99 ดร. นภิ าพรรณ เจนสนั ตกิ ลุ * บทคดั ยอ่ บทความวชิ าการนม้ี วี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื วเิ คราะหส์ ถานการณ์ การจดั สวสั ดกิ ารสงั คมส�ำ หรบั เดก็ และเยาวชนและน�ำ เสนอแนวทางการจดั สวสั ดกิ ารสงั คม ทเ่ี หมาะสมเพอ่ื ลดความเหลอ่ื มล�ำ้ ในโอกาสและการเขา้ ถงึ ส�ำ หรบั เดก็ และเยาวชน ผลการวเิ คราะห ์ พบวา่ ๑) การจดั สวสั ดกิ ารสงั คม ส�ำ หรบั เดก็ และเยาวชนยงั ประสบปญั หาดา้ นกลไกการบรหิ ารจดั การองคก์ ร และการจดั การกองทนุ ส�ำ หรบั การจดั สวสั ดกิ ารสงั คมส�ำ หรบั เดก็ และเยาวชน *อาจารยป์ ระจ�ำ สาขาวชิ ารฐั ประศาสนศาสตร ์ คณะมนษุ ยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร ์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครปฐม
๒) แนวทางการจดั สวสั ดกิ ารทเ่ี หมาะสม คอื ควรมกี ารแกไ้ ขกฎหมายทเ่ี กย่ี วขอ้ งเกย่ี วกบั บทบาทหน้าท่ีขององค์กร และควรกำ�หนดสิทธิและโอกาสในการเข้าถึงการจัดสวัสดิการ ของรัฐตามแนวคิดความเป็นธรรมท่ใี ห้ความสำ�คัญกับสิทธิของพลเมืองและการมีส่วนร่วม ของประชาชน Abstract This academic article aims to analyze the situation of social welfare for children and youth, and to propose appropriate social welfare approaches to reduce disparities in opportunities and access for children and youth. The results of the analysis were as follows: 1) Social welfare for children and youth also faced organizational management problems and fund management problem. 2) Appropriate welfare guidelines should be amended to include relevant legislation on the role of the organization and determined the rights and opportunity to access public welfare follow the concept of fairness, which attaches importance to the rights of citizens and the participation of the people. 100
101 บทน�ำ จากการศึกษาการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยท่ผี ่านมา พบว่า กระบวนการพัฒนาประเทศก่อให้เกิดผลกระทบและประสบปัญหาด้านต่าง ๆ ดังน้ี ๑) ปัญหาเร่ืองการกระจายรายได้ท่ีไม่เท่าเทียมกันตลอดช่วงเวลาสามสิบปีท่ีผ่านมา ๒) ความเหลอ่ื มล�ำ้ ในการถอื ครองปจั จยั การผลติ ทง้ั ในระดบั ภมู ภิ าคและในระดบั ชว่ งรายได้ ตา่ ง ๆ ของครวั เรอื น และนโยบายสนบั สนนุ การลงทนุ ทเ่ี นน้ การใชเ้ ครอ่ื งจกั รและปจั จยั ทนุ จะสร้างประโยชน์ให้กับผู้เป็นเจ้าของปัจจัยทุนมากกว่าแรงงาน และ ๓) นโยบาย สวสั ดกิ ารสงั คมแบบแรกของประเทศไทยทใ่ี หบ้ รกิ ารแบบถว้ นหนา้ (universal coverage) (อารยะ ปรชี าเมตตา, ๒๕๕๘, น. ๕-๖) สง่ ผลใหป้ ระเทศมคี วามเหลอ่ื มล�ำ้ ของการกระจาย รายไดต้ ลอดระยะเวลา ๔ ทศวรรษ นบั ตง้ั แตก่ ารพฒั นาประเทศตามแผนพฒั นาเศรษฐกจิ ของประเทศ พบว่า รัฐบาลเร่ิมตระหนักในความสำ�คัญของการกระจายรายได้ในช่วง ระยะเวลา ๒๕ ปี โดยท่ีผ่านมา รัฐได้กำ�หนดเป้าหมายการกระจายรายได้ การลดช่องว่างฐานะทางเศรษฐกิจ และมาตรการส่งเสริมการกระจายรายได้เป็นครั้งแรก ในแผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาติ ฉบบั ท่ี ๔ (พ.ศ. ๒๕๒๐-๒๕๒๔) ตอ่ มาในแผน พฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาติ ฉบบั ท่ี ๕ และแผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาติ ฉบบั ท่ี ๖ มกี ารกลา่ วถงึ เปา้ หมายการแกไ้ ขปญั หาความยากจนซง่ึ เปน็ สว่ นหนง่ึ ของปญั หา การกระจายรายได้ตลอดจนเป้าหมายการกระจายความเจริญไปส่ภู ูมิภาคและการพัฒนา ชนบท (จริ ะ บรุ คี �ำ , ม.ป.ป.) สำ�หรับสถานการณ์ความเหล่ือมลำ้�ของประเทศไทย เม่ือพิจารณาจาก คา่ สมั ประสทิ ธค์ิ วามไมเ่ สมอภาค (Gini coefficient) ระหวา่ งปี พ.ศ. ๒๕๓๑-๒๕๕๗ พบวา่ ความเหล่ือมลำ้�ทางรายได้ในภาพรวมท่ัวประเทศลดลงตลอดในช่วงระยะเวลาดังกล่าว จาก ๐.๔๓๙ ในปี พ.ศ. ๒๕๓๑ เหลอื เพยี ง ๐.๓๗๑ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ อยา่ งไรกต็ าม พบวา่ มบี างชว่ งเวลาทส่ี ถานการณค์ วามเหลอ่ื มล�ำ้ แยล่ ง เชน่ ระหวา่ งปี พ.ศ. ๒๕๔๑-๒๕๔๕ ดัชนีดังกล่าวเพ่มิ ข้นึ จาก ๐.๔๐๙ เป็น ๐.๔๒๕ ซ่งึ อาจเป็นผลกระทบจากวิกฤตการณ์ ทางเศรษฐกจิ ท�ำ ใหก้ ลมุ่ ผมู้ รี ายไดน้ อ้ ยมมี าตรฐานการครองชพี ทต่ี �ำ่ ลง (วรรณพงษ ์ ดรุ งคเวโรจน,์ ๒๕๖๐, น. ๓๒) และเมอ่ื ท�ำ การทบทวนวรรณกรรมเกย่ี วกบั การลดความเหลอ่ื มล�ำ้ ในการ
จัดสวัสดิการสำ�หรับเด็กและเยาวชน พบว่า ความเหล่ือมลำ้�ของประเทศไทยยังคงเป็น ปัญหาสำ�คัญท่ีแม้ว่ารัฐบาลจะดำ�เนินการมาตรการต่าง ๆ เพ่ือลดความเหล่ือมลำ้� แตผ่ ลการด�ำ เนนิ งานทผ่ี า่ นมายงั พบวา่ ความเหลอ่ื มล�ำ้ ของประเทศไทยมคี วามรนุ แรงกวา่ ประเทศ Asian NIEs อย่างชัดเจนแสดงว่าโครงสร้างอำ�นาจทางการเมืองของไทยมีการ กระจุกตัว นอกจากน้ใี นขณะท่เี ศรษฐกิจไทยขยายตัวในอัตราเฉล่ยี ตำ่�กว่าประเทศ NIEs มสี ดั สว่ นทเ่ี ปน็ unproductive rents มากกวา่ ซง่ึ สง่ ผลใหก้ ารมสี ว่ นรว่ มในการขยายตวั ทาง เศรษฐกจิ (inclusive growth) หยอ่ นกวา่ ประเทศ NIEs (สมชยั จติ สชุ น, ๒๕๕๘) ในดา้ น การจดั สวสั ดกิ ารส�ำ หรบั เดก็ และเยาวชน พบวา่ ตง้ั แตป่ ี ๒๕๕๙ เปน็ ตน้ มา มกี ารจดั สรร สวัสดิการให้กับเด็กแรกคลอดในครอบครัวท่ยี ากจนผ่านโครงการเงินอุดหนุนเพ่อื การเล้ยี งดู เด็กแรกเกิด โดยให้เงินอุดหนุนแก่เด็กแรกเกิดท่ีอยู่ในครัวเรือนยากจน และครัวเรือน ท่เี ส่ยี งต่อความยากจน ต้งั แต่แรกเกิดถึงอายุ ๓ ปี รายละ ๖๐๐ บาทต่อคนต่อเดือน ทง้ั นไ้ี ดม้ กี ารเปดิ ใหล้ งทะเบยี นแลว้ จ�ำ นวน ๒ ครง้ั คอื ในปงี บประมาณ ๒๕๕๙ ชว่ งเวลา เดก็ เกดิ ระหวา่ งวนั ท่ี ๑ ตลุ าคม ๒๕๕๘ – ๓๐ กนั ยายน ๒๕๕๕๙ เปดิ ลงทะเบยี นเมอ่ื วนั ท่ี ๑ เมษายน ๒๕๕๙ – ๓๐ กนั ยายน ๒๕๕๙ และครง้ั ท่ี ๒ ปงี บประมาณ ๒๕๖๐ ชว่ งเวลาเดก็ เกดิ ระหวา่ งวนั ท่ี ๑ ตลุ าคม ๒๕๕๙ – ๓๐ กนั ยายน ๒๕๖๐ เปดิ ลงทะเบยี น เมอ่ื วนั ท่ี ๑ เมษายน ๒๕๕๙ – ๓๐ กนั ยายน ๒๕๖๐ โดยมยี อดผมู้ าลงทะเบยี นและมสี ทิ ธิ ไดร้ บั เงนิ สะสมถงึ วนั ท่ี ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๖๐ จ�ำ นวน ๒๒๑,๙๘๑ คน (ส�ำ นกั งาน คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, ๒๕๖๐, ๒-๔) อย่างไรก็ตาม แมจ้ ะมกี ารลงทะเบยี นและด�ำ เนนิ การจดั สวสั ดกิ ารใหก้ บั เดก็ แรกคลอดในครอบครวั ทย่ี ากจน แตล่ กั ษณะของการจดั สวสั ดกิ ารดงั กลา่ วเปน็ การสงเคราะหแ์ ละยงั ไมม่ กี ารตดิ ตามผลการใช้ งบประมาณเพอ่ื ประเมนิ ประสทิ ธภิ าพของการด�ำ เนนิ โครงการ นอกจากน ้ี หากพจิ ารณาในรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ พบว่า มีบทบัญญัติการคุ้มครองสิทธิของกลุ่มคนไว้หลายมาตรา อาทิ มาตรา ๒๗ ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน มาตรา ๕๔ กำ�หนดให้รัฐต้องดำ�เนินการให้เด็กทุกคน ได้รับการศึกษาเป็นเวลาสิบสองปี ต้ังแต่ก่อนวัยเรียนจนจบการศึกษาภาคบังคับอย่างมี คณุ ภาพโดยไมเ่ กบ็ คา่ ใชจ้ า่ ย และมาตรา ๗๑ รฐั พงึ ใหค้ วามชว่ ยเหลอื เดก็ เยาวชน สตรี 102
103 ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้ยากไร้ และผู้ด้อยโอกาส ให้สามารถดำ�รงชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ และคุ้มครองป้องกันมิให้บุคคลดังกล่าวถูกใช้ความรุนแรงหรือปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม รวมตลอดท้ังให้การบำ�บัด ฟ้ืนฟูและเยียวยาผู้ถูกกระทำ�การดังกล่าว ในการจัดสรร งบประมาณ รฐั พงึ ค�ำ นงึ ถงึ ความจ�ำ เปน็ และความตอ้ งการทแ่ี ตกตา่ งกนั ของเพศ วยั และ สภาพของบุคคล ซ่ึงแนวนโยบายพ้ืนฐานแห่งรัฐดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพ่ือให้เด็กและ เยาวชนเข้าถึงสิทธิและมีระบบการจัดสวัสดิการท่ีเหมาะสม ซ่ึงหลังจากการประกาศใช้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ปี ๒๕๔๐ เป็นต้นมา สถานการณ์การ “เข้าถึง” สิทธิ พน้ื ฐานส�ำ หรบั เดก็ เยาวชน ผสู้ งู อายุ และผพู้ กิ าร ในกลมุ่ ทม่ี รี ายไดน้ อ้ ยดขี น้ึ มาก บทความวิชาน้มี ีวัตถุประสงค์เพ่อื วิเคราะห์สถานการณ์การจัดสวัสดิการสังคม สำ�หรับเด็กและเยาวชน และนำ�เสนอแนวทางการจัดสวัสดิการสังคมท่ีเหมาะสม เพอ่ื ลดความเหลอ่ื มล�ำ้ ในโอกาสและการเขา้ ถงึ ส�ำ หรบั เดก็ และเยาวชน โดยมรี ายละเอยี ด ดงั น้ี รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทยและกฎหมายทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั เดก็ และเยาวชน ๑. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ มีบทบัญญัติ การคมุ้ ครองสทิ ธขิ องประชาชนไวห้ ลายมาตรา ดงั น้ี มาตรา ๒๗ ชายและหญงิ มสี ทิ ธเิ ทา่ เทยี มกนั มาตรา ๕๔ รัฐต้องดำ�เนินการให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษาเป็นเวลา สบิ สองปี ตง้ั แตก่ อ่ นวยั เรยี นจนจบการศกึ ษาภาคบงั คบั อยา่ งมคี ณุ ภาพโดยไมเ่ กบ็ คา่ ใชจ้ า่ ย มาตรา ๗๑ รัฐพึงให้ความช่วยเหลือเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพกิ าร ผยู้ ากไร้ และผดู้ อ้ ยโอกาส ใหส้ ามารถด�ำ รงชวี ติ ไดอ้ ยา่ งมคี ณุ ภาพ และคมุ้ ครอง ป้องกันมิให้บุคคลดังกล่าวถูกใช้ความรุนแรงหรือปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม รวมตลอด ท้ังให้การบำ�บัด ฟ้ืนฟูและเยียวยาผู้ถูกกระทำ�การดังกล่าว ในการจัดสรรงบประมาณ รฐั พงึ ค�ำ นงึ ถงึ ความจ�ำ เปน็ และความตอ้ งการทแ่ี ตกตา่ งกนั ของเพศ วยั และสภาพของบคุ คล
๒. อนสุ ญั ญาวา่ ดว้ ยสทิ ธเิ ดก็ อนสุ ญั ญาวา่ ดว้ ยสทิ ธเิ ดก็ (Convention on the Rights of the Child) ซง่ึ เปน็ กฎหมายระหวา่ งประเทศทไ่ี ดก้ �ำ หนดสทิ ธพิ น้ื ฐานของเดก็ ไว้ ๔ ประการ คอื (๑) สิทธิท่จี ะมีชีวิตรอด เป็นสิทธิท่จี ะได้รับการเล้ยี งดูท้งั ทางร่างกาย จิตใจ ตลอดจนท่อี ย่อู าศัยให้เกิดความปลอดภัย และต้องได้รับการดูแลด้านสุขภาพจากบริการ ทางการแพทย์ (๒) สทิ ธทิ จ่ี ะไดร้ บั การพฒั นา เดก็ ทกุ คนตอ้ งไดร้ บั สทิ ธริ บั การศกึ ษาทด่ี ี ไดร้ บั โภชนาการทเ่ี หมาะสม (๓) สทิ ธทิ จ่ี ะไดร้ บั ความคมุ้ ครอง เปน็ สทิ ธทิ เ่ี ดก็ ทกุ คนจะไดร้ บั ความคมุ้ ครอง ใหร้ อดพน้ จากการทารณุ ทกุ รปู แบบ เชน่ การท�ำ รา้ ย การน�ำ ไปขาย ใชแ้ รงงานเดก็ หรอื แสวงหาประโยชนม์ ชิ อบจากเดก็ (๔) สทิ ธทิ ใ่ี นการมสี ว่ นรว่ ม มสี ทิ ธทิ จ่ี ะแสดงออกและแสดงความคดิ เหน็ ต่อสังคมในเร่ืองท่ีมีผลกระทบกับเด็ก กฎหมายสิทธิเด็กดังกล่าวปัจจุบันหลายประเทศ ไดย้ อมรบั และน�ำ มาอนวุ ตั บิ ญั ญตั เิ ปน็ กฎหมายภายในของแตล่ ะประเทศสมาชกิ เปน็ จำ�นวนมาก และประเทศไทยก็รับหลักการดังกล่าวมาบัญญัติเป็นกฎหมายภายในช่อื ว่า พระราชบัญญัติ คุ้มครองเด็ก พ.ศ. ๒๕๔๖ ได้บัญญัติหลักเกณฑ์ในการสงเคราะห์คุ้มครองสวัสดิภาพ และปอ้ งกนั การละเมดิ สทิ ธเิ ดก็ ไวห้ ลายประการ ครอบคลมุ สทิ ธเิ ดก็ ตามอนสุ ญั ญาวา่ ดว้ ยสทิ ธเิ ดก็ ขา้ งตน้ โดยสรปุ ประเดน็ ส�ำ คญั ดงั น้ี คณะกรรมการคุ้มครองเด็ก กฎหมายกำ�หนดให้มีคณะกรรมการ ทำ�หน้าท่ีดำ�เนินการและให้คำ�ปรึกษาแก่หน่วยงานท่ีเก่ียวข้องในเร่ืองการสงเคราะห์ คมุ้ ครองสวสั ดภิ าพ และสง่ เสรมิ ความประพฤตเิ ดก็ เพอ่ื ด�ำ เนนิ การใหก้ ารคมุ้ ครองสทิ ธเิ ดก็ เกดิ เปน็ รปู ธรรมและมปี ระสทิ ธภิ าพอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง การปกปอ้ งคมุ้ ครองเดก็ กฎหมายไดก้ �ำ หนดหนา้ ทข่ี องผปู้ กครองและ บุคคลผู้เก่ียวข้องให้ต้องปฏิบัติต่อเด็กท่ีเหมาะสมไว้อย่างชัดเจน และผู้ฝ่าฝืนย่อมมีโทษ ทง้ั ทางปกครองและทางอาญา เชน่ ผปู้ กครอง กฎหมายก�ำ หนดหนา้ ทต่ี อ้ งใหก้ ารอปุ การะ เล้ียงดู อบรมส่ังสอน และพัฒนาเด็กท่ีอยู่ในความปกครองดูแลของตนตามสมควร 104
105 แก่ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมแห่งท้องถ่ิน และต้องคุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก ท่อี ย่ใู นความปกครองดูแลของตนมิให้ตกอย่ใู นภาวะอันน่าจะเกิดอันตรายแก่ร่างกายหรือ จติ ใจ (ณฏั ฐ์ ตมุ้ ภ,ู่ ๒๕๕๓) ๓. พระราชบญั ญตั สิ ง่ เสรมิ การจดั สวสั ดกิ ารสงั คม พ.ศ. ๒๕๔๖ ธนาชยั สนุ ทรอนนั ตชยั (๒๕๕๙, น. ๕๓-๕๕) ไดส้ รปุ สาระส�ำ คญั ของพระราช บญั ญตั สิ ง่ เสรมิ การจดั สวสั ดกิ ารสงั คม พ.ศ. ๒๕๔๖ และทแ่ี กไ้ ขเพม่ิ เตมิ ไวว้ า่ เปน็ กฎหมาย แม่บทในการจัดสวัสดิการสังคมท้ังในส่วนของภาครัฐและภาคเอกชนในประเทศไทย มีเจตนารมณ์ในการส่งเสริมและสนับสนุนให้บุคคลครอบครัว ชุมชน องค์กรปกครอง สว่ นทอ้ งถน่ิ และองคก์ รอน่ื ไดเ้ ขา้ มามสี ว่ นรว่ มในการจดั สวสั ดกิ ารสงั คม โดยมงุ่ เนน้ ใหเ้ กดิ ประโยชนใ์ นการเสรมิ สรา้ งความมน่ั คงทางสงั คมใหเ้ ปน็ ไปอยา่ งทว่ั ถงึ เหมาะสม และเปน็ ธรรม พระราชบญั ญตั ฉิ บบั นไ้ี ดใ้ หน้ ยิ ามความหมายของ “สวสั ดกิ ารสงั คม” วา่ หมายถงึ “ระบบ การจดั บรกิ ารทางสงั คมซง่ึ เกย่ี วกบั การปอ้ งกนั การแกไ้ ขปญั หา การพฒั นา และการสง่ เสรมิ ความมน่ั คงทางสงั คม เพอ่ื ตอบสนองความจ�ำ เปน็ ขน้ั พน้ื ฐานของประชาชน ใหม้ คี ณุ ภาพ ชีวิตท่ีดีและพ่ึงตนเองได้อย่างท่ัวถึง เหมาะสม เป็นธรรม และให้เป็นไปตามมาตรฐาน ทง้ั ทางดา้ นการศกึ ษาสขุ ภาพอนามยั ทอ่ี ยอู่ าศยั การท�ำ งานและการมรี ายได้ นนั ทนาการ กระบวนการยุติธรรม และบริการทางสังคมท่ัวไป โดยคำ�นึงถึงศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิท่ีประชาชนจะต้องได้รับ และการมีส่วนร่วมในการจัดสวัสดิการสังคมทุกระดับ” ภายใต้นิยามความหมายดังกล่าว มีแนวคิดพ้ืนฐานสำ�คัญท่ีอยู่เบ้ืองหลังนิยามการจัด สวสั ดกิ ารสงั คมขา้ งตน้ ๔ แนวคดิ ดงั น้ี ๓.๑ แนวคิดความต้องการของมนุษย์ท่ีเน้นการตอบสนองความต้องการ จำ�เป็นข้ันพ้ืนฐานของมนุษย์ผ่านทางโครงการ/บริการ/รูปแบบการจัดสวัสดิการกับ กลุ่มเป้าหมายทางสังคม มีการกำ�หนดขอบเขตของบริการทางสังคมกับการจัดสวัสดิการ ขน้ั พน้ื ฐานทม่ี งุ่ สนองความตอ้ งการของประชาชนผใู้ ชบ้ รกิ ารโดยเฉพาะดา้ นปจั จยั ส ่ี ไดแ้ ก่ อาหาร เคร่อื งน่งุ ห่มยารักษาโรค และท่อี ย่อู าศัยท่คี ำ�นึงถึงความต้องการของแต่ละกล่มุ เป้าหมายด้วย เชน่ เดก็ ผสู้ งู อายุ คนพกิ าร เปน็ ตน้
๓.๒ แนวคดิ สทิ ธมิ นษุ ยชนเปน็ การพจิ ารณาสทิ ธติ ามธรรมชาตทิ ต่ี ดิ ตวั มนษุ ย์ มาตง้ั แตก่ �ำ เนดิ มนษุ ยท์ กุ คนมคี ณุ คา่ ในฐานะความเปน็ มนษุ ย์ หรอื ทเ่ี รยี กกนั วา่ มศี กั ดศ์ิ รี ความเปน็ มนษุ ย์ แมม้ นษุ ยจ์ ะมคี วามแตกตา่ งกนั กต็ ามแตท่ กุ คนมคี า่ เหมอื นกนั สทิ ธมิ นษุ ยชน มีลกั ษณะทเ่ี ปน็ สากล ไรพ้ รมแดน และไมส่ ามารถถา่ ยโอนใหแ้ กก่ ันได้ โดยต้องคำ�นงึ ถงึ ความเสมอภาคและห้ามการเลือกปฏิบัติ ตลอดจนการมีส่วนร่วมของมนุษย์และการเป็น ส่วนหน่ึงของสิทธิน้ัน ดังน้ันการนำ�แนวคิดสิทธิมนุษยชนมาใช้ในการจัดสวัสดิการสังคม จงึ เปน็ การสง่ เสรมิ ใหก้ ารด�ำ เนนิ งานดา้ นสวสั ดกิ ารสงั คมนน้ั ตอ้ งค�ำ นงึ และไปใหถ้ งึ กลมุ่ เปา้ หมาย ทกุ กลมุ่ ๓.๓ แนวคิดความเป็นธรรมในสังคมเป็นการพิจารณาความเท่าเทียมและ การจดั สรรสวสั ดกิ ารสงั คมโดยไมเ่ ลอื กปฏบิ ตั ิ ลดอคติ ทง้ั นค้ี วรมกี ารพจิ ารณาความเสมอภาค และความเปน็ ธรรมในสงั คมควบคกู่ นั โดยความเสมอภาค คอื การปฏบิ ตั อิ ยา่ งเทา่ เทยี มกนั โดยมไิ ดค้ �ำ นงึ ถงึ ขอ้ แตกตา่ งใด ๆ เชน่ บคุ คลทกุ คนจะตอ้ งเสยี ภาษอี ยา่ งเทา่ เทยี มกนั หมด โดยมติ อ้ งค�ำ นงึ ถงึ รายไดข้ องบคุ คลนน้ั หรอื วา่ ทกุ คนจะตอ้ งไดร้ บั สทิ ธเิ รยี กรอ้ งในการไดร้ บั ความสงเคราะหอ์ ยา่ งเทา่ เทยี มกนั และพจิ ารณาความเปน็ ธรรมในสงั คม คอื การพจิ ารณา ถึงความแตกต่างของแต่ละบุคคลก่อน ซ่ึงถ้าหากบุคคลแต่ละคนมีความแตกต่างกันแล้ว การจัดสรรทรัพยากรหรือการได้รับความช่วยเหลือย่อมแตกต่างกันไปด้วย เพ่อื ให้ทุกคน ไดร้ บั สทิ ธเิ สรภี าพอยา่ งเสมอภาคกนั อยา่ งทว่ั ถงึ (ธนาชยั สนุ ทรอนนั ตชยั , ๒๕๕๙) ๓.๔ แนวคิดความม่ันคงของมนุษย์ ซ่ึงได้นิยามความหมายความม่ันคง ของมนษุ ยไ์ ว้ ๒ มติ ิ ไดแ้ ก่ มติ แิ รก คอื ความปลอดภยั จากภาวะคกุ คาม (Freedom from Fear) ทเ่ี กดิ ขน้ึ อยา่ งตอ่ เนอ่ื งยาวนาน เชน่ ความหวิ โหย โรคภยั ไขเ้ จบ็ และการกดขป่ี ราบปราม และมิติท่ีสอง คือ การได้รับการปกป้องคุ้มครองจากอุบัติเหตุท่ีเกิดข้ึนต่อการดำ�รงชีวิต ไมว่ า่ จะเปน็ ทบ่ี า้ น สถานทท่ี �ำ งาน หรอื ในสงั คม ทง้ั นอ้ี งคป์ ระกอบของความมน่ั คงของมนษุ ย์ ประกอบด้วย ๗ องค์ประกอบ ได้แก่ ด้านความม่นั คงทางเศรษฐกิจ ด้านความม่นั คง ทางด้านอาหาร ด้านความม่ันคงทางด้านสุขภาพ ด้านความม่ันคงทางด้านส่ิงแวดล้อม ดา้ นความมน่ั คงสว่ นบคุ คล ดา้ นความมน่ั คงของชมุ ชน และดา้ นความมน่ั คงทางดา้ นการเมอื ง นอกจากน ้ี โครงการพฒั นาแหง่ สหประชาชาติ หรอื UNDP (United Nations Development 106
107 Programmed) ได้กำ�หนดกรอบแนวคิดการพัฒนามนุษย์โดยกำ�หนดดัชนี HDI (Human Development Index-HDI) เป็นดัชนีช้วี ัดระดับการพัฒนามนุษย์ในแต่ละประเทศซ่งึ พิจารณา องคป์ ระกอบใน ๓ ดา้ น ไดแ้ ก ่ ดา้ นสขุ ภาพ ซง่ึ ชว้ี ดั จากความยนื ยาวของการมชี วี ติ อยู่ ของคนในประเทศดว้ ยจ�ำ นวนปขี องอายคุ าดเฉลย่ี (Life expectancy) ดา้ นศกั ยภาพ ชว้ี ดั จากจ�ำ นวนปเี ฉลย่ี และจ�ำ นวนปคี าดหมายของการไดร้ บั การศกึ ษาของคนในประเทศ และ ด้านคุณภาพชีวิต ช้วี ัดจากมาตรฐานการครองชีพของคนในประเทศ ช้วี ัดเฉพาะมิติทาง เศรษฐกจิ โดยดจู ากระดบั รายไดป้ ระชาชาตติ อ่ หวั (GNI per capital) จากแนวคดิ พน้ื ฐาน เกย่ี วกบั สวสั ดกิ ารสงั คมทง้ั ๔ แนวคดิ จะเหน็ ถงึ ลกั ษณะของการจดั สวสั ดกิ ารสงั คมทม่ี ไิ ด้ มุ่งแต่เพียงตอบสนองต่อความต้องการข้ันพ้ืนฐานของมนุษย์และความต้องการของกลุ่ม เป้าหมายในสังคมเท่าน้นั แต่ยังคำ�นึงถึงหลักสิทธิมนุษยชนท่สี ะท้อนถึงส่งิ ท่มี นุษย์ทุกคน ควรจะไดร้ บั ในฐานะทเ่ี ปน็ มนษุ ยเ์ ฉกเชน่ เดยี วกนั และกา้ วไปสแู่ นวคดิ ทต่ี อ้ งสรา้ งสวสั ดกิ าร เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความเปน็ ธรรมแกค่ นในสงั คม โดยปราศจากอคต ิ การเลอื กปฏบิ ตั ิ เพอ่ื ใหเ้ กดิ การพฒั นามนษุ ยท์ ง้ั ในมติ ดิ า้ นสขุ ภาพ ดา้ นศกั ยภาพ และดา้ นคณุ ภาพชวี ติ ๔. เงนิ อดุ หนนุ เพอ่ื การเลย้ี งดบู ตุ ร: การคมุ้ ครองทางสงั คมในประเทศไทย การคุ้มครองทางสังคม คือ การคุ้มครองผู้คนจากความเส่ียงของการท่ี ไมส่ ามารถเขา้ ถงึ โอกาสในการพฒั นาดา้ นตา่ ง ๆ เพอ่ื ใชศ้ กั ยภาพของตวั เองไดอ้ ยา่ งเตม็ ท่ี อาทิ ความเจ็บป่วย ทุพพลภาพ การอย่ใู นช่วงท่ตี ้องพ่งึ พิงเป็นพิเศษ เช่น วัยเด็กเล็ก วยั เรยี น วยั ชรา จงึ จ�ำ เปน็ ทจ่ี ะตอ้ งมรี ะบบคมุ้ ครองทางสงั คมเพอ่ื ท�ำ ใหส้ ามารถเขา้ ถงึ โอกาส ต่าง ๆ ท่มี ีอย่อู ย่างเท่าเทียม และใช้โอกาสเหล่าน้นั อย่างมีประสิทธิภาพมากข้นึ หรือ “การคมุ้ ครองเพอ่ื การพฒั นา” ตง้ั แตป่ ี ๒๕๔๓ เปน็ ตน้ มา ประเทศไทยพยายามทจ่ี ะสรา้ ง ระบบสวสั ดกิ ารถว้ นหนา้ ส�ำ หรบั ทกุ คนและทกุ ชว่ งวยั เพราะสวสั ดกิ ารถว้ นหนา้ หมายถงึ “สิทธิ” ท่เี ท่าเทียมกันท่ที ุกคนจะได้รับการปกป้องค้มุ ครองและพัฒนา นโยบายบางส่วน ได้ช่วยเพ่มิ สวัสดิการให้กับแรงงานในระบบประกันสังคม ทำ�ให้เกิดสวัสดิการท่คี รอบคลุม ทุกช่วงอายุอย่างแท้จริง ขณะเดียวกันหลายนโยบายก็ขยายการคุ้มครองไปยังแรงงาน นอกระบบประกันสังคมท่ียังไม่เคยได้รับความคุ้มครองมาก่อน แต่ยังเหลือช่องว่าง
เพยี งหนง่ึ เดยี วทข่ี าดหายไปของระบบสวสั ดกิ าร นน่ั คอื บตุ รของแรงงานนอกระบบประกนั สงั คม ชว่ งอายุ ๐-๖ ปี โดยมจี �ำ นวนประมาณ ๔ ลา้ นคน หรอื รอ้ ยละ ๗๖ ของเดก็ วยั ดงั กลา่ ว ทย่ี งั ไมไ่ ดร้ บั การคมุ้ ครอง ดงั นน้ั เงนิ อดุ หนนุ เพอ่ื การเลย้ี งดบู ตุ ร คอื สวสั ดกิ ารทช่ี ว่ ยเตมิ ชอ่ งวา่ งทข่ี าดหายไปของระบบสวสั ดกิ ารถว้ นหนา้ ของไทย เงนิ อดุ หนนุ เพอ่ื การเลย้ี งดบู ตุ ร คือ รูปแบบสวัสดิการพ้ืนฐาน เพ่ืออุดหนุนค่าใช้จ่ายเพ่ือให้เด็กมีความเท่าเทียมในการเข้าถึง โอกาสท่ีจะพัฒนาศักยภาพของตนเองอย่างเต็มท่ี โดยเงินอุดหนุนฯ จะเป็นเงิน ทร่ี ฐั จา่ ยใหก้ บั ผเู้ ลย้ี งดเู ดก็ อยา่ งสม�ำ่ เสมอ เชน่ รายเดอื น โดยผรู้ บั ไมต่ อ้ งจา่ ยเงนิ สมทบ ปัจจุบันประเทศพัฒนาแล้วท้ังหลายล้วนจัดให้มีเงินอุดหนุนเพ่ือการเล้ียงดูบุตร รวมถึง ประเทศก�ำ ลงั พฒั นา อาทิ อนิ โดนเี ซยี จนี มองโกเลยี ศรลี งั กา บราซลิ อารเ์ จนตนิ า่ เมก็ ซโิ ก ชลิ ี แอฟรกิ าใต้ เคนยา มาลาวี สรปุ ดงั ตารางท่ี ๑ ตารางท่ี ๑ รปู แบบสวสั ดกิ ารในประเทศไทย ทม่ี า: ราณี หสั สรงั ส,ี (๒๕๕๗). ประเทศไทย คอื ผนู้ �ำ ของประเทศก�ำ ลงั พฒั นาในการมรี ะบบสวสั ดกิ ารถว้ นหนา้ เพ่ือคุ้มครองกลุ่มอายุและสภาวการณ์ท่ีมีความเส่ียง อาทิ รักษาฟรี (สำ�หรับผู้ป่วย) เบย้ี ยงั ชพี ผพู้ กิ าร (ส�ำ หรบั ผมู้ คี วามพกิ าร) เบย้ี ยงั ชพี ผสู้ งู อายุ (ส�ำ หรบั ผสู้ งู อาย)ุ และเรยี นฟรี ถว้ นหนา้ (ส�ำ หรบั วยั เรยี น) แตส่ �ำ หรบั เรอ่ื งเงนิ อดุ หนนุ เพอ่ื การเลย้ี งดบู ตุ รแลว้ ประเทศไทย กลับล้าหลังประเทศกำ�ลังพัฒนาหลายประเทศ ซ่ึงรวมไปถึงประเทศท่ีมีระดับรายได้ตำ�่ อย่างประเทศในทวปี แอฟริกา ดว้ ยเหตุดังกล่าวเครอื ขา่ ยองคก์ ารภาคประชาสงั คม อาทิ 108
109 มูลนิธิเพ่ือเด็กพิการ มูลนิธิเพ่ือการพัฒนาเด็ก มูลนิธิดวงประทีป สหทัยมูลนิธิ มูลนิธิ เด็กอ่อนในสลัม มูลนิธิเพ่ือการพัฒนาบุคลากร ร่วมกับคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย สถาบนั วจิ ยั เพอ่ื การพฒั นาประเทศ และองคก์ ารยนู เิ ซฟ ไดร้ ว่ มกนั ศกึ ษาชอ่ งวา่ งของระบบ สวสั ดกิ ารไทยในชว่ งอายุ ๐-๖ ปี และมคี วามเหน็ รว่ มกนั ทจ่ี ะผลกั ดนั ขอ้ เสนอ “เงนิ อดุ หนนุ เพอ่ื การเลย้ี งดบู ตุ ร” ส�ำ หรบั เดก็ อายุ ๐-๖ ปี ปจั จบุ นั มเี ดก็ เลก็ ในชว่ งอายุ ๐-๖ ปี เพยี ง ๑.๓ ลา้ นคน (รอ้ ยละ ๒๔.๓) ทไ่ี ดร้ บั การคมุ้ ครองในรปู เงนิ สงเคราะหบ์ ตุ รจากระบบประกนั สงั คม ขณะทเ่ี ดก็ ในชว่ งวยั เดยี วกนั อกี กวา่ ๔ ลา้ นคน ไมไ่ ดร้ บั การคมุ้ ครอง โดยเปน็ บตุ ร ของแรงงานทไ่ี มอ่ ยใู่ นระบบประกนั สงั คมซง่ึ มสี ภาวะทไ่ี มม่ น่ั คงทางรายได้ อาทิ เกษตรกร แรงงานรับจ้างช่ัวคราว นอกจากน้ีในส่วนของภาคประชาสังคมหารือและเห็นร่วมกันว่า เงนิ อดุ หนนุ ฯ ควรเทา่ กบั อตั ราการคมุ้ ครองลา่ สดุ ทม่ี กี ารปรบั ใช ้ นน่ั คอื เบย้ี ยงั ชพี ผสู้ งู อายุ ขน้ั ต�ำ่ ท่ี ๖๐๐ บาท/คน/เดอื น โดยมกี ารใหเ้ งนิ ๒ แนวทาง ๑. ให้ ๖๐๐ บาทแกเ่ ดก็ ๐-๖ ปี ทง้ั หมด ทง้ั บตุ รของแรงงานในระบบประกนั สงั คมและนอกระบบประกนั สงั คม ๒. ให้ ๖๐๐ บาท สำ�หรับเด็ก ๐-๖ ปีท่ีเป็นบุตรของแรงงานนอกระบบประกันสังคม และให้ ๒๐๐ บาท ส�ำ หรบั บตุ รของแรงงานในระบบประกนั สงั คมทไ่ี ดร้ บั เงนิ สงเคราะหบ์ ตุ รเดอื นละ ๔๐๐ บาท (ราณี หสั สรงั ส,ี ๒๕๕๗) บทวเิ คราะห์ จากการทบทวนวรรณกรรมขา้ งตน้ พบว่า การจัดสวัสดกิ ารสังคมส�ำ หรับเด็ก และเยาวชนยังประสบปัญหาด้านกลไกหรือองค์กรบริหารจัดการสิทธิของเด็กและกองทุน ส�ำ หรบั การจดั สวสั ดกิ ารสงั คมส�ำ หรบั เดก็ และเยาวชน โดยมรี ายละเอยี ด ดงั น้ี ๑. ตามพระราชบญั ญตั คิ มุ้ ครองเดก็ พ.ศ. ๒๕๔๖ ไดใ้ หค้ วามหมายของ “เดก็ ” หมายความว่า บุคคลซ่ึงมีอายุตำ่�กว่าสิบแปดปีบริบูรณ์ แต่ไม่รวมถึงผู้ท่ีบรรลุนิติภาวะ ด้วยการสมรส ในขณะท่ีพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดี เยาวชนและครอบครวั พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๔ ในพระราชบญั ญตั นิ ้ี “เดก็ ” หมายความวา่ บคุ คลอายยุ งั ไมเ่ กนิ สบิ หา้ ปบี รบิ รู ณ์ และ “เยาวชน” หมายความวา่ บคุ คลอายเุ กนิ สบิ หา้ ปี บรบิ รู ณ์ แตย่ งั ไมถ่ งึ สบิ แปดปบี รบิ รู ณ์ ซง่ึ จากการศกึ ษางานของสวุ ชิ ยั โกศยั ยะวฒั น์ (๒๕๕๑)
ไดก้ ลา่ วถงึ การใหค้ วามส�ำ คญั กบั เดก็ เรม่ิ ตน้ เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๔๙๘ เปน็ ปที ป่ี ระเทศตา่ ง ๆ ทว่ั โลกเรม่ิ จดั งานเฉลมิ ฉลองวนั เดก็ ขน้ึ ในประเทศของตนตามมตขิ ององคก์ ารสหประชาชาติ ท่นี ำ�ปัญหาเร่อื งเดก็ มาอภปิ รายและยกร่างเป็นปฏิญญาว่าด้วยสทิ ธิเด็กข้นึ ทำ�ใหป้ ระเทศ ตา่ ง ๆ ทว่ั โลกตน่ื ตวั ใหค้ วามส�ำ คญั กบั เดก็ และมมี ตเิ หน็ ชอบตรงกนั วา่ ตอ้ งใหค้ วามส�ำ คญั กบั เดก็ ในประเทศของตนมากขน้ึ กวา่ เดมิ ประเทศทเ่ี ปน็ สมาชกิ และประเทศอน่ื จงึ ไดน้ ำ�ไป ปฏบิ ตั อิ ยา่ งกวา้ งขวางทว่ั โลก กวา่ ๔๐ ประเทศไดจ้ ดั งานฉลองวนั เดก็ แหง่ ชาตใิ นประเทศ ของตนขน้ึ อยา่ งเป็นทางการ โดยในปนี น้ั กำ�หนดใหว้ ันจันทรส์ ัปดาหแ์ รกของเดอื นตลุ าคม เปน็ วนั เดก็ แหง่ ชาติ การจดั งานวนั เดก็ แหง่ ชาตใิ นแตล่ ะประเทศขณะนน้ั มรี ปู แบบคลา้ ยกนั โดยยึดหลักการให้ความสำ�คัญแก่เด็กเป็นสำ�คัญ อย่างไรก็ตาม แม้รัฐบาลมีนโยบาย แผนและเป้าหมายท่ีชัดเจนในการพัฒนาเด็กและเยาวชนดังกล่าวมาแล้ว แต่ข้อควร พิจารณาอีกประการหน่ึงจากงานวิจัย พบว่า โครงสร้างของเด็กไทยเร่ิมเปล่ียนไป คือ จำ�นวนเด็กลดลงและมีแนวโน้มลดลงมากข้ึน เพราะอัตราการเพ่ิมของประชากรลดลง โดยรวม คนอยเู่ ปน็ โสดหรอื แตง่ งานแล้วไมม่ บี ตุ รหรืออย่กู ินกนั โดยไม่แตง่ งานจงึ ไมม่ บี ุตร มีจำ�นวนเพ่ิมมากข้ึนในสังคมไทย ผู้ท่ีสมรสแล้วส่วนมากมีบุตรเพียง ๑-๒ คน เท่าน้ัน นอกจากน้ี กลุ่มเด็กและเยาวชนถือว่าเป็นกลุ่มท่ีความเปราะบางและอาจถูกคุกคาม ดว้ ยวธิ กี ารตา่ ง ๆ จากสงั คม โดยมสี าเหตขุ องความเปราะบางทางดา้ นจติ ใจ เชน่ ถกู ทอดทง้ิ พลดั พราก ขาดการเลย้ี งดู ถกู เอารดั เอาเปรยี บทางเพศ มคี วามรสู้ กึ โดดเดย่ี ว ถกู กกั ขงั ใช้แรงงาน และเป็นเหย่ือความรุนแรงของครอบครัว เป็นต้น ซ่ึงอมรวิชช์ นาครทรรพ (๒๕๕๗) ไดจ้ �ำ แนกเดก็ ดอ้ ยโอกาสและมคี วามเปราะบางเปน็ ๔ กลมุ่ คอื กลมุ่ ทเ่ี ปราะบาง ทางเศรษฐกิจ เช่น ประสบปัญหาครอบครัว ครอบครัวยากจน ต้องช่วยพ่อแม่ทำ�งาน กลมุ่ เดก็ ทเ่ี ปราะบางทางสงั คม เชน่ กลมุ่ แมว่ ยั รนุ่ กลมุ่ เดก็ ทต่ี ดิ ยาเสพตดิ กลมุ่ ทม่ี คี วาม พิเศษในการเรียนรู้ เช่น บกพร่องทางการเรียนรู้ และกลุ่มท่ีมีปัญหาเฉพาะตัว เช่น ไรส้ ญั ชาต ิ และนอกจากปญั หาการเขา้ ไมถ่ งึ ระบบการศกึ ษาแลว้ ยงั มปี ญั หาความเสย่ี งสงู ทเ่ี ดก็ จะออกจากการศกึ ษากลางคนั ดว้ ยสถานการณต์ า่ ง ๆ สะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ ความเปราะบาง และการขาดโอกาสและการเข้าถึงสวัสดิการท่ีจำ�เป็นสำ�หรับเด็กและเยาวชนท้ังในด้าน สขุ ภาพ การด�ำ รงชวี ติ และความปลอดภยั ในชวี ติ 110
111 ๒. องคก์ รบรหิ ารจดั การยงั ไมม่ คี วามเหมาะสม เนอ่ื งจากประธานคณะกรรมการ คุ้มครองเด็กยังไม่สามารถทราบถึงปัญหาและมีเวลาอย่างเต็มท่ีในการแก้ไขปัญหา เกย่ี วกบั เดก็ สอดคลอ้ งกบั วจิ ติ รา (ฟงุ้ ลดั ดา) วเิ ชยี รชม (๒๕๕๙, น. ๙๐๖) ทไ่ี ดท้ �ำ การวจิ ยั เร่ือง การจัดสวัสดิการสังคมสำ�หรับเด็ก พบว่า การจัดสวัสดิการสำ�หรับเด็กยังขาด การมสี ว่ นรว่ มของเดก็ ในองคป์ ระกอบขององคก์ ร สว่ นเรอ่ื งสทิ ธขิ องเดก็ ยงั ขาดบทบญั ญตั ิ แห่งกฎหมายกำ�หนดหลักเกณฑ์และวิธีการท่ชี ัดเจนในการให้บริการเพ่ือให้เด็กเข้าถึงสิทธิ ได้อย่างแท้จริง รวมท้ังการจัดสรรเงินงบประมาณยังไม่เพียงพอสำ�หรับเป็นค่าใช้จ่าย ในการจดั สวสั ดกิ ารสงั คมส�ำ หรบั เดก็ ๓. สวัสดิการของไทยมีข้อจำ�กัดด้านบทบัญญัติเชิงบริหารจัดการ และ เม่ือพิจารณาเปรียบเทียบกฎหมายไทยกับกฎหมายต่างประเทศใน ๙ ประเด็น ได้แก่ เจตนารมณข์ องกฎหมายสวสั ดกิ ารสงั คม โครงสรา้ งคณะกรรมการสวสั ดกิ ารสงั คมในระดบั ชาติ และระดับท้องถ่ิน อำ�นาจหน้าท่ีคณะกรรมการสวัสดิการสังคมในระดับชาติและระดับ ทอ้ งถน่ิ หนว่ ยงานและอ�ำ นาจหนา้ ทด่ี า้ นการปฏบิ ตั ขิ องรฐั การก�ำ หนดกลมุ่ เปา้ หมายผใู้ ช้ บรกิ าร การบรหิ ารกองทนุ ดา้ นสวสั ดกิ ารสงั คม การตรวจสอบการท�ำ งานของคณะกรรมการ สวัสดิการสังคม การมีส่วนร่วมของประชาชนในกฎหมายสวัสดิการสังคม ควรปรับปรุง ทง้ั ๙ ประเดน็ (มาดี ลม่ิ สกลุ , ๒๕๕๘, น. ๒๘) แนวทางการจดั การสวสั ดกิ ารสงั คมส�ำ หรบั เดก็ ทเ่ี หมาะสมในอนาคต ๑. ควรมกี ารแกไ้ ของคป์ ระกอบและบทบาทของประธานกรรมการและคณะกรรมการ ท่มี ีอำ�นาจหน้าท่ดี ูแลบริหารจัดการโดยให้ความสำ�คัญกับการค้มุ ครอง การส่งเสริม และ การพฒั นาคุณภาพชีวติ ของเด็ก กำ�หนดหลักเกณฑแ์ ละวธิ ีการจดั สวัสดิการสังคมดงั กลา่ ว อยา่ งชดั เจน เพอ่ื ใหเ้ ดก็ สามารถเขา้ ถงึ สทิ ธแิ ละใชส้ ทิ ธไิ ดอ้ ยา่ งแทจ้ รงิ โดยมเี งนิ งบประมาณ อย่างเพียงพอสำ�หรับเป็นค่าใช้จ่ายในการดำ�เนินการด้วย เพ่อื ให้เด็กได้รับการเล้ยี งดูอย่างดี เหมาะสม เจริญเติบโตเป็นทรัพยากรบุคคลท่ีมีคุณภาพของสังคม มีสุขภาพอนามัย ท่ีแข็งแรงท้ังทางร่างกายและจิตใจ สามารถดำ�เนินชีวิตโดยพ่ึงพาตนเองได้ ไม่ก่อให้เกิด ความเดือดร้อนต่อบุคคลอ่ืน เป็นพลังสำ�คัญของประเทศจากการได้รับการปลูกฝังให้มี
จิตสาธารณะ เพ่ือพัฒนาสังคมให้เจริญก้าวหน้าท้ังทางเศรษฐกิจและสังคมในระดับ ประเทศและในประชาคมอาเซียน โดยคำ�นึงถึงการมีส่วนร่วมของเด็ก หน่วยงาน หรือ องคก์ รทเ่ี กย่ี วขอ้ ง ทง้ั ภาคเอกชนและภาครฐั โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ ซ่ึงมีหน้าท่ีโดยตรงในการให้บริการสาธารณะแก่เด็กและมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเด็ก อันจะทำ�ให้รู้และเข้าใจปัญหาของเด็ก ซ่ึงจะทำ�ให้การบริหารจัดการและการดำ�เนินการ ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กเป็นไปในทิศทางท่สี อดคล้องกับความจำ�เป็นและ ความตอ้ งการของเดก็ ไดอ้ ยา่ งแทจ้ รงิ โดยจะสง่ ผลใหส้ ามารถท�ำ ใหม้ กี ารจดั สวสั ดกิ ารสงั คม ด้วยการคุ้มครอง ส่งเสริม และพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพ่ือให้เด็กได้รับการเล้ียงดูด้วยความรักและได้รับความอบอุ่น อันจะทำ�ให้เด็กมีคุณภาพ ชีวิตท่ีดีข้ึน สามารถเจริญเติบโตเป็นทรัพยากรบุคคลท่ีมีคุณค่าของสังคมไทยต่อไป (วจิ ติ รา (ฟงุ้ ลดั ดา) วเิ ชยี รชม, ๒๕๕๙, น. ๙๐๖) ๒. ควรตรากฎหมายกลางว่าด้วยการบริหารสวัสดิการสังคมฉบับใหม่ท่กี �ำ หนด ใหม้ กี ารบรหิ ารจดั การสวสั ดกิ ารสงั คมตง้ั แตร่ ะดบั ชาตสิ รู่ ะดบั ทอ้ งถน่ิ โดยจดั ตง้ั คณะกรรมการ สวัสดิการสังคมแห่งชาติให้มีฐานะเป็นนิติบุคคลซ่ึงไม่เป็นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ แต่อยู่ในการกำ�กับดูแลของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความม่ันคงของมนุษย์ และ ควรมีคณะกรรมการระดับท้องถ่นิ เพ่อื กระจายอำ�นาจ และลดความซำ�้ ซ้อนในการปฏิบัติงาน รวมท้ังควรกำ�หนดบทลงโทษสำ�หรับการกระทำ�ท่ีไม่สุจริตในการปฏิบัติงานด้านสวัสดิการ สงั คมดว้ ย (มาดี ลม่ิ สกลุ , ๒๕๕๘, น. ๒๘) ๓. ควรกำ�หนดสิทธิและโอกาสในการเข้าถึงการจัดสวัสดิการของรัฐตาม แนวคดิ ความเปน็ ธรรมทใ่ี หค้ วามส�ำ คญั กบั สทิ ธพิ ลเมอื ง (Civil Right) การไดร้ บั สทิ ธพิ น้ื ฐาน (Basic Rights) การคมุ้ ครอง (Protection) โอกาส (Opportunities) และสทิ ธปิ ระโยชน์ ทางสงั คม (Social Benefits) ควรหลกี เลย่ี ง ๓.๑) อคติ (Prejudice) คอื ความเชอ่ื หรอื ทศั นคตเิ ชงิ ลบ ท่ไี ม่ชอบต่อบุคคล หรือกล่มุ อันเป็นมายาคติ และทำ�ให้เกิดแนวคิดท่ไี ม่ถูกต้องต่อเร่อื งใด เรอ่ื งหนง่ึ ๓.๒) การเลอื กปฏบิ ตั ิ (Discrimination) คอื การกระท�ำ ทป่ี ฏบิ ตั ติ อ่ ประชาชน อยา่ งแตกตา่ งกนั อนั เปน็ ผลมาจากความเชอ่ื ทม่ี อี คตติ อ่ เรอ่ื งนน้ั ๆ หากการเลอื กปฏบิ ตั ิ มีการขยายวงกว้างและพัฒนาไปสู่ระบบการเลือกปฏิบัติจะนำ�ไปสู่ “การกดข่ี” ๓.๓) การกดข่ี (Oppression) คอื การบบี บงั คบั และการใชอ้ �ำ นาจโดยไมม่ เี หตผุ ล 112
113 บทสรปุ จากสถานการณ์และกฎหมายท่เี ก่ยี วข้องข้างต้น พบว่า ประเทศไทยมีการจัด สวัสดิการสำ�หรับเด็กและเยาวชนแบบแยกส่วนตามพ้ืนท่ี และลักษณะของสวัสดิการ โดยลกั ษณะของการจดั สวสั ดกิ ารสงั คมทด่ี มี คิ วรมงุ่ เพยี งตอบสนองตอ่ ความตอ้ งการขน้ั พน้ื ฐาน ของมนุษย์และความต้องการของกลุ่มเป้าหมายในสังคมเท่าน้ัน แต่ควรคำ�นึงถึงหลัก สิทธิมนุษยชนท่ีสะท้อนถึงส่ิงท่ีมนุษย์ทุกคนควรจะได้รับในฐานะท่ีเป็นมนุษย์เป็นไปตาม แนวคิดท่ตี ้องสร้างสวัสดิการเพ่อื ให้เกิดความเป็นธรรมแก่คนในสังคม โดยปราศจากอคติ การเลอื กปฏบิ ตั ิ และการกดข่ี ซง่ึ การด�ำ เนนิ การจดั สวสั ดกิ ารตอ้ งอาศยั ความรว่ มมอื จาก ทุกภาคส่วนของประเทศท้งั ในระดับส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถ่นิ ในการร่วมกัน ดำ�เนินการแก้ไของค์ประกอบและบทบาทของประธานกรรมการและคณะกรรมการท่ีมี อ�ำ นาจหนา้ ทด่ี แู ลบรหิ ารจดั การสวสั ดกิ าร โดยใหค้ วามส�ำ คญั กบั การคมุ้ ครอง การสง่ เสรมิ และ การพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชน กำ�หนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดสวัสดิการ สังคมดังกล่าวอย่างชัดเจน เพ่ือให้เด็กและเยาวชนสามารถเข้าถึงสิทธิ มีโอกาสใช้สิทธิ ไดอ้ ยา่ งแทจ้ รงิ โดยมเี งนิ งบประมาณอยา่ งเพยี งพอ ทว่ั ถงึ เหมาะสม เปน็ ธรรม และการจดั สวสั ดกิ ารตา่ ง ๆ ใหเ้ ปน็ ไปตามมาตรฐานทง้ั ทางดา้ นการศกึ ษา สขุ ภาพอนามยั ทอ่ี ยอู่ าศยั การท�ำ งานและการมรี ายได้ นนั ทนาการ กระบวนการยตุ ธิ รรม และบรกิ ารทางสงั คมทว่ั ไป โดยค�ำ นงึ ถงึ ศกั ดศ์ิ รคี วามเปน็ มนษุ ย์
เอกสารอา้ งองิ จริ ะ บรุ คี �ำ . (ม.ป.ป.). ความเหลอ่ื มล�ำ้ ของการกระจายรายไดข้ องครวั เรอื นเกษตรชาวเขา ในเขตภาคเหนอื ตอนบน. ม.ป.ท. ณฏั ฐ์ ตมุ้ ภ.ู่ (๒๕๕๓). กฎหมายสทิ ธเิ ดก็ . คน้ เมอ่ื มถิ นุ ายน ๒๙, ๒๕๖๑ จาก http://www. thaihealth.or.th/node/18151 ธนาชยั สนุ ทรอนนั ตชยั . (๒๕๕๙). ความเทา่ เทยี ม ความเสมอภาค และความเปน็ ธรรม ทางสงั คม กบั การจดั สวสั ดกิ ารสงั คมของประเทศไทย. วารสารวชิ าการ คณะนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั หวั เฉยี วเฉลมิ พระเกยี รต.ิ ๗(๒): ๕๒-๖๕. ธร ปตี ดิ ล. (๒๕๖๐). พฒั นาการของระบบสวสั ดกิ ารในประเทศไทยจาก พ.ศ. ๒๔๗๕ ถงึ ๒๕๔๓: ขอ้ สงั เกตจากการศกึ ษาเปรยี บเทยี บทฤษฎกี บั ประสบการณ์ ของ ประเทศไทย. วารสารประวตั ศิ าสตร์ ธรรมศาสตร.์ ๔(๒): ๑๙๔-๒๖๘. มาดี ลม่ิ สกลุ . (๒๕๕๘). กฎหมายกลางวา่ ดว้ ยการจดั สวสั ดกิ ารสงั คมของประเทศไทย. วารสารสงั คมสงเคราะหศ์ าสตร.์ ๒๓(๑): ๒๘-๕๔. ราณี หสั สรงั ส.ี (๒๕๕๗). เงนิ อดุ หนนุ เพอ่ื การเลย้ี งดบู ตุ ร: เครอ่ื งมอื เพอ่ื สรา้ งความเปน็ ธรรม ในระบบสวสั ดกิ าร. เอกสารประกอบการประชมุ วชิ าการประจ�ำ ป ี ๒๕๕๗ สถาบนั วจิ ยั สงั คม จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . วรรณพงษ์ ดรุ งคเวโรจน.์ (๒๕๖๐). เครอ่ื งมอื ใหมใ่ นการวเิ คราะหค์ วามเหลอ่ื มล�ำ้ ของรายได:้ กรณศี กึ ษาประเทศไทย. วารสารเศรษฐศาสตรธ์ รรมศาสตร.์ ๓๕(๒): ๒๙-๔๘. วจิ ติ รา (ฟงุ้ ลดั ดา) วเิ ชยี รชม. (๒๕๕๙). การจดั สวสั ดกิ ารสงั คมส�ำ หรบั เดก็ . วารสารนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร.์ ๔๕(๔): ๙๐๖-๙๒๗. สมชยั จติ สชุ น. (๒๕๕๔). สรู่ ะบบสวสั ดกิ ารสงั คมถว้ นหนา้ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๖๐. กรงุ เทพฯ: ส�ำ นกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพ. สมชยั จติ สชุ น. (๒๕๕๘). รายงานการวจิ ยั ความเหลอ่ื มล�ำ้ ในสงั คมไทย: แนวโนม้ นโยบาย และแนวทางขบั เคลอ่ื นนโยบาย. กรงุ เทพฯ: สถาบนั วจิ ยั เพอ่ื การพฒั นา ประเทศไทย. สวุ ชิ ยั โกศยั ยะวฒั น.์ (๒๕๕๑). วนั เดก็ แหง่ ชาต:ิ พฒั นาการและความส�ำ คญั ตอ่ การพฒั นา ทรพั ยากรมนษุ ย.์ วารสารการศกึ ษาและพฒั นาสงั คม. ๔(๒): ๑-๑๘. 114
115 ส�ำ นกั งานคณะกรรมการพฒั นาการเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาต.ิ (๒๕๖๐). ดชั นคี วามกา้ วหนา้ ของคนปี ๒๕๖๐. กรงุ เทพฯ: ส�ำ นกั งานคณะกรรมการพฒั นาการเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาต.ิ . (๒๕๖๐). รายงาน การวเิ คราะหส์ ถานการณค์ วามยากจนและความเหลอ่ื มล�ำ้ ในประเทศไทย ปี ๒๕๕๙. กรงุ เทพฯ: ส�ำ นกั งานคณะกรรมการพฒั นาการเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาต.ิ อมรวชิ ช์ นาครทรรพ. (๒๕๕๗). ระบบการดแู ลเดก็ และเยาวชนขาดโอกาส. คน้ เมอ่ื มถิ นุ ายน ๓, ๒๕๖๑ จาก http://www.thaihealth.or.th/Content/24390-%E0 %B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0% B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B9%81%E0%B 8%A5%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B9 %81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B8% B2%E0%B8%A7%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%B 2%E0%B8%94%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%B2 %E0%B8%AA.html อารยะ ปรชี าเมตตา. (๒๕๕๘). พลวตั ความเหลอ่ื มล�ำ้ ทางรายไดภ้ ายใตส้ มมตฐิ านการเลอื ก กลมุ่ อตั ลกั ษณท์ างสงั คม. วารสารเศรษฐศาสตรป์ ระยกุ ต.์ ๒๒(๒): ๑-๒๔.
ณฐั พชั ร์ ศริ วิ ฒั น*์ บทน�ำ ในย ุคโล กาภ ิวัตน ์ ความเป็นโลก (Globalization) ซ่งึ เป็นโลกท่ไี ร้พรมแดน เดยี วกนั ท�ำ ใหเ้ กดิ กระแสเชอ่ื มโยงกนั ทางดา้ นขอ้ มลู ขา่ วสาร ความคดิ ธรุ กจิ การเงนิ การคา้ การบรกิ าร การเมอื งระบอบประชาธปิ ไตย สทิ ธมิ นษุ ยชน วฒั นธรรม สง่ิ แวดลอ้ ม และ จิตสำ�นึกท่มี ีต่อสังคมส่วนรวม ซ่งึ มีผลทำ�ให้การติดต่อสัมพันธ์กันระหว่างรัฐมีเพ่มิ สูงข้นึ กวา่ ในอดตี โดยเฉพาะหลงั ยคุ สงครามเยน็ (Post-cold war) การพง่ึ พาอาศยั กนั เปน็ ไป *นักศึกษาปริญญาเอก หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการเมือง คณะรัฐศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั รามค�ำ แหง 116
117 ในรูปแบบทางการค้าเป็นส่วนใหญ ่ (พงษ์ศานต ์ พันธุลาภ, ม.ป.ป., หน้า ๑๐) ประกอบกับ การก้าวสู่ยุคโลกาภิวัตน์ เป็นผลมาจากความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology) ท่ที ำ�ให้คนท่ัวโลกสามารถรับร้ขู ้อมูลข่าวสารได้ทันทีในเวลาท่ี ใกลเ้ คยี งกนั ท�ำ ใหโ้ ลกเลก็ ลงและแคบลงประดจุ เปน็ หมบู่ า้ นโลก (Global Village) ประเทศตา่ งๆ มกี ารเชอ่ื มโยงปน็ เครอื ขา่ ย มกี ารพง่ึ พาอาศยั กนั ในหลากหลายรปู แบบ เชน่ กรณกี ารรวม กล่มุ ประเทศท่อี ย่ใู นทวีปเดียวกัน อย่างกรณีของสหภาพยุโรป (EU) แถบทวีปเอเชียก็มี การรวมกลมุ่ ประเทศทอ่ี ยใู่ นภมู ภิ าคเดยี วกนั เชน่ เอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ หรอื เอเชยี อาคเนย์ เปน็ ตน้ ทง้ั นเ้ี พอ่ื เพม่ิ ศกั ยภาพทางการคา้ เปน็ พลงั ในการตอ่ รอง และสรา้ งความไดเ้ ปรยี บ ในการแขง่ ขนั ซง่ึ ในบทความนก้ี จ็ ะกลา่ วถงึ การรวมกลมุ่ ของประเทศในเอเชยี อาคเนยต์ อ่ ไป การนำ�เสนอบทความในหัวข้อ “เอเชียอาคเนย์: ความท้าทายและโอกาส ในกรอบความรว่ มมอื ของประเทศสมาชกิ อาเซยี น” น ้ี ผเู้ ขยี นขอน�ำ เสนอใน ๕ ประเดน็ คือ (๑) มาร้จู ักเอเชียอาคเนย์และประเทศสมาชิก (๒) ความหมายของอาเชียอาคเนย์ (๓) ทบทวนแนวคิดทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (๔) ประเด็นความท้าทาย และโอกาสของเอเชยี อาคเนย์ (๕) บทสรปุ วเิ คราะหแ์ ละความเหน็ ซง่ึ ในแตล่ ะประเดน็ มรี ายละเอยี ดโดยสงั เขป ดงั น้ี มารจู้ กั เอเชยี อาคเนยแ์ ละประเทศสมาชกิ ค�ำ วา่ เอเชยี อาคเนย์ (Southeast Asia) เปน็ ค�ำ ทเ่ี กดิ ขน้ึ เมอ่ื ปี ค.ศ. ๑๙๔๓ ภายหลังจากประเทศอังกฤษหรือสหราชอาณาจักรได้ประชุมร่วมกับสหรัฐอเมริกา ทค่ี วิ เบค (QUEBEC) แคนาดา ไดม้ กี ารจดั ตง้ั กองบญั ชาการเอเชยี อาคเนย์ (Southeast Asia Command: SEAC) ขน้ึ ทซ่ี ลี อน (CEYLON) (ศรลี งั กาปจั จบุ นั ) ทง้ั น ้ี เพอ่ื ใชเ้ ปน็ กองบญั ชาการทหารขององั กฤษในการตอ่ ตา้ นและปราบปรามการยึดครองเอเชียอาคเนย์ ของญป่ี นุ่ ในชว่ งปลายสงครามโลกครง้ั ท่ี ๒ จนี เรยี ก เอเชยี อาคเนยว์ า่ “นนั ยาง” (nanyang) หมายถงึ บรเิ วณทอ่ี ยทู่ างทะเลตอนใตข้ องจนี ค�ำ วา่ “SOUTHEAST ASIA” ในภาษาไทย เรยี กวา่ “เอเชยี อาคเนย”์ ตอ่ มานกั วชิ าการมคี วามเหน็ วา่ นา่ จะมคี �ำ ภาษาไทยโดยเฉพาะ จงึ ใชค้ �ำ วา่ “เอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต”้ ซง่ึ หมายถงึ “Southeast Asia” ลา่ สดุ ไมเคลิ ไรท์
(MICHAEL WRIGHT) ชาวองั กฤษเหน็ วา่ ค�ำ ทเ่ี หมาะสมทส่ี ดุ ในการเขา้ ใจเรอ่ื งราวของเอเชยี อาคเนยค์ อื “อษุ าคเนย”์ ดงั นน้ั ในภาษาไทย ค�ำ วา่ “SOUTHEAST ASIA” ในปจั จบุ นั มกี ารใช้ ๓ ค�ำ คอื เอเชยี อาคเนย์ เอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ และอษุ าคเนย์ (ธนาสฤษฎ์ิ สตะเวทนิ , ๒๕๕๙, หนา้ ๓-๔) ส�ำ หรบั ในบทความนผ้ี เู้ ขยี นขอใชค้ �ำ วา่ “เอเชยี อาคเนย”์ ตอ่ มาเมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๕๑๐ มกี ารจดั ตง้ั ประชาคมอาเซยี น ในชว่ งแรกมปี ระเทศ สมาชกิ เพยี ง ๕ ประเทศ คอื อนิ โดนเี ซยี มาเลเซยี ฟลิ ปิ ปนิ ส์ สงิ คโ์ ปร์ และประเทศไทย หลงั จากนน้ั กม็ บี รไู น ตอ่ มาในป ี พ.ศ. ๒๕๓๔ มปี ระเทศในภมู ภิ าคเพม่ิ อกี ๔ ประเทศ คอื เวยี ดนาม เมยี นมาร์ ลาว และกมั พชู า ท�ำ ใหอ้ าเซยี นมสี มาชกิ ทง้ั หมด ๑๐ ประเทศ ทง้ั น้ี การรวมกลมุ่ ประเทศสมาชกิ อาเซยี น มวี ตั ถปุ ระสงคส์ �ำ คญั ๗ ประการคอื (๑) สง่ เสรมิ ความเจรญิ เติบโตทางเศรษฐกิจ และความก้าวหน้าทางสังคมและวัฒนธรรม (๒) ส่งเสริมความมี เสถยี รภาพ สนั ตภิ าพและความมน่ั คงของภมู ภิ าค (๓) สง่ เสรมิ ความรว่ มมอื ทางเศรษฐกจิ สงั คม วฒั นธรรม วชิ าการ วทิ ยาศาสตร์ และดา้ นการบรกิ าร (๔) สง่ เสรมิ ความรว่ มมอื ซ่ึงกันและกันในการฝึกอบรมและวิจัย (๕) ส่งเสริมความร่วมมือในด้านเกษตรกรรม และอตุ สาหกรรม การคา้ การคมนาคม การสอ่ื สาร และการปรบั ปรงุ มาตรฐานการด�ำ รงชวี ติ (๖) สง่ เสรมิ การมหี ลกั สตู รการศกึ ษาเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ และ (๗) รว่ มมอื กบั องคก์ ร ระดบั ภมู ภิ าคและองคก์ รระหวา่ งประเทศ จากวตั ถปุ ระสงคด์ งั กลา่ ว จะเหน็ ไดว้ า่ อาเซยี น ม่งุ เน้นด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมเป็นหลัก แต่ในความจริงน้นั เป้าหมายหลัก ทไ่ี มไ่ ดป้ ระกาศคอื วตั ถปุ ระสงคท์ างการเมอื งของภมู ภิ าค ซง่ึ ไดแ้ กส่ งคราม เสถยี รภาพ และ ความม่ันคงของภูมิภาคด้วย ตัวอย่าง ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ เช่น ความร่วมมือ ดา้ นโภคภณั ฑพ์ น้ื ฐานโดยเฉพาะอาหารและพลงั งานความรว่ มมอื ดา้ นอตุ สาหกรรมความรว่ มมอื ทางการค้า และการจัดต้งั เขตการค้าเสรีอาเซียน เป็นต้น ต่อมาจากการประชุมสุดยอด อาเซยี น ครง้ั ท่ี ๒๗ ณ กรงุ กวั ลาลมั เปอร์ ประเทศมาเลเซยี เมอ่ื เดอื นพฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๕๕๘ ผนู้ �ำ ประเทศสมาชกิ กไ็ ดล้ งนามในปฏญิ ญาประกาศสถาปนาประชาคมอาเซยี น นบั วา่ เปน็ ความพยายามดา้ นบรู ณาการทด่ี ำ�เนนิ การมาโดยตลอด อกี ทง้ั ใหค้ วามเหน็ ชอบ กับผังความก้าวหน้าในอนาคตของอาเซียนในช่วง ๑๐ ปีต่อไป เพ่ือนำ�อาเซียน ไปสปู่ ระชาคมทเ่ี ปน็ ปกึ แผน่ ทางการเมอื งทบ่ี รู ณาการทางเศรษฐกจิ เพอ่ื ใหบ้ รรลเุ ปา้ หมาย 118
119 ตามเสาหลกั ทง้ั ๓ เสา คอื (๑) ประชาคมการเมอื งและความมน่ั คง (๒) ประชาคมเศรษฐกจิ อาเซียน และ (๓) ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ซ่ึงปัจจุบันประเทศสมาชิก อาเซียน ๑๐ ประเทศ ก็ได้บูรณาการพัฒนามาสู่การจัดต้ังประชาคมอาเซียนเม่ือปี พ.ศ. ๒๕๕๘ (ฐากรู พานชิ , ๒๕๖๐, หนา้ ๑, ๑๓, ๑๕-๑๖, ๒๒, ๒๖) ความหมายของเอเชยี อาคเนย์ เอเชียอาคเนย์ หมายถึง บริเวณภูมิภาคท่ีต้ังอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ ของทวปี เอเชยี ปจั จบุ นั เอเชยี อาคเนยป์ ระกอบดว้ ยประเทศเอกราชทง้ั หมด ๑๑ ประเทศ คอื พมา่ ลาว กมั พชู า เวยี ดนาม ไทย มาเลเซยี สงิ คโ์ ปร์ อนิ โดนเี ซยี ฟลิ ปิ ปนิ ส์ บรู ไน และ ตมิ อรต์ ะวนั ออก เปน็ ตน้ บรเิ วณนเ้ี ปน็ สว่ นตอ่ เนอ่ื งของแผน่ ดนิ ผนื ใหญแ่ หง่ ทวปี เอเชยี ๒ แหง่ คือ จีน และอินเดีย เอเชียอาคเนย์เป็นภูมิภาคท่ีประกอบด้วยส่วนท่ีเป็นแผ่นดินใหญ่ (MAINLAND) และส่วนท่เี ป็นภาคพ้นื ทะเล (INSULAR) ส่วนท่ีเป็นแผ่นดินใหญ่เป็นท่ีต้ัง ของประเทศพมา่ ลาว กมั พชู า ไทย และเวยี ดนาม ซง่ึ อยตู่ ดิ กนั เปน็ แผน่ ดนิ ใหญ่ สว่ นทเ่ี ปน็ ภาคพน้ื ทะเลเปน็ ประเทศทเ่ี ปน็ หมเู่ กาะ หรอื มชี ายฝง่ั ตดิ กบั ทะเลประกอบดว้ ย มาเลเซยี สงิ คโ์ ปร์ อนิ โดนเี ซยี บรู ไน ฟลิ ปิ ปนิ ส์ และตมิ อรต์ ะวนั ออก เปน็ ตน้ ในภมู ภิ าคนจ้ี �ำ นวน ประชากรไม่หนาแน่น กระจัดกระจายอย่างแผ่ขยาย มีพืชพันธ์ธุ ัญญาหารอุดมสมบูรณ์ ท�ำ ใหป้ ระชากรในภมู ภิ าคเอเชยี อาคเนยม์ คี วามอยดู่ กี นิ ดี (ธนาสฤษฎ์ิ สตะเวทนิ , ๒๕๕๙, หนา้ ๓-๕) ทบทวนแนวความคดิ ทฤษฎคี วามสมั พนั ธร์ ะหวา่ งประเทศ ในส่วนน้ีเป็นการทบทวนแนวความคิดทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพ่อื นำ�มาใช้ในการวิเคราะห์การรวมกล่มุ ของประเทศสมาชิกอาเซียนดังท่ี ทิพรัตน์ บุบผะศิริ (๒๕๕๔, หนา้ ๑, ๓-๔, ๘-๑๑) กลา่ ววา่ ในแนวความคดิ ทฤษฎคี วามสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง ประเทศ การปฏสิ มั พนั ธ์ (INTERACTION) ระหวา่ งประเทศมี ๒ แบบคอื (๑) ความรว่ มมอื (COOPERATION) และ (๒) ความขดั แยง้ (CONFLICT) ในยคุ สงครามเยน็ ความขดั แยง้ ระหว่างประเทศโดดเด่นมากกว่าความร่วมมือ แต่ต่อมาประเทศต่าง ๆ ได้ใช้นโยบาย
การรว่ มมอื กนั ซง่ึ ความรว่ มมอื ระหวา่ งประเทศทส่ี �ำ คญั มี ๓ รปู แบบ คอื (๑) ระบบระหวา่ ง ประเทศ International Regime (๒) พนั ธมติ ร (Alliance) และ (๓) การบรู ณาการ (Integration) ตัวอย่างของระบอบระหว่างประเทศ เช่น ระบอบการค้าระหว่างประเทศ (รับผิดชอบ โดย WHO) ระบอบสขุ ภาพระหวา่ งประเทศ (รบั ผดิ ชอบโดย WHO) ระบอบดา้ นอาวธุ นวิ เคลยี ร ์ (อยภู่ ายใตส้ นธสิ ญั ญาไมแ่ พรน่ วิ เคลยี ร์ (NPT) เปน็ ตน้ ส�ำ หรบั พนั ธมติ ร (Alliance) หมายถงึ กลมุ่ ผสมผสานของรฐั ทเ่ี ขา้ มารว่ มท�ำ งานประสานกนั เพอ่ื ใหบ้ รรลเุ ปา้ หมายอยา่ งใด อยา่ งหนง่ึ เชน่ กลมุ่ พนั ธมติ รตอ่ ตา้ นอริ กั สว่ นการบรู ณาการ (Integration) เปน็ รปู แบบ ความร่วมมืออย่างเข้มข้นลึกซ้ึง เพ่ือสร้างความเป็นปึกแผ่นเป็นอันหน่ึงอันเดียวกัน ซง่ึ ผลการท�ำ งานวดั ไดด้ ว้ ยความกา้ วหนา้ ความแนบแนน่ ของทง้ั นโยบายและผลประโยชน์ ทส่ี อดคลอ้ งกนั ระหวา่ งชาตสิ มาชกิ ดงั ท่ี William Wallace กลา่ ววา่ การบรู ณาการเปน็ การสรา้ ง และรักษาไว้ซ่งึ รูปแบบปฏิสัมพันธ์ท่เี ข้มข้นลึกซ้งึ และหลากหลายระหว่างรัฐ-ชาต ิ รูปแบบ การปฏสิ มั พนั ธอ์ าจมลี กั ษณะเปน็ เชงิ เศรษฐกจิ เชงิ สงั คม เชงิ การเมอื งกไ็ ด้ การบรู ณาการทเ่ี กดิ ขน้ึ ในความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งประเทศมกั เกดิ ขน้ึ ในระดบั ภมู ภิ าค คอื รฐั ในภมู ภิ าคเดยี วกนั เขา้ มารว่ มบรู ณาการกนั โดยเรม่ิ จากระดบั ความรว่ มมอื การสรา้ ง ข้อตกลง และทำ�งานประสานกันเพ่อื แก้ไขปัญหาร่วมกัน ต่อจากน้นั ก็อาจพัฒนาไปเป็น บรู ณาการทางเศรษฐกจิ การคา้ นอกเหนอื จากเงอ่ื นไขพน้ื ฐานในการสรา้ งกลมุ่ บรู ณาการ (ความใกลช้ ดิ ทางภมู ศิ าสตร์ ความใกลช้ ดิ กนั ทางเชอ้ื ชาติ ภาษา ศาสนา วฒั นธรรม และ คา่ นยิ มตา่ ง ๆ เปน็ ตน้ และหากพจิ ารณาในบรบิ ทของระบบเศรษฐกจิ โลก การสรา้ งความ เปน็ ภมู ภิ าค (Regionalization) ดว้ ยการเพม่ิ รปู แบบการตดิ ตอ่ เชอ่ื มโยงระหวา่ งกนั (ทพิ รตั น ์ บบุ ผะศริ ,ิ ๒๕๕๔, หนา้ ๑, ๓-๔, ๘-๑๒) อกี ทง้ั การบรู ณาการทางเศรษฐกจิ (ECONOMIC INTEGRATION) ตามแนวคดิ ของ BELA BALASSA โดยสรปุ มดี งั น้ี (๑) การจดั ตง้ั เขตการคา้ เสรี (FREE TRADE AREA) เพอ่ื ขจดั อปุ สรรคทางการคา้ ภายในกลมุ่ อาทิ ภาษี และขอ้ จ�ำ กดั ด้านพรมแดน แต่ประเทศสมาชิกยังคงสามารถเก็บภาษีจากสินค้าประเทศนอกกลุ่มได ้ (๒) การจดั ตง้ั สหภาพศลุ กากร (CUSTOMS UNION) การประกาศ FIA ท�ำ ใหป้ ระเทศสมาชกิ มาใชอ้ ตั ราภาษตี อ่ สนิ คา้ ภายนอกรว่ มกนั (๓) การมตี ลาดรว่ ม (COMMON MARKET) หรอื การมตี ลาดเดยี ว (SINGLE MARKET) เชน่ ของสหภาพยโุ รป (๔) การมสี หภาพทางเศรษฐกจิ 120
121 และการเงนิ (ECONOMIC AND MONETARY UNION) การทป่ี ระชาชนในประเทศสมาชกิ สามารถเดนิ ทางภายในเขต (COMMON MARKET) ไดอ้ ยา่ งเสรจี งึ ตอ้ งปรบั นโยบายดา้ น สงั คมตา่ ง ๆ ใหป้ ระสานเขา้ ดว้ ยกนั เชน่ นโยบายดา้ นการศกึ ษา สทิ ธปิ ระโยชน์ การวา่ งงาน การประกนั สขุ ภาพ เปน็ ตน้ ส�ำ หรบั นโยบายดา้ นเศรษฐกจิ เชน่ นโยบายดา้ นเงนิ เฟอ้ อตั รา ดอกเบย้ี อตั ราแลกเปลย่ี น ซง่ึ จะน�ำ ไปสกู่ ารใชเ้ งนิ ตราสกลุ เดยี วกนั ตอ่ ไป และ (๕) สหภาพ ทางการเมอื ง (POLITICAL UNION) การบรู ณาการทางเศรษฐกจิ ท�ำ ใหร้ ฐั บาลของประเทศ สมาชกิ ตา่ ง ๆ ตอ้ งท�ำ งานรว่ มกนั อยา่ งใกลช้ ดิ กนั มากขน้ึ การบรู ณาการทางการเมอื งกจ็ ะ เกดิ ขน้ึ ตามมาเปน็ ผลใหม้ กี ารสรา้ งนโยบายรว่ มในดา้ นอน่ื ๆ อาทิ นโยบายตา่ งประเทศ และกลาโหม ซง่ึ จะน�ำ ไปสกู่ ารสรา้ งสหภาพทางการเมอื ง (ทพิ รตั น์ บบุ ผะศริ ,ิ หนา้ ๑๒-๑๓) นอกจากน้ี แนวความคดิ ความรว่ มมอื สว่ นภมู ภิ าค (REGIONAL COOPERATION) กเ็ ปน็ อกี แนวคดิ หนง่ึ ของนกั คดิ ตะวนั ตก เชน่ เดวดิ เอ. มติ รานี (David A. Mitrany) เอนิ ซท์ บ.ี แฮส (Earn B. Hass) และคารล์ ดบั เบลิ ย.ู ดอยทซ์ (Karl W. Deutsch) กลา่ ววา่ ประเทศทอ่ี ยใู่ น ภมู ภิ าคเดยี วกนั จะไดร้ บั ประโยชนข์ องแตล่ ะประเทศ และผลประโยชนร์ ว่ มกนั เปน็ สว่ นรวม ถา้ ไดม้ ารว่ มมอื กนั โดยเฉพาะการรว่ มมอื ทางเศรษฐกจิ ซง่ึ มรี ะดบั ของความรว่ มมอื ในระดบั ตา่ ง ๆ ทม่ี ากขน้ึ เรอ่ื ย ๆ เชน่ เขตการคา้ เสรี (Free Trade Area) สหภาพศลุ กากร (Custom Union) ตลาดรว่ ม (Common Market) และสหภาพเศรษฐกจิ (Economic Union) นกั คดิ ตะวันตกเชอ่ื วา่ เมอ่ื มคี วามรว่ มมอื ทางเศรษฐกจิ ในภูมภิ าคอยา่ งดแี ล้ว ความรว่ มมือน้นั จะเพม่ิ ขน้ึ (Spillover) และน�ำ ไปสคู่ วามรว่ มมอื ในดา้ นอน่ื โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ดา้ นการเมอื ง ซง่ึ จะน�ำ ไปสกู่ ารเกดิ สถาบนั เหนอื รฐั (Supranational Organization) และดงึ ดดู ความจงรกั ภักดีของประชาชนในรัฐสมาชิกต่าง ๆ ไปส่สู ถาบันเหนือรัฐน้นั (ธนาสฤษฎ์ ิ สตะเวทิน, ๒๕๕๙, หน้า ๓๐๕) ซ่ึงสอดคล้องกับแนวคิดทฤษฎีเสรีนิยมใหม่ (NEOLIBERALISM) ท่ีกล่าวว่า ยุคหลังสงครามเย็นประเทศต่างๆ ท่ัวโลกได้หันมาสนใจเร่ืองการสร้าง ความรว่ มมอื ระหวา่ งประเทศมากขน้ึ โดยมองวา่ ความรว่ มมอื ทางเศรษฐกจิ ทง้ั ในระดบั ภมู ภิ าค และระดับโลกช่วยนำ�มาซ่ึงความม่ังค่ัง ความเจริญรุ่งเรือง การเติบโตทางเศรษฐกิจ และเสถยี รภาพระหวา่ งประเทศ (เบญจมาส จนี าพนั ธ,์ ๒๕๕๗, หนา้ ๑๔๔)
ประเดน็ ความทา้ ทา้ ยและโอกาสของเอเชยี อาคเนย์ การทป่ี ระเทศในกลมุ่ เอเชยี อาคเนย์ ๑๐ ประเทศไดพ้ ฒั นาไปสกู่ ารประกาศจดั ตง้ั ประชาคมอาเซยี น เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๕๕๘ สง่ิ ทท่ี า้ ทายของอาเซยี นมมี าจาก ๒ ปจั จยั หลกั คอื (๑) ปจั จยั ภายนอก จะยงั คงมคี วามสำ�คญั ตอ่ อาเซยี นอาจทำ�ใหอ้ าเซยี นมคี วามเปน็ ปึกแผ่นต่อไปได้หรือไม่ และภูมิภาคน้จี ะยังคงเป็นเวทีท่ปี ระเทศมหาอำ�นาจ โดยเฉพาะ สหรฐั อเมรกิ า จนี และรสั เซยี จะยงั คงมบี ทบาทส�ำ คญั ตอ่ ไป ซง่ึ เกย่ี วขอ้ งกบั เหตกุ ารณ์ ในคาบสมทุ รเกาหลี รวมถงึ ญป่ี นุ่ ทเ่ี รม่ิ กลบั มามบี ทบาททางการทหารเพม่ิ มากขน้ึ อาเซยี น จะวางตัวในดุลอำ�นาจน้ีอย่างไร และจะใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ดังกล่าวให้เป็นผลดี กับประเทศได้เพียงใด นอกจากน้ีประเทศอาเซียนยังต้องร่วมมือและประสานกันใกล้ชิด เพอ่ื จดั การกบั ปญั หาขา้ มชาตใิ นยคุ โลกาภวิ ตั น์ เชน่ การกอ่ การรา้ ย อาชญากรรม ยาเสพตดิ และการคา้ มนษุ ย์ ฯลฯ และปญั หาขา้ มชาติ เชน่ ภยั พบิ ตั ิ ปญั หาสง่ิ แวดลอ้ มในภมู ภิ าค เปน็ ตน้ และ (๒) ปจั จยั ภายในของอาเซยี น เชน่ ความขดั แยง้ ทวภิ าคจี ากปญั หาเขตแดน หรอื ปญั หาเชอ้ื ชาตทิ ย่ี งั ไมไ่ ดแ้ กไ้ ขใหย้ ตุ ิ เปน็ ทย่ี อมรบั ของทกุ ฝา่ ยอาเซยี นยงั จะสามารถใช้ วิธเี ล่ยี งการกลา่ วถงึ ปญั หาโดยเฉพาะจดุ ร่วมไดอ้ กี นานเพียงใด ดงั นน้ั ผนู้ ำ�อาเซยี นจึงควร ตระหนกั วา่ ปญั หาทวภิ าคใี นระหวา่ งสมาชกิ ยงั คงมอี ย ู่ เชน่ ปญั หาเขตแดน หรอื ประเดน็ การเมอื งภายในประเทศหนง่ึ อาจน�ำ ไปสปู่ ญั หาขดั แยง้ ทวภิ าคไี ด้ เชน่ กรณคี วามขดั แยง้ ไทย-กัมพูชา บริเวณปราสาทพระวิหาร ปัญหาทวิภาคีท่ีเกิดข้ึนเป็นเร่ืองละเอียดอ่อน หากผ้นู ำ�ประเทศอาเซียนไม่หาทางออกท่เี หมาะสม และเป็นไปอย่างสันติแล้วอาจจะฉุด หรอื หยดุ ยง้ั ความรว่ มมอื และการบรู ณาการในอาเซยี นได้ (ฐากรู พานชิ , ๒๕๖๐, หนา้ ๒๓) สำ�หรับกรณีของประเทศไทยโอกาสและความท้าทายในการเข้าสู่ประชาคม อาเซยี นทส่ี �ำ คญั มดี งั น ้ี (คน้ เมอ่ื วนั ท่ี ๒๕ เมษายน ๒๕๖๑ จากเวบ็ ไซต:์ www.aecthaibiz. com/easean/03) ในดา้ นโอกาส ไดแ้ ก่ (๑) ทต่ี ง้ั ทางภมู ศิ าสตร์ ความพรอ้ มดา้ นโครงสรา้ งพน้ื ฐาน ท�ำ ใหไ้ ทยมศี กั ยภาพและเปน็ แหลง่ ดงึ ดดู การคา้ การลงทนุ และการทอ่ งเทย่ี ว (๒) พฒั นา เครอื ขา่ ยการผลติ ในภมู ภิ าคใหเ้ ปน็ สว่ นหนง่ึ ของเครอื ขา่ ยการผลติ ของโลก (๓) การรวมตวั ของอาเซียนเป็น AEC ทำ�ให้อาเซียนเป็นฐานการส่งออกและจุดหมายของการลงทุน 122
123 (๔) ความร่งุ เรืองของภูมิภาคเอเชียตะวันออกซ่ึงกำ�ลังดึงดูดความสนใจของประชาคมโลก เป็นโอกาสให้อาเซียนต้องเร่งปรับปรุงกฎระเบียบ และประสิทธิภาพภายในเพ่ือใช้ ประโยชนจ์ ากการเจรญิ เตบิ โตของภมู ภิ าคใหไ้ ดโ้ ดยเรว็ โดยจากการคาดการณข์ องธนาคาร HSBC พบวา่ ประเทศอาเซยี นทจ่ี ะมกี ารขยายตวั ทางเศรษฐกจิ สงู ตามล�ำ ดบั ในปี ค.ศ. ๒๐๕๐ ไดแ้ ก่ ฟลิ ปิ ปนิ ส์ มาเลเซยี เวยี ดนาม อนิ โดนเี ซยี และไทย (๕) สามารถแสวงหาปจั จยั การผลติ ทห่ี ลากหลายและราคาถกู ลง เชน่ แรงงาน วตั ถดุ บิ มาใชใ้ นการผลติ สนิ คา้ และบรกิ าร (๖) อาเซียนเป็นภูมิภาคท่ีมีศักยภาพและการเจริญเติบโตสูง เป็นโอกาสท่ีไทยจะขยาย ตลาดการคา้ และการลงทนุ (๗) โอกาสในการถา่ ยทอดและพฒั นาเทคโนโลยี และคดิ คน้ นวัตกรรมใหม่ ๆ จากความร่วมมือภายใต้อาเซียน (๘) ประชาคมโลกมีความเช่ือม่ัน ตอ่ ภมู ภิ าค เปน็ ผลใหม้ กี ารคา้ และการลงทนุ มากขน้ึ ในดา้ นความทา้ ทาย ไดแ้ ก ่ (๑) การปรบั ปรงุ โครงสรา้ งกฎหมายและกฎระเบยี บ ของประเทศเพ่ือรองรับการพัฒนาและการแข่งขัน (๒) การพัฒนาแรงงานเพ่ือยกระดับ คณุ ภาพและประสทิ ธภิ าพแรงงาน (๓) การปรบั ปรงุ ระบบและตน้ ทนุ โลจสิ ตกิ ส ์ (Logistic) ของไทย (๔) การสง่ เสรมิ และพฒั นาผปู้ ระกอบการขนาดเลก็ และขนาดกลาง ใหม้ คี วามร ู้ ความสามารถในการด�ำ เนนิ ธรุ กจิ และแขง่ ขนั ไดข้ องประเทศ (๕) การปรบั ปรงุ ประสทิ ธภิ าพ การผลติ สนิ คา้ เกษตรและอตุ สาหกรรมใหม้ ตี น้ ทนุ ทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพ (๖) เรง่ พฒั นาคณุ ภาพ และมาตรฐานของสนิ คา้ บรกิ ารใหม้ มี ลู คา่ เพม่ิ และมเี อกลกั ษณ ์ และ (๗) การสง่ เสรมิ คิดค้นนวัตกรรมและการวิจัยและการพัฒนาองค์ความร้ใู หม่ๆ เพ่อื เพ่มิ ขีดความสามารถ ในการแขง่ ขนั ในเวทปี ระชาคมอาเซยี นและประชาคมโลก บทสรปุ วเิ คราะห์ และความเหน็ จากกรณกี ลมุ่ ประเทศในเอเชยี อาคเนย์ ๑๐ ประเทศไดม้ กี ารรวมกลมุ่ กนั เปน็ สมาชกิ อาเซยี น ตอ่ มาปี พ.ศ. ๒๕๑๐ ไดจ้ ดั ตง้ั ประชาคมอาเซยี น โดยมวี ตั ถปุ ระสงคม์ งุ่ เนน้ ดา้ นเศรษฐกจิ สงั คม และวฒั นธรรม รวมทง้ั ดา้ นการเมอื งของภมู ภิ าค ส�ำ หรบั ความรว่ มมอื ด้านเศรษฐกิจ เช่น ความร่วมมือทางการค้าอุตสาหกรรม และการจัดต้ังเขตการค้าเสรี อาเซยี น เปน็ ตน้ ตอ่ มาเมอ่ื ป ี พ.ศ. ๒๕๕๘ ไดม้ กี ารประชมุ สดุ ยอดอาเซยี น ณ กรงุ กวั ลาลมั เปอร์
ประเทศมาเลเซีย ได้จัดต้ังประชาคมอาเซียน ปัจจุบันมีประเทศสมาชิก ๑๐ ประเทศ แสดงให้เห็นว่าเป็นความพยายามของผู้นำ�ประเทศสมาชิกในการสร้างความร่วมมือ เชิงบูรณาการ (INTEGRATION) เพ่ือให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายของประชาคม อาเซยี นใน ๓ เสาหลกั คอื (๑) ประชาคมการเมอื งและความมน่ั คง (๒) ประชาคมเศรษฐกจิ และ (๓) ประชาคมสงั คมและวฒั นธรรม ซง่ึ สอดคลอ้ งกบั แนวความคดิ ทฤษฎคี วามสมั พนั ธ์ ระหวา่ งประเทศทก่ี ลา่ ววา่ การปฏสิ มั พนั ธ ์ (INTERACTION) ระหวา่ งประเทศในรปู แบบ ของการสร้างความร่วมมือ (COOPERATION) ซ่ึงความร่วมมือระหว่างประเทศในกรณี ของอาเซยี นเปน็ รปู แบบของการบรู ณาการ (INTEGRATION) ในระดบั ภมู ภิ าค ซง่ึ สอดคลอ้ งกบั แนวคดิ ของเดวดิ เอ. มติ รานี (DAVID A. MITRANY) เอนิ ซท์ บ.ี แฮส (EARN B. HASS) และ คารล์ ดบั เบลิ ย.ู ดอยทซ์ (KARL W. DEUTSCH) ทก่ี ลา่ ววา่ ประเทศทอ่ี ยใู่ นภมู ภิ าคเดยี วกนั จะได้รับประโยชน์ของแต่ละประเทศและผลประโยชน์ร่วมกัน ถ้าได้มาร่วมมือกัน โดยเฉพาะ อยา่ งยง่ิ ความรว่ มมอื ทางเศรษฐกจิ ซง่ึ มรี ะดบั ของการรว่ มมอื ตา่ ง ๆ ทเ่ี พม่ิ ขน้ึ เรอ่ื ย ๆ เชน่ เขตการคา้ เสรี (FREE TRADE AREA) สหภาพศลุ กากร (CUSTOM UNION) ตลาดรว่ ม (COMMON MARKET) และสหภาพเศรษฐกจิ (ECONOMIC UNION) เมอ่ื ความรว่ มมอื ทางเศรษฐกจิ ในภมู ภิ าคดแี ลว้ ความรว่ มมอื นน้ั จะเออ่ ลน้ และน�ำ ไปสคู่ วามรว่ มมอื ในดา้ นอน่ื ๆ อกี โดยเฉพาะด้านการเมือง อีกท้ังสอดคล้องกับแนวความคิดของ WILLIAM WALLACE กลา่ ววา่ การบรู ณาการเปน็ การสรา้ งและรกั ษาไวซ้ ง่ึ รปู แบบการปฏสิ มั พนั ธร์ ะหวา่ งรฐั -ชาติ โดยการปฏิสัมพันธ์อาจจะเป็นด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองก็ได้ ดังตัวอย่าง การบรู ณาการดา้ นเศรษฐกจิ ของอาเซยี น อาทิ การจดั ตง้ั เขตการคา้ เสรอี าเซยี น เปน็ ตน้ ในขณะทค่ี ารล์ ดบั เบลิ ย.ู ดอยทซ์ (KARL W. DEUTSCH) กลา่ วถงึ อ�ำ นาจ (POWER) ในการศกึ ษาความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งประเทศวา่ อ�ำ นาจเปน็ วธิ กี ารทท่ี �ำ ใหไ้ ดม้ าซง่ึ สง่ิ ตา่ ง ๆ ทม่ี นษุ ยเ์ หน็ วา่ มคี ณุ คา่ อาทิ ความมง่ั คง่ั การกนิ ดอี ยดู่ ี ความนบั ถอื ความพอใจ หรอื สง่ิ ใด ๆ กต็ าม มนษุ ยจ์ งึ ปรารถนาใหไ้ ดม้ าซง่ึ อ�ำ นาจ สว่ นเคลาส์ คนอร์ (KLAUS KNOR) กล่าวว่า อำ�นาจ อิทธิพล และการพ่ึงพาอาศัยซ่ึงกันและกัน (INTERDEPENDENCE) มคี วามสมั พนั ธก์ นั อยา่ งทไ่ี มส่ ามารถแยกออกจากกนั ได้ และรฐั ตา่ ง ๆ อาจมคี วามขดั แยง้ กนั ในบางประเดน็ ปญั หา ตวั อยา่ งเชน่ กรณขี องไทยกบั กมั พชู ามคี วามขดั แยง้ เรอ่ื งปราสาท 124
125 พระวหิ าร แตใ่ นขณะเดยี วกนั รฐั ตา่ ง ๆ กอ็ าจรว่ มมอื กนั ไดใ้ นบางประเดน็ ปญั หา ในกรณี ทม่ี คี วามรว่ มมอื ระหวา่ งรฐั แตล่ ะรฐั ตา่ งกไ็ ดร้ บั ประโยชนจ์ ากการสรา้ งสง่ิ ทม่ี คี ณุ คา่ ใหม่ ๆ ทง้ั ในแงข่ องวตั ถุ และทไ่ี มใ่ ชว่ ตั ถ ุ ซง่ึ อาจกลา่ วไดว้ า่ แมร้ ฐั จะอยใู่ นสภาวะทม่ี คี วามรว่ มมอื ระหวา่ งกนั หรอื อยใู่ นสภาวะทม่ี คี วามขดั แยง้ ระหวา่ งกนั รฐั ตา่ ง ๆ กต็ อ้ งพง่ึ พาอาศยั ซง่ึ กนั และกนั ดว้ ย ในเรอ่ื งของอ�ำ นาจยงั มนี กั วชิ าการอน่ื อกี เชน่ เอฟ. เจ. บราวน ์ (F. J. BROWN) คนอร์ (ไดใ้ หค้ วามส�ำ คญั กบั อำ�นาจชนิดอ่นื ๆ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ อ�ำ นาจทางเศรษฐกิจ และขณะเดยี วกนั ในการศกึ ษาปรากฏการณร์ ะหวา่ งประเทศ) มองวา่ โลกเปน็ ระบบระหวา่ ง ประเทศ (INTERNATIONAL SYSTEM) ดงั นน้ั การศกึ ษาเชงิ ระบบไดใ้ หค้ วามสนใจตอ่ ความ สัมพันธ์ระหว่างประเทศในแง่ของการพ่ึงพาอาศัยซ่ึงกันและกันในระดับโลก (GLOBAL INTERDEPENDENCE) ดว้ ยเชน่ รชิ ารด์ เอน็ . โรสครานซ ์ (RICHARD N. ROSECRANE) กลา่ ววา่ การพง่ึ พาอาศยั ซง่ึ กนั และกนั ชใ้ี หถ้ งึ สมั พนั ธภาพของผลประโยชน์ นอกจากน้ี ในแนวคิดทฤษฎีภูมิภาคนิยม (REGIONALISM) ท่ีกล่าวว่า การปฏิสัมพันธ์ระหว่างรัฐต่าง ๆ ในพ้ืนท่ีทางภูมิศาสตร์ท่ีเฉพาะเจาะจง ซ่ึงมีระดับ การยดึ เหนย่ี วอยา่ งเหนยี วแนน่ ทางองคก์ ารและทางเศรษฐกจิ แนวคดิ ภมู ภิ าคนยิ มสามารถ เปน็ พลงั ส�ำ คญั ในการคา้ ระหวา่ งประเทศดว้ ยการจดั ตง้ั ขอ้ ตกลงการรวมตวั ระดบั ภมู ภิ าคตา่ ง ๆ รัฐต่าง ๆ และบรรษัทข้ามชาติ เพ่ือเป็นพลังสำ�คัญในการขจัดการกีดกันทางการค้า ระดบั ชาติ และน�ำ ไปสกู่ ารคา้ เสรใี นระดบั โลก อกี ทง้ั แนวคดิ ภมู ภิ าคนยิ มยงั สามารถสง่ เสรมิ พลงั การตลาดตา่ ง ๆ และเพม่ิ การแขง่ ขนั ของประเทศสมาชกิ ในเศรษฐกจิ ระดบั โลก เชน่ การรวมตวั ทางเศรษฐกจิ ในระดบั ภมู ภิ าค อยา่ งกรณขี องสหภาพยโุ รป (THE EUROPEAN UNION) อกี ทง้ั แนวคดิ ทฤษฎเี สรนี ยิ มใหม่ (NEOLIBERALISM) กลา่ ววา่ ยคุ หลงั สงครามเยน็ ประเทศตา่ ง ๆ ทว่ั โลกไดส้ นใจเรอ่ื งการสรา้ งความรว่ มมอื ระหวา่ งประเทศมากขน้ึ โดยมองวา่ ความรว่ มมอื ทางเศรษฐกจิ ทง้ั ในระดบั ภมู ภิ าคและระดบั โลก สามารถท�ำ ใหเ้ กดิ ความมง่ั คง่ั ความเจริญรุ่งเรือง การเติบโตทางเศรษฐกิจ และเสถียรภาพระหว่างประเทศ ดังน้ัน การท่ีประเทศในกลุ่มเอเชียอาคเนย์รวมกลุ่มกันพัฒนาไปสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ซง่ึ เปน็ ทง้ั สง่ิ ทา้ ทา้ ยและโอกาสของประเทศสมาชกิ ทง้ั ๑๐ ประเทศนน่ั เอง
เอกสารอา้ งองิ ฐากรู พานชิ (๒๕๖๐). กวา่ จะมาเปน็ ประชาคมอาเซยี น. กรงุ เทพฯ: ศนู ยเ์ อกสารทางวชิ าการ คณะรฐั ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั รามค�ำ แหง. ทพิ รตั น์ บบุ ผะศริ .ิ (๒๕๕๔). สถานการณก์ ารเมอื งโลกในปจั จบุ นั (PS 703). กรงุ เทพฯ: ศนู ยเ์ อกสารทางวชิ าการ คณะรฐั ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั รามค�ำ แหง. ธนาสฤษฎ์ิ สตะเวทนิ . (๒๕๕๙). เอเชยี อาคเนย:์ พฒั นาการทางการเมอื ง และการตา่ งประเทศ. กรงุ เทพฯ: ส�ำ นกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลยั รามค�ำ แหง. เบญจมาส จนี าพนั ธ.์ุ (๒๕๕๗). สถานการณก์ ารเมอื งโลกในปจั จบุ นั . กรงุ เทพฯ: ศนู ยเ์ อกสารทางวชิ าการ คณะรฐั ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั รามค�ำ แหง. พงษศ์ านต์ พนั ธลุ าภ. (ม.ป.ป.). โลกาภวิ ตั นศ์ กึ ษา: สงั คมชมุ ชนระหวา่ งประเทศ. กรงุ เทพฯ: ศนู ยเ์ อกสารทางวชิ าการ คณะรฐั ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั รามค�ำ แหง. เวบ็ ไซต์ โอกาส ความทา้ ทาย กลยทุ ธ.์ คน้ เมอ่ื วนั ท่ี ๒๕ เมษายน ๒๕๖๑, จาก www.aecthaibiz. com/easean/03_Way%20to%20go_18-06-57.pdf 126
127 อกั ษราภคั ชยั ปะละ* บทน�ำ หากจะกล่าวถึงความขัดแย้งระหว่างฝร่ังเศสและปรัสเซีย จำ�เป็นอย่างย่ิง ท่ีต้องย้อนกลับไปในช่วงริชเชอลิเยอ (Richelieu) เสนาบดีสมัยพระเจ้าหลุยส์ท่ี ๑๓ ซง่ึ ไดก้ �ำ หนดนโยบายส�ำ คญั ตอ่ รฐั ปรสั เซยี และชาตเิ ยอรมนั ไวส้ องประการส�ำ คญั ดงั น ้ี ๑. ปราบปรามและควบคุมดินแดนเยอรมันท้ังหมดให้จำ�กัดอยู่ทางฝ่ังซ้าย ของแมน่ �ำ้ ไรน์ ๒. พยายามไมใ่ หเ้ ยอรมนั รวมชาตไิ ดด้ ว้ ยการทฝ่ี รง่ั เศสจะตอ้ งมอี �ำ นาจเหนอื กวา่ ทกุ ทาง๑ *อาจารยป์ ระจ�ำ คณะรฐั ศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั พะเยา ๑Hermann Oncken, Napoleon III and the Rhine: the origin of the war of 1870-1871, (New York: Russell & Russell, 1967), pp.ix.
ใน ค.ศ. ๑๗๙๕ สมยั หลงั การปฏวิ ตั ฝิ รง่ั เศสภายใตก้ ารปกครองของคณะราษฎร์ ฝร่ังเศสชนะปรัสเซีย ทำ�ให้ปรัสเซียต้องยอมทำ�สัญญาสงบศึกกับฝรั่งเศสที่บาเซล ตามสัญญาสงบศกึ น ้ี ฝ่ายฝร่ังเศสยอมถอนทหารออกจากดินแดนปรสั เซยี ทางตะวันออก ของแมน่ �ำ้ ไรนท์ ฝ่ี รง่ั เศสไดม้ าแตย่ งั คงไดเ้ มอื งคลฟิ สแ์ ละเมอื งโอแบรเ์ คลดอรน์ (Obergeldern) ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำ�ไรน์ไว้ในมือ ฝรั่งเศสยอมเลิกรบกับรัฐเยอรมันต่างๆ ซึ่งอยู่ ในเขตแซกซอนนี่ ไมนส์ เฮสส์ และบาวาเรยี ๒ การกระทำ�ของชาติฝรงั่ เศสต่อปรสั เซยี นน้ั แสดงถึงการเป็นศัตรูท่ถี าวรชัดเจน หากชาติเยอรมันไม่ได้ทำ�ตนให้เป็นศัตรูกับฝร่งั เศสเลย แต่ทว่าความเกลียดชังคนฝรั่งเศสฝังอยู่ในสายเลือดของคนเยอรมัน ดังปรากฏในผลงาน ของกวีเอกเกอเธ่อ (ค.ศ. ๑๘๓๐) เกี่ยวกับชาติฝรั่งเศสไว้ว่า “ไม่น่าเชื่อเลยว่าแม้ว่า ข้าพเจ้าจะเป็นผู้เห็นความสำ�คัญของวัฒนธรรมและส่ิงป่าเถ่ือนทั้งหลาย แต่ข้าพเจ้า กเ็ ปน็ อกี ผหู้ นง่ึ ทส่ี ามารถเกลยี ดชงั ชนชาตหิ นง่ึ ไดอ้ ยา่ งลกึ ซง้ึ ทง้ั ๆ ทช่ี าตนิ น้ั นบั วา่ เปน็ ชาติ ท่มี ีวฒั นธรรมทน่ี ่ายกยอ่ งชาติหนึง่ ของโลก”๓ ในสมยั พระเจา้ นโปเลยี นท ่ี ๑ ไดท้ �ำ สงครามกบั ปรสั เซยี โดยในป ี ค.ศ. ๑๘๐๖ พระองคท์ รงจดั การกบั กองทพั ของปรสั เซยี ซง่ึ อยภู่ ายใตก้ ารน�ำ ของพระเจา้ เฟรเดอรคิ กโิ ยม ทส่ี าม (Frederic Guillaume III)๔ ภายในเวลาเพยี งหนง่ึ สปั ดาหเ์ ทา่ นน้ั ๕ และในปี ค.ศ. ๑๘๐๗ ปรสั เซยี ตอ้ งยอมเสยี ดนิ แดนเวสฟาเลยี ใหแ้ กฝ่ รง่ั เศส๖ พระเจา้ นโปเลยี นไดเ้ ปลย่ี นรปู แบบ โครงสรา้ งของปรสั เซยี ขน้ึ มา กลา่ วคอื ไดจ้ ดั ตง้ั แกรนด์ ดชั ชี แหง่ เบอรก์ (Berg) โดยมี ดุสเซิลดอล์ฟ (Düsseldorf) เป็นเมืองหลวงมอบให้มูราต์ (Murat) น้องเขยเป็นประมุข ๒พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา, ประวัติศาสตร์สมัยการปฏิวัติฝร่ังเศส, (กรงุ เทพฯ: โฆษติ , ๒๕๔๙), หนา้ ๒๐๔. ๓พรสวรรค์ วฒั นางกรู , เยอรมนใี นศตวรรษท่ี ๒๑: อดตี และปจั จบุ นั , (กรงุ เทพฯ: สถาบนั เอเชยี ศกึ ษา จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั , ๒๕๔๔), หนา้ ๔. ๔เหรยี ญ หลอ่ วมิ งคล, ประวตั ศิ าสตรป์ ระเทศฝรง่ั เศส, (เชยี งใหม:่ มง่ิ เมอื ง, ๒๕๔๗), หนา้ ๑๗๖. ๕เอย่ี ม ฉายางาม, ประวตั ศิ าสตรฝ์ รง่ั เศส ค.ศ. ๑๗๘๙-๑๘๔๘, (กรงุ เทพฯ: ไทยวฒั นาพานชิ , ๒๕๒๓), หนา้ ๑๐๘. ๖เหรยี ญ หลอ่ วมิ งคล, เรอ่ื งเดยี วกนั , หนา้ ๑๗๖. 128
129 และรวมรัฐเยอรมัน ๑๖ รัฐ ให้เป็นพันธมิตรกับฝร่ังเศสข้ึนมาเป็นสมาพันธรัฐแห่งแม่น�ำ้ ไรน์ อีกท้ังพระเจ้านโปเลียนทรงดำ�รงตำ�แหน่งผู้พิทักษ์สมาพันธรัฐน้ี (Protecteur de la Confédération) พรอ้ มกนั นน้ั อาณาจกั รโรมนั อนั ศกั ดส์ิ ทิ ธก์ิ ต็ อ้ งสลายตวั ไปดว้ ย๗ เยอรมนีเกิดปัญหาชดเชยแก่ผู้ปกครองแคว้นท่ีอยู่ตามชายฝ่ังของแม่นำ้�ไรน์ ซ่ึงตกเป็นสมบัติของฝร่ังเศสตามสัญญา แคมโป-ฟอร์มิโอ และนโปเลียนก็ดำ�เนินการ เก่ียวกับเร่ืองน้ีตามอำ�เภอใจด้วยการประกาศยุบแคว้นบรรพชิตและเมืองอิสระโบราณ สว่ นใหญแ่ ลว้ จะน�ำ ดนิ แดนทข่ี น้ึ อยกู่ บั แควน้ อสิ ระเหลา่ นน้ั ไปแบง่ ใหแ้ กร่ ฐั ตา่ งๆ โดยเฉพาะ อย่างย่ิงให้แก่รัฐท่ีอยู่ทางเยอรมนีตอนใต้ การท่ีนโปเลียนเข้าไปเปล่ียนแปลงอาณาเขต ของรฐั ตา่ งๆ ในเยอรมนเี ชน่ น ้ี มผี ลสบื เนอ่ื งส�ำ คญั หลายประการ ในเมอ่ื ตลอดเวลาทผ่ี า่ นมา ออสเตรียได้ใช้กลุ่มแคว้นบรรพชิตเป็นเคร่ืองมือในการคงอิทธิพลในเยอรมน ี การเข้ามา แทรกแซงของนโปเลียนเท่ากับว่าเป็นการขับออสเตรียออกจากเยอรมนีไปโดยปริยาย ทำ�ให้ออสเตรียเป็นปฏิปักษ์ต่อฝร่ังเศสมากข้ึน การท่ีนโปเลียนเข้ามาแทรกแซงแผนท่ี เยอรมันและทำ�ให้เป็นสัดส่วนเรียบร้อยย่ิงข้ึน เท่ากับว่านโปเลียนได้ช่วยเตรียมการรวม เยอรมนที จ่ี ะมขี น้ึ ในศตวรรษท ่ี ๑๙ ไปดว้ ยในเวลาเดยี วกนั ๘ จงึ อาจกลา่ วไดว้ า่ สาเหตขุ องสงครามฝรง่ั เศสและปรสั เซยี (ค.ศ. ๑๘๗๐-๑๘๗๑) เกิดจากการท่ีรัฐท้ังหลายในเยอรมนีในอดีตถูกมหาอำ�นาจ คือฝร่ังเศสทำ�แตกกระจาย๙ ตอ้ งการทจ่ี ะรวมเปน็ เยอรมนเี ดยี ว จงึ มคี วามจ�ำ เปน็ ตอ้ งท�ำ สงครามกบั รฐั เพอ่ื นบา้ น อาทิ เชน่ เดนมารก์ ออสเตรยี และฝรง่ั เศส เพอ่ื ไมใ่ หข้ ดั ขวางการรวมเยอรมนแี ละผนวกดนิ แดน ไดอ้ กี และปรสั เซยี เปน็ รฐั เดยี วทม่ี ศี กั ยภาพจะน�ำ รฐั เยอรมนั ทง้ั หลายมารวมกนั ได้ ๗เอย่ี ม ฉายางาม, เรอ่ื งเดยี วกนั , หนา้ ๑๑๔. ๘เรอ่ื งเดยี วกนั , หนา้ ๑๐๘. ๙นนั ทกา โชตกิ ะพกุ กณะ, ประวตั ศิ าสตรย์ โุ รปครสิ ตวรรษท่ี ๑๙-๒๐ ค.ศ. ๑๘๑๕-๑๙๑๔, (กรงุ เทพฯ: ภาควชิ าประวตั ศิ าสตร ์ มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ, ๒๕๒๐), หนา้ ๑๑๓.
การเตรยี มการรวมเยอรมนขี องปรสั เซยี เหตุการณ์ท่ีกระตุ้นความรู้สึกต้องการรวมชาติเยอรมันมีมากในสมัยปฏิวัติ ฝร่งั เศส และสงครามนโปเลียน๑๐ ซ่งึ ทำ�ให้เกิดการรวมตัวของพลังชาตินิยมข้นึ มาเงียบๆ ซ่ึงปรัสเซียและออสเตรียจะพยายามเป็นแกนนำ�ในการรวมเยอรมนี แต่ช่วงน้นั ก็ประสบ ความลม้ เหลว ตอ่ มาในศตวรรษท ่ี ๑๙ ลทั ธโิ รแมนตกิ และลทั ธชิ าตนิ ยิ มมอี ทิ ธพิ ลอยา่ งมาก ในการพัฒนาความคิดของคนเยอรมัน นักเขียน กวี ได้สอดใส่ความรู้สึกชาตินิยม ไวใ้ นผลงานของตนอยา่ งเตม็ ท๑่ี ๑ เชน่ Gottfried von Herder, Fiché และ Hegel เปน็ ตน้ หลงั ปี ค.ศ. ๑๘๑๕ ปรสั เซยี กลายเปน็ รฐั เดยี วทพ่ี ฒั นากา้ วไปอยา่ งไมห่ ยดุ ยง้ั อาทิ ยกเลกิ ระบบทาสตดิ ทด่ี นิ ลดขอ้ จ�ำ กดั ทางเศรษฐกจิ สง่ เสรมิ ขอ้ จำ�กดั ทางการคา้ เสรซี ง่ึ ทำ�ใหเ้ กดิ การแขง่ ขนั และพฒั นาเศรษฐกจิ ไปในตวั ๑๒ อกี ทง้ั ปรสั เซยี ไดเ้ ปน็ หวั หนา้ ในการจดั ตง้ั สหภาพ ศลุ กากร (Zollverein) ตง้ั แตป่ ี ค.ศ. ๑๘๑๘๑๓ ท�ำ ใหม้ รี ฐั เยอรมนั ตา่ งๆ เขา้ เปน็ สมาชกิ จ�ำ นวนมาก โดยเฉพาะรัฐทางภาคเหนือ สหภาพศุลกากรจึงให้ประโยชน์แก่ปรัสเซียอย่างน้อย สองประการ คอื ประโยชนท์ างเศรษฐกจิ และประโยชนท์ างการเมอื ง อยา่ งแรกประโยชน์ ทางเศรษฐกิจน้ัน ทำ�ให้เศรษฐกิจของปรัสเซียก้าวหน้าอย่างมากเพราะสามารถติดต่อ คา้ ขายกบั รฐั สมาชกิ ไดส้ ะดวก ทางดา้ นการเมอื ง สหภาพศลุ กากรท�ำ ใหร้ ฐั เยอรมนั ใกลช้ ดิ กบั ปรสั เซยี มากขน้ึ เรอ่ื ยๆ ความเปน็ อนั หนง่ึ อนั เดยี วกนั ทางเศรษฐกจิ ท�ำ ใหร้ สู้ กึ วา่ เปน็ อนั หนง่ึ อันเดียวกับทางการเมืองด้วย๑๔ และปรัสเซียได้เปรียบออสเตรียอยู่อย่างหน่ึง คือ ท่ีต้ัง ของปรสั เซยี นน้ั อยทู่ า่ มกลางรฐั เยอรมนั ทง้ั หลายและเปน็ เยอรมนั แท ้ สว่ นออสเตรยี นน้ั ทต่ี ง้ั อย ู่ ชายแดนของดินแดนเยอรมัน และไปเอาดินแดนของชนชาติอ่ืนมาปกครองมากมาย จนทำ�ให้ออสเตรียกลายเป็นเยอรมันไม่แท้ไป และจะเป็นคนนอกในสายตาชาวเยอรมัน ๑๐เรอ่ื งเดยี วกนั . ๑๑นำ�้ เงิน บุญเป่ยี ม, ยุโรปสมัยใหม่ ค.ศ. ๑๗๘๙-๑๙๑๔, (กรุงเทพฯ: คณะมนุษศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั รามค�ำ แหง, ๒๕๒๓), หนา้ ๑๓๗. ๑๒น�ำ้ เงนิ บญุ เปย่ี ม, เรอ่ื งเดยี วกนั , หนา้ ๑๓๘. ๑๓นนั ทกา โชตกิ ะพกุ กณะ, เรอ่ื งเดยี วกนั , หนา้ ๑๑๘. ๑๔ทวศี กั ด์ิ ลอ้ มลม้ิ , ประวตั ศิ าสตรย์ โุ รปสมยั ใหม่ ค.ศ. ๑๘๐๕-๑๙๔๕, (กรงุ เทพฯ: โอเดยี นสโตร,์ ๒๕๔๒), หนา้ ๑๓๕. 130
131 มากขน้ึ เรอ่ื ยๆ ออสเตรยี มอี ำ�นาจอยใู่ นดนิ แดนของเยอรมนั ไดด้ ว้ ยการใชอ้ ำ�นาจมากกวา่ อย่างอ่ืน ซ่ึงทำ�ให้เกิดการต่อต้านอยู่เสมอ ผิดกับปรัสเซียท่ีได้แทรกซึมอิทธิพลของตน อยา่ งเงยี บๆ แตม่ น่ั คง ดงั ไดเ้ หน็ มาแลว้ วา่ ในปี ค.ศ. ๑๘๔๙๑๕ เมอ่ื พวกปฏวิ ตั ไิ ดร้ า่ งรฐั ธรรมนญู เยอรมันเสร็จแล้วก็ได้เชิญกษัตริย์ปรัสเซียให้ดำ�รงตำ�แหน่งกษัตริย์ของประเทศเยอรมนี แทนท่ีจะไปเชิญจักรพรรดิออสเตรีย ถ้ากษัตริย์ปรัสเซียยอมรับตำ�แหน่งคร้ังน้ันการรวม เยอรมนกี ส็ �ำ เรจ็ ไปแลว้ ๑๖ นโยบายรวมเยอรมนใี นสมยั พระเจา้ เฟรเดอรคิ วลิ เลยี มท่ี ๔ วนั ท่ี ๒๙ มนี าคม ค.ศ. ๑๘๔๙ พระเจา้ เฟรเดอรคิ วลิ เลยี มท่ี ๔ ทรงไดร้ บั การเลือกต้ังเป็นกษัตริย์ของปรัสเซีย และต้นปีต่อมาพระองค์ทรงประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ในปรัสเซีย ถึงแม้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับน้ีมีลักษณะหลายประการว่าเป็นรัฐธรรมนูญ ของพวกปฏิวัติแต่ก็ยังคงอำ�นาจของกษัตริย์ไว้อย่างสูงสุด และรัฐธรรมนูญยังเป็นเคร่อื งมือ ชว่ ยใหค้ วามเจรญิ แกร่ ะบบนติ บิ ญั ญตั ทิ เ่ี ปน็ ประชาธปิ ไตย๑๗นอกจากนน้ั พระเจา้ เฟรเดอรคิ ได้ให้ราโดวิตซ์ เสนาบดีเป็นผู้วางแผนในการรวมเยอรมนี ซ่ึงราโดวิตซ์ต้องการเพียงให้ ออสเตรียเข้ามารวมด้วยเพียงรัฐเดียว เพราะจะกว้างใหญ่เกินไป และประกอบด้วย หลายเช้ือชาติ จะเป็นปัญหาในการปกครองทำ�ให้รัฐอ่ืนๆ ไม่เห็นด้วยกับราโดวิตซ์ เช่น แฮนโนเวอร์และเซ็กโซนี ซ่ึงต้องการรวมเยอรมนีในลักษณะพันธมิตรสามกษัตริย์ (The Three Kings Alliance) มฉิ ะนน้ั จะไมร่ ว่ มมอื ดงั นน้ั แผนของราโดวติ ซจ์ งึ ลม้ ไป๑๘ ๑๕พระเจา้ เฟรเดอรคิ วลิ เลยี มท่ี ๔ ทรงปฏเิ สธทจ่ี ะเปน็ จกั รพรรดขิ องเยอรมนแี ละทรงประกาศ วา่ การเลอื กตง้ั ครง้ั นม้ี เี ชอ้ื ของพวกปฏวิ ตั ิ ๑๖ทวศี กั ด์ิ ลอ้ มลม้ิ , เรอ่ื งเดยี วกนั , หนา้ ๑๑๗. ๑๗ฮแู บรต์ สุ เลอเวนสไตน,์ ประวตั ศิ าสตรเ์ ยอรมนั , แปลโดย นธิ ิ เอยี วศรวี งศ,์ (พระนคร: สงั คมศาสตรแ์ หง่ ประเทศไทย, ๒๕๑๑), หนา้ ๑๖๖. ๑๘ทวศี กั ด์ิ ลอ้ มลม้ิ , เรอ่ื งเดยี วกนั , หนา้ ๑๓๖.
ต่อมาพระเจ้าเฟรเดอริคทรงวางแผนการรวมเยอรมนีด้วยตัวพระองค์เอง โดยการทจ่ี ะใหร้ ฐั ตา่ งๆ รวมกนั แบบสหภาพ และไมน่ บั ออสเตรยี เขา้ รว่ มดว้ ย ท�ำ ใหป้ รสั เซยี และออสเตรียขัดแย้งกันอย่างรุนแรง จนสงครามเกือบจะเกิดข้ึนเม่ือราโดวิตซ์ระดมพล เตรียมรบ พระเจ้าเฟรเดอริค วิลเลียมจึงปลดราโดวิตซ์ออกจากตำ�แหน่งและแต่งต้ัง ออตโต ฟอน แมนตฟุ เฟล และยตุ คิ วามขดั แยง้ ตา่ งๆ กบั ออสเตรยี ทง้ั สองรฐั ไดล้ งนาม ในสัญญาท่ีเมืองโอลมุตซ์ ต่อมาพระเจ้าเฟรเดอริค วิลเลียมทรงล้มเลิกความคิด ในการรวมเยอรมน ี ในทส่ี ดุ กม็ สี ตวิ ปิ ลาสในชว่ งป ี ค.ศ. ๑๘๕๘-๑๘๖๑ จนสน้ิ พระชนม๑์ ๙ นโยบายรวมเยอรมนใี นสมยั พระเจา้ ไกเซอร์ วลิ เลยี มท่ี ๑ พระเจ้าไกเซอร์ วิลเลียมท่ี ๑ ทรงได้ครองราชย์ต่อจากพระเชษฐา ในปี ค.ศ. ๑๘๖๑ พระองคท์ รงมงุ่ มน่ั ทจ่ี ะสรา้ งความมน่ั คงทางทหารภายใตช้ อ่ื Germanic Confederation ซง่ึ มนี โยบายทจ่ี ะรวมเยอรมนี ทรงแตง่ ตง้ั Karl Anton of Hohen Zollern เป็นนายกรัฐมนตรีซ่ึงมีแนวคิดอนุรักษ์นิยมเป็นหลัก๒๐ ในแนวทางการปฏิรูปกองทัพน้ัน พระเจ้าไกเซอร์ วิลเลียมท่ ี ๑ ทรงมีความคิดว่ามีความจำ�เป็นอย่างย่งิ ท่จี ะต้องปรับปรุง กองทัพของปรัสเซียให้เข้มแข็งเสียก่อน เพราะในขณะน้ันปรัสเซียเป็นมหาอำ�นาจ อันดบั หา้ ของยโุ รปเทา่ นน้ั กองทพั ปรัสเซยี มีแตอ่ าวธุ ทล่ี า้ สมยั และการเกณฑ์ทหารก็ไมไ่ ด ้ ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ท่ีมีอยู่อย่างจริงจัง ซ่ึงยากแม้แต่จะเอาชนะกองทัพขนาดกลาง ของฝรง่ั เศสได้ พระเจา้ ไกเซอร ์ วลิ เลยี มท่ี ๑ จงึ ใหฟ้ อน รนู รฐั มนตรกี ลาโหมวางแผนปรบั ปรงุ กองทพั บก (Army Reform Bill) เพอ่ื เตรยี มไวเ้ สนอตอ่ สภาลา่ ง (Reichstag) ทจ่ี ะมกี ารเลอื กตง้ั ทว่ั ไปในปี ค.ศ. ๑๘๖๑ สาระส�ำ คญั ของพระราชบญั ญตั ปิ ฏริ ปู กองทพั บกมวี า่ จะเพม่ิ ก�ำ ลงั ทหาร ประจำ�การให้เป็นสองเท่าท่ีมีอยู่เดิม วิธีการเพ่ิมน้ันนอกจากจะเกณฑ์ทหารเพ่ิมแล้ว ๑๙ทวศี กั ด์ิ ลอ้ มลม้ิ , ประวตั ศิ าสตรย์ โุ รปสมยั ใหม่ ค.ศ. ๑๘๐๕-๑๙๔๕, (กรงุ เทพฯ: โอเดยี นสโตร,์ ๒๕๒๕), หนา้ ๑๑๘. ๒๐Hajo Holborn, A history of modern Germany: 1840-1945, (Princeton, N.J.: Princeton University Press, 1969), p.130. 132
133 กท็ �ำ โดยการเพม่ิ เวลาประจ�ำ การของกองทพั จาก ๒ ปเี ปน็ ๓ ปี และใหส้ �ำ รองประจ�ำ การ อกี ๔ ป๒ี ๑ นอกจากทหารประจ�ำ การแลว้ ยงั มกี ารใชท้ หารเกณฑท์ จ่ี บจากโรงเรยี นมธั ยม เพ่อื บรรจุเสริมกองทัพโดยมีระยะเวลาประจำ�การ ๑ ปี๒๒ การปฏิรูปกองทัพคร้งั น้ที หาร เยอรมันไม่ได้มีเทคนิคดีกว่าชาติอ่นื เลย แต่พวกเขามีจิตใจท่มี ีความรักชาต ิ และต้องการ รวมชาติอย่างฝังแน่น๒๓ ซ่ึงเท่ากับว่าพระเจ้าไกเซอร์ วิลเลียมทรงเป็นผู้วางโครงสร้าง ความแขง็ แกรง่ ใหก้ บั กองทพั ปรสั เซยี จงึ ไมน่ า่ แปลกใจทส่ี งครามใน ค.ศ. ๑๘๗๐ อนั เปน็ จดุ เรม่ิ ตน้ ของการเคล่ือนทัพของท้ังสองรัฐ คือ ฝร่ังเศสและปรัสเซีย โดยทหารปรัสเซียมีความ กระหายสงครามและต้องการเผด็จศึกฝร่งั เศสอย่างมาก รวมท้งั มีการปลุกใจให้ส้อู ย่เู สมอ แต่ทหารฝร่ังเศสกลับไม่อยากทำ�สงครามเน่ืองจากทหารท่ีถูกเกณฑ์ส่วนใหญ่เป็นชาวนา ท่ียากจนและเบ่ือการสู้รบ ทำ�ให้ฝร่ังเศสขาดขวัญกำ�ลังใจ ฉะน้ันภายในเวลา ๒๑ วัน ก่อนสงครามจะเร่ิมข้ึน ฝร่ังเศสรวบรวมทหารได้ ๓๐๐,๐๐๐ นาย ในขณะท่ีปรัสเซีย รวบรวมได้ ๔๗๐,๐๐๐ นาย ภายในระยะเวลาเพยี ง ๘ วนั เทา่ นน้ั ๒๔ ต่อมาภายใต้รัฐบาลใหม่ของ Prince Hohenlohe Infelfingen ซ่ึงสามารถ มีอิทธิพลเหนือฟอน รูน ซ่งึ ทำ�ให้การเลือกต้งั ท่วั ไปพรรคอนุรักษ์นิยมได้เพียง ๑๐ ท่นี ่งั โดยทพ่ี รรคเสรนี ยิ มได้ ๒๘๕ ทน่ี ง่ั จาก ๓๒๕ ทน่ี ง่ั ในปี ค.ศ. ๑๘๖๒ พระเจา้ ไกเซอร์ วลิ เลยี ม ทรงเสนอขออนมุ ตั งิ บประมาณประจ�ำ ปสี �ำ หรบั กองทพั ซง่ึ พระองคเ์ หน็ วา่ กองทพั ยงั ไมไ่ ด ้ รับเงินอุดหนุนเท่าท่ีควร ท้ังสวัสดิการทหาร และการซ่อมบำ�รุงเคร่ืองอุปกรณ์ต่างๆ ทไ่ี มไ่ ดร้ บั การซอ่ มแซมมาเปน็ เวลานานแลว้ แตใ่ นสภาซง่ึ มสี มาชกิ เสรนี ยิ มมากวา่ อนรุ กั ษน์ ยิ ม ได้ออกมาคดั ค้านและปฏิเสธทจ่ี ะให้งบประมาณโดยให้เหตผุ ลวา่ เป็นการกระทบกระเทือน ต่อเศรษฐกิจเพราะต้องใช้เงินมาก พวกเสรีนิยมจึงเกรงว่ากษัตริย์อาจจะพยายามนำ�เอา ๒๑ทวศี กั ด์ิ ลอ้ มลม้ิ , เรอ่ื งเดยี วกนั , หนา้ ๑๑๙. ๒๒Hajo Holborn, ibid, p.136. ๒๓Ibid., p.137. ๒๔Charles Sowerwine, France since 1870 culture politics and society, (Basingstoke: Palgrave, 2001), p.13.
กองทัพบกไปไว้ในอำ�นาจ เพ่ือควบคุมนักการเมือง นอกจากน้ันพวกเขายังคัดค้านว่า การปรบั ปรงุ กองทพั จะท�ำ ใหเ้ สอ่ื มเสยี ความสมั พนั ธก์ บั ประเทศเพอ่ื นบา้ นได้ และมกี ารเพม่ิ เวลาประจ�ำ การของทหารจาก ๒ ปเี ปน็ ๓ ปี เปน็ การผดิ ประเพณที หาร ในทส่ี ดุ สภาลา่ ง ก็ออกเสียงไม่ยอมรับพระราชบัญญัติปฏิรูปกองทัพบก ทำ�ให้พระเจ้าไกเซอร์ วิลเลียม ทรงท้อพระทัยเน่ืองด้วยการเลือกต้ัง ต่อมาพวกเสรีนิยมก็ได้เสียงข้างมากและปฏิเสธ พระราชบญั ญตั อิ กี ๒๕ การเขา้ มาของบสิ มารค์ ค.ศ. ๑๘๖๒ บสิ มารค์ ถกู เรยี กตวั ใหม้ าเปน็ นายกรฐั มนตรปี รสั เซยี ในขณะท่ี เขาเป็นทูตประจำ�อยู่ท่ีกรุงปารีส๒๖ ฟอน รูนเรียกตัวบิสมาร์คให้กลับประเทศน้ันเพราะ พระเจา้ ไกเซอร ์ วลิ เลยี มทรงด�ำ รจิ ะสละสมบตั ิ ในขณะเดยี วกนั มกฎุ ราชกมุ าร (ซง่ึ ภายหลงั คอื พระเจา้ เฟรเดอรคิ วลิ เลยี มท่ี ๓) กท็ รงปฏเิ สธไมย่ อมรบั ต�ำ แหนง่ กษตั รยิ ์ บสิ มารค์ จงึ เขา้ มารบั ต�ำ แหนง่ ในฐานะเปน็ “คนของในหลวง” ในการกลา่ วสนุ ทรพจนอ์ ยา่ งทา้ ทาย สภาไดเอท ในปี ค.ศ. ๑๘๖๓ เขาทา้ ทายแกศ่ ตั รใู นสภาใหข้ บั เขาออกจากต�ำ แหนง่ และตอ่ มา เขาสามารถยดึ สภาได้ ท�ำ ใหบ้ สิ มารค์ ถกู ต�ำ หนติ อ่ มาวา่ เปน็ ปฏปิ กั ษก์ บั เสรนี ยิ ม และคดิ วา่ เขานยิ มวธิ กี ารแบบเผดจ็ การ แตห่ นา้ ทส่ี �ำ คญั อยา่ งยง่ิ ในขณะนน้ั คอื การชว่ ยใหร้ ฐั รอดพน้ จากความเสอ่ื มสลายภายหลงั เมอ่ื ปี ค.ศ. ๑๘๖๖๒๗ เขากลา่ วต�ำ หนใิ นการเสนอนโยบาย ตอ่ สภาวา่ “เยอรมนไี มไ่ ดเ้ ฝา้ มองปรสั เซยี วา่ เปน็ มหาอ�ำ นาจทางเสรนี ยิ มหรอื ไม ่ แตเ่ ฝา้ มอง ในฐานะมหาอ�ำ นาจ ซง่ึ ปรสั เซยี กต็ อ้ งรกั ษาอ�ำ นาจของตวั เองไว้ แตก่ ม็ หี ลายครง้ั ทร่ี กั ษาไมไ่ ด้ ซง่ึ มนั จะเปน็ ปญั หาในการสรา้ งความแขง็ แกรง่ ใหแ้ กร่ ฐั ปญั หานน้ั ไมไ่ ดแ้ กโ้ ดยวธิ ที างการทตู หรือเสียงโหวตส่วนใหญ่ในสภา ดังจะเห็นได้จากวิกฤติในปี ค.ศ. ๑๘๔๘-๑๘๔๙ แตป่ ญั หาเหลา่ นน้ั จะถกู แกโ้ ดยนโยบายเลอื ดและเหลก็ ”๒๘ ๒๕ทวศี กั ด์ิ ลอ้ มลม้ิ , ประวตั ศิ าสตรย์ โุ รปสมยั ใหม่ ค.ศ. ๑๘๐๕ - ๑๙๔๕, (๒๕๔๒), หนา้ ๑๓๗. ๒๖น�ำ้ เงนิ บญุ เปย่ี ม, เรอ่ื งเดยี วกนั , หนา้ ๑๔๐. ๒๗ฮแู บรต์ สุ เลอเวนสไตน,์ เรอ่ื งเดยี วกนั , หนา้ ๑๘๑. ๒๘Hajo Holborn, ibid., p.162. 134
135 สงครามทจ่ี �ำ เปน็ ในการรวมเยอรมน:ี สงครามกบั เดนมารก์ (ค.ศ. ๑๘๖๔) ข้อขัดแย้งระหว่างเดนมาร์กและรัฐเยอรมนี (ไม่ใช่ปรัสเซียเพียงรัฐเดียว) เรม่ิ คกุ รนุ่ ขน้ึ ในปี ค.ศ. ๑๘๔๘ แตก่ อ่ นปี ค.ศ. ๑๘๐๖ เจา้ ครองแควน้ เยอรมนั คอื ชเลสวกิ และ โฮลสไตนก์ ย็ อมเปน็ เจา้ ของประเทศของจกั รพรรดเิ ชน่ เดยี วกบั ของเดนมารก์ เอง มาภายหลงั โฮลสไตนก์ ก็ ลายเปน็ สมาชกิ แควน้ หนง่ึ ของสหพนั ธรฐั เยอรมนั ดงั ทก่ี ารประชมุ แหง่ เวยี นนา ได้กำ�หนดไว้ รัฐท้ังสองน้ีได้รับอภิสิทธ์ิปกครองตนเองหลายประการ และเน่ืองจากกษัตริย์ เดนมาร์กคือ พระเจ้าคริสเตียนท่ ี ๑ ได้ทรงสาบานรับตำ�แหน่งเม่อื ทรงได้รับเลือกให้เป็นดยุค แหง่ ชเลสวกิ และเคานตแ์ หง่ โฮลสไตนเ์ มอ่ื ป ี ค.ศ. ๑๔๖๐ รฐั ทง้ั สองนจ้ี งึ ไมอ่ าจแยกจากกนั ตลอดไป แคว้นโฮลสไตน์ซ่งึ อย่คู ่อนมาทางใต้มีประชากรเป็นคนเยอรมันท้งั หมด แคว้นชเลสวิก กเ็ ชน่ กนั ประชากรเกอื บไมถ่ งึ หนง่ึ ในสามไมเ่ ขา้ ใจภาษาเดนส์ เดนมารก์ ในศตวรรษท่ี ๑๙ ถือโอกาสแนวโน้มชาตินิยมในการกำ�เนิดรัฐท่ีเป็นชาติน้ ี ผูกมัดให้แคว้นท้ังสองเข้าไปอยู่ ใกล้ชิดกับระบอบของเดนมาร์กย่งิ ข้นึ ในขณะเดียวกันรัฐท้งั สองก็ตอบโต้โดยแสดงให้เห็น ประจักษ์ชัดข้ึนว่าโน้มเอียงไปในทางเข้าร่วมกับรัฐของเยอรมัน เม่ือรัฐท้ังสองถูกผนวกเข้ากับ เดนมารก์ ซง่ึ จะรวมทกุ รฐั เขา้ มาภายใตร้ ฐั ธรรมนญู เดยี วกนั ในป ี ค.ศ. ๑๘๔๘ คนเยอรมนั เกดิ ความรสู้ กึ ชาตนิ ยิ มทจ่ี ะตอ่ ตา้ น “การกลนื ชาตใิ หเ้ ปน็ เดนส”์ โดยแควน้ ทง้ั สองเรยี กรอ้ ง เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญให้ประชาชนติดอาวุธได้และการรวบรวมชเลสวิกให้เข้าไปอยู่ใน สหพนั ธรฐั เยอรมนี แตก่ ษตั รยิ เ์ ดนมารก์ ทรงปฏเิ สธ รฐั บาลชว่ั คราวจงึ ขอความชว่ ยเหลอื ไปยงั ปรัสเซีย กองทหารสหพันธรัฐเยอรมนีเคล่ือนเข้ามาช่วย แต่การรณรงค์ของกองทัพน้ัน ยตุ ลิ งรวดเรว็ เนอ่ื งจากองั กฤษ รสั เซยี และสวเี ดนเขา้ มาแทรกแซง ในปี ค.ศ. ๑๘๕๒ เกดิ พธิ สี าร ลอนดอน ซ่ึงเปรียบเหมือนการเหยียดหยามชาวเยอรมันท้ังชาติ กล่าวคือ พิธีสารน้ี กำ�หนดไว้ว่าแคว้นท้ังสองน้ีจะถูกแยกออกจากกันไม่ได้ และจะถูกรวมเข้ากับอาณาจักร เดนมาร์กเป็นทางการก็ไม่ได้ ต่อมาในปี ค.ศ. ๑๘๖๓ เม่ือพระเจ้าคริสเตียนท่ี ๙ ทรงประกาศใชร้ ฐั ธรรมนญู ส�ำ หรบั เดนมารก์ ก�ำ หนดใหช้ เลสวกิ ตอ้ งเขา้ รว่ มกบั อาณาจกั รดว้ ย ออสเตรียและปรัสเซียจึงเป็นพันธมิตรร่วมกันในนามสหพันธรัฐเยอรมัน ซ่ึงมีโฮลสไตน์ แซกซอนนแี ละแฮนโนเวอรไ์ ดร้ บั ค�ำ สง่ั ใหส้ ง่ กองทหารไปสมทบ๒๙ ๒๙ฮแู บรต์ สุ เลอเวนสไตน,์ เรอ่ื งเดยี วกนั , หนา้ ๑๘๒-๑๘๔.
ค.ศ. ๑๘๖๔ กองทพั ปรสั เซยี เขา้ ยดึ เกาะอลั เสน (Alsen) เดนมารก์ พยายาม ตอ่ ตา้ นแตไ่ รผ้ ลและหวงั วา่ จะไดร้ บั ความชว่ ยเหลอื จากองั กฤษ แตอ่ งั กฤษกไ็ มไ่ ดด้ �ำ เนนิ การ อยา่ งไร นอรเ์ วยแ์ ละสวเี ดนกไ็ ดแ้ ตเ่ ฝา้ มอง ฝรง่ั เศสซง่ึ มคี วามสมั พนั ธไ์ มค่ อ่ ยดกี บั องั กฤษ และพระเจา้ นโปเลยี นท ่ี ๓ กท็ รงเชอ่ื วา่ ปรสั เซยี และออสเตรยี คงทะเลาะกนั ดว้ ยเรอ่ื งชเลสวกิ และโฮลสไตน ์ ซง่ึ พระองคท์ รงเชอ่ื ตอ่ ไปวา่ จะเปน็ การปอ้ งกนั ไมใ่ หเ้ ยอรมนรี วมกนั ไดจ้ งึ วางเฉย เม่ือไม่เห็นความช่วยเหลือจากภายนอก เดนมาร์กจึงยอมสงบศึกและยอมยกชเลสวิก กับโฮลสไตน์ให้ปรัสเซียและออสเตรียตกลงกันเอง โดยปรัสเซียได้ชเลสวิกและออสเตรีย ไดโ้ ฮลสไตน์ ความส�ำ คญั ของสงครามนต้ี อ่ ปรสั เซยี คอื ปรสั เซยี ไดแ้ สดงใหร้ ฐั เยอรมนั ตา่ งๆ เหน็ วา่ ปรสั เซยี เขม้ แขง็ พอทจ่ี ะชว่ ยเหลอื รฐั เยอรมนั ดว้ ยกนั ใหพ้ น้ จากการรกุ รานภายนอกได้ และเปน็ การผกู ปมปญั หาไวส้ �ำ หรบั ขดั แยง้ กบั ออสเตรยี ในอนาคตดว้ ย๓๐ สงครามกบั ออสเตรยี หรอื สงครามเจด็ สปั ดาห์ (ค.ศ. ๑๘๖๖) ก่อนท่ีจะหาสาเหตุทำ�สงครามกับออสเตรีย บิสมาร์คต้องแน่ใจก่อนว่า มหาอ�ำ นาจจะไมเ่ ขา้ มาแทรกแซง เชน่ องั กฤษมวั แตส่ นใจดนิ แดนทางคอนสแตนตโิ นเปลิ อยี ปิ ตแ์ ละเบลเยยี ม รสั เซยี มปี ญั หากบฏโปแลนด ์ ฝรง่ั เศสพยายามท�ำ ตวั เปน็ ผสู้ นบั สนนุ การรวมชาติและมัวยุ่งกับ Maximilian Affairs ในอเมริกา แต่บิสมาร์คไม่ไว้ใจจึงไป เจรจาลบั กบั พระเจา้ นโปเลยี นท ่ี ๓ และท�ำ ใหฝ้ รง่ั เศสเขา้ ใจผดิ วา่ ปรสั เซยี จะยอมใหฝ้ รง่ั เศส ไดเ้ บลเยยี มหรอื ดนิ แดนลมุ่ แมน่ �ำ้ ไรน ์ สว่ นอติ าลนี น้ั ตอ้ งการเวเนเซยี ฉะนน้ั บสิ มารค์ ไปขอเจรจา ขอใหอ้ ติ าลเี ปดิ ฉากโจมตอี อสเตรยี ในเวเนเซยี พรอ้ มกบั ทเ่ี ยอรมนั โจมตอี อสเตรยี ทางเหนอื ๓๑ บิสมาร์คยังคงต้องการรวมออสเตรียเข้ากับปรัสเซีย ในปี ค.ศ. ๑๘๖๒ ออสเตรยี ไมเ่ หน็ ดว้ ยท่ปี รัสเซียพยายามจะรวมเยอรมน ี และต้องการให้ทุกรัฐมอบอ�ำ นาจ ให้ส่วนกลาง ในการประชุมสภาออสเตรียเสนอให้มีการร่างกฎหมายเก่ียวกับการค้า ระหว่างรัฐ ซ่งึ บิสมาร์คไม่เห็นด้วยเน่อื งจากฐานะทางเศรษฐกิจของปรัสเซียสามารถทำ�การค้า กบั ประเทศเพอ่ื นบา้ นไดด้ กี วา่ ทกุ รฐั ถา้ มขี อ้ จ�ำ กดั แลว้ อาจจะเปน็ อปุ สรรคตอ่ การพฒั นาปรสั เซยี ได้ ๓๐ทวศี กั ด์ิ ลอ้ มลม้ิ , เรอ่ื งเดยี วกนั , หนา้ ๑๒๒-๑๒๓. ๓๑นนั ทกา โชตกิ ะพกุ กณะ, เรอ่ื งเดยี วกนั , หนา้ ๑๒๒. 136
137 เขาจงึ ขดั ขวางมตนิ ใ้ี นสภาไดเอท ณ นครแฟรงคเ์ ฟริ ต์ ตอ่ มาในปี ค.ศ. ๑๘๖๓ ปรสั เซยี ได้ขัดขวางการเสนอการปฏิรูปสมาพันธรัฐเยอรมนีของออสเตรียอีก ซ่งึ บิสมาร์คได้เสนอ นโยบายตดั หนา้ กอ่ น คอื ชเลสวกิ และโฮลสไตนใ์ นการปฏริ ปู สมาพนั ธรฐั เยอรมนั ซง่ึ เทา่ กบั วา่ เป็นการต่อสู้ทางนโยบายของท้ังสองรัฐ ปรัสเซียจึงหาพันธมิตรจากภายนอกคืออิตาลี ท่ีจะมาสนับสนุนนโยบายของตนอีก ท้ังบิสมาร์คยังให้สภาเป็นผู้ตัดสินนโยบายดังกล่าว โดยการลงมต ิ ซง่ึ เขากม็ พี นั ธมติ รในสภามากมาย เชน่ รฐั บาวาเรยี ซง่ึ ผนู้ �ำ ของบาวาเรยี คอื Ludwig von der Pfordten ซง่ึ คาดการณถ์ งึ ความเปน็ ไปไดใ้ นสภาแลว้ เขาตอ้ งสนบั สนนุ ปรสั เซยี ซ่ึงเป็นรัฐเยอรมันทางเหนือดีกว่า ส่ิงทำ�ให้บิสมาร์คประสบความสำ�เร็จในการโดดเด่ียว ออสเตรีย๓๒ แต่เหตุการณ์ดังกล่าวก็ไม่ได้นำ�ไปสู่สงคราม เพราะสามารถแก้ไขข้อพิพาท ไดท้ ันเวลา เหตุการณ์ชเลสวิกและโฮลสไตน์จะกลายเป็นชนวนสงคราม เพราะการท่ีคน ปรัสเซียจะไปชเลสวิกต้องผ่านโฮลสไตน์ และการปกครองของปรัสเซียก็เข้มงวด ฉะน้ัน โฮลสไตน์เกิดการประท้วงปรัสเซียเสมอ ซ่งึ ปรัสเซียกล่าวหาว่าเป็นการยุยงของออสเตรีย สว่ นออสเตรยี กค็ ดิ วา่ จะให ้ Augustenburg ปกครองโฮลสไตน์ บสิ มารค์ ประทว้ งวา่ ผดิ สญั ญา Gastein ออสเตรียประกาศว่าตนมีสิทธ์ิเต็มท่ีในโฮลสไตน์ บิสมาร์คไม่ฟังประกาศจะให้ ปรัสเซียปกครองสองแคว้นเพียงรัฐเดียวและส่งทหารเข้ายึดโฮลสไตน์๓๓ ปรัสเซียจึงได้ ประกาศสงครามกบั ออสเตรยี ในวนั ท ่ี ๑๔ มถิ นุ ายน ค.ศ. ๑๘๖๖ มี ๙ รฐั สนบั สนนุ ออสเตรยี และ ๕ รฐั คา้ นฝา่ ยสนบั สนนุ ออสเตรยี ซง่ึ มบี าวาเรยี เซก็ ซอนน ี แฮนโนเวอร ์ และบาเดนรวมอยดู่ ว้ ย เมอ่ื สงครามเกดิ ขน้ึ อติ าลเี ขา้ โจมตเี วเนเซยี ดว้ ยท�ำ ใหอ้ อสเตรยี เผชญิ ศกึ ทง้ั สองดา้ น ซง่ึ ล�ำ พงั อติ าลเี องถา้ ไมไ่ ดเ้ ขา้ รว่ มกบั ปรสั เซยี กไ็ ม่ สามารถโจมตอี อสเตรยี ได้ ในท่สี ุดอิตาลีก็ถูกออสเตรยี ปราบได้ท่เี มืองคสั โตซวาและลิสซา สว่ นปรสั เซยี นน้ั ในตอนแรกกต็ อ้ งประสบศกึ สองดา้ นเชน่ เดยี วกนั เพราะเยอรมนั บางรฐั เชน่ แฮนโนเวอร์และบาวาเรียได้ช่วยเหลือออสเตรีย ต่อมากองทัพแฮนโนเวอร์ก็เข้ายึด และท�ำ ลายแกนซลั ซา แตก่ องทพั ออสเตรยี มปี ญั หาเกย่ี วกบั การขนสง่ ทหาร ซง่ึ ไมท่ นั สมยั ๓๒Hajo Holborn, ibid., p.165. ๓๓นนั ทกา โชตกิ ะพกุ กณะ, เรอ่ื งเดยี วกนั , หนา้ ๑๒๓.
เหมอื นปรสั เซยี ทม่ี กี ารขนสง่ ทางรถไฟอยา่ งรวดเรว็ จนในทส่ี ดุ ออสเตรยี กแ็ พบ้ นเทอื กเขา ใกล้เมืองซาโดวา (Sadowa)๓๔ ผ้ทู ่มี ีส่วนสำ�คัญในการบัญชาการรบของปรัสเซียในคร้งั น้ี คอื โมลทเ์ ก (Moltke) ไดใ้ ชก้ องทพั โอบลอ้ มจากแมน่ �ำ้ เอลเบไปจนถงึ แมน่ �ำ้ นสิ โคง้ ยาว ๖๐๐ ไมล์ โจมตกี องทพั แฮนโนเวอรแ์ ละออสเตรยี ๓๕ บสิ มารค์ ไมม่ นี โยบายทจ่ี ะท�ำ รนุ แรงกบั ออสเตรยี เขาแคต่ อ้ งการชยั ชนะเหนอื ออสเตรยี เทา่ นน้ั และไมค่ ดิ วา่ จะเอาดนิ แดนจากออสเตรยี แตอ่ ยา่ งใด เพราะการกระท�ำ เชน่ น้ี จะทำ�ให้ออสเตรียเป็นศัตรูกับปรัสเซียได้ จะเป็นอุปสรรคในการทำ�สงครามรวมเยอรมนี คร้ังต่อไป นอกจากน้ันออสเตรียก็เสียค่าปฏิกรรมสงครามไม่มากนัก ซ่ึงจะเห็นว่า แม้ออสเตรียจะแพ้สงครามแต่ก็ไม่ได้เสียดินแดน ยกเว้นเวเนเซียไปให้อิตาลีเท่าน้นั ท้งั น้ี จุดประสงค์ในการทำ�สงครามของบิสมาร์คก็เพ่ือต้องการตัดสินใจให้เด็ดขาดไปเลยว่า ปรสั เซยี หรอื ออสเตรยี ควรจะเปน็ ผนู้ �ำ ในการรวมเยอรมนเี พยี งผเู้ ดยี ว๓๖ ฝรง่ั เศสเฝา้ มองสงครามนม้ี าตง้ั แตต่ น้ พระเจา้ นโปเลยี นท่ ี ๓ คดิ วา่ สงครามน้ี จะยืดเย้ือไปจนถึงฤดูหนาวหรือไม่ก็ต้องจบปีหน้า พระองค์ม่ันใจว่าจะใช้สถานการณ์น้ี บีบบังคับรัฐเยอรมันท้งั สองในการท่ฝี ร่งั เศสเป็นกลางในสงคราม และบิสมาร์คก็ไม่ได้ให้คำ�ตอบ ท่ีชัดเจนในการร้องขอดินแดนของฝร่ังเศส คือ เบลเยียมและลักเซมเบิร์ก ในส่วน ของออสเตรยี นน้ั บอกวา่ จะยกเวเนเซยี ใหฝ้ รง่ั เศสหลงั จากสงครามสน้ิ สดุ ลง ส�ำ หรบั พระเจา้ นโปเลียนแล้วพระองค์ทรงพอใจในสงครามคร้ังน้ี ซ่ึงพระองค์ก็คิดว่าออสเตรียจะชนะ เพราะจะทำ�ให้ฝร่งั เศสได้เมืองเวเนเซีย จะทำ�ให้สามารถอ้างได้ว่าสามารถรวมอิตาลีจาก เทอื กเขาแอลปถ์ งึ Adriatres แตน่ โปเลยี นกก็ ลวั วา่ ถา้ องั กฤษเขา้ มาแทรกแซงการเปน็ กลาง ของเบลเยยี ม ทหารเรอื ของปรสั เซยี จะไปเปน็ พนั ธมติ รกบั องั กฤษแนน่ อน อยา่ งไรกต็ าม พระเจ้านโปเลียนใช้สงครามระหว่างปรัสเซียและออสเตรียน้ีในการเสริมสร้างความ แขง็ แกรง่ ใหก้ บั ตนเอง และหวงั วา่ ฝรง่ั เศสจะไดท้ ง้ั เบลเยยี ม ลกั เซมเบริ ก์ และฝง่ั แมน่ �ำ้ ไรน๓์ ๗ ๓๔ทวศี กั ด์ิ ลอ้ มลม้ิ , เรอ่ื งเดยี วกนั , หนา้ ๑๒๕. ๓๕Hajo Holborn, ibid., p.185. ๓๖ทวศี กั ด์ิ ลอ้ มลม้ิ , เรอ่ื งเดยี วกนั , หนา้ ๑๔๔-๑๔๕. ๓๗Geoffrey Wawro, Warfare and society in Europe 1792-1914, (London: Routledge, 2003), pp.100-101. 138
139 ในวนั ท่ี ๔ กรกฎาคม ค.ศ. ๑๘๖๖ พระเจา้ นโปเลยี นท่ี ๓ ทรงท�ำ ขอ้ ผดิ พลาด อยา่ งรา้ ยแรงประการหนง่ึ กลา่ วคอื พระองคใ์ ชก้ ารแทรกแซงทางการทตู ทจ่ี ะบบี บงั คบั ปรสั เซยี หลงั จากไดร้ บั ชยั ชนะแลว้ บสิ มารค์ กป็ ฏเิ สธขอ้ เรยี กรอ้ ง๓๘ หลงั จากสนธสิ ญั ญานโิ กลสบ์ รู ก์ พระเจ้านโปเลยี นได้เรยี กร้องดนิ แดนส�ำ หรบั “การชดใชค้ ่าตอบแทน” ท่พี ระองคไ์ ด้รักษา ความเปน็ กลางไว้ ขอ้ อา้ งของพระองคน์ น้ั รวมทร่ี าบลมุ่ ซาร์ บาวาเรยี เรนนชิ เฮส ตลอดถงึ เมนซ์ เมอื งปอ้ มลนั เดา และเยอรมนั ไชมก์ บั บางสว่ นของเบลเยยี ม๓๙ รฐั ตา่ งๆ ในเยอรมนั ทง้ั หมด แมแ้ ตร่ ฐั ทเ่ี พง่ิ ตอ่ สสู้ งครามกบั ปรสั เซยี กร็ สู้ กึ ร�ำ คาญและไมพ่ อใจทถ่ี กู เหยยี ดหยาม จากการกระท�ำ ของฝร่งั เศส คร้งั น้คี วามร้สู ึกน้รี ุนแรงมากจนกระท่งั ว่าบิสมาร์คสามารถท�ำ สนธิสัญญาลับกับรัฐเหล่าน้ีเพ่ือป้องกันการช่วยเหลือซ่ึงกันและกัน๔๐ในกรณีท่ีปรัสเซีย จะทำ�สงครามกับฝร่งั เศส นอกจากน้แี ล้วบิสมาร์คยังจัดต้งั สมาพันธรัฐเยอรมันทางเหนือ ซ่ึงเป็นอาณาจักรเยอรมันเล็ก (kleindeutsch) เพ่ือให้เป็นพันธมิตรลับในการบุกโจมตี และปอ้ งกนั รฐั เยอรมนั ทางใต้ เชน่ บาวาเรยี วเู ตน็ เบริ ก์ และบาเดน็ เพอ่ื ปทู างไปสสู่ งคราม กบั ฝรง่ั เศส๔๑ สงครามกบั ฝรง่ั เศส (ค.ศ. ๑๘๗๐-๑๘๗๑) นายพลชาวฝร่งั เศสผ้หู นง่ึ นามวา่ Stoffel ได้กล่าวไว้วา่ สาเหตุทแ่ี ท้จริงของสงคราม ค.ศ. ๑๘๗๐-๑๘๗๑ เป็นผลมาจากความเหนือกว่าของปรัสเซียต้ังแต่ปี ค.ศ. ๑๘๖๖ ทำ�ให้ฝร่ังเศสจำ�เป็นต้องรักษาดินแดนเอาไว้ ความม่ันคงของดินแดนฝร่ังเศสทำ�ให้ เยอรมันรู้สึกว่าฝร่ังเศสจะรักษาดินแดนฝ่ังตะวันตกของแม่นำ้�ไรน์ และการท่ีฝร่ังเศส ครอบครองไว้เพียงผู้เดียวจะสามารถม่ันใจได้ว่าความสงบจะเกิดข้ึนระหว่างสองรัฐ๔๒ ๓๘ฮแู บรต์ สุ เลอเวนสไตน,์ เรอ่ื งเดยี วกนั , หนา้ ๑๘๘. ๓๙Hajo Holborn, ibid., p.188. ๔๐ฮแู บรต์ สุ เลอเวนสไตน,์ เรอ่ื งเดยี วกนั , หนา้ ๑๘๙. ๔๑Imanuel Geiss, translated by Fred Bridgham, The question of German unification: 1806-1996, (London: Routledge, 1997), p.47. ๔๒Hermann Oncken, ibid,. pp.183-184.
เช่นเดียวกับ Robert H. Lord ได้กล่าวว่า ชนวนเร่ิมแรกของสงครามระหว่างฝร่ังเศส และปรสั เซยี ตอ้ งยอ้ นกลบั ไปในปี ค.ศ. ๑๘๖๖ ความสมั พนั ธท์ ง้ั สองรฐั เรม่ิ เปน็ อนั ตราย เม่ือฝร่ังเศสกลัวอำ�นาจของตนเองจะตกตำ่�ในสงครามระหว่างปรัสเซียและออสเตรีย ถ้าปรัสเซียสามารถรวมชาติเยอรมันได้สถานะของฝร่ังเศสก็จะเป็นรอง๔๓ นักคิดส่วนใหญ่ ของเยอรมนั กลา่ วถงึ สงครามในครง้ั นว้ี า่ สงคราม ค.ศ. ๑๘๗๐ เปน็ ผลมาจากจกั รวรรดฝิ รง่ั เศส และการทฝ่ี รง่ั เศสไมย่ อมใหเ้ ยอรมนปี กครองตนเอง สงครามนก้ี ส็ อนใหเ้ รารวู้ า่ ผลลพั ธ์ คอื การสรา้ งกบั ดกั ไวอ้ ยา่ งรอบคอบและบสิ มารค์ ระเบดิ มนั เพอ่ื ใชล้ บู คมฝรง่ั เศส๔๔ สถานการณล์ กั เซมเบริ ก์ ทฝ่ี รง่ั เศสตอ้ งการครอบครองดนิ แดน ท�ำ ใหเ้ กดิ ความ ตึงเครียดไปท่ัวยุโรปและไม่มีทางหลีกเล่ียงได้ จนเป็นเหตุให้ความสัมพันธ์ของฝร่ังเศส และปรสั เซยี หมางเมนิ กนั มากยง่ิ ขน้ึ และไมใ่ ชเ่ ฉพาะเงอ่ื นไขทางภมู ศิ าสตรเ์ ทา่ นน้ั แตม่ รี ฐั ชาติ ท่เี ป็นตัวขับเคล่อื นสำ�คัญ น่นั คือ สเปน๔๕ ประเทศสเปนภายใต้บัลลังก์พระนางอิสเบล ท ่ี ๒ (Isabel II) เปน็ ทง้ั พนั ธมติ รและคคู่ า้ ของฝรง่ั เศสมายาวนาน แตถ่ า้ เกดิ สงครามขน้ึ หากสเปนเปน็ พนั ธมติ รกบั ปรสั เซยี ฝรง่ั เศสจะตอ้ งพะวงกบั ปญั หารฐั หลงั บา้ นทจ่ี ะมาสน่ั คลอน อ�ำ นาจทางตะวนั ออก ยง่ิ ไปกวา่ นน้ั นโปเลยี นกเ็ กรงกองก�ำ ลงั รกั ษาการของโรมทจ่ี ะพทิ กั ษ์ สนั ตะปาปาในกรณรี ฐั คาทอลคิ เชน่ รฐั บาลสมยั พระนางอสิ เบลท่ี ๒ ในเดอื นกนั ยายน ค.ศ. ๑๘๖๘ เกดิ การเปลย่ี นแปลงครง้ั ใหญใ่ นสเปนมกี ารจดั ตง้ั รฐั บาลชว่ั คราวโดย Serrano และ Prim รัฐบาลช่ัวคราวประกาศไปท่ัวยุโรปถึงการหาตำ�แหน่งประมุขคนใหม่หลังจาก การสน้ิ ราชวงศบ์ รู บ์ ง (Bourbons) ตวั เลอื กแรกทแ่ี นน่ อนคอื กษตั รยิ เ์ ฟอรด์ นิ านของโปรตเุ กส หรอื ไมก่ พ็ ระโอรสของพระองค์ คอื เจา้ ชายหลยุ ส์ แตก่ ษตั รยิ ท์ ง้ั สองพระองคย์ งั ไมแ่ นใ่ จวา่ ๔๓Robert H. Lord, The Origins of the War of 1870: new documents from the German archives, (Cambridge: Harvard University Press, 1924), p.10. ๔๔Otto Pflanje, Bismarck and the development of Germany: the period of unification, 1815-1871, (Princeton: Princeton University Press, 1963), p.433. ๔๕Robert H. Lord, ibid., p.12. 140
141 จะรบั ต�ำ แหนง่ น้ี ดงั นน้ั รฐั บาลสเปนจงึ หาตวั เลอื กอน่ื โดยมงุ่ ไปทเ่ี จา้ ชายเลโอโปลด์ โฮเฮน ซอลเลริ น์ ซง่ึ เปน็ โอรสของเจา้ ชาย Anton of Hohenzollern Sigmaringen พระอนชุ า พระเจ้าชาร์ลแห่งราชบัลลังก์โรมาเนียซ่ึงเป็นราชวงศ์คาทอลิค อีกท้ังยังเป็นต้นราชวงศ์ ของเยอรมันตอนใต้ด้วย ซ่ึงพระองค์เกือบจะได้ครองราชย์เป็นกษัตริย์ปรัสเซียหากไม่ เพราะความแตกแยกของสายราชวงศ์ ฉะน้ันเท่ากับว่าเจ้าชายเลโอโปลด์จึงเป็นเจ้าชาย แหง่ ปรสั เซยี อยา่ งแทจ้ รงิ ๔๖ กลา่ วโดยสรปุ คอื เจา้ ชายเลโอโปลดเ์ ปน็ พระญาตขิ องพระเจา้ ไกเซอร์ วลิ เลยี มท ่ี ๑ แหง่ ปรสั เซยี นน่ั เอง๔๗ พระเจ้านโปเลียนน้ันต้องการให้เจ้าชายชาร์ลแห่งโรมาเนียได้ตำ�แหน่งน้ี มากกวา่ สว่ นเจา้ ชายเลโอโปลดน์ น้ั พระองคท์ รงเหน็ วา่ ควรจะเปน็ กษตั รยิ ท์ ก่ี รซี แตบ่ สิ มารค์ ก็กล่าวดักทางพระเจ้านโปเลียนไว้ว่า “เขาไม่เคยสงสัยเลยว่าราชวงศ์โฮเฮนซอลเลิร์น มคี วามสมั พนั ธใ์ กลช้ ดิ กบั พระเจา้ นโปเลยี น ซง่ึ เทา่ กบั วา่ ฝรง่ั เศสจะตอ้ งสนบั สนนุ ใหเ้ จา้ ชาย ไดค้ รองบลั ลงั กส์ เปนแนน่ อน”๔๘ ในเดอื นพฤศจกิ ายน ค.ศ. ๑๘๖๖ มกี ารพบปะพดู คยุ กนั ระหวา่ งกลมุ่ ปฏวิ ตั ขิ องสเปน และ Werthern ทตู ปรสั เซยี ซง่ึ ปรสั เซยี ยนื ยนั ชดั เจนวา่ ต�ำ แหนง่ กษตั รยิ ส์ เปนจะตอ้ งเปน็ เจ้าชายเลโอโปลด์เท่าน้ัน อีกท้ังประเทศต่างๆ ก็เร่ิมเห็นด้วยกับความคิดของปรัสเซีย ค.ศ. ๑๘๖๘ ชอ่ื ของเจา้ ชายเลโอโปลดก์ ลายเปน็ เรอ่ื งพาดหวั ขา่ วหนงั สอื พมิ พต์ า่ งชาตทิ กุ ฉบบั วา่ นา่ จะเปน็ ผไู้ ดค้ รองบลั ลงั กน์ ้ี แตอ่ กี ดา้ นหนง่ึ เจา้ ชายเลโอโปลดไ์ ดอ้ ภเิ ษกสมรสกบั เจา้ หญงิ Donha Antonia ราชธดิ ากษตั รยิ อ์ งคก์ อ่ นของโปรตเุ กส หากเจา้ ชายเฟอรด์ นิ านและเจา้ ชาย หลุยส์ปฏิเสธบัลลังก์โปรตุเกสแล้ว เจ้าชายเลโอโปลด์คือตัวเลือกท่ีดีท่ีสุดของราชวงศ์ ไอบเี รยี น๔๙ เดอื นธนั วาคม ปเี ดยี วกนั บสิ มารค์ ไดใ้ ห้ Theodore von Bernhardi อดตี ทตู ปรสั เซยี ประจำ�อิตาลีไปปฏิบัติราชการลับในสเปน เพ่ือกล่อมความคิดผู้นำ�สเปนให้เห็นด้วยกับ การขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ใหม่ของเจ้าชายเลโอโปลด์ โดยช้ีว่าไม่มีใครเหมาะสมเท่า ๔๖Robert H. Lord, ibid., pp.13-14. ๔๗Charles Sowerwine, ibid., p.12. ๔๘Robert H. Lord, ibid., p.15. ๔๙Ibid., pp.16-17.
และด้วยเหตุน้ีชาวสเปนก็เร่ิมพิจารณาเจ้าชายมากข้ึน นอกจากน้ันบิสมาร์คยังใช้ช่องทาง เสนอข่าวผ่านส่ือเพ่ือสร้างภาพของเจ้าชาย (ซ่ึงได้รับการยืนยันจากทูตออสเตรียประจำ� สเปนว่าปรัสเซียอยู่เบ้ืองหลังการใช้ช่องทางของรัฐบาลสเปนในการโฆษณาตัวเจ้าชาย เลโอโปลด์) ผลประโยชน์ท่แี ท้จริงของการสนับสนุนเจ้าชายเลโอโปลด์ให้เป็นกษตั รยิ ใ์ หไ้ ด้ คอื การทป่ี รสั เซยี จะไดก้ องทพั สนบั สนนุ จากสเปนเปน็ สองตอ่ หนง่ึ เมอ่ื ตอ้ งรบกบั ฝรง่ั เศส๕๐ วันท่ี ๑๕ มีนาคม ค.ศ. ๑๘๗๐ มีการจัดเล้ียงสร้างความสัมพันธ์ระหว่าง รัฐบาลปรัสเซียและสเปน รวมท้งั ราชวงศ์โฮเฮนซอลเลิร์น และไม่ก่วี ันหลังจากงานเล้ยี ง เจา้ ชายเลโอโปลดไ์ ดป้ ระกาศสละสทิ ธใ์ิ นบลั ลงั กน์ ้ี ซง่ึ ไดส้ รา้ งความตกใจทง้ั รฐั บาลปรสั เซยี และสเปนเป็นอย่างมาก ส่วนบิสมาร์คก็คิดว่าไม่ได้ล้มเหลวมากนักหากเจ้าชายเลโอโปลด์ ทรงไมร่ บั ต�ำ แหนง่ น ้ี แลว้ สทิ ธกิ จ็ ะตกไปเปน็ ของเจา้ ชายเฟรเดอรคิ พระอนชุ า๕๑ เดือนเมษายน เจ้าชายเลโอโปลด์ร้สู ึกตะขิดตะขวงใจในการท่พี ระองค์ปฏิเสธ ตำ�แหน่ง แต่หลังจากท่ีถูกบิสมาร์คสร้างความสนิทชิดเช้ือและกระตุ้นความคิดทำ�ให้ เจ้าชายทรงพิจารณาท่ีจะรับตำ�แหน่งอีกคร้ัง บิสมาร์คจึงเร่งให้จัดการส่งข่าวไปยังสเปน ทนั ทที ป่ี ฏบิ ตั กิ ารลบั ใกลส้ �ำ เรจ็ ตอ่ มาเมอ่ื วนั ท่ี ๑๙ มถิ นุ ายน เจา้ ชายเลโอโปลดเ์ รยี กรอ้ ง พระอำ�นาจภายหลังท่ีได้ยอมรับว่าจะทรงเป็นกษัตริย์ ซ่ึงพระเจ้าไกเซอร์ วิลเลียมท่ี ๑ กท็ รงเหน็ ดว้ ย เจา้ ชายจงึ สง่ จดหมายไปยงั รฐั บาลสเปนในชยั ชนะครง้ั น้ี ในสว่ นของฝรง่ั เศส พระเจา้ นโปเลยี นจ�ำ ตอ้ งเผชญิ กบั ความจรงิ ทเ่ี กดิ ขน้ึ และพระองคจ์ ะตอ้ งปอ้ งกนั ไมใ่ หเ้ กดิ การเลอื กตง้ั ขน้ึ Prim เสนาบดชี าวสเปน จงึ ขอเขา้ เฝา้ พระเจา้ นโปเลยี นและพยายามท�ำ ให้ เหตกุ ารณส์ งบลง (สเปนไมไ่ ดม้ คี วามตง้ั ใจทจ่ี ะเปน็ ปฏปิ กั ษก์ บั ฝรง่ั เศส) ซง่ึ ตรงขา้ มกบั บสิ มารค์ เพราะเขาตอ้ งการเปดิ ฉากการรบเพยี งอยา่ งเดยี วเทา่ นน้ั ๕๒ ในการปฏิบัติการลับของรัฐบาลปรัสเซียกับราชวงศ์โฮเฮนซอลเลิร์นน้นั ไม่ได้ มีแต่เฉพาะบิสมาร์คเท่าน้นั ท่ีเป็นส่วนสำ�คัญในการผลักดันแผนการต่างๆ แต่ยังมี Prim ๕๐Ibid., pp.17-20. ๕๑Ibid., p.20. ๕๒Robert H. Lord, ibid., pp.22-23. 142
143 และ Salarza เสนาบดรี ฐั บาลสเปนอกี ดว้ ย ซง่ึ คดิ วา่ การเกลย้ี กลอ่ มใหเ้ จา้ ชายยอมตกลง พระทัย เพราะถ้าไม่รีบทำ�ก็อาจจะยุ่งยากและใช้เวลามากซ่ึงจะไม่ทันการ Salarza น้ัน กลับไปสเปนโดยไม่ได้นำ�เร่ืองน้ีไปบอกกับใคร แต่ความลับน้ันกลับแพร่กระจายไปท่ัว มาดรดิ สว่ น Prim ซง่ึ ก�ำ ลงั เปดิ ประชมุ สภากเ็ ลย่ี งทจ่ี ะเปดิ เผยตอ่ แผนการทเ่ี ขาท�ำ และ ไม่ยอมรับต่อเอกอัครราชทูตฝร่งั เศส เม่อื ฝร่งั เศสทราบข่าวว่าเจ้าชายเลโอโปลด์ต้องการ ท่จี ะเปน็ ตวั เลือกของต�ำ แหนง่ กษัตรยิ ์สเปนอกี คร้งั กเ็ กดิ การประท้วงข้นึ ในสภา ซ่งึ ฝร่งั เศส ตอ้ งพยายามท�ำ ความเขา้ ใจในแผนการของบสิ มารค์ อยา่ งลกึ ซง้ึ และการเปน็ ศตั รกู บั ปรสั เซยี แบบโกรธกรว้ิ นน้ั จะท�ำ ใหฝ้ รง่ั เศสตกอยใู่ นกบั ดกั งา่ ยขน้ึ ๕๓ ฝร่ังเศสเปิดการตอบโต้ด้วยวีธีทางการทูตแบบโจมตีในวันท่ี ๔ กรกฎาคม โดยการดำ�เนินการเจรจาให้พระเจ้าไกเซอร์ วิลเลียมท่ี ๑ ยกเลิกการสนับสนุนเจ้าชาย เลโอโปลด์ ซง่ึ ท�ำ ใหบ้ สิ มารค์ โกรธมาก และกลา่ ววา่ ฝรง่ั เศสใชว้ ธิ กี ารหยาบคาย Werther ทูตปรัสเซียประจำ�ฝร่ังเศสได้นำ�จดหมายจากกรามงต์และโอลิวิเยร์ไปทูลพระเจ้าไกเซอร์ วิลเลียม ซ่ึงตัวเขาเองไม่ได้ล่วงรู้แผนการของบิสมาร์คเลย อีกท้ังยังไม่พอใจในแผนการ ของนายกรฐั มนตรคี นน ้ี เนอ่ื งจากท�ำ ใหฝ้ รง่ั เศสตอ้ งขดั แยง้ กบั ปรสั เซยี อยเู่ สมอๆ๕๔ บสิ มารค์ เอง กค็ ดิ วา่ ตวั เองท�ำ เรอ่ื งผดิ พลาดทส่ี ง่ Werther ไปเปน็ ทตู ทป่ี ารสี ๕๕ กรามงต์ (Duke de Gramont) ตวั ละครส�ำ คญั ในแผนของบสิ มารค์ เนอ่ื งจาก อุปนิสัยของเขาไม่เหมือนนักการทูตท่ีสุขุมนุ่มลึก เขาเติบโตมาในช่วงท่ีฝร่ังเศส เปน็ ผปู้ กครองยโุ รป ท�ำ ใหม้ คี วามภาคภมู ใิ จในมาตภุ มู อิ ยา่ งรนุ แรง และไมส่ นใจวา่ เกยี รติ ของฝร่ังเศสจะไปกระทบและเป็นปัญหากับรัฐใดบ้าง อีกท้ังเขายังไม่มีประสบการณ์ ในการเจรจานโยบายใหญๆ่ เมอ่ื เขาไดร้ บั ขา่ วจากมาดรดิ จงึ รบี ด�ำ เนนิ การสง่ โทรเลขไปเบอรล์ นิ ถงึ เหตกุ ารณท์ เ่ี กดิ ขน้ึ ในสเปน เขาไดร้ บั ค�ำ ตอบจากบสิ มารค์ วา่ “รฐั บาลปรสั เซยี ไมไ่ ดล้ ว่ งรู้ ถงึ ภารกจิ นแ้ี ละไมไ่ ดค้ ดิ วา่ เรอ่ื งนจ้ี ะเกดิ ขน้ึ ”๕๖ ๕๓Ibid., p.29. ๕๔Ibid., p.36. ๕๕Otto Pflanje, ibid., p.449. ๕๖Otto Pflanje, ibid., p.450.
Werther กลบั มาปารสี พรอ้ มกบั น�ำ เอาพระด�ำ รสั ของพระเจา้ ไกเซอร์ วลิ เลยี ม ท่ ี ๑ ว่าตัวพระองค์เองก็เข้าใจเจตนารมณ์ของรัฐบาลสเปนเก่ยี วกับเร่อื งเจ้าชายเลโอโปลด์ ซ่ึงพระองค์ปฏิเสธว่าไม่มีใครมามีอิทธิพลเหนือเร่ืองราวท้ังหมด และพระองค์ก็ไม่ได้ สนับสนุนใครเป็นพิเศษ ถึงแม้ว่าท้ังรัฐบาลปรัสเซียและสเปนจะเปล่ียนใจอย่างไรน้ัน ตวั พระองคเ์ องกไ็ มไ่ ดร้ ู้ และไมม่ คี วามคดิ เหน็ ใดๆ ตอ่ การตดั สนิ ใจดงั กลา่ ว๕๗ เหตุการณ์น่าจะจบลงด้วยดีแต่รัฐบาลฝร่ังเศสก็ดำ�เนินการกระช้ันเข้ามาอีก ทจ่ี รงิ แลว้ พระเจา้ นโปเลยี นท่ี ๓ ซง่ึ ตอนนก้ี ช็ ราภาพมากแลว้ และประชวรอยเู่ สมอ ไมค่ อ่ ย จะรบั ผดิ ชอบตอ่ เหตกุ ารณท์ เ่ี กดิ ขน้ึ มากนกั ซง่ึ เรอ่ื งทง้ั หมดนน้ั กเ็ ปน็ เพราะพระราชนิ เี ออเชนี (Eugénie) ซง่ึ ทรงชงิ ชงั โปรเตสแตนทบ์ วกกบั ความรสู้ กึ เกลยี ดชาวปรสั เซยี ๕๘ ซง่ึ กส็ อดรบั กบั หลกั การของกรามงตพ์ อดี ทง้ั สองจงึ เตรยี มเจรจากบั พระเจา้ ไกเซอรว์ ลิ เลยี มท่ี ๑ ซง่ึ ในขณะนน้ั พกั อยทู่ เ่ี มอื งเอมส ์ (Ems) และอยหู่ า่ งไกลจากบสิ มารค์ ทพ่ี กั รกั ษาอาการปว่ ยทเ่ี มอื งวารแ์ ซง (Varzin) กรามงต์ใช้โอกาสท่ีสภาฝร่ังเศสมีความยุ่งเหยิงเก่ียวกับปัญหาเจ้าชายเลโอโปลด์ เข า จึ ง ป ลุ ก ร ะ ด ม ส ภ า ว่ า เร่ือ ง น้ีเ ป็ น อั น ต ร า ย แ ล ะ เ ป็ น ภั ย คุ ก ค า ม ข อ ง ยุ โร ป แ ล ะ ข อ ง “ผลประโยชน์แห่งชาติและเกียรติยศ” ของฝร่ังเศส เขาจึงส่ังให้เบเนเดตตี (Benedetti) ทูตฝร่ังเศสประจำ�ปรัสเซียเดินทางไปเมืองเอมส์เพ่ือโน้มน้าวให้พระเจ้าไกเซอร ์ วิลเลียม ทรงสง่ั การ “ถา้ ไมส่ ง่ั การกแ็ นะน�ำ ใหเ้ จา้ ชายเลโอโปลดส์ ละสทิ ธ”์ิ ๕๙ ส่วนตัวพระเจ้าไกเซอร ์ วิลเลียมเอง ก่อนหน้าน้โี ดนบิสมาร์คพยายามกล่อม ความคิดให้เช่ือว่าตอนน้ีฝร่ังเศสกำ�ลังเตรียมทำ�สงครามกับปรัสเซีย ทำ�ให้พระองค์ ไมพ่ อพระทยั อยา่ งมากและควรจะตอ้ งมที า่ ทแี ขง็ กรา้ วบา้ ง แตอ่ ยา่ งไรกต็ ามพระประสงคห์ ลกั ของพระองค์ คอื สนั ตภิ าพส�ำ หรบั ราชบลั ลงั กส์ เปน ซง่ึ พวกเขาเหลา่ นจ้ี ะตดั สนิ ใจดว้ ยตวั เอง พระองคไ์ มไ่ ดส้ ง่ั การอะไรเลย ปรสั เซยี ไมม่ ผี ลประโยชนใ์ นเรอ่ื งน้ี ฝรง่ั เศสตา่ งหากปรารถนา ทจ่ี ะแทรกแซงใหเ้ รอ่ื งนพ้ี งั พนิ าศมากกวา่ ๖๐ ๕๗Robert H. Lord, op.cit., p.36. ๕๘Geoffrey Wawro, op.cit., p.106. ๕๙Otto Pflanje, op.cit., p.452. ๖๐Robert H. Lord, op.cit., p.40-41. 144
145 เมอ่ื บสิ มารค์ ไดร้ บั ขอ้ ความจากกรามงตแ์ ลว้ กป็ ระหลาดใจในเนอ้ื หาทม่ี นี ยั ชวน ทะเลาะ เขาเอย่ ขน้ึ มาวา่ “กรามงตไ์ มน่ า่ พดู อยา่ งประมาทแบบนเ้ี ลย” ทเ่ี มอื งเอมส ์ พระเจา้ ไกเซอร ์ วลิ เลยี มท ่ี ๑ ทรงตระหนกั ถงึ ถอ้ ยค�ำ ของกรามงต ์ ซง่ึ แสดงวา่ ตวั เขาไมไ่ ดต้ อ้ งการ สนั ตภิ าพเลยแมแ้ ตน่ อ้ ย และพระองคไ์ ดส้ ญั ญากบั บสิ มารค์ แลว้ วา่ จะตรสั แบบรนุ แรงบา้ ง ดงั นน้ั เมอ่ื โปรดเกลา้ ฯ ใหเ้ บเนเดตตเี ขา้ เฝา้ พระองคท์ รงตรสั วา่ “พระองคไ์ มม่ อี �ำ นาจใดๆ ทจ่ี ะให้ เจา้ ชายเลโอโปลดส์ ละสทิ ธ”์ิ ๖๑ วันท่ี ๑๐ กรกฎาคม ชาร์ล แอนโทนี ผู้แทนเจรจาของเจ้าชายเลโอโปลด์ ถกู โจมตที ง้ั ปารสี และเอมสถ์ งึ ความคลมุ เครอื ของเรอ่ื งดงั กลา่ ว เขาจงึ ตดั สนิ ใจใชอ้ �ำ นาจของตน เปน็ ผสู้ ละสทิ ธต์ิ �ำ แหนง่ กษตั รยิ ส์ เปนแทนเจา้ ชายเลโอโปลด ์ ขา่ วนท้ี �ำ ใหพ้ ระเจา้ ไกเซอร์ วลิ เลยี ม รสู้ กึ เหมอื นยกภเู ขาออกจากอก ทางดา้ นฝรง่ั เศสรบั รถู้ งึ ชยั ชนะและแพรข่ อ้ ความเยาะเยย้ ปรสั เซยี ผา่ นสอ่ื สว่ นบสิ มารค์ นน้ั เตรยี มแผนการอน่ื คอยไวแ้ ลว้ จงึ สง่ โทรเลขใหท้ ตู ทง้ั หลาย ท่ัวยุโรปเข้าใจว่าเจ้าชายเลโอโปลด์ได้สละสิทธ์ิในบัลลังก์สเปนแล้ว ส่วน Werther น้ัน ไดส้ ง่ โทรเลขไปยงั ฝรง่ั เศสวา่ “ค�ำ ประกาศอยา่ งเปน็ ทางการนส้ี รา้ งความพอใจใหแ้ กฝ่ รง่ั เศส อยา่ งแนน่ อน”๖๒ กรามงต์ทำ�ผิดพลาดทางการทูตมาคร้ังหน่ึงแล้วท่ีใช้วาจาเชิงบังคับกับพระเจ้า ไกเซอร์ วิลเลียม ต่อมาเขาก็ขอให้ Werther ทูลพระเจ้าไกเซอร์ วิลเลียมให้พระองค์ ส่งจดหมายมาขอโทษพระเจ้านโปเลียน ซ่ึงจะช่วยให้เกิดความสงบแก่ฝร่ังเศส อีกท้ัง กรามงต์ยังส่งโทรเลขบอกให้เบเนเดตตีทูลพระเจ้าไกเซอร์ วิลเลียมให้ทำ�สัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร เก่ียวกับเร่ืองคำ�ประกาศของชาร์ล แอนโทนี ในการสละสิทธ์ิคร้ังน้ีของเจ้าชายเลโอโปลด์ เพ่ือท่ีว่า “จะทำ�ให้ฝร่ังเศสม่ันใจได้ว่าพระเจ้าไกเซอร์ วิลเลียมท่ี ๑ จะไม่มีอำ�นาจ ในการเปลย่ี นแปลงวา่ ทก่ี ษตั รยิ ข์ องสเปนอกี ”๖๓ เบเนเดตตจี งึ เขา้ เฝา้ พระเจา้ ไกเซอร ์ วลิ เลยี ม ท ่ี Kurgarten ๖๑Otto Pflanje, op. cit., p.452. ๖๒Ibid., p.454. ๖๓Ibid., p.455.
วนั ท่ี ๑๓ กรกฎาคม ระหวา่ งทร่ี บั ประทานอาหารกบั โมลทเ์ กและฟอน รนู บสิ มารค์ ยำ�้ ถามโมลท์เกอีกคร้งั ว่ากำ�ลังทหารพร้อมหรือยัง เม่อื ได้รับคำ�ตอบท่นี ่าพอใจแล้วเขาจึง จรดปากกา ซง่ึ กค็ อื การลบบางค�ำ ในโทรเลขเพอ่ื ใหก้ ะทดั รดั ขน้ึ รวมทง้ั เปลย่ี นความหมาย ในเชงิ ทห่ี ยง่ิ ทะนงวา่ “พระเจา้ ไกเซอร์ วลิ เลยี มท่ี ๑ ทรงไมต่ อ้ นรบั เบเนเดตตแี ละการเจรจา ท้ังหมด” เช้าต่อมากรามงต์หน้าเขียวทันทีเม่ือได้รับโทรเลขจากเอมส์ เขารู้สึกเหมือนถูก ตบหน้า ข่าวจากเบอร์ลินแพร่สะพัดไปท่ัวจนในปารีสเกิดผู้ชุมนุมตามท้องถนนมากมาย ต่างร้องตะโกนว่า “ไปเบอร์ลิน” “ทำ�ให้ปรัสเซียแพ้ราบคาบ” และร้องเพลงชาติฝร่งั เศส (Marseillaise) เพอ่ื ปลกุ ระดม๖๔ ในโทรเลขจากเอมส ์ ดเู หมอื นขอ้ ความของพระเจา้ ไกเซอร ์ วลิ เลยี มยงั คงสภุ าพ จนจบประโยค อกี ทง้ั การเขา้ เฝา้ ของเบเนเดตตคี รง้ั นน้ั พระองคย์ งั สง่ สญั ญาณเปน็ นยั วา่ จะ ยอมรบั ทเ่ี จา้ ชายทรงสละสทิ ธ ์ิ ทางพระเจา้ นโปเลยี นเองกท็ รงเรม่ิ กลวั แตท่ �ำ อะไรไมไ่ ดแ้ ลว้ เมอ่ื ถกู เหลา่ ประชาชนชาตนิ ยิ มเขา้ บบี บงั คบั ใหจ้ ำ�เปน็ ตอ้ งประกาศสงครามกบั ปรสั เซยี บสิ มารค์ เชอ่ื วา่ ความจ�ำ เปน็ นใ้ี นสภาฝรง่ั เศสไมม่ ที ง้ั สตปิ ญั ญาและความเฉยี บขาดทจ่ี ะหลกี เลย่ี งมนั ได๖้ ๕ ทางด้านประเทศต่างๆ น้ันไม่กล้าเข้ามายุ่งเก่ียวเพราะคิดว่าฝร่ังเศสจะ ชนะสงคราม องั กฤษน้นั ได้ประกาศความเป็นกลางอย่างแนน่ อน เช่นเดยี วกับรัสเซยี ทบ่ี สิ มาร์ค ไปทำ�สัญญาไว้ในปี ค.ศ. ๑๘๖๘ ออสเตรียกำ�ลังคอยทีท่าอย่วู ่าฝร่งั เศสจะรบชนะหรือไม่ อกี ทง้ั ออสเตรยี เพง่ิ บอบช�ำ้ มาจากสงครามกบั ปรสั เซยี กอ่ นหนา้ น้ี สว่ นอติ าลนี น้ั ยงั มคี วาม เปน็ ไปไดท้ จ่ี ะแทรกแซงแตก่ �ำ ลงั พจิ ารณาดทู ที า่ ของฝรง่ั เศสวา่ จะรกั ษาดนิ แดนฝง่ั แมน่ �ำ้ ไรน์ และเกียรติยศอันสูงส่งได้หรือไม่๖๖ ซ่ึงเท่ากับว่าไม่มีประเทศไหนจะเข้ามายุ่งเก่ียวกับสงคราม ครง้ั นเ้ี ลย ฝรง่ั เศสจ�ำ ตอ้ งประกาศสงครามกบั ปรสั เซยี ในวนั ท ่ี ๑๙ กรกฎาคม ค.ศ. ๑๙๗๐ ๖๔Ibid., p.456. ๖๕Ibid., p.457. ๖๖René Albrecht-Carrie, A diplomatic history of Europe since the congress of Vienna (New York: Harper & Row, Publishers, 1973), p.136. 146
147 สรปุ ผลของสงครามระหว่างฝร่งั เศสและปรัสเซียคร้งั น้มี ีผ้เู ปรียบเปรยไว้ว่า “ยุโรป สญู เสยี นายหญงิ และไดน้ ายผชู้ ายมาแทน (Europe has lost the Mistress and won the Master)” เทา่ กบั วา่ ชยั ชนะของปรสั เซยี เปน็ การปดิ ฉากยคุ หนง่ึ และเปดิ ฉากอกี ยคุ หนง่ึ เป็นการย้ายศูนย์กลางทางการเมืองของยุโรปจากปารีสไปเบอร์ลิน ยุคเก่าซ่ึงเคยถือว่า ฝร่งั เศสเป็นผ้นู ำ�ด้านต่างๆ เปล่ยี นไปเป็นยุคท่ถี ือเยอรมันเป็นผ้นู �ำ ด้านทหาร เศรษฐกิจ การเมอื ง และดา้ นอน่ื ๆ๖๗ ทง้ั หมดนเ้ี กดิ จากการท�ำ สงครามเพอ่ื รวมชาตเิ ยอรมนขี องปรสั เซยี ซ่ึงนับต้ังแต่อดีตเป็นต้นมาชาติเยอรมันถูกมหาอำ�นาจเช่นฝร่ังเศสแทรกแซงไม่ให้ มกี ารรวมประเทศกนั ได ้ เยอรมนั จงึ ตอ้ งแบง่ เปน็ รฐั นอ้ ยใหญต่ ามนโยบายของรฐั มหาอำ�นาจ ซ่ึงพยายามยึดเอาดินแดนไปเป็นของตนอยู่เสมอๆ โดยเฉพาะในสมัยพระเจ้านโปเลียนท่ี ๑ ต่อมาในศตวรรษท่ี ๑๙ ได้เกิดแนวคิดชาตินิยมข้ึนมา ทำ�ให้คนเยอรมันตระหนักถึง ความเปน็ อนั หนง่ึ อนั เดยี วกนั ของชาต ิ ปรสั เซยี ในขณะนน้ั ภายใตก้ ารน�ำ ของพระเจา้ เฟรเดอรคิ วิลเลียมท่ี ๔ ได้เร่ิมการรวมเยอรมนีข้ึน โดยพยายามจะรวมภายใต้ระบบสามกษัตริย์ และไม่ต้องการให้ออสเตรียรวมอย่ดู ้วย จึงทำ�ให้ปรัสเซียเกิดความขัดแย้งกับออสเตรียในการท่ี จะเปน็ ผนู้ �ำ ในการรวมเยอรมนคี รง้ั น้ี ตอ่ มาในสมยั พระเจา้ ไกเซอร ์ วลิ เลยี มท ่ี ๑ ฐานะ ของปรัสเซียได้พัฒนาทางเศรษฐกิจไปไกลกว่ารัฐเยอรมันอ่ืนๆ ทำ�ให้ปรัสเซียกลายเป็น มหาอำ�นาจท้ังการขนส่งและระบบเศรษฐกิจ และมีแนวโน้มท่ีจะเป็นผู้นำ�ในการรวม เยอรมน ี นอกจากนพ้ี ระเจา้ ไกเซอร์ วลิ เลยี มท ่ี ๑ ไดเ้ สรมิ สรา้ งกองทพั บกใหม้ ศี กั ยภาพ แต่ก็เกิดอุปสรรคข้นึ เม่อื สภาท่มี ีกล่มุ เสรีนิยมได้ท่นี ่งั มากกว่าไม่อนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่าย ทางทหาร ท�ำ ใหม้ ตขิ องพระเจา้ ไกเซอร ์ วลิ เลยี มท ่ี ๑ ไมผ่ า่ นถงึ สองครง้ั พระองคจ์ งึ จะ สละราชสมบตั ิ แตจ่ งั หวะเดยี วกนั นน้ั บสิ มารค์ กเ็ ขา้ มาชว่ ยแกไ้ ขสถานการณใ์ หด้ ขี น้ึ กลา่ วคอื เขาไดใ้ ชห้ ลกั การเลอื ดและเหลก็ เสนอตอ่ สภาในการรวมเยอรมนี ซง่ึ ดว้ ยอปุ นสิ ยั แขง็ กรา้ ว และฉลาดหลักแหลมของบิสมาร์ค ช่วยให้ปรัสเซียดำ�เนินนโยบายต่างประเทศ อย่างมีประสิทธิภาพ ต่อมาปรัสเซียจำ�เป็นต้องทำ�สงครามเพ่ือไม่ให้ประเทศเพ่ือนบ้าน ๗๔นนั ทกา โชตกิ ะพกุ กณะ, อา้ งแลว้ , หนา้ ๑๓๑.
เป็นอุปสรรคในการรวมเยอรมนี ชาติแรกคือเดนมาร์ก โดยปรัสเซียหยิบยกเอาปัญหา แคว้นชเลสวิกและโฮลสไตน์ ท่ีเดนมาร์กพยายามผนวกไปเป็นของตน ทำ�ให้ปรัสเซีย และออสเตรียร่วมกันทำ�สงครามจนสามารถเอาชนะเดนมาร์กได้ และต่อมาปรัสเซีย และออสเตรียก็ทำ�สงครามกันเองเพ่ือแสดงศักยภาพให้ชัดเจนว่ารัฐใดควรจะเป็นผู้นำ� ในการรวมเยอรมน ี ปรสั เซยี ซง่ึ มคี วามกา้ วหนา้ ทางการทหาร เศรษฐกจิ และระบบขนสง่ รถไฟ ดกี วา่ ออสเตรยี สามารถใชเ้ วลาเพยี งเจด็ สปั ดาหเ์ ทา่ นน้ั ในการเอาชนะออสเตรยี สงคราม สุดท้ายซ่ึงถือว่าเป็นสงครามคร้ังสำ�คัญของปรัสเซีย เพราะฝร่ังเศสนับต้ังแต่สมัยพระเจ้า นโปเลียนที่ ๑ เป็นต้นมาเป็นประเทศที่มีความแข็งแกร่งมากที่สุดในยุโรป นอกจาก มีกองกำ�ลังทหารท่ีเตรียมพร้อมแล้ว บิสมาร์คยังต้องดำ�เนินวิธีการทูตอย่างชาญฉลาด ซง่ึ หมากตวั หนง่ึ ในแผนการนค้ี อื เจา้ ชายเลโอโปลด์ โฮเฮน ซอลเลริ น์ วา่ ทก่ี ษตั รยิ ข์ องสเปน ซง่ึ เปน็ พระญาตขิ องพระเจา้ ไกเซอร ์ วลิ เลยี มท่ี ๑ ฝรง่ั เศสไมเ่ หน็ ดว้ ยกบั ต�ำ แหนง่ นแ้ี ละคดั คา้ น มาโดยตลอด จนกระทง่ั การท�ำ สงครามทางการทตู อยา่ งกา้ วรา้ วตอ่ พระเจา้ ไกเซอร ์ วลิ เลยี ม จนถงึ เหตกุ ารณโ์ ทรเลขจากเอมสท์ บ่ี สิ มารค์ ท�ำ การตดั ขอ้ ความบางอยา่ งและแปลงความหมาย ไปในเชิงท่ที ้งั สองฝ่ายเข้าใจผิดซ่งึ กันและกัน จนบีบให้ฝร่งั เศสต้องทำ�สงครามกับปรัสเซีย ในทส่ี ดุ 148
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154