วถิ ชี วี ติ วัฒนธรรม อําเภอพยุหะคีรี จังหวดั นครสวรรค ๓๕ วิถีชีวิต วฒั นธรรม อาํ เภอพยหุ ะคีรี จงั หวัดนครสวรรค
๓๔ วถิ ีชีวติ วัฒนธรรม อําเภอพยหุ ะคีรี จงั หวดั นครสวรรค
วถิ ชี ีวิต วฒั นธรรม อําเภอพยุหะครี ี จงั หวัดนครสวรรค ๓๕ คาํ ปรารภ อธิบดีกรมสงเสริมวฒั นธรรม วัฒนธรรมเปนสิ่งท่ีแสดงถึงความเจริญงอกงาม ความเปน ระเบียบ เรียบรอย เปน มรดกทางสังคมไทย ทบ่ี รรพบุรุษไดสรางสรรค และส่ังสมมาต้ังแตอดีตจนถึงปจจุบัน ถายทอดจากรุนสูรุน มีขนบธรรมเนียมประเพณีอันเปนท่ียอมรับรวมกันในสังคมน้ันๆ ศิลปวัฒนธรรมของไทย มีความแตกตางกันในแตละทองถ่ิน ทั้ง ขนบธรรมเนียมประเพณี ภาษาพูด ภาษาเขียน การแตงกาย อาหาร วิถีชีวิต และความเชื่อ ซ่ึงมีเอกลักษณเฉพาะที่บงบอกถึงคานิยม ความเช่ือ ศาสนา วิถีชีวิตความเปนอยู ตลอดจนสภาพแวดลอมของ ผูคนในทองถ่นิ แสดงใหเห็นถึงความเจริญรุงเรืองทางวัฒนธรรมท่แี ฝง ไปดวยภูมิปญญา และความเปนชาติที่มีอารยธรรมเกาแกมาชานาน จนกลายเปน รากฐานขององคค วามรทู างศลิ ปวฒั นธรรม และภมู ปิ ญ ญา ในดานตางๆ ทม่ี ีคณุ คาของไทย ในการนี้ เพ่ือประโยชนในการอนุรักษหรือฟนฟูจารีตประเพณี ภูมิปญญาทองถ่ิน ศิลปวัฒนธรรมอันดีงามของทองถ่ินและของชาติ และประสานการดาํ เนนิ งานวฒั ธรรมซง่ึ ภาคประชาสงั คม และประชาชน มสี ว นรว ม กรมสง เสรมิ วฒั นธรรม จงึ ไดใ หก ารสนบั สนนุ สภาวฒั นธรรม จังหวัดนครสวรรค ดําเนินการจัดทําหนังสือวิถีชีวิตวัฒนธรรมอําเภอ
๓๔ วิถีชีวติ วัฒนธรรม อําเภอพยุหะคีรี จังหวดั นครสวรรค ตางๆ ในจังหวัดนครสวรรค เพื่อรวบรวมและเผยแพรขอมูลซ่งึ เปน ทุน ทางวัฒนธรรมของจังหวัดนครสวรรค เพ่ือใหเกิดประโยชนสําหรบั เด็ก เยาวชน และบุคคลท่ัวไป ไดศึกษาและรวมภาคภูมิใจในวัฒนธรรม ทองถิน่ จนกอใหเกิดความรกั ความภาคภมู ิใจในมรดกทางวัฒนธรรม ของตน ตระหนักและเห็นคุณคาของวัฒนธรรมทองถิ่น ปลูกจิตสํานึก ความรักชาติ รักถ่ิน รักแผนดินนครสวรรค และรวมอนุรักษสืบสาน วัฒนธรรมเหลานี้ใหอนชุ นคนรุนหลงั สืบตอไป (นายชาย นครชยั ) อธิบดีกรมสงเสริมวัฒนธรรม
วิถชี วี ิต วฒั นธรรม อาํ เภอพยหุ ะคีรี จังหวดั นครสวรรค ๓๕ คาํ นิยม ผวู า ราชการจังหวดั นครสวรรค การจัดทาํ หนงั สือ วิถีชีวิต วฒั นธรรมอําเภอตางๆ ของจังหวัด นครสวรรค เปนการทํานุบํารุงศิลปะและวัฒนธรรม เพ่ือใหเกิด การสบื สาน และการสรา งองคค วามรทู างดา นวฒั นธรรมนบั เปน พนั ธกจิ ท่ีสําคัญของงานวัฒนธรรม การที่กรมสงเสริมวัฒนธรรม สนับสนุน ใหส ภาวฒั นธรรมจงั หวดั นครสวรรคร ว มกบั สาํ นกั งานวฒั นธรรมจงั หวดั นครสวรรค ดําเนินการจัดทําหนังสือวิถีชีวิต วัฒนธรรมอําเภอ ๑๕ อาํ เภอ ในจงั หวดั นครสวรรค เพอ่ื ดแู ลรกั ษา สบื สานมรดกทางวฒั นธรรม และเผยแพรขอมูล ซึ่งเปนทุนทางวัฒนธรรมของจังหวัดนครสวรรค ขอมูลดังกลาวไดมาจากการสังเคราะหและเรียบเรียงเน้ือหาจาก คณะกรรมการสภาวฒั นธรรมจงั หวดั นครสวรรค นกั วชิ าการสาํ นกั งาน วฒั นธรรมจงั หวดั นครสวรรค และผมู คี วามรทู ห่ี ลากหลาย โดยรวบรวม ประวัติ ตํานาน ชุมชนดั้งเดิมโบราณสถาน-โบราณวัตถุ ศาสนา และความเช่ือ บุคคลสําคัญทางศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรมทองถ่ิน รุกขมรดก แหลงทองเทยี่ วเชิงวฒั นธรรม บคุ คลผูทาํ คณุ ประโยชนดาน วฒั นธรรมทค่ี วรยกยอ งอนั สะทอ นถงึ วฒั นธรรมของจงั หวดั นครสวรรค ซึ่งจะเปนประโยชนตอการสืบคน การเก็บรวบรวมเรื่องราวตางๆ ใน รปู แบบหนังสือ บนั ทึกลงแผนซีดี และจัดทาํ QR Code
๓๔ วถิ ีชวี ติ วัฒนธรรม อําเภอพยหุ ะคีรี จังหวดั นครสวรรค ในนามของจังหวัดนครสวรรค ขอแสดงความชื่นชมและขอ ขอบคุณคณะกรรมการสภาวัฒนธรรมจังหวัดนครสวรรค นักวิชาการ วัฒนธรรม สํานักงานวัฒนธรรมจังหวัดนครสวรรค และผูเก่ียวของ ทไ่ี ดทุมเทแรงกาย แรงใจในการจดั ทาํ หนงั สือวิถีชีวิต วฒั นธรรมอาํ เภอ ๑๕ อาํ เภอ จังหวดั นครสวรรค เพื่ออนรุ กั ษและเผยแพรขอมลู อนั จะ เปน ประโยชนตอคนรุนหลงั ตอไป (นายอรรถพร สิงหวิชยั ) ผูวาราชการจังหวดั นครสวรรค
วิถชี ีวิต วฒั นธรรม อําเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค ๓๕ คํานิยม วัฒนธรรมจังหวดั นครสวรรค หนังสือวิถีชีวิต วัฒนธรรมของแตละอําเภอนี้ เปนการรวบรวม ขอมลู ความรตู างๆ ทเ่ี ปน เรอ่ื งราวของทองถนิ่ ทมี่ ีมาอยางยาวนาน ดาน ศิลปะและวัฒนธรรม วิถีชีวิต ประเพณี ชุมชนด้ังเดิม โบราณสถาน โบราณวตั ถุ ความเปน อยทู ส่ี อื่ การรกั ษาอารยธรรมของบรรพบรุ ษุ ทเ่ี ปน เอกลักษณของแตละอําเภอไว เพ่ือใหคนรุนหลังไดเรียนรู ไดสืบทอด และตอยอดทางวฒั นธรรม กระผมตองขอขอบคุณและชื่นชมนักวิชาการวัฒนธรรม ผูประสานงานประจําอําเภอทุกทาน ผูเกี่ยวของทุกฝายทุกทานท่ีไดให ขอมูล คําแนะนํา ขอเสนอแนะ ที่เปนประโยชนในการจัดทําหนังสือ ในครงั้ นี้ เพอ่ื เกบ็ รวบรวมขอ มลู จนสาํ เรจ็ ตามวตั ถปุ ระสงคข องโครงการ ทายนี้หวังเปนอยางย่ิงวาหนังสือเลมนี้จะเปนประโยชนในการ ศึกษาคนควา สําหรับ นักเรียน นักศึกษา ประชาชน และผูสนใจท่วั ไป และขอใหทุกทานรวมอนุรักษสืบสานวัฒนธรรม ประเพณีของทองถิ่น น้ันไวใหคงอยูกบั ลกู หลานสืบไป (นายประสิทธ์ิ พุมไมชยั พฤกษ) วฒั นธรรมจังหวัดนครสวรรค
๓๔ วถิ ีชีวติ วัฒนธรรม อําเภอพยหุ ะคีรี จงั หวดั นครสวรรค
วถิ ชี ีวิต วัฒนธรรม อาํ เภอพยุหะคีรี จงั หวดั นครสวรรค ๓๕ คาํ นาํ ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวดั นครสวรรค วัฒนธรรม หมายถึงวิถีการดําเนินชีวิต ความคิด ความเชื่อ คานิยม จารีตประเพณี พิธีกรรม และมรดกภมู ิปญ ญา ซึง่ กลุมคนและ สังคมไดรวมกันสรางสรรค ส่ังสม ปลูกฝง เรียนรู สืบทอด ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง เพ่ือใหเกิดความเจริญงอกงาม ท้ังดานจิตใจและวัตถุ ใหเกิดสันติสขุ และความยั่งยืนสืบไป หนังสือวิถีชีวิต วัฒนธรรมเลมน้ี มาจากการสังเคราะหและ เรยี บเรยี งเนอ้ื หาจากนกั วชิ าการสาํ นกั งานวฒั นธรรมจงั หวดั นครสวรรค และคณะกรรมการสภาวัฒนธรรมจังหวัดนครสวรรค ซ่ึงแบงออก เปน เลม เลมละ ๑ อาํ เภอ รวม ๑๕ เลม ๑๕ อาํ เภอ เนื้อหาไดแก ประวตั ิ ตํานาน สภาพปจจุบนั ชุมชนด้ังเดิม ศิลปะทองถิ่น วฒั นธรรมทองถ่นิ แหลงทองเท่ยี วเชิงวฒั นธรรม บคุ คลผูทําคณุ ประโยชนดานวัฒนธรรม ที่ควรยกยองในอําเภอตางๆ ของจังหวัดนครสวรรค จัดทําในรูปแบบ หนงั สอื แผน ซดี ี และจดั ทาํ QR Code ทงั้ นไ้ี ดร บั การสนบั สนนุ งบประมาณ จากกรมสงเสริมวัฒนธรรม โดยความรวมมือของจังหวัดนครสวรรค เปนอยางดียง่ิ หวังเปนอยางยิ่งวา หนังสือวิถีชีวิตวัฒนธรรมอําเภอเลมนี้ จะเปนประโยชนแกนักเรียน นักศึกษา ประชาชนทั่วไป และขอใหเรา
๓๔ วิถีชีวิต วฒั นธรรม อาํ เภอพยุหะครี ี จังหวดั นครสวรรค ชวยกนั สงเสริม อนุรกั ษ วัฒนธรรมใหเจริญงอกงามยง่ิ ขึ้น ขอขอบคณุ ผูเกี่ยวของ ที่ใหขอมูลทุกทาน ลวนเปนผูกอใหเกิดความสําเร็จใน การจัดทําหนังสือในคร้ังนี้ หนังสือวิถีชีวิตวัฒนธรรม เลมนี้จึงถือไดวา มีคุณคาอยางย่ิง เปน สมบัติของเราชาวจงั หวดั นครสวรรคตอไป (นายนทั ธี พคุ ยาภรณ) ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวดั นครสวรรค
วิถีชวี ิต วฒั นธรรม อําเภอพยหุ ะคีรี จงั หวัดนครสวรรค ๓๕ สารบัญ หนา เรือ่ ง ๑ ๕ บทท่ี ๑ ประวตั ิ คาํ ขวญั ประวัติ ๙ คําขวญั ๑๒ บทท่ี ๒ ชุมชนดั้งเดิม ๒๓ ตาํ นาน ๓๐ สภาพปจจบุ ัน ๓๔ บทท่ี ๓ ศาสนาและความเชอ่ื ๔๙ วัดและศาสนสถาน ศาสนสถานอื่นๆ ๖๕ บุคคลสําคญั ทางศาสนา ๖๕ บทที่ ๔ ศิลปะทองถิ่น ศิลปกรรมสาขาตางๆ บทที่ ๕ วัฒนธรรมทองถ่นิ วิถีชีวิต การแตงกาย
๓๔ วถิ ชี ีวติ วัฒนธรรม อําเภอพยหุ ะคีรี จังหวัดนครสวรรค ๖๗ ๖๗ อาชีพ ๗๒ มรดกภมู ิปญ ญาทองถ่นิ รุกขมรดก ๗๕ บทท่ี ๖ แหลงทอ งเทย่ี วเชิงวฒั นธรรม สถานท่ี บรรณานกุ รม ภาคผนวก
วถิ ชี วี ติ วัฒนธรรม อาํ เภอพยุหะคีรี จงั หวดั นครสวรรค ๓๑๕ ๑บทท่ี ประวัติ ตํานาน คาํ ขวญั และสภาพปจ จุบนั ประวตั ิอําเภอพยุหะคีรี ๑.๑ ยุคแรก (สมยั กอ นประวตั ิศาสตรทวารวด)ี ตามพงศาวดารเมอื งเหนอื ไดเ ลา ไวว า เมอื่ ปพ ทุ ธศกั ราช ๑๒๐๐ สมยั ทวารวดีหรือสมยั ลพบรุ ี เมืองหริภญุ ชยั (ลาํ พนู ) ขาดเจาครองนคร ไมมีผูสืบสันตติวงศ จึงสงคณะเสนาบดีมายังเมืองลพบุรี เพอ่ื กราบทลู ขอพระนางจามเทวี (อานวา จามะเทวี) จากพระบิดา ใหเสด็จไปครอง นครหริภุญชยั พระนางจามเทวีพรอมดวยขาทาสบริวารราวหาพันคน
๓๒๔ วถิ ีชีวิต วัฒนธรรม อาํ เภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค จึงออกเดินทางจากเมืองลพบุรีโดยทางชลมารคยอนขึ้นมาตามลํานํ้า เจาพระยาจนกระท่ังถึงบานทานํ้าออยในปจจุบัน จึงรับสั่งใหหยุด พักแรม ผูตามเสดจ็ จึงขึ้นฝงสรางท่ีอยูอาศัยกันช่วั คราว พระนางจามเทวีไดออกสํารวจพ้ืนที่บริเวณดานหลังบาน ทานํ้าออย พบวาเปนทําเลท่ีเหมาะสมสําหรับการสรางเมืองเพราะมี ภเู ขาลอมอยูดานหนง่ึ จึงรบั สัง่ ใหไพรท่ตี ิดตามมาชวยกนั สรางเมืองขึ้น ณ ทแ่ี หง น้ี และทรงตงั้ ชอื่ วา “เมอื งบน” ยงั มคี นั คทู สี่ รา งขนึ้ เองในสมยั นน้ั ปรากฏอยจู นถึงทกุ วนั นี้ ปจ จบุ นั เรียกชอื่ สถานทนี่ ั้นวา “บานบน” อยใู น ตําบลมวงหัก ครั้นเมื่อพระนางจามเทวีเสด็จจากไปแลว เมืองบนขาด ผูสืบสานตอปลอยทิ้งรางไวเปน เวลานับพันป จึงมีสภาพอยางที่เหน็ อยู ในปจ จุบนั
วิถชี ีวิต วัฒนธรรม อาํ เภอพยหุ ะครี ี จังหวัดนครสวรรค ๓๕ ๑.๒ ยุคท่สี อง (สมยั กรงุ รตั นโกสินทร) คร้ันกาลเวลาลวงเลยมาจนถึง พ.ศ. ๒๔๐๘ ในรัชสมัยของ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา เจา อยหู วั รชั กาลท่ี ๔ มพี ระบรมราชโองการ ใหยกบานทาน้ําออย (แขวงเมืองนครสวรรค) บานหนองโพ (แขวงเมือง อินทรบรุ )ี และบานพองั คนั (แขวงเมืองชยั นาท) เปน เมืองพยหุ ะคีรี ตงั้ ทว่ี า การเมอื งและจวนเจา เมอื งทบ่ี า นทา นาํ้ ออ ย ฐานะของเมอื งพยหุ ะครี ี เปน เมอื งชนั้ จตั วา ขนึ้ ตรงตอ กรงุ เทพมหานครเจา เมอื ง มยี ศบรรดาศกั ด์ิ เปน พระพยหุ าภบิ าล ศกั ดนิ า ๒,๐๐๐ ไรป ลดั เมือง มยี ศบรรดาศกั ดเ์ิ ปน หลวงวิจารณพยหุ พลยกกระบตั รเมือง (อัยการ ดแู ลการพิพากษาคด)ี มียศบรรดาศกั ดเ์ิ ปน หลวงสกลรกั ษา
๓๔ วิถชี ีวิต วัฒนธรรม อําเภอพยหุ ะครี ี จังหวดั นครสวรรค วดั ทจ่ี ดั พธิ ถี อื นา้ํ พพิ ฒั นส ตั ยา คอื วดั พระปรางคเ หลอื งเจา เมอื ง พยุหคีรี ทานแรก คือ พระพยุหาภิบาล (ขุนเทพชา)เจาเมืองพยุหะคีรี ทานสุดทาย คือ พระพลสงคราม (สาง) ซึ่งดํารงตําแหนงนายอําเภอ พยหุ ะคีรี เปน ทานแรก ตราประจําเมืองพยุหะคีรี เปนรูปเทวดาประทับบนพระวิมาน (เปนตราประจําตําแหนงเจาเมืองดวย)ตราปลัดเมือง เปนรูปเทวดา ตรายกกระบตั รเมอื ง เปน รปู เทวดาทรงหงส ในป พ.ศ. ๒๔๓๘ (ในรชั สมยั รัชกาลที่ ๕) เม่ือมีการตั้งมณฑลนครสวรรค เมืองพยุหะคีรี มีฐานะ เปนเมืองหนึ่งในเขตมณฑลนครสวรรคป พ.ศ. ๒๔๔๐ เมืองมีการต้ัง หนวยการปกครองเปน “อําเภอ” เมืองพยุหะคีรี ท่ีเปนเมืองชั้นจัตวา (เมืองขนาดเล็ก) ถูกลดฐานะลงเปนอําเภอ จึงมีฐานะเปนอําเภอเมือง พยุหะคีรี ขึ้นกับเมืองนครสวรรค (ในเวลาน้ันใหคงคาํ วา เมือง ตอทาย คําวาอําเภอไวกอน) และไดมีการต้ังชื่ออําเภอข้ึนมาใหมวา “อําเภอ พยุหะคีรี” ตอมาอาคารที่วาการอําเภอเริ่มเกา ทรุดโทรมมาก และ สถานที่เริ่มคับแคบ จึงไดยายมาตั้งอยู ณ หมูที่ ๓ ตําบลสระทะเล เมือ่ เดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๔๑ จนถึงปจ จุบัน
วถิ ีชีวิต วฒั นธรรม อาํ เภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค ๕๓๕ คําขวัญอาํ เภอพยุหะคีรี “สามหลวงพอศักดส์ิ ิทธ์ิ แหลงผลิตพระเคร่อื ง นามกระเด่อื งชางฝมือ เลื่องระบือเกษตรกรรม” ความหมายของ “สามหลวงพอ ศกั ด์สิ ิทธ์”ิ สามหลวงพอศักดส์ิ ิทธ์ิ ซง่ึ หมายถึง หลวงพอเทศ (วัดสระทะเล) หลวงพอเดิม (วดั เขาแกว) และหลวงพอกนั (วัดเขาแกว) หลวงพอเทศ วัดสระทะเล หลวงพอเดิม วัดเขาแกว
๓๖๔ วิถชี วี ติ วฒั นธรรม อาํ เภอพยหุ ะคีรี จังหวดั นครสวรรค หลวงพอกัน วัดเขาแกว หลวงพอทั้งสามเปนพระสงฆท่ีชาวอําเภอพยุหะคีรีใหความ เคารพนบั ถอื มากและยดึ ถอื เปน ทพ่ี งึ่ ทางจติ ใจ ถงึ แมป จ จบุ นั นส้ี ามหลวงพอ จะมรณภาพไปนานแลวแตยังคงเปนท่ีเคารพสักการะและนับถือเปน พระอริยสงฆทีม่ ีความศักดส์ิ ิทธ์ขิ องชาวอาํ เภอพยุหะคีรีอยูตลอดไป
วถิ ชี ีวติ วฒั นธรรม อําเภอพยหุ ะครี ี จงั หวัดนครสวรรค ๗๓๕ ความหมายของ “แหลงผลิตพระเครื่อง” อาํ เภอพยหุ ะคีรีมีผูประกอบอาชีพหลอพระจาํ นวนมาก ซงึ่ เปน งานศิลปะพื้นบานทีถ่ ายทอดกนั มาจากบรรพบรุ ษุ จนถึงรนุ ลกู รนุ หลาน เปน ท่รี ูจกั และมีผูมาติดตอสัง่ ทาํ จากทัว่ ประเทศ ความหมายของ “นามกระเดอ่ื งชา งฝมือ” อําเภอพยุหะคีรีมีชางฝมือหลายประเภทที่มีช่ือเสียงโดงดังเปน ท่ีรูจักของคนทั่วไป ไดแก งานแกะสลักชาง-ไมมงคล-กระดูกสัตว งานหลอพระ งานเครอ่ื งปนดินเผาประยกุ ตและงานจักสาน
๓๘๔ วิถีชวี ติ วฒั นธรรม อําเภอพยหุ ะครี ี จังหวดั นครสวรรค ความหมายของ “เล่อื งระบือเกษตรกรรม” อาํ เภอพยหุ ะครี มี งี านเกษตรกรรมมากถงึ รอ ยละ ๘๕ ของพนื้ ที่ ทงั้ หมด มแี มน า้ํ เจา พระยาไหลผา นและมรี ะบบการชลประทาน สามารถ ทาํ นาไดต ลอดทง้ั ป นอกจากนย้ี งั มกี ารปลกู พชื ไร การประมง การปศสุ ตั ว จนมีผลผลิตเลี้ยงคนในอําเภอพยุหะคีรีและสงออกไปจําหนายพื้นที่อ่ืน ไดอีกดวย ชา งแกะสลกั งาชางในอําเภอพยหุ ะคีรี
วิถชี ีวิต วฒั นธรรม อาํ เภอพยหุ ะคีรี จังหวดั นครสวรรค ๙๓๕ ๒บทท่ี ชมุ ชนดัง้ เดิม แหลง โบราณสถาน ตํานาน / เรอ่ื งเลาของอาํ เภอ ตํานานอาํ เภอพยหุ ะคีรี ที่มาของช่ือ “พยุหะคิร”ี ตั้งแตเรม่ิ กอตง้ั อาํ เภอจนถึงปจ จบุ นั อาํ เภอพยหุ ะคีรี มีชอ่ื เรียก กันมาหลายชื่อไดแก ๑) บานหัวแดน ๒) บานหัวแดน ๓) บานพยหุ / บานพยุหแดน ๔) พยหุ ครี ี / พยหุ ะครี ี (ชอ่ื ปจ จบุ นั ) ท่มี าของช่ือตางๆ มีเร่อื งเลาตอๆ กันมา ดังนี้ ๑) บานหัวแดน ในสมัยโบราณ พื้นที่ภาคเหนือตอนลางตอ กบั ภาคกลางนี้มีเมืองใหญอยูสองเมือง คือ เมืองพระบาง (นครสวรรค) อยูทางเหนือ เมืองสวรรค (สรรคบุรี - ชัยนาท) อยูทางใต โดยแบง เขตแดนไวท่บี านพยหุ ะคีรีนี้เอง ตรงนี้จึงเรียกวา “บานหัวแดน” ตอมา เรียกเพี้ยนไปเปน “บานหวั แดน) ๒) บานหัวแดนในสมัยหลวงพอคูหา เจาอาวาสวัดเขาแกว (ตําบลพยหุ ะ) มีถํ้าใหญที่เชิงเขาแกวในบริเวณวัด หลวงพอคูหาอาศัย
๓๑๐๔ วิถีชีวิต วฒั นธรรม อาํ เภอพยหุ ะครี ี จังหวัดนครสวรรค ถาํ้ นเี้ ดนิ ลงไปสรงนาํ้ ทป่ี ากถา้ํ ซง่ึ อยรู มิ แมน าํ้ เจา พระยาใกลก บั คลองไทร ทา นคดิ วา ถา้ํ วา นม้ี คี วามศกั ดสิ์ ทิ ธม์ิ าก มเี พยี งหลวงพอ คหู าเทา นนั้ ทใ่ี ช ถา้ํ นไ้ี ด ภายในมเี ครอื่ งใชถ ว ยโถโอชามอยเู ปน จาํ นวนมาก ผทู มี่ างานพธิ ี เชน บวชนาค แตงงาน ทําบุญตางๆ จะเขาไปหยิบยืมมาใชกันได เมอื่ เสร็จงานแลวก็นํากลับไปไวที่เดิม ย่ิงกวาน้ันทานยังเลาถึงวันดีคืนดีจะ มีวัวใหญสีแดง หนาขาว ออกมาปรากฏกายใหคนเหน็ ชาวบานเรียกวา วัวแดนหรืองวั แดน ภายหลงั จึงเรียกบานนี้วา บานววั แดน แลวเพี้ยนมา เปน “หวั แดน” ๓) บานพยุหะ / บานพยุหะแดนดินแดนแหงน้ีเปนหัวแดน ระหวางเมืองพระบางกับเมืองสวรรค สองเมืองนี้ถือเปนพี่นองกัน หากมีศัตรูรุกรานเมืองหนึ่ง อีกเมืองหน่ึงจะยกกองทัพไปชวยเหลือกัน หากเดินทัพจากเมืองพระบางก็จะตองมาคางแรมท่ีหัวแดน นี้ ทํานอง เดียวกัน หากเดินทัพจากเมืองสวรรคขึ้นมาก็จะมาพกั คางแรม ณ ทน่ี ี้ ตอมาจึงมีผูเรียกชื่อบานนี้อีกชอ่ื หน่งึ วา บาน “พยหุ ” ซ่งึ แปลวากองทพั หรือทพ่ี กั กองทพั ตอ มาไดม กี ารจดั ตงั้ พืน้ ทบ่ี รเิ วณนเ้ี ปน ตาํ บล จงึ ตั้งชอ่ื วา “ตําบลพยุหแดน” ชอ่ื นี้ปรากฏอยูในโฉนดทด่ี ินเกาๆ ภายหลงั จึงตดั คําวา “แดน” ออก เปน “ตาํ บลพยุหะ” มาจนถึงปจ จุบันนี้ ๔) พยหุ ครี /ี พยหุ ะครี พี ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา เจา อยหู วั รัชกาลท่ี ๔ ทรงต้ังและพระราชทานนาม “เมืองพยหุ คีร”ี (ไมมีสระอะ) ซึ่งหมายความวา “เมืองแหงกองทัพภูเขา” ภายหลังจึงเขียนเปน “พยหุ ะคีร”ี (มีสระอะ)
วิถีชีวติ วัฒนธรรม อําเภอพยุหะครี ี จังหวดั นครสวรรค ๑๓๕๑ ตาํ นานหนองนํ้าทรง มีอภินิหารของงูเหลือมอาศัยอยูบริเวณหนองน้ําทรง เวลา งูเหลือมออกมาหากิน จะมีหมาหอนและวายน้ําขามหนองน้ําทรงไปให งูเหลือมกิน ชาวบานกลัววาจะเกิดอาเพศ จึงไดจับงูเหลือมไปถวงน้ํา ที่หนาวัดทรง เม่ือถวงน้ําแลวงูก็ยังไมตาย ยังคงโผลในน้ําอยู ๗ วัน หลังจากน้ัน น้ํากลายเปนสีนํ้าตาล มีกลิ่นคาว ไมสามารถใชดื่มกินได ทําใหประชาชนอพยพไปอยูท่อี ่นื เพราะไมมีนํ้าใชในชีวิตประจาํ วนั ตาํ นานวดั เขาแกว เขาแกวเปนภูเขาอยูที่ หมูที่ ๔ ตําบลพยุหะ สูง ๗๕ เมตร เชิงเขาเปน ท่ตี ั้งวัด เรียกวา “วดั เขาแกว” ท่ีไดช่ือวา “เขาแกว” เพราะ สภาพหินของเขามีลักษณะเปนเหล่ียมหกเหล่ียมเปนแกวใส บางกอน มีสาหราย มีสีตางๆ เชนสีเขียว สีแดง สีผักตบ เปน รูปตางๆ บางชนิด กม็ ีเขม็ เปน เขม็ ทอง เข็มเงินอยูภายในกอนแกวนนั้ จึงไดชื่อวา เขาแกว ท่ีเชิงเขามีถํ้าอยูหน่ึงถ้ํา ปากถ้ําเปนปลองยาวประมาณ ๕๐๐ เมตร ไปโผลท่ีทาจันทรปากคลองบางไทร ฝงแมนํ้าเจาพระยา ตรงสะพาน ทางขามไปท่วี าการอําเภอพยหุ ะคีรี ภายในถ้ํากวางใหญมีทรพั ยสมบตั ิ และมีโคแกวตวั ใหญหนาแดน ดวงตาของโคแกวสองแสงประกายสวาง ภายในถํ้านั้น สมัยนั้น หลวงพอคูหาเปนเจาอาวาส ทานมักจะลงจาก ปากถ้ําไปสรงนํ้าที่ทาจันทรเสมอ วันหน่ึงสามเณรท่ีอยูปฏิบัติกับทาน
๑๓๒๔ วิถชี วี ติ วฒั นธรรม อําเภอพยหุ ะคีรี จังหวดั นครสวรรค ไดส งั เกตเหน็ หลวงพอ คหู าเดนิ ไปในปา และเมอ่ื กลบั ออกมาจะมผี า เปย ก น้ําพาดบากลบั มา สามเณรนึกแปลกใจวา หลวงพอไปสรงน้ําทไ่ี หน จึง ไดส ะกดรอยตามไปจนถงึ ถาํ้ และเดนิ ตามเขา ไปในถา้ํ จงึ ไดพ บกบั โคแกว และทรพั ยส มบตั มิ ากมาย เมอื่ หลวงพอ สรงนาํ้ เสรจ็ กลบั มาพบสามเณร หลวงพอเกรงวาจะเกิดอนั ตรายแกทรพั ยสมบตั หิ รืออนั ตรายแกผลู งไป ในถาํ้ ทา นจงึ เกณฑช าวบา นชว ยกนั เอาหนิ เอาดนิ ไปปด ปากถาํ้ ตง้ั แตน นั้ มา เนินดินท่ีถมปากถ้ํายังปรากฏเปนสันเนินสูง ขนาดเทาจอมปลวกใหญ มาจนถึงทุกวนั นี้ และคําวา โคแกว ตอมาไดเพี้ยนเปน “เขาแกว” สภาพปจจบุ ัน แผนทเี่ ขตการปกครองของอําเภอพยหุ ะคีรี
วถิ ชี วี ิต วัฒนธรรม อําเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค ๓๑๓๕ แผนท่ีเขตการปกครองของอาํ เภอพยุหะคีรี การปกครอง อําเภอพยุหะคีรี แบงเขตการปกครองตาม พ.ร.บ. ลักษณะ การปกครองทองท่ี พ.ศ. ๒๔๕๗ ออกเปน ๑๑ ตําบล ๑๒๕ หมูบาน ไดแก ๑. ตําบลเขากะลา ๑๙ หมูบาน ๒. ตาํ บลเขาทอง ๑๒ หมูบาน ๓. ตําบลเนินมะกอก ๑๒ หมูบาน ๔. ตําบลสระทะเล ๑๒ หมูบาน ๕. ตาํ บลมวงหกั ๑๐ หมูบาน ๖. ตาํ บลนิคมเขาบอแกว ๑๖ หมูบาน ๗. ตําบลพยหุ ะ ๙ หมูบาน
๓๑๔ วิถชี ีวติ วฒั นธรรม อําเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค ๘. ตาํ บลนํ้าทรง ๑๑ หมูบาน ๙. ตาํ บลทาน้ําออย ๘ หมูบาน ๑๐. ตําบลยางขาว ๙ หมูบาน ๑๑. ตาํ บลยานมทั รี ๗ หมูบาน ชือ่ บา นนามเมืองอําเภอ/ตาํ บล หวั แดน นามบา น ตาํ บลพยหุ ะ อาํ เภอพยหุ ะครี ี จงั หวดั นครสวรรค นายสรุ นิ ทร เรอื งฤทธ์ิ เลา วา ทเ่ี ชงิ เขาแกว มถี าํ้ ใหญอ ยถู า้ํ หนงึ่ ถา้ํ นย้ี าว ไปสดุ ปลายนาํ้ ไปจรดรมิ แมน า้ํ เจา พระยา สมยั ทยี่ าย (ของผเู ลา ) ยงั เปน เดก็ ถํ้านี้ยังมีอยู แตเด๋ียวนี้ถูกปดเสียแลว มีเร่ืองเลาตอมาวาครั้งกระโนน ถ้ําทเ่ี ปนท่เี กบ็ สมบัติของกษตั ริยโบราณ เชน เพชรนิลจินดา แกวแหวน เงินทอง แตไมมีผูใดพบเห็นบอยนัก เปนส่ิงศักด์ิสิทธิ์ ผูมีบุญเทานั้น ท่ีจะไดเห็น คนท่ีหยิบฉวยไปเปนสมบัติสวนตัวก็ไมได เพราะมีวัวใหญ ตัวหนึ่งเฝาอยู เลากันวาวัวตัวนี้มีรูปรางใหญโต มีลักษณะสงางาม สีแดง กลางศีรษะมีสีขาวดาง ชาวบานเรียกวา “วัวแดน” เรียกกันไป เรียกกันมาเลยเพ้ียนไปเปน “หัวแดน” ปจจุบันคือ “หมูบานหัวแดน” เปน ทต่ี ั้งท่วี าการอําเภอพยุหะคีรี เขาทอง นามบาน ตําบลเขาทอง อําเภอพยุหะคีรี จังหวัด นครสวรรค นายสมหวงั คอนดี เลาวา ในสมัยกอนมีวดั เกาแกวดั หนึง่ เรียกวา วดั เขาทอง มีภเู ขาหลายลูก บริเวณแถวน้ันเรียกหมูบานลบั แล วนั ดคี ืนดมี ที องผลดุ ขน้ึ มาจากยอดภเู ขา ผคู นกแ็ ตกตน่ื พากนั ไปดู จนใน
วิถชี ีวติ วฒั นธรรม อาํ เภอพยหุ ะครี ี จงั หวัดนครสวรรค ๑๓๕ สมัยน้ันผูคนเลยสรางวัดข้ึนเรียกวา “วัดเขาทอง” ซึ่งอยูบนยอดภูเขา นายอยู กอนจันทรเทศ เลาถึงบานเขาทองวา แตกอนวดั โต มีทองมาก แตคนในแถบนั้นขาดน้ําใจ วนั หนง่ึ สาวๆ มาตกั นาํ้ มีคนแปลงตัวมาขอ นํ้ากิน แตก็ไมใหกินอีก เพราะเห็นวาปากเนาปากสกปรก แตก็มี คนยากจนคนหน่ึงใหกินก็เลยไดทองไป กลายเปนคนรวยไปเลย สวน คนทไ่ี มใหนํ้ากินกถ็ กู สาปวา “คนเขาทองแมแตตวั เลก็ ตวั นอย ไมใหพบ นํ้ากิน” คนเขาทองก็เลยตองอดนํ้ามาตลอดและสาปอีกวา “ใหทองที่ วดั โตทม่ี ีมาก กใ็ หหายไป” บริเวณน้ันทแ่ี ตกอนเคยมีทอง ตอมาก็ไมมี ทองเหลืออีกเลย จึงเรียกทน่ี ัน่ วา “เขาทอง” พระอธิการพระประเสริฐ อภินนฺโท เลาถึงบานเขาทองวา หมูบานเขาทองนี้เดิมเปน ภูเขาซ่ึงมีดิน เปนสีแดงคลายสีทอง ชาวบานจึงเรียกช่อื หมูบานวา “บานเขาทอง” เขาทองพทุ ธาราม นามวดั ตงั้ อยหู มู ๑๐ บา นปา บวั ทอง ตาํ บล เขาทอง อําเภอพยหุ ะคีรี จงั หวัดนครสวรรค พระครูใบฎีกาเชอ่ื ม ชตุ ินธฺ โร เลาวา วัดเขาทองพทุ ธารามนี้สรางเปน วดั ขึ้น ตั้งแตป พ.ศ. ๒๔๒๐ ชาวบานเรียกวา “วดั ปาบวั ทอง” ตามชือ่ หมูบาน พื้นทว่ี ัดเปน พื้นท่สี งู มี ลักษณะเปนภูเขาเตี้ยๆ นาํ้ ทรงนามบา นตาํ บลนาํ้ ทรงอาํ เภอพยหุ ะครี ีจงั หวดั นครสวรรค หลวงตาหงสเ ลา วา นาํ้ ทรง เปน ชอื่ หมบู า น เพราะในหมบู า นทมี่ หี นองนาํ้ ที่กวางใหญมาก น้ําในหนองนี้จะทรงตัวอยูกับที่ไมแหง เพราะหนองนี้ จะมีคลองเช่ือมกับแมนํ้าเจาพระยาอยูหลายแหง คือ คลองโพ คลองบางเดื่อ และยังมีคลองเช่ือมตอกับแมน้ําสะแกกรังในจังหวัด
๓๑๖๔ วิถีชวี ติ วฒั นธรรม อาํ เภอพยุหะคีรี จงั หวัดนครสวรรค อทุ ยั ธานี ชอ่ื วา คลองอีเตง่ิ คลองบางหวาย ทาํ ใหนํ้าในหนองสามารถ ทรงตัวอยูกับที่ไดจึงต้ังชื่อหมูบานวา “น้ําทรง” และมีคนเฒาคนแก บอกวา ช่อื นํ้าทรง มีประวัติอีกอยางวา ในสมัยรัชกาลท่ี ๕ พระองค ไดเสด็จมาและไดลงสรงนา้ํ ในหนองนํ้าแหงนี้ ชาวบานจีงต้ังช่อื หมูบาน วา “นํ้าสรง” ตอมาไดเปลย่ี นเปน “นํ้าทรง” คลองบางเดอ่ื นามบาน ตาํ บลนํ้าทรง อาํ เภอพยหุ ะคีรี จงั หวดั นครสวรรค พระมหาละมยั ปภสสฺ โร เลา วา หมบู า นนมี้ ลี าํ คลองธรรมชาติ และตนมะเดอ่ื ขึ้นมากมายทั่วไป จึงเรียกกันวา คลองบางเดือ่ มีวัดนาม วา “วดั คลองบางเดอื่ ” สรา งขน้ึ เปน วดั นบั ตงั้ แต พ.ศ. ๒๔๒๐ มนี ามตาม ช่ือหมูบาน สาํ โรง นามบา น ตาํ บลนา้ํ ทรง อาํ เภอพยหุ ะครี ี จงั หวดั นครสวรรค พระอธิการอินทร อนฺทวณฺโร เลาวา หมูบานสําโรงเดิมน้ันมีตนสําโรง อยูตนหน่ึง ชาวบานไดถือเอาตนสําโรงเปนนิมิตหมายเรียกเปนนาม หมูบานวา “บานตนสําโรง” ตอมาเรียกแตเพียง “บานสําโรง” เม่ือ หมูบานนี้มีวัด จึงต้ังนามวาวัดสําโรง ตามชื่อหมูบาน มาตั้งแตพ.ศ. ๒๔๒๗ โปงไอโ หนก นามบาน ตําบลนิคมเขาบอแกว อาํ เภอพยุหะคีรี จงั หวดั นครสวรรค นายคอย กลน่ิ บญุ เลาวา หมูบานแหงนี้เดิมเปนปา ใหญ ในสมยั กอ นยงั ไมม ผี คู นอาศยั อยใู นแถบนเ้ี ลย มแี ตป า ไมเ บญจพรรณ ฝงู สตั วกม็ ากมาย มีทงั้ เสือ เกง กวาง ชาง หมปู า ไกปา และอีกมากมาย หลายชนิด อาศัยอยูในปาแหงนี้ ตอนนั้นยังไมมีใครตั้งชื่อหรือเรียกชื่อ
วถิ ีชีวติ วฒั นธรรม อําเภอพยุหะครี ี จังหวัดนครสวรรค ๑๓๕๗ ปาแหงนี้เลย มีอยูวนั หน่งึ ไดมีกลุมพรานปาไดเขามาลาสตั วในปาแหงนี้ ก็มาพบรอยสตั วมากมายมากินดินโปง ไมวาสตั วไหนๆ กจ็ ะตองมากิน ดินโปงท่นี น่ั ทั้งนัน้ กลุมนายพรานเหลานั้นจึงชวนกันนงั่ หางรานเพ่อื ดกั รอใหส ตั วม ากนิ ดนิ โปง แหง น้ี หนงึ่ ในจาํ นวนพรานเหลา นน้ั ไดม ชี ายหนมุ คนหนงึ่ ชอื่ วาไอโหนกรวมในขบวนการลาสตั วดวย ตกกลางคืนดึกสงดั มีฝูงสัตวมากินดินโปงเหมือนอยางทุกคืน นายพรานชื่อตามีเห็นหมูปา ตัวใหญ เขาใจวาเปนหัวหนาหมูปา ตามีสองไฟไปที่หมูปาและเล็งปน ลั่นไกยิงไปท่ีหมูปาตัวนั้น เสียงปนดังสน่ันหวั่นไหวไปทั่วพรอมกับ เสียงรองของหมูปาตวั นั้นและบรรดาฝงู หมปู าตัวอื่นๆ ทีพ่ ากันตืน่ ตกใจ หมูปาตัวที่ถูกยิงกลับไมตายและไดวิ่งเตลิดหนีหายเขาไปในปาใหญ นายพรานไมป ระสบความสาํ เรจ็ เพราะยงั ลา สตั วไ มไ ดส กั ตวั รอจนกระทง่ั เชา พวกนายพรานก็ออกตามลาหมูปาที่บาดเจ็บตัวนั้น สวนไอโหนก แยกออกมาจากพวกเพื่อไปอุจจาระ เขาไปพบหมูปาตัวน้ันโดยบังเอิญ หมปู า กาํ ลงั บาดเจบ็ จงึ ยง่ิ อารมณด รุ า ย ไอโ หนกโดนหมปู า ขวดิ จนไดร บั บาดเจ็บอาการสาหัสและเสียชีวิตในเวลาตอมา ทีมนายพรานจึงตั้งชอ่ื โปงแหงนี้วา “โปงไอโหนก” มาจนถึงทุกวนั นี้ สระบวั นามบา น ตาํ บลนคิ มเขาบอ แกว อาํ เภอพยหุ ะครี ี จงั หวดั นครสวรรค พระอธิการบุญชวย รุจิธมฺโม เลาวา หมูบานสระบัวท่ีได นามนเี้ พราะมสี ระนา้ํ แหง นอ้ี ยใู นหมบู า น และในสระกม็ บี วั ขน้ึ อยมู ากมาย ชาวบานจึงถือเปนนิมิตเรียกนามบานเปน “บานสระแกว” หมูบานนี้ มวี ดั นาม “วดั สระปทมุ ” กระทรวงศกึ ษาธกิ ารไดป ระกาศตง้ั เปน วดั ตง้ั แต
๑๓๔๘ วิถชี ีวติ วฒั นธรรม อาํ เภอพยุหะครี ี จงั หวัดนครสวรรค วนั ที่ ๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๐ แตชาวบานเรียก “วัดสระบวั ” ตามนาม บา น ความจรงิ แลว “ประทมุ ” กบั คาํ วา “บวั ” มคี วามหมายอยา งเดยี วกนั เขาบอแกว นามบาน ตําบลนิคมเขาบอแกว อําเภอพยุหะคีรี จงั หวดั นครสวรรค พระชาํ นาญ สขุ กาโม เลาวา บานเขาบอแกวไดนาม ตามชื่อภูเขา ที่เรียกวา เขาบอแกว เขานี้มีหินใสเหมือนแกวจึงไดนาม เชนนัน้ ที่หมูบานนี้มีวดั นามวา “วดั เขาบอแกว” กระทรวงศึกษาธิการ ประกาศตั้งใหเปนวัดเมื่อ วันท่ี ๑๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๓ มีนาม ตามช่ือบาน แตชาวบานเรียกนามวัดวา “วัดนิคม” เพราะตั้งอยูนิคม เขาบอแกว หรือ “วัดนิคมบอแกว” ตัดคําวา “เขา” ออกไป บน นามบา น ตาํ บลมว งหกั อาํ เภอพยหุ ะครี ี จงั หวดั นครสวรรค สวสั ดิ์ อมั พรายน เลาวา สมัยเมอื่ นครสวรรค มีนามวาพระบาง ขึ้นกบั เมืองสโุ ขทยั ครน้ั เมอื่ ป พ.ศ. ๑๘๙๓ สมเดจ็ พระรามาธิบดี (อทู อง) ทรง รวบรวมหัวเมืองฝายใต สถาปนากรุงศรีอยธุ ยาขึ้นนั้น เมืองพระบางได ถูกรวบรวมเขาอยูกับอาณาเขตของกรุงศรีอยุธยาดวย ความไดทราบ ถงึ พระมหาธรรมราชาแหง กรงุ สโุ ขทยั จงึ ทรงขอเมอื งพระบางพรอ มกบั เมืองเหนืออ่นื ๆ คืน พระเจาอูทองทรงคืนให การคืนเมืองพระบางครั้ง น้ีไดมีการตกลงกันเรื่องเขตแดนวา ต้ังแตตอนบนของทาน้ําออยข้ึนไป ใหเปนอาณาจักรสุโขทัย ทางใตบานบนลงไปใหข้ึนกับอาณาจักร กรงุ ศรีอยุธยา บานบนจึงไดนามวา “บานบน” เพราะเหตุนี้ บา นบน นามวดั ต้ังอยูเลขท่ี ๑ หมู ๑ บานบน ตาํ บลทานํ้าออย อําเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค พระสมุหถนอม ขนฺติพโล เลาวา
วิถชี ีวติ วัฒนธรรม อาํ เภอพยุหะครี ี จงั หวดั นครสวรรค ๑๓๕๙ วัดบานบนสรางขึ้นเปนวัดต้ังแต พ.ศ. ๒๓๕๙ นามสอดคลองกับช่ือ เจา เมอื ง สมยั นนั้ ชอ่ื วา “เจา เมอื งอบุ ล” เดมิ วดั นมี้ นี ามวา “วดั ทา ชลาวาร”ี หมายถึงวดั ท่ตี ั้งอยูริมคลองหรือทานาํ้ โคกไมเ ดน นามบาน ตาํ บลทาน้ําออย อาํ เภอพยหุ ะคีรี จงั หวดั นครสวรรค พระแฉลม สํเวโค เลาวา บานโคกไมเดนเดิมเรียกวา โคกไมเอน ลักษณะพื้นท่ีของหมูบานเปนเนินเขา สันเขาคลายกับโคก และตนไมท่ีข้ึนอยูตามเนินนั้น มีลักษณะเอนไมต้ังตรงเหมือนตนอ่ืน ชาวบานจึงถือเปนนิมิตเรียกนามวา “บานโคกไมเอน” แตตอมาเปล่ยี น นามเปน “บานโคกไมเดน” เขาไมเดน นามวัด ต้ังอยูหมูท่ี ๘ บานโคกไมเดน ตําบล ทานํ้าออย อําเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค พระแฉลม สํเวโค เลาถึงวดั เขาไมเดนวา วดั นี้สรางขึ้นเมอ่ื พ.ศ. ๒๔๖๒ มีนามอีกนามหนง่ึ วา “วัดโคกไมเดน” ตามนามของบาน พื้นท่ีวัดเปนเนินเขาเรียกวา วดั เขาไมเดน ตามสภาพแวดลอมเปน ปาไม หางนํ้าหนองแขม นามบาน ตําบลมวงหัก อําเภอพยุหะคีรี จงั หวดั นครสวรรค พระครเู ฉย เขมปญโญ เลา วา หมบู า นหางนา้ํ หนองแขม มีนามตามช่ือหนองน้ําที่มีตนแขมขึ้นเต็มไปหมดและหมูบานนี้เปนที่ สน้ิ สดุ ของลาํ คลองนา้ํ ไหลเสมือนวา เปน ปลายนา้ํ หรือหางนาํ้ เหตนุ น้ี าม ของบานจึงไดนามวา “บานหางน้ําหนองแขม” คนทารามทายวารี นามวดั ต้ังอยูเลขท่ี ๓๗ หมู ๘ บานหาง นาํ้ หนองแขม ตาํ บลมว งหกั อาํ เภอพยหุ ะคีรี จงั หวดั นครสวรรค พระครู
๓๒๐๔ วถิ ชี วี ติ วฒั นธรรม อําเภอพยุหะคีรี จงั หวัดนครสวรรค เฉย เขมปญโญ เลา ถงึ วดั คนทารามทา ยวารวี า เปน วดั ทสี่ รา งขน้ึ ประมาณ ป พ.ศ. ๒๓๖๙ ชาวบานเรียกนามวัดวา วดั หางนํ้าหนองแขม ตามนาม บาน เน่ืองจากบริเวณวัดเดิมมีตนคนทามากมาย จึงต้ังเปนนามวา คนทารามประกอบกบั ทหี่ มบู านนี้เปน ปลายนํ้าหรือหางนา้ํ จึงเปน คาํ วา “ทายวาร”ี รวมเปนนามวัดวา “วัดคนทารามทายวาร”ี เขาสามยอด นามวัด ตั้งอยูหมูที่ ๒ บานเขาทอง ตําบล เขากะลา อาํ เภอพยหุ ะคีรี จงั หวดั นครสวรรค พระครอู ธิการบุญเหลือ เลาวา วัดนี้กระทรวงศึกษาธิการประกาศต้ังขึ้นเปนวัด เมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๑ บริเวณวัดเปนภูเขาสามยอด จึงไดนามวัดตาม ภเู ขานนั้ ชาวบานมกั จะเรียกอีกนามหนง่ึ วา “วดั เขาวง” เขาวิวาท นามบาน ตําบลเขากะลา อําเภอพยุหะคีรี จังหวัด นครสวรรค นายคอย กลน่ิ บุญ เลาวา หมูบานแหงนี้อยูใกลเขาลกู หนึ่ง ซง่ึ เขาลกู นย้ี งั ไมม ใี ครตงั้ ชอ่ื และทใ่ี กลเ ขากม็ หี มบู า นซง่ึ มคี นอาศยั อยกู นั หลายครอบครัว อยูกันมาหลายป ประชากรก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เม่ือ ประชากรมมี ากขน้ึ กเ็ กดิ การทะเลาะกนั จากเรอื่ งเลก็ ๆ กก็ ลายเปน เรอ่ื ง ใหญ จนผูคนในหมูบานเริ่มหนีออกจากหมูบานไปอยูที่อ่ืนเพราะวา คนในหมูบานไมถกู กันแบงพรรคแบงพวกและยกพวกตีกัน ทะเลาะกัน อยูทุกวนั จนหมูบานนี้กลายเปนหมูบานราง ไมมีผูคนอาศยั อยูเลย นับ เปนเวลาเกือบ ๒๐ ป จนกระทั่งคนในหมูบานอื่นเร่ิมอพยพเขามาอยู ใหมอีก เพราะสาเหตปุ ระชากรเพิม่ มากขึ้น เม่ือมีทท่ี าํ กินใหม จึงทําให หมูบานมีผูคนมาอยูอาศยั และขนานนามหมูบานแหงนี้วา “หมูบานเขา
วถิ ีชีวิต วัฒนธรรม อําเภอพยุหะครี ี จังหวัดนครสวรรค ๓๒๑๕ วิวาท” เพราะหมูบานอยูใกลภูเขาจึงเอานามภูเขาเปนนามหมูบาน ไปดวย หนองเตา นามบาน ตําบลเขากะลา อาํ เภอพยุหะคีรี จังหวัด นครสวรรค นายสมคิด ทองสิมา เลาวา หมูบานแหงนี้มีหนองนํ้า แหงหนง่ึ มเี ตา อยชู กุ ชมุ จนมคี าํ พดู ตดิ ปากกนั วา “อยากกนิ เตา ใหไ ปเขา กะลา” เพราะทีน่ ม่ี ีเตามาก นามกย็ งั ปรากฏใหเหน็ ทหี่ มูบานแหงนี้มีวดั เรียกวา “วดั หนองเตา” กระทรวงศึกษาธิการประกาศต้ังขึ้นเปนวัดเม่อื วันท่ี ๒๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๗ มีนามตามช่อื บาน ยางขาว นามบาน ตําบลยางขาว อําเภอพยุหะคีรี จังหวัด นครสวรรค พระอธิการเสริม จิตวฑฺฒโน เลาวา หมูบานนี้มีตนยางอยู ตนหน่ึงชาวเรือที่ผานไปมาจะมองเห็นตนยางสีขาวมาแตไกล จึงเรียก กนั วา “บานยางขาว” ยางขาว นามวัด ตั้งอยูท่หี มู ๕ บานยางขาว ตาํ บลยางขาว อําเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค พระอธิการเสริม จิตวฑฺฒโน เลาถึงวัดยางขาววา วัดนี้สรางขึ้นเมอ่ื ประมาณป พ.ศ. ๒๓๖๒ มีนาม ตามชอื่ บา น นามเดมิ วา วดั ทา เกวยี น เพราะสถานทต่ี ง้ั วดั เปน ทา นา้ํ หยดุ เกวียนนําววั ควายลงกินน้ําทท่ี านี้ จึงเรียกกนั มาอยางนั้น ทาตะโก นามบาน ตําบลยางขาว อําเภอพยุหะคีรี จังหวัด นครสวรรค พระอธิการปุย วรธมฺโม เลาวา หมูบานแหงนี้มีตนตะโก ใหญอยูตนหนึ่งเปนสัญลักษณ ประกอบกับอยูริมแมน้ําเจาพระยาซึ่ง เปนทาน้าํ และมีวดั ต้ังอยู จึงไดนามอยางนน้ั
๓๒๒๔ วถิ ีชวี ติ วฒั นธรรม อําเภอพยหุ ะครี ี จังหวัดนครสวรรค หนองหมู นามบาน ตาํ บลเนินมะกอก อาํ เภอพยหุ ะคีรี จงั หวดั นครสวรรค พระอธิการกุล ธมฺเมสโก เลาถึงวัดหนองหมูวา วัดน้ี สรางข้ึนประมาณป พ.ศ. ๑๙๑๕ สมัยกรุงสุโขทัย เดิมมีนามเดิมวา วัดสนามชัยธาราม เขาใจวาเดิมคงเปนสนามสูรบขาศึกเม่ือมีชัยชนะ จึงต้ังนามบริเวณทองท่ีนี้วา “สนามชัย” ตอมาเปน วัดหนองหมู ตาม นามบาน หนองหมู นามวดั ต้ังอยูเลขท่ี ๑๘๐ หมูที่ ๕ บานหนองหมู ตาํ บลเนินมะกอก อําเภอพยหุ ะคีรี จงั หวัดนครสวรรค พระอธิการกลุ ธมเฺ มสโก เลาถึงวดั หนองหมูวา วดั นี้สรางขึ้นประมาณป พ.ศ. ๑๙๑๕ สมัยกรุงสุโขทัย มีนามเดิมวา วัดสนามชัยธาราม เขาใจวาเดิมคงเปน สนามสูรบขาศึกเมื่อมีชัยชนะ จึงตั้งนามบริเวณทองที่นี้วา “สนามชัย” ตอมาเปนวดั หนองหมู ตามนามบาน ยานมัทรี นามบาน ตําบลยานมัทรี อําเภอพยุหะคีรี จังหวัด นครสวรรค นายสมหมาย จนั ทรกลํ่า เลาวา คําวา “ยาน” คือบานหรือ หมบู า นยา นมทั รี เปน หมบู า นทตี่ งั้ อยรู มิ แมน า้ํ เจา พระยา ระหวา งอาํ เภอ โกรกพระกบั อําเภอพยหุ ะคีรี ต้ังอยูแนวคุงนํ้าพอดี แมนํ้าชวงนี้โคงมาก มีคนเลาวามีอยูวันหนง่ึ ไดมีการนิมนตพระลงเทศนกณั ฑมัทรี พอเทศน จบกณั ฑกพ็ อดีกบั การสิ้นสดุ คงุ ของแมนาํ้ ชาวบานจึงเรียกหมบู านนี้วา “ยานมทั ร”ี สระทะเล นามบาน ตาํ บลยานมัทรี อาํ เภอพยหุ ะคีรี จงั หวัด นครสวรรค พระครวู ิวฒั นนวกิจ เลาวา บานสระทะเลเปน หมูบานหนึง่ ในตาํ บลยานมทั รี มีสระน้ําใหญเหมือนกบั ทะเล ชาวบานเลยเรียกทะเล สัญลกั ษณนี้จึงต้ังเปนนามหมูบาน “สระทะเล”
วิถชี ีวติ วัฒนธรรม อําเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค ๒๓๓๕ ๓บทท่ี ศาสนาและความเชอ่ื วดั และศาสนสถาน วดั เขาไมเ ดน
๒๓๔ วถิ ชี ีวิต วัฒนธรรม อําเภอพยหุ ะคีรี จงั หวัดนครสวรรค วัดเขาไมเดนมีช่อื เรียกเดิมวา “วัดโคกไมเดน” ตามช่อื หมูบาน ตั้งอยูท่ี หมูที่ ๘ ตาํ บลทาน้ําออย อาํ เภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค ไมมีหลักฐานวาเปล่ียนจาก “โคกไมเดน” เปน “เขาไมเดน” ตั้งแต เมอ่ื ไหร ภูมิประเทศในบริเวณนี้เปนพื้นท่ที ่เี ปนเนินสูง (โคก) และมีภูเขา เชื่อมติดตอกันหลายลูก แตละลูกมีช่ือเรียกตางกัน เชน เขานอย เขาไมเดน เขาไหวพระ เขาสูง และเขาล่นั ทม “ไมเดน” เปนชื่อตนไมยืนตนขนาดกลาง มีผลเลก็ ผลออนจะมี สีเขียวออน ผลแกมีสีแดง รสหวานรบั ประทานได เคยเปน ตนไมทมี่ ีมาก ทสี่ ดุ ในหมบู า นน้ี จงึ เปน ทมี่ าของหมบู า นโคกไมเ ดนหรอื เขาไมเ ดน ปจ จบุ นั ยงั เหลือแตตนเล็ก มีตนใหญทส่ี ุดขณะนี้อยูท่โี รงเรียนเขาไมเดน “วัดเขาไมเดน” ตั้งอยูเชิงเขาไมเดน บริเวณนี้เคยเปน สวนหน่งึ ของเมืองเกา สมัยทวารวดีที่มีช่ือวา “เมืองบน” ตามหลักฐานทาง ประวัติศาสตรการขุดคนของกรมศิลปากร เม่ือ พ.ศ. ๒๕๐๗ ไดพบ โบราณสถาน โบราณวัตถุจํานวนมากทเ่ี ปนศิลปะแบบทวารวดี อีกทง้ั ขอความจากหนังสือ ตํานานมลู ศาสนาท่กี ลาวไววา “พระนางจามเทวี เดินทางไปครองเมืองหริปุญไชย พระนางนําเอาริ้วพลเสนามาครั้งน้ัน ตั้งเมืองมาโดยลําดับ” สันนิษฐานวา เมืองบน นาจะเปนเมืองหน่ึง ที่พระนางจามเทวีทรงสรางไวบริเวณวัดเขาไมเดน สันนิษฐานวา อาจ เปน วดั เกา แกส มยั ทวารวดที เี่ คยรงุ เรอื งมาในอดตี เมอื งยคุ สมยั ทวารวดี เสอื่ มสลายลง ความรงุ เรอื งในบรเิ วณนกี้ เ็ สอ่ื มสลายและสญู หายไปตาม
วถิ ชี ีวิต วัฒนธรรม อําเภอพยุหะครี ี จงั หวัดนครสวรรค ๓๒๕ กาลเวลาพ.ศ. ๒๔๖๔ พระปลัดเอ่ียม ไดเร่ิมกอสรางพระอุโบสถ พ.ศ. ๒๔๗๐ การกอสรางพระอุโบสถอยูระหวางมงุ หลงั คา พระอาจารยขม เปนพระภิกษุที่เดินทางมาจาก จังหวัดลพบุรี ไดนํารอยพระพุทธบาททําดวยเน้ือสําริด ขนาดกวาง ๖๘ เซนติเมตร มาถวายและขอรองใหพระปลัดเอ่ียมหยุดสรางอุโบสถ กอนชักชวน ใหสรางพระเจดียเพ่ือเปนท่ีประดิษฐานรอยพระพุทธบาทและไดเลือก สถานท่ีกอสรางบนเขาไมเดน โดยสรางครอบเจดียเกาท่ีมีอยูแลว พ.ศ. ๒๕๐๗ ชวงตนป ไมมีพระสงฆ วัดรางในปนี้ กรมศิลปากร ไดเขามาสํารวจและขุดคนโบราณสถานและโบราณวัตถุที่บริเวณ วัดเขาไมเดนและบริเวณใกลเคียง ไดพบพระสถูปเจดีย ๑๔ แหง ใบเสมาหิน พระพุทธรปู รูปปนตางๆตอมาไดมีการรวมแรงรวมใจของ พทุ ธศาสนกิ ชนผมู จี ติ ศรทั ธาสรา งพระอโุ บสถตอ จนสาํ เรจ็ ป พ.ศ. ๒๕๔๐ ไดรับพระราชทานวิสงุ คามสีมา เมื่อวนั ท่ี ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๐
๓๒๔๖ วถิ ีชีวิต วัฒนธรรม อาํ เภอพยหุ ะครี ี จงั หวดั นครสวรรค พิพิธภัณฑว ดั เขาไมเดน วัดเขาแกว วัดเขาแกว มีชื่อเดิมท่ีชาวบานเรียกกันวาวัดนอก ต้ังอยูท่ี เลขท่ี ๑ หมูท่ี ๔ ตาํ บลพยหุ ะคีรี อาํ เภอพยหุ ะคีรี จังหวดั นครสวรรค ต้ังอยูเชิงเขาแกว มีเน้ือที่ประมาณ ๒๑๗ ไรเศษ กอตั้งประมาณ พ.ศ. ๑๙๐๐ ไดรับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันท่ี ๒๔ ตุลาคม ๒๔๘๒ เปน วดั เกา สมยั สโุ ขทยั เปน ราชธานี ไมป รากฏผสู รา ง แตส นั นษิ ฐาน จากโบราณวัตถุดงั นี้
วิถีชีวิต วฒั นธรรม อาํ เภอพยหุ ะคีรี จงั หวัดนครสวรรค ๒๓๗๕ ๑) ซากพระอุโบสถเกา ต้ังอยูบนยอดเขาดานเหนือ กอดวยอิฐแผนใหญใบเสมาเปนหินสีเขียวมีดินทับถมอยู ตนไมขึ้นจาก กลางฐานโบสถ ๒) ซากอฐิ ของวหิ ารเกา บนยอดเขา มที กุ ยอดเขาถงึ ๔ แหง พระประธานวิหารเปน พระพุทธรูปสมยั เชียงแสน ๓) พระปรางคสรางแบบสโุ ขทยั ยังปรากฏอยู สมัยทานเจาคุณพระธรรมคุณาภรณ (เชา ฐิตปฺโญป.ธ.๙) เปนเจาอาวาสของวัดเขาแกว เพ่ือใหเด็กทองที่อําเภอพยุหะคีรีไดรับ การศกึ ษาเลา เรยี นเพราะโรงเรยี นระดบั มธั ยมยงั ไมม ใี นอาํ เภอนี้ (ปจ จบุ นั มกี ารเรยี นการสอนตงั้ แตร ะดบั อนบุ าลจนถงึ ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย) ตอมาในป พ.ศ. ๒๔๙๘ ไดจัดตั้งสํานักวิปสสนากรรมฐานขึ้นซ่ึงมี การจัดอบรมพฒั นาจิตอยูเปน ประจําทกุ ป
๓๒๔๘ วถิ ชี วี ติ วัฒนธรรม อาํ เภอพยหุ ะครี ี จังหวดั นครสวรรค วัดพระปรางคเ หลือง เปน วดั โบราณทเี่ กา แกม ากกวา วดั หนงึ่ เจา หนา ทขี่ องกรมศลิ ปากร ไดค าํ นวณอายไุ วว า เปน วดั ทถี่ กู สรา งขน้ึ ในประมาณป พ.ศ. ๒๓๐๕ ซ่ึง เปน สมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยาตอนปลาย จากปชู นยี สถานโบราณเปน สง่ิ บง บอก อายขุ องศาสนาแหง นซ้ี ง่ึ ทาํ ใหเ ราไดท ราบวา วดั พระปรางคเ หลอื งมอี ายุ ยาวนานถึงปจจุบันประมาณ ๒๔๐ ป นอกจากนี้ วดั พระปรางคเหลือง ยงั ตง้ั อยใู กลโ บราณสถาน “เมอื งบน” อนั เปน หวั เมอื งโบราณสมยั ทวารวดี ซงึ่ กรมศลิ ปากรไดข ดุ คน พบวตั ถโุ บราณและซากของเมอื งสมยั ทวารวดี อนั ทาํ ใหท ราบแหลง อารยธรรมเกา แกข องชาตไิ ทยและทว่ี ดั พระปรางคเ หลอื ง เองก็ยังปรากฏรองรอยของคูเมืองโบราณอยูติดขางวัดดานทิศเหนือ ใหเห็นจนถึงปจจุบัน สิ่งเหลาน้ีจะชวยบอกใหชนรุนหลังไดทราบวา วัดพระปรางคเหลืองและตําบลทาน้ําออยเคยเปนชุมชนและแหลง อารยธรรมแหงหน่ึงของชาติไทยมาแตโบราณ อนึ่ง องคพระปรางค
วิถีชีวิต วฒั นธรรม อาํ เภอพยุหะคีรี จังหวดั นครสวรรค ๒๓๙๕ ที่อยูดานหนาวัดและติดแมน้ําเจาพระยา มีลักษณะเปนการพูนดินสูง เหมือนเนินเขาเตี้ย ก็เช่ือวาเปนสถานที่ศักด์ิสิทธิ์ใครจะแตะตองไมได เพราะเคยปรากฏผลตอบุคคลบางคนท่ีไมยําเกรงตอสถานท่ีแหงนี้ จนเปน ท่ที ราบของชาวบานทวั่ ไป จากบันทึกของทางวัดและจดหมายเหตุของราชการกลาววา พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลาอยูหวั รชั กาลท่ี ๕ หรือ “พระพทุ ธเจา หลวง” ไดเคยเสด็จฯ ณ วดั พระปรางคเหลือง ถึง ๓ ครง้ั ในการเสดจ็ ประพาสตนทางภาคเหนือของประเทศไทยวัดพระปรางคเหลือง ตั้งอยู หมูท่ี ๑ ตาํ บลทาน้ําออย อาํ เภอพยุหะคีรี จงั หวดั นครสวรรค มีเนื้อท่ี ๓๔ ไร ๓ งาน กอต้ังเม่อื พ.ศ. ๒๓๒๕ ไดรบั พระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวนั ที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๒๓ วัดพระปรางคเหลือง
๓๔๐ วถิ ชี ีวติ วัฒนธรรม อําเภอพยหุ ะครี ี จงั หวัดนครสวรรค ศาสนสถานอ่นื ๆ คริสตจักรสมั พนั ธพ ยหุ ะคีรี สงั กดั : เปน สมาชิกคริสตจกั รสมั พันธแหงประเทศไทย เลขที่ ๐๐๖/๒๕๓๘ ตั้งแตวนั ที่ ๑ เมษายน ๒๕๓๘ ทตี่ ้งั : ๑๐๐/๔๐ หมู๒ ตาํ บลพยหุ ะ อาํ เภอพยหุ ะ จงั หวดั นครสวรรค ๖๐๑๓๐ ความเปนมา : เดิมเชาอาคารทาํ เปน สถานประกาศศาสนา ตอมา จงึ ไดซ อื้ ทดี่ นิ และกอ สรา งเปน อาคารคอนกรตี ๒ ชนั้ จดั ตั้งเปน คริสตจักร ขึ้น ณ ทป่ี จจบุ นั ศาสนกิจ : นมสั การพระเจา ทุกวนั อาทิตย
วถิ ีชวี ิต วฒั นธรรม อําเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค ๓๕๑ มสั ยิดดารุสสลามพยุหะคีรี นิกาย : ซนุ หน่ี ทตี่ ัง้ : เลขท่ี ๒๒๗/๖ หมู ๕ ตาํ บลพยหุ ะ อําเภอพยหุ ะคีรี จงั หวดั นครสวรรค ๖๐๑๓๐ ความเปนมา : เดิม นายเบิ้ม ปาทาน ชาวมุสลิม ซึ่งมีบานเรือนอยูท่ี อาํ เภอพยหุ ะครี ี มกี จิ การชาํ แหละเนอ้ื โค-กระบอื จาํ หนา ย เคยทาํ หนา ที่ อิหมามประจํามัสยิดปากีสถาน ตอมา เม่ือมีอายุมากขึ้นและมีภารกิจ ในกจิ การคา ของครอบครวั ตนเองและครอบครวั ไมส ะดวกทจ่ี ะเดนิ ทาง ไปปฏิบัติศาสนกิจที่มัสยิดปากีสถาน ดังนั้น ในป พ.ศ. ๒๕๔๕ จึงได บรจิ าคทด่ี นิ บรเิ วณหนา บา นของตนเอง เนอ้ื ที่ ๕๐ ตารางวา และบรจิ าค ทรัพยสวนตัว สรางอาคารมัสยิด เปนอาคารคอนกรีตชั้นเดียว มีโดม สีเขียวบนหลงั คา
๓๒๔ วถิ ชี วี ิต วฒั นธรรม อาํ เภอพยุหะครี ี จังหวัดนครสวรรค การจดทะเบียน : หนังสือสําคัญแสดงการจดทะเบียนจัดต้ังมัสยิด (แบบ บอ.๓) หมายเลขทะเบียน ๔ เมือ่ วนั ท่ี ๑๗ มิถุนายน ๒๕๔๖ มี ฐานะเปน นิติบุคคล ศาสนกิจ : ๑. ทาํ พิธีละหมาด วันละ ๕ ครั้ง ทุกวัน ๒. ทําพิธีในวนั สําคญั ทางศาสนา ๓. มีการเทศนาบรรยายธรรม ปละ ๒-๓ ครั้ง ๔. รว มกบั สมาชิกของมสั ยดิ ใกลเคยี ง เดินทางไปบรรยาย ธรรมตามมัสยิดตางๆ ๕. มีการเรียนการสอนศาสนาใหกบั เยาวชนทกุ วัน ๖. มีการเรียนการสอนศาสนาใหกับผูใหญทกุ วนั ศกุ ร การจดั การศพ : ทาํ พิธีฝงศพ (มยั ยิต) ณ สุสานของมสั ยิดปากีสถาน อ. เมืองนครสวรรค จ. นครสวรรค ศาลเจา ๑) ศาลเจาปงุ เถา กงมา ตําบลทาน้ําออย มีมานานกวา ๑๐๐ ป อดีตชาวจีนท่ลี อง เรือคาขายผานจะตองแวะสักการะ เดือนพฤษภาคมของทกุ ปจะมีงาน งิ้วฉลอง เพือ่ เปนสิริมงคล
วิถีชีวิต วฒั นธรรม อําเภอพยุหะคีรี จงั หวดั นครสวรรค ๓๕๓ ศาลเจา ปุงเถา กง ๒) ศาลเจาพอศรีเมือง
๓๔ วถิ ีชีวติ วฒั นธรรม อาํ เภอพยุหะคีรี จงั หวดั นครสวรรค บุคคลสําคัญทางศาสนา ๑. หลวงพอ เดิม หลวงพอเดิม เกิดท่ีบานหนองโพ เมื่อวันพุธ แรม ๑๑ ค่ํา เดือน ๓ ปวอก จลุ ศกั ราช ๑๒๒๒ ตรงกบั วันที่ ๖ กมุ ภาพันธ ๒๔๐๓ โยมบิดาชอ่ื เนียม เปนชาวบานเนินมะกอก อาํ เภอพยหุ ะคีรี โยมมารดา ชอ่ื ภู เปน ชาวบานหนองโพ โดยเหตเุ ปน ลกู คนแรกของบิดามารดา ปยู า ตายายจึงใหชอื่ วา “เดิม” อปุ สมบทเปน พระภิกษุ ณ พธั สีมา วดั เขาแกว อาํ เภอพยหุ ะคีรี เมื่อวันอาทิตยท่ี ๓๑ ตุลาคม ๒๔๒๓ ฉาย“พุทธสโร” หลวงพอเดิมมีสมณศกั ดเิ์ ปน พระครนู ิวาสธรรมขนั ธ รองเจาคณะแขวง เมอื งนครสวรรค ตอ มาเปน เจา คณะแขวงอาํ เภอพยหุ ะครี ี ดาํ รงตาํ แหนง เจาอาวาสวัดหนองโพ อาํ เภอตาคลี จงั หวัดนครสวรรค
วิถีชีวติ วัฒนธรรม อาํ เภอพยหุ ะครี ี จังหวดั นครสวรรค ๓๕ ระหวาง พ.ศ. ๒๔๓๐ – ๒๔๙๔ เปน พระที่สําคัญรูปหน่งึ ของ จังหวัดนครสวรรค หลวงพอเดิมเปนคนมีมานะแลวก็ต้ังตนศึกษา หาความรเู ปน การใหญ จนแตกฉานพอแกส มยั นน้ั กเ็ รม่ิ เทศนแ ละสามารถ อธบิ ายขอ ธรรมตา งๆ ใหผ ฟู ง เขา ใจงา ย นอกจากน้ี หลวงพอ ยงั มชี อ่ื เสยี ง เลื่องลือในเร่อื งวิชาอาคมยิ่งนัก มีผูไปขอเครื่องรางของขลังไวคุมครอง ปองกนั ตวั กนั มากมายนอกจากนี้ ทานยงั เปน พระนกั พฒั นา สรางถาวร วัตถทุ างพระพุทธศาสนา สรางโรงเรียน ชุดสระน้ํา สรางถนน รวมทั้ง สรางถาวรวตั ถทุ างพทุ ธศาสนาใหกับวัดอ่นื ๆ ดวยเชน กอสรางมณฑป วัดเขาแกว สรางโบสถวัดอินทาราม อําเภอพยุหะคีรีภายหลังท่ีทาน กลับจากเปนประธานงานกอสรางโบสถวัดอินทารามแลวไมนาน กถ็ ึงแกมรณภาพ เมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๔ คํานวณอายุ ได ๙๒ ป อุปสมบทมาได ๗๑ พรรษา
๓๖๔ วถิ ีชีวิต วฒั นธรรม อาํ เภอพยหุ ะคีรี จงั หวัดนครสวรรค ๒. หลวงพอ กนั หลวงพอกัน วัดเขาแกว อําเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค ทา นเปน คนเดด็ ขาดจรงิ จงั มเี มตตาสงู สง ชว ยเหลอื ทกุ ๆ คนผเู ดอื ดรอ น เมื่อเอยปากเปน ชวยเสมอ จนหลายคนกลาวขานวาทานเปน ผูท่มี ีวาจา ศกั ดสิ์ ทิ ธ์ิ โดยหลวงพอ กนั มสี มณศกั ดเ์ิ ปน พระครนู สิ ติ คณุ ากร หลวงพอ กนั (พระครนู สิ ติ คณุ ากร) นามเดมิ ชอ่ื กนั นามสกลุ ศรเี พง็ บดิ าชอื่ นายเปลยี่ น ศรเี พง็ มารดาชอื่ นางไพ ศรเี พง็ ทา นเกดิ เมอ่ื วนั จนั ทร ขนึ้ ๑๕ คาํ่ เดอื น ๕ ปมะโรง ตรงกบั วนั ท่ี ๑๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๓๔ ณ หมู ๒ บานพยุหะ ตาํ บลพยหุ ะ อาํ เภอพยหุ ะครี ี จงั หวดั นครสวรรค มพี น่ี อ งรว มบดิ ามารดา เดียวกนั ๕ คน คือ ๑. หลวงพอกนั ๒. นายสิน๓. นางเมา ๔. นายโชติ ๕. นางคตุ เมอ่ื วยั เยาวท า นไดร บั การศกึ ษาจบชนั้ ประถมปท ่ี ๔ หรอื ไมน นั้
วิถีชีวติ วฒั นธรรม อําเภอพยหุ ะครี ี จงั หวดั นครสวรรค ๓๕๗ ไมทราบแนชัด ทานเปนเด็กข้ีเหรและเปนโรคหนอที่เทา เวลาเดิน ทา นตอ งเขยง เทา ทา นเปน คนพดู นอ ย เมอื่ วา งจากการเรยี นทา นจะชว ย บิดาของทานเลี้ยงวัว เลี้ยงควาย เปนคนรกั สงบ ไมชอบรุกรานผูใดและ เม่อื ถูกผูใดรงั แก ทานกเ็ ฉยๆ ไมสู ไมตอลอตอเถียง ในวยั เดก็ หลวงพอ เปน คนขยนั เอางานเอาการ ไมชอบอยูเฉยๆ เม่ืออายไุ ด ๑๓ ป ทานได บรรพชาเปน สามเณร เมือ่ พ.ศ. ๒๔๕๓ และอยูตอมาจนอายุครบบวช จึงอุปสมบทบวชเปนพระภิกษุ ณ พัทธสีมา วัดเขาแกว ตําบลพยุหะ อาํ เภอพยหุ ะครี ี จงั หวดั นครสวรรค เมอื่ วนั ท่ี ๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๖ โดยมีหลวงพออองเปน องคอุปช ฌายะ (รปู ยงั มีอยูทีก่ ฏุ ินิสิคณุ ากร) หลังจากทานไดอุปสมบทแลว ทานสนใจศึกษาพระธรรมวินัย เปนอยางมาก และเคยเขาสอบนักธรรมตรี สนามสอบวัดสวรรควิถี อาํ เภอเมือง จังหวัดนครสวรรค แตสอบไมได ในสมัยนั้นการศึกษาจัด วา ไมค อ ยเจรญิ นกั ทา นกข็ วนขวายในการศกึ ษาธรรมวนิ ยั สมาํ่ เสมอ แต ไมไ ดเ ขา สอบอกี เลย ทา นไดเ บนความสนใจมาทางการปฏบิ ตั ธิ รรมมาก ยิ่งข้ึน และเอาใจใสในเรื่องปฏิสังขรณวัดเปนสวนใหญ ตลอดทั้งดูแล ปกครอง เลี้ยงดลู กู ศิษยลกู หา นายสอน ศรีนุช อายุ ๘๒ ป เปน ลกู ผูพี่ ของหลวงพอ ไดเลาวา ลูกชายของแกทุกๆ คนเคยเปนศิษยของหลวง พอและเคยถกู ทานตีมาแลวทกุ คน มีอยคู ร้ังหนง่ึ ลกู ชายคนหนงึ่ ของแก เคยลอเลียนหลวงพอวา “หลวงอา ทาํ ไมหลวงอาจึงอานวาเดือน กรก- ฎา-คม (หมายถงึ เดอื นกรกฎาคม) ปรากฏวา หลวงพอ เปน คนมอี ารมณข นั
Search