แมวไทย (การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดลอ้ ม) แมวไทย จัดเป็นแมวพันธ์ุแท้ท่ีสืบเชือ้ สายมาจากแมวโบราณ เป็นสัตว์ขนส้ันท่ีสวยสง่า เล้ียงลูกด้วยนม กินเน้ือเป็นอาหาร และมีอุปนิสัยท่ีโดดเด่นคือ มีความฉลาด รู้จักประจบ รักความอิสระเหนืออ่ืนใด โดยคนไทยนิยมเล้ียงแมวมาแต่โบราณด้วยความเชื่อว่า แมวท่ีมี ลักษณะดจี ะให้คณุ แก่ผู้เลีย้ ง จะทาให้ผู้เล้ียงมีโชคลาภ มีฐานะรา่ รวย คา้ ขายได้กาไร ซึง่ แมว ทม่ี ีลักษณะดจี ะมีอยู่ 5 ชนดิ ไดแ้ ก่ 1. ศุภลักษณ์หรือทองแดง 2. ขาวมณี 3. วิเชียรมาศ 4. โกนจาหรือร่องมด 5. มาเลศหรือแมวสสี วาด ห้องสมุดวฒั นธรรม | 90
ภมู ิปัญญาการเล้ียงแมวไทย จะนิยมเลีย้ งตามความเช่ือ และผู้เล้ียงจะเลยี้ งดว้ ยอาหาร ทป่ี รงุ ขนึ้ เองในครวั เชน่ ข้าวคลุกปลาทู เนือ่ งจากเป็นอาหารทห่ี าไดง้ ่าย และต้องดูแลอย่างดี ไม่ให้ดุด่า ทาร้าย หรือทุบตี ซึ่งปัจจุบันแมวไทยได้รับการข้ึนทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญา ทางวัฒนธรรมของชาติประจาปีพทุ ธศักราช 2557 มาเลศหรือแมวสสี วาด ขอ้ มลู : ความรู้และแนวปฏิบตั ิเกี่ยวกบั ธรรมชาตแิ ละจกั รวาล : มรดกภมู ิปญั ญาทาง วฒั นธรรม. กรมสง่ เสรมิ วัฒนธรรม. 2559. ห้องสมุดวฒั นธรรม | 91
ห้องสมดุ วัฒนธรรม | 92
ขา้ วหลาม (อาหารและโภชนาการ) ข้าวหลาม เป็นอาหารท่ีทาจากข้าวเจ้าหรือข้าวเหนียวท่ีหุงในกระบอกไม้ไผ่แล้วนาไป อังไฟให้ร้อนจนผิวกระบอกไม้ไผ่เกรียม เรียกว่าการหลามข้าว โดยเริ่มจากการหา กระบอกไม้ไผ่ท่ีลายังไม่ทันแตกใบครบกิ่ง ผิวยังเป็นสีเขียวอ่อน ไผ่จะมีเยื่อเน้ือในท่ีอ่อน เมื่อหลามเสร็จยังสามารถเหลาเปลือกให้บาง เพื่อให้ผู้กินปอกด้วยมือได้สะดวก ต่อมา นาข้าวสารมาล้างให้สะอาด แล้วนามาใส่ลงกระบอกไม้ไผ่ ใส่น้าให้ท่วมแล้วนาไปหลาม หรือถ้าเป็นข้าวเหนียวก็ต้องแช่น้าจนอ่อนตัว แล้วนามากรอกใส่กระบอก จึงใส่น้ากะทิท่ี ผสมเกลือให้มีรสชาติหวานมัน และนามะพร้าวแห้งหรือใบตองแห้งอุดปากกระบอกไม้ไผ่ ให้แน่น สุดท้ายแล้วนามาหลาม โดยนากระบอกข้าวหลามท่ีเตรียมไว้มาวางเรียงในลักษณะ ตงั้ เอนข้นึ ให้พิงกับแนวหลกั ทท่ี าจากไม้ไผ่หรือท่อนเหล็ก จากน้ันจึงจดุ ไฟข้างๆ และคอยหมุน ห้องสมุดวฒั นธรรม | 93
กระบอกเรื่อยๆ เพ่อื ให้ข้าวขา้ งในกระบอกไม้ไผ่สุก ซึ่งในสมยั ก่อนจะใชก้ ระบอกไม้ไผ่สาหรับ หลามขา้ วกนิ เพ่อื เปน็ เสบยี งในการเดนิ ทาง ขา้ วหลาม ท่มี า : https://cheechongruay.smartsme.co.th/content/25205 ขอ้ มูล : เสน้ ทางขนมไทย. แสงแดด. 2553. ห้องสมดุ วฒั นธรรม | 94
ห้องสมดุ วัฒนธรรม | 95
สมุนไพรต่างชนิด (แต่รสเดียวกนั ) ที่ใชร้ ักษาโรคเดียวกันได้ (การแพทยพ์ ื้นบ้านไทย) สมุนไพรท่ีมีรสเดียวกัน ไม่ได้หมายความว่า สามารถใช้แก้โรคเดียวกันได้ การท่ีจะใช้ แก้โรคใดได้ก็ต้องศึกษาสรรพคุณของสมุนไพรอีกที ดังนั้น เร่ืองของรสยากับสรรพคุณยา แม้จะเกี่ยวข้องกันแต่ก็เป็นคนละเร่ือง แต่ก็มีสมุนไพรบางอย่างซึ่งมีรสเดียวกันท่ีสามารถใช้ รกั ษาโรคอย่างเดียวกันได้ เชน่ 1. รสฝาด ใช้สมานแผล แก้บิด รักษาเสมหะ แต่ไม่เหมาะกับผู้ที่ท้องผูก ได้แก่ เปลือก ขอ่ ย เปลือกแค เปลอื กผลทับทมิ เปลอื กผลมงั คุด และใบหว้า เป็นต้น 2. รสหวาน ทาให้เน้ือเปล่งปลั่ง ชุ่มชื่น บารุงกาลัง แก้อ่อนเพลีย แต่ไม่เหมาะกับโรค เสมหะเฟื่อง (เสมหะมาก) เป็นบาดแผล เบาหวาน และดีซ่าน ได้แก่ รากสามสิบ ชะเอม และนา้ ผงึ้ เป็นต้น ห้องสมุดวฒั นธรรม | 96
3. รสขม ใช้บารุงโลหิต เจริญอาหาร แก้ร้อนใน และกระหายน้า แต่ไม่เหมาะกับ โรคหวั ใจพิการ ไดแ้ ก่ บอระเพด็ รากซองแมว สะเดา และมะระข้นี ก เปน็ ต้น 4. รสเผ็ดร้อน ใช้แก้ลมจุกเสียด แน่นเฟ้อ ขับลม และขับระดู แต่จะแสลงกับไข้ที่มีพิษร้อน ได้แก่ กระชาย กระเทยี ม ขา่ การบรู ลกู กระวาน พริกไทย เป็นตน้ 5. รสเปรี้ยว ใช้แก้เสมหะ ฟอกโลหิต ระบายอุจจาระ แต่จะแสลงต่อโรคท้องร่วง โรค นา้ เหลืองเสยี หรือบาดแผล ไดแ้ ก่ มะนาว ดอกกระเจย๊ี บแดง ผลมะขามป้อม และใบสม้ ป่อย เปน็ ต้น ชะเอม ขอ้ มูล : ไพบูลย์ แพงเงิน. สมนุ ไพรคบู่ า้ น. มติชน. 2555. ห้องสมดุ วฒั นธรรม | 97
ห้องสมดุ วัฒนธรรม | 98
มรดกภูมิปัญญาทางวฒั นธรรม สาขางานช่างฝมี อื ด้งั เดิม “งานช่างฝีมือดั้งเดิม” หมายถึง งานท่ีสร้างสรรค์ข้ึนจากภูมิปัญญา ทักษะฝีมือช่าง การ เลือกใช้วัสดุ เคร่ืองมือ อุปกรณ์ และกลวิธีการสร้างสรรค์ที่แสดงถึงลักษณะเฉพาะ สะท้อน พัฒนาการทางสังคม และวฒั นธรรมทีส่ บื ทอดกนั มา งานช่างฝีมือด้ังเดิม แบ่งออกเปน็ 9 ประเภท ดังต่อไปนี้ 1. ผ้าและผลิตภัณฑ์จากผ้า หมายถึง งานท่ีสร้างสรรค์ข้ึนจากเส้นใย ด้วยกรรมวิธี ในการผลิต เช่น ทอ ถัก ปัก ตีเกลียว มัดหมี่ ชิด ยก จก เกาะล้วง พิมพ์ลาย ย้อม หรือ กรรมวิธอี น่ื ทีเ่ กีย่ วขอ้ งกบั การผลติ ผ้าและผลิตภัณฑ์จากผ้า 2. เคร่ืองจักสาน หมายถึง งานท่ีสร้างสรรค์จากวัตถุดิบ ด้วยกรรมวิธีในการผลิต เช่น จกั ตอก สาน ถัก ผูกรัด มดั ร้อย หรอื กรรมวิธอี ่นื ทีเ่ กี่ยวขอ้ งกับการผลติ เคร่อื งจักสาน ห้องสมุดวฒั นธรรม | 99
3. เครอ่ื งรัก หมายถึง งานทใ่ี ช้ยางรกั เป็นวัสดสุ าคัญ ดว้ ยกรรมวิธใี นการผลิต เชน่ ถม ทับ ปิดทองรดน้า กามะลอ ประดับมุก ประดับกระจกสี ประดับกระดูก ปั้นกระแหนะ หรือ กรรมวิธอี น่ื ทีเ่ กีย่ วขอ้ งกับการผลติ เครอ่ื งรัก 4. เคร่ืองปั้นดินเผา หมายถึง งานท่ีสร้างจากดินเป็นวัสดุหลัก ด้วยวิธีการป้ัน ผึ่งแห้ง เผาเคลือบ หรือวิธีการอน่ื ที่เกีย่ วขอ้ งกบั การผลติ เครอ่ื งปน้ั ดินเผา 5. เคร่ืองโลหะ หมายถึง งานท่ีสร้างสรรค์จากโลหะเป็นวัสดุหลัก ด้วยกรรมวิธี ในการผลิต เช่น หลอม เผา ตี หล่อ ตัด ติด ขัด เจียร เชื่อม หรือกรรมวิธีอ่ืนท่ีเกี่ยวข้องกับ การผลิตเครอ่ื งโลหะ 6. เคร่ืองไม้ หมายถึง งานท่ีสร้างสรรค์จากไม้เป็นวัสดุหลัก ด้วยกรรมวิธีในการผลิต เชน่ แปรรูป ตดั เลือ่ ย แกะ สลัก สบั ขุด เจาะ ถาก กลึง ขูด ขดั ตกแตง่ ผิว หรือกรรมวิธีอ่ืน ท่เี ก่ยี วข้องกบั การผลิตเครอ่ื งไม้ ห้องสมดุ วัฒนธรรม | 100
7. เคร่ืองหนัง หมายถึง งานท่ีสร้างสรรค์จากหนังสัตว์เป็นวัสดุหลัก ด้วยกรรมวิธี ในการผลิต เช่น หมัก ฟอก ตากแห้ง ตัด เจาะ ฉลุ ลงสี หรือกรรมวิธีอ่ืนท่ีเกี่ยวข้องกับการ ผลิตเครอ่ื งหนงั 8. เคร่ืองประดับ หมายถึง งานท่ีประดิษฐ์จากวัสดุ เช่น หิน เปลือกหอย โลหะมีค่า และอัญมณี ดว้ ยกรรมวิธใี นการผลิต เชน่ หลอม หล่อ ดึง ตี ทบุ บุ ดุน เลี่ยม แกะ สลัก ร้อย เชอ่ื ม ติด หรือกรรมวิธอี น่ื ที่เกีย่ วขอ้ งกับการผลติ เครอ่ื งประดับ 9. งานช่างฝีมือด้ังเดิมที่ไม่สามารถจัดอยู่ใน 8 ประเภททีก่ ลา่ วมาข้างต้น เชน่ ปราสาท ศพ งานช่างแทงหยวก หรืองานอืน่ ทเ่ี ก่ยี วข้องกับงานชา่ งฝีมือดงั้ เดมิ ห้องสมดุ วัฒนธรรม | 101
ห้องสมดุ วัฒนธรรม | 102
ศิลปหัตถกรรมพน้ื บ้าน : กาเนิดและลกั ษณะเฉพาะ (งานชา่ งฝีมือดง้ั เดิม) กาเนิดศิลปะหัตถกรรมพ้ืนบ้านมาจากการนาส่ิงท่ีมีอยู่ตามธรรมชาติมาทาเป็น เคร่ืองมือเคร่ืองใช้ เพ่ือใช้สอยในชีวิตประจาวัน เช่น การนาเอาหินมากะเทาะ เพ่ือนามาใช้ สับ ทบุ หรอื กะเทาะสิง่ ของ เรียกอีกอย่างว่า “เคร่อื งมือหินกะเทาะ” ซึ่งเปน็ ตน้ กาเนิดในการ สร้างงานหัตถกรรม ต่อมามีการนาเอาไม้มาทาเป็นด้าม และนาเถาวัลย์มาผูกกับหิน หรือ กระดูกสัตว์ท่ีฝนจนแหลมคม ทาให้ได้เคร่ืองมือประเภทขวาน นอกจากน้ีมนุษย์ยังเรียนรู้ การทาหัตถกรรมดินเผา จากการท่ีนาดินมาผสมกับน้า จะทาให้ดินอ่อนตัว ดัดแปลงรูปทรง ได้ตามท่ีต้องการ และเมื่อนาไปตากแดดหรือเผาไฟ ดินก็จะแข็งตัว อีกทั้งงานหัตถกรรม ยงั สามารถยกระดับคุณภาพชวี ิตได้ เชน่ การทาภาชนะดนิ เผาเพอ่ื ใช้หงุ ต้ม การทาหัตถกรรม จักสานเพ่ือใช้เป็นส่วนประกอบของท่ีอยู่อาศัย และการทอผ้า เพื่อใช้เป็นเคร่ืองนุ่งห่มปกปดิ ร่างกาย ห้องสมดุ วฒั นธรรม | 103
ศิลปหัตถกรรมพ้ืนบ้านสะท้อนให้เหน็ ถึงเอกลักษณ์ในแต่ละท้องถิ่น เพราะบางท้องถิ่น มีความต้องการในการทางานหัตถกรรมแตกต่างกันไป อาจจัดทาข้ึนเพื่อใช้สอย ในชีวิตประจาวัน สนองความเชื่อ หรือสนองความต้องการทางจิตใจ และการเลือกใช้วัสดุ ในแต่ละท้องถิ่นก็มีไม่เหมือนกัน เอกลักษณ์เฉพาะถิ่นจึงถูกกาหนดจากภูมิศาสตร์ ประวตั ศิ าสตร์ และวฒั นธรรมของทอ้ งถิน่ ภาชนะดนิ เผา จากแหล่ง โบราณคดีกอ่ นประวตั ิศาสตร์ บา้ นเชยี ง มีรอยจักสานปรากฏ บนผิวภาชนะดา้ นนอก ขอ้ มูล : วิบลู ย์ ลีส้ วุ รรณ. ศลิ ปหัตถกรรมพื้นบ้าน. ตน้ อ้อ แกรมมี.่ 2539. ห้องสมดุ วัฒนธรรม | 104
ห้องสมดุ วัฒนธรรม | 105
บา้ นบาตร แหล่งหัตถกรรมในเมืองหลวง (เครือ่ งโลหะ) บาตรเป็นท่ีรู้จักในศาสนาพุทธ เพราะเป็นหน่ึงในเคร่ือง อัฐบริขารสาหรับพระภิกษุ จึงได้มีแหล่งผลิตบาตรท่ีบ้านบาตร ตง้ั อยู่ที่ชุมชนบ้านบาตร แขวงบา้ นบาตร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร ในสมัยก่อนเป็นชุมชนแห่งเดียวในประเทศไทย ท่มี ีการทาบาตรดว้ ยมือ เพราะชาวบา้ นยึดอาชีพการทาบาตรเป็น อาชีพหลัก จึงนาบาตรท่ีผลิตได้ไปส่งขายท่ีสาเพ็งและย่าน เสาชิงช้าจนมีชื่อเสียง ทาให้สามารถส่งไปขายยังจังหวัดต่างๆ และประเทศเพ่อื นบา้ นได้ เชน่ เขมร อนิ เดยี เปน็ ตน้ ห้องสมุดวัฒนธรรม | 106
ในการทาบาตรแต่ละใบต้องอาศัยแรงงานหลายคน เน่ืองจากการทาบาตรมี หลายขั้นตอน ต้องมีคนตัดเหล็ก คนเชื่อม คนตี คนเคาะ คนขัด และคนทาน้ามัน ต่อมาในปี พ.ศ. 2513 มีการตั้งโรงงานบาตรป๊ัม (บาตรท่ีทาด้วยเคร่ืองจักร) จึงทาให้ชาวบ้านบาตรมี รายได้ลดลง เพราะบาตรปั๊มมีราคาถูกกว่าบาตรท่ีทาด้วยมือ ซึ่งทาได้ง่ายและรวดเร็ว แต่มี ขอ้ เสยี คือ เปน็ สนมิ ไดง้ ่าย ไม่ผ่านการชุบรมดาให้ถูกวิธีและไม่สวยงามเท่าบาตรท่ีทาด้วยมือ แต่บาตรปั๊มก็ยังมีจานวนมากข้ึนเร่ือยๆ ในตลาด ชาวบ้านจึงหันไปทาอาชีพอ่ืน และปัจจุบัน ร้านขายเครอ่ื งสงั ฆภณั ฑ์ส่วนใหญ่กม็ ีแต่บาตรปัม๊ ขอ้ มลู : ปราณี กลา่ สม้ . ย่านเกา่ ในกรุงเทพฯ. เมืองโบราณ. 2545. ห้องสมุดวัฒนธรรม | 107
ห้องสมดุ วัฒนธรรม | 108
วิวัฒนาการของเครื่องประดับในสมัยรตั นโกสินทร์ (เครือ่ งประดับ) มนุษย์รู้จักการนาเคร่ืองประดับมาตกแต่งร่างกายจากการนาส่ิงท่ีมีอยู่ในธรรมชาติมา ประยุกต์ เช่น ดอกไม้ หิน เปลือกหอย เมล็ดพืช จากนั้นเมื่อมนุษย์รู้จักการหลอมโลหะ ประกอบกับมีการค้นพบอัญมณีต่างๆ จึงเริ่มนาส่ิงเหล่าน้ีมาทาเป็นเคร่ืองประดับ โดยรูปแบบและลวดลายจะแตกต่างกันไปตามวัฒนธรรมของแต่ละกลุ่มชน ซึ่งเป็นส่ิงท่ี บง่ บอกถงึ ความสง่างาม มีฐานะ และเป็นสริ ิมงคลแก่ผู้ครอบครอง งานศิลปกรรมรัตนโกสินทร์ ในสมัยรัชกาลท่ี 2 มีความเจริญรุ่งเรืองมาก งานช่าง เคร่ืองประดับจึงได้รับการพัฒนาอย่างต่อเน่ือง มีท้ังช่างเคร่ืองประดับชาวนครศรีธรรมราช เข้ามาต้ังบ้านเรือนอยู่ใกล้พระบรมมหาราชวัง และช่างจีนมาทางานเคร่ืองประดับในราชสานัก ต่อมาสมัยรัชกาลท่ี 5-7 มีการค้าขายกับต่างประเทศอย่างกว้างขวาง รูปแบบของเคร่ืองประดับ จึงได้รับอิทธิพลมาจากต่างชาติ โดยสมัยน้ีจะนิยมนาฬิกาห้อยคอ นาฬิกาพก เข็มกลัด และ ห้องสมดุ วัฒนธรรม | 109
นาเอาพดด้วง ทอง และเงินมาทาเป็นกระดุม จนกระท่ังสมัยรัชกาลท่ี 8 เคร่ืองประดับเก่าๆ ได้รับความนิยมน้อยลงไปทุกที เพราะไม่มีการสืบทอดงานฝีมือไว้ แต่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงได้เห็นความสาคัญของงานช่างฝีมือ จึงทรงฟื้นฟูอนุรักษ์ศิลปหัตถกรรมไทยด้านเคร่ืองประดับข้ึนมาอีกคร้ังหน่ึง ทรงนาช่างทอง ช่างเงิน ทม่ี ีฝีมือมาฝึกสอนเยาวชนรุ่นใหม่ ภายใตก้ ารดาเนนิ งานของมูลนิธิศิลปาชีพ กาไลวง ในสมัยทวาราวดี ขอ้ มลู : วฒั นะ จฑู ะวิภาต. การออกแบบเครื่องประดบั . จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั . 2545. ห้องสมุดวฒั นธรรม | 110
ห้องสมดุ วัฒนธรรม | 111
การแทงหยวก (งานชา่ งฝีมือดงั้ เดิม) การแทงหยวก หมายถึง การนาสว่ นเปลอื กหุ้มลาต้นท่ีเรียกว่ากาบกล้วยมาฉลุ สลักด้วย มีดปลายแหลมให้เกิดรูปร่างลวดลายในรูปแบบต่างๆ โดยเริ่มมีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย เน่ืองจาก ในยุคน้ีมีการนาต้นกล้วยมาใช้ประโยชน์มาก มีการนาไปประดิดประดอยเป็นชิ้นงาน เพื่อใช้ ประกอบในงานพิธีกรรมทางศาสนาและประเพณีตา่ งๆ เชน่ พธิ กี ารเผาศพ ประเพณีวนั ลอย กระทง เป็นต้น ในการแทงหยวกมีวัสดุหลักคอื หยวกกลว้ ย เป็นวัสดุท่ีหาได้ง่ายตามท้องถิน่ แต่เป็นงานท่ีต้องใช้ฝีมือความชานาญด้านลวดลาย ต้องใช้ความรวดเร็วในการทางาน และ ความประณีตอ่อนช้อยของลวดลาย ช่างแทงหยวกจึงต้องได้รับการฝึกฝนการแทงลายและ เรียนรรู้ ปู แบบของลายไทย และแม้ว่างานแทงหยวกจะเป็นงานที่เส่อื มสภาพเร็ว มีระยะเวลา การใช้งานท่ีส้ัน แต่การแทงหยวกสามารถนามาประยุกต์ใช้กับวัสดุอ่ืนๆ ได้ เพ่ือสร้างสรรค์ งานศิลปะกับการนาไปใช้ชีวติ ประจาวันได้ต่อไป ห้องสมดุ วัฒนธรรม | 112
“รปู แบบของลวดลายที่นิยมนามาใช้ในการแทงหยวกมีดงั นี”้ 1. ลายกระจัง 2. ลายประจายาม 3. ลายน่องสงิ ห์ 4. ลายกระหนก 5. ลายหนา้ กระดาน ขอ้ มลู : ชูศกั ด์ิ ไทพาณิชย์. ศลิ ปะการแทงหยวก. วาดศิลป.์ 2555. ห้องสมุดวฒั นธรรม | 113
ห้องสมดุ วัฒนธรรม | 114
ผา้ ทอยกดอกลายดอกพกิ ลุ (ผ้าและผลิตภัณฑ์จากผ้า) ผ้ายกดอก หมายถึง การยกเส้นยืนเพื่อสอดเส้นพุ่ง ทาให้เกิดลวดลาย นิยมทอท้ังผ้า ฝ้ายยกและผ้าไหมยก เส้นพุ่งอาจใช้เป็นฝ้ายหรือไหมสีอ่ืน เคล้าคละกันไปกับด้ินเงินหรือด้ิน ทอง ผ้ายกดอกท่ีเป็นท่ีรู้จักและนิยมกันมากจะเป็นผ้าไหมยกดอก โดยเฉพาะผ้าไหมยกดอก ลาพูน ซึ่งมีชื่อเสียงและเป็นท่ีรู้จักทั่วไป นอกจากน้ียังมีผ้าทอยกดอกลายด้ังเดิมของจังหวัด ลาพนู คือ ผ้าทอยกดอกลายดอกพกิ ลุ เป็นลายเฉพาะของตาบลเวียงยอง โดยช่างท่อี อกแบบ ลวดลายผ้าทอ อาจเห็นดอกพิกุลแล้วนามาออกแบบ หรือออกแบบลวดลายแล้วเหมือนกับ ดอกพิกุล จึงเรียกลายผ้าน้ันว่า ลายดอกพิกลุ และในตัวลายดอกพิกุลสามารถแตกเป็นลาย ย่อยๆ ได้อีก หรือนาลวดลายอ่ืนมาผสมผสานกับดอกพิกุล จึงทาให้ลายดอกพิกุลมีความ หลากหลายและโดดเด่น ส่วนหน่ึงของการทอผ้ายกดอก ชาวบ้านก็ได้รับการถ่ายทอดการ ทาผ้าทอยกดอกมาจากเจ้าหญิงส่วนบุญ ชายาของพลตรีเจ้าจักรคา ขจรศักด์ิ ผู้ครองนคร ห้องสมดุ วัฒนธรรม | 115
ลาพูนองค์สุดท้าย ท่ีมีความรู้ในการทอผ้ายกดอก มีการพัฒนาลวดลายของผ้ายกดอกลาย ดอกพิกุลให้วิจิตรงดงามยิ่งข้ึน จนทาให้จังหวัดลาพูนกลายเป็นศูนย์กลางในการทอผ้ายก ดอกแห่งสาคัญของประเทศไทย ผ้าทอยกดอกลายพกิ ลุ เหลย่ี ม ขอ้ มลู : สานกั งานวัฒนธรรมจงั หวดั ลาพูน. ผา้ ทอยกดอกลายดอกพิกลุ : การศึกษา ประวัติศาสตร์เพื่อการเรียนรู้และสืบทอดแบบมีส่วนร่วมของชุมชนใน เขตพืน้ ท่จี งั หวัดลาพนู . 2551. ห้องสมดุ วัฒนธรรม | 116
ห้องสมดุ วัฒนธรรม | 117
เครื่องปั้นดินเผาในวัฒนธรรมบ้านเชียง (เครื่องปนั้ ดินเผา) บ้านเชียงเป็นหมู่บ้านท่ีตั้งอยู่ตาบลบ้านเชียง อาเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี มี ชื่อเสียงในฐานะท่ีเป็นแหล่งโบราณคดีท่ีสาคัญของโลก โดยมีการค้นพบเศษภาชนะดินเผาท่ี มีอายุถึง 7,000 ปีมาแล้ว แสดงให้เห็นว่าชาวบ้านเชียงในอดีตมีพัฒนาการทางวัฒนธรรม อย่างสูง เป็นสังคมท่ีมีการเล้ียงสัตว์และปลูกข้าว รวมทั้งรู้จักหลอมสาริดท่ีมีมาก่อนแหล่ง ใดๆ ในโลก ลักษณะเครอ่ื งป้ันดินเผาในวฒั นธรรมบ้านเชยี ง เป็นภาชนะดินเผาชนิดเน้อื ดินธรรมดา ท่ีปั้นข้ึนรูปด้วยการใช้มือ ใช้ไม้ตีผิวนอกให้ได้รูปทรงตามท่ีต้องการ แล้วนามาตกแต่งด้วย วิธีการต่างๆ นับตั้งแต่การขูดขีด การทาบ และกดประทับลาย ตลอดจนการเขียนลวดลาย ดว้ ยสีแดงที่ได้จากดินเทศหรือดนิ แดงผสมกบั ยางไม้ หรือไขสตั ว์ จึงทาให้สสี ามารถตดิ คงทน บนผิวของภาชนะดนิ เผาได้เปน็ เวลานาน แล้วนาไปเผาด้วยการสมุ ไฟ ห้องสมุดวัฒนธรรม | 118
“รปู แบบภาชนะดนิ เผาวฒั นธรรมบ้านเชียงท่แี ตกตา่ งกนั ไปตามช่วงเวลา” 1. สมัยตน้ ระยะแรก อายปุ ระมาณ 5,600-4,500 ปีมาแล้ว 2. สมยั กลาง อายุประมาณ 3,000-2,300 ปีมาแล้ว 3. สมัยปลาย อายุประมาณ 2,300-1,800 ปีมาแลว้ อย่างไรก็ตาม เคร่ืองป้ันดินเผาใต้พื้นดินในบริเวณหมู่บ้าน บ้านเชียงจะไม่มีเหลืออีกแล้ว เน่ืองจากถูกขุดไปขายจนเกือบ หมดส้ิน แตช่ าวบา้ นเชียงกย็ งั มีการผลิตเคร่อื งป้ันดินเผาอยู่ เพอื่ เป็นสินค้าท่ีระลึกสาหรับผู้มาเยือนแหล่งโบราณคดีบ้านเชียง ซึ่งปัจจุบัน องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่ง สหประชาชาติหรือยูเนสโกได้มีมติประกาศยกย่องให้แหล่ง โบราณคดีบ้านเชียงเปน็ มรดกโลก สมยั ปลาย ขอ้ มูล : เครือ่ งปนั้ ดินเผา. คติ. 2554. ห้องสมดุ วฒั นธรรม | 119
ห้องสมดุ วัฒนธรรม | 120
งานเครื่องรกั (เครื่องรัก) งานเคร่ืองรัก คือ งานช่างศิลป์ท่ีคนไทยสมัยโบราณสร้างขึ้นด้วยการใช้ “รัก” เป็นยาง ไม้ชนิดหน่ึงท่ีนามาตกแต่งผิวของวัตถุและใช้เคลือบส่ิงของเคร่ืองใช้ท่ีทาจากวัสดุประเภท ต่างๆ เช่น ไม้ เคร่ืองจักสาน หนัง ผ้า โลหะ เคร่ืองป้ันดินเผา และหิน เป็นต้น เมื่อยางรัก แข็งตัว จะมีคุณสมบัติป้องกันน้าซึม และทน ต่อสภาพดินฟ้าอากาศ ซึ่งงานเคร่ืองรักใน ไทยได้สืบทอดความรู้มาจากประเทศจีน ท่ีมี หลักฐานชิ้นส่วนเคร่ืองรักในหลุมฝังศพอายุ หลายพันปี และมีการใช้เคร่อื งรกั อย่างแพร่หลาย ในราชวงศ์ฮั่น ห้องสมดุ วัฒนธรรม | 121
“ประเภทของงานเคร่อื งรัก” 1. งานลงรักปิดทอง ใช้ในงานประดับตกแต่งส่ิงของเคร่ืองใช้และส่วนประกอบของ อาคารต่างๆ ด้วยการลงรักหรือทายางรัก แล้วปิดทองคาเปลวทับ นอกจากน้ียังมีงานปิด ทองทบึ งานปิดทองรอ่ งชาด งานปิดทองลายฉลุ และงานปิดทองลายขดู 2. งานปิดทองลายรดนา้ การเขยี นลวดลายหรอื รูปภาพให้ปรากฏเป็นลวดลายบนพ้ืนรัก โดยจะใช้น้ายาหรดาลเขียนบนพื้นท่ีทาด้วยยางของต้นรัก เมื่อเขียนเสร็จ จึงเช็ดรัก ปิดทอง แลว้ เอานา้ รด นา้ ยาหรดาลทเ่ี ขยี น เมือ่ ถกู นา้ กจ็ ะหลุดออก สว่ นทเ่ี ป็นลวดลายทองก็จะตดิ อยู่ 3. งานลายกามะลอ เป็นงานเขียนสีผสมน้ารัก และภาพเขียนสีกามะลอเป็นเพียงภาพ ท่ีเขียนระบายสีหม่นๆ พ้ืนหลังของรูปภาพทั่วไปใช้สีดา เขียนระบายด้วยสดี ินแดง สีขาวหม่น สอี มคราม และตอนตัดเส้นรักจะโรยฝุ่นสที อง หรือปิดทองคาเปลวเป็นเส้นลอ้ มรปู ภาพ ขอ้ มลู : งานชา่ งศิลป์ไทย. คติ. 2555. ห้องสมุดวฒั นธรรม | 122
ห้องสมดุ วัฒนธรรม | 123
มรดกภูมิปญั ญาทางวัฒนธรรม สาขาการเลน่ พนื้ บา้ น กีฬาพน้ื บ้าน และศิลปะการต่อสูป้ อ้ งกนั ตวั “การเล่นพื้นบ้าน กีฬาพ้ืนบ้าน และศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว” หมายถึง กิจกรรมทางกาย และการออกแรง เพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลิน เพื่อชัยชนะ เพื่อการป้องกันตัว หรือเพ่ือ เชื่อมความสามัคคี มีรูปแบบและวิธีการเล่นตามลักษณะเฉพาะของท้องถิ่น ท่ีปฏิบัติกันอยู่ ในประเทศไทยและมีเอกลกั ษณ์สะทอ้ นวิถไี ทย การเลน่ พื้นบ้าน กีฬาพ้ืนบา้ น และศิลปะการต่อสปู้ ้องกันตัว แบง่ ออกเป็น 4 ประเภท ดังตอ่ ไปน้ี 1. การเลน่ พ้นื บา้ น หมายถึง กิจกรรมการเคลือ่ นไหวท่ที าดว้ ยความสมัครใจ เพ่อื ความ สนุกสนานเพลิดเพลิน ไม่มุ่งเน้นการแข่งขันและไม่หวังผลแพ้ชนะ เช่น จ้าจี้ รีรีข้าวสาร งูกินหาง มอญซ่อนผ้า ห้องสมุดวฒั นธรรม | 124
2. เกมพืน้ บ้าน หมายถึง กิจกรรมการเคลือ่ นไหวทม่ี ีลกั ษณะของการแขง่ ขนั เพ่อื ความ สนุกสนาน มีกฎกตกิ าทย่ี อมรบั กนั ในหมู่ผู้เลน่ เช่น หมากเกบ็ อตี ัก มวยตบั จาก ปดิ ตาตหี ม้อ 3. กีฬาพื้นบ้าน หมายถึง การแข่งขันทักษะทางกายท่ีต้องใช้ความสามารถทางการ เคลอ่ื นไหว ตามกฎกตกิ า โดยมุ่งหวังผลแพ้ชนะ เช่น แย้ลงรู แขง่ เรอื วิง่ ควาย ตะกร้อลอดห่วง 4. ศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว หมายถึง วิธีการหรือรูปแบบการต่อสู้หรือการป้องกันตัว ท่ีใช้ร่างกายหรืออปุ กรณ์ โดยได้รับการฝึกฝนตามวัฒนธรรมที่ได้รับการถ่ายทอดกันมา เช่น มวยไทย กระบ่กี ระบอง ซีละ ห้องสมุดวฒั นธรรม | 125
ห้องสมดุ วัฒนธรรม | 126
วฒั นธรรมการเล่นและของเล่นพืน้ บ้าน (การเล่นพื้นบ้าน) ของเลน่ พ้ืนบา้ นทาจากวัสดพุ ้ืนบ้านหรือวัสดธุ รรมชาติ เชน่ การนาดินเหนียวมาปั้นเป็น ตุ๊กตา สัตว์ เรือ รถ แล้วนาไปตากให้แห้งหรือเผาไฟ ซึ่งการเล่นตุ๊กตาดินเผา เป็นของเล่นท่ี เก่าแก่ท่ีสุดในประเทศไทย โดยมีมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์บ้านเชียง ต่อมาสมัย อยุธยา นิยมเล่น “ว่าว” กันมาก เพราะมีประโยชน์ทั้งด้านการทาศึกสงคราม การแข่งขัน และยังมีของเล่นบางชนิดท่ียังคงรูปแบบและวิธีการเล่นมานานนับร้อยปี เช่น ปืนก้านกล้วย โดยใช้ก้านกล้วยปาดให้เป็นบ้ังห่างๆ กัน เมื่องอส่วนท่ีปาดไว้ให้ตั้งข้ึนเป็นแถว แล้วใช้มือรูด ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วให้เกิดเสียงดังพรึบ คล้ายกับปืน ซึ่งของเล่นพ้ืนบ้านแสดงให้เห็นถึง ความคิดและจินตนาการ โดยนาวัสดุจากธรรมชาติมาประดิษฐ์ ทาให้เกิดความเพลินเพลิน และแสดงให้เห็นอารยธรรม วัฒนธรรมของมนุษย์ สภาพแวดลอ้ มและสังคมของคนไทยในอดตี ห้องสมดุ วัฒนธรรม | 127
การแข่งขนั ว่าว ณ สนามว่าวพนัน ในสมยั รัชกาลท่ี 5 ท่มี า : https://citycracker.co/intangible-city/history-of-kites/ ขอ้ มูล : วิบูลย์ ล้ีสุวรรณ. มรดกวัฒนธรรมพืน้ บา้ น. ตน้ อ้อ 1999. 2542. ห้องสมดุ วฒั นธรรม | 128
ห้องสมดุ วัฒนธรรม | 129
สิ่งทีค่ วรรู้เพือ่ ปกปอ้ งการปะทะและการจ่โู จม (ศลิ ปะการต่อสู้ป้องกนั ตัว) มวยไทยเป็นศิลปะท่ีสะท้อนจิตวิญญาณของนักต่อสู้ป้องกันตัวของคนไทย แสดงให้เห็น ถึงความคิดสร้างสรรค์ของคนไทยท่ีคิดค้นวิธีการต่อสู้ โดยมีการศึกษาสรีระ เป้าหมายการ ปะทะเพ่ือหยุดคู่ต่อสู้ ระยะ ลีลาท่าทาง และจังหวะการรุกและรับ ซึ่งร่างกายมนุษย์มีจุด สาคัญท่สี ามารถใช้หยดุ คู่ต่อสแู้ ละป้องกนั ตนเองได้ดงั นี้ 1. สันค้ิวหากถูกกระแทกจนแตก ทาให้เลือดไหลเข้าตาและลูกตา เมื่อได้รับการกระแทก จะทาให้เปน็ อุปสรรคตอ่ การมองเหน็ 2. ขมับ คาง คอและทา้ ยทอย หากถูกกระแทกอย่างรุนแรง อาจทาให้หมดสติ 3. จมกู และหนา้ อก หากถกู กระแทก อาจทาให้เกิดอาการหายใจไม่ค่อยสะดวก 4. ต้นขามีกล้ามเน้ือหลายมัดและข้อพับมีเส้นเอ็นยึดติดกับข้อกระดูก เมื่อได้รับ การกระแทก จะทาให้เป็นอุปสรรคตอ่ การเคลอ่ื นไหว ห้องสมดุ วัฒนธรรม | 130
5. ทอ้ งและกระดูกสนั หลงั หากถกู กระแทกอย่างรนุ แรงจะทาให้อวยั วะไดร้ บั อันตราย ซึง่ การกระแทกเกิดจากการจู่โจมโดยใช้เทา้ เตะ ถีบ ใชห้ มัด ใช้เขา่ และศอก “ระยะการจโู่ จม แบ่งออกเปน็ 3 ระยะ” 1. ระยะไกล คือ ระยะการใช้เทา้ เตะ และถบี 2. ระยะกลาง คอื ระยะการใช้หมัด 3. ระยะใกล้ คอื ระยะการใช้เขา่ และศอก ขอ้ มลู : คกึ เดช กนั ตามระ. แมไ่ ม้มวยไทยศิลปะป้องกันตัว. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 2551. ห้องสมดุ วฒั นธรรม | 131
ห้องสมดุ วัฒนธรรม | 132
ต่จี บั (กีฬาพื้นบ้าน) การเลน่ ตี่จบั เป็นกฬี าทีม่ ีมาตง้ั แตส่ มัยรชั กาลที่ 5 จากหลักฐานที่ปรากฏอยู่ในบทความ ของขุนจรัสชวนะพันธ์ เมื่อ พ.ศ. 2448 ได้กล่าวถึงการเล่นออกแรงท่ีมีการเล่นต่ีรวมอยู่ดว้ ย ต่ีจับนับว่าเป็นกีฬาท่ีนิยมเล่นกันอย่างกว้างขวางในท่ัวทุกภาคของประเทศไทย สามารถเล่น ได้ทุกโอกาสทว่ี ่าง สมยั ก่อนมีการจัดให้เลน่ แข่งขันในงานเทศกาลต่างๆ ปจั จุบันการเล่นต่ีจับ ไม่ค่อยพบเหน็ ในเมืองแลว้ แต่เปน็ ท่นี ยิ มในท้องถิ่นชนบท “คณุ ค่าของการเล่นต่จี ับ” 1. ทางร่างกาย ส่งเสริมให้ผู้เล่นได้พัฒนาทางด้านกาลัง ความแข็งแรง ความทนทาน และความคล่องแคล่วว่องไว เพราะมีการออกกาลังส่วนแขนและตัว และฝึกควบคุมการ ห้องสมดุ วัฒนธรรม | 133
หายใจในการออกเสียงร้อง “ต่ี” ระหว่างวิ่งไล่แตะ ซึ่งเป็นการเพิ่มปริมาณการทางานของ ระบบหายใจ 2. ทางอารมณ์ ทาให้เกิดความสนกุ สนานเพลดิ เพลนิ และผ่อนคลายความตงึ เครียด 3. ทางสติปัญญา โดยผู้เล่นฝ่ายรุกและฝ่ายรับจะต้องวางแผนวิธีการเล่น รู้จักการคิด หาวิธีการหลบหลีก การป้องกันตัว และการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า จึงเป็นการส่งเสริมทาง สติปัญญาได้ดี 4. ทางสังคม การเล่นต่ีจับจะต้องผลัดกันเป็นฝ่ายรุก โดยฝ่ายรุกจะต้องเสียสละเพื่อ ส่วนรวม และฝ่ายรับต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ช่วยส่งเสริมให้เกิดการเคารพกฎ กติกา และรจู้ กั ให้อภยั ซึ่งกนั และกันในความผิดพลาดท่เี กดิ ขึน้ ขอ้ มูล : ชัชชยั โกมารทตั . กีฬาพื้นเมืองไทยภาคกลาง. สถาพรบคุ๊ ส์. 2554. ห้องสมุดวฒั นธรรม | 134
ห้องสมดุ วัฒนธรรม | 135
ไมโ้ กง๋ เก๋ง (กีฬาพื้นบ้าน) เมื่อประมาณ 70-80 ปี คนในหมู่บ้านห้วยกองเป็าะ (หมู่บ้านกะเหรี่ยง) ยังไม่รู้จักสวม รองเท้า เมื่อถึงหน้าฝนตามถนนในหมู่บ้านก็แฉะไปด้วยโคลนและมูลสัตว์ต่างๆ ทาให้เดิน ด้วยเท้าเปล่าไม่ได้ จึงมีพวกเด็กไปนาไม้ไผ่ท่ีมีตายาวๆ ยื่นออกมาพอท่ีจะคีบหรือเหยียบลง ไปบนไม้ได้ โดยนามาคนละคู่ แล้วพวกเด็กๆ ก็ยืนอยู่บนไม้ ทาให้เดินไปตามถนนหนทางใน หมู่บ้านได้ นอกจากน้ี ไม้โก๋งเก๋งยังสามารถนามาใช้เดินเล่นเพ่ือความสนุกสนาน และหากมีผู้เล่น หลายคนก็จะชักชวนกันมาแข่งขัน โดยการเดินแข่งจะจัดให้มีเส้นเริ่มและเส้นชัย ซึ่งทุกคน จะต้องวางไม้หลังเส้นเริ่ม และยืนบนพ้ืน พอได้ยินเสียงสัญญาณไป ก็จะข้ึนไม้แล้วออกเดิน ถ้าใครถึงเส้นชัยก่อน โดยไม่ล้มเลย จะเป็นฝ่ายชนะ และถ้าใครล้ม จะต้องไปเริ่มต้นท่ีเส้น ห้องสมดุ วัฒนธรรม | 136
เริ่มใหม่ ซึ่งการเล่นไม้โก๋งเก๋งมีการจัดแข่งขันทุกปีในงานกีฬาพ้ืนบ้าน และการเล่นน้ีได้ถูก เผยแพร่ไปตามลานา้ แม่โขง จนไปสภู่ าคอีสาน ชาวอสี านรู้จักการเลน่ นีใ้ นช่อื ของไม้โถกเถก “วิธีการทาไม้โก๋งเก๋ง” 1. นาไม้ไผ่ยาวประมาณ 2 เมตร ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 น้ิว ตัดหัวท้าย ให้เรียบจานวน 2 ลา 2. นาไม้ไผ่ตัดเป็น 2 ท่อน สาหรับใช้เหยียบ ขนาดยาวประมาณท่อนละ 8 น้ิว ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 น้วิ ครงึ่ 3. เจาะรูข้างบนของลาข้อไม้ไผ่ให้ทะลุท้ังสองด้าม โดยให้มีขนาดกว้างพอท่ีจะสอดไม้ ทอ่ นสนั้ เขา้ ไปพอดี ขอ้ มูล : พีระพงศ์ บุญศิร.ิ การละเล่นพื้นบ้านล้านนา. สถาบนั ราชภฏั เชยี งใหม่. 2536. ห้องสมุดวฒั นธรรม | 137
ห้องสมดุ วัฒนธรรม | 138
ซดั ตม้ (กีฬาพื้นบ้าน) ซัดต้ม เป็นกีฬาพ้ืนเมืองท่ีมีเฉพาะจังหวัดพัทลุงเท่าน้ัน นิยมเล่นกันในเทศกาล ออกพรรษา มีประวัติเกี่ยวเน่ืองกับประเพณีชักพระ โดยจะมีลักษณะการเล่นคือ เริ่มทา ลูกต้มสาหรับการปาด้วยข้าวตากผสมทรายห่อด้วยใบตาลโตนด หรือใบมะพร้าวสาน อย่างแน่นหนา หลังจากนั้นก็นาลูกต้มไปแช่น้า เพ่ือให้ข้าวตากพองตัวและมีน้าหนักมากข้ึน สว่ นสนามหรอื เวทใี นการซดั ตม้ จะยกสงู จากพ้ืนดนิ ประมาณ 1 เมตร กว้างด้านละ 1-2 เมตร ห่างกัน 6-7 เมตร หรืออาจจะใช้พ้ืนดินธรรมดาก็ได้ โดยมีกรรมการเป็นผู้กาหนดการ ผลัดกันปาหรือซัดต้ม แต่ละฝ่ายจะมีลูกต้มวางอยู่ข้างหน้าฝ่ายละ 25-30 ลูก ซึ่งผู้เล่น จะต้องมีความสามารถในการหลบหลีกหรือรับลูกต้มไว้โดยไม่ให้ถูกตัว และมีสายตาท่ีดี การซัดต้มจึงต้องอาศัยไหวพริบและความว่องไวอย่างมาก หากผู้ใดปาหรือซัดคู่ต่อสู้ ไดม้ ากทส่ี ุดก็จะเปน็ ฝ่ายชนะ ห้องสมดุ วฒั นธรรม | 139
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162