50 1. ตรงกบั ความต้องการ (Relevant) หรือไม่ โดยดูว่าสารสนเทศนนั้ ผู้ใช้สามารถนำไปใช้เพ่ิมประสิทธภิ าพได้ มากกวา่ ไมใ่ ช้สารสนเทศ หรอื ไม่ คณุ ภาพของสารสนเทศ อาจจะดทู ่ีมันมีผลกระทบต่อกจิ กรรมของผใู้ ช้ หรือไม่ อยา่ งไร 2. นา่ เชื่อถือ (Reliable) เพยี งใด ความนา่ เชือ่ ถอื มีหัวข้อท่ีจะใช้พิจารณา เชน่ ความทันเวลา (Timely) กบั ผู้ใช้ เมื่อ ผใู้ ช้จำเป็นตอ้ งใชม้ ีสารสนเทศน้นั หรือไม่ สารสนเทศทนี่ ำมาใช้ตอ้ งมีความถกู ต้อง (Accurate) สามารถ พสิ ูจน์ (Verifiable) ไดว้ า่ เปน็ ความจรงิ ด้วยการวิเคราะหข์ ้อมูลท่เี กี่ยวขอ้ ง เป็นตน้ 3. สารสนเทศนนั้ เขม้ แขง็ (Robust) เพยี งใด พจิ ารณาจากการทส่ี ารสนเทศสามารถเคล่ือนตวั เองไปพรอ้ มกบั กาลเวลาท่เี ปลี่ยนไป (Rigorous of Time) หรอื พิจารณาจากความออ่ นแอของมนษุ ย์ (Human Frailty) เพราะ มนษุ ย์ อาจทำความผิดพลาดในการป้อนข้อมลู หรอื การประมวลผลขอ้ มูล เพราะฉะนัน้ จะต้องมกี ารควบคุม หรือ ตรวจสอบ ไมใ่ ห้มีความผดิ พลาดเกดิ ข้ึน หรือพิจารณาจากความผดิ พลาด หรอื ล้มเหลวของระบบ (System Failure) ทจี่ ะสง่ ผล เสียหายตอ่ สารสนเทศได้ ดังนั้นจงึ ต้องมีการป้องกนั ความผดิ พลาด (ท่เี นือ้ หา และไมท่ นั เวลา) ที่อาจเกิดขน้ึ ได้ หรือ พิจารณาจากการเปลย่ี นแปลง การจัดการ (ข้อมลู ) (Organizational Changes) ทีอ่ าจจะ สง่ ผลกระทบ (สรา้ งความเสียหาย) ตอ่ สารสนเทศ เชน่ โครงสรา้ ง แฟ้ม ข้อมลู วธิ ีการเข้าถึงข้อมลู การรายงาน จัก ต้องมีการป้องกัน หากมกี าร เปล่ียนแปลงในเรื่องดังกล่าว นอกจากน้ันซวาสส์ (Zwass 1998 : 42) กล่าวถึง คณุ ภาพของสารสนเทศจะมมี ากนอ้ ยเพียงใดขึ้นอยกู่ บั การ ทันเวลา ความสมบูรณ์ ความกะทัดรดั ตรงกบั ความต้องการ ความถูกต้อง ความเที่ยงตรง (Precision) และ รปู แบบที่เหมาะสม ในเรื่องเดียวกัน โอไบรอ์ ัน (O’Brien 2001 : 16-17) กลา่ วว่าคุณภาพของสารสนเทศ พิจารณาใน 3 มิติ ดงั น้ี 1. มติ ดิ า้ นเวลา (Time Dimension) 1. สารสนเทศควรจะมีการเตรยี มไวใ้ ห้ทันเวลา (Timeliness) กับความต้องการของผู้ใช้ 2. สารสนเทศควรจะต้องมีความทันสมยั หรอื เป็นปจั จบุ ัน (Currency) 3. สารสนเทศควรจะต้องมีความถ่ี (Frequency) หรอื บ่อย เท่าท่ีผใู้ ชต้ ้องการ
51 4. สารสนเทศควรมเี รื่องเกีย่ วกบั ช่วงเวลา (Time Period) ต้ังแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคต 2. มิติด้านเนือ้ หา (Content Dimension) • ความถูกต้อง ปราศจากข้อผิดพลาด • ตรงกับความต้องการใช้สารสนเทศ • สมบรู ณ์ สิ่งทีจ่ ำเปน็ จะต้องมใี นสารสนเทศ • กะทัดรัด เฉพาะทจ่ี ำเป็นเทา่ นน้ั • ครอบคลุม (Scope) ทัง้ ดา้ นกวา้ งและดา้ นแคบ (ดา้ นลกึ ) หรอื มจี ุดเน้นทั้งภายในและภายนอก • มีความสามารถ/ศักยภาพ (Performance) ทีแ่ สดงให้เหน็ ได้จากการวดั ค่าได้ การบ่งบอกถึงการพัฒนา หรอื สามารถเพิม่ พูนทรัพยากร 3. มิติด้านรปู แบบ (Form Dimension) • ชัดเจน งา่ ยตอ่ การทำความเข้าใจ • มที ั้งแบบรายละเอยี ด (Detail) และแบบสรุปย่อ (Summary) • มีการเรยี บเรียง ตามลำดับ (Order) • การนำเสนอ (Presentation) ท่ีหลากหลาย เชน่ พรรณนา/บรรยาย ตวั เลข กราฟิก และอ่ืน ๆ • รปู แบบของสื่อ (Media) ประเภทต่าง ๆ เช่น กระดาษ วีดทิ ัศน์ ฯลฯ สว่ นสแตรแ์ ละเรย์โนลด์ (Stair and Reynolds 2001 : 7) กล่าวถึง คุณคา่ ของสารสนเทศขึน้ อย่กู ับการที่ สารสนเทศนน้ั สามารถชว่ ยให้ผทู้ ่มี หี นา้ ทต่ี ดั สนิ ใจทำให้เป้าหมายขององค์การสัมฤทธ์ผิ ลไดม้ ากน้อยเพียงใด หาก สารสนเทศ สามารถทำใหบ้ รรลุเปา้ หมายขององคก์ ารได้ สารสนเทศน้นั ก็จะมคี ุณคา่ สงู ตามไปดว้ ย 2.14 องคป์ ระกอบของระบบเทคโนโลยสี ารสนเทศ ระบบ คอื กลุ่มขององค์การต่างๆ ท่ที ำงานรว่ มกนั เพือ่ จดุ ประสงค์อันเดียวกนั ระบบอาจจะประกอบด้วย บคุ คลากร เครื่องมือ เครื่องใช้ พัสดุ วิธีการ ซึง่ ท้งั หมดนจ้ี ะต้องมรี ะบบจดั การอนั หนึง่ เพ่ือให้บรรลจุ ดุ ประสงค์อนั เดียวกัน สารสนเทศ (Information) หมายถงึ ข้อมลู ที่ผ่านการวเิ คราะหห์ รือประมวลผลแล้ว พรอ้ มจะใชง้ านได้ทันที
52 โดยไมต่ อ้ งแปล หรอื ตีความใด ๆ อกี เทคโนโลยสี ารสนเทศ หมายถึง การใชเ้ ทคโนโลยมี าชว่ ยในการประมวลผล เพื่อให้ไดส้ ารสนเทศ ตามท่ี ตอ้ งการระบบเทคโนโลยสี ารสนเทศน้ันอาจกลา่ วได้วา่ ประกอบขึน้ จากเทคโนโลยสี องสาขาหลกั คือ เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสอื่ สารโทรคมนาคม สำหรบั รายละเอียดพอสงั เขปของแตล่ ะเทคโนโลยีมีดงั ตอ่ ไปนค้ี ือ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ หมายถงึ คอมพิวเตอรเ์ ป็นเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ทสี่ ามารถจดจำข้อมลู ต่าง ๆ และ ปฏิบตั ิตามคำส่ังท่ีบอก เพื่อให้คอมพวิ เตอร์ทำงานอยา่ งใดอย่างหน่งึ ให้ คอมพวิ เตอร์นั้นประกอบด้วยอปุ กรณ์ต่าง ๆ ต่อเชื่อมกันเรียกว่า ฮาร์ดแวร์ (Hardware) และอปุ กรณ์ฮาร์ดแวร์นจ้ี ะต้องทำงานร่วมกับโปรแกรมคอมพวิ เตอร์ หรือท่เี รยี กกนั ว่า ซอฟตแ์ วร์ (Software) (มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธริ าช. สาขาวชิ าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2546: 4) ฮาร์ดแวร์ ประกอบด้วย 5 ส่วน คือ 1. อปุ กรณ์รับขอ้ มลู (Input) เชน่ แผงแปน้ อักขระ (Keyboard), เมาส์, เครอื่ งตรวจกวาดภาพ (Scanner), จอภาพสมั ผสั (Touch Screen), ปากกาแสง (Light Pen), เครอื่ งอา่ นบตั รแถบแม่เหลก็ (Magnetic Strip Reader), และเครื่องอา่ นรหัสแท่ง (Bar Code Reader) 2. อปุ กรณ์ส่งขอ้ มลู (Output) เช่น จอภาพ (Monitor), เครอ่ื งพมิ พ์ (Printer), และเทอร์มินัล 3. หนว่ ยประมวลผลกลาง จะทำงานรว่ มกับหนว่ ยความจำหลักในขณะคำนวณหรือประมวลผล โดยปฏิบัติ หน้าทตี่ ามคำสง่ั ของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ โดยการดึงข้อมูลและคำสั่งท่เี ก็บไว้ไวใ้ นหน่วยความจำหลักมา ประมวลผล 4. หนว่ ยความจำหลัก มีหน้าที่เก็บข้อมลู ทีม่ าจากอุปกรณ์รับขอ้ มลู เพื่อใชใ้ นการคำนวณ และผลลัพธ์ของการ คำนวณก่อนทีจ่ ะส่งไปยังอปุ กรณ์ส่งข้อมลู รวมทงั้ การเก็บคำสงั่ ขณะกำลงั ประมวลผล 5. หน่วยความจำสำรอง ทำหน้าทจี่ ดั เก็บข้อมลู และโปรแกรมขณะยังไม่ได้ใช้งาน เพื่อการใช้ในอนาคต ซอฟตแ์ วร์ เป็นองคป์ ระกอบทส่ี ำคัญและจำเปน็ มากในการควบคมุ การทำงานของเคร่ืองคอมพวิ เตอร์ ซอฟตแ์ วร์ สามารถแบ่งออกไดเ้ ป็น 2 ประเภท คอื
53 ซอฟต์แวร์ระบบ มหี นา้ ท่คี วบคมุ อปุ กรณต์ ่าง ๆ ภายในระบบคอมพิวเตอร์ และเป็นตวั กลางระหวา่ งผใู้ ช้ กับคอมพิวเตอร์หรอื ฮาร์ดแวร์ ซอฟตแ์ วร์ระบบสามารถแบ่งเปน็ 3 ชนดิ ใหญ่ คอื 1. โปรแกรมระบบปฏิบตั ิการ ใช้ควบคมุ การทำงานของคอมพิวเตอรแ์ ละอปุ กรณ์พ่วงต่อกบั เคร่ือง คอมพิวเตอร์ ตวั อย่างโปรแกรมที่นิยมใชก้ นั ในปจั จบุ ัน เช่น UNIX, DOS, Microsoft Windows 2. โปรแกรมอรรถประโยชน์ ใชช้ ่วยอำนวยความสะดวกแกผ่ ้ใู ช้เครอ่ื งคอมพวิ เตอร์ในระหว่างการประมวลผล ขอ้ มลู หรือในระหวา่ งทใี่ ชเ้ ครื่องคอมพวิ เตอร์ ตัวอย่างโปรแกรมท่ีนยิ มใช้กนั ในปัจจุบัน เช่น โปรแกรมเอดเิ ตอร์ (Editor) 3. โปรแกรมแปลภาษา ใชใ้ นการแปลความหมายของคำสัง่ ทีเ่ ป็นภาษาคอมพิวเตอร์ ให้อยู่ในรปู แบบท่ีเคร่ือง คอมพิวเตอร์เข้าใจและทำงานตามทีผ่ ูใ้ ช้ตอ้ งการ ซอฟต์แวร์ประยุกต์ เป็นโปรแกรมทีเ่ ขยี นขึ้นเพื่อทำงานเฉพาะด้านตามความต้องการ ซึง่ ซอฟตแ์ วร์ ประยุกต์น้สี ามารถแบ่งเป็น 3 ชนดิ คอื 1. ซอฟต์แวรป์ ระยุกต์เพ่ืองานท่ัวไป เปน็ ซอฟต์แวร์ทส่ี รา้ งข้นึ เพอ่ื ใช้งานทั่วไปไมเ่ จาะจงประเภทของธรุ กจิ ตัวอย่าง เช่น Word Processing, Spreadsheet, Database Management เป็นตน้ 2. ซอฟต์แวร์ประยุกตเ์ ฉพาะงาน เป็นซอฟต์แวรท์ ส่ี ร้างขนึ้ เพื่อใช้ในธุรกจิ เฉพาะ ตามแต่วัตถุประสงค์ของการ นำไปใช้ 3. ซอฟตแ์ วร์ประยุกต์อน่ื ๆ เป็นซอฟต์แวร์ท่เี ขียนข้ึนเพื่อความบันเทงิ และอน่ื ๆ นอกเหนือจากซอฟตแ์ วร์ ประยุกตส์ องชนดิ ข้างต้น ตวั อยา่ ง เช่น Hypertext, Personal Information Management และซอฟตแ์ วรเ์ กม ต่าง ๆ เป็นต้น สำหรับกระบวนการการจัดการระบบสารสนเทศ เพ่ือให้ไดส้ ารสนเทศตามต้องการอยา่ งรวดเร็ว ถกู ตอ้ ง แม่นยำ และมีคณุ ภาพ ดังแผนภาพต่อไปน้ีคือ แผนภาพแสดงกระบวนการจัดการระบบสารสนเทศ
54 2.15 เทคโนโลยสี ่ือสารโทรคมนาคม เทคโนโลยีส่อื สารโทรคมนาคม ใช้ในการตดิ ต่อสื่อสารรับ/ส่งข้อมลู จากท่ีไกล ๆ เปน็ การส่งของข้อมลู ระหวา่ ง คอมพิวเตอรห์ รือเคร่ืองมือที่อยู่ห่างไกลกนั ซึ่งจะชว่ ยให้การเผยแพรข่ ้อมูลหรือสารสนเทศไปยังผู้ใชใ้ นแหลง่ ตา่ ง ๆ เปน็ ไปอยา่ งสะดวก รวดเร็ว ถูกต้อง ครบถว้ น และทนั การณ์ ซึ่งรูปแบบของข้อมูลทรี่ บั /ส่งอาจเป็นตัวเลข (Numeric Data) ตวั อักษร (Text) ภาพ (Image) และเสียง (Voice) เทคโนโลยีทใ่ี ช้ในการสือ่ สารหรือเผยแพร่ สารสนเทศ ไดแ้ ก่ เทคโนโลยที ี่ใช้ในระบบโทรคมนาคมทง้ั ชนดิ มสี ายและไร้สาย เชน่ ระบบโทรศพั ท์, โมเด็ม, แฟกซ,์ โทรเลข, วิทยุกระจายเสียง, วทิ ยุโทรทัศน์ เคเบลิ้ ใยแกว้ นำแสง คล่นื ไมโครเวฟ และดาวเทยี ม เป็นตน้ สำหรบั กลไกหลักของการส่ือสารโทรคมนาคมมีองค์ประกอบพน้ื ฐาน 3 ส่วน ได้แก่ ตน้ แหล่งของข้อความ (Source/Sender), สอื่ กลางสำหรับการรบั /สง่ ขอ้ ความ (Medium), และสว่ นรบั ข้อความ (Sink/Decoder) ดงั แผนภาพต่อไปน้ี คือ แผนภาพแสดงกลไกหลักของการส่อื สารโทรคมนาคม นอกจากนี้ เทคโนโลยสี ารสนเทศสามารถจำแนกตามลกั ษณะการใชง้ านไดเ้ ปน็ 6 รูปแบบ ดงั น้ีตอ่ ไปนี้ คือ 1. เทคโนโลยที ี่ใช้ในการเก็บข้อมูล เช่น ดาวเทยี มถ่ายภาพทางอากาศ, กลอ้ งดิจิทลั , กลอ้ งถ่ายวดี ที ศั น์, เคร่อื งเอกซเรย์ ฯลฯ 2. เทคโนโลยที ีใ่ ช้ในการบนั ทึกข้อมลู จะเป็นส่ือบนั ทึกข้อมูลต่าง ๆ เชน่ เทปแมเ่ หลก็ , จานแมเ่ หล็ก, จาน แสงหรอื จานเลเซอร์, บตั รเอทีเอ็ม ฯลฯ 3. เทคโนโลยที ใ่ี ช้ในการประมวลผลขอ้ มลู ไดแ้ ก่ เทคโนโลยีคอมพวิ เตอร์ทัง้ ฮารด์ แวร์ และซอฟต์แวร์ 4. เทคโนโลยีทใี่ ชใ้ นการแสดงผลขอ้ มลู เชน่ เคร่อื งพิมพ์, จอภาพ, พลอตเตอร์ ฯลฯ 5. เทคโนโลยีทใี่ ช้ในการจัดทำสำเนาเอกสาร เช่น เครื่องถา่ ยเอกสาร, เครื่องถา่ ยไมโครฟิล์ม 6. เทคโนโลยีสำหรบั ถ่ายทอดหรือสอื่ สารข้อมลู ไดแ้ ก่ ระบบโทรคมนาคมต่าง ๆ เชน่ โทรทัศน์, วทิ ยกุ ระจายเสียง, โทรเลข, เทเล็กซ์ และระบบเครอื ข่ายคอมพวิ เตอรท์ งั้ ระยะใกลแ้ ละไกล ลกั ษณะของข้อมูลหรอื สารสนเทศที่สง่ ผา่ นระบบคอมพิวเตอรแ์ ละการสื่อสาร ดงั น้ี ขอ้ มูลหรอื สารสนเทศที่ใชก้ นั อยทู่ ว่ั ไปในระบบส่ือสาร เชน่ ระบบโทรศพั ท์ จะมีลกั ษณะของสญั ญาณเปน็ คลื่นแบบต่อเน่ืองท่เี ราเรียกว่า \"สญั ญาณอนาลอก\" แต่ในระบบคอมพิวเตอรจ์ ะแตกตา่ งไป เพราะระบบ
55 คอมพวิ เตอร์ใช้ระบบสญั ญาณไฟฟ้าสูงต่ำสลบั กัน เปน็ สัญญาณที่ไม่ต่อเน่ือง เรียกว่า \"สัญญาณดจิ ติ อล\" ซง่ึ ข้อมลู เหล่าน้ันจะส่งผ่านสายโทรศพั ท์ เมอ่ื เราต้องการสง่ ข้อมลู จากคอมพวิ เตอรเ์ คร่ืองหนึ่งไปยังเคร่อื งอนื่ ๆ ผา่ นระบบ โทรศพั ท์ ก็ต้องอาศยั อุปกรณ์ชว่ ยแปลงสญั ญาณเสมอ ซงึ่ มีชื่อเรยี กว่า \"โมเดม็ \" (Modem) 2.16 ปัจจัยที่ทำให้เกิดความล้มเหลวในการนำเทคโนโลยสี ารสนเทศมาใช้ จากงานวิจยั ของ Whittaker (1999: 23) พบว่า ปัจจัยของความลม้ เหลวหรือความผดิ พลาดทเ่ี กดิ จากการ นำเทคโนโลยสี ารสนเทศมาใช้ในองค์การ มสี าเหตหุ ลัก 3 ประการ ได้แก่ 1. การขาดการวางแผนทดี่ ีพอ โดยเฉพาะอย่างย่ิงการวางแผนจดั การความเส่ียงไม่ดีพอ ย่งิ องค์การมีขนาด ใหญ่มากข้ึนเทา่ ใด การจดั การความเสย่ี งยอ่ มจะมีความสำคัญมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ทำให้คา่ ใช้จา่ ยดา้ นนี้ เพ่ิมสูงข้นึ 2. การนำเทคโนโลยที ่ไี มเ่ หมาะสมมาใชง้ าน การนำเทคโนโลยสี ารสนเทศเขา้ มาใช้ในองคก์ ารจำเป็นตอ้ ง พิจารณาใหส้ อดคล้องกับลักษณะของธุรกจิ หรืองานที่องค์การดำเนินอยู่ หากเลือกใชเ้ ทคโนโลยที ่ไี มส่ อด รับกับความต้องการขององคก์ ารแลว้ จะทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมา และเปน็ การสิน้ เปลืองงบประมาณ โดยใชเ่ หตุ 3. การขาดการจดั การหรือสนับสนุนจากผู้บริหารระดบั สงู การที่จะนำเทคโนโลยสี ารสนเทศเขา้ มาใชง้ านใน องค์กร หากขาดซ่ึงความสนบั สนนุ จากผูบ้ ริหารระดับสงู แล้วกถ็ อื ว่าลม้ เหลวตง้ั แต่ยังไม่ได้เริม่ ตน้ การ ได้รับความมั่นใจจากผบู้ ริหารระดบั สูงเปน็ ก้าวยา่ งทส่ี ำคญั และจำเป็นที่จะทำให้การนำเทคโนโลยี สารสนเทศมาใช้ในองค์การประสบความสำเร็จ สำหรับสาเหตขุ องความล้มเหลวอน่ื ๆ ทีพ่ บจากการนำเทคโนโลยสี ารสนเทศมาใช้ เช่น ใชเ้ วลาในการ ดำเนินการมากเกนิ ไป (Schedule overruns), นำเทคโนโลยที ลี่ ้ำสมัยหรือยงั ไมผ่ า่ นการพสิ จู น์มาใชง้ าน (New or unproven technology), ประเมินแผนความตอ้ งการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศไมถ่ ูกต้อง, ผ้จู ัดจำหนา่ ยเทคโนโลยี สารสนเทศ (Vendor) ที่องค์การซอ้ื มาใช้งานไม่มปี ระสิทธิภาพและขาดความรับผดิ ชอบ และระยะเวลาของการ
56 พฒั นาหรอื นำเทคโนโลยสี ารสนเทศมาใชจ้ นเสรจ็ สมบูรณ์ใชเ้ วลานอ้ ยกวา่ หนึ่งปี นอกจากนี้ ปัจจัยอ่ืน ๆ ทท่ี ำให้การนำเทคโนโลยสี ารสนเทศมาใช้ไม่ประสบความสำเร็จในดา้ นผใู้ ช้งานน้นั อาจสรปุ ได้ดังน้ี คอื 1. ความกลัวการเปล่ยี นแปลง กล่าวคอื ผคู้ นกลัวท่ีจะเรยี นรู้การใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศ รวมทงั้ กลัววา่ เทคโนโลยสี ารสนเทศจะเข้ามาลดบทบาทและความสำคญั ในหน้าท่ีการงานทร่ี บั ผดิ ชอบของตนให้ลด น้อยลง จนทำใหต้ ่อตา้ นการใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ 2. การไม่ติดตามข่าวสารความรู้ด้านเทคโนโลยสี ารสนเทศอย่างสมำ่ เสมอ เนื่องจากเทคโนโลยีสารสนเทศ เปลยี่ นแปลงรวดเรว็ มาก หากไม่ม่ันตดิ ตามอยา่ งสม่ำเสมอแลว้ จะทำให้กลายเป็นคนลา้ หลังและตกขอบ จนเกิดสภาวะชะงกั งันในการเรยี นรแู้ ละใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ 3. โครงสรา้ งพน้ื ฐานดา้ นเทคโนโลยสี ารสนเทศของประเทศกระจายไม่ทั่วถงึ ทำให้ขาดความเสมอภาคในการ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ หรือเกดิ การใช้กระจุกตัวเพยี งบางพน้ื ที่ ทำใหเ้ ปน็ อปุ สรรคในการใช้งานด้านตา่ ง ๆ ตามมา เช่น ระบบโทรศัพท์ อนิ เทอรเ์ น็ตความเร็วสงู ฯลฯ 2.17 ผลของเทคโนโลยีสารสนเทศ การกำเนิดของคอมพิวเตอร์เมื่อประมาณหา้ สบิ กวา่ ปีทแ่ี ล้ว เป็นกา้ วสำคญั ทน่ี ำไปสู่ยคุ สารสนเทศ ในช่วง แรกมกี ารนำเอาคอมพวิ เตอร์มาใช้เปน็ เครื่องคำนวณ แต่ต่อมาได้มีความพยายามพฒั นาใหค้ อมพวิ เตอร์เป็น อปุ กรณ์สำคัญสำหรบั การจดั การข้อมูล เม่ือเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกสไ์ ด้ก้าวหน้ามากขึ้น ทำใหส้ ามารถสร้าง คอมพิวเตอร์ทม่ี ขี นาดเล็กลง แตป่ ระสทิ ธภิ าพสูงขึน้ สภาพการใช้งานจงึ ใชง้ านกนั อยา่ งแพร่หลาย ผลของ เทคโนโลยีสารสนเทศทีม่ ตี ่อชีวิตความเปน็ อย่แู ละสงั คมจงึ มีมาก มีการเรียนรู้และใช้สารสนเทศกันอยา่ งกว้างขวาง ผลของเทคโนโลยีสารสนเทศโดยรวมกล่าวไดด้ งั น้ี • การสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีขนึ้ สภาพความเป็นอย่ขู องสังคมเมือง มีการพฒั นาใชร้ ะบบสื่อสาร โทรคมนาคม เพ่ือตดิ ต่อส่อื สารให้สะดวกขึน้ มีการประยุกต์มาใชก้ บั เครื่องอำนวยความสะดวกภายในบ้าน เชน่ ใช้ควบคมุ เคร่อื งปรบั อากาศ ใชค้ วมคุมระบบไฟฟา้ ภายในบา้ น เป็นต้น
57 • เสริมสรา้ งความเทา่ เทยี มในสังคมและการกระจายโอกาส เทคโนโลยสี ารสนเทศทำใหเ้ กิดการกระจายไป ท่วั ทุกหนแหง่ แมแ้ ต่ถนิ่ ทรุ กันดาร ทำให้มีการกระจายโอการการเรียนรู้ มีการใชร้ ะบบการเรียนการสอน ทางไกล การกระจายการเรยี นรู้ไปยงั ถน่ิ ห่างไกล นอกจากนใี้ นปจั จุบันมคี วามพยายามท่ีใช้ระบบการ รกั ษาพยาบาลผา่ นเครือขา่ ยส่ือสาร • สารสนเทศกับการเรยี นการสอนในโรงเรยี น การเรียนการสอนในโรงเรยี นมีการนำคอมพิวเตอรแ์ ละ เครอื่ งมอื ประกอบชว่ ยในการเรยี นรู้ เชน่ วดี ิทศั น์ เครื่องฉายภาพ คอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอน คอมพวิ เตอรช์ ่วย จัดการศึกษา จดั ตารางสอน คำนวณระดับคะแนน จดั ชั้นเรยี น ทำรายงานเพื่อใหผ้ บู้ รหิ ารไดท้ ราบถงึ ปัญหาและการแกป้ ัญหาในโรงเรียน ปจั จบุ นั มีการเรียนการสอนทางด้านเทคโนโลยสี ารสนเทศในโรงเรยี น มากขึน้ • เทคโนโลยสี ารสนเทศกับสง่ิ แวดลอ้ ม การจัดการทรพั ยากรธรรมชาติหลายอยา่ งจำเปน็ ต้องใชส้ ารสนเทศ เชน่ การดแู ลรกั ษาป่า จำเปน็ ต้องใชข้ ้อมูล มีการใชภ้ าพถ่ายดาวเทยี ม การตดิ ตามข้อมูลสภาพอากาศ การพยากรณ์อากาศ การจำลองรูปแบบสภาวะสิ่งแวดล้อมเพอื่ ปรับปรุงแก้ไข การเก็บรวมรวมข้อมูล คุณภาพนำ้ ในแม่น้ำตา่ ง ๆ การตรวจวัดมลภาวะ ตลอดจนการใชร้ ะบบการตรวจวัดระยะไกลมาช่วย ท่ี เรยี กวา่ โทรมาตร เป็นตน้ • เทคโนโลยีสารสนเทศกบั การปอ้ งกันประเทศ กิจการทางด้านการทหารมีการใชเ้ ทคโนโลยี อาวธุ ยุทโธปกรณ์สมยั ใหม่ลว้ นแตเ่ ก่ยี วข้องกับคอมพวิ เตอร์และระบบควบคุม มกี ารใชร้ ะบบป้องกันภยั ระบบ เฝา้ ระวงั ท่มี คี อมพวิ เตอร์ควบคุมการทำงาน • การผลติ ในอตุ สาหกรรม และการพาณชิ ยกรรม การแขง่ ขันทางดา้ นการผลติ สนิ ค้าอุตสาหกรรม จำเปน็ ต้องหาวธิ กี ารในการผลติ ใหไ้ ดม้ าก ราคาถกู ลงเทคโนโลยีคอมพิวเตอรเ์ ขา้ มามีบทบาทมาก มีการใช้ ข้อมลู ขา่ วสารเพื่อการบริหารและการจดั การ การดำเนินการและยังรวมไปถงึ การให้บริการกบั ลกู ค้า เพ่ือให้ซือ้ สนิ ค้าไดส้ ะดวกข้นึ 2.18 ประโยชน์ของระบบสารสนเทศประสทิ ธภิ าพ (Efficiency)
58 • ระบบสารสนเทศทำใหก้ ารปฏิบตั งิ านมคี วามรวดเร็วมากข้นึ โดยใชก้ ระบวนการประมวลผลขอ้ มลู ซ่งึ จะทำ ใหส้ ามารถเก็บรวบรวม ประมวลผลและปรบั ปรงุ ขอ้ มลู ให้ทันสมยั ไดอ้ ย่างรวดเรว็ ระบบสารสนเทศชว่ ยใน การจดั เกบ็ ข้อมลู ทีม่ ขี นาดใหญ่ หรือมีปริมาณมากและช่วยทำให้การเขา้ ถึงขอ้ มลู (access) เหลา่ นนั้ มี ความรวดเรว็ ด้วย • ชว่ ยลดต้นทุน การท่ีระบบสารสนเทศชว่ ยทำให้การปฏบิ ัตงิ านทเ่ี กยี่ วข้องกบั ขอ้ มูล ซ่ึงมีปริมาณมากมี ความสลับซบั ซอ้ นใหด้ ำเนินการไดโ้ ดยเร็ว หรือการชว่ ยให้เกิดการติดตอ่ สื่อสารได้อย่างรวดเรว็ ทำให้เกดิ การประหยดั ตน้ ทุนการดำเนินการอยา่ งมาก • ช่วยให้การตดิ ต่อส่ือสารเป็นไปอยา่ งรวดเร็ว การใช้เครือขา่ ยทางคอมพิวเตอรท์ ำใหม้ ีการติดต่อได้ทวั่ โลก ภายในเวลาท่ีรวดเร็ว ไมว่ า่ จะเป็นการติดต่อระหวา่ งเครือ่ งคอมพิวเตอร์กับเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยกนั (machine to machine) หรอื คนกับคน (human to human) หรอื คนกับเคร่ืองคอมพิวเตอร์ (human to machine) และการตดิ ต่อสื่อสารดังกลา่ วจะทำให้ข้อมลู ทเี่ ป็นทัง้ ข้อความ เสยี ง ภาพนง่ิ และ ภาพเคลอ่ื นไหวสามารถส่งได้ทนั ที • ระบบสารสนเทศช่วยทำให้การประสานงานระหว่างฝา่ ยต่าง ๆ เปน็ ไปได้ด้วยดีโดยเฉพาะหากระบบ สารสนเทศนั้นออกแบบ เพื่อเอ้อื อำนวยให้หนว่ ยงานทงั้ ภายในและภายนอกท่ีอยู่ในระบบของซัพพลาย ท้ังหมด จะทำใหผ้ ทู้ ม่ี สี ว่ นเกี่ยวข้องทงั้ หมดสามารถใช้ข้อมลู รว่ มกนั ได้ และทำให้การประสานงาน หรือ การทำความเข้าใจเปน็ ไปได้ด้วยดีย่งิ ขึ้น ประสิทธิผล (Effectiveness) • ระบบสารสนเทศชว่ ยในการตัดสนิ ใจ ระบบสารสนเทศท่ีออกแบบสำหรบั ผ้บู รหิ าร เช่น ระบบสารสนเทศ ท่ีชว่ ยในการสนบั สนุนการตัดสินใจ (Decision support systems) หรือระบบสารสนเทศสำหรับผบู้ รหิ าร (Executive support systems) จะเอื้ออำนวยให้ผบู้ รหิ ารมีข้อมลู ในการประกอบการตัดสนิ ใจไดด้ ขี นึ้ อันจะสง่ ผลใหก้ ารดำเนินงานสามารถบรรลุวัตถปุ ระสงคไ์ วไ้ ด้ • ระบบสารสนเทศช่วยในการเลือกผลติ สนิ คา้ /บริการท่เี หมาะสมระบบสารสนเทศจะช่วยทำใหอ้ งคก์ าร ทราบถึงข้อมูลทเ่ี กีย่ วข้องกับต้นทนุ ราคาในตลาดรปู แบบของสนิ ค้า/บริการท่ีมอี ยู่ หรือช่วยทำให้ หนว่ ยงานสามารถเลอื กผลติ สินค้า/บริการท่ีมคี วามเหมาะสมกับความเชีย่ วชาญ หรอื ทรัพยากรที่มอี ยู่ • ระบบสารสนเทศช่วยปรบั ปรุงคุณภาพของสินค้า/บรกิ ารใหด้ ีข้ึนระบบสารสนเทศทำให้การติดต่อระหวา่ ง หน่วยงานและลูกคา้ สามารถทำได้โดยถูกต้องและรวดเร็วขึ้น ดงั นน้ั จึงช่วยให้หนว่ ยงานสามารถปรับปรงุ คณุ ภาพของสินค้า/บรกิ ารให้ตรงกบั ความต้องการของลกู ค้าไดด้ ขี ึน้ และรวดเรว็ ข้ึนดว้ ย • ความได้เปรียบในการแข่งขนั (Competitive Advantage) • คณุ ภาพชีวิตการทำงาน (Quality o f Working Life
59 2.19 เทคโนโลยสี ารสนเทศกับการใชช้ วี ิตในสังคมปจั จุบัน ในภาวะปัจจุบนั นนั้ สารสนเทศได้กลายเปน็ ปจั จยั พ้ืนฐานปจั จยั ที่ห้า เพม่ิ จากปัจจยั สปี่ ระการที่มนุษยเ์ รา ขาดเสียมไิ ด้ในการดำรงชวี ติ ประจำวัน ไม่วา่ จะเป็นสารสนเทศทจี่ ำเปน็ ในการประกอบธรุ กจิ ในการคา้ ขาย การ ผลติ สนิ ค้า และบริการ หรอื การให้บรกิ ารสงั คม การจดั การทรพั ยากรของชาติ การบริหารและปกครอง จนถึงเร่อื ง เบา ๆ เรอ่ื งไร้สาระบ้าง เชน่ สภากาแฟท่ีสามารถพบไดท้ ุกแห่งหนในสงั คม เรื่องสาระบันเทิงในยามพักผ่อน ไป จนถงึ เรือ่ งความเปน็ ความตาย เชน่ ข่าวอุทกภัย วาตภยั หรือการทำรัฐประหารและปฏิวัติ เปน็ ตน้ ในความคดิ เห็นของกลุ่มบุคคลตา่ ง ๆ ต้ังแต่นักวิชาการ นักธุรกจิ นักสงั คมศาสตร์ นกั เศรษฐศาสตร์ จนกระท่งั ผูน้ ำ ต่าง ๆ ในโลก ดงั เชน่ ประธานาธิบดี Bill Clinton และรองประธานาธบิ ดี Al Gore ของสหรฐั อเมริกา สารสนเทศ เป็นทรัพยากรที่สำคญั ทส่ี ุดอย่างหนง่ึ ในปจั จุบนั และในยุคสังคมสารสนเทศแห่งศตวรรษท่ี 21 สารสนเทศจะ กลายเปน็ ทรพั ยากรทส่ี ำคัญที่สุดเหนือส่ิงอืน่ ใด กล่าวกนั สน้ั ๆ สารสนเทศกำลงั จะกลายเปน็ ฐานแห่งอำนาจอัน แท้จรงิ ในอนาคต ท้ังในทางเศรษฐกจิ และทางการเมืองในสมัยสังคมเกษตรนัน้ ปจั จัยพ้นื ฐานในการผลติ ทสี่ ำคญั ได้แก่ ทีด่ นิ แรงงาน และทนุ ทรัพย์ ต่อมาในสังคมอตุ สาหกรรม การผลติ ต้องพึ่งพาปจั จัยพนื้ ฐานเพ่ิมเตมิ ได้แก่ วัสดุ พลังงาน และโดยเฉพาะอยา่ งย่งิ สารสนเทศ สังคมเกษตรและสังคมอุตสาหกรรมต้องพงึ่ พาการใชท้ รพั ยากรท่ี มีอยู่อยา่ งจำกัด อนั ไดแ้ ก่ ที่ดิน พลังงาน และวสั ดุ เปน็ อย่างมาก และผลของการใช้ทรัพยากรเหล่านน้ั อยา่ ง ฟุ่มเฟือยและขาดความระมัดระวัง กไ็ ด้สร้างปัญหาสง่ิ แวดลอ้ มทรี่ นุ แรงมาก ซึ่งกำลงั คุกคามโลกรวมทั้งประเทศ ไทย ต้ังแต่ปัญหาการแปรปรวนของสภาพดนิ ฟา้ อากาศ ภัยธรรมชาติท่นี ับวันจะเพมิ่ ความถแ่ี ละรุนแรงขึ้น ปัญหา การบอ่ นทำลายความสมดุลทางนเิ วศวิทยาทงั้ ปา่ ดงดิบ ป่าชายเลน ป่าต้นนำ้ ลำธาร ความแห้งแลง้ อากาศเป็นพิษ แมน่ ำ้ ลำคลองท่เี ต็มไปด้วยสารพิษ เจอื ปน ตลอดจนถงึ ปญั หาวิกฤติทางจราจรและภยั จากควันพิษในมหานครทกุ แหง่ ทวั่ โลก ในทางตรงกนั ขา้ ม ขบวนการผลิต การเก็บ และถา่ ยทอดสารสนเทศ อาศยั การใช้วัสดุและพลังงานน้อย มาก และไม่มีผลเสียตอ่ ภาวะแวดล้อมหรอื มเี พยี งเลก็ นอ้ ยมาก ยิ่งกวา่ นั้นสารสนเทศจะสามารถช่วยให้กิจกรรมการ ผลติ และการบรกิ ารตา่ ง ๆ เป็นไปอย่างมปี ระสิทธิภาพ เชน่ สามารถชว่ ยให้การผลติ ทางอุตสาหกรรมใช้วตั ถดุ บิ และพลังงานน้อยลง มีมลภาวะนอ้ ยลง แต่สนิ ค้ามีคณุ ภาพดีข้ึนคงทนมากขึ้น ปัญหาวกิ ฤติทางจราจรในบางด้านก็ สามารถผอ่ นปรนได้ดว้ ยเทคโนโลยสี ารสนเทศ เช่น ในการชว่ ยติดต่อสอ่ื สารทางธุรกิจต่างๆ โดยไม่จำเปน็ ต้อง
60 เดนิ ทางดว้ ยตนเองดงั เช่นแต่กอ่ น จงึ อาจกลา่ วไดว้ า่ เทคโนโลยสี ารสนเทศจะมสี ว่ นอย่างมาก ในการนำสังคม สู่ ววิ ัฒนาการอีกระดับหน่ึง ที่อาจเรยี กได้วา่ เป็นสังคมสารสนเทศ อันเป็นสังคมที่พึงปรารถนาและย่งั ยืนยิง่ ขน้ึ นน่ั จงึ เป็นเหตุผลท่ีว่าสังคมต่าง ๆ ในโลก ตา่ งจะต้องกา้ วสสู่ ังคมสารสนเทศอย่างหลีกเลย่ี งไมไ่ ด้ ไม่เรว็ กช็ ้า และน่นั หมายความว่าสังคมจะต้องพ่งึ พาเทคโนโลยีสารสนเทศ อย่างแนน่ อน ไม่ว่าเราจะยอมรบั หรือไม่กต็ าม มิใชเ่ พียงแต่ เพื่อสรา้ งขีดความสามารถในเชิงแข่งขันในสนามการคา้ ระหว่างประเทศ แตเ่ พื่อความอยู่รอดของมนุษยชาติ และ เพ่อื คุณภาพชวี ิตทดี่ ีขน้ึ อีกตา่ งหากด้วย เทคโนโลยีสารสนเทศ คอื เทคโนโลยคี โู่ ลกในตน้ ศตวรรษที่ 21 และเปน็ แรงกระตุ้นและเปน็ ปจั จัยรองรบั ขบวนการโลกาภิวตั น์ ทกี่ ำลังผนวกสงั คมเศรษฐกจิ ไทยเข้าเป็นอันหนึง่ เดยี วกนั กับสังคมโลกอนั ที่จรงิ เทคโนโลยี สารสนเทศมีใช้ในประเทศไทยเปน็ เวลาช้านานมาแล้ว เป็นตน้ ว่า เรามีการใช้โทรศัพทต์ ั้งแตร่ ชั สมัยพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจา้ อยหู่ วั เม่ือปี พ.ศ. 2414 เพยี งแตว่ ่าการใชเ้ ทคโนโลยีนี้ยังไมแ่ พรก่ ระจายทัว่ ประเทศและยงั ไม่ อยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกบั อีกหลาย ๆ ประเทศในโลก กล่าวกนั อยา่ งส้ัน ๆ เทคโนโลยสี ารสนเทศ คอื เทคโนโลยที เี่ กย่ี วข้องกบั การจดั หา วเิ คราะห์ ประมวล จัดการ และจดั เกบ็ เรยี กใช้หรอื แลกเปลี่ยน และเผยแพรส่ ารสนเทศ ดว้ ยระบบอเิ ล็กทรอนิกส์ ไมว่ า่ จะอยู่ในรูปแบบของ รูป เสยี ง ตัวอักษร หรือภาพเคลอื่ นไหว รวมไปถึงการนำสารสนเทศและข้อมลู ไปปฏบิ ัติตามเนื้อหาของสารสนเทศ น้ัน เพ่อื ให้บรรลุเป้าหมายของผู้ใช้ การจดั หา วเิ คราะห์ ประมวล และจัดการกับข่าวสารข้อมูลจำนวนมหาศาล จงึ ขาดเทคโนโลยคี อมพวิ เตอร์ เสยี มิได้ ส่วนการแสวงหาและแลกเปล่ียนข้อมูลข่าวสาร อย่างรวดเร็ว ทันเวลา ประหยัดค่าใช้จา่ ย และมปี ระสิทธิภาพ กจ็ ำเปน็ ต้องอาศัยเทคโนโลยโี ทรคมนาคม และท้ายสดุ สารสนเทศทม่ี ี จะ กอ่ ใหเ้ กดิ ประโยชน์จากการบรโิ ภค อยา่ งกวา้ งขวางตามแต่จะต้องการและอย่างประหยัดทีส่ ดุ กต็ ้องอาศยั ทั้งสอง เทคโนโลยขี า้ งต้นในการจดั การและการส่ือหรือขนย้ายจากแหล่งขอ้ มูลสารสนเทศ ส่ผู บู้ รโิ ภคในที่สดุ ฉะนั้น เทคโนโลยสี ารสนเทศจึงครอบคลมุ ถึงหลาย ๆ เทคโนโลยหี ลกั อันได้แก่ คอมพิวเตอร์ทั้งฮารด์ แวร์ ซอฟตแ์ วร์ และฐานข้อมูล โทรคมนาคมซ่งึ รวมถึง เทคโนโลยรี ะบบสื่อสารมวลชน (ได้แก่ วิทยุ และโทรทัศน)์ ทงั้ ระบบแบบมีสายและไร้สาย รวมถงึ เทคโนโลยีด้านอเิ ล็กทรอนิกส์ตา่ ง ๆ อาทิ เทคโนโลยโี ทรทศั นค์ วามคมชัดสูง (HDTV) ดาวเทยี มคมนาคม (communications satellite) เส้นใยแก้วนำแสง (fibre optics) สารกงึ่ ตัวนำ (semiconductor) ปญั ญาประดิษฐ์ (artificial intelligence) อปุ กรณ์อัตโนมัติสำนักงาน (office automation) อปุ กรณ์อัตโนมัติในบ้าน (home automation) อุปกรณ์อัตโนมัตใิ นโรงงาน (factory automation) เหล่านี้ เปน็ ตน้ นอกจากการเปน็ เทคโนโลยีทีไ่ มท่ ำลายธรรมชาติหรือสร้างมลภาวะ (ในตวั ของมนั เอง) ตอ่ สิง่ แวดล้อมแล้ว คณุ สมบัติโดดเดน่ อืน่ ๆ ทีท่ ำให้มันกลายเป็นเทคโนโลยี ยทุ ธศาสตรส์ ำคญั แห่งยุคปจั จบุ ันและในอนาคตกค็ ือ ความสามารถในการเพ่ิมประสิทธภิ าพและสมรรถภาพในเกือบทุก ๆ กิจกรรม อาทโิ ดย
61 1. การลดตน้ ทนุ หรือค่าใช้จา่ ย 2. การเพมิ่ คณุ ภาพของงาน 3. การสร้างกระบวนการหรือกรรมวธิ ใี หม่ ๆ 4. การสร้างผลติ ภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ ขึน้ ฉะน้นั โอกาสและขอบเขตการนำ เทคโนโลยนี ้มี าใช้ จึงมหี ลากหลายในเกือบทกุ ๆ กจิ กรรมกว็ า่ ได้ ไมว่ า่ จะ เปน็ การปกครอง การใหบ้ ริการสงั คม การผลิตทัง้ ภาคเกษตร อุตสาหกรรม และบรกิ าร รวมถึงการค้าทง้ั ภายใน และระหวา่ งประเทศอีกด้วย โดยพอสรปุ ได้ดงั ต่อไปนี้ ภาคสังคม การบรหิ ารและปกครอง การให้บริการพืน้ ฐานของรัฐ การบริการสาธารณสขุ การบรกิ ารการศึกษา การให้บริการขอ้ มูลและสาระบันเทิง การอนุรกั ษ์ส่งิ แวดล้อม การจดั การทรัพยากรธรรมชาติ การบรรเทาสาธารณ ภัย การพยากรณอ์ ากาศและอตุ ุนิยม ฯลฯ ภาคเศรษฐกิจ การเกษตร การปา่ ไม้ การประมง การสำรวจและขดุ เจาะน้ำมนั และ ก๊าซธรรมชาติ การสำรวจแร่ และทรัพยากรธรรมชาติทั้งบนและใต้ผิวโลก การก่อสร้าง การคมนาคมทั้งทางบก น้ำ และอากาศ การคา้ ภายใน และระหวา่ งประเทศ อตุ สาหกรรมการผลิต อุตสาหกรรมบรกิ าร อาทิ ธุรกจิ การท่องเท่ียว การเงนิ การธนาคาร การขนส่ง และ การประกันภัย ฯลฯ ผลประโยชนต์ ่างๆ จากการประยุกตใ์ ช้ของเทคโนโลยดี งั กลา่ ว ล้วนเกิดจากคุณสมบตั ิพิเศษหลาย ๆ ประการของเทคโนโลยีกลุ่มน้ี อันสืบเน่ืองจากการพฒั นาของ เทคโนโลยที ่ีมอี ัตราสูงและอย่างตอ่ เนื่องตลอดหลาย ทศวรรษที่ผา่ นมา วิวัฒนาการทางเทคโนโลยีนีส้ ่งผลให้ • ราคาของฮาร์ดแวรแ์ ละอุปกรณ์ รวมทั้งคา่ บริการ สำหรบั การเก็บ การประมวล และการแลกเปลี่ยน เผยแพรส่ ารสนเทศมีการลดลงอย่างต่อเนื่องและรวดเรว็ • ทำให้สามารถนำพาอปุ กรณต์ ่าง ๆ ทัง้ คอมพวิ เตอรแ์ ละ โทรคมนาคมตดิ ตามตัวได้ เน่อื งจากได้มี พัฒนาการการย่อส่วนของช้นิ ส่วน (miniaturization) และพัฒนาการการสือ่ สารระบบไร้สาย • ประการท้าย ที่จดั ว่าสำคัญท่ีสดุ กว็ ่าได้คือ ทำใหเ้ ทคโนโลยตี า่ ง ๆ เช่น เทคโนโลยคี อมพิวเตอร์และการ ส่ือสารม่งุ เข้าสจู่ ุดท่ีใกลเ้ คยี งกัน (converge) ประเทศอุตสาหกรรมในโลกไดเ้ ลง็ เหน็ ถงึ ศักยภาพของเทคโนโลยยี ทุ ธศาสตร์กลมุ่ น้ี จงึ ให้ความสำคัญต่อเทคโนโลยี นมี้ ากกว่าเทคโนโลยีอ่ืน ๆ ท่จี ัดเปน็ เทคโนโลยยี ทุ ธศาสตรส์ ำคัญอีกหลายกลุ่ม ดงั เชน่ กลุ่มประเทศ OECD (Organization for Economic Co-operation and Development) ได้ศึกษาเปรยี บเทียบ ศกั ยภาพของ เทคโนโลยไี ฮเทค 5 กลุ่มสำคัญในปัจจบุ นั คือ เทคโนโลยชี ีวภาพ เทคโนโลยีวสั ดุใหม่ เทคโนโลยีอวกาศ เทคโนโลยี นิวเคลยี ร์ และเทคโนโลยสี ารสนเทศ ในประเด็นผลกระทบสำคญั 5 ประเดน็ ได้แก่
62 (1) การสรา้ งผลิตภัณฑแ์ ละบริการใหม่ ๆ (2) การปรบั ปรุงกระบวนการผลติ ผลิตภัณฑ์และบรกิ าร (3) การยอมรบั จากสังคม (4) การนำไปใช้ประยกุ ต์ในภาค/สาขาอ่ืน ๆ (5) การสร้างงานในทศวรรษปี 1990 ปรากฏวา่ เทคโนโลยีสารสนเทศได้รบั การยอมรับในศักยภาพสูงสุดในทุก ๆ ประเด็น 2.20 คอมพิวเตอร์ และอนิ เตอร์เนต็ 1.1. ความหมายและองคป์ ระกอบของเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์ เครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์ (computer net-work) หมายถึง การเชื่อมตอ่ คอมพวิ เตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงเขา้ ด้วยกันโดยใช้สือ่ กลางตา่ งๆ เครอื ข่ายคอมพวิ เตอรส์ ามารถแบง่ ออกได้ 6 ประเภท ดังน้ี 1. เครือขา่ ยเฉพาะท่ี หรอื แลน (local area network : LAN) 2. เครอื ข่ายนครหลวง หรอื แมน (metropolitan area network : MAN) 3. เครอื ข่ายบริเวณกว้าง หรอื แวน (wide area network : WAN) 4. เครอื ขา่ ยภายในองค์กร หรอื อนิ ทราเน็ต (intranet) 5. เครือขา่ ยภายนอกองค์กร หรอื เอ็กทราเน็ต (extranet) 6. เครอื ข่ายอินเทอร์เน็ต (internet) 1.2. การเลอื กใชฮ้ ารด์ แวร์ของระบบเครือข่ายขนาดเลก็ 1. อุปกรณใ์ นระบบเครือขา่ ยขนาดเล็ก 1.1. การด์ แลน (LAN card) เป็นอปุ กรณท์ ่ีทำหนา้ ทรี่ บั สง่ ข้อมลู จากคอมพิวเตอร์เครื่องหนง่ึ ไปสูค่ อมพวิ เตอร์อรกเคร่ืองหนึง่ โดยผา่ นสายแลน
63 1.2. ฮบั (hub) เป็นอปุ กรณ์ที่ทำหนา้ ท่ีเสมอื นกบั ชมุ ทางข้อมูล มหี น้าทเี่ ปน็ ตวั กลางคอยส่ง ขอ้ มลู ให้คอมพวิ เตอร์ในเครือขา่ ย 1.3. สวิตช์ (switch) เป็นอปุ กรณ์รวมสญั ญาณเช่นเดยี วกบั ฮับ แต่ต่างจากฮับ คือ การรบั ส่ง ขอ้ มลู จากคอมพิวเตอรเ์ คร่อื งหน่ึงนน้ั จะไม่กระจายไปยงั ทกุ เคร่อื ง เน่ืองจากข้อมูลจะตรวจสอบก่อนวา่ เป็นของ เครอื่ งใด แลว้ จงึ ส่งไปยังปลายทาง 1.4. โมเดม็ (modem) เปน็ อุปกรณท์ ่ีทำหน้าท่ีแปลงสญั ญาณเพอ่ื ใหส้ มมารถส่งผา่ น สายโทรศพั ท์ได้ 1.5. อปุ กรณ์จดั เสน้ ทางหรอื เราเตอร์ (router) เปน็ อุปกรณ์ท่ีใช้ในการเชือ่ มโยงเครือข่ายหลาย เครือข่ายเข้าด้วยกนั เราเตอร์ทำหน้าท่ีเลอื กเส้นทางทด่ี ที ี่สุด 1.6. สายสญั ญาณ (cable) เป็นอุปกรณ์ท่ที ำหน้าที่เป็นสือ่ กลางในการรับสง่ ข้อมูล 2. การเชอื่ มต่อระบบเครือข่ายขนาดเล็ก 2.1. การเชือ่ มตอ่ เครือข่ายระยะใกล้ หากมีคอมพิวเตอร์ในระบบเครือข่ายไมเ่ กินสองเครอื่ ง อุปกรณ์ในระบบเครือข่ายนอกจากเคร่ืองคอมพิวเตอรแ์ ล้ว ยงั ต้องมีการ์ดแลนและสายสัญญาณ โดยไม่ตอ้ งใชฮ้ บั และสวิตช์ เพราะถ้ามคี อมพวิ เตอรส์ องเครือ่ ง กส็ ามารถเชอ่ื ตอ่ โดยใช้สายไขว้ (cross line) 2.2. การเช่อื มต่อเครือข่ายระยะไกล จากขอ้ กำจัดของเครือข่ายที่ใช้สายแลนที่ไม่สามารถ เดนิ สายใหม้ คี วามยาวมากกว่า 100 เมตรได้ จงึ ต้องหาทางเลือกสำหรบั ระบบเครือข่ายระยะไกล ดงั นี้ - แบบท่ี 1 คอื ตอ้ งติดต้งั เคร่ืองทวนสญั ญาณ (repeater) ไวท้ กุ ๆระยะ 100 เมตร - แบบที่ 2 คอื ใช้โมเดม็ หมุนโทรศัพท์เข้าหากนั เมื่อต้องการเชื่อมต่อ เละเมื่อเสรจ็ สิ้นกย็ กเลกิ การ เชื่อมต่อ - แบบท่ี 3 คือ เปน็ เทคโนโลยที ม่ี ปี ระสิทธิภาพดีทีส่ ดุ ในปัจจบุ ันสายสัญญาณที่เลือกใช้ คือ สายใยแก้วนำ แสง สามารถส่งข้อมลู ระยะไกลไดแ้ ละมีความเรว็ สูง - แบบที่ 4 คอื ใชจ้ ุดเชือ่ มต่อแบบไรส้ าย (wireless lan) เป็นการเชื่อมตอ่ โดยใช้สญั ญาณวทิ ยุทาง อากาศแทนการใช้สายโทรศัพท์ - แบบที่ 5 คอื เทคโนโลยี G.SHDSL ซง่ึ เป็นหนง่ึ ในเทคโนโลยีตระกลู DSL (Digital Subscriber Line) เปน็ เทคโนโลยโี มเด็มทีท่ ำใหค้ ู่สายทองแดงกลายเปน็ สื่อสญั ญาณดิจทิ ัลความเร็วสงู - แบบที่ 6 คือ เทคโนโลยีแบบ ethernet over VDSL เปน็ เทคโนโลยรี ะบบเครือขา่ ยแบบล่าสดุ ท่ี สามารถจะติดตง้ั ใชง้ านได้เอง สามารถเชอื่ มต่อใชก้ ับโทรศัพทไ์ ด้ 1.3. การเลอื กใชซ้ อฟตแ์ วร์ของระบบเครอื ขา่ ยขนาดเล็ก 1. ระบบปฏบิ ัติการลนิ กุ ซ์ เซน็ โอเอส (Linux community enterprise operating system)
64 นิยมเรยี กย่อวา่ CentOS ซง่ึ ช่วยประหยัดงบประมาณขององค์กร เนื่องจาก CentOS เป็นซอฟแวร์ เปดิ เผยโค้ด (open source software) ผใู้ ชส้ ามารถดาวน์โหลดโคด้ ไปใช้ง่ านโดยไม่ต้องจา่ ยค่าลขิ สทิ ธ์ิซอฟต์แวร์ 2. ระบบปฏิบตั กิ ารวนิ โดวส์ เซริ ์ฟเวอร์ (Windows server) ปัจจุบนั ถกู พัฒนาเป็น windows Server 2008 ซึ่งออกแบบมาเพือ่ นสนับสนุนระบบเครือขา่ ย แอพพลิเคช่ันและบริการอื่นๆ ท่ีมคี วามทันสมยั บน เวบ็ ไซต์ โดยมคี ณุ สมบัติเด่น ดงั น้ี 1. สรา่ งโครงสรา้ งพืน้ ฐานท่ีมนั่ คงสำหรับภาระงานของเซิร์ฟเวอร์ รวมถึงความต้องการดา้ น แอพพลเิ คชนั่ ตา่ งๆด้วย 2. เวอร์ชวลไลเซซ่นั (virtualization) เปน็ การสรา้ งระบบเสมอื นจริงท่มี ีรากฐานจากระบบ hypervisor ช่วยให้สามารถรวมเซริ ์ฟเวอรแ์ ละใช้งานฮาร์ดแวรไ์ ด้อย่างเต็มที่ 3. มีระบบจดั การและดูแลเว็บ และแอพพลเิ คชน่ั ที่ได้รบั การพัฒนามากขึ้น 4. ระบบความปลอดภยั ได้รับการพัฒนาให้มคี วามทนทานมากขน้ึ พร้อมทั้งผสานการใช้ เทคโนโลยีด้าน IDA หลายชิ้น 2. อินเทอรเ์ น็ต 2.1. ความหมายและพัฒนาการของอินเทอร์เน็ต อนิ เทอรเ์ น็ต (internet) มาจากคำวา่ interconnection network หมายถงึ การใช้ประโยชน์ ของระบบเครือขา่ ยทนี่ ำเคร่ืองคอมพวิ เตอร์หลายๆ เครื่องมาเช่ือมต่อกนั โดยผ่านส่อื กลางชนิดใดชนิดหน่งึ 2.2. บริการบนอินเทอร์เน็ต 1. ไปรษณีย์อเิ ลก็ ทรอนิกส์ หรืออีเมลล์ (electronic mail or e-mail) เนอ่ื งจากในระบบ เครอื ข่ายอนิ เทอร์เนต็ น้นั มีการเชื่อมต่อคอมพิวเตอรห์ ลายเครอ่ื งเขา้ ด้วยกัน ทำให้การสง่ ขอ้ มลู ระหวา่ ง คอมพิวเตอร์ดว้ ยกนั สามารถทำได้งา่ ย 2. เมลลิงลิสต์ (mailing list) เปน็ เสมือนเคร่อื งมือที่ใชก้ ระจายขา่ วสารและข้่อมลู เฉพาะกลมุ่ 3. การสื่อสารในเวลาจรงิ (realtime communication) เป็นการส่อื สารกันท่สี ามารถโตต้ อบกลบั ได้ทนั ทีผา่ นเครือข่ายอินเทอร์เนต็ เชน่ แชท (chat) 4. เวบ็ ไซตเ์ ครอื ขา่ ยทางสงั คม (social networking web site) เป็นชุมชนออนไลนท์ ี่กลุ่มคน รวมกันเป็นสังคม เช่น facebook 5. บลอ็ ก (blog) ย่อมาจากคำว่า เวบ็ บลอ็ ก (webblog) เปน็ เวบ็ ไซต์ที่ใช้เขียนบนั ทึกเรื่องราว เพื่อสื่อสารความรสู้ ึก มุมมอง เรยี กวา่ ไดอารี่ออนไลน์ (diary online) 6. วิกิ (wiki) เป็นรูปแบบการเผยแพรข่ ้อมูลท่บี คุ คลต่างๆ ท่มี ีความร้ใู นแตล่ ะเรอ่ื งมาให้ข้อมูล เชน่ wikipedia
65 7. บริการเขา้ ใช้ระบบคอมพวิ เตอร์ระยะไกล (remote login/telnet) บรกิ ารน้ีอนญุ าตใหผ้ ู้ใช้ สามารถเขา้ ไปทำงานตา่ งๆ ท่ีอยู่ในคอมพิวเตอรเ์ ครอื่ งหนึ่งผ่านทางคอมพวิ เตอร์อีกเครื่องหนึ่งที่เชื่อมต่ออยู่ใน เครอื ข่ายอนิ เทอรเ์ น็ต ไม่ว่าคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นจะอยู่ใกล้หรอื ไกลกันก็ตาม 8. การโอนยา้ ยข้อมูล (file transfer protocol : FTP) เปน็ การถ่ายโอนแฟ้มข้อมูลจาก คอมพวิ เตอรเ์ ครอื่ งหนึง่ ไปยังคอมพวิ เตอร์อกี เครื่องหน่ึง ซึง่ อาจจะอยใู่ กล้หรอื ไกล 9. บริการแลกเปลี่ยนข้อมลู ขา่ วสาร หรอื ยูสเนต็ (usenet) เปน็ อกี บรกิ ารหน่ึงบนอนิ เทอรเ์ น็ต ซง่ึ มลี ักษณะเปน็ กลมุ่ สนทนา เพื่อแลกเปล่ียนข่าวสารกนั บนเครอื ข่ายอินเทอรเ์ นต็ 10. เวลิ ด์ไวดเ์ ว็บ (world wide web) ซึ่งอาจเรียกย่อวา่ เว็บ (web) เปน็ บริการเพื่อการคน้ หา ขอ้ มูลท่ีไดร้ ับความนิยมมากที่สดุ ของอนิ เทอร์เน็ตในปจั จุบัน เป็นการใหบ้ รกิ ารขอ้ มลู แบบไฮเปอร์เท็กซ์ (hypertext) เปน็ วิธกี ารท่ีจะเชือ่ มโยงขอ้ มูลจากเอกสารหน่ึงไปข้อมูลของอกี เอกสารหนึง่ 11. พาณิชยอ์ เิ ล็กทรอนิกส์ (electronic commerce หรอื e-commerce) เปน็ การทำธุรกรรม ซ้อื ขายสินคา้ และบริการบนเครอื ขา่ ยอนิ เทอร์เนต็ โดยนำเสนอสินคา้ และบริการทางเวบ็ ไซต์ 2.3. คุณธรรมและจริยธรรมในการใช้อนิ เทอรเ์ นต็ 1. จรรยาบรรณในการใช้อินเทอร์เน็ต (netiquette) 1.1. จรรยาบรรณสำหรับผ้ใู ชไ้ ปรษณยี ์อเิ ลก็ ทรอนิกส์ - ตรวจสอบกลอ่ งรบั ไปรษณียท์ กุ วนั จำกดั จำนวนไฟล์และขอ้ มูลในตูจ้ ดหมาย - ลบข้อความหรอื จดหมายท่ีไม่ต้องการท้งิ - โอนยา้ ยจดหมายจากระบบไปไว้ยังเครื่องคอมพิวเตอรส์ ่วนบุคคล - พึงระลกึ ไว้เสมอว่าจดหมายท่เี ก็บไว้ในตจู้ ดหมายน้ีอาจถูกผู้อน่ื - ไม่ควรจะส่งจดหมายกระจายไปยงั ผ้รู ับจำนวนมาก 1.2. จรรยาบรรณสำหรับผสู้ นทนาผ่านเครือข่าย - ควรสนทนากบั ผู้ทรี่ ้จู กั และต้องการสนทนาด้วยเท่าน้ัน - กอ่ นการเรยี กคสู่ นทนา ควรตรวจสอบสถานการณ์ใชง้ านของคสู่ นทนา ก่อน - หลังการเจรยี กคูส่ นทนาไปแล้ว ไม่ตอบกลับมาแสดงว่าเขาอาจตดิ ธรุ ะอยู่ - ควรใช้วาจาสุภาพ 1.3 จรรยาบรรณสำหรับผใู้ ชก้ ระดานข่าวหรือกระดานสนทนา - เขียนเรอ่ื งให้กระชับ ใช้ขอ้ ความสั้น - ไมค่ วรเขยี นข้อความพาดพิงถงึ สถาบันของชาติในทางทไ่ี ม่สมควร - ใหค้ วามสำคัญในเร่ืองลขิ สิทธิ์ - ไมค่ วรสร้างข้อความเท็จ
66 - ไมค่ วรใช้เครอื ขา่ ยส่วนรวมเพื่อใช้ประโยชนส์ ่วนตน 2. บัญญตั ิ 10 ประการในการใช้งานคอมพิวเตอร์ 1. ไมใ่ ชค้ อมพวิ เตอรท์ ำร้ายผู้อนื่ 2. ไมใ่ ช้คอมพิวเตอร์รบกวนการทำงานของผู้อื่น 3. ไม่เปิดดูขอ้ มูลในแฟ้มของผ้อู น่ื โดยไมไ่ ดร้ ับอนุญาต 4. ไมใ่ ช้คอมพิวเตอรเ์ พ่อื การโจรกรรมข้อมูลขา่ วสาร 5. ไมใ่ ช้คอมพวิ เตอร์สร้างหลักฐานที่เป็นเท็จ 6. ไมค่ ดั ลอกโปรแกรมของผ้อู น่ื 7. ไมล่ ะเมิดการใช้ทรัพยากรคอมพวิ เตอร์ 8. ไม่นำเอาผลงานคนอืน่ มาเป็นของตวั เอง 9. คำนงึ ถงึ สิง่ ทจี่ ะเกิดข้ึนกับสงั คมอันเปน็ ผลมาจากการกระทำของตน 10. ต้องใชค้ อมพวิ เตอร์โดนเคารพกฎ ระเบียบ กติกา กฎหมายเกย่ี วกบั เทคโนโลยีสารสนเทศ มี 6 ฉบบั ดงั น้ี 1. กฎหมายเกีย่ วกับธุรกรรมทางอิเลก็ ทรอนิกส์ 2. กฎหมายเกย่ี วกับลายมือชอื่ อเิ ลก็ ทรอนิกส์ 3. กฎหมายเก่ยี วกับการคมุ้ ครองขอ้ มลู สว่ นบุคคล 4. กฎหมายเกยี่ วกับการคุม้ ครองขอ้ มูลสว่ นบคุ คล 5. กฎหมายวา่ ด้วยอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ 6. กฎหมายเกี่ยวกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศ กฎหมายทางเทคโนโลยีสารสนเทศ - ธุรกรรมทางอิเลก็ ทรอนิกส์ - ลายมือช่อื อเิ ลก็ ทรอนิกส์ - โอนเงินทางอิเลก็ ทรอนกิ ส์ - การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล - อาชญากรรมทางคอมพวิ เตอร์ - การพฒั นาโครงสร้างพนื้ ฐานสารสนเทศ 2.21 ระบบสืบคน้ ผา่ นเครอื ขา่ ยพือ่ การเรยี นรู้ ในปัจจุบนั ส่ือและเทคโนโลยที ่ีทันสมยั มีประโยชนใ์ นการสบื ค้นข้อมูล และแสวงหาความรใู้ หก้ ว้างขวางมาก ขน้ึ พนื้ ท่ีท่ีใชส้ ืบคน้ องค์ความรตู้ ่างๆ มไิ ดจ้ ำกัดเพียงตำราและหนงั สือเทา่ นั้นสื่ออนิ เตอร์เน็ตนับว่ามบี ทบาท
67 สำคญั อย่างมากสำหรับผูเ้ รียนรกู้ ลมุ่ ยคุ ใหม่ ระบบอินเตอร์เน็ตเป็นแหล่งขอ้ มลู องค์ความรู้ท่ผี ใู้ ชส้ ามารถสืบคน้ ข้อมูลได้งา่ ยดายและสะดวกรวดเรว็ ท่สี ุด ผู้สบื ค้นข้อมลู สามารถสบื คน้ ข้อมูลต่างๆ ได้อย่างรวดเรว็ หน่วยงาน ต่างๆ ท้งั ภาครฐั และเอกชน ต่างเหน็ ความสำคัญของการติดต้ังระบบอินเตอรเ์ นต็ กันอย่างกว้างขวาง เพ่ือบริการ บุคคลในองค์กรเพ่ือการปฏิบัติหนา้ ท่ไี ดส้ ะดวกยงิ่ ขน้ึ 1. การใช้อนิ เตอร์เนต็ เพ่ือการเรียนรู้ อนิ เทอรเ์ นต็ เป็นแหลง่ ขอ้ มลู ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงเพ่ือคน้ หา แลกเปลี่ยนเรยี นรไู้ ด้อยา่ งแทบไมม่ ีขีดจำกัด การใชอ้ นิ เทอรเ์ นต็ เพื่อประโยชน์ดงั กลา่ ว จำเป็นที่เราจะต้องมีความรแู้ ละทักษะในการค้นหาขอ้ มลู (Search) ร้จู ัก แหล่งเรยี นรู้ และวิธีการนำเสนอข้อมูลความรู้และผลงานอย่างเหมาะสม จะชว่ ยให้เราสามารถใช้อินเทอร์เน็ตเป็น เครอื่ งมือในการสืบคน้ ขอ้ มูลในหัวข้อเร่อื งทน่ี ักเรียนสนใจ กิจกรรมการนำเสนอ เป็นการเปิดเวทเี พ่ือนำเสนอผลงานจากการสืบคน้ และสรา้ งองคค์ วามรู้ด้วยตนเอง สามารถทำได้หลายวิธี เชน่
68 1. การนำเสนอแบบ Online เช่น 1.1 สร้าง Web Page 1.2 สร้าง Blog 1.3 การส่งขอ้ มูลออนไลน์ 2. การนำเสนอแบบ Off line เช่น 2.1 การนำเสนอด้วยวาจา 2.2 ทำเอกสารรายงาน 2.3 จัดนิทรรศการ 2.4 การสรา้ งชน้ิ งาน 3. การนำเสนอแบบสื่อผสม โดยการเลอื ก Online และ Off line ซง่ึ ในปจั จุบันเปน็ ทน่ี ยิ มอย่างกว้างขวางในทุก วงการ
69 2. รูปแบบการใช้อนิ เตอร์เนต็ เพ่ือการเรยี นรู้ การประยกุ ต์น็ตเป็นเครอื ข่ายท่สี ามารถติดต่อส่ือสารกันได้กับแหลง่ ทเี่ ชื่อมต่อเข้าดว้ ยกนั สามารถสบื คน้ ขอ้ มูลไดแ้ ละมสี ถาบนั ต่าง ๆ ทง้ั ภาครฐั และเอกชนทว่ั โลกได้เช่ือมเครือข่ายร่วมกนั จึงเป็นแหลง่ ทจ่ี ะสืบคน้ ขอ้ มลู เพ่ือนำมาศึกษาหาความรู้ได้ การนำอินเทอร์เน็ใชง้ านเครือขา่ ยอินเทอรเ์ น็ตทางการศกึ ษา ดงั น้ี 1. การใชเ้ ครือขา่ ยเพอื่ การติดต่อส่อื สาร เปน็ การติดต่อระหวา่ งผเู้ รยี นกับผสู้ อน เพ่ือสง่ รายงาน การบา้ น วิทยานพิ นธ์ ในรปู แบบแฟม้ ข้อมลู การเป็นสมาชิกกลมุ่ สนทนาเพื่อเป็นเวทแี ลกเปลย่ี นความคดิ เห็น เผยแพร่ ผลงานวิจัย ชว่ ยเหลือซ่ึงกันและกนั ทางดา้ นวชิ าการ และแจง้ ข่าวความเคลื่อนไหวทางวชิ าการ 2. การใช้เครือขา่ ยเพ่ือการสบื คน้ ข้อมูล ซึง่ ผู้เรียน นักวจิ ัย และ ผูส้ อนสามารถสืบคน้ จากฐานข้อมูลทาง การศึกษา และ Online Library Catalog ของห้องสมดุ ตา่ ง ๆ ทีเ่ ชอ่ื มโยงในอนิ เทอร์เน็ตจากประเทศในทวีปตา่ ง ๆ ทวั่ โลก 3. การใชเ้ ครอื ขา่ ยเพอื่ การสอน หรอื การสอนทางไกลโดยผา่ นเครือขา่ ย โดยเปิดเปน็ หลักสูตรการสอนใน ระดับปรญิ ญาและในแบบประกาศนยี บัตร เรยี กวา่ Online Program ซ่งึ ผู้เรยี นสามารถสมคั รและเรียนผา่ น เครือข่ายอนิ เทอร์เนต็ สว่ นกิจกรรมการเรียนการสอน เอกสารและการติดตอ่ ต่าง ๆ อยใู่ นรปู ของแฟ้มขอ้ มูล อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ การใช้ Internet ในชวี ิตประจำวนั ส่งผลในดา้ นการศึกษา เราต่อเข้ากับอินเตอร์เน็ตเพื่อคน้ คว้าหาข้อมลู ได้ ไม่ ว่าจะเป็น ขอ้ มูลทางวชิ าการจากท่ีต่าง ๆ ซ่ึงในกรณนี ้ี อินเตอรเ์ นต็ จะทำหน้าท่เี หมือนห้องสมุด ขนาดยกั ษ์ ส่ง ข้อมลู ที่เราต้องการ มาให้ถงึ บนจอคอมพิวเตอรท์ ี่บ้านหรือท่ีทำงานของเรา ไมก่ วี่ นิ าทีจากแหล่งขอ้ มูลทว่ั โลก ไมว่ ่า
70 จะเปน็ ข้อมูลดา้ นวทิ ยาศาสตร์ วศิ วกรรม ศลิ ปกรรม สงั คมศาสตร์ กฎหมาย ความบันเทิง และการ พกั ผ่อนหยอ่ น ใจ หรอื สันทนาการ เช่น เลือกอ่านวารสารตา่ งๆ ผ่านอินเตอรเ์ น็ต ทเี่ รยี กว่า magazine แบบ online รวมถึง หนงั สือพิมพ์ และขา่ วสารอืน่ ๆ โดยมีภาพประกอบบนจอคอมพิวเตอร์ เหมือนกบั หนงั สือ 3. การสืบคน้ ขอ้ มูลในการเรียนรู้ด้วยตนเอง เนอื่ งจากขอ้ มลู ทีอ่ ยูบ่ นเครอื ข่ายอนิ เตอรเ์ นต็ ในปจั จุบันมมี ากมายและกระจดั กระจายอยูต่ ามทต่ี า่ งๆ ดังนั้น ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตจงึ จำเป็นตอ้ งเรียนรวู้ ธิ ีการใช้บรกิ ารอินเตอร์เนต็ และเลือกใช้ให้เหมาะสม เพื่อการค้นหาข้อมลู ใน การเรยี นรดู้ ว้ ยตนเองอย่างมปี ระสิทธิภาพ โดยสามารถใช้อินเตอร์เน็ตในการสบื ค้นข้อมลู ศกึ ษา ค้นควา้ และวิจยั ไดห้ ลายวิธีดว้ ยกนั วิธีทีเ่ ป็นทนี่ ิยมมากทสี่ ดุ ในปจั จุบนั คือ การสืบคน้ ทางเวลิ ดไ์ วดเ์ วบ็ เนอ่ื งจากสามารถรองรับขอ้ มลู ไดห้ ลายๆ รูปแบบ และเช่ือมโยงข้อมูลท่เี ก่ียว เนอื่ งกันใหเ้ ราได้ศึกษาอย่างสะดวกสบาย และมีซอฟต์แวร์ สำหรับอา่ นข้อมลู ในเว็บท่ีสมบูรณแ์ บบมากการคน้ หา ข้อมูล ในการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเองอยา่ งมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องใชเ้ คร่ืองมือชว่ ยค้น (Search engine) ซง่ึ ซอฟตแ์ วร์สำหรับอา่ นข้อมูลในเวบ็ (Web Browser) ส่วนใหญ่บริการเชอื่ มต่อกบั เคร่ืองมอื เหล่านี้ไวใ้ ห้แลว้ ผใู้ ช้ เพยี งแต่กดปุม่ สำหรับเรยี กเคร่อื งมือน้ขี นึ้ มา พิมพค์ ำ หรือข้อความท่ีตอ้ งการสบื คน้ ลงไป เคร่ืองกจ็ ะแสดงผลการ คน้ โดยการแสดงชอ่ื ของขอ้ มูลทีเ่ ราต้องการศึกษา (Web Page) ซึ่งถา้ ต้องการเข้าไปอ่าน ก็สามารถกดลงไปบนชื่อ นนั้ ไดเ้ ลย ขอ้ มูลดังกล่าวจะปรากฏบนจอไมว่ ่าจะเปน็ ข้อมูลจากเคร่ืองคอมพวิ เตอร์เครอ่ื งใดในโลกกต็ าม นอกจากนก้ี ารเขา้ ใช้คอมพิวเตอรเ์ คร่อื งอนื่ ๆ ที่ต่ออยู่กบั เครอื ข่าย และมกี ารอนุญาตให้เขา้ ไปใช้ได้ เชน่ การติดต่อเข้าสู่เคร่ืองคอมพิวเตอร์ของหอ้ งสมดุ เพอื่ ค้นหา ยืม ตอ่ เวลาการยืม หรือการจองหนงั สอื สงิ่ พิมพ์ต่าง ๆ ก็ เป็นที่นยิ มกนั มาก ปัจจบุ นั มีห้องสมุดหลายแหง่ เปิดใหบ้ ริการบริการน้สี ามารถเขา้ ใช้ได้โดยการ ใช้คำส่ัง Telnet และตามดว้ ยชอ่ื เคร่ือง หรือหมายเลขของเครื่องแลว้ พมิ พช์ ่ือในการขอเข้าใช้ (Login) บางเครือ่ งอาจต้องใชร้ หสั ลับ
71 (Password) ดว้ ย หลังจากนั้นตอ้ งทำตามคำสง่ั ที่ปรากฏบนจอ ซง่ึ จะแตกต่างกันไปในแต่ละระบบของเคร่อื ง นอกจากห้องสมุดแลว้ เราอาจจะใช้คอมพิวเตอรท์ ่ีเป็นฐานขอ้ มูลตา่ ง ๆ ไดด้ ว้ ย โดยในบางฐานขอ้ มูล นอกจากผใู้ ช้ จะเขา้ ไปคน้ หาบทความทเ่ี คยตีพิมพ์ในวารสารต่าง ๆ แล้วยังสามารถใชบ้ รกิ ารพิเศษอนื่ ๆ เช่น บริการส่งอีเมลแ์ จง้ ให้ทราบเก่ียวกับบทความใหม่ ๆ ทไ่ี ด้ตีพิมพ์ในวารสารการศึกษาทส่ี นใจเล่มล่าสุด โดยตอ้ งมกี ารกำหนดชือ่ ของ วารสารที่สนใจไว้ล่วงหน้า หรอื มบี ริการสง่ แฟกซ์ บทความนัน้ ให้แก่ผ้ใู ชท้ ่สี นใจ สรปุ อนิ เทอร์เนต็ เปน็ เทคโนโลยีสารสนเทศทมี่ บี ทบาทในยุคน้ี โดยการนำความรู้ การเช่ือมโยงแหล่งความรู้มา ประกอบกนั เพือ่ ใหผ้ ู้เรียน ทตี่ ้องการเรยี นรู้ให้เขา้ ถงึ ไดจ้ ึงนับวา่ เปน็ ประโยชนต์ ่อวงการศึกษาในการใช้สืบคน้ ข้อมูล ตา่ งๆจากความจำเป็นและความสำคญั ของอินเทอร์เน็ตดังกลา่ ว ผู้วิจัยจึงสนใจท่จี ะศึกษาพฤติกรรมการใช้ อนิ เทอรเ์ น็ตเพ่ือการศกึ ษาของนักศึกษาสถาบันเทคโนโลยพี ระจอมเกลา้ เจา้ คณุ ทหารลาดกระบัง ผลการวจิ ยั คร้ังนี้ เปน็ ประโยชนต์ อ่ สถาบันเพื่อใช้ในการวางแผนการบรหิ ารจัดการและการลงทนุ ด้านเทคโนโลยคี อมพิวเตอร์ เทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่อื สารเพื่อเปน็ ประโยชนส์ ำหรบั ตวั เราเอง 2.22 การสืบค้น และรบั ส่งข้อมลู แฟ้มข้อมูล และสำรวจสารสนเทศใชใ้ นการเรยี นรู้ การสบื คน้ ขอ้ มูล การสืบคน้ Retrieval หมายถึง การสบื เสาะ คน้ หาเร่อื งใดเร่ืองหน่ึง ซ่งึ อาจจะได้รบั คำตอบในรูปของ ต้นฉบับเอกสาร บรรณานุกรม คำตอบทีเ่ ฉพาะเจาะจง ตัวเลข หรือข้อความของเร่ืองนั้น การสืบคน้ ขอ้ มูล (Information Retrieval) เปน็ คำที่ใช้ในวงการหอ้ งสมุดและสารสนเทศ หมายถงึ กระบวนการค้นหาสารนเิ ทศท่ีต้องการ ซึง่ ก็คอื “การคน้ หาข้อมลู ” น่ันเอง แตม่ ีความหมายเน้นหนักไปทางด้าน การค้นหาข้อมูลโดยใชเ้ คร่ืองมอื ช่วยคน้ ประเภททเ่ี ป็นส่อื อิเลก็ ทรอนิกส์ เช่น ระบบฐานขอ้ มลู คอมพิวเตอร์ของ ห้องสมุด ฐานข้อมูลออนไลน์ และ search engine ตา่ ง ๆ
72 การค้นหาข้อมูลให้ได้รวดเร็ว ถูกต้องแมน่ ยำ และตรงตามความต้องการ จำเปน็ ตอ้ งอาศยั ทักษะและพนื้ ฐานความรู้ เกีย่ วกับการสบื ค้นข้อมูล เช่น วธิ กี ารใช้เครอื่ งมือช่วยค้นแต่ละชนิด การใช้คำหรือวลี (keyword) ให้สอดคล้องกับ เร่ืองที่กำลงั คน้ หา การเลอื กรูปแบบการค้นใหเ้ หมาะสม การใชค้ ำเชอื่ ม เพื่อกำหนดขอบเขตการค้นให้มีความ เฉพาะเจาะจงมากขึน้ ซ่ึงจะทำให้ไดผ้ ลการค้นหรือรายการข้อมูล ที่ถกู ต้องตรงตามความตอ้ งการมากทสี่ ุด การเตรยี มตัวก่อนการสืบคน้ 1. ควรทราบความต้องการของตนเองวา่ ต้องการคน้ หาข้อมูลเกยี่ วกับเร่อื งใด และขอบเขตแคไ่ หน ข้อมลู ท่มี ีอยู่ แลว้ มีอะไรบ้าง เชน่ ทราบชอื่ ผูแ้ ต่งทเี่ ขียนเร่ืองต้องการมาก่อนแลว้ 2. รจู้ กั แหลง่ สารสนเทศหรือเครื่องมือทีจ่ ะใช้ และเกย่ี วขอ้ งกับสาขาวชิ าทีต่ ้องการ เช่น ถา้ ตอ้ งการค้นหาบทความ เกีย่ วกับการพยาบาล ควรใช้ฐานข้อมูลใดค้นหา จึงจะได้ขอ้ มลู ตามท่ีต้องการ 3. ตอ้ งเรียนรูว้ ิธกี ารใช้แหล่งสารสนเทศ ฐานข้อมลู หรอื เครื่องมือที่ใชค้ ้นหา เช่น รูจ้ ักวธิ คี ้นหาแบบพ้ืนฐาน หรือ การคน้ หาแบบข้นั สงู นอกจากนย้ี ังต้องรูจ้ กั วิธีการจัดการผลลัพธ์ ไดแ้ ก่ การบนั ทึก การสั่งพมิ พ์ การสง่ ข้อมูลทาง E-mail การจดั การรายการบรรณานุกรม เปน็ ต้น ฐานข้อมูลออนไลน์ (Online Database) คือ ฐานขอ้ มูลในสาขาวิชาตา่ ง ๆ ท่หี ้องสมุดบอกรบั หรือเป็นสมาชกิ โดยบริษทั ผ้ใู หบ้ รกิ ารได้รวบรวมข้อมลู จาก หนังสอื วารสาร บทความ ความรู้ ซงึ่ ส่วนใหญเ่ ปน็ ไฟล์อิเลก็ ทรอนิกส์ เพ่ือบรกิ ารแก่สมาชิกห้องสมดุ หรือคน ท่วั ไปให้สามารถคน้ ควา้ หาความรู้ท่ตี อ้ งการผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต อยา่ งสะดวก สบาย รวดเร็ว โดยไมต่ ้อง เดนิ ทางไปห้องสมุด ซง่ึ ทุกสถาบันจะบอกรับฐานข้อมูลที่เก่ียวขอ้ งกับหลักสูตรการเรียนการสอนของแตล่ ะสถาบนั ได้แก่ ฐานข้อมูล MEDLINEplus, ProQuest , Science Direct, CINAHL หรอื ฐานข้อมูล Business Source Complete เปน็ ตน้ สำหรับเทคนิคการสบื คน้ ข้อมลู ความหมายของการรบั -ส่งขอ้ มลู บนเครอื ขา่ ยอนิ เทอรเ์ น็ต การรับ-ส่งขอ้ มูลบนเครอื ข่ายอินเทอรเ์ นต็ โดยใช้จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Mail) หรือท่นี ิยม เรียกกันว่า อีเมล (E-Mail) หมายถึง การส่ือสารหรือการสง่ ขอ้ ความจากคอมพิวเตอร์เคร่อื งหนึง่ ผา่ นไปเขา้ เคร่ือง คอมพวิ เตอร์อกี เคร่อื งหนง่ึ โดยส่งผา่ นทางระบบเครอื ขา่ ย (Network) ผูส้ ่งจะต้องมีเลขทีอ่ ยู่ (E-mail Address) ของผ้รู บั และผรู้ บั สามารถเปดิ คอมพวิ เตอร์เรยี กข่าวสารน้ันออกมาดูเม่ือใดก็ได้ โดยท่ัวไปจัดว่าเปน็ งานสว่ นหนึ่ง ของสำนักงานอตั โนมัติ (Office Automatic) ซึง่ ปจั จุบันได้รับความนยิ มเปน็ อยา่ งมาก ประโยชน์ของการรับ-ส่งข้อมูลทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ การรับ-ส่งขอ้ มูลทางจดหมายอเิ ล็กทรอนิกส์ ถอื ว่าเป็นส่วนสำคญั ในการส่ือสารบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ทน่ี ิยมใช้มากที่สุด เพราะมปี ระโยชนม์ ากมาย ดงั นี้
73 1. ทำใหก้ ารติดตอ่ ส่ือสารท่วั โลกเป็นไปอย่างรวดเร็ว ระยะทางไมเ่ ปน็ อปุ สรรคสำหรบั อเี มลในทกุ แห่ง ทวั่ โลกท่ีมเี ครือขา่ ยคอมพิวเตอร์เช่ือมต่อถึงกันได้ สามารถเขา้ ไปสถานทีเ่ หล่าน้นั ได้ทุกที่ ทำให้ผูค้ นท่ัวโลกตดิ ต่อถึง กนั ไดท้ ันที ผรู้ ับสามารถจะรับข่าวสารจากอเี มลได้ทนั ทีท่ผี ู้ส่งจดหมายสง่ ข้อมูลผ่านทางคอมพวิ เตอรเ์ สรจ็ สนิ้ 2. สามารถส่งจดหมายถึงผู้รบั ทต่ี ้องการไดท้ กุ เวลา แมผ้ ู้รับจะไม่ได้อยทู่ ี่หน้าจอคอมพวิ เตอร์ก็ตาม จดหมายจะถูกเก็บไว้ในตู้จดหมายของคอมพวิ เตอรแ์ ละเปน็ ส่วนตัว จนกวา่ เจา้ ของจดหมายท่ีมรี หสั ผ่านจะเปดิ ต้จู ดหมายของตนเองอ่าน 3. สามารถสง่ จดหมายถึงผู้รบั หลายๆคนไดใ้ นเวลาเดียวกนั โดยไม่ต้องเสียเวลาส่งใหท้ ีละคน กรณนี ้ี จะใช้กับจดหมายท่เี ป็นข้อความเดยี วกนั เช่น หนงั สอื เวียนแจ้งขา่ วใหส้ มาชิกในกลุม่ ทราบหรือเปน็ การนัดหมาย ระหว่างสมาชิกในกลุม่ เปน็ ต้น 4. ช่วยประหยดั เวลาในการเดินทางไปสง่ จดหมายที่ตไู้ ปรษณยี ห์ รือทท่ี ำการไปรษณยี ์ ทำให้ประหยัด ค่าใชจ้ ่ายในการส่ง เนื่องจากไมต่ ้องคำนึงถึงปริมาณน้ำหนักและระยะทางของจดหมายเหมอื นกับการสง่ ทาง ไปรษณยี ธ์ รรมดา 5. ผู้รับจดหมายสามารถเรยี กอา่ นจดหมายไดท้ กุ เวลาตามสะดวก ซ่ึงจะทำให้ทราบว่าในตจู้ ดหมาย ของผู้รบั มจี ดหมายกี่ฉบับ มจี ดหมายทอ่ี ่านแล้วหรอื ยังไม่ไดเ้ รียกอา่ นกีฉ่ บับ เมื่ออ่านจดหมายฉบับใดแล้ว หาก ตอ้ งการลบทิ้งกส็ ามารถเกบ็ ข้อความไว้ในรปู ของแฟ้มข้อมลู ได้ หรอื จะพมิ พ์ออกมาลงกระดาษก็ไดเ้ ชน่ กนั 6. สามารถถา่ ยโอนแฟ้มข้อมลู (Transferring Flies) แนบไปกบั จดหมายถงึ ผูร้ ับได้ ทำใหก้ าร แลกเปลยี่ นขา่ วสารเปน็ ไปไดโ้ ดยสะดวก รวดเร็ว ทนั เวลาและทันเหตุการณ์ จากความสำคัญของอีเมลท่สี ามารถ อำนวยประโยชนใ์ ห้กบั ผใู้ ชอ้ ย่างคมุ้ ค่านี้ ทำให้ในปัจจบุ ันอีเมลกลายเปน็ ส่วนหนึ่งของสำนักงานทุกแหง่ ทว่ั โลก ท่ีทำ ใหส้ มาชกิ ในชมุ ชนโลกสามารถติดตอ่ กนั ผ่านทางคอมพวิ เตอรไ์ ดใ้ นทุกท่ีทกุ เวลา เว็บไซต์ทใ่ี ห้บริการฟรีอเี มล การรบั -ส่งจดหมายอิเลก็ ทรอนิกสม์ ีบริการท่ีให้ใชบ้ ริการไดโ้ ดยไมต่ ้องเสียคา่ ใช้จ่าย เว็บไซต์ทีใ่ หบ้ ริการนี้ มจี ำนวนมาก ตัวอยา่ งเช่น 1. www.sabuyjai.com 2. www.narakmai.com 3. www.hotmail.com 4. www.yahoo.com 5. www.gmail.com ▪ การใชฟ้ รอี ีเมลของ sabuyjai.com
74 ▪ การใช้ฟรีอีเมลของ narakmai.com ▪ การใช้ฟรีอเี มลของ hotmail.com ▪ การใช้ฟรีอเี มลของ yahoo.com
75
76 บทท่ี 3 คอมพวิ เตอรแ์ ละอนิ -เทอรเ์ นต็ กบั เทคโนโลยสี ารสนเทศ 3.1 เทคโนโลยีและสารสนเทศเพอื่ การเรยี นรู้ นยิ าม ความหมาย และความสำคญั ของเทคโนโลยแี ละสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้ ตลอดระยะเวลาของการปฏริ ูปการศกึ ษาท่ีผ่านมา ทกุ ภาคสว่ นต่างเร่งพฒั นาการศกึ ษา ม่งุ เนน้ ให้ การศกึ ษานำไปส่กู ารพัฒนาคุณภาพของคน เพ่ือใหค้ นนนั้ เปน็ พลงั สำคญั ไปชว่ ยพัฒนาประเทศ เทคโนโลยี สารสนเทศและการสอื่ สาร (ICT) ในโลกปัจจบุ นั จึงเปน็ เคร่ืองมือ วธิ กี ารทีช่ ว่ ยเพมิ่ ประสิทธภิ าพของการจดั การศึกษา เชน่ ช่วยนำการศกึ ษาให้เข้าถึงประชาชน (Access) ส่งเสริมการเรียนรู้นอกระบบและการเรียนรูต้ าม อัธยาศยั ช่วยจดั ทำข้อมลู สารสนเทศเพื่อการบริหารและจัดการ ชว่ ยเพ่มิ ความรวดเรว็ และแม่นยำในการจดั ทำ ข้อมูลและการวเิ คราะห์ข้อมูล การเกบ็ รกั ษา และการเรยี กใช้ในกิจกรรมตา่ ง ๆ ในงานจดั การศึกษา โดยเฉพาะ อย่างย่ิงการใชเ้ ทคโนโลยีเพื่อชว่ ยการเรยี นการสอน ปัจจบุ ันเรามิอาจจะปฎเิ สธไดเ้ ลยวา่ เราไดอ้ ยทู่ ่ามกลางกระแสของสังคมดจิ ติ อล อนั เป็นฐานสำคัญของของข้อมลู ที่ นำไปสกู่ ารพัฒนาในเกือบทุกๆด้าน โครงสร้างระบบเศรษฐกิจกก็ ้าวสู่เศรษฐกจิ ดิจติ อล (Digital Economy) อีกทง้ั สงั คมไดเ้ ปลี่ยนแปลงเข้าสสู่ งั คมใหม่ทีเ่ ป็นสงั คมแห่งความรอบรู้ (Knowledge Base Society) และภมู ปิ ญั ญา มี การใช้ภูมิปญั ญาและความรูห้ ลากหลายแขนงในการดำเนนิ กจิ การตา่ งๆมากขึ้น แรงผลกั ดันให้สังคมเปลี่ยนแปลงมาสูส่ งั คมดจิ ิตอล ก็มาจากพัฒนาการทางด้านเทคโนโลยีในหลายๆแขนง มี ผลติ ภณั ฑ์ หรือองคป์ ระกอบทางด้านดจิ ิตอลทีไ่ ด้เกดิ ขึ้นอย่างมากมาย เช่น การบรกิ ารขา่ วสาร ข้อมูลหรือสือ่ อเิ ล็กทรอนิกส์ สง่ ผา่ นเครือข่ายไปสู่ผู้บรโิ ภคในหลากหลายวธิ กี าร ไมว่ า่ จะเปน็ คอมพวิ เตอร์ โทรศพั ท์ นอกจากนี้ ยงั เปน็ แรงผลักดนั ทสี่ ำคัญท่ีทำให้สังคมการเรียนรู้ ได้เปิดกวา้ งไปสังคมแหง่ ความรอบร้ไู ร้พรมแดน ในบทนเี้ ราจะมาเรียนรู้ สาระสำคญั ที่นำไปสู่การจดั การศกึ ษาและการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับพฒั นาการ ของกระแสแห่งสงั คมดจิ ติ อลกนั อันไดแ้ ก่ 1. เทคโนโลยีการศึกษา 2. สารสนเทศการศึกษา
77 3. เทคโนโลยสี ารสนเทศ ความหมายของเทคโนโลยีสารสนเทศ จากความหมายของคำว่า เทคโนโลยี และ สารสนเทศ เมื่อนำมารวมกันจะเกดิ คำใหม่ทเ่ี รียกวา่ เทคโนโลยี สารสนเทศเทคโนโลยีสารสนเทศ จึงหมายถึง เทคโนโลยที ่เี กี่ยวข้องกับการจัดเก็บ การประมวลผล รวมถงึ การ เผยแพรส่ ารสนเทศ เทคโนโลยสี ารสนเทศ ตรงกบั คำภาษาอังกฤษวา่ Information Technology หรอื IT และเทคโนโลยีการส่อื สาร(เทคโนโลยีเครือขา่ ยและเทคโนโลยีการส่งผ่านขอ้ มูล)เข้าด้วยกันเทคโนโลยี อเิ ล็กทรอนกิ ส์และคอมพวิ เตอร์ โดยเฉพาะเทคโนโลยีในระบบดจิ ติ อลซ่งึ เป็นเทคโนโลยีท่ีมพี ฒั นาการเริ่มตน้ มาจากทรานซิสเตอร์ (Transistor) สารก่งึ ตัวนำ (Semiconductor) จนถึงวงจรรวมสารกง่ึ ตวั นำขนาดใหญ่มาก (Very large scale integration (VLSI) semiconductors) หรอื ทีร่ จู้ ักในช่อื ของ IC(integrated circuit) หรือ microcircuit หรือ microchip หรือ silicon chip หรอื chip พฒั นาการน้นั ส่งผลให้มีการเพิ่มอัตราส่วนของราคา และคณุ ภาพรวมท้ังขนาดของเครื่องคอมพวิ เตอร์ที่ เล็กลงแต่มคี วามสามารถเพิ่มมากขึน้ โดยอัตราส่วนของราคาและคณุ ภาพ (Performance and Price Ratio) ดังกล่าวโดยเฉลย่ี แลว้ จะมกี ารเพ่มิ ข้นึ ทกุ ๆ 18 เดือน ส่งผลใหส้ ถาปตั ยกรรมทางคอมพวิ เตอร์ (Computer Architecture) เปล่ยี นจาก host-based time sharing ไปยัง networked client-server systems เชน่ เดยี วกับท่ขี ้อจำกัดในการเก็บ (Storage) และการส่งผ่านขอ้ มูล (Transmission) ลดลงไปทกุ ขณะ เทคโนโลยกี ารสือ่ สาร - เทคโนโลยเี ครือขา่ ย โดยเฉพาะเครอื ขา่ ย Integrated services digital network : ISDN ท่ีวางมาตรฐานสำหรบั การรวม เครอื ข่ายโทรศัพท์และเครอื ข่ายขอ้ มูลท่เี คยแยกกัน บริการเสียงและข้อมูลจะถกู รวม (Integrated) บนเครอื ขา่ ย ISDN เนอื่ งจากท้ังเสยี งและข้อมูลจะได้รบั การแปลงเปน็ ดจิ ิตอลบติ (Digital Bit) เช่นเดยี วกนั สง่ ผลใหข้ ้อจำกัดใน การส่ือสารข้อมูลบนเครอื ข่ายโทรศัพทห์ มดไป ผใู้ ช้สามารถพูดคุยและสง่ ข้อมูลจำนวนมากบนสายเดยี วกัน ประกอบกับการทเ่ี ครือขา่ ยดังกลา่ วใชเ้ ทคนิคการส่งผ่านข้อมูลและการสลับสายที่กา้ วหน้าที่เรยี กวา่
78 Asynchronous Transfer Mode : ATM จะสง่ ผลใหบ้ รกิ ารสือ่ มัลติมเี ดยี ในระบบดิจิตอล (Digitized multi- media) ทำไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธิภาพ - เทคโนโลยกี ารสง่ ผา่ นขอ้ มลู (Telecommunications Transmission Technology) เปน็ เทคโนโลยที พ่ี ัฒนาให้สามารถรองรับการสง่ ผ่านข้อมูลทั้ง ปรมิ าณของข้อมูล ความเรว็ การผนวกรวม ช่องสญั ญาณร่วมกัน เป็นพฒั นาการมาต้งั แตเ่ ทคโนโลยสี ัญญาณคลนื่ ความถ่ี เทคโนโลยไี มโครเวฟ เทคโนโลยี ดาวเทยี ม จนมาถึงเทคโนโลยีเคเบิลใยแกว้ นำแสง ลว้ นแตไ่ ด้รบั การพัฒนาไปอยา่ งรวดเร็ว โดยเฉพาะเคเบลิ ใยแก้ว นำแสงหนึง่ ใยแก้ว สามารถสง่ ผ่านสัญญานคกู่ ารส่ือสารโทรศพั ท์จำนวน 30,000ค่สู ัญญาณได้พรอ้ มกนั ในเวลา เพยี งแค่ 0.1 mm in diameter ซ่ึงในสายเคเบิลเส้นหนึง่ ประกอบไปดว้ ยเส้นใยแกว้ มากมาย โครงสร้างพืน้ ฐานสารสนเทศที่ทนั สมยั จะประกอบไปด้วยเครือขา่ ยหลัก 6 เครือข่าย ดังต่อไปน้ี 1. เครือข่ายโทรศัพทพ์ ืน้ ฐาน (Public Telephone Network) 2. เครือข่ายการสอื่ สารโทรศพั ทเ์ คลื่อนที่ (Cellular and other mobile communications networks) 3. การแพรส่ ญั ญาณโทรทัศน์ (Terrestrial broadcast television) 4. เครือข่ายเคเบลิ ทีวี (Cable television networks) 5. บริการดาวเทียมสง่ ตรงถงึ บ้าน (Direct to home (DTH) satellite services) 6. เครอื ข่ายอนิ เทอรเ์ นต็ (Internet) นกั วิชาการ ในสหรฐั ฯ ได้ใหค้ วามหมายของคำว่า “โครงสร้างพนื้ ฐานสารสนเทศ” ใน “The National Information Infrastructure, Agenda for Action” (1993) ไวว้ ่า 1. เครือข่ายโทรคมนาคมนบั พันที่สามารถเชื่อมต่อกนั ได้ (Interconnected) และใชร้ ่วมกันได้ (Interoperable) 2. ระบบคอมพิวเตอร์ โทรทศั น์ โทรสาร โทรศัพท์ และเครอ่ื งมือการส่ือสารอ่ืนๆ 3. โปรแกรมคอมพวิ เตอร์ (Software) บริการสารสนเทศ (Information Services) และฐานขอ้ มูล (Databases) เชน่ หอ้ งสมดุ เป็นต้น 4. บุคลากรท่ีได้รับการอบรมท่ีสามารถสร้าง บำรงุ รักษาและสามารถใช้ระบบท่ีกล่าวมาได้ โครงสรา้ ง พนื้ ฐานของสหรฐั จะเปรยี บเสมือนรังผงึ้ ซงึ่ ถือเปน็ ต้นแบบของสังคมสารสนเทศในอนาคต เทคโนโลยีสารสนเทศสามารถจำแนกตามลักษณะการใชง้ านไดเ้ ปน็ 6 รปู แบบ ดงั น้ีต่อไปนี้ คอื 1. เทคโนโลยที ี่ใช้ในการเก็บข้อมูล เชน่ ดาวเทียมถ่ายภาพ, กลอ้ งถ่ายภาพดิจิตอล, กลอ้ งวีดีทศั น์ เป็น ตน้ 2. เทคโนโลยที ีใ่ ช้ในการบนั ทึกข้อมูล จะอยใู่ นรูปสอ่ื บนั ทึกขอ้ มลู ตา่ ง ๆ เช่น บัตรเอทเี อม็ แผน่ CD / DVD, ม้วนเทปบันทึก, Flash memory , Harddisk เป็นตน้
79 3. เทคโนโลยีที่ใชใ้ นการประมวลผลข้อมลู ไดแ้ ก่ เทคโนโลยคี อมพิวเตอร์ ท้ังฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ 4. เทคโนโลยที ่ีใช้ในการแสดงผลข้อมลู เช่น เคร่ืองพิมพ์, จอภาพ, พลอตเตอร์ ฯลฯ 5. เทคโนโลยีที่ใชใ้ นการจดั ทำสำเนาเอกสาร เชน่ เครื่องถา่ ยเอกสาร, เครอ่ื งถ่ายไมโครฟลิ ์ม เครือ่ งอัด สำเนาดจิ ติ อล 6. เทคโนโลยสี ำหรับถา่ ยทอดหรือส่อื สารข้อมลู ไดแ้ ก่ ระบบโทรคมนาคมต่าง ๆ เช่น โทรทัศน์, วทิ ยกุ ระจายเสยี ง, และระบบเครอื ข่ายคอมพวิ เตอร์ท้ังระยะใกล้และไกล สงั คมสารสนเทศจะเปน็ สงั คมทอี่ ยบู่ นพืน้ ฐานของความรู้ (Knowledge-based economy in the Information Society) ความสำคญั ของเทคโนโลยสี ารสนเทศเพ่ือการเรียนรู้ เทคโนโลยสี ารสนเทศหรือไอทนี นั้ มคี วามสำคญั มากกวา่ เทคโนโลยีอ่นื ใดที่มนุษย์ เคยคดิ ค้นขน้ึ แม้โดย พ้ืนฐานแลว้ เทคโนโลยสี ารสนเทศจะไม่ทำให้เกิดอนั ตรายรา้ ยแรงอย่างเทคโนโลยีนวิ เคลยี ร์ ไม่ทำให้โลกรำ่ รวยดว้ ย อาหารเหมือนเทคโนโลยีการเกษตรและอาหาร และไมอ่ าจทำใหม้ นษุ ย์มชี วี ิตยืนยาวไม่เจ็บปว่ ยเหมือนเทคโนโลยี การแพทย์ แตเ่ ทคโนโลยที ัง้ หลายทรี่ ะบุมานลี้ ้วนแล้วแต่พัฒนากา้ วหนา้ มาถึงระดับน้ีได้ เพราะมีเทคโนโลยี สารสนเทศเป็นรากฐาน หากขาดซง่ึ เทคโนโลยสี ารสนเทศแล้ว เทคโนโลยีต่าง ๆ จะไม่มีความกา้ วหนา้ มากดังทเ่ี ปน็ ในปจั จุบนั (ครรชิต มาลยั วงศ์: 4-5) ลักษณะเฉพาะสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้ เทคโนโลยสี ารสนเทศ หมายถึง เทคโนโลยีทป่ี ระกอบขึ้นด้วยระบบจัดเกบ็ และประมวลผลข้อมลู ระบบสอื่ สารโทรคมนาคม และอปุ กรณ์สนบั สนนุ การปฏบิ ัติงานด้านสารสนเทศท่ีมีการวางแผน จัดการ และใชง้ า่ น ร่วมกันอย่างมปี ระสิทธภิ าพ อิทธพิ ลของตวั แปรภายนอกจะมผี ลตอ่ ความเชอ่ื ทัศนคติ และความสนใจทจี่ ะใชเ้ ทคโนโลยี หรอื คอมพิวเตอร์ (Davis et al. 1989, Legris et al. 2003). ความเชือ่ ในขนั้ ตน้ 2 อยา่ งทสี่ ่งผลต่อการนำระบบมาใชค้ ือ การรบั รู้ถึง ประโยชนท์ จ่ี ะได้รบั จากระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ และเปน็ ระบบทง่ี า่ ยตอ่ การใช้งาน สามารถแบง่ เบาภาระงาน ได้ สะดวกสบายขนึ้ (Davis 1989,Davis et al. 1989, Igbaria and Tan 1997).
80 แนวคดิ ดังกลา่ วถูกนำมาใชก้ นั อยา่ งกวา้ งขวาง เป็นแบบแผนในการตัดสินใจทปี่ ระสบผลสำเรจ็ ในการ พยากรณ์การยอมรบั ดา้ นเทคโนโลยสี ารสนเทศ โดยชี้ให้เหน็ ถึงสาเหตุท่เี กยี่ วข้องกบั การรับรู้ด้านเทคโนโลยี สารสนเทศของแต่ละบุคคล ในเร่อื งของประโยชนท์ ่เี ขาจะได้รบั และการใชง้ านทง่ี ่ายจะก่อใหเ้ กดิ พฤติกรรมในการ สนใจทีจ่ ะใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ สง่ ผลให้มีการนำมาใช้และยอมรับในเทคโนโลยี (Davis 1989, Davis et al. 1989, Adams et al. 1992, Venkatesh and Davis 1996). เพราะความมีประโยชนจ์ ะเปน็ ตัวกำหนดการรับรู้ ในระดับบคุ คล คือ แต่ละคนก็จะรับรู้ไดว้ ่าเทคโนโลยีสารสนเทศ จะมีส่วนช่วยในการพฒั นาผลการปฏบิ ตั ิงานของ เขาได้อยา่ งไรบ้าง ส่วนความง่ายในการใช้ จะเป็นตัวกำหนดการรับรู้ในแง่ของปรมิ าณหรือความสำเร็จทีจ่ ะไดร้ บั ว่า ตรงกบั ท่ตี ้องการหรอื ไม่ งานจะสำเร็จตรงตามทค่ี าดไว้หรือไม่ (Davis 1989,Davis et al.1989, Venkatesh and Davis 1996). รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช 2540 มาตรา 43 ได้บญั ญัติวา่ บุคคลย่อมมสี ทิ ธิเสมอกันในการรับ การศึกษาข้ันพนื้ ฐาน และมาตรา 81 ท่ีเน้นให้รฐั ต้องจดั การศกึ ษาอบรมให้ประชาชน เกิดความร้คู คู่ ุณธรรม ซึง่ เปน็ ท่ีมาของพระราชบญั ญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ที่ทำให้เกิดการปฏิรปู การเรียนรู้ท้ังระบบ คือ (1) ปฏิรปู การเรียนรู้เพ่ือพฒั นาคณุ ภาพของคนไทย (2) ปฏริ ูปการเรียนร้เู พื่อความเข้มแข็งของคนไทย (3) ปฏิรปู การเรยี นรู้ เพอ่ื ใหส้ อดคล้องกบั วฒั นธรรมการเรยี นรยู้ คุ โลกาภวิ ฒั น์ (4) ปฏิรปู การเรยี นรเู้ พ่ือใหส้ อดคล้องกับความต้องการ ของผ้เู รยี น ครู พอ่ แม่ ผปู้ กครอง และสังคมไทย โดยเฉพาะการปฏิรูปการเรียนรู้ตามขอ้ (3) และ (4) จะเป็นไปได้ นัน้ จำเป็นตอ้ งใชเ้ ทคโนโลยยี คุ สังคมข่าวสาร และเทคโนโลยสี ารสนเทศเป็นส่อื หลัก คณุ ลักษณะของสารสนเทศท่ีดี (Characteristics of Information) สารสนเทศทด่ี คี วรมีคุณลกั ษณะดังต่อไปนี้ (Alter 1996 : 170-175, Stair and Reynolds 2001 : 6-7, จิตติมา เทียมบญุ ประเสริฐ 2544 : 12-15, ณฏั ฐพนั ธ์ เขจรนันทน์ และไพบูลย์ เกียรติโกมล 2545 : 41-42 และทิพวรรณ หล่อสุวรรณรตั น์ 2545 : 12-15)
81 1. สารสนเทศที่ดีต้องมีความความถกู ต้อง (Accurate) และไม่มคี วามผิดพลาด 2. ผู้ท่มี ีสทิ ธใิ ช้สารสนเทศสามารถเขา้ ถึง (Accessible) สารสนเทศได้งา่ ย ในรปู แบบ และเวลาท่ี เหมาะสม ตาม ความต้องการของผู้ใช้ 3. สารสนเทศต้องมีความชัดเจน (Clarity) ไมค่ ลมุ เครือ 4. สารสนเทศท่ีดีต้องมีความสมบูรณ์ (Complete) บรรจไุ ปด้วยขอ้ เทจ็ จรงิ ที่มีสำคญั ครบถ้วน 5. สารสนเทศต้องมคี วามกะทัดรัด (Conciseness) หรอื รัดกุม เหมาะสมกับผู้ใช้ 6. กระบวนการผลิตสารสนเทศต้องมีความประหยัด (Economical) ผู้ที่มหี น้าท่ีตัดสนิ ใจมักจะต้องสรา้ ง ดลุ ยภาพ ระหว่างคณุ คา่ ของสารสนเทศกับราคาทใ่ี ช้ในการผลติ 7. ต้องมีความยดึ หยุ่น (Flexible) สามารถในไปใชใ้ นหลาย ๆ เป้าหมาย หรือวัตถปุ ระสงค์ 8. สารสนเทศที่ดตี ้องมีรปู แบบการนำเสนอ (Presentation) ที่เหมาะสมกบั ผ้ใู ช้ หรอื ผู้ท่ีเก่ียวข้อง 9. สารสนเทศที่ดีต้องตรงกับความต้องการ (Relevant/Precision) ของผู้ทท่ี ำการตัดสินใจ 10. สารสนเทศทด่ี ีต้องมีความนา่ เช่ือถือ (Reliable) เชน่ เป็นสารสนเทศท่ีไดม้ าจากกรรมวธิ ีรวบรวมทน่ี า่ เชอื่ ถอื หรอื แหลง่ (Source) ท่ีน่าเชื่อถือ เปน็ ตน้ 11. สารสนเทศทด่ี คี วรมีความปลอดภัย (Secure) ในการเขา้ ถึงของผู้ไม่มีสิทธใิ ชส้ ารสนเทศ 12. สารสนเทศทดี่ ีควรงา่ ย (Simple) ไมส่ ลับซบั ซ้อน มีรายละเอยี ดทีเ่ หมาะสม (ไม่มากเกินความจำเปน็ ) 13. สารสนเทศที่ดีต้องมีความแตกตา่ ง หรอื ประหลาด (Surprise) จากขอ้ มูลชนิดอนื่ ๆ 14. สารสนเทศทด่ี ตี ้องทนั เวลา (Just in Time : JIT) หรอื ทนั ต่อความต้องการ (Timely) ของผู้ใช้ หรือ สามารถส่ง ถึงผูร้ ับได้ในเวลาทผี่ ้ใู ชต้ อ้ งการ 15. สารสนเทศทีด่ ตี ้องเป็นปัจจบุ ัน (Up to Date) หรอื มีความทนั สมัย ใหม่อยู่เสมอ มิเช่นนั้นจะไม่ทันตอ่ การ เปลยี่ นแปลงท่ดี ำเนนิ ไปอย่างรวดเรว็ 16. สารสนเทศท่ดี ตี ้องสามารถพิสูจนไ์ ด้ (Verifiable) หรือตรวจสอบจากหลาย ๆ แหลง่ ไดว้ ่ามคี วาม ถกู ต้อง
82 นอกจากน้นั สารสนเทศมีคุณสมบตั ิทแี่ ตกต่างไปจากสนิ ค้าประเภทอื่น ๆ 4 ประการคอื ใชไ้ มห่ มด ไม่ สามารถ ถา่ ยโอนได้ แบง่ แยกไมไ่ ด้ และสะสมเพ่ิมพนู ได้ (ประภาวดี สบื สนธ์ 2543 : 12-13) หรอื อาจสรปุ ได้วา่ สารสนเทศ ท่ีดตี ้องมคี ุณลักษณะครบทัง้ 4 ด้าน คือ ด้านเวลา (ทนั เวลา และทนั สมัย) ด้านเน้อื หา (ถูกต้อง สมบูรณ์ ยดึ หยนุ่ น่าเชอื่ ถือ ตรงกบั ความต้องการ และตรวจสอบได้) ดา้ นรูปแบบ (ชดั เจน กะทัดรดั ง่าย รปู แบบ การนำเสนอ ประหยดั แปลก) และด้าน กระบวนการ (เข้าถึงได้ และปลอดภยั ) เหตผุ ล 5 อันดบั แรกของความสำเรจ็ ▪ ผูใ้ ชม้ สี ว่ นเก่ียวข้อง ▪ ได้รับการสนบั สนนุ การจัดการจากผบู้ ริหารระดับสงู ▪ กำหนดความต้องการท่ชี ัดเจน ▪ การวางแผนอยา่ งเหมาะสม ▪ การคาดหวงั ที่สามารถเปน็ จริงได้ เหตผุ ล 5 อันดับแรกของความล้มเหลว ▪ ขาดบคุ ลากรในการใหข้ ้อมลู ▪ กำหนดความต้องการที่ไมส่ มบูรณ์ ▪ มีการเปลี่ยนความต้องการ ▪ ขาดการสนับสนุนจากผูบ้ ริหารระดับสงู ▪ เทคโนโลยีทข่ี าดประสิทธิภาพ 3.2 สื่อเพอ่ื การเรยี นรู้ ความหมายของส่ือ เมือ่ พจิ ารณาคำวา่ \"สื่อ\" ในภาษาไทยกบั คำในภาษาองั กฤษ พบวา่ มีความหมายตรงกับคำว่า \"media\" (ใน กรณีทีม่ ีความหมายเปน็ เอกพจน์จะใช้คำวา่ \"medium\") \"สื่อ\" (Media) เปน็ คำท่มี าจากภาษาละตินว่า \"medium\" แปลวา่ \"ระหว่าง\" หมายถึง สิ่งใดกต็ ามท่ีบรรจุ ข้อมูลเพอ่ื ให้ผ้สู ่งและผรู้ บั สามารถส่อื สารกนั ไดต้ รงตาม วัตถุประสงค์ คำว่า \"สือ่ \" ในพจนานกุ รมฉบับราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. 2542 ได้ให้ ความหมายของคำน้ีไวด้ งั นี้ \"สอื่ (กริยา) หมายถงึ ตดิ ต่อใหถ้ ึงกัน เช่น สอ่ื ความหมาย, ชักนำให้รู้จักกัน สอื่ (นาม) หมายถึง ผหู้ รือสิง่ ท่ีติดต่อใหถ้ งึ กนั หรอื ชกั นำให้รูจ้ ักกัน เชน่ เขาใช้จดหมายเป็นสือ่ ติดต่อกัน, เรยี กผูท้ ที่ ำหน้าที่ชักนำใหชายหญิงได้แต่งงานกันวา่ พอ่ ส่ือ หรือ แมส่ ื่อ; (ศิลปะ) วัสดุตา่ งๆ ท่ีนำมาสรา้ งสรรค์งานศิลปกรรม ให้มีความหมายตามแนวคดิ ซง่ึ ศลิ ปิน ประสงคแ์ สดงออกเชน่ นน้ั เช่น ส่ือผสม\"
83 นักเทคโนโลยีการศึกษาไดม้ ีการนิยามความหมายของคำว่า \"สอ่ื \" ไว้ดงั ตอ่ ไปนี้ Heinich และคณะ (1996) Heinich เปน็ ศาสตราจารยภ์ าควชิ าเทคโนโลยีระบบการเรียนการสอน ของ มหาวทิ ยาลัยอินเดยี นา่ (Indiana University) ให้คำจำกัดความคำวา่ \"media\" ไวด้ งั นี้ \"Media is a channel of communication.\" ซงึ่ สรุปความเป็นภาษาไทยไดด้ ังนี้ \"สื่อ คือชอ่ งทางในการติดต่อส่ือสาร\" Heinich และ คณะยังได้ขยายความเพิ่มเตมิ อกี วา่ \"media มรี ากศัพท์มาจากภาษาลาตนิ มีความหมายวา่ ระหว่าง (between) หมายถงึ อะไรก็ตามซงึ่ ทำการบรรทุกหรือนำพาข้อมลู หรอื สารสนเทศ ส่อื เปน็ สิ่งทอ่ี ยรู่ ะหว่าง แหลง่ กำเนิดสารกบั ผู้รับสาร \" A. J. Romiszowski (1992) ศาสตราจารยท์ างด้านการออกแบบ การพัฒนา และการประเมนิ ผลสือ่ การเรยี น การสอน ของมหาวิทยาลัยซีราควิ ส์ (Syracuse University) ให้คำจำกัดความคำวา่ \"media\" ไวด้ ังน้ี \"the carriers of messages, from some transmitting source (which may be a human being or an inanimate object) to the receiver of the message (which in our case is the learner)\" ซึง่ สรุปความ เป็นภาษาไทยได้ดังนี้ \"ตวั นำสารจากแหล่งกำเนิดของการสื่อสาร (ซ่ึงอาจจะเป็นมนุษย์ หรอื วัตถุท่ีไม่มีชีวติ ) ไป ยังผู้รับสาร (ซ่ึงในกรณีของการเรียนการสอนก็คือ ผู้เรยี น)\" ดังนน้ั จึงสรุปไดว้ า่ สอื่ หมายถึง สิ่งใดๆ กต็ ามทเี่ ป็นตัวกลางระหวา่ งแหลง่ กำเนิดของสารกับผรู้ บั สาร เป็นสง่ิ ท่นี ำพาสารจากแหลง่ กำเนินไปยังผ้รู บั สาร เพื่อใหเ้ กิดผลใดๆ ตามวัตถุประสงค์ของการสอื่ สาร 1. บทบาทของสื่อการเรียนรู้
84 คณุ ลกั ษณะของสื่อการเรยี นรู้ ชว่ ยสง่ เสรมิ การสรา้ งความรขู้ องผู้เรียน ช่วยส่งเสรมิ การศกึ ษาคน้ คว้าด้วยตนเอง ม่งุ เน้นการพฒั นาการคิดของผ้เู รยี น เปน็ สอื่ ทีห่ ลากหลาย ไดแ้ ก่ วัสดุ อปุ กรณ์ วิธกี าร ตลอดจนสิ่งทมี่ ีตาม ธรรมชาติ เป็นส่อื ทีอ่ ยู่ตามแหล่งความรู้ในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ชว่ ยพัฒนาการร่วมทำงานเป็นทีม การเรียนการสอนในยคุ ปจั จุบันไม่สามารถจะจำกัดเฉพาะ แตใ่ นหอ้ งเรียนอกี ต่อไปแล้ว พฤตกิ รรมทางการเรียนรู้ และการจัดสถานการณ์ เพ่ือให้เกิดกระบวนการทางการเรยี นรู้ อาจจดั ข้ึนในทีใ่ ดๆ ก็ได้ ข้ึนอย่กู ับสถานการณ์ และ โอกาสเครื่องมืออย่างสำคญั ทจ่ี ะชว่ ยให้การจัดสถานการณ์ทางการเรยี นรมู้ ปี ระสิทธิผลทจี่ ำเปน็ ไดแ้ ก่ส่ือการสอน และเทคโนโลยที างการศึกษา หากขาดสิ่งดังกล่าวน้ีแลว้ การจดั สถานการณเ์ พ่ือให้เกิดการเรยี นรู้ ย่อมจะขดี วงจำกดั เข้ามาเปน็ อย่างมาก ส่อื การสอนและเทคโนโลยีทางการศึกษาน้ัน สามารถสรา้ งสถานการณ์เพื่อให้เกิดการ เรยี นรูไ้ ดเ้ ปน็ อนั มาก อาจกล่าวได้ว่า โดยปกตจิ ากขอบเขตจำกัด ทั้งเวลาและสถานที่ ถา้ หากว่ามอี ปุ กรณ์และ เครื่องมอื พร้อม ก็จะช่วยขจดั ข้อจำกัดดงั กลา่ วได้ ความสำคญั ของสื่อการเรยี นรู้ 1. ช่วยใหผ้ ้เู รยี นเกดิ ความเขา้ ใจและสรา้ งความคิดรวบยอดในเรอ่ื ง ทีเ่ รียนไดง้ ่ายและรวดเรว็ ขนึ้ 2. ชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นมองเห็นสิง่ ท่กี ำลังเรียนรไู้ ด้อยา่ งเปน็ รูปธรรม 3. ชว่ ยใหผ้ ้เู รยี นเรยี นร้ดู ว้ ยตนเอง 4. สร้างสภาพแวดลอ้ มและประสบการณ์การเรยี นรู้ที่แปลกใหม่ 5. ส่งเสริมการมีกจิ กรรมรว่ มกันระหว่างผเู้ รียน 6. เกอื้ หนุนผู้เรยี นท่ีมคี วามสนใจและความสามารถในการเรยี น รทู้ ีแ่ ตกต่างกันให้สามารถเรียนรไู้ ด้ทัดเทยี ม กนั 7. ชว่ ยเชอื่ มโยงสงิ่ ทไี่ กลตัวผเู้ รียนให้เขา้ มาสู่การเรียนรุข้ องผ้เู รียน 8. ช่วยใหผ้ เู้ รยี นได้เรียนรูว้ ธิ กี ารแสวงหาความร้จู ากแหลง่ ขอ้ มูลต่างๆ ตลอดจนการศกึ ษาค้นคว้าดว้ ยตนเอง 9. ช่วยให้ผเู้ รียนไดร้ ับการเรยี นรู้ในหลายมติ ิจากสื่อทีห่ ลาหลาย 10. ช่วยกระตนุ้ ใหเ้ กดิ ความรู้ ความเขา้ ใจในเชงิ เนื้อหา กระบวนการ และความรเู้ ชิงประจักษ์ สง่ เสรมิ ใหเ้ กดิ ทักษะ ได้แก่ ทักษะการคดิ ทักษะการสอื่ สาร
85 2. คุณลักษณะและความสำคญั ของส่ือ (การศกึ ษา) การเรียนรู้ คุณลักษณะของสื่อการเรยี นรู้ ช่วยส่งเสรมิ การสร้างความร้ขู องผเู้ รยี น ชว่ ยส่งเสริมการศึกษาคน้ คว้าดว้ ย ตนเอง มุ่งเน้นการพัฒนาการคดิ ของผู้เรยี น เป็นสอื่ ท่ีหลากหลาย ได้แก่ วัสดุ อปุ กรณ์ วิธกี าร ตลอดจนส่ิงที่มตี าม ธรรมชาติ เปน็ สื่อทีอ่ ย่ตู ามแหล่งความรใู้ นระบบเทคโนโลยสี ารสนเทศ ชว่ ยพฒั นาการร่วมทำงานเป็นทีม การเรยี นการสอนในยุคปัจจบุ ันไมส่ ามารถจะจำกัดเฉพาะ แต่ในห้องเรียนอีกต่อไปแล้ว พฤติกรรมทางการเรียนรู้ และการจดั สถานการณ์ เพื่อให้เกดิ กระบวนการทางการเรียนรู้ อาจจดั ขนึ้ ในทีใ่ ดๆ ก็ได้ ข้ึนอยู่กับสถานการณ์ และ โอกาสเครื่องมืออย่างสำคัญ ที่จะช่วยใหก้ ารจดั สถานการณท์ างการเรียนรูม้ ปี ระสทิ ธผิ ลทีจ่ ำเปน็ ไดแ้ ก่ส่ือการสอน และเทคโนโลยที างการศึกษา หากขาดสง่ิ ดังกลา่ วนแี้ ลว้ การจดั สถานการณเ์ พื่อใหเ้ กดิ การเรียนรู้ ย่อมจะขีด วงจำกัดเข้ามาเปน็ อย่างมาก สอ่ื การสอนและเทคโนโลยที างการศึกษาน้ัน สามารถสร้างสถานการณ์เพ่ือใหเ้ กดิ การ เรียนรไู้ ด้เป็นอันมาก อาจกลา่ วไดว้ า่ โดยปกตจิ ากขอบเขตจำกัด ทงั้ เวลาและสถานที่ ถ้าหากว่ามอี ุปกรณ์และ เครอ่ื งมอื พร้อม ก็จะชว่ ยขจดั ข้อจำกัดดังกล่าวได้ ความสำคัญของส่ือการเรยี นรู้ 1. ช่วยใหผ้ ู้เรยี นเกดิ ความเข้าใจและสร้างความคดิ รวบยอดในเรอื่ ง ทเ่ี รียนไดง้ า่ ยและรวดเรว็ ขึ้น 2. ชว่ ยให้ผเู้ รียนมองเห็นส่ิงทีก่ ำลงั เรยี นรู้ไดอ้ ย่างเปน็ รปู ธรรม 3. ช่วยให้ผูเ้ รยี นเรียนรดู้ ้วยตนเอง 4. สรา้ งสภาพแวดล้อมและประสบการณก์ ารเรยี นรู้ท่แี ปลกใหม่ 5. ส่งเสรมิ การมกี จิ กรรมรว่ มกันระหว่างผเู้ รยี น 6. เกอ้ื หนุนผู้เรยี นที่มคี วามสนใจและความสามารถในการเรียน ร้ทู ี่แตกตา่ งกนั ใหส้ ามารถเรียนรู้ไดท้ ัดเทยี ม กนั 7. ชว่ ยเชือ่ มโยงสง่ิ ท่ีไกลตัวผเู้ รยี นใหเ้ ขา้ มาสู่การเรียนรุ้ของผูเ้ รยี น 8. ช่วยให้ผเู้ รยี นได้เรยี นรู้วิธกี ารแสวงหาความรจู้ ากแหลง่ ขอ้ มูลต่างๆ ตลอดจนการศกึ ษาค้นควา้ ด้วยตนเอง 9. ช่วยให้ผเู้ รียนไดร้ บั การเรยี นรู้ในหลายมติ จิ ากส่ือที่หลาหลาย 10. ชว่ ยกระตุน้ ให้เกิดความรู้ ความเข้าใจในเชงิ เน้ือหา กระบวนการ และความร้เู ชงิ ประจกั ษ์ สง่ เสริมให้เกดิ ทักษะ ได้แก่ ทักษะการคิด ทักษะการสื่อสาร
86 ประเภทของสือ่ การศกึ ษา(การเรียนร้)ู สือ่ การศึกษาแบ่งเปน็ ประเภทหลกั ๆ ได้ 4 ลกั ษณะ ดังน้ี (1) ตามช่องทางการส่งและรับสาร (2) ตามโครงสรา้ งความคดิ (3) ตามโครงสรา้ งของส่อื (4) ตามชนิดของส่ือ ประเภทตามช่องทางการสง่ และรับสาร สอ่ื การศึกษาที่แบ่งประเภทตามชอ่ งทางการส่งและรับสาร มี 3 ประเภท ได้แก่ 1. สอื่ โสตทัศน์ ไดแ้ ก่ ส่ือกราฟฟิก วสั ดุลายเสน้ และ แผ่นป้ายตา่ งๆ สอื่ สามมิตปิ ระเภทหนุ่ จำลอง และสอื่ เสียง เช่น เทปเสยี ง เปน็ ตน้ 2. สื่อมวลชน ไดแ้ ก่ สื่อสงิ่ พิมพ์ วทิ ยุกระจายเสียง และวิทยโุ ทรทศั น์ 3. สอื่ อิเล็กทรอนิกสแ์ ละโทรคมนาคม ไดแ้ ก่ โทรศัพท์ โทรสาร วิทยุสอ่ื สาร โทรทัศน์ ปฏสิ ัมพันธ์ ระบบประชุมทางไกล เครือข่ายคอมพวิ เตอร์ และ อนิ เตอร์เนต เปน็ ต้น ประเภทส่ือการศึกษาตามโครงสรา้ งความคิด การแบ่งประเภทของส่ือการศึกษาตามโครงสรา้ งความคดิ มี 2 ลักษณะ คือ 1. แบง่ ตามลักษณะของประสบการณ์ 2. แบ่งตามลักษณะการคิดของคน 1. การแบ่งประเภทส่ือการศึกษาตามลักษณะประสบการณ์ เอ็ดการ์ เดล เปน็ คนแบง่ ไว้มี 10 ประเภท (Dale, 1949) เริ่มแรกทีเดียวเขาแบ่งออกเปน็ 11 ประเภท แต่ ตอนหลังไดป้ รับปรงุ โดยรวมภาพยนตร์กบั โทรทัศนเ์ ป็นประเภทเดยี วกัน จงึ เหลือเปน็ 10 ประเภท เรียกวา่ “กรวย แหง่ ประสบการณ”์ (Cone of Experiences) ตามลำดบั จากรปู ธรรมไปหานามธรรม ดังต่อไปน้ี 1. ประสบการณ์ตรงทีผ่ ู้เรียนเจตนารับเป็นส่ือของจริง
87 ไดแ้ ก่ วัตถุ สถานการณ์ หรอื ปรากฏการณ์จรงิ ทีผ่ เู้ รยี นสามารถรับรไู้ ดด้ ว้ ยประสาทสัมผสั ท้งั 5 เปน็ สือ่ ที่มีความ จำเป็นต่อการเรยี นการสอนวิทยาศาสตรใ์ นขั้นนำเขา้ สูบ่ ทเรยี น เสนอปญั หา ขน้ั การทดลอง และรวบรวมข้อมลู เพอื่ พิสูจนส์ มมตฐิ านที่ตงั้ ขนึ้ จากสถานการณ์การเรียนการสอน 2. ประสบการณจ์ ากสถานการณ์จำลองและห่นุ จำลอง สื่อประเภทสถานการณ์จำลองหรอื หุน่ จำลองน้ี สามารถเน้นประเดน็ ทต่ี ้องการหรือกำจัดส่วนเกินทไี่ มต่ ้องการจาก ของจรงิ ได้ มีประโยชนต์ ่อการเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตรใ์ นกรณที ี่ของจรงิ หายากมีราคาแพง มีอันตรายมาก ใหญโ่ ตเกินไป เล็กเกนิ ไป สลบั ซับซ้อนเกินไป ฯลฯ 3. ประสบการณ์นาฏการทผ่ี ู้เรยี นได้รบั ร้กู ารแสดงดว้ ยตนเองหรอื การชมการแสดง เปน็ สถานการณจ์ ำลองที่ทำใหเ้ กิดความรคู้ วามเขา้ ใจเกย่ี วกับปรากฏการณแ์ ละกระบวนการบางอยา่ งไดด้ ี 4. ประสบการณ์จากการทดลองสาธิต เปน็ ประสบการณท์ ี่ได้จากสื่อ ซง่ึ อาจจะเป็นสถานการณจ์ ำลองหรือสถานการณ์จริง แต่เป็นสอื่ ทมี่ ีจำนวนน้อย จึง สาธิตให้ดเู ป็นกลุม่ เปน็ ประสบการณท์ ่ีจะต้องรบั ร้พู ร้อม ๆ กัน เหมาะสำหรับการทดลองสาธติ ใหผ้ ู้เรยี นสังเกตและ รวบรวมข้อมลู พร้อมกนั หลายคน 5. ประสบการณ์ทัศนศึกษา เปน็ ประสบการณท์ ี่ได้รับจากสือ่ การเรยี นการสอนที่เปน็ วัตถุ สถานการณ์ หรือปรากฏการณจ์ รงิ แตแ่ ทนท่ีจะเป็น การนำสอ่ื เข้ามาหาผเู้ รียน กเ็ ป็นการนำผู้เรียนไปยงั แหล่งของสอ่ื เหมาะสำหรับการนำเข้าสู่ปญั หาหรอื การสรุป บทเรยี น เป็นการยืนยันข้อสรุปท่ีไดจ้ ากการเรยี นในห้องเรียน 6. ประสบการณ์ที่ได้จากนทิ รรศการ สือ่ ท่ีใหป้ ระสบการณ์ในลกั ษณะน้ีอาจจะเป็นท้ังของจริงและสงิ่ จำลองตา่ งๆ แตจ่ ดั เรยี งไวใ้ นรูปทจี่ ะใชข้ อ้ มลู หรอื เน้อื หาตามวัตถุประสงค์ของผู้จดั เหมาะสำหรบั การสอนวิทยาศาสตร์ขน้ั นำเขา้ สู่บทเรียนหรอื ขน้ั การสรปุ บทเรยี น 7. ประสบการณจ์ ากภาพยนตรห์ รือโทรทศั น์ เปน็ ประสบการณท์ ีไ่ ดจ้ ากภาพและเสยี งทีพ่ ยายามทำใหเ้ หมือนกบั ประสบการณ์ตรงโดยเทคนิคการถ่ายทำ เหมาะ สำหรับการเสนอเน้ือหา เสนอข้อมูลหรือการสรุปบทเรียน 8. ประสบการณจ์ ากภาพนิ่ง วทิ ยแุ ละการบันทึกเสียง
88 ส่ือประเภทน้ีให้ประสบการณ์ท่ีเปน็ รายละเอยี ดในประเดน็ ทต่ี ้องการเนน้ ได้ โดยเทคนิคการถา่ ยภาพ การอัดขยาย และการบนั ทึกตัดต่อในกรณีทเ่ี ปน็ เทปเสยี ง 9. ประสบการณจ์ ากสือ่ ทัศนสัญลักษณ์ ได้แก่ ภาพเขียนภาพลายเส้น วัสดกุ ราฟฟิกตา่ งๆ ทส่ี ามารถเน้นโดยใช้รูปลกั ษณะและสที ำให้เกดิ ความสนใจใน ประเด็นท่ีต้องการจะเน้น 10. ประสบการณ์พจนสญั ลกั ษณ์ ไดแ้ ก่ สญั ลักษณ์ สูตร ภาษา ตำราตา่ งๆ เป็นสื่อทมี่ ปี ระสทิ ธภิ าพในการนำเสนอเนื้อหา มโนมติ หลักการ ทฤษฎี หรือกฎบางอยา่ งได้ดี 2. การแบง่ ประเภทส่ือการศึกษาตามลักษณะส่ือในกระแสความคิดของคน(ผู้เรยี น) การแบ่งประเภทของสอ่ื การศึกษาตามลกั ษณะสือ่ ในกระแสความคดิ ของผูเ้ รียนน้ี แบง่ ตามทฤษฎี โครงสร้างของความคิด (Cognitive Structure) ของบรเู นอร์ (Bruner, 1966) ซ่ึงอธบิ ายไว้ว่า คนเราจะเกิดความรู้ ความเข้าใจสง่ิ แวดล้อมไดโ้ ดยสิ่งแวดล้อมที่เป็นวตั ถุ ปรากฏการณ์หรอื สถานการณ์ เร้าให้เกิดสอื่ หรือสิง่ แทนในกา ระแสความคดิ ด้านใดด้านหน่ึงหรอื ทงั้ สามดา้ น ได้แก่ ด้านกระทำ ด้านภาพ หรอื ด้านสญั ลกั ษณ์ ดังนนั้ สื่อในที่นีจ้ งึ หมายถึงสือ่ ท่เี ป็นวตั ถหุ รือสถานการณ์กบั สอ่ื ทีเ่ ป็นลักษณะของความคิด ซ่งึ อาจเทยี บกับส่ือทแ่ี บ่งประเภทตามแบบ ของ เอด็ การ์ เดล ได้ดงั นี้ 1. สื่อประเภทท่ีกอ่ ใหเ้ กิดการกระทำ การเคล่อื นทีห่ รอื เคลือ่ นไหวกลา้ มเน้ือ ทำใหเ้ กดิ ความรู้ความเข้าใจได้ ได้แก่ ส่ือของจริง สถานการณจ์ ำลอง หุ่นจำลอง นาฏการ การทดลองสาธิต และการศึกษานอกสถานที่ 2. ส่อื ประเภทท่ีก่อใหเ้ กดิ ภาพนึก ได้แก่ สื่อนทิ รรศการ ภาพยนตร์ โทรทศั น์ ภาพนง่ิ วิทยุ และแผ่นเสยี ง 3. สอื่ ประเภทท่ีก่อให้เกิดการคิดนึกเป็นสัญลกั ษณ์ ไดแ้ ก่ สื่อทศั นสญั ลักษณ์และภาษา นอกจากน้ี บรเู นอร์เชอ่ื ว่า การเรยี นรู้จะเกิดขน้ึ เมื่อผเู้ รยี นไดม้ ีปฏิสัมพนั ธก์ ับสิ่งแวดลอ้ มซง่ึ นำไปส่กู าร คน้ พบและการแกป้ ัญหา เรยี กว่า การเรียนรโู้ ดยการค้นพบ (Discovery approach) ผเู้ รยี นจะประมวลข้อมลู
89 ข่าวสารจากการมีปฏสิ มั พนั ธ์กบั สง่ิ แวดลอ้ ม และจะรบั รสู้ ่ิงทีต่ นเองเลือก หรือส่ิงทใ่ี ส่ใจ การเรียนรู้แบบน้จี ะชว่ ยให้ เกดิ การค้นพบเนื่องจากผเู้ รยี นมีความอยากรู้อยากเหน็ ซง่ึ จะเปน็ แรงผลกั ดนั ท่ที ำใหส้ ำรวจสิง่ แวดล้อม และทำให้ เกิดการเรียนร้โู ดยการค้นพบ โดยมแี นวคดิ ทเี่ ปน็ พ้นื ฐาน ดังน้ี 1. การเรียนรู้เปน็ กระบวนการท่ีผเู้ รียนมีปฏิสัมพนั ธ์กับสิ่งแวดล้อมด้วยตนเอง 2. ผูเ้ รยี นแตล่ ะคนจะมีประสบการณแ์ ละพ้ืนฐานความรทู้ ีแ่ ตกต่างกัน การเรยี นรจู้ ะเกิดจากการที่ผเู้ รยี นสรา้ ง ความสมั พันธ์ระหว่างส่ิงทีพ่ บใหม่ กับความรู้เดมิ แลว้ นำมาสร้างเปน็ ความหมายใหม่ ประเภทของส่อื การศึกษาตามลกั ษณะโครงสร้างของสือ่ ประเภทของส่ือการศกึ ษาตามลักษณะโครงสรา้ งของสื่อ แบ่งออกได้เป็น 2 กลุม่ ใหญ่ๆ คอื กลุ่มเครื่องมือ- อุปกรณ์(hardware) และ กลุ่มโปรแกรม (software) กลุม่ เคร่อื งมอื -อุปกรณ(์ hardware) ความหมายของฮารด์ แวรต์ ามพจนานุกรม หมายถงึ เครื่องมือ อปุ กรณ์ทีเ่ ป็นโลหะและวตั ถุเน้ือแขง็ อาวธุ ยุทโธปกรณ์ ตลอดทัง้ ชิ้นส่วนประกอบต่าง ๆ ของเคร่ืองมือและอุปกรณ์เหลา่ นี้ ความหมายของฮาร์ดแวรใ์ น เทคโนโลยคี อมพวิ เตอร์ หมายถงึ เคร่ืองกลไกและวงจรอิเลก็ ทรอนิกส์ท่ีเป็นตัวเคร่อื งคอมพวิ เตอร์ จะเหน็ ไดว้ ่า ฮารด์ แวร์เป็นผลติ ผลจากการประยุกต์ทางด้านวิทยาศาสตร์กายภาพทัง้ หมด ซ่งึ ประกอบด้วยวัสดุสน้ิ เปลือง เคร่ืองมือและอุปกรณ์ ดงั รายละเอียดต่อไปน้ี วัสดุ หมายถงึ ส่งิ ทีใ่ ชง้ านร่วมกับเครื่องมือหรอื อุปกรณ์ต่างๆ ท่นี ำมาดำเนนิ กิจกรรมทางการศกึ ษา ซึง่ มี ทั้งวัสดพุ ื้นฐาน ( กระดาษ หมึก สี แผน่ ใส เป็นตน้ ) และวัสดุอิเลก็ ทรอนิกส์ ( CD-Rom DVD ฟีลม์ เทป เสยี ง/ภาพ)
90 เครื่องมือ หมายถึง สิ่งของท่ใี ช้สร้างงานประกอบในกจิ กรรมทางการศึกษา ทัง้ ท่ใี ช้รว่ มกับวัสดุ หรืออุปกรณ์ ถ้าเปน็ ด้านเทคโนโลยีจะหมายถึง ชดุ เช่อื มต่อเครือขา่ ยอนิ เทอร์เนต็ และคอมพวิ เตอร์, Flash memory, ไมโครโฟน, ลำโพง, จอภาพสัมผสั (Touch screen) เป็นต้น ถ้าเปน็ เครื่องมือพืน้ ฐานจะหมายถงึ ปากกา ดนิ สอ มดี คัตเตอร์ เปน็ ตน้ อุปกรณ์ ได้แก่ เครือ่ งมือที่ใชส้ นับสนนุ การจัดกจิ กรรมทางการศกึ ษา อาทิ เครื่องคอมพวิ เตอร์แบบตา่ งๆ, เครื่องพมิ พ์, เคร่อื งscanner, กลอ้ งถ่ายภาพยนตร์หรือวิดีโอ, กล้องถ่ายภาพ analog/digital, เครอ่ื งฉายภาพ video projector, visualizer, เครอื่ งบันทึกเสยี งทัง้ แบบ analog/digital, เครอื่ งฉายภาพข้ามศีรษะ เคร่ืองฉาย ภาพทึบแสง เคร่ืองฉายสไลด์ เคร่อื งฉายภาพยนตร.์ ...... เปน็ ตน้ (ซึ่งปจั จบุ นั อปุ กรณใ์ นหลายรายการ ของกลมุ่ น้ีได้ มาถึงจดุ สดุ ท้าย โดยได้มีพัฒนาการเปลยี่ นรูปแบบไป อาทิ เคร่ืองฉายสไลด์ ถูกแทนดว้ ยระบบคอมพิวเตอรผ์ นวก รวมกับเครื่องฉายภาพ video projector หรือ เครอื่ งฉายภาพทึบแสงถกู แทนทด่ี ้วย เทคโนโลยีของ visualizer เปน็ ตน้ ) แตใ่ นความหมายหลักของคำว่า hardware สว่ นใหญ่จะหมายถึง ประเภทของอุปกรณ์(3) กลุ่มโปรแกรม (software) ซอฟตแ์ วร์เป็นคำศัพท์ทใ่ี ชใ้ นกล่มุ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ จากการท่ีเครื่องคอมพิวเตอร์นนั้ ประกอบจาก ชิน้ ส่วน อุปกรณ์ และวงจรอเิ ล็กทรอนิกสต์ ่างๆ การท่ีจะสง่ั ให้เครื่องคอมพวิ เตอรท์ ำงานหรอื ประมวลผลอย่างใด อยา่ งหนึ่งตามความต้องการนั้น จะตอ้ งมีคำส่ังหรือภาษาสำเรจ็ รูปของเครอ่ื งกำหนด ระบุหน้าทีจ่ ึงจะสั่งเคร่อื ง คอมพิเตอร์ให้ทำงานหรือประมวลผลตามต้องการได้ วิธกี ารทส่ี รา้ งชุดคำส่ังหรอื โปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์ใน
91 รปู แบบต่างๆ และผลผลิตที่ไดเ้ ป็นโปรแกรมต่างๆ นี้เรียกว่าซอฟต์แวร์ นอกจากนี้ นกั การศกึ ษา ยงั ไดใ้ ห้ ความหมายของคำว่าซอฟต์แวร์ หมายถงึ ลำดับข้ันตอน ระบบกระบวนการ โปรแกรมและวธิ กี ารเก็บรวบรวม จดั แจง และการเสนอสารสนเทศทางการศึกษา ซ่ึงสามารถแบ่งออกเป็น วสั ดสุ ำเร็จรูป กิจกรรมและเกม และ วิธกี าร ประเภทของส่อื การเรยี นรู้ตามชนดิ ของสื่อ ส่อื การศึกษาท่ีแบง่ ประเภทตามช่องทางการสง่ และรบั สาร มี 4 ประเภท ได้แก่ 1. สอ่ื สิง่ พิมพ์ หมายถึงสอ่ื การเรียนรู้ท่จี ดั ทำขน้ึ เพ่ือสนองการเรียนรตู้ ามหลักสูตร หรอื สอ่ื สิง่ พิมพ์ทัว่ ไป ไดแ้ ก่ หนงั สือ- แบบเรียน คู่มือครู ชดุ วิชา หนังสือประกอบการสอน หนงั สอื อา้ งอิง หนงั สอื อ่านเพ่ิมเติม แผนการสอน ใบงาน แบบฝกึ หัดกิจกรรม หนังสือพมิ พ์ วารสาร แผ่นพับ โปสเตอร์ เป็นต้น 2. สือ่ บุคคล หมายถึง บคุ คลท่มี ีความรู้ ความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ และทักษะตา่ งๆ ใหก้ บั ผู้เรยี น เชน่ ครู ผ้เู ชี่ยวชาญเฉพาะด้าน(แพทย์ พยาบาล นกั กฎหมาย) ภูมปิ ัญญาท้องถน่ิ หรือปราชญ์ ชาวบา้ นท่ีมคี วามรู้ ความสามารถ ประสบการณเ์ ฉพาะเร่ืองหรอื ผทู้ ่ีประสบความสำเร็จในการประกอบ อาชีพ เป็นต้น 3. สอ่ื อิเลก็ ทรอนกิ ส์และโทรคมนาคม หมายถงึ สื่อท่ีผลติ หรอื พฒั นาขึ้นเพ่อื ใชค้ วบค่กู ับเครื่องมืออุปกรณ์ ทางเทคโนโลยี เช่น ภาพยนตร์ โทรทัศน์ วิทยุ แผ่นรายการเสียงหรอื วิดที ศั นร์ ปู แบบ VCD/DVD แถบ บันทกึ เสยี งหรอื วิดีทัศน์ สือ่ คอมพวิ เตอร์ช่วยสอน ระบบการศกึ ษาทางไกลผ่านดาวเทียมหรือผา่ น เครอื ข่ายคอมพวิ เตอร์ e-learning และ อนิ เทอรืเน็ต นอกจากนยี้ งั รวมไปถงึ โทรศัพท์ที่กำลังพฒั นาไปสู่ การศกึ ษาผ่านโทรศัพทท์ ี่เรียกว่า M-learning เป็นตน้
92 4. สื่อกจิ กรรม หมายถึงสื่อประเภทวธิ ีการทีใ่ ช้ในการฝึกทักษะ ฝกึ ปฎบิ ตั ิ ซึง่ ตอ้ งใช้กระบวนการคดิ การ ปฎิบตั ิ และการประยุกต์ความร้ขู องผู้เรียน เช่น สถานการณ์จำลอง บทบาทสมมตุ ิ ทศั นศึกษา เกม การ ทำโครงงาน การจดั นิทรรศการ การสาธิต เปน็ ตน้ 3.3 หลักการออกแบบนวตั กรรมและสื่อเพื่อการเรียนรู้ นวตั กรรมการเรยี นรู้ (Learning innovation) หมายถงึ สง่ิ ใหม่ที่นำมาใชใ้ ห้ผู้เรียนเกดิ การเรยี นรู้ จะเหน็ ไดว้ า่ นวัตกรรมการเรยี นร้เู ป็นนวตั กรรมที่ใช้ในวงกว้างด้านตา่ งๆ ท่ีเปน็ การจดั การศึกษา มีจดุ เนน้ ท่ีการ จดั การเรียนการสอนเพื่อใหผ้ ู้เรยี นเกิดการเรียนรู้ ซ่ึงนวตั กรรมการเรยี นรู้มคี วามสำคัญต่อการเรยี นรู้มากมาย ในการออกแบบนวตั กรรมการเรยี นรปู้ ระเภทสื่อการสอนผู้ออกแบบต้องคำนึงถงึ ดงั นีค้ ือ 1. วัตถุประสงค์การเรยี นรู้ 2. ลักษณะผู้เรียน ความเหมาะสมกับวัย ความสนใจ ระดบั ชั้น ความรู้ ทักษะ 3. พนื้ ฐาน และประสบการณ์ของผู้เรยี น 4. รปู แบบการเรียนการสอน และการเรยี นรู้ 5. ธรรมชาตเิ นื้อหาสาระการเรียนรู้ และวิธกี ารนำเสนอทเี่ หมาะสม 6. สภาพการเรยี น 7. ทรพั ยากรต่าง ๆ เช่น วสั ดุอุปกรณ์ ครุภณั ฑ์ งบประมาณ 8. ราคานวัตกรรมที่เหมาะสม โครงสร้างของการออกแบบนวตั กรรม ดงั น้ีคือ 1. ช่ือนวตั กรรม ผพู้ ัฒนาควรต้งั ชอื่ นวตั กรรมใหส้ อดคลอ้ งกับวตั ถปุ ระสงค์ และเข้าใจง่าย 2. วัตถปุ ระสงค์ของนวัตกรรม การกำหนดวตั ถปุ ระสงค์ของนวัตกรรมให้ชัดเจนสง่ ผลให้ การพัฒนา นวัตกรรมนนั้ รวดเร็วและมปี ระสทิ ธภิ าพมากยงิ่ ข้ึน 3. ทฤษฎี หลกั การ ในการออกแบบนวัตกรรม ผูพ้ ฒั นาต้องพิจารณาทฤษฎกี ารเรยี นรเู้ พือ่ ให้สอดคล้องกบั วัตถุประสงค์ ซ่งึ ทฤษฎีการเรียนรถู้ ือเป็นส่งิ สำคัญท่ีจะใชใ้ นการพัฒนานวตั กรรมทางการศึกษา 4. สว่ นประกอบของนวตั กรรม ในการออกแบบนวตั กรรมผู้พัฒนาต้องพิจารณาสว่ นประกอบของนวัตกรรม ว่ามอี ะไรบา้ ง 5. การนำนวตั กรรมไปใชแ้ ละประเมนิ ผล เป็นสว่ นท่แี สดงความสำเรจ็ ของนวัตกรรม ประกอบด้วย วิธวี ัดผล เครอ่ื งมือท่ีใชว้ ัดผล และวธิ กี ารประเมินผลประเภทของนวัตกรรมการเรยี นการสอน เม่ือการเรยี นการสอนมี ลักษณะเป็นระบบ ประกอบด้วยตัวป้อน (Input) กระบวนการ (Process) และผลผลิต (Output) การนำ นวตั กรรมมาใชจ้ ดั การเรียนการสอนจึงมจี ุดหมายทจี่ ะปรบั ปรุงหรอื เพ่ิมประสิทธภิ าพให้กับระบบการเรียนการสอน
93 6. หลักการออกแบบสือ่ เพ่ือการเรยี นรู้ ประกอบดว้ ย 9 ข้ันตอน ดงั นี้ 7. ขั้นตอนท่ี1 เร้าความสนใจ (Gain Attention) 8. ขั้นตอนท่ี2 บอกวตั ถุประสงค์ (Specify Objectives) 9. ขั้นตอนที่ 3 ทวนความรู้เดิม (Activate Prior Knowledge) 10. ขน้ั ตอนท่ี4 การเสนอเน้อื หา (Present New Information) 11. ข้ันตอนที่ 5 ชี้แนวทางการเรียนรู้ (Guide Learning) 12. ขั้นตอนที่6 กระตุน้ การตอบสนอง (Elicit Responses) 13. ขน้ั ตอนที่ 7 ใหข้ ้อมลู ยอ้ นกลับ (Provide Feedback) 14. ขัน้ ตอนท่ี8 ทดสอบความรู้ (Access Performance) 15. ข้นั ตอนท่ี9 การจำและนำไปใช้ (Promote Retention and Transfer) 16. ดังน้ันในการออกแบบนวตั กรรมการเรียนรผู้ อู้ อกแบบตอ้ งคำนึงถึงหลกั การข้างต้น เพื่อให้นวตั กรรมนัน้ สามารถนำมาใชไ้ ดต้ รงตามวัตถุประสงคห์ ลัก คือเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาทเี่ กิดขึ้นในการเรยี นการสอน และ เพิม่ ความสามารถในการเรยี นรูข้ องผูเ้ รียน ใหม้ ีประสอทธิภาพมากยงิ่ ข้ึน 3.4 การเรียนรู้ แหล่งเรยี นรู้ เครอื ข่ายการเรียนรู้ การเรียนรู้ มีความหมายลกึ ซ้ึงมากกว่าการสัง่ สอน หรือการบอกเล่าใหเ้ ขา้ ใจและจำไดเ้ ท่าน้ัน ไมใ่ ชเ่ รอ่ื ง ของการทำตามแบบ ไม่ได้มคี วามหมายต่อการเรยี นในวิชาต่างๆเท่านั้น แต่ความหมายคลุมไปถึง การเปลี่ยนแปลง ทางพฤตกิ รรมอันเป็นผลจากการสังเกตพจิ ารณา ไตรต่ รอง แกป้ ญั หาทัง้ ปวงและไม่ชี้ชดั วา่ การเปลีย่ นแปลงน้ัน เป็นไปในทางท่สี ังคมยอมรบั เท่านน้ั ความหมายของการเรยี นรู้ การเรียนรู้ เป็นการปรบั ตวั ให้เขา้ กับส่ิงแวดล้อม การเรียนรู้ เปน็ ความเจริญงอกงาม เน้นวา่ การเปล่ยี นแปลงพฤติกรรมทเี่ ป็นการเรยี นรตู้ ้องเนอ่ื งมาจาก ประสบการณ์ หรือการฝึกหดั และพฤติกรรมทเี่ ปลยี่ นแปลงไปนน้ั ควรจะต้องมีความคงทนถาวรเหมาะแกเ่ หตุ เมื่อ พฤติกรรมด้งั เดิมเปล่ยี นไปสู่พฤตกิ รรมที่มุง่ หวงั ก็แสดงวา่ เกิดการเรยี นรแู้ ล้ว การเรียนรู้ หมายถงึ กระบวนการเปลี่ยนแปลงของกจิ กรรมในการแสดงปฏกิ ิริยาตอบสนองต่อสถาณการณ์อยา่ งใด อย่างหนงึ่ การเรยี นรู้ หมายถึง การเปล่ียนแปลงพฤติกรรม อันมผี ลมาจากการได้มีประสบการณ์ การเรยี นรู้ หมายถึง กระบวนการที่ทำใหเ้ กิดกิจกรรม หรือ กระบวนการที่ทำให้กจิ กรรมเปลี่ยนแปลงไป โดยเป็น ผลตอบสนองจากสภาพการณ์หนง่ึ ซึง่ ไม่ใช่ปฏิกริ ิยาธรรมชาตไิ มใ่ ช่วุฒิภาวะ และไม่ใช่สภาพการเปลี่ยนแปลงของ รา่ งกายชวั่ ครง้ั ช่วั คราวทีเ่ น่ืองมาจากความเหน่ือยล้าหรือฤทธ์ิยา
94 การเรียนรู้ หมายถงึ กระบวนการทีเ่ น่ืองมาจากประสบการณต์ รง และประสบการณ์อ้อมกระทำใหอ้ ินทรยี ์เกดิ การ เปลย่ี นแปลงพฤติกรรมค่อนข้างถาวร การเรียนรู้ หมายถงึ การเปลี่ยนแปลงคอ่ นขา้ งถาวรในพฤติกรรม ซงึ่ เป็นผลของการฝกึ หัด ............................ จากความหมายของการเรยี นรู้ขา้ งต้นอาจสรุปได้ว่า ................................. การเรยี นรู้ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอันเป็นผลจากการที่บุคคลทำกิจกรรมใดๆ ทำให้เกดิ ประสบการณ์ และเกิดทกั ษะตา่ งๆ ขึ้นยังผลใหเ้ กิดการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมค่อนข้างถาวร ความหมายของหลกั การเรียนรู้ หลกั การเรยี นรู้ (Learning Principle) หมายถึงข้อความรู้ยอ่ ยๆ ท่ีพรรณา / อธบิ าย / ทำนาย ปรากฏการณต์ า่ งๆที่เกีย่ วกบั การเรียนรู้ ซง่ึ ไดร้ ับการพสิ ูจน์ ทดสอบ ตามกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ และได้รับการยอมรบั วา่ เช่อื ถือได้ สามารถนำไปใชใ้ นการจดั กระบวนการเรยี นรู้ให้แกผ่ ู้เรียนได้ หลกั การเรียนรูห้ ลายๆ หลักการ อาจนำไปสู่การสร้างเป็นทฤษฎกี ารเรยี นรู้ได้ แนวคดิ เก่ยี วกับการเรียนรู้ (Teaching / Instruction Theory) คือความคิดเกีย่ วกบั การเรยี นรู้ ที่พรรณา / อธิบาย / ทำนายปรากฏการณ์ต่างๆ เกย่ี วกบั การเรียนรูข้ องมนษุ ย์ ท่ี นกั คดิ นักจิตวทิ ยา หรอื นกั การศกึ ษาได้นำเสนอและไดร้ บั การยอมรับในระดับหนึ่งวา่ เป็นแนวคิดทีน่ ่าเชอื่ ถอื ดว้ ย เหตผุ ลใดเหตุผลหนึง่ ธรรมชาตขิ องการเรยี นรู้ นักจิตวิทยาเชอ่ื วา่ มนุษย์จะมีการเรยี นรไู้ ด้ก็ตอ่ เมอ่ื มนุษย์ไดท้ ำกิจกรรมใดๆ แล้วเกิดประสบการณ์ ซึ่งประสบการณ์ ท่สี ะสมเพมิ่ ขนึ้ เร่ือยๆทำใหม้ นุษย์เกิดการเรยี นรู้ข้ึน และนำไปสู่การพฒั นาสงิ่ ทเี่ รียนรนู้ ้ันจนเกิดเปน็ ทักษะ และ ความชำนาญในท่สี ุด ดังน้ันการเรยี นรูข้ องมนุษยก์ จ็ ะอยกู่ บั ตวั ของมนุษยเ์ รียกว่าการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ ค่อนข้างถาวร โดยสรุปธรรมชาติของการเรยี นรูข้ องมนุษย์มีอยู่หลายประการ อาทิ 1. การเรียนรคู้ อื การเปลยี่ นแปลงพฤติกรรมค่อนข้างถาวร
95 2. การเรยี นรู้ยอ่ มมกี ารแก้ไข ปรับปรงุ และเปลีย่ นแปลง โดยการเปล่ียนแปลงน้ันๆ จะต้องเน่อื งมาจาก ประสบการณ์ 3. การเปลี่ยนแปลงชว่ั คร้ังช่ัวคราวไมน่ บั วา่ เปน็ การเรยี นรู้ 4. การเรียนรู้ในส่งิ ใดสิง่ หนง่ึ ย่อมต้องอาศยั การสงั เกตพฤติกรรม 5. การเรยี นรู้เปน็ กระบวนการท่ีทำใหเ้ กดิ การเปลีย่ นแปลงพฤติกรรม และกระบวนการเรียนรูเ้ กิดขึน้ ตลอดเวลาท่ีบคุ คลมชี ีวติ อยู่ โดยอาศยั ประสบการณใ์ นชีวติ 6. การเรียนรไู้ ม่ใชว่ ฒุ ิภาวะแต่อาศยั วุฒภิ าวะ วุฒิภาวะคอื ระดับความเจริญเติบโตสงู สดุ ของพัฒนาการ ทางด้านรา่ งกาย อารมณ์ สังคมและสตปิ ัญญาของบุคคลในแตล่ ะช่วงวยั ที่เป็นไปตามธรรมชาติ แต่การ เรยี นรไู้ มใ่ ช่วฒุ ภิ าวะแต่ต้องอาศัยวฒุ ิภาวะประกอบกัน 7. การเรียนรเู้ กดิ ได้ง่ายถ้าสง่ิ ทเ่ี รียนเปน็ ส่งิ ทม่ี คี วามหมายต่อผู้เรยี น 8. การเรยี นร้ขู องแตล่ ะคนแตกต่างกัน 9. การเรียนรยู้ ่อมเป็นผลใหเ้ กดิ การสรา้ งแบบแผนของพฤติกรรมใหม่ 10. การเรยี นรู้อาจจะเกิดข้ึนโดยการตัง้ ใจหรอื เกิดโดยบงั เอิญก็ได้ องคป์ ระกอบการเรยี นรู้ ในส่วนขององคป์ ระกอบของการเรียนรู้ ท่ีทำให้เกิดกระบวนการเรียนรู้น้ัน ประกอบดว้ ย 1. สง่ิ เร้า (Stimulus) เป็นตวั การสำคญั ที่ทำใหบ้ ุคคลมีปฏกิ ริ ิยาโต้ตอบออกมาและเปน็ ตวั กำหนดพฤติกรรมวา่ จะแสดงออกมาใน ลกั ษณะใด สงิ่ เร้าอาจเป็นเหตุการณห์ รอื วัตถแุ ละอาจเกดิ ภายในหรือภายนอกร่างกายก็ได้ เชน่ เสียงนาฬิกาท่ี ปลกุ ให้เราต่นื หรอื กำหนดวนั สอบเรา้ ให้เราเตรยี มสอบ หรือครผู สู้ อนกำหนดหวั เร่อื งใหเ้ ราต้องค้นคว้าในการ ทำรายงาน 2. แรงขบั (Drive) มี 2 ประเภท คือ 2.1 แรงขับปฐมภูมิ (Primary Drive) เชน่ ความหิว ความกระหาย การต้องการพักผอ่ น เปน็ ต้น 2.2 แรงขบั ทุตยิ ภูมิ (Secondary Drive) เป็นเรื่องของความตอ้ งการทางจิตและทางสงั คม เช่น ความวิตก กงั วล ความต้องการความรกั ความปลอดภยั เป็นตน้ แรงขับทัง้ สองประเภทเปน็ ผลใหเ้ กิดปฏิกริ ยิ าอันจะ นำไปส่กู ารเรยี นรู้ 3. การตอบสนอง (Response) เป็นพฤติกรรมต่างๆ ทีบ่ ุคคลแสดงออกมาเม่ือได้รบั การ กระตุน้ จากสงิ่ เร้าตา่ งๆ เชน่ คน สัตว์ ส่งิ ของ หรอื สถานการณ์ อาจกล่าวไดว้ ่าเปน็ ส่ิงแวดลอ้ มทร่ี อบตัวเราน่ันเอง 4. แรงเสริม (Reinforcement)
96 ส่งิ ทม่ี าเพิ่มกำลังให้เกิดการเชื่อมโยงระหวา่ งส่งิ เรา้ กับ การตอบสนอง เชน่ รางวัล การตำหนิ การลงโทษ การ ชมเชย เงนิ ของขวัญ เปน็ ต้น การเกิดกระบวนการของการเรียนรู้ มขี น้ั ตอนดงั นี้ คือ 1. มสี ่ิงเรา้ ( Stimulus ) มาเร้าอินทรีย์ ( Organism ) 2. อนิ ทรยี เ์ กิดการรบั สมั ผัส ( Sensation ) ประสาทสมั ผสั ทงั้ ห้า ตา หู จมกู ลน้ิ ผวิ กาย 3. ประสาทสมั ผัสสง่ กระแสสัมผัสไปยงั ระบบประสาทเกิดการรับรู้ ( Perception ) 4. สมองแปลผลออกมาว่าสิ่งทีส่ ัมผสั คอื อะไรเรยี กวา่ ความคดิ รวบยอด ( Conception ) 5. พฤติกรรมไดร้ บั คำแปลผลทำใหเ้ กิดความคิดรวบยอดกจ็ ะเกดิ การเรยี นรู้ ( Learning ) 6. เมือ่ เกิดกระบวนการเรียนรบู้ ุคคลกจ็ ะเกดิ การตอบสนอง ( Response ) พฤติกรรมน้ันๆ องค์กรแหง่ การเรียนรู้ (Learning Organization) : ความหมาย องค์การเรียนรู้ (Learning Organization) เปน็ แนวคิดในการพฒั นาองค์การโดยเน้นการพัฒนาการเรียนรู้ สภาวะของการเปน็ ผนู้ ำในองคก์ าร (Leadership) และการเรยี นรูร้ ว่ มกัน ของคนในองค์การ (Team Learning) เพ่อื ให้เกิดการถา่ ยทอดแลกเปลี่ยนองคค์ วามรู้ ประสบการณ์ และทักษะร่วมกัน และพัฒนาองค์การอย่างต่อเนือ่ ง ทันต่อสภาวะการเปลี่ยนแปลงและการแข่งขนั การมอี งค์การแหง่ การเรยี นรนู้ ีจ้ ะทำให้องค์การและบุคลากร มี กระบวนการทำงานที่มีประสิทธภิ าพและมีผลการปฏิบัตงิ านทมี่ ปี ระสิทธิผล โดยมีการเชื่อมโยงรูปแบบของการ ทำงานเปน็ ทีม (Team working) สรา้ งกระบวนการในการเรยี นรูแ้ ละสร้างความเข้าใจเตรยี มรับกับความ เปลย่ี นแปลง เปิดโอกาสให้ทีมทำงานและมีการให้อำนาจในการตัดสนิ ใจ (Empowerment) เพอื่ เป็นการส่งเสรมิ ให้เกิดบรรยากาศของการคิดริเรม่ิ (Initiative) และการสร้างนวัตกรรม (Innovation) ซึ่งจะทำใหเ้ กดิ องค์การที่ เขม้ แข็ง พร้อมเผชิญกับสภาวะการแข่งขันLearning Organization หรือ การทำให้องค์การเป็นองคก์ ารแห่งการ เรียนรู้ เป็นคำท่ีใช้เรียกการรวมชดุ ของความคิดที่เกดิ ขนึ้ มาจากการศึกษาเรอ่ื งขององค์การ Chris Argyris และ Donald Schon ไดใ้ หค้ ำนิยามการเรยี นรู้สองรปู แบบที่มีความสำคัญในการสร้าง Learning
97 Organization คือ Single Loop Learning ( First Order / Corrective Learning) หมายถงึ การเรียนรู้ทเ่ี กิดข้นึ แกอ่ งค์การเมอ่ื การทำงานบรรลุผลทีต่ ้องการลักษณะการเรียนรแู้ บบท่ีสองเรยี กวา่ Double Loop Learning (Second Oder/Generative Learning)หมายถงึ การเรยี นรทู้ ีเ่ กิดข้ึนเมื่อสง่ิ ทตี่ ้องการให้บรรลผุ ลหรือเปา้ หมายไม่ สอดคลอ้ งกับผลการกระทำความรจู้ าก Organization Learning เป็นหลักการท่ี Peter Senge ไดร้ วบรวมจาก แนวคดิ ของ Chris Argyris และ Donald Schon รวมถึงนักวชิ าการทา่ นอ่ืน มาเขยี นหนังสือเล่มแรกเก่ียวกับ Learning Organization ซ่ึงมีชือ่ ว่า .”The Fifth Discipline” ซง่ึ Peter M. Senge ได้กลา่ วถึงแนวปฏบิ ตั ิเพ่ือนำพาไปสู่ความสำเร็จขององค์กรแห่งการเรยี นรู้ อย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้พ้นื ฐานวินัย 5 ประการ ได้แก่ 1. Personal mastery เพม่ิ ศักยภาพของตนเองได้ เพื่อผลสำเรจ็ ที่ดกี ว่า โดยมุ่งมนั่ ทีจ่ ะพัฒนาตนเองอย่างต่อเน่ืองเพ่ือให้ไปถงึ เปา้ หมาย ด้วย การสรา้ งวิสยั ทศั น์สว่ นตน (Personal Vission) เมือ่ ลงมือกระทำและต้องมงุ่ มัน่ สรา้ งสรรจงึ จำเป็นตอ้ งมี แรง มุ่งม่ันใฝด่ ี (Creative Tention) มีการใชข้ ้อมลู ขอ้ เท็จจริงเพ่ือคิดวิเคราะหแ์ ละตดั สินใจ (Commitment to the Truth) ที่ทำให้มีระบบการคดิ ตดั สนิ ใจท่ดี ี รวมทงั้ ใชก้ ารฝกึ จติ ใต้สำนึกในการทำงาน (Using Subconciousness) ทำงานดว้ ยการดำเนินไปอย่างอัตโนมัติ 2. Mental models มงุ่ สะท้อนความคิด ทัศนคติ และการยอมรับทั้งของตนเองและคนรอบข้าง ซ่ึงจะพัฒนาต่อเปน็ พน้ื ฐานด้านอารมณ์ (EQ)ของคน ผลลพั ธท์ ่ีจะเกดิ จากรปู แบบแนวคิดน้จี ะออกมาในรปู ของผลลพั ธ์ 3 ลกั ษณะคอื เจตคติ หมายถงึ ทา่ ที หรอื ความรสู้ ึกของบุคคลต่อสง่ิ ใดสิ่งหนงึ่ เหตุการณ์ หรือเร่อื งราวใด ๆ ทัศนคติแนวความคดิ เห็นและ กระบวนทศั น์ กรอบความคดิ แนวปฏบิ ัตทิ ่เี ราปฏิบตั ิตาม ๆ กนั ไป จนกระท่ังกลายเปน็ วัฒนธรรมขององค์การ 3. Share vision มุ่งเนน้ การมสี ว่ นร่วมทางความคดิ การมีส่วนร่วมจากผ้ทู ีเ่ ก่ียวข้องเพื่อให้ได้แนวคิดทีด่ ที ส่ี ุดและเป็นทีย่ อมรับของ ทกุ คน ลกั ษณะวิสัยทัศน์องค์กรท่ีดี คือ กลมุ่ ผูน้ ำจะต้องเป็นฝา่ ยเร่มิ ต้นเขา้ ส่กู ระบวนการพัฒนาวสิ ยั ทัศน์อย่าง จรงิ จัง วสิ ยั ทัศน์นั้นจะต้องมีรายละเอยี ดชดั เจน เพียงพอที่จะนำไปเป็นแนวทางปฏบิ ัติได้ 4. Team learning
98 การแลกเปลยี่ นความคิด การเรยี นร้แู ละการพ่ึงพาซ่ึงกนั และกัน หรอื อาจกล่าวได้ว่าเปน็ การมงุ่ เนน้ การทำงาน ร่วมกนั เป็นทีม และขึน้ อยู่กบั 2 ปัจจัยหลัก คือ IQ และ EQ ประสานควบคกู่ บั การเรยี นรู้ร่วมกนั และการสร้าง ภาวะผูน้ ำแกผ่ ู้นำองค์กรในทุกระดับ 5. System thinking การคิดอยา่ งเป็นระบบ เปน็ กระบวนการ มเี หตุ และผล ซ่งึ การคดิ อยา่ งเปน็ ระบบนจ้ี ะพัฒนาขึ้นตามวยั สว่ นจะชา้ หรอื เร็วกข็ ึ้นอยู่กบั แตล่ ะบุคคล ซงึ่ ทกุ คนควรมีความสามารถในการเข้าใจถึงความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสง่ิ ตา่ ง ๆ ทเ่ี ปน็ องค์ประกอบสำคัญของระบบ นอกจากจะมองภาพรวมแลว้ ตอ้ งมองรายละเอียดของส่วนประกอบยอ่ ยในภาพนัน้ ให้ออกดว้ ย วนิ ัยขอ้ นส้ี ามารถแก้ไขปญั หาท่ีสลับซับซอ้ นต่าง ๆ ได้เปน็ อย่างดี ประเภทของแหล่งเรียนรสู้ ำหรับสถานศึกษา แหลง่ เรียนรขู้ องโรงเรียนมี 2 ประเภท คือ แหลง่ เรียนรใู้ นโรงเรียนและนอกโรงเรยี น ซึ่งเป็นแหลง่ เรียนรทู้ มี่ ีอยู แล้วตามธรรมชาติ และที่มนุษย์สรา้ งขึน้ 1. แหลง่ เรียนรูใ้ นโรงเรยี น 1.1 แหลง่ เรียนรทู้ ี่มอี ยู่แลว้ ตามธรรมชาติ
99 เชน่ บรรยากาศ ส่ิงแวดล้อม ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ส่งิ มีชีวิต ฯลฯ 1.2 แหล่งเรยี นรู้ทมี่ นุษย์สรา้ งขน้ึ เชน่ ห้องสมุดโรงเรยี น หอ้ งสมดุ กลุม่ สาระ หอ้ งสมุดเคล่อื นที่ ห้องเรียน หอ้ งปฏิบตั กิ ารต่างๆ ห้องโสต ทศั นศึกษา หอ้ งมลั ติมเี ดยี เวบ็ ไซต์ ห้องอนิ เทอร์เน็ต ห้องเรยี นสเี ขียว หอ้ งพิพิธภณั ฑ์ ห้องเกียรตยิ ศ สวน พฤกษศาสตร์ สวนสมนุ ไพร สวนวรรณคดี สวนสุขภาพ สวนหนิ สวนหย่อม สวนผีเสือ้ บอ่ เลยี้ งปลา เรือน เพาะชำ ต้นไม้พูดได้ ฯลฯ 2. แหล่งเรยี นรนู้ อกโรงเรยี น 2.1 แหล่งเรียนรู้ทมี่ ีอยู่แล้วตามธรรมชาติ เชน่ สภาพแวดล้อม ปา่ ภเู ขา แหล่งนำ้ ทะเล สตั ว์ ฯลฯ 2.2 แหลง่ เรยี นรู้ทมี่ นุษย์สร้างขน้ึ เชน่ หอ้ งสมดุ ประชาชน พิพธิ ภณั ฑ์ พิพธิ ภณั ฑว์ ิทยาศาสตร์ หอศลิ ป์ สวนสัตว์ สวนสาธารณะ สวน พฤกษศาสตร์ อทุ ยานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ศูนย์การกฬี า สถานประกอบการ วดั ครอบครัว ชมุ ชน วถิ ีชีวติ วฒั นธรรม-ประเพณี สถาบนั การศึกษาอ่ืนๆ โบราณสถาน สถานท่ีสำคญั แหล่งประกอบการ ภูมิ ปญั ญาท้องถนิ่ เป็นตน้ การบรหิ ารจัดการเพ่ือการพฒั นา และใชแ้ หลง่ การเรยี นรสู้ ำหรบั สถานศกึ ษา การพฒั นาแหลง่ เรยี นรู้ เปน็ งานที่สถานศึกษาส่วนใหญ่ดำเนนิ การอยู่แลว้ ภาพความสำเร็จท่จี ะเกิดข้นึ กับ นกั เรยี นกค็ ือ การเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ สามารถแสวงหาความรูด้ ้วยตนเอง จากแหลง่ การเรียนรูต้ า่ ง ๆ ซงึ่ มี หลายชอ่ งทาง เพยี งแต่การดำเนินการพัฒนาแหล่งการเรียนรู้ ยังเปน็ ไปโดยไม่เปน็ ระบบ และกระบวนการที่ ชัดเจน แหล่งเรยี นรู้บางแหง่ จงึ ไม่ได้ถูกใช้และพฒั นาอย่างต่อเนือ่ ง แหลง่ การเรยี นรทู้ ่ีเป็นธรรมชาตกิ ็ถูกละเลย ไม่ได้เข้าไปใช้ใหเ้ กดิ ประโยชน์ ผ้บู ริหารสถานศึกษาจึงต้องเปน็ ผูน้ ำ การดำเนนิ การ สู่ความสำเร็จโดยกำหนดเปน็ นโยบายทช่ี ดั เจน ซ่ึงอาจบรหิ ารจัดการได้ดังนี้ 1. ขนั้ วางแผน (Plan) 1.1. กำหนดนโยบายการพัฒนาแหล่งการเรียนรู้ สถานศกึ ษากำหนดนโยบายการพัฒนาแหลง่ เรยี นรู้ โดย ทำความเขา้ ใจนโยบายตามแผน หลัก หลักสตู ร รวมทงั้ แนวดำเนนิ การของสถานศกึ ษาในฝัน เพ่อื กำหนดนโยบายการพฒั นาและใช้ แหลง่ การเรยี นรู้ โดยให้คณะครมู ีส่วนร่วมในการกำหนด 1.2 .จดั ต้ังคณะกรรมการสำรวจแหล่งการเรียนรู้ เพอื่ วิเคราะหส์ ภาพความพรอ้ มในการพัฒนาแหลง่ การเรียนรูใ้ นสถานศึกษาและชุมชน ซ่ึงอาจประกอบด้วย - ผู้บริหารสถานศกึ ษา - ผู้ชว่ ยผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา ฝา่ ยวชิ าการ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138