Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ใบแจ้งหนี้

ใบแจ้งหนี้

Published by chaifile, 2019-02-02 12:48:22

Description: ใบแจ้งหนี้

Search

Read the Text Version

151 เราขยนั อ่านหนงั สือ ฝ่ายเขาก็เอาแตค่ ยุ ๖.๖ เชอ่ื มความที่แบ่งรับแบง่ สู้ ได้แก่คาว่า “ ถา้ ถา้ วา่ แม้ แมว้ ่า มาตรแม้น ถ้า... ไซร้ ผวิ ์ หากว่า สมมตวิ า่ ” เช่น ถ้าคุณไม่วา่ อะไรฉนั ก็จะดาเนินงานตอ่ ไป สมมตวิ า่ เก็บเงินไดห้ นึง่ ล้านบาท ฉันจะสง่ คืนเจา้ ของ ๖.๗ เชอื่ มความเปรียบเทียบ ได้แก่คาวา่ “ ดุจ ดจุ วา่ เหมือน เสมอื น เทา่ กบั วา่ คลา้ ยประหนึง่ วา่ ” เชน่ เราควรรักและหวงแหนแผน่ ดินผืนน้ี เหมือนท่ีบรรพบุรุษไดส้ ละชีวิต เธอชา่ งงดงาม ดจุ ดังนางฟา้ มาจุติ ๖.๘ เชือ่ มความให้สละสลวย ไดแ้ กค่ าว่า “ ทาไม กบั อยา่ งไร กด็ ี อยา่ งไรกต็ าม โดยเฉพาะอย่างยง่ิ สุดแต่วา่ สักแตว่ า่ อนั วา่ ” เช่น ตารวจตง้ั ด่านตรวจจับ โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งคนท่ีเมาแล้วขบั ข้อสังเกต ๑. คาสนั ธานสามารถวางในตาแหนง่ ตา่ ง ๆ ของประโยคได้ ๒. คาสนั ธานอาจเปน็ คา หรือกลุม่ คากไ็ ด้ ๓. คาสนั ธานบางตวั ต้องใช้คู่กัน เช่น เพราะฉะนัน้ ...จึง, กว่า...ก,็ ถงึ ...แต่ ๔. ประโยคสันธานตอ้ งสามารถแยกออกเปน็ สองประโยคยอ่ ยเสมอ เช่น ประโยคสนั ธาน ฉันชอบไปเท่ยี วทะเล แต่นอ้ งชอบไปเที่ยวภูเขา ชวี ิตนพ้ี ัฒนาได้ ถา้ เราใหโ้ อกาสแก่ชวี ิต (ตาราเลม่ ขอเปน็ กาลงั ใจเคยี งข้างคณุ )

152 ประโยคย่อย ฉนั ชอบไปเท่ียวทะเล ประโยคย่อย นอ้ งชอบไปเทีย่ วภูเขา สนั ธานเชื่อมประโยค คือ แต่ หน้าทีข่ องคาสนั ธาน ๑. เช่ือมคากบั คา เชน่ ฉัน กบั เธอชอบกนิ สกุ ้ี เธอชอบทีมชาตอิ งั กฤษ หรอื ทมี ชาตฝิ รัง่ เศส แมป่ ลกู ดอกกุหลาบ และดอกมะลิ ๒. เช่อื มขอ้ ความกับข้อความ เชน่ การสูบบุหร่ใี นทส่ี าธารณะเปน็ การกระทาทร่ี บกวนบคุ คลขา้ งเคยี งทไ่ี มส่ บู บุหร่ี เพราะฉะน้ัน จึงได้มกี ฎหมายห้ามการสูบบหุ ร่ีในท่ีสาธารณะ ๓. เชอื่ มประโยคกบั ประโยค เชน่ เขามาหาเธอ หรือมาหาฉนั ฉันไมไ่ ด้ไปโรงเรียน เพราะไม่สบาย เธอชอบอาหารไทย แต่ฉันชอบอาหารญี่ป่นุ ๔. คาว่า “ ให้ ว่า” ถ้าเปน็ คาเชือ่ มประโยค กถ็ ือวา่ ทาหนา้ ที่เป็นคาสนั ธานดว้ ย เชน่ นทิ านเรอื่ งน้ีสอนให้รู้ วา่ แพ้เปน็ ประชนะเปน็ มาร ชวี ิตน้ีพัฒนาได้ ถา้ เราใหโ้ อกาสแก่ชวี ิต (ตาราเลม่ ขอเป็นกาลงั ใจเคยี งข้างคุณ)

153 คุณแมส่ งั่ ใหล้ ูกทาการบ้าน มคี นเล่า ว่าแถวนผี้ ดี ุ ๕. คาวา่ “ ท่ี ซึง่ อนั ผู้” ซงึ่ เป็นประพันธสรรพนาม (ทาหน้าท่แี ทนคานามที่ กล่าวมาก่อนแล้ว) ถือว่าคาชนดิ นีท้ าหนา้ ท่ีเชน่ เดียวกบั คาสนั ธาน เช่น สนุ ัข ทฉ่ี ันส่งเขา้ ประกวดได้รางวลั ชนะเลิศ รฐั บาล ซึ่งมาจากการเลอื กต้ังกาลังจะหมดวาระ ความสขุ อันใดก็ไม่เทา่ กบั ความสุขทางใด ชายนริ นาม ผชู้ ่วยเหลือ ผอู้ ืน่ โดยไมห่ วังผลตอบแทน ๖. คาสนั ธานอาจละไว้ในฐานทเ่ี ข้าใจ ดังนนั้ ต้องพจิ ารณาคากริยาในประโยค หลัก ถา้ ประโยคมคี ากรยิ ามากกว่า ๑ คา แสดงว่าประโยคนั้นละสนั ธานไว้ เชน่ - ความรู้ทว่ มหวั เอาตวั ไมร่ อด ( [ ม]ี ความรู้ท่วมหวั แตเ่ อาตัวไม่รอด) - เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหล่ิวตาตาม (เม่อื เข้าเมืองตาหลิว่ กต็ อ้ งหล่ิวตาตาม) - ได้หนา้ ลืมหลัง (เมอื่ ได้หน้า แลว้ ลมื หลัง) ๗. คาสนั ธานกับคาชนิดอื่น ๆ อาจจะเปน็ คาชนดิ เดียวกนั ได้ ทง้ั นีต้ อ้ งพจิ ารณา โดยการแยกประโยค ถ้าประโยคใดแยกเปน็ ประโยคย่อยได้ ๒ ประโยค คานน้ั ก็เป็น คาสันธาน เช่น เพราะ - เธอพูดเพราะจนได้รับคาชมจากครู (คาวเิ ศษณ)์ - ฉนั เขียนหนังสอื ไม่สวย เพราะไมช่ อบหดั เขยี น (คาบุพบท) - เขาทางานงานเรียบรอ้ ยเพราะมีความต้งั ใจ (คาสนั ธาน) ชวี ิตนี้พฒั นาได้ ถา้ เราใหโ้ อกาสแกช่ วี ิต (ตาราเลม่ ขอเปน็ กาลังใจเคียงขา้ งคณุ )

154 แก่ - คณุ ยายของฉนั เป็นคนแกท่ ใ่ี จดี (คาวิเศษณ์) - นกั ร้องใหข้ องขวัญแกเ่ ด็กพกิ าร (คาบพุ บท) - ผลไม้แกจ่ ัดบางชนิดรสชาติไมอ่ ร่อย (คากริยา) ๗. คาอทุ าน คอื คาท่เี ปลง่ ออกมาเพ่อื แสดงอารมณ์ หรือความรู้สึกของผ้พู ดู ซงึ่ เปลง่ ออกมา เวลาดีใจ เสียใจ ตกใจ หรือประหลาดใจ โดยมากคาอุทานไมไ่ ด้มคี วามหมายตรงตาม ถอ้ ยคา แต่จะมคี วามหมายเน้นถงึ ความร้สู กึ และอารมณข์ องผู้พูดเปน็ สาคญั คาอทุ าน แบ่งเป็น ๒ ชนดิ คือ ๗.๑ อุทานบอกอาการ เป็นคาท่ีเปลง่ ออกมาเมื่อมคี วามรู้สกึ ต่าง ๆ แบ่งเป็น ๑.) ใช้แสดงความรสู้ กึ ต่าง ๆ ในการพูด เชน่ - แปลกใจ โอ้โฮ แหม อะไรกนั - โกรธเคือง แหม ดูดู๋ ชชิ ะ - สงสาร อนิจจา โถ พทุ โธ่เอย๋ น้องเอ๋ย - เข้าใจ/รับรู้ อ้อ ห้อื เออ เออนะ่ เอาละ อ๋อ จรงิ เออวะ - เจ็บปวด อุ๊ย โอย๊ โอย - ชักชวน/ตกั เตือน นะ น่า - เจบ็ โอ๊ย โอย ซูด๊ - สงสัย/ไต่ถาม เอะ๊ หอื หา ฮะ - ผดิ หวัง ว้า เฮอ ชวี ิตนพี้ ัฒนาได้ ถา้ เราใหโ้ อกาสแก่ชวี ิต (ตาราเล่มขอเปน็ กาลงั ใจเคียงขา้ งคุณ)

155 - โล่งใจ เฮอ เฮอ้ - หวาดหวั่น ตายละวา แยแ่ ลว้ - ขนุ่ เคอื ง ฮ่ึม ดลี ะ บ๊ะ แลว้ กนั วะ - รอ้ งเรียก เฮ้ย แน่ะ น่แี นะ่ เฮ้ โว้ย - ทักทว้ ง ไฮ้ ฮ้า - ประหม่า เออ้ อา้ - ดถู ูกเหยียดหยาม เชอะ ชะ หนอยแน่ะ หนอย เฮอ้ - ตกใจ/ประหลาดใจ ตา๊ ยตาย ว้าย วุ้ย ตายแลว้ แหม ตายจรงิ คุณพระชว่ ย เออแนะ่ แม่เจา้ โว้ย เอ้อเฮอ โอ้โฮ ๒.) ใชใ้ นคาประพนั ธ์ ไดแ้ กค่ าว่า “ อ้า โอ้ โอว้ า่ ” เช่น โอ้ว่าแมจ่ า๋ ลกู คดิ ถึงคา่ นา้ นม ๗.๒ อุทานเสริมบท คือ คาทใี่ ช้เป็นสร้อยคา หรือคาเสริมบทต่าง ๆ โดยคา อทุ านเสริมบทจะตอ้ งเปน็ คาทไี่ ม่มีความหมาย เพียงแต่นามาเสรมิ ใหป้ ระโยคมคี วาม ชดั เจนย่งิ ข้ึน หรือให้ถ้อยคาสละสลวยขึน้ อทุ านเสรมิ บทแบ่งได้ดังน้ี ๑.) คาอทุ านเสริมบททใ่ี ช้เป็นคาสรอ้ ย คอื คาอทุ านท่ีใชเ้ ป็นคาสรอ้ ยของคา ประพันธ์ โคลง ร่าย หรือใชเ้ ป็นคาลงท้ายในบทประพันธ์ เพ่ือให้รวู้ า่ จบข้อความโดย บรบิ ูรณ์ ได้แกค่ าวา่ “ ฮา เฮย แฮ แล นา รา เอย” เชน่ เสียงลอื เสียงเลา่ อา้ ง อนั ใด พ่ี เอย ๒.) คาอทุ านเสริมบททใี่ ช้เปน็ คาเสรมิ คือ คาอุทานทใ่ี ช้เสริมตอ่ ถ้อยคาใหเ้ ย่นิ เยอ้ ออกไป แตไ่ มต่ อ้ งการความหมายทเี่ สริมเขา้ มา เช่น อาบนา้ อาบท่า, กินข้าว กนิ ปลา, ทหี นา้ ทีหลงั , ไมร่ ู้ ไม่ช้ี, รถ รา, นอ้ ง น่งุ , หนังสือ หนงั หา, ลกู เตา้ , ผมเผา้ , ยงุ่ เหยิง ชวี ิตนพ้ี ฒั นาได้ ถา้ เราใหโ้ อกาสแก่ชวี ิต (ตาราเล่มขอเป็นกาลงั ใจเคียงขา้ งคุณ)

156 ขอ้ สังเกต ๑. คาอทุ านเสรมิ บทจะต้องไม่มีความหมาย แตถ่ า้ คาท่ีนามาเสริมทาให้ประโยค มีความหมายคานน้ั ไมถ่ ือเป็นคาอุทาน เชน่ เขา อดหลบั อดนอนมาตลอดคืน (กลมุ่ คากรยิ า) ขยะพวกน้ี ไมเ่ ก็บไมก่ วาดกันเลยหรอื (กลุม่ คากริยา) ๒. ถา้ คาทนี่ ามาเข้าคกู่ นั มเี นือ้ ความ หรอื ความหมายไปในลกั ษณะเดยี วกัน คา่ เหลา่ น้ันไม่นบั ว่าเปน็ คาอุทานเสรมิ บท แตเ่ รียกว่า “ คาซ้อน” เชน่ ไม่ดไู มแ่ ล ไมห่ ลบั ไมน่ อน ดดี สตี ีเป่า ร้องราทาเพลง หน้าที่คาอุทาน ๑.) คาอุทานเราจะใช้ในบทสนทนาเทา่ นั้น แตเ่ วลาท่เี ขียนเรียงความ ยอ่ ความ หรือบทความท่วั ไปจะไม่ใชเ้ ครื่องหมายอศั เจรยี ์ ( ! ) ๒.) คาอุทานในบทรอ้ งกรอง และอุทานเสรมิ บทไม่ตอ้ งใชเ้ ครื่องหมายอัศเจรีย์ ( ! ) แตถ่ ้าเป็นบทสนทนาทั่วไป หรือ ถอดความออกเปน็ ลายลักษณอ์ กั ษร ควรใช้ เครื่องหมายอัศเจรียก์ ากับไว้หลงั คาอทุ านนัน้ ด้วย เพอ่ื ให้ผอู้ า่ นไดเ้ ห็นภาพลกั ษณม์ าก ย่งิ ขนึ้ ว่าอารมณข์ องประโยคนน้ั ๆ เปน็ อย่างไร (ข้อมูลอ้าอิงจากhttp://www.thaicadet.org/thai/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B9%81%E0% B8%99%E0%B8%81%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%AB %E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8 %84%E0%B8%B3%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%97%E0 %B8%A2.html สืบค้นเมือ่ 25 ก.ค.55) ชีวิตนีพ้ ัฒนาได้ ถา้ เราใหโ้ อกาสแกช่ วี ิต (ตาราเล่มขอเปน็ กาลังใจเคยี งข้างคณุ )

157  สตู รท่ี 6 “คาเปน็ คาตาย” “คาครุ คาลหุ”และคาอ่นื ๆ คาเป็น 1. คาประสมด้วยสระเสียงยาว ในแม่ ก กา รวมทง้ั สระเสียงสน้ั อา ใอ ไอ เอา 2. คาที่สะกดในแม่ กง กน กม เกย เกอว ตัวอยา่ งคาเป็น มา / ทาไม / ของ / คน / ส้วม / สาย / กาว คาตาย 1. คาทป่ี ระสมดว้ ยสระเสียงสั้น ในแม่ ก กา ยกเว้น สระเสยี งส้นั อา ไอ ใอ เอา 2. คาที่สะกดในแม่ กก กด กบ ตัวอย่างคาตาย จะ / มกั / สัตว์ / ตับ คาครุ/คาลหุ คาครุ – คาลหุ คอื คาท่มี เี สยี งหนกั เบาตา่ งกนั ซง่ึ จาเปน็ มากในการแต่งฉันท์ 1. คาครุ ประสมด้วยสระเสียงยาวในแม่ ก กา รวมท้งั สระเสียงส้ัน อา ไอ ใอ เอา 2. คาท่สี ะกดในทุกมาตรา คาลหุ 1. ประสมด้วยสระเสียงส้ันในแม่ ก กา ยกเว้น สระเสียงสัน้ อา ใอ ไอ เอา 2. ตอ้ งไมม่ ีตวั สะกด ชีวิตน้ีพฒั นาได้ ถา้ เราใหโ้ อกาสแก่ชวี ิต (ตาราเล่มขอเปน็ กาลังใจเคียงข้างคณุ )

158 คาอปุ มา – อุปไมย คาอุปมาอุปไมย หรอื คาเปรยี บเทียบ เปน็ คาในภาษาไทยที่สัน้ กะทัดรดั และนยิ มพูดกนั ใน ชวี ิตประจาวนั 1. เปน็ คาพดู ในเชงิ ต่อว่าหรือเปรยี บเปรย (ท้ังในทางดีทางร้าย) 2. โดยผพู้ ูดยกเอาสิง่ แวดลอ้ มมาเทียบเคียงใหผ้ ู้ฟงั เห็นจริงไปตามน้ัน 3. มักจะมคี าว่า เปน็ /เหมอื น/อยา่ ง/เทา่ /ราวกับ ทาหน้าทเ่ี ป็นคาเช่อื ม เชน่ งงเป็นไกต่ าแตก หมายถงึ ไมร่ ้จู ริง ใจดาเหมอื นอีกา หมายถึง ใจร้าย เห็นแกต่ วั มาก ในดีราวกบั พระ หมายถงึ มีใจเมตตา กรณุ า คาคล้องจอง หมายถึง คาทีพ่ ูดใหค้ ลอ้ งจองกนั ท่แี สดงให้เห็นถึงเปน็ คนเจ้าบทเจ้ากลอน เชน่ กินลมชมวิว หมายถึง น่ังรถเที่ยว คนละไมค้ นละมือ หมายถงึ ตา่ งคนตา่ งชว่ ยกนั ทา คนดีผีคุม้ หมายถงึ คนทาดียอ่ มไมม่ ีภัย คาพ้องรูปและพอ้ งเสยี ง คาพอ้ งเสยี ง คอื คาทีม่ ีเสียงเหมอื นกนั แต่เขียนต่างกัน เชน่ กาน หมายถึง ตัดใหเ้ ตียน, ควน่ั การ หมายถงึ งาน, ธุระ กาล หมายถึง เวลา, ครัง้ คราว โจท หมายถงึ โพนทะนาความผิด โจทย์ หมายถงึ คาถามในการคานวณ จันทร์ หมายถงึ ดวงเดอื น, ดวงจันทร์ จนั หมายถึง ชื่อตน้ ไม้ ผลสกุ สีเหลอื ง (ต้นจัน) คาพ้องรูป คอื คาที่มรี ูปเหมือนกนั แต่การออกเสียงและความหมายต่างกนั ชีวติ นพ้ี ฒั นาได้ ถา้ เราใหโ้ อกาสแกช่ วี ติ (ตาราเล่มขอเป็นกาลงั ใจเคียงขา้ งคุณ)

159 เช่น กาก ® กาก หมายถึง เศษ, เดน, ของเหลือ กา – กะ หมายถึง กา (นก) พลี ® พลี หมายถงึ การบวงสรวงขอแบ่งเอามา พะ – ลี หมายถึง มีกาลงั การใช้คาบพุ บท แก่ / แด่ แก่ ใชค้ านาหนา้ นามฝ่ายรับ เช่น - ให้เงินแกเ่ ด็ก - พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ ัวพระราชทานพรแก่ประชาชน แด่ ใช้นาหน้านามฝา่ ยรับ (ใชใ้ นทเี่ คารพ) เช่น - พุทธศาสนิกชนถวายอาหาร แด่ พระภิกษสุ งฆ์ - ประชาชนถวายพระพร แด่ พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ ัว กบั /ตอ่ กบั ใชเ้ ช่ือมคาหรือความเขา้ ดว้ ยกนั มีความหมายวา่ รวมกัน หรอื เก่ียวขอ้ งกนั เชน่ - กิน กบั นอน - ฟ้า กับ ดนิ - หายวับไปกับตา ต่อ ใชใ้ นความตดิ ตอ่ เฉพาะ ประจันหน้า เชน่ - เขาทาความผดิ ตอ่ หนา้ ตอ่ ตา - ย่นื ต่ออาเภอ - การกระทาของเขาขัดต่อกฎหมาย ด้วย/โดย ด้วย ใชน้ าหนา้ นามเพื่อใหร้ ้วู า่ นามน้ันเปน็ เคร่ืองใช้ หรือเปน็ สง่ิ ทใ่ี ชเ้ ครื่องมือในการ กระทา เชน่ ฟัน ด้วย มีด โดย ใช้นาหนา้ บทในความหมายตาม เชน่ - เขาไปสงิ คโปร์ โดย รถยนต์ ชวี ิตน้พี ฒั นาได้ ถา้ เราใหโ้ อกาสแก่ชวี ติ (ตาราเล่มขอเป็นกาลังใจเคียงขา้ งคุณ)

160 - ประชาชนบรจิ าคเงนิ โดย เสด็จพระราชกุศล แต/่ จาก แต่ ใช้นาหน้าบอกเวลา บอกสถานท่ี เชน่ - เขามาทางานแต่เชา้ - แตไ่ หนแต่ไรมา - มา แต่ ภเู ขา จาก ใช้นาหน้าแสดงบทการห่างพ้นออกไป (กรยิ า) นาหน้าบอกตน้ ทางทม่ี า (บรุ พบท) เชน่ - จากลูกจากเมีย (กริยา) - เขามาจากจังหวดั หนองบัวลาภู (บรุ พบท) ของ/แหง่ ของ ใชน้ าหนา้ นามท่เี ปน็ ผ้คู รองครอง เชน่ - ดนิ สอ ของ ฉนั แห่ง ใชน้ าหน้าแสดงความเปน็ เจ้าของท่ีเป็นหมวดหมู่ เชน่ - หอสมุด แหง่ ชาติ - โขลง แห่ง ช้าง  สูตรท่ี 7 “เคร่ืองหมายในภาษาไทยท่คี วรรู้” ๑. , จุลภาค ใช้เขียนแยกถอ้ ยคาหรือข้อความท่ี เดอื นนีฉ้ ันขาดเรยี นวันท่ี ๓,๔,๗, ต่อเนื่องกัน เพ่ือให้เหน็ ชัดเจน และ๘ ๒. ? ปรัศนี ใชเ้ ขยี นไวข้ ้างทา้ ยประโยคคาถาม การฟงั เพลงมีประโยชน์ หรือไม่? ใชเ้ ขยี นไวข้ ้างหลังคาอทุ านหรอื หลัง ๓. ! อัศเจรีย์ ขอ้ ความทร่ี สู้ กึ ตกใจ แปลกใจ สงสาร โธ่! ไมน่ ่าเลย ดใี จ เสยี ใจ ๔. / ทับ ใช้คั่นตวั เลขเพอื่ แบง่ วความหมาย นอ้ งเรียนอยูห่ ้องอนุบาล ๑/๒ ของตวั เลข ชีวติ นี้พัฒนาได้ ถา้ เราใหโ้ อกาสแกช่ วี ติ (ตาราเลม่ ขอเปน็ กาลังใจเคยี งข้างคณุ )

161 ๕. วงเล็บ ใช้เขยี นกั้นคาหรือขอ้ ความ หรือขยาย วันที่ ๒๖ มถิ ุนายน ของทุกปี () ความของคา หรอื ข้อความ ข้างหน้า โรงเรียนจะจัดงานวนั สนุ ทรภู่ เพ่อื ใหช้ ัดเจนยิ่งขนึ หรือบอกให้รู้ เพ่อื เป็นเกียรตแิ ก่ พระศรีสนุ ทร (นขลขิ ติ ) เร่อื งราวนอกเหนอื จากทไี่ ด้ โวหาร (ภู่) กล่าวไว้แลว้ ๖. ฯ ใช้เขียนไว้หลงั คาท่รี กู้ ันโดยทว่ั ไป โปรดเกลา้ ฯ (โปรดเกลา้ โปรด ไปยาลนอ้ ย หรอื ระหว่างผู้พดู เวลาอา่ นต้องอา่ น กระหม่อม) สว่ นทลี่ ะไว้ด้วย ๗. ฯลฯ ไปยาลใหญ่ ใช้เขียนละขอ้ ความท่มี ีความยาว สวนของลงุ มีผลไม้มากมาย เช่น มาก เวลาอา่ น ใหอ้ ่านวา่ และอน่ื ๆ ลองกอง เงาะ ทเุ รียน มังคุด ชมพู่ มะไฟ ฯลฯ ๘. - ยตั ภิ ังค์ - ใชเ้ ขียนคน่ั คา เพ่อื แยกคาให้หา่ งกัน มานา มักใชใ้ นคาประพันธ์ กายอาต- - ใช้เขยี นหลงั คาทจี่ าเปน็ ต้องแยกกัน เพอ่ื ใหท้ ราบวา่ เป็นคาเดียวกนั ๙. บุพสญั ญา ใชเ้ ขยี นแทนคาข้างบน เพ่ือไมต่ ้อง สมดุ เล่มละ ๒๗ บาท \" เขียนซา้ กนั บ่อยๆ เวลาอา่ น ใหอ้ า่ น คาหรอื ขอ้ ความจากขา้ งบนดว้ ย หนงั สือ \" ๑๕๖ \" ๑๐. ____ สัญประกาศ ใช้ขดี เส้นใตค้ าหรอื ขอ้ ความที่ โรงเรียนเปิดวนั ที่ ๑๔ ต้องการเน้น พฤษภาคม ๒๕๕๓ ๑๑. \"....\" อญั ประกาศ ใชเ้ ขยี นคร่อมคาพูด หรือข้อความที่ แม่พูดวา่ \"อยา่ เลน่ ใกลน้ ้า เดี๊ยว ยกมา อาจตกนา้ ได้\" ใช้เขียนไวข้ า้ งหลังคา หรือข้อความ ๑๒. ๆ ไม้ยมก เพอ่ื ให้อา่ นคาหรอื ข้อความซ้ากนั สอง พวกเดก็ ๆ เล่นซกุ ซนอะไรกัน หน ๑๓. . มหัพภาค ใชเ้ ขยี นกากับคายอ่ ด.ช. (เด็กชาย) ชวี ติ น้พี ฒั นาได้ ถา้ เราใหโ้ อกาสแก่ชวี ติ (ตาราเลม่ ขอเป็นกาลังใจเคยี งข้างคุณ)

162 ๑๔. ร์ ทัณฑฆาต ใชเ้ ขยี นกากบั บนพยัญชนะทไี่ ม่ การ์ตูน อาทติ ย์ ตอ้ งการออกเสียง การอ่านตวั เลขตา่ ง ๆ รวู้ ธิ ีการอา่ นตัวเลขต่างๆ อยา่ งถูกต้องกับราชบัณฑิตยสถาน การอ่านจานวนเลขตงั้ แต่ ๒ หลักข้ึนไป ถ้าเลขทา้ ยเป็นเลข ๑ ให้ออกเสียงว่า “ เอ็ด “ เขียน อา่ นว่า ๑๑ สิบ-เอ็ด ๒๑ ย-ี่ สิบ-เอ็ด ๑๐๑ หนง่ึ -ร้อย-เอ็ด ๑๐๐๑ พัน-เอ็ด หรอื หนง่ึ -พัน-เอด็ ๒๕๐๑ สอง-พัน-หา้ -ร้อย-เอ็ด ๕๐๑, ๗๔๑, ๒๒๑ หา้ -ร้อย-เอ็ด-ล้าน-เจ็ด-แสน-ส่ี-หมน่ื -หนง่ึ -พัน-สอง-ร้อย-ย-่ี สบิ -เอ็ด การอ่านตวั เลขทม่ี ีจดุ ทศนยิ ม ตวั เลขหนา้ จุดทศนิยม ให้อ่านแบบจานวนเตม็ ตัวเลขหลังจุดทศนิยม ใหอ้ ่านแบบเรียงตัว เช่น เขียน อา่ นว่า ๑.๒๓๕ หนฺ ง่ึ -จดุ -สอง-สาม-หา้ ๕๑.๐๘ หา้ -สบิ -เอ็ด-จุด-สูน-แปด ตวั เลขที่เป็นเงินตรา หรอื หน่วยนบั ใหอ้ า่ นตามหนว่ ยเงินตรา หรือ หน่วยนบั นัน้ ๆ เชน่ เขยี น อา่ นวา่ ๕.๘๐ บาท หา้ -บาด-แปด-สิบ-สะ-ตาง ๘.๖๕ ดอลลาร์ แปด-ดอน-ลา่ -หก-สบิ -หา้ -เซน็ ๓.๕๘ เมตร สาม-เมด-หา้ -สิบ-แปด-เซน็ -ต-ิ เมด ๒.๒๐๕ กโิ ลกรมั สอง-กิ-โล-กฺรา- สอง-รอ้ ย- หา้ -กรฺ า การอ่านตัวเลขท่แี สดงมาตราสว่ น หรือ อัตราสว่ น เช่น เขยี น อ่านวา่ ๑ : ๑๐๐,๐๐๐ หนฺ ง่ึ -ตอ่ -แสน หรือ หนฺ ง่ึ -ต่อ-หนฺ ง่ึ -แสน ชีวติ น้พี ฒั นาได้ ถา้ เราใหโ้ อกาสแก่ชวี ิต (ตาราเลม่ ขอเป็นกาลงั ใจเคยี งขา้ งคณุ )

163 ๑ : ๒ : ๔ หนฺ ง่ึ -ต่อ-สอง-ตอ่ -ส่ี การอ่านตัวเลขบอกเวลา การอ่านชัว่ โมงทไ่ี มม่ จี านวนนาที เช่น เขยี น อ่านวา่ ๐๕.๐๐ น. หรอื ๐๕:๐๐ น. หา้ -นา-ล-ิ กา ๒๔.๐๐ น. หรือ ๒๔:๐๐ น. ย-ี่ สบิ -ส-ี่ นา-ลิ-กา ๐๐.๐๐ น. หรอื ๐๐:๐๐ น. สูน-นา-ลิ-กา การอา่ นชั่วโมงกับนาที เชน่ เขียน อ่านว่า ๑๑.๓๕ น. หรือ ๑๑:๓๕ น. สบิ -เอด็ -นา-ล-ิ กา-สาม-สิบ-หา้ -นา-ที ๑๖.๒๐ น. หรอื ๑๖:๓๐ น. สบิ -หก-นา-ลิ-กา-สาม-สิบ-นา-ที การอา่ น ชัว่ โมง นาที และวินาที เช่น เขียน อา่ นว่า ๗ : ๓๐ : ๔๕ เจด็ -นา-ล-ิ กา-สาม-สบิ -นา-ที-ส-ี่ สิบ-หา้ -ว-ิ นา-ที ๐๒ : ๒๘ : ๑๕ สอง-นา-ลิ-กา-ยี่-สบิ -แปด-นา-ท-ี สิบ-หา้ -วิ-นา-ที การอา่ นเวลาทม่ี ีเศษของวินาที ตวั เลขหลงั จดุ ทศนิยมที่เปน็ เศษของวินาที ให้อ่านเรยี งตัว เช่น เขยี น อา่ นว่า ๘ : ๐๒ : ๓๗ : ๘๖ แปด-นา-ลิ-กา-สอง-นา-ท-ี สาม-สบิ -เจด็ -จดุ -แปด-หก-วิ-นา-ที ๑๐-๑๔ - ๒๔.๓๗ สบิ -นา-ลิ-กา-สิบ-ส่ี-นา-ที-ยี่-สบิ -สี-่ จุด-สาม-เจ็ด-ว-ิ นา-ที หมายเหตุ การเขียนตวั เลขบอกเวลาโดยใชเ้ ครื่องหมายทวภิ าค \" : \" คั่นระหวา่ งตัวเลขบอกชัว่ โมง นาที วินาที เปน็ วิธกี ารเขยี นอย่างทัว่ ไป ส่วนการใชเ้ ครื่องหมายยตั ิภังค์ \" - \" คัน่ ระหวา่ งตัวเลขบอก ชวั่ โมง นาที วนิ าที เปน็ วิธีการเขียนท่ใี ชใ้ นการเดินเรือหรือทางดาราศาสตร์ การอา่ นเลขหนงั สือราชการ นยิ มอา่ นเรียงตวั เช่น หนงั สือที่ รถ ๐๐๐๑/๑๐๒ ลว. ๑๐ ตลุ าคม ๒๕๓๘ อ่านว่า หนฺ งั -สอื -ท่ี รอ-ถอ สูน-สนู -สูน-หฺนึง่ ทับ หฺน่งึ -สนู -สอง ลง-วัน-ที่ สิบ ต-ุ ลา-คม พดุ -ทะ- สัก-กะ-หฺราด สอง-พนั -หา้ -ร้อย-สาม-สิบ-แปด ชีวิตนีพ้ ฒั นาได้ ถา้ เราใหโ้ อกาสแกช่ วี ติ (ตาราเล่มขอเป็นกาลงั ใจเคยี งขา้ งคุณ)

164 หนังสือท่ี ศธ ๐๐๓๐.๐๑/๕๙๗ ลว. ๘ พ.ย. ๒๕๓๔ อา่ นวา่ หนฺ งั -สอื -ท่ี สอ-ทอ สูน-สูน-สาม-สูน-จุด-สูน- หนฺ ง่ึ -ทับ ห้า-เกา้ -เจด็ -ลง-วนั -ท่ี แปด พรดึ -สะ-จ-ิ กา-ยน-พุด-ทะ-สกั -กะ-หรฺ าด-สอง-พัน-หา้ -ร้อย-สาม-สิบ-ส่ี การอ่านเลข ร.ศ. ที่มีการเทียบเปน็ พ.ศ. กากบั เช่น ร.ศ. ๑๑๒ (พ.ศ.๒๔๓๖) อ่านวา่ รัด-ตะ-นะ-โก-สนิ -สก รอ้ ย-สบิ -สอง-ต ฺรง-กับ-พดุ -ทะ-สกั -กะ- หราด สอง-พนั -ส่-ี รอ้ ย- สาม-สิบ-หก หรือ รอ-สอ ร้อย-สิบ-สอง ต ฺรง-กบั พอ-สอ สอง-พัน-สี่-รอ้ ย-สาม-สิบ-หก (เพม่ิ ขอ้ ความ “ตรง กบั ” เพื่อให้ความหมายชดั เจนย่งิ ข้ึน) หรอื รัด-ตะ-นะ-โก-สิน-สก ร้อย-สิบ-สอง-ว ง- เล็ บ- เปดิ -พุ ด- ท ะ- สั ก- กะ- ห ฺราด-สอง - พนั -ส-ี่ รอ้ ย-สาม-สิบ-หก-วง-เลบ็ -ปดิ หรอื รอ-สอ-รอ้ ย-สบิ -สอง-วง-เล็บ-เปิด-พอ-สอ-สอง-พนั -ส-่ี ร้อย-สาม- สบิ -หก-วง-เล็บ-ปดิ การอ่านบา้ นเลขที่ บ้านเลขท่ีทม่ี ีเคร่อื งหมายทับ \"/\" และบา้ นเลขที่ทไี่ มม่ เี ครื่องหมายทับ \"/\" มหี ลกั การอ่าน เหมอื นกนั คอื บา้ นเลขที่ซึง่ มตี ัวเลข ๒ หลัก ใหอ้ า่ นแบบจานวนเต็ม ถ้ามตี วั เลข ๓ หลักข้นึ ไป ใหอ้ า่ นแบบเรยี งตวั หรอื แบบจานวนเตม็ กไ็ ด้ ส่วนตัวเลขหลังเคร่อื งหมายทับ \"/\" ให้อา่ นเรียงตวั เชน่ เขยี น อา่ นวา่ บ้านเลขท่ี ๑๐ บ้าน-เลก-ที่ สบิ บา้ นเลขที่ ๔๑๔ บ้าน-เลก-ท่ี ส่ี-หนฺ ง่ึ -ส่ี หรือ บา้ น-เลก-ที่ สี่-ร้อย-สิบ-สี่ บา้ นเลขท่ี ๕๖/๓๔๒ บ้าน-เลก-ท่ี หา้ -สบิ -หก ทบั สาม-ส่ี-สอง บ้านเลขที่ ๖๕๗/๒๑ บ้าน-เลก-ที่ หก-หา้ -เจ็ด ทับ สอง-หฺนึ่ง หรือ บา้ น-เลก-ท่ี หก-รอ้ ย-หา้ - สบิ -เจ็ด ทับ สอง-หนฺ ง่ึ กลมุ่ ตัวเลขทม่ี เี ลข ๐ นาหนา้ อา่ นเรียงตวั เสมอ เช่น เขยี น อา่ นวา่ บ้านเลขท่ี ๐๘๖๔/๑๑๐๘ บา้ น-เลก-ที่ สูน-แปด-หก-ส-่ี ทบั -หนฺ ง่ึ -หนฺ ง่ึ -สนู -แปด ชวี ิตน้พี ฒั นาได้ ถา้ เราใหโ้ อกาสแก่ชวี ติ (ตาราเล่มขอเป็นกาลังใจเคยี งขา้ งคณุ )

165 การอ่านคา (คัดมาเน้นๆ) กกธุ ภัณฑ์ กะ -กุด- ทะ -พัน กรกฎ กอ -ระ -กด กรกฎาคม กะ -ระ -กะ -ดา -คม , กะ - รัก -กะ -ดา -คม กรณียกิจ กะ - ระ - นี - ยะ -กดิ , กอ- ระ -นี -ยะ -กดิ กรมขุน กรม -มะ -ขุน กรมคลงั กรม - มะ - คลงั กรมท่า กรม - มะ -ทา่ กรมวงั กรม - มะ - วัง กรมเวียง กรม - มะ - เวียง กรรมวาจาจารย์ กา -มะ - วา -จา - จาน กรรมมาชีพ กา - มา -ชีพ กริยา กริ - ยา , กะ -ริ -ยา กลวธิ ี กน -ละ -วิ - ที กษีณาศรพ กะ - สี - นา -สบ ชีวิตนี้พฒั นาได้ ถา้ เราใหโ้ อกาสแกช่ วี ติ (ตาราเลม่ ขอเปน็ กาลังใจเคียงขา้ งคุณ)

166 กักขฬะ กกั -ขะ -หละ กลั ปพฤกษ์ กนั -ละ -ปะ -พรกึ กามตัณหา กาม -มะ -ตนั -หา กามวิตถาร กาม- วดิ -ถาน กาลกณิ ี กา-ละ- กิ -นี , กาน - ละ -กิ -นี กาสาวพัสตร์ กา - สา -วะ -พดั กาเนดิ กา -เหนดิ กาสรด กา -สด กุณฑี กนุ -ที กนุ ที กนุ -นะ - ที เกษตรกรรม กะ-เสด -ตระ -กา ขสีณาศรพ ขะ - สี - นา -สบ ขัดสมาธิ ขดั -สะ -หมาด เข้าสมาธิ เข้า -สะ -มา - ทิ ชวี ิตน้พี ฒั นาได้ ถา้ เราใหโ้ อกาสแก่ชวี ติ (ตาราเลม่ ขอเป็นกาลังใจเคยี งขา้ งคุณ)

167 คณนา คะ - นะ -นา ,คน -นะ -นา ,คัน - นะ -นา คนธรรม์ คน -ทัน คริสต์ศตวรรษ คริด -สะ -ตะ -วดั ครุฑพา่ ห์ ครดุ -พา่ คุณค่า คนุ -ค่า , คุน -นะ -คา่ จรด จะ- หรด จตั ุสดมภ์ จดั -ตุ -สะ -ดม จตุ ิ จดุ - ติ ฉกษตั ริย์ ฉ้อ - กะ -สดั , ฉอ - กะ สดั จนุ สี จุน -นะ -สี ฉศก ฉอ - สก ชนมพรรษา ชน -มะ -พนั -สา ชนมายุ ชน -นะ - มา - ยุ ชกั เยอ่ ชัก -กะ -เยอ่ ชวี ิตนี้พัฒนาได้ ถา้ เราใหโ้ อกาสแก่ชวี ิต (ตาราเลม่ ขอเป็นกาลงั ใจเคียงขา้ งคุณ)

168 ชาติพลี ชาด -พะ - ลี ชาตภิ ูมิ ชาด - ติ -ภูมิ ชุกชี ชุก-กะ -ชี ญาติวงศ์ ญาด- ติ -วง ดว้ ยประการฉะนี้ ดว้ ย -ประ -กาน -ฉะ -น้ี , ด้วย -ประ -กาน -ระ -ฉะ - น้ี ดาษดา ดาด -สะ -ดา ดาษดืน่ ดาด- ดื่น ดกู ร ดู -กะ -ระ , ดู -กอน เดยี รดาษ เดยี -ระ -ดาด ตนุ ( เต่า ) ตะ -หนุ ถาวรวตั ถุ ถา -วอน -วดั -ถุ , ถา -วอน -ระ - วดั -ถุ แถง ถะ -แหง ทณั ฑกรรม ทัน -ดะ -กา ทานบดี ทาน - นะ -บอ -ดี ชีวติ นพี้ ฒั นาได้ ถา้ เราใหโ้ อกาสแกช่ วี ิต (ตาราเลม่ ขอเปน็ กาลงั ใจเคยี งขา้ งคณุ )

169 ทฐิ ิ ทดิ - ถิ ทลู เกล้าฯ ทูน -เกล้า - ทูน -กระ -หมอ่ ม โทมนัส โทม -มะ -นดั โทรมมนสั โซม - มะ -นัด ธรรมาสน์ ทา -มาด ธารกานัล ทา -ระ -กา -นัน นพศูล นบ -พะ -สนู นิคหติ นกิ - คะ -หดิ บทมาลย์ บท - มะ -มาน บรรพมูล บับ -พะ -มาน บรรษัท บัน -สัด บราลี บะ -รา - ลี บณั เฑาะว์ บนั -เดาะ บตั รพลี บัด- พะ -ลี ชวี ิตนพ้ี ฒั นาได้ ถา้ เราใหโ้ อกาสแกช่ วี ติ (ตาราเล่มขอเปน็ กาลงั ใจเคียงขา้ งคณุ )

170 ปกติ ปะ - กะ -ติ , ปก -กะ -ติ ปฐมวยั ปะ - ถม -มะ - ไว ปรกติ ปรก -กะ - ติ ปรมนิ ทร์ ปะ - ระ - มิน , ปอ -ระ -มิน ปรกั ( เงิน ) ปรัก ปรัก ( หัก ) ปะ -หรกั ปุณฑริก ปุน -ดะ -ริก , ปุน - ทะ -ริก ผรุสวาท สะ -รุ -สะ -วาด , ผะ -รดุ -สะ - วาด ผลกรรม ผน -กา พยาธิ ( ความป่วยไข้ ) พะ - ยา - ทิ พยาธิ ( สัตว์ ) พะ -ยาด พระบรมราชนิ ี พระ - บอ - รม -มะ -รา - ชิ -นี พลขับ พน -ละ -ขับ พลรม่ พน - ร่ม ชวี ิตนี้พฒั นาได้ ถา้ เราใหโ้ อกาสแก่ชวี ิต (ตาราเลม่ ขอเปน็ กาลังใจเคียงข้างคุณ)

171 พลชี พี พลี -ชบี พลียา พลี - ยา พิษฐาน พดิ - สะ -ถาน พีชคณิต พี -ชะ - คะ- นิด พมุ เรียง ( พืช ) พุม -มะ -เรียง พมุ เรยี ง ( ผา้ ) พุม -เรียง ภรรยา พัน - ยา , พัน -ระ -ยา มณฑป มน -ดบ มาติกา มาด -ติ -กา มิคสญั ญี มกิ -คะ - สนั -ยี เมรุ เมน เมรมุ าศ เม - รุ -มาด ยตุ ิ ยดุ - ติ รอมรอ่ รอม -มะ ร่อ ชีวติ นพี้ ฒั นาได้ ถา้ เราใหโ้ อกาสแก่ชวี ิต (ตาราเลม่ ขอเปน็ กาลงั ใจเคยี งขา้ งคุณ)

172 รังสฤษฏ์ รงั -สะ -หรดิ รสั สระ รัด -สะ -สะ -หระ ลลนา ลน -ละ -นา วัยวุฒิ ไว -ยะ - วุด - ทิ , ไว -ยะ -วุด วติ ถาร วดิ -ถาน วนิ าศกรรม วิ -นาด -สะ -กา วุฒิ วุด -ทิ ศตวรรษ สะ - ตะ -วดั เศรณี เส -นี เศวต สะ -เหวด สมมุติฐาน สม -มดุ - ติ -ถาน สมศักย์ สะ -มะ -สัก สมฏุ ฐาน สะ -หมดุ -ถาน สรงั่ สะ -หร่ัง ชีวติ นพ้ี ัฒนาได้ ถา้ เราใหโ้ อกาสแก่ชวี ิต (ตาราเลม่ ขอเป็นกาลงั ใจเคยี งขา้ งคณุ )

173 สลา สะ -หลา สวรรคต สะ -หวนั -คด สัตบรุ ุษ สัด -บุ -หรดุ สปั ปุรษุ สบั - ปุ -หรดุ สารท สาด สจุ ริต สดุ -จะ -หริด เสวก เส -วก หิตประโยชน์ หิ -ตะ -ประ -โหยด อนุสติ อะ -นดุ -สะ -ติ อรรถคดี อดั -ถะ -คะ -ดี อรรถรส อดั -ถะ -รด อสนีบาต อะ -สะ -นี -บาด อหิวาตกโรค อะ -หิ -วา -ตะ -กะ - โรก อคั รชายา อัก - คระ -ชา - ยา ชีวติ นพ้ี ัฒนาได้ ถา้ เราใหโ้ อกาสแกช่ วี ติ (ตาราเลม่ ขอเปน็ กาลังใจเคียงขา้ งคณุ )

174 อัปราชยั อับ -ปะ -รา -ไช อสิ ตรี อดิ -สัด -ตรี อณุ หภูมิ อุน -หะ -พมู อตุ ริ อุด -ตะ -หริ โอสถกรรม โอ -สด -ถะ -กา (ท่ีมา อา่ นอย่างไร เขียนอยา่ งไร ฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน สืบค้นจาก(http://www.siamsouth. com/smf/index.php?topic=7005.0 สืบค้นเมอ่ื 25 ก.ค.55)  สูตรท่ี 8 “ระดบั ภาษา” ระดับของภาษาและคาราชาศัพท์ ระดบั ภาษาแบ่งออกเปน็ ๒ แบบ คอื ภาษาแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ .....๑ ภาษาแบบเปน็ ทางการ ภาษาแบบน้ีใช้ในโอกาสคญั ๆ ทง้ั ท่เี ปน็ พิธกี าร เช่น ใน งานราชพิธแี ละในโอกาสสาคัญที่เปน็ ทางการ เช่น การกลา่ วเปิดการประชมุ ต่างๆ การ กลา่ วคาปราศรัย และการประกาศ เป็นตน้ ภาษาแบบเปน็ ทางการอาจจัดเปน็ ๒ ระดบั คอื ภาษาระดับพธิ กี าร และภาษาระดบั มาตรฐานราชการหรือภาษาระดบั ทางการ .....๑.๑ ภาษาระดับพิธีการ มีลกั ษณะเป็นภาษาที่สมบูรณแ์ บบและมีรูปประโยคความ ซ้อนใหค้ วามหมายขายคอ่ นขา้ งมาก ถอ้ ยคาทใ่ี ชก้ ็เปน็ ภาษาระดบั สูง จึงงดงามไพเราะ และประณีต ผู้ใชภ้ าษาระดบั น้จี ะตอ้ งระมัดระวงั อย่างย่ิง นอกจากใช้ในโอกาสสาคญั เชน่ ในงานพระราชพิธแี ลว้ ภาษาระดบั พิธกี ารยงั ใช้ในวรรณกรรมชั้นสงู อีกดว้ ย ดงั ตวั อย่างจากคาประกาศในการพระราชพิธีบวงสรวงสมเด็จพระบรู พมหากษตั รยิ าธิราช เจ้าดังน้ี \"ขอพระบรมเดชานภุ าพมหึมาแห่งสมเดจ็ พระบุรพมหากษัตริยาธริ าช จงคมุ้ ครอง ชีวติ น้ีพัฒนาได้ ถา้ เราใหโ้ อกาสแก่ชวี ติ (ตาราเลม่ ขอเป็นกาลงั ใจเคยี งขา้ งคณุ )

175 ประเทศชาตแิ ละประชาชาวไทยใหผ้ า่ นพ้นสรรพอปุ ทั ว์พิบัติทัง้ ปวง อรริ าชศัตรภู าบน อกอย่าลว่ งเขา้ ทาอนั ตรายได้ ศตั รหู มู่พาลภายในให้วอดวายพ่ายแพภ้ ัยตัว บันดาล ความสุขความมนั่ คงให้บงั เกิดทวั่ ภมู ิมณฑล บันดาลความร่มเย็น แก่อเนกนกิ รชนครบคามเขตขอบขัณฑสมี า\" (ภาวาส บุนนาค,\"ราชาภสิ ดดุ .ี \" ในวรรณลักษณวิจารณ์เลม่ ๒ หนา้ ๑๕๙.) .....๑.๒ ภาษาระดบั มาตรฐานราชการ แมภ้ าษาระดับน้ีจะไม่อลังการเทา่ ภาษาระดับพธิ ี การ แตก่ เ็ ปน็ ภาษาระดับสงู ทม่ี ีลักษณะสมบูรณ์แบบและถูกหลักไวยากรณ์ มีความ ชดั เจน สละสลวย สุภาพ ผู้ใชภ้ าษาจงึ ต้องใชร้ ายละเอียดประณตี และระมัดระวัง ตอ้ งมี การร่าง แก้ไข และเรยี บเรียงไว้ล่วงหนา้ เพือ่ ให้ในโอกาสสาคัญทเ่ี ปน็ ทางการในการ กล่าวคาปราศรัย การกล่าวเปดิ การประชุม การกลา่ วคาประกาศเกียรติคณุ นอกจากน้ี ยังใช้ในการเขียนผลงานวิชาการ เรยี งความ บทความวชิ าการ หนงั สือราชการ และคา นาหนงั สอื ต่างๆ เป็นต้น ดังตัวอยา่ งตอ่ ไปน้ี ตัวอย่างภาษาระดับมาตรฐานราชการในบทความวชิ าการ \"บทละครไทยเปน็ อกี รูปเปน็ อกี รูปแบบหน่ึงของวรรณกรรมไทย บทละครของไทย เป็นวรรณกรรมที่ประพันธข์ ึ้นทงั้ เพื่ออา่ นและเพ่ือแสดง รูปแบบทน่ี ยิ มกันมาแตเ่ ดมิ คือบทละครรา ต่อมามีการปรับปรุงละครราให้ทนั สมัยขึ้นตามความนยิ มแบบ ตะวนั ตก จึงมีรูปแบบใหม่เกิดขน้ึ ไดแ้ ก่ ละครดกึ ดาบรรพ์ ละครพันทาง เป็นตน้ นอกจากนี้ยังมีการรับรูปแบบละครจากตะวันตกมาดดั แปลงให้เขา้ กับสงั คมไทยและ วัฒนธรรมไทย ทาให้การละครไทยพัฒนาขึน้ โดยมีกระ บวนการแสคงทีแ่ ตกต่างไปจากละครไทยที่มอี ยู่ มาเป็นละครร้อง ละครพดู และละคร สังคีต\" (กันยรตั น์ สมติ ะพันทุ, \"การพัฒนาตัวละครในบทละครพระราชนพิ นธใ์ น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจ้าอยหู่ ัว.\"ในบท ความ วชิ าการ ๒๐ ปี ภาควชิ า ภาษาไทย,หน้า ๑๕๘.) .....๒ ภาษาแบบไมเ่ ป็นทางการ เปน็ ภาษาที่ใช้สือ่ สารกนั โดยทวั่ ไปในชวี ติ ประจาวนั สามารถ จดั เป็น ๓ ระดับ คอื ภาษากึ่งทางการ ภาษาระดบั กึง่ ทางกลาง ภาษาระดับสนทนา และภาษากนั เองหรอื ภาษาปาก ชีวติ นพ้ี ฒั นาได้ ถา้ เราใหโ้ อกาสแกช่ วี ิต (ตาราเลม่ ขอเปน็ กาลงั ใจเคยี งขา้ งคุณ)

176 .....๒.๑ ภาษาระดับก่ึงทางราชการ มลี ักษณะท่ียังคงความสุภาพอยู่ แต่ผู้ใช้ภาษาก็ไม่ระมดั ระวัง มากเทา่ การใช้ภาษาเป็นทางการ เพราะอาจใช้รูปประโยคง่ายๆ ไม่ซับซอ้ น ถอ้ ยคาท่ีใชเ้ ปน็ ระดับสามัญ บางครัง้ มีภาษาระดับสนทนาเข้ามาปะปนด้วย ภาษาระดับกึง่ ทางการในการติดต่อธรุ กิจการงาน หรอื ใช้ส่อื สารกบั บคุ คลท่ีไม่สนทิ สนมคุ้นเคยกนั และใชใ้ นการเขียนเรอื่ งทีผ่ เู้ ขียนต้องให้อา่ รูส้ ึกหมอื นกาลังฟงั ผูเ้ ขยี นเลา่ เรอื่ งหรือเสนอความคดิ เห็น อยา่ งไม่เครง่ เครียด เชน่ การเขยี นสารคดีท่องบทความแสดงความคิดเหน็ หรอื การเล่าเร่อื งต่างๆ เช่น ชีวประวตั ิ เป็นต้น ตวั อย่างภาษาระดบั ก่ึงทางการในบทความแสดงความคิดเหน็ \"ฉะนน้ั ในชว่ งเรยี นอยใู่ นระดบั มธั ยม ผ้ทู ม่ี ีความขยนั มุง่ มั่นจะเขา้ มหาวิทยาลัยใหไ้ ดจ้ ะไมส่ นใจ สงิ่ แวดล้อมรอบกายท้ังส้ิน ยกเวน้ สง่ิ ทีเ่ ขาคดิ ว่าจะสามารถทาให้เขาสอบเข้ามหาวทิ ยาลยั ได้ ชวี ติ นักเรียนมธั ยมจงึ มีแต่ติว ตวิ และตวิ กฬี าฉันไม่เลน่ กิจกรรมฉนั ไม่มีเวลาทา และย่งิ ห้องสมุดฉนั ไมท่ ราบว่าจะเขา้ ไปทาไม เพราะเวลาท้งั หมดจะต้องใชท้ อ่ งตาราอยา่ งเดียว แล้วก็ มกั จะประสบความสาเร็จตามท่คี ิดเสียด้วย คอื สอบเขา้ มหาวิทยาลยั ได\"้ (เปลง่ ศรี อิงคนนิ ันท์,\"ตอ้ งขอให้อาจารย์ช่วย\",ก้าวไกล ปที ่ี ๒ ฉบบั ท่ี ๔, หนา้ ๒๗.) .....๒.๒ ภาษาระดับสนทนา มลี กั ษณะของภาษาพดู ที่เป็นกลางๆ สาหรับใช้ในการสนทนากนั ในชวี ติ ประจาวัน ระหว่างผสู้ ง่ สารทีร่ ู้จักค้นุ เคยกนั นอกจากน้นั ยังใช้ในการเจรจาซ้ือขายทั่วไป รวมทงั้ ในการประชมุ ท่ไี ม่เปน็ ทางการ มลี ักษณะรูปประโยคไม่ซบั ซ้อน ถอ้ ยคาทีใ่ ชอ้ ยใู่ นระดบั คาท่มี คี าสแลง คาตัด คายอ่ ปะปนอยู่ แตต่ ามปรกติจะไมใ่ ชค้ าหยาบ ภาษาระดับสนทนาใช้ใน การเขียนนวนิยาย บทความบทภาพยนตร์สารคดีบางเรอ่ื ง และรายงานขา่ ว เป็นต้น ตัวอยา่ งภาษาระดับสนทนาในข่าว \"จากกรณีท่ีหลวงพอ่ คณู ปริสทุ โธ เกจดิ ังแหง่ วดั บ้านไร่ ต.กดุ พมิ าน อ.ดา่ นขนุ ทด จ. นครราชสมี าได้อาพาธลงอย่างกะทนั หนั มอี าการออ่ นเพลียอย่างหนักเนื่องจากตอ้ งตรากตราทา พิธีปลกุ เสกวัตถุมงคลและเคาะหัว ใหก้ บั บรรดาศิษยานศุ ษิ ย์จนไม่มีเวลาพักผอ่ น เกิดอาการหน้ามดื จนกระทง่ั ลูกศษิ ย์ตอ้ งหามสง่ โรงพยาบาลมหาราช นายแพทยเ์ จ้าของไขไ้ ด้ตรวจร่างกายแล้วแจ้งให้ทราบว่าเป็นไข้หวัด\" (เดลนิ วิ ส์,๒๗ มีนาคม ๒๕๓๙.) .....๒.๓ ภาษาระดบั กันเองหรอื ภาษาปาก เปน็ ภาษาทใี่ ช้สนทนากบั ผูท้ ี่สนิทสนมคนุ้ เคยกัน ชวี ิตนพี้ ฒั นาได้ ถา้ เราใหโ้ อกาสแก่ชวี ิต (ตาราเลม่ ขอเปน็ กาลังใจเคยี งข้างคณุ )

177 มากๆ เชน่ ในหมู่เพ่ือนฝงู หรือในครอบครัว อละมักใชพ้ ดู กนั ในสถานทีท่ ีเ่ ป็นสว่ นตัว ใน โอกาสทีต่ อ้ งการความสนุกสนานคร้นื เครง หรอื ในการทะเลาะดา่ ทอทอกนั ลกั ษณะของ ภาษาระดบั กันเองหรือภาษาปากน้มี ีคาตดั คาสแลง คาตา่ คาหยาบ ปะปนปยู่มาก ตามปรกติจึง ไม่ใชใ้ นการเขียนทัว่ ไป นอกจากในงานเขยี นบางประเภท เชน่ นวนยิ ายหรือเรือ่ งสนั้ บทละคร ข่าวกีฬา เปน็ ต้น ตวั อย่างการใชภ้ าษาระดับกันเองหรอื ภาษาปากในนวนยิ าย \"มึงจะไปไหน ไอม้ ั่น...กูสัง่ ให้ปล่อยมันไว้อย่างนั้น ไมต่ ้องสนใจ กอู ยากน่งั ดมู ัน มองมันตาย ช้าๆ เลือดไหลออกจนหมดตวั และหยดุ หายใจในท่ีสดุ ถงึ จะสมกับความแค้นของก\"ู (\"จราภา\",\"นางละคร\" สกุลไทย ปีท่ี ๔๒ ฉบับท่ี ๒๑๖๒,หนา้ ๑๐๗.) ตวั อย่างการใชภ้ าษาระดับกนั เองหรือภาษาปากในข่าวกฬี า \"บ๊ิกจา\"เตรียมเดินเครื่องวางงานกีฬายาว จะเสนอตัวเปน็ คณะกรรมาธกิ ารวฒุ ิสภาการกฬี าดันงบ หนนุ ซเี กมส์,เอเชียนเกมส์ หรอ้ มกับความเป็นเจา้ เหรยี ญทอง สว่ นสมาคมตะกร้อรับวา่ แตกเป็น เสย่ี ง ใหพ้ สิ จู น์กนั ในตะกร้อคิงส์คัพหนท่ี ๑๒ ใครผลงานดไี ด้พิจารณามาทาทีมชาติ (เดลนิ ิวส์, ๒๗ มนี าคม ๒๕๓๙.) อา้ งองิ : อ.จันจิรา จติ ตะวริ ิยะพงษ์ คมู่ ือภาษาไทย เอนทรานซ์ ม.4-6 . สานักพมิ พพ์ ัฒนาศกึ ษา,กรุงเทพมหานคร, 2543 ราชาศัพท์ .....คาราชาศัพท์ ความหมายของคาราชาศพั ทต์ ามรปู ศัพท์ หมายถึงหลวง หรือ ศพั ท์ราชการ ใช้แก่ บุคคลทคี่ วรเคารพนบั ถอื ตง้ั แตพ่ ระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ วั และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ลง มาถงึ พระบรมวงศานวุ งศ์ พระภกิ ษุ ตลอดจนขา้ ราชการและบคุ คลสามัญทว่ั ไปดว้ ย ดังน้ัน \"ราชา ศัพท์ก็คอื ระเบียบการใชถ้ ้อยคาใหถ้ ูกตอ้ งตามฐานะของบุคคล\" เปน็ ถอ้ ยคาที่เราใช้ยกย่องเชิดชู บคุ คลผู้เจรญิ ด้วยชาติวุฒิ คณุ วุฒแิ ละวัยวุฒิ หรือเป็นการแสดงความเคารพนบั ถอื เช่น ตอ่ พระภกิ ษใุ นพระพทุ ธศาสนา ตอ่ เทพเจา้ และต่อพระเปน็ เจ้าแม้ในศาสนาอ่นื ๆเพ่ือความเป็น ระเบียบทางภาษาของเราน้ันเอง ๑ ที่มาของราชาศัพท์ .....๑.๑ คาไทย (คาราชาศัพทท์ เ่ี กิดจากคาไทย) ชีวิตนี้พัฒนาได้ ถา้ เราใหโ้ อกาสแก่ชวี ติ (ตาราเล่มขอเป็นกาลงั ใจเคียงขา้ งคุณ)

178 .....๑.๒ คาประสม (คาราชาศัพท์ท่ีเกดิ จากคาประสม) .....๑.๓ คายมื จากภาษาอ่ืน (คาราชาศพั ท์ที่ยืมมาจากภาษาอืน่ ) ๑.๑ คาราชาศัพทท์ ี่เกิดจากคาไทย .....มวี ิธกี ารดงั น้ี .....๑ ใหน้ าคา \"พระ\" หรือ \"พระราช\" นาหน้านาม เปน็ คานามราชาศพั ท์ เชน่ .....ประเภทเครอ่ื งใช้ทั่วไป เช่น พระราชวงั (บา้ น)พระแสง(ศาสตราวธุ )พระอ(ู่ เปล)พระท่ีนัง่ (เรือน)พระเกา้ อ้ี พระแท่น(เตียง)พระท(ี่ ทนี่ อน)พระยภ่ี (ู่ ท่นี อน,ท่นี ่งั ,ฟูก,นวม) เปน็ ตน้ .....ประเภทอวัยวะต่างๆ เชน่ พระเจา้ (ศีรษะเฉพาะพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั )พระรากขวัญ(ไห ปลารา้ )พระถนั , พระเต้า(นม) เป็นต้น .....ประเภทเครือญาติ เช่น พระพน่ี าง พระนอ้ งนาง พระเจา้ นอ้ งยาเธอ พระเจ้าพี่ยาเธอ พระเจ้าลูก ยาเธอ พระเจา้ ลูกเธอ พระเจา้ ลงุ พระเจ้าอา เป็นต้น .....ประเภทบุคคลท่เี กี่ยวข้องแต่ไมใ่ ช่เชื้อพระวงศื เช่น พระพ่เี ล้ียง พระนม เป็นตน้ .....๒ ใช้ \"ทรง\" นาหน้าคากริยาสามญั ท่ีเปน็ คาไทย ใช้เป็นคากริยาราชาศัพท์ เช่น ทรงรับ ทรงทา ทรงขอบใจ ทรงเชือ่ ทรงเกบ็ ทรงตดั สนิ ทรงฟัง ทรงยินดี ทรงชุบเลี้ยง ทรงสัง่ สอน ทรงออก กาลังกาย ทรงเล่นกีฬา ทรงขบั (รถยนต์) ทรงถอื ทรงจบั ทรงวาด เปน็ ต้น .....๓ ใช้ \"ทร\" นาหนา้ คานามท่เี ปน็ คาไทย ใชเ้ ป็นคากริยา เชน่ ทรงม้า(ข่มี า้ ) ทรงช้า(ขช่ี า้ ง) ทรง เรอื ใบ(เลน่ เรอื ใบ) เป็นต้น .....๔ ใช้คา \"ตน้ \" หรือ \"หลวง\" ประกอบข้างท้ายคาไทย หรือราชาศพั ท์ เช่น ชา้ งต้น มา้ ต้น เรือน ตน้ รถหลวง เรือนหลวง เรอื หลวง เปน็ ตน้ .....๑.๒ คาราชาศพั ท์ทเี่ กิดจากคาประสม การนาคาที่มีใชก้ ันอยแู่ ล้วในภาษาประสมกนั ทาใหเ้ กดิ เปน็ คาใหม่เพิม่ ข้ึน นบั เป็นวิธหี นง่ึ ของการสรา้ งคาขนึ้ ใหม่ การสร้างคาราชาศัพทว์ ธิ ีหน่งึ ก็ใช้การ นาคาที่มอี ยแู่ ล้วมาประสมกนั เชน่ เดยี วกัน คาทน่ี ามาประสมกันนน้ั อาจเปน็ คาไทยประสมกับคา ไทย หรือ คาไทยประสมกับคาต่างประเทศท่ีใชเ้ ป็นราชาศัพท์อยู่แล้ว เชน่ .....๑ คาไทยประสมกับคาไทย เช่น รบั สัง่ ชา้ งต้น ม้าต้น เรือนต้น เรือนหลวง เรอื หลวง เป็นต้น ๒ คาไทยประสมกบั คาตา่ งประเทศทใ่ี ช้เปน็ คาราชาศพั ท์ คาทีเ่ กดิ ขึน้ ใหมจ่ ะใช้เปน็ คานามและ คากริยา เชน่ .....๑ ใชเ้ ป็นคานาม เช่น หอ้ งเครอื่ ง(ครวั ) เคร่อื งคาว(ของกนิ ,กับขา้ ว) เครอื่ งหวาน(ของหวาน) ชีวติ นพ้ี ฒั นาได้ ถา้ เราใหโ้ อกาสแกช่ วี ติ (ตาราเล่มขอเป็นกาลงั ใจเคยี งขา้ งคุณ)

179 เคร่อื งว่าง(ของวา่ ง) เครอ่ื งสูง เคร่อื งตน้ (เครื่องทรงสาหรบั กษตั ริย์,สง่ิ ของท่ีพระเจา้ แผน่ ดินทรง ใช้และเสวย) ริมพระโอษฐ์ เส้นพระเกษา ขอ้ พระกร ฝ่าพระบาท ห้องพระสาอาง รดั พระองค์(เขม็ ขัด) ดวงพระชะตา พานพระศรี(พานหมาก) .....๒ ลายพระราชหัตถ์ (จดหมายท่เี ขยี นด้วยมือ) ใชเ้ ป็นคากริยา เชน่ เทียบเครอื่ ง(ชมิ อาหาร) ต้ังเครอ่ื ง(ต้งั ของรบั ประทาน) ลาดพระท่ี(ปทู ่นี อน) เฝ้าทูลละอองธุรพี ระบาท(ไปหาไปพบ) หายพระทัย(หายใจ) ขอบพระทยั สนพระทัย ทอดพระเนตร เข้าในทีพ่ ระบรรทม สน้ิ พระชนม์ เอาพระทยั ใส่ ลงพระปรมาภิไธย(ลงชอื่ ) แย้ม พระโอษฐ์(ย้มิ ) เป็นต้น .....๑.๓ คาราชาศพั ท์ทีย่ มื มาจากภาษา อืน่ ภาษาต่างประเทศท่ีเรารบั มาใชเ้ ป็นคาราชาศพั ท์ ไดแ้ ก่ ภาษาบาลีสนั สกฤตและภาษาเขมร โดยวธิ ี - เตมิ คา \"พระ\" หรอื \"พระราช\" เขา้ ข้างหน้าคา ภาษาต่างประเทศเพื่อใหเ้ ป็น คานาม - เติมคา \"ทรง\" หรือ \"ทรงพระ\" เข้าข้างหนา้ ภาษาตา่ งประเทศเพื่อให้เปน็ คากริยาส่วนภาษาต่างประเทศอื่นๆ กม็ ีบ้าง เชน่ ยืมภาษามลายู ภาษา ชวา แตม่ ีน้อยคา ๔. วธิ ีใช้ราชาศพั ท์ .....การใช้ราชาศัพทส์ าหรบั พระมหากษัตริย์ มวี ธิ ีการใชด้ งั นี้ ..........๔.๑ ใชเ้ ปน็ ราชาศัพท์ไดท้ นั ที เช่น ประทาน ผนวช ทลู ถวาย ประทับ เสดจ็ บรรทม ประชวร สวรรคต พิโรธ เปน็ ต้น ..........๔.๒ ใชค้ า \" พระบรม \" หรอื \" พระบรมราช \" นาหน้าคานามท่สี าคัญยิง่ เพื่อเปน็ การเชิดชู พระเกียรติยศ เช่น พระบรมราชนิ ี พระบรมวงศานุวงศ์ พระบรมโอรสาธิราช พระบรมราโชวาท พระปรมภิไธย พระบรมมหาราชวัง พระบรมราชโองการ พระบรมราชานุญาต ฯลฯ ..........๔.๓ ใชค้ า \" พระราช \" นาหนา้ คาท่มี คี วามสาคัญนอ้ ยกวา่ คาท่กี ลา่ วมาในขอ้ ๒ เช่น คานาม ทแ่ี สดงความสัมพันธท์ างเครือญาติ เช่น พระราชวงศ์ พระราชบดิ า พระราชชนนี พระราชโอรส พระราชธิดา ฯลฯ ..........คานามท่วั ๆ ไปท่ีมคี วามสาคัญรองลงมาตลอดจนอาการนามต่างๆ เชน่ พระราชวงั บางประ อนิ พระราชเสาวนยี ์ พระราโชวาท พระราชปฏิสันถาร พระราชดารสั พระราชหตั ถเลขา พระราช ประเพณี พระราชโทรเลข พระราชพิธี พระราชกุศล พระราชดาริ พระราชประสงค์ พระราชปรารภ พระราชานเุ คราะห์ ฯลฯ ชวี ติ นพ้ี ัฒนาได้ ถา้ เราใหโ้ อกาสแก่ชวี ติ (ตาราเล่มขอเปน็ กาลงั ใจเคียงข้างคุณ)

180 ..........๔.๔ ใช้คา \" พระ \" นาหนา้ คานามทว่ั ๆไปทเี่ ก่ียวข้องกับ .....เครื่องใชท้ ่ัวๆ ไป เชน่ พระที่ พระแท่นบรรทม พระฉาย พระสคุ นธ์ พระอู่ ฯลฯ .....อวัยวะส่วนต่างๆ เช่น พระพกั ตร์ พระศอ พระกรรณ พระหัตถ์ พระกร ฯลฯ .....นามอ่ืนๆ ท่เี กยี่ วข้อง เชน่ พระโรค พระโชค พระเคราะห์ พระบารมี พระชะตา ฯลฯ .....บคุ คลแตไ่ มใ่ ชเ่ ชื้อพระวงศ์ เชน่ พระนม พระพ่เี ล้ียง พระสหาย พระอาจารย์ พระอปุ ชั ฌาย์ (ผู้ บวชใหม)่ พระกรรมาจาจารย์ (คู่สวด) ฯลฯ ...........๔.๕ ใชค้ าธรรมดาที่บอกลกั ษณะยอ่ ยๆ ให้ชดั เจนไว้หนา้ คาทเ่ี ป็นราชาศัพทอ์ ยู่แลว้ เช่น .....ฉลองพระเนตร หมายถงึ แว่นตา .....ขอบพระเนตร \" ขอบตา .....ชอ่ งพระนาสิก \" ช่องจมูก .....ฝ่าพระหัตถ์ \" ฝ่ามือ .....หลังพระชงฆ์ \" น่อง .....ฉลองพระหัตถ์ \" ช้อน .....ถุงพระบาท \" ถุงเทา้ .....หอ้ งพระสาอาง \" หอ้ งแต่งตัว, หอ้ งสขุ า .....ซบั พระองค์ \" ผา้ เชด็ ตวั ฯลฯ ..........๔.๖ ใชค้ า \" ทรงพระ \" หรือ \" ทรงพระราช \" นาหนา้ คานามท่วั ไป และคานามราชาศพั ท์ เพ่ือทาใหเ้ ปน็ คากริยา เช่น .....ทรงพระเมตตา หมายถงึ มเี มตตา .....ทรงพระอุตสาหะ \" มอี ตุ สาหะ .....ทรงพระดาริ \" มีดาริ .....ทรงพระประชวร \" ปว่ ย .....ทรงพระกรณุ า \" กรุณา .....ทรงพระพิโรธ \" โกรธ .....ทรงพระสรวล \" หัวเราะ .....ทรงพระราชนิพนธ์ \" แต่งหนังสือ .....ทรงพระราชสมภพ \" เกิด ฯลฯ ..........๔.๗ ใชค้ า \" ทรง \" นาหนา้ คาธรรมดาเพอ่ื ให้เปน็ ราชาศพั ท์ เชน่ ชีวติ นพ้ี ฒั นาได้ ถา้ เราใหโ้ อกาสแก่ชวี ิต (ตาราเล่มขอเปน็ กาลังใจเคยี งข้างคณุ )

181 ......๑. ใช้ \" ทรง \" นาหน้าคากรยิ าสามญั ทเ่ี ป็นคาไทย เพอื่ ทาใหเ้ ป็นคากริยาราชาศพั ท์ เช่น ทรง ขอ ทรงรบั ทรงตดั สิน ทรงเช่อื ทรงเกบ็ ทรงวาด ทรงถือ ทรงพับ ทรงใช้ ทรงจดุ (ธปู เทียน) ฯลฯ ......๒. ใช้ \" ทรง \" นาหน้าคานามทเ่ี ปน็ คาไทย เพ่อื ใชเ้ ปน็ คากริยาราชาศัพท์ เช่น ทรงชา้ ง ทรงเรอื ทรงม้า ทรงเรือใบ ฯลฯ ......๓. ใช้ \" ทรง \" นาหนา้ คานามที่มีลกั ษณะเปน็ สานวน ทาใหม้ ีความหมายตา่ งไปจากเดิม เช่น .....ทรงธรรม หมายถงึ ฟังเทศน์ .....ทรงบาตร \" ตักบาตร .....ทรงกลอ้ ง \" สูบกลอ้ ง .....ทรงพระโอรสมวน \" สบู บหุ รี่ .....ทรงฉลองพระเนตร \" สวมแว่นตา .....ทรงเคร่ือง \" แตง่ ตัว .....ทรงเคร่ืองใหญ่ \" ตัดผม .....ทรงเคร่อื งใหญ่ \" ถือไม้เท้า ฯลฯ ..........๔.๘ ใชค้ า \" หลวง \" และ \" ต้น \" ประกอบทา้ ยศัพท์ทง้ั ท่ีเปน็ คาไทยและคาราชาศัพทใ์ ห้ เป็นคาราชาศัพท์ เชน่ .....เครือ่ งตน้ (เคร่ืองทรงสาหรับกษัตริย์, ส่ิงของที่พระเจ้าแผน่ ดินทรงใหแ้ ละเสวย) พระแสงปืน ต้น เรือหลวง รถหลวง ช้างต้น มา้ ต้น เรอื นตน้ ฯลฯ .....***หมายเหตุ*** การใช้ \" ต้น \" และ \" หลวง \" น้นั ต้องสงั เกต เพราะคาที่มี \" ต้น \" และ \" หลวง \" ประกอบอยดู่ ว้ ยไมใ่ ช่คาราชาศัพ์ ทกุ คาใช้เปน็ คาธรรมดาก็มี เชน่ ถนนหลวง ทะเลหลวง สนามหลวง ภรรยาหลวง ต้นห้อง ตน้ เค้า ต้นคอ ตน้ คิด เปน็ ตน้ ๕. การจาแนกคาท่ใี ชใ้ นราชาศัพท์ .....คาท่ีกาหนดใชเ้ ป็นราชาศพั ท์ มที ั้งคานาม คาสรรพนาม กริยา และวเิ ศษณ์ ..........๕.๑ คานาม แบ่งออกเปน็ สามานยนาม วิสามานยนาม และลกั ษณนาม .....๑. สามานยนาม ไดแ้ ก่ นามท่ัวไปเกย่ี วกับอวัยวะต่างๆ ในรา่ งกาย เคร่อื งใช้และเครอื ญาตติ า่ งๆ ชวี ติ นี้พฒั นาได้ ถา้ เราใหโ้ อกาสแกช่ วี ติ (ตาราเลม่ ขอเปน็ กาลงั ใจเคยี งข้างคณุ )

182 ดังรายละเอียดทก่ี ล่าวมาแล้ว .....๒. วิสามานยนาม ได้แก่ คานามเฉพาะท่ีเป็นพระนามเดิมหรือนามเดมิ และท่เี ป็นพระราชทิน นามหรือราชทนิ นาม คานามเฉพาะ หรือชื่อเฉพาะน้ีจะมีคานาหน้านาม เช่น สมเด็จพระเจ้า พระองคเ์ จา้ ฯลฯ นาหน้าช่ือเฉพาะ .....ตัวอยา่ งเช่น สมเด็จพระนเรศวร \" สมเด็จพระ \" เป็นคาสามานยนามนาหนา้ วิสามานยนาม \" นเรศวร \" หรือ พอ่ ขนุ รามคาแหง \" พอ่ ขนุ \" เป็นคาสามานยนามนาหนา้ วิสามานยนาม \" รามคาแหง \" เป็นตน้ การศึกษาเรอ่ื งของวิ สามานยนามราชาศัพทใ์ หเ้ ข้าใจ จะตอ้ งศกึ ษาคาสามานยนามท่นี าหนา้ ชือ่ เฉพาะเหล่านั้นดว้ ย ซงึ่ แบง่ ออไดด้ ังนี้ .....๑.) วิสามานยนามทเี่ ป็นนามเดิมชั้นเจา้ นาย ไดแ้ ก่ ก. วสิ ามานยนามทมี่ ีคานาหนา้ ช่ือแสดงเครอื ญาติ หรอื ตาแหนง่ พระบรมวาศานุวงศ์ เชน่ สมเด็จ พระเจา้ บรมวงศ์เธอ (พระราชโอรสพระเจา้ แผน่ ดนิ พระองคก์ อ่ นตั้งแต่พระเจา้ อาขน้ึ ไปทีเ่ ปน็ เจา้ ฟ้า) พระเจา้ พ่ียาเธอ พระเจ้าพนี่ างเธอ ฯลฯ กากับไวข้ ้างหนา้ .....๒.) วิสามานยนามท่ีเป็นราชทนิ นาม ราชทินนาม คอื นามที่พระราชทาน หรือ โปรดเกล้าฯ ให้ เจา้ กระทรวงต้ัง จะมคี าบอก ตาแหนง่ ชนั้ กรม ซ่งึ มอี ยู่ ๕ ตาแหนง่ คอื กรมหม่นื กรมขุน กรมหลวง กรมพระ กรมพระยา นาหน้าพระนามกรม เช่น สมเดจ็ พระเจา้ น้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรม- นครสวรรคว์ รพนิ ิต เป็นต้น เจ้านายทที่ รงกรม มีชนั้ เจา้ ฟ้ากบั พระองคเ์ จา้ เท่านั้น ๓. ลกั ษณนาม ใชล้ ักษณนามราชาศัพท์กับพระมหากษตั รยิ ์และเจา้ นายเทา่ น้ัน ใช้ลกั ษณนาม พระองค์ กบั องค์ เช่น พระราชธดิ า ๒ พระองค์ พระทีน่ ่ัง ๒ องค์ เป็นต้น ..........๕.๒ คาสรรพนาม ทจ่ี ะตอ้ งเปลยี่ นแปลงใช้ตามราชาศัพท์ มเี ฉพาะบรุ ษุ สรรพนามชนิด เดียวจะใช้คาใด จะต้องคานงึ ถึงฐานนันดรและเพศของ .....บุรษุ ที่ ๑ (ผพู้ ดู ) บรุ ษุ ที่ ๒ (ผทู้ ีเ่ ราพูดด้วย) และบุรุษที่ ๓ (ผทู้ ี่เราพดู ถึง) เช่น .....บรุ ุษท่ี ๑ ไดแ้ ก่ ขา้ พระพุทธเจ้า เกลา้ กระหม่อม หม่อมฉัน อาตมาภาพ ฯลฯ ชวี ติ น้พี ัฒนาได้ ถา้ เราใหโ้ อกาสแก่ชวี ิต (ตาราเลม่ ขอเป็นกาลงั ใจเคยี งข้างคณุ )

183 .....บรุ ษุ ที่ ๒ ไดแ้ ก่ ใต้ฝา่ ละอองธุลพี ระบาท ใต้ฝา่ ละอองพระบาท ใตฝ้ ่าพระบาท ฯลฯ .....บุรษุ ท่ี ๓ ได้แก่ พระองค์ เสด็จ ท่าน ฯลฯ ..........๕.๓ คากรยิ า คากรยิ าท่เี ปน็ ราชาศัพท์ มที ง้ั คากรยิ าที่กาหนดขน้ึ เป็นราชาศัพท์โดยเฉพาะ เช่น ผนวช ประทบั เสด็จ สรง ฯลฯ กากับท่แี ต่งข้นึ ใหม่ด้วยการใช้คา \" ทรง \" \" ทรงพระ \" และ \" ทรงพระราช \" นาหน้าคานามหรือคากรยิ าทีม่ ใี ช้อยู่ แลว้ ทง้ั เป็นคาไทย และคาทีม่ าจากภาษาตา่ งประเทศ เชน่ ทรงขอบใจ ทรงเลา่ เรยี น ทรงพระสรวล ทรงพระราชนพิ นธ์ เปน็ ต้น ..........๕.๔ คาวิเศษณ์ ทใี่ ช้เปน็ ราชาศัพท์ ได้แก่ คาขานรับ เช่น เพคะ พะ่ ยะ่ คะ่ พระพุทธเจ้าขา้ กระหมอ่ ม ฯลฯ แตกต่างไปตามเพศและฐานันดรของผู้พูดและผฟู้ งั .....คากรยิ าทีเ่ ป็นราชาศัพท์อยแู่ ล้วไมต่ ้องใชค้ าวา่ \" ทรง \" นาหน้า เช่น ..........ตรัส เสวย สรง บรรทม ..........กรวิ้ โปรด พระราชทาน ประสตู ิ ฯลฯ .....ราชาศพั ทท์ ่ัวไปทม่ี ักปรากฏในข้อสอบเช้ามหาวิทยาลัย ..........ภาพวาด = พระสาทิสลกั ษณ์ ..........ภาพถา่ ย = พระฉายาลักษณ์ ..........รูปปั้น = พระรูป .....แสดงต่อหนา้ ใหใ้ ช้วา่ แสดงเฉพาะพระพักตร์ หา้ มใชว้ ่า แสดงหน้าพระท่นี ่งั คาถามเกยี่ วกบั การบังคมทลู ..........การกราบบังคมทูลวา่ สามารถทาส่ิงใดส่งิ หน่ึงสนองพระมหากรณุ าธิคุณได้ จะใช้วา่ \" ขา้ พระพุทธเจา้ ขอรบั ใสเ่ กลา้ ใสก่ ระหมอ่ ม \" ..........ถา้ เป็นการปฏเิ สธในเรื่องใดเรือ่ งหนึง่ จะใช้ว่า \" หามิได้ดว้ ยเกลา้ ด้วยกระหมอ่ ม \" คาว่า \" กราบบงั คมทลู พระกรณุ า \" ใช้ได้เฉพาะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเท่าน้ัน สมเดจ็ พระบรมราชนิ ีนาถ ไมใ่ ชค่ าน้ีจะใช้วา่ \" กราบบังคมทลู \" ..........คาวา่ \" พระบรมราชวโรกาส \" ส่อื มวลชนใชผ้ ิดกนั มาก เช่น ใช้วา่ *ในพระบรมราช วโรกาสเฉลมิ พระชนมพรรษา* ในพระบรมราชวโรกาสคล้ายวนั พระราชสมภพ เชน่ นี้ไมถ่ ูกต้อง พระบรมราชวโรกาสจะใช้เม่อื เปน็ การขอโอกาส เชน่ * \" ขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาส ชีวติ นีพ้ ัฒนาได้ ถา้ เราใหโ้ อกาสแก่ชวี ิต (ตาราเลม่ ขอเป็นกาลงั ใจเคียงข้างคณุ )

184 เข้าเฝา้ ทูลละอองธุลพี ระบาท \" \" ขอพระราชทานน้อมเกล้านอ้ มกระหม่อมถวาย \" ..........คาว่า ทลู ใน ทูลเกลา้ ทลู กระหม่อมนนั้ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑติ ยสถานกาหนดให้ใช้ ทูล พระวรวงศ์เธอกรมหมน่ื พิทยลาภพฤฒิยากรรับสงั่ ว่าโบราณไดก้ าหนดคาว่าไวต้ า่ งกัน คือ น้อมเกลา้ นอ้ มกระหม่อม และ ทูลเกลา้ ทลู เกล้าทูลกระหม่อม คาว่า ทูล หมายถึง การยกขน้ึ ทลู หัว ฉะน้ัน ควรใช้ ทลู ส่วน ทูน เปน็ คาภาษาเขมร แปลว่า บอก ภาษาไทยของเรามีคาวา่ ทูล หมายถึง และให้ความหมายที่ถกู ต้องแล้ว ก็ไมจ่ าเป็น จะต้องยมื คาเขมรมาใช้ อย่างไร ก็ตามมติของ คณะรฐั มนตรีมีวา่ ใหใ้ ช้ตามพจนานุกรมฉบบั ราชบัญฑิตยสถาน ฉะนัน้ จงึ ต้องใช้วา่ \" ทลู เกลา้ ทลู กระหมอ่ มถวาย \" ..........คากรยิ าราชาศพั ทท์ ี่มคี าว่า ทรง น้นั มอี ยหู่ ลายคา เชน่ ทรงพระประชวร เป็นการนาคาวา่ ประชวร ซ่ึงเป็นคากริยาราชาศัพท์ หมายความว่า เจบ็ ป่วย มาทาให้เปน็ อาการนามเปน็ พระ ประชวร แลว้ เตมิ ทรง ขา้ งหนา้ เป็น ทรงพระประชวร ให้เปน็ กริยาราชาศพั ท์ใช้เฉพาะพระเจา้ แผน่ ดิน เทา่ นัน้ ถ้าเปน็ พระราชวงศอ์ ืน่ ๆ ใชว้ า่ ประชวร หรอื ไมท่ รงสบาย ถ้าจะพดู ว่า \" หายแล้ว \" ใช้วา่ ทรงสบายข้ึน หรอื ทรงพระสาราญดแี ล้ว ส่วน คาว่า ทรงพระประธม หมายถงึ ห้องนอน ทรงพระสรวล หมายถึง หัวเราะ ใช้ไดท้ วั่ ไป ..........ถ้าคาว่า ทรง ตามหลงั คาบางคา หมายความว่า เป็นสงิ่ ทพ่ี ระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ ัวทรง เพม่ิ เขา้ ไปเพือ่ ใหม้ คี วามหมายวา่ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั ประทับอยู่ในขณะนน้ั ..........ทรงเป็นองค์ประธาน ไม่ควรใช้ ทรงเป็น ใช้นาหน้าคาทีไ่ ม่ใช่ราชาศัพท์ เช่น ทรงเปน็ อาจารยส์ ว่ นองคป์ ระธาน ไดท้ าใหก้ ลายเป็นราชาศพั ทแ์ ล้ว จงึ ใช้ ทรงเปน็ นาหน้าไม่ได้ ควรใช้ ว่า เสดจ็ พระราชดาเนินเปน็ องค์ประธาน ..........พระราชอาคนั ตุกะ ใช้เม่ือกล่าวถงึ แขกของพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หัวซึง่ มาจาก ต่างประเทศ ถ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ วั ทรงเป็น แขกของคนสามญั ใชว้ า่ อาคนั ตกุ ะ เชน่ ทรงเปน็ อาคนั ตกุ ะของประธานาธิบดี ในปัจจบุ ันไมใ่ ชร้ าชอาคันตุกะ ในกรณีทีเ่ ปน็ แขกของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอย่หู วั และพระบรมวงศานุวงศอ์ กี ต่อไป ..........ผู้ที่มีหน้าท่ตี อ้ นรบั แขกของพระบาทสมเด็จพระเจา้ อย่หู ัวนัน้ ถา้ แขกผ้นู นั้ เป็นกษตั ริยจ์ ะใช้ ว่า รบั เสด็จฯ ถา้ เป็นเจ้านาย ใชว้ า่ รับเสด็จ คาวา่ ถวายการต้อนรับ เป็นคาท่ใี ชผ้ ิดจนยากจะแก้ใข ถา้ แขกของพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ ัว ไมไ่ ด้กลายเปน็ เจ้านาย ใช้ว่า ตอ้ นรับ ..........เคร่อื งสกั การะ หมายถงึ เครอ่ื งสักการะของพระเจา้ อยูห่ ัว สอ่ื มวลชนมกั ใช้ผดิ เชน่ \" ชวี ิตน้ีพัฒนาได้ ถา้ เราใหโ้ อกาสแกช่ วี ิต (ตาราเล่มขอเป็นกาลังใจเคียงข้างคุณ)

185 นายกรฐั มนตรี นาเครอื่ งราชสักการะไปถวายบังคม พระบรมฉายาลักษณ์ \" ที่ถกู ในประโยคนตี้ ้อง ใชว้ า่ เครื่องสกั การะ ..........คาว่า เสด็จ ทใ่ี ช้เปน็ นาม เป็นคาเรยี กเจา้ นายนั้น จะใชแ้ กพ่ ระองคเ์ จา้ ทเ่ี ปน็ พระราชโอรส ธิดาพระเจา้ แผ่นดนิ เทา่ นน้ั จะใช้กับพระองคท์ ่ีเป็น หลานพระเจ้าแผน่ ดนิ นัน้ ไมไ่ ด้ ..........มหาราชนิ ี หมายถึง ราชนิ ีผปู้ กครองประเทศเท่านนั้ เชน่ แคทเธอรีนมหาราชนิ ี ตาแหน่ง สูงสุดของพระมเหสี คอื สมเด็จพระบรมราชนิ ีนาถ ..........การยกพระบรมราโชวาทมาอา้ งถีงน้นั ในตอนทา้ ย บางคนใชว้ ่า \" พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หวั \" หรือ \" พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั ในรัชกาล ปัจจบุ ัน \" นับว่าเป็นการใชภ้ าษาเยน่ิ เย้อ คาว่า พระบรมราโชวาท ใชไ้ ด้แกพ่ ระบาทสมเดจ็ พระ เจา้ อยูห่ วั เท่านั้น ใช้แกค่ นอน่ื ไม่ไดถ้ ้าใช้ พระราโชวาท ใชไ้ ด้แกห่ ลายพระองคจ์ งึ ตอ้ งระบุใหแ้ น่ ชดั เชน่ พระราโชวาทสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระราโชวาท สมเดจ็ พระบรมราชชนนี ถา้ เปน็ พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัวท่ีไมม่ ี พระองค์อยใู่ นปัจจุบัน จะใช้วา่ พระบรมราโชวาทในพระบาท สมเด็จพระมงกฎุ เกล้าเจ้าอยหู่ ัว เป็นตน้ ...........การออกพระนามเจา้ นายช้นั สงู บางคนใชผ้ ดิ คอื ใช้ยน่ ย่อเกินไป เช่น หนงั สือพมิ พพ์ าดหัว ข่าวว่า \" พระเทพ... \" ดงั นี้เป็นการไม่สมควร ทีถ่ ูกต้อง ควรออกพระนามเตม็ เช่น สมเดจ็ พระบรม โอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกมุ าร สมเด็จพระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี สมเดจ็ พระ เจ้าลูกยาเธอ เจา้ ฟ้าจฬุ าภรณ์วลยั ลักษณฯ์ ...........อักษรยอ่ ป.ร. เช่น ภ.ป.ร. ย่อมาจากคาว่า ปรม + ราชาธิราช คานีม้ าจากต่างประเทศ เกดิ ขนึ้ ในสมัยรัชกาลที่ ๔ พระองคท์ รงตดิ ตอ่ กับต่างประเทศ ทรงสังเกตเหน็ ว่าพระนามพระเจ้า แผน่ ดนิ ต่างประเทศมกั มี Rex หมายถงึ พระราชาธบิ ดีต่อทา้ ยพระนาม จงึ ได้ทรงนาอักษรย่อ ป.ร. มาใช้ เชน่ พระนาม ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอย่หู ัว ใชอ้ ักษรย่อวา่ ภ.ป.ร. ยอ่ มาจาก ภมู ิพลอ ดุลยเดชปรมราชาธริ าช และใช้คาว่า ปรมินทร ปรเมนทร นาหน้าพระนาม พระเจ้าแผน่ ดินด้วย เชน่ พระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาจลุ จอมเกลา้ เจ้าอยหู่ วั คร้งั ถงึ รัชกาล พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจา้ อย่หู ัว ทรงลงพระปรมา ภิไธยวชิราวุธ ร อกั ษร ร. ยอ่ มาจาก คา ว่า รามาธบิ ดี พระนามของพระองค์ท่านคือ สมเด็จพระรามาธบิ ดศี รสี ินทรมหาวชริ าวธุ พระ มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หวั และไดท้ รงเปล่ยี นคานาหน้าพระนามพระเจา้ อยหู่ ัวทกุ พระองค์ในพระบรม ราชจกั รวี งศ์เปน็ สมเด็จพระรามาธิบดี ศรสี นิ ทรมหา... ท้ังสนิ ตอ่ มาใหร้ ชั กาล ชวี ิตน้ีพัฒนาได้ ถา้ เราใหโ้ อกาสแก่ชวี ติ (ตาราเลม่ ขอเป็นกาลงั ใจเคียงขา้ งคณุ )

186 พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจ้าอยหู่ ัว จงึ กลับมาใช้คาว่า ปรมินทร ปรเมนทร ตามเดมิ ..........คาวา่ พระปรมาภไิ ธย หมายถงึ ชือ่ ทไี่ ดร้ บั การแตง่ ตัง้ จารกึ ลงในสพุ รรณบฏั เช่น พระ ปรมาภิไธยของสมเดจ็ พระเจา้ อย่หู วั คือ ภ.ป.ร. ..........พระบรมนามาภไิ ธย หมายถึง ช่ือตวั เชน่ ภมู พิ ลอดุ ลยเดช ถา้ ใชว้ ่า ทรงลงพระบร นามาภไิ ธย ย่อจะหมายถึงเม่อื ทรงลงอักษรย่อพระนามว่า ภ.อ. ..........พระราชสมัญญา หมายถึง ชอ่ื เล่น เชน่ ขนุ หลวงท้ายสระ ขนุ หลวงหาวดั ..........อีกคาหนึง่ ท่ใี ชผ้ ดิ จนยากจะแก้ไข คอื กาทค่ี นสามญั ถวายพระพรชยั หรือถวายพระพรชัย มงคลแด่พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หวั แตโ่ บราณมาถือกัน ว่าพระภิกษุเท่านน้ั จึงจะถวายพระพร พระเจา้ อยูห่ ัวไดเ้ พราะถือวา่ เป็นผู้ทรงศลี คนสามัญใช้ ถวายชัยมงคล ..........ไปเยี่ยม เปน็ ราชาศัพทใ์ ช้วา่ เสด็จพระราชดาเนนิ เยี่ยม หรือ เสด็จพระราชดาเนนิ ทรงเย่ียม กไ็ ด้ เสด็จพระราชดาเนิน หมายความวา่ ไป เช่น เสดจ็ พระราชดาเนนิ โดยลาดพระบาท ทรงพระ ดาเนนิ หมายถงึ วา่ เดนิ (ไม่ตอ้ งใชว้ ่า ทรงพระดาเนินดว้ ยพระบาท) ..........ถา้ พระราชวงศห์ ลายพระองค์ซง่ึ ดารงพระยศตา่ งกนั ทากริยา \" ไป \" พร้อมกนั จะใช้วา่ พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ ัวและสมเด็จพระนางเจา้ ฯ พระ บรมราชินนี าถเสดจ็ พระราชดาเนนิ พรอ้ มด้วยสมเดจ็ พระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และสมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี .....เทิดทนู พระเกียรติ ใชเ้ ปน็ ราชาศพั ท์ได้ ..........การกลา่ วถงึ ความจงรกั ภักดีทมี่ ตี อ่ พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หวั ควรใชว้ า่ มคี วาม จงรักภักดี หรอื แสดงความจงรกั ภักดี ไมใ่ ชว้ ่า ถวายความจงรักภักดี ..........ขอ้ ความ \" โครงการอนรุ ักษม์ รดกไทย ภายใตร้ ่มพระบาทสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ \" ไมถ่ ูกต้อง เปลี่ยนเป็น ร่มพระบารมี พอจะใชไ้ ด้ ..........คาว่า ทรงพระกรณุ าโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ใชแ้ ก่พระราชวงศต์ งั้ แต่สมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี ขึ้นไป พระราชวงศช์ น้ั รองลงมา ใชว้ า่ ทรงพระกรณุ า ..........คาว่า รับเสดจ็ และ เขา้ เฝ้า น้นั ใชแ้ กพ่ ระราชตัง้ แตช่ ั้นพระเจา้ ลกู เธอลงมา ถ้าพระอิสรยิ ศักด์ิ สงู กว่าน้ัน ใชว้ า่ รับเสด็จฯ และ เข้าเฝา้ ฯ ซึ่งยอ่ มาจาก รบั เสด็จพระราชดาเนิน และ เข้า เฝ้าทลู ละอองธุลพี ระบาท หรือ เข้าเฝา้ ทลู ละอองพระบาท ตามลาดับ ..........มพี ระราชดารสั มพี ระราชกระแส แปลวา่ พูด ใชแ้ กพ่ ระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อย่หู ัว สมเดจ็ พระบรมราชินีนาถ สมเดจ็ พระบรมราชินี สมเดจ็ พระบรม ราชชนนี สมเด็จพระยุพราช และ ชีวติ นพี้ ฒั นาได้ ถา้ เราใหโ้ อกาสแกช่ วี ติ (ตาราเลม่ ขอเป็นกาลงั ใจเคยี งขา้ งคุณ)

187 สมเด็จพระบรมราชกมุ ารี ..........รบั สง่ั แปลว่า พดู ใช้แก่พระราชวงศท์ ่วั ไป ..........มพี ระราชเสาวนยี ์ หรอื มพี ระเสาวนีย์ แปลว่า สงั่ ใช้แก่สมเดจ็ พระบรมราชนิ ีนาถ สมเด็จ พระบรมราชินี และสมเดจ็ พระบรมราชชนนี ..........มพี ระราชบัญชา แปลวา่ สัง่ ใช้แกส่ มเดจ็ พระบรมราชกุมารี ..........มีพระราชดารัส สง่ั ใชแ้ ก่สมเด็จพระยุพราชและสมเด็จพระบรมราชกุมารี อ้างองิ : อ.จนั จริ า จิตตะวิริยะพงษ์ คมู่ อื ภาษาไทย เอนทรานซ์ ม.4-6 . สานกั พมิ พ์พฒั นาศกึ ษา,กรงุ เทพมหานคร, 2543 ๔. วธิ ใี ชร้ าชาศัพท์ .....การใชร้ าชาศพั ท์สาหรับพระมหากษตั ริย์ มวี ิธีการใช้ดังนี้ ..........๔.๑ ใชเ้ ปน็ ราชาศัพท์ได้ทนั ที เชน่ ประทาน ผนวช ทลู ถวาย ประทับ เสด็จ บรรทม ประชวร สวรรคต พโิ รธ เป็นตน้ ..........๔.๒ ใชค้ า \" พระบรม \" หรอื \" พระบรมราช \" นาหนา้ คานามทีส่ าคญั ยงิ่ เพ่ือเปน็ การเชิดชู พระเกียรติยศ เช่น พระบรมราชินี พระบรมวงศานุวงศ์ พระบรมโอรสาธริ าช พระบรมราโชวาท พระปรมภิไธย พระบรมมหาราชวัง พระบรมราชโองการ พระบรมราชานุญาต ฯลฯ ..........๔.๓ ใชค้ า \" พระราช \" นาหน้าคาที่มคี วามสาคญั นอ้ ยกว่าคาทกี่ ล่าวมาในขอ้ ๒ เช่น คานาม ที่แสดงความสัมพนั ธท์ างเครอื ญาติ เชน่ พระราชวงศ์ พระราชบดิ า พระราชชนนี พระราชโอรส พระราชธดิ า ฯลฯ ..........คานามทวั่ ๆ ไปทีม่ คี วามสาคัญรองลงมาตลอดจนอาการนามตา่ งๆ เช่น พระราชวงั บางประ อนิ พระราชเสาวนีย์ พระราโชวาท พระราชปฏสิ ันถาร พระราชดารัส พระราชหตั ถเลขา พระราช ประเพณี พระราชโทรเลข พระราชพิธี พระราชกศุ ล พระราชดาริ พระราชประสงค์ พระราชปรารภ พระราชานเุ คราะห์ ฯลฯ ..........๔.๔ ใช้คา \" พระ \" นาหน้าคานามท่วั ๆไปที่เกี่ยวขอ้ งกับ .....เคร่อื งใช้ท่วั ๆ ไป เช่น พระที่ พระแท่นบรรทม พระฉาย พระสุคนธ์ พระอู่ ฯลฯ .....อวยั วะสว่ นต่างๆ เชน่ พระพกั ตร์ พระศอ พระกรรณ พระหตั ถ์ พระกร ฯลฯ .....นามอ่ืนๆ ทเ่ี ก่ียวข้อง เช่น พระโรค พระโชค พระเคราะห์ พระบารมี พระชะตา ฯลฯ .....บคุ คลแตไ่ ม่ใช่เชื้อพระวงศ์ เช่น พระนม พระพเ่ี ลี้ยง พระสหาย พระอาจารย์ พระอปุ ัชฌาย์ (ผู้ บวชใหม)่ ชวี ิตนี้พฒั นาได้ ถา้ เราใหโ้ อกาสแกช่ วี ติ (ตาราเล่มขอเปน็ กาลังใจเคียงขา้ งคณุ )

188 พระกรรมาจาจารย์ (คู่สวด) ฯลฯ ...........๔.๕ ใชค้ าธรรมดาทีบ่ อกลักษณะย่อยๆ ให้ชดั เจนไวห้ นา้ คาทเ่ี ปน็ ราชาศัพทอ์ ยู่แลว้ เช่น .....ฉลองพระเนตร หมายถึง แว่นตา .....ขอบพระเนตร \" ขอบตา .....ชอ่ งพระนาสกิ \" ช่องจมูก .....ฝ่าพระหตั ถ์ \" ฝา่ มือ .....หลงั พระชงฆ์ \" นอ่ ง .....ฉลองพระหัตถ์ \" ช้อน .....ถงุ พระบาท \" ถงุ เทา้ .....หอ้ งพระสาอาง \" หอ้ งแต่งตัว, ห้องสขุ า .....ซบั พระองค์ \" ผา้ เช็ดตวั ฯลฯ ..........๔.๖ ใชค้ า \" ทรงพระ \" หรือ \" ทรงพระราช \" นาหนา้ คานามทวั่ ไป และคานามราชาศพั ท์ เพือ่ ทาใหเ้ ปน็ คากรยิ า เชน่ .....ทรงพระเมตตา หมายถึง มเี มตตา .....ทรงพระอตุ สาหะ \" มอี ตุ สาหะ .....ทรงพระดาริ \" มีดาริ .....ทรงพระประชวร \" ปว่ ย .....ทรงพระกรณุ า \" กรุณา .....ทรงพระพิโรธ \" โกรธ .....ทรงพระสรวล \" หัวเราะ .....ทรงพระราชนพิ นธ์ \" แตง่ หนังสอื .....ทรงพระราชสมภพ \" เกิด ฯลฯ ..........๔.๗ ใช้คา \" ทรง \" นาหน้าคาธรรมดาเพือ่ ให้เป็นราชาศพั ท์ เช่น ......๑. ใช้ \" ทรง \" นาหน้าคากริยาสามญั ที่เป็นคาไทย เพือ่ ทาใหเ้ ปน็ คากริยาราชาศัพท์ เช่น ทรง ขอ ทรงรับ ทรงตดั สนิ ทรงเชื่อ ทรงเก็บ ทรงวาด ทรงถอื ทรงพบั ทรงใช้ ทรงจดุ (ธปู เทียน) ฯลฯ ......๒. ใช้ \" ทรง \" นาหน้าคานามทเี่ ป็นคาไทย เพอ่ื ใช้เป็นคากริยาราชาศพั ท์ เชน่ ทรงช้าง ทรงเรือ ทรงม้า ทรงเรือใบ ฯลฯ ชวี ิตน้ีพฒั นาได้ ถา้ เราใหโ้ อกาสแกช่ วี ติ (ตาราเลม่ ขอเปน็ กาลังใจเคียงขา้ งคณุ )

189 ......๓. ใช้ \" ทรง \" นาหน้าคานามท่ีมลี ักษณะเปน็ สานวน ทาใหม้ คี วามหมายต่างไปจากเดมิ เชน่ .....ทรงธรรม หมายถึง ฟงั เทศน์ .....ทรงบาตร \" ตกั บาตร .....ทรงกลอ้ ง \" สูบกลอ้ ง .....ทรงพระโอรสมวน \" สบู บหุ ร่ี .....ทรงฉลองพระเนตร \" สวมแว่นตา .....ทรงเครื่อง \" แตง่ ตัว .....ทรงเครื่องใหญ่ \" ตัดผม .....ทรงเครอื่ งใหญ่ \" ถอื ไมเ้ ท้า ฯลฯ ..........๔.๘ ใช้คา \" หลวง \" และ \" ต้น \" ประกอบท้ายศัพท์ทั้งท่ีเป็นคาไทยและคาราชาศัพทใ์ ห้ เปน็ คาราชาศัพท์ เชน่ .....เคร่อื งตน้ (เคร่ืองทรงสาหรบั กษตั รยิ ์, สิ่งของที่พระเจา้ แผ่นดนิ ทรงให้และเสวย) พระแสงปืน ตน้ เรอื หลวง รถหลวง ช้างตน้ มา้ ตน้ เรอื นต้น ฯลฯ .....***หมายเหตุ*** การใช้ \" ต้น \" และ \" หลวง \" นนั้ ตอ้ งสงั เกต เพราะคาท่ีมี \" ตน้ \" และ \" หลวง \" ประกอบอย่ดู ้วยไมใ่ ชค่ าราชาศัพ์ ทุกคาใช้เปน็ คาธรรมดาก็มี เช่น ถนนหลวง ทะเลหลวง สนามหลวง ภรรยาหลวง ตน้ หอ้ ง ต้นเค้า ตน้ คอ ต้นคิด เปน็ ตน้ ๕. การจาแนกคาที่ใช้ในราชาศัพท์ .....คาทีก่ าหนดใช้เป็นราชาศพั ท์ มที ง้ั คานาม คาสรรพนาม กริยา และวเิ ศษณ์ ..........๕.๑ คานาม แบ่งออกเป็น สามานยนาม วสิ ามานยนาม และลักษณนาม .....๑. สามานยนาม ไดแ้ ก่ นามท่ัวไปเก่ียวกับอวยั วะต่างๆ ในร่างกาย เคร่อื งใช้และเครือญาตติ ่างๆ ดังรายละเอยี ดทก่ี ล่าวมาแลว้ .....๒. วสิ ามานยนาม ไดแ้ ก่ คานามเฉพาะทเี่ ปน็ พระนามเดิมหรอื นามเดมิ และทเ่ี ปน็ พระราชทิน นามหรอื ราชทินนาม คานามเฉพาะ หรือช่ือเฉพาะนจี้ ะมีคานาหน้านาม เช่น สมเดจ็ พระเจ้า พระองค์เจ้า ฯลฯ นาหนา้ ชอื่ เฉพาะ .....ตัวอย่างเช่น สมเดจ็ พระนเรศวร \" สมเด็จพระ \" เป็นคาสามานยนามนาหนา้ วิสามานยนาม \" นเรศวร \" หรือ พ่อขนุ รามคาแหง \" พ่อขุน \" เปน็ คาสามานยนามนาหนา้ วสิ ามานยนาม \" รามคาแหง \" เป็นต้น การศึกษาเรือ่ งของวิ ชวี ติ นีพ้ ัฒนาได้ ถา้ เราใหโ้ อกาสแกช่ วี ติ (ตาราเล่มขอเปน็ กาลังใจเคียงขา้ งคุณ)

190 สามานยนามราชาศพั ทใ์ ห้เขา้ ใจ จะต้องศกึ ษาคาสามานยนามที่นาหน้าชื่อเฉพาะเหล่าน้นั ด้วย ซ่ึงแบง่ ออไดด้ งั นี้ .....๑.) วิสามานยนามท่เี ป็นนามเดมิ ชั้นเจา้ นาย ได้แก่ ก. วสิ ามานยนามที่มคี านาหน้าช่อื แสดงเครือญาติ หรอื ตาแหนง่ พระบรมวาศานุวงศ์ เชน่ สมเด็จ พระเจา้ บรมวงศ์เธอ (พระราชโอรสพระเจา้ แผน่ ดนิ พระองค์ก่อนตง้ั แตพ่ ระเจ้าอาข้นึ ไปทเ่ี ปน็ เจ้า ฟา้ ) พระเจ้าพยี่ าเธอ พระเจา้ พนี่ างเธอ ฯลฯ กากับไว้ข้างหน้า .....๒.) วสิ ามานยนามทเี่ ป็นราชทินนาม ราชทินนาม คือ นามทพี่ ระราชทาน หรอื โปรดเกล้าฯ ให้ เจา้ กระทรวงตง้ั จะมคี าบอก ตาแหน่งชั้นกรม ซ่งึ มอี ยู่ ๕ ตาแหนง่ คอื กรมหมื่น กรมขนุ กรม หลวง กรมพระ กรมพระยา นาหนา้ พระนามกรม เช่น สมเดจ็ พระเจ้านอ้ งยาเธอ เจ้าฟ้ากรม- นครสวรรค์วรพนิ ิต เปน็ ต้น เจ้านายที่ทรงกรม มีชัน้ เจ้าฟ้ากับพระองค์เจา้ เทา่ น้ัน ๓. ลักษณนาม ใชล้ ักษณนามราชาศพั ท์กบั พระมหากษัตรยิ แ์ ละเจ้านายเท่านั้น ใชล้ กั ษณนาม พระองค์ กับ องค์ เชน่ พระราชธดิ า ๒ พระองค์ พระท่ีนงั่ ๒ องค์ เป็นตน้ ..........๕.๒ คาสรรพนาม ท่จี ะต้องเปลย่ี นแปลงใช้ตามราชาศพั ท์ มเี ฉพาะบุรุษสรรพนามชนิด เดยี วจะใช้คาใด จะตอ้ งคานงึ ถงึ ฐานนันดรและเพศของ .....บุรุษท่ี ๑ (ผู้พดู ) บุรุษที่ ๒ (ผทู้ ี่เราพดู ดว้ ย) และบุรุษท่ี ๓ (ผูท้ ีเ่ ราพูดถงึ ) เชน่ .....บรุ ษุ ท่ี ๑ ไดแ้ ก่ ข้าพระพทุ ธเจา้ เกลา้ กระหม่อม หมอ่ มฉนั อาตมาภาพ ฯลฯ .....บุรษุ ท่ี ๒ ไดแ้ ก่ ใต้ฝา่ ละอองธลุ พี ระบาท ใตฝ้ า่ ละอองพระบาท ใตฝ้ ่าพระบาท ฯลฯ .....บุรุษท่ี ๓ ไดแ้ ก่ พระองค์ เสด็จ ท่าน ฯลฯ ..........๕.๓ คากริยา คากรยิ าทเ่ี ปน็ ราชาศพั ท์ มที ั้งคากริยาท่ีกาหนดข้นึ เป็นราชาศัพท์โดยเฉพาะ เช่น ผนวช ประทับ เสด็จ สรง ฯลฯ กากบั ทีแ่ ต่งขึ้น ใหมด่ ้วยการใชค้ า \" ทรง \" \" ทรงพระ \" และ \" ทรงพระราช \" นาหนา้ คานามหรือคากรยิ าทมี่ ีใชอ้ ยู่แลว้ ทง้ั เป็นคาไทย และคาท่ีมาจาก ภาษาตา่ งประเทศ เชน่ ทรงขอบใจ ทรงเล่าเรียน ทรงพระสรวล ทรงพระราชนพิ นธ์ เปน็ ตน้ ..........๕.๔ คาวิเศษณ์ ที่ใช้เป็นราชาศพั ท์ ไดแ้ ก่ คาขานรับ เชน่ เพคะ พะ่ ยะ่ คะ่ พระพุทธเจา้ ขา้ กระหมอ่ ม ฯลฯ แตกตา่ งไปตามเพศและฐานนั ดรของผูพ้ ูดและผฟู้ งั .....คากรยิ าที่เปน็ ราชาศพั ท์อยแู่ ลว้ ไม่ต้องใช้คาว่า \" ทรง \" นาหนา้ เชน่ ..........ตรัส เสวย สรง บรรทม ..........กร้วิ โปรด พระราชทาน ประสูติ ฯลฯ ชวี ิตน้พี ฒั นาได้ ถา้ เราใหโ้ อกาสแก่ชวี ิต (ตาราเลม่ ขอเป็นกาลังใจเคยี งขา้ งคุณ)

191 .....ราชาศพั ทท์ ั่วไปทมี่ ักปรากฏในขอ้ สอบเช้ามหาวทิ ยาลยั ..........ภาพวาด = พระสาทิสลกั ษณ์ ..........ภาพถ่าย = พระฉายาลกั ษณ์ ..........รปู ปั้น = พระรปู .....แสดงต่อหนา้ ใหใ้ ชว้ า่ แสดงเฉพาะพระพักตร์ ห้ามใช้วา่ แสดงหน้าพระทีน่ ง่ั คาถามเก่ียวกับการบังคมทูล ..........การกราบบังคมทูลว่าสามารถทาสง่ิ ใดส่งิ หนึ่งสนองพระมหากรณุ าธิคุณได้ จะใช้ว่า \" ข้าพระพทุ ธเจา้ ขอรับใสเ่ กล้าใส่กระหม่อม \" ..........ถา้ เปน็ การปฏเิ สธในเรื่องใดเรอื่ งหนึ่งจะใช้ว่า \" หามิไดด้ ้วยเกล้าดว้ ยกระหม่อม \" คาวา่ \" กราบบงั คมทูลพระกรณุ า \" ใชไ้ ด้เฉพาะพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หัวเทา่ น้นั สมเด็จ พระบรมราชินีนาถ ไม่ใชค่ านีจ้ ะใช้ว่า \" กราบบังคมทูล \" ..........คาว่า \" พระบรมราชวโรกาส \" สือ่ มวลชนใชผ้ ิดกนั มาก เช่น ใชว้ า่ *ในพระบรมราช วโรกาสเฉลมิ พระชนมพรรษา* ในพระบรมราชวโรกาสคล้ายวนั พระราชสมภพ เชน่ นไ้ี ม่ถกู ต้อง พระบรมราชวโรกาสจะใชเ้ มอ่ื เปน็ การขอโอกาส เช่น* \" ขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาส เข้าเฝ้าทูลละอองธุลพี ระบาท \" \" ขอพระราชทานน้อมเกลา้ น้อมกระหมอ่ มถวาย \" ..........คาว่า ทูล ใน ทูลเกลา้ ทลู กระหม่อมนัน้ พจนานุกรมฉบับราชบณั ฑติ ยสถานกาหนดใหใ้ ช้ ทูล พระวรวงศ์เธอกรมหม่นื พิทยลาภพฤฒิยากร รับส่งั วา่ โบราณได้กาหนดคาวา่ ไว้ต่างกัน คอื นอ้ มเกลา้ น้อมกระหม่อม และ ทูลเกล้าทูลเกล้าทูลกระหม่อม คาว่า ทูล หมายถึง การยกข้ึนทูลหัว ฉะนน้ั ควรใช้ ทลู สว่ น ทนู เปน็ คาภาษาเขมร แปลวา่ บอก ภาษาไทยของเรามคี าวา่ ทลู หมายถงึ และใหค้ วามหมายท่ถี กู ต้องแลว้ กไ้ ม่จาเปน็ จะต้องยืมคาเขมรมาใช้ อยา่ งไร กต็ ามมติของคณะรฐั มนตรีมีวา่ ให้ใช้ตามพจนานกุ รมฉบับ ราชบัญฑิตยสถาน ฉะน้ัน จงึ ต้องใช้ว่า \" ทลู เกล้า ทูลกระหมอ่ มถวาย \" ..........คากรยิ าราชาศัพทท์ ี่มีคาวา่ ทรง น้ันมอี ยหู่ ลายคา เช่น ทรงพระประชวร เป็นการนาคาว่า ประชวร ซงึ่ เปน็ คากรยิ าราชาศัพท์ หมายความวา่ เจ็บป่วย มาทาใหเ้ ปน็ อาการนามเปน็ พระประชวร แลว้ เติม ทรง ข้างหนา้ เป็น ทรงพระประชวร ให้เปน็ กริยาราชาศพั ท์ใช้เฉพาะพระเจา้ แผ่นดิน ชวี ติ น้พี ัฒนาได้ ถา้ เราใหโ้ อกาสแกช่ วี ติ (ตาราเลม่ ขอเป็นกาลงั ใจเคียงข้างคุณ)

192 เทา่ นนั้ ถ้าเป็นพระราชวงศ์อื่นๆ ใชว้ ่า ประชวร หรือ ไม่ทรงสบาย ถา้ จะพูดว่า \" หายแล้ว \" ใชว้ า่ ทรงสบายขน้ึ หรอื ทรงพระสาราญดแี ล้ว ส่วน คาว่า ทรงพระประธม หมายถงึ หอ้ งนอน ทรงพระสรวล หมายถึง หวั เราะ ใชไ้ ดท้ วั่ ไป ..........ถา้ คาว่า ทรง ตามหลงั คาบางคา หมายความว่า เปน็ สงิ่ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอย่หู ัวทรง เพิม่ เขา้ ไปเพ่อื ให้มีความหมายว่า พระบาทสมเด็จ- พระเจา้ อยู่หัวประทบั อย่ใู นขณะน้ัน ..........ทรงเปน็ องค์ประธาน ไมค่ วรใช้ ทรงเปน็ ใช้นาหน้าคาทไ่ี ม่ใชร่ าชาศัพท์ เช่น ทรงเป็น อาจารย์ส่วนองค์ประธาน ไดท้ าใหก้ ลายเป็นราชาศัพท์ แลว้ จงึ ใช้ ทรงเป็น นาหนา้ ไมไ่ ด้ ควรใชว้ ่า เสดจ็ พระราชดาเนนิ เปน็ องคป์ ระธาน ..........พระราชอาคันตกุ ะ ใชเ้ มอ่ื กลา่ วถึงแขกของพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หัวซึง่ มาจาก ตา่ งประเทศ ถา้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ วั ทรงเป็น แขกของคนสามัญใช้ว่า อาคันตกุ ะ เช่น ทรงเปน็ อาคันตุกะของประธานาธิบดี ในปัจจุบันไม่ใช้ ราชอาคนั ตุกะ ในกรณีทเ่ี ปน็ แขกของพระบาทสมเดจ็ - พระเจา้ อยหู่ ัวและพระบรมวงศานุวงศ์อกี ต่อไป ..........ผู้ทมี่ ีหน้าท่ตี ้อนรับแขกของพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อย่หู ัวนน้ั ถ้าแขกผู้นนั้ เป็นกษัตริยจ์ ะใช้ ว่า รับเสดจ็ ฯ ถ้าเปน็ เจ้านาย ใขว้ ่า รบั เสดจ็ คาวา่ ถวายการต้อนรบั เป็นคาที่ใช้ผิดจนยากจะแกใ้ ข ถ้าแขกของพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั ไมไ่ ด้กลายเป็นเจ้านาย ใช้ว่า ตอ้ นรบั ..........เครือ่ งสักการะ หมายถงึ เครื่องสักการะของพระเจ้าอยู่หัว สือ่ มวลชนมกั ใชผ้ ิด เชน่ \" นายกรัฐมนตรี นาเครอื่ งราชสกั การะไปถวายบังคม พระบรมฉายาลักษณ์ \" ท่ีถูกในประโยคน้ีต้องใชว้ ่า เครอื่ งสักการะ ..........คาว่า เสด็จ ท่ีใช้เปน็ นาม เป็นคาเรยี กเจา้ นายนัน้ จะใช้แกพ่ ระองค์เจ้าทเี่ ปน็ พระราชโอรส ธดิ าพระเจ้าแผ่นดินเทา่ นนั้ จะใชก้ ับพระองคท์ ี่เปน็ หลานพระเจ้าแผ่นดินนน้ั ไม่ได้ ..........มหาราชนิ ี หมายถึง ราชนิ ผี ู้ปกครองประเทศเท่าน้นั เชน่ แคทเธอรีนมหาราชนิ ี ตาแหนง่ สูงสดุ ของพระมเหสี คือ สมเด็จพระบรมราชินนี าถ ..........การยกพระบรมราโชวาทมาอ้างถีงนน้ั ในตอนท้าย บางคนใช้วา่ \" พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หวั \" หรือ \" พระบรมราโชวาท ชวี ิตนีพ้ ัฒนาได้ ถา้ เราใหโ้ อกาสแกช่ วี ติ (ตาราเลม่ ขอเป็นกาลังใจเคียงข้างคณุ )

193 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอย่หู วั ในรัชกาลปัจจบุ นั \" นบั วา่ เปน็ การใช้ภาษาเย่ินเย้อ คาว่า พระบรม ราโชวาท ใช้ได้แก่พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั เทา่ นัน้ ใช้แก่คนอนื่ ไมไ่ ดถ้ ้าใช้ พระราโชวาท ใช้ได้แกห่ ลายพระองคจ์ ึงต้องระบใุ หแ้ น่ชัด เชน่ พระ ราโชวาทสมเด็จพระนางเจา้ ฯ พระบรมราชนิ ีนาถ พระราโชวาท สมเดจ็ พระบรมราชชนนี ถา้ เป็นพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ วั ทไี่ ม่มี พระองคอ์ ยู่ในปจั จุบนั จะใชว้ า่ พระบรมราโชวาทในพระบาท สมเด็จพระมงกฎุ เกลา้ เจ้าอยู่หวั เป็นตน้ ...........การออกพระนามเจา้ นายชั้นสูงบางคนใช้ผิด คอื ใชย้ ่นย่อเกนิ ไป เชน่ หนังสือพิมพพ์ าดหัว ข่าวว่า \" พระเทพ... \" ดงั นี้เปน็ การไมส่ มควร ทถ่ี ูกต้อง ควรออกพระนามเต็ม เช่น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร สมเดจ็ พระเทพ รัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี สมเด็จพระเจา้ ลูกยาเธอ เจา้ ฟา้ จฬุ าภรณว์ ลัยลักษณ์ฯ ...........อักษรยอ่ ป.ร. เช่น ภ.ป.ร. ยอ่ มาจากคาว่า ปรม + ราชาธิราช คาน้ีมาจากต่างประเทศ เกดิ ขน้ึ ในสมยั รัชกาลท่ี ๔ พระองคท์ รงติดตอ่ กับต่างประเทศ ทรงสงั เกตเหน็ ว่าพระนามพระเจา้ แผ่นดนิ ตา่ งประเทศมกั มี Rex หมายถงึ พระราชาธบิ ดีตอ่ ทา้ ย พระนาม จึงไดท้ รงนาอักษรยอ่ ป.ร. มาใช้ เช่น พระนาม ของพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ ัว ใชอ้ กั ษรย่อว่า ภ.ป.ร. ย่อมาจาก ภมู พิ ลอดุลยเดชปรมราชาธิราช และใชค้ าวา่ ปรมนิ ทร ปรเมนทร นาหน้าพระนาม พระเจ้าแผ่นดนิ ด้วย เช่น พระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาจลุ จอมเกล้าเจา้ อยหู่ ัว ครงั้ ถงึ รชั กาล พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจ้าอยหู่ ัว ทรงลงพระปรมา ภิไธยวชริ าวธุ ร อักษร ร. ย่อมาจาก คาว่า รามาธบิ ดี พระนามของพระองค์ทา่ นคือ สมเดจ็ พระ รามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวธุ พระมงกฎุ เกลา้ เจ้าอยหู่ ัว และไดท้ รงเปลี่ยนคานาหนา้ พระนามพระเจา้ อยู่หวั ทุกพระองคใ์ นพระบรมราชจักรวี งศ์เปน็ สมเด็จพระรามาธิบดี ศรีสินทรมหา... ท้ังสิน ตอ่ มาใหร้ ชั กาล พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยหู่ ัว จึงกลับมาใช้คาว่า ปรมนิ ทร ปรเมนทร ตามเดิม ..........คาว่า พระปรมาภิไธย หมายถึง ช่ือทไี่ ด้รับการแตง่ ตั้ง จารกึ ลงในสุพรรณบัฏ เชน่ พระ ปรมาภิไธยของสมเด็จพระเจา้ อยู่หวั คือ ภ.ป.ร. ..........พระบรมนามาภิไธย หมายถงึ ชือ่ ตัว เช่น ภมู ิพลอดุ ลยเดช ถา้ ใช้วา่ ทรงลงพระบร ชวี ติ น้ีพัฒนาได้ ถา้ เราใหโ้ อกาสแก่ชวี ติ (ตาราเลม่ ขอเป็นกาลงั ใจเคียงข้างคุณ)

194 นามาภไิ ธย ยอ่ จะหมายถึงเมื่อทรงลงอักษรย่อพระนามว่า ภ.อ. ..........พระราชสมญั ญา หมายถงึ ช่อื เลน่ เช่น ขนุ หลวงท้ายสระ ขุนหลวงหาวัด ..........อีกคาหน่ึงที่ใช้ผดิ จนยากจะแก้ไข คือ กาท่คี นสามัญถวายพระพรชยั หรือถวายพระพรชยั มงคลแดพ่ ระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่โบราณมาถือกนั วา่ พระภิกษุเท่าน้นั จงึ จะถวายพระพรพระเจ้าอยู่หัวไดเ้ พราะถือวา่ เปน็ ผูท้ รงศีล คนสามญั ใช้ ถวาย ชยั มงคล ..........ไปเยยี่ ม เปน็ ราชาศพั ทใ์ ช้ว่า เสดจ็ พระราชดาเนนิ เยย่ี ม หรือ เสด็จพระราชดาเนนิ ทรงเยี่ยม กไ็ ด้ เสดจ็ พระราชดาเนิน หมายความว่า ไป เช่น เสด็จ พระราชดาเนนิ โดยลาดพระบาท ทรงพระดาเนิน หมายถึงวา่ เดนิ (ไม่ต้องใช้ว่า ทรงพระดาเนนิ ด้วยพระบาท) ..........ถา้ พระราชวงศห์ ลายพระองค์ซ่ึงดารงพระยศตา่ งกนั ทากริยา \" ไป \" พรอ้ มกัน จะใช้วา่ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ ัวและสมเดจ็ พระนางเจ้าฯ พระ บรมราชนิ นี าถเสด็จพระราชดาเนนิ พร้อมดว้ ยสมเดจ็ พระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และสมเด็จพระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี .....เทิดทูนพระเกียรติ ใช้เป็นราชาศัพท์ได้ ..........การกล่าวถงึ ความจงรักภกั ดีท่มี ตี อ่ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อย่หู ัว ควรใช้ว่า มีความ จงรกั ภักดี หรอื แสดงความจงรกั ภักดี ไม่ใชว้ า่ ถวายความจงรกั ภักดี ..........ขอ้ ความ \" โครงการอนรุ กั ษม์ รดกไทย ภายใตร้ ่มพระบาทสมเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ าฯ \" ไม่ถกู ต้อง เปล่ียนเป็น ร่มพระบารมี พอจะใช้ได้ ..........คาว่า ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ใช้แก่พระราชวงศ์ตงั้ แต่สมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ขึ้นไป พระราชวงศ์ช้นั รองลงมา ใชว้ ่า ทรงพระกรุณา ..........คาว่า รบั เสด็จ และ เข้าเฝ้า นัน้ ใชแ้ ก่พระราชตั้งแตช่ น้ั พระเจ้าลกู เธอลงมา ถา้ พระอสิ ริยศักด์ิ สูงกว่านนั้ ใช้ว่า รบั เสดจ็ ฯ และ เขา้ เฝา้ ฯ ซ่งึ ย่อมาจากรบั เสด็จพระราชดาเนิน และ เข้า เฝา้ ทูลละอองธุลีพระบาท หรือ เขา้ เฝ้าทูลละอองพระบาท ตามลาดบั ..........มีพระราชดารัส มพี ระราชกระแส แปลวา่ พดู ใชแ้ ก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเดจ็ พระบรมราชนิ ีนาถ สมเดจ็ พระบรมราชนิ ี สมเดจ็ พระบรม ราชชนนี สมเดจ็ พระยุพราช และ สมเดจ็ พระบรมราชกุมารี ..........รบั ส่งั แปลวา่ พดู ใช้แกพ่ ระราชวงศท์ ว่ั ไป ชวี ติ นี้พัฒนาได้ ถา้ เราใหโ้ อกาสแกช่ วี ิต (ตาราเลม่ ขอเป็นกาลังใจเคียงข้างคณุ )

195 ..........มีพระราชเสาวนีย์ หรอื มีพระเสาวนยี ์ แปลว่า สั่ง ใช้แกส่ มเดจ็ พระบรมราชินีนาถ สมเดจ็ พระบรมราชนิ ี และสมเด็จพระบรมราชชนนี ..........มีพระราชบญั ชา แปลวา่ สง่ั ใชแ้ กส่ มเด็จพระบรมราชกมุ ารี ..........มีพระราชดารสั สง่ั ใชแ้ กส่ มเด็จพระยุพราชและสมเดจ็ พระบรมราชกุมารี อ้างองิ : อ.จันจริ า จิตตะวริ ิยะพงษ์ คมู่ ือภาษาไทย เอนทรานซ์ ม.4-6 . สานักพิมพ์พฒั นาศกึ ษา,กรุงเทพมหานคร, 2543 ภาษาเป็นทางการและภาษาไมเ่ ป็นทางการ 1.ภาษาเป็นทางการและภาษาไมเ่ ป็นทางการ 1.1 ภาษาเป็นทางการ ภาษาเปน็ ทางการหรอื ภาษาราชการ หมายถงึ ภาษามแี บบแผนถกู หลกั ภาษา เช่น ภาษาใชใ้ นวง ราชการเชน่ ประกาศต่างๆ ทเี่ ปน็ ทางการ หนังสือราชการจดหมายราชการ ภาษาในวงวชิ าการ หรอื ในวงการศึกษาเช่น รายงานการวิจยั ตารา และแบบเรียน เป็นต้น 1.2 ภาษาไมเ่ ป็นทางการ หมายถึง ภาษาก่ึงแบบแผน ลดระดับความเครง่ ครัดทางกฎเกณฑ์ของ ภาษา เชน่ ภาษาสาหรับเขียนบทความ สารคดี ชวี ประวตั ิและบทวิจารณห์ รอื ภาษาใช้ในการ สนทนาโตต้ อบระหว่างบุคคล หรือกลุ่มบคุ ลไมเ่ กนิ 4-5 คน ในสถานทแี่ ละกาละไมใ่ ช่สว่ นตวั แม้บคุ ลทีใ่ ชภ้ าษารู้จักมกั คุ้นกัน อยู่กต็ าม ตวั อย่างเปรยี บเทียบภาษาเป็นทางการและภาษาไมเ่ ป็นทางการ 1.) ภาษาเปน็ ทางการมีลักษณะกระชับ ภาษาไม่เปน็ ทางการมลี ักษณะไม่กระชับค่อนขา้ งเป็น ภาษาพดู ภาษาเป็นทางการ ภาษาไมเ่ ปน็ ทางการ ไม่รอบคอบ ไม่ดูตามา้ ตาเรือ ไมท่ ราบข้อเท็จจริง ไมร่ ู้เร่ืองรู้ราว ซ้าซาก ซา้ ๆ ซากๆ มบี ุตร มลี กู มเี ต้า นอ้ ยใจ นอ้ ยอกนอ้ ยใจ ตดิ ใจ ติดอกติดใจ 2.) ภาษาเป็นทางการมีลักษณะสภุ าพกวา่ ภาษาทไ่ี มเ่ ปน็ ทางการ ภาษาเป็นทางการมกั ใชค้ าบาลี ชวี ิตน้ีพัฒนาได้ ถา้ เราใหโ้ อกาสแกช่ วี ติ (ตาราเลม่ ขอเป็นกาลงั ใจเคียงขา้ งคุณ)

196 สนั สกฤต ซ่ึงเป็นภาษาที่คนไทยยกย่อง ภาษาเป็นทางการ ภาษาไมเ่ ปน็ ทางการ มคี วามประสงค์ มีความต้องการ บริการเต็มท่ี รบั ใช้เตม็ ท่ี เรียนใหท้ ราบ บอกใหร้ ู้ กลา่ วเทจ็ พูดโกหก กรณีอีสาน เรือ่ งอีสาน อนเุ คราะห์ ช่วยเหลอื 3.ถ้าเป็นคายืมภาษาอังกฤษ ภาษาเป็นทางการใชค้ าแปรที่บัญญตั ิเปน็ ทางการแล้วแต่ภาษาไม่เปน็ ทางการมักใช้ทับศพั ท์ท่ียังไมใ่ ช้เปน็ ภาษาพูดและมกั ตดั คาให้สน้ั ลง เชน่ ภาษาเปน็ ทางการ ภาษาไมเ่ ป็นทางการ คณติ กรณ์ คอมพิวเตอร์ (computer) วดี ทิ ัศน์ วีดิโอ (video) โทรภาพ โทรสาร แฟกซ์ (fax: facsimile) แถบบันทึก แถบ เทป (tape) ห้องปรับอากาศ ห้องแอร์ (aircondition) บรกิ าร เสิรฟ์ (serve service) ทศั นะ ความคิด ไอเดีย (idia) สนบั สนุน ล็อบบ้ี (lobby) ต้งั ขอ้ สงั เกต คอมเมนต์ (comment) อา้ งอิง ประพนธ์ เรืองณรงค์ กลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชว่ งชัน้ ที่ 3 (ม.1-3) เลม่ 2 - - พมิ พค์ รัง้ ท่ี1 - - กรุงเทพฯ : ประสานมิตร , 2545 ภาษาพูดและภาษาเขยี น 2.ภาษาพูดและภาษาเขียน 2.1 ภาษาพดู ภาษาพูด บางทีเรียกวา่ ภาษาปาก หรือ ภาษาเฉพาะกลุม่ เชน่ ภาษากลุ่มวัยรุ่น ภาษา ชวี ติ นพี้ ัฒนาได้ ถา้ เราใหโ้ อกาสแกช่ วี ิต (ตาราเล่มขอเปน็ กาลงั ใจเคียงขา้ งคณุ )

197 กลมุ่ มอเตอรไ์ ซคร์ ับจ้าง ภาษาพดู ไม่เคร่งครัดในหลักภาษาบางครงั้ ฟงั แลว้ ไมส่ ภุ าพมกั ใช้พดู ระหวา่ งผ้สู นิทสนม หรอื ผู้ไดร้ ับการศึกษาต่า ในภาษาเขียนบนั เทิงคดีหรือเรอ่ื ง ส้ัน ผแู้ ตง่ นาภาษาปากไปใช้เป็นภาษาพดู ของตวั ละครเพอ่ื ความเหมาะสมกับฐานะตัว ละคร 2.2 ภาษาเขยี น ภาษาเขยี น มลี กั ษณะเคร่งครัดในหลักภาษา มที ้งั ระดบั เครง่ ครดั มาก เรียกว่า ภาษา แบบแผน เชน่ การเขียนภาษาเปน็ ทางการดงั กลา่ วในข้อ 1.1 ระดับเคร่งครัดไมม่ ากนกั เรยี กว่า ภาษากึง่ แบบแผน หรอื ภาษาไม่เป็นทางการ ดงั กลา่ วในข้อ 1..2 ใน วรรณกรรมมีการใช้ภาษาเขยี น 3 แบบ คอื ภาษาเขียนแบบจินตนาการ เชน่ ภาษาการ ประพันธท์ ัง้ ร้อยแก้วและร้อยกรอง เป็นตน้ ภาษาเขยี นแบบแสดงข้อเท็จจรงิ เช่น การ เขียนบทความ สารคดี เป็นต้น และภาษาเขยี นแบบประชาสมั พันธ์ เชน่ การเขยี นคา โฆษณา หรอื คาขวัญ เปน็ ตน้ ตวั อยา่ งเปรียบเทียบภาษาพูดและภาษาเขยี น 1) ภาษาพูดเป็นภาษาเฉพาะกลมุ่ หรอื เฉพาะวัย มกี ารเปล่ียนแปลงคาพูดอยเู่ สมอ เชน่ ภาษาพูด ภาษาเขยี น วยั โจ๋ วยั ร่นุ เจ๋ง เยี่ยมมาก แห้ว ผิดหวัง เดยี้ ง พลาดและเจบ็ ตวั ม่วั นิม่ ทาไมจ่ รงิ จังและปิดบัง โหลยโทย่ แย่มาก จบ๊ิ จ๊อย เลก็ นอ้ ย ดิน้ เต้นรา เซ็ง เบอ่ื หนา่ ย แซว เสยี ดสี 2) ภาษาพดู มักเป็นภาษาไทยแท้ คอื เปน็ ภาษาชาวบา้ น เข้าใจง่าย แต่ภาษาเขยี นมักใช้ ภาษาบาลแี ละภาษาสนั สกฤต เป็นภาษาแบบแผน หรือกึ่งแบบแผน เช่น ชวี ิตนพี้ ัฒนาได้ ถา้ เราใหโ้ อกาสแก่ชวี ติ (ตาราเลม่ ขอเปน็ กาลงั ใจเคียงขา้ งคณุ )

198 ภาษาพูด ภาษาเขียน ในหลวง พระมหากษัตริย์ ผวั เมยี สามภี รรยา เมยี นอ้ ย อนภุ รรยา ค่อยยงั ช่ัว อาการดีข้นึ อาการทเุ ลาขึ้น ดาราหนงั ดาราภาพยนตร์ วัวควาย โคกระบอื ปอดลอย หวาดกลัว โดนสวด ถูกด่า ตนี เปล่า เทา้ เปลา่ เกอื ก รองเท้า 3) ภาษาพูดมกั เปล่ียนแปลงเสียงสระและเสยี งพยัญชนะ รวมทง้ั นิยมตดั คาใหส้ ้ันลง แต่ภาษาเขยี นคงเครง่ ครัดตามรปู คาเดมิ เชน่ ภาษาพดู ภาษาเขียน เรดิ่ เลิศ เพ่ พ่ี ใช่ปะ้ ใชห่ รือเปล่า ตื่นเตล้ ล์ ตืน่ เต้น ใชม่ ะ ใชไ่ หม จิงอะป่าว จรงิ หรือเปลา่ ลุย ตะลุย มหาลยั มหาวิทยาลัย 4) ภาษาพูด ยมื คาภาษาต่างประเทศ เชน่ ภาษาอังกฤษ และมกั ตัดคาให้สั้นลง รวมทัง้ ภาษาจนี เปน็ ตน้ ภาเขยี นใชค้ าแปลภาษาไทยหรอื ทบั ศัพท์ เชน่ ภาษาพดู ภาษาเขยี น เวอ่ ร์ (over) เกนิ ควร เกนิ กาหนด แอบ๊ (abnomal) ผิดปกติ จอย (enjoy) สนกุ เพลิดเพลนิ ชวี ิตนีพ้ ัฒนาได้ ถา้ เราใหโ้ อกาสแก่ชวี ติ (ตาราเลม่ ขอเป็นกาลังใจเคียงข้างคณุ )

199 ซี (xerox) ถา่ ยสาเนาเอกสาร กอ็ บ (copy) สาเนา ต้นฉบบั ดิก (dictionary) พจนานกุ รม เอน็ (entrance) สอบเขา้ มหาวิทยาลยั ไท (necktie) เนกไท กนุ ซือ (ภาษาจีน) ทปี่ รึกษา บว๊ ย (ภาษาจนี ) สุดทา้ ย ตัว๋ (ภาษาจีน) บตั ร อ้างองิ ประพนธ์ เรอื งณรงค์ กลุม่ สาระการเรียนรภู้ าษาไทย ชว่ งชัน้ ท่ี 3 (ม.1-3) คาไวพจน์ คาไวพจน์ คอื คาท่ีมีความหมายเหมอื นกัน แต่มีรูปตา่ งกนั และอาจมีท่มี าจากภาษา ต่างๆ 1. พระพทุ ธเจา้ พระสมั มาสมั พุทธเจา้ .........พระสัพพัญญ.ู .........พระโลกนาถ...........พระสคุ ต พระผู้มีพระภาคเจา้ .............พระสมณโคดม........พระศากยมุนี..........พระธรรมราช พระชินสีห.์ ..........................พระทศญาณ............มารชิต.....................โลกชิต พระทศพลญาณ...................พระตถาคต...............พระชินวร...............ชินศรี 2. สวรรค์ ไตรทพิ ย.์ .............................สรวง........................ไตรทศาลัย...............สุราลัย สุรยิ โลก...............................ศวิ โลก.......................สขุ าวดี.....................สคุ ติ เทวโลก 3. เทวดา เทพ.....................................เทวนิ ทร์......................อมร..........................สรุ ารกั ษ์ แมน....................................เทว..............................เทวญั .......................นริ ชรา ชวี ิตนี้พัฒนาได้ ถา้ เราใหโ้ อกาสแก่ชวี ิต (ตาราเลม่ ขอเปน็ กาลังใจเคียงขา้ งคุณ)

200 เทวา....................................ไตรทศ.........................ปรวาณ.....................สรุ 4. พระอิศวร ตรีโลกนาถ.........................บดิ ามห.........................ศวิ ะ..........................ศุลี มหาเทพ.............................ปศุบดี...........................มเหศวร...................จันทรเศขร ภเู ตศวร...............................ศงั กร............................ภูเตศ........................ทรงอนิ ทรชฎา 5. พระพรหม จตั ุพักตร์..............นริ ทรหุ ิณ..............พระทรงหงส.์ ...............วธิ าดา ธาดา....................กมลาสน.์ ...............สรษดา..........................สรษดา ปรชาบดี 6. พระวษิ ณุ กฤษณะ...............ไวกุณฐ.์ .................ไกษพ.....................มาธพ สวภ.ู ....................พระจกั ร.ี ...............ศางดี.......................ไตรวกิ รม จกั รปาณ.ี .............พระกฤษณ.์ ...........พระนารายณ์ 7. พระเจา้ แผน่ ดิน บดนิ ทร์...........นโรดม..........นฤเบศน์..........เจ้าหล้า ภูมินทร์..........ภูบาล.............ภบู ดินทร์..........ธรารักษ์ นรนิ ทร์..........นฤบด.ี ............จอมราช...........ทา่ นไท้ธรณี ขตั ตยิ วงศ.์ ......ธรณีศวร........ราเชนทร์..........ทา้ วธรณิศ ไท้ธาษตร.ี ......ปิ่นเกลา้ ธาษตรี 8. พระอนิ ทร์ โกสยี .์ ................โกษี...............อนิ ทรา............มรุตวาน เทพาธบิ ด.ี .........อมรนิ ทร์........วชิราวธุ ...........อมเรศร วชั รนิ ทร.์ ...........ตรีเนตร.........สหสั โยน.ี ........วชิรปาณี สหัสนัยน์.........เพชรปราณ.ี ...ท้าวพันตา........สกั กะ โกสนิ ทร์...........พนั เนตร........มฆั วาน 9. ครฑุ กาศยป.................ไวนเตยะ...............สวุ รรณกาย..............นาคานตกะ ปนั นนาสน.์ ......เวนไตย.................ขเดศวร...................สบุ รรณ ชวี ิตน้ีพัฒนาได้ ถา้ เราใหโ้ อกาสแกช่ วี ิต (ตาราเล่มขอเป็นกาลงั ใจเคียงข้างคุณ)


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook