รฐั สภาสาร ทีป่ รกึ ษา วัตถปุ ระสงค์ นายสรศักด ์ิ เพยี รเวช เป็นวารสารเพ่ือเผยแพร่การปกครองระบอบ นางสาวโสมอุษา บรู ณะเหตุ ป ร ะ ช า ธิ ป ไ ต ย อั น มี พ ร ะ ม ห า ก ษั ต ริ ย์ ท ร ง เ ป็ น ป ร ะ มุ ข และเพ่ือเสนอข่าวสารวิชาการในวงงานรัฐสภาและอื่นๆ บรรณาธิการ ท้ังภายในและตา่ งประเทศ นางจงเดอื น สุทธริ ัตน์ การส่งเรอื่ งลงรฐั สภาสาร กองบรรณาธกิ าร ส่งไปท่ีบรรณาธิการวารสารรัฐสภาสาร นางสาวอารยี ว์ รรณ พูลทรัพย์ กลุม่ งานผลติ เอกสาร ส�ำ นักประชาสมั พนั ธ์ นายพิษณุ จารยี พ์ นั ธ์ สำ�นักงานเลขาธิการสภาผแู้ ทนราษฎร นางสาวอรทัย แสนบุตร เลขท่ ี ๑๑๐ ถนนประดพิ ทั ธ ์ แขวงพญาไท นางสาวจฬุ วี รรณ เติมผล เขตพญาไท กรุงเทพฯ ๑๐๔๐๐ นายก้องเกียรต ิ ผอื โย โทร. ๐ ๒๒๔๔ ๒๒๙๔-๕ นางสาวสหวรรณ เพช็ รไทย โทรสาร ๐ ๒๒๔๔ ๒๒๙๒ นางสาวนธิ ิมา ประเสริฐภักดี e-mail: [email protected] ฝา่ ยศิลปกรรม การส่งบทความลงเผยแพร่ในวารสารรัฐสภาสาร นายมานะ เรืองสอน จะต้องเป็นบทความที่ไม่เคยลงพิมพ์ในวารสารใดมาก่อน นายนิธิทัศน์ องคอ์ ศิวชยั การพิจารณาอนุมัติบทความท่ีนำ�มาลงพิมพ์ดำ�เนินการ นางสาวณัฐนันท์ วิชิตพงศเ์ มธี โดยกองบรรณาธกิ าร ท้ังน้ี บทความ ขอ้ ความ ความคิดเห็น หรือข้อเขียนใดที่ปรากฏในวารสารเล่มน้ีเป็นความเห็นส่วนตัว ฝา่ ยธุรการ ไมผ่ ูกพนั กับทางราชการแตป่ ระการใด นางสาวเสาวลกั ษณ ์ ธนชัยอภิภทั ร นางสาวดลธ ี จลุ นานนท์ นางสาวจรยิ าพร ดีกลั ลา นางสาวอาภรณ์ เนอ่ื งเศรษฐ์ นางสาวสรุ ดา เซ็นพานิช พมิ พท์ ี่ ส�ำ นักการพมิ พ์ ส�ำ นักงานเลขาธิการสภาผแู้ ทนราษฎร ผู้พิมพ์ผโู้ ฆษณา นายคณุ วฒุ ิ ตันตระกลู
บทบรรณาธิการ สวสั ดปี ใี หมท่ า่ นผอู้ า่ นวารสารรฐั สภาสารทกุ ทา่ นคะ่ ขอใหป้ ใี หมพ่ าความสขุ ใหมๆ่ เปา้ หมาย ใหมๆ่ และแรงบันดาลใจใหมๆ่ มาสูท่ ุกทา่ น และขอใหเ้ ปน็ ปที ีเ่ ต็มไปด้วยความสขุ นะคะ ในเดือนแรกของปีนี้ การเมืองไทยยังคงมีความเคล่ือนไหวอย่างต่อเน่ืองมาจากปลายป ี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งฟากรัฐบาลและฝ่ายค้านต่างท�ำงานทางการเมืองในสภาอย่างเต็มท ี่ ท้ังการพิจารณาร่างงบประมาณรายจ่ายประจ�ำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ การพิจารณาเร่ืองต่างๆ ทค่ี า้ งมาจากการประชมุ ทผี่ า่ นมา และคาดวา่ ตน้ กมุ ภาพนั ธน์ ้ี จะมกี ารยนื่ ญตั ตขิ อเปดิ อภปิ รายไมไ่ วว้ างใจ รัฐบาลของฝ่ายค้าน หากท่านผู้ใดสนใจสามารถติดตามการถ่ายทอดสดการประชุมได้ทางสถานี วิทยุโทรทศั นร์ ัฐสภา ช่อง ๑๐ คะ่ ส�ำหรับวารสารรฐั สภาสารฉบบั เดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ ทางกองบรรณาธกิ ารได้ คัดสรรบทความมาน�ำเสนอท่านผู้อ่าน ๔ บทความ โดยบทความเร่ืองแรก “ระบบพลเรือนควบคุม กองทพั : บททดสอบความมั่นคงของระบอบประชาธิปไตย” มเี นือ้ หาเกีย่ วกับความสมั พนั ธ์ระหวา่ ง กองทัพกับรัฐบาล ซงึ่ ผู้เขียนต้องการเสนอหลักการและแนวคิดระบบพลเรือนควบคมุ กองทพั และช้ีให้ เห็นว่า ประเทศใดท่ีปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง กองทัพจะอยู่ภายใต้การควบคุมของ รฐั บาลอยา่ งเครง่ ครดั เนอ่ื งจากประชาชนมสี ทิ ธติ รวจสอบกองทพั กองทพั เคารพหลกั การประชาธปิ ไตย และมีการด�ำเนินการแก้ไขความขัดแย้งทางการเมืองโดยสันติวิธี โดยยกตัวอย่างการด�ำเนินการของ สหรัฐอเมรกิ าท่เี ป็นมหาอำ� นาจทางดา้ นการทหาร และสาธารณรฐั เกาหลี ซึ่งเปน็ ประเทศท่เี คยปกครอง แบบเผด็จการมาอย่างยาวนานก่อนเปล่ียนสู่ระบอบประชาธิปไตย ทั้งสองประเทศไม่เคยประสบกับ เหตกุ ารณ์กองทัพเขา้ ยึดอำ� นาจรัฐบาลพลเรอื น บทความเร่ืองท่ีสอง “สังคมอุดมปัญญาประชาธิปไตย” (Democratic Intelligence Society) เป็นบทความที่น�ำเสนอองค์ประกอบของการเป็นสังคมที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง แม้ดูเหมือนเป็นสังคมในอุดมคติ แต่ในอนาคต หากทุกคนตระหนักและร่วมมือกันผลักดันให้เข้าถึง วถี ที างประชาธิปไตย สังคมไทยกจ็ ะก้าวไปสกู่ ารเป็นสังคมอุดมปญั ญาประชาธปิ ไตยแน่นอน บทความเร่ืองท่ีสาม “บทวิเคราะห์พัฒนาการด้านเศรษฐกิจการเมืองในพื้นท่ี กรุงเทพมหานครภายหลังสงครามโลกคร้ังท่สี อง ในช่วงปี ค.ศ. ๑๙๕๐ - ๑๙๙๗” เป็นการวิเคราะห์ พฒั นาการดา้ นเศรษฐกจิ ของไทยในชว่ งหลงั สงครามโลกครง้ั ทสี่ อง ทสี่ ง่ ผลกระทบตอ่ การเมอื งและสงั คม โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และเมื่อการเมืองและโครงสร้างสังคมเปลี่ยนก็มีผลต่อ สภาพเศรษฐกิจต่อเนื่องเรื่อยมา กรุงเทพมหานคร ปัจจุบันจึงกลายเป็นมหานครที่มีความหลากหลาย ของประชากร สังคม วฒั นธรรม และรูปแบบเศรษฐกจิ ทีซ่ ับซ้อน
บทความเรื่องสดุ ท้าย เปน็ เร่อื งราวเกย่ี วกบั การก�ำหนดนโยบายของผูน้ �ำท่ีส่งผลตอ่ เศรษฐกจิ สังคม และการเมืองในประเทศ โดยเฉพาะในประเด็นการเลือกใช้นโยบายประชานิยม การสนับสนุน รฐั วสิ าหกจิ และสนบั สนนุ อตุ สาหกรรมแทนการนำ� เขา้ ทดี่ เู หมอื นประชาชนไดป้ ระโยชน์ แตใ่ นระยะยาว กลับท�ำให้เศรษฐกิจก้าวสู่วิกฤต เกิดภาวะเงินเฟ้อ สังคมมีความเหล่ือมล้�ำและแตกแยก รายละเอียด จะเป็นอย่างไร ติดตามอ่านได้ใน “ประธานาธิบดีฮวน โดมิงโก เปรอง กับความเปล่ียนแปลง ด้านเศรษฐกจิ การเมืองในอาร์เจนตินา” กองบรรณาธิการวารสารรัฐสภาสารหวังเป็นอย่างย่ิงว่าบทความทั้ง ๔ เรื่องข้างต้น จะเป็น ประโยชน์แก่ผู้อ่าน หากมีขอ้ ตชิ มประการใด ทางกองบรรณาธกิ ารยินดีนอ้ มรับฟังและจะนำ� ไปปรับปรุง วารสารให้ดีย่ิงขึ้น และหากท่านต้องการดาวน์โหลดวารสารรัฐสภาสารฉบับใด สามารถติดตามท ่ี เว็บไซต์ของส�ำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร (www.parliament.go.th) หัวข้อ “หนังสือ และสอื่ เผยแพร”่ หรอื เฟซบกุ๊ “สภาสาร” แล้วพบกันใหม่ฉบับหน้า สวสั ดคี ะ่ กองบรรณาธิการ
รฐั สภาสาร ปีท่ ี ๖๘ ฉบับที่ ๑ เดอื นมกราคม - กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๕๖๓ Vol. 68 No. 1 January - February 2020 ระบบพลเรือนควบคมุ กองทพั : บททดสอบความมน่ั คงของระบอบประชาธิปไตย ๕ ภาณุวฒั น ์ เถยี รชนำ� ๓๖ ๘๔ สังคมอุดมปญั ญาประชาธปิ ไตย (Democratic Intelligence Society) สญั ญา เคณาภมู ิ ๑๐๒ บทวิเคราะหพ์ ัฒนาการด้านเศรษฐกิจการเมืองในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ภายหลงั สงครามโลกครง้ั ทส่ี อง ในช่วงปี ค.ศ. ๑๙๕๐ – ๑๙๙๗ พงศ์เพชร เลิศอัคฆากร ประธานาธิบดีฮวน โดมงิ โก เปรอง กับความเปล่ียนแปลงด้านเศรษฐกจิ การเมือง ในอาร์เจนตินา ธโสธร ตู้ทองค�ำ
ระบบพลเรือนควบคุมกองทัพ: บททดสอบความมัน่ คงของระบอบประชาธปิ ไตย 5 ระบบพลเรือนควบคุมกองทัพ: บททดสอบความมั่นคงของระบอบประชาธิปไตย ภาณุวัฒน์ เถียรชน�ำ* การปกครองตามหลักการประชาธิปไตย ถือหลักการปกครองที่เป็นของประชาชน โดยประชาชน และเพ่ือประชาชน ดังนั้น อ�ำนาจสูงสุดอยู่ท่ีประชาชน ขณะที่กองทัพถือเป็น องค์กรที่มีหน้าที่หลักในการดูแลปกป้องภัยคุกคามท่ีเกิดขึ้นจากภายนอกประเทศ และมีส่วน รับผิดชอบในการให้ความช่วยเหลือด้านความมั่นคงภายในประเทศ ในกรณีเกิดความไม่ม่ันคง * วิทยากรช�ำนาญการ กลุ่มงานคณะกรรมาธิการการกีฬา ส�ำนักกรรมาธิการ ๒ ส�ำนักงานเลขาธิการ สภาผแู้ ทนราษฎร
6 รฐั สภาสาร ปที ่ ี ๖๘ ฉบบั ท่ ี ๑ เดือนมกราคม-กมุ ภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๓ การจลาจล ความไมส่ งบ หรอื วกิ ฤตการณต์ า่ ง ๆ ซงึ่ เกดิ จากองคก์ รทด่ี แู ลความมนั่ คงภายในหลกั คือ องคก์ รต�ำรวจ ไมส่ ามารถดำ� เนินการได้อยา่ งเต็มท่ี จนได้รับความคำ� ส่งั หรือการร้องขอจาก รัฐบาลพลเรือนให้เข้าช่วยเหลือด�ำเนินการในสถานการณ์ความไม่ม่ันคงที่เกิดข้ึน ขณะเดียวกัน เม่ือพิจารณาในประเดน็ ทวี่ า่ กองทพั ถือวา่ เปน็ องค์กรทม่ี อี ำ� นาจ และอิทธพิ ลอย่างสูงตอ่ รฐั บาล พลเรอื น เนื่องจากเปน็ องคก์ รทอ่ี ำ� นาจใช้อาวธุ ยุทโธปกรณ์ จนบางคร้ัง ในบางประเทศ กองทัพ ได้สร้างความท้าทายต่ออ�ำนาจรัฐบาลพลเรือนท่ีมาจากการเลือกต้ังตามระบอบประชาธิปไตย ดังเชน่ ประเทศกำ� ลงั พัฒนาบางประเทศทกี่ องทัพมักจะใชก้ รณีความไมส่ งบ หรอื จลาจล หรอื สถานการณ์อ่ืนๆ บางประการ เพ่ือก่อการรัฐประหารล้มอ�ำนาจรัฐบาลพลเรือนท่ีมาจาก การเลือกตั้ง จากนั้นจะมีการต้ังกลุ่มคณะรัฐประหารที่มาจากสมาชิกระดับสูงในกองทัพข้ึนมา บริหารประเทศแทน ซึ่งหากเป็นไปตามความเช่ือ และเหตุผลของ Niccolo Machiavelli นักปรชั ญา นักเขยี น และนักรัฐศาสตร์ช่อื ดงั ท่ีเคยกลา่ ววา่ “It is not reasonable for an armed man to obey an unarmed one.” (มันช่างไม่มีเหตผุ ลเอาเสยี เลย ท่คี นถอื อาวุธจะเชือ่ ฟงั คนไร้ อาวธุ )๑ กอ็ าจจะถกู ตอ้ งเมอ่ื ใชใ้ นการอธบิ ายปรากฏการณท์ เี่ กดิ ขน้ึ ในบางประเทศดงั กลา่ ว แตใ่ น อีกหลายประเทศท่ีเป็นประเทศท่ีพัฒนาแล้ว หรือมีประชาธิปไตยที่มั่นคงกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น รัฐบาลพลเรือนสามารถสั่งการ และออกนโยบายเก่ียวกับความม่ันคง และกองทัพมีหน้าท ่ี ปฏิบัติตาม แม้มีเหตุการณ์ไม่มั่นคงประการใดก็ตาม กองทัพจะไม่มีทางที่จะเข้ามายุ่งเกี่ยว ทางการเมือง หรือเข้าแทรกแซงกดดนั รัฐบาลพลเรือน ซง่ึ ตามแนวคิดระบบพลเรือนควบคุมกองทพั อนั ถอื เปน็ หลักนิยมในทางการทหาร และในทางรฐั ศาสตรท์ วี่ า่ “ความรบั ผดิ ชอบสงู สดุ สำ� หรบั การตดั สนิ ใจยทุ ธศาสตรข์ องประเทศตอ้ ง อยู่ภายใต้การด�ำเนินการของผู้น�ำทางการเมืองท่ีมาจากประชาชน มากกว่าเจ้าหน้าท่ีท่ีมาจาก กองทพั ” เพราะหากทหารอาชพี เข้ามาควบคุมกลไกทางการเมืองของประเทศ การปกครองของ ประเทศจะกลายเป็นสภาพของระบบเผด็จการทหาร หรือกรณีท่ีรัฐบาลพลเรือนไม่สามารถ มีอ�ำนาจ หรืออิทธิพลเหนือกองทัพ สภาพที่รัฐบาลพลเรือนไม่สามารถควบคุมกองทัพได้ ย่อมจะกอ่ ให้เกิดเปน็ “สภาพรัฐซ้อนรัฐขน้ึ มา” (สภาพทอ่ี งค์กรหนว่ ยงานความม่นั คงภายในรฐั เช่น กองทัพ ต�ำรวจ หรือองค์กรทางการปกครองอื่นๆ ไม่ตอบสนองต่อการส่ังการ หรือ ๑ พลอย ธรรมาภิรานนท,์ พลเรอื นควบคมุ ทหาร: หนทางสู่ประชาธิปไตยทม่ี เี สถยี รภาพ, ๒๕๕๙ สืบคน้ จาก https://www.the101.world/civilian-control-of-the-military/ เมอื่ วนั ท่ี ๒๔ ตลุ าคม ๒๕๖๑
ระบบพลเรอื นควบคุมกองทัพ: บททดสอบความมนั่ คงของระบอบประชาธิปไตย 7 การด�ำเนนิ การตามแนวทางของรฐั บาลพลเรือน) ระบบพลเรือนควบคุมกองทัพเปน็ แนวคดิ ทว่ี ่า กองทพั ตอ้ งมศี กั ยภาพของความเปน็ มอื อาชพี ทจ่ี ะตอ้ งอยภู่ ายใตอ้ ำ� นาจอยา่ งเหมาะสมอนั เกดิ ขนึ้ จากการก�ำหนดนโยบายทมี่ าจากฝ่ายพลเรือน ดงั นั้น ระบบพลเรอื นควบคมุ กองทัพนีจ้ ึงจะพบ ได้ตามแนวคิด และแนวทางการปฏิบัติ ซ่ึงมีรากฐานจากประเทศที่มีการปกครอง แบบเสรีประชาธปิ ไตยทมี่ คี วามมน่ั คง บทความช้ินนี้ต้องการจะเสนอหลักการและแนวคิดตามระบบพลเรือนควบคุม กองทพั ตวั อยา่ งของการดำ� เนนิ การตามหลกั การระบบพลเรอื นควบคมุ กองทพั ของสหรฐั อเมรกิ า ท่ีแม้จะเป็นอภิมหาอ�ำนาจอันดับหน่ึงของโลกทางด้านการทหาร แต่กองทัพกลับอยู่ภายใต้ การควบคุมจากอ�ำนาจรัฐบาลพลเรือนอย่างเคร่งครัด และสาธารณรัฐเกาหลี ซึ่งเป็นประเทศ ท่มี ีการเปล่ยี นแปลงการปกครองจากระบอบอตั ตาธิปไตย (Autocracy) ในอดีต โดยเปน็ ระบอบ ที่ผู้ปกครองมีอ�ำนาจสูงสุดมีอ�ำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในการปกครองประเทศ ซึ่งเป็นเผด็จการ เป็นเวลายาวนานสู่การปกครองตามรูปแบบเสรีประชาธิปไตยเม่ือปี ค.ศ. ๑๙๙๗ ดังนั้น จะเห็นได้ว่าสาธารณรัฐเกาหลีเพิ่งจะได้มีการปกครองตามประชาธิปไตยแบบสมัยใหม่เพียง ๒๑ ปีเท่าน้ัน แต่บทบาทของกองทัพสาธารณรัฐเกาหลีท่ีจากเดิมมีบทบาทในทางการเมือง ในการปกครองประเทศ โดยมีการท�ำรัฐประหารครองอ�ำนาจการปกครองเกือบสี่ทศวรรษ เม่ือเปลี่ยนผ่านสู่ระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แล้ว ปัจจุบันกองทัพสาธารณรัฐเกาหล ี อยภู่ ายใตร้ ะบบพลเรอื นควบคมุ กองทพั อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ซง่ึ ทงั้ สองตวั อยา่ งถอื เปน็ ตวั อยา่ ง ที่ น ่ า ส น ใ จ ที่ จ ะ น� ำ ม า เ รี ย น รู ้ แ ล ะ ท� ำ ค ว า ม เ ข ้ า ใ จ ใ น ร ะ บ บ พ ล เ รื อ น ค ว บ คุ ม ก อ ง ทั พ ซึ่งมคี วามเช่อื มโยงต่อหลักการปกครองแบบเสรปี ระชาธิปไตย หลกั การและแนวคิดพลเรอื นควบคมุ กองทัพ หลักการและแนวคิดพลเมืองควบคุมกองทัพน้ีมีแนวคิดจากนักวิชาการหลายคน ได้เสนอความเห็นในการด�ำเนินการเพ่ือให้เกิดระบบพลเมืองควบคุมกองทัพ โดยขอเสนอ แนวคิดจากนักวชิ าการบางสว่ นทไ่ี ด้น�ำเสนอ ดงั นี้ ซามเู อล็ ฮนั ทงิ ตนั (Samuel Huntington) ไดเ้ สนอแนวคดิ เรอ่ื ง “การแบง่ แยกอำ� นาจ การตัดสินใจทางกองทัพและทางการเมือง (Separation of Political and Military Decision-Making)” โดยได้แสดงความคิดเห็นว่า ตามวัตถุประสงค์ของระบบพลเรือนควบคุม กองทัพ เป็นรูปแบบการตรวจสอบท่ีเหมาะสมซึ่งจะเกิดขึ้นได้ตามระบอบประชาธิปไตยเท่าน้ัน โดยรปู แบบของการตรวจสอบนไ้ี ดม้ วี ตั ถปุ ระสงคส์ ำ� คญั เพอื่ เปน็ การทำ� ใหเ้ กดิ การเพม่ิ ในหลกั ของ ความเปน็ มอื อาชพี (Professionalism) ภายในกองทพั ใหม้ ากขนึ้ โดยจะตอ้ งมกี ารแบง่ แยกอำ� นาจ การตดั สนิ ใจทางนโยบายเกยี่ วกบั ทางกองทพั และทางการเมอื ง โดยผนู้ ำ� ทางการเมอื งซง่ึ มาจาก
8 รฐั สภาสาร ปที ่ ี ๖๘ ฉบบั ท่ี ๑ เดือนมกราคม-กมุ ภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๓ รัฐบาลพลเรือนจะเป็นผู้วางกรอบกฎเกณฑ์ เป้าหมาย และเงื่อนไขแบบกว้างๆ บางประการ ใหก้ องทพั ดำ� เนนิ การปฏบิ ตั ิ และผบู้ ญั ชาการกองทพั มหี นา้ ทปี่ ฏบิ ตั ติ ามการดำ� เนนิ การทเ่ี กย่ี วกบั ทางกองทัพน้ัน ทั้งนี้ ผู้น�ำทางการเมืองจะไม่เข้าแทรกแซงการด�ำเนินการปฏิบัติการ ของกองทพั ขณะเดยี วกนั ผบู้ ญั ชาการกองทพั กจ็ ะไมส่ รา้ งอทิ ธพิ ลจนกระทง่ั ทำ� ใหเ้ กดิ ผลกระทบ ทางการเมือง ซ่ึงตามแนวทางนี้ ทหารในกองทัพจึงจะต้องมีความเป็นกลางและมีความเป็น มืออาชีพโดยจะต้องด�ำเนินการปฏิบัติตามวัตถุประสงค์ตามเป้าหมายทางฝ่ายการเมือง มีการด�ำเนินการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม ไม่แบ่งแยก (sine ira et studio) การควบคุมในเชิง อัตวิสัยนี้ เป็นการวางจุดมงุ่ หมายที่ว่าจะตอ้ งเพม่ิ อำ� นาจของฝ่ายการเมอื ง คือรัฐบาลพลเรือน ใหม้ ากขน้ึ โดยผนู้ �ำทางการเมืองจะมองภาพรวมในกำ� ลงั ทหารของกองทัพ และรัฐบาลพลเรอื น จะเป็นผู้แต่งต้ังต�ำแหน่งนายพลระดับสูงที่เป็นมิตรสหายในทางการเมืองของตน ซึ่งหลักเกณฑ์ ของการเข้าสู่การด�ำรงต�ำแหน่งระดับสูงสุดในการบริหารของกองทัพดังท่ีกล่าวมาข้างต้น ยังไม่ถือว่าเป็นไปตามแนวคิดหลักความเป็นมืออาชีพมากนัก แต่เป็นลักษณะความจงรักภักด ี ในทางการเมือง ซ่ึงฮันทิงตันปฏิเสธหลักการในเร่ืองพลเรือนควบคุมในเชิงอัตวิสัยดังกล่าว (Subjective civilian control) ทง้ั นี้ แนวคดิ ของฮนั ทงิ ตนั ไดม้ อี ทิ ธพิ ลตอ่ แนวคดิ ของคนอเมรกิ นั ใน เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพกับประชาชนควรเป็นไปเช่นไร รวมทั้งนายทหารในกองทัพ สหรัฐอเมรกิ าไดเ้ รียนร้แู นวคดิ และยดึ มน่ั ตามแนวคดิ ที่ฮันทงิ ตนั ได้น�ำเสนอ และแนวคดิ นีย้ ังมี อิทธิพลต่อความสมั พนั ธ์ระหว่างกองทพั กับพลเรอื นในประเทศตะวนั ตกหลายๆ ประเทศ๒ มอรร์ ิส จาโนวิตซ์ (Morris Janowitz) ไดน้ �ำเสนอแนวคดิ บรู ณาการของการตัดสินใจ ทางนโยบายของกองทัพและทางการเมือง (Integration of Political and Military Decision Making) โดยไดแ้ สดงความเห็นไว้ว่า การตรวจสอบในทางประชาธิปไตยจะถกู ทำ� ให้บรรลุผลส�ำเร็จได้ โดยการท�ำใหเ้ กิดการมสี ว่ นในความรับผดิ ชอบของผนู้ �ำกองทพั ทม่ี ีเป้าหมายทางการเมอื ง ท้งั น้ี แนวคดิ บรู ณาการฯ ของจาโนวติ ซ์ ไมไ่ ดเ้ ปน็ การแสวงหาการทำ� ใหเ้ กดิ การแบง่ แยกทางการเมอื ง ออกจากกิจการของกองทัพ แต่เป็นการแสวงหาหนทางเพ่ือให้เกิดบทบาทความสอดคล้อง ร่วมกันของผู้น�ำทางการเมืองและผู้น�ำทางการทหาร แนวทางบูรณาการดังกล่าวนี้ถือเป็น ๒ Huntington, 1964 quoted in H. Born, Democratic Oversight of the Security Sector. What does it mean?, (Geneva: Geneva Centre for the Democratic Control of Armed Forces, 2002), p. 6.
ระบบพลเรือนควบคมุ กองทพั : บททดสอบความม่นั คงของระบอบประชาธปิ ไตย 9 การพยายามสรา้ งความสมั พนั ธโ์ ดยเปน็ การพยายามขจดั ชอ่ งวา่ งในความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งกองทพั และสังคม เชน่ เดยี วกนั กบั ระบบทางการเมือง๓ แวน ดอร์น (Van Doorn) ได้เสนอแนวคิดการตรวจสอบดูแลของกองก�ำลังทหาร ในสังคมที่มีการเปล่ียนแปลงอย่างรุนแรง (Oversight of the Armed Forces in Radically Changing Societies) ดอร์นได้ให้ความสนใจเป็นพิเศษกับอ�ำนาจของกองทัพในระบอบ ประชาธิปไตยในหลายประเทศ เช่น รฐั คอมมิวนสิ ต์ และรัฐที่เกิดข้นึ ภายหลังยุคเป็นอาณานิคม ซึ่งเขาได้ศึกษาประเทศต่างๆ ในแถบประเทศยุโรปกลาง และตะวันออก รวมถึงประเทศใน ทวีปแอฟริกา เขาได้สรุปว่า รัฐดังกล่าวได้ใช้สามกลไก เพ่ือสร้างความเชื่อม่ันในการดูแล ตรวจสอบทางการเมอื งทใี่ ชก้ บั กองกำ� ลงั ทหารในประเทศ กลไกแรกคอื การควบคมุ โดยการสมคั ร พรรคพวก และการคัดสรรต�ำแหน่ง ผู้น�ำทางการเมืองพยายามที่จะสร้างความเชื่อม่ันว่า นายทหารตามทต่ี นตอ้ งการตอ้ งเปน็ ผมู้ คี ณุ สมบตั ทิ างการเมอื ง และทางสงั คมตามทฝ่ี า่ ยการเมอื ง ปรารถนาเท่านั้นจึงจะไดร้ บั การเลอื กใหด้ �ำรงต�ำแหน่ง ตัวอยา่ งเช่น ในประเทศอดตี อาณานิคม ผู้บัญชาการทางการทหารระดับสูง ซ่ึงเป็นคนผิวขาวถูกแทนท่ีโดยผู้บัญชาการทางทหารที่เกิด ในแอฟริกา หรือในอินเดีย กลไกที่สองคือ ความจงรักภักดีทางการเมืองของเจ้าหน้าท่ีภายใน กองทพั (กรณที รี่ ฐั ตา่ งๆ นนั้ มพี รรคการเมอื งเดยี วทปี่ กครองภายในประเทศ เชน่ จนี เวยี ดนาม) ซงึ่ ทหารอาชพี ในกองทพั ตอ้ งปน็ สมาชกิ ของพรรคการเมอื ง อนง่ึ ในสถาบนั การศกึ ษาของกองทพั ทหารอาชีพต้องถูกอบรมให้ศึกษาเก่ียวกับเร่ืองทางการเมืองด้วย กลไกที่สาม ถูกเรียกว่า การควบคุมโดยองค์กร การควบคุมโดยองค์กรนี้จะประสบผลส�ำเร็จได้โดยการสร้างบูรณาการ ขององค์กรทางกองทัพและองค์กรทางพรรคการเมือง ชนช้ันน�ำจะเป็นผู้วางกฎเกณฑ์ต่างๆ ในพรรคการเมือง (กรณีประเทศมีพรรคการเมืองเดียว) เช่นเดียวกันกับชนช้ันน�ำจะเป็นผู้วาง กฎเกณฑ์ในกองทัพด้วย กลไกท้ังสามประการท่ีเสนอโดย แวน ดอร์น ได้ให้ความหมายไว้ว่า เปน็ เช่นเดยี วกับการตรวจสอบดแู ลทางพลเรือนในเชงิ อัตวิสยั (Subjective Civilian Oversight)๔ แต่ คอนสแตนติน ดาโนปูลอส (Constantine Danopoulos) ได้แสดงความเห็นโต้แย้งว่า การด�ำเนินการควบคุมตรวจสอบกองทัพในทางประชาธิปไตยในประเทศที่เคยปกครอง ด้วยระบอบคอมมิวนิสต์หลังจากปี ค.ศ. ๑๙๘๙ สามารถประสบผลส�ำเร็จได้ ๔ ประการ โดยคุณสมบัติอันเป็นเครื่องมือในการควบคุม และตรวจสอบดูแลจากพลเรือนที่มีต่อกองทัพ ๓ Janowitz, 1960 quoted in Born, ibid., p. 7. ๔ Van Doorn, 1969 quoted in Born, ibid., p. 8.
10 รฐั สภาสาร ปีท ี่ ๖๘ ฉบบั ที่ ๑ เดือนมกราคม-กมุ ภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามท่ีวางเปา้ หมายไวน้ ้ันคอื (๑) การตีตัวออกหา่ งจากการเมอื ง (Depoliticization) ของกองทัพ ซ่ึงเก่ียวข้องกับการท�ำให้กองทัพไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับทุกๆ ฝ่ายทางการเมือง (๒) กองกำ� ลงั ทหารตอ้ งไมฝ่ กั ใฝฝ่ า่ ยใด ซงึ่ กองทพั ตอ้ งมกี ารปฏบิ ตั อิ ยา่ งเครง่ ครดั โดยวางแนวทาง ไม่ให้กองทัพสามารถสร้างความสัมพันธ์กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ซ่ึงเป็นผลมาจากในอดีตเคยมี ความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกัน หรือเกิดจากการเคยมีความสัมพันธ์ในเชิงมีผลประโยชน์ร่วมกัน ซ่ึงปรากฏขึ้นบ่อยครั้งระหว่างกองทัพกับพรรคคอมมิวนิสต์ในอดีต (๓) การสร้างให้เกิดระบอบ ประชาธปิ ไตย ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั การกำ� หนดบทบาทของกองทพั และภารกจิ เชน่ เดยี วกบั การปฏบิ ตั ิ การตา่ งๆ และท�ำให้กองทพั ต้องอยภู่ ายใต้การดแู ลตรวจสอบตามหลกั ความชอบด้วยกฎหมาย และภายใต้นักการเมืองท่ีได้รับการเลือกต้ังตามระบอบประชาธิปไตย ซ่ึงการท�ำให้เกิดข้ึนตาม หลักการระบอบประชาธิปไตยนี้จะสามารถบรรลุผลได้ด้วยการก�ำหนดภาระหน้าที่ของกองทัพ ไว้อย่างชัดเจน ทั้งในส่วนการสั่งการและความรับผิดชอบระหว่างรัฐบาล คือ ประธานาธิบดี และผู้น�ำทางกองทัพ และ (๔) การสร้างใหเ้ กดิ หลักความเป็นมอื อาชพี หมายความว่า กองทพั จะต้องด�ำเนินการตามค�ำสั่งต่างๆ ของผู้น�ำทางการเมืองโดยยึดหลักความเป็นกลาง โดยเครื่องมือทั้ง ๔ ประการน้ี เป็นไปเพื่อให้เกิดการด�ำเนินการดูแลตรวจสอบตามแนวทาง ประชาธิปไตย๕ หลกั ความเป็นมืออาชีพ (Professionalism) ซามูเอล็ ฮนั ทงิ ตัน ได้ให้ความเหน็ ถึงหลกั ความเป็นมืออาชีพ โดยไดร้ ะบุคุณสมบตั ิ ของความเปน็ มืออาชพี ไว้ ๓ ประการคือ (๑) ความรคู้ วามช�ำนาญ (Expertise) คอื เป็นการให้ ความสำ� คญั เปน็ พเิ ศษในเรอื่ งความรู้ และความเชย่ี วชาญ ซงึ่ สรา้ งไวเ้ ปน็ พน้ื ฐานสำ� หรบั มาตรฐาน ที่ก�ำหนดให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ซ่ึงศักยภาพความเป็นมืออาชีพของบุคคลคนหนึ่ง จะต้องผ่านการถูกประเมินคุณสมบัติ ท้ังนี้ ในส่วนของความรู้ และความช�ำนาญในความเป็น มืออาชีพน้ี แต่ละบุคคลจะต้องได้รับการศึกษาหลักความเป็นมืออาชีพเป็นระยะเวลายาวนาน และสมำ�่ เสมอ โดยท่ัวไปแล้ว การศึกษาดังกลา่ วแบง่ ออกเปน็ ๒ ระยะ ระยะแรกเป็นการแจ้ง บอกกลา่ วให้บุคลาการรบั รถู้ งึ การศกึ ษาอยา่ งอสิ ระเสรี และแบบกว้าง วตั ถปุ ระสงค์ของระยะนี้ เป็นไปเพื่อจัดเตรียมการให้รับรู้ในประเด็นคุณธรรม จรรยา ซึ่งจะส่งผลท�ำให้เป็นผู้ม ี ๕ Danopoulos & Zirker, 1999 quoted in Born, ibid., p. 8.
ระบบพลเรอื นควบคมุ กองทพั : บททดสอบความมนั่ คงของระบอบประชาธิปไตย 11 ความเปน็ มอื อาชพี ในอนาคตตอ่ การตดั สนิ ใจตามหลกั จรรยา และสามารถตดั สนิ โดยใชส้ ตปิ ญั ญา ว่าส่ิงใดถูก หรอื สง่ิ ใดผดิ ตามความช�ำนาญของบุคคลผ้นู ั้น ในส่วนระยะท่สี องเป็นกระบวนการ ศึกษาความเป็นมืออาชีพที่ให้เรียนรู้ถึงความรู้และความช�ำนาญอันเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งจะข้ึนอยู่ กับวิชาชีพเป็นหลักส�ำคัญ (๒) ความรับผิดชอบ (Responsibility) คือ ความเป็นมืออาชีพถูก พจิ ารณาวา่ เปน็ ผูท้ ่ีมีความชำ� นาญในการปฏิบัติ สามารถทำ� งานในบรบิ ททางสังคม และปฏิบตั ิ หน้าที่เพื่อรับใช้พลเมืองในสังคมได้ ไม่ว่าจะเป็นปัจเจกบุคคล หรือร่วมมือกัน ในบริบทน้ี ความเป็นมืออาชีพจะต้องไม่ยึดติดกับสินน้�ำใจทางการเงินเป็นส�ำคัญ โดยจะต้องรู้สึกว่าเป็น ความรับผิดชอบต่อสังคมที่จะต้องใช้ความรู้และความเช่ียวชาญเฉพาะนี้ท�ำงานรับใช้สังคม เพ่ือท�ำให้เกิดความเช่ือม่ันว่า สังคมจะได้รับผลประโยชน์จากการใช้สติปัญญาในการใช ้ ความชำ� นาญ และความร้เู ฉพาะน้ี ดงั นนั้ ความเปน็ มอื อาชพี จงึ เป็นดังเช่น การจัดการอย่าง เป็นระบบ ซ่ึงได้ถูกบังคับด้วยกฎเกณฑ์ มาตรฐาน ค่านิยม และแนวคิด ท่ีสร้างข้ึนด้วยตัวเอง ซึ่งกรณีท่ีกล่าวมาสามารถเกิดได้จากการได้รับการบริหารจัดการ และท�ำนุบ�ำรุงรักษาไว้ ด้วยการสร้างให้เกิดความเป็นมืออาชีพร่วมกัน และหรือท่ีเป็นองค์กรย่อยต่างๆ ตัวอย่างเช่น สมาคมทนายความที่ได้มีการสร้างลักษณะเฉพาะในเรื่องความมุ่งหมายของสมาคม เป็นต้น (๓) ความเปน็ หม่คู ณะ (Corporateness) คือ สมาชิกท่ีมีความเป็นมอื อาชพี พจิ ารณากลุม่ ตนเอง วา่ เปน็ กลมุ่ ทคี่ วามแตกตา่ ง แตกแยกออกจากสงั คม โดยมคี วามเปน็ มอื อาชพี ในการปฏบิ ตั หิ นา้ ท่ี ดังกล่าวไม่ได้หมายความว่าจ�ำเป็นท่ีต้องมีความแตกแยกทางกายภาพ หรือการโดดเด่ียว แตห่ มายความวา่ จะตอ้ งใชค้ วามชำ� นาญ และความรทู้ ม่ี คี วามพเิ ศษเฉพาะ รวมถงึ ความรบั ผดิ ชอบ ท่ีตนเองยึดถือไว้ต่างๆ เพ่ือรับใช้สังคมตามธรรมเนียมปฏิบัติ ซ่ึงมีความสอดคล้องกับ ลกั ษณะพนื้ ฐานทางดา้ นสงั คมทรี่ ว่ มกนั ของกลมุ่ คนตามหลักการความเปน็ มอื อาชีพ สมาชกิ ท่มี ี ความเป็นมืออาชีพนี้จะแบ่งปันความรู้สึกที่เป็นเอกภาพแห่งความเป็นอันหน่ึงอันเดียวกัน (Organic Unity) และมีความตระหนักรู้ในหมู่คณะตัวเองโดยเป็นกลุ่มที่แยกจากบุคคลธรรมดา ทั่วไป ความเป็นหมู่คณะน้ีแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนได้ด้วยลักษณะของตนเองท่ีอยู่ภายใน องคก์ รนนั้ ๆ ซง่ึ คณุ ลกั ษณะทงั้ สามประการทถี่ อื เปน็ หลกั การทม่ี คี วามสำ� คญั ทใ่ี ชใ้ นการประเมนิ ความเปน็ มืออาชีพของเจา้ หน้าทใ่ี นกองทัพ๖ ซ่ึงประเด็นส�ำคญั ตามที่ไดก้ ล่าวข้างต้น ความเปน็ ๖ Huntington, 1957 quoted in E. R. Taylor, Command in the 21st Century: An Introduction to Civil – Military Relations, Master’s Thesis, Naval Postgraduate School Monterey Californian, 1998, pp. 12 – 15.
12 รัฐสภาสาร ปีท ่ี ๖๘ ฉบบั ท ่ี ๑ เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๓ ทหารอาชีพต้องแยกออกจากการเมือง หรืออีกกรณีหน่ึงคือ ทหารจะต้องอุทิศตัวให้กับ ความชำ� นาญของการเปน็ ผจู้ ดั การความรนุ แรง จงึ จะถอื วา่ ทหารผนู้ นั้ เปน็ สมาชกิ ของทหารอาชพี นอกจากน้ี ฮนั ทิงตัน ยังอธิบายเพมิ่ เติมอีกวา่ ความเปน็ ทหารอาชีพมหี ลกั ส�ำคญั ๔ ประการคอื (๑) เช่อื ฟังและจงรักภักดีต่อรฐั (๒) มีความสามารถในทางการทหาร (๓) อุทศิ ตนให้แก่การสรา้ ง ทักษะและความช�ำนาญเพ่ือจะน�ำไปสู่การสร้างความมั่นคงของรัฐ (๔) ต้องเป็นกลาง ทางการเมือง๗ ขณะท่ี จาโนวิตซ์ ได้ใหท้ ศั นะว่า ทหารเปน็ ระบบสังคมแบบหนง่ึ และความเป็น มอื อาชพี ทสี่ ามารถแปรเปลย่ี นไดต้ ามเงอื่ นไขของเวลา แตต่ อ้ งอยภู่ ายใตก้ ารควบคมุ ของพลเรอื น ที่มาจากการเลือกตั้ง ทั้งนี้ผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมมีผลอย่างมากต่อการก�ำหนด ความเปน็ มอื อาชพี ของบรรดานายทหารในกองทพั แตใ่ นทสี่ ดุ แลว้ ความเปน็ ทหารอาชพี กค็ ลา้ ย กับสถาบันทางวิชาชีพอ่ืนๆ (ที่ไม่จ�ำเป็นต้องเป็นสถาบันทหาร) คือจะต้องท�ำให้เป็นพลเรือน (Civilianized)๘ ทงั้ นี้ หากพจิ ารณาตามหลกั การ และแนวคดิ พลเมอื งควบคมุ กองทพั จากนกั วชิ าการ ต่างๆ จะเห็นได้ว่าการท่ีพลเมืองจะสามารถควบคุมกองทัพได้น้ัน ประการส�ำคัญคือ กองทัพ จะตอ้ งมหี ลกั ความเปน็ มอื อาชพี เปน็ สำ� คญั ซง่ึ ดงั กลา่ วคอื การจะตอ้ งมคี วามเปน็ กลาง ไมฝ่ กั ใฝ่ ฝา่ ยใดฝา่ ยหนงึ่ และไมเ่ ขา้ ไปยงุ่ เกี่ยวกบั ทางการเมือง โดยปฏิบตั ติ ามนโยบายทรี่ ัฐบาลพลเรอื น ท่ีมาจากการเลือกตั้งก�ำหนดไว้ ซึ่งเป็นไปตามหลักการของประชาธิปไตยท่ีรัฐบาลพลเรือน ซ่ึงมาจากการเลือกตั้งของประชาชน ปกครองประเทศ ขณะเดียวกัน รัฐบาลพลเรือนท่ีมาจาก การเลือกตั้งมีหน้าที่ก�ำหนดนโยบายท่ีเก่ียวข้องกับกองทัพ ซ่ึงต้องเป็นลักษณะกว้างๆ และไม่ เข้าไปแทรกแซงการด�ำเนินการปฏิบัติการของกองทัพในภารกิจ ฉะน้ัน การที่พลเมืองควบคุม กองทพั ได้นั้นจะต้องมอี งคป์ ระกอบส�ำคัญ คอื นอกจากการท่บี ุคลากรในกองทพั จะมคี วามเปน็ มืออาชีพแล้ว จะต้องเกิดการประสานประโยชน์ร่วมกันระหว่างกองทัพ กับรัฐบาลพลเรือน หรือฝ่ายการเมือง โดยแต่ละฝ่ายจะต้องค�ำนึงถึงความสงบสุขของประเทศ และหลักการ ประชาธิปไตยเป็นส�ำคัญ กล่าวคือ กองทัพในฐานะที่มีเป็นองค์กรที่มีอาวุธยุทโธปกรณ์ และมี อ�ำนาจในการใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ปฏิบัติภารกิจจะต้องไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกิจการทางการเมือง และความมน่ั คงภายใน หากไมไ่ ดร้ บั ความรอ้ งขอจากรฐั บาลพลเรอื นใหเ้ ขา้ มาชว่ ยเหลอื กองกำ� ลงั ๗ Huntington, 1957 อา้ งถงึ ใน สรุ ชาติ บำ� รงุ สขุ , เสนาธปิ ไตย รฐั ประหารกบั การเมอื งไทย, (กรงุ เทพฯ: มตชิ น, ๒๕๕๘), น. ๕๑. ๘ Janowits, 1960 อา้ งถึงใน สรุ ชาติ บำ� รุงสุข, เร่อื งเดยี วกัน, น. ๕๑ – ๕๓.
ระบบพลเรือนควบคมุ กองทัพ: บททดสอบความมัน่ คงของระบอบประชาธิปไตย 13 ทดี่ แู ลความมนั่ คงภายในคอื กองกำ� ลงั ตำ� รวจ หรอื แมห้ ากไดร้ บั ความรอ้ งขอจากรฐั บาลพลเรอื น หรือฝ่ายการเมอื ง แต่หากเหน็ ว่าเปน็ การกระท�ำท่จี ะให้เกดิ ผลเสีย หรอื ความสญู เสีย หรือแสดง ใหเ้ หน็ ว่าไม่เป็นการธ�ำรงไวซ้ ง่ึ หลักความเป็นมืออาชีพ โดยเฉพาะความเป็นกลาง และไมฝ่ กั ใฝ่ ฝ่ายใดฝ่ายหนงึ่ ผูน้ �ำกองทพั และกองทพั ต้องพรอ้ มทีจ่ ะปฏเิ สธโดยอ้างหลักความเปน็ มืออาชพี ดังกล่าว ทั้งน้ี จะต้องยึดหลักที่ว่ากองทัพมีหน้าที่หลักในการป้องกันภัยคุกคามจากภายนอก ประเทศที่อาจจะท�ำให้เกิดความไม่มั่นคงต่อรัฐเป็นส�ำคัญ ขณะเดียวกัน รัฐบาลพลเรือน หรือ ฝ่ายการเมืองจะต้องไม่ใช้กองทัพเข้ามาเป็นเครื่องมือในการแสวงหาประโยชน์ทางการเมือง เชน่ การร้องขอใหก้ องกำ� ลังในกองทพั ทำ� ลาย ขม่ ขู่ หรอื หาผลประโยชน์จากคแู่ ข่งทางการเมอื ง ของตวั เอง เป็นตน้ ดังนนั้ การทีจ่ ะเกดิ ระบบพลเมืองควบคุมกองทัพในประเทศใดประเทศหนึ่งได้ นอกจากผู้น�ำและบุคลากรในกองทัพจะต้องยึดถือหลักความเป็นมืออาชีพอย่างเคร่งครัดแล้ว รัฐบาลพลเรือน ฝ่ายการเมืองต่างๆ และประชาชนในประเทศจะต้องยึดหลักการ ประชาธิปไตยด้วย โดยเม่ือแต่ละฝ่ายมีความขัดแย้งระหว่างกันจะต้องใช้กฎ กติกา และกลไก ทางการเมืองตามระบอบประชาธิปไตยแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง และความเห็นต่างโดยสันติ ในส่วนตอ่ ไปจะขอยกตวั อยา่ งระบบพลเมืองควบคุมกองทัพของสหรัฐอเมรกิ า และสาธารณรัฐ เกาหลี ระบบพลเมืองควบคมุ กองทพั ของสหรฐั อเมริกา ตามรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกา หมวด ๒ มาตรา ๒ ได้บัญญัติไว้ว่า “ให้ประธานาธิบดีเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของท้ังกองทัพบกและกองทัพเรือแห่งสหรัฐฯ รวมทง้ั เปน็ ผบู้ ญั ชาการสงู สดุ ของกองกำ� ลงั อาสาสมคั รของมลรฐั ตา่ งๆ ดว้ ย เมอ่ื มกี ารเรยี กระดม พละก�ำลังอาสาสมัครให้มาปฏิบัติงานรับใช้ชาติ โดยประธานาธิบดีสามารถสั่งให้หัวหน้า หน่วยงานที่ขึ้นตรงต่อฝ่ายบริหารเสนอความเห็นเป็นลายลักษณ์อักษรเก่ียวกับการท�ำงาน ในหน้าที่ของตนต่อประธานาธิบดีได้ ประธานาธิบดีมีอ�ำนาจในการออกค�ำสั่งบรรเทาโทษ และนริ โทษกรรมตอ่ การกระทำ� ทเ่ี ปน็ ปฏปิ กั ษต์ อ่ สหรฐั ฯ ยกเวน้ กรณที ถี่ กู ฟอ้ งใหอ้ อกจากตำ� แหนง่ ”๙ และสภาคองเกรสมีอ�ำนาจในการประกาศสงคราม ตามมาตรา ๑ เมอื่ พิจารณาจากบทบัญญัติ ของรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐฯ แสดงให้เห็นไดช้ ัดเจนว่า มกี ารก�ำหนดใหก้ องทัพจะตอ้ งอย่ภู ายใต้ ๙ สำ� นกั งานเลขาธกิ ารสภาผแู้ ทนราษฎร, ๒๕๕๐, รฐั ธรรมนญู แหง่ สหรฐั อเมรกิ า (ฉบบั แปล). สบื คน้ จาก https://www.parliament.go.th/ewtadmin/ ewt/ admin_souvanee/ewt_dl_link.php?nid=15 เมื่อวนั ที่ ๒๗ ตลุ าคม ๒๕๖๑
14 รฐั สภาสาร ปีท ี่ ๖๘ ฉบับที่ ๑ เดอื นมกราคม-กมุ ภาพันธ ์ พ.ศ. ๒๕๖๓ รฐั บาลพลเรือนอย่างชดั เจน เนอื่ งจากการดำ� รงต�ำแหนง่ ประธานาธบิ ดขี องสหรัฐฯ ซึง่ เปน็ ผู้นำ� ฝา่ ยบรหิ ารจะตอ้ งผ่านกระบวนการการเลือกตงั้ จากประชาชนชาวอเมริกนั เช่นเดยี วกบั สมาชกิ ในสภาคองเกรสต้องผ่านการรับเลือกต้ังเช่นเดียวกัน ดังกล่าวจึงถือได้เป็นไปตามหลักการ การแบ่งแยกอ�ำนาจท่ีได้มีการร่างรัฐธรรมนูญต้ังแต่กลุ่มบรรพบุรุษผู้ก่อต้ังสหรัฐอเมริกา ถือเป็นการเน้นย้�ำให้เห็นว่าบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งประเทศ ซ่ึงร่างรัฐธรรมนูญมีความเกรงกลัวว่า ศักยภาพกองก�ำลังของกองทัพท่ีมีความมั่นคงและขนาดใหญ่น้ันอาจจะส่งผลท�ำให้เกิดการเป็น อุปสรรคต่อเสรีภาพและสังคมประชาธิปไตยได้ ดังน้ัน กองทัพสหรัฐจึงเป็นหน่วยงานหนึ่ง ในรฐั บาลสหรฐั ฯ ซ่ึงมบี ทบาทในการดำ� เนินการที่ปฏบิ ตั ิตามนโยบายซ่ึงกำ� หนดโดยสภาคองเกรส และประธานาธิบดี โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (Secretary of Defense) ซ่ึงด�ำรง ต�ำแหน่งอยู่ในคณะรัฐมนตรี มีหน้าท่ีเป็นไปตามหลักการคือ เป็นผู้เสนอแนะนโยบายทางด้าน กลาโหมต่อประธานาธิบดี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมถือเป็นผู้รับผิดชอบส�ำหรับ การกำ� หนดกรอบกฎเกณฑน์ โยบายท่ัวไปทางด้านกลาโหม และนโยบายที่มคี วามเกีย่ วขอ้ งของ เน้ือหาโดยตรง และท่ีเป็นหลักส�ำคัญของกระทรวงกลาโหม รวมถึงการบริหารเพ่ือให้นโยบาย ทางกลาโหมได้รับการอนุมัติงบประมาณตามที่ได้ยื่นเสนอต่อรัฐสภา ทั้งน้ี ภายใต้อ�ำนาจของ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ รัฐมนตรวี า่ การกระทรวงกลาโหมจะเปน็ ผู้ใช้อำ� นาจทางตรง และควบคมุ กระทรวงกลาโหม และเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบในการจัดเตรียมกองก�ำลังทหาร หากม ี ความประสงค์เพ่ือด�ำเนินการทางสงคราม และปกป้องความมั่นคงของประเทศ โดยรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงกลาโหมถือว่าเป็นผู้บังคับบัญชาระดับสูงอันดับท่ีสองของกองทัพรองจาก ประธานาธิบด๑ี ๐ วัฒนธรรมกองทพั สหรฐั ฯ ทมี่ ผี ลให้เกิดระบบพลเรือนควบคมุ กองทพั ทหารในกองทัพสหรัฐจะได้รับการฝึกฝนโดยเร่ิมต้นจะให้ยึดหลักในเร่ืองวัฒนธรรม และรูปแบบการด�ำเนินชีวิตภายในกองทัพ ทหารสหรัฐฯ จะต้องได้รับการเรียนรู้เกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์การรับใช้ชาติของกองทัพสหรัฐฯ จารีตประเพณี และมารยาทของกองทัพ การแต่งกายในชุดเครื่องแบบของกองทพั ธรรมเนยี มปฏบิ ัติในกองทัพ ค่านยิ ม และหลักจรรยา ของกองทัพ รวมถึงเนื้อหาอื่นๆเพ่ือให้ทหารบรรลุผลส�ำเร็จในการรับใช้ชาติ เช่น การรับฟัง ๑๐ Substance Abuse and Mental Health Services Administration, 2010, Understanding the Military: TheInstitution, The Culture, and the People. Retrieved from https://www.samhsa.gov/sites/default/ files/military_white_paper_final.pdf on October 30,2018, pp.1-2.
ระบบพลเรอื นควบคมุ กองทัพ: บททดสอบความมนั่ คงของระบอบประชาธปิ ไตย 15 และปฏิบัติตามค�ำสั่งควรท�ำอย่างไร สายการบังคับบัญชาภายในหน่วยงานของกองทัพเป็น อย่างไร เป็นต้น นอกจากนี้ ยังฝึกเกี่ยวกับระเบียบวินัย สภาพร่างกาย และความช�ำนาญ ด้านต่างๆ เพื่อปฏิบัติการด้านการทหารต่างๆ เกี่ยวกับความมั่นคง และทางด้านสงคราม๑๑ อย่างไรก็ตาม สถาบันการศึกษาทางการทหารของกองทัพสหรัฐฯ ได้ให้ความรู้เร่ืองหลักการ ประชาธปิ ไตยแบบเสรนี ิยม บทบาทของกองทพั ที่มี ท้ังนี้ วัฒนธรรมในทางกองทัพของสหรัฐเมริกาท่ีมีผลให้เกิดระบบพลเรือนควบคุม กองทพั จะสามารถอธบิ ายไดด้ งั น้ี ๑) ประชาชนชาวอเมรกิ ามคี วามปรารถนาทจี่ ะใหเ้ กดิ ระบบพลเรอื นสามารถควบคมุ กองทัพ โดยต่างมีความเห็นร่วมกันท่ีจะให้กองทัพด�ำเนินการปฏิบัติ และมีความเห็นเป็นกลาง ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดทางการเมือง เป็นองค์กรที่มีความเป็นอิสระจากทางการเมือง และมีความเป็น มืออาชพี หลกั การดงั กล่าวได้เรยี กว่า “การควบคุมโดยพลเรือนอย่างแท้จรงิ (Objective Civilian Control)” ซึ่งปรากฏให้เห็นถึงการแบ่งแยกอ�ำนาจตามรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ ท่ีให้อ�ำนาจ ในการบรหิ ารเปน็ ของประธานาธบิ ดี และในสว่ นทางนติ บิ ญั ญตั ทิ ม่ี สี ภาคองเกรสคอยตรวจสอบ ซ่ึงถือเป็นการควบคุมที่มาจากประชาชน ทั้งน้ี ฮันทิงตันได้ให้ความหมายถึง การควบคุมโดย พลเรอื นอยา่ งแทจ้ รงิ วา่ เปน็ การกระจายอำ� นาจทางการเมอื งระหวา่ งกลมุ่ พลเรอื นกบั กลมุ่ ทหาร ซง่ึ นำ� ไปสกู่ ารเกดิ ทศั นคติ และพฤตกิ รรมของความเปน็ มอื อาชพี ระหวา่ งสมาชกิ ในหนว่ ยกองทพั โดยมีเปา้ หมายเพ่อื ลดอ�ำนาจของกองทพั ลง ซงึ่ วฒั นธรรมทางการเมืองของกองทพั สหรฐั ฯ นนั้ ได้มีหลักนิยมกองทัพของสหรัฐฯ ที่ว่า กองทัพเป็นหน่วยงานส่วนหน่ึงของฝ่ายบริหาร และจะ ดำ� เนินการตามนโยบายของรัฐบาลพลเรอื น๑๒ ๒) กรอบแนวคิดของอเมริกันชน พลเมืองชาวอเมริกันมีกรอบแนวคิดที่มีลักษณะ ตามธรรมเนยี มแบบประชาธปิ ไตยเสรนี ยิ ม และยดึ หลกั การอนั เปน็ คา่ นยิ มสงู สดุ ในเรอ่ื งเสรภี าพ อิสรภาพ และสิทธิต่างๆ ส่วนบุคคล ดังกล่าวจึงท�ำให้ความส�ำคัญที่จะต้องรับผิดชอบร่วมกัน น้อยลงอยา่ งเหน็ ได้ชดั ดงั น้ัน เมือ่ ธรรมเนียมแบบประชาธิปไตยแบบเสรนี ยิ มท่ีถูกตง้ั เคยี งคกู่ ับ แนวคิดของกองทพั จึงอาจจะทำ� ให้เกดิ ความขดั แย้งกันได้ แตใ่ นประเทศสหรัฐฯ แล้วกลับได้มี การดำ� เนนิ การใหเ้ กดิ การประสานรว่ มกนั ระหวา่ งทศั นคตทิ างพลเรอื นทถ่ี กู ทำ� ใหม้ อี ำ� นาจสำ� คญั ๑๑ Ibid., pp.10 -11. ๑๒ E. R. Taylor, ibid., pp. 31 -33.
16 รัฐสภาสาร ปีท ี่ ๖๘ ฉบบั ท ี่ ๑ เดอื นมกราคม-กมุ ภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๓ สูงสุด กับจริยธรรมของกองทัพท่ีจะต้องยึดหลักความเป็นมืออาชีพ ดังกล่าวจึงส่งผลให้เกิด การกระจายอ�ำนาจที่ให้ความส�ำคัญระหว่างกลุ่มพลเรือน และกลุ่มของกองทัพ ซึ่งท�ำให้เกิด หลักความเป็นมืออาชพี ของกองทพั และการควบคุมโดยพลเรือนอยา่ งแท้จรงิ เพ่ิมมากขนึ้ ๑๓ ๓) ทหารในกองทพั สหรฐั ฯ ไดถ้ กู อบรมสง่ั สอนจากสถาบนั วา่ กองทพั ไมไ่ ดม้ ไี วป้ อ้ งกนั ชาตหิ รอื ประเทศเท่านัน้ แต่ยังมหี นา้ ที่ต่อสเู้ พอ่ื แพร่ขยาย และเชิดชเู สรีภาพ และประชาธปิ ไตย รวมถึงพิจารณาว่าเสรีภาพ และประชาธิปไตยท่ัวโลก ถือเป็นผลประโยชน์แห่งชาติของ อเมริกันชนด้วย ซ่ึงในบางประเทศไมไ่ ดถ้ ูกสงั่ สอนให้มีความเชอื่ และยดึ ม่ันในหลักการน๑ี้ ๔ นอกจากนี้ ไดม้ คี ำ� แถลงการณ์ ซงึ่ ไดก้ ลา่ วกอ่ นมกี ารประชมุ คณะกรรมาธกิ ารกองทพั ของวุฒิสภา โดย คัทลิน เฮซ ฮิกซ์ (Kathleen H. Hicks) รองประธานอาวุโส จากสถาบัน ศาสตราจารย์เฮนรี่ คิซซิงเกอร์ และเป็นผู้อ�ำนวยการโครงการความม่ันคงระหว่างประเทศ ศนู ยศ์ กึ ษาดา้ นยทุ ธศาสตร์ และการตา่ งประเทศ เมอื่ วนั ท่ี ๑๐ มกราคม ค.ศ. ๒๐๑๗ โดยไดแ้ สดง ความเห็นถึง “ระบบพลเรือนควบคมุ กองทพั ของสหรัฐฯ” ซง่ึ ได้ใหข้ ้อสงั เกตดังตอ่ ไปน้ี ๑) ผู้น�ำของสหรัฐฯ โดยหลักการแล้วจะมีการสื่อสารโดยผ่านช่องทางไปสู่พลเรือน ซง่ึ เหลา่ ผกู้ ำ� หนดนโยบายจงึ กำ� หนดนโยบายทเ่ี ปน็ ไปในลกั ษณะหาเสยี งตอ่ พลเรอื น และกองทพั เอง ก็แสดงให้เห็นว่าเคารพและเช่ือฟังต่อผู้น�ำรัฐบาลพลเรือน ซึ่งถือเป็นแนวทางความสัมพันธ ์ ที่เหมาะสมระหว่างกองทัพและพลเรือน การเคารพของกองทัพดังกล่าวแสดงให้เห็นถึง การมีหลักความเป็นมืออาชีพ การเสียสละ และความเชี่ยวชาญของบุคลากรของกองทัพ ตลอดจนความรใู้ นประเดน็ ทม่ี คี วามสำ� คญั ตอ่ การมคี วามเปน็ มอื อาชพี ในการใชอ้ าวธุ ยทุ โธปกรณ์ และเป็นการแสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯ สนับสนุนหลักการเสรีภาพและประชาธิปไตยให้บังเกิดขึ้น ในโลก ๒) บคุ ลากรของกองทพั ทเ่ี กษยี ณอายุ หรอื ยงั อยใู่ นราชการไดถ้ กู เลอื กจากรฐั มนตรี ว่าการกระทรวงกลาโหมให้มาด�ำรงต�ำแหน่งระดับอาวุโสในรัฐบาลพลเรือนมากมาย ซ่ึงอาจ จะท�ำให้เกิดความสุ่มเสี่ยงในกรณีท่ีเป็นการกระตุ้นให้เจ้าหน้าท่ีกองทัพที่ประจ�ำการอยู่ แสดงบทบาททางการเมืองผ่านการแสดงความเห็น หรือการกระท�ำผ่านทางสาธารณชน แตส่ ำ� หรบั พลเรอื นแลว้ ถอื เปน็ การทำ� ใหไ้ ดท้ ราบความชดั เจนในทศั นคตทิ างการเมอื งของเจา้ หนา้ ท่ี ๑๓ Ibid., pp. 35 –36. ๑๔ พิชญ์ พงษส์ วัสด,์ิ เผด็จการวิทยา, (กรงุ เทพฯ: มติชน, ๒๕๖๑), หน้า ๑๓๑.
ระบบพลเรือนควบคมุ กองทพั : บททดสอบความมน่ั คงของระบอบประชาธิปไตย 17 เพ่ือน�ำมาสู่กระบวนการแต่งต้ัง หรือจ้างงานเพ่ือด�ำรงต�ำแหน่งทางการเมือง ซ่ึงโดยพื้นฐาน ลกั ษณะสังคมของกลมุ่ คนที่อยรู่ ว่ มกนั ในกองทพั ที่ยดึ ถอื หลักความเป็นมอื อาชีพนนั้ จะมหี น้าท่ี ให้ค�ำแนะน�ำท่ีดีท่ีสุดเก่ียวกับการด�ำเนินการทางกองทัพ (Best Military Advice) โดยจะต้อง ด�ำเนินการให้เป็นไปในทางการเมือง และท�ำให้เป็นไปตามแนวทางปฏิบัติของทางพลเรือน ตามปกติ ซ่ึงเป็นค�ำแนะน�ำที่มาจากประสบการณ์ทั้งส้ิน เพ่ือใช้ในการตัดสินใจทางนโยบาย ตา่ งประเทศและความมนั่ คง ๓) กลมุ่ คณะบคุ คล ซงึ่ เปน็ อดตี บคุ คลากรของกองทพั ทม่ี ภี มู หิ ลงั สนทิ สนมกบั บคุ คล ระดับสงู ในรฐั บาลพลเรอื น โดยกลมุ่ คณะบุคคลน้มี ีเครือขา่ ยในกองทพั อยา่ งแนน่ หนา โดยคณะ บุคคลต่างๆ ท่ีได้ถูกเลือกให้เข้ามาให้ร่วมท�ำงานกับรัฐบาลพลเรือนได้น้ัน เพราะท�ำให้รัฐบาล พลเรือนเชื่อว่าจะสามารถพัฒนาให้เป็นทีมที่มีความสามารถท่ีหลากหลาย ซึ่งถือเป็น ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งกองทพั กบั พลเรอื นทด่ี ี โดยแสดงใหเ้ หน็ วา่ การดำ� เนนิ การทางนโยบายเกย่ี วกบั กองทัพท่ีจะเกิดข้ึนนั้นไม่ใช่เป็นการด�ำเนินการท่ีมีภูมิหลังมาจากฝ่ายพลเรือนเท่านั้น แต่เป็นการแสดงให้เห็นถึงความเคารพนับถือและการยอมรับในความรู้ความสามารถของ บุคคลากรในกองทัพด้วย ๔) สหรัฐอเมริกามีผลประโยชน์ท่ีเกิดจากการพัฒนาความรู้และความเช่ียวชาญ ทเี่ ชอื่ มโยงกบั กองกำ� ลงั ซงึ่ เปน็ กองกำ� ลงั ทไี่ มไ่ ดป้ ระจำ� การใหก้ บั กองทพั โดยเฉพาะบคุ คลทไ่ี มไ่ ด้ ทำ� งานใหก้ บั กองทพั ในตำ� แหนง่ ระดบั สงู มาก การจงู ใจใหพ้ ลเรอื นลงทนุ ในวชิ าชพี ตา่ งๆ ทเ่ี กย่ี วกบั ภาคการปอ้ งกนั ประเทศ โดยประสงคใ์ หเ้ ขา้ มามบี ทบาทดา้ นตา่ งๆ ตามทบี่ คุ คลดงั กลา่ วปรารถนา ทงั้ นี้ ถอื เปน็ แนวทางอนั เปน็ การสรา้ งความชอบธรรมตามหลกั กฎหมายทท่ี ำ� ใหพ้ ลเรอื นสามารถ น�ำเอาทศั นคตทิ มี่ ีคุณค่าเพ่อื ใช้ในการดำ� เนินการกบั วิสาหกจิ กองทพั ๕) สว่ นใหญร่ ฐั มนตรวี า่ การกระทรวงกลาโหมเคยมภี มู หิ ลงั ทเี่ คยรบั ใชก้ องทพั มากอ่ น ขณะที่บางส่วนมีทัศนคติโน้มเอียง หรืออย่างน้อยมีความคุ้นเคยบ้างบางส่วนกับการที่เคย ท�ำงานกบั กองทพั มากกวา่ บคุ คลคนอ่นื ๆ ทัว่ ไป อย่างไรกต็ าม เจ้าหนา้ ทกี่ องทพั ทีเ่ กษียณแล้ว ซึ่งด�ำรงต�ำแหน่งระดับสูง ดูเหมือนจะมีบทบาทส�ำคัญไม่มากนักเกี่ยวกับการด�ำเนินการด้าน งบประมาณและกำ� หนดนโยบายตา่ งๆ ของทางกองทพั ซงึ่ ไดถ้ กู จำ� กดั ดว้ ยทรพั ยากรตา่ ง ๆ โดย ไม่เป็นไปตามความต้องการท่ีได้เสนอต่อทางรัฐบาลเสมอ ทั้งน้ี การต่อสู้ระหว่างเงิน งบประมาณกับช่องว่างในเรื่องปฏิบัติการทางการทหารท่ีเกิดขึ้นในกระทรวงกลาโหมของ สหรัฐอเมริกา จึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างหลีกเล่ียงไม่ได้ ดังน้ันรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จงึ อาจจะตอ้ งเผชญิ กบั คำ� ถามทม่ี คี วามสำ� คญั เกยี่ วกบั บทบาทการดำ� เนนิ การทจี่ ะตอ้ งทำ� ใหเ้ กดิ ความเท่าเทียมเสมอภาคกันในการด�ำเนินการปฏิบัติการต่างๆ การปฏิบัติการออกค�ำสั่งสู้รบ
18 รัฐสภาสาร ปีที ่ ๖๘ ฉบับท่ี ๑ เดอื นมกราคม-กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๓ และการแบ่งปันทรัพยากรต่างๆ เหตุผลดังกล่าวน�ำไปสู่การสนับสนุนต่อหลักการที่สร้างให้เกิด ความรอบคอบในสภาคองเกรส ท่ีเกี่ยวกับข้อจ�ำกัดของเจ้าหน้าท่ีที่ปลดประจ�ำการจากกองทัพ มาไม่นาน และถูกคาดการณ์ว่าจะด�ำรงต�ำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นอกจากนี้ คณะกรรมาธิการทหารของสภาคองเกรสยังคงรู้สึกระแวดระวังในผลกระทบท่ีอาจจะเกิดขึ้นใน ดา้ นลบทม่ี ตี อ่ การนำ� เสนอขอบเขตนโยบายทม่ี ลี กั ษณะกวา้ ง ๆ ทมี่ าจากอดตี เจา้ หนา้ ทร่ี ะดบั สงู ซง่ึ เปน็ นายทหารเสนาธกิ ารทางความมนั่ คงแหง่ ชาติ ซงึ่ กรณตี ามทก่ี ลา่ วมาขา้ งตน้ น้ี สง่ ผลใหเ้ กดิ โครงสร้างกระบวนที่เที่ยงตรง และมีความสมเหตุสมผลในการด�ำเนินการปฏิบัติท่ีม ี อย่างตอ่ เนอ่ื ง๑๕ ทง้ั น้ี หากพิจารณาตามทศั นะ คทั ลิน เฮซ ฮกิ ซ์ จะเห็นได้วา่ เป็นการใหค้ วามส�ำคัญ ในเร่ืองความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพและรัฐบาลพลเรือน โดยเป็นการเน้นหนักในประเด็นท ี่ ฝ่ายการเมืองของสหรัฐอเมริกาจะเลือกผู้เคยมีภูมิหลังที่เกี่ยวข้องกับการรับใช้กองทัพเข้ามามี ส่วนร่วมในการก�ำหนดนโยบายด้านความมั่นคงและการป้องกันประเทศของฝ่ายบริหาร โดยเปน็ การใหค้ วามสำ� คญั ทเ่ี นน้ วา่ การดำ� เนนิ การทเี่ กดิ ขนึ้ เกดิ จากนโยบายของรฐั บาลพลเรอื น ท่ีก�ำหนดให้กองทัพด�ำเนินการปฏิบัติตาม แต่เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงจะเห็นได้ว่ารัฐบาล พลเรอื นไดร้ บั คำ� แนะนำ� ขอ้ เสนอมาจากอดตี เจา้ หนา้ ท่ี หรอื บคุ คลากรทเ่ี คยทำ� งานรบั ใชก้ องทพั มาแลว้ ซงึ่ ถอื เปน็ การสรา้ งความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งกองทพั และรฐั บาลพลเรอื นทสี่ ำ� คญั เนอื่ งจาก อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงเหล่านั้นย่อมมีเครือข่ายมากมายในกองทัพ ซึ่งจะส่งผลให้การก�ำหนด นโยบาย งบประมาณ และการดำ� เนนิ งานของกองทพั เปน็ ไปอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพเกดิ ความสมดลุ ในความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพและพลเรือน นอกจากน้ี สหรัฐอเมริกาซึ่งถือเป็นประเทศ อุตสาหกรรมผลิตอาวุธขนาดใหญ่ที่สุดในโลก การที่วิสาหกิจของพลเรือนท่ีได้ลงทุนเกี่ยวกับ ภาคความมน่ั คง และการปอ้ งกนั ประเทศดงั กลา่ วยอ่ มสง่ ผลใหภ้ าคพลเรอื นมบี ทบาทในกองทพั รวมถึงบทบาทของสภาคองเกรส ซงึ่ จะคอยตรวจสอบการดำ� เนนิ การของกองทพั อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะกรณีการด�ำเนินการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่ส่วนใหญ่จะเคยเก่ียวข้อง ๑๕ H. K. Hicks, January 10, 2017, Statement Before the Senate Armed Services Committee “Civilian control of the Armed Forces a Testimony by Kathleen H. Hicks in the Senate Armed Services Committee. The Senate Armed Services Committee. 216 Hart Senate Office Building, Washington, United State of America. Retrieved from https://www.armed-services.senate.gov/download/hicks_01-10-17 on October 31, 2018.
ระบบพลเรือนควบคุมกองทพั : บททดสอบความมั่นคงของระบอบประชาธปิ ไตย 19 ในกองทัพมาก่อน หรือเหล่าเจ้าหน้าที่ของกระทรวงกลาโหมท่ีเคยเป็นอดีตคณะเสนาธิการ ในทางความม่ันคงแห่งชาติ จึงท�ำให้เกิดกระบวนการถ่วงดุลอ�ำนาจ และเกิดความเป็นธรรม รวมถงึ สรา้ งความเชอ่ื ม่ันในระบบพลเรือนสามารถควบคมุ การดำ� เนนิ การตา่ ง ๆ ของกองทพั ได้ ทั้งน้ี เมื่อพิจารณาระบบพลเรือนควบคุมกองทัพของสหรัฐอเมริกาจะเห็นได้ว่า ประเดน็ หลกั สำ� คญั คอื สหรฐั อเมรกิ ามสี ภาพสงั คมทยี่ ดึ มนั่ ในระบอบประชาธปิ ไตยแบบเสรนี ยิ ม ประชาชนยดึ หลกั ในเรอื่ งสทิ ธิ เสรภี าพ และอสิ รภาพในสทิ ธขิ องตน ขณะทเ่ี จา้ หนา้ ท่ี และบคุ ลากร ในกองทัพสหรัฐอเมริกาได้รับการปลูกฝังในหลักการความเป็นมืออาชีพ โดยยึดหลักที่ว่า ประธานาธิบดเี ปน็ ผไู้ ด้รบั เลอื กตัง้ จากประชาชน และเปน็ ผ้นู �ำกองทพั ตามท่ีรัฐธรรมนูญกำ� หนด กองทัพสหรัฐอเมริกาได้ยึดหลักปฏิบัติในระบบพลเรือนควบคุมกองทัพมาหลายร้อยป ี และยังคงยึดถือหลกั การนีอ้ ย่างต่อเนอื่ ง ขณะเดียวกันการดำ� เนินความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งกองทัพ สหรัฐอเมริกากับรัฐบาลพลเรือนมีลักษณะการด�ำเนินการที่เป็นการร่วมมือกัน โดยรัฐบาล พลเรือนของสหรัฐอเมริกาแต่ละรัฐบาลจะแต่งตั้งเจ้าหน้าท่ี และบุคคลากรที่เกษียณอายุ หรือ ปลดประจ�ำการเข้ามามีสว่ นรว่ มในการก�ำหนดนโยบายทางด้านการทหาร และความม่ันคงดว้ ย ซ่ึงท�ำให้เกิดเครือข่ายในความสัมพันธ์ภายในกองทัพอย่างแน่นหนาระหว่างรัฐบาลพลเรือนกับ กองทัพ ดังนั้น ระบบพลเรือนควบคุมกองทัพของสหรัฐอเมริกา จึงกลายเป็นตัวแบบท่ีดีของ ประเทศทป่ี กครองดว้ ยระบอบประชาธิปไตยที่มน่ั คง และกองทัพยึดถือหลกั ความเป็นมืออาชพี ท่ยี นิ ยอมใหถ้ ูกควบคุมโดยพลเรอื น ระบบพลเมอื งควบคุมกองทพั ของสาธารณรฐั เกาหลี หลงั จากสนิ้ สดุ สงครามเกาหลใี นปี ค.ศ. ๑๙๕๓ ประเทศเกาหลถี กู แบง่ ออกเปน็ สอง ประเทศคือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี หรือประเทศเกาหลีเหนือ ซึ่งปกครอง ดว้ ยระบอบคอมมวิ นสิ ต์ กบั สาธารณรฐั สาธารณรฐั เกาหลี หรอื ประเทศเกาหลใี ต้ ทปี่ กครองดว้ ย ระบอบประชาธิปไตย อย่างไรก็ตาม ภายหลังปี ค.ศ. ๑๙๖๐ สาธารณรัฐเกาหลีต้องตกอยู่ ภายใต้การปกครองด้วยระบอบเผด็จการ โดยทหารเข้ามามีบทบาทในทางการเมืองอย่างสูง มคี วามรนุ แรงทางการเมอื ง มกี ารสงั หารผเู้ หน็ ตา่ ง และประชาชนผเู้ รยี กรอ้ งการปกครองระบอบ ประชาธิปไตยแบบเสรนี ิยม จนกระทง่ั ปี ค.ศ. ๑๙๘๗ สาธารณรัฐเกาหลีไดเ้ ร่มิ พัฒนากลับมาสู่ การเรมิ่ ตน้ ของกระบวนการประชาธิปไตย ประชาชนได้มีส่วนรว่ มในการเลอื กต้ังประธานาธบิ ดี ของตนเพอื่ บรหิ ารประเทศ ซงึ่ ถอื วา่ เปน็ เวลาเกอื บสามทศวรรษทต่ี อ้ งอยภู่ ายใตก้ ารปกครองแบบ เผดจ็ การทหารแบบมอี ำ� นาจเบด็ เสรจ็ การเรมิ่ ตน้ กระบวนการเปลยี่ นผา่ น และทำ� ใหเ้ กดิ ระบอบ ประชาธิปไตยในสาธารณรฐั เกาหลที ่เี ข้มแขง็ ขน้ึ ได้พัฒนาเรอ่ื ยมานับต้งั แต่ ปี ค.ศ. ๑๙๘๗ น้นั การทสี่ าธารณรฐั เกาหลไี ดเ้ ปน็ เจา้ ภาพจดั มหกรรมกฬี าโอลมิ ปกิ ปี ค.ศ. ๑๙๘๘ ถอื เปน็ ยา่ งกา้ ว
20 รัฐสภาสาร ปที ี่ ๖๘ ฉบับท่ ี ๑ เดอื นมกราคม-กมุ ภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๓ สำ� คญั ทแี่ สดงใหเ้ หน็ ถงึ ภาพลกั ษณท์ ด่ี ขี น้ึ ของประเทศเกาหลใี ตใ้ นแงศ่ กั ยภาพทางเศรษฐกจิ และ สังคม ที่เริ่มแสดงให้เห็นถึงความต้ังใจในการพัฒนาสู่ระบอบเสรีประชาธิปไตย จนกระท่ัง ในปี ค.ศ. ๑๙๙๑ ได้รับเชิญให้เข้าเป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติอย่างเป็นทางการ และการพฒั นาสถาบนั ตา่ งๆ ตามระบอบเสรปี ระชาธปิ ไตยในประเทศไดม้ กี ารพฒั นาอยา่ งเนอ่ื ง ดงั จะเหน็ ไดจ้ ากการพฒั นาระบบพรรคการเมอื งทมี่ คี วามหลากหลาย ระบบนติ ธิ รรม ธรรมาภบิ าล ระบบการตรวจสอบ และถว่ งดลุ ตามรฐั ธรรมนญู เสรภี าพทางดา้ นสอ่ื สารมวลชน และการดำ� เนนิ ชวี ติ อยา่ งมเี สรภี าพของประชาชนจนไดร้ บั การยกยอ่ ง ขณะทส่ี ถาบนั กองทพั จากเดมิ ทม่ี บี ทบาท สำ� คญั ทสี่ ดุ ในทางการเมอื งในอดตี กลบั ไดแ้ สดงบทบาททเ่ี ปลย่ี นแปลงไปกลายเปน็ พรอ้ มยอมรบั และยินดีที่ให้สถาบันทางการเมืองมีอิทธิพลในทางประเด็นทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม โดยกองทัพยอมรับหลักการภายใต้ระบบพลเมืองควบคุมกองทัพ ถือเป็นการเปลี่ยนผ่านจาก ระบบเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จไปสู่ระบอบเสรีประชาธิปไตยอันเป็นรูปแบบที่เป็นท่ียอมรับจาก ท่วั โลก การพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพกับพลเรือนภายหลังกระบวนการ เปล่ยี นผ่าน การเรยี กรอ้ งจากสาธารณชนทตี่ อ้ งการใหเ้ กดิ การเปลยี่ นผา่ นสรู่ ะบอบประชาธปิ ไตย แบบเสรนี ิยมไดเ้ กดิ ขึ้นอย่างแพรห่ ลายใน ปี ค.ศ. ๑๙๘๗ จนทำ� ให้รฐั บาลประธานาธิบดี ซ็อน ดู ฮวนั (Chun Doo Hwan) ตอ้ งตอบรบั ขอ้ เรยี กรอ้ งของประชาชน ภายหลงั เรมิ่ เขา้ สกู่ ระบวนการ เปล่ียนผ่านสู่ระบอบประชาธิปไตย อิทธิพลของกองทัพในทางการเมืองเริ่มไม่มีการด�ำเนินการ แทรกแซงกระบวนการทางการเมืองเหน็ ได้จากนายพลโนห์ แทวู (Roh Tae Woo) หน่งึ ในกลุ่ม ผนู้ �ำผทู้ ำ� รฐั ประหารในปี ค.ศ. ๑๙๗๙ และเปน็ สมาชิกแกนน�ำกล่มุ ฮานาฮเว (Hanahoe) ซึ่งคือ กลุ่มทางการเมืองท่ีมาจากเจ้าหน้าที่กองทัพโดยมีผู้น�ำกลุ่มคือ ประธานาธิบดีซ็อน ดู ฮวัน ได้ถูกปลดออกจากต�ำแหน่ง อย่างไรก็ตาม อิทธิพลของกองทัพก็ยังคงมีอยู่ แต่ยังไม่มี ความเคลื่อนไหวเข้ามายุ่งเก่ียวกับการเมือง โดยอดีตนายทหารในกองทัพยังคงมีอิทธิพลต่อ การเมืองภายใน โดยเฉพาะในประเด็นด้านความมน่ั คง และกจิ การภายในประเทศ การเปลย่ี นแปลงครงั้ ใหญไ่ ดเ้ กดิ ขนึ้ ในสมยั ประธานาธบิ ดี คมิ ยงั ซมั (Kim Young Sam) การดำ� เนนิ การของเขาคอื การนำ� เอาบคุ ลากรทเ่ี ปน็ ผมู้ แี นวความคดิ กา้ วหนา้ จำ� นวนมาก ทงั้ กลมุ่ ชายและหญงิ ทมี่ แี นวคดิ มงุ่ เนน้ ไปสกู่ ารปฏริ ปู โดยปราศจากความเกยี่ วขอ้ งกบั กลมุ่ บรหิ ารราชการ ยุคก่อนหน้า โดยเข้ามาร่วมมือในรัฐบาลของประธานาธิบดี คิม และลดสัดส่วนจ�ำนวนอดีต นายทหารท่ีเปน็ รัฐมนตรใี นคณะรัฐมนตรีลงจากร้อยละ ๑๙.๖ เหลือเพียงร้อยละ ๘ การด�ำเนิน การดังกล่าว เพราะประธานาธิบดี คิม ต้องการกวาดล้างกลุ่มฮานาฮวาออกจากการเป็นผู้น�ำ
ระบบพลเรือนควบคมุ กองทพั : บททดสอบความมน่ั คงของระบอบประชาธิปไตย 21 ในกองทัพ ทั้งน้ี บทบาทของกองทัพในความมั่นคงภายในได้สิ้นสุดลงอย่างแท้จริงในช่วงที่ ประธานาธบิ ดคี มิ การตรวจสอบเฝา้ ระวงั ทกี่ ระทำ� ตอ่ พลเรอื นโดยกองทพั ไดถ้ กู สง่ั ใหย้ กเลกิ ปฏบิ ตั กิ าร และการตรวจสอบตามอ�ำนาจรัฐสภาที่ท�ำต่อกลไกในระบบหน่วยสืบราชการลับได้ถูกจัดต้ังข้ึน ดังกล่าวถือเป็นการพยายามลดอ�ำนาจของกองทัพท่ีเกี่ยวข้องกับทางการเมืองที่ได้กระท�ำ อย่างต่อเน่ือง ส่ิงที่เห็นได้ชัดว่าการลดอ�ำนาจของฝ่ายกองทัพในทางการเมืองของสาธารณรัฐ เกาหลเี ปน็ ไปอย่างมีประสิทธภิ าพคอื อดีตประธานาธิบดี ซ็อน ดู ฮวัน และนายพลโนห์ แทวู รวมถึงอดตี นายทหารอีก ๑๔ คน ถกู ตงั้ ข้อหาคดคี อร์รปั ชนั การทำ� รัฐประหารปี ค.ศ. ๑๙๗๙ และการสงั หารหมู่ที่กวางจ๑ู ๖ แต่การด�ำเนินการดังกล่าวข้างต้นยังไม่ถือว่าเป็นการสร้างระบบพลเรือนควบคุม กองทัพท่ีประสบผลส�ำเร็จ เพราะกองก�ำลังในกองทัพและการจัดตั้งหน่วยด้านความม่ันคง แหง่ ชาตนิ น้ั ยงั ไมไ่ ดถ้ อื วา่ อยภู่ ายใตก้ ารควบคมุ ของพลเมอื งอยา่ งมนี ยั ยะสำ� คญั แตเ่ ปน็ เพยี งอยู่ ภายใตอ้ ำ� นาจประธานาธบิ ดคี มิ เทา่ นน้ั แตก่ ระนนั้ กย็ งั ถอื เปน็ แนวโนม้ ทดี่ ขี น้ึ ในเรอ่ื งการควบคมุ ตรวจสอบของพลเรือน ตัวอย่างเช่น ในปี ค.ศ. ๑๙๙๓ พลเรือนสามารถเป็นประธาน คณะกรรมาธกิ ารป้องกันประเทศในรัฐสภาแห่งชาติ ซง่ึ ถอื เปน็ ครั้งแรกในประวัติศาสตรป์ ระเทศ และมกี ารตรวจสอบของรฐั สภาในกระบวนการจดั หาอาวธุ ยทุ โธปกรณเ์ กดิ ขน้ึ ซงึ่ ถอื เปน็ ครงั้ แรก ของประวัติศาสตร์ประเทศเช่นกัน ต่อมาในสมัยประธานาธิบดีคิม แด จุง (Kim Dae-Jung) ได้น�ำเอาผู้เช่ียวชาญที่เป็นพลเรือนเข้าไปด�ำเนินงานในกระทรวงกลาโหม และจัดต้ังสภา ความมน่ั คงแหง่ ชาตใิ นปี ค.ศ. ๑๙๙๘ โดยใชเ้ ปน็ เครอ่ื งมอื ทปี่ ระสานความรว่ มมอื ในการดำ� เนนิ นโยบายการป้องกันประเทศ ด้านความมั่นคง และการปฏิรูป รวมถึงให้กระทรวงกลาโหม เผยแพรร่ ายงานปกขาวเกย่ี วการปอ้ งกนั ประเทศ ซงึ่ เปน็ ความพยายามทจ่ี ะสรา้ งนโยบายทางกองทพั และปอ้ งกันประเทศให้มคี วามโปร่งใสมากยง่ิ ขึ้น ในยคุ ประธานาธบิ ดโี น มู ฮย็อน เกิดมีการสรา้ ง นวัตกรรมท�ำให้สถาบันทางการเมืองมีความเข้มแข็งเพิ่มขึ้น ประธานาธิบดีโน ได้ขยายอ�ำนาจ และอทิ ธพิ ลทางการเมอื งในสภาความมน่ั คงแหง่ ชาติ และในสมยั การดำ� รงตำ� แหนง่ ประธานาธบิ ดี ของเขาไดม้ กี ารจดั ตง้ั หนว่ ยงานบรหิ ารจดั การโครงการการจดั หาอนั เกยี่ วกบั การปอ้ งกนั ประเทศ (the Defense Acquisition Program Administration) หน่วยงานน้ีมอี �ำนาจในการบริหารจัดการ ๑๖ D. Kuehn, February, 2016, “Institutionalising Civilian Control of Military in New Democracies : Theory And Evidence from South Korea,” German Institute of Global and Area Studies. Retrieved from https://www.econstor.eu/bitstream/10419/129744/1/850999278.pf on November 5, 2018. pp. 15 –16.
22 รัฐสภาสาร ปที ่ี ๖๘ ฉบบั ท ่ี ๑ เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๓ โดยมีสิทธิตามกฎหมายที่มีอ�ำนาจด�ำเนินการ และมีอ�ำนาจในการออกกฎหมายให้เกิด ประสทิ ธภิ าพเพอ่ื ตรวจสอบกระบวนการจดั ซอื้ อาวธุ ยทุ โธปกรณข์ องกองทพั รวมถงึ การสนบั สนนุ อยา่ งแขง็ ขันในการใช้อ�ำนาจนติ บิ ญั ญัติเพอื่ การตรวจสอบกองทัพด้วย และในเดือนมีนาคม ปี ค.ศ. ๒๐๐๘ ผู้ท่ีจะด�ำรงต�ำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดต้องผ่านการได้รับการรับรองจาก คณะกรรมาธกิ ารการปอ้ งกนั ประเทศในรฐั สภาแหง่ ชาติ ซง่ึ เปน็ กระบวนการทเี่ กดิ ขน้ึ เปน็ ครงั้ แรก ในประวัติศาสตร์ของสาธารณรฐั เกาหลี การเปล่ียนแปลงดังกล่าวได้แสดงให้เห็นว่าได้มีการสร้างสรรค์กรอบการดำ� เนินการ ในเชิงสถาบันให้มีความมั่นคงเพ่ือสร้างให้เกิดอ�ำนาจตรวจสอบ และอ�ำนาจในการด�ำเนินการ ทางกฎหมายที่เกิดข้ึนจากพลเรือน โดยให้พลเรือนมีอ�ำนาจในการตัดสินใจผ่านคณะกรรมการ ตา่ งๆ ทง้ั แนวทางการปอ้ งกนั ประเทศทว่ั ไป และนโยบายความมนั่ คงแหง่ ชาติ แตก่ ป็ ฏเิ สธไมไ่ ดว้ า่ กลไกทดี่ ำ� เนนิ การเกยี่ วกบั การปอ้ งกนั ประเทศยงั คงถกู ครอบงำ� โดยนายทหาร ทง้ั ทยี่ งั ประจำ� การอยู่ และเกษยี ณอายไุ ปแลว้ ดงั จะเหน็ ไดว้ า่ สาธารณรฐั เกาหลยี งั ไมเ่ คยมรี ฐั มนตรวี า่ การกระทรวงกลาโหม ที่เป็นพลเรือน แต่อัตราส่วนของนายทหารที่ยังคงประจ�ำการอยู่ในกองทัพ ซ่ึงปฏิบัติหน้าท่ีท่ี กระทรวงกลาโหมก็ได้ลดลงอย่างตอ่ เนือ่ ง เชน่ ในปี ค.ศ. ๒๐๐๔ โดยประมาณรอ้ ยละ ๕๐ ของ เจ้าหนา้ ทีใ่ นกระทรวงเป็นนายทหาร และด�ำรงตำ� แหน่งบรหิ าร ขณะที่ตำ� แหนง่ บรหิ ารที่เหลอื ใน กระทรวงซง่ึ เปน็ พลเรือนก็เปน็ บุคคลกรท่เี คยเปน็ นายทหารทีเ่ กษยี ณอายุแลว้ ๑๗ อยา่ งไรกต็ าม หากพจิ ารณาวา่ หลงั จากการเปลยี่ นผา่ นไปสรู่ ะบอบเสรปี ระชาธปิ ไตย สาธารณรัฐเกาหลีได้มีความพยายามปฏิรูปกองทัพโดยการสร้างระบบพลเรือนควบคุมกองทัพ อย่างต่อเนื่อง พยายามหากลไกต่างๆ เพื่อเข้าตรวจสอบ ลดอ�ำนาจกองทัพให้ลดน้อยลง ซึ่งระบบท่ีสร้างขึ้นท่ีเห็นได้ชัดเจนคือ การใช้กระบวนการทางอ�ำนาจนิติบัญญัติ ซึ่งเป็นอ�ำนาจ ทมี่ าจากประชาชน โดยเปน็ ตวั แทนในการตรวจสอบอ�ำนาจกองทัพ เพ่อื ทำ� ใหเ้ กิดธรรมาภิบาล และโปรง่ ใสยงิ่ ขน้ึ รวมถงึ กระบวนการทน่ี ำ� อดตี ผนู้ ำ� ทเี่ คยทำ� รฐั ประหาร และสง่ั สงั หารประชาชน ท่ีเรียกร้องประชาธิปไตยมาข้ึนศาลยุติธรรมให้มีการพิจารณาการกระท�ำความผิดที่ได้เกิดข้ึน ในอดีต ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอิทธิพลของกองทัพในการที่จะเข้ามามีอ�ำนาจครอบง�ำทางการเมือง เสมือนในยุคอดีตท่ีเป็นเผด็จการเบ็ดเสร็จไม่อาจจะเกิดขึ้นได้อีก ขณะท่ีปัจจัยส�ำคัญที่สุดคือ ประชาชนมคี วามตนื่ ตวั ทางการเมอื งในระบอบเสรปี ระชาธปิ ไตย โดยตอ้ งการใหป้ ระเทศปกครอง ๑๗ Ibid., pp. 17 –18.
ระบบพลเรือนควบคุมกองทัพ: บททดสอบความมั่นคงของระบอบประชาธปิ ไตย 23 โดยระบอบประชาธิปไตย และเม่ือมีปัญหาก็พร้อมเผชิญหน้าแก้ไขปัญหาตามกระบวนการ ประชาธปิ ไตยตามหลกั สากล เพราะประชาชนไดม้ ปี ระสบการณแ์ ละไดเ้ รยี นรวู้ า่ การปกครองแบบ ระบอบประชาธปิ ไตยเทา่ นน้ั ทจี่ ะทำ� ใหป้ ระเทศพฒั นาไปขา้ งหนา้ ทง้ั ในดา้ นเศรษฐกจิ สงั คม และ การเมือง โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ซ่งึ ประชาชนให้ความสำ� คญั เป็นอย่างมาก ทั้งนจ้ี ะเห็นไดว้ ่า ภายหลงั จากประเทศปกครองดว้ ยระบอบเสรปี ระชาธปิ ไตยตามหลกั สากล เศรษฐกจิ มกี ารพฒั นา อย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นประเทศพัฒนาแล้ว ซ่ึงแตกต่างจากอดีตที่เป็นเผด็จการเต็มไปด้วย การคอร์รัปชัน ละเมิดสิทธมิ นุษยชน และเศรษฐกจิ กพ็ ฒั นาไปอยา่ งล่าชา้ จงึ ถอื เปน็ การปิดทาง ให้กองทัพเข้ามาแสวงหาทางแทรกแซงทางการเมืองได้อีก ขณะเดียวกัน กองทัพก็เรียนรู้หลัก ของความเป็นมืออาชีพมากข้ึน ยอมรับความตอ้ งการของประชาชน เพ่ือไม่ให้เกิดความรนุ แรง และท�ำใหป้ ระเทศต้องเผชิญกับความสูญเสีย วัฒนธรรมกองทัพของสาธารณรัฐเกาหลีท่ีมีผลให้เกิดระบบพลเรือนควบคุม กองทัพ ภายหลังจากการส้ินสุดสงครามเย็นเป็นต้นมา กองทัพยังคงให้ความส�ำคัญ ในการสร้างความเข้มแข็งของกองทัพให้เตรียมพร้อมรบอยู่เสมอ ดังจะเห็นได้จากการท่ียังคงมี การเกณฑช์ ายชาวเกาหลใี ตท้ กุ คนเปน็ ทหารประจำ� การ ซงึ่ ระบบการเกณฑช์ ายชาวเกาหลที กุ คน เปน็ ทหารนั้นไดเ้ ริม่ ขนึ้ ตง้ั แตป่ ี ค.ศ. ๑๙๔๘ ตามพระราชบัญญตั กิ ารเกณฑ์ทหาร (The Military Service Act) โดยต้องอยปู่ ระจำ� การในกองทพั ระหว่าง ๓๐ –๓๕ เดอื น อยา่ งไรก็ตาม ปัจจบุ นั กระทรวงกลาโหมไดล้ ดระยะเวลาประจำ� การกองทพั บกเหลอื เปน็ ๒๑ เดอื น และส�ำหรับกำ� ลงั พลที่ประจ�ำการกองทัพเรือเป็น ๒๓ เดือน ส่วนก�ำลังพลท่ีประจ�ำการกองทัพอากาศลดเหลือ ๒๔ เดอื น ขณะเดยี วกัน ประธานาธบิ ดี มนุ แจ อิน มีแผนการที่จะด�ำเนินการปฏริ ปู กองทพั ใหบ้ รรลผุ ลในปี ค.ศ. ๒๐๒๒ ซ่งึ ในส่วนกำ� ลงั พลท่ปี ระจำ� การกองทพั บกจะลดเหลือ ๒๑ เดอื น กองทพั เรอื จะเหลอื ๒๐ เดอื น และกองทพั อากาศจะเหลอื ๒๒ เดอื น ในขณะทกี่ ำ� ลงั พลทป่ี ระจำ� การกองทพั ท่ีปจั จุบันมที ้งั สิน้ ๖๑๘,๐๐๐ คน จะลดเหลอื ๕๐๐,๐๐๐ คน และต�ำแหนง่ นายพล จะลดจาก ๔๓๖ คน เหลอื ๓๖๐ คน๑๘ ทง้ั นี้ เน่อื งจากภัยคกุ คามทางความม่ันคงของประเทศที่ ๑๘ Channel News Asia.com, July 28, 2018, South Korea to reduce length of mandatory military service, Retrieved from https://www.channelnewsasia.com/news/asia/south-korea-military-service-reduce- length-army-10569914 on November 6, 2018.
24 รัฐสภาสาร ปีท ี่ ๖๘ ฉบบั ที ่ ๑ เดอื นมกราคม-กมุ ภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๓ เห็นได้ชัดเจนคือ ประเทศเกาหลีเหนือที่มักจะแสดงท่าที่คุกคามต่อความมั่นคงของประเทศอยู่ บอ่ ยครงั้ และสาธารณรฐั เกาหลยี งั มคี วามสมั พนั ธท์ างการทหารอยา่ งเหนยี วแนน่ กบั สหรฐั อเมรกิ า ซง่ึ ถอื วา่ เปน็ พนั ธมติ รรว่ มสำ� คญั ในทางการทหาร ตง้ั แตย่ คุ สงครามคาบสมทุ รเกาหลี และปจั จบุ นั ยังคงมีกองทพั สหรัฐอเมรกิ าประจำ� การอยู่ทสี่ าธารณรฐั เกาหลี กองก�ำลังทหารของสาธารณรัฐเกาหลีพยายามสร้างศักยภาพทางการทหาร โดยการสนับสนุนให้มีการผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ เช่น รถถัง K-1 ยานพาหนะหุ้มเกาะ K-200 เครอ่ื งบินขบั ไล่ KF-16 เรือด�ำน�ำ้ ๒๐๙ อากาศยานตอ่ ต้านเรอื ด�ำนำ�้ และระบบดาวเทยี มทใี่ ช้ สื่อสารทางการทหาร เป็นต้น การลงทุนทางด้านอุตสาหกรรมทางการทหารโดยการสนับสนุน ของรฐั บาลส่งผลให้กลายเปน็ ประเทศท่ีผู้ซื้ออาวุธมากเป็นอนั ดบั ๕ ของโลก ของการคา้ อาวธุ ยุทโธปกรณ์ระหว่างประเทศ รวมถึงสรา้ งระบบหลกั ความเป็นมอื อาชพี ในกองทพั ขึ้นดว้ ย๑๙ ท้งั นี้ หากพจิ ารณาจากชว่ งสงครามเย็น วัฒนธรรมกองทัพในการเลือกผู้บญั ชาการ ทางทหารจะเปน็ ผบู้ ญั ชาการในลกั ษณะชำ� นาญสงคราม (Combat Leader) โดยวฒั นธรรมกองทพั ในสมัยดงั กลา่ ว ผูบ้ ญั ชาการกองทัพทไ่ี ด้ด�ำรงตำ� แหน่งจะมลี กั ษณะ ๓ ประการ (๑) ในยคุ หลงั สงครามโลกครง้ั ท่ี ๒ ถงึ ปลายยคุ ค.ศ. ๑๙๗๐ จบการศกึ ษาจากสถาบนั ทางการทหารจากประเทศ ญป่ี นุ่ หรือประเทศจีน (แมนจเู รยี ) (๒) ในยคุ ค.ศ. ๑๙๗๐ เปน็ ตน้ มา ผูบ้ ัญชาการทางการทหาร ทุกเหล่าทัพ จะจบการศึกษาจากสถาบันทางการทหารภายในประเทศ และเคยปฏิบัติหน้าท่ี ในสงครามเกาหลี (๓) ในช่วงต้นยุค ค.ศ. ๑๙๘๐ เป็นต้นมา ผู้บัญชาการกองทัพยังคงจบ การศกึ ษาจากสถาบนั ทางการทหารภายในประเทศ แตผ่ บู้ ญั ชาการตอ้ งมปี ระสบการณท์ างการทหาร ในการปฏิบัติหน้าที่ในสงครามเวียดนาม ซ่ึงไปปฏิบัติหน้าท่ีร่วมท�ำสงครามในฐานะพันธมิตร กบั สหรฐั อเมรกิ า ดงั นน้ั หากพจิ ารณาจากวฒั นธรรมทางกองทพั ขา้ งตน้ จะเหน็ ไดว้ า่ ผบู้ ญั ชาการ ในกองทัพของประเทศเกาหลีใต้ในอดีตจะต้องมีประสบการณ์ในสงคราม เพื่อแสดงให้เห็นว่า สามารถน�ำกองทพั เมอ่ื เผชิญกบั สงครามในสนามรบได้ ดงั น้นั จึงมีนายทหารระดบั ผบู้ ญั ชาการ ทจ่ี บการศกึ ษาระดบั ปริญญาตรี โท หรือเอก ไมม่ ากนกั จนกระทงั่ ปี ค.ศ. ๑๙๘๗ เจา้ หนา้ ที่ที่มี การศกึ ษาระดบั สงู จากสถาบนั ศกึ ษาภายนอกกองทพั เรม่ิ เขา้ มามบี ทบาทในการพฒั นาการปอ้ งกนั ประเทศเพมิ่ ขนึ้ ในกองทพั จงึ เปรยี บเสมอื นเปน็ สะพานทป่ี ระสานใหเ้ กดิ ความสมั พนั ธท์ ด่ี รี ะหวา่ ง ๑๙ K. Kim, 2009, Post – Cold War Civil – Military Relations in South Korea : Toward a Postmodern Military?, (Doctor of Philosophy, the State University of New York at Buffalo, p. 109.
ระบบพลเรอื นควบคมุ กองทพั : บททดสอบความม่นั คงของระบอบประชาธิปไตย 25 กองทัพกับภาคสังคม แต่เจ้าหน้าท่ี หรือนายทหารที่จบการศึกษาสูงทางด้านเทคโนโลยีและใน เชงิ วิชาการยงั คงไมไ่ ด้รบั โอกาสใหด้ �ำรงต�ำแหน่งในระดับสงู ในกองทัพ หรือมบี ทบาทในกองทัพ มากนัก จนกระทั่งภายหลังสนิ้ สุดยุคสงครามเย็น นบั แต่ยคุ ปี ค.ศ. ๑๙๙๐ เปน็ ต้นมา ไดม้ ี การปรบั เปลย่ี นวฒั นธรรมกองทพั อยา่ งมนี ยั ยะสำ� คญั ผบู้ ญั ชาการระดบั สงู ของกองทพั กลบั ไมค่ อ่ ย มีประสบการณ์ในการท�ำสงครามเหมือนในอดีต ประกอบกับการพัฒนาเทคโนโลยีในกองทัพ เป็นไปอย่างรวดเร็ว กองทัพมีการพัฒนาอย่างก้าวหน้าในด้านเทคโนโลยีอย่างสูง ซึ่งการ เปลย่ี นแปลงในลกั ษณะการพฒั นากา้ วหนา้ ดงั กลา่ ว สง่ ผลใหห้ ากผบู้ ญั ชาการขาดความรใู้ นเรอื่ ง การบริหารจัดการและเทคโนโลยีระดับสูง ผู้บัญชาการทางการทหารจะไม่สามารถบังคับบัญชา กองก�ำลังที่มีศักยภาพทางด้านเทคโนโลยีท่ีจะใช้ในปฏิบัติการได้ ส่ิงที่เกิดขึ้นนี้ส่งผลให้สถาบัน กองทัพในสาธารณรัฐเกาหลีมีความซับซ้อนเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน การเข้ามามีส่วนร่วมของ พลเรือนในการเข้ามาควบคุมกองทัพ และความสนใจของสื่อสารมวลชนที่มีต่อกิจการกองทัพ ก็มเี พม่ิ ข้ึนเช่นกัน โดยในยุคนี้ นายทหารท่ีมีชน้ั ยศระดบั กลางถงึ ระดบั สูงจะต้องมคี วามสามารถ เชี่ยวชาญในทางการเมืองด้วย ซ่ึงจะเป็นการช่วยให้นายทหารเหล่าน้ันได้ในส่ิงที่ต้องการ เช่น งบประมาณทางกองทัพที่เพิ่มมากข้ึน หรือการสนับสนุนให้มีการจัดต้ังกิจการโครงการ ในการป้องกนั ประเทศ เป็นต้น นอกจากนี้ ผ้บู ัญชาการกองทัพยังต้องมคี วามสามารถเขา้ ใจใน เรื่องการดำ� เนนิ การเข้าไปมสี ว่ นร่วมรบั ผดิ ชอบในทางความม่นั คงระหวา่ งประเทศ ไม่ว่าจะเปน็ ภารกจิ เกย่ี วกบั ภยั คกุ คามรปู แบบใหม่ เชน่ การกอ่ การรา้ ย ปฏบิ ตั กิ ารเกย่ี วกบั การรกั ษาสนั ตภิ าพ เป็นต้น โดยผู้บังคับบัญชากองทัพเกาหลีใต้ในยุคปัจจุบันต้องมีความเข้าใจในประเด็น ความร่วมมือระหว่างประเทศ และต้องค�ำนึงถึงเหตุผลทางด้านการเมืองต่อการท่ีจะปฏิบัติการ ทางการทหาร การพิจารณาค�ำนึงถึงเสียงของสาธารณชน และสื่อสารมวลชน รวมถึงมีความรู้ และความเขา้ ใจในกฎหมายระหวา่ งประเทศ การปกป้องสภาพแวดล้อม และใหค้ วามส�ำคญั กับ หลักเกณฑ์ขององค์การสหประชาชาติในประเด็นท่ีเก่ียวข้องในเร่ืองการปฏิบัติการเข้าไป มีส่วนร่วมของกองทัพในความมั่นคงระหว่างประเทศ ดังนั้น ในยุคภายหลังสิ้นสุดสงครามเย็น ผบู้ ญั ชาการระดบั สงู ของเกาหลใี ตห้ ลายคนจบการศกึ ษาระดบั สงู ทง้ั ในสาขาวชิ าวศิ วกรรมศาสตร์ การศกึ ษาวจิ ยั ในเชงิ ปฏบิ ตั กิ าร ธรุ กจิ กฎหมาย และรฐั ศาสตร์ จงึ ถอื เปน็ การเปลย่ี นแปลงทสี่ ำ� คญั ในแงจ่ ากเดมิ ทย่ี ึดติดวา่ ผบู้ ญั ชาการทางการทหารจะต้องมคี วามชำ� นาญ เช่ยี วชาญ ในสนามรบ กลับกลายมาเป็นต้องเป็นผู้บัญชาการกองทัพท่ีมีความเช่ียวชาญทางด้านเทคโนโลยี เป็นนัก เจรจาตอ่ รอง และนกั บริหารจดั การ เน่อื งจากในยุคภายหลังสงครามเย็น นายทหารของกองทัพ ท่ีสามารถขึ้นสู่ต�ำแหน่งระดับสูงได้จบการศึกษาระดับสูงมาจากภายนอกกองทัพ และได้รับการ
26 รฐั สภาสาร ปีท ี่ ๖๘ ฉบับท่ ี ๑ เดอื นมกราคม-กุมภาพนั ธ ์ พ.ศ. ๒๕๖๓ ศึกษาตามแบบพลเรือนมากย่ิงข้ึน นายทหารที่ได้รับการศึกษาตามรูปแบบการศึกษาที่มาจาก ภายนอกกองทัพ หรือจากต่างประเทศท่ีมีความรู้อย่างยอดเย่ียมในทางเทคโนโลยีการบริหาร จดั การ กฎหมาย ฯลฯ ได้รบั การยอมรบั ว่าจะเป็นผูถ้ ูกเลือกใหด้ �ำรงต�ำแหน่งระดบั สงู ในกองทพั ขณะท่ีหลักสูตรในสถาบันศึกษาของกองทัพภายในประเทศจากท่ีเคยให้ความส�ำคัญในเร่ือง ยุทธศาสตร์ทางการทหาร และการปฏบิ ัติการทางกองทพั ได้ถูกเปลี่ยนแปลงเปน็ ให้ความส�ำคญั ในการส่งเสริมสร้างความเข้าใจในเร่ือง ทฤษฏีความม่ันคงระหว่างประเทศ การวางแผนทาง นโยบาย ความเป็นผู้น�ำ ความสัมพันธ์ระหว่างพลเรือนกับกองทัพ สื่อสารมวลชน ภาษา ต่างประเทศ วัฒนธรรม เป็นต้น ซึ่งหลักสูตรทางการศึกษาท่ีถูกปรับเปลี่ยนดังกล่าว ท�ำให ้ นายทหารของประเทศเกาหลใี ต้มที ัศนะทางการเมือง สงั คม และวัฒนธรรม ท่เี ข้าใจ และค�ำนึง ถึงหลกั การประชาธิปไตย หลักสทิ ธมิ นษุ ยชน๒๐ ระบบบริหารจัดการบุคลากร และการศึกษาของกองทัพนั้นกลายเป็นสิ่งท่ีมี ความส�ำคัญมากที่ช่วยในการปรับเปล่ียนวัฒนธรรมของกองทัพ การน�ำเอารูปแบบแนวทาง การศึกษารูปแบบใหม่มาด�ำเนินการ เช่น ให้นายทหารต้องเรียนรู้เก่ียวกับการศึกษาทาง ดา้ นการเมอื งกบั บทบาทของกองทพั การสนบั สนนุ ใหเ้ กดิ การพฒั นาการศกึ ษาสำ� หรบั นายทหาร ให้ได้รับการศึกษาที่สูงขึ้นในสถาบันพลเรือน และผ่านโครงการฝึกฝนอบรมระหว่างประเทศ รวมถงึ การปฏริ ปู องคก์ รโดยสง่ เสรมิ หลกั การความเปน็ ผนู้ ำ� ทต่ี อ้ งยอมรบั ในระบบพลเรอื นควบคมุ กองทัพ ซ่ึงรูปแบบแนวทางการศึกษาตามหลักเกณฑ์ และกระบวนการต่างๆ กลายเป็นเร่ือง ทวั่ ไป ซงึ่ ถูกสร้างขึน้ มาจนกลายเป็นหลักการในสถาบนั กองทพั โดยนายทหารในกองทพั ท่ีได้รบั การศกึ ษาตามรปู แบบขา้ งตน้ จะมโี อกาสกา้ วหนา้ ในอาชพี เมอื่ ทำ� งานใหก้ บั กองทพั กระบวนการ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ดงั กลา่ ว จงึ สง่ ผลใหเ้ กดิ การเปลยี่ นแปลงในการขนึ้ สตู่ ำ� แหนง่ ระดบั ผบู้ งั คบั บญั ชาทเี่ ปลย่ี น จากเดิมการเลื่อนต�ำแหน่งต้องมาจากหลักความอาวุโส ซ่ึงมีลักษณะการเล่นพรรคเล่นพวก และระบบทเ่ี อาความชน่ื ชอบสว่ นตวั มาตดั สนิ ใจ เปลยี่ นแปลงกลายมาเปน็ ระบบการแตง่ ตง้ั เลอื่ น ต�ำแหน่งโดยยึดถือหลักการด้านคุณสมบัติที่ดีเย่ียม (merit-based promotion system) มาดำ� เนนิ การแทน โดยเฉพาะเหลา่ นายทหารทจ่ี ะมาเปน็ ผบู้ งั คบั บญั ชาจะตอ้ งแสดงใหเ้ หน็ วา่ ได้ ศึกษาและยึดมั่นในระบบพลเรือนควบคุมกองทัพตามระบอบประชาธิปไตย นอกจากน ี้ ๒๐ Ibid., pp. 113 – 120.
ระบบพลเรอื นควบคมุ กองทัพ: บททดสอบความม่ันคงของระบอบประชาธปิ ไตย 27 สภาความมั่นคงแห่งชาติท่ีถูกตั้งขึ้นกลายเป็นหน่วยงานหลักส�ำคัญที่มีบทบาทในการตัดสินใจ เก่ียวกับนโยบายป้องกันประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบให้บทบาทของกองทัพลดน้อยลง ซึ่งสภา ความมนั่ คงแหง่ ชาตเิ ปน็ ระบบทางราชการทป่ี ฏบิ ตั งิ านดา้ นการปอ้ งกนั ประเทศทมี่ าจากพลเรอื น โดยถือเป็นหนึ่งในหน่วยงานที่คอยตรวจสอบ และเป็นหน่วยงานที่มีอิทธิพลอย่างมากในการ ตดั สนิ ใจในนโยบายความม่ันคง โดยกองทัพมีหนา้ ท่ีตอ้ งปฏบิ ัตติ าม๒๑ ดงั นนั้ การเกดิ ระบบพลเรอื นควบคมุ กองทพั ของสาธารณรฐั เกาหลที เ่ี กดิ ขน้ึ ไดอ้ ยา่ ง มีประสิทธิภาพในปัจจุบันเกิดจากประชาชนมีความสนใจและคอยระแวดระวังไม่ให้กองทัพเข้า มามีส่วนร่วมและแทรกแซงทางการเมือง เนื่องจากประชาชนเห็นว่าการถูกกดข่ีและปกครอง ด้วยระบอบเผด็จการในอดีตไม่ได้สร้างผลดีต่อประเทศชาติ ซึ่งบทบาทของพลเรือนดังกล่าวจึง ถือเป็นส่วนส�ำคัญในการปกป้องและสนับสนุนการด�ำเนินการของรัฐบาลพลเรือนให้สามารถ ปฏริ ปู กองทพั ไดอ้ ยา่ งสมั ฤทธผิ์ ล โดยเฉพาะการปฏริ ปู ในการใหพ้ ลเรอื นเขา้ ไปตดั สนิ ในนโยบาย การป้องกันประเทศ การจัดซ้ืออาวุธยุทโธปกรณ์ เป็นต้น ขณะเดียวกันการศึกษาในสถาบัน กองทพั จากเดมิ ทใี่ หค้ วามสำ� คญั ในเรอ่ื งยทุ ธศาสตรแ์ ละการทหารไดถ้ กู ปรบั เปลยี่ นใหเ้ รยี นรเู้ รอื่ ง เทคโนโลยี นวัตกรรม ศาสตร์ความรตู้ า่ ง ๆ ทีม่ ีความเป็นพลเรือน โดยเฉพาะการเนน้ หนักให้ เคารพในระบบพลเรือนควบคุมกองทัพตามระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นการช่วยให้ทหารม ี ความเข้าใจและมีความสัมพันธ์ร่วมกับพลเรือน รวมถึง การท่ีนายทหารท่ีจะได้รับการเลื่อน ต� ำ แ ห น ่ ง ใ น ร ะ ดั บ ผู ้ บั ญ ช า ก า ร ก อ ง ทั พ ต ้ อ ง ไ ด ้ รั บ ก า ร ศึ ก ษ า ใ น ห ลั ก ก า ร ดั ง ก ล ่ า ว ข ้ า ง ต ้ น ซ่ึงกระบวนการทั้งหมดก่อให้เกิดวัฒนธรรมของกองทัพท่ีเปลี่ยนแปลงไปจากทัศนคติแนวคิดที่ มองการป้องกันประเทศจะต้องเป็นเรื่องที่กองทัพเป็นผู้ด�ำเนินการทั้งหมดโดยไม่ต้องค�ำนึงถึง ประชาชน กลายเปน็ การดำ� เนนิ การของกองทพั จำ� เปน็ จะตอ้ งไดร้ บั ความเหน็ ชอบจากสาธารณชน และตอ้ งอยภู่ ายใตก้ ารควบคมุ ตรวจสอบของพลเรอื นตามหลกั การประชาธปิ ไตย ซงึ่ ถอื วา่ ปจั จบุ นั สาธารณรัฐเกาหลีเป็นประเทศที่มีระบบพลเรือนควบคุมกองทัพท่ีมีความเข้มแข็ง อันส่งผลให้ เกิดระบอบประชาธิปไตยทีม่ ีความมงั่ คงในประเทศ ๒๑ A. Croissant, 2011, Civilian Control over the Military in East Asia. The East Aisa Institute, Ruprecht-Karls-Universität, Heidelberg. Retrieved from http://www.eai.or.kr/data/bbs/kor_report/ 201109091057148.pdf on November 6, 2018, p. 31.
28 รัฐสภาสาร ปที ี่ ๖๘ ฉบับท่ ี ๑ เดือนมกราคม-กุมภาพนั ธ ์ พ.ศ. ๒๕๖๓ แนวทางการสร้างระบบพลเรือนควบคุมกองทัพ ๑. การสร้างความรว่ มมือระหว่างกองทพั และภาคพลเรือน หลกั การสำ� คญั ตามแนวคดิ ของฮนั ทงิ ตนั คอื กองทพั ในสงั คมระบอบประชาธปิ ไตย ควรมีหน้าที่ในการปอ้ งกนั ประเทศ และมีหน้าท่ีในการดูแลรกั ษาความมัน่ คงภายใน ซ่งึ กองทัพ ในระบอบประชาธิปไตยไม่ควรท�ำหน้าท่ีเกินจากน้ี ดังน้ัน จึงจะต้องปลูกฝังหลักการในสถาบัน กองทัพให้มีแนวคิดท่ีว่า ความมั่นคงถือว่าเป็นภารกิจของพลเรือนด้วย ไม่ใช่เร่ืองของกองทัพ ฝ่ายเดียว โดยกองทัพจะต้องให้ฝ่ายพลเรือนร่วมตัดสินใจในการบริหารจัดการภายในกองทัพ เช่น การคัดสรรบุคคลากรท่ีจะด�ำรงต�ำแหน่งบริหาร ซ่ึงควรจะเป็นลักษณะที่ภายในหน่วยงาน กองทพั นำ� เสนอบคุ คลากรในกองทพั ขนึ้ มาวา่ ใครมคี วามเหมาะสมอยา่ งไร และใหร้ ฐั บาลพลเรอื น พิจารณาให้ความเห็นและอนุมัติ๒๒ รวมถึงการให้ประชาชน หรือหน่วยงานรัฐอ่ืนๆ เข้ามา ตรวจสอบการดำ� เนนิ การของกองทพั ทงั้ ในเรอื่ งกระบวนการจดั หาอาวธุ ยทุ โธปกรณ์ การใชจ้ า่ ย งบประมาณของทางกองทพั ซงึ่ จะทำ� ใหเ้ กดิ การมสี ว่ นรว่ ม และระบบธรรมาภบิ าลภายในองคก์ ร กองทัพ ๒. การสร้างหลักความเปน็ มืออาชพี โดยไม่เข้ามายุ่งเกยี่ วกับการเมอื ง ประเดน็ ปญั หาคอื กองทพั อาจจะรสู้ กึ วา่ กองทพั นนั้ ควรเปน็ สว่ นหนงึ่ ของบา้ นเมอื ง โดยบางส่วนมีความคิดว่าเป็นความหวังดีต่อประเทศชาติเป็นพิเศษ เพราะเช่ือม่ันในศักยภาพ ในการจะนำ� พาประเทศไปสคู่ วามกา้ วหนา้ หรอื พน้ จากวงั วนในความขดั แยง้ ทางการเมอื ง ดงั นน้ั สง่ิ ทเ่ี ปน็ ทสี่ งสัยคือ แทจ้ ริงแล้ว กองทพั ไม่ไดต้ ้องการยุ่งเกีย่ วกบั การเมอื ง แตก่ ารเมืองยงุ่ เกี่ยว กับกองทัพก่อน หรือสถานการณ์วิกฤตของบ้านเมืองเป็นตัวบังคับให้ทหารต้องยุ่งเกี่ยวกับ การเมอื ง ดงั น้ันความสำ� คญั คือ การก�ำหนดระยะความสมั พนั ธท์ ่ีเหมาะสมระหวา่ งทั้งสองฝา่ ย ระหว่างฝ่ายกองทัพและฝา่ ยการเมือง เพอ่ื ใหก้ ารเมอื งตามระบอบประชาธปิ ไตยสามารถตง้ั มนั่ อยใู่ นสงั คมได้ จงึ ตอ้ งใหค้ วามสำ� คญั ในการปฏริ ปู ฝา่ ยความมน่ั คง เนอื่ งจากการใหฝ้ า่ ยการเมอื ง ควบคุมงานความม่ันคงโดยประชาธิปไตยน้ันเป็นเรื่องของการให้นักการเมืองควบคุมกองทัพ แต่นักการเมืองไม่ใช่ตัวแทนท้ังหมดของประชาธิปไตย และนักการเมืองอาจไม่มีความรู ้ และแรงจูงใจในการควบคมุ กองทพั ซง่ึ จะต้องพยายามหาคำ� ตอบให้ได้ว่า ท�ำไมสังคมนนั้ ถึงไม่มี ๒๒ กฤษฎา ศภุ วรรธนะกุล, ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๖๐, ปฏิรปู กองทพั คือท�ำใหก้ องทพั อย่ภู ายใตก้ าร ควบคุมของพลเรือน, ประชาไท สืบค้นจาก https://prachatai.com/journal/2017/07/72532 เมื่อวันท่ี ๑๒ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๑.
ระบบพลเรือนควบคุมกองทัพ: บททดสอบความมัน่ คงของระบอบประชาธิปไตย 29 ความรแู้ ละแรงจงู ใจในการควบคมุ กองทพั ดว้ ย ทงั้ น้ี เหตผุ ลประการหนง่ึ อาจจะตอบไดว้ า่ สงั คมนนั้ อาจจะไมม่ ภี ยั ความมน่ั คงทม่ี ากพอทจ่ี ะกระตนุ้ ใหส้ งั คมนนั้ สนใจในเรอื่ งความมนั่ คง และอาจจะ ไปมสี ว่ นรว่ มในการควบคมุ กองทพั ไปในทศิ ทางทจ่ี ะตอบผลประโยชนข์ องสงั คมนนั้ ไดจ้ รงิ ๆ ทง้ั นี้ หากไม่สามารถตอบค�ำถามในเรื่องความรู้ และแรงจูงใจของสังคมท่ีมีต่องานความมั่นคงแล้ว จะไม่สามารถตอบค�ำถามในเร่ืองการสร้างหลักความเป็นมืออาชีพให้กับกองทัพ ว่าจะสามารถ สร้างได้อย่างไร ดังน้ันการกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างทหารกับพลเรือนในมุมใหม่ที่เรียกว่า การปฏิรูปด้านความมั่นคงน้ัน จะให้ความสัมพันธ์กับ ๓ เร่ือง คือ (๑) การควบคุมทหารด้วย ระบอบประชาธิปไตย (๒) ประสิทธิภาพของกองทัพ ต�ำรวจ และหน่วยความมั่นคงอ่ืนๆ โดยเฉพาะการขา่ ว (๓) คอื ประสทิ ธผิ ลของหนว่ ยความมนั่ คงแตล่ ะหนว่ ย ทงั้ นกี้ ารควบคมุ กองทพั โดยพลเรือน ส่ิงส�ำคัญไม่ควรจะเน้นแต่การควบคุม เพราะกองทัพอาจจะรู้สึกอึดอัด และเสยี ศกั ดศิ์ รี แตค่ วรจะหมายถงึ การสรา้ งความรว่ มมอื และความเขา้ ใจทด่ี กี บั กองทพั ใหท้ หาร และหน่วยความม่ันคงอ่ืนๆ นั้นรู้สึกว่าภารกิจในการเปลี่ยนผ่านประชาธิปไตย และการท�ำให้ ประชาธิปไตยตั้งมั่นนั้นเป็นของประชาชนทุกคน และกองทัพไม่ควรจะเข้ามาท�ำหน้าที่น ี้ แต่ฝา่ ยเดยี ว แต่ควรจะมีส่วนรว่ มอย่างเหมาะสมเสียมากกวา่ ซ่งึ ในมติ ิของการควบคมุ กองทพั และหนว่ ยงานความมน่ั คงใหมๆ่ สง่ิ ทส่ี ำ� คญั ไมไ่ ดอ้ ยแู่ คว่ า่ นกั การเมอื งมคี วามรพู้ อ หรอื สามารถ นั่งต�ำแหน่งเหนือกว่ากองทัพ แต่ต้องด�ำเนินการไปจนถึงการที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน คณะกรรมาธิการของรัฐสภา สื่อมวลชน สถาบันตุลาการนั้นเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบ การกระทำ� ของฝา่ ยความมน่ั คงทปี่ ฏบิ ตั กิ ารในนามของการรกั ษาความมน่ั คง และยงั รวมถงึ เรอ่ื ง การทคี่ ณะกรรมการในระดบั นานาชาตสิ ามารถเขา้ มาตรวจสอบการกระทำ� ของหนว่ ยความมน่ั คง หากการกระท�ำของหน่วยงานเหล่านั้นก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพ และหลักการ ประชาธปิ ไตยดว้ ย๒๓ ตวั อยา่ งเชน่ การปฏริ ปู กองทพั ในประเทศอนิ โดนเี ซยี มกี ารจดั ตงั้ ประชาคม นโยบายปอ้ งกันประเทศ (defense policy community) เพอ่ื เปิดโอกาสให้ภาคประชาสงั คม และ นักวชิ าการ ไดเ้ ข้าร่วมกบั ผู้ออกนโยบาย กองทัพ และสมาชิกรฐั สภา ในการอภิปรายและเสนอ ความคดิ เห็นเกยี่ วกบั ความม่ันคงและการป้องกนั ประเทศ๒๔ ๒๓ พิชญ์ พงษ์สวัสด์ิ, ๒๕๖๐, ทิศทางใหม่ในการพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างทหารกับพลเรือน, ประชาไท สบื ค้นจาก https://www.matichon.co.th/article/news_703757เมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๑ ๒๔ พลอย ธรรมาภิรานนท์, ๒๕๕๙, พลเรือนควบคมุ ทหาร : หนทางสู่ประชาธิปไตยทีม่ ีเสถยี รภาพ. สืบค้นจาก https://www.the101.world/civilian-control-of-the-military/ เม่ือวนั ที่ ๒๔ ตลุ าคม ๒๕๖๑.
30 รฐั สภาสาร ปที ่ ี ๖๘ ฉบบั ที่ ๑ เดอื นมกราคม-กมุ ภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๓ ดังน้ัน การจะสร้างหลักความเป็นมืออาชีพได้น้ัน ประชาชนทุกสว่ นในสงั คมจะต้อง รว่ มมอื กนั สรา้ งแรงจงู ใจในการใหค้ วามสนใจงานความมนั่ คง และบทบาทของกองทพั โดยไมใ่ ช่ เปน็ ไปในลกั ษณะทเี่ ฉพาะการใหฝ้ า่ ยการเมอื ง หรอื รฐั บาลอยเู่ หนอื กองทพั เทา่ นนั้ แตป่ ระชาชน ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันตรวจสอบ วิพากษ์วิจารณ์การด�ำเนินการ และบทบาทของกองทัพ ดังกล่าวจึงจะสร้างให้เกิดหลักความเป็นมืออาชีพได้ ขณะเดียวกัน การปฏิรูปด้านความมั่นคง จะตอ้ งมหี นว่ ยงานอน่ื ๆ เขา้ มามบี ทบาท และดำ� เนนิ การใหเ้ ปน็ ไปอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพในกจิ การ ความม่ันคงภายใน ซ่ึงการที่จะเกิดระบบพลเรือนควบคุมกองทัพได้ในช่วงการเปล่ียนผ่านน้ัน จะตอ้ งไมเ่ นน้ ถงึ การควบคมุ เทา่ นนั้ แตจ่ ะตอ้ งผา่ นการสรา้ งกระบวนการความรว่ มมอื และสรา้ ง ความเข้าใจท่ดี ีกับกองทพั โดยใหเ้ รือ่ งความมน่ั คงเปน็ เรื่องของประชาชนทกุ คนในชาติ และเป็น ประโยชนร์ ่วมกนั ๓. การพัฒนาหลักสตู รในสถาบนั ศกึ ษาทางการทหาร สถาบนั การศกึ ษาในกองทพั จะตอ้ งมกี ารพฒั นาหลกั สตู รการเรยี นการสอนในสถาบนั การศกึ ษาในกองทพั โดยใหเ้ นน้ หนกั ถงึ เรอ่ื งประชาธปิ ไตย สทิ ธมิ นษุ ยชน รฐั ธรรมนญู กฎหมาย สิทธิหน้าที่ของทหาร ทั้งน้ี ต้องท�ำให้ทหารในกองทัพมีหลักการที่ว่า ทหารไม่ใช่เจ้าหน้าท่ีท ่ี ออกไปรบ หรอื เชอ่ื ฟงั คำ� สง่ั ของผบู้ งั คบั บญั ชาเทา่ นนั้ แตท่ หารเปน็ พลเมอื งทไี่ ปใสเ่ ครอื่ งแบบทหาร แมท้ หารนัน้ อยูก่ บั หลักการที่เคร่งครดั อยา่ งยง่ิ คอื เรื่องคำ� สัง่ บังคับบญั ชา แตต่ ้องทำ� ใหห้ ลักการ เรือ่ งเสรภี าพของมนุษย์ เปน็ เร่ืองทม่ี คี วามส�ำคัญเช่นกัน โดยตอ้ งสรา้ งดลุ ยภาพของทงั้ สองเรอื่ งน้ี ทง้ั น้ี ปฏเิ สธไมไ่ ดว้ า่ หลกั การสำ� คญั ของทหารคอื ตอ้ งเชอ่ื ฟงั ผบู้ งั คบั บญั ชา แตต่ อ้ งสรา้ งหลกั การใหญ่ ทสี่ �ำคัญมากกวา่ คอื การปลกู ฝงั หลกั การโดยให้มีขอ้ ยกเว้น ๒ กรณี คือ (๑) มีสทิ ธปิ ฏิเสธไมป่ ฏิบตั ิตาม ถ้าค�ำสั่งนั้นละเมิดศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์ (๒) ทหารมีหน้าที่ในการปฏิเสธไม่ปฏิบัติตาม หรือเช่ือฟังค�ำสั่งผู้บังคับบัญชา ถ้าค�ำสั่งน้ันไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นความผิดอาญา๒๕ นอกจากน้ี ยังส่งเสริมให้บุคลากรในกองทัพได้ร่วมศึกษาในสถาบันการศึกษาของพลเรือน โดยให้บุคคลากรในกองทัพศึกษาทางด้านเทคนิค เทคโนโลยี และวิชาการอื่น ๆ การศึกษา รว่ มกนั ระหวา่ งพลเรอื นกบั บคุ ลากรในกองทพั ยอ่ มถอื เปน็ การสรา้ งความสมั พนั ธใ์ หท้ หารเขา้ ใจ และเคารพ หลักการสทิ ธิ และเสรภี าพของพลเรือนมากยง่ิ ข้นึ ๒๕ ประชาไท, ๒๕๕๔, รายงานเสวนา กองทพั การเมอื ง ประชาธปิ ไตย, สบื คน้ จาก https://pracha- tai.com/journal/2017/07/72532 เมอ่ื วันที่ ๑๒ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๑.
ระบบพลเรอื นควบคุมกองทัพ: บททดสอบความมัน่ คงของระบอบประชาธปิ ไตย 31 ๔. การยกเลิกศาลทหาร และหากมีข้อพิพาทระหว่างบุคลากรในกองทัพให้ข้ึน ศาลพลเรือน ศาลทหารถอื วา่ มบี ทบาทสำ� คญั ในกรณที ก่ี ำ� ลงั พลในกองทพั อยใู่ นระหวา่ งสนามรบ เพราะท�ำให้เกดิ ความรวดเร็ว สะดวก และเป็นไปตามระเบียบ กฎเกณฑ์ เพอ่ื ประโยชน์ในการ สงคราม แตห่ ากกำ� ลงั พลของกองทพั ไมไ่ ดอ้ ยใู่ นสภาวะสงบสขุ ไรส้ งคราม ทหารในกองทพั กเ็ ปรยี บ เสมือนพลเรือนที่ปฏิบัติหน้าท่ีในฐานะพลเมืองของประเทศ ดังน้ัน หากมีข้อพิพาทระหว่าง บุคลากรในกองทัพควรจะน�ำคดีข้อพิพาทขึ้นศาลพลเรือน ทั้งนี้ เพ่ือให้เกิดความยุติธรรม เสมอภาค และท�ำให้ประชาชนในสังคมท่ัวไปได้รับรู้ถึงกระบวนการยุติธรรม เนื่องจากปฏิเสธ ไม่ได้ว่าสังคมในกองทัพยังมีระบบสายบังคับบัญชาช้ันยศ ซ่ึงอาจจะท�ำให้เกิดความไม่เช่ือม่ัน ในระบบยุติธรรมในศาลทหาร และคดีที่เกิดขึ้นในศาลทหารประชาชนทั่วไปจะสามารถเข้าไป ตรวจสอบได้ยากกว่าคดีท่ีเกิดขึ้นในศาลพลเรือน การให้ก�ำลังพลในกองทัพสามารถยื่นคดี ตอ่ ศาลพลเรอื นไดแ้ ทนทศี่ าลทหารจะทำ� ใหบ้ คุ ลากรในกองทพั สามารถยดึ หลกั การความถกู ตอ้ ง และหลกั ความเปน็ มอื อาชพี ทจี่ ะไมย่ นิ ยอมปฏบิ ตั ติ ามคำ� สงั่ ผบู้ งั คบั บญั ชาหากคำ� สง่ั นนั้ ผดิ หลกั การ ประชาธิปไตย และไมช่ อบดว้ ยกฎหมาย โดยไมต่ อ้ งเกรงกลัววา่ จะไม่ได้รับความยตุ ิธรรม ๕. การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง โดยยึดหลักการและกฎเกณฑ์ตาม ระบอบประชาธปิ ไตย เหตผุ ลสำ� คัญที่กองทพั มักอา้ งเขา้ มาแทรกแซง หรอื ยึดอำ� นาจจากรัฐบาลพลเรือน คอื ประเดน็ เรอ่ื งความไรเ้ สถยี รภาพทางการเมอื งในรฐั บาลพลเรอื น ทงั้ ปญั หาดา้ นความชอบธรรม ความไรป้ ระสทิ ธภิ าพ คอรร์ ปั ชนั นโยบายของรฐั บาลพลเรอื น จนเกดิ มกี ารประทว้ งสรา้ งความวนุ่ วาย จนเป็นเหตุจราจลท�ำให้เกิดความไม่ม่ันคงภายในประเทศ ดังกล่าวเป็นการอ้างเหตุให้กองทัพ เขา้ มาจดั การ และแทรกแซงอำ� นาจฝา่ ยการเมอื งได้ ทง้ั น้ี เพอื่ หลกี เลย่ี งการอา้ งประเดน็ ดงั กลา่ ว เพ่ือเข้ามาแทรกแซงอ�ำนาจรัฐบาลพลเรือน การแก้ไขปัญหาจะต้องเป็นไปตามกระบวนการ ประชาธิปไตย กล่าวคอื เม่อื รัฐบาลเห็นว่าฝา่ ยตนเองมปี ระเดน็ ข้อสงสัยในการกระทำ� ความผดิ การบริหารประเทศจนเกิดความไม่สงบอย่างกว้างขวางรัฐบาลควรจะยุบสภา หรือลาออกตาม กระบวนการประชาธิปไตย และจดั ใหม้ กี ารเลอื กตง้ั ใหม่ ซึง่ ถือการเลอื กต้ังถอื เปน็ การพิพากษา ของประชาชนทงั้ ประเทศ ถา้ หากประชาชนสว่ นใหญค่ ดิ วา่ รฐั บาลนน้ั ไมผ่ ดิ แนน่ อนวา่ รฐั บาลนน้ั ย่อมจะได้รับการเลือกตั้งกลับมาอีกคร้ัง แต่หากว่าประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่ามีความผิดก็จะถูก ลงโทษไม่ได้รับความไว้วางใจให้กลับมาบริหารประเทศอีก ขณะเดียวกันรัฐบาลจะต้องไม่ใช้ ความรุนแรงในการปราบปรามผู้เห็นต่าง หรือผู้ประท้วง จนท�ำให้เกิดความสูญเสีย ขณะที ่ ฝา่ ยคา้ นทางการเมอื ง และฝา่ ยทไี่ มเ่ หน็ ดว้ ยกบั รฐั บาล ควรจะใชก้ ารประทว้ ง หรอื การแสดงออก
32 รฐั สภาสาร ปที ่ี ๖๘ ฉบบั ท่ ี ๑ เดอื นมกราคม-กมุ ภาพันธ ์ พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามหลักการประชาธิปไตยโดยไม่ให้เกิดมีความรุนแรง และความสูญเสียจนเป็นเหตุให้น�ำไปสู่ การอ้างเหตุของกองทัพที่จะเข้ามาแทรกแซงทางการเมอื งได้ สรปุ ระบบพลเรือนควบคุมกองทัพถือเป็นองค์ประกอบท่ีมีความส�ำคัญที่จะพิสูจน์ว่า ประเทศใดประเทศหนง่ึ ปกครองดว้ ยระบอบประชาธปิ ไตยทเ่ี ขม้ แขง็ หรอื ไม่ เนอ่ื งจากกองทพั ถอื เป็นองค์กรท่เี ข้มแขง็ และมีอำ� นาจในการใชอ้ าวธุ ยุทโธปกรณ์ ซง่ึ สามารถเข้าแทรกแซง ทา้ ทาย หรือล้มรัฐบาลพลเรือนท่มี าจากการเลือกต้งั จากประชาชนได้ การจะสรา้ งใหเ้ กดิ ระบบพลเรอื น ควบคุมกองทัพน้ัน มีหลักส�ำคัญที่สุดคือ ประชาชนทุกภาคส่วนจะต้องมีแรงจูงใจที่จะสนใจ ในการรบั รู้ ตง้ั คำ� ถาม ตรวจสอบ วพิ ากษ์วิจารณ์ในเรอ่ื งความม่นั คง โดยเฉพาะเกีย่ วกบั กองทพั โดยต้องไม่คิดวา่ เรือ่ งความม่ันคง หรือกองทัพเป็นเรื่องเฉพาะของกองทพั เทา่ นั้น ขณะเดยี วกนั กรณีเม่ือมีความขัดแย้งทางการเมืองทุกฝ่ายในประเทศจะต้องแก้ไขความขัดแย้งโดยสันต ิ ตามระบอบประชาธิปไตย โดยต้องไม่สร้างเงื่อนไขให้เกิดความรุนแรง และการจลาจลไม่สงบ ในประเทศ จนเป็นเหตุให้กองทัพอ้างเป็นเงื่อนไขเข้ามาแทรกแซงอ�ำนาจการปกครองได้ พร้อมกันนี้ประชาชนในประเทศต้องร่วมกันตรวจสอบ และต่อต้านการกระท�ำของกองทัพ ท่ีพยายามเข้าแทรกแซง หรือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับทางการเมือง หรือการกระท�ำท่ีผิดกฎหมาย รวมถงึ การตรวจสอบการดำ� เนนิ การดา้ นนโยบาย ของกองทพั หรอื การจดั หายทุ โธปกรณภ์ ายใน กองทัพด้วย ส่วนบทบาทของกองทัพที่ส�ำคัญท่ีสุดคือ ต้องยึดหลักความเป็นมืออาชีพ ซ่ึงหลักการส�ำคัญของหลักความเป็นมืออาชีพ คือเป็นการไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหน่ึง ไม่เข้า ยุ่งเก่ียวกับการเมือง และเคารพหลักการในระบอบประชาธิปไตยโดยเฉพาะหลักสิทธิมนุษยชน ศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์ที่มีต่อพลเรือน และจะไม่กระท�ำการอันเป็นความผิดตามกฎหมาย อันท�ำใหเ้ กิดความเสอื่ มเสียต่อสถาบันกองทัพ สดุ ทา้ ยน้ี ขอนอ้ มนำ� พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ล อดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ ท่ีพระราชทานไว้ให้แก่บรรดาทหารท้ังหลาย เมื่อวันท่ี ๒๕ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๙ อนั เป็นวันกองทัพไทย เกย่ี วกบั บทบาทของทหารตอนหนึ่งว่า
ระบบพลเรอื นควบคุมกองทัพ: บททดสอบความม่ันคงของระบอบประชาธิปไตย 33 “...เมอ่ื ทหารมไี วส้ ำ� หรบั ประเทศชาติ ทหารตอ้ งเปน็ ของประเทศชาติ หาใชข่ องบคุ คล หรอื คณะบคุ คลใด ๆ โดยเฉพาะไม.่ ..ผบู้ งั คบั บญั ชามหี นา้ ทต่ี อ้ งปกครองทหารในทางทช่ี อบทคี่ วร โดยระลึกถึงความเท่ียงธรรม และหน้าท่ีอันมีเกียรติของทหาร ทั้งนี้ เพราะทหารได้รับเกียรติ และเอกสทิ ธเ์ิ ปน็ ผกู้ มุ อาวธุ และกำ� ลงั รบของประเทศ เปน็ ทเ่ี คารพเกรงขามในหมชู่ นทวั่ ไป ทหาร จงึ ต้องปฏบิ ัตใิ หส้ มกับทต่ี นได้ รบั ความไว้วางใจ ไม่ควรไปทำ� หรอื เกยี่ วขอ้ งในกิจการทมี่ ิใชอ่ ยใู่ น หน้าท่ีโดยเฉพาะของตน เช่น ไปเล่นการเมือง ดังนี้เป็นต้น การกระท�ำเช่นนั้นจะท�ำให้บุคคล เสอื่ มความเชอื่ ถอื ในทหารโดยเขา้ ใจวา่ เอาอทิ ธพิ ลไปใชเ้ พอื่ ประโยชนส์ ว่ นตวั เวลานสี้ ภาพการณ์ ท่วั โลกยงั ไมอ่ ยูใ่ นระดบั ปกติ ความจ�ำเปน็ และส�ำคญั ของทหารย่อมมมี ากข้นึ ทหารจงึ ควรรักษา วนิ ยั โดยเครง่ ครดั ประพฤตติ นใหเ้ ทยี่ งธรรม ปฏบิ ตั หิ นา้ ทใ่ี หอ้ ยภู่ ายในขอบเขตของตนโดยเฉพาะ เพอ่ื เปน็ ทีพ่ ึง่ ทเี่ คารพของประชาชนโดยท่ัวไป..”๒๖ ๒๖ สงบ สุริยินทร์, พระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช, (กรุงเทพฯ: รวมสาสน์ , ๒๕๑๕), น. ๑๖๑-๑๖๓.
34 รัฐสภาสาร ปีที ่ ๖๘ ฉบับท ่ี ๑ เดอื นมกราคม-กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๕๖๓ เอกสารอา้ งองิ ส่อื สิ่งพิมพ์ Born, H. Democratic Oversight of the Security Sector. What does it mean? Geneva: Geneva Center for the Democratic Control of Armed Forces, 2002. Kim, K. Post - Cold War Civil - Military Relations in South Korea: Toward a Postmodern Military? Doctor of Philosophy, the State University of New York at Buffalo, 2009. Taylor, E.R. Command in the 21st Century: An Introduction to Civil - Military Relations. Master’s Thesis, Naval Postgraduate School Monterey Californian, 1988. พชิ ย์ พงษ์สวัสด.์ิ เผด็จการวทิ ยา. กรงุ เทพฯ : มติชน, ๒๕๖๑. สงบ สุริยินทร์. พระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช. กรุงเทพฯ : รวมสาสน์ , ๒๕๑๕. สุรชาติ บำ� รงุ สขุ . เสนาธิปไตย รฐั ประหารกบั การเมอื งไทย. กรุงเทพฯ: มตชิ น, ๒๕๕๘. สอ่ื ออนไลน์ Channel NewsAsia.com, (2018, July, 28). South Korea to reduce length of mandatory military service. Retrieved November 6,2018, from https://www.channelnews asia.com/news/asia/south- korea-military- service-reduce-length-army-10569914 Croissant, A. (2011, September). Civilian Control over the Military in East Asia. The East Aisa Institute, Ruprecht-Karls-Universität, Heidelberg. Retrieved November 6, 2018, from http://www.eai.or.kr/data/bbs/kor_report/201109091057148.pdf Hicks, HK (2017, January 10). Statement Before the Senate Armed Services Committee “Civilian Control of the Armed Forces a Testimony by Kathleen H. Hicks in the Senate Armed Services Committee. The Senate Armed Services Committee. 216 Hart Senate Office Building, Washington, United State of America. Retrieved October 31, 2018, from https://www.armed-services.senate.gov/download/ hicks_01-10-17
ระบบพลเรอื นควบคุมกองทพั : บททดสอบความมั่นคงของระบอบประชาธปิ ไตย 35 Kuehn, D. (2016, February). Institutionalising Civilian Control of Military in New Democracies: Theory And Evidence from South Korea. German Institute of Global and Area Studies. Retrieved November 5, 2018 from https://www. econstor.eu/ bitstream/10419/129744/1/850999278.pdf Substance Abuse and Mental Health Services Administration. (2010). Understanding the Military: The Institution, The Culture, and the People. Retrieved October 30, 2018, from https://www.samhsa.gov/sites/default/files/military_white_pa per_final.pdf กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล. (๒๔ กรกฎาคม ๒๕๖๐). ปฏิรูปกองทัพ คือท�ำให้กองทัพอยู่ภายใต้ การควบคุมของพลเรือน. ประชาไท. สืบค้นเม่ือวันท่ี ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ จาก https://prachatai.com/journal/2017/07/72532 ประชาไทย. (๒๕๕๔). รายงานเสวนา กองทพั การเมือง ประชาธิปไตย. สบื ค้นเมอ่ื วนั ท่ี ๑๒ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๑ จาก https://prachatai.com/journal/2017/07/72532 พชิ ญ์ พงษส์ วสั ดิ์. (๒๕๖๐). ทศิ ทางใหม่ในการพจิ ารณาความสมั พันธ์ระหว่างทหารกับพลเรอื น. ประชาไท. สืบคน้ เมือ่ วันท่ี ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ จาก https://www.matichon. co.th/article/news_703757 พลอย ธรรมาภริ านนท.์ (๒๕๕๙). พลเรอื นควบคมุ ทหาร : หนทางสปู่ ระชาธปิ ไตยทมี่ เี สถยี รภาพ. สืบค้น เมื่อวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๑ จาก https://www.the101.world/civilian- control-of-the-military/ ส�ำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. (๒๕๕๐). รัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกา(ฉบับแปล). สบื คน้ เมอ่ื วนั ที่ ๒๗ ตลุ าคม ๒๕๖๑ จาก https://www.parliament.go.th/ewtadmin/ ewt/admin_souvanee/ewt_dl_link.php?nid=15
36 รัฐสภาสาร ปีที่ ๖๘ ฉบับท ่ี ๑ เดอื นมกราคม-กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๕๖๓ สังคมอดุ มปญั ญาประชาธิปไตย (Democratic Intelligence Society) สญั ญา เคณาภมู *ิ บทคดั ย่อ มนษุ ยเ์ ปน็ สตั วส์ งั คมทจ่ี ำ� เปน็ ตอ้ งอาศยั อยรู่ วมกนั เปน็ หมคู่ ณะหรอื กลมุ่ กลมุ่ บคุ คล ที่ซึ่งมนุษย์มาอาศัยอยู่รวมกันเรียกว่า “สังคม” สังคมจึงประกอบด้วยความหลากหลายของ วิถีปัจเจกบุคคลท้ังเร่ืองของพฤติกรรมทางกาย วาจา รวมไปถึงจิตใจที่หากจัดแบ่งล�ำดับแล้ว จะพบว่ามีทั้งสุดข้ัวซ้ายหรือขวาจัด การปะทะ ก้าวล่วง ละเมิดจึงเกิดขึ้นอยู่เนืองๆ ซึ่งน�ำไปสู่ * อาจารย์ประจ�ำคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม และผูอ้ �ำนวยการสถาบนั วิจยั พฒั นา มหาวิทยาลัยราชภฏั มหาสารคาม
สงั คมอดุ มปัญญาประชาธิปไตย (Democratic Intelligence Society) 37 ความขดั แยง้ บาดหมางอันหมายถึง “ความไมส่ ขุ สงบ สนั ติ” สภาวะสงั คมที่พงึ ประสงค์จงึ เปน็ สภาวะท่ีเผ่าพันธุ์มนุษยชาติโหยหามาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นสังคมแห่งราชาปราชญ์ สังคม ยโู ทเปีย สงั คมคอมมิวนสิ ต์ สงั คมพระศรีอารยิ เมตไตรย เปน็ ต้น แนวคดิ เหลา่ นี้อาจมีข้อจ�ำกัด ท่ีมองพฤติกรรมและจิตใจของมนุษย์มีค่าเท่ากันที่เรียกว่า “มีศีลหรือทิฐิเสมอกัน” ซึ่งอาจเป็น เพยี งอดุ มคตเิ ทา่ นนั้ อยา่ งไรกด็ ี โลกแหง่ ความเปน็ จรงิ เผา่ มนษุ ยม์ คี วามหลากหลายเปน็ พหสุ งั คม การเข้าสู่สังคมที่พึงประสงค์จึงต้องสร้างสมดุลทางสังคมอย่างเหมาะสมเป็นสังคมที่ผู้คนใช้ สิติปัญญาพร้อมด้วยเหตุผลแลกเปลี่ยนเอื้ออาทรแก่กันและกัน และระบบและกลไก การจัดระเบียบทางสังคมท�ำหน้าที่ก�ำกับควบคุมดูแลวิถีปัจเจกบุคคลและวิถีประชาอย่างสมดุล ดังนั้นองค์ประกอบท่ีจ�ำเป็นของสังคมอุดมปัญญาประชาธิปไตย ได้แก่ (๑) วิถีปัจเจกแห่ง ประชาธปิ ไตย ประกอบดว้ ย ความรคู้ วามเขา้ ใจในหลกั การประชาธปิ ไตย อดุ มการณท์ างการเมอื ง แบบประชาธิปไตย และการแสดงออกทางการเมืองตามวิถีประชาธิปไตย (๒) วิถีประชา แห่งประชาธิปไตย ประกอบด้วย สมัยนิยม ความนิยมช่ัวครู่ ความคล่ังไคล้ งานพิธี พิธีการ พธิ กี รรม มารยาททางสงั คม และ (๓) ระบบและกลไกการจดั ระเบยี บทางสงั คมแหง่ ประชาธปิ ไตย ประกอบด้วย มิตภิ าครฐั และมติ ภิ าคสงั คมชุมชน ABSTRACT Humans are social animals that need to live together in groups which called “society”. The society, therefore, consists of variety of individual ways of both physical and verbal behavior including the mind that arranged in sequence and will find there are both extremes left or right arranged may effect to occur violent or clashes frequently which lead to feud conflict means “unhappy or not peaceful”. Therefore, the desirable social conditions are condition that human race has longed for such the society of philosopher king, Utopia, Communist and Phrasriariyametriya. These concepts may have limitations that look at human behavior and minds of equal value called “the same precepts or opinion always”, these may be too idealism. The real world, however, human is diverse as a multicultural society. Thus, entering into desirable society must create a proper social balance as the society that people use wisdom with reason to exchange, learn and caring for each other, including social system and mechanism is responsible for regulating, controlling the individual’s way and the civilization in balanced ways called “the Democratic Intelligence Society” consist of (1) the democratic individual ways are
38 รฐั สภาสาร ปที ่ี ๖๘ ฉบับที ่ ๑ เดอื นมกราคม-กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๓ democratic perception, democratic ideology, democratic action, (2) the democratic folkways are fashion, fad, craze, ceremony, rite, ritual, etiquette and (3) the democratic social systems are public sector and community sector. บทนำ� การเมืองการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยเป็นการปกครองโดยประชาชน ผู้ทรงไว้ซึ่งอ�ำนาจอธิปไตยด้วยการตัดสินใจผ่านมติปวงชนเป็นใหญ่ หรือท่ีกล่าวว่าเป็น การปกครองของประชาชนโดยประชาชนและเพอ่ื ประชาชน๑ การเมอื งแบบประชาธปิ ไตยจงึ เนน้ ไปทกี่ ารเขา้ มีสว่ นรว่ มจากภาคประชาชนในฐานะท่เี ป็นเจา้ ของอำ� นาจอธิปไตย หลักการสำ� คัญ ของระบอบประชาธิปไตย เช่น หลักการประชาชนทกุ คนเป็นเจา้ ของอำ� นาจอธปิ ไตย หลักการ ประชาชนทุกคนมีส่วนร่วมทางการเมือง หลักการใช้อ�ำนาจในการบริหารประเทศต้องปกครอง เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนส่วนใหญ่ หลักการใช้เหตุผลในการตัดสินใจ หลักการยึดเสียง ข้างมากเพ่ือหาข้อยุติ หลักการยอมรับฉันทานุมัติจากปวงชน หลักการประนีประนอมเม่ือเกิด ข้อขัดแย้ง หลักความเสมอภาคค�ำนึงถึงศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์ หลักการแห่งเสรีภาพในการ แสดงออกทางการเมือง หลักการปกครองตนเองเป็นการเปิดโอกาสให้บุคคลในชุมชน หรอื ทอ้ งถนิ่ ไดม้ โี อกาสปกครองตนเองเพราะประชาชนในทอ้ งถน่ิ ยอ่ มสามารถรถู้ งึ ปญั หาและวธิ กี าร แก้ไขปัญหาของตนเองได้ดีกว่าบุคคลอ่ืน๒ เหล่าน้ีเป็นหลักการท่ีพึงประสงค์ของสังคม ประชาธิปไตย ถือได้ว่าเป็นสภาวะท่ีประเทศท่ีปกครองในระบอบประชาธิปไตยโหยหา และพยายามกระทำ� สงั คมใหเ้ ขา้ ถึงสภาวะเช่นนน้ั อยอู่ ย่างต่อเน่ือง อย่างไรก็ตาม สภาวะทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปทิศทางใดทิศทางหนึ่งส่วนหน่ึง ยอ่ มมาจากพฤตกิ รรมของปจั เจกบคุ คลซง่ึ เปน็ ตวั แสดงทางสงั คมทสี่ ำ� คญั โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ พฤตกิ รรม ทางการเมอื งของภาคประชาชน กลา่ วคอื พฤตกิ รรมทางการเมอื งเปน็ การแสดงออกทางการเมอื ง ซ่ึงจะมีผลก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเก่ียวข้องกับกิจกรรมทางการเมือง เช่น การไปใช้สิทธิเลือกต้ัง การมีส่วนร่วมในการรณรงค์หาเสียง การเข้ารับสมัครรับเลือกต้ัง ๑ สรุ พล นติ ไิ กรพจน,์ สภาวะและปญั หาปจั จบุ นั ของระบบรฐั สภาไทย, (กรงุ เทพฯ: สำ� นกั งานกองทนุ สนับสนุนการวิจยั (สกว.), ๒๕๔๘), น. ๑๒. ๒ ธเนศวร์ เจรญิ เมือง, ๑๐๐ ปี การปกครองไทย พ.ศ. ๒๔๔๐ - ๒๕๔๐, พิมพค์ รัง้ ท่ี ๖ (กรงุ เทพฯ: คบไฟ, ๒๕๕๐), น. ๑๗.
สังคมอุดมปัญญาประชาธปิ ไตย (Democratic Intelligence Society) 39 การเข้าร่วมประชาพิจารณ์ การเข้าร่วมต่อสู้ทางการเมือง การเดินขบวนหรือแสดงออก ซึง่ การคัดค้านรัฐบาล การเลือกพรรคการเมอื งท่เี หน็ ว่าดที สี่ ุด การเลอื กอุดมการณ์ทางการเมือง ท่ีเห็นว่าดีที่สุด รวมไปถึงพฤติกรรมของผู้น�ำการเมือง เป็นต้น๓ อย่างไรก็ดี Sanya Kenaphoom๔ ได้จ�ำแนกพฤติกรรมทางการเมืองตามลักษณะเด่นออกเป็น ๓ ลักษณะ ได้แก่ การเปน็ ผสู้ งั เกตการณท์ างการเมอื ง การมสี ว่ นรว่ มทางการเมอื ง และการเปน็ หนุ้ สว่ นทางการเมอื ง ซ่ึงการจ�ำแนกดังกล่าวค�ำนึงถึงความเข้มข้นของการเข้าไปมีส่วนพัวพันในกิจกรรมทางการเมือง ท่เี กิดข้นึ โดยทีพ่ ฤติกรรมทางการเมืองทม่ี ีอทิ ธิพลสูงสุดต่อความเปลยี่ นแปลงทางการเมือง คือ ความเปน็ หนุ้ สว่ นทางการเมอื ง (Political Partnership)๕ พฤตกิ รรมทางการเมอื งเปน็ หวั ใจสำ� คญั ตอ่ การพฒั นาการทางประชาธปิ ไตย ทง้ั นเ้ี นอ่ื งจากตวั แสดงทางการเมอื งโดยเฉพาะนกั การเมอื ง และพรรคการเมืองมีบทบาทส�ำคัญท้ังในมิติส่วนตัวและมิติสาธารณะท่ีมีอิทธิพลท้ังโดยตรงต่อ โครงสร้างทางการเมืองและสังคมของประเทศชาติหรือสถาบันทางการเมืองเป็นส่วนรวม ทั้งน้ี เนอ่ื งจากการพฤตกิ รรมของแสดงทางการเมอื งแตล่ ะคนหรอื กลมุ่ จะมผี ลตอ่ ทศิ ทางของประเทศ เช่น การออกกฎหมาย การก�ำหนดนโยบายสาธารณะ การบริหารราชการแผ่นดิน ทั้งน�ำไปสู่ ความเจริญรุ่งเรือง หรือน�ำไปสู่ความวิบัติ โดยคนท้ังประเทศได้รับผลกระทบจากสิ่งนั้น จากการพฤติกรรมทางการเมอื งของบคุ คลเหลา่ น้ัน ความปรารถนาอนั แรงกลา้ ของเผา่ พนั ธม์ุ นษุ ยชาตคิ อื ความสขุ สงบ สนั ติ ทง้ั มติ ขิ อง ปัจเจกและในมิติทางสังคม แน่นอนพฤติกรรมของปัจเจกย่อมมีผลต่อความเปล่ียนแปลงทาง สงั คม ขณะเดยี วกนั ความเปลย่ี นแปลงสงั คมกย็ อ่ มมผี ลตอ่ การเปลยี่ นแปลงพฤตกิ รรมของปจั เจก ดังนั้นการก้าวสู่สภาวะสมบูรณ์ที่พึงประสงค์ย่อมกระท�ำการเปล่ียนแปลงท้ังในมิติปัจเจก และสังคมไปพร้อมกัน สภาวะที่พึงประสงค์ของปัจเจกบุคคลสามารถมองผ่านพฤติกรรม ทงั้ ทางกาย วาจา และจติ ใจ ในทางการเมอื งอาจเรยี กวา่ “จรยิ ธรรมทางการเมอื ง (Political Ethics)” ซ่ึงก�ำลังถูกหยิบยกมาวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนักหน่วง ขณะเดียวกันในมิติทางสังคม มกี ารกล่าวถึงสภาวะทางสังคมในอดุ มคติท่ีพึงประสงคไ์ ว้อยา่ งหลากหลาย เช่น ๓ ณรงค์ สินสวัสด์ิ, จติ วิทยาการเมอื ง, (กรงุ เทพฯ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2538). ๔ Sanya Kenaphoom, “Political Decision on the Democratic Way of Life : Concept and Forms,” Humanities & Social Sciences, 33,2 (June – August 2016): 89-120. ๕ Sanya Kenaphoom, “Political Partnership,”. Journal of Social Sciences, Chulalongkorn University, 49,2 (July-December 2019).
40 รัฐสภาสาร ปที ี ่ ๖๘ ฉบับท่ ี ๑ เดือนมกราคม-กมุ ภาพันธ ์ พ.ศ. ๒๕๖๓ ๑. สงั คมยูโทเปีย ยโู ทเปยี เปน็ แนวคดิ เชงิ อดุ มคตเิ กย่ี วกบั โลกอนั สมบรู ณท์ ี่ โทมสั มอร์ (Thomas More) นักปรัชญามานษุ ยนิยมชาวองั กฤษเขยี นขนึ้ เม่ือปี ค.ศ. ๑๕๑๖ ในยคุ สมัยของพระเจ้าเฮนรที ี่ ๘ แห่งราชวงศ์ทิวดอร์ (สมัยเดียวกับกรุงศรีอยุธยาตอนต้น) สืบเน่ืองจากความเห็นขัดแย้ง ทางการเมอื งตอ่ พระเจา้ เฮนรท่ี ี่ ๘ เขาเหน็ ความลำ� บากยากแคน้ ของประชาชน ความไมเ่ ทา่ เทยี มกนั ระหว่างขุนนางกับชาวนา ในขณะท่ีเขาด�ำรงต�ำแหน่งเป็นตัวแทนจากรัฐไปเจรจาการค้า ที่แฟลนเดอร์ หลังจากที่พระเจ้าชาร์ลสแห่งเนเธอร์แลนด์ข้ึนภาษีน�ำเข้าขนสัตว์ในอัตราที่สูงล่ิว โดยระหวา่ งการเดนิ ทาง มอรไ์ ดเ้ กดิ แรงบนั ดาลใจใหน้ กึ ถงึ หนงั สอื Republic ของเพลโตทว่ี า่ ดว้ ย การปกครองทีด่ ี และเมื่อยอ้ นนึกถึงความทกุ ขย์ ากของอังกฤษในเวลานน้ั โทมสั มอรจ์ งึ เขยี นถึง สงั คมในอุดมคตทิ ม่ี ชี ือ่ ว่า “ยโู ทเปีย (Utopia)” ขึน้ โดยตัง้ ใจเขียนเป็นวรรณกรรมเสยี ดสีลอ้ เลียน ความโงเ่ ขลาและความเลวร้ายของสงั คมในสมยั นั้น ชาวยูโทเปยี อย่ดู ีกินดมี าก มกี ารจดั สรรปนั สว่ นอยา่ งเป็นระบบ ไม่จ�ำเป็นตอ้ งแก่งแย่งกันเพราะสิ่งจำ� เป็นในชีวิตมพี ร้อมพนู แล้ว ชาวเมอื ง ต่างท�ำงานตามหน้าที่ ไม่ใช้เวลาว่างไปในทางเกียจคร้าน แต่ก็มิได้ท�ำงานแบบเอาเป็นเอาตาย ในแต่ละวนั ทำ� งานเพียงสามชัว่ โมงตอนเช้า พักรบั ประทานอาหารกลางวนั แลว้ ท�ำงานอกี สาม ชั่วโมงตอนบ่าย เข้านอนตอนสองทุ่ม โดยนอนไม่ต�่ำกว่าวันละแปดช่ัวโมง ยูโทเปียเป็นสังคม ในฝนั เพราะการสรา้ งคา่ นยิ มในเรอ่ื งการรกั ษาคณุ ธรรมและความพงึ พอใจในการใชช้ วี ติ ชาวยโู ทเปยี ไมใ่ หค้ วามสำ� คญั กบั วตั ถุ โดยเหน็ วา่ เงนิ และทองเปน็ สง่ิ หยาบชา้ ไมม่ คี า่ มไี วส้ ำ� หรบั ทำ� โซส่ ำ� หรบั ทาส หรอื จา้ งคนชวั่ ไปท�ำสงครามแทน (เป็นการกำ� จดั สิ่งชั่วรา้ ยไปในตวั ) ยโู ทเปียไมม่ ีกฎหมาย ออกมาบังคับประชาชนมากมาย พวกเขาอยู่ร่วมกันด้วยการให้เกียรติซ่ึงกันและกัน ใส่เสื้อผ้า เรยี บงา่ ยคลา้ ยคลงึ กนั เสอื้ ผา้ แตล่ ะชดุ ใชท้ นทานนานถงึ เจด็ ปี และผคู้ นในระดบั ผปู้ กครองกไ็ มม่ ี ส่ิงบ่งบอกด้วยวัตถุใดใดไม่ว่าจะเป็นเส้ือผ้าอาภรณ์หรือส่ิงประดับที่ช้ีให้เห็นว่าแตกต่างจาก ประชาชนอื่นๆ กล่าวโดยสรุปก็คือ ยูโทเปียแท้ท่ีจริงแล้วคือรัฐที่คนในสังคมท่ีอยู่ด้วยศีลธรรม และคุณธรรมในการด�ำรงชีวิตนั่นเอง ตราบใดที่สังคมไทยเรายังยุ่งเหยิงวุ่นวายดังเช่นปัจจุบันน้ี ยโู ทเปยี จงึ เป็นสังคมในความฝนั ท่ีจะมาทดแทนสิ่งทีเ่ ราขาดยังขาดอย๖ู่ ๖ ช�ำนาญ จันทรเ์ รอื ง, “ยโู ทเปีย (Utopia),” กรงุ เทพธุรกิจ (๒๔ กนั ยายน ๒๕๕๑) [Online] สบื คน้ จาก https://prachatai.com/journal/2008/09/18284 เมอื่ วนั ท่ี ๒๔ กันยายน ๒๕๕๑.
สงั คมอดุ มปญั ญาประชาธิปไตย (Democratic Intelligence Society) 41 ๒. สังคมพระศรีอรยิ ะเมตไตรย พระศรีอริยเมตไตรยเป็นความเชื่อหน่ึงของผู้นับถือพระพุทธศาสนาท่ีเช่ือว่า พระศรอี รยิ เมตไตรย จะเปน็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทจ่ี ะอบุ ตั ขิ น้ึ ในอนาคตตอ่ จากกาลพทุ ธศาสนา ของพระโคตมสัมมาสัมพุทธเจ้า (องค์ปัจจุบัน) เช่น คัมภีร์ ช่ือ สูตรแห่งการใคร่ครวญของ พระศรีอริยเมตไตรยผู้ขึ้นไปประสูติในสวรรค์ชั้นดุสิตและไมตรียากรณ์๗ ความเชื่อเรื่องโลกยุค พระศรีอริยเมตไตรยในพระพุทธศาสนาจะแบ่งช่วงเวลาของโลกออกเป็น ๔ ยุค คือ กฤตยุค เตฺรตรยุค ทฺวาปรยุค กลิยุค โลกยุคพระศรีอริยเมตไตรยอยู่ในช่วงกฤตยุค ซ่ึงเป็นยุคที่ดีท่ีสุด ตามทัศนะของปราชญ์พุทธและนักวิชาการศาสนา พบว่า เป็นโลกยุคอดมคติ อุดมการณ์ จินตนาการ แนวคิดเร่ืองสังคมในยุคอุดมคติมีอยู่ท้ังในทางปรัชญาและศาสนา สังคม ยุคพระศรีอริยเมตไตรยน่ันเองซ่ึงเป็นโลกในยุคอุดมคติหรืออุดมการณ์๘ สังคมในสมัย พระศรีอรยิ เมตไตรย ไดแ้ ก๙่ (๑) มนุษย์อุดมคติ เชน่ นุ่งหม่ ผา้ ทพิ ย์ ชายพากนั ยินดีด้วยภรรยา ของตน หญิงพากันยินดีด้วยสามีของตน มนุษย์ท้ังปวงมีรูปงาม ไม่มีมนุษย์พิการ มนุษย์เป็น ผู้ไม่มีโรคภัย (๒) สังคมอุดมคติ เช่น ไม่มีโจรผู้ร้าย ไม่มีทะเลาะวิวาท เป็นมิตรไมตรีกัน (๓) ธรรมชาติอดุ มคติ เชน่ สมบรู ณ์ด้วยพชื พนั ธ์ธุ ญั ญาหาร (๔) ผนู้ ำ� อุดมคติ เช่น ผู้บรหิ ารภาค รฐั ผู้ทรงคณุ ธรรม เป็นต้น ๓. สังคมคอมมิวนสิ ต์ คาร์ล มาร์กซ์ เป็นผู้เสนอปรัชญาการเมืองที่เรียกว่า มาร์กซิสม์ (Marxism) ซ่ึงเป็นการวิเคราะห์ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ โดยการพิจารณาถึงความสัมพันธ์ระหว่าง สถาบนั ทางสงั คมกบั พลงั ทางเศรษฐกจิ โดยใชท้ ฤษฏวี ภิ าษวธิ -ี วตั ถนุ ยิ ม (dialectical materialism) ซึ่งได้รบั อิทธิพลมาจาก เฮเกล (Hegel) เป็นเคร่ืองมือในการวเิ คราะห์ อาจกลา่ วไดว้ ่ามารก์ ซสิ ม์ น้ีเป็นท้ังปรัชญาทางการเมือง ปรัชญาทางเศรษฐกิจ และกลยุทธ์ในการปฏิวัติสังคม๑๐ มาร์กซ์ ๗ จริ สั สา คชาชวี ะ, “ประตมิ านวทิ ยาของพระศรอี ารยิ เมตไตรยะ จากอนิ เดยี สเู่ อเชยี ตะวนั ออกเฉยี ง ใต้,” ดำ� รงวิชาการ หนังสอื รวมบทความทางวิชาการคณะโบราณคดี ๑,๑ (มกราคม - กรกฎาคม ๒๕๔๕): ๔๔. ๘ พระมหาปรญิ ญา วรญาโณ (ทศชว่ ย), ความเช่อื เร่ืองโลกยคุ พระศรอี ริยเมตไตรยของประชาชน ในเขตเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด, วิทยานิพนธ์ปริญญาพุทธศาสตรมหาบัณฑิต (พระพุทธศาสนา) มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๕๓. ๙ อภิลกั ษณ์ เกษมผลกลู , “ตำ� นานพระศรอี าริย์ : การตอบสนองความต้องการอนั เปน็ อุดมคติแหง่ โลกอนาคต,” วารสารอักษรศาสตร์ ๓๕,๒ (กรกฎาคม - ธันวาคม ๒๕๔๙) : ๒๖๓ -๒๘๗. ๑๐ จรญู สุภาพ, ขอ้ คดิ และปญั หาบางประการของโลกคอมมิวนสิ ต์ [Online] สบื คน้ จากhttp://www. library.polsci.chula.ac.th/dl/c33bcb2d524b30cbd063f472c7ffd571 เม่อื วนั ที่ ๒๐ กนั ยายน ๒๕๖๐.
42 รัฐสภาสาร ปที ่ ี ๖๘ ฉบับท ี่ ๑ เดอื นมกราคม-กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๕๖๓ กล่าวว่า การเปล่ียนแปลงสังคมไปสู่สภาวะท่ีพึงประสงค์ต้องกระท�ำโดยชนชั้นกรรมาชีพซึ่งจะ รว่ มมือกนั ปฏวิ ัติล้มล้างนายทุน ดงั ปรากฏใน “ค�ำประกาศของคอมมิวนิสต”์ (The Communist Manifesto)๑๑ ซึ่งมาร์กซ์และเองเกลส์ร่วมกันร่างไว้ โดยมีใจความสรุปว่า ทุกคนจะมีเสรีภาพ ซ่ึงเกิดข้ึนมาพร้อมกับชัยชนะข้ันสุดท้ายของชนช้ันกรรมาชีพ โดยกระบวนการของการปฏิวัติ และสังคมจะเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคคอมมิวนิสต์ ซ่ึงมาร์กซ์เช่ือว่าเป็นยุคสุดท้าย คือเป็นสังคมท่ี ไม่มีการขัดแย้งกันทางชนช้ัน เป็นสังคมที่ปราศจากชนชั้น (classless society) ไม่มีกฎหมาย ไมม่ ีการปกครอง และรฐั จะต้องอันตรธานไป (state will wither away)๑๒ ๔. สังคมอดุ มปัญญา ศาสตราจารย์ ดร.เกรยี งศกั ดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ กูรนู กั คิดระดับชาติ ได้ต่อยอดแนวคิด ของ Alvin Toffler ผเู้ ขยี นหนงั สอื The Third Wave ไวอ้ ยา่ งนา่ สนใจ โดยแบง่ คลน่ื ตา่ งๆ ทก่ี ระทบ สงั คมโลกออกเปน็ ๔ ลูกดงั น๑้ี ๓ คลน่ื ลกู ท่ี ๑ คอื “สังคมเกษตรกรรม” ปัจจัยแห่งยคุ นี้คอื ทด่ี นิ ผนู้ ำ� ทางสงั คมหรอื ผนู้ ำ� แหง่ ยคุ คอื ผกู้ มุ อำ� นาจทหารเพอ่ื ปกปอ้ งปจั จยั และหาปจั จยั ใหมใ่ หส้ งั คม ของตน คลื่นลูกที่ ๒ คือ “สังคมอุตสาหกรรม” ปัจจัยแห่งยุคคือทุน เคร่ืองมือแห่งยุคได้แก่ เครื่องจกั ร หลงั จากทม่ี กี ารคิดคน้ สรา้ งเครอื่ งจกั รไอน�้ำ โลกเรากเ็ ข้าสู่สงั คมอตุ สาหกรรม มีการ สรา้ งถนน และสาธารณปู โภคตา่ งๆ การเดนิ ทางไปมาหาสกู่ นั ของคนมมี ากขนึ้ ภาษาทอ้ งถนิ่ เรม่ิ มีบทบาทน้อยลง ในขณะที่ผู้คนหันมาเรียนรู้ท่ีจะใช้ภาษาสากล เพ่ือง่ายและมีประสิทธิผล ในส่ือสารระหวา่ งกันมากขน้ึ คลื่นลูกที่ ๓ คือ“สงั คมแห่งข้อมูล” ปัจจัยแห่งยคุ คอื ข้อมูล เครอ่ื งมอื แหง่ ยคุ ือ IT สิง่ ตา่ งๆ ในยุคน้เี ปลีย่ นแปลงอยา่ งรวดเรว็ ผ้ทู ี่เขา้ ถึงข้อมูลก่อนจะไดเ้ ปรยี บในการ แขง่ ขนั คลื่นลกู ที่ ๔ คือ “สงั คมแห่งองคค์ วามรู้” ปัจจยั แหง่ ยุคคือความรู้ เครอ่ื งมือแหง่ ยุคคือ ศาสตรแ์ ขนงต่างๆ เช่น nanotechnology และ biotechnology เปน็ ตน้ และ คลน่ื ลกู ที่ ๕ คือ “สงั คมแหง่ ปญั ญา (Intelligence Society)” หรอื ทที่ า่ นอาจารยเ์ กรยี งศกั ดเิ์ รยี กวา่ “ปราชญสงั คม” ๑๑ บ้านจอมยุทธ, สังคมนยิ มและคอมมวิ นิสต์ [Online] สืบค้นจากhttps://www.baanjomyut.com/ library_2/socialist_and_communist_zionist/02.html เม่ือวนั ท่ี ๒๘ มีนาคม ๒๕๖๑. ๑๒ โอฬาร ถิ่นบางเดียว, ตำ� ราเรียนวิชา การวิเคราะหก์ ารเมอื ง หน่วยท่ี ๑๐ แนวคดิ เศรษฐศาสตร์ การเมอื ง, (กรุงเทพ ฯ : มหาวิทยาลัยสุโขทยั ธรรมาธริ าช, ๒๕๖๐). ๑๓ กติ ตภิ มู ิ มปี ระดษิ ฐ,์ การกา้ วสสู่ งั คมแหง่ ปญั ญา, [Online] สบื คน้ จากhttps://www.facebook.com/ kittipoomgened/posts/1041279675961455/ เมือ่ วันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๙.
สังคมอุดมปัญญาประชาธปิ ไตย (Democratic Intelligence Society) 43 เป็นยุคของนักคิด การบูรณาการความรู้และใช้ปัญญาเพ่ือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ สังคมใด สามารถพาตนสู่การเป็นปราชญสังคมได้ส�ำเร็จ สังคมน้ันจะอยู่ต้นแถวของโลก การสร้างสังคม อุดมปัญญาให้เกิดขึ้นต้องเร่ิมท่ี “การพัฒนาคนในชาติ” เป็นล�ำดับแรก การพัฒนาคน มคี วามจำ� เปน็ อยา่ งเรง่ ดว่ น เพราะประเทศชาตจิ ะสามารถอยรู่ อด เตบิ โตและประสบความสำ� เรจ็ ในโลกยคุ ใหม่ท่มี กี ารเปลยี่ นแปลงอยา่ งรวดเร็ว และมีการแข่งขนั สงู ได้นนั้ “มนุษย์” หรือ “คน” ในประเทศจะต้องมี “ทุน” ท่ีเหมาะสม ซึ่งคำ� ว่าทุนน้ันหมายถึง “ความรู้ ทักษะความสามารถ ประสบการณ์ และค่านิยม ทค่ี นในองคก์ รมี และนำ� มาใช้ในการท�ำงานใหบ้ รรลุผล” ซ่งึ เราเรียก ส้ันๆ ว่า “ทุนมนุษย์ (Human Capital)” ทุนมนุษย์ คือทุนท่ีส�ำคัญในการสร้างและพัฒนา “ทรพั ยากรมนษุ ย”์ เปน็ ปจั จยั พนื้ ฐานทม่ี นษุ ยท์ กุ คนจะตอ้ งไดร้ บั แตจ่ ะไดร้ บั อยา่ งมคี ณุ ภาพมาก เพยี งใดนนั้ กข็ นึ้ อยกู่ บั พอ่ แม่ ครอบครวั ครอู าจารย์ และสถาบนั การศกึ ษาทมี่ บี ทบาทสำ� คญั ทจี่ ะ หลอ่ หลอม ปลกู ฝังท้ังความรู้ ความคิด และคณุ ธรรมเพ่อื ให้สามารถเปน็ คนดีในสังคม ดังน้ัน ลักษณะสังคมที่พึงประสงค์จึงไม่สามารถปฏิเสธสังคมแห่งปัญญา หรือ สงั คมอุดมปญั ญา (Intelligent Society) สงั คมอุดมปญั ญาเปน็ สังคมท่ียึดหลักชีวิตคือการศกึ ษา การศึกษาคือชีวิต การศึกษาท�ำให้เกิดปัญญาซ่ึงหมายถึงความรู้ท่ีสามารถเชื่อมโยงได้ ทกุ เรอื่ ง๑๔อดุ มปญั ญา หมายถงึ การแสวงหาความรยู้ ง่ิ ๆ ขน้ึ ไป ปรบั เปลย่ี นใหท้ นั การเปลย่ี นแปลง ของโลกและสงั คม บ่อยคร้งั ควรน�ำหน้าหรือช้นี ำ� การเปล่ียนแปลงดว้ ยซ�ำ้ ไป การแสวงหาความรู้ ใหม่ๆ “ตอ้ ง” สง่ เสริมการคดิ นอกกรอบ ท้าทายความคิดท่ีมอี ยู่เดมิ ”๑๕ มคี วามพยายามอธบิ าย หรือกล่าวถึงกันอย่างกว้างขวางในวงการนักสังคมศาสตร์สมัยใหม่ ค�ำว่า ปัญญา (WISDOM) ตามพจนานกุ รม หมายถงึ ความรอบคอบ, ความรอบร,ู้ ฉลาด, ไตรต่ รอง, ร,ู้ รจู้ กั (โลก), สขุ มุ เปน็ ตน้ โดยนยั ยะของค�ำวา่ สังคมแห่งปญั ญา จะมุ่งเน้นไปท่ี สภาพของสังคมที่มีการพฒั นาไปสกู่ ารเรียนรู้ ด้วยปัญญา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ปัญญาในการรู้จักตัวตน และสภาพความเป็นจริง ตามหลกั อริยสจั ๔ เพอ่ื จะนำ� ปัญญาไปแกไ้ ขปญั หาทางสงั คม ตามหลักพทุ ธศาสนา คอื ทกุ ข์ ๑๔ ประเวศ วะส,ี ปาฐกถาพิเศษ “มหาวิชชาลัย ร่วมสรา้ งสังคมอุดมปัญญา,” งานเปดิ มหาวชิ ชาลยั ดอนแก้วสร้างสุข และมหกรรมนวตั กรรมสขุ ภาพชุมชน องคก์ ารบริหารส่วนต�ำบลดอนแกว้ อ.แม่รมิ จ.เชยี งใหม,่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๗. ๑๕ ธงชยั วนิ จิ จะกลู , “ธงชยั วนิ จิ จะกลู : มหาอวชิ ชาลยั ,” ประชาไทออนไลน์ (๒๕ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๕๘) สบื คน้ จาก https://prachatai.com/journal/2015/02/58097
44 รัฐสภาสาร ปีท ี่ ๖๘ ฉบับท ี่ ๑ เดือนมกราคม-กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๕๖๓ (การมอี ย่ขู องทุกข์ หรือปญั หา) สมทุ ัย (เหตแุ หง่ ทุกขห์ รือปัญหา) นโิ รธ (การดบั ทุกข์หรอื ปัญหา) และมรรค (หนทางการไปสู่การดบั ทุกขห์ รอื ปญั หา)๑๖ อย่างไรก็ตาม การกล่าวถึงสังคมท่ีพึงประสงค์จึงควรหรือต้องค�ำนึงถึงท้ัง “โลกอุดมคติกับโลกแห่งความเป็นจริง” ไปพร้อมกัน ผู้เขียนเห็นว่าสภาวะสังคมที่พึงประสงค์ที่ เราสามารถเขา้ ถงึ ได้ คอื “สงั คมอดุ มปญั ญาประชาธิปไตย (Democratic Intelligence Society)” ลักษณะการปกครองแบบประชาธิปไตยท่ียึดมั่นในหลักท่ีว่า “อ�ำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน หรอื อำ� นาจสงู สุดในการปกครองประเทศเปน็ ของประชาชน ประชาชนเปน็ ผใู้ ช้อ�ำนาจอธปิ ไตย และการใช้อ�ำนาจอธิปไตยนั้นเป็นไปเพื่อผลประโยชน์สุขของประชาชน” หลักประชาธิปไตย ดังกล่าวสะท้อนออกมาเป็นรูปธรรมในมิติของปัจเจกบุคคลท่ีมีประเด็นพิจารณา ๓ ประการ ไดแ้ ก๑่ ๗ ๑. อุดมการณ์ประชาธิปไตยซ่ึงเป็นความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าในหลักการ แหง่ ประชาธปิ ไตย โดยเฉพาะหลกั การความเสมอภาคและเสรภี าพเปน็ หลกั การพน้ื ฐานทส่ี ำ� คญั ในการอยรู่ ว่ มกนั หลกั การแหง่ เสรภี าพ เชน่ เสรภี าพในการพดู การพมิ พ์ และการโฆษณา เสรภี าพ ในการนับถือศาสนา เสรีภาพในการสมาคมหรือรวมกลุ่ม สิทธิในทรัพย์สิน สิทธิที่จะได้รับ การคุ้มครองตามกฎหมาย และสทิ ธิสว่ นบคุ คล สว่ นหลกั ความเสมอภาค เชน่ ในทางการเมือง การปฏิบัตติ ามกฎหมาย ในโอกาส ในทางเศรษฐกิจ และในทางสังคม ๒. การปกครองแบบประชาธปิ ไตย หมายถงึ วธิ กี ารปกครองของรฐั หรือชุมชนเมอื ง ที่มีลักษณะ ๓ ประการ ดังน้ี (ก) รัฐบาลของประชาชนกล่าวคือรัฐบาลจะต้องมาจาก การเลอื กตงั้ ของประชาชน และประชาชนสามารถเปลยี่ นแปลงผปู้ กครองไดด้ ว้ ยการไปลงคะแนน เสียงเลือกต้ัง น่ันคือ ประชาชนอยู่ในฐานะเป็นเจ้าของรัฐบาลซึ่งบ่งช้ีถึงมิติของการปกครอง ในด้านความเป็นเจ้าของอ�ำนาจอธิปไตย (ข) รัฐบาลโดยประชาชน หมายถึง ประชาชนหรือ พลเมืองทุกคนมีสิทธิท่ีจะเป็นผู้ปกครองได้ ถ้าหากได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนส่วนใหญ่ ๑๖ พนั เอก ฤทธี อินทราวุธ, เทคโนโลยสี ารสนเทศกบั สงั คมแห่งปญั ญา (Information Technology and Wisdom Society), (กรงุ เทพฯ : ศนู ยเ์ ทคโนโลยีทางทหาร กระทรวงกลาโหม, ๒๕๕๗). ๑๗ สญั ญา เคณาภูมิ และกชพร ประทุมวนั , “วิถปี ระชาธปิ ไตยของพลเมอื งในระบอบประชาธปิ ไตย” (Citizens’ Democratic Way of Life in a Democratic Regime),” วารสารวไลยอลงกรณป์ ริทัศน์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถมั ภ์ ๕,๒ (กรกฎาคม-ธนั วาคม ๒๕๕๘) : ๑๘๓-๑๘๔.
สังคมอดุ มปัญญาประชาธิปไตย (Democratic Intelligence Society) 45 ของประเทศ และ (ค) รฐั บาลเพอ่ื ประชาชน หมายถงึ รฐั บาลจะตอ้ งมจี ดุ ประสงคเ์ พอ่ื ความผาสกุ ของประชาชน และจะตอ้ งมีการกำ� หนดวาระในการดำ� รงต�ำแหนง่ เช่น ทกุ ๔ ปี ฯลฯ เพอ่ื จะได้ เปน็ หลกั ประกนั วา่ ผปู้ กครองจะตอ้ งปกครองเพอื่ ประชาชน หากผนั แปรจากจดุ หมายน้ี ประชาชน จะได้มีโอกาสเปล่ยี นผปู้ กครองผ่านทางการเลือกตั้ง ๓. วิถีชีวิตประชาธิปไตย ซึ่งเป็นพฤติกรรมของปัจเจกบุคคลหรือกลุ่มบุคคล ท่ีสอดคล้องกับหลกั การแห่งประชาธปิ ไตยมปี ระเด็นทส่ี อดคลอ้ ง ดงั น้ี (ก) พฤติกรรมทแี่ สดงถงึ ความเคารพตอ่ ตนเองและผอู้ ืน่ เชน่ ใหค้ วามส�ำคญั และรบู้ ทบาทของตนเองในการดำ� เนินการ เรียนรู้ มีความรับผดิ ชอบต่อบทบาทหน้าทท่ี ไ่ี ด้รบั มอบหมายในการเรยี นรู้ ให้เกียรติและรับฟัง ความคิดเห็นของเพื่อนในกลุ่ม มีความไว้วางใจเพ่ือน ในกลุ่มขณะปฏิบัติกิจกรรมกลุ่ม (ข) พฤติกรรมที่แสดงถึงความสามัคคีและเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม เช่น ช่วยเหลือ สนับสนุน และให้ก�ำลังใจแก่เพ่ือนๆ ในการท�ำงานร่วมกัน มีความเสียสละเวลาเพ่ือการท�ำกิจกรรม การเรยี นรขู้ องกลมุ่ อยา่ งเตม็ ที่ มกี ารแบง่ ปนั อปุ กรณ/์ แหลง่ ทรพั ยากรการเรยี นรกู้ บั เพอ่ื น ในกลมุ่ สามารถร่วมงานกับบุคคลอื่นได้ดีและร่วมท�ำกิจกรรมการเรียนรู้ตลอดระยะเวลาการเรียนรู้ (ค) พฤตกิ รรมทแ่ี สดงถงึ ความมเี หตผุ ลและดลุ ยพนิ จิ ในการแกไ้ ขปญั หา เชน่ มกี ารศกึ ษาวเิ คราะห์ ขอ้ มลู อยา่ งรอบคอบกอ่ นวางแผนการเรยี นรอู้ ยา่ งเปน็ ขนั้ ตอน มเี หตผุ ลในการทจ่ี ะอภปิ รายรว่ ม กับเพอื่ นในกลมุ่ อย่างสมเหตสุ มผล มีวิธีดำ� เนนิ การเรียนรู้ โดยการใชแ้ หล่งทรัพยากรการเรยี นรู้ ได้อยา่ งเหมาะสม มกี ารตดั สินใจแกป้ ัญหาท่รี อบคอบ โดยอยบู่ นพ้ืนฐานของความมีเหตุผล บทความนมี้ วี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื สงั เคราะหก์ รอบแนวคดิ เชงิ ทฤษฎที เ่ี ปน็ องคป์ ระกอบ ของสงั คมอดุ มปญั ญาประชาธปิ ไตย ซง่ึ เปน็ การพยายามมองในภาพองคร์ วมในมติ สิ งั คมวา่ สงั คม ทอ่ี ดุ มดว้ ยปญั ญาบนพนื้ ฐานของหลกั การประชาธปิ ไตยจะมอี งคป์ ระกอบหรอื หนา้ ตาเปน็ อยา่ งไร ทั้งนี้การวิเคราะห์กรอบแนวคิดสังคมอุดมปัญญาประชาธิปไตยจะน�ำไปสู่การพัฒนาเครื่องมือ ศึกษาสภาวะสงั คมที่พงึ ประสงคต์ อ่ ไป นิยามสังคมอุดมปญั ญาประชาธปิ ไตย สภาวะสังคมที่พึงประสงค์เป็นสิ่งท่ีมนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์โหยหา มนุษย์จึงได้พยายาม วาดฝันสภาวะสงั คมที่พงึ ประสงค์ไปตา่ งๆ นานา เชน่ สังคมยโู ทเปีย สงั คมคอมมวิ นิสต์ สงั คม พระศรอี รยิ ะเมตไตย อยา่ งไรกด็ สี งั คมดงั กลา่ วมาขา้ งตน้ อาจเปน็ สงั คมในอดุ มคตทิ ย่ี ากทจ่ี ะเขา้ ถงึ เน่ืองจากฐานคติของการคิดต้ังสมมติฐานว่าความรู้ความเข้าใจตลอดจนทัศนคติของพลเมือง เสมอเหมอื นกนั หรอื เรยี กวา่ “ศลี เสมอกนั ” เปน็ ตน้ ในโลกของความเปน็ จรงิ มคี วามหลากหลาย ในเผ่าพันธุ์มนุษย์ด้วยความรู้ ความเชื่อ ความเห็น ตลอดจนพฤติกรรมการแสดงออก ดังน้ัน
46 รัฐสภาสาร ปีที่ ๖๘ ฉบบั ที่ ๑ เดอื นมกราคม-กมุ ภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๓ การสร้างสรรค์สังคมหรือการออกแบบสภาวะสังคมท่ีพึงประสงค์จึงควรตั้งอยู่บนพ้ืนฐานของ ความหลากหลาย แต่คนส่วนใหญ่เป็นตัวก�ำหนดและช้ีน�ำสังคม การขับเคลื่อนการพัฒนา ไดเ้ น้นไปทีค่ นท้งั หมดในสังคม แต่อาจหวังผลว่าแคเ่ กิดขึน้ กับคนสว่ นใหญ่ในสงั คมก็ถือว่าบรรลุ การพฒั นาในระดบั หนง่ึ แลว้ เนอ่ื งจากในสงั คมประชาธปิ ไตยโอกาสทคี่ นสว่ นใหญจ่ ะเปน็ ผกู้ ำ� หนด และชีน้ �ำสงั คมมคี ่อนขา้ งสงู “สังคมอุดมปญั ญาประชาธิปไตย” เป็นสภาวะสงั คมทเ่ี หมาะสมกับ การเปน็ เปา้ หมายของการพฒั นาวถิ ปี ระชาธปิ ไตยของพลเมอื งในระบอบประชาธปิ ไตย ซงึ่ จะได้ นำ� เสนอนิยามและองค์ประกอบท่ีส�ำคญั ต่อไป การทำ� ความเขา้ ใจนยิ ามคำ� วา่ สงั คมอดุ มปญั ญาประชาธปิ ไตย เราจะพจิ ารณาองค์ ประกอบเบอ้ื งตน้ ของคำ� ศพั ท์ ไดแ้ ก่ คำ� วา่ “สงั คม” คำ� วา่ “อดุ มปญั ญา” และ คำ� วา่ “ประชาธปิ ไตย” ดังนัน้ พิจารณาในสามคำ� หลกั ดงั นี้ คำ� วา่ “สงั คม” สงั คมอาจใหค้ ำ� จำ� กดั ความวา่ ในฐานะเปน็ กลมุ่ ของประชาชนทอี่ าศยั อยู่รวมกันเป็นเวลานานพอที่มีการจัดระเบียบร่วมกันและเห็นว่าพวกเขาแตกต่างไปจากกลุ่มอื่น๑๘ สงั คมเปน็ กลมุ่ ของมนษุ ยท์ ใี่ ชช้ วี ติ รว่ มกนั ชว่ ยเหลอื กนั เปน็ เวลานานจนพวกเขาสามารถจดั องคก์ ร ของพวกเขาและถือวา่ พวกเขา คือสังคมหนึ่งท่ีมกี ฎเกณฑ์ ระเบยี บที่แน่นอน๑๙ โดยกลุ่มคนนัน้ ไดม้ ปี ฏสิ มั พนั ธก์ นั บนพนื้ ฐานของความใกลช้ ดิ ทางสายเลอื ดทก่ี ระทำ� ตอ่ คนอนื่ โดยเฉพาะระบบ ความสัมพันธ์ในครอบครัวแล้วน�ำไปสู่ความสัมพันธ์ทางสังคม๒๐ ดังนั้นระบบสังคมจึงเน้น ความสัมพันธ์ ๒ ลักษณะ๒๑ คือ (๑) ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ท่ีใช้ชีวิตอย่างเป็น กลุ่มในสังคมที่มีระบบและระเบียบ และ (๒) การรักษาระเบียบความสัมพันธ์ภายในกลุ่ม อยา่ งเปน็ ระบบ อยา่ งไรก็ตามนักวชิ าการไทยไดน้ ยิ ามค�ำว่า “สังคม” หมายถงึ กลมุ่ คนมากกว่า สองคน ขึ้นไปมาอยู่รวมกันเป็นระยะเวลานานในขอบเขต สมาชิกประกอบด้วยคนทุกเพศ ทกุ วยั ซงึ่ มี ความสมั พนั ธซ์ ง่ึ กนั และกนั โดยมวี ฒั นธรรมหรอื ระเบยี บแบบแผนในการดำ� เนนิ ชวี ติ เปน็ ของ ตนเองและทส่ี �ำคัญทสี่ ุด คือ สามารถเล้ยี งตวั เองได๒้ ๒ สังคมคอื กลมุ่ คนตง้ั แต่สองคน ๑๘ John F. Cuber and William F. Kenkel, Social Stractificational in the United States. (New York: Appleton-Century-Crofts, Inc.,1954), pp. 23-28. ๑๙ Ralph Linton, The Study of Man, (New York: D. Appleton Century Crafts, 1964). ๒๐ Hammudah Abdulati, Social meaning. 2nd ed., (United States of America: American Trust Publications, 1975). ๒๑ Sidi Gazalba, Pandangan Islam tentang kesenian, (Jakarta : Bulan Bintang,1977). ๒๒ สุดา ภิรมย์แก้ว, สงั คมวทิ ยา, (กรุงเทพ ฯ: มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร,์ ๒๕๔๙), น. ๖๗.
สังคมอุดมปญั ญาประชาธิปไตย (Democratic Intelligence Society) 47 ขนึ้ ไป อาศยั อยรู่ วมกนั เปน็ ระยะเวลายาวนานอยา่ งตอ่ เนอื่ ง ในบรเิ วณหรอื พนื้ ทแี่ หง่ ใดแหง่ หนง่ึ มอี าณาเขตทช่ี ดั เจน และมกี ารปฏสิ มั พนั ธต์ อ่ กนั อยา่ งมรี ะเบยี บและแบบแผน ภายใตว้ ถิ ชี วี ติ และ ขนบธรรมเนยี มทส่ี อดคลอ้ งกนั ตลอดจนสามารถเล้ียงตนเองได้ตามสมควรแกอัตภาพ๒๓ ดังน้ัน สงั คม (Society) จึงหมายถงึ กลุม่ ของบุคคลทมี่ ีวิถีการใหค้ ุณคา่ และการใช้ ชีวติ ท่ีเหมือนกนั ซงึ่ องค์ประกอบของสงั คมอย่างนอ้ ยมี ๒ สว่ น ไดแ้ ก่ วฒั นธรรม (Culture) หรอื ระบบจดั สรรหน้าท่ีของสงั คม และการเมือง (Politics) หรอื ระบบการจดั สรรอำ� นาจ อย่างไรก็ดี ลกั ษณะท่วั ไปของสังคม (General Characteristic of Society) มีลกั ษณะดังน๒้ี ๔ ๑. สังคมเป็นนามธรรม (Abstractness of Society) สังคมได้ถึงความสัมพันธ์ของ คนในสังคม สังคมเป็นส่ิงไม่มีชีวิตแต่เป็นแนวทางปฏิบัติเสมือนส่ิงมีชีวิต กล่าวคือ วิธีการของ การคบหาสมาคมกันของผู้คนในสังคมซึ่งเป็นสภาพหรือความสัมพันธ์อันเหมาะสมอย่างลงตัว ในตัวเอง ดังนั้นสงั คมจึงเปน็ เป็นเพยี งนามธรรม ๒. การพงึ่ พาอาศยั กันมีอยใู่ นสังคม (Interdependence in Society) ในสงั คมแตล่ ะ บุคคลต้องพึ่งพาอาศัยกันในฐานะเป็นสมาชิกของสังคม MacIver, Robert M.๒๕ กล่าวว่า “ประวัติศาสตร์มนุษยชาติในแง่หนึ่ง คือ ประวัติของความก้าวหน้าของการจัดระเบียบในการ ทำ� งานรว่ มกนั ของแตล่ ะคนในสงั คมเพอ่ื ความสำ� เรจ็ ตามจดุ มงุ่ หมายอนั เดยี วกนั ” ดงั นน้ั เพอื่ บรรลุ เป้าหมายของชีวิตของผู้คนในสังคม แต่ปัจเจกบุคคลสมาชิกในสังคมไม่สามารถท่ีจะจัดกระท�ำ ความสำ� เรจ็ ใหก้ บั ตนเองไดเ้ พยี งลำ� พงั ผคู้ นในสงั คมจงึ ตอ้ งกระทำ� แบบพงึ พาอาศยั ซง่ึ กนั และกนั น่นั เอง ๓. สงั คมเกยี่ วขอ้ งกบั ความเหมอื นและความแตกตา่ งกนั (Society Involves Likeness and Difference) สมาชกิ ท้ังหมดในสงั คมไมเ่ หมือนกัน ในท้องถิ่นตา่ ง ๆ พวกเขามคี วามแตกต่าง กัน สังคมจึงเกยี่ วขอ้ งกับความเหมอื นกนั และความแตกต่างกนั MacIver, Robert M.๒๖ กล่าวว่า การแสดงออกท่ีเป็นนามธรรมของพวกแต่ละคนที่ปรากฏชัด คือ ความเหมือนกันและแตกต่าง กันทางดา้ นสังคมวทิ ยาและจติ วทิ ยา กล่าวคอื สังคมจะประกอบไปดว้ ยปัจเจกบุคคลท่ีมลี ักษณะ ท่ีแตกต่างกันออกไปอยา่ งหลากหลาย ๒๓ พิชัย ผกากอง, มนุษย์กับสงั คม, (กรงุ เทพฯ: มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๗), น. ๑๐. ๒๔ อนันต์ โพธิกุล, เอกสารประกอบการสอนรายวิชา GS 105 “สังคม เศรษฐกิจ การเมือง และ ประชาคมโลก” มหาวิทยาลยั กรุงเทพธนบรุ ,ี ๒๕๖๐, น. ๑-๒. ๒๕ Robert M. MacIver, Community: A Sociological Study, (London: Macmillan, 1924). ๒๖ Ibid.
48 รัฐสภาสาร ปีท ี่ ๖๘ ฉบับท่ี ๑ เดือนมกราคม-กมุ ภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๓ ๔. สังคมมีทั้งการร่วมกนั และการขดั แยง้ กนั (Society Involves Both Co-operation and Conflict) สงั คมไม่ใชว่ า่ จะมแี ตก่ ารร่วมมือกนั หรือขดั แยง้ กันอยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ สังคมมีทง้ั ๒ อยา่ ง ทง้ั การรว่ มมอื กนั และการขดั แยง้ กนั ซงึ่ จะเหน็ ไดช้ ดั มองในฐานะเปน็ พฤตกิ รรมของมนษุ ย์ ท่ีแสดงในการติดต่อกันและการปรับปรุงตัว Gisbert, P.๒๗ ให้ข้อสังเกตว่า “การร่วมมือกัน เป็นวิธีการอันส�ำคัญของสังคมมนุษย์ หากปราศจากการร่วมมือกันแล้ว สังคมก็อยู่ไม่ได้ ในมุมกลับกัน มันก็มีการขัดแย้งเกิดขึ้นในสังคม เม่ือสิ่งท่ีคนสนใจร่วมกันถูกสรุปลงอย่างไม่ กลมกลนื กัน การขัดแย้ง มอี ยู่ในทกุ สังคม เพราะทุกคนจะมีชวี ิตอยไู่ ด้กด็ ้วยการต่อสเู้ ท่าน้ัน” คำ� วา่ “อุดมปญั ญา” ค�ำศัพทน์ ี้มีคำ� อยสู่ องค�ำทผี่ สมกัน คือ ค�ำว่า “อดุ ม” แปลว่า สูงสดุ เลิศ มากมาย บรบิ รู ณ์ ส่วนค�ำว่า “ปัญญา (Wisdom)” คอื ความรู้ ความเขา้ ใจ ที่สามารถ ประพฤตปิ ฏบิ ตั ไิ ดแ้ ละสามารถใชค้ วามรู้ ความเขา้ ใจ ในแขนงวชิ าหรอื ศาสตรใ์ ดใดเพอื่ การทำ� งาน หรือประกอบกิจกรรมใดใดก็ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงโดยบุคคลได้บูรณาการการเรียนรู้ การสั่งสมประสบการณ์จนก่อให้เกิดความรู้ฝังลึกในบุคคลกลายเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ เป็นปราชญแ์ หง่ ชมุ ชน พุทธศาสนาแบ่งปัญญาออกเป็น ๓ ระดับ ดงั น้ี ๑. สุตมยปัญญา (ปัญญาจากการฟังหรือการอ่าน) หมายถึง ปัญญาความรู้ ความเข้าใจจากการอา่ นจากผา่ นสัญลักษณแ์ ละการฟงั จากส่อื ต่างๆ ครง้ั เดียวหรือซ้ำ� แล้วซ�้ำอีก จนกระทง่ั มพี น้ื ฐานความรทู้ ถี่ กู ตอ้ งและแมน่ ยำ� ปญั ญานมี้ ลี กั ษณะเปน็ ความจดจำ� เปน็ สว่ นใหญ่ (Memorize Skill) ๒. จนิ ตามยปญั ญา (ปญั ญาจากการคดิ พจิ ารณา) หมายถงึ ปญั ญาทเ่ี กดิ หรอื ไดจ้ าก การคดิ ใครค่ รวญ พนิ จิ พจิ ารณาไตรต่ รองใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจ อยา่ งตกผลกึ ตามขน้ั ตอนของเหตผุ ล และความสมั พนั ธต์ า่ งๆ โดยมใิ ชก่ ารจดจำ� เฉย ๆ แตส่ ามารถมองเหน็ สภาวะของความจรงิ ทแี่ ทจ้ รงิ หรอื เหน็ ความสมั พนั ธเ์ ชอ่ื มโยงกนั อยา่ งเปน็ เหตเุ ปน็ ผล ปญั ญานเ้ี นน้ ไปในลกั ษณะทกั ษะการคดิ (Thinking skill) ๓. ภาวนามยปัญญา (ปัญญาเกิดจากลงมือปฏิบัติ) หมายถึง ปัญญาเกิดจาก การลงมือปฏิบัติ กล่าวคือภาวนาแปลว่าท�ำให้เจริญหรือการท�ำให้เกิดให้มีขึ้นซ่ึงก็หมายถึง การลงมือปฏิบัติน่ันเอง (Practice skill)๒๘ ปัญญาแบบนี้ถือว่าเป็นปัญญาจากประสบการณ์ การลงมอื ปฏบิ ตั จิ นเกดิ ทกั ษะหรอื ความชำ� นาญซง่ึ หากเทยี บเคยี งกบั ทฤษฎกี ารจดั การความรขู้ อง ๒๗ P. Gisbert, Fundamentals of Industrial Sociology, (New Delhi: Tata McGraw Hill, 1971). ๒๘ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตโต. ๒๕๖๑), พัฒนาปัญญา เล่าเรื่องให้โยมฟัง ชุดท่ี ๒ [Online] สืบค้นจาก https://www.payutto.net/book-content/ทางเกดิ ของปัญญา/.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117