Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รัฐสภาสารฉบับเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2562

รัฐสภาสารฉบับเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2562

Published by sapasarn2019, 2020-08-27 04:55:51

Description: รัฐสภาสารฉบับเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2562

Search

Read the Text Version

49 ความผิดฐานช่วยซ่อนเรน้ ชว่ ยจ�ำ หน่าย ช่วยพาเอาไปเสยี ซือ้ รับ จำ�น�ำ หรอื รับไวด้ ว้ ยประการใดซึง่ ของที่เป็นความผิดตามกฎหมายศลุ กากร ความผดิ ฐานชว่ ยซอ่ นเรน้ ชว่ ยจ�ำ หนา่ ย ชว่ ยพาเอาไปเสยี ซอ้ื รบั จ�ำ น�ำ   หรือรับไว้ด้วยประการใดซ่ึงของที่เป็นความผิดตามกฎหมายศุลกากร  เป็นความผิด ตามมาตรา ๒๔๖ แหง่ พระราชบญั ญตั ศิ ลุ กากร พ.ศ. ๒๕๖๐ ซง่ึ เดมิ เปน็ ความผดิ ตามมาตรา ๒๗ ทวิ แหง่ พระราชบญั ญตั ศิ ุลกากร พทุ ธศักราช ๒๔๖๙ โดยความผิดฐานนเ้ี ปน็ ความผิด ตอ่ เนือ่ งจากความผดิ ตามมาตรา ๒๔๒ มาตรา ๒๔๓ และมาตรา ๒๔๔ กล่าวคอื ผ้กู ระท�ำ ความผิดฐานนเ้ี ปน็ ผูท้ ่ีรบั ชว่ งของตอ่ มาจากผู้ที่ได้กระท�ำ ความผดิ ตามมาตรา ๒๔๒ มาตรา ๒๔๓ และมาตรา ๒๔๔ แลว้ แตก่ รณี โดยเมอ่ื รับช่วงของตอ่ มาแล้ว ได้ท�ำ การช่วยซอ่ นเร้น ช่วยจ�ำ หน่าย ชว่ ยพาเอาไปเสีย หรอื ไดร้ บั ซ้ือ รับจำ�นำ� หรอื รบั ไวโ้ ดยประการใด ๆ ซงึ่ ของ อันตนรู้หรือพึงรู้อยู่แล้วว่าเป็นของท่ีลักลอบหนีภาษีศุลกากรตามมาตรา  ๒๔๒  หรือของ หลกี เลยี่ งอากรตามมาตรา ๒๔๓ หรือของหลีกเลย่ี งข้อจ�ำ กดั หรอื ขอ้ หา้ มตามมาตรา ๒๔๔ โดยมาตรา ๒๔๖ ไดก้ ำ�หนดอัตราโทษจำ�คุกไมเ่ กินหา้ ปสี �ำ หรบั ผูฝ้ ่าฝนื หรอื ผู้ทีก่ ระทำ�ความ ผิดตามมาตรานี้  แต่มีโทษปรับท่ีแตกต่างกันออกไปข้ึนอยู่กับว่าเป็นการกระทำ�ความผิด ตอ่ เน่ืองจากความผิดตามมาตราใด ความผดิ ฐานสำ�แดงเท็จ และแจง้ ข้อความอนั เป็นเทจ็ ความผิดฐานสำ�แดงเท็จ  และความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ เป็นความผดิ ที่บญั ญัติไวใ้ นมาตรา ๒๐๒ และมาตรา ๒๐๓ แหง่ พระราชบญั ญตั ิศุลกากร พ.ศ. ๒๕๖๐ ซงึ่ เดมิ เปน็ ความผิดตามมาตรา ๙๙ แห่งพระราชบญั ญัติศุลกากร พทุ ธศกั ราช ๒๔๖๙ โดยความผิดฐานสำ�แดงเท็จ คือ ความผดิ เก่ียวกับการยนื่ หรอื จัดใหม้ ีการยนื่ หรือ ยอมใหผ้ ู้อน่ื ย่ืนใบขนสนิ ค้า เอกสาร หรอื ขอ้ มูลใด ๆ ซ่ึงเกย่ี วกับการเสยี ภาษีอากรหรอื การ ปฏบิ ตั ิตามพระราชบญั ญัตศิ ลุ กากร พ.ศ. ๒๕๖๐ นี้ ต่อพนักงานศลุ กากร โดยไมถ่ ูกตอ้ งหรอื ไมบ่ รบิ ูรณ์ อนั อาจก่อให้เกิดความส�ำ คญั ผดิ ในรายการใด ๆ ท่ีแสดงไวใ้ นใบขนสนิ คา้ เอกสาร หรือข้อมูลดังกล่าว  ส่วนความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ  คือ  ความผิดเก่ียวกับการ แจ้งข้อความ  การให้ถ้อยคำ�หรือตอบคำ�ถามของพนักงานศุลกากรด้วยถ้อยคำ�อันเป็นเท็จ หรือไม่ยอมตอบคำ�ถามของพนักงานศุลกากรตามท่ีพระราชบัญญัติศุลกากร  พ.ศ.  ๒๕๖๐ ก�ำ หนดใหต้ อบ โดยความผดิ ฐานส�ำ แดงเทจ็ ตามมาตรา ๒๐๒ นน้ั ผฝู้ า่ ฝนื หรอื ผกู้ ระท�ำ ความผดิ ตอ้ งระวางโทษปรับไม่เกนิ หา้ แสนบาท อีกท้งั มาตรา ๒๕๒ บญั ญตั ิไว้ว่าการกระท�ำ ความผดิ ตามมาตรา ๒๐๒ ผู้กระท�ำ ต้องรับผิดแมไ้ ดก้ ระท�ำ โดยไมม่ เี จตนาอีกด้วย สว่ นความผดิ ฐาน แจ้งข้อความอันเป็นเท็จตามมาตรา  ๒๐๓  น้นั   ผ้ฝู ่าฝืนหรือผ้กู ระทำ�ความผิดต้องระวางโทษ จ�ำ คุกไม่เกนิ หกเดือน หรอื ปรับไม่เกนิ หา้ แสนบาท หรือทงั้ จ�ำ ท้งั ปรับ

ความผิดฐานปลอมเอกสาร และใชเ้ อกสารปลอม ความผิดฐานปลอมเอกสาร  และใช้เอกสารปลอม  บัญญัติไว้ใน มาตรา ๒๐๔ แห่งพระราชบัญญัตศิ ุลกากร พ.ศ. ๒๕๖๐ ซึ่งเดมิ บญั ญัตไิ วเ้ ป็นความผดิ ฐาน หนึ่งในมาตรา ๙๙ แห่งพระราชบัญญตั ศิ ลุ กากร พทุ ธศกั ราช ๒๔๖๙ โดยความผิดฐาน ปลอมเอกสารตามกฎหมายศุลกากร เป็นความผดิ เกี่ยวกับการปลอม หรือการแปลงเอกสาร หรือเป็นการแก้ไขเอกสารที่ทางราชการออกให้เพ่ือใช้ในการดำ�เนินการตามพระราชบัญญัติ ศลุ กากร พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยเฉพาะ รวมถงึ การปลอมดวงตรา ลายมือชอ่ื หรือเครอ่ื งหมาย อ่ืนใดของพนักงานศุลกากรท่ีใช้เพ่ือการอย่างใดอันเกี่ยวด้วยพระราชบัญญัติศุลกากร  พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยมาตรา ๒๐๔ ไดก้ ำ�หนดบทลงโทษส�ำ หรับผปู้ ลอม หรอื แปลง หรอื แก้ไขเอกสาร หรอื ปลอมดวงตรา ลายมือช่ือ หรือเครอื่ งหมาย ต้องระวางโทษจ�ำ คุกไมเ่ กินหกเดอื น หรอื ปรบั ไมเ่ กนิ หา้ แสนบาท หรอื ท้งั จ�ำ ท้งั ปรบั และผู้ที่ใช้เอกสารปลอมหรอื แปลงหรือทีไ่ ดม้ ีการ แกไ้ ขดงั กล่าว รวมถงึ ผทู้ ่ีใช้ดวงตราปลอม ลายมือชอ่ื ปลอม หรอื เคร่อื งหมายปลอมดงั กล่าว กจ็ ะต้องระวางโทษเชน่ เดยี วกัน ความผดิ ฐานขอคืนเงนิ อากรเปน็ เทจ็ ความผิดฐานขอคืนเงินอากรเป็นเท็จตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๕๖๐ ได้บญั ญัตไิ ว้ ๒ ฐานความผดิ หลกั คอื การย่ืนใบขนสนิ ค้าขาออกเพือ่ ขอคืน อากรโดยแสดงข้อมูลเกี่ยวกับของไม่ถูกต้องหรือเป็นเท็จหรือไม่มีการส่งออกตามท่ีแสดง ตามมาตรา ๒๐๕ และการขอคนื อากรกรณีน�ำ ของเข้ามาในราชอาณาจกั รตามมาตรา ๒๘ และ ๒๙ โดยความเทจ็ โดยฉอ้ โกงหรอื บุ าย เพอ่ื ขอคนื อากรเกนิ กวา่ จ�ำ นวนทม่ี สี ทิ ธไิ ดร้ บั จรงิ ตามมาตรา ๒๐๖ (๒) ความผิดทางอาญาเกยี่ วกับศลุ กากรตามกฎหมายอืน่ พระราชก�ำ หนดพิกัดอตั ราศลุ กากร พ.ศ. ๒๕๓๐ พระราชก�ำ หนดพกิ ดั อตั ราศลุ กากร พ.ศ. ๒๕๓๐ เปน็ กฎหมายทว่ี า่ ดว้ ย วิธีการจัดเก็บภาษีศุลกากร  ซึ่งประกอบด้วยตัวบทกฎหมายที่เป็นแหล่งที่มาของอำ�นาจใน การจัดเก็บภาษี ศลุ กากร มีทั้งสน้ิ ๑๘ มาตรา และ ๔ ภาคผนวก ได้แก่ ภาค ๑ วา่ ด้วยหลัก เกณฑก์ ารตีความพิกดั อัตราศุลกากร ภาค ๒ พกิ ัดอัตราอากรขาเข้า ภาค ๓ พิกดั อัตราอากร ขาออก และภาค ๔ ของทีไ่ ดร้ ับยกเวน้ อากร ตามมาตรา ๑๐ แหง่ พระราชก�ำ หนดพกิ ดั อตั ราศลุ กากร พ.ศ. ๒๕๓๐ กำ�หนดให้ของท่ีนำ�เข้ามาโดยไดร้ ับยกเวน้ อากรหรือลดหยอ่ นอากรตามกฎหมาย เช่น เพื่อใช้ เองโดยบคุ คลทีม่ ีสิทธิเชน่ นัน้ หรือเพราะเหตทุ ี่น�ำ เขา้ มาเพอื่ ใช้ประโยชนอ์ ยา่ งใดที่กำ�หนดไว้ 50

51 โดยเฉพาะ  หากต่อมาภายหลังสิทธิได้รับยกเว้นอากรหรือลดหย่อนอากรส้นิ สุดลง  ผ้นู ำ�เข้า จะต้องแจ้งขอชำ�ระภาษีอากรหรือชำ�ระอากรเพิ่มเติมต่อกรมศุลกากรหรือด่านศุลกากรท่ี ได้นำ�ของน้ันเข้ามาในราชอาณาจักรภายในสามสิบวันนับแต่วันท่ีความรับผิดในอันจะต้อง ช�ำ ระอากรหรืออากรเพม่ิ เกดิ ขน้ึ และตอ้ งช�ำ ระ ณ ทท่ี �ำ การศุลกากรซึ่งกรมศุลกากรก�ำ หนด ให้เสร็จสิ้นภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจำ�นวนเงินอากรหรืออากรเพ่ิมอันจะพึง ต้องช�ำ ระ หากไม่ปฏบิ ัตติ ามให้ถือวา่ ของนัน้ ไดน้ ำ�เข้ามาโดยมเี จตนาจะฉอ้ ค่าอากร อันเป็น ความผิดฐานหลีกเลย่ี งอากร ตามมาตรา ๒๔๓ แหง่ พระราชบญั ญตั ิศุลกากร พ.ศ. ๒๕๖๐ พระราชบญั ญตั ิการส่งเสริมการลงทุน พ.ศ. ๒๕๒๐ พระราชบญั ญตั สิ ง่ เสรมิ การลงทนุ พ.ศ. ๒๕๒๐ เปน็ กฎหมายทใ่ี ชส้ ทิ ธิ และประโยชน์ทางด้านภาษอี ากรและการเข้าเมืองเพื่อการลงทุนและพฒั นาประเทศ จึงไมม่ ี บทกำ�หนดโทษท่ีเป็นความผิดทางอาญาไว้โดยตรง  คงมีแต่โทษท่ีเป็นการยกเลิกเพิกถอน สทิ ธ์แิ ละประโยชนท์ ีไ่ ดร้ ับเท่านัน้ โดยตามมาตรา ๕๕ วรรคหน่งึ กรณีผู้ไดร้ ับการสง่ เสริมการ ลงทุนที่ถูกคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเพิกถอนสิทธิและประโยชน์ทางภาษีอากรเก่ียว กับของท่นี �ำ เขา้ หรือสง่ ออกท้งั หมด ใหถ้ อื ว่าผไู้ ดร้ ับการส่งเสริมการลงทุนไม่เคยไดร้ ับยกเวน้ หรือลดหย่อนภาษีอากรมาแต่ต้นและให้ผู้ได้รับการส่งเสริมการลงทุนเสียภาษีอากร  โดยถือ สภาพของของ ราคา และอัตราภาษีอากรท่ีเปน็ อยู่ในวันนำ�เข้าหรือสง่ ออกเป็นเกณฑ์ในการ คำ�นวณภาษอี ากร ส�ำ หรบั กรณที ่ไี ดร้ บั ลดหย่อนภาษอี ากร ใหเ้ สยี ภาษอี ากรเพ่ิมจากที่ไดเ้ สยี ไว้แล้ว  ให้ครบถ้วนตามจำ�นวนเงินภาษีอากรที่จะพึงต้องเสียท้ังหมดเม่ือได้คำ�นวณ ตามเกณฑ์เชน่ วา่ นน้ั สว่ นตามมาตรา ๕๕ วรรคสอง กรณีทคี่ ณะกรรมการส่งเสริมการลงทนุ เพกิ ถอนสทิ ธปิ ระโยชนเ์ กย่ี วกบั ภาษอี ากรสำ�หรบั ของทน่ี �ำ เขา้ หรอื สง่ ออกบางสว่ น  ใหถ้ อื วา่ ผไู้ ด้ รับการส่งเสริมการลงทุนได้รับยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีอากรมาแต่ต้นเพียงเท่าท่ีตนยังคง ได้รับสิทธิและประโยชน์อยู่  และให้เสียภาษีอากรตามส่วนท่ีได้ถูกเพิกถอนจนครบถ้วน โดยถอื สภาพของ ราคา และอตั ราภาษอี ากรทเ่ี ปน็ อยใู่ นวนั น�ำ เขา้ หรอื สง่ ออกเปน็ เกณฑใ์ นการ ค�ำ นวณภาษีอากร โดยตามมาตรา  ๕๕  วรรคสาม  ก�ำ หนดใหผ้ ไู้ ดร้ บั การสง่ เสรมิ การลงทนุ ต้องแจ้งขอชำ�ระภาษอี ากร หรือภาษีอากรเพมิ่ ต่อกรมศุลกากรหรอื ด่านศลุ กากรท่ีได้นำ�ของ น้ันเข้ามาหรือส่งของน้ันออกไปภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันทราบคำ�ส่ังเพิกถอนสิทธิ และประโยชนเ์ กย่ี วกบั ภาษอี ากร และตอ้ งช�ำ ระ ณ ทท่ี �ำ การศลุ กากรซง่ึ กรมศลุ กากรก�ำ หนดให้ เสร็จส้ินภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจำ�นวนเงินภาษีอากรหรือภาษีอากรเพิ่ม อันจะพึงต้องช�ำ ระ  ถ้ามิได้มีการปฏิบัติเช่นว่าน้นั   ให้ถือว่าของน้นั ได้น�ำ เข้ามาหรือส่งออกไป โดยหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรและใหน้ �ำ กฎหมายว่าด้วยศุลกากรมาใชบ้ งั คบั

พระราชบัญญตั กิ ารนคิ มอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ พระราชบญั ญตั กิ ารนคิ มอตุ สาหกรรมแหง่ ประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๒ เป็นกฎหมายท่ีให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรแก่ของที่นำ�เข้าหรือส่งออกอีกฉบับหน่ึง โดยมาตรา ๕๓ แห่งพระราชบัญญตั ิการนคิ มอุตสาหกรรมแหง่ ประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๒ ได้ก�ำ หนดให้การน�ำ ของเขา้ มาในหรือนำ�ออกไปจากเขตประกอบการเสรี การเกบ็ รักษา และ การควบคุมการขนย้าย  ให้นำ�บทบัญญัติเก่ียวกับการนำ�ของเข้า  การส่งของออก  และการ เก็บของในคลังสนิ ค้า ตามกฎหมายว่าดว้ ยศุลกากรมาใชบ้ งั คบั โดยอนโุ ลม และมาตรา ๕๕ กำ�หนดห้ามมิให้ผู้ใดนำ�ของในเขตประกอบการเสรีออกไปจากเขตประกอบการเสรีโดยไม่ได้ รับอนุญาต หากฝ่าฝืนมีบทก�ำ หนดโทษตามมาตรา ๗๔ โดยระวางโทษจ�ำ คกุ ไม่เกินหกเดอื น หรือปรับไมเ่ กนิ หกหมนื่ บาท หรอื ทั้งจำ�ทัง้ ปรบั พระราชบญั ญตั ชิ ดเชยคา่ ภาษอี ากรสนิ คา้ สง่ ออกทผ่ี ลติ ในราชอาณาจกั ร พ.ศ. ๒๕๒๔ พระราชบัญญัติชดเชยค่าภาษีอากรสินค้าส่งออกท่ีผลิตใน ราชอาณาจกั ร  พ.ศ.  ๒๕๒๔  เปน็ กฎหมายอกี หนง่ึ ฉบบั ทใ่ี ชส้ ทิ ธปิ ระโยชนท์ างดา้ นภาษอี ากร สำ�หรับผู้ส่งสินค้าออกไปนอกราชอาณาจักร  โดยเป็นเงินชดเชยค่าภาษีอากรซึ่งมีอยู่ใน ต้นทุนการผลิตสินคาส่งออกให้แกผู้มีสิทธิไดรับเงินชดเชยในรูปของบัตรภาษี  ซ่ึงสามารถ น�ำ ไปช�ำ ระคา่ ภาษอี ากรตา่ ง  ๆ  ได้ ซง่ึ กฎหมายดงั กลา่ วไดม้ บี ทก�ำ หนดโทษส�ำ หรบั ผขู้ อรบั เงนิ ชดเชยทก่ี ระท�ำ การทจุ รติ ไวใ้ นมาตรา ๓๑ กลา่ วคอื ผใู้ ดแจง้ ความเทจ็ หรอื ใหถ้ อ้ ยค�ำ เทจ็ หรอื ตอบคำ�ถามด้วยถ้อยคำ�อันเป็นเท็จ  หรือนำ�พยานหลักฐานเท็จมาแสดงกับคณะกรรมการ หรือพนักงานเจ้าหน้าท่ีเพื่อให้มีการประกาศกำ�หนดอัตราเงินชดเชยหรือเพ่ือให้มีการจ่าย เงินชดเชยให้แก่ตนเองหรือผู้อื่นตามข้อความถ้อยคำ�หรือพยานหลักฐานอันเป็นเท็จน้ัน ตอ้ งระวางโทษจ�ำ คกุ ไมเ่ กนิ หา้ ป ี หรอื ปรบั ไมเ่ กนิ หา้ หมน่ื บาท  หรอื ไมเ่ กนิ สเ่ี ทา่ ของเงนิ ชดเชย ทข่ี อหรอื ทจ่ี า่ ยใหแ้ ลว้ แตจ่ �ำ นวนใดจะสงู กวา่ หรอื ทง้ั จ�ำ ทง้ั ปรบั หรอื ตามมาตรา ๓๐ ก�ำ หนด ให้ผู้ใดท่ีไม่ให้ถ้อยคำ�หรือไม่ส่งเอกสาร  หรือหลักฐานแก่กรรมการหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ ซง่ึ ปฏบิ ัติตามมาตรา ๒๕ หรือขดั ขวางหรือไมอ่ �ำ นวยความสะดวกแกก่ รรมการ หรือพนกั งาน เจ้าหน้าที่ดังกล่าว  ต้องระวางโทษจำ�คุกไม่เกินหน่ึงเดือน  หรือปรับไม่เกินห้าพันบาทหรือ ท้ังจำ�ทั้งปรับ 52

53 (๓) ความผิดฐานทุจริต ประมวลรัษฎากร ประมวลรัษฎากรได้บัญญัติลักษณะของการกระทำ�ความผิด  โดย “การทุจรติ ”ให้มกี ารลงโทษบุคคลในทางอาญาไว้ตามมาตรา ๓๗ และมาตรา ๓๗ ทวิ แก้ไข เพม่ิ เตมิ (ฉบบั ท่ี ๔๑) พ.ศ. ๒๕๕๙ ใชบ้ งั คบั ตง้ั แตว่ นั ท่ี ๒๕ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๕๙ รวมทง้ั มาตรา ๓๗ ตรี๓๕ ซึ่งแก้ไขเพม่ิ เติม (ฉบับที่ ๔๕) พ.ศ. ๒๕๖๐ ใชบ้ ังคับตัง้ แต่วันที่ ๒ เมษายน ๒๕๖๐ ก�ำ หนดไว้ โดยใช้ถ้อยค�ำ เดยี วกัน “โดยความเทจ็ โดยฉอ้ โกง หรอื อบุ าย หลอกลวง หรือ โดยวธิ ีการอ่นื ใดท�ำ นองเดียวกนั ” โดยไมไ่ ดใ้ ช้ถอ้ ยค�ำ “โดยทุจรติ ” ซง่ึ สอดคลอ้ งกบั ถ้อยคำ� ท่บี ัญญัตใิ นมาตรา ๒๐๖ แห่งพระราชบญั ญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๕๖๐ อนั เปน็ การก�ำ หนด ให้การกระทำ�ดังกล่าวต้องมีเจตนาพิเศษไว้ด้วย  แต่บทบัญญัติดังกล่าวสามารถลงโทษ ผู้กระทำ�ความผิดโดยมี  เจตนาพิเศษหรือไม่ก็ได้ซึ่งมีวัตถุประสงค์ของการบังคับใช้ และองคป์ ระกอบความผดิ เช่นเดียวกนั กบั กฎหมายอาญา ๓๕มาตรา ๓๗ ผู้ใดกระทำ�การดังต่อไปน้ี ตอ้ งระวางโทษจำ�คกุ ต้ังแต่สามเดอื นถงึ เจ็ดปี และปรบั ต้งั แต่สองพนั บาทถงึ สองแสนบาท (๑)  โดยเจตนาแจ้งข้อความเท็จ  หรือให้ถ้อยคำ�เท็จ  หรือตอบคำ�ถามด้วยถ้อยคำ�อันเป็นเท็จ หรอื น�ำ พยานหลกั ฐานเทจ็ มาแสดง เพอ่ื หลกี เลย่ี งการเสยี ภาษอี ากรหรอื เพอ่ื ขอคนื ภาษอี ากรตามลกั ษณะน้ี หรอื (๒)  โดยความเทจ็ โดยฉอ้ โกงหรอื อุบาย หรือโดยวิธีการอนื่ ใดทำ�นองเดียวกัน หลกี เล่ียง หรือ พยายามหลกี เล่ียงการเสยี ภาษีอากรหรอื ขอคืนภาษีอากรตามลกั ษณะน้”ี “มาตรา ๓๗ ทวิ ผใู้ ดโดยเจตนาไมย่ ืน่ รายการทต่ี ้องย่นื ตามลักษณะน้ี เพอ่ื หลกี เลีย่ งการเสยี ภาษีอากร ตอ้ งระวางโทษจำ�คุกไม่เกนิ หนง่ึ ปี หรอื ปรบั ไม่เกนิ สองแสนบาท หรือทั้งจำ�ทั้งปรบั ” “มาตรา ๓๗ ตรี ความผดิ ตามมาตรา ๓๗ มาตรา ๓๗ ทวิ หรอื มาตรา ๙๐/๔ ทผี่ ู้กระทำ�ความผิด เปน็ ผมู้ หี นา้ ทเ่ี สยี ภาษอี ากรหรอื น�ำ สง่ ภาษอี ากร  และเปน็ ความผดิ ทเ่ี กย่ี วกบั จ�ำ นวนภาษอี ากรทห่ี ลกี เลย่ี งหรือ ฉ้อโกงต้ังแต่สิบล้านบาทต่อปีภาษีข้ึนไป  หรือจำ�นวนภาษีอากรที่ขอคืนโดยความเท็จ  โดยฉ้อโกงหรืออุบาย หรือโดยวิธีการอ่ืนใดทำ�นองเดียวกัน  ต้ังแต่สองล้านบาทต่อปีภาษีข้ึนไป  และผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากรหรือ นำ�ส่งภาษีอากรดังกล่าวได้กระทำ�ในลักษณะท่ีเป็นกระบวนการหรือเป็นเครือข่าย  โดยสร้างธุรกรรมอันเป็น เทจ็ หรือปกปิดเงนิ ได้พึงประเมินหรือรายได้ เพือ่ หลีกเลี่ยงหรือฉอ้ โกงภาษอี ากร และมพี ฤติกรรมปกปดิ หรือ ซ่อนเร้นทรัพย์สินท่ีเกี่ยวกับการกระทำ�ความผิดเพื่อมิให้ติดตามทรัพย์สินนั้นได้  ให้ถือว่าความผิดดังกล่าว เปน็ ความผดิ มลู ฐานตามกฎหมายวา่ ดว้ ยการปอ้ งกนั และปราบปรามการฟอกเงนิ   เมอ่ื อธบิ ดโี ดยความเหน็ ชอบ ของคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองความผิดทางภาษีอากรที่เข้าข่าย  ความผิดมูลฐาน  ส่งข้อมูล ท่ีเก่ียวข้องให้สำ�นักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินแล้ว  ให้ดำ�เนินการตามกฎหมายว่าด้วยการ ปอ้ งกันและปราบปรามการฟอกเงินตอ่ ไป ในกรณีที่มีคำ�วินิจฉัยอุทธรณ์ให้เสียภาษีอากรเพ่ิมขึ้น  ผู้อุทธรณ์จะต้องชำ�ระภายในกำ�หนด เวลาเช่นเดยี วกบั วรรคก่อน

พระราชบญั ญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๒๐๖ แหง่ พระราชบญั ญตั ศิ ลุ กากร พ.ศ. ๒๕๖๐ ได้บัญญตั ิ ลักษณะของการกระทำ�ความผิด  “การทุจริต”  ให้มีการลงโทษบุคคลในทางอาญาไว้เช่น เดียวกันกับประมวลรัษฎากรดังที่กล่าวแล้วข้างต้น  โดยใช้ถ้อยคำ�เดียวกันว่า  “โดยความ เทจ็ โดยฉ้อโกง หรอื อุบาย หลอกลวง หรือโดยวธิ กี ารอ่ืนใดทำ�นองเดยี วกนั ” โดยไม่ได้ใช้ ถ้อยคำ�ว่า  “โดยทุจริต”  อันเป็นการกำ�หนดให้การกระทำ�ดังกล่าวต้องมีเจตนาพิเศษไว้ด้วย แต่บทบัญญัติดังกล่าวสามารถลงโทษผู้กระทำ�ความผิดโดยมีเจตนาพิเศษหรือไม่ก็ได้  ซ่ึงมี วัตถุประสงคข์ องการบังคับใชแ้ ละองคป์ ระกอบความผดิ เช่นเดยี วกันกับกฎหมายอาญา๓๖ (๔) ความผิดฐานฟอกเงนิ เนอื่ งจากประเทศไทยในฐานะสมาชิกผรู้ ่วมก่อตง้ั Asia Pacific Group on Money Laundering (APG) มเี หตุผลความจำ�เปน็ ท่จี ะตอ้ งปฏิบัตติ ามข้อบังคับ (Terms of References) ทีก่ ำ�หนดให้ประเทศสมาชกิ ต้องปฏิบัติตามขอ้ แนะนำ�ของ Financial Action Task  Force  (FATF)  ในการกำ�หนดให้อาชญากรรมเก่ียวกับภาษีอากรท่ีมีลักษณะร้ายแรง เป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน  เพื่อเพ่ิม ประสิทธิภาพในการปราบปรามการหลีกเลี่ยงและการฉ้อโกงภาษีอากร  รัฐบาลจึงจำ�เป็น ต้องกำ�หนดให้การกระทำ�ความผิดเก่ียวกับการหลีกเล่ียงหรือพยายามหลีกเลี่ยงภาษีอากร และการฉ้อโกงภาษีอากรที่มีลักษณะเป็นอาชญากรรมร้ายแรง  เป็นความผิดมูลฐานตาม กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน  โดยได้ตราพระราชบัญญัติแก้ไข เพิ่มเตมิ ประมวลรัษฎากร (ฉบบั ที่ ๔๕) พ.ศ. ๒๕๖๐ เพอื่ เปน็ มาตรการลงโทษผหู้ ลีกเลี่ยง การเสียภาษแี ละฉอ้ โกงภาษตี ามข้อเสนอของ Financial Action Task Force (FATF) ซ่ึงผลใช้ บงั คบั แลว้ ต้ังแต่วันที่ ๒ เมษายน ๒๕๖๐ มีสาระสำ�คญั ดงั น๓้ี ๗ การเปน็ ผกู้ ระท�ำ ความผดิ ตามมาตรา ๓๗ ตรี ความผดิ ตามมาตรา ๓๗ มาตรา ๓๗ ทวิ หรือมาตรา ๙๐/๔ ทผี่ กู้ ระท�ำ ความผดิ เปน็ ผมู้ หี น้าทเ่ี สียภาษีอากรหรอื นำ�สง่ ภาษอี ากร ๓๖มาตรา ๒๐๖ ผนู้ ำ�ของเขา้ ผู้ใดขอคนื อากรตามมาตรา ๒๘ หรือมาตรา ๒๙ โดยความเทจ็ โดยฉ้อโกงหรอื อบุ ายหลอกลวง หรอื โดยวธิ กี ารอนื่ ใดทำ�นองเดยี วกนั เพอื่ ขอคนื อากรเกนิ กวา่ จ�ำ นวนที่มีสทิ ธิ ไดร้ บั จรงิ ตอ้ งระวางโทษจ�ำ คกุ ไมเ่ กนิ ห้าปี หรอื ปรบั ไม่เกนิ หา้ แสนบาท หรือปรับเป็นเงินส่เี ทา่ ของ ๓๗พระราชบัญญตั แิ กไ้ ขเพิ่มเติมประมวลรษั ฎากร (ฉบับที่ ๔๕) พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๓ 54

55 ๒) หลกี เลย่ี งภาษอี ากรหรอื ฉอ้ โกงภาษอี ากร เปน็ จ�ำ นวนตง้ั แตส่ บิ ลา้ นบาท ต่อปีภาษีขึ้นไป  หรือจำ�นวนภาษีอากรที่ขอคืนโดยความเท็จ  โดยฉ้อโกงหรืออุบาย  หรือ โดยวธิ กี ารอน่ื ใดทำ�นองเดียวกนั ตั้งแตส่ องล้านบาทตอ่ ปีภาษีขึ้นไป ๓) กระทำ�ในลกั ษณะกระบวนการ หรือเป็นเครือข่าย โดยสร้างธุรกรรม อันเปน็ เท็จหรือปกปดิ เงินได้พึงประเมนิ หรือรายได้ เพ่อื หลีกเลยี่ งหรือฉ้อโกงภาษีอากร ๔) มพี ฤตกิ รรมปกปดิ หรอื ซอ่ นเรน้ ทรพั ยส์ นิ ทเ่ี กย่ี วกบั การกระท�ำ ความผดิ เพือ่ มใิ หต้ ดิ ตามทรพั ยส์ นิ นนั้ ได้ อนั เป็นการหลกี เลย่ี งหรือฉ้อโกงภาษี เม่ือเข้าองค์ประกอบท้ัง  ๔  ประการข้างต้น  ให้ถือว่าความผิดดังกล่าว เป็นความผิดมูลฐาน  ตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน  เมื่ออธิบดีโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองความผิดทางภาษีอากร ที่เข้าข่ายความผิดมูลฐาน  (ประกอบด้วย  อธิบดี  รองอธิบดีและท่ีปรึกษากรมสรรพากร ทกุ คน) สง่ ขอ้ มลู ทเ่ี กย่ี วขอ้ งใหส้ �ำ นกั งานปอ้ งกนั และปราบปรามการฟอกเงนิ แลว้ ใหด้ �ำ เนนิ การ ตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงนิ ต่อไป ๓.๓ กฎหมายวา่ ด้วยการป้องกนั และปราบปรามการฟอกเงนิ เนื่องจากข้อจำ�กัดสำ�คัญในการบังคับใช้กฎหมายต่อกลุ่มอิทธิพลของ นานาประเทศ  คือ  การพิสูจน์ความผิด  เพราะกลุ่มอิทธิพลมักจะมีวิธีท่ีแนบเนียนในการ ปกปดิ ความผิดของตน ไม่ว่าจะเปน็ การตัดตอนการกระท�ำ ความผดิ การกำ�จดั พยาน การให้ ผลประโยชนแ์ ก่เจ้าหน้าท่ี ในขณะท่ีจะลงโทษทางอาญาแก่ผู้กระทำ�ความผดิ ได้นัน้ จะตอ้ งมี การพสิ ูจน์ใหเ้ หน็ อย่างชัดแจง้ ว่า ผู้นนั้ ไดก้ ระท�ำ ความผดิ จรงิ แนวคดิ ในการทำ�ลายทรพั ยส์ ิน ขององค์กรอาชญากรรมและกลุ่มอิทธิพลจึงเกิดขึ้น  มาตรการน้ีไม่ต้องพิสูจน์ความผิดของ ผ้กู ระทำ�ความผิด  แต่เจ้าทรัพย์หรือผ้คู รอบครองทรัพย์ท่มี ูลเหตุเช่อื ว่าได้มาจากการกระทำ� ความผิด  ต้องเป็นฝ่ายพิสูจน์ที่ไปท่ีมาของทรัพย์ตน  เม่ือพิจารณาความผิดมูลฐาน ตามมาตรา ๓ ของพระราชบญั ญตั ปิ อ้ งกนั และปราบปรามการฟอกเงนิ พ.ศ. ๒๕๔๒ ประกอบ ด้วยความผิดมูลฐาน  ๗  ความผิดมูลฐาน  โดยความผิดเกี่ยวกับการลักลอบหนีศุลกากร ตามกฎหมายว่าดว้ ยศลุ กากร เปน็ ๑ ใน ๗ มลู ฐาน เมอ่ื พจิ ารณาความผดิ มลู ฐานทม่ี อี ย ู่ ๗  ความผดิ มลู ฐาน  และทแ่ี กไ้ ขเพม่ิ เตมิ อกี ๕ ความผดิ มลู ฐานแลว้ เหน็ วา่ สามารถครอบคลมุ ลกั ษณะความผดิ ทง้ั ๑๕ ความผดิ ทใ่ี ชเ้ ปน็ ฐานดำ�เนินการในเร่ืองผู้ทรงอิทธิพลถ้าได้ดำ�เนินการด้วยกฎหมายป้องกันและปราบปราม การฟอกเงินอย่างจริงจังก็จะสามารถทำ�ลายเครือข่ายเกี่ยวกับเงินได้ขององค์กร

อาชญากรรมทมี่ ีผมู้ ีอิทธิพลอยู่เบือ้ งหลังได ้ เพราะเม่ือปราศจากเงินเหล่าน้แี ลว้ การด�ำ รงอยู่ ของผ้มู ีอทิ ธพิ ลก็คงจะเป็นไปได้ยาก  อนั เป็นการทำ�ลายเครอื ข่ายกลุ่มอิทธิพลทางออ้ ม๓๘ นอกจากนน้ั พระราชบัญญัติแกไ้ ขเพ่ิมเติมประมวลรษั ฎากร (ฉบับที่ ๔๕) พ.ศ.  ๒๕๖๐  ยังได้ก�ำ หนดให้อาชญากรรมเกย่ี วกับภาษีอากรทม่ี ีลกั ษณะรา้ ยแรงเปน็ ความผดิ มูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินด้วย  รายละเอียด ดังท่กี ล่าวแล้วข้างตน้ ๓.๔ กฎหมายวา่ ด้วยการสอบสวนคดพี เิ ศษ พระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพเิ ศษ พ.ศ.๒๕๔๗ มาตรา ๒๑ ก�ำ หนดให้ คดีความผิดทางอาญาบางประเภทซึ่งเข้าหลักเกณฑ์ตามที่กฎหมายก�ำ หนดเป็น  “คดีพิเศษ” ที่อยู่ในอำ�นาจหน้าที่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ  โดยมีพนักงานสอบสวนคดีพิเศษและเจ้า หน้าที่คดีพิเศษทำ�การสืบสวนสอบสวนตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ  พ.ศ. ๒๕๔๗ และท่ีแก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งคดีพิเศษสามารถแบ่งไดเ้ ป็น 2 รปู แบบหลัก ดงั น้ี (๑) คดีความผิดทางอาญาตามท่ีกฎหมายกำ�หนดซ่ึงเร่ิมต้นเป็นคดีพิเศษ ด้วยตัวเอง คดคี วามผดิ ทางอาญาตามทก่ี ฎหมายก�ำ หนด  ซง่ึ เรม่ิ ตน้ เปน็ คดพี เิ ศษ ด้วยตวั เอง หรือเปน็ คดปี ระธาน หรือที่เรยี กว่า “คดีพิเศษระดับปฐมภมู ิ”๓๙ ซ่งึ ประกอบดว้ ย คดคี วามผดิ ทางอาญา ๓ ประเภท ดงั น้ี ประเภทท่ี ๑ คดีความผดิ ทางอาญาตามท่กี ฎหมายก�ำ หนด อนั เป็น คดพี เิ ศษตามมาตรา ๒๑ วรรคหนึง่ (๑) แหง่ พระราชบัญญัตกิ ารสอบสวนคดีพเิ ศษ พ.ศ. ๒๕๔๗  และที่แก้ไขเพิ่มเติม  ซึ่งคดีความผิดทางอาญาซ่ึงจะเป็นคดีพิเศษตามบทบัญญัติ มาตราน้จี ะต้องมลี กั ษณะดงั น้ี คอื ๑) เป็นคดีความผิดทางอาญาตามกฎหมายท่ีกำ�หนดไว้ในบัญชี ท้ายพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ  พ.ศ.  ๒๕๔๗  หรือที่กำ�หนดในกฎกระทรวง โดยการเสนอแนะของ  กคพ.  โดยพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ  พ.ศ.  ๒๕๔๗ ๓๘วีระพงษ์  บุญโญภาส,  “การบังคับใช้กฎหมายต่อผู้ทรงอิทธิพลในประเทศไทย,”  (๒๕๔๘). สบื ค้นจาก http://public-law.net/publaw/view.aspx?id=565, เม่ือวนั ที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๖๐. ๓๙กรมสอบสวนคดพี ิเศษ กระทรวงยตุ ิธรรม. ค่มู ือการปฏิบัตงิ านสบื สวนสอบสวนตามพระราช บัญญัตกิ ารสอบสวนคดีพเิ ศษ พ.ศ. ๒๕๔๗, (กรงุ เทพฯ: มปท., ๒๕๔๘). 56

57 ไดก้ �ำ หนดคดคี วามผดิ ทางอาญาไวใ้ นบญั ชที า้ ยพระราชบญั ญตั ฯิ จ�ำ นวน ๒๒ ฉบบั โดยตอ่ มา ได้มีการกำ�หนดคดีพิเศษเพ่ิมเติมในกฎกระทรวงอีกหลายฉบับ  ท้ังน้ี  คดีความผิดตาม ประมวลรัษฎากรและคดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร  ได้กำ�หนดเพิ่มเติมไว้ใน กฎกระทรวงว่าด้วยการกำ�หนดคดีพิเศษเพ่ิมเติม  ตามกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดี พิเศษ  พ.ศ.  ๒๕๔๗  โดยได้กำ�หนดคดีความผิดทางอาญาเพ่ิมเติมจากบัญชีท้ายพระราช บญั ญตั ิการสอบสวนคดพี เิ ศษ พ.ศ. ๒๕๔๗ อกี ๕ ฉบบั คอื ๑) คดคี วามผดิ ตามประมวล รษั ฎากร ๒) คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยศลุ กากร ๓) คดีความผดิ ตามกฎหมายว่าด้วย ภาษีสรรพสามิต 4) คดคี วามผิดตามกฎหมายวา่ ดว้ ยสรุ า และ ๕) คดคี วามผิดตามกฎหมาย ว่าด้วยยาสูบ ๒) คดีความผิดทางอาญาตามข้อ  (๑)  น้ัน  เฉพาะความผิดซึ่งมี รายละเอียดของลักษณะของการกระทำ�ความผิดท่ี  กคพ.  กำ�หนด  ซ่ึงจะต้องมีลักษณะ อยา่ งหนง่ึ อยา่ งใดตามมาตรา ๒๑ วรรคหนึ่ง (๑) (ก) (ข) (ค) (ง) หรอื (จ) แหง่ พระราชบญั ญัติ การสอบสวนคดีพเิ ศษ พ.ศ. ๒๕๔๗ ซ่งึ แก้ไขเพ่ิมเติม ดังต่อไปนี้ (ก) คดคี วามผดิ ทางอาญาท่มี ีความซับซอ้ น จ�ำ เป็นต้องใช้วิธี การสืบสวนสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานเป็นพิเศษ (ข) คดีความผิดทางอาญาที่มีหรืออาจมีผลกระทบ อยา่ งรุนแรงตอ่ ความสงบเรียบรอ้ ยและศลี ธรรมอนั ดีของประชาชน  ความมน่ั คงของประเทศ ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งประเทศหรอื ระบบเศรษฐกิจหรอื การคลังของประเทศ (ค) คดีความผิดทางอาญาท่ีมีลักษณะเป็นการกระทำ� ความผดิ ข้ามชาตทิ ่สี ำ�คญั หรอื เปน็ การกระท�ำ ขององคก์ รอาชญากรรม (ง) คดีความผิดทางอาญาที่มีผู้ทรงอิทธิพลท่ีสำ�คัญ เปน็ ตัวการ ผใู้ ชห้ รือผูส้ นับสนุน (จ) คดีความผิดทางอาญาที่มีพนักงานฝ่ายปกครองหรือ ตำ�รวจชั้นผู้ใหญ่ซ่ึงมิใช่พนักงานสอบสวนคดีพิเศษหรือเจ้าหน้าที่คดีพิเศษเป็นผู้ต้องสงสัย เม่ือมีหลักฐานตามสมควรว่าน่าจะได้กระทำ�ความผิดอาญาหรือเป็นผู้ถูกกล่าวหาหรือ ผ้ตู อ้ งหา ท้ังน้ี  เฉพาะความผิดซ่ึงมีรายละเอียดของลักษณะของการ กระทำ�ความผดิ ที่ กคพ. ก�ำ หนด  ทัง้ น้ี คดีความผิดตามประมวลรัษฎากรและคดีความผิด ตามกฎหมายว่าด้วยศลุ กากร ได้กำ�หนดรายละเอยี ดของลักษณะของการกระท�ำ ความผิดไว้

ตามบญั ชที า้ ยประกาศ กคพ. (ฉบบั ท่ี ๔) พ.ศ. ๒๕๕๔ ออกตามความในมาตรา ๒๑ วรรคหนง่ึ (๑) แหง่ พระราชบัญญตั ิการสอบสวนคดพี เิ ศษ พ.ศ. ๒๕๔๗๔๐ โดยไดก้ �ำ หนดวา่ “๒๐. คดีความผิดตามประมวลรัษฎากร คดคี วามผิดทีม่ บี ทก�ำ หนดโทษตามมาตรา ๓๗ มาตรา ๙๐/๔ มาตรา ๙๐/๕ และมาตรา ๙๑/๒๑ (๗) แห่งประมวลรัษฎากร และทีแ่ ก้ไขเพิ่มเตมิ ๒๑. คดคี วามผดิ ตามกฎหมายว่าดว้ ยศลุ กากร คดคี วามผิดท่ีมีบทก�ำ หนดโทษตามมาตรา ๒๗ มาตรา ๒๗ ทวิ มาตรา ๖๐ มาตรา ๙๖ และมาตรา ๙๗ ทศ แห่งพระราชบัญญตั ิศลุ กากร พ.ศ. ๒๔๖๙ และที่แกไ้ ขเพิ่มเติม” ๓) อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษมีคำ�ส่ังให้ทำ�การสอบสวน เปน็ คดพี เิ ศษทต่ี อ้ งด�ำ เนนิ การสบื สวนและสอบสวนตามพระราชบญั ญตั กิ ารสอบสวนคดพี เิ ศษ พ.ศ. ๒๕๔๗๔๑ ซ่ึงเป็นการให้อ�ำ นาจในการพิจารณาการรับเปน็ คดพี ิเศษ แต่หากมีข้อโต้แย้งหรือข้อสงสัยว่าการกระทำ�ความผิดใด เป็นคดพี ิเศษตามทีก่ �ำ หนดไวใ้ นมาตรา ๒๑ วรรคหน่งึ (๑) หรือไม่ ให้ กคพ. เป็นผชู้ ข้ี าด๔๒ ประเภทท่ี ๒ คดคี วามผิดทางอาญาอน่ื นอกจากประเภทท่ี ๑ ตามท่ี  กคพ.  มีมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของกรรมการท้ังหมดเท่าที่มีอยู่ อนั เปน็ คดพี ิเศษตามมาตรา ๒๑ วรรคหน่งึ (๒) แห่งพระราชบญั ญัติการสอบสวนคดพี ิเศษ พ.ศ. ๒๕๔๗ และทแ่ี กไ้ ขเพิ่มเติม ๔๐ประกาศ กคพ. (ฉบบั ที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๔ เรื่อง กำ�หนดรายละเอยี ดของลักษณะของการ กระทำ�ความผิดที่เป็นคดีพิเศษตามมาตรา  ๒๑  วรรคหน่ึง  (๑)  แห่งพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. ๒๕๔๗ ๔๑ประกาศ กคพ.(ฉบบั ท่ี ๔) พ.ศ. ๒๕๕๔ เรอื่ ง ก�ำ หนดรายละเอียดของลกั ษณะของการ กระท�ำ ความผิดท่ีเปน็ คดพี เิ ศษตามมาตรา ๒๑ วรรคหน่งึ (๑) แห่งพระราชบญั ญัตกิ ารสอบสวนคดพี เิ ศษ พ.ศ. ๒๕๔๗ ขอ้ ๔, ประกาศ กคพ. (ฉบับท่ี ๕) พ.ศ. ๒๕๕๕ เร่ือง ก�ำ หนดรายละเอยี ดของลักษณะของ การ กระทำ�ความผิดทเ่ี ปน็ คดีพเิ ศษตามมาตรา ๒๑ วรรคหนึง่ (๑) แห่งพระราชบญั ญตั ิการสอบสวนคดพี เิ ศษ พ.ศ. ๒๕๔๗ ข้อ ๔ และประกาศ กคพ. (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๕๙ เร่อื ง ก�ำ หนดรายละเอยี ดของลักษณะของ การกระทำ�ความผิดทเ่ี ปน็ คดีพเิ ศษตามมาตรา ๒๑ วรรคหน่งึ (๑) แหง่ พระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. ๒๕๔๗ ขอ้ ๓ ๔๒พระราชบญั ญตั กิ ารสอบสวนคดพี เิ ศษ พ.ศ. ๒๕๔๗ และทแ่ี กไ้ ขเพม่ิ เตมิ มาตรา ๒๑ วรรคทา้ ย 58

59 เมอ่ื พจิ ารณาบทบญั ญตั มิ าตรา ๒๑ วรรคหนง่ึ (๒) ขา้ งตน้ แลว้ จะพบวา่ คดคี วามผิดทางอาญาซง่ึ จะเป็นคดพี เิ ศษตามบทบัญญัตินี้ จะตอ้ งมีลักษณะดงั น้ี คอื - เป็นคดีความผิดอาญาอื่น  ๆ  นอกจากคดีความผิดอาญา ตามมาตรา ๒๑ วรรคหนึง่ (๑)๔๓ - มลี ักษณะอยา่ งหนึ่งอย่างใดตามมาตรา ๒๑ วรรคหนง่ึ (๑) (ก) (ข) (ค) (ง) หรอื (จ) แหง่ พระราชบญั ญตั กิ ารสอบสวนคดพี เิ ศษ พ.ศ. ๒๕๔๗ และทแ่ี กไ้ ขเพม่ิ เตมิ ประเภทท่ี  ๓  คดีพิเศษท่ีค้างดำ�เนินการและคดียังไม่ถึงที่สุดอยู่ใน วนั ทพ่ี ระราชบญั ญตั กิ ารสอบสวนคดพี เิ ศษ พ.ศ. ๒๕๔๗ บงั คบั ใช้ แลว้ กคพ. อาจมมี ติให้ เปน็ อำ�นาจหน้าทขี่ องพนักงานสอบสวนคดีพเิ ศษ ตามมาตรา ๔๔ แห่งพระราชบัญญัตกิ าร สอบสวนคดีพเิ ศษ พ.ศ. ๒๕๔๗ และท่ีแกไ้ ขเพิ่มเติม (๒) คดีความผิดทางอาญาที่เก่ียวเน่ืองเก่ียวพันกับคดีที่เป็นคดีพิเศษ ดว้ ยตัวเอง คดีความผิดทางอาญาที่เป็นคดีพิเศษโดยแยกมาจากคดีพิเศษ ประธาน  (คดีพิเศษระดับปฐมภูมิ)  หรือที่เรียกว่า  “คดีพิเศษระดับทุติยภูมิ”๔๔  โดยเป็น คดีความผิดทางอาญาที่ให้ถือว่าเป็นคดีพิเศษตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ  พ.ศ. ๒๕๔๗  คอื   คดที ม่ี กี ารกระท�ำ อนั เปน็ กรรมเดยี วผดิ ตอ่ กฎหมายหลายบท  และบทใดบทหนง่ึ จะต้องดำ�เนินการโดยพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ  หรือคดีท่มี ีการกระทำ�ความผิดหลายเร่อื ง ต่อเนื่องหรือเกี่ยวพันกัน  และความผิดเรื่องใดเร่ืองหนึ่งจะต้องดำ�เนินการโดยพนักงาน สอบสวนคดพี ิเศษ ตามมาตรา ๒๑ วรรคสอง แห่งพระราชบญั ญตั กิ ารสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. ๒๕๔๗ และทแ่ี ก้ไขเพ่มิ เตมิ อนง่ึ   เพอ่ื เปน็ การยตุ ขิ อ้ โตแ้ ยง้ หรอื ขอ้ สงสยั ในคดพี เิ ศษ  จงึ ไดก้ �ำ หนด ให้บรรดาคดีท่ีได้ทำ�การสอบสวนโดยพนักงานสอบสวนคดีพิเศษเสร็จแล้ว  ให้ถือว่าการ สอบสวนนั้นเป็นการสอบสวนคดีพิเศษตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ  พ.ศ. ๒๕๔๗ ด้วย๔๕ ๔๓คดีความผิดทางอาญาตามกฎหมายที่กำ�หนดไว้ในบัญชีท้ายพระราชบัญญัติการสอบสวน คดีพิเศษ และท่ีกำ�หนดในกฎกระทรวงโดยการเสนอแนะของ กคพ. ซึ่ง กคพ. ไดป้ ระกาศก�ำ หนดรายละเอียด ของลักษณะของการกระทำ�ความผิดไว้แล้ว ๔๔วีระพงษ์ บญุ โญภาส, “การบังคบั ใชก้ ฎหมายตอ่ ผู้ทรงอิทธิพลในประเทศไทย”. ๔๕พระราชบญั ญตั ิการสอบสวนคดีพเิ ศษ พ.ศ. ๒๕๔๗ มาตรา ๒๑ วรรคสาม

จากท่ีกลา่ วมาแลว้ นน้ั จะเห็นได้ว่า คดคี วามผิดตามประมวลรัษฎากรท่มี ี บทกำ�หนดโทษตามมาตรา ๓๗ มาตรา ๙๐/๔ มาตรา ๙๐/๕ และมาตรา ๙๑/๒๑ (๗) แหง่ ประมวลรษั ฎากร และคดีความผิดตามกฎหมายวา่ ด้วยศุลกากรมีบทก�ำ หนดโทษตามมาตรา ๒๗ มาตรา ๒๗ ทวิ มาตรา ๖๐ มาตรา ๙๖ และมาตรา ๙๗ ทศ แห่งพระราชบัญญตั ิศลุ กากร พ.ศ.  ๒๔๖๙ และที่แกไ้ ขเพิม่ เตมิ ซง่ึ มีลกั ษณะเปน็ คดีความผดิ ทางอาญาทม่ี ีผ้ทู รงอทิ ธพิ ล ท่ีส�ำ คญั เป็นตวั การ ผู้ใชห้ รอื ผูส้ นับสนุน หรอื มลี กั ษณะอย่างหน่งึ อย่างใดตามมาตรา ๒๑ วรรคหน่งึ (๑) (ก) (ข) (ค) (ง) หรอื (จ) แหง่ พระราชบญั ญตั ิการสอบสวนคดพี เิ ศษ พ.ศ. ๒๕๔๗ และทแ่ี กไ้ ขเพม่ิ เตมิ   หากอธบิ ดกี รมสอบสวนคดพี เิ ศษมคี �ำ สง่ั ใหท้ �ำ การสอบสวนเปน็ คดพี เิ ศษ ก็จะต้องดำ�เนินการสืบสวนและสอบสวนตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ  พ.ศ. ๒๕๔๗ ๓.๕ กฎหมายวา่ ดว้ ยการปอ้ งกนั และปราบปรามการทุจรติ (๑) พระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ดว้ ยการปอ้ งกนั และปราบปราม การทุจริตแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๔๐ ได้กำ�หนด ให้มีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ  (คณะกรรมการ  ป.ป.ช.)  มี สำ�นักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเป็นหน่วยธุรการที่เป็น อิสระในการบริหารงานบุคคลการงบประมาณ  และการดำ�เนินการอ่ืน  เป็นองค์กรอิสระ มีอำ�นาจหน้าที่เกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริต  ต่อมาได้ประกาศใช้พระราช บัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต  พ.ศ.  ๒๕๔๒๔๖ เป็นผลให้มีการจัดตั้งเป็นสำ�นักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำ�นักงาน ป.ป.ช.) เปน็ สว่ นราชการท่ีเปน็ หน่วยงานอสิ ระตามรฐั ธรรมนญู และมฐี านะเปน็ นิติบคุ คลขนึ้ ๔๗ ๔๖ประกาศราชกิจจานเุ บกษาเลม่ ๑๑๖ ตอนที่ ๑๑๔ ก วนั ที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๒ ๔๗มาตรา ๑๐๔ แห่งพระราชบญั ญตั ิประกอบรัฐธรรมนญู วา่ ด้วยการป้องกันและปราบปราม การทุจรติ พ.ศ. ๒๕๔๒ และทแ่ี ก้ไขเพ่ิมเติม 60

61 คณะกรรมการ ป.ป.ช. มอี ำ�นาจหน้าท่ี คอื ไตส่ วนขอ้ เท็จจรงิ และสรุปสำ�นวนพร้อมทั้งทำ�ความเห็นเสนอต่อวุฒิสภาเพ่ือการถอดถอนผู้ดำ�รงตำ�แหน่ง ทางการเมอื ง๔๘  และเจา้ หนา้ ทอ่ี น่ื ของรฐั ทก่ี ฎหมายก�ำ หนดออกจากต�ำ แหนง่   ไตส่ วนขอ้ เทจ็ จรงิ และสรุปสำ�นวนเพื่อดำ�เนินคดีอาญาผู้ดำ�รงตำ�แหน่งทางการเมืองพร้อมท้ังทำ�ความเห็นเพื่อ ส่งไปยังอัยการสูงสุดเพ่อื ฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผ้ดู ำ�รงตำ�แหน่งทางการเมือง ไต่สวนและวินิจฉยั ว่าผ้ดู �ำ รงตำ�แหน่งทางการเมืองอ่นื และเจ้าหนา้ ที่ของรฐั ๔๙ ร่ำ�รวยผดิ ปกติ เพื่อร้องขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน  ไต่สวนและวินิจฉัยว่าผู้ดำ�รงตำ�แหน่ง ๔๘มาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรฐั ธรรมนูญวา่ ด้วยการปอ้ งกนั และปราบปรามการ ทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ และทแี่ ก้ไขเพิม่ เติม “ผดู้ �ำ รงต�ำ แหน่งทางการเมือง” หมายความวา่ (๑)  นายกรฐั มนตรี (๒)  รัฐมนตรี (๓)  สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร (๔)  สมาชิกวุฒิสภา (๕)  ขา้ ราชการการเมอื งอน่ื นอกจาก (๑) และ (๒) ตามกฎหมายวา่ ดว้ ยระเบยี บขา้ ราชการการเมอื ง (๖)  ข้าราชการรฐั สภาฝ่ายการเมอื งตามกฎหมายว่าด้วยระเบยี บขา้ ราชการฝา่ ยรัฐสภา (๗)  ผู้บริหารท้องถ่ิน  รองผู้บริหารท้องถ่ิน  และผู้ช่วยผู้บริหารท้องถ่ินขององค์กรปกครอง ส่วนท้องถนิ่ ตามทค่ี ณะกรรมการ ป.ป.ช. ก�ำ หนด โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา (๘)  สมาชิกสภาทอ้ งถ่นิ ขององคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถ่นิ ตามท่คี ณะกรรมการ ป.ป.ช. ก�ำ หนด โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา (๙)  (ยกเลกิ ) ๔๙มาตรา  ๔  แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม การทุจรติ พ.ศ. ๒๕๔๒ และท่แี ก้ไขเพมิ่ เตมิ “เจ้าหน้าที่ของรัฐ”  หมายความว่า  ผู้ดำ�รงตำ�แหน่งทางการเมือง  ข้าราชการหรือพนักงาน สว่ นทอ้ งถน่ิ ซง่ึ มตี �ำ แหนง่   หรอื เงนิ เดอื นประจ�ำ   พนกั งานหรอื บคุ คลผปู้ ฏบิ ตั งิ านในรฐั วสิ าหกจิ หรอื หนว่ ยงาน ของรัฐ  ผู้บริหารท้องถ่ินและสมาชิกสภาท้องถ่ินซึ่งมิใช่ผู้ดำ�รงตำ�แหน่งทางการเมือง  เจ้าพนักงานตาม กฎหมายว่าด้วยลักษณะปกครองท้องที่  และให้หมายความรวมถึงกรรมการ  อนุกรรมการ  ลูกจ้างของ สว่ นราชการ รฐั วสิ าหกจิ หรือหน่วยงานของรัฐ และบุคคลหรอื คณะบคุ คลซึ่งใชอ้ �ำ นาจหรือได้รับมอบใหใ้ ช้ อำ�นาจทางการปกครองของรัฐในการดำ�เนินการอย่างใดอย่างหน่ึงตามกฎหมาย  ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งขึ้น ในระบบราชการ รัฐวิสาหกิจ หรอื กจิ การอนื่ ของรัฐ

ทางการเมืองอื่น  หรือเจ้าหน้าท่ีของรัฐตั้งแต่ผู้บริหารระดับสูง๕๐  หรือข้าราชการซึ่งดำ�รง ตำ�แหน่งต้ังแต่ผู้อ�ำ นวยการกอง๕๑  รำ่�รวยผิดปกติ  กระทำ�ความผิดฐานทุจริตต่อหน้าท่ีหรือ กระทำ�ความผิดต่อตำ�แหน่งหน้าที่ราชการหรือความผิดต่อตำ�แหน่งหน้าท่ีในการยุติธรรม หรือความผิดท่ีเก่ียวข้องกัน  รวมทั้งดำ�เนินการกับเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือข้าราชการในระดับ ต�ำ่ กวา่ ทร่ี ว่ มกระทำ�ความผดิ กบั ผดู้ ำ�รงต�ำ แหนง่ ดงั กลา่ ว  หรอื กบั ผดู้ ำ�รงต�ำ แหนง่ ทางการเมอื ง  หรือท่ีกระทำ�ความผิดในลักษณะท่ีคณะกรรมการ  ป.ป.ช.  เห็นสมควรดำ�เนินการด้วย  ไต่สวนและวินิจฉัยว่าเจ้าหน้าท่ีของรัฐต่างประเทศ๕๒  และเจ้าหน้าที่ขององค์การระหว่าง ประเทศ๕๓ หรอื บคุ คลใด กระท�ำ ความผดิ ตามฐานความผดิ ทก่ี �ำ หนด ไตส่ วนและวนิ จิ ฉยั การกระท�ำ ความผิดท่ีอยู่ในอำ�นาจของคณะกรรมการ  ป.ป.ช.  ซึ่งได้กระทำ�ลงนอกราชอาณาจักรไทย  ๕๐มาตรา  ๔  แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม การทจุ รติ พ.ศ. ๒๕๔๒ และท่ีแก้ไขเพิ่มเตมิ “ผู้บริหารระดับสูง”  หมายความว่า  ผู้ดำ�รงตำ�แหน่งทางการเมือง  ผู้ดำ�รงตำ�แหน่งระดับสูง กรรมการในองค์กรอสิ ระตามรัฐธรรมนญู   กรรมการผชู้ ่วยรฐั มนตรี  ผ้ดู ำ�รงตำ�แหน่งต้งั แต่ผอู้ ำ�นวยการระดบั ตน้ หรอื เทยี บเทา่ ของสว่ นราชการ  รฐั วสิ าหกจิ   หนว่ ยงานอน่ื ของรฐั   หนว่ ยงานทใ่ี ชอ้ �ำ นาจหรอื ไดร้ บั มอบหมาย ให้ใชอ้ �ำ นาจทางปกครอง และใหห้ มายความรวมถงึ บุคคลหรือคณะบุคคลที่มอี �ำ นาจหนา้ ทีค่ วบคมุ กำ�กับดแู ล หนว่ ยงานดงั กลา่ ว และเจา้ หนา้ ทข่ี องรฐั อน่ื ตามทค่ี ณะกรรมการ ป.ป.ช. ก�ำ หนด โดยประกาศในราชกจิ จานเุ บกษา ๕๑พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต  พ.ศ. ๒๕๔๒ และที่แกไ้ ขเพมิ่ เติม มาตรา ๔ “ผอู้ �ำ นวยการกอง” หมายความว่า ข้าราชการซึง่ ดำ�รงต�ำ แหนง่ ต้งั แต่ผู้อ�ำ นวยการระดับตน้ หรอื เทยี บเทา่ ข้นึ ไป ตามกฎหมายวา่ ดว้ ยระเบยี บข้าราชการพลเรอื นหรอื ข้าราชการตามกฎหมายอน่ื   ทัง้ นี้ ตามท่ี คณะกรรมการ ป.ป.ช. ก�ำ หนด โดยประกาศในราชกจิ จานเุ บกษา ๕๒เร่ืองเดียวกนั . “เจ้าหน้าท่ีของรัฐต่างประเทศ”  หมายความว่า  ผู้ซึ่งดำ�รงตำ�แหน่งด้านนิติบัญญัติ  บริหาร ปกครอง หรือตลุ าการ ของรัฐตา่ งประเทศ และบคุ คลใด  ๆ ซ่งึ ปฏบิ ตั ิงานเกยี่ วกบั หนา้ ทรี่ าชการใหแ้ กร่ ัฐ ตา่ งประเทศ รวมท้งั การปฏบิ ัตหิ น้าทสี่ ำ�หรับหนว่ ยงานของรฐั หรอื หนว่ ยงานรฐั วิสาหกิจ ไมว่ า่ โดยการแต่งตัง้ หรอื เลือกตัง้ มีต�ำ แหนง่ ประจ�ำ หรือชว่ั คราว และไดร้ ับเงินเดอื นหรือค่าตอบแทนอ่นื หรือไมก่ ต็ าม ๕๓เพ่ิงอ้าง. “เจ้าหน้าที่ขององค์การระหว่างประเทศ”  หมายความว่า  ผู้ปฏิบัติงานในองค์การระหว่าง ประเทศหรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากองค์การระหว่างประเทศให้ปฏิบัติงานในนามขององค์การระหว่าง ประเทศนนั้ 62

63 กำ�หนดตำ�แหน่งของเจ้าหน้าท่ีของรัฐที่จะต้องยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน ตรวจสอบความถูกต้องและความมีอยู่จริง  รวมท้ังความเปล่ียนแปลงของทรัพย์สิน และหนส้ี นิ ของผดู้ �ำ รงต�ำ แหนง่ ทางการเมอื งและเจา้ หนา้ ทข่ี องรฐั ทม่ี หี นา้ ทย่ี น่ื บญั ชแี สดงรายการ ทรัพย์สินและหนี้สิน  กำ�กับดูแลคุณธรรมและจริยธรรมของผู้ดำ�รงตำ�แหน่งทางการเมือง  กำ�หนดหลักเกณฑ์และวิธีการเปิดเผยบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสาร ประกอบของผู้ดำ�รงตำ�แหนง่ นายกรัฐมนตรี รฐั มนตรี สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร และสมาชกิ วุฒิสภาและเจ้าหน้าท่ขี องรัฐ  กำ�หนดหลักเกณฑ์และวิธีการย่นื บัญชีแสดงรายการทรัพย์สิน และหน้ีสินของผู้ดำ�รงตำ�แหน่งทางการเมือง  ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถ่ิน  และเจ้าหน้าทข่ี องรฐั ท่ีมหี น้าที่ย่นื บญั ชีแสดงรายการทรัพยส์ นิ และหนี้สิน นอกจากน้ัน  ยังต้องรายงานผลการตรวจสอบและผลการปฏิบัติ หน้าที่พร้อมข้อสังเกตต่อคณะรัฐมนตรีสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทุกปี  ทั้งน้ี  จะต้อง ประกาศรายงานดังกลา่ วในราชกจิ จานุเบกษาและเปิดเผยตอ่ สาธารณะดว้ ย เสนอมาตรการ ความเห็นและข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี  รัฐสภา  ศาลหรือคณะกรรมการตรวจเงิน แผน่ ดิน เพ่ือให้มีการปรับปรงุ การปฏบิ ตั ริ าชการ หรือวางแผนงานโครงการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ  หรือหน่วยงานของรัฐ  เพ่ือป้องกันหรือปราบปรามการทุจริตต่อหน้าที่ การกระทำ�ความผิดต่อตำ�แหน่งหน้าที่ราชการ  หรือการกระทำ�ความผิดต่อตำ�แหน่งหน้าท่ี ในการยุติธรรม  ดำ�เนินการส่งเร่ืองให้หน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องเพ่ือขอให้ศาลมีคำ�สั่งหรือ คำ�พิพากษาให้ยกเลิกหรือเพิกถอนสิทธิหรือเอกสารสิทธิที่เจ้าหน้าท่ีของรัฐได้อนุมัติหรือ อนุญาตให้สิทธิประโยชน์หรือออกเอกสารสิทธิแก่บุคคลใดไปโดยมิชอบด้วยกฎหมายหรือ ระเบียบของทางราชการอันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ทางราชการ  ดำ�เนินการเพื่อป้องกันการ ทจุ ริตและเสรมิ สรา้ งทศั นคติและค่านิยมเก่ยี วกบั ความซือ่ สัตย์ สุจริต รวมท้ังด�ำ เนินการให้ ประชาชนหรือกลุ่มบุคคลมีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต  ดำ�เนินการ เก่ียวกับด้านการต่างประเทศโดยเป็นศูนย์กลางความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อประโยชน์ ในการป้องกนั และปราบปรามการทจุ รติ ท้ังนี้  เพ่ือให้เป็นไปตามพันธกรณีและข้อตกลงระหว่างประเทศ ในการต่อต้านการทุจริต  ดำ�เนินการตามคำ�ร้องขอความช่วยเหลือจากต่างประเทศในคดี ทุจริตท่ีผู้ประสานงานกลางตามกฎหมายว่าด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทาง อาญาส่งใหค้ ณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำ�เนนิ การหรือพิจารณาใหค้ วามชว่ ยเหลอื กบั ต่างประเทศ ในคดีทุจริตซ่ึงมิใช่คำ�ร้องขอความช่วยเหลือตามกฎหมายว่าด้วยความร่วมมือระหว่าง

ประเทศในเร่ืองทางอาญา  และดำ�เนินการอื่นตามที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ บัญญตั หิ รือกฎหมายอน่ื กำ�หนดใหเ้ ป็นอ�ำ นาจหน้าท่ขี องคณะกรรมการ ป.ป.ช.๕๔ สำ�หรับกรณีการไต่สวนข้อเท็จจริง  หรือการตรวจสอบน้ัน  เม่ือ ดำ�เนินการรวบรวมพยานหลักฐานเสร็จแล้ว  คณะกรรมการ  ป.ป.ช.  จะพิจารณาสำ�นวน การไตส่ วนข้อเทจ็ จริงและมมี ติวินิจฉยั วา่ ข้อกล่าวหามมี ูลหรอื ไม่ ถ้ามมี ตวิ า่ ขอ้ กล่าวหามมี ลู ประธานกรรมการจะต้องส่งรายงานไปยังหน่วยงาน/ผู้ด�ำ รงตำ�แหน่งท่ีก�ำ หนดเพื่อด�ำ เนินการ ต่อไป๕๕ โดยผู้ซ่ึงถูกกล่าวหาหรือมีพฤติการณ์ปรากฏแก่คณะกรรมการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติว่า  ได้กระทำ�การอันเป็นมูลที่จะนำ�ไปสู่การ ถอดถอนจากต�ำ แหน่ง การดำ�เนินคดีอาญา การขอใหท้ รพั ยส์ ินตกเป็นของแผ่นดิน หรือการ ด�ำ เนินการทางวินัย ตามทีบ่ ัญญัตใิ นพระราชบัญญัตปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ดว้ ยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต  พ.ศ.  ๒๕๔๒  และท่ีแก้ไขเพิ่มเติมน้ี  ให้หมายความรวมถึง ตัวการผู้ใชห้ รอื ผ้สู นบั สนนุ ในการกระท�ำ ดงั กล่าวด้วย๕๖ นอกจากนี้ พระราชบัญญตั ิประกอบรฐั ธรรมนูญวา่ ด้วยการป้องกนั และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ  พ.ศ.  ๒๕๔๒  ยังได้มีบทกำ�หนดโทษไว้เป็นการ เฉพาะเก่ียวกับการดำ�เนินการตามกฎหมายและการทุจริตไว้ในหมวด  ๑๑  บทกำ�หนดโทษ  ตามมาตรา ๑๑๘ ถงึ มาตรา ๑๒๕ เพมิ่ เติมอีกด้วย (๒) พระราชบญั ญตั มิ าตรการของฝา่ ยบรหิ ารในการปอ้ งกนั และปราบปราม ของฝ่ายบริหารในการปอ้ งกันและปราบปรามการทุจรติ พ.ศ. ๒๕๕๑ ๕๔เร่อื งเดยี วกนั . มาตรา ๑๙. ๕๕เรอื่ งเดยี วกนั . มาตรา ๕๖. ๕๖พระราชบญั ญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ดว้ ยการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ   พ.ศ.  ๒๕๔๒ และทแ่ี กไ้ ขเพม่ิ เตมิ มาตรา ๑๐๔ “ผู้ถูกกล่าวหา”  หมายความว่า  ผู้ซ่ึงถูกกล่าวหาหรือมีพฤติการณ์ปรากฏแก่คณะกรรมการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติว่า  ได้กระทำ�การอันเป็นมูลที่จะนำ�ไปสู่การถอดถอนจากตำ�แหน่ง การดำ�เนินคดีอาญา  การขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน  หรือการดำ�เนินการทางวินัย  ตามท่ีบัญญัติ ในพระราชบัญญตั ปิ ระกอบรัฐธรรมนูญน้ี และใหห้ มายความรวมถงึ ตวั การ ผู้ใช้หรอื ผู้สนับสนุนในการกระทำ� ดังกล่าวด้วย ค�ำ วา่ “ตัวการ ผู้ใชห้ รอื ผู้สนบั สนุน” ยงั ปรากฏในมาตรา ๓๐ มาตรา ๖๐ และมาตรา ๘๔ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต  พ.ศ.  ๒๕๔๒  และ ทแ่ี ก้ไขเพิม่ เตมิ ดว้ ย 64

65 ในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ รฐั บาลมนี โยบายส�ำ คญั และเรง่ ดว่ นในการปอ้ งกนั และปราบปรามการทุจริต  แต่ยังไม่มีส่วนราชการในส่วนของฝ่ายบริหารที่มีอำ�นาจหน้าท่ี รับผิดชอบเก่ียวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตโดยตรง  ทำ�ให้รัฐบาลไม่สามารถ กำ�กับดูแลและผลักดันเพ่ือให้การดำ�เนินการตามนโยบายดังกล่าวเป็นไปอย่างมี ประสิทธิภาพและตรงตามเป้าหมายที่วางไว้  อีกท้ังคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม การทุจริตแห่งชาติซง่ึ เปน็ องคก์ รอสิ ระท่มี ีอำ�นาจในการปอ้ งกันและปราบปรามการทุจริตของ เจ้าหน้าท่ีของรัฐมีภารกิจที่อยู่ในความรับผิดชอบจำ�นวนมาก  สมควรที่จะมีส่วนราชการ ในฝ่ายบริหารท่ีรับผิดชอบในการดำ�เนินการด้านนโยบายดังกล่าว  และเป็นศูนย์กลาง ประสานงานกับหน่วยงานของรัฐท่เี ก่ยี วข้องท้งั หมด  รวมท้งั กำ�หนดมาตรการต่าง  ๆ  เพ่อื ให้ การป้องกันและปราบปรามการทุจริตในฝ่ายบริหารสามารถดำ�เนินการในลักษณะบูรณา การและมีประสทิ ธิภาพมากยิ่งขนึ้ ดงั นนั้ จงึ ได้ตราพระราชบญั ญัติมาตรการของฝา่ ยบรหิ าร ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต  พ.ศ.  ๒๕๕๑  ข้ึน๕๗  เพ่ือดำ�เนินการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ  โดยมีสำ�นักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบ ปรามการทจุ รติ ในภาครฐั (ส�ำ นักงาน ป.ป.ท.) เปน็ หนว่ ยงานที่จดั ตัง้ ข้นึ ตามมาตรา ๕๑ แหง่ พระราชบญั ญตั มิ าตรการของฝา่ ยบรหิ ารในการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ พ.ศ. ๒๕๕๑ ท่ีกำ�หนดให้เป็นส่วนราชการมฐี านะเป็นกรมทไ่ี มส่ งั กดั ส�ำ นกั นายกรฐั มนตรี กระทรวง หรอื ทบวง โดยมีเลขาธกิ ารเปน็ ผู้รับผิดชอบข้นึ ตรงตอ่ นายกรฐั มนตรี และใหม้ ีหน้าท่ีควบคุมดูแล และรบั ผดิ ชอบการปฏบิ ตั ริ าชการของสำ�นกั งานตอ่ คณะกรรมการ ป.ป.ท. และเปน็ ผู้บงั คบั บัญชาข้าราชการและเจ้าหน้าท่ีในสำ�นักงานโดยมีรองเลขาธิการเป็นผู้ช่วยสั่งและปฏิบัติ ราชการ พระราชบญั ญตั มิ าตรการของฝา่ ยบรหิ ารในการปอ้ งกนั และปราบปราม การทจุ รติ พ.ศ. ๒๕๕๑ ได้ก�ำ หนดให้คณะกรรมการ ป.ป.ท. มอี �ำ นาจหน้าท่ี เสนอนโยบาย มาตรการ  และแผนพัฒนาการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐต่อคณะรัฐมนตรี เสนอแนะและให้คำ�ปรึกษาแก่คณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการปรับปรุงกฎหมาย  กฎ  ข้อบังคับ หรือมาตรการต่าง  ๆ  เพื่อป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ  เสนอแนะต่อ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการกำ�หนดตำ�แหน่งของเจา้ หน้าทข่ี องรฐั ซ่ึงตอ้ งยน่ื บญั ชแี สดง รายการทรัพย์สินและหน้ีสินต่อคณะกรรมการ  ป.ป.ช.  ตามพระราชบัญญัติประกอบ ๕๗หมายเหตุท้ายพระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปราม การทุจริต พ.ศ. ๒๕๕๑ ประกาศในราชกิจจานเุ บกษา เลม่ ๑๒๕/ตอนที่ ๒๑ ก/หนา้ ๑/๒๔ มกราคม ๒๕๕๑

รัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตไต่สวนข้อเท็จจริงและช้ีมูลเก่ียวกับ การกระทำ�การทุจริตในภาครัฐของเจ้าหน้าที่ของรัฐ  ไต่สวนข้อเท็จจริงและสรุปสำ�นวน พร้อมท้ังความเห็นส่งพนักงานอัยการเพื่อฟ้องคดีอาญาต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐ  จัดทำ�รายงาน ผลการปฏิบัติงานประจำ�ปีเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพ่ือเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร  วุฒิสภา และคณะกรรมการ  ป.ป.ช.  ทราบด้วย  แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพ่ือดำ�เนินการตามที่ คณะกรรมการ ป.ป.ท. มอบหมาย และปฏบิ ตั กิ ารอน่ื ตามพระราชบญั ญตั นิ ้ี หรอื การอน่ื ใด เก่ียวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐตามท่ีคณะรัฐมนตรีหรือ คณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมาย๕๘ โดยเขตอำ�นาจในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐน้นั จะดำ�เนินการต่อเจ้าหน้าท่ีรัฐ๕๙  ซ่ึงดำ�รงตำ�แหน่งต่ำ�กว่าผู้บริหารระดับสูง  หรือข้าราชการ ที่ดำ�รงตำ�แหน่งตำ่�กว่าผู้อำ�นวยการกองหรือเทียบเท่าลงมา  ท่ีกระทำ�การทุจริตต่อหน้าท่ี หรอื ประพฤติมิชอบในภาครฐั   ท้งั นี้ การทุจรติ ต่อหนา้ ท่ี หมายความวา่ ปฏบิ ตั ิหรอื ละเวน้ การปฏิบัติอย่างใดในตำ�แหน่งหรือหน้าท่ี  หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใด ๕๘พระราชบญั ญตั มิ าตรการของฝา่ ยบรหิ ารในการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ พ.ศ. ๒๕๕๑ และทแ่ี กไ้ ขเพม่ิ เตมิ มาตรา ๑๗ ๕๙เรอื่ งเดียวกัน, มาตรา ๓. “เจ้าหนา้ ท่ขี องรัฐ” หมายความว่า เจ้าหน้าทีข่ องรฐั ตามพระราชบญั ญตั ิประกอบรัฐธรรมนญู วา่ ดว้ ยการปอ้ งกันและปราบปรามการทจุ รติ แต่ไม่รวมถึงเจ้าหนา้ ที่ของรฐั ดงั ต่อไปน้ี (๑)  ผ้บู ริหารระดับสงู ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการปอ้ งกันและปราบ ปรามการทจุ รติ (๒)  ผู้พิพากษาและตุลาการ (๓)  พนักงานอัยการ (๔)  ผู้บริหารท้องถ่ิน  รองผู้บริหารท้องถ่ิน  ผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่น  และสมาชิกสภาท้องถิ่น ขององคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ (๕)  เจ้าหนา้ ทีข่ องรัฐในหน่วยงานของศาล รฐั สภา องค์กรตามรัฐธรรมนญู และองคก์ รอิสระ จากการควบคมุ หรือก�ำ กับของฝ่ายบริหารทจ่ี ดั ต้ังข้นึ ตามรฐั ธรรมนูญ (๖)  เจ้าหนา้ ทขี่ องรฐั ในสำ�นักงานคณะกรรมการป้องกนั และปราบปรามการทจุ รติ ในภาครัฐ (๗)  เจา้ หนา้ ทข่ี องรฐั ซง่ึ กระท�ำ ความผดิ ในลกั ษณะทค่ี ณะกรรมการ ป.ป.ช. เหน็ สมควรด�ำ เนนิ การ ตามทค่ี ณะกรรมการ ป.ป.ช. กำ�หนด (๘)  เจ้าหนา้ ท่ขี องรัฐซึง่ ร่วมกระท�ำ ความผิดกับบุคคลตาม (๑) (๒) (๓) (๔) (๕) (๖) และ (๗) 66

67 ในพฤติการณ์ท่อี าจท�ำ ให้ผ้อู ่นื เช่อื ว่ามีตำ�แหน่งหรือหน้าท่ที ้งั ท่ตี นมิได้มีต�ำ แหน่งหรือหน้าท่นี ้นั หรอื ใช้อ�ำ นาจในตำ�แหน่งหรอื หน้าท่ี ท้ังนี้ เพ่ือแสวงหาประโยชน์ทมี่ ิควรได้โดยชอบสำ�หรับ ตนเองหรือผู้อื่น  หรือกระทำ�การอันเป็นความผิดต่อตำ�แหน่งหน้าที่ราชการหรือความผิด ต่อตำ�แหน่งหน้าที่ในการยุติธรรมตามประมวลกฎหมายอาญาหรือตามกฎหมายอ่ืน  และ ประพฤติมิชอบ หมายความว่า ใชอ้ ำ�นาจในตำ�แหนง่ หรอื หนา้ ท่ีอนั เป็นการฝา่ ฝนื กฎหมาย ระเบียบ ค�ำ ส่งั หรอื มติคณะรัฐมนตรีทม่ี งุ่ หมายจะควบคมุ ดูแลการรบั การเกบ็ รักษา หรือ การใชเ้ งินหรอื ทรัพย์สนิ ของแผ่นดนิ ๖๐ เมอ่ื มกี ารกลา่ วหาเจา้ หนา้ ทข่ี องรฐั หรอื ผถู้ กู กลา่ วหา๖๑  วา่ กระท�ำ การ หรือเก่ียวข้องกับการกระทำ�การทุจริตในภาครัฐแล้ว  คณะกรรมการ  ป.ป.ท.จะพิจารณา ว่าเรื่องท่ีกล่าวหาน้ันจะรับไว้เพื่อดำ�เนินการไต่สวนข้อเท็จจริงหรือไม่  และเม่ือดำ�เนินการ ไต่สวนข้อเท็จจริงเสร็จแล้ว  คณะกรรมการ  ป.ป.ท.  อาจมีมติชี้มูลว่าเจ้าหน้าท่ีของรัฐ ผู้ใดกระทำ�การทุจริตในภาครฐั และถ้าเป็นกรณีมมี ูลความผดิ ทางวินัย ให้ประธานกรรมการ ส่งรายงานและเอกสารท่ีมีอยู่พร้อมทั้งความเห็นไปยังผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำ�นาจแต่งต้ัง ถอดถอนผู้ถูกกล่าวหาผู้น้ัน  เพื่อพิจารณาโทษทางวินัยตามฐานความผิดท่ีคณะกรรมการ ป.ป.ท. ไดม้ มี ต๖ิ ๒ แตห่ ากเปน็ กรณที ก่ี ารกระท�ำ ของเจา้ หนา้ ทข่ี องรฐั ตามมาตรา ๔๐ เปน็ ความ ผิดทางอาญาด้วย ใหค้ ณะกรรมการ ป.ป.ท. ส่งเร่ืองพร้อมทั้งส�ำ นวนการไต่สวนขอ้ เท็จจรงิ รายงาน เอกสาร และความเหน็ ของคณะกรรมการ ป.ป.ท. ใหพ้ นกั งานอยั การด�ำ เนนิ คดตี อ่ ไป๖๓ นอกจากน้ี  หากเป็นกรณีเจ้าหน้าท่ีของรัฐผู้ถูกกล่าวหาได้อนุมัติ  อนุญาตออกเอกสารสิทธิ ให้สิทธิประโยชน์หรือการสงั่ การใด ๆ แกบ่ ุคคลใดโดยมิชอบ หรอื อาจเปน็ เหตใุ ห้เสยี หายแก่ ทางราชการ ใหค้ ณะกรรมการ ป.ป.ท. แจง้ ใหห้ วั หนา้ หนว่ ยงานทเ่ี กย่ี วขอ้ งพจิ ารณาด�ำ เนนิ การ สง่ั ยกเลกิ หรอื เพกิ ถอนตอ่ ไป๖๔  อนง่ึ   ในระหวา่ งทำ�การไตส่ วนขอ้ เทจ็ จรงิ   ถา้ คณะกรรมการ ๖๐หมายเหตุท้าย  พ.ร.บ.มาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๕๑. ๖๑“ผู้ถูกกล่าวหา”  หมายความว่า  ผู้ซ่ึงถูกกล่าวหาหรือมีพฤติการณ์ปรากฏแก่คณะกรรมการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐว่าได้กระทำ�การทุจริตในภาครัฐอันเป็นมูลที่จะนำ�ไปสู่การไต่สวน ขอ้ เทจ็ จรงิ ตามพระราชบญั ญตั นิ ้ี และใหห้ มายความรวมถงึ ตวั การ ผใู้ ช้ หรอื ผสู้ นบั สนนุ ในการกระท�ำ ดงั กลา่ วดว้ ย ใน หมายเหตุท้าย  พ.ร.บ.มาตรการของฝ่ายบริหารในการปอ้ งกันและปราบปรามการทจุ ริต พ.ศ. ๒๕๕๑. ๖๒พระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต  พ.ศ. ๒๕๕๑ และที่แกไ้ ขเพมิ่ เตมิ มาตรา ๔๐ – ๔๔ ๖๓เรื่องเดียวกัน. มาตรา ๔๕ – ๔๗. ๖๔เรือ่ งเดียวกนั . มาตรา ๔๙.

ป.ป.ท. เหน็ ควร จะตรวจสอบทรพั ยส์ นิ และหน้สี นิ ของเจา้ หน้าที่รัฐ คสู่ มรส และบุตรทย่ี ังไม่ บรรลุนิติภาวะก็ได้  และถ้าตรวจสอบแล้วพบหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าเจ้าหน้าท่ีของรัฐ ที่ถูกกล่าวหาน้ันร�่ำ รวยผิดปกติหรือมีทรัพย์สินเพิ่มข้ึนผิดปกต ิ ก็จะส่งเรื่องให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำ�เนนิ การตามอ�ำ นาจหนา้ ทีต่ อ่ ไป๖๕ ทง้ั น้ี อ�ำ นาจของคณะกรรมการ ป.ป.ท. ในการไต่สวนข้อเท็จจรงิ นั้น บังคบั กับกรณีทเ่ี จ้าหนา้ ท่ขี องรฐั หรอื บุคคลอนื่ เปน็ ตัวการ ผู้ใช้ หรือผู้สนบั สนุนดว้ ย๖๖ นอกจากน้ ี พระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต  พ.ศ.  ๒๕๕๑  ยังได้มีบทกำ�หนดโทษไว้เป็นการเฉพาะเก่ียวกับ การด�ำ เนนิ การตามกฎหมายและการทุจริตไวใ้ นหมวด ๕ บทกำ�หนดโทษ ตามมาตรา ๖๒ ถึง มาตรา ๖๕ เพ่มิ เตมิ อกี ด้วย ๓.๖ กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กร อาชญากรรมข้ามชาติ สบื เนอ่ื งจากมตคิ ณะรฐั มนตรเี มอ่ื วนั ท่ี ๒๖ กนั ยายน ๒๕๔๓ ใหส้ �ำ นกั งาน อัยการสูงสุดเป็นหน่วยงานหลักในการตรวจสอบพันธกรณีตามอนุสัญญาสหประชาชาติ ตอ่ ตา้ นองคก์ รอาชญากรรมขา้ มชาติ ค.ศ. ๒๐๐๐ (United Nations Convention Against Transnational  Organized  Crime  2000)  ซ่งึ ประเทศไทยร่วมลงนามในอนุสญั ญาเม่อื วันท่ี ๑๓  ธันวาคม  ๒๕๔๓  เพื่อแก้ไขกฎหมายหรือยกร่างกฎหมายข้ึนมาใหม่  และรองรับ พันธกรณีตามอนุสัญญาฯ  และเมื่อวันที่  ๒๖  มิถุนายน  ๒๕๕๖  ได้มีการประกาศใช้ พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ.  ๒๕๕๖๖๗  โดยหมายเหตุท้ายพระราชบัญญัติได้ระบุถึงเหตุผลในการประกาศใช้ พระราชบญั ญตั ฉิ บบั น ้ี คอื   เนอ่ื งจากปจั จบุ นั ประเทศไทยมปี ญั หาเกย่ี วกบั การประกอบอาชญากรรม ที่มีลักษณะเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติซ่ึงส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อย ๖๕เรื่องเดยี วกนั . มาตรา ๔๘. ๖๖เร่อื งเดียวกัน. มาตรา ๒๓. ๖๗กลุ่มงานบริการวิชาการ  สำ�นักวิชาการ  สำ�นักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร.  เอกสาร ประกอบการพจิ ารณารา่ งพระราชบญั ญตั ปิ อ้ งกนั และปราบปรามการมสี ว่ นรว่ มในองคก์ รอาชญากรรมขา้ มชาติ พ.ศ. .... (อพ. ๒๑/๒๕๕๕) สมยั สามัญทั่วไป 68

69 และความมน่ั คงของประเทศเปน็ อยา่ งมาก  แตป่ รากฏวา่ กฎหมายทม่ี อี ยยู่ งั ไมส่ ามารถใชบ้ งั คบั เพื่อดำ�เนินคดีกับการกระท�ำ ความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติได้อย่าง มปี ระสทิ ธภิ าพ และนอกจากนั้น ประเทศไทยยงั ได้ลงนามในอนสุ ญั ญาสหประชาชาตเิ พอื่ ต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติท่ีจัดตั้งในลักษณะองค์กร  จึงสมควรกำ�หนดลักษณะความผิด และก�ำ หนดวิธกี ารสืบสวนสอบสวนให้ครอบคลุมถึงการกระทำ�ความผดิ ดงั กล่าวดว้ ย๖๘ กฎหมายฉบับน้ีถือเป็นมาตรการในการป้องกันและปราบปรามองค์กร อาชญากรรมภายในประเทศ อาชญากรรมทางเศรษฐกจิ และองค์กรอาชญากรรมขา้ มชาติ โดยตรง โดยใชม้ าตรการพเิ ศษเพอ่ื ด�ำ เนนิ การกบั องคก์ รอาชญากรรม เชน่ การถอื เปน็ ความผิด ต้ังแต่ข้ันสมคบ  การผลักภาระการพิสูจน์ในเร่ืองทรัพย์สินแก่องค์กรอาชญากรรมและผู้ทรง อิทธิพล  การฟ้องคดีธุรกิจอาชญากรรมหลายประเภทขององค์กรอาชญากรรมและผู้ทรง อทิ ธิพล สามารถฟ้องหลาย ๆ คดพี ร้อมกนั และใช้พยานหลักฐานร่วมกนั ได้ การจดั ใหม้ ี การสืบพยานล่วงหน้าในคดีองค์กรอาชญากรรมและผู้ทรงอิทธิพล  เพ่ือลดความกดดัน ของพยาน  และการกำ�หนดให้ประชาชนซ่ึงเป็นผู้เสียหายในคดีอาญาเก่ียวกับความผิด องค์กรอาชญากรรมและผู้ทรงอิทธิพลโดยตรงมีอำ�นาจในการแจ้งคดีร้องทุกข์นำ�คดีข้ึน ฟ้องร้องต่อศาลได้  อันจะเป็นประโยชน์ต่อกระบวนการยุติธรรมทางอาญามากขึ้น เนื่องจากประชาชนมีส่วนร่วมในการดูแลความสงบสุขในสังคมได้ด้วยตัวเองและลดภาวะ การถูกครอบง�ำ โดยเจ้าหนา้ ที่ทีอ่ าจเกดิ ขน้ึ ได้ ดังนั้น  กฎหมายฉบับน้ีจึงเป็นมาตรการในการป้องกันและปราบปราม กลุ่มอิทธิพลซ่ึงนำ�ไปสู่การทุจริตภาษีมูลค่าเพ่ิมและภาษีศุลกากรที่มีการกระทำ�ความผิด ในลักษณะองค์กรอาชญากรรมภายในประเทศและ/หรือองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติตามท่ี พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาต ิ พ.ศ. ๒๕๕๖ กำ�หนดไวด้ ้วย ดังทก่ี ลา่ วไวแ้ ลว้ ในบทที่ ๒ เรอื่ งเกยี่ วกบั องคก์ รอาชญากรรม ๖๘หมายเหตุท้ายพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรม ข้ามชาติ พ.ศ. ๒๕๕๖

๔. สรปุ รายได้หลักประการหน่ึงของรัฐบาลคือการจัดเก็บภาษีอากร  โดยภาษีอากร มีหลายประเภท  อันอาจจำ�แนกแตกต่างกันไปตามแต่ละหลักเกณฑ์ท่ีกำ�หนด  แต่ในการ ศึกษานจ้ี ะมงุ่ ไปทภ่ี าษีมูลค่าเพม่ิ และภาษศี ุลกากร โดยภาษีมลู ค่าเพิม่ (Value Added Tax) หรือ  VAT  เป็นภาษีท่ีรัฐจัดเก็บจากการขายสินค้า  หรือการให้บริการในแต่ละข้ันตอน การผลิต  และการจำ�หน่ายสินค้าหรือบริการ  ท้ังการผลิต  ภายในประเทศและนำ�เข้าจาก ตา่ งประเทศหรือส่งออกไปตา่ งประเทศ โดยผ้มู ีหน้าทีเ่ สียภาษมี ลู ค่าเพม่ิ ได้แก่ ผูป้ ระกอบการ ท่ีเป็นผู้ผลิตหรือเป็นผู้ที่ขายสินค้าหรือให้บริการในทางธุรกิจหรือวิชาชีพเป็นปกติธุระ ไม่ว่าจะประกอบการในรูปของบุคคลธรรมดา  คณะบุคคล  หรือห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่ นิติบุคคลหรือนิติบุคคลใด  ๆ  หากมีรายรับจากการขายสินค้าหรือให้บริการเกินกว่าท่ี กฎหมายกำ�หนดจะต้องมีหน้าที่ย่ืนคำ�ขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพ่ิมเพ่ือเป็นผู้ประกอบการ จดทะเบียน  ส่วนผู้ประกอบการใดที่มีรายได้ไม่เกินที่กฎหมายกำ�หนดจะไม่จดทะเบียนก็ได้ นั่นหมายความว่า  หากมีความประสงค์จะขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มก็ได้ตามท่ีประมวล รัษฎากรก�ำ หนด โดยส่วนทเ่ี ก็บเพ่มิ น้นั เรียกว่า “มลู ค่าเพ่ิม” หมายถงึ มูลคา่ ของสว่ นทีเ่ พ่มิ ในแตล่ ะขน้ั ตอนการผลติ และการจ�ำ หนา่ ยสนิ คา้ หรอื บรกิ าร  หรอื กลา่ วอกี นยั หนง่ึ ไดว้ า่   “มลู คา่ เพม่ิ ” หมายถึง  ค่าของผลต่างระหว่างราคาของสินค้าหรือบริการที่ผลิตหรือจำ�หน่ายกับราคา ของสินค้าหรือบริการที่ซื้อมาเพ่ือใช้ในการผลิตหรือในการจำ�หน่ายสินค้าหรือบริการน้ัน โดยมีกฎหมายหลกั ท่ีเกยี่ วข้องคอื ประมวลรัษฎากร เปน็ ต้น ส่วนภาษีศุลกากรนั้นเป็นอากรศุลกากรที่จัดเก็บกับของที่นำ�เข้ามาในหรือ ส่งออกไปนอกราชอาณาจักรตามพระราชบัญญัติศุลกากร  พ.ศ.  ๒๕๖๐  และกฎหมาย ว่าด้วยพิกัดอัตราศุลกากรหรือกฎหมายอื่นท่ีก�ำ หนดให้เป็นอากรศุลกากร  โดยภาษีศุลกากร จะเก็บเฉพาะจากของทีน่ �ำ เข้ามาในหรอื สง่ ออกไปนอกประเทศตามท่ีกฎหมายก�ำ หนด โดย ของท่ีนำ�เข้ามาในประเทศนั้นจะต้องเป็นของท่ีใช้บริโภคภายในประเทศ  หรือเข้าสู่วงจร เศรษฐกิจภายในประเทศโดยตรง  ซ่ึงของบางประเภทอาจได้รับการยกเว้นอากร  ซึ่งมี กฎหมายหลกั ทเี่ กีย่ วข้อง คอื พระราชบัญญตั ิศลุ กากร พ.ศ. ๒๕๖๐ และพระราชก�ำ หนด พกิ ัดอตั ราศุลกากร พ.ศ. ๒๕๓๐ เปน็ ตน้ ทั้งนี้  การดำ�เนินการเพ่ือจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีศุลกากรดังกล่าว อาจมีการกระทำ�บางอย่างอันเข้าข่ายเป็นการหลีกเลี่ยงหรือฉ้อโกงภาษีอากร  ซ่ึงกฎหมาย ไทยได้กำ�หนดให้การกระทำ�ดังกล่าวมีโทษตามกฎหมายซ่ึงปรากฏอยู่ในกฎหมายหลายฉบับ 70

71 เช่น ประมวลกฎหมายอาญา ประมวลรัษฎากร และพระราชบญั ญตั ิศลุ กากร พ.ศ. ๒๕๖๐ เปน็ ต้น ท้งั นี้ การหลีกเล่ยี งหรอื ฉอ้ โกงภาษอี ากรบางกรณี เช่น ความผดิ เกย่ี วกับการลกั ลอบ หนศี ุลกากรตามกฎหมายวา่ ด้วยศลุ กากร และความผิดตามมาตรา ๓๗ มาตรา ๓๗ ทวิ หรอื มาตรา ๙๐/๔ แหง่ ประมวลรัษฎากร ท่ีผู้กระท�ำ ความผิดเป็นผู้มีหน้าทเ่ี สียภาษอี ากรหรอื นำ� ส่งภาษีอากร  และเป็นความผิดที่เก่ียวกับจำ�นวนภาษีอากรที่หลีกเล่ียงหรือฉ้อโกงตั้งแต่สิบ ลา้ นบาทตอ่ ปภี าษขี นึ้ ไป หรือจำ�นวนภาษอี ากรท่ขี อคนื โดยความเท็จ โดยฉ้อโกงหรืออุบาย หรอื โดยวธิ ีการอ่นื ใดท�ำ นองเดียวกนั ต้งั แต่สองล้านบาทต่อปีภาษขี น้ึ ไป และผมู้ ีหน้าที่เสยี ภาษีอากรหรือนำ�ส่งภาษีอากรดังกล่าวได้กระทำ�ในลักษณะท่ีเป็นกระบวนการหรือเป็นเครือ ขา่ ยโดยสรา้ งธรุ กรรมอันเปน็ เท็จหรือปกปิดเงินได้พงึ ประเมนิ หรอื รายได้ เพอื่ หลีกเลีย่ งหรอื ฉ้อโกงภาษีอากร  และมีพฤติกรรมปกปิดหรือซ้อนเร้นทรัพย์สินท่ีเก่ียวกับการกระทำ�ความผิด เพื่อมิให้ติดตามทรัพย์สินน้ันได้นั้น  กฎหมายยังได้กำ�หนดให้เป็นความผิดมูลฐานตาม กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินซ่ึงจะต้องดำ�เนินการตามพระราช บัญญตั ปิ อ้ งกนั และปราบปรามการฟอกเงนิ พ.ศ. ๒๕๔๒ นอกจากน้ี  หากการกระทำ�ผิดดังกล่าว  มีลักษณะการกระทำ�เป็นความผิดฐาน มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติด้วยก็จะมีความผิดและมีการดำ�เนินการตาม พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาต ิ พ.ศ. ๒๕๕๖  อีกด้วย  โดยในการบังคับเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายดังกล่าว  รัฐได้กำ�หนดให้มี หน่วยงานท่ีรบั ผิดชอบหลายหน่วยงาน อาทิ กรมสรรพากร กรมศลุ กากร ส�ำ นักงานปอ้ งกัน และปราบปรามการฟอกเงิน  กรมสอบสวนคดีพิเศษ  สำ�นักงานคณะกรรมการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ  และสำ�นักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม การทุจรติ ในภาครฐั และสำ�นกั งานอัยการสูงสดุ เป็นตน้

เอกสารอ้างองิ กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมศลุ กากร กระทรวงการคลัง พ.ศ. ๒๕๕๑ กฎกระทรวงแบง่ ส่วนราชการกรมสรรพากร กระทรวงการคลัง พ.ศ. ๒๕๖๐ กรมสอบสวนคดพี เิ ศษ กระทรวงยตุ ิธรรม. ค่มู อื การปฏบิ ัตงิ านสบื สวนสอบสวนตาม พระราชบญั ญัตกิ ารสอบสวนคดพี เิ ศษ พ.ศ. ๒๕๔๗. กรุงเทพฯ: ม.ป.ท., ๒๕๔๘. กลุ่มงานบรกิ ารวชิ าการ สำ�นักวชิ าการ ส�ำ นักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. เอกสารประกอบการพิจารณารา่ งพระราชบัญญตั ิปอ้ งกันและปราบปรามการ มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. .... (อพ. ๒๑/๒๕๕๕) สมัยสามญั ทว่ั ไป กติ ตวิ ชั ร์ ภมู ธิ เนศ. “อาชญากรรมทางเศรษฐกจิ ปญั หาการหลกี เลยี่ งภาษมี ูลคา่ เพ่มิ กรณกี ารใช้ใบก�ำ กบั ภาษปี ลอม: ศึกษาเฉพาะเจ้าหน้าท่ีกรมสรรพากรในเขต กรงุ เทพมหานคร”. สารนพิ นธศ์ ลิ ปศาสตรมหาบณั ฑติ (การบรหิ ารงานยตุ ธิ รรม) คณะสงั คมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์, ๒๕๔๕. สาธพุ นั ธ์.ุ ค�ำ อธบิ ายวชิ าภาษอี ากร. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั , ๒๕๑๓. จงรกั ระรวยทรง. จากภาษกี ารคา้ สภู่ าษมี ลู คา่ เพม่ิ . พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๒ กรงุ เทพฯ: นติ ธิ รรม, ๒๕๓๓. บญุ ชนะ อัตถากร, ทฤษฎภี าษแี ละทางปฏิบัติ (Tax theory and practice), พระนคร: โรงพิมพ์ รงุ่ เรอื งธรรม, ๒๕๐๑. บญุ ธรรม ราชรกั ษ.์ เศรษฐศาสตรภ์ าษอี ากรไทย. กรงุ เทพฯ: ส�ำ นกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลยั รามค�ำ แหง, ๒๕๔๐. ประกาศคณะกรรมการคดพี ิเศษ (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๕๕ เร่อื ง ก�ำ หนดรายละเอยี ดของ ลกั ษณะของการกระท�ำ ความผิดท่ีเป็นคดีพิเศษ ตามมาตรา ๒๑ วรรคหนึ่ง (๑) แหง่ พระราชบญั ญตั กิ ารสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. ๒๕๔๗ ลงวนั ที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕. ประมวลรษั ฎากร ประสิทธ์ิ ดวงตะวงษ.์ มาตรการทางกฎหมายในการปอ้ งกนั และปราบปรามการขอคนื ภาษ ี มูลคา่ เพ่ิมโดยทจุ ริต. วิทยานพิ นธ์ นิติศาสตรมหาบณั ฑติ มหาวิทยาลัย รามคำ�แหง, ๒๕๔๓. 72

73 ปรีดา นาคเนาวทิม. เศรษฐศาสตร์การภาษอี ากร ๑. กรงุ เทพฯ: มหาวทิ ยาลัยรามค�ำ แหง, ๒๕๒๘. ปญั ญา วรวิวัฒน์. กฎหมายอาญา ภาคความผิดและลหุโทษ. กรุงเทพฯ: นติ ิธรรม, ๒๕๕๔. พรรณศิ า  ธีระกลุ พิศทุ ธ์.ิ การน�ำ หลักสมคบกันกระทำ�ความผดิ มาใชเ้ พ่อื ป้องกันและ ปราบปรามการทจุ รติ ในระบบภาษมี ลู คา่ เพมิ่ .  วิทยานพิ นธ ์ นิตศิ าสตร มหาบัณฑติ สาขากฎหมายภาษี มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์, ๒๕๕๓. พระราชบญั ญัติการนิคมอตุ สาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ พระราชบญั ญัตกิ ารสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. ๒๕๔๗ และทแ่ี กไ้ ขเพ่มิ เติม. พระราชบัญญตั แิ กไ้ ขเพ่ิมเติมประมวลรัษฎากร (ฉบบั ท่ี ๔๕) พ.ศ. ๒๕๖๐ พระราชบญั ญัติชดเชยคา่ ภาษีอากรสนิ ค้าสง่ ออกท่ผี ลิตในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๒๔ พระราชบญั ญตั ิประกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ดว้ ยการป้องกนั และปราบปรามการทจุ ริต พ.ศ. ๒๕๔๒ และทแ่ี ก้ไขเพม่ิ เติม พระราชบัญญัติปอ้ งกันและปราบปรามการฟอกเงนิ พ.ศ. ๒๕๔๒ พระราชบัญญัตปิ ้องกันและปราบปรามการมสี ่วนรว่ มในองค์กรอาชญากรรมขา้ มชาติ พ.ศ. ๒๕๕๖ พระราชบญั ญัติมาตรการของฝ่ายบรหิ ารในการป้องกันและปราบปรามการทจุ ริต พ.ศ. ๒๕๕๑ พระราชบญั ญัตศิ ุลกากร พ.ศ. ๒๕๖๐ พระราชบญั ญตั ิสง่ เสรมิ การลงทุน พ.ศ. ๒๕๒๐ และที่แก้ไขเพม่ิ เตมิ พระราชบญั ญตั สิ รรพสามติ พ.ศ. ๒๕๖๐ รชฎ เจริญฉ�่ำ . กฎหมายอาญา (พสิ ดาร) ภาคความผดิ เกย่ี วกับเจา้ พนักงาน. กรงุ เทพฯ: พิมพอ์ กั ษร, ๒๕๔๕. รงั สรรค์ ธนะพรพันธุ์. ทฤษฎกี ารภาษีอากร. กรุงเทพฯ: เคล็ดไทย, ๒๕๑๖. วัชรา ไชยสาร และคณะ. การศกึ ษากลมุ่ อิทธพิ ลซ่งึ นำ�ไปสู่การทุจรติ คอรร์ ัปชนั อย่างเปน็ ระบบ (Organized Corruption) จ�ำ แนกตามภาคเศรษฐกิจ: กรณศี กึ ษาการทจุ รติ ภาษมี ลู คา่ เพม่ิ และภาษศี ลุ กากรในประเทศไทย. กรงุ เทพฯ: สำ�นกั งานคณะกรรมการป้องกนั และปราบปรามการทจุ ริตแห่งชาติ (ปปช.), ๒๕๖๑. วรี ะพงษ์ บญุ โญภาส. ขอบเขตและความหมายของอาชญากรรมทางเศรษฐกจิ . กรุงเทพฯ: ส�ำ นักพมิ พ์นิตธิ รรม, ๒๕๔๗.

สถาบนั อบรม วจิ ยั และพฒั นากฎหมายภาษอี ากร. รายงานการวจิ ัยฉบับสมบรู ณ์ เรอื่ ง การพจิ ารณาคดีอาญาในศาลภาษอี ากร. กรงุ เทพฯ: ศาลภาษีอากรกลาง สถาบันอบรม วจิ ัย และพัฒนากฎหมายภาษอี ากร, ๒๕๕๔. สมคดิ บางโม. ภาษอี ากรธุรกิจ. กรุงเทพฯ: วทิ ยพฒั น์, ๒๕๕๗. อรชา แก้วเอีย้ น. เจ้าพนกั งานเรียกเกบ็ หรือละเวน้ ไมเ่ รียกเกบ็ ภาษอี ากรโดยทจุ รติ . วารสาร สรรพากรสาสน์ ๖๒, ๑๑ (พฤศจิกายน ๒๕๕๘): ๗๗ – ๘๓. 74

75 บญุ ศกั ด์ิ หาญเทอดสิทธ์ิ * บทคดั ย่อ ปัจจุบนเป็นยุคที่มีความต่ืนตัวกันมากขึ้นเร่ืองการใช้ประโยชน์จากข้อมูล สุขภาพส่วนบุคคล  เพราะเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วพร้อมๆกับปริมาณข้อมูล ท่ีถูกสร้างขึ้นและส่งต่อไปในเครือข่ายอินเตอร์เน็ตมีมากมายมหาศาล  ข้อมูลสุขภาพ ส่วนบุคคลอาจถูกนำ�ไปใช้โดยท่ีผู้เป็นเจ้าของอาจยังไม่รู้ตัว  ทำ�ให้ต้องคำ�นึงถึงประเด็นเรื่อง *พ.บ.,  น.บ.,  น.บ.ท.,  นายแพทย์ชำ�นาญการพิเศษ  กลุ่มงานนิติเวช,  รองผู้อำ�นวยการ ศนู ยแ์ พทยศาสตรศ์ กึ ษาชน้ั คลนิ กิ   ดา้ นนวตั กรรมทางการศกึ ษา  เทคโนโลยแี ละสารสนเทศ  โรงพยาบาลมหาราช นครราชสมี า กระทรวงสาธารณสุข

การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลมากขึ้น  นอกจากการ ควบคุมด้วยมาตรฐานต่างๆ  ทางเทคโนโลยีสารสนเทศและระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ท่ีทันสมัยแล้ว  ยังต้องพัฒนากฎหมายคุ้มครองข้อมูลสุขภาพส่วนบุคคลควบคู่กันไปด้วย ซ่ึงถือว่าประเทศไทยยังล้าหลังประเทศที่พัฒนาแล้วอยู่มาก  ดังน้ัน  เพื่อเตรียมตัวรับมือกับ ปัญหาการใช้ข้อมูลสุขภาพส่วนบุคคลในทางมิชอบประกอบกับการพัฒนาระบบเทคโนโลยี สารสนเทศและส่งต่อข้อมูลสุขภาพให้สะดวกราบรื่น  มีมาตรฐาน  ผู้เขียนจึงได้เรียบเรียง บทความนี้ขึ้น  โดยมุ่งประเด็นหลักในการรวบรวมแนวทางปฏิบัติกรณีตัวอย่างจากหลัก กฎหมาย  จริยธรรม  และการใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีอยู่ในปัจจุบัน  และเสนอ แนวทางปรับปรุงกฎหมายที่มีอยู่ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต เพราะกฎหมายเปน็ กลไกทีส่ �ำ คญั ในการกำ�หนดแนวทางปฏิรปู บทนำ� ในยุคท่ีข้อมูลข่าวสารถูกสร้างเพิ่มข้ึนอย่างมากเป็นทวีคูณ  ร้อยละ  ๙๐  ของ ข้อมูลทมี่ อี ยูใ่ นโลกถูกสร้างข้ึนมาในระยะเวลาเพียง ๒ ปี (ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๐) โดย มขี อ้ มลู เกดิ ขน้ึ ตอ่ วนั เทา่ กบั ๒.๕ ลา้ นลา้ นลา้ นลา้ นไบต์ (๑๐๑๘ ไบต)์ ๑ และมกี ารคาดการณว์ า่ ภายใน พ.ศ. ๒๕๖๓ (ค.ศ. ๒๐๒๐) ขอ้ มลู จะถูกสรา้ งขน้ึ ประมาณ ๑.๗ เมกกะไบตต์ อ่ คน ต่อวินาที๒  ปริมาณข้อมูลที่เพ่ิมขึ้นมากมายมหาศาลนี้สัมพันธ์ในทิศทางเดียวกับการเพ่ิมข้ึน ของการใช้งานเครือข่ายอินเตอร์เน็ตและส่ือสังคมออนไลน์ทั่วโลก  ข้อมูลด้านสุขภาพ ก็เช่นเดียวกัน  แม้ไม่มีการคาดการณ์ว่ามีมากมายเพียงใด  แต่เชื่อได้ว่ามีมากมายมหาศาล และมีแนวโน้มเพ่ิมขึ้นอย่างแน่นอน๓  เนื่องจากเทคโนโลยีท่ีก้าวหน้ามากขึ้นอย่างรวดเร็ว  ทำ�ใหข้ อ้ มูลถูกสรา้ งขึน้ ไดอ้ ย่างงา่ ยดายและรวดเร็ว ๑https://www.domo.com/learn/data-never-sleeps-5?aid=ogsm072517_1&sf100871281=1 ๒https://www.domo.com/learn/data-never-sleeps-6 ๓https://www.healthcatalyst.com/insights/5-reasons-healthcare-data-is-difficult-to-measure 76

77 ขอ้ มลู สขุ ภาพทม่ี ปี รมิ าณมากมายมหาศาลในปจั จบุ นั (big data) ถกู สรา้ งขน้ึ หลากหลาย รปู แบบ ไม่ว่าจะเป็นตวั อักษร ภาพ หรือเสยี ง เป็นต้น ทำ�ใหเ้ กดิ องค์ความรใู้ หมใ่ นระบบ สขุ ภาพ แพทยแ์ ละผ้ปู ่วยสามารถตดิ ตอ่ สอ่ื สารกันไดง้ า่ ยข้ึน รวดเรว็ และแพร่หลาย โดยใช้ เทคโนโลยีท่ีทันสมัย  ถ้าใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีอย่างถูกต้องเหมาะสมย่อมเกิดประโยชน์ ต่อระบบสุขภาพและย่อมได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย  แต่เน่ืองจากความสะดวกรวดเร็ว ในการแพร่กระจายข้อมูลข่าวสารโดยเทคโนโลยีน้ีเอง  ยิ่งทำ�ให้โอกาสท่ีข้อมูลสุขภาพ ส่วนบุคคลของผู้ป่วยอาจถูกนำ�ไปเผยแพร่ได้ทั้งทางตรงและทางอ้อมมีมากข้ึนด้วย ซงึ่ กฎหมายเกีย่ วกบั การคมุ้ ครองข้อมลู ด้านสุขภาพในประเทศไทยยังถือว่าล้าหลังกวา่ ประเทศ ทพ่ี ฒั นาแลว้ ถงึ   ๒๐  ป๔ี   เคยมกี ารส�ำ รวจเมอ่ื ป ี ๒๕๕๗๕  พบวา่   แมป้ ระเทศไทยมกี ฎหมาย เกี่ยวกับการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลบ้าง  แต่ยังไม่ครอบคลุมเพียงพอ  มีกฎหมายบางฉบับ เทา่ นั้นทีใ่ ชไ้ ดก้ ับบคุ คลหรอื ขอ้ มลู เฉพาะกลมุ่   เชน่   พระราชบัญญัต ิ (พ.ร.บ.) ข้อมูลขา่ วสาร ของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ พ.ร.บ.การประกอบธุรกจิ ขอ้ มลู เครดิต พ.ศ. ๒๕๔๕ เป็นต้น นอกจากนี้  ยังต้องรองรับกฎหมายคุ้มครองส่วนบุคคลของต่างประเทศที่แม้จะมีผลกระทบ ตอ่ ประเทศไทยในทางออ้ มแตส่ ามารถสรา้ งความเสยี หายไดม้ าก คอื GDPR๖ และตง้ั แตป่ ี ๒๕๖๐ เป็นต้นมานานาประเทศได้พัฒนาปรับปรุงกฎหมายเก่ียวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และความมั่นคงปลอดภัยของระบบสารสนเทศกันอย่างแพร่หลายและก้าวหน้าไปมาก๗ ๔https://www.hhs.gov/hipaa/index.html ๕“Global  data  privacy  -  Norton  Rose  Fulbright”.  (2014).  Available  at  http://www. nortonrosefulbright.com/files/global-data-privacy-directory-52687.pdf. Accessed 13 Feb. 2019. ๖General Data Protection Regulation มีผลใชบ้ ังคับในวนั ท่ี ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ประเดน็ ท่ีน่าเป็นห่วงคือบริษัทและหน่วยงานต่างๆในประเทศไทยจำ�นวนมากจะต้องทำ�ธุรกรรมกับบริษัทใน  EU (Europe)  ท่ีเราอาจต้องนำ�ข้อมูลมาประมวลผล  เช่น  การค้าขายท่ีอาจต้องใช้ข้อมูลจากประชาชนหรือบริษัท ใน EU ซง่ึ แมบ้ รษิ ทั ในประเทศไทยจะไมไ่ ดเ้ ปน็ Data Controller แตบ่ รษิ ทั ใน EU ทเ่ี ปน็ Data controller สง่ ขอ้ มลู มาใหเ้ ราประมวลผลและเราก็กำ�ลังเปน็ Data processor  ซง่ึ หากบริษัทของเราไม่สามารถปฏิบัตติ าม GDPR บรษิ ทั EU ที่เป็น Data controller นน้ั ก็อาจจะถูกปรับ และสดุ ทา้ ยกจ็ ะไมส่ ามารถทำ�ธรุ กรรมกบั บริษทั ในไทย ได้ (อา้ งองิ จาก ธนชาติ นุ่มนนท์ ใน https://thanachart.org/2018/03/24/กฎระเบยี บ-eu-เร่ือง-gdpr-general- data-protection-regulation-ก/) ๗Alan Charles Raul Editor. (2017) 4th edition, The privacy, data protection and cybersecurity law review, (UK.: Law Business Research Ltd.).

ดงั น้ัน เพอื่ เตรียมตวั รับมอื กบั ปญั หาการใช้ขอ้ มูลสุขภาพสว่ นบคุ คลในทางมชิ อบประกอบกับ การพฒั นาระบบเทคโนโลยสี ารสนเทศและสง่ ตอ่ ขอ้ มลู สขุ ภาพใหส้ ะดวกราบรน่ื มมี าตรฐาน และ รองรับกฎหมายต่างประเทศท่มี อี ิทธพิ ลกับประเทศไทย ผู้เขยี นจงึ ได้เขียนบทความน้ขี นึ้ โดย มงุ่ ประเดน็ หลักในการรวบรวมแนวทางปฏบิ ัตกิ รณีตัวอย่างจากหลักกฎหมาย จรยิ ธรรม และ การใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศท่ีมีอยู่ในปัจจุบันและเสนอแนวทางปรับปรุงกฎหมายท่ีมีอยู่ ให้สอดคลอ้ งกับสถานการณป์ ัจจบุ ันและแนวโนม้ ในอนาคต เพราะกฎหมายเปน็ กลไกท่ีสำ�คญั ในการก�ำ หนดแนวทางปฏริ ปู โดยต้องพฒั นาควบคู่กนั ไปกับความกา้ วหน้าของเทคโนโลยี ความหมายของคำ�ศัพท์ ๑. Information (ขอ้ มูลขา่ วสาร, สารสนเทศ) คำ�ว่า  “information”  หมายถึง  ข้อมูลท่ีถูกจัดระเบียบแล้วเพ่ือเป็นองค์ความรู้ และใช้ประโยชน์ในการตดั สนิ ใจ๘ และตามพจนานกุ รมราชบณั ฑติ ยสถาน แปลว่า สารสนเทศ หรอื ขา่ วสาร ซง่ึ หมายถงึ การแสดงหรอื ชแ้ี จงขา่ วสารขอ้ มลู ตา่ ง ๆ๙ สว่ นค�ำ วา่ “data” แปลวา่ ขอ้ มูล  หมายถึง  ข้อเท็จจริง  หรือสงิ่ ทีถ่ อื หรอื ยอมรบั ว่าเป็นขอ้ เท็จจรงิ ส�ำ หรบั ใชเ้ ป็นหลกั อนมุ านหาความจริงหรอื การค�ำ นวณ ขอ้ มูลข่าวสาร หมายถงึ ส่งิ ท่ีสื่อความหมายให้รูเ้ ร่ืองราว ข้อเทจ็ จรงิ ขอ้ มูล หรือสง่ิ ใด ๆ ดงั นัน้ information จงึ เปน็ ค�ำ ท่ีมคี วามหมายกวา้ งกว่า ในท่นี ี้ จึงน�ำ มาใชก้ บั เร่อื ง privacy, confidentiality ทจ่ี ะกล่าวถงึ ตอ่ ไป๑๐ ๘Edward H. Shortliffe, James J. Cimino Editors, (2014), 4th edition. Biomedical Informatics - Computer Applications in Health Care and Biomedicine, (NY.: Springer). ๙http://www.royin.go.th/dictionary/index.php  ตามพจนานกุ รม  ประกอบดว้ ยค�ำ วา่   สาร และสนเทศ ๑๐จะเหน็ วา่ ค�ำ ศพั ทต์ ามพจนานกุ รมไทย แมเ้ ปน็ เรอ่ื งเดยี วกนั ถา้ ตา่ งกนั ท�ำ ใหค้ วามหมายทต่ี า่ งกนั โดยความหมายของบางค�ำ อาจซอ้ นทับกนั 78

79 ๒. Privacy (ความเป็นส่วนตัว) ความเป็นส่วนตัว  (privacy)  มีความคล้ายคลึงกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (confidentiality) มาก แตไ่ ม่เหมือนกันทง้ั หมด โดย privacy หมายถึง ความต้องการของบุคคล ในการปกปอ้ งข้อมลู ส่วนตวั และด้านสุขภาพของตนเองไม่ให้เผยแพร่ออกไป  จึงเป็นการมอง ในมมุ เรอื่ ง “บคุ คล (people)” ความเป็นส่วนตัวต่างกบั ความลบั (secret) เพราะบางเรื่อง เปน็ เรอ่ื งสว่ นตวั แตไ่ มเ่ ปน็ ความลบั (ดหู วั ขอ้ “นยิ ามของความลบั ”) ดงั นน้ั การละเมดิ ความเปน็ สว่ นตวั อาจไมไ่ ดเ้ ปน็ การเปดิ เผยความลบั กไ็ ด ้ เชน่   กรณมี คี นแอบตดิ ตามถา่ ยภาพดารานกั แสดง ในอริ ยิ าบถหรอื ขณะท�ำ กจิ กรรมตา่ งๆ  ในทส่ี ว่ นตวั หรอื ทส่ี าธารณกต็ าม (เชน่ บา้ น หา้ งสรรพสนิ คา้ สถานทท่ี อ่ งเทย่ี ว) ซง่ึ กจิ กรรมของดาราไมไ่ ดเ้ ปน็ เรอ่ื งความลบั ใดๆ  เลย อยา่ งไรกต็ าม แมไ้ มใ่ ช่ เรื่องที่เป็นความลับ  แต่ถ้าบุคคลนั้นไม่ประสงค์ให้ใครมาถ่ายภาพหรือเอาข้อมูลการใช้ชีวิต ประจำ�วันตามปกติของเขาไป ยอ่ มถือว่ามกี ารละเมิดสทิ ธกิ ารเปน็ อยู่ส่วนตัวแลว้ (the right to privacy) แตถ่ ้ามีกิจกรรมหรือการกระทำ�บางอย่างทน่ี กั แสดงไมป่ ระสงคจ์ ะใหส้ าธารณชน ทราบและเป็นความลับ  ไม่ควรนำ�ไปเปิดเผย  เม่ือมีคนนำ�ไปเปิดเผยต่อสาธารณเช่นนี้ ยอ่ มละเมิด confidentiality ดว้ ย ดงั นน้ั บางเรื่องเป็นเรื่องส่วนตวั แตไ่ มเ่ ป็นความลบั บางเรือ่ ง เปน็ ความลบั แตไ่ มใ่ ชเ่ รอ่ื งสว่ นตวั (เรอ่ื งของคนอน่ื ) บางเรอ่ื งเปน็ ทง้ั เรอ่ื งสว่ นตวั และเปน็ ความลบั แต่ท้ังความเป็นส่วนตัวและการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลย่อมได้รับความคุ้มครอง โดยรัฐธรรมนญู ๑๑ ๓. Confidentiality (การคมุ้ ครองขอ้ มูล) ค�ำ วา่ confidential ควรแปลวา่ “การค้มุ ครองขอ้ มลู ” มากกวา่ “การคมุ้ ครอง ความลับ” เพราะตามความเปน็ จรงิ แล้ว แพทย์ต้องคุ้มครองข้อมลู ทกุ อย่างของผู้ปว่ ยทไี่ ด้มา ในการประกอบวิชาชพี ทง้ั เรอื่ งทเี่ ป็นความลบั และไม่ใชค่ วามลบั ๑๑รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๓๒ “บคุ คลยอ่ มมสี ทิ ธใิ นความเปน็ อยู่ ส่วนตัว  เกียรติยศ  ช่ือเสียง  และครอบครัว  การกระทำ�อันเป็นการละเมิดหรือกระทบต่อสิทธิของบุคคล ตามวรรคหนง่ึ หรอื การน�ำ ขอ้ มลู สว่ นบคุ คลไปใชป้ ระโยชนไ์ มว่ า่ ในทางใด ๆ จะกระท�ำ มไิ ด้ เวน้ แตโ่ ดยอาศยั อ�ำ นาจ ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราขน้ึ เพียงเท่าทจ่ี ำ�เปน็ เพอ่ื ประโยชนส์ าธารณะ”

นิยามของ “ความลบั ” แม้ค�ำ ว่า “ความลับ” ไมม่ ีนิยามชัดเจน แตเ่ ข้าใจได้ดว้ ยสามญั สำ�นกึ วา่ เป็นเร่ือง ทบี่ คุ คลไม่ประสงคใ์ หค้ นอืน่ รู้ เพราะอาจเกดิ ความเสียหายตามมาท้ังแก่เจ้าของความลับเอง หรือบุคคลอื่น  ท้ังนี้ข้ึนกับการให้ความสำ�คัญของแต่ละบุคคลว่าเรื่องใดเป็นความลับบ้าง ดังน้ัน  ส่ิงที่คนหนึ่งเห็นว่าเป็นความลับอาจไม่ใช่ความลับของอีกคนก็ได้  มีคำ�พิพากษา ศาลฎีกาว่า  “ความลับ  คือ  ข้อเท็จจริงที่ไม่ประจักษ์แก่บุคคลท่ัวไป  และเป็นข้อเท็จจริงท่ี เจา้ ของความลบั ประสงคจ์ ะปกปดิ ไมใ่ หบ้ คุ คลอน่ื ร ู้ ดงั น ้ี ความลบั จงึ ไมจ่ �ำ เปน็ ตอ้ งเปน็ การกระท�ำ ที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย  หรือผิดศีลธรรมอันดีของประชาชน  หากเป็น เหตุการณ์ที่เกิดข้ึนจริงและเจ้าของข้อเท็จจริงประสงค์จะปกปิดไม่ให้บุคคลอื่นรู้ก็ถือว่าเป็น ความลับแล้ว”๑๒  ความลับของผ้ปู ่วยถือเป็นสิทธ์อิ ย่างหน่งึ ของผ้ปู ่วยท่ตี ้องได้รับการค้มุ ครอง แต่ไม่มีนิยามชัดเจน๑๓  ในบริบทของการคุ้มครองข้อมูลทางการแพทย์ของผู้ป่วยน้ัน  หมายถึง ความสามารถในการควบคุมการเผยแพร่ข้อมูลสุขภาพและข้อมูลส่วนตัวของบุคคลให้แก่ บุคลากรทางการแพทย์ตลอดจนผู้เก่ียวข้องในกระบวนการรกั ษา โดยมเี งือ่ นไขในการใชข้ ้อมลู และการเผยแพร่ต่อบุคคลอ่ืนต่อไปตามความเหมาะสม  ดังนั้น  จึงเป็นการมุมมองในเร่ือง “ขอ้ มลู (information)” เชน่ กรณผี ปู้ ว่ ยไปตรวจเลอื ดทค่ี ลนิ กิ นริ นาม (ตรวจเชอ้ื HIV) โดยมคี น ติดตามไปเพอื่ วัตถปุ ระสงค์ว่า ไปไหน ไปทำ�อะไร (ตรวจโรคอะไร) ท่ไี หน แมบ้ คุ คลท่ีติดตาม จะไม่ทราบว่าผลการตรวจเปน็ เชน่ ไร แต่ถือเปน็ การละเมดิ privacy แล้ว แต่ถ้าหากมกี ารแอบ ดูข้อมลู ผลการตรวจด้วย ย่อมถือว่ามกี ารละเมิด confidentiality ด้วย กฎหมายปจั จบุ นั ใชค้ �ำ ที่ส่ือความของค�ำ ว่า confidential แตกตา่ งกัน เช่น ความลบั ๑๔ ข้อมูลข่าวสารส่วนบคุ คล หรอื ๑๒ค�ำ พิพากษาศาลฎีกาท่ี ๑๒๖๘๕/๒๕๕๘ ๑๓ทง้ั นไ้ี มร่ วมถงึ “ความลบั ” ตามความหมายอน่ื เชน่ ความลบั ทางการคา้ ตาม พ.ร.บ.ความลบั ทางการคา้ พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๓ บัญญตั ินยิ ามของความลับทางการค้าวา่ “ขอ้ มูลการค้าซง่ึ ยงั ไม่รู้จกั กนั โดยทั่วไป  หรือยังเข้าถึงไม่ได้ในหมู่บุคคลซ่ึงโดยปกติแล้วต้องเกี่ยวข้องกับข้อมูลดังกล่าว  โดยเป็นข้อมูลที่มี ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์เนื่องจากเป็นความลับ  และเป็นข้อมูลท่ีผู้ควบคุมความลับทางการค้าได้ใช้มาตรการ ทเ่ี หมาะสมเพ่อื รกั ษาไว้เป็นความลับ” ๑๔การใช้คำ�ว่าความลับอาจจะมีความหมายไม่ถูกต้องนัก  เพราะคำ�ว่าความลับนั้นเป็นเร่ือง ความรู้สึกนึกคิดของปัจเจกบุคคล  บางเร่ืองคนหนึ่งเห็นว่าเป็นความลับแต่อีกคนอาจเห็นว่าไม่ใช่  แต่กฎหมายไปกำ�หนดไว้ว่าข้อมูลใดเป็นความลับ  ซึ่งหมายความว่า  ทุกคนในประเทศต้องเห็นว่าข้อมูลน้ัน เปน็ ความลับ ผูเ้ ขยี นจงึ เหน็ ว่า ควรใช้ค�ำ ว่า ขอ้ มูลสว่ นบคุ คลจะดีกวา่ 80

81 ขอ้ มลู สขุ ภาพของบคุ คล  เปน็ ตน้   ประมวลกฎหมายอาญา๑๕  บญั ญตั ไิ วเ้ พยี งวา่   แพทยท์ ล่ี ว่ งรู้ ความลับของผู้ป่วยในขณะท่ีตนประกอบอาชีพแล้วเปิดเผยความลับน้ันต้องมีความผิดและรับโทษ ส่วนกฎหมายอ่ืนๆก็บัญญัติทำ�นองเดียวกัน  เช่น  ข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยการรักษา จริยธรรมแห่งวชิ าชพี เวชกรรม  พ.ศ.  ๒๕๔๙๑๖ บัญญตั ิคลา้ ยประมวลกฎหมายอาญา พ.ร.บ. ข้อมลู ข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ บัญญตั ิแต่เพยี งว่าข้อมูลข่าวสารส่วนบคุ คลจะเปดิ เผย ไมไ่ ด๑้ ๗ มกี ฎหมายเพยี งฉบบั เดยี วทบ่ี ญั ญตั เิ รอ่ื งความลบั และขอ้ มลู ทเ่ี ปน็ ความลบั คอื พ.ร.บ. สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๐๑๘ แตอ่ ย่างไรก็ตาม กฎหมายดงั กลา่ วบัญญตั คิ �ำ วา่ “สขุ ภาพ” ไว้กว้างมาก (ทัง้ นเ้ี ปน็ ไปตามวัตถุประสงค์ของกฎหมายนั่นเอง) จึงยงั ไมท่ ราบวา่ “ข้อมลู ดา้ น สุขภาพ”  หมายความแค่ไหน  แต่เม่ือไม่นานมานี้มีระเบียบกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยการ คุ้มครองและจัดการข้อมูลด้านสุขภาพของบุคคล  พ.ศ.  ๒๕๖๑  บัญญัติคำ�ว่า  “ข้อมูล ดา้ นสขุ ภาพของบคุ คล”๑๙ ไวช้ ดั เจนพรอ้ มทง้ั มตี วั อยา่ งใหใ้ นภาคผนวกอกี ดว้ ย แมร้ ะเบยี บกระทรวง สาธารณสุขใชไ้ ดก้ ับหน่วยงานเฉพาะในกระทรวงสาธารณสขุ เทา่ น้ัน แตถ่ ือเป็นแนวทางปฏบิ ตั ิ ๑๕ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๓ ๑๖ข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม  พ.ศ.  ๒๕๔๙  ข้อ  ๒๗ “ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมต้องไม่เปิดเผยความลับของผู้ป่วยหรือผู้ป่วยที่เสียชีวิตแล้ว  ซึ่งตนทราบมา เน่ืองจากการประกอบวิชาชีพ  เว้นแต่ได้รับความยินยอมโดยชอบด้วยกฎหมาย  หรือเม่ือต้องปฏิบัติตาม กฎหมายหรือตามหน้าที่” ๑๗พระราชบญั ญตั ขิ อ้ มลู ขา่ วสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ มาตรา ๒๔ หนว่ ยงานของรฐั จะเปดิ เผย ขอ้ มลู ขา่ วสารสว่ นบคุ คลทอ่ี ยใู่ นความควบคมุ ดแู ลของตนตอ่ หนว่ ยงานของรฐั แหง่ อน่ื หรอื ผอู้ น่ื   โดยปราศจากความ ยินยอมเปน็ หนงั สือของเจ้าของขอ้ มูลที่ใหไ้ ว้ลว่ งหนา้ หรือในขณะนนั้ มิได้ เว้นแต่... ๑๘พระราชบญั ญตั สิ ุขภาพแห่งชาติ  พ.ศ.  ๒๕๕๐  มาตรา  ๗  “ข้อมูลด้านสุขภาพของบุคคล เปน็ ความลบั สว่ นบคุ คล  ผใู้ ดจะนาํ ไปเปดิ เผยในประการทน่ี า่ จะทาํ ใหบ้ คุ คลนน้ั เสยี หายไมไ่ ด้  เวน้ แตก่ ารเปดิ เผยนน้ั เปน็ ไปตามความประสงคข์ องบคุ คลนน้ั โดยตรง  หรอื มกี ฎหมายเฉพาะบญั ญตั ใิ หต้ อ้ งเปดิ เผย  แตไ่ มว่ า่ ในกรณใี ดๆ ผู้ใดจะอาศัยอํานาจหรือสิทธิตามกฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของราชการหรือกฎหมายอื่นเพ่ือขอเอกสาร เก่ยี วกบั ข้อมลู ด้านสขุ ภาพของบุคคลทไี่ มใ่ ชข่ องตนไมไ่ ด”้ ๑๙ระเบียบกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยการคุ้มครองและจัดการข้อมูลด้านสุขภาพของบุคคล  พ.ศ. ๒๕๖๑ ข้อ ๔ ในระเบยี บนี้ “ข้อมลู ดา้ นสขุ ภาพของบุคคล” หมายความวา่ ขอ้ มลู หรือสิ่งใด ๆ ท่แี สดงออกมาในรปู เอกสาร แฟ้ม  รายงาน  หนังสือแผนผัง  แผนที่  ภาพวาด  ภาพถ่าย  ฟิล์ม  การบันทึกภาพ  หรือเสียงการบันทึก โดยเครอ่ื งมอื ทางอเิ ลก็ ทรอนกิ ส ์ หรอื วธิ อี น่ื ใดทท่ี �ำ ใหส้ ง่ิ ทบ่ี นั ทกึ ไวป้ รากฏขน้ึ ในเรอ่ื งทเ่ี กย่ี วกบั สขุ ภาพของบคุ คล ท่สี ามารถระบตุ ัวบคุ คลไดแ้ ละให้รวมถงึ ข้อมลู อื่น ๆ ตามท่ีคณะกรรมการเปดิ เผยข้อมูลอิเลก็ ทรอนกิ ส์ประกาศ ก�ำ หนด

ที่ดีในการคุ้มครองข้อมูลด้านสุขภาพส่วนบุคคลได้  นอกจากนั้นยังมีแนวทางอ่ืนๆ  สำ�หรับ ประเทศไทยในการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล๒๐  และในอนาคตจะมี  พ.ร.บ.  คุ้มครองข้อมูล ส่วนบคุ คล พ.ศ. ….. (ขณะนี้ยงั เป็นรา่ งกฎหมาย) ซ่งึ จะมปี ระเดน็ ที่ครอบคลุมเกีย่ วกับข้อมูล ส่วนบคุ คลด้านอ่นื นอกจากข้อมลู ดา้ นสขุ ภาพ ภาพท่ี ๑ : Infographic ระเบยี บกระทรวงสาธารณสุขวา่ ดว้ ยการคมุ้ ครองและจัดการขอ้ มูล ดา้ นสขุ ภาพของบคุ คล พ.ศ. ๒๕๖๑ ๒๐Thailand Data Protection Guidelines 1.0 (แนวปฏบิ ัตเิ กีย่ วกบั การคุม้ ครองข้อมูลสว่ นบุคคล) โดย ศนู ยว์ ิจัยกฎหมายและการพัฒนา คณะนติ ศิ าสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย 82

83 การคุ้มครองข้อมลู สขุ ภาพของผู้ปว่ ย “ขอ้ มูลของผปู้ ่วย ย่อมไดร้ ับความคมุ้ ครองโดยหลักจริยธรรมและกฎหมาย ตลอดจนการใช้เทคโนโลยีทเ่ี หมาะสม” การคุ้มครองข้อมูลของผู้ป่วยในสมัยดั้งเดิมนั้นเป็นแบบเคร่งครัด๒๑  กล่าวคือ เมื่อแพทย์ได้เห็น  ได้ยิน  หรือได้ข้อมูลของผู้ป่วยท่ีตนรักษามา  ต้องไม่เปิดเผยข้อมูลน้ัน ต่อบุคคลภายนอก  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการรักษาหรือไม่  ไม่ว่ากรณีใดก็ตามแม้กระท่ัง ญาติสนิทหรือบุตรหลานของผู้ป่วยก็ตาม  แต่ในปัจจุบันผ่อนคลายลงเพ่ือประโยชน์ ต่อผู้ป่วยและสาธารณชนมากข้ึน  เหตุผลท่ีจำ�เป็นต้องคุ้มครองข้อมูลของผู้ป่วยมาจากหลัก จรยิ ธรรม ๓ เรอ่ื ง คอื Autonomy, respect for person, trust ความเปน็ อสิ ระของผปู้ ว่ ย (autonomy) หมายถงึ สทิ ธใ์ิ นการตดั สนิ ใจตอ่ สง่ิ ทเ่ี ปน็ ของตวั ผปู้ ว่ ยเองหรือสิง่ ทผี่ ู้ป่วยจะไดร้ ับ (the right to decision) ดังนัน้ ข้อมูลท่ีเป็นของผปู้ ว่ ย ยอ่ มตอ้ งเป็นไปตามความประสงคข์ องผปู้ ว่ ยว่า ใหใ้ ครรู้ได้บ้าง แคไ่ หน และอย่างไร  ดงั นั้น เขาตอ้ งใหค้ วามยินยอมในการเปดิ เผยข้อมูลส่วนตัว  แพทยจ์ �ำ เปน็ ต้องใหค้ วามเคารพในสทิ ธ์ิ ในการตดั สนิ ใจของผปู้ ว่ ยดว้ ย (respect of person) สว่ นเรอ่ื ง ความไวว้ างใจ (trust) นน้ั แนน่ อนวา่ การที่ผู้ป่วยเล่าประวัติหรือเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของตนเองให้กับแพทย์ซึ่งตนอาจไม่เคยรู้จัก มาก่อน  ผู้ป่วยย่อมต้องให้ความไว้วางใจแพทย์เป็นอย่างมาก  โดยเชื่อว่าเร่ืองราวที่เขาเล่า ใหแ้ พทยฟ์ งั จะไมถ่ กู เผยแพรอ่ อกไป  แพทยจ์ งึ จ�ำ เปน็ ตอ้ งปฏบิ ตั ติ นใหส้ มตามความคาดหวงั ดงั กลา่ ว ทั้งน้ีเพื่อประโยชน์ต่อการรักษาและระบบสาธารณสุขระดับประเทศ๒๒  (win-win  situation) ๒๑“Oaths - The Hippocratic Oath and others - Guides at McMaster University”, 17 May 2018. Available at https://hslmcmaster.libguides.com/c.php?g=306726&p=2044095 accessed 23 November. 2018. ๒๒เชน่   กรณผี ปู้ ว่ ยขาดความไวว้ างใจแพทยแ์ ลว้ ไมย่ อมเปดิ เผยขอ้ มลู โรคตนเอง  ซง่ึ อาจมกี ารตดิ ตอ่ ไปยังประชาชนคนอ่ืนได้  ทำ�ให้รัฐต้องสูญเสียทรัพยากรในการดูแลผู้ป่วยเพ่ิมข้ึน  อีกทั้งบริษัทประกันชีวิต อาจเพม่ิ เบย้ี ประกนั ภยั โดยรวมในดา้ นสขุ ภาพ  เพราะมคี วามเสย่ี งสงู ในการชดเชยคา่ รกั ษาพยาบาลทม่ี แี นวโนม้ มากขน้ึ

ข้อมูลอะไรบ้างที่หา้ มเปิดเผย’’๒๓, ๒๔, ๒๕ ขอ้ มูลทุกอย่างทงั้ ท่เี ก่ยี วกับการรักษา (ประวตั ิ ผลตรวจร่างกาย ผลตรวจทางห้อง ปฏบิ ัติการต่างๆ การวนิ จิ ฉัยโรค พยากรณ์โรค เป็นต้น) และไม่เกีย่ วกบั การรักษาด้วย รวมทั้ง ขอ้ มลู ของคนตาย๒๖  บางกรณกี เ็ ปดิ เผยขอ้ มลู ผปู้ ว่ ยได้ (breaking confidential) แมผ้ ปู้ ว่ ยเหน็ วา่ เปน็ ความลับ โดยไม่ถือวา่ ผิดจริยธรรมและกฎหมายมหี ลกั การ๒๗, ๒๘ ดังนี้ ๑. ผู้ปว่ ยยินยอม๒๙ ๒. เพ่ือประโยชนข์ องผู้ปว่ ยเองหรอื กรณีจะเปน็ ผลร้ายตอ่ ผอู้ นื่ ถ้าไม่เปิดเผย ๓. กรณเี พอ่ื ประโยชน์ในการรักษา ซง่ึ ถือเปน็ การท�ำ หนา้ ท่ตี ามปกติ (routine) เชน่ เปดิ เผยต่อทมี ผู้รกั ษา (แพทยค์ นอื่น พยาบาล นกั ศกึ ษาแพทย์ เปน็ ต้น) ในสถานพยาบาล เดยี วกนั ๓๐ แต่ต้องยึดหลกั การเปิดเผยน้อยที่สุดเท่าทีจ่ �ำ เป็น “need to know” ๒๓The World Medical Association, (2015) Ethics manual. 3rd edition, available at https:// www.wma.net/wp-content/uploads/2016/11/ ๒๔The World Medical Association, (1981) Declaration of Lisbon on the Rights of the Patient, available  at  https://www.wma.net/policies-post/wma-declaration-of-lisbon-on-the-rights-of-the-patient/ reaffirmed by the 200th WMA Council Session, Oslo, Norway, April 2015. ๒๕พ.ร.บ.  ข้อมูลข่าวสารของทางราชการ  พ.ศ.  ๒๕๔๐  มาตรา  ๑๕(๕)  และคำ�วินิจฉัย คณะกรรมการวนิ จิ ฉยั การเปดิ เผยขอ้ มลู ขา่ วสารท่ี สค ๒๗/๒๕๕๙, ๕๔/๒๕๕๙ บญั ญตั ใิ หต้ อ้ งลบขอ้ มลู สว่ นบคุ คล ออกไปเม่อื ต้องเปิดเผยขอ้ มลู ราชการ คือ ช่ือ นามสกลุ อายุ วนั เดือนปเี กิด ที่อยู่ เบอร์โทรศพั ท์ อาชีพ การศึกษา ฐานะการเงนิ ประวตั สิ ุขภาพ (เชน่ ประวตั สิ ่วนตัว ครอบครวั การเจ็บปว่ ยต่างๆ ในอดีต เปน็ ต้น) ประวตั อิ าชญากรรม ประวัติการท�ำ งาน แต่ถ้าลบไมห่ มด ก็ลบเฉพาะชือ่ -นามสกุล หรือขอ้ มลู ทบ่ี ง่ บอกไดว้ า่ เป็นข้อมลู ของใครกพ็ อ ๒๖ข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม  พ.ศ.  ๒๕๔๙  “ข้อ  ๒๗ ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมต้องไม่เปิดเผยความลับของผู้ป่วยหรือผู้ป่วยที่เสียชีวิตแล้ว  ซึ่งตนทราบมา เน่ืองจากการประกอบวิชาชีพ  เว้นแต่ได้รับความยินยอมโดยชอบด้วยกฎหมาย  หรือเม่ือต้องปฏิบัติตาม กฎหมายหรือตามหนา้ ที”่ ๒๗แพทยสภา สภาการพยาบาล สภาเภสัชกรรม ทันตแพทยสภา สภากายภาพบ�ำ บัดสภา เทคนิค การแพทย์ และคณะกรรมการการประกอบโรคศลิ ปะ.(๒๕๕๘) .ค�ำ ประกาศสทิ ธแิ ละขอ้ พงึ ปฏิบตั ิของผู้ป่วย. ๒๘The World Medical Association. ๒๙ตอ้ งยนิ ยอมเปน็ ลายลกั ษณอ์ กั ษร ตาม พ.ร.บ. ขอ้ มลู ขา่ วสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ มาตรา ๒๔  “หนว่ ยงานของรฐั จะเปดิ เผยขอ้ มลู ขา่ วสารสว่ นบคุ คลทอ่ี ยใู่ นความควบคมุ ดแู ลของตนตอ่ หนว่ ยงานของรฐั แหง่ อน่ื หรือผู้อน่ื โดยปราศจากความยินยอมเปน็ หนงั สือของเจา้ ของขอ้ มูลท่ใี ห้ไว้ลว่ งหน้าหรอื ในขณะนั้นมไิ ด”้ ๓๐สำ�หรับการเปิดเผยข้อมูลสุขภาพส่วนบุคคลระหว่างสถานพยาบาล  เช่น  การส่งตัวผู้ป่วย ไปรกั ษาตอ่ (refer out) เคยปฏิบตั ิกนั มาโดยไมไ่ ดข้ อความยินยอมใหเ้ ปดิ เผยขอ้ มลู จากสถานพยาบาลต้นทาง ไปยงั สถานพยาบาลปลายทาง แตป่ ัจจุบันส�ำ หรับขอ้ มูลสขุ ภาพส่วนบุคคล (personal health record) ในสถาน พยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขต้องปฏิบัติตาม  “ระเบียบกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยการคุ้มครอง และจดั การขอ้ มลู ดา้ นสขุ ภาพของบคุ คล พ.ศ. ๒๕๖๑” กลา่ วคอื ตอ้ งขอความยนิ ยอมเพอ่ื การแลกเปลย่ี นขอ้ มลู ระหวา่ งสถานพยาบาล ตามตวั อยา่ งใน “หนังสอื แสดงความยนิ ยอมใหเ้ ปิดเผยข้อมลู ดา้ นสุขภาพของบคุ คล ทางอิเล็กทรอนกิ ส”์ 84

85 ๔. ปฏิบัติตามกฎหมายบงั คบั ๓๑ ๕. เปดิ เผยตอ่ บคุ คลผมู้ อี �ำ นาจตามกฎหมายต่างๆ เช่น พนักงานเจ้าหน้าท่ีกอง ประกอบโรคศลิ ปะ๓๒ เปน็ ต้น ๖. กรณีข้อมูลของผู้เสียชีวิต  จะเปิดเผยต่อทายาทหรือบุตรหลานได้ต่อเม่ือมี ความเสย่ี งตอ่ ภาวะสขุ ภาพของบตุ รหลานถา้ ไมเ่ ปดิ เผย  หรอื ตามทก่ี ฎหมายก�ำ หนด๓๓  เวน้ แต่ ในกรณีท่เี ป็นขอ้ มูลจากการชันสูตรพลกิ ศพจะเปดิ เผยมิได๓้ ๔ เมื่อจะเปดิ เผยข้อมลู ทเ่ี ปน็ ความลับผูป้ ่วย แพทยต์ ้องปกปดิ ข้อมูลเพ่อื ไมใ่ ห้ผู้อืน่ รวู้ า่ ผปู้ ว่ ยเปน็ ใครดว้ ย (de-identified data) ในกรณที ผ่ี รู้ บั ขอ้ มลู ไมจ่ �ำ เปน็ ตอ้ งรวู้ า่ ผปู้ ว่ ยเปน็ ใคร Information Security (ความมัน่ คงปลอดภัยของข้อมูลขา่ วสาร) ความม่ันคงปลอดภยั ของขอ้ มลู หมายถงึ การปกป้องความเป็นส่วนตวั (privacy) และข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ป่วย  (confidentiality)  โดยใช้มาตรการต่างๆ  ได้แก่  นโยบาย กฎ  ระเบียบ  แนวทางปฏิบัติ  และระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ  โดยต้องครอบคลุมถึง การรักษาความถูกต้องของข้อมูล  (integrity)  การมีสภาพพร้อมใช้งานของระบบและข้อมูล ๓๑การปฏิบัติตามกฎหมายแค่ไหน  ต้องพิจารณาว่ากฎหมายนั้นบัญญัติอย่างไรประกอบกับ กฎหมายอ่ืนแล้วมีผลอย่างไรถ้าไม่ปฏิบัติตาม  บางเรื่องถือเป็นหน้าท่ีต้องกระทำ�  เช่น  พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. ๒๕๔๖ มาตรา ๒๙ วรรคสอง คอื เมอ่ื แพทยร์ บั ตวั เดก็ ทป่ี รากฏแนช่ ดั หรอื สงสยั วา่ ถกู ทารณุ กรรมหรอื เลย้ี งดู โดยมิชอบไว้ในสถานพยาบาล  แพทย์มีหน้าที่ต้องแจ้งเจ้าหน้าท่ีผู้เกี่ยวข้องโดยมิชักช้า  และวรรคสามระบุว่า ถ้าได้กระทำ�โดยสุจริตก็ย่อมได้รับความคุ้มครองทั้งทางอาญา  แพ่ง  และทางปกครอง  แต่บางเรื่องเป็นการ ใหอ้ ำ�นาจหรือเป็นแค่ขอ้ แนะน�ำ ถา้ ไมป่ ฏบิ ตั ติ ามก็ไม่ถูกลงโทษ ๓๒คำ�พิพากษาศาลปกครองสูงสดุ ที่ ๕๘๐/๒๕๕๘ ในกรณนี ้ี พนักงานเจ้าหนา้ ท่ตี าม พ.ร.บ. สถานพยาบาล พ.ศ. ๒๕๔๑ มีอ�ำ นาจตรวจดเู อกสารเกีย่ วกับการรักษาพยาบาลได้ ๓๓เช่น ข้อ ๔ ตามกฎกระทรวงฉบบั ท่ี ๒ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ออกตามความใน พ.ร.บ.ข้อมลู ขา่ วสาร ของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ประกอบค�ำ วนิ จิ ฉัยคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมลู ข่าวสารสาขาการแพทย์ และสาธารณสขุ ที่ พส ๗/๒๕๔๘ ๓๔คําวินิจฉัยคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม  การบริหารราชการ แผ่นดิน และการบังคับใช้กฎหมาย ที่ สค ๑๕๙/๒๕๕๔ เรอ่ื ง อทุ ธรณ์คาํ สั่งมิให้เปิดเผยขอ้ มลู ขา่ วสารของสํา นกั งานอัยการภาค ๑ เกย่ี วกบั สํานวนคดอี าญาขอ้ มลู ชันสตู รพลิกศพท่กี ารดําเนนิ คดยี งั ไม่เสรจ็ ส้ิน “การเปดิ เผย ข้อมูลข่าวสารดังกล่าวจะทาํ ให้การบังคับใช้กฎหมายเสื่อมประสิทธิภาพ  หรือไม่อาจสาํ เร็จตามวัตถุประสงค์ได้ ตามมาตรา ๑๕(๒) แหง่ พ.ร.บ. ข้อมูลขา่ วสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ได้” จงึ ห้ามเปิดเผย

(availability)  และการควบคุมการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล๓๕  เช่น  มาตรการป้องกันการเข้าใช้ เวชระเบยี นอเิ ลก็ ทรอนกิ สอ์ ยา่ งไมเ่ หมาะสม วธิ กี ารตรวจจบั การเขา้ ถงึ ดงั กลา่ วหากมกี ารพยายาม การเขา้ ใชท้ ไ่ี มไ่ ดร้ บั อนญุ าต เปน็ ตน้ ดงั นน้ั ในมมุ มองเรอ่ื ง information security จงึ เปน็ เรอ่ื ง ของระบบปอ้ งกนั การควบคุมการเข้าถึงข้อมูล  (authenticating  system)  เป็นระบบท่ีสำ�คัญมาก ถอื เปน็ ปราการดา่ นแรกของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เช่น การก�ำ หนดใหใ้ ช้รหสั ผา่ นเข้าฐาน ขอ้ มลู การใช้ tokens๓๖ หรอื biometrics (ลายพมิ พน์ ว้ิ มอื มา่ นตา ใบหนา้ ) เปน็ ตน้ ประกอบกบั มาตรการเฝา้ ระวงั อน่ื ๆ เชน่ การบนั ทกึ ประวตั กิ ารเขา้ ใชข้ อ้ มลู (log files) สมุ่ ตรวจสอบการเขา้ ถงึ ขอ้ มลู (audit) จากผดู้ แู ลระบบ รวมถงึ จากเจา้ ของขอ้ มลู (ผปู้ ว่ ย) ดว้ ยวา่ ขอ้ มลู ของเขามอี ะไรบา้ ง ท่ีถูกเข้าถึง  โดยใคร  นอกจากนั้น  การส่งต่อและการเก็บข้อมูลต้องมีการเข้ารหัสของข้อมูล (encryption) ตลอดจนมีการลงโทษทีร่ นุ แรงและเด็ดขาดในการเขา้ ถงึ หรือใช้ข้อมูลโดยไมไ่ ดร้ บั อนญุ าต (unauthorized access)๓๗ ในเร่ืองความปลอดภยั ของข้อมูลด้านสขุ ภาพนน้ั มีประเดน็ ๓๕Edward H. Shortliffe, James J. Cimino Editors, Biomedical Informatics - Computer Applications in Health Care and Biomedicine. ๓๖Token  เป็นรหัสชนิดหน่ึงท่ีมีตัวอักษรภาษาอังกฤษและตัวเลขอารบิคสุ่มเรียงกันหลายสิบตัว เช่น “HqdEdfK9RVMtxIQM72NzxQolpbP1YmozUubMniCPu2F” (จำ�ลองข้ึนมาจาก token จริงโดยเปลย่ี น ตวั อกั ษรและตัวเลขบางตวั จึงไมส่ ามารถน�ำ ไปใช้งานจริงได้) คล้ายบตั รผา่ นประตูงาน คือ เพียงเอาไปแสดงกบั ผเู้ ฝา้ ประตู เขาจะดแู คว่ า่ เปน็ บตั รเชญิ ทถ่ี กู ตอ้ งหรอื ไม่ (คอื รหสั token) ถา้ ถกู ตอ้ งจงึ ใหเ้ ขา้ งานได้ เขาไมจ่ �ำ เปน็ ต้องรวู้ ่าผู้ถือบัตรเปน็ ใคร (เพราะผเู้ ฝา้ ประตูไม่ได้มีฐานข้อมูลของผไู้ ด้รับเชิญ) ตา่ งกับระบบการใช้ username และpassword  คือ  ถ้าเป็นตัวอย่างในกรณีเดียวกัน  เปลี่ยนจากการใช้บัตรเชิญเป็นการใช้  username  และ password แทน เม่อื ผูร้ บั เชญิ แจง้ ผเู้ ฝา้ ประตวู า่ เปน็ ใคร (username) พรอ้ มบอกรหสั (password) ผ้เู ฝ้าประตู ตอ้ งตรวจสอบกบั ฐานขอ้ มลู วา่ ผรู้ บั เชญิ เปน็ ใคร  เคยลงทะเบยี นไวห้ รอื ไม ่ รหสั ตรงกบั ชอ่ื ทล่ี งทะเบยี นไวห้ รอื ไม่  จะเห็นวา่ ผรู้ ับเชญิ กรณหี ลงั นี้ต้องมกี ารลงทะเบียนเพือ่ ให้มี username กบั password ไว้กบั ผเู้ ฝา้ ประตูก่อน ต่างกับกรณีแรกทไี่ มต่ ้องมีการลงทะเบียนไว้ เพียงแตม่ ีบตั รผา่ นก็พอ (คือ มีการยืนยนั ตวั ตนมาจากท่อี น่ื แลว้ เพราะผู้เชิญไปงานย่อมต้องยืนยันตัวตนของแขกผู้รับเชิญก่อนมีการส่งบัตรเชิญให้)  ในระบบการยืนยันตัวตน ปจั จุบนั ส่วนหนง่ึ ใช้หลกั การน้ี คอื แมไ้ มม่ ีการลงทะเบยี นไวก้ ับเวบ็ ไซต์ แต่ผ้ใู ช้งานสามารถเข้าใช้งาน (login) ผา่ นบญั ชี social media ของตนเองได้ เชน่ Line, Facebook, Google เป็นตน้ ศกึ ษาเพิ่มเติมได้จาก https:// www.blognone.com/node/105549 ๓๗ดังตัวอย่างกรณีคำ�พิพากษาศาลฎีกาที่  ๔๑๕๕-๔๑๕๗/๒๕๖๐  นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้าง เพราะเปดิ เผยรหสั ผา่ นสว่ นบคุ คลในการบนั ทกึ เวลาเขา้ ท�ำ งาน  ค�ำ สง่ั ของนายจา้ งชอบดว้ ยกฎหมายและเปน็ ธรรม ในกรณีร้ายแรง  และมีเหตุสมควรในการเลิกจ้าง  สามารถเลิกจ้างโดยไม่ต้องตักเตือนก่อนและไม่ต้องจ่าย ค่าชดเชยตามพ.ร.บ. คุม้ ครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๑๙ วรรคหน่ึง (๔) ไมต่ อ้ งบอกกล่าวลว่ งหน้า และไมต่ อ้ งจา่ ยค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตามมาตรา ๑๗ วรรคส่ี 86

87 สำ�คัญที่ตอ้ งคำ�นงึ ถงึ มากมายและหาแนวทางปอ้ งกัน เชน่ การนำ�ข้อมลู ผปู้ ว่ ยที่ตดิ เช้อื เอชไอวี ไปใช้ประกอบการสมัครงาน การสง่ ตอ่ ข้อมลู ผู้ปว่ ยเพ่อื ใชใ้ นสทิ ธิประโยชน์ เชน่ ประกนั สังคม การรักษาพยาบาลขา้ ราชการ ประกนั ชีวติ ข้อมลู ที่ส่งผา่ นแอพพลิเคชัน่ หรือวธิ กี ารทีไ่ ม่มรี ะบบ รกั ษาความปลอดภัย เช่น การใช้โปรแกรมไลน์ (LINE) สง่ เวชระเบยี นไปยงั บคุ คลหลายคน เชน่ LINE กลมุ่ ๓๘ การทผ่ี ตู้ รวจคณุ ภาพมาตรฐานโรงพยาบาล ไมว่ า่ จะมากจากราชวทิ ยาลยั องคก์ ร วิชาชีพ  มหาวิทยาลัย  มาตรวจดูเวชระเบียน  ซ่ึงมีข้อมูลสุขภาพส่วนบุคคลของผู้ป่วยอยู่ จะควบคุมไดอ้ ยา่ งไร เป็นต้น สถานพยาบาลควรมีมาตรการควบคุมการเข้าถึงและใช้ข้อมูลด้านสุขภาพ อย่างเหมาะสม  โดยเร่ิมจากการประกาศนโยบายต่างๆ  ให้สอดคล้องกับมาตรฐาน ดา้ นเทคโนโลยสี ารสนเทศ อยา่ งนอ้ ยตอ้ งมนี โยบายการคมุ้ ครองขอ้ มลู สว่ นบคุ คล (privacy policy)๓๙ และนโยบายด้านความม่ันคงปลอดภัยของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ  (IT  security  policy) และปัจจุบันมีแนวทางประเมินคุณภาพด้านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศโรงพยาบาล  โดยสถาบนั พฒั นาและรบั รองคณุ ภาพโรงพยาบาล (สรพ.) และสมาคมเวชสารสนเทศไทย (TMI) ร่วมกันพฒั นามาตรฐานขนึ้ มา คือ กรอบการพฒั นาคุณภาพเทคโนโลยสี ารสนเทศโรงพยาบาล (Hospital IT Quality Improvement Framework: HITQIF v๑.๒๐) ทั้งนเ้ี พอื่ ใชเ้ ปน็ แนวทาง ในการพฒั นาและรับรองคณุ ภาพโรงพยาบาล (HAIT: Hospital Accreditation Information Technology)๔๐  นอกจากนต้ี อ้ งค�ำ นงึ ถงึ กฎหมายทเ่ี กย่ี วขอ้ งดว้ ย  เชน่   พ.ร.บ.  สถานพยาบาล ๒๕๔๑๔๑ พ.ร.บ. ธรุ กรรมทางอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ พ.ศ. ๒๕๔๔ และฉบบั แกไ้ ขเพม่ิ เตมิ ประกอบกบั ประกาศคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์  เรื่อง  แนวนโยบายและแนวปฏิบัติในการ รักษาความมัน่ คงปลอดภัยด้านสารสนเทศของหนว่ ยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๓ และฉบบั ที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๕๖ ระเบียบกระทรวงสาธารณสุข เรอ่ื ง การคมุ้ ครองและจัดการขอ้ มูลด้านสขุ ภาพ ของบคุ คล พ.ศ. ๒๕๖๑ ๓๘สช.  วางแนวปฏิบัติใหม่คุ้มครองสิทธิผู้ป่วย  คุ้มครองข้อมูลสุขภาพในยุคดิจิตอล  https:// www.nationalhealth.or.th/node/1951 ๓๙นโยบายน้ี  ควรมีแนวทางปฏิบัติท่ีเป็นรายละเอียดถึงข้ึนระบุระดับการเข้าถึงข้อมูลได ้ เช่น แพทย์เจ้าของไข้หรือนักศึกษาแพทย์สามารถเข้าดูประวัติการรักษาเฉพาะผู้ป่วยท่ีตนดูแลเท่าน้ัน  และมี ระยะเวลาจ�ำ กดั ดว้ ย รวมท้งั มีบนั ทึกการเข้าดูประวัติแต่ละครง้ั นอกจากน้ี ขอ้ มูลสขุ ภาพสว่ นบุคคลของผปู้ ว่ ย ต้องถูกคุ้มครองอย่างเคร่งครัด  แม้ผู้บริหารสูงสุดขององค์ก็ไม่ควรจะดูได้หากไม่มีเหตุอันสมควรหรือไม่ได้ เปน็ การปฏบิ ัติตามหน้าท่ี ๔๐http://tmi.or.th/download/tmi-hospital-it-maturity-model-v1-1/ ๔๑พ.ร.บ. สถานพยาบาล พ.ศ. ๒๕๔๑ ข้อ ๖(๑) สถานพยาบาลตอ้ งจัดการเวชระเบยี นใหเ้ ป็น ระเบียบมัน่ คง คน้ หางา่ ย ระบบฐานข้อมลู คอมพิวเตอรต์ อ้ งมสี ำ�รอง

ภ�พท ่ี ๒ : Info graphic มาตรการควบคมุ การเขา้ ถงึ ขอ้ มลู สขุ ภาพสว่ นบคุ คล (Information security) ก�รเปดิ เผยคว�มลบั โดยมิชอบด้วยกฎหม�ยกบั ผลทต่ี �มม� การเปิดเผยความลับโดยมิชอบนั้นนอกจากจะมีความผิดตามกฎหมายท่ีเก่ียวข้อง กับเร่ืองการรักษาความลับผู้ป่วยโดยตรงแล้ว ยังอาจผิดกฎหมายที่เก่ียวข้องอื่นๆอีกด้วย ดงั สรปุ ในตารางที่ ๑ ซึง่ มีความผิดและโทษท้งั ทางอาญา แพ่ง และปกครอง 88

89 ตารางท่ี ๑ กฎหมายที่เก่ียวข้องกับการเปิดเผยความลบั ของผู้ปว่ ย กรณศี กึ ษาตัวอยา่ ง กรณีที่ ๑ ในกล่มุ น้เี ป็นลักษณะของผปู้ ว่ ยทีเ่ กี่ยวขอ้ งกับการกระท�ำ ความผิดกฎหมายอาญา เช่น  เป็นผู้กระทำ�ความผิด  ผู้ต้องสงสัย  ผู้ต้องหา  หรือนักโทษ  หรือผู้เสียหายจากการ กระท�ำ ความผดิ เช่น   ผู้ป่วยท�ำ แทง้ มาแลว้ ตดิ เชือ้ (Infected criminal abortion, self-induced abortion) แพทยจ์ ะแจ้งตำ�รวจหรือไมว่ า่ มกี ารทำ�แท้งผิดกฎหมาย   ผปู้ ว่ ยอายุ ๑๓ ปี มาฝากครรภ์ (teenage pregnancy) แพทยจ์ ะแจง้ ต�ำ รวจหรอื ไม่ เพราะการต้งั ครรภ์ในเด็กอายุต่ำ�กวา่ ๑๕ ปนี ้นั ฝ่ายชายผดิ กฎหมายอาญาแน่นอน ไมว่ า่ จะมี การยินยอมมีเพศสัมพันธห์ รอื ไม่   ผู้ไดร้ ับบาดเจ็บจากการจราจร แจ้งวา่ ตนขบั ขจ่ี ักรยานยนต์ลม้ เอง และแพทย์ ตรวจพบว่านา่ จะเมาสรุ า แพทย์จะแจง้ ต�ำ รวจเพราะผู้ป่วยกระท�ำ ผดิ พ.ร.บ. จราจรทางบก หรอื ไม่   แพทยค์ วรแจง้ ขอ้ มลู การเจบ็ ปว่ ยของนกั โทษใหก้ บั ผคู้ มุ นกั โทษในเรอื นจ�ำ หรอื ไม่

ผู้รับบริการในสถานพยาบาลส่วนมากเป็นผู้ป่วยที่แท้จริง  คือ  มีอาการของการ เจ็บป่วยทางกายหรือทางจิตใจ  ส่วนอีกจำ�พวกหน่ึงมีลักษณะเป็นผู้ป่วยคดี๔๒  คือ  ผู้ท่ีมา ตรวจเพอ่ื ความถกู ตอ้ งสมบรู ณข์ องกระบวนการยตุ ธิ รรม  ไมว่ า่ จะเปน็ การแสวงหาพยานหลกั ฐาน หรือกฎหมายบัญญัติไว้ในขั้นตอนใดข้ันตอนหนึ่ง  เช่น  ผู้ต้องหาเสพสารเสพติดถูกส่งมา ตรวจหาสารเสพติดในร่างกาย  ผู้ได้รับการบำ�บัดรักษาจากการเสพสารเสพติดท่ีถูกส่งมาตรวจ สารเสพติดในร่างกายเพื่อติดตามการรักษาและควบคุมความประพฤติ  ผู้หลบหนีเข้าเมือง ถกู สง่ มาพสิ จู นอ์ ายเุ พอ่ื ฟอ้ งคด ี เดก็ และเยาวชนทก่ี ระท�ำ ความผดิ แลว้ ตอ้ งรบั โทษในสถานพนิ จิ และคุ้มครองเด็กถูกส่งมาตรวจประเมินภาวะสุขภาพ  หรือเป็นผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องในการกระทำ� ความผิดอาญา  ดังกรณีตัวอย่างข้างต้นด้วย  นอกจากนั้น  อาจมีผู้รับบริการประเภทอ่ืนๆ อีกบ้าง  เช่น  โรงงานส่งมาตรวจสุขภาพประจำ�ปี  (อาจยังไม่ป่วย)  หรือตรวจสุขภาพเพ่ือขอ ใบรบั รองแพทยเ์ พอ่ื ใชใ้ นโอกาสตา่ งๆ ทง้ั นไ้ี มว่ า่ เปน็ ผปู้ ว่ ยประเภทใด โดยหลกั การแลว้ ขอ้ มลู สุขภาพหรือการเจ็บป่วยของผู้รับบริการทางการแพทย์ย่อมต้องถูกรักษาไว้เป็นความลับ จะเปิดเผยได้ต่อเม่อื ผ้ปู ว่ ยยนิ ยอม สำ�หรับผู้ป่วยที่ยกตัวอย่างมาข้างต้นน้ันแม้ยังไม่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ทางอาญา  แต่เข้าข่ายเป็นผู้ป่วยคดีแล้ว  ดังนั้น  จะมีแต่แพทย์  บุคลากรทางการแพทย์ ที่เก่ียวข้อง  และผู้ป่วยเท่าน้ันท่ีทราบว่าผู้ป่วยเก่ียวข้องกับการกระทำ�ความผิดทางอาญา ในกรณีน้ี  แพทย์จะลำ�บากใจอย่างย่ิงในระหว่างการท�ำ หน้าท่ีสองอย่าง  (dual  royalty)  คือ หน้าท่ีแพทย์ต่อผู้ป่วย  (รักษาผู้ป่วยและข้อมูลความลับของผู้ป่วย)  และหน้าท่ีพลเมืองดี ในสังคม  (เห็นการกระทำ�ความผิดควรแจ้งความ)  ซึ่งหลักในการพิจารณาควรยึดถือเรื่อง ความยินยอมเป็นหลักก่อน  แม้ผู้ป่วยเป็นนักโทษในเรือนจำ�ที่มีอิสรภาพจำ�กัดก็ตาม๔๓  เพราะเปน็ หนา้ ทแ่ี พทยโ์ ดยตรง  (direct  duty)  ทต่ี อ้ งปกปอ้ งขอ้ มลู ผปู้ ว่ ย  และถอื เปน็ สง่ิ ทแ่ี พทยต์ อ้ ง ค�ำ ถงึ สง่ิ ทด่ี ที ส่ี ดุ ส�ำ หรบั ผปู้ ว่ ยกอ่ น (the best interest) สว่ นหนา้ ทพ่ี ลเมอื งดนี น้ั ถอื เปน็ หนา้ ท่ี ทว่ั ไป (general duty) ซง่ึ ไมส่ ามารถลบลา้ งหนา้ ทโ่ี ดยตรงของแพทยไ์ ด้ นอกจากน้ี การทแ่ี พทย์ ๔๒ผู้ปว่ ยคดีในทีน่ มี้ ไิ ด้หมายถงึ ผปู้ ่วยคดี ตาม พ.ร.บ. สขุ ภาพจติ พ.ศ. ๒๕๕๑ แตม่ ีความหมาย ที่กว้างกว่า  โดยรวมถึงผู้ป่วยท่ีมีส่วนเก่ียวข้องกับคดีความทุกประเภท  แม้ยังไม่ได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม จึงรวมถงึ ผูป้ ่วยตามกรณตี ัวอย่างด้วย ๔๓The World Medical Association, Ethics manval. 90

91 แจ้งความกับตำ�รวจจะทำ�ให้ความไว้วางใจจากผู้ป่วยต่อแพทย์ลดลง  อาจทำ�ให้เกิดผลเสีย มากกว่าผลดี เช่น ผปู้ ่วยทีท่ ำ�แท้งมาอาจไม่กล้ามาพบแพทย์ จึงท�ำ ใหเ้ สียชวี ติ ทีบ่ ้าน ผูป้ ่วย วยั รนุ่ ตง้ั ครรภไ์ มย่ อมฝากครรภ ์ ท�ำ ใหเ้ ดก็ ทค่ี ลอดออกมาเสยี ชวี ติ   หรอื น�ำ้ หนกั นอ้ ย  เปน็ ภาระ ต่อครอบครวั และประเทศชาตใิ นอนาคต การจดั การปัญหาผปู้ ว่ ยประเภทที่กลา่ วมา ต้องเน้น การปอ้ งกันมากกว่าการลงโทษทางกฎหมาย ทง้ั น้เี พอ่ื ประโยชน์ต่อตัวผู้ป่วยเอง วงการแพทย์ และประเทศชาติด้วย  แต่สำ�หรับข้อมูลของผู้ป่วยคดีที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว  เช่น เป็นผู้ต้องหา  จำ�เลย  หรือผู้ต้องขังในเรือนจำ�  ฝ่ายกฎหมายย่อมมีอำ�นาจในการรับรู้ข้อมูล โดยอาศยั อ�ำ นาจตามกฎหมายทมี่ ี กรณีที่ ๒ ผู้ป่วยไม่ประสงคใ์ ห้เปิดเผยข้อมูลบางอยา่ ง เชน่   ผ้ปู ว่ ย HIV-positive ไมต่ อ้ งการให้เปิดเผยต่อคูส่ มรสหรอื คูน่ อน แพทยจ์ ะท�ำ อย่างไร และเปิดเผยไดห้ รอื ไม่ ถ้าผู้ป่วยไมย่ อมให้เปิดเผย   ผู้ป่วยถูกทำ�ร้ายร่างกายมารักษาในโรงพยาบาล  ขณะแพทย์ตรวจผู้ป่วย เขาแจ้งแพทยว์ ่าจะไปฆา่ คู่อริ แพทย์จะแจง้ ต�ำ รวจหรอื ไม่   ผู้ป่วยจิตเวชมีอาการหูแว่วและหวาดระแวงว่าคนจะมาฆ่า  แจ้งแพทย์ว่า จะไปทำ�ร้ายคนท่ีจะมาฆา่ นนั้ แพทยจ์ ะแจ้งคนท่จี ะถูกท�ำ รา้ ยหรอื ไม่   แพทย์ตรวจสุขภาพประจำ�ปีให้พนักงานโรงงานแห่งหน่งึ   แล้วพบว่ามีคนป่วย เปน็ วณั โรค แพทย์จะแจ้งโรงงานได้หรือไม่ ผู้ป่วยในกลุ่มน้ีไม่ประสงค์ให้แพทย์เปิดเผยข้อเท็จจริงท่ีเป็นผลเสียหายกับผู้ป่วย แตใ่ นขณะเดยี วกนั หากไมเ่ ปดิ เผยขอ้ มลู นน้ั ใหบ้ คุ คลทเ่ี กย่ี วขอ้ งรบั ทราบ จะท�ำ ใหบ้ คุ คลอน่ื ไดร้ บั อนั ตรายดว้ ย  ดงั นน้ั   ในหลกั การควรเปดิ เผยใหก้ บั ผทู้ จ่ี ะไดร้ บั อนั ตรายรบั ทราบ  โดยกรณ ี HIV มีแนวทาง๔๔ คือ ๔๔เร่ืองเดยี วกัน

๑.  คู่นอนของผู้ป่วยมีความเส่ียงท่ีจะได้รับเช้ือ  HIV  เช่น  กรณียังจะมี เพศสัมพนั ธก์ ัน และไม่มวี ธิ ีอน่ื ท่คี ู่นอนจะทราบวา่ เขามีโอกาสติดเช้อื จากผปู้ ่วย ๒.  ผปู้ ่วยปฏเิ สธที่จะแจ้งกบั คนู่ อนของตนเอง ๓.  ผู้ปว่ ยปฏิเสธทีจ่ ะใหแ้ พทย์แจง้ แทน ๔.  แพทยไ์ ดแ้ จง้ แกผ่ ปู้ ว่ ยแลว้ วา่   แพทยจ์ ะตอ้ งเปดิ เผยขอ้ มลู นแ้ี กค่ นู่ อนของผปู้ ว่ ย (แม้ผู้ปว่ ยจะไม่ยนิ ยอมก็ตาม) ส�ำ หรบั กรณผี ปู้ ว่ ยจติ เวช มี พ.ร.บ. สขุ ภาพจติ พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๑๖๔๕ บญั ญตั ไิ ว้ ชดั เจนว่า ให้เปดิ เผยขอ้ มลู สขุ ภาพได้ ทง้ั นเ้ี พอ่ื ความปลอดภยั ของผู้อน่ื ส่วนกรณีพนักงานโรงงานป่วยดังกล่าวนั้น  หากการเปิดเผยข้อมูลการตรวจ สุขภาพของพนักงานจําเป็นต่อการป้องกันหรือระงับอันตรายต่อชีวิตหรือสุขภาพของบุคคล ก็สามารถที่จะใช้ดุลยพินิจในการเปิดเผยข้อมูลการตรวจสุขภาพของพนักงานดังกล่าวเป็นราย กรณไี ด้ ตามมาตรา ๒๕ (๗) แห่ง พ.ร.บ. ข้อมลู ข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ แตต่ ้องทำ� ด้วยวธิ ีการทร่ี ดั กมุ เพียงพอ เพอ่ื ป้องกันผูอ้ น่ื ทไ่ี มเ่ ก่ยี วขอ้ งไดร้ ับรู้ข้อมลู สุขภาพสว่ นบคุ คลของ ผ้ปู ว่ ยได้ กรณีท่ี ๓   ข้อมูลผู้ป่วยเด็กหรือผู้ท่ีไม่สามารถให้ความยินยอมในการรักษาได้ด้วยตนเอง ต้องท�ำ อยา่ งไร   แพทยส์ งสยั วา่ เดก็ ทม่ี าตรวจทโ่ี รงพยาบาลถกู ท�ำ รา้ ยรา่ งกาย แพทยจ์ ะแจง้ ต�ำ รวจ หรือไม่ ๔๕พ.ร.บ. สขุ ภาพจิต พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๑๖ ห้ามมใิ หผ้ ู้ใดเปิดเผยข้อมลู ด้านสุขภาพของผ้ปู ว่ ย ในประการทนี่ า่ จะทำ�ให้เกิดความเสียหายแก่ผปู้ ว่ ย เว้นแต่ (๑)  ในกรณีทอ่ี าจเกดิ อนั ตรายตอ่ ผปู้ ่วยหรือผอู้ ่ืน (๒)  เพือ่ ความปลอดภยั ของสาธารณชน (๓)  มีกฎหมายเฉพาะบัญญัติให้ตอ้ งเปิดเผย 92

93 ในการขอความยินยอมเพ่ือเก็บข้อมูลตลอดจนเผยแพร่ข้อมูลด้านสุขภาพ ส่วนบุคคลกรณีผู้ป่วยเด็กหรือผู้ท่ีไม่สามารถให้ความยินยอมเพื่อการรักษาตามข้อจำ�กัด โดยกฎหมาย เชน่ คนไรค้ วามสามารถ คนเสมอื นไรค้ วามสามารถ มหี ลกั พจิ ารณาเชน่ เดยี วกบั การ ใหค้ วามยนิ ยอมรกั ษาพยาบาล๔๖ คอื เดก็ ทย่ี งั ไมบ่ รรลนุ ติ ภิ าวะ (การบรรลนุ ติ ภิ าวะตอ้ งอายุ ๒๐ ปี บริบูรณ์หรือสมรสโดยชอบด้วยกฎหมาย)๔๗  ต้องมีบิดามารดาหรือผู้ปกครองให้ความยินยอม เพราะมหี ลักจริยธรรมทางการแพทยเ์ หมอื นกนั (autonomy, respect of person) และต้อง ค�ำ นงึ ถงึ ประโยชนส์ งู สดุ ของเดก็ เปน็ ส�ำ คญั (the best interest) ทั้งนตี้ าม พ.ร.บ.คุ้มครองเดก็ พ.ศ. ๒๕๔๖ มาตรา ๒๒ ประกอบกบั พ.ร.บ.สขุ ภาพแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๘ วรรคสาม (๒) แตส่ �ำ หรบั กฎหมายในตา่ งประเทศน้ัน (GDPR) ก�ำ หนดอายเุ ดก็ ทตี่ ้องได้รับความยนิ ยอมจาก บิดามารดาไวท้ ี่อายุตำ�่ กวา่ ๑๓-๑๖ ป๔ี ๘ ส่วนในสหรฐั อเมริกาก�ำ หนดไว้ทตี่ ่ำ�กวา่ ๑๓ ป๔ี ๙ สำ�หรับกรณีแพทย์สงสัยว่าเด็กถูกทำ�ร้ายนั้นถือเป็นหน้าท่ีแพทย์โดยตรงท่ีต้อง แจ้งต่อผูเ้ กย่ี วข้องรบั ทราบ ตามพ.ร.บ. คุ้มครองเด็ก พ.ศ. ๒๕๔๖ ซึง่ ถา้ แจง้ แลว้ แพทยย์ ่อมได้ รับความคุ้มครองตามกฎหมาย แต่ถ้าไม่แจง้ แพทยอ์ าจจะมคี วามผดิ ฐานละเว้นปฏิบตั หิ นา้ ที่ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๕๗ ดว้ ย กรณที ี่ ๔   แพทย์สงสัยว่าผู้ป่วยท่ีถูกควบคุมหรือคุมขังจะถูกทำ�ร้ายโดยเจ้าหน้าท่ีรัฐ แพทย์ควรท�ำ อยา่ งไร ตามมาตรฐานทางจริยธรรมแล้ว  แพทย์ควรแจ้งต่อองค์กรอ่ืนท่ีรับผิดชอบดูแล เรื่องสิทธิมนุษยชน๕๐  ทั้งนี้ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยและประชาชนมากกว่าปกปิดไว้ เปน็ ความลับ ๔๖บุญศกั ดิ์ หาญเทอดสิทธิ์. “มาตรฐานทางจรยิ ธรรม กฎหมาย และการแพทย์ของการยินยอม ให้รกั ษาในเวชปฏิบัติ,” รัฐสภาสาร ๖๓,๘ (๒๕๕๘) : ๙๗-๑๒๔. ๔๗ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา  ๒๐  “ผเู้ ยาว์ย่อมบรรลุนติ ิภาวะเมือ่ ทำ�การสมรส หากการสมรสนนั้ ไดท้ �ำ ตามบทบัญญตั ิ มาตรา ๑๔๔๘” ประกอบ มาตรา ๑๔๔๘ “การสมรสจะท�ำ ไดต้ อ่ เม่ือ ชายและหญงิ มอี ายสุ บิ เจด็ ปบี รบิ รู ณแ์ ลว้ แตใ่ นกรณที ม่ี เี หตอุ นั สมควร ศาลอาจอนญุ าตใหท้ �ำ การสมรสกอ่ นนน้ั ได”้ ๔๘Alan Charles Raul Editor, The privacy, data protection and cybersecurity law review. ๔๙Children’s Online Privacy Protection Act of 1998 (COPPA). ๕๐The World Medical Association. (2007). Resolution on the Responsibility of Physicians in the Denunciation of Acts of Torture or Cruel or Inhuman or Degrading Treatment of which They are Aware.

กรณีที่ ๕   แพทยโ์ พสตร์ ปู ผปู้ ว่ ยหรอื ผลการรกั ษาผปู้ ว่ ยทร่ี กั ษากบั ตนผา่ นเฟซบคุ๊ ของตนเอง ไดห้ รอื ไม่   การประกาศขอรับบริจาคเลือดหรือข้อความช่วยเหลือเก่ียวกับการรักษา โดยระบชุ ื่อและข้อมลู ส่วนตวั ผปู้ ่วย เพือ่ ให้ติดตอ่ ได้สะดวก ทำ�ไดห้ รือไม่ การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารสุขภาพส่วนบุคคลผ่านทางระบบคอมพิวเตอร์ หรอื สอ่ื สงั คมออนไลนต์ อ้ งระมดั ระวงั อยา่ งมาก  เพราะถา้ มคี วามผดิ แลว้ จะผดิ กฎหมายหลายฉบบั นอกจากผิดเรื่องเปิดเผยข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วย  เช่น  ความผิดเก่ียวกับคอมพิวเตอร์๕๑ นอกจากนน้ั ตอ้ งระวงั เรอ่ื งการโฆษณาสถานพยาบาลและการประกอบวชิ าชพี เวชกรรมดว้ ยหลกั ในการพิจารณาว่ามีความผิดฐานเปิดเผยข้อมูลสุขภาพส่วนบุคคลหรือไม่ให้พิจารณา เรอ่ื งความยนิ ยอมเปน็ หลกั ถา้ ไมย่ นิ ยอมกเ็ ปดิ เผยมไิ ด้ ตาม พ.ร.บ. สขุ ภาพแหง่ ชาติ มาตรา ๗ ส�ำ หรับโรงพยาบาลทต่ี ้องการรับบรจิ าคเลือดสำ�หรบั ผู้ปว่ ย กเ็ พยี งแตแ่ จง้ วา่ ตอ้ งการเลอื ดหมู่ อะไรก็พอ  ไม่ต้องระบุข้อมูลผู้ป่วยเผยแพร่ไปด้วย  หรือกรณีมีผู้ป่วยไม่ทราบช่ือมารักษา และอาจจะไม่ไดส้ ตอิ ยดู่ ว้ ย กเ็ พียงแต่แจง้ รูปพรรณสณั ฐานออกไป  ทง้ั น้ีเพ่ือตดิ ตามหาญาติ หรือคนรู้จัก  ไม่ต้องระบุโรคของผู้ป่วยไปด้วย  อย่างไรก็ตาม  ผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บอาจเกิด จากการถูกทำ�ร้ายมา  การแจ้งรูปพรรณสัณฐานของผู้ป่วยผ่านส่ือสังคมออนไลน์  อาจทำ�ให้ คกู่ รณตี ามมาท�ำ รา้ ยซำ�้ ในโรงพยาบาลได ้ จงึ ควรติดตอ่ ประสานงานกบั ต�ำ รวจโดยตรงแทนการ เผยแพรอ่ อกไปผ่านสอ่ื สังคมออนไลน์ สามารถศกึ ษาแนวทางการใชส้ อื่ สงั คมออนไลน์ได้จาก ประกาศคณะกรรมการสุขภาพแหง่ ชาติ เรื่อง แนวทางปฏิบตั ิในการใช้งานส่ือสังคมออนไลน์ ของผ้ปู ฏิบัติงานดา้ นสขุ ภาพ พ.ศ. ๒๕๕๙ กรณีท่ี ๖ กรณผี ู้ปว่ ยมีประกนั ชวี ิต   ผ้ปู ว่ ยทม่ี ปี ระกนั ชีวิตเขา้ รบั การรักษาในโรงพยาบาล ตอ่ มาบริษัทประกันส่งใบ เรียกรอ้ งคา่ สนิ ไหมจากผปู้ ่วยมาใหแ้ พทย์เขียนสรุปการเจบ็ ป่วย แพทยจ์ ะต้องปฏิบตั อิ ย่างไร ๕๑พ.ร.บ. วา่ ดว้ ยการกระทาํ ความผดิ เกย่ี วกบั คอมพวิ เตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๙, ๑๑, ๑๔, และ ๑๖ 94

95 การเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันเป็นเรื่องของสัญญาระหว่าง ผู้ป่วยและบริษัทประกัน  ซึ่งแพทย์มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องในสัญญาน้ันด้วย  แต่บริษัทประกัน ตอ้ งใชข้ อ้ มลู เกย่ี วกบั การรกั ษาพยาบาลของผปู้ ว่ ยเพอ่ื ประกอบการจา่ ยเงนิ   ดงั นน้ั   จงึ หลกี เลย่ี ง ไม่ได้ท่ีแพทย์จะต้องสรุปประวัติการรักษาให้  โดยต้องขอความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษร เพอ่ื เปดิ เผยประวตั กิ ารรกั ษาจากผปู้ ว่ ยหรอื ญาติ  (กรณผี ปู้ ว่ ยเสยี ชวี ติ )  เสมอ  ซง่ึ ทางโรงพยาบาล ควรระมดั ระวังมใิ หข้ ้อมูลผอู้ ่ืนถูกเปิดเผยด้วย (ในเวชระเบียนอาจมกี ารอา้ งถึงขอ้ มลู บคุ คลอ่นื นอกจากของผู้ปว่ ยหรือผตู้ าย) ในกรณีท่ตี อ้ งสง่ เวชระเบยี นให้บรษิ ทั ประกนั กรณีที่ ๗   คณะกรรมการประกอบโรคศิลปะขอดูเวชระเบียนการรักษาผู้ป่วยท่ีร้องเรียน แพทย์ แต่แพทยไ์ ม่ยอมสง่ เวชระเบียนใหด้ ู โดยอา้ งวา่ กลัวความลบั ผูป้ ว่ ยถกู เปดิ เผยไดห้ รอื ไม่ ในกรณนี ี้เปน็ การเปดิ เผยตอ่ บุคคลผูม้ ีอ�ำ นาจหนา้ ท่ตี ามกฎหมาย เชน่ พนักงาน เจา้ หนา้ ทก่ี องประกอบโรคศลิ ปะ๕๒ โดยมรี ายละเอยี ดพอสงั เขป ดงั น้ี คดนี แ้ี พทยเ์ จา้ ของคลนิ กิ เอกชนแห่งหนึ่งฟ้องศาลปกครองให้เพิกถอนคำ�สั่งของอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ท่ใี ห้ส่งเวชระเบียนของผ้ปู ่วยรายหน่งึ ไปให้คณะกรรมการประกอบโรคศิลปะดู  เพ่อื ตรวจสอบ ตามท่ีมีผู้เสียหายร้องเรียนไป  (เรื่องมาตรฐานวิชาชีพ)  ศาลปกครองพิจารณาแล้วเห็นว่า  คณะกรรมการประกอบโรคศลิ ปะใชอ้ ำ�นาจตามทก่ี ฎหมายก�ำ หนด๕๓  ซง่ึ เปน็ ขอ้ ยกเวน้ ของกฎหมาย อนื่ ๆ ได้แก่ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๓๕๔ ขอ้ บงั คับแพทยสภาวา่ ด้วยการรกั ษา ๕๒คำ�พิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ ๕๘๐/๒๕๕๘ ในกรณนี ้ี พนกั งานเจ้าหนา้ ที่ตาม พ.ร.บ. สถานพยาบาล พ.ศ. ๒๕๔๑ มีอ�ำ นาจตรวจดูเอกสารเกี่ยวกบั การรักษาพยาบาลได้ ๕๓พ.ร.บ. สถานพยาบาล พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๔๖ วรรคหนง่ึ (๓) ๕๔ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๓ ผู้ใดลว่ งรหู้ รอื ไดม้ าซงึ่ ความลบั ของผ้อู ืน่ โดยเหตทุ ีเ่ ป็น เจา้ พนักงานผู้มหี นา้ ที่ โดยเหตุที่ประกอบอาชพี เปน็ แพทย์ เภสชั กร คนจ�ำ หน่ายยา นางผดงุ ครรภ์ ผพู้ ยาบาล นกั บวช หมอความ ทนายความ หรอื ผสู้ อบบัญชหี รอื โดยเหตุที่เป็นผชู้ ว่ ยในการประกอบอาชีพนัน้ แลว้ เปดิ เผย ความลบั นน้ั ในประการทนี่ า่ จะเกิดความเสยี หายแกผ่ ู้หนึ่งผู้ใด ต้องระวางโทษ...

จรยิ ธรรมแหง่ วชิ าชพี เวชกรรม พ.ศ. ๒๕๔๙ ขอ้ ๒๗๕๕ และ พ.ร.บ. สขุ ภาพแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๗๕๖  แตค่ ำ�พพิ ากษาระบเุ หตุผลประกอบวา่ “...การเปิดเผยความลับอันจะเป็นความ ผิดตามกฎหมายดงั กล่าวนัน้ (๓ มาตราขา้ งตน้ ) ต้องเกดิ จากการจงในหรือเกิดจากเจตนาของ ผู้ฟ้องคดีท่ีจะเปิดเผยความลับของเจ้าของข้อมูล  และมีเจตนาทำ�ให้เจ้าของข้อมูลในเอกสาร ดังกล่าว (เวชระเบยี น) ไดร้ บั ความเสยี หาย ... ดงั นั้น การสง่ เวชระเบียนให้เจ้าหน้าทตี่ รวจสอบ เป็นการท�ำ ตามค�ำ ส่ังทชี่ อบด้วยกฎหมาย ไมไ่ ด้เกดิ จากเจตนาเปดิ เผยความลับเพือ่ กอ่ ให้เกิด ความเสียหายต่อเจ้าของข้อมูล…”  ด้วยความเคารพต่อศาล  ผู้เขียนมีความเห็นแตกต่างกับ ค�ำ พิพากษาเลก็ น้อย คอื ทัง้ สามมาตรานน้ั แน่นอนว่าต้องอาศยั “เจตนา” แต่เปน็ แคเ่ จตนา ธรรมดาท่ีผู้เปิดเผยรู้ว่าเป็นความลับและได้เปิดเผยแก่บุคคลอ่ืน  (ผู้เปิดเผยมีสติสัมปชัญญะ ปกติเช่นวิญญูชน  โดยรู้ข้อเท็จจริงทั้งหมด  และประสงค์ผลหรือเล็งเห็นผลของการเปิดเผย ความลบั นน้ั ) ไมต่ อ้ งถงึ กบั มเี จตนาพเิ ศษ “เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความเสยี หาย” เพราะในกฎหมายทอ่ี า้ ง มาไมไ่ ดบ้ ญั ญตั ดิ งั กลา่ วเลย  แตป่ ระมวลกฎหมายอาญาและ  พ.ร.บ.  สขุ ภาพแหง่ ชาต ิ ใชค้ �ำ วา่ “ในประการทน่ี า่ จะทําใหเ้ สยี หาย” ซง่ึ เปน็ พฤตกิ ารณป์ ระกอบการกระท�ำ ไมต่ อ้ งเกดิ ความเสยี หาย ความผิดก็สำ�เร็จแล้ว  ดังนั้น  การที่แพทย์นำ�เวชระเบียนให้คนอื่นดู  (แม้ว่าให้ผู้มีอำ�นาจ หน้าท่ีตามกฎหมายขอดูได้)  ก็ย่อมแสดงให้เห็นว่า  แพทย์มีเจตนาเปิดเผยข้อมูลผู้ป่วยแล้ว เพราะแพทย์ย่อมรู้ว่าส่ิงนั้นเป็นความลับที่ได้มาจากการประกอบวิชาชีพและมีเจตนาประสงค์ ตอ่ ผลหรอื เลง็ เหน็ ผลใหค้ นอน่ื เหน็ ข้อความในเวชระเบยี น จะว่าไม่มีเจตนาไมไ่ ด้ (ไมต่ ้องถึงกบั มีเจตนาพิเศษเพ่ือให้เกิดความเสียหาย  ดังกล่าวข้างต้น)  การท่ีจะโต้แย้งฝ่ายผู้ฟ้องคดีว่า เวชระเบยี นต้องเปดิ เผยหรอื ไม่ กเ็ พยี งแค่ยกขอ้ กฎหมายทว่ี ่า มกี ฎหมายเฉพาะให้ต้องเปดิ เผย หรือ เป็นการทำ�ตามคำ�สั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย ก็น่าจะเพียงพอ แตอ่ ย่างไรกต็ าม ผ้พู ิพากษา ๕๕ข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม  พ.ศ.  ๒๕๔๙  ข้อ  ๒๗ ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมต้องไม่เปิดเผยความลับของผู้ป่วยหรือผู้ป่วยที่เสียชีวิตแล้ว  ซ่ึงตนทราบมา เน่ืองจากการประกอบวิชาชีพ  เว้นแต่ได้รับความยินยอมโดยชอบด้วยกฎหมาย  หรือเม่ือต้องปฏิบัติตาม กฎหมายหรือตามหน้าท่ี ๕๖พ.ร.บ. สุขภาพแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๗ ขอ้ มลู ดา้ นสขุ ภาพของบุคคล  เปน็ ความลบั ส่วนบุคคล  ผู้ใดจะนําไปเปิดเผย  ในประการท่ีน่าจะทําให้บุคคลน้ันเสียหายไม่ได้  เว้นแต่การเปิดเผยน้ันเป็น ไปตามความประสงค์ของบุคคลนัน้ โดยตรง หรอื มกี ฎหมายเฉพาะบัญญัตใิ หต้ อ้ งเปิดเผย แตไ่ มว่ ่าในกรณใี ดๆ ผู้ใดจะอาศัยอํานาจหรือสิทธิตามกฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของราชการหรือกฎหมายอ่ืนเพื่อขอเอกสาร เกยี่ วกับขอ้ มลู ดา้ นสุขภาพของบุคคลท่ีไม่ใชข่ องตนไมไ่ ด้ 96

97 ซ่ึงเป็นฝ่ายใช้กฎหมายในการตัดสินคดีความ  น่าจะมีความเห็นว่า  กฎหมายเรื่องน้ี  ควรมี ความผิดเมื่อมีการเปิดเผยโดยเจตนาเพ่ือให้เกิดความเสียหายเท่าน้ัน  ส่วนการเปิดเผยเพ่ือ วัตถุประสงค์ประการอ่ืนไม่ควรมีความผิด  เช่น  เพื่อประโยชน์ของเจ้าของข้อมูลเองหรือเพื่อ ประโยชนส์ าธารณะ ซง่ึ จะเปน็ ผลดตี อ่ ทกุ ฝา่ ย ท�ำ ใหก้ ารปฏบิ ตั ขิ องโรงพยาบาลทว่ั ๆไปทเ่ี ปดิ เผย ขอ้ มลู บางอยา่ งของผู้ปว่ ย เช่น บคุ คลไมท่ ราบชื่อไม่มญี าติมาติดต่อ โรงพยาบาลควรเปดิ เผย ข้อมูลบางอย่างเพ่ือติดตามหาญาติ  หรือเพื่อรับบริจาคเลือดได้  เป็นต้น  ดังน้ัน  ข้อความ ใน พ.ร.บ. สขุ ภาพแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๗ ควรแก้จากคำ�วา่ “ในประการที่นา่ จะเกดิ ความเสียหายแก่ผ้หู นึง่ ผู้ใด” เปน็ “เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความเสียหายแกผ่ หู้ นงึ่ ผูใ้ ด” จงึ จะทำ�ให้กฎหมาย ยืดหย่นุ มากขึน้ นอกจากน้นั ข้อความอนื่ ใน พ.ร.บ. สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๗ ทวี่ ่า “ข้อมูลดา้ นสุขภาพของบุคคล เปน็ ความลับส่วนบคุ คล ผูใ้ ดจะนาํ ไปเปิดเผยในประการ ท่ีน่าจะทําให้บุคคลน้ันเสียหายไม่ได้  เว้นแต่การเปิดเผยน้ันเป็นไปตามความประสงค์ ของบุคคลน้ันโดยตรง  หรือมีกฎหมายเฉพาะบัญญัติให้ต้องเปิดเผย  แต่ไม่ว่าในกรณีใดๆ ผู้ใดจะอาศัยอํานาจหรือสิทธิตามกฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของราชการหรือกฎหมายอื่น เพอ่ื ขอเอกสารเกย่ี วกบั ขอ้ มลู ดา้ นสขุ ภาพของบคุ คลทไ่ี มใชข่ องตนไมไ่ ด”้ ท�ำ ใหเ้ ขา้ ใจวา่ ถา้ มี กฎหมายเฉพาะให้เปิดเผยก็ย่อมเปิดเผยได้  แต่ขอให้ส่งเอกสารหรือสำ�เนาข้อมูลสุขภาพ สว่ นบคุ คลไมไ่ ด้ (ขอดไู ดแ้ ตห่ า้ มเอาไป หา้ มส�ำ เนา) ซง่ึ ขดั แยง้ กบั พ.ร.บ. ขอ้ มลู ขา่ วสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ รวมท้งั กฎหมายหมายและอ�ำ นาจอื่น เช่น อำ�นาจศาลที่วา่ สามารถขอเอกสารได้ แมเ้ ป็นขอ้ มูลสขุ ภาพของบคุ คล ดงั นี้ ควรแก้มาตราน้ีโดยตัดตอนทา้ ยออก กรณีที่ ๘   ข้อมูลผูต้ ายเปดิ เผยได้เพยี งใด การเสียชีวิตสามารถแยกเป็นสองประเภท  คือ  กรณีที่ไม่ต้องชันสูตรพลิกศพ และกรณที ต่ี อ้ งชนั สตู รพลกิ ศพ๕๗ ส�ำ หรบั กรณที ไ่ี มต่ อ้ งชนั สตู รพลกิ ศพ ตอ้ งพจิ ารณาแบบขอ้ มลู ของผปู้ ว่ ยทว่ั ไป  คอื   ตอ้ งไดร้ บั ความยนิ ยอมจากเจา้ ของขอ้ มลู หรอื มกี ฎหมายใหอ้ �ำ นาจเปดิ เผย ๕๗คือ  การตายโดยผิดธรรมชาติ  และตายในระหว่างการอยู่ในความควบคุมของเจ้าพนักงาน ตามประมวลกฎหมายวธิ ีพจิ ารณาความอาญา มาตรา ๑๔๘

แต่แน่นอนว่า  ผู้ตายย่อมไม่สามารถให้ความยินยอมเพื่อเปิดเผยข้อมูลในเม่ือตายแล้วได้ เว้นแต่ความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรท่ีทำ�ไว้ล่วงหน้า๕๘  แต่ทายาทตามกฎหมายมีสิทธิ์ ทราบขอ้ มลู ของผูต้ ายได้ ตามกฎกระทรวงฉบับท่ี ๒ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ออกตามความใน พ.ร.บ. ขอ้ มูลขา่ วสารของราชการ  พ.ศ.  ๒๕๔๐๕๙  สว่ นกรณีท่ตี ้องมีการชันสตู รพลกิ ศพหรอื เรยี กว่า เป็นศพคดี ตอ้ งอยภู่ ายใต้ประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาคดคี วามอาญา เร่อื งชนั สตู รพลกิ ศพ และเร่อื งการสอบสวน ตลอดจนกฎหมายท่เี ก่ียวข้องอื่นๆ โดยมีหลกั การว่า ข้อมลู ชนั สตู ร พลกิ ศพถอื เปน็ ขอ้ มูลท่ใี ชใ้ นการพิจารณาคดี ถอื เป็นความลับทางคดี ดงั นั้น หากการดำ�เนนิ คดียังไม่เสร็จส้ิน  การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารดังกล่าวจะทำ�ให้การบังคับใช้กฎหมายเสื่อม ประสทิ ธภิ าพ หรอื ไมอ่ าจส�ำ เรจ็ ตามวตั ถปุ ระสงคไ์ ด้ ตามมาตรา ๑๕(๒) แห่ง พ.ร.บ. ขอ้ มูล ข่าวสารของราชการ  พ.ศ.  ๒๕๔๐  จึงห้ามเปิดเผยแก่บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องในกระบวนการ พิจารณาคดี๖๐  ถ้าแพทย์เปิดเผยข้อมูลดังกล่าวย่อมมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หน้าท่ีหรือละเว้นปฏิบัติหน้าท่ีโดยมิชอบหรือโดยทุจริต๖๑  เพราะแพทย์ผู้ชันสูตรพลิกศพ ถอื เป็นเจา้ พนกั งานตามกฎหมายแม้เป็นแพทย์โรงพยาบาลเอกชนก็ตาม๖๒ ๕๘พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ๕๙คำ�วินิจฉัยคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาการแพทย์และสาธารณสุข ที่ พส ๗/๒๕๔๘, ได้แก่ บุตรชอบดว้ ยกฎหมายหรอื บุตรบุญธรรม คู่สมรส บดิ าหรอื มารดา ผูส้ บื สันดาน พ่ีนอ้ ง ร่วมบดิ ามารดา ๖๐คําวินิจฉัยคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร  สาขาสังคม  การบริหารราชการ แผ่นดนิ และการบังคับใชก้ ฎหมาย ท่ี สค ๑๕๙ /๒๕๕๔ เรือ่ ง อุทธรณค์ ําส่งั มใิ ห้เปดิ เผยข้อมูลข่าวสารของ สาํ นักงานอยั การภาค ๑ เกยี่ วกับสาํ นวนคดีอาญา ๖๑ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ “ผใู้ ดเปน็ เจา้ พนกั งานปฏบิ ตั หิ รอื ละเวน้ การปฏบิ ตั หิ นา้ ท่ี โดยมชิ อบ เพอื่ ให้เกิดความเสียหายแกผ่ ูห้ น่งึ ผใู้ ด หรือปฏิบัติหรือละเวน้ การปฏิบตั ิหน้าท่ีโดยทุจรติ ตอ้ งระวาง โทษจำ�คกุ ตั้งแต่หนึ่งปีถงึ สิบปี หรอื ปรบั ตัง้ แตส่ องพันบาทถึงสองหมน่ื บาทหรือท้งั จ�ำ ท้ังปรบั ” ๖๒ประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาคดคี วามอาญามาตรา ๑๕๐ วรรคแรก ตอนกลาง “ในกรณที จ่ี ะตอ้ ง มีการชันสูตรพลิกศพให้พนักงานสอบสวนแห่งท้องท่ีที่ศพน้ันอยู่กับแพทย์ทางนิติเวชศาสตร์ซ่ึงได้รับวุฒิบัตร ...ถ้าแพทย์ประจำ�สำ�นักงานสาธารณสุขจังหวัดไม่มีหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าท่ไี ด ้ ให้แพทย์ประจำ�โรงพยาบาล ของเอกชนหรอื แพทยผ์ ปู้ ระกอบวชิ าชพี เวชกรรม  ทข่ี น้ึ ทะเบยี นเปน็ แพทยอ์ าสาสมคั รตามระเบยี บของกระทรวง สาธารณสุขปฏิบัติหน้าท่ี  และในการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว  ให้แพทย์ประจำ�โรงพยาบาลของเอกชนหรือแพทย์ ผปู้ ระกอบวชิ าชีพเวชกรรมผูน้ ้ัน เปน็ เจา้ พนกั งานตามประมวลกฎหมายอาญา” 98


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook