Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนการจัดการเรียนรู้ วิชาวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาอาชีพธุรกิจและบริการ

แผนการจัดการเรียนรู้ วิชาวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาอาชีพธุรกิจและบริการ

Published by Oranut, 2021-11-28 04:35:17

Description: รหัสวิชา 20000-1303 ประกอบด้วย 8 หน่วยการเรียนรู้

Keywords: ธุรกิจ และบริการ,พันธุกรรม,เทคโนโลยีชีวภาพ,จุลินทรีย์

Search

Read the Text Version

แผนการจัดการเรียนรู้ หลักสูตรประกาศนยี บัตรวิชาชีพ พุทธศักราช 2562 หมวดวิชาสมรรถนะแกนกลาง กลมุ่ วิชาวทิ ยาศาสตร์ รหัสวิชา 20000-1303 วิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาอาชีพธุรกิจและบรกิ าร จดั ทำโดย นางสาวอรนชุ กอสวสั ดพิ์ ัฒน์ วิทยาลยั อาชวี ศกึ ษาเพชรบุรี สำนกั งานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธกิ าร

ก2 คำนำ แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาอาชีพธุรกิจและบริการ ได้จัดทำขึ้นเพื่อใช้เป็น แนวทางในการจัดการเรียนรู้โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมและกระบวนการเรียนรู้ สามารถสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง ทั้งเป็นรายบุคคลและรายกลุ่ม ทำให้ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงความรู้กับการ เรียนรู้รายวิชาอ่ืน ๆ ได้ในเชิงบูรณาการด้วยวิธีการที่หลากหลาย เน้นกระบวนการคิดวิเคราะห์ ทำให้ผู้เรียนได้รับ การพัฒนาทง้ั ด้านความรู้ ด้านทักษะกระบวนการ ด้านคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่ดี นำไปสู่การอยูร่ ่วมกันใน สงั คมอย่างสันติสุข การจัดทำแผนการจดั การเรยี นรู้ วชิ าวทิ ยาศาสตร์เพอื่ พัฒนาอาชีพธุรกิจและบรกิ าร ฉบับนจ้ี ดั ทำขึ้น ตาม หลักสูตรประกาศนียบัตรวชิ าชีพ พุทธศักราช 2562 ตรงตามจดุ ประสงค์รายวิชาได้แก่ 1)มีความร้คู วามเข้าใจ เกย่ี วกบั พันธกุ รรม สารเคมใี นชีวิตประจำวัน เทคโนโลยีชวี ภาพ จุลินทรียใ์ นอาหาร ปิโตรเลียมและพอลเิ มอร์ ไฟฟ้า และคล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟา้ 2)สามารถสำรวจตรวจสอบเกย่ี วกบั การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม ผลกระทบของ สารเคมีและคลนื่ แม่เหลก็ ไฟฟ้าต่อมนุษยโ์ ดยใช้กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 3) สามารถทดลองทดสอบเก่ียวกบั สารเคมใี นชวี ิตประจำวันและในงานอาชีพ จุลินทรยี ใ์ นอาหาร สมบตั ิของปโิ ตรเลยี ม และพอลเิ มอร์ โดยใช้ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 4) มเี จตคติที่ดตี ่อการศกึ ษาและสำรวจตรวจสอบด้วยกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ และครอบคลมุ เน้ือหาครบถว้ นตรงตามคำอธิบายรายวิชา ดงั นี้ ศกึ ษาและปฏิบตั เิ กย่ี วกับการถ่ายทอดลกั ษณะทาง พันธุกรรม สารเคมีในชีวิตประจำวนั และในงานอาชีพ เทคโนโลยชี วี ภาพ จุลินทรยี ใ์ นอาหาร ปโิ ตรเลยี มและ ผลติ ภณั ฑ์ พอลิเมอร์และผลิตภัณฑ์ ไฟฟ้าในชีวติ ประจำวนั และคลื่นแม่เหล็กไฟฟา้ แผนการจดั การเรยี นรู้ วิชา วทิ ยาศาสตรเ์ พ่ือพฒั นาอาชีพธรุ กิจและบริการ ผู้จดั ทำได้ออกแบบการเรยี นรู้ด้วยเทคนิคและวธิ ีการสอนอยา่ ง หลากหลาย เพอ่ื การจัดการเรยี นรไู้ ด้อยา่ งเหมาะสมสำหรับผูเ้ รยี นให้บรรลุเป้าหมายของหลกั สตู ร อรนชุ กอสวสั ดพ์ิ ัฒน์ พฤศจิกายน 2564

3ข การบูรณาการเศรษฐกิจพอเพียง วชิ าวิทยาศาสตรเ์ พือ่ พฒั นาอาชพี ธรุ กิจและบริการ 3 ห่วง 1. พอประมาณ  ใชภ้ ูมิปญั ญาท้องถิน่  ไมเ่ บียดเบียนตนเองและผู้อื่น  มีความพอดใี นการใชท้ รัพยากร 2. มีเหตุผล  สามารถตดั สินใจได้อย่างมเี หตุผล  มีกระบวนการทำงานอย่างมีเหตผุ ลและรอบคอบ 3. มีภมู คิ ุ้มกนั  มีความพร้อมในการรับการเปล่ียนแปลงหรอื ผลกระทบดา้ นต่าง ๆ  นกั เรียน นกั ศึกษา เหน็ ความสำคัญของการเรยี น และประโยชนต์ อ่ การดำรงชวี ติ ของวิชานี้  นักเรยี น นักศกึ ษา สามารถวางแผนการทำงาน และคำนึงถึงการใชท้ รัพยากรอย่างยงั่ ยืนได้ 2 เงือ่ นไข 1. ความรู้และทักษะ  นกั เรยี น นักศกึ ษา มคี วามรคู้ วามเขา้ ใจในวิชาเรยี น นำไปใช้ไดจ้ ริง  นักเรียน นกั ศึกษา มีทักษะในวิชา สามารถปฏบิ ัตงิ านไดจ้ ริง 2. คุณธรรม  นักเรยี น นักศึกษา มมี นุษยสัมพนั ธ์ ความสามัคคี  นักเรยี น นกั ศกึ ษา มคี วามสนใจใฝ่รู้  นกั เรียน นักศึกษา มีความรับผิดชอบ  นักเรียน นักศกึ ษา มีความคิดรเิ ริ่มสรา้ งสรรค์ จากการบูรณาการทำใหช้ ีวิต เศรษฐกิจ สงั คม มีความสมดุล มน่ั คง และยง่ั ยืน

4ค การบรู ณาการเศรษฐกิจพอเพียง วิชาวิทยาศาสตร์เพื่อพฒั นาอาชีพธรุ กจิ และบริการ 3 หว่ ง 1. พอประมาณ  การใช้สารเคมีในชวี ติ ประจำวันอย่างประหยดั เท่าทีจ่ ำเปน็  ส่งเสรมิ การใชพ้ ลังงานไฟฟ้าในชวี ติ ประจำวันอย่างประหยัดที่  การเกบ็ รกั ษาและถนอมอาหารโดยใชจ้ ลุ นิ ทรยี ช์ ่วยในการแปรรปู เป็นผลิตภัณฑ์อาหารชนดิ ต่างๆ 2. มเี หตุผล  การนำความรเู้ ทคนิควธิ ีการลายพมิ พ์ DNA ซ่งึ เป็นเอกลกั ษณเฉพาะของแตล่ ะบคุ คลเพอื่ ตรวจพิสูจน์ ความสมั พนั ธท์ างสายเลือด และการตรวจทางนติ ิเวชศาสตร์  การใช้เทคโนโลยชี ีวภาพมาใช้ประโยชน์ในการพฒั นาปรบั ปรุงสายพันธ์ พชื สัตว์ เพ่อื ให้มีอาหาร เพยี งพอต่อมนุษย์  การพัฒนาผลติ ภัณฑบ์ รรจุภัณฑ์ต่างๆจาก พอลิเมอรธ์ รรมชาตทิ ่ยี ่อยสลายได้เพื่อเป็นมิตรกบั สิง่ แวดล้อม ทดแทนการใชพ้ อลเิ มอร์สงั เคราะห์ 3. มีภูมคิ ุ้มกนั  ใช้ความรู้ด้านการถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธุกรรมเพ่อื การวางแผนครอบครวั ด้วยการตรวจสขุ ภาพ รา่ งกายคสู่ มรสก่อนการมบี ตุ ร เพ่อื ป้องกันการผิดปกติหรอื โรคทางพนั ธกุ รรม  ใชแ้ นวทางการเก็บรักษาอาหารด้วยความร้อน ความเยน็ รวมถงึ เทคนิควิธกี ารทช่ี ่วยใหป้ ลอดภัยจาก จุลินทรีย์ทีท่ ำให้อาหารเสอ่ื มสภาพและกอ่ ใหเ้ กดิ อาหารเปน็ พษิ 2 เงือ่ นไข 1. ความรแู้ ละทักษะ  ศึกษาคุณสมบตั ติ ่างๆ ของสารเคมีในชีวิตประจำวนั  ศกึ ษาผลการใช้ประโยชนจ์ ากคล่นื แมเ่ หล็กไฟฟ้าในด้านตา่ งๆ เชน่ การสือ่ สาร การแพทย์  ศึกษาความเป็นไปได้ของพลงั งานทดแทนแต่ละประเภทและพฒั นาเพ่ือการนำมาใชป้ ระโยชน์ 2. คณุ ธรรม  ประชาชนควรได้รบั ร้แู ละถ่ายทอดข้อมลู ข่าวสารที่เป็นความจรงิ  ผ้ปู ระกอบการดา้ นอาหารตอ้ งคำนึงถึงความปลอดภัยของผบู้ ริโภคในด้านการใช้สารเคมีในอาหาร หรือการใชป้ รุงแตง่ อาหารประเภทตา่ งๆ  สร้างคา่ นยิ มและวัฒนธรรมทีด่ ใี นการนำเทคโนโลยีการสอื่ สาร ใชป้ ระโยชน์ในทางที่ถูกต้อง จากการบรู ณาการทำให้ชวี ิต เศรษฐกิจ สังคม มีความสมดุล ม่ันคง และยงั่ ยนื

5ง สารบญั เรื่อง คำนำ สารบญั ลกั ษณะรายวิชา จุดประสงคร์ ายวิชา สมรรถนะรายวิชา คำอธบิ ายรายวิชา หน่วยการเรียนรู้ ตารางวิเคราะห์หลักสตู รรายวิชา กำหนดการสอน กรอบการจัดการเรยี นรแู้ บบบูรณาการเปน็ เร่ือง/ชนิ้ งาน/โครงการและบรู ณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง แผนการจดั การเรียนรู้ หนว่ ยที่ ชื่อหน่วยการเรยี นและรายการสอน หนา้ 1 การถา่ ยทอดลกั ษณะทางพันธุกรรม............................................................................... 2 เทคโนโลยชี วี ภาพ........................................................................................................... 3 จุลินทรยี ์ในอาหาร.......................................................................................................... 4 สารเคมีในชวี ิตประจำวนั ................................................................................................ 5 พอลิเมอร์........................................................................................................................ 6 ปโิ ตรเลียมและผลิตภณั ฑ.์ ............................................................................................... 7 ไฟฟา้ ในชีวติ ประจำวนั .................................................................................................... 8 คลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า..........................................................................................................

จ 6 ลักษณะรายวชิ า หลักสตู รประกาศนียบตั รวชิ าชพี (ปวช.) หมวดวิชาสมรรถนะแกนกลาง กลุ่มวชิ าวิทยาศาสตร์ รหสั วิชา 20000-1303 ทฤษฎ.ี ...1...ช่วั โมง/สัปดาห์ ชอ่ื วิชา วทิ ยาศาสตร์เพ่อื พัฒนาธรุ กจิ และบริการ ประเภทวชิ า อุตสาหกรรมทอ่ งเที่ยว ปฏบิ ตั .ิ ..2... ชวั่ โมง/สัปดาห์ จำนวน..3.. หนว่ ยกิต สาขาวชิ าการโรงแรม สาขาวชิ าทสี่ อน การโรงแรม/โรงแรมทวิภาคี จุดประสงค์รายวิชา เพื่อให้ 1. มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพันธุกรรม สารเคมีในชีวิตประจำวัน เทคโนโลยีชีวภาพ จุลินทรีย์ในอาหาร ปโิ ตรเลยี มและพอลเิ มอร์ ไฟฟา้ และคลน่ื แม่เหล็กไฟฟ้า 2. สามารถสำรวจตรวจสอบเกี่ยวกับการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม ผลกระทบของสารเคมีและคลื่น แม่เหลก็ ไฟฟ้าตอ่ มนษุ ยโ์ ดยใชก้ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 3. สามารถทดลองทดสอบเก่ียวกับสารเคมีในชีวิตประจำวันและในงานอาชีพ จุลินทรีย์ในอาหาร สมบัติของ ปโิ ตรเลียมและพอลเิ มอร์โดยใชก้ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 4. มเี จตคตทิ ีด่ ตี ่อการศกึ ษาและสำรวจตรวจสอบด้วยกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ สมรรถนะรายวิชา 1. แสดงความรเู้ กยี่ วกับพันธุกรรม สารเคมีในชีวติ ประจำวนั เทคโนโลยีชวี ภาพ จลุ ินทรีย์ในอาหาร ปิโตรเลียมและพอลิเมอร์ ไฟฟา้ และคลื่นแม่เหลก็ ไฟฟ้า 2. สำรวจตรวจสอบเกี่ยวกบั การถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธุกรรมตามหลักพันธุศาสตร์ 3. วิเคราะห์ผลกระทบของสารเคมีและคลนื่ แมเ่ หล็กไฟฟ้าต่อมนุษย์ตามหลักการ 4. สำรวจตรวจสอบเกย่ี วกบั สมบตั ิของปิโตรเคมีและพอลิเมอรด์ ว้ ยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 5. สำรวจตรวจสอบเกี่ยวกับไฟฟ้าในชีวิตประจำวนั และคลน่ื แม่เหล็กไฟฟ้าตามหลกั การและกระบวนการ คำอธิบายรายวชิ า ศกึ ษาและปฏบิ ัติเก่ยี วกบั การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สารเคมใี นชีวติ ประจำวันและในงานอาชีพ เทคโนโลยีชีวภาพ จุลินทรีย์ในอาหาร ปิโตรเลียมและผลิตภัณฑ์ พอลิเมอร์และผลิตภัณฑ์ ไฟฟ้าในชีวิตประจำวัน และคล่นื แม่เหล็กไฟฟ้า

7ฉ หนว่ ยการเรียนรู้ รหัสวิชา 20000-1303 วชิ า วิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาอาชีพธรุ กิจและบริการ จำนวน 3 หนว่ ยกิต 4 ชม./สปั ดาห์ หน่วยที่ หน่วยการเรียนรู้ เวลาเรยี น (ชม.) ทฤษฎี ปฏบิ ตั ิ รวม บทนำ 12 3 1 การถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธุกรรม 2 เทคโนโลยชี ีวภาพ 24 6 3 จลุ ินทรยี ใ์ นอาหาร 4 สารเคมีในชวี ติ ประจำวัน 24 6 5 พอลเิ มอร์ 6 ปโิ ตรเลยี มและผลิตภัณฑ์ 24 6 7 ไฟฟา้ ในชวี ติ ประจำวัน 8 คลนื่ แมเ่ หล็กไฟฟ้า 24 6 สอบปลายภาค 24 6 รวม 24 6 24 6 24 6 12 3 18 36 54

ช 8 ตารางการวเิ คราะห์หลักสูตรรายวิชา รหสั วชิ า 20000-1303 วิชา วิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาอาชีพธุรกิจและบริการ ทฤษฏ.ี .....1...........ชัว่ โมง/สัปดาห์ ปฏิบัต.ิ ...2............ชัว่ โมง/สัปดาห์ จำนวน.......2.......หนว่ ยกิต หนว่ ยท่ี ช่ือหน่วยการเรียนรู้ ระดบั พฤตกิ รรมท่พี ึงประสงค์ พทุ ธพิ ิสยั ความรู้ ความเข้าใจ นำไปใช้ วิเคราะห์ สังเคราะห์ ประเ ิมน ่คา ทักษะ ิพ ัสย ิจตพิ ัสย รวม ลำ ัดบความสำคัญ เวลา (ชม.) ปฐมนิเทศ 2 2 2 10 1 7 1 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม 2 2 1 1 2 2 10 2 6 1.1 ลักษณะทางพันธุกรรม 2 2 10 2 6 1.2 โครโมโซมและพันธุกรรม 1.3 การแบ่งเซลล์ 1.4 โครโมโซมกับการถ่ายทอดลักษณะ ทางพนั ธุกรรม 1.5 การถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธกุ รรม 2 เทคโนโลยชี ีวภาพ 2211 2.1 ประวตั ิของเทคโนโลยีชีวภาพ 2.2 ผลิตภัณฑ์ทางเทคโนโลยชี ีวภาพใน ชวี ิตประจำวนั 2.3 การประยุกตใ์ ช้เทคโนโลยีชีวภาพ 3 จุลนิ ทรยี ใ์ นอาหาร 2211 3.1 ประวัตขิ องเทคโนโลยีชีวภาพ 3.2 ผลติ ภณั ฑ์ทางเทคโนโลยีชวี ภาพใน ชีวติ ประจำวัน 3.3 การประยุกตใ์ ช้เทคโนโลยชี ีวภาพ 3.4 การถนอมอาหาร

ซ 9 รหสั วิชา 20000-1303 วิชา วทิ ยาศาสตร์เพอ่ื พัฒนาอาชีพธรุ กิจบรกิ าร จำนวน 3 หนว่ ยกติ 2 ชม./สปั ดาห์ หนว่ ยท่ี ชือ่ หน่วยการเรียนรู้ ระดับพฤตกิ รรมท่ีพึงประสงค์ พุทธิพสิ ยั ความรู้ ความเ ้ขาใจ นำไปใช้ วิเคราะห์ สังเคราะห์ ประเ ิมนค่า ทักษะ ิพ ัสย ิจต ิพ ัสย รวม ลำดับ ควเาวมลสาำ(คัชญม.) 4 สารเคมีในชวี ิตประจำวนั 2211 2 2 10 2 6 2 2 10 2 6 4.1 สารทำความสะอาด 2 2 10 2 6 4.2 สารปรงุ แต่งอาหาร 4.3 ยารักษาโรค 4.4 สารเคมีทใ่ี ช้ในการเกษตร 4.5 สารเคมที ่ใี ช้ในสำนักงาน 5 พอลิเมอร์ 2211 5.1 พอลิเมอรธ์ รรมชาติและ พอลิเมอร์สังเคราะห์ 5.2 การเกิดพอลิเมอร์ 5.3 โครงสรา้ งพอลเิ มอร์ 5.4 ผลิตภัณฑ์จากพอลิเมอร์ 5.5 ผลกระทบการใชพ้ อลเิ มอร์ ตอ่ ส่งิ มีชวี ติ และส่ิงแวดลอ้ ม 5.6 ความกา้ วหน้าทาง เทคโนโลยขี องผลติ ภณั ฑ์ พอลิเมอร์สังเคราะห์ 6 ปโิ ตรเลยี มและผลิตภณั ฑ์ 2211 6.1 ปิโตรเลียม 6.2 ผลิตภัณฑจ์ ากปโิ ตรเลยี ม 6.3 ผลกระทบจากผลติ ภณั ฑ์ ปโิ ตรเลยี ม 6.4 สถานการณ์การใช้ ปิโตรเลียม

ฌ 10 รหสั วชิ า 20000-1303 วิชา วิทยาศาสตร์เพ่ือพฒั นาอาชีพธุรกิจและบริการ จำนวน 2 หนว่ ยกิต 3 ชม./สัปดาห์ หน่วยที่ ชือ่ หน่วยการเรยี นรู้ ระดับพฤติกรรมท่ีพึงประสงค์ พทุ ธิพิสยั ความรู้ ความเข้าใจ นำไปใ ้ช วิเคราะห์ สังเคราะห์ ประเมินค่า ทักษะ ิพ ัสย ิจต ิพ ัสย รวม ลำ ัดบ ควเาวมลสาำคั(ชญม.) 7 ไฟฟ้าในชีวิตประจำวัน 22 11 2 2 10 2 6 7.1 แหลง่ กำเนิดไฟฟ้า 7.2 ปริมาณทางไฟฟา้ 7.3 อุปกรณ์ไฟฟา้ 7.4 วงจรไฟฟา้ ในบา้ น 7.5 พลงั งานไฟฟา้ 8 คล่นื แม่เหลก็ ไฟฟา้ 22 22 3 3 4 18 2 6 8.1 ทฤษฎีคล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟา้ ของ แม็กซเ์ วลล์ 8.2 การทดลองของเฮิรตซ์ 8.3 สเปรกตรมั คล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟ้า 8.4 คล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟา้ ในชีวติ ประจำวนั สรปุ ทบทวน 2 1 สอบปลายภาค 54 รวม 18 18 10 10 2 20 20 100 60 20 20 100 หมายเหตุ ระดบั พุทธพิ ิสัย 1 = ความจำ 2 = ความเข้าใจ 3 = การนำไปใช้ 4 = วิเคราะห์ 5 = สงั เคราะห์ 5 = การประเมนิ ค่า

1ญ1 กำหนดการสอน หน่วย ช่อื หน่วยการเรียนรู้/รายการสอน สมรรถนะประจำหน่วย สปั ดาห์ ชัว่ โมง ท่ี ท่ี ท่ี 1. อธบิ ายขอ้ ตกลงในการเรยี นรายวิชาวิทยาศาสตร์ บทนำข้อตกลงการเรยี น เพอ่ื พัฒนาอาชพี ธรุ กจิ และบริการ เก่ยี วกบั 1 1-2 การวดั ประเมนิ ผล การกำหนดค่าคะแนนเกบ็ 1 การถา่ ยทอดลกั ษณะทาง ระหวา่ งภาค และคะแนนสอบปลายภาค 1-3 3-9 พันธกุ รรม 2. อธบิ ายวธิ กี ารศกึ ษาหาความรทู้ างวทิ ยาศาสตร์ 4-5 10-15 2 เทคโนโลยชี วี ภาพ ด้วยวธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละทกั ษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ได้ 3. อธบิ ายหลักการเกย่ี วกับการน้อมนำหลักปรัชญา ของเศรษฐกจิ พอเพียงไปใช้ในการปฏบิ ตั ิงาน 1. สบื คน้ ข้อมูล อภิปราย และอธบิ ายเกย่ี วกับสาร พันธกุ รรม โครโมโซม และการถา่ ยทอดทาง พนั ธุกรรม 2. อธิบายความสำคญั ของการแบง่ เซลลไ์ ด้ 3. สบื คน้ ข้อมูล อภิปราย และอธบิ ายเกี่ยวกับ ลักษณะทางพนั ธกุ รรม ความแปรผันทาง พนั ธกุ รรม การเกิดมิวเทชนั ได้ 4. อธบิ ายผลการคดั เลอื กโดยธรรมชาติและการ คดั เลือกปรับปรงุ พนั ธุ์โดยมนษุ ยไ์ ด้ 1. อธบิ ายความหมายของเทคโนโลยชี ีวภาพได้ 2. บอกความเป็นมาของเทคโนโลยชี วี ภาพได้ 3. บอกและอธบิ ายกระบวนการเกดิ ผลติ ภณั ฑท์ าง เทคโนโลยีชวี ภาพในชีวิตประจำวนั ได้ 4. อธบิ ายการประยุกต์ใชเ้ ทคโนโลยีชวี ภาพ โดย วิธกี ารพันธุวศิ วกรรม การโคลน การเพาะเลีย้ ง เน้อื เยือ่ ลายพิมพด์ ีเอน็ เอได้ 5. อภิปรายความกา้ วหน้าของเทคโนโลยีชีวภาพใน ดา้ นต่างๆ ได้

1ฎ2 หน่วย ชอ่ื หน่วยการเรียนร/ู้ รายการ สมรรถนะประจำหน่วย สัปดาห์ ช่วั โมง ท่ี สอน ท่ี ที่ 3 จลุ ินทรยี ์ในอาหาร 1.อธบิ ายชนดิ ของจุลินทรียแ์ ละประโยชน์ของ 6-7 16-21 จุลนิ ทรียด์ ้านต่างๆ ได้ 4 สารเคมใี นชวี ิตประจำวัน 8-9 22-27 5 พอลเิ มอร์ 2.อธบิ ายบทบาทของแบคทีเรีย เช้ือรา และยีสต์ 10-11 28-33 ในอาหารได้ 6 ปิโตรเลียมและผลิตภัณฑ์ 12-13 34-39 3. อธบิ ายการเนา่ เสยี หรอื การเสือ่ มสภาพของ อาหารชนดิ ตา่ งๆ รวมถึงการตรวจสอบอาหาร บางชนดิ ได้ 4. อธิบายการถนอมอาหารโดยวธิ ตี ่างๆ ได้ 1. รแู้ ละเข้าใจเกี่ยวกบั สารเคมีในชวี ติ ประจำวนั และผลกระทบท่เี กดิ จากสารเคมไี ด้ 2. ทดสอบเก่ยี วกบั สารเคมีในชวี ติ ประจำวนั โดย ใชก้ ระบวนการทางวิทยาศาสตรไ์ ด้ 3. มเี จตคตแิ ละกจิ นิสยั ท่ดี ตี ่อการศึกษาและ สำรวจตรวจสอบดว้ ยวธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตร์ 1. อธิบายความหมายของมอนอเมอร์ พอลิเมอร์ พอลเิ มอรธ์ รรมชาตแิ ละพอลิเมอรส์ งั เคราะห์ ปฏิกริ ิยาพอลเิ มอไรเซชัน ลากรรไี ซเคลิ ได้ 2. ทดลองและอธิบายการเกดิ พอลิเมอร์และ สมบตั ขิ องพอลเิ มอรด์ ื 3. อธิบายโครงสรา้ งของพอลเิ มอร์ ทดลองและ อธบิ ายการใชป้ ระโยชนจ์ ากพอลิเมอร์ได้ 4. อภิปรายการนำพอลิเมอร์ไปใชป้ ระโยชน์ รวมทง้ั ผลทเ่ี กดิ จากการผลติ และการใช้ พอลิเมอรต์ ่อสง่ิ มชี ีวิต และส่ิงแวดลอ้ มได้ 5. อธิบายความก้าวหน้าของเทคโนโลยขี อง ผลติ ภณั ฑ์พอลิเมอรส์ ังเคราะห์ได้ 1. อธิบายการเกิดปโิ ตรเลยี ม การกลน่ั ลำดบั สว่ น นำ้ มนั ดบิ และกระบวนการแยกแก๊สธรรมชาติ 2. อธบิ ายการนำผลิตภัณฑท์ ีไ่ ดจ้ ากกการกล่นั ลำดับส่วนนำ้ มันดิบ และกระบวนการแยกแก๊ส ธรรมชาตมิ าใชใ้ ห้เกดิ ประโยชนไ์ ด้ 3. อภิปรายผลท่ีเกดิ จากการใช้ผลติ ภณั ฑ์ ปโิ ตรเลยี มทีม่ ตี ่อสิ่งมีชวี ติ และสง่ิ แวดลอ้ มได้ 4. อธบิ ายสถานการณ์การใช้ปิโตรเลยี มและการ นำพลงั งานหมนุ เวยี นมาใชไ้ ด้

1ฎ3 หนว่ ย ชอื่ หน่วยการเรียนรู้/รายการ สมรรถนะประจำหนว่ ย สปั ดาห์ ช่ัวโมง ท่ี สอน ท่ี ที่ 7 ไฟฟา้ ในชีวติ ประจำวนั 1. อธิบายหลักากรเกิดกระแสไฟฟ้าจาก 14-15 40-45 8 คล่นื แม่เหลก็ ไฟฟา้ แหลง่ กำเนดิ ไฟฟา้ ชนดิ ต่างๆ ได้ 16-17 46-51 2. อธบิ ายหน้าทีข่ องอปุ กรณไ์ ฟฟ้าในวงจรไฟฟ้าใน บ้านได้ 3. อธบิ ายความสมั พันธ์ระหว่างความตา่ งศักย์ กระแสไฟฟา้ และความต้านทานไฟฟ้าได้ 4. อธบิ ายหลักการตอ่ วงจรไฟฟา้ ในบา้ นได้ 5. คำนวณคา่ พลังงานไฟฟ้าได้ 1. สืบคน้ ขอ้ มลู การเกดิ คลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟ้าโดยใช้ ทฤษฎีคล่นื แม่เหล็กไฟฟา้ ของแมกซ์เวลลไ์ ด้ 2. อธิบายถงึ วิธกี ารทดลองของเฮิรตซท์ ี่ยนื ยันและ พิสูจนไ์ ดว้ า่ ทฤษฎีคลื่นแมเ่ หล็กไฟฟ้าของแมกซ์ เวลลเ์ ป็นจริงได้ 3. สืบคน้ ขอ้ มูลและบอกความหมายของสเปกตรมั คล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟ้าได้ 4. บอกสมบตั แิ ละประโยชน์ของคลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า ทีค่ วามถ่ตี า่ งๆได้ 5. อธบิ ายและยกตัวอยา่ งผลกระทบท่ีเกดิ จากคลืน่ แมเ่ หล็กไฟฟ้าทค่ี วามถ่ีต่างๆ ได้ สอบปลายภาค 18 52-54

14ฐ กรอบการจัดการเรยี นรูแ้ บบบูรณาการเป็นเรอื่ ง/ชิ้นงาน/โครงการ และบูรณาการหลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล 1. ความพอดี ทไี่ ม่มากและไม่นอ้ ย การมีภูมิคมุ้ กัน จนเกินไป 1.การเลอื กทำผลงานหรือชิ้นงานท่ี 2. ไม่เบียดเบียนตนเองและผ้อู น่ื 1. การเตรยี มตวั ใหพ้ ร้อมรบั ตอ่ ได้รบั มอบหมายให้ใชห้ ลกั เหตผุ ลใน ทุกคนชว่ ยกนั ทำงานกลุ่ม ผลกระทบท่เี กิดข้นึ จากการ การตดั สนิ ใจเรอื่ งตา่ ง ๆ โดย เปลี่ยนแปลงรอบตัว เช่น ผลการ พิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกย่ี วขอ้ ง ทดลองที่อาจไม่เป็นไปอยา่ งท่ี ตลอดจนผลที่คาดว่าจะเกดิ ขน้ึ อยา่ ง คาดหวงั ให้ศึกษาปัจจยั ทเ่ี กดิ ข้นึ รอบคอบ โดยอาศยั ความรู้ และคณุ ธรรม เปน็ 2. ......................................... โครงงาน เงอื่ นไขพน้ื ฐาน 3........................................... วทิ ยาศาสตร์ ...................................... 2. .เ.ง..ื่อ..น...ไ.ข...ด..า้ ..น..ค...ุณ...ธ..ร..ร..ม....จ..ร..ยิ ..ธรรม ค่านยิ ม คุณลักษณะท่ีพงึ ประสงค์ เงอื่ นไขดา้ นความรู้และทกั ษะ 3.1....ก..า..ร..ย..ึด..ถ...อื ..ค..ุณ...ธ..ร..ร..ม..ต...่า.ง...ๆ...อาทิ 1. การเลือกทำกจิ กรรมตา่ งๆ จะต้องมี ความซอื่ สตั ยส์ จุ ริต ความอดทน ความรอบรู้ จากการเรยี นวิชาวิทยาศาสตร์ ความเพียร การมุ่งต่อประโยชน์ 2. มีความรอบคอบ และความระมัดระวงั ใน สว่ นรวมและการแบ่งปัน ฯลฯ การดำเนินชีวิตและการประกอบการงาน. ตลอดเวลาท่ปี ระยุกตใ์ ช้ปรชั ญาของ เศรษฐกิจพอเพยี งในฝกึ ปฏบิ ัตกิ าร การเรยี นร้ใู นหน่วยการเรยี นตา่ งๆ ..................................... ผลกระทบเพื่อความสมดลุ พรอ้ มรับการเปล่ยี นแปลง 2. ......................................... ด้านสงั คม ด้านเศรษฐกจิ ด้านวฒั นธรรม 3...............ด..า้..น...ส...ง่ิ ..แ..ว..ด...ล..อ้...ม.... ผู้เรยี นมีการทำงานเปน็ กลุ่ม ผเู้ รยี นต้องรจู้ ักใช้จ่ายอย่าง การศึกษาโครงงาน การทำโครงงานวทิ ยาศาสตร์ นอกจากตดิ ต่อกับเพอ่ื นใน ประหยดั ไม่ฟมุ่ เฟอื ย หรอื วิทยาศาสตร์ทำให้ผเู้ รียนได้ ผเู้ รยี นต้องคำนงึ ถึงสิ่งแวดล้อม กล่มุ กย็ งั ตอ้ งติดต่อกบั ภูมิ คดิ หัวขอ้ โครงงานท่ที ำใหเ้ กิด สัมผสั ปรกึ ษาหารอื กับครู ว่า ผลของโครงงานจะกระทบ ปัญญาท้องถิ่นที่จะให้ความรู้ ความประหยดั และเปน็ ประชาชนผูม้ คี วามรู้ หรอื ตอ่ สิ่งแวดล้อมหรือไม่ หรอื เป็น ประโยชนต์ ่อส่ิงแวดลอ้ มออก เก่ยี วกบั โครงงานท่ที ำ ประโยชนต์ อ่ สว่ นรวม ศกึ ษาสิง่ ท่ีเกีย่ วข้องกับ ทอ้ งถ่นิ เช่น ตาลโตนด ฯลฯ อย่างไร หมายเหตุ กรอบการจัดการเรยี นรู้แบบบูรณาการใหเ้ ลือกใช้ แบบใดแบบหน่ึง หรอื ออกแบบใหมไ่ ด้

15 แผนการจัดการเรยี นรู้รายหน่วย รหัสวชิ า 20000-1303 วิชาวิทยาศาสตรเ์ พ่ือพัฒนาอาชีพธรุ กิจและบรกิ าร2(3) สอนครง้ั ที่ 1-6 หนว่ ยที่ 1 ชือ่ หน่วยการถา่ ยทอดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรม เวลา 8 ชั่วโมง ช่ัวโมงที่ 2-9 สปั ดาหท์ ี่ 1-3 1. สาระสำคญั ลักษณะทางพันธุกรรมเป็นลักษณะเฉพาะของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิด ซึ่งถ่ายทอดจากบรรพบุรุษไปยังรุ่น ต่อๆไปได้ การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของคนและส่ิงมีชีวิตทุกชนิดถูกควบคุมโดยยีนท่ีอยู่บนโครโมโซม โครโมโซมประกอบด้วย DNA และโปรตีน โครงสร้างของ DNA ประกอบด้วนนิวคลีโอไทด์2 สายยึดกันด้วยพันธะ เคมแี ละบิดเกลยี วเวียนขวา ยีนคอื สว่ นหน่งึ ของ DNAเซลล์ของส่ิงมีชวี ิตมีการแบง่ นิวเคลียสเกิดข้ึนใน 2 ลกั ษณะคือ การแบ่งนิวเคลียสแบบไมโทซิสซงึ่ เป็นวธิ กี ารแบง่ ทที่ ำให้โครโมโซมภายในนวิ เคลียสเท่าเดมิ มกั เปน็ การแบ่งของเซลล์ ร่างกาย และการแบ่งนวิ เคลยี สแบบไมโอซสิ ซ่ึงเป็นการแบง่ ทล่ี ดจำนวนโครโมโซมลงครงึ่ หนึ่งเพอ่ื สร้างเซลล์สืบพันธ์ุ ในการสืบพนั ธ์ุแบบอาศัยเพศ การศึกษาการถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธุกรรมจากรุ่นพ่อแม่ไปยงั รุ่นลูกหลาน ศึกษา ได้จากการสืบประวัติของคนในครอบครัวย้อนไปหลายๆรุ่น แล้วนำมาเขียนเพดดีกรี จากการศึกษาเพดดีกรีอาจ พบลักษณะบางประการที่ผิดปกติท่ีแสดงผลออกมาหรือเป็นลักษณะแฝงอยู่และอาจถ่ายทอดสู่รุ่นลูกต่อไป เช่น ตาบอดสี และ ธาลสั ซเี มยี เป็นต้น ความแปรผันทางพันธุกรรมทำให้เกิดความหลากหลายของลักษณะระหว่างบุคคลในประชากรซึ่งเป็น ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ลักษณะพันธุกรรมของส่ิงมีชีวิตลักษณะใดที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมขณะน้ัน สิง่ มชี ีวิตน้นั จะอยรู่ อดและถา่ ยทอดลกั ษณะพันธุกรรมน้ันไปยงั รุ่นลูกต่อไปซึง่ เปน็ การคัดเลือกโดยธรรมชาติ 2. สมรรถนะประจำหนว่ ย 1. แสดงความรู้และสำรวจตรวจสอบเกย่ี วกบั หลกั การทางพันธกุ รรม 2. สำรวจตรวจสอบเกยี่ วกับการถา่ ยทอดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมตามหลักพันธุศาสตร์ 3. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ 3.1 จดุ ประสงคท์ วั่ ไป 3.1.1 เพื่อใหม้ ีความรู้ความเขา้ ใจเกี่ยวกับการถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรม 3.1.2 เพ่ือให้สามารถสำรวจตรวจสอบเก่ียวกับการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม โดยใช้ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 3.1.3 เพื่อให้มีเจตคติท่ีดีต่อการศึกษาและสำรวจตรวจสอบด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ประยุกต์ใช้หลักความมีเหตุผล ความพอประมาณ และหลักความมีภูมิคุ้มกันในการ ปฏิบัติงาน มีพฤติกรรม ลักษณ ะนิสัยในการปฏิบัติงานด้วยความรับผิดชอบ มีความ ซื่อสัตย์ มีความใฝ่รู้ มีความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ ละเอียดรอบ คอบ ป ลอดภั ยและ สามารถทำงานร่วมกับผอู้ ่ืนได้

16 3.2 จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม 3.2.1 บอกความหมายของลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมได้ 3.2.2 ตรวจสอบและบันทึกลักษณ ะทางพันธุกรรมโดยระบุการแปรผันลักษณ ะ ทางพนั ธุกรรมแบบต่อเนอื่ งและไมต่ อ่ เน่ืองของบุคคลในครอบครวั ได้ถูกต้อง 3.2.3 อธิบายกระบวนการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมตามแนวคิดของเกรเกอร์เมนเดล หนึ่งลักษณะไดถ้ กู ตอ้ ง 3.2.4 อธิบายการถ่ายทอดลักษณะระบบหมเู่ ลือดตามหลกั การได้ถกู ต้อง 3.2.5 อธบิ ายลักษณะรปู รา่ ง หนา้ ท่ี และจำนวนของโครโมโซมของมนุษย์ได้ 3.2.6 สำรวจสืบค้นนำเสนอและยกตัวอย่างสาเหตุการเกิดมิวเทชันและโรคพันธุกรรมใน สง่ิ มีชีวติ ได้ถูกตอ้ ง 3.2.7 นอ้ มนำหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียงไปใชใ้ นการปฏิบตั งิ าน 3.2.8 มีความสนใจใฝ่รู้ มีเหตุผล เพียรพยายาม ละเอียดรอบคอบ ซ่ือสัตย์ และทำงานกับ ผู้อน่ื ได้ 3.3 การบรู ณาการคุณธรรมจริยธรรม และคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ 3.3.1 เขา้ ชน้ั เรียนตรงต่อเวลา 3.3.2 แสวงหาความร้อู ยา่ งสม่ำเสมอ 3.3.3 ปฏบิ ัตงิ านด้วยความรบั ผิดชอบ ซ่อื สตั ย์ ใฝร่ ู้ มีความคดิ ริเริม่ สรา้ งสรรค์ ละเอยี ด รอบคอบ ปลอดภัย และสามารถทำงานรว่ มกบั ผู้อ่ืนได้ 3.4 การบรู ณาการหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง 3.4.1 ความพอประมาณ 1) ผู้เรียนนำหลกั ทฤษฎที างพันธุกรรมมาประยกุ ต์ใชใ้ นการดำรงชีวติ 3.4.2 ความมีเหตผุ ล 1) ผู้เรียนอธบิ ายเหตุผลของการเปลย่ี นแปลงทางพนั ธุกรรมของสิง่ มีชีวิต 2) ผเู้ รยี นอธบิ ายกระบวนการถา่ ยทอดลักษณะทางพันธุกรรมได้ตามกระบวนการ ถา่ ยทอดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมของเมนเดล 3.4.3 การมีภมู คิ มุ้ กันในตัวที่ดี 1) ผู้เรยี นเหน็ ความสำคญั ของความรทู้ างพนั ธกุ รรมทีน่ ำมาเกยี่ วข้องกับการดำเนนิ ชวี ิตประจำวัน 2) ผเู้ รยี นมคี วามรูแ้ ละเขา้ ใจสาเหตุการเกดิ มวิ เทชนั และโรคพนั ธุกรรม แลว้ สามารถ นำไปใช้ในการวางแผนการดำเนนิ ชวี ิตครอบครวั ในอนาคตได้ 3.4.4 เงือ่ นไขความรู้ 1 ) ผู้ เรี ย น มี ค ว า ม รู้ ค ว า ม เข้ า ใจ เก่ี ย ว กั บ ก า ร ถ่ า ย ท อ ด ลั ก ษ ณ ะ ท า งพั น ธุ ก ร ร ม การศึกษาการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม กระบวนการถ่ายทอดลักษณะทาง พั น ธุก รรม ก ารแ ป รผั น ท างพั น ธุก รรม โค รโม โซ ม ส ารพั น ธุ ก รร ม แ ล ะ ก าร เปลีย่ นแปลงทางพันธุกรรม

17 3.4.5 เง่อื นไขคณุ ธรรม 1) ผเู้ รยี นมคี วามรับผดิ ชอบ ซื่อสตั ย์ ใช้สตปิ ญั ญาในการศึกษาเลา่ เรียน สืบเสาะ แสวงห าความรู้ด้วยต้นเอง มีความขยัน อดทน มีความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ ละเอียดรอบคอบ ประหยัด รู้จัก แบ่งปัน และสามารถทำงานร่วมกับผู้อ่ืนได้ 4. สาระการเรียนรู้ 4.1 ความหมายของลกั ษณะทางพันธกุ รรม 4.2 ลกั ษณะทางพันธกุ รรม 4.2.1 ความแปรผันทางพนั ธุกรรม 4.2.2 ลกั ษณะทางพันธกุ รรมกบั สงิ่ แวดล้อม 4.3 กระบวนการถ่ายทอดลักษณะทางพันธกุ รรม 4.3.1 กฎแหง่ การแยกตัว 4.3.2 กฎแหง่ การรวมกล่มุ อยา่ งอิสระ 4.4 ระบบหม่เู ลือด ยนี และโครโมโซม 4.5 การถา่ ยทอดลักษณะทางพันธุกรรม 4.6 การเปล่ียนแปลงทางพันธกุ รรม 4.6.1 มิวเทชนั 4.6.2 โรคทางพนั ธุกรรม 5. กิจกรรมการเรยี นรู้ (สปั ดาห์ท่ี1) สอนครงั้ ท่ี 1-2 (ช่ัวโมงที่ 1-3) 1. ครูเช็คช่ือผู้เรียนตามใบรายช่ือ หลังจากนั้นชี้แจงจุดประสงค์การเรียนรู้รายวิชาวิทยาศาสตร์เพ่ือพัฒนา อาชีพธุรกิจและบริการ เน้ือหาตามหัวข้อต่างๆ ในสาระการเรียนรู้ท่ีจะเรียนในหน่วยการเรียนรู้ เกณฑ์ คะแนนการวัดและประเมินผลการเรียน การประเมินคุณธรรมจริยธรรมผเู้ รียน การบรู ณาการหลักปรชั ญา ของเศรษฐกิจพอเพียง ข้อตกลงในการเรียน ข้อตกลงในการใช้ห้องเรียน และกำหนดเวรทำความสะอาด และดูแลหอ้ งเรยี น 2. ผเู้ รยี นทำแบบทดสอบก่อนเรียนประจำหนว่ ย 3. ครแู จง้ เนื้อหาและจดุ ประสงค์การเรยี นรู้ประจำหน่วย ขน้ั สนใจปญั หา (Motivation) 4. ครใู ห้ผู้เรียนสำรวจลกั ษณะของแตล่ ะบคุ คล ตรวจสอบความแตกต่างของชนเผา่ ตา่ งๆ รวมถงึ ส่ิงมีชวี ิต ชนดิ ต่างๆ โดยเร่มิ จากการสังเกตจากลักษณะภายนอกของเพื่อนในช้ันเรยี นที่สงั เกตเห็นจากภายนอก จากนน้ั ครตู ้ังคำถามให้ผู้เรียนตอบ และร่วมกันอภิปรายเพ่ือการนำเข้าสเู่ นือ้ หาในบทเรียนเรอื่ งลกั ษณะทาง พันธุกรรม ดงั นี้ 4.1 ลักษณะใดบา้ งท่ีเรามีเหมือนกับเพื่อนๆ หรือลักษณะใดบา้ งทเี่ ราแตกต่างจากเพื่อนๆ 4.2 ลกั ษณะใดบา้ งท่ีเรามเี หมอื นกับพ่อ แม่ ปู่ ยา่ ตา ยาย หรือลกั ษณะใดบ้างท่เี ราแตกต่างจากพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย

18 4.3 ลักษณะเหลา่ นนั้ เกดิ ขึ้นมาได้อยา่ งไรกัน ขนั้ ให้เนอื้ หาขอ้ มลู (Information) 5. ครูนำให้ผู้เรียนร่วมกันอภิปรายถึงลักษณะต่างๆ ของสิ่งมีชีวิตที่สามารถถ่ายทอดจากรุ่นหน่ึงไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง เพ่อื นำไปส่ขู ้อสรุป ความหมายของคำวา่ ลักษณะทางพันธกุ รรม 6. ครูนำให้ผู้เรียนร่วมกันอภิปรายต่อเน่ืองในเรื่องของลักษณะทางพันธุกรรม ว่าเป็นลักษณะที่สามารถ ถ่ายทอดจากรุ่นหน่งึ ไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง ในส่ิงมีชีวิตเดียวกัน ลักษณะทางพนั ธุกรรมอาจมีความแตกต่างกันได้ซึ่ง เราเรยี กวา่ “ความแปรผันทางพันธกุ รรม” 7. ครูอธิบายเพ่ิมเติมเก่ียวกับลักษณะทางพันธุกรรมแบบต่างๆ และความแปรผันทางพันธุกรรม โดยใช้ส่ือ รปู ภาพแสดงดว้ ยสไลด์ Power Point เพ่ือให้ผเู้ รียนเกิดการเรยี นรูแ้ ละมีความเข้าใจมากขึ้น 8. ครูสอนเนื้อหาด้วยวิธีการบรรยายประกอบส่ือ Power Point เร่ือง กระบวนการถ่ายทอดลักษณะทาง พันธกุ รรม และกฎแห่งการถา่ ยทอดลักษณะทางพันธกุ รรมของเมนเดล 9. ครูใช้เทคนิค “Concept mapping” เพ่ือให้ผู้เรียนช่วยกันสรุปเก่ียวกับ ความหมายของ ลักษณะเด่น ลักษณะด้อย ฮอมอไซกัสยีน เฮทเทอโรไซกัสยีน จีโนไทป์ ฟีโนไทป์ กฎแห่งการแยกตัว และกฎการ รวมกลุม่ อยา่ งอิสระของยนี 10. ครูสรุปเน้อื หาร่วมกบั ผูเ้ รยี นเกย่ี วกับลกั ษณะพันธกุ รรมและการถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธกุ รรม 11. ครปู ระเมนิ ผเู้ รยี นจากการอภิปรายสรปุ และซักถามผู้เรยี น พร้อมกบั เปิดโอกาสให้ผเู้ รียนซักถามข้อสงสัย ข้ันพยายาม (Application) 12. ครูช้ีแจงและอธิบาย ใบกิจกรรมที่ 1.1 เร่ือง พันธุกรรมและการแหรผันทางพันธุกรรม และมอบหมายให้ ผูเ้ รียนลงมือปฏิบัติ ครูเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ซกั ถามข้อสงสัยเม่ือผู้เรียนทำใบกิจกรรมท่ี 1.1 เสร็จ ให้นำส่ง ครผู ู้สอนตามเวลาทีก่ ำหนด กรณผี ูไ้ ม่สง่ ภายในเวลาท่ีกำหนด มีการจำแนกดว้ ยสหี มกึ ทใ่ี ช้ขณะตรวจงาน 13. ครูชี้แจงและอธิบาย ใบกิจกรรมท่ี 1.2 เร่ือง กฎแห่งการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของเมนเดล และ มอบหมายให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติ ภายในเวลาที่กำหนด โดยครูเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ซักถามข้อสงสัยเม่ือ ผู้เรียนทำใบกิจกรรมที่ 1.1 เสร็จ ให้นำส่งครูผู้สอนตามเวลาท่ีกำหนด กรณีผู้ไม่ส่งภายในเวลาท่ีกำหนด มี การจำแนกดว้ ยสีหมึกทใี่ ชข้ ณะตรวจงาน ข้ันสำเรจ็ ผล (Progress) 14. ครแู ละนักเรยี นรว่ มกันสรปุ สาระสำคญั เรื่อง การถา่ ยทอดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรม 15. ครูประเมินความรู้ความเข้าใจของผู้เรียนด้วยการให้เล่นเกม Kahoot เร่ือง การถ่ายทอดลักษณะทาง พันธุกรรม เพ่ือช่วยตอบสนองต่อการเรียนการสอน ช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนเรียนสนุกกับการเรียนซึ่งเป็น เครือ่ งมือชว่ ยในการประเมินผลรายบุคคล หรอื รายคกู่ ็ได้ขึน้ อยูก่ ับสถานะการ และทรพั ยากร 16. ครูบันทึกคะแนนของผู้เรียนท่ีได้จากการตอบปัญหาในเกม และตรวจผลที่ได้จากการทำใบกิจกรรมการ เรียนรู้ที่ 1.1 และ 1.2

19 สอนคร้งั ที่ 3-4 (ช่ัวโมงท่ี 4-6) 1. ครูเช็คชื่อผู้เรียนตามใบรายชื่อ หลังจากนั้นทบทวนเนื้อหาท่ีได้จัดการเรียนการสอนในคร้ังก่อน ตามที่ได้ บันทึกการสอนไว้ 2. ต้ังคำถามถามผเู้ รยี นบางคนเพอ่ื เตรยี มความพร้อมของผเู้ รยี นทุกคนในชน้ั เรยี นทั้งหมด 3. ครูแจง้ หัวขอ้ เร่อื งและจดุ ประสงคก์ ารเรียนรทู้ ีก่ ำลงั จะสอนในคร้ังนี้ ขนั้ สนใจปญั หา (Motivation) 4. ครูสมุ่ เรียกชือ่ ผู้เรยี นแลว้ ถามคำถาม ใหผ้ ู้เรยี นตอบเพื่อเปน็ การนำเขา้ สบู่ ทเรยี น ดังน้ี 4.1 กรปุ๊ เลอื ดเปน็ ลักษณะทางพันธกุ รรมหรอื ไม่ 4.2 กรุ๊ปเลอื ดของ พอ่ แม่ ลกู จะเหมือนหรือแตกตา่ งกนั ได้หรือไม่ อยา่ งไร 4.3 กรณีตัวอยา่ ง พอ่ มกี รปุ๊ เลอื ดเปน็ A สว่ นแมม่ ีกรุ๊ปเลอื ดเป็น B ลูกจะมกี รปุ๊ เลอื ดเป็นอะไรได้บ้าง 4.4 พันธกุ รรมของสงิ่ มชี ีวิต สามารถเปล่ยี นแปลงไปจากปกติไดห้ รอื ไม่ อยา่ งไร และเพราะเหตใุ ด 5. จัดกลุม่ ผเู้ รียน กลุ่มละ 3 คน ใหแ้ ต่ละกลุ่มได้ศึกษาเนอ้ื หาจากใบความรู้ เร่อื ง หมู่เลอื ดระบบ ABO 6. ใหผ้ ู้เรียนร่วมกันอภิปราย ชนิดของหมู่เลือด การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของหมู่เลือด การให้เลือด และการรับเลือด เพื่อหาข้อสรุปว่ากรุ๊ปเลือดเป็นลักษณะทางพันธุกรรมท่ีมีลักษณะจำเพาะ สามารถบ่ง บอกความเปน็ พอ่ แม่ ลกู ได้ ขนั้ ให้เน้อื หาขอ้ มลู (Information) 7. ผูเ้ รยี นเรียนรเู้ พม่ิ เตมิ โดย ครูสอนดว้ ยวิธกี ารบรรยาย ประกอบส่อื Power Point ในหัวข้อเรอื่ งตอ่ ไปนี้ 7.1 ระบบหมเู่ ลอื ด ABO 7.2 โครโมโซมและสารพันธุกรรม 7.3 การเปล่ียนแปลงทางพนั ธกุ รรม 8. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเนื้อหาเก่ียวกับระบบหมู่เลือด ABO โครโมโซม และสารพันธุกรรม การ เปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม กรุ๊ปเลือดเป็นลักษณะทางพันธุกรรม สามารถถ่ายทอดจากพ่อแม่ ไปสู่ลูกได้ มีลักษณะจำเพาะ บ่งบอกความเป็น พ่อ แม่ ลูกได้ในระดับหน่ึง และส่ิงมีชีวติ สามารถเกิดการเปล่ียนแปลง ลักษณะทางพันธุกรรมได้ ท่ีเรียกว่าการเกิด มิวเทชัน เม่ือมีส่ิงเร้าหรอื ส่ิงกระตุ้นที่เหมาะสม ซ่ึงเรียกว่ามิว ทาเจน ซงึ่ อาจส่งผลดีหรอื ผลเสยี ตอ่ สง่ิ มชี วี ิตนั้นๆ ได้ ขั้นพยายาม (Application) 9. ครูช้ีแจงและอธิบาย ใบกิจกรรมท่ี 1.3 เร่ือง ระบบหมู่เลือด และมอบหมายให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติ ครูเปิด โอกาสให้ผู้เรียนไดซ้ ักถามขอ้ สงสัยเมอื่ ผเู้ รียนทำใบกิจกรรมท่ี 1.3 เสร็จ ให้นำส่งครผู ู้สอนตามเวลาที่กำหนด กรณีผ้ไู ม่ส่งภายในเวลาท่ีกำหนด มกี ารจำแนกด้วยสีหมึกที่ใชข้ ณะตรวจงาน 10. ครูช้ีแจงและอธิบาย ใบกิจกรรมท่ี 1.4 เร่ือง ยีนและโครโมโซม และมอบหมายให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติ ครู เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ซักถามข้อสงสัยเมื่อผู้เรียนทำใบกิจกรรมที่ 1.4 เสร็จ ให้นำส่งครูผู้สอนตามเวลาท่ี กำหนด กรณผี ู้ไมส่ ่งภายในเวลาทก่ี ำหนด มีการจำแนกดว้ ยสหี มกึ ท่ใี ช้ขณะตรวจงาน

20 11. ครูช้ีแจงและอธิบาย ใบกิจกรรมท่ี 1.5 เร่ืองมิวเทชันและโรคทางพันธุกรรม และมอบหมายให้ผู้เรียนลงมือ ปฏิบัติ ภายในเวลาท่ีกำหนด โดยครูเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ซักถามข้อสงสยั เม่ือผู้เรยี นทำใบกิจกรรมท่ี 1.5 เสรจ็ ให้นำส่งครผู สู้ อนตามเวลาท่ีกำหนด กรณผี ู้ไม่สง่ ภายในเวลาทก่ี ำหนดครูจำแนกดว้ ยสีหมึกปัม๊ ทใี่ ชข้ ณะ ตรวจงาน 12. มอบหมายงานสืบค้นโดยให้ผู้เรียนจับคู่ทำ ตามใบมอบหมายงาน เรื่องโรคทางพันธุกรรม ให้ทำผลงานใน รปู แบบโปสเตอร์ หรือ Power Point ก็ได้ โดยให้เตรียมการนำเสนอไว้ พรอ้ มกับให้ต้ังคำถามกลุ่มละ 5 ข้อ สำหรบั ถามเพ่ือนหลงั การนำเสนอ โดยกำหนดการนำเสนอผลงานในครั้งต่อไป ข้ันสำเร็จผล (Progress) 13. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปสาระสำคัญ เร่ือง ระบบหมู่เลือด ยีนและโครโมโซม มิวเทชัน และโรคทาง พันธกุ รรม โดยครูสลบั ระหว่างการสรปุ ดว้ ยการถามคำถาม เก่ียวกบั เนอื้ หาท่ไี ด้เรียนไป 14. ครูประเมินความรู้ความเข้าใจของผู้เรียนด้วยการให้เล่นเกม Kahoot เร่ือง ระบบหมู่เลือด ยีนและ โครโมโซม มิวเทชัน และโรคทางพันธุกรรม เพื่อช่วยตอบสนองต่อการเรียนการสอน ช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียน เรียนสนุกกับการเรียนซึ่งเป็น เคร่ืองมือช่วยในการประเมินผลรายบุคคล หรือรายคู่ก็ได้ข้ึนอยู่กับสถานะการ และทรพั ยากร 15. ครบู ันทกึ คะแนนของผู้เรียนท่ีได้จากการตอบปัญหาในเกม และปมั๊ รอยตรวจบนใบกจิ กรรมการเรียนรทู้ ่ี 1.3 , 1.4 และ 1.5 เพือ่ แสดงว่าส่งงานทนั เวลาท่กี ำหนด สอนครงั้ ที่ 5-6 (ช่ัวโมงที่ 7-9) 1. ครูเช็คชื่อผู้เรียนตามใบรายชื่อ หลังจากนั้นทบทวนเนื้อหาที่ได้จัดการเรียนการสอนในครั้งก่อน ตามที่ได้ บันทึกการสอนไว้ 2. ตั้งคำถามถามผเู้ รยี นบางคนเพ่อื เตรยี มความพร้อมของผูเ้ รยี นทุกคนในช้ันเรยี นทั้งหมด 3. ครแู จ้งการเตรยี มความพรอ้ มในการนำเสนองาน และบอกหวั ข้อเรื่องรวมทั้งจดุ ประสงค์การเรยี นร้ทู ี่กำลังจะ สอนในครัง้ น้ี ข้นั สนใจปญั หา (Motivation) 4. ครสู อบถามเก่ียวกับงานที่ไดม้ อบหมายให้ไปสืบค้นในครั้งก่อน โดยสอบถามความรจู้ ากที่ได้จากการไปศึกษา ค้นคว้า ยกตัวอย่างโรคทางพันธุกรรมโดยการสุม่ เรียกช่ือ และให้ผู้เรียนท่ีค้นคว้ามาได้แสดงผลงานและตอบ คำถาม 5. สุ่มเรียกผู้เรียนบางกลุ่มท่ีได้จับคู่กัน และช่วยกันสืบค้นข้อมูลเตรียมการนำเสนอ ได้นำเสนองานหน้าช้ัน เรยี น โดยใช้ส่ือเปน็ โปสเตอร์ชารต์ ความรู้หรอื Power Point ตามท่ไี ด้เตรยี มมาประกอบการนำเสนอ ขนั้ ใหเ้ น้ือหาข้อมูล (Information) 6. ครูกล่าวชมเชยให้กำลังใจ เพ่ือเป็นการเสริมแรง ให้ผู้นำเสนองาน พร้อมกับวิพากษ์วิจารณ์การนำเสนองาน เพ่ือให้คำแนะนำ รวมถึงเพ่ิมเติมเน้ือหาส่วนท่ียังไม่สมบูรณ์ เพื่อให้ได้ผู้เรียนได้เรียนรู้เนื้อหาครบถ้วน และ การนำเสนองานมีการพัฒนาขึ้นในครงั้ ต่อไป และเป็นแนวทางใหเ้ พ่อื นกลุม่ ต่อไปให้นำเสนอไดด้ ยี ง่ิ ขนึ้

21 7. ผู้เรียนกลุ่มท่ีนำเสนอถามคำถามตามท่ีได้เตรียมมาเพ่ือประเมินความเข้าใจของเพ่ือนในช้ันเรียน และตอบ คำถามเมือ่ ผฟู้ ังมกี ารถามกลบั ข้นั พยายาม (Application) 8. ให้ผู้เรียนร่วมกันอภิปรายความรู้ท่ีได้รับ และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการนำความรู้เร่ืองการถ่ายทอด ลักษณะทางพันธุกรรม โรคทางพันธุกรรมไปใช้ในการพิจารณาเลือกคู่ครองและการวางแผนครอบครัวใน เร่ืองการมีบตุ รในอนาคต และสรุปความสำคญั ของการเรียนรู้เร่อื งการถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรม 9. รวบรวมผลงานสื่อชาร์ตความรู้ ที่ได้ไปสืบค้นและสร้างสื่อรวมท้ังถ่ายรูปเก็บไว้และส่งทางไลน์ หรือส่ือ Power Point โดยการส่งทางไลน์กลุ่มช้ันเรียนจากผู้เรียนทุกๆ คน ตามที่ครูมอบหมายไป และให้ผู้ปฏิบัติ หน้าทว่ี ชิ าการหอ้ งรวบรวมผลงานทำอัลบมั เกบ็ ไว้ 10. ครูทบทวนความรู้ความเข้าใจเนื้อหาให้ผู้เรียนด้วยการให้เล่นเกม Kahoot ตอบปัญหาออนไลน์ เรื่อง การ ถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เพื่อช่วยเตรียมความพร้อมสำหรับการทำแบบทดสอบหลังเรียน และช่วย กระตุ้นให้ผู้เรียนได้สนุกกับการเรียน นอกจากน้ียังเป็นเคร่ืองมือช่วยในการประเมินผลเก็บคะแนนผู้เรียน เป็นรายบุคคล หรอื รายคกู่ ไ็ ด้ข้ึนอยกู่ ับสถานะการ และทรัพยากร 11. ผู้เรียนทำแบบทดสอบหลังเรียนประจำหน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เร่ืองการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมเพื่อ ประเมินผลการเรียนรปู้ ระจำหนว่ ย ขนั้ สำเรจ็ ผล (Progress) 12. ครแู จ้งพรอ้ มกับบนั ทึกคะแนนการตอบปญั หาเกมส์ออนไลน์ 13. ตรวจและแจ้งคะแนนการทำแบบทดสอบให้ผู้เรียนได้ทราบ และบนั ทกึ คะแนน 14. บันทึกการประเมินผลการทำใบกิจกรรมด้านความถูกต้องโดยครูเฉลยหน้าชั้นเรียนและให้ผู้เรียนสลับกัน ตรวจให้คะแนน และด้านการตรงตอ่ เวลานับจำนวนรอยปัม๊ ทีม่ ีสีหมกึ ตา่ งกนั ตามท่ีได้บันทกึ ไว้ในตอนส่งงาน 6. สื่อและแหล่งการเรียนรู้ 6.1 หนงั สอื เรยี นวทิ ยาศาสตรเ์ พื่อพฒั นาอาชพี ธุรกจิ และบรกิ าร 6.2 สือ่ สไลด์ Power Point เรอ่ื งการถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธุกรรม 6.3 เกมตอบปัญหาออนไลน์ ที่สร้างบนเว็บไซต์ Kahoot ทีส่ อดคลอ้ งกับเนอ้ื หาที่จัดการเรียนการสอน และมี ลกั ษณะค่ขู นานกับแบบทดสอบหลังเรยี น 6.4 ใบความรู้ 6.5 ใบกจิ กรรม 1.1, 1.2, 1.3, 1.4, 1.5 6.6 ใบงาน ให้สบื ค้นความรู้ เรื่องโรคทางพนั ธุกรรม 6.7 ใบมอบหมายงานนำเสนอ พร้อมผลติ สือชารต์ ความรู้ หรือ Power Point เร่ือง โรคทาง พันธกุ รรม 6.8 แบบทดสอบก่อนและหลงั เรียนประจำ หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 1

22 7. หลกั ฐานการเรยี นรู้ 7.1 หลักฐานความรู้ 7.1.1 ผลการทำแบบทดสอบหลังเรยี น 7.1.2 ผลคะแนนการตอบคำถามออนไลน์รายบุคคลหรือรายคู่ 7.1.3 ผลคะแนนจากการปฏิบัติงานตามใบงาน ใบกิจกรรม และใบมอบหมายงาน 7.2 หลักฐานการปฏิบัตงิ าน 7.2.1 ใบกจิ กรรม ใบงาน และใบมอบหมายงาน 7.2.2 สมุดเชค็ ชื่อการเขา้ เรียนในวิชาและสมดุ บันทึกการส่งงาน 8. การวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ 8.1 เครื่องมือประเมนิ 8.1.1 ใบงาน ใบกิจกรรม ใบมอบหมายงาน 8.1.2 คำถามชวนคดิ ในหนังสอื เรียน 8.1.3 เกมตอบคำถามออนไลน์บน Kahoot 8.1.4 แบบทดสอบก่อน-หลงั เรยี น 8.1.5 แบบสังเกตพฤตกิ รรมการปฏบิ ตั ิกิจกรรมระหวา่ งเรียน 8.1.6 แบบประเมินการนำเสนองานกลุ่ม 8.1.7 แบบประเมนิ คุณธรรม จรยิ ธรรม ค่านยิ มและคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ 8.2 เกณฑก์ ารประเมิน 8.2.1 ตอ้ งทำงานทกุ ใบงาน ใบกจิ กรรม และใบมอบหมายงาน เกณฑผ์ า่ น 50% ขน้ึ ไป 8.2.2 เขยี นคำตอบท่ึสมบรู ณ์ในกจิ กรรมคำถามชวนคิด ในหนงั สือเรียนอย่างครบถ้วนทุกข้อ 8.2.3 คะแนนแบบทดสอบหลังเรียนเกณฑ์ผา่ น 60% ขนึ้ ไป 8.2.4 นกั เรยี นมีพฤตกิ รรมการปฏิบตั ิกิจกรรมกลมุ่ ที่เหมาะสม ถอื ว่าผา่ น 8.2.5 นำเสนอผลงานได้ชดั เจน มเี นอื้ หาครบถ้วน ถูกตอ้ งสมบูรณ์ ถือว่าผา่ น 8.2.6 มคี ุณธรรมจริยธรรม ค่านยิ ม และคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ ท่ีเหมาะสม ถือวา่ ผ่าน 9. เอกสารอา้ งอิง หนังสอื เรียนวชิ าวิทยาศาสตร์เพอ่ื พฒั นาอาชพี ธรุ กจิ และบริการ รหัสวชิ า 20000-1303 10. บันทึกผลหลังการจัดการเรียนรู้ 10.1 ขอ้ สรุปหลังการจัดการเรียนรู้ .............................................................................................................. .................................................. ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................

23 ............................................................................................................................. ................................... .................................................................................................................................... ............................ ...................................................................................................... .......................................................... ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................... ................................................................. 10.2 ปัญหาทพี่ บ ............................................................................................................................. ................................... ......................................................................................................................................... ....................... ........................................................................................................... ..................................................... ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................. ................................... 10.3 แนวทางแกป้ ัญหา ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ..................................................................................................................................... ........................... ....................................................................................................... ......................................................... ............................................................................................................................. ...................................

24 ใบความร้ทู ่ี 1 หน่วยที่ 1 รหสั วชิ า 20000-1303 ช่อื วิชา วทิ ยาศาสตร์เพ่อื พฒั นาอาชีพธุรกิจและบริการ ภาคเรยี นที่ 1 ชอื่ หน่วย การถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรม ชอ่ื เรอ่ื ง การถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธุกรรม เวลารวม 6 ชั่วโมง จำนวน 6 ช่ัวโมง จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ จดุ ประสงคท์ ่ัวไป 1. สืบค้นขอ้ มลู อภิปรายและอธิบายเก่ยี วกับสารพนั ธกุ รรม โครโมโซม และการถา่ ยทอด ลกั ษณะทางพนั ธุกรรมได้ 2. อธิบายความสำคัญของการแบ่งเซลล์ได้ 3. อภปิ รายเพื่อศึกษาการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส และแบบไมโอซิสในเซลลพ์ ืชได้ 4. สืบค้นขอ้ มลู อภิปรายและอธิบายเก่ยี วกับลกั ษณะทางพันธุกรรม ความแปรผนั ทางพนั ธุกรรม การเกิดมิวเทชัน และโรคทางพนั ธุกรรมได้ 5. อธิบายผลการคดั เลือกโดยธรรมชาตแิ ละการคดั เลอื กปรับปรุงพันธ์ุโดยมนุษย์ได้ 6. ศึกษาและอธบิ ายความสำคัญและยกตัวอย่างการใชเ้ ทคโนโลยชี วี ภาพในการคดั เลือกปรบั ปรงุ พันธุไ์ ด้ จุดประสงค์เชงิ พฤติกรรม 1. สำรวจและระบุลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมที่ถ่ายทอดจากร่นุ ตา่ งๆ ในครอบครวั ผูเ้ รยี นได้ 2. อธิบายการแบง่ เซลล์แบบไมโทซิสและแบบไมโอซสิ ได้ 3. เขียนแผนภาพการถา่ ยทอดลกั ษณะทางพันธกุ รรมได้ 4. เขียนเพดดกี รแี สดงการถา่ ยทอดลักษณะทางพันธุกรรมได้ 5. สามารถแสดงวธิ ีทำการแก้โจทย์ปัญหาเรอ่ื งการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมได้ 6. อธบิ ายการเกิด ประโยชน์ และโทษของมวิ เทชันได้ . สมรรถนะรายหน่วย - แสดงความรแู้ ละสำรวจตรวจสอบเกย่ี วกับหลักการเกยี่ วกบั ลกั ษณะทางพันธกุ รรม

25 ใบความรู้ หน่วยที่ 1 การถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธุกรรม สง่ิ มีชีวิตแต่ละชนิดมีลักษณะเฉพาะของสิ่งมีชีวิตน้ันๆ เป็นลักษณะเฉพาะกลุ่ม ดังนั้นจึงทำให้สามารถจำแนกได้ว่า เป็นสิง่ มีชวี ิตชนิดใด ลกั ษณะทคี่ ล้ายกันในสิง่ มชี วี ิตทำให้บอกไดว้ า่ ส่ิงมชี วี ติ น้นั ๆ มีถิน่ ฐานกำเนดิ จากทใ่ี ด พันธุกรรม (heredity) คือ ส่ิงที่ได้รับการถา่ ยทอดมาจากบรรพบุรษุ และสิง่ ทถ่ี ่ายทอดส่งต่อจากรนุ่ หนึง่ ไปยงั อีก ร่นุ หน่งึ พันธุกรรมจะถูกควบคุมโดยหน่วยควบคุมลักษณะที่เรียกว่า ยนี (gene) ซึ่งจะมีอยู่เป็นจำนวนมากในเซลล์ ทกุ เซลล์และจดั เรียงตัวเปน็ แถวเปน็ กลุ่มจบั ตวั เป็นเส้นยาว เรียกวา่ โครโมโซม (chromosome) 1. ลกั ษณะทางพนั ธุกรรม ลกั ษณะทางพันธกุ รรม (genetic character) หมายถึง ลักษณะทถ่ี า่ ยทอดจากพอ่ แม่ไปยงั ลูกหลานหรือถ่ายทอดไปตามสายพันธ์ุ ส่ิงมีชีวิตเดียวกันจะมีความคล้ายคลึงกัน และถ้ากำเนิดภายในครอบครัว เดียวกัน ความคล้ายคลึงกันจะมากข้ึน ทำให้เกิดลักษณะเฉพาะของส่ิงมีชีวิต ลักษณะทางพันธุกรรมที่แสดงออกมา ขึ้นอยู่กับปัจจัยทั้งภายในและภายนอก เช่น ฮอร์โมนในร่างกาย อาหาร อุณหภูมิ ปัจจัยเหล่านี้จะทำให้การ แสดงออกของลกั ษณะตา่ งๆ ของส่งิ มีชีวติ แตกต่างกนั ออกไป ลักษณะทางพันธุกรรมเป็นลักษณะของส่งิ มีชีวิตแต่ละชนิด เช่น ลักษณะจมูกโด่ง จมูกแบน ผมหยิก ผมตรง ผิวดา ผิวขาว ตาชั้นเดียว ตาสองช้ัน ลักษณะดังกล่าวมักมีลักษณะเหมือนกับพ่อแม่หรือญาติ ลักษณะเหล่านี้จึงสามารถ ถา่ ยทอดมาจากพอ่ แม่ เรียกว่า ลักษณะทางพันธุกรรม สำหรับการศึกษากลไกการควบคุมลักษณะกรรมวิธีในการ ส่งข้ามลกั ษณะจากช่ัวหน่ึงไปยงั อีกชว่ั หนึง่ คอื พนั ธกุ รรมของลักษณะ (heredity) ภาพท่ี 1 ลกั ษณะทางพนั ธุกรรม 2. โครโมโซมและสารพันธุกรรม 2.1 โครโมโซม (chromosome) ภายในนิวเคลียสของเซลล์มีสารพันธุกรรมเรียกวา่ ดีเอ็นเอ (DNA) ดีเอ็นเอและโปรตีนหลายชนดิ ประกอบกันเป็น โครงสร้างท่ีมีลักษณะเป็นสายยาวเรียนกว่า โครมาทิน (chiomatin) ระหวา่ งการแบ่งเซลล์ โครมาทินจะขดตัวจน มีลักษณะเป็นท่อนๆ เรียกว่า โครโมโซม (Chromosome) ในระยะแรกของการแบ่งเซลล์ โครโมโซมจะจำลอง ตัวเอง กลายเป็นโครมาทินที่ขดส้ันลงเป็น 2 เส้น แต่ละเส้นเรียกว่า โครมาทิด (chromatid) ซ่ึงยึดติดกันท่ีเซน โทรเมยี ร์ (centromere)

26 ภาพท่ี 2 โครโมโซมและการเชอ่ื มโยงของแขนโครโมโซม เซลล์ส่ิงมีชีวิตแต่ละชนิดมีจำนวนโครโมโซมคงที่ เช่น เซลล์ร่างกายของคน 1 เซลล์ มี 46 โครโมโซม โดยเป็น โครโมโซมท่ีมีลักษณะเหมือนกันเป็นคู่ๆ เรียกว่า ฮอมอโลกัสโครโมโซม (homologous chromosome) จำนวนโครโมโซมของเซลล์ร่างกายซึ่งมีลักษณะเหมือนกัน 2 ชุด เขียนแทนด้วย 2n ส่วนเซลล์สืบพันธ์มีจำนวน โครโมโซมเพยี งครึ่งเดยี วของเซลล์ร่างกาย เขียนแทนจำนวนด้วย n (n หมายถงึ ชดุ ของโครโมโซม) สงิ่ มชี ีวิตท่ีสืบพันธ์โุ ดยอาศัยเพศ จะประกอบด้วยเซลล์ 2 ชนิด คอื เซลล์ร่างกาย (somatic cell) พบไดต้ าม ส่วนต่างๆ ของร่างกาย และเซลล์สืบพันธุ์ (sex cell) ได้แก่ ไข่และอสุจิ พบเฉพาะที่อวัยวะสร้างเซลล์สืบพันธ์ุ เท่านั้น มนุษย์มีจำนวนโครโมโซม 23 คู่ หรือ 46 แท่ง โดยเป็นโครโมโซมท่ีมียีนควบคุมลักษณะต่างๆ ที่ไม่ เกี่ยวข้องกับการกำหนดเพศ เรียกว่า ออโตโซม (autosome) 22 คู่ โครโมโซมอีก 1 คู่ ทำหน้าท่ีกำหนด ลักษณะเพศ เรียกว่า โครโมโซมเพศ (sex chromosome) ใช้สัญลักษณ์เป็นโครโมโซม X และ Y ในเพศหญิง จะมีออโตโซม 22 คู่ และโครโมโซมเพศ 1 คู่ เป็น 44,XX ส่วนเพศชายจะมีออโตโซม 22 คู่เหมือนเพศหญิง และมีโครโมโซมเพศ 1 คู่ เปน็ 44,XY ภาพที่ 3 แสดงโครโมโซมของเซลลร์ า่ งกายในเพศชายและเพศหญงิ

27 2.2 สารพนั ธุกรรม ในนิวเคลียสของเซลล์ปกติที่ไม่ได้อยรู่ ะหว่างการแบ่งเซลล์ โครโมโซมจะคลายตัวเป็นเส้นบางยาว เรียกว่า โค ร ม า ทิ น (chromatin) จ า ก ก า ร วิ เค ร า ะ ห์ ท า ง เค มี พ บ ว่ า โค ร ม า ทิ น ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย ดี เอ็ น เอ (DNA=Deoxyribonucleic acid) และโปรตีนเกาะกันอยู่ค่อนข้างแน่น มีลักษณะคล้ายเส้นลูกปัด โดยมีโมเลกุลดี เอ็นเอเป็นสายเช่ือมอยู่ระหว่างลูกปัด ส่วนเม็ดลูกปัดประกอบด้วยสายดีเอ็นเอพันอยู่รอบโปรตีน ดีเอ็นเอหรอื ยีน (gene) ทำหน้าที่เป็นสานพันธุกรรม ส่วนโปรตีนท่ีเกาะอยู่กับดีเอ็นเอช่วยในการขดพันตัวของดีเอ็นเอ ทำให้เส้น โครมาทินหนาข้ึนและส้ันลงขณะเซลล์ทำการแบ่งเซลล์ จึงทำให้เห็นโครโมโซมมีลักษณะเป็นแท่งในเซลล์ที่กำลัง แบง่ ตัว ภาพท่ี 4 โครโมโซมและดีเอ็นเอ DNA เป็นกรดนิวคลิอิก ประกอบด้วยหน่วยย่อย เรียกว่า นิวคลีโอไทด์ (nucleotide) มีโครงสร้างพ้ืนฐาน ประกอบดว้ ย 1) นำ้ ตาล ใน DNA จะมนี ้ำตาลชนดิ ดีออกซไี รโบส ซึ่งมีคาร์บอน 5 อะตอม 2) ไนโตรจีนัสเบส มี 4 ชนิด ได้แก่ อะดีนีน (adenine หรือ A) ไทมีน (thymine หรือ T) ไซโทซีน (cytosine หรอื C) และกวานีน (guanine หรือ C) 3) หมู่ฟอสเฟตDNA ประกอบด้วยนิวคลีโอไทด์หลายนิวคลีโอไทด์เรียงต่อกันเป็นสายยาวสองสายพันกัน เป็นเกลียวคู่วนขวา แต่ละนิวคลีโอไทด์ภายในสายเดียวกันจะเชื่อมต่อกันระหว่างหมู่ฟอสเฟตและน้ำตาบ ส่วน ระหว่างสายยาวสองสายจะยึดกันด้วยพันธะระหว่างหมู่เบสท่ีเหมาะสม คือ เบสอะดีนีนจับคู่กับเบสไทมีน (A-T) และเบสไซโทซนี จับคู่กบั เบสกวานนี (C-G)

28 ภาพที่ 5 โครงสร้างของ DNA 3. การแบ่งเซลล์ การแบ่งเซลล์ของส่ิงมีชีวิตพวกยูคาริโอตประกอบด้วย 2 ขั้นตอน คือ การแบ่งนิวเคลียส (karyokinesis) และการแบ่งไซโทพลาซึม (cytokinesis) การแบ่งนิวเคลียสสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 แบบ คือ การแบ่งนิวเคลียส แบบไมโทซสิ (mitosis) และการแบ่งนิวเคลยี สแบบไมโอซิส (meiosis) 3.1 การแบง่ เซลล์แบบไมโทซิส (mitosis) การแบ่งนิวเคลียสแบบไมโทซิส เป็นวิธีการแบ่งที่ทำให้จำนวนโครโมโซมในนิวเคลียสเท่าเดิม มักเป็นการ แบ่งเซลลข์ องรา่ งกายหรือเปน็ การแบ่งเพ่ือการเจรญิ เตบิ โต เช่น ในเซลลพ์ ชื จะพบในปลายรากและปลายยอด การแบ่งเซลล์แบบไมโทซสี ประกอบดว้ ยระยะใหญ่ ๆ 2 ระยะ คอื 1. ระยะอินเตอร์เฟส (Interphase) ระยะท่ีเซลล์เตรียมพร้อมท่ีจะมีการแบ่งเซลล์ แบ่งออกเป็นระยะ ยอ่ ย ๆ 3 ระยะ คอื 1.1 ระยะจี 1 ( G1 – Phase ) เป็นระยะพักของเซลล์ก่อนที่จะมีการสังเคราะห์ DNA ในระยะน้ี เซลล์ มีการสะสมสารต่าง ๆ ท่จี ำเปน็ ต่อการสังเคราะห์ DNA 1.2 ระยะเอส ( S- phase ) เป็นระยะท่ีมีการจำลองตัว DNA ( DNA duplication หรือ DNA replication ) 1.3 ระยะจี 2 ( G2 – Phase ) เป็นระยะส้ินสุดการสังเคราะห์ DNA DNA จะมีลักษณะเป็นเส้นใย เรยี ก เส้นใยโครมาตนิ ( Chromatin network )

29 ภาพท่ี 6 การจำลองตัวของโครโมโซม 2. ระยะการแบง่ เซลล์ ประกอบดว้ ยระยะต่าง ๆ 4 ระยะ ดงั นี้ 2.1 ระยะโพรเฟส ( Prophase ) โครโมโซมจะหดสั้นเข้ามีลักษณะเป็นแท่งเห็นชัดว่า 1 โครโมโซม ประกอบด้วย 2 โครมาทิด ระยะนี้เยื่อหุ้มนิวเคลียสและนิวคลีโอลัสเร่ิมสลายไป ในเซลล์สัตว์เซนทริโอล (Centriole) จะสร้างไมโทติกสปินเดิล ( mitotic spindle) เป็นรัศมีท่ีเรียกว่า แอสเทอร์ ( aster ) ในพืชช้ันสูงไม่ มีเซนทรโิ อล แตจ่ ะมกี ารสร้างไมโทตกิ สปินเดลิ จากบริเวณขั้วของเซลล์เรยี ก โพลาร์แคป ( Polar cap) 2.2 ระยะเมทาเฟส ( metaphase ) เย่ือหุ้มนิวเคลียสและนิวคลีโอลัสสลายไป ไมโทติกสปินเดิลจะมาเกาะที่ เซนโทรเมยี ร์ของแต่ละโครโมโซม โครโมโซมจะเรยี งตวั กันตามแนวกึ่งกลางเซลล์ ทำให้เหน็ โครโมโซมชดั เจนที่สุด 2.3 ระยะแอนาเฟส ( anaphase ) ไมโทติกสปนิ เดลิ หดตัวส้ันเข้า ดงึ โครมาทดิ ให้แยกออกจากกันไปคนละขั้ว ของเซลล์ ทำใหโ้ ครโมโซมมรี ปู รา่ งตา่ ง ๆ กัน ขึน้ อยกู่ บั ตำแหน่งของเซนโทรเมยี ร์ 2.4 ระยะเทโลเฟส ( terophase ) โครโมโซมเคล่ือนที่ไปคนละข้ัวของเซลล์จะคลายตัวออกมีลักษณะคล้าย เส้นใย เย่อื หุ้มนวิ เคลียสและนิวคลีโอลัสเร่มิ ปรากฏ เป็นการเสร็จส้ินการแบง่ นวิ เคลียส หลงั จากน้นั จะแบ่งไซโทพลา ซมึ ภาพท่ี 7 แสดงการแบง่ เซลล์แบบไมโทซสิ

30 วัฏจกั รของเซลล์ ( Cell cycle ) ชว่ งระยะเวลาตัง้ แต่เซลลเ์ ตรยี มพร้อมที่จะมีการแบง่ เซลลแ์ ละมกี ระบวนการแบง่ เซลลจ์ นกระทง่ั สนิ้ สุดการแบง่ เซลล์ ภาพท่ี 8 วฏั จกั รของเซลล์ ( Cell cycle ) 3.2 การแบง่ เซลล์แบบไมโอซสิ (meiosis) การแบ่งนิวเคลียสแบบไมโอซิส (meiosis) เป็นการแบ่งที่ลดจำนวนโครโมโซมลงครง่ึ หน่ึง เพื่อสรา้ ง เซลล์สืบพันธ์ุใช้ ในการสบื พนั ธุแ์ บบอาศยั เพศ แบง่ ออกเป็น 2 ระยะใหญ่ ๆ คอื 1. ไมโอซิส I ( meiosis I) เป็นการแบ่งเพื่อลดจำนวนโครโมโซมจาก 2n (diploid) เหลือ n (haploid) และจาก 1 เซลลไ์ ด้เซลลเ์ กดิ ขน้ึ 2 เซลล์ จำนวนโครโมโซมเซลล์ละ n แบง่ ออกเปน็ ระยะต่าง ๆ ดังน้ี 1.1 ระยะอินเตอรเ์ ฟส I ( interphase I) เปน็ ระยะท่ีโครโมโซมจำลองตัวเองขึ้นมาอีกหน่งึ ชดุ โดย 1 โครโมโซมประกอบด้วย 2 โครมาทดิ และติดกนั ตรงตำแหน่งเซนโทรเมยี ร์ 1.2 ระยะโพรเฟส I ( prophase I) มีการเปลี่ยนแปลงคลา้ ยกบั การแบ่งเซลลแ์ บบไมซสิ คอื โคร มาทินขดตวั ส้ันลงและหนาขึ้น เซนโทรโซมเคลอื่ นห่างจากกันไปอยู่ดา้ นตรงข้ามกัน เยื่อหุม้ นวิ เคลียสและ นวิ คลโิ อลัสเรมิ่ สลายตวั ส่วนทแ่ี ตกต่างจากไมโทซิส คอื โครโมโซมทเี่ ปน็ ฮอมอโลกสั โครโมโซมมี 4 โครมา ทิด และอาจเกิดการไขว้กันของโครมาทิด เรียกว่า ครอสซิงโอเวอร์ (crossing over) ตำแหน่งท่ีไขว้กัน เรียกว่าไคแอสมา (chiasma) เป็นผลให้เกิดการแลกเปล่ียนชน้ิ สว่ นของโครมาทิดต่างเส้นท่อี ยชู่ ิดกนั ทำให้ สารพนั ธกุ รรมถูกแลกเปลี่ยนกนั ได้ ภาพท่ี 9 การเกิดครอสซงิ โอเวอร์

31 1.3 ระยะเมทาเฟส I (metaphase I) ระยะนี้แสดงเส้นใยสปินเดลิ ทย่ี ึดตดิ เกาะกบั ฮอมอโลกัสโครโมโซม จะจัดให้โครโมโซมเรียงตัวกันเป็นคู่ๆ อยู่บริเวณกึ่งกลางของเซลล์ โดยมีเซนโทรโซมอยู่ด้านตรงข้ามของเซลล์ เช่ือมตอ่ กนั ด้วยเสน้ ใยสปินเดิล ปลายอกี ด้านหนงึ่ ของเส้นใยสปินเดิลเกาะทีไ่ คนีโทคอร์ของแตล่ ะโครโมโซม 1.4 ระยะแอนาเฟส I (anaphase I) ระยะนี้มกี ารแยกโครโมโซมออกจากกนั คลา้ ยกับการแบง่ เซลล์แบบ ไมโทซิส โดยโครโมโซมที่เข้าคู่แยกออกจากกันไปด้านตรงข้ามของเซลล์ โดยแต่ละโครโมโซมประกอบด้วย 2 โคร มาทดิ 1.5 ระยะเทโลเฟส I (telophase I) ระยะน้ีมีการสร้างเย่ือหุ้มนิวเคลียสมาล้อมรอบโครโมโซมได้ นิวเคลยี สใหม่ 2 นิวเคลียสและมีการสร้างนิวคลโิ อลัสขนึ้ มาใหม่ แต่ละโครโมโซมมี 2 โครมาทิด จำนวนโครโมโซม ในระยะนี้จะลดลงคร่ึงหนึ่ง ถ้าเซลล์เรม่ิ ต้นมีจำนวนโครโมโซมเป็น 2n เซลล์ใหม่ที่ได้จากการแบ่งเซลล์จะมีจำนวน โครโมโซมเปน็ n เม่อื ใกล้สนิ้ สดุ ระยะเทโลเฟส ทงั้ เซลล์พืชและเซลล์สัตว์จะเกิดการแบ่งไซโทพลาสซมึ เช่นเดียวกับการแบ่งเซลล์แบบ ไมโทซิส ภาพท่ี 10 การแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส I 2. ระยะไมโอซิส II ( meiosis II) ไมโอซิส II เกิดขน้ึ ต่อเน่ืองจากไมโอซิส I โดยไมม่ ีการจำลองโครโมโซม การแบ่งนิวเคลียสในไมโอซสิ II ประกอบดว้ ยระยะต่างๆ ไดแ้ ก่ โพรเฟส II เมทาเฟส II แอนาเฟส II และเทโลเฟส II การแบ่งไซโทพลาสซึม หลังจากไมโอซสิ II เกดิ ขนึ้ เชน่ เดยี วกบั การแบ่งแบบไมโทซิส เม่ือส้ินสุดการแบง่ เซลลแ์ บบไมโอซิสจะได้เซลลใ์ หม่ 4 เซลล์ แตล่ ะเซลลม์ ีโครโมโซมเปน็ ครง่ึ หนึง่ ของเซลล์เดิม

32 ภาพท่ี 10 การแบ่งเซลล์แบบไมโอซสิ II 4. โครโมโซมกับการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม โครโมโซมของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดจะมีจำนวนคงท่ี โครโมโซมประกอบด้วยโปรตีนและ DNA ส่วนของ DNA ท่ีควบคุมลักษณะทางพันธุกรรมของ ส่ิงมีชีวิตเรียกว่า ยีน DNA ทั้งหมดที่อยู่ในสิ่งมีชีวติ เรยี กวา่ จีโนม DNA เป็นพอลินิวคลีโอไทด์ 2 สายบิดเป็นเกลียว แต่ละสายเกิดจากนิวคลีโอไทด์ต่อกันเป็นสายยาว นิวคลีโอไทด์ ประกอบด้วย ไนโตรจีนัสเบส น้าตาลไรโบส และหมู่ฟอสเฟต DNA แตล่ ะโมเลกุลแตกตา่ งกนั ที่จำนวนของนิวคลีโอ ไทด์และลาดับของนิวคลีโอไทด์ DNA เป็นสารพันธุกรรม สามารถจำลองตัวเองขึ้นได้ใหม่ โดยมีโครงสร้างทางเคมี เหมือนเดมิ ในการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมจะมีหน่วยควบคุมลักษณะ (genetic unit) ควบคุมส่ิงมีชีวิตให้มี รูปร่างและลักษณะเป็นไปตามเผ่าพันธ์ุของพ่อแม่ เรียกว่า ยีน ดังน้ันยีนจึงทำหน้าท่ีควบคุมการถ่ายทอดลักษณะ ต่างๆ จากบรรพบุรุษไปสู่รุ่นหลาน ลักษณะต่างๆ ที่ถ่ายทอดไปน้ันพบว่าบางลักษณะไม่ปรากฎในรุ่นลูกแต่อาจจะ ปรากฏในรนุ่ หลานก็ได้ จึงมีผลทำให้เกิดความแตกต่างกันของลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมจนมีผลทำให้สง่ิ มีชีวติ เกิดความ หลากหลาย แต่การสะสมลักษณะทางพันธุกรรมจำนวนมากทำให้เกิดสปีชีส์ต่างๆ และสามารถดำรงเผ่าพันธ์ุไว้ได้ จนถึงปจั จุบัน สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่แต่ละชนิดประกอบข้ึนด้วยเพศท่ีแตกต่างกัน คือ เพศผู้และเพศเมีย ลูกที่เกิดขึ้น จะ พัฒนามาจากเซลล์เพศผู้ คือ สเปิร์ม (sperm) และเซลล์เพศเมีย คือ เซลล์ไข่ (egg) มารวมตัวกันเป็นไซโกต (zygote) โดยกระบวนการสบื พันธุ์ ดังนนั้ ยนี จากพ่อและแมน่ า่ จะมกี ารถา่ ยส่ลู กู ด้วยกระบวนการดังกล่าว 5. การถา่ ยทอดลักษณะทางพันธุกรรม 5.1 เพดดีกรี (pedigree) หรือพงศาวลี เป็นแผนผังในการศึกษาพันธุกรรมของคน ซ่ึงแสดงบุคคลต่างๆ ใน ครอบครัวดังแผนผัง

33 แผนผงั แสดงสญั ลักษณข์ องเพดดกี รี 5.2 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมโดยยีนบนออโทโซม (autosome) และยีนบนโครโมโซมเพศ (sex chromosome) ในร่างกายคนมีโครโมโซม 46 แท่ง มาจัดเป็นคู่ได้ 23 คู่ โดยแบ่งเป็น 2 ชนิด คือ 1) ออโทโซม (autosome) คือ โครโมโซม 22 คู่ คู่ที่ 1 ถึง คู่ที่ 22 เหมือนกันท้ังเพศหญิงและเพศชาย 2) โครโมโซมเพศ (sex chromosome) คือ โครโมโซมอีก 1 คู่ (คู่ท่ี 23) สำหรับในเพศหญิงและเพศชายจะต่างกัน โดยเพศหญิงจะเป็น แบบ XX เพศชายจะเปน็ แบบ XY โดยโครโมโซม Y จะมีขนาดเลก็ กวา่ โครโมโซม X ยนี บนออโทโซม การถ่ายทอดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมจากยีนบนออโทโซม แบง่ ได้ 2 ชนดิ ดังนี้ 5.2.1 การถา่ ยทอดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมทค่ี วบคมุ โดยยีนเด่นบนออโทโซม ลักษณะการ ถ่ายทอดนจี้ ะถ่ายทอดจากชายหรือหญงิ ทีม่ ลี ักษณะพันธ์แุ ท้ ซ่งึ มยี นี เด่นทั้งคหู่ รือมียีนเด่นค่กู ับยนี ด้อยนอกจากนี้ยัง มีลกั ษณะผิดปกตอิ ืน่ ๆ ที่นำโดยยีนเด่น เช่น คนแคระ คนเป็นโรคทา้ วแสนปม เป็นตน้ ภาพท่ี 11 ลกั ษณะของคนเป็นโรคเทา้ แสนปม 5.2.2 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมท่ีควบคุมโดยยีนด้อยบนออโทโซม การถ่ายทอดลักษณะทาง พันธุกรรมที่ผิดปกติถูกควบคุมโดยยีนด้อย เม่ือดูจากภายนอกท้ังพ่อและแม่มีลักษณะปกติ แต่มียีนด้อยแฝงอยู่ เรยี กว่าเป็นพาหะ (carrier) ของลักษณะท่ผี ิดปกติ

34 โรคทเี่ กิดจากยีนด้อยบนออโทโซม เชน่ 1) โรคธาลัสซีเมีย เป็นโรคเลือดจางจากกรรมพันธุ์ที่มีความผิดปกติของเม็ดเลือดแดง คือ มีการ สังเคราะห์เฮโมโกลบินผิดไปจากปกติ อาจมีการสังเคราะห์น้อยกว่าปกติ จึงทำให้เม็ดเลือดแดงมีลักษณะผิดปกติ แตกง่าย อายุของเม็ดเลือดแดงสั้นลง อัตราเส่ียงหรือโอกาสของลูกท่ีจะเกิดมาเป็นโรคธาลัสซีเมีย หรือเป็นพาหะ ของโรค หรือเป็นปกติในแต่ละครอบครัวจะเท่ากันทุกคร้ังของการตั้งครรภ์ บางครอบครัวท่ีพ่อและแม่มียีนธาลัสซี เมียแฝงอยู่ ท้ังคู่มีลูก 7 คนเป็นโรคเพียงคนเดียว แต่บางครอบครัวมีลูก 3 คน เป็นโรคทั้ง 3 คน ขึ้นอยู่ว่าลูกที่เกิด มาในแต่ละครรภ์จะรับยีนธาลัสซีเมียไปจากพ่อและแม่หรือไม่ ท้ังๆ ที่อัตราเสี่ยงท้ัง 2 ครอบครัวน้ีเท่ากันและทุก ครรภ์กม็ คี วามเส่ยี งทจ่ี ะเปน็ โรคธาลสั ซีเมยี เท่ากับ 1 ใน 4 ดงั ภาพ ภาพที่ 12 แสดงลักษณะของเดก็ ที่เปน็ โรคธาลสั ซีเมีย ภาพที่ 13 แสดงการถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรมของโรคธาลสั ซีเมีย

35 2) ลักษณะผิวเผือก เป็นผลจากการขาดเอนไซม์ท่ีใช้ในการสังเคราะห์เม็ดสีเมลานิน จึงส่งผลให้ ผวิ หนัง เสน้ ผม นัยนต์ า และเซลล์ผวิ หนังมสี ขี าว ดงั รูป ภาพท่ี 14 แสดงลักษณะของเดก็ ผวิ เผอื ก ยนี บนโครโมโซมเพศ มรี ายละเอยี ดดังนี้ ตวั อย่างการถ่ายทอดยีนด้อยบนโครโมโซม X เชน่ ชายปกติแต่งงานกับหญิงปกติแต่เป็นพาหะของตา บอดสี ลูกท่เี กดิ มา มลี ักษณะอยา่ งไร

36 ใบงานที่ 1.1 หนว่ ยท่ี 1 รหัสวิชา 2000-1303 สอนครัง้ ท่ี 1 ชือ่ วิชา วิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาอาชพี ธุรกิจและบริการ ชอ่ื หน่วย การถา่ ยทอดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรม เวลารวม 6 ชั่วโมง ช่ืองาน ลักษณะทางพันธุกรรม จำนวน 6 ชวั่ โมง จดุ ประสงค์การเรียนรู้ จุดประสงค์ทั่วไป - สืบค้นข้อมูล อภิปรายและอธิบายเกี่ยวกับสารพันธุกรรม โครโมโซม และการถ่ายทอดลักษณะทาง พันธุกรรมได้ จดุ ประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม - เพ่อื ใหส้ ามารถสำรวจและระบลุ กั ษณะพนั ธกุ รรมทถ่ี า่ ยทอดจากรนุ่ ตา่ งๆในครอบครวั ผู้เรียน สมรรถนะรายหน่วย - แสดงความรู้และสำรวจตรวจสอบเกยี่ วกับหลกั การทางพนั ธกุ รรม เครือ่ งมอื วัสดุ-อุปกรณ์ -สมดุ ปากกา ดนิ สอ ยางลบ ท่ีใชใ้ นการบันทกึ ข้อมูล ลำดบั ขั้นตอนการปฏิบัตงิ าน 1. สำรวจลกั ษณะทางพันธกุ รรมบางลักษณะของเพ่อื นผู้เรยี นภายในห้องมีความเหมือนหรือแตกตา่ งกนั อยา่ งไร 2. สำรวจลักษณะทางพันธกุ รรมบางลักษณะของบุคคลภายในครอบครัวของผู้เรียนอยา่ งน้อย 3 รุ่นเชน่ ปู่ย่าตายายพ่อแม่พน่ี ้องมลี ักษณะอยา่ งไร 3. รายงานลักษณะท่ีสำรวจเปน็ แผนภาพการถา่ ยทอดแบบงา่ ยๆนำเสนอและอภปิ รายผลการสำรวจ ลักษณะเหลา่ นน้ั มคี วามเหมือนและแตกตา่ งกันอยา่ งไรระหว่างบุคคลในครอบครวั การประเมนิ ผล (ตอ้ งระบุเกณฑ์การประเมนิ ใหช้ ัดเจน) - ประเมนิ จากรายงานการสำรวจลกั ษณะพันธกุ รรมในครอบครัว - นักเรยี นทำรายงานได้ถูกต้อง รอ้ ยละ 50 ถือวา่ ผา่ น เอกสารอ้างองิ : จุติมา จนั ทร์ตระกลู และนภดล ทองอยู่สขุ . วิทยาศาสตร์เพ่อื พฒั นาอาชพี ธรุ กจิ และบริการ. กรุงเทพฯ : สำนกั พมิ พ์เอมพนั ธ์, 2556.

37 ใบกิจกรรมท่ี 1 หนว่ ยที่ 1 รหัสวชิ า 2000-1303 สอนคร้ังที่ 2 ชื่อวิชา วทิ ยาศาสตรเ์ พ่ือพัฒนาอาชพี ธรุ กจิ และบริการ ชือ่ หน่วย การถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธุกรรม เวลารวม 6 ชัว่ โมง ช่ืองาน ศกึ ษาโครโมโซมเซลล์ปลายรากหอม จำนวน 6 ช่วั โมง จุดประสงค์การเรียนรู้ จดุ ประสงคท์ ่ัวไป 1. สบื คน้ ขอ้ มูล อภปิ รายและอธิบายเก่ยี วกบั สารพันธุ โครโมโซม และการถ่ายทอดลักษณะทาง พนั ธกุ รรมได้ 2. ทำกจิ กรรมเพ่ือศึกษาการแบง่ เซลลแ์ บบไมโทซสิ และแบบไมโอซสิ ในเซลล์พชื ได้ จดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรม - เพ่อื ให้สามารถสำรวจและระบุลกั ษณะพนั ธกุ รรมทถ่ี า่ ยทอดจากร่นุ ตา่ งๆในครอบครวั ผู้เรยี น สมรรถนะรายหน่วย - แสดงความรู้และสำรวจตรวจสอบเก่ียวกับหลักการทางพันธกุ รรม เครอื่ งมือ วสั ดุ-อุปกรณ์ 1. กล้องจลุ ทรรศน์ 1 ชุด 2. สไลดถ์ าวรเซลลป์ ลายรากหอม 1 ชดุ ลำดบั กิจกรรม 1. ตรวจดูสไลด์ถาวรเซลล์ปลายรากหอมดว้ ยกล้องจุลทรรศน์โดยใชเ้ ลนสใ์ กล้วัตถทุ ี่มีกำลงั ขยายต่ำสดุ เลือก บริเวณสไลด์ทีเ่ ห็นนวิ เคลียสลกั ษณะตา่ งๆกันแลว้ จงึ ใช้เลนส์ใกล้วตั ถุทม่ี ีกำลงั ขยายสูงจนเห็นภาพชดั เจน 2. สังเกตความแตกตา่ งของนิวเคลยี สแต่ละเซลลแ์ ล้วบันทึกภาพนำมาเปรยี บเทยี บกบั ภาพถา่ ยแสดงนวิ เคลียส แตล่ ะเซลลข์ องรากหอมในระยะต่างๆของการแบ่งเซลล์ การประเมินผล (ต้องระบเุ กณฑก์ ารประเมนิ ให้ชัดเจน) - นกั เรียนทำการทดลองและบันทึกผลการทดลองได้ถูกตอ้ งครบถว้ น ถือวา่ ผา่ น เอกสารอา้ งองิ : จตุ มิ า จันทร์ตระกลู และนภดล ทองอยสู่ ุข. วทิ ยาศาสตร์เพ่ือพฒั นาอาชีพธุรกิจและบริการ. กรุงเทพฯ : สำนกั พิมพ์เอมพันธ์, 2556.

38 ใบมอบหมายงานที่ 1 หน่วยที่ 1 รหัสวชิ า 2000-1303 สอนคร้งั ท่ี 2 ชอ่ื วิชา วทิ ยาศาสตรเ์ พื่อพัฒนาอาชีพธรุ กิจและบรกิ าร ชื่อหน่วย การถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรม ช่ืองาน มวิ เทชันของสิง่ มชี ีวิต จดุ ประสงค์การมอบหมายงาน - เพื่อสบื ค้นข้อมูล อภปิ รายและอธบิ ายเกย่ี วกับลักษณะทางพันธุกรรม ความแปรผันทางพนั ธกุ รรม การ เกดิ มิวเทชันได้ แนวทางการปฏิบัตงิ าน -ใหน้ กั เรยี นศึกษาข้อมูลจากหนังสอื และในอนิ เตอร์เนต็ เพอื่ ใชเ้ ป็นแนวทางในการตอบคำถาม แหลง่ ค้นคว้า - หนงั สอื เรยี นวชิ าวิทยาศาสตร์เพ่ือพัฒนาอาชีพธุรกจิ และบริการ - อนิ เตอร์เน็ต กำหนดเวลาสง่ งาน - ก่อนเรียนคาบท่ี 7

39 แผนการจดั การเรยี นร้รู ายหน่วย รหสั วิชา 20000-1303 วชิ าวิทยาศาสตรเ์ พือ่ พัฒนาอาชพี ธรุ กิจและบริการ2(3) สอนคร้ังที่ 7-10 หน่วยท่ี 2 ช่ือหน่วยเทคโนโลยชี ีวภาพ เวลา 6 ช่ัวโมง ชวั่ โมงที่ 10-15 สปั ดาหท์ ่ี 4-5 1. สาระสำคัญ เทคโนโลยีชีวภาพ คือ การใช้ความรู้เก่ียวกับสิ่งท่ีมีชีวิตเพ่ือพัฒนาหรือสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์ หรือ \"การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใดๆ ท่ีใช้ระบบชีวภาพ เพื่อสร้างหรือปรบั เปลยี่ นผลิตภัณฑ์หรือกระบวนการสำหรับการ ใช้งานเฉพาะอย่าง ข้ึนอยู่กับเคร่ืองมือและการประยุกต์ใช้งาน มักคาบเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์สาขาอื่น ได้แก่ วิศวกรรมชีวภาพและวิศวกรรมชีวการแพทย์ซ่ึงมีความเกี่ยวข้องกับส่ิงมีชีวิต เทคโนโลยีชีวภาพส่วนใหญ่ใช้ใน การเกษตร อาหารและยา นอกจากน้ียังมีด้านเทคโนโลยีชีวภาพท่ีใช้ทำสารเคมีและผลิตภัณฑ์ที่เป็นประโยชน์ใน อุตสาหกรรม ตวั อย่างของเทคโนโลยีชีวภาพคือการใช้ปฏิกิริยาหมกั ในยสี ต์เพ่อื ทำเบียร์และเครือ่ งด่ืมแอลกอฮอลอ์ ื่น ๆ หรือการใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ท่ีผลิตโดยยีสต์เพ่ือให้ขนมปังฟูน่ารับประทาน เทคโนโลยีชีวภาพมักเก่ียวข้อง ทางพันธุวิศวกรรม ในศตวรรษที่ 21 การใช้งานน้ันขึ้นอยู่กับว่ามนุษย์ต้องการจะใช้เทคโนโลยีชีวภาพทำเพื่ออะไร ซง่ึ อาจเริ่มต้นด้วยการดัดแปลงพืชพื้นเมืองให้กลายเป็นพืชท่ีผลิตสารอาหารท่ีมีคุณประโยชน์ โดยผ่านการปรับปรุง ให้ดขี ึ้นผ่านการคัดเลือกสายพันธ์ุ และการผสมพันธ์ุ เทคโนโลยีชวี ภาพทำให้การโคลนน่ิงเปน็ ไปได้ หลายคนคิดวา่ นี่ เป็นเร่อื งผิดศีลธรรมในขณะท่ีคนอืน่ คิดวา่ มนั สามารถแก้ปัญหาด้านดา้ นสุขภาพเพอ่ื การรักษาได้หลายโรค สามารถ ใชเ้ พือ่ แก้ปญั หาทีเ่ รามมี ากมายในชวี ติ ประจำวัน ตง้ั แตป่ ระสทิ ธิภาพของผลติ ภณั ฑ์ไปจนถงึ การลดภาวะโลกร้อน เทคโนโลยีชีวภาพมีการใช้งานหลัก 4 ด้าน ได้แก่ ด้านการแพทย์ การผลิตพืชผล การเกษตร การใช้พืชและ ผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ไม่ใช่อาหาร ได้แก่ อุตสาหกรรมต่างๆ เช่น พลาสติกชีวภาพ น้ำมันพืช เชื้อเพลิงชีวภาพ ตัวอย่างเช่น การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีชีวภาพของส่ิงมีชีวิตเพ่ือการผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ เช่นเบียร์และ ผลิตภณั ฑน์ ม ไปจนถงึ การใช้เทคโนโลยชี ีวภาพในการรีไซเคิลบำบัดขยะมูลฝอยทำความสะอาดพืน้ ทท่ี ีป่ นเปื้อนจาก กิจกรรมทางอตุ สาหกรรม (bioremediation) มนุษย์ใช้ความรู้ทางเทคโนโลยีชีวภาพในการปรับปรุงพันธ์ุพืชและสัตว์ทำให้มีลักษณะตามต้องการ เช่น การปรับปรงุ พันธุ์พืชโดยการเพิ่มชุดโครโมโซม และยังใช้ความรู้ทางเทคโนโลยีชวี ภาพ เช่น พันธุวิศวกรรม และ การโคลนในการดัดแปลงพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต ทำให้ได้สิ่งมีชีวิตท่ีมีลักษณะตามที่มนุษย์ต้ องการ เทคโนโลยีชีวภาพเป็นกระบวนการหน่ึงท่ีทำให้มีความหลากหลายของส่ิงมีชีวิตเพ่ิมขึ้น ซ่ึงอาจเป็นทั้งผลดีและ ผลเสยี ต่อความหลากหลายของส่ิงมีชวี ิต ดงั นน้ั ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีชีวภาพจึงเป็นความหวังหนง่ึ ท่จี ะพัฒนา สง่ิ มชี ีวิตตา่ งๆ ให้มปี ระโยชน์ มปี ระสทิ ธิภาพ และมีคุณภาพดีขน้ึ ตามทีม่ นษุ ย์ต้องการ 2. สมรรถนะประจำหน่วย 1. แสดงความรูแ้ ละสำรวจตรวจสอบเก่ยี วกับความหมายของเทคโนโลยีชีวภาพ ประโยชน์ของ เทคโนโลยชี ีวภาพ พนั ธุวศิ วกรรม การผสมเทียม การถา่ ยฝากตัวอ่อน การโคลนนิง่ และผล ของเทคโนโลยชี วี ภาพตอ่ สงั คมและสิง่ แวดล้อม 2. สำรวจตรวจสอบ สบื คน้ ขอ้ มูลประโยชนห์ รอื การประยกุ ตใ์ ชเ้ ทคโนโลยีชวี ภาพ

40 3. จุดประสงค์การเรยี นรู้ 3.1 จุดประสงค์ทั่วไป 3.1.1 เพ่ื อให้ มี ความรู้และสำรวจต รวจสอบ เกี่ ยวกับ ความ ห มายของเท ค โน โลยีชี วภ าพ ประโยชน์ของเทคโนโลยีชีวภาพ พันธุวิศวกรรม การผสมเทียม การถ่ายฝากตัว อ่อน การโคลนน่งิ และผลของเทคโนโลยชี วี ภาพต่อสังคมและส่ิงแวดลอ้ ม 3.1.2 เพื่อให้มีทกั ษะเก่ียวกับการนำเทคโนโลยีชวี ภาพไปใช้ประโยชนใ์ นชวี ิตประจำวัน 3.1.3 เพ่ื อให้ มีเจตคติที่ดีต่อการศึกษ าและสำรวจตรวจสอบโดยการใช้กระบ วน การท าง วิทยาศาสตร์ ประยุกต์ใช้หลักความมีเหตุผล ความพอประมาณ และหลักความมี ภูมิคุ้มกันในการปฏิ บัติงาน มีพ ฤติกรรม ลักษ ณ ะนิสัยในการปฏิบั ติงานด้วยความ รับผิดชอบ มีความซื่อสัตย์ มีความใฝ่รู้ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ละเอียดรอบคอบ ปลอดภัยและสามารถทำงานรว่ มกบั ผูอ้ ื่นได้ 3.2 จดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม 3.2.1 อธิบายความหมายของเทคโนโลยชี ีวภาพได้ 3.2.2 อธิบายประโยชนข์ องการนำเทคโนโลยชี วี ภาพใช้ในด้านการเกษตรและ อาหาร ด้านการแพทย์และสุขภาพ ดา้ นอุตสาหกรรม ดา้ นสง่ิ แวดล้อม และดา้ นพลังงานได้ 3.2.3 อธบิ ายความหมายของพันธวุ ิศวกรรมและการนำไปใช้ประโยชน์ได้ 3.2.4 อธบิ ายวิธีการและขอ้ ดี ข้อเสียของการผสมเทียมได้ 3.2.5 อธบิ ายวธิ ีการและขอ้ ดี ขอ้ เสยี ของการถ่ายฝากตัวอ่อนได้ 3.2.6 อธิบายวิธีการและข้อดี ข้อเสียของการโคลนน่งิ ได้ 3.2.7 น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งไปใช้ในการปฏบิ ตั งิ าน 3.2.8 มคี วามสนใจใฝร่ ู้ มีเหตผุ ล เพียรพยายาม รอบคอบ ซือ่ สตั ย์ และทำงานกับผอู้ ่นื ได้ 3.3 การบูรณาการคุณธรรมจรยิ ธรรม และคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ 3.3.1 เข้าชั้นเรียนตรงตอ่ เวลา 3.3.2 แสวงหาความร้อู ยา่ งสม่ำเสมอ 3.3.3 ปฏิบตั งิ านด้วยความรบั ผดิ ชอบ ซอื่ สตั ย์ ใฝ่รู้ มีความคดิ ริเริม่ สรา้ งสรรค์ ละเอยี ด รอบคอบ ปลอดภยั และสามารถทำงานร่วมกบั ผอู้ ื่นได้ 3.4 การบูรณาการหลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง 3.4.1 ความพอประมาณ 1) เลือกวธิ กี ารใชเ้ ทคโนโลยชี วี ภาพให้เหมาะสมกบั ท้องถ่ิน 2) อภปิ รายผลกระทบการใชเ้ ทคโนโลยีท่ีมีตอ่ ส่งิ มีชีวิตและสิ่งแวดล้อม 3.4.2 ความมเี หตผุ ล 1) วิเคราะห์ผลกระทบของเทคโนโลยีชีวภาพที่มีต่อสงั คมและสิ่งแวดล้อม 2) วิเคราะหข์ ้อดีข้อเสียของวิธีการทางเทคโนโลยีชวี ภาพดา้ นต่างๆ โดยคำนงึ ถึง ความเหมาะสมและคุ้มค่า 3) วิเคราะห์ความเสยี งของสงิ่ มีชวี ติ ดัดแปรพันธุกรรม (GMOs)

41 3.4.3 การมีภมู ิค้มุ กันในตัวทด่ี ี 1) ผู้เรียนเลง็ เห็นความสำคัญของเทคโนโลยชี วี ภาพ โดยคำนึงถึงผลดีผลเสยี ทเ่ี กดิ กับส่งิ มชี ีวิตและส่ิงแวดลอ้ ม 3.4.4 เงอ่ื นไขความรู้ 1 ) ผู้ เรี ย น มี ค ว า ม รู้ ค ว า ม เข้ า ใจ ท่ี ถู ก ต้ อ ง ใน เร่ื อ ง เก่ี ย ว กั บ ค ว า ม ห ม า ย ข อ ง เทคโนโลยีชีวภาพ ประโยชน์ของเทคโนโลยีชีวภาพ พันธุวิศวกรรม การผสม เที ยม การถ่ายฝากตัวอ่อน การโคล น นิ่ ง แล ะผลของ เท คโน โล ยีชี วภ าพ ต่ อ สังคมและสิง่ แวดลอ้ ม 3.4.5 เงือ่ นไขคุณธรรม 1) ผเู้ รยี นมีความรับผิดชอบ ซอื่ สตั ย์ ใชส้ ติปญั ญาในการศึกษาเล่าเรียน สืบเสาะ แสวงห าความรู้ด้วยต้นเอง มีคว ามขยัน อดทน มีความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ ละเอียดรอบคอบ ประหยัด รู้จักแบ่งปัน และสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ 4. สาระการเรียนรู้ 4.1 ความหมายของเทคโนโลยีชีวภาพ 4.2 ประโยชน์ของเทคโนโลยชี ีวภาพ 4.2.1 ด้านการเกษตรและอาหาร 4.2.2 ดา้ นการแพทย์และสขุ ภาพ 4.2.3 ด้านอตุ สาหกรรม 4.2.4 ดา้ นพลังงานและสิง่ แวดล้อม 4.3 พนั ธวุ ิศวกรรม 4.3.1 ประโยชน์ของพันธุวศิ วกรรม 4.3.2 โทษของพนั ธวุ ศิ วกรรม 4.4 การผสมเทยี ม 4.5 การถา่ ยฝากตัวออ่ น 4.6 การโคลนนิง่ 4.7 ผลของเทคโนโลยีชวี ภาพต่อสงั คมและสง่ิ แวดล้อม 5. กิจกรรมการเรยี นรู้ (สปั ดาหท์ ี่ 4) สอนคร้ังที่ 1-2 (ชว่ั โมงท่ี 10-12) 17. ครูเช็คชื่อผู้เรียนตามใบรายช่ือ หลังจากน้ันชี้แจงจุดประสงค์การเรียนรู้ประจำหน่วยการเรียน หัวข้อต่างๆ ตาม สาระการเรยี นรู้ 18. ผเู้ รียนทำแบบทดสอบก่อนเรียนประจำหนว่ ย ขนั้ สนใจปญั หา (Motivation) 19. ครนู ำเขา้ สบู่ ทเรยี นโดยการเปิด Power Point แสดงภาพสง่ิ มชี ีวิต GMOs ภาพแสดงกระบวนการเด็ก หลอดแกว้ ภาพสง่ิ มชี ีวติ โคลน ภาพการผสมเทียม ภาพลายพิมพ์ดเี อน็ เอ จากนนั้ ครูใชค้ ำถามนำเข้าสู่ บทเรยี น ดงั นี้

42 19.1 มีสิ่งมชี วี ติ ทเี่ กดิ จากการผสมข้ามสายพนั ธุ์หรอื ไม่ และทำได้อย่างไร 19.2 นักวทิ ยาศาสตรส์ ามารถสร้างส่งิ มชี วี ติ ที่มีลักษณะเหมือนกันทกุ ประการไดห้ รือไม่ 19.3 มวี ธิ กี ารท่ที ำให้สามารถมีลูกไดโ้ ดยไมต่ อ้ งต้งั ครรภ์หรอื ไม่ 19.4 ทำอยา่ งไรจึงจะสามารถเพมิ่ จำนวนต้นพนั ธ์พุ ชื ท่ตี ้องการในปรมิ าณมากในเวลาอนั รวดเร็ว 19.5 และถ้าเราทำสงิ่ ตา่ งๆ เหล่าน้ี สำเร็จจะเกิดผลดีหรือผลเสียอย่างไรได้บา้ ง ข้ันให้เน้ือหาขอ้ มลู (Information) 20. ครูนำให้ผู้เรียนให้ร่วมกันอภิปราย สิ่งที่ทำให้มีพัฒนาการด้านการเกษตร เกี่ยวกับการขยายพันธุ์พืช พันธุ์ สัตว์ การปรับปรุงพันธุ์สิ่งพืชและสัตว์ ซ่ึงมีการประยุกต์ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีและการนำชิ้นส่วนของ ส่งิ มชี วี ิตและสรุปเก่ยี วกบั ความหมายของเทคโนโลยีชีวภาพ 21. ครูอธิบายเพม่ิ เติมเกย่ี วกบั ความหมายของเทคโนโลยีชีวภาพ วา่ เป็นเทคโนโลยที างวทิ ยาศาสตรร์ ูปแบบหนึ่ง ที่มีหลายวิธีการ โดยใช้สิ่งมีชีวิตหรือช้ินส่วนชองส่ิงมีชีวิต ในการผลิตเพ่ือเพ่ิมผลผลิตปรับปรุ งและพัฒนา พันธ์ุพืช สัตว์และจุลินทรีย์อันเป็นประโยชน์ต่อการเกษตร การแพทย์ สาธารณสุข อุตสาหกรรม และสิ่ง แวดช้อมเก่ยี วกบั การนำเทคโนโลยมี าใช้กับสงิ่ มีชีวติ 22. ครูอธิบายเกี่ยวกับประโยชน์ของเทคโนโลยีชีวภาพด้านการเกษตร ด้านอุตสาหกรรม ด้านพลังงานและ สิ่งแวดลอ้ ม โดยใช้สอ่ื ประกอบแสดงด้วยสไลด์ Power Point เพ่ือใหผ้ ู้เรยี นเกิดการเรียนรแู้ ละมคี วามเข้าใจ มากขนึ้ 23. ผู้เรียนศึกษาทำความเข้าใจ อภิปรายถามตอบ และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกันสรุปเกี่ยวกับประโยชน์ และความสำคญั ของเทคโนโลยชี ีวภาพ 24. ครูอธิบายให้ความรู้เรื่องพันธุวิศวกรรม ประโยชน์และโทษของพันธุวิศวกรรม โดยใช้ส่ือ Power Point ประกอบการบรรยาย 25. ผู้เรียนศึกษาทำความเข้าใจ และอภิปรายถามตอบ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ แสดงความคิดเห็น และสรุปร่วมกัน เกย่ี วกับความหมาย ประโยชนแ์ ละโทษของพนั ธวุ ิศวกรรม 26. ครูสรปุ เน้อื หารว่ มกับผเู้ รยี นเก่ยี วกับลักษณะพันธกุ รรมและการถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธุกรรม ขั้นพยายาม (Application) 27. ครูประเมินผ้เู รียนจากการที่ได้ร่วมกันอภิปรายสรปุ และซักถามผ้เู รียน พร้อมกบั เปิดโอกาสให้ผู้เรียนซกั ถาม ในเรื่องทมี่ ขี อ้ สงสัย 28. ครูชี้แจงและอธิบาย ใบกิจกรรมท่ี 2.1 เรื่อง ความหมายและประโยชน์ของเทคโนโลยีชีวภาพ และ มอบหมายให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติ ภายในเวลาท่ีกำหนด โดยครูเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ซักถามข้อสงสัย ระหว่างท่ีผู้เรียนทำกิจกรรมที่ 2.1 เสร็จให้นำส่งครูผู้สอน กรณีผู้เรียนท่ีไม่ส่งภายในเวลาท่ีกำหนด มีการ จำแนกด้วยสหี มกึ ทใี่ ชข้ ณะตรวจงาน ข้ันสำเร็จผล (Progress) 29. ครปู ระเมินผลการทำกจิ กรรมและนำเสนอข้อมลู ใหค้ ะแนนผูเ้ รียน เป็นรายกลุ่ม 30. ครูมอบหมายงาน ตามใบกิจกรรมที่ 2.2 ให้ผู้เรียนศึกษาข้อมูลโดยการสืบค้นจาก Internet เก่ียวกับวิธีการ ต่างๆ ทางเทคโนโลยีชีวภาพ ได้แก่ การผสมเทียม การย้ายถ่ายฝากตัวอ่อน เด็กหลอดแก้ว การโคลนน่ิง

43 การเพาะเล้ียงเน้ือเยื่อ สิ่งมีชีวิต GMOs และสเต็มเซล ประเด็นศึกษา ได้แก่ ลักษณะสำคัญ ขั้นตอน วธิ กี าร การนำไปใชป้ ระโยชน์ ข้อดแี ละข้อเสียของแตล่ ะวธิ ีการทางเทคโนโลชวี ภาพ สอนคร้งั ท่ี 3-4 (ชวั่ โมงที่ 13-15) 1. ครูเช็คชื่อผู้เรียนตามใบรายช่ือ หลังจากนั้นทบทวนความรู้เดิมท่ีได้จัดการเรียนการสอนครั้งท่ีผ่านมา ตาม หวั ข้อตา่ งๆ ในสาระการเรยี นรู้ ทคี่ รูได้บนั ทึกการสอนไว้ 2. ครูให้ผู้เรียนส่งงานที่ได้มอบหมายไว้ในคร้ังที่ผ่านมา คือ ใบกิจกรรมท่ี 2.2 เรื่องการสืบค้นจาก Internet เกี่ยวกับวิธีการต่างๆ ทางเทคโนโลยีชีวภาพ ใช้สีแดงป๊ัมตรายางเป็นสัญลักษณแสดงให้เห็นว่าใบงานฉบับนี้ สง่ ตรงตามกำหนดเวลา ข้ันสนใจปญั หา (Motivation) 3. ครตู ้ังคำถามถามผู้เรยี น โดยรวมแบบไม่เจาะจงผู้ตอบ เกี่ยวกบั วิธกี ารต่างๆ ทางเทคโนโลยชี วี ภาพ ตามท่ี ได้ความรู้จากงานสบื ค้นที่สง่ มา ขนั้ ศึกษาข้อมลู (Information) 4. ครูใช้กลยุทธ์ “One answer free score for group” หรือตอบ 1 ได้คะแนนท้ังกลุ่ม โดยจัดกลุ่มผู้เรียนเป็น กลุ่ม กลุ่มละ 3 คน เป็นสมาชิกกลุ่มเดียวกัน จากนั้นครูถามคำถามในเร่ืองเกี่ยวกับงานท่ีให้ได้มอบหมายให้ ผู้เรียนได้สืบค้นมา สมาชิกกลุ่มใดสามารถตอบได้ทุกคนจะมีคะแนนพิเศษให้ด้วย เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ผู้เรียน ทกุ คนมคี วามกระตอื รือร้นช่วยกันตอบคำถาม โดยกลุม่ ทต่ี อบเรว็ และตอบได้ถูกตอ้ งจะได้คะแนนไป 5. ครูกล่าวชมเชยผู้เรียนกลุ่มที่ได้คำแนนสูงสุด โดยเฉพาะผู้ที่ตอบคำถามได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าผู้เรียนคน นั้นได้สืบค้นความรู้ตามท่ีได้รับมอบหมาย และได้อ่านทบทวนทำความเข้าใจเน้ือหาที่ได้ค้นคว้ามาเป็นอย่างดี หลังจากน้ันจึงกลา่ วชมเชยผเู้ รยี นทุกคนทไ่ี ด้สืบค้นหาขอ้ มูลความรู้ตามที่ไดร้ ับมอบหมายและช่วยกันตอบคำถาม ตามที่ครูได้จัดกิจกรรมการเรียนการสอนขึน้ 6. ผเู้ รียนร่วมกนั สรุปความรู้โดยมีครูเป็นผู้คอยให้คำแนะนำเพ่ิมเติม ในเร่ืองเกี่ยวกับ การผสมเทียม การยา้ ยถ่าย ฝากตัวอ่อน เด็กหลอดแก้ว การโคลนน่ิง การเพาะเลี้ยงเน้ือเยื่อ ส่ิงมีชีวิต GMOs และสเต็มเซล ประเด็นศึกษา ได้แก่ ลักษณะสำคัญ ข้ันตอน วิธีการ การนำไปใช้ประโยชน์ ข้อดีและข้อเสียของแต่ละวิธีการทางเทคโนโล ชีวภาพ ตามทไ่ี ด้สบื คน้ และตอบคำถามมา ข้นั พยายาม (Application) 7. ครูช้ีแจงและอธิบาย ใบกิจกรรมที่ 2.3 เร่ือง ความก้าวหน้าและผลของเทคโนโลยีชีวภาพที่มีต่อ สังคมและส่ิงแวดล้อม และมอบหมายให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติ ครูเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ซักถามข้อ สงสัยเมื่อผู้เรียนทำใบกิจกรรมที่ 2.3 เสร็จ ให้นำส่งครูผู้สอนตามเวลาท่ีกำหนด กรณีผู้ไม่ส่งภายใน เวลาทีก่ ำหนด มีการจำแนกดว้ ยสีหมกึ ที่ใชข้ ณะตรวจงาน ขน้ั สำเร็จผล (Progress) 8 ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปสาระสำคัญ เร่ือง ความก้าวหน้าและผลของเทคโนโลยีชีวภาพท่ีมีต่อ สงั คมและสิง่ แวดลอ้ ม โดยครสู ลับระหว่างการสรุปด้วยการถามคำถาม เกยี่ วกบั เนอ้ื หาทไ่ี ดเ้ รียนไป

44 9. ครทู บทวนความรคู้ วามเขา้ ใจเน้ือหาของผเู้ รียนดว้ ยการเฉลยคำถามชวนคิดและแบบฝึกหดั ทา้ ยบท ในหนงั สอื เรยี น ในหนว่ ยการเรยี นท่ี 2 เรอื่ งเทคโนโลยีชวี ภาพ และกระตุน้ ให้ผูเ้ รียนได้เรียนอยา่ ง สนุกดว้ ยการเลน่ เกมตอบคำถามออนไลน์บนเว็บไซต์ Kahoot ซ่ึงสามารถเปน็ เคร่ืองมือช่วยใน การประเมนิ ผลเกบ็ คะแนนผ้เู รียนเป็นรายบุคคล หรอื รายคูก่ ็ไดข้ น้ึ อยู่กับสถานะการ และ ทรพั ยากร 10. ค รูบั น ทึ ก ค ะแ น น ข อ งผู้ เรีย น ท่ี ได้ จาก ก ารต อ บ ปั ญ ห าใน เก ม ก ารท ำแ บ บ ฝึ ก หั ด ใน ห นั งสื อ ประกอบการเรียนตามกิจกรรมคำถามชวนคิดและแบบฝึกหัดท้ายบท รวมทั้งนับรอยป๊ัมท่ีครูได้ ตรวจให้คะแนบนใบกจิ กรรมการเรียนรทู้ ่ี 2.1 , 2.2 และ 2.3 เพ่ือแสดงวา่ สง่ งานตามเวลา 11. ให้ผู้เรียนทำการทดสอบหลังเรียนประจำหน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เร่ืองเทคโนโลยีชีวภาพเพ่ือประเมินผลการ เรยี นรปู้ ระจำหน่วย ข้นั สำเร็จผล (Progress) 12. ครูแจง้ คะแนนพรอ้ มกบั บนั ทึกคะแนนการตอบปญั หาเกมสอ์ อนไลน์ 13. ตรวจและแจ้งคะแนนการทำแบบทดสอบให้ผู้เรยี นไดท้ ราบ และบันทึกคะแนน 14. บั น ทึ ก ผ ล ก ารป ระ เมิ น ใบ กิ จ ก รรม ด้ าน ค ว าม ถู ก ต้ อ งโด ย ค รูเฉ ล ย ห น้ าชั้ น เรีย น แ ล ะ ให้ ผู้เรียนสลับกันตรวจให้คะแนน และด้านการตรงต่อเวลาโดยนับจำนวนรอยป๊ั มท่ีมีสีหมึก ตา่ งกันตามทไี่ ดบ้ ันทึกไว้ในตอนส่งงาน 6. ส่อื และแหลง่ การเรียนรู้ 6.9 หนังสอื เรยี นวทิ ยาศาสตรเ์ พ่ือพัฒนาอาชีพธรุ กจิ และบรกิ าร 6.10 สอ่ื สไลด์ Power Point เรอ่ื งเทคโนโลยีชวี ภาพ 6.11 เกมตอบปัญหาออนไลน์ ทสี่ ร้างบนเวบ็ ไซต์ Kahoot ที่สอดคล้องกับเน้ือหาที่จดั การเรียนการ สอน และมลี กั ษณะคู่ขนานกับแบบทดสอบหลงั เรยี น 6.12 ใบความรู้ 6.13 ใบกิจกรรม 2.1, 2.2 และ 2.3 6.14 ใบงาน ให้สืบคน้ ความรู้ เรื่อง วิธีการทางเทคโนโลยีชีวภาพ 6.15 แบบทดสอบก่อนและหลงั เรยี นประจำ หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 2 7. หลักฐานการเรียนรู้ 7.1 หลักฐานความรู้ 7.1.1 ผลการทำแบบทดสอบหลงั เรียน 7.1.2 ผลคะแนนการตอบคำถามออนไลนร์ ายบุคคลหรอื รายคู่ 7.1.3 ผลคะแนนจากการปฏิบตั ิงานตามใบงาน ใบกจิ กรรม และใบมอบหมายงาน 7.2 หลกั ฐานการปฏิบัติงาน 7.2.1 ใบกิจกรรม ใบงาน และใบมอบหมายงาน 7.2.2 สมุดเชค็ ช่อื การเขา้ เรียนในวิชาและสมุดบนั ทึกการส่งงาน

45 8. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ 8.1 เครอื่ งมอื ประเมนิ 8.1.1 ใบงาน ใบกจิ กรรม ใบมอบหมายงาน 8.1.2 คำถามชวนคดิ ในหนังสอื เรียน 8.1.3 เกมตอบคำถามออนไลนบ์ น Kahoot 8.1.4 แบบทดสอบก่อน-หลังเรยี น 8.1.5 แบบสังเกตพฤตกิ รรมการปฏบิ ัติกจิ กรรมระหวา่ งเรียน 8.1.6 แบบประเมิน คุณธรรม จริยธรรม คา่ นยิ มและคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ 8.2 เกณฑ์การประเมนิ 8.2.1 ต้องทำงานทกุ ใบงาน ใบกจิ กรรม และใบมอบหมายงาน เกณฑ์ผา่ น 50% ขน้ึ ไป 8.2.2 เขยี นคำตอบทสึ่ มบูรณ์ในกิจกรรมคำถามชวนคิด ในหนังสอื เรียนอย่างครบถว้ นทุกข้อ 8.2.3 คะแนนแบบทดสอบหลังเรยี นเกณฑผ์ ่าน 60% ข้ึนไป 8.2.4 นักเรียนมีพฤติกรรมการปฏบิ ัติกิจกรรมกล่มุ ท่ีเหมาะสม ถือว่าผา่ น 8.2.5 นำเสนอผลงานไดช้ ดั เจน มีเนือ้ หาครบถ้วน ถูกตอ้ งสมบรู ณ์ ถอื วา่ ผ่าน 8.2.6 มคี ณุ ธรรมจริยธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ ทีเ่ หมาะสม ถือว่าผ่าน 9. เอกสารอา้ งอิง หนงั สอื เรยี นวชิ าวิทยาศาสตรเ์ พอ่ื พัฒนาอาชีพธรุ กิจและบรกิ าร รหสั วชิ า 20000-1303 10. บนั ทกึ ผลหลังการจัดการเรียนรู้ 10.1 ข้อสรุปหลังการจดั การเรียนรู้ ............................................................................................................. ................................................... ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................... ............................. ..................................................................................................... ........................................................... ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................

46 10.2 ปญั หาทพ่ี บ ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................... ................................................................. ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................... ................................................................. ............................................................................................................................. ................................... 10.3 แนวทางแกป้ ัญหา ..................................................................................................................................... ........................... ....................................................................................................... ......................................................... ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................... ................................................................. ............................................................................................................................. ................................... .......................................................................................................................................................... ...... ............................................................................................................................ .................................... ............................................................................................................................. ...................................

47 ใบความรู้ หนว่ ยท่ี 2 รหัสวิชา 20000-1303 ชือ่ วิชา วทิ ยาศาสตร์เพอ่ื พัฒนาอาชีพธุรกิจและบริการ ภาคเรียนที่ 1 ช่ือหน่วย เทคโนโลยชี ีวภาพ ช่ือเรื่อง เทคโนโลยชี วี ภาพ เวลารวม 6 ชั่วโมง จำนวน 6 ชั่วโมง จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ จดุ ประสงคท์ ั่วไป 1. สืบค้นข้อมูล อภิปรายและอธบิ ายเก่ียวกบั ความหมายของเทคโนโลยชี วี ภาพได้ 7. อธิบายความสำคัญของเทคโนโลยีชวี ภาพต่อดา้ นตา่ งๆ ได้ 8. อภิปรายเพื่อศึกษาวธิ ีการทางเทคโนโลยชี วี ภาพแบบตา่ งๆ ได้ 9. สืบค้นขอ้ มลู อภิปรายและอธิบายเก่ยี วกบั การผสมเทียม การยา้ ยถา่ ยฝากตัวอ่อน เดก็ หลอดแกว้ การโคลนนิง่ การเพาะเลี้ยงเนื้อเย่ือ ส่งิ มีชวี ิต GMOs และสเตม็ เซล ประเดน็ ศกึ ษา ไดแ้ ก่ ลกั ษณะสำคญั ขั้นตอน วธิ ีการ การนำไปใชป้ ระโยชน์ ขอ้ ดีและข้อเสียของแตล่ ะวธิ ีการ ทางเทคโนโลชวี ภาพ 10. อภิปรายผลของความกา้ วหน้าและผลของเทคโนโลยชี ีวภาพทมี่ ตี ่อสงั คมและส่ิงแวดล้อมได้ จดุ ประสงค์เชงิ พฤติกรรม 1. สำรวจและระบคุ วามหมายและความสำคัญของเทคโนโลยีชีวภาพได้ 2. บอกข้ันตอนวิธกี ารของการผสมเทยี ม การยา้ ยถ่ายฝากตัวอ่อน เดก็ หลอดแก้ว การโคลนนงิ่ การเพาะเล้ียงเนือ้ เยื่อ สิ่งมชี วี ติ GMOs และสเตม็ เซล และประเดน็ ศึกษา เกีย่ วกับ การ นำไปใชป้ ระโยชน์ ข้อดแี ละข้อเสยี ของแตล่ ะวิธีการทางเทคโนโลชวี ภาพ 3. เขยี นแผนภาพการทำโคลนน่ิงได้ 4. เขียนแผนภาพขัน้ ตอนการผสมเทยี มได้ 5. เขยี นแผนภาพขัน้ ตอนการทำเดก็ หลอดแกว้ ได้ 6. บอกประโยชน์ และโทษของวธิ ีการตา่ งๆ ทางดา้ นเทคโนโลยชี ีวภาพท่เี กี่ยวข้องกบั ดา้ นต่างๆ ได้ . 7. สำรวจตรวจสอบผลกระทบจากความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีชวี ภาพวธิ กี ารต่างๆ ท่มี ีต่อ สังคมและสง่ิ แวดล้อมได้ สมรรถนะรายหน่วย - แสดงความรู้และสำรวจตรวจสอบเกีย่ วกบั หลักการเกี่ยวกับเทคโนโลยชี วี ภาพได้

48 ใบความรู้ หน่วยที่ 2 เทคโนโลยีชีวภาพ 2.1 ความหมายของเทคโนโลยชี ีวภาพ เทคโนโลยชี ีวภาพ คอื เทคโนโลยีซึ่งนำเอาความรูท้ างดา้ นต่างๆของวทิ ยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้กบั ส่ิงมีชีวิต หรอื ช้ินส่วนของสิง่ มชี ีวิต หรอื ผลผลิตของส่งิ มีชวี ติ เพ่ือเปน็ ประโยชน์ตอ่ มนษุ ย์ไมว่ า่ จะเป็นทางการผลิตหรือทาง กระบวนการ ของสินคา้ หรอื บรกิ าร เพ่ือใช้ประโยชน์เฉพาะอย่างตามท่เี ราต้องการ โดยสามารถใชป้ ระโยชน์ ทางดา้ นตา่ งๆ เชน่ ดา้ นการเกษตร ด้านอาหาร ดา้ นสงิ่ แวดลอ้ ม ด้านทางการแพทย์ เป็นต้น 2.2 ประโยชน์ของเทคโนโลยชี วี ภาพ การนำเทคโนโลยชี วี ภาพมาใชใ้ หเ้ กิดประโยชนใ์ นด้านการเกษตร อุตสาหกรรม และโดยเฉพาะทางด้าน การแพทย์ใช้ประโยชน์มากท่ีสดุ ในการผลติ ยาชนิดใหม่ และวธิ ีการรกั ษาพยาบาลแบบใหม่ ดังต่อไปน้ี 2.2.1 ดา้ นการเกษตร 1) การผสมเทยี มและการถ่ายฝากตวั อ่อน กรมปศสุ ตั ว์ได้ปรบั ปรุงพนั ธ์ุโคนมดว้ ยเทคโนโลยชี วี ภาพ การผสมเทยี ม และการถา่ ยฝากตวั อ่อน ทำใหล้ ดการนำเข้าพันธุ์โคจากตา่ งประเทศได้ และได้ปรบั ปรงุ พันธ์ดุ ้วยการ ผลิตโคลูกผสม โคเนอ้ื และโคนม 3 สายเลอื ด 2) การปรับปรงุ พันธุ์ ไดม้ ีการสรา้ งสุกรสายพนั ธ์ใุ หม่ให้มลี ักษณะดี และเจริญเตบิ โตเรว็ ดว้ ยการ ปรับปรงุ สายพนั ธเ์ุ ปน็ สุกรลูกผสม เช่น สุกรสายพนั ธุป์ ากชอ่ ง B เป็นลูกผสมระหว่างพันธุ์เปีย 2.2.2 ด้านอตุ สาหกรรม 1) พนั ธวุ ิศวกรรม เป็นการตดั ต่อสายพันธ์ุพนั ธุกรรมทีม่ ีลักษณะดตี ามทต่ี ้องการและคัดเลอื กมาแลว้ เพือ่ การปรับปรุงส่งิ มชี ีวติ สายพนั ธใุ์ หม่ เพอื่ เพิม่ ผลผลติ ยารกั ษาโรค วัคซีน ยาต่อตา้ นเนื้องอก นำ้ ยาสำหรบั ตรวจ วนิ จิ ฉัยโรคและฮอร์โมนเรง่ การเจริญเตบิ โตของสตั ว์ 2) การถ่ายฝากตัวออ่ น เปน็ การเพ่ิมปริมาณและพฒั นาคณุ ภาพของโคเนือ้ และโคนม เพ่ือนำมาใช้ใน อุตสาหกรรมการผลิตนมโคและเน้อื โค เพ่อื แปรรปู เปน็ นมผงและอาหารกระป๋อง 3) การผสมเทียมสัตวน์ ้ำและสตั ว์บก การผสมเทยี มปลาเพ่ือเพิ่มปรมิ าณ และพัฒนาไปสอู่ ตุ สาหกรรม อาหารกระปอ๋ งและอาหารแปรรปู ต่อไป

49 2.2.3 ด้านอาหาร ปจั จบุ ันมอี าหารท่ีเป็นผลผลติ จากสงิ่ มชี ีวิตดดั แปรพันธุกรรมมาใช้ ดังน้ัน จงึ มีผู้เสนอใหต้ ิดฉลากวา่ เป็น อาหาร GMOs ใหผ้ ้บู รโิ ภคตดั สินใจเลอื กรับประทานเอง เชน่ 1) ข้าวที่มียนี ต้านทานแมลง 2) มะเขอื เทศซ่ึงมยี นี ทีท่ ำใหย้ ดื อายุการเก็บได้นานข้นึ 3) ถ่วั เหลอื งทม่ี ยี ีนต้านสารปราบวชั พชื 4) ขา้ วโพดท่ีมยี ีนต้านทานแมลง นอกจากน้ีได้มีการเพิ่มผลติ ภัณฑ์ท่แี ปรรปู จากผลผลิตจากสตั ว์ เขน่ เนย นมเปรยี้ ว โยเกิร์ต 2.2.4 ดา้ นการแพทย์ ในด้านการแพทยจ์ ะใช้เทคโนโลยชี วี ภาพดา้ นพนั ธุวิศวกรรมเปน็ สว่ นใหญ่ ดงั ตัวอย่างต่อไปน้ี 1) การตรวจวินิจฉัยโรคทม่ี ียนี เปน็ พาหะ เพ่ือตรวจสอบโรคทาลสั ซีเมยี โรคปญั ญาอ่อน โรคโลหติ จาง และ โรคมะเรง็ 2) การตรวจสอบความเปน็ พ่อ แม่ ลูก จากลายพมิ พ์ของยนี หรือทเี่ รียกวา่ การตรวจ DNA รวมไปถงึ การ สืบคน้ คดขี องกรมพิสจู น์หลกั ฐานในทางการแพทย์จาก DNA เพื่อหาตัวผู้กระทำความผดิ 3) การใชย้ ีนบำบดั โรค เช่น การรกั ษาผปู้ ่วยดว้ ยโรคมะเร็ง การรกั ษาโรคการทำงานผดิ ปกตขิ องไขกระดกู 4) การค้นหายนี ควบคุมการสร้างภูมิคุ้มกนั ยีนควบคมุ ความอว้ น และยนี ควบคุมความชรา 2.3 พนั ธวุ ศิ วกรรม (Genetic Engineering) พนั ธุวศิ วกรรม (genetic engineering) คือ กระบวนการทไ่ี ด้นำความรู้ต่างๆที่ได้จากการศกึ ษาชีววิทยาระดบั โมเลกุล หรือ อณชู ีววทิ ยา (molecular biology) นำมาประยกุ ต์ใช้ใน การปรบั เปลี่ยน, ดัดแปลง, เคล่อื นยา้ ย, ตรวจสอบ สารพนั ธกุ รรม[ดีเอ็นเอ (DNA)], ยีน(gene) และผลิตภณั ฑข์ องสารพันธุกรรมอย่างพวกอาร์เอ็นเอ(RNA) และโปรตนี ของสิง่ มชี วี ิต เพื่อนำมาใชใ้ ห้เปน็ ประโยชน์

50 2.3.1 ประโยชน์ของพนั ธุวิศวกรรม มีดังน้ี พนั ธุวิศวกรรม เป็นกระบวนการปรบั ปรุงพันธ์สุ ่ิงมีชีวติ ชนดิ พนั ธ์ุ (species) หนึ่ง โดยนำยนี จากอีกชนิด พนั ธุ์หนงึ่ ถ่ายฝากเข้าไป เพ่ือจดุ ประสงค์ท่ีจะใหส้ ามารถทำงานไดด้ ีขึน้ กระบวนการดังกล่าวมไิ ดเ้ กดิ ขึ้นตาม ธรรมชาติ ส่ิงมีชีวิตดงั กล่าวมชี อ่ื เรยี กว่า LMO (living modified organism) หรือ GMO (genetically modified organism) ปจั จุบนั การตดั แตง่ ยีนในพชื และสตั ว์ ได้เจรญิ ก้าวหนา้ ไปอย่างรวดเรว็ เป็นผลให้มีการพยายามนำ เทคโนโลยีนีไ้ ปประยุกต์ใชอ้ ย่างกว้างขวาง ดังตวั อยา่ งต่อไปน้ี 1) การเพมิ่ ผลผลติ โปรตนี ท่สี ำคญั และหายาก เช่น ฮอรโ์ มนอินซูลิน วคั ซนี คุ้มกนั โรคตบั อกั เสบชนดิ บี วัคซนี คุ้มกนั โรคปากเท้าเปื่อยตา่ งๆ เปน็ ต้น 2) การปรบั ปรุงพนั ธุข์ องจลุ ิทรีย์ทใ่ี ชใ้ นอตุ สาหกรรมบางประเภท เช่น การผลติ ยาปฏิชีวนะ การหมัก การกำจดั ศัตรพู ืชและสัตว์ เปน็ ต้น 3) การตรวจและแก้ไขความบกพร่องทางพันธุกรรมของมนษุ ย์ พืช และสัตว์ด้วยวธิ ที แี่ ม่นยำ และ รวดเร็วยงิ่ ขึน้ เช่น โรคเบาหวาน โรคโลหิตจาง โรคธาลัสซีเมยี ปญั ญาอ่อน และยนี เกดิ มะเร็ง 4) การปรบั ปรุงพนั ธุของสัตว์ เชน่ การนำยีนจากปลาใหญม่ าใส่ในปลาเลก็ แล้วทำใหป้ ลาเลก็ ตัวโต เรว็ ขน้ึ มคี ุณค่าทางอาหารดีข้ึน เป็นตน้ 2.4 การผสมเทียม (Artificial Insemination) การผสมเทยี ม (Artificial insemination) เป็นเทคโนโลยีท่ีนำมาใชก้ ับการสืบพันธแุ์ บบอาศยั เพศ ด้วย หลักการท่ีให้ตัวอสจุ ิกับไขไ่ ดผ้ สมกนั โดยไม่ต้องมกี ารรว่ มเพศกนั ตามธรรมชาติ วิธนี ที้ ำได้โดยให้มนษุ ยเ์ ป็นผฉู้ ดี เชอื้ อสจุ ิของสตั วเ์ พศผเู้ ข้าไปในอวยั วะสบื พันธ์ุของสัตวเ์ พศเมีย ในระยะทีก่ ำลังเปน็ สัด เพื่อใหเ้ กดิ การปฏสิ นธเิ ปน็ ผลให้ เกิดการตั้งท้องในสัตวเ์ พศเมียได้ ขอ้ ดขี องการผสมเทยี มสตั ว์ มดี งั นี้ 1) ไดส้ ตั วพ์ นั ธุด์ ีตามความต้องการ 2) ประหยัดน้ำเชอ้ื จากพ่อพันธุ์ เพราะสามารถใชน้ ำ้ ยาละลายนำ้ เชื้อเพ่ือเพ่มิ ปรมิ าณได้ 3) ประหยัดค่าใช้จา่ ยในการเลยี้ งพอ่ พันธุ์ หรือการส่งั ซ้ือพ่อพันธจ์ุ ากต่างประเทศ และการขนสง่ พ่อพนั ธุ์ไปผสม พนั ธุ์เปน็ ระยะทางไกลๆ 4) เป็นการแกป้ ัญหาการติดลกู ยากและตกลูกผดิ ฤดูกาล 2.5 การถา่ ยฝากตัวอ่อน (Embryo Transfer) การถ่ายฝากตัวอ่อน เป็นการพัฒนาจากการผสมเทียม เพ่ือให้ได้ปริมาณสัตว์พันธุ์ดีเพ่ิมขึ้นในระยะเวลาเท่า เดิม หลังการถ่ายฝากตัวอ่อนน้ัน จะต้องมีแม่พันธุ์ดีเป็นแม่ตัวให้ กับแม่ท่ีอุ้มท้องเป็นแม่ตัวรับ ซึ่งมีได้หลายตัวและ ไม่จำเป็นตอ้ งเป็นพนั ธุ์ดี แมต่ วั รบั จะมีหนา้ ที่รบั ตวั อ่อนจากแม่ตัวใหม้ าเจรญิ เติบโตภายในมดลูกจนคลอด การถ่ายฝากตัวอ่อนจะทำกับสัตว์ที่ตกลูกครั้งละ 1 ตวั และมีระยะเวลาในการอุ้มท้องนานๆ เช่น โค กระบือ เพือ่ ชว่ ยเพิ่มจำนวนสตั วใ์ นขณะทรี่ ะยะเวลาการอมุ้ ท้องเท่าเดมิ ข้อดขี องการถ่ายฝากตัวออ่ น มีดังน้ี 1) เพ่ิมผลผลติ ได้รวดเรว็ ในระยะเวลาเท่าเดมิ