวคิดว่าโรงเรียนขนาดใหญ่ควรจะมีบทบาทสาคัญในการทาหน้าท่ีเป็นพ่ีเล้ียงให้แก่โรงเรียนขนาด เล็ก โดยใชย้ ทุ ธศาสตรก์ ารรวมกลมุ่ โรงเรยี น (School Cluster) ในพ้นื ทท่ี ี่มีบรบิ ทใกลเ้ คียงกนั เพ่ือช่วยเหลือซึ่งกันและกันในลักษณะเครือข่าย ในท่ีน้ีเรียกว่า เครือข่ายสถานศึกษา ซึ่งจะเป็น แนวทางหน่ึงท่ีช่วยให้โรงเรียนมีความเข้มแข็ง สามารถพัฒนาระบบเครือข่ายเป็นเคร่ืองมือในการ ส่งเสรมิ คณุ ภาพผเู้ รียนให้เป็นไปตามมาตรฐานการศกึ ษาของชาติ ความหมายของเครือข่ายสถานศึกษา หมายถึง การรวมตัวกันระหว่างสถานศึกษาท่ีมี บทบาทในการจัดการศึกษาโดยมีการร่วมตัวกันในหลายรูปแบบเพ่ือการเช่ือมโยงส่งสารแลกเปลี่ยน ข้อมูลซึ่งกันและกันมีส่วนร่วมในกิจกรรมพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างเป็นระบบด้วยความเป็น กลั ยาณมิตร ท้ังนี้จะอาศยั รูปแบบการบริหารระบบเครือขา่ ยสถานศึกษา(School Cluster) ทเี่ น้นการ ร่วมคิด ร่วมทา ร่วมรับผิดชอบ และทรัพยากรที่มีอยู่ร่วมกันอย่างคุ้มค่าเพ่ือให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อ ผ้เู รียน แนวทางการดาเนนิ การจัดตัง้ เครอื ขา่ ยโรงเรียนวิถีพทุ ธ เครือข่ายโรงเรียนวิถีพุทธมีแนวทางการดาเนินการใช้การบริหารงานแบบมีส่วนร่วมใน รปู แบบของการทางานทีเ่ กิดจากการประสานงานกันระหว่างผ้เู ก่ียวข้องในลักษณะของกลั ยาณมิตรท่ีมี ๒ พระณรงค์เ๐ดช อธิมุตฺโต,ดร (เดชาดิลก), รูปแบบการพัฒนาศูนย์การเรียนรู้โรงเรียนวิถีพุทธ, (พระนครศรีอยุธยา:ดุษฎีบัณฑิต,พุทธบริหารการศึกษา,มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย,๒๕๖๐) หน้า ๓๑๐ - ๓๑๘
คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ | ๑๒๘ เป้าหมายการทางานร่วมกัน ด้วยการร่วมกันด้านความคิด กาลังคน ความสามารถ ความเชี่ยวชาญ ตลอดจนทรัพยากรของแต่ละโรงเรียนร่วมมือกันแก้ปัญหา การบริหารจัดการในโรงเรียนวิถีพุทธด้วย ระบบเครอื ข่ายโดยการรว่ มกันสรา้ งเป้าหมาย เน้นการร่วมคิด รว่ มทา รว่ มทางานจากฝา่ ยต่าง ๆ เปดิ โอกาสให้เกิดการแลกเปล่ียนเรียนรู้ข่าวสารปร ะสบการณ์กันทั้ งภาย ในสถานศึกษาและร ะห ว่ าง โรงเรียนวิถพี ุทธ แนวทางการจัดตั้งเครือข่ายโรงเรียนวิถีพุทธ มีประเด็นท่ีสาคัญท่ีใช้เป็นหลักการ ในการ พิจารณา ดงั นี้ 1. การจัดเครือข่ายโรงเรียนวิถีพุทธ ควรจัดตามลักษณะสภาพภูมิศาสตร์ที่มีบริบท สภาพแวดลอ้ มในภมู ิภาคใกล้เคยี งกัน หรอื แตกตา่ งกนั ก็ได้ ตามบรบิ ท ของการจัดตง้ั เครือข่าย 2. การมีผ้ปู ระสานงานทดี่ ีเพื่อทาหนา้ ทเี่ ปน็ แกนประสานในการรว่ มกล่มุ เปน็ เครอื ขา่ ย 3. สมาชิกในเครือข่ายมีความต้องการร่วมกันโดยการดาเนินการให้สมาชิกของเครือข่ายมี กจิ กรรมดงั น้ี 3.1 การประชุมในแต่ละเครือข่ายอย่างไม่เป็นทางการ เม่ือการพบปะหารือกัน ระหวา่ งผ้ทู ่มี ีความต้องการเหมอื นกัน แลกเปลี่ยนประสบการณแ์ ละความร้ภู ายในเครือขา่ ยเดยี วกัน 3.2 จดั กจิ กรรมให้สมาชกิ ร่วมกนั แสดงความสามารถ รว่ มคิดรว่ มกันวางแผนและ ร่วมกันทางาน หมุนเวียนกันรับผิดชอบภายในเครือข่ายแบบสังคมกัลยาณมิตร หรือเครือข่ายสังคม เรียนรู้ 3.3 การศึกษาดูงานหรือเชิญวิทยากรมาให้ความรู้เพิ่มเติมในเร่ืองท่ีมีความสนใจ รว่ มกนั 4. สมาชิกในเครือข่ายมีสัมพันธ์ภาพที่ดีต่อกัน สมาชิกในเครือข่ายสถานศึกษามีจิตสานึก ร่วมกันเกิดความรักความสมานฉันท์ความเอ้ืออาทรต่อกัน มีความสามัคคีกลมเกลียว ช่วยกันคิด ชว่ ยกันทาจนงานสาเร็จตามวัตถปุ ระสงค์ องค์ประกอบเครือขา่ ยโรงเรียนวิถีพุทธ การดาเนินการของเครอื ข่ายโรงเรยี นวถิ ีพุทธ ควรต้องพจิ ารณาองค์ประกอบทม่ี สี ว่ นสมั พนั ธ์ เกี่ยวข้องต่าง ๆ ดงั น้ี 1. วตั ถุประสงคห์ รือเป้าหมาย ถือเป็นจดุ เร่มิ ตน้ ของการรวมตวั กันของบุคลากรในเครือขา่ ย โรงเรียนวิถีพุทธ ควรมีวิสัยทัศน์ท่ีเป็นเป้าหมายในอนาคตร่วมกัน สามารถนาไปสู่การปฏิบัติภารกิจ เพื่อตอบสนองความตอ้ งการหรือการแกป้ ัญหาได้ 2. สมาชิก โรงเรียนวิถพี ุทธในแต่ละเครือข่าย ถือเปน็ องคป์ ระกอบท่ีสาคัญของเครือข่ายและ มีความสาคัญเท่าเทียมกัน มีความเป็นเอกภาพในการบริหารจัดการในโรงเรียนวิถีพุทธของตน บุคลากรสมัครใจเข้าร่วมกิจกรรม ภายใต้เป้าหมายในการพัฒนาการศึกษาร่วมกัน เพื่อให้การ ดาเนินงานของเครือขา่ ยเปน็ ไปอยา่ งเปน็ ระบบ 3. ผู้ประสานงานและกรรมการ เป็นคณะบุคคลที่คัดเลือกจากสมาชิกเครือข่าย มีการ ผลัดเปล่ียนทาหน้าที่ดาเนินงานของเครือข่ายขับเคลื่อนไปด้วยการรวมพลังของสมาชิก โดยท่ี กรรมการรว่ มเป็นคณะกรรมการการบรหิ ารเครือขา่ ย
คู่ มื อ ดำ เ นิ น ง ำ น โ ร ง เ รี ย น วิ ถี พุ ท ธ | ๑๒๙ 4. กิจกรรมการจัดกิจกรรมของเครือข่ายโรงเรียนวิถีพุทธ ต้องเป็นท่ีน่าสนใจและเป็น ประโยชน์ต่อสมาชกิ ในเครือข่าย อาจเป็นกิจกรรมท่ีสมาชกิ มีความสนใจอยา่ งเป็นธรรมชาต,ิ กิจกรรม จากการมีส่วนร่วมตัดสินใจ รว่ มดาเนนิ การและร่วมทรัพยากรของสมาชิกดว้ ยกันเอง เกดิ ความร่วมมือ กันภายในเครือข่ายถอื เป็นการสร้างความเข้มแขง็ แก่เครือข่าย 5. ทรัพยากร เพอื่ การดาเนินการให้เกิดประสิทธิภาพเครือข่ายโรงเรียนวิถีพุทธ ตอ้ งมีทรัพยากร ตา่ ง ๆ ได้แก่งบประมาณ ความต้ังใจ การเสียสละ รวมทั้งข้อมูลข่าวสาร/ประสบการณ์วัสดุครุภัณฑ์เทคโนโลยีท่ีสามารถใช้ รว่ มกนั ในเครือข่ายถือเป็นการพ่งึ พาตนเอง และเพม่ิ คณุ คา่ ใหก้ ับเครือขา่ ยได้ดี ประโยชนข์ องเครอื ข่ายโรงเรยี นวถิ ีพทุ ธ การดาเนินกิจกรรมของเครือข่ายโรงเรียนวิถีพุทธ ก่อให้เกิดการพัฒนาข้ึน โรงเรียนวิถีพุทธของเครือข่าย ไดร้ บั ประโยชนร์ ่วมกนั มคี วามก้าวหนา้ ในอนาคต ทัง้ นป้ี ระโยชน์ทเ่ี กดิ กับเครือข่ายโรงเรียนวิถีพทุ ธ สรปุ ไดด้ ังน้ี 1. เป็นการยกระดบั คุณภาพของโรงเรยี นวิถพี ทุ ธสเู่ ป้าหมายการปฏิรปู การเรยี นรู้ 2. เป็นการเช่ือมโยงบุคลากรจากส่วนต่าง ๆ เข้าด้วยกันทั้งหมดวิธีการทางาน ประสบการณ์ ให้มีโอกาสทางานร่วมกนั ส่งผลใหเ้ กิดความเข้าใจกบั ผลงานทม่ี ีประสิทธิภาพ 3. เป็นการสร้างความเช่ียวชาญให้แก่สมาชิก โดยการแลกเปล่ียนเรียนรู้ด้านต่าง ๆ ของ โรงเรียนวิถีพุทธ ทั้งด้านการจัดการเรียนการสอน ด้านข้อมูลข่าวสาร ด้านประชาสัมพันธ์ ด้านทักษะ ประสบการณเ์ ครอื่ งมอื แก่กนั และอกี หลายประการ 4. เปน็ การรวมทรัพยากรเข้าด้วยกัน เพ่ือการบรรลผุ ล ซึง่ ไม่ประสบความสาเรจ็ หากตา่ งคนตา่ งทา 5. เปน็ การแบง่ ปันความคดิ และปัญหา ทาให้รว่ มกันแก้ปัญหาเพื่อผลประโยชนร์ ่วมกนั 6. ลดระยะเวลาการทางาน การจัดค่ายและการใช้ทรัพยากรซ้าซ้อนสามารถพัฒนาได้ ก้าวหนา้ รวดเร็ว สง่ ผลตอ่ สงั คมในวงทีก่ วา้ งขึน้ ๒ ๑ ๒ พระณรงคเ์ ด๑ช อธมิ ตุ ฺโต.(เดชาดลิ ก). เครือข่ายโรงเรียนวถิ ีพทุ ธ เอกสารประกอบการสัมมนาโรงเรียน วถิ พี ุทธช้ันนา รุน่ ที่ 8 (พระนครศรีอยุธยา : จุฬาบรรณาคาร, ๒๕๕๙), หน้า ๑๓๐ - ๑๓๒
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205