Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสือการเรียนรู้เพื่อศิษย์ใน คศ21

หนังสือการเรียนรู้เพื่อศิษย์ใน คศ21

Published by Chayanon Y., 2018-11-14 21:48:22

Description: หนังสือการเรียนรู้เพื่อศิษย์ใน คศ21

Search

Read the Text Version

ตรงนี้ครูเพื่อศิษย์ต้องเรียนรู้ทักษะในการทำหน้าท่ีโค้ช หรือ “คุณ อำนวย” ของการทำโครงการ PBL นว้ี า่ นกั เรยี นในชว่ งอายใุ ดควรไดร้ บั การ แนะนำให้ค้นคว้าศึกษาเร่ืองใด จากแหล่งใด  เช่น ชวนระดมความคิดใน ทมี งานวา่ เขา้ ไปในเวบ็ ไซตน์ ี้ (http://entertain.teenee.com/thaistarphoto/ 3438.html) นักเรียนจะเผชิญอะไรบ้างท่ีเป็นคุณ และที่เป็นโทษ นักเรียน ตอ้ งฝึกบงั คับควบคุมตวั เองอย่างไรบ้างเก่ยี วกับการเขา้ เวบ็ ไซต์ ครูอาจเลือกข่าวหนังสือพิมพ์มาให้นักเรียนวิพากษ์กันในแง่ว่า หาก ตนเองเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์น้ัน ๆ จะมีทางหลีกเล่ียงความเสียหายต่อ อนาคตของตนเองอยา่ งไร ทำบอ่ ย ๆ สมำ่ เสมอดว้ ยหลากหลายเหตกุ ารณ์ โดยครูไม่เข้าไปสั่งสอนว่า อย่าทำอย่างน้ันอย่างน้ี แต่ชวนคิด ชวนสมมติ เหตุการณ์ เป็นโจทย์ชีวิต รวมท้ังมีตัวอย่างจริงให้เห็นว่าหากคิดเช่นน้ีทำ เชน่ น้ี ผลทเี่ กิดขึน้ ตามตวั อยา่ งจริงเป็นอย่างไร ครอู าจเลอื กเรอ่ื งจาก YouTube เอามาใหน้ กั เรยี นชม และรว่ มกนั ระดม ความคดิ บทเรยี นชวี ติ ทจี่ ะฝกึ ตนไมใ่ หห้ ลงไปกบั มายาของโลก นค่ี อื วชิ าชวี ติ ทจี่ ะตอ้ งเรยี นตามวยั ของเดก็ แตจ่ ะตอ้ งเรยี นรตู้ ง้ั แตร่ ะดบั อนบุ าล โดยตอน อายนุ อ้ ย ยงั เปน็ เดก็ เลก็ ครสู อนมากหนอ่ ย แตพ่ อเขา้ วยั รนุ่ ครตู อ้ งไมส่ อน แตห่ าทางออกแบบ PBL ให้เด็กเรียนเอง ผมคิดอย่างนี้ถกู หรือผิดกไ็ ม่ทราบ แตผ่ มมองเห็นโจทยว์ จิ ัยสำหรบั ใหค้ รูทำผลงานเพือ่ เป็น คศ. ๓ อยู่ใน PBL เพ่ือเรียนรู้ทักษะชีวิตนี้เต็มไปหมด รวมทั้งเห็นโจทย์วิจัยเพ่ือวิทยานิพนธ์ ของนักศึกษาปรญิ ญาเอกด้วย ๑๑ ธนั วาคม ๒๕๕๓ http://www.gotoknow.org/blog/thaikm/43999182 วิถสี ร้างการเรยี นร้เู พอื่ ศิษย์ ในศตวรรษท่ี ๒๑

๓ ครู พื่อศิษย์จติ วิทยาการเรยี นรสู้ ำหรับ ครูเพื่อศิษย์ ตีความจากหนังสอื Why don’t students like school?เขียนโดยศาสตราจารย์ดาเนียล ที วลิ ลงิ แฮม (Daniel T. Willingham) ผเู้ ชย่ี วชาญด้านจติ วิทยาการเรยี นรแู้ หง่ มหาวิทยาลัย เวอรจ์ เิ นยี 83ภาค ๕ เรอื่ งเล่าตามบภราบิ คท ๒: จับแคนววาคมิดจกาากรยเรอียดนครูส้มำาหฝราับกครเู พ่อื ศษิ ย์

PLC คือเครื่องมอื ใหค้ รูทกุ คนไดม้ ีโอกาส เปน็ ผนู้ ำการเปลยี่ นแปลง โดยมเี ปา้ หมายหลกั ท่ผี ลการเรยี นรขู้ องนกั เรยี น แต่จรงิ ๆ แลว้ ยังมีผลลัพธท์ กี่ ารเปล่ียนแปลงโรงเรียนโดย สิ้นเชงิ (school transformation) อกี ดว้ ย วิธที ำงานเปล่ียนไป ความสมั พนั ธ์ระหว่าง บคุ คลเปลย่ี นไป วฒั นธรรมองคก์ รเปลยี่ นไป84 วถิ ีสร้างการเรยี นรูเ้ พือ่ ศษิ ย์ ในศตวรรษที่ ๒๑

ครู พอื่ ศษิ ย์ สมดุลระหว่าง ความงา่ ยกบั ความยาก หนงั สือ Why don’t students like school? เขยี นโดยศาสตราจารย์ดาเนียล ที วลิ ลิงแฮม (Daniel T. Wilingham) ผ้เู ชีย่ วชาญด้านจติ วทิ ยาการเรียนรู้แห่งมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย ทำให้ผมคิดถึงครูเพ่ือศิษย์ เพราะหนังสือเล่มนี้เขียนถึงการเรียนรู้ของเด็กในบริบทของห้องเรียนหรือโรงเรียน คือเขียนแบบคำนึงถึงสภาพจริงท่ีนักเรียนต้องประสบ ไม่ใช่เขียนแนะวิธีจดั การเรยี นรู้ใหแ้ กเ่ ดก็ แบบลอย ๆ หลังจากอ่านบทแรกในตัวอย่างหนังสือท่ีเขาอนุญาตให้ดาวน์โหลดมาอ่าน ผมก็ยอมเสียเงินซ้ือหนงั สอื เล่มนีม้ าไว้ใน Kindle ของผม สำหรบัอา่ นเพอื่ เอาประเดน็ สำคัญมาฝากเพื่อนครูเพอื่ ศิษย์ ความรู้ด้านจิตวิทยาการเรียนรู้สมัยใหม่ช่วยให้เราแก้ความเข้าใจผิดเกา่  ๆ ทย่ี ดึ ถอื กันมานาน เชน่ ความรเู้ ร่อื งการคดิ ของมนุษย์ เดิมเราเชือ่ว่ามนษุ ยเ์ กดิ มาเพอื่ คิด นี่คือ ความเข้าใจผดิ ทจ่ี ริงมนษุ ย์เกดิ มาพร้อมกบักลไกประหยัดการคิด  คือถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ มนุษย์จะไม่คิด เพราะหากมัวคิดก่อนทำในหลายเรื่อง มนุษยก์ จ็ ะไม่สามารถดำรงเผ่าพนั ธุม์ าได้จน 85ภาค ๕ เร่ืองเลา่ ตามบริบท : จบั ความจากยอดครูมาฝากครูเพ่ือศิษย์

บัดน้ี คงจะสูญพันธ์ไุ ปตงั้ แตส่ มยั โบราณ เพราะหนีสัตว์ร้ายหรอื ศัตรูไมท่ ัน เนอ่ื งจากมัวคดิ อยู่ ความจริงเก่ียวกบั การคิด ๓ ประการ ทตี่ รงกันข้ามกบั ความเชอ่ื เดมิ ไดแ้ ก่ ๑. การคิดทำไดช้ ้า ๒. การคดิ นั้นยาก ตอ้ งใช้ความพยายามมาก ๓. ผลของการคดิ นัน้ ไม่แนว่ า่ จะถกู ตอ้ ง  แมม้ นษุ ยจ์ ะมีธรรมชาตชิ อบคดิ หรอื มคี วามข้ีสงสัย (curiosity) แต่ ก็ต้องมีธรรมชาติประหยัดการคิดเป็นของคู่กันด้วย เมื่อไรที่การคิดน้ัน เผชิญโจทย์ท่ียากเกิน ความฉลาดจะทำให้มนุษย์หลีกเลี่ยงการคิด หรือ รู้สกึ ไม่สนกุ ทีจ่ ะคิด นคี่ อื เคลด็ ลบั สำหรบั ครูเพือ่ ศิษย์ สำหรบั ออกแบบการเรียนรู้ หรือ ต้ังโจทย์ ให้พอดีระหว่างความยากหรือท้าทายกับความง่ายพอสมควรท่ี นกั เรียนจะทำไดส้ ำเรจ็ และเกดิ ปติ ิ เกิดความภูมใิ จที่ทำไดส้ ำเรจ็ มนษุ ยจ์ ะคดิ หากโจทยน์ น้ั งา่ ยพอสมควรทจี่ ะคดิ ไดส้ ำเรจ็ ความสำเรจ็ คือ รางวัลทางใจ เป็นแรงจูงใจที่จะคิดโจทย์ต่อไป  ครูจะต้องใช้จิตวิทยา ขอ้ นก้ี ับศิษยอ์ ยตู่ ลอดเวลา ซง่ึ จะทำให้ศษิ ย์เกิดความสนุกในการเรยี น  ถา้ โจทย์ยากเกินไป ธรรมชาติของความเป็นมนุษย์จะกระตุ้นให้เขาเลิกคิด หนีการคิด หลีกหนีการเรียน แต่ถ้าโจทย์ง่ายเกินไป ก็ไม่ท้าทาย น่าเบ่ือ หรือไมเ่ กดิ การเรยี นร้ ู ความพอดีอยู่ที่ไหน นี่คือ ข้อเรียนรู้ท่ีครูเพ่ือศิษย์จะต้องฝึกฝน ตนเอง 86 วิถสี รา้ งการเรียนร้เู พือ่ ศิษย์ ในศตวรรษท่ี ๒๑

ครู พ่อื ศษิ ย์ ทฤษฎีท่ีเกี่ยวข้องคือ “ความจำใช้งาน” (working memory) กับ“ความจำระยะยาว” (longterm memory) ในชีวิตประจำวัน มนุษย์เราใช้ความจำมากกว่าใช้การคิด นี่คือธรรมชาตขิ องมนุษย ์ และทสี่ ำคญั ความจำ ๒ ชนดิ นีช้ ว่ ยใหก้ ารคดิ งา่ ยขึ้น  คนเราใช้ความจำชว่ ยการคิด หรอื บางครงั้ แทนการคดิ ดว้ ยซ้ำไป   วิธีการฝึกคิดคือ การฝึกแก้โจทย์ ศิลปะของการเป็นครูเพ่ือศิษย์คือการทำใหน้ กั เรยี นเรยี นสนกุ และมโี จทยท์ นี่ า่ สนใจ สง่ิ ทช่ี ว่ ยกระตนุ้ ความสนกุและน่าสนใจคือ ความสำเร็จหรือการที่สมองได้รับรางวัลจากความสำเร็จในการแก้โจทย์หรือตอบโจทย์ ดังนั้นโจทย์ต้องมีความยากง่ายพอดีกับความจำใชง้ าน และความจำระยะยาวของเด็ก การฝึกคิดโดยการแก้โจทย์ ต้องมีโจทย์เป็นชุดจากง่ายไปยาก เพื่อกระตุ้นให้นักเรียนคิด ได้คำตอบท่ีถูกต้อง ได้รับรางวัลคือ ปิติจากการตอบถูกหรือมวี ธิ ีคดิ ที่ดี กระตนุ้ ใหอ้ ยากเรียนรตู้ อ่ ไปอกี นอกจากศษิ ยจ์ ะได้“ความร้”ู เกบ็ ไวใ้ น “ความจำระยะยาว” แลว้ ศษิ ย์จะไดฝ้ ึกฝนการคดิ และได้นิสยั การเปน็ นกั คดิ ตดิ ตวั ไปภายหนา้ ครูเพื่อศิษย์คือ “ครูนักให้รางวัล” โดยที่ศิษย์ไม่รู้ตัวว่าตนได้รับรางวัล เพราะรางวัลนัน้ คือ ความรู้สึกพอใจ มีความสขุ ความภมู ใิ จทเี่ กดิขึ้นในสมอง เพราะมีการหล่ังสารเคมีโดปามีน (dopamine) ออกมาจากสมอง กระต้นุ ความรู้สกึ พงึ พอใจ หรอื ความสุข นอกจากสารโดปามีนจะหล่ังจากความรู้สึกว่ามีความสำเร็จแล้ว ยังหลง่ั เมอื่ ไดร้ บั คำชม ดงั นน้ั ครเู พอ่ื ศษิ ยต์ อ้ งเปน็ นกั ใหค้ ำชม หรอื ใหก้ ำลงั ใจ  ไม่ใช่นักตำหนิติเตียนหรือดุด่าว่ากล่าว ซึ่งเป็นกระบวนการสนองอารมณ์รนุ แรงของตนเอง   87ภาค ๕ เรอ่ื งเลา่ ตามบภราิบคท ๓: จจับติ คววิทายมาจกาากรยเรอยีดนครสู้มำาหฝราบักครเู พ่อื ศิษย์

ครูเพื่อศิษย์คือ นักออกแบบโจทย์การเรียนรู้ ให้ศิษย์ฝึกคิดจากง่าย ไปหายาก  ให้ศิษย์ได้มีความสุข ความพึงพอใจ จากการทำโจทย์สำเร็จ จากง่ายไปหายาก ทำบ่อย ๆ จนเป็นนิสัยของการเป็นคนช่างคิด หรือคิด เป็น คิดอย่างมีวิจารณญาณ แล้วค่อย ๆ พัฒนาทักษะเพ่ือการดำรงชีวิต ในศตวรรษที่ ๒๑ (21st Century Skil s) น่ีคือ กระบวนการเรียนรู้ที่ครูเพ่ือศิษย์จะต้องเรียนรู้ไปตลอดชีวิต  เรียนรู้โดยการรวมตัวกันในกลุ่มครูเพื่อศิษย์ในโรงเรียนเดียวกัน ลปรร. (แลกเปลี่ยนเรียนรู้) วิธีการและประสบการณ์ และเรียนรู้โดยการ ลปรร. กับเพื่อนครูที่อยู่ต่างโรงเรียน และท่ีอยู่ห่างไกลกันคนละภาคผ่านบันทึกใน Gotoknow ๑๘ มกราคม ๒๕๕๔ http://www.gotoknow.org/blog/thaikm/421280 88 วิถสี รา้ งการเรยี นร้เู พ่อื ศษิ ย์ ในศตวรรษท่ี ๒๑

ครู พอ่ื ศษิ ย์ ความคดิ กับความรู้เกอ้ื กลู กนั บททึ่ ๒ ในหนังสือของ ศาสตราจารย์ วลิ ลิงแฮม คือ How Can ITeach Students the Skils They Need When the Standardized TestsRequire Only Facts?  เป็นบทที่ใช้จิตวิทยาการเรียนรู้ หรือศาสตร์ด้านการเรียนรู้แก้ความเข้าใจผิดว่า ความจำไม่สำคัญ และสาระความรู้(facts) ก็ไมส่ ำคัญ ในความเปน็ จรงิ แล้ว คนเราจะคิดได้ลึกซ้งึ หรอื มีวจิ ารณญาณ ตอ้ งมีความรู้มาก ท่เี ขาเรียกว่า มตี ้นทนุ ความรู้ (background knowledge) ซึ่งทีจ่ รงิ ในบ้านเราก็คดิ เชน่ นัน้ เราจงึ ยกย่องคนทเี่ ปน็ พหสู ตู ซงึ่ แปลวา่ ได้ยินได้ฟังมามากคือ มีความรู้มากน่ันเอง และเป็นท่ีรู้กันว่าต้องส่งเสริมให้ลูกและศิษย์อ่านหนังสือ และรักการอ่านตั้งแต่เด็กจนเป็นนิสัย ไทยเรามีวลี“คิดอ่าน” ซึง่ น่าจะสะท้อนแนวคดิ วา่ เราเชือ่ ว่า ความคดิ กับความรู้เปน็ สงิ่ ที่เสริมส่ง เกือ้ กลู ซ่งึ กนั และกนั ศ. วิลลิงแฮมถึงกับโต้แย้งคำของไอน์สไตน์ ที่ว่า “จินตนาการสำคัญกวา่ ความร”ู้ (Imagination is more important than knowledge) คอื แย้งว่าความรมู้ ีความสำคญั ต่อความคดิ 89ภาค ๕ เรอ่ื งเล่าตามบภราบิ คท ๓: จจับติ คววิทายมาจกาากรยเรอยีดนครู้สมำาหฝราับกครเู พอื่ ศษิ ย์

ทำใหผ้ มหวนระลกึ ถึง “หลมุ ดำ” ความคิด หรือกระบวนทศั นท์ ี่ทำ ให้เราเป็นคนแคบ คือความคิดแบบ either - or คิดแยกข้ัว ถูก - ผิด ดำ - ขาว  ใช่ - ไม่ใช่ สู้ความคิดแบบ both - and ไมไ่ ด้ เพราะมันทำ ให้เราใจกว้าง และรู้จกั คดิ พิจารณาเชอ่ื มโยงหรือลึกซ้ึง เหน็ ความเชอื่ มโยง ของสรรพสง่ิ ผมมีคำตอบมาตรฐานต่อคำถามแบบ “ใช่หรือไม่” ว่า “yes and no” คอื ทั้งใชแ่ ละไมใ่ ช่ เพอ่ื จะไดอ้ ธิบายว่าในสถานการณใ์ ดที่คำตอบคอื ใช่ ในสถานการณ์ใดคำตอบคือ ไม่ใช่ เป็นการชี้ให้เห็นว่าความจริงมันมี ความลึก เป็นสิ่งที่มีหลายมิติ เวลาตีความความจริงต้องคำนึงถึงบริบท หรือสภาพแวดล้อมประกอบด้วย น่ีคือ ลักษณะการคิดแบบมีวิจารณญาณ (critical thinking) ซง่ึ เป็นหน่ึงในทกั ษะสำคญั ของทกั ษะเพ่ือการดำรงชวี ติ ในศตวรรษที่ ๒๑ (21st Century Skil s) บทที่ ๒ น้ี เป็นตัวอย่างและคำอธิบายว่า ความคิดกับความจำ เช่ือมโยงกัน หากมคี วามจำดี มีความรู้อยู่ในสมองมากก็จะคดิ ไดด้ กี ว่า คือ คิดเชื่อมโยงกว้างขวางกวา่ คดิ ลกึ ซึง้ กวา่ ดังนั้น ครเู พื่อศษิ ยจ์ งึ ตอ้ งฝกึ นักเรยี น ให้รู้จกั วิธจี ำ ฝกึ ทักษะการจำ เพ่ือให้มีทั้งความจำใช้งาน (working memory) และความจำระยะยาว (longterm memory) ทด่ี ี เคลด็ ลับคือ เด็กทม่ี ีความจำท้งั สองแบบน้ีดี จะ ไมเ่ บอื่ เรยี น ไมเ่ บอ่ื คดิ การเรยี นและการคดิ จะเปน็ ของสนกุ ไมใ่ ชน่ า่ เบอื่ หนา่ ย โปรดอ่านหนังสือ Teach Likes Your Hair’s On Fire ของครเู รฟ เอสควิธ (Rafe Esquith) (ซง่ึ มีแปลเปน็ ภาษาไทยแล้วช่ือ “ครูนอกกรอบกับห้องเรียน นอกแบบ”) วา่ มเี คลด็ ลบั ทำใหเ้ ดก็ สนกุ กบั การทอ่ งจำเรอื่ งสำคญั  ๆ อยา่ งไร อย่าลืมว่าสมองของมนุษย์เราเป็นโรคบ้ายอคือ ชอบรางวัลท่ีได้รับ90 วิถสี ร้างการเรียนรเู้ พ่อื ศษิ ย์ ในศตวรรษที่ ๒๑

ครู พื่อศิษย์เมอ่ื ประสบความสำเรจ็ เมอื่ พบวา่ สง่ิ ทจ่ี ำไดห้ มายรมู้ ปี ระโยชนต์ อ่ สถานการณ์ทพ่ี านพบ กจ็ ะเกดิ ความปติ พิ งึ พอใจ เปน็ ตวั กระตนุ้ ใหอ้ ยากเรยี นรตู้ อ่ ไปอกีนี่คือ ส่วนหน่ึงของการสร้างแรงบันดาลใจต่อการเรียนรู้ หรือทำให้เด็กสนใจใคร่เรยี นรู้ นัน่ เอง หน้าท่สี ำคัญทส่ี ุดของครูคอื การสรา้ งแรงบันดาลใจใคร่เรียนรู้ หรือจุดไฟของความใคร่เรยี นรขู้ นึ้ ในใจหรือในสมองเดก็ แตก่ ารจุดไฟใคร่เรียนรู้ในสมองเด็กไม่เหมือนการจุดไฟในเตาที่ทำคร้ังเดียวแล้วไฟติด การจุดไฟในสมองเด็กตอ้ งทำซำ้  ๆ จนเปน็ นสิ ยั   จนกลายเป็นบคุ ลกิ ประจำตวั และจะเป็นเช่นน้ันได้ต้องเกิดวงจรรางวัลข้ึนในสมองของเด็กซ้ำ ๆ ต้องอ่านหนังสือครูนอกกรอบกับห้องเรียนนอกแบบของครูเรฟนะครับ จะเห็นว่าการจุดไฟในสมองเดก็ นั้นไม่ยากหากรู้วธิ ี  และที่สำคัญคอื จะทำใหช้ ีวิตครูเปน็ ชวี ติ ทีส่ นุกสนาน มีชีวิตชวี า  ความจำหรือความรชู้ ่วยให้คดิ ไม่ยาก และชว่ ยใหค้ ิดแลว้ สำเรจ็ เกดิวงจรรางวัลเลก็  ๆ ขึ้นในสมอง กระต้นุ ใหอ้ ยากคดิ อกี เม่อื เกดิ ซ้ำ ๆ ก็คิดเกง่ ข้นึ ชอบคดิ และมีองคค์ วามร้สู ะสมในสมองมากขนึ้ ครูเพื่อศิษย์ต้องออกแบบการเรียน ให้เด็กได้ฝึกการคิดกับการจำไปพร้อม ๆ กนั คอื ส่งั สมความรทู้ ่ีเรียกวา่ มตี น้ ทนุ ความรู้ ไปพรอ้ มกับฝึกการคิดอยา่ งมีวิจารณญาณ เป็นการฝึกทีใ่ ห้ความสนุก และสมองได้รับรางวลั ถา้ ไมร่ ะวงั การจดจำความรจู้ ะเปน็ การจำแบบท่องจำ แบบนกแกว้นกขุนทองซ่ึงจะได้ความรู้ท่ีต้ืน ครูเพ่ือศิษย์ต้องหาทางทำให้นักเรียนเข้าใจความหมายหรือคุณค่าของความรู้น้ันเพ่ือให้ได้ความรู้ที่ลึก มีวิธีการต่าง ๆทจ่ี ะทำใหน้ กั เรยี นเขา้ ใจความหมายตอ่ ชวี ติ ของเขา วธิ กี ารหนง่ึ คอื จดั กลมุ่ความรเู้ หลา่ นน้ั เปน็ กลมุ่  ๆ ดงั กรณคี รเู รฟเอามาทำเปน็ เกมใหเ้ ดก็  ป. ๕ เลน่ 91ภาค ๕ เร่ืองเล่าตามบภราิบคท ๓: จจับติ คววิทายมาจกาากรยเรอยีดนครสู้มำาหฝราับกครูเพอื่ ศิษย์

เช่น เกมต่อคำ สัตว์เล้ียงลูกด้วยนม  พืชใบเลี้ยงเดี่ยว  เกมดูภาพแล้วจัด กล่มุ สัตว์ เป็นต้น บทท่ี ๒ นนี้ า่ จะตคี วามได้วา่ เปน็ เรอ่ื งทักษะของครูเพื่อศษิ ยใ์ นการ ป้องกันโรคเบื่อเรียน และทักษะในการจุดไฟในสมองให้สนุกกับการเรียนรู้  ด้วยการออกแบบการเรียนรู้ใหส้ มองของเด็กได้รับรางวลั จากการเรยี นรูท้ ลี ะ นิด ทลี ะนิด ต่อเนอื่ งสมำ่ เสมอ ทำใหเ้ ด็กมี “ต้นทุนความรู้” สำหรับใช้ใน การเรียนแบบคดิ อยา่ งสนกุ และได้รางวลั เดก็ จึงมีอิทธิบาท ๔ และเพิ่มพนู ทกั ษะในการเรยี นรพู้ ร้อม ๆ กันกับการเรียนร้สู าระวชิ า กระบวนการทง้ั หมดในยอ่ หน้าบนทเี่ กดิ ขึน้ ในสมอง และในหวั ใจเดก็ ต้องเกดิ ขึน้ ในครูเพือ่ ศิษยด์ ว้ ย ๒๑ มกราคม ๒๕๕๔ http://www.gotoknow.org/blog/thaikm/421673 92 วิถสี ร้างการเรยี นรู้เพือ่ ศิษย์ ในศตวรรษที่ ๒๑

ครู พ่อื ศิษย์ เพราะคิดจึงจำ บทที่ ๓ เรือ่ ง Why do students remember everything that’s ontelevision and forget everything I say? ศ. วลิ ลงิ แฮมบอกเราวา่ ครูเพื่อศิษย์ต้องทำความรู้จักสมองและกลไกการทำงานของสมอง จึงจะฝึกออกแบบการเรียนรู้ของศิษย์ได้สนุก  และสนุกกับการเรียนรู้เพ่ือการเป็นครูเพอื่ ศษิ ย์อย่างแท้จรงิ สมองของมนษุ ยม์ คี วามมหศั จรรย์ มคี วามฉลาดอยใู นตวั ทจี่ ะทำงานอย่างฉลาดคือ ทำงานน้อยได้ผลมาก สมองจึงไม่จำทุกเรื่องที่เราประสบเลือกจำเฉพาะเรื่องที่ถือว่าสำคัญ เร่ืองสำคัญคือ เรื่องที่เราคิด เอาใจใส่หรือมอี ารมณ์รนุ แรงกับมัน สภาพท่ีหลอกหลอนครูคือ ตนเองต้ังใจสอนเต็มที่ คิดออกแบบการเรียนการสอนอย่างดี ถึงชั่วโมงสอนก็ตั้งใจสอนอย่างดีเยี่ยม วันรุ่งขึ้นถามเดก็ วา่ ได้เรยี นรู้อะไร ไม่มเี ดก็ จำไดแ้ ม้แตค่ นเดียว และเมอื่ สอบผลสัมฤทธ์ิทางการศกึ ษา เดก็ กส็ อบตก การเรียนรู้ทีแ่ ทจ้ ริงจึงหมายถึง ผเู้ รียนซึมซับเขา้ ไปไวใ้ นความจำ 93ภาค ๕ เรอ่ื งเลา่ ตามบภราิบคท ๓: จจบั ติ คววทิ ายมาจกาากรยเรอยีดนคร้สูมำาหฝราับกครเู พื่อศิษย์

ระยะยาว (longterm memory) สำหรับดึงออกมาใช้ได้ยามต้องการ ศ. วิลลิงแฮมสรุปว่า ครูท่ีเก่งคือ ครูท่ีช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ท่ีแท้ จริง และครทู ่เี กง่ มีคุณลกั ษณะสำคญั ๒ ดา้ น คือ ๑. รกั เอาใจใสเ่ ดก็ เดก็ สมั ผสั จติ ใจเชน่ นน้ั ไดแ้ ละสบายใจทจี่ ะเขา้ หา ซ่งึ เปน็ มติ ดิ ้านมนษุ ย์สัมผัสมนษุ ย์ ๒. สามารถออกแบบการเรยี นรู้ ใหน้ า่ สนใจและเขา้ ใจงา่ ยสำหรบั ศษิ ย ์ ทำใหเ้ กดิ การเรยี นรู้ทลี่ กึ และเกดิ ความจำระยะยาว ความจำเป็นผลของการคิด การมีความรู้คือ มีความจำระยะยาวเอาไว้ใช้งาน ความจำเกิดจาก อะไรบ้าง  การกระทบอารมณ์อย่างรุนแรงท้ังด้านสุขและด้านทุกข์ ช่วยให้ เกิดการจำ แต่ไม่จำเป็นเสมอไปว่าต้องมีการกระทบอารมณ์จึง จะจำได้  การทำหรอื ประสบการณซ์ ำ้  ๆ จะชว่ ยใหจ้ ำไดด้ ขี นึ้ แตไ่ มเ่ สมอไป  ความต้องการทจ่ี ะจำ แตบ่ ่อยครงั้ ทล่ี มื ท้งั  ๆ ท่ีต้องการจำ  การคิดถึงความหมายท่ีถูกต้องต่อบริบทการเรียนรู้น้ัน ๆ วิธีการ หนง่ึ คอื ใชโ้ ครงสรา้ งของเรอื่ ง (story structure) ในการออกแบบ การเรียนรู้ และการเดนิ เร่ืองให้นกั เรยี นคดิ ตรงตามความหมายท่ี ต้องการใหเ้ รียนรู้ ในฐานะผเู้ ชย่ี วชาญหรอื นกั วจิ ยั ดา้ นจติ วทิ ยาการเรยี นรู้ ศ. วลิ ลงิ แฮม อธิบายกลไกที่ช่วยและไม่ช่วยให้เด็กเรียนร ู้ ชี้ให้เห็นความเข้าใจผิด ๆ ที่94 วิถสี ร้างการเรยี นรู้เพื่อศิษย์ ในศตวรรษที่ ๒๑

ครู พื่อศิษย์ยึดถือกันมานาน เช่น การทำให้เน้ือเร่ืองหรือสาระของบทเรียนเป็นเร่ืองที่น่าสนใจสำหรับเดก็  อาจไม่ใช่ปจั จัยสำคญั ตอ่ การเรยี นรูข้ องเด็ก เพราะตวัวธิ กี ารเพอื่ ใหน้ า่ สนใจนน้ั เองอาจเปน็ ตวั ดงึ ดดู ความสนใจของเดก็ ใหห้ นั เหไปสนใจส่วนของการกระตุ้นความสนใจ  ไม่สนใจตัวสาระของวัตถุประสงค์ที่ตอ้ งการให้เรียนรู้  เช่น ครูเอาลูกเต๋ามาทอดเพ่ือให้เด็กคิดเร่ืองความน่าจะเป็น (probability)  แต่เด็กบางคนกลับคิดเพียงเร่ืองลูกเต๋า ไม่ได้คิดเรื่องความนา่ จะเป็น วนั รุ่งขึน้ ครูถามวา่ ไดเ้ รียนอะไร นักเรียนคนนนั้ ตอบไดแ้ ต่เรื่องลกู เตา๋  ตอบเรือ่ งความน่าจะเปน็ ไมไ่ ดเ้ ลย เรียกในภาษาวิชาการวา่ กระบวนการ (process) เพ่ือความนา่ สนใจกลายเปน็ เหตใุ ห้ไขว้เขว (distraction) ออกไปจากสาระทตี่ อ้ งการใหเ้ รยี นรู ้คือ ความสนุกกลายเป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้ตามเป้าหมายท่ีกำหนดเพราะไปสนุกอยกู่ บั เรือ่ งไมเ่ ปน็ เรือ่ ง (คนไทยถนดั ?) การออกแบบการเรยี นรู้คอื การออกแบบกระบวนการท่ีทำใหเ้ ด็กคิดตรงตามวตั ถปุ ระสงคข์ องการเรียนร้ขู องบทเรียนน้นั ครเู พอ่ื ศษิ ยท์ แ่ี ทจ้ รงิ จงึ ไมใ่ ชแ่ คร่ กั เดก็ ไมใ่ ชแ่ คส่ อนสนกุ ยงั ตอ้ งมวี ธิ ีออกแบบการเรยี นรทู้ ที่ ำใหศ้ ษิ ยเ์ รยี นรเู้ รอื่ งนนั้  ๆ ไดอ้ ยา่ งแทจ้ รงิ ดว้ ย เรยี นรู้อยา่ งแทจ้ รงิ หมายความวา่ ซมึ ซบั เขา้ ไปเปน็ ความจำระยะยาวของศษิ ย ์ และไมใ่ ชแ่ คจ่ ำไดเ้ ฉย ๆ ตอ้ งเขา้ ใจความหมายและคณุ คา่ ของความรนู้ นั้  ๆ ดว้ ยวิธีทำให้ศิษย์เรยี นรไู้ ด้อยา่ งดี  คิดออกแบบขั้นตอนการเรียนรู้ของศิษย์ (ไม่ใช่ขั้นตอนการสอน ของครู) ไว้อยา่ งดี ให้นกั เรียนคดิ ในแนวทางท่ตี ้องการให้เรยี นรู้  ชวนนักเรียนคิดถึงคุณค่าหรือความหมายของบทเรียนน้นั ๆ 95ภาค ๕ เรื่องเล่าตามบภราบิ คท ๓: จจับิตคววทิ ายมาจกาากรยเรอยีดนครูส้มำาหฝราบักครูเพอ่ื ศษิ ย์

 ใชเ้ ร่อื งเล่าเร้าพลัง สะเทือนอารมณด์ ้วย 4C ได้แก่ความบังเอญิ (casuality) ความขัดแย้ง (conflict) ความสลับซับซ้อน (complication) และการมบี คุ ลกิ (character) นา่ สนใจ จำงา่ ย สน้ั กระชบั ศาสตร์ดา้ นจติ วิทยาการรับรู้ (Cognitive psychology) บอกเราวา่ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ ต้องการข้อมูลมาจากหลายทางในเวลา เดียวกันคือ จากสภาพแวดล้อมในขณะนั้น  จากความจำระยะยาว และ การคิดแบบน้ีแหละท่ีทำให้เกิดการส่ังสมความจำระยะยาว ทำให้คนกลาย เปน็ พหูสูต เพอื่ ใหศ้ ษิ ยม์ ที กั ษะเพอื่ การดำรงชวี ติ ในศตวรรษท่ี ๒๑  ทกั ษะสำคญั คอื การคดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณ ซงึ่ จะเกดิ ขน้ึ ไดต้ อ้ งมคี วามรเู้ ดมิ หรอื ตน้ ทนุ ความรู้ (background knowledge) จากความจำระยะยาวเปน็ ฐาน ครเู พ่อื ศิษย์จึงต้องจัดการเรียนรู้ให้ศิษย์ส่ังสมความรู้ไว้มาก ๆ โดยจัดการเรียนรู้ ให้มีความหมาย ให้ศิษย์คิดถึงความหมายที่ถูกต้องตามบริบทน้ัน ๆ เพื่อ ใหเ้ กิดความจำระยะยาว ขอย้ำว่า ส่วนสำคญั ท่สี ดุ ของการวางแผนหรอื ออกแบบการเรยี นรู้ ก็ เพ่ือให้ศิษย์คิดถึงความหมายของบทเรียนตามบริบทท่ีถูกต้อง วิธีออกแบบ การเรยี นร้ทู ่แี นะนำคือ การกำหนดโครงสร้างของเรือ่ ง แตก่ ม็ คี วามรสู้ ว่ นหนงึ่ ทเ่ี ปน็ ความรเู้ บอ้ื งตน้ จรงิ  ๆ ไมส่ ามารถจำโดย การคิดได้ ในกรณีนี้ต้องใช้วิธีจำ ชื่อของศาสตร์ด้านวิธีจำ คือ นีโมนิค (mnemonics) มีวิธีการหลากหลายแบบ ซ่ึงอย่ารังเกียจศาสตร์ว่าด้วย วธิ ีจำนี้96 วิถีสร้างการเรียนรู้เพ่อื ศษิ ย์ ในศตวรรษท่ี ๒๑

ครู พ่ือศิษย์ พงึ ระวงั บทเรยี นเรา้ ใจ เรา้ ความสนใจ จนนกั เรยี นจำไดเ้ ฉพาะสว่ นที่เรา้ ความสนใจ แตจ่ ำเรอ่ื งสาระทต่ี อ้ งการใหเ้ รยี นรไู้ มไ่ ดเ้ ลย เพราะเดก็ คดิ ถงึแต่ตอนที่เรา้ ใจ ครคู วรให้เด็กเรยี นรู้โดยการคน้ ควา้ (discovery learning)ร่วมกับการทบทวนไตร่ตรอง (reflection) ที่สำคัญอย่าลืมชวนนักเรียนทำการทบทวนไตร่ตรอง หรอื AAR หลงั บทเรยี น การออกแบบการเรียนรู้ตามหลักการที่กล่าวมาน้ีเป็นทักษะที่ต้องเรียนรู้จากการปฏิบัติเป็นหลัก แล้วนำประสบการณ์มาแลกเปล่ียนเรียนรู้กันในกลุ่มครู ท่ีเป็นสมาชิกของชุมชนเรียนรู้ครูเพื่อศิษย์ (ชร. คศ.) หรือPLC เดียวกัน หรือเป็นเครือข่ายกัน แต่บางทักษะก็ต้องการการฝึกอบรมดว้ ยการประชมุ ปฏิบัตกิ าร ๒๓ มกราคม ๒๕๕๔ http://www.gotoknow.org/blog/thaikm/423474 97ภาค ๕ เรอ่ื งเล่าตามบภราิบคท ๓: จจบั ิตคววทิ ายมาจกาากรยเรอียดนครูส้มำาหฝราบักครเู พือ่ ศิษย์

ความเขา้ ใจคือความจำจำแลง สู่การฝกึ ตนฝนปญั ญา บทที่ ๔ เร่ือง Why is it so hard for students to understand abstract ideas? และบทท่ี ๕ เรอื่ ง Is driling worth it? ในหนังสอื ของ ศ. วิลลิงแฮมนั้นกล่าวว่า เรื่องที่เป็นนามธรรมจะยากต่อความเข้าใจ เพราะสมองสรา้ งมาสำหรับเขา้ ใจส่งิ ท่ีเป็นรปู ธรรม ความเข้าใจน้ันเกิดจากการเอาความรู้เดิมมาใช้แก้ปัญหา หรือ ประยกุ ต์ใช้ในสถานการณใ์ หม่ (knowledge transfer) แล้วเกดิ ความรู้ใหม่ หรือขยายความรู้เดิม ระดับความเข้าใจซึ่งจะเป็นระดับตื้นหากโครงสร้าง ความคดิ เปน็ แบบผวิ เผนิ (surface structure) แตร่ ะดับความเขา้ ใจจะเปน็ ระดบั ลกึ หากโครงสรา้ งความคดิ เป็นแบบลึก (deep structure) คอื คิดใน ระดบั ความหมาย (meaning) เป็นหน้าที่ของครูเพ่ือศิษย์ท่ีจะฝึกศิษย์ เตรียมความพร้อมให้เข้าใจ ระดับลึก โดยทำแบบฝึกหัดจับกลุ่มแยกประเภท (categorize) สิ่งของ คูเ่ หมือน คตู่ รงกันข้าม เปรียบเทียบ แบบฝึกหดั ท่สี นุกคือ เลน่ เกม อย่างที่ ครูเรฟฝึกให้ศิษย์ของตนเล่น ซึ่งอ่านเพ่ิมเติมที่ผมบันทึกย่อไว้ได้ท่ี http://98 วถิ สี รา้ งการเรยี นรเู้ พื่อศษิ ย์ ในศตวรรษที่ ๒๑

ครู พ่ือศิษย์www.gotoknow.org/blogs/posts/187522 หรืออ่านฉบับเต็มได้จากหนงั สอื ครูนอกกรอบกับห้องเรียนนอกแบบ ครตู อ้ งเนน้ ความเขา้ ใจระดบั ลกึ ในการออกแบบการเรยี นรู้ การสอื่ สารการออกขอ้ สอบเพอ่ื ทดสอบการเรยี นรู้ และการใหก้ ารบา้ น ตอ้ งระมดั ระวงั ไมห่ ยดุ อยู่แค่ความเข้าใจระดับต้ืน แต่อย่ารังเกียจความรู้ระดับตื้น รู้บ้างดกี วา่ ไมร่ เู้ ลย และตอ้ งไมย่ อ่ ทอ้ ท่ีจะช่วยให้ศิษย์เรียนรู้ความรู้ระดับลึก ซ่ึงอาจต้องค่อย ๆ พัฒนา บางคนช้า บางคนเร็ว อาจใช้เวลาเป็นปีหรือหลายปีกว่าเดก็ จะมที กั ษะการคิดในระดับลึก การฝึกทักษะพ้ืนฐานทางคณิตศาสตร์ ทักษะพ้ืนฐานทางการเขียน(เรียงความ ย่อความ) มีประโยชน์ ๓ ประการ ๑. ไดท้ กั ษะคิดลกึ และได้ความรทู้ ล่ี กึ ๒. ปอ้ งกันการลืม ๓. ชว่ ยการนำไปใช้ในสถานการณ์อ่ืน ๆ (transfer) จะคิดเก่งต้องขยายความจำใช้งาน (working memory) โดยการฝกึ ฝนจนเกดิ สภาพอัตโนมตั ิ คิดโดยไมต่ ้องคดิ หรือคดิ อยา่ งเปน็ อตั โนมตั ิ ตามปกติพ้ืนท่ีของความจำใช้งาน มีจำกัด  บางคนท่ีเกิดมาโชคดีสมองสว่ นนใี้ หญค่ อื คนสมองดหี รอื ฉลาดนนั่ เอง  แตเ่ ดก็ ธรรมดาทว่ั  ๆ ไปก็สามารถขยายพนื้ ทข่ี องความจำใชง้ านไดโ้ ดยการฝกึ ฝนอยา่ งหนกั เปา้ หมายสำคัญของการศึกษาคือ การขยายพื้นที่ของความจำใช้งานในสมองของเด็กท้ังประเทศ การเรียนแบบฝึกฝนทักษะเพ่ือการดำรงชีวิตในศตวรรษท่ี ๒๑ คือ7C + 3R (อา่ นหนา้ ๑๙) เป็นการฝกึ ฝนเพือ่ ขยายความจำใช้งาน และฝึก 99ภาค ๕ เรอ่ื งเลา่ ตามบภราิบคท ๓: จจับติ คววทิ ายมาจกาากรยเรอยีดนครสู้มำาหฝราับกครเู พอ่ื ศษิ ย์

การคดิ อยา่ งมวี ิจารณญาณ (deep thinking หรอื critical thinking) ไปใน เวลาเดียวกัน น่าเสียดายท่ีในช่วงเวลา ๕๐ ปีที่ผ่านมาการศึกษาไทยได้เลิกเรียน วิชาเรียงความและวิชาย่อความ  ทำให้ทักษะการเขียนและการจับใจความ ในความจำใช้งานมีน้อยหรืออ่อนแอมาก คนไทยสมัยใหม่จึงด้อยด้านการ สื่อสารด้วยการเขียนและการจับใจความเร่ืองยาว ๆ  ความอ่อนด้อยนี้มีผล ตอ่ ชีวติ อย่างมากมายแตม่ ักไม่รู้ตวั คนท่มี ีพน้ื ทขี่ องความจำใช้งานแคบ จะสับสนงา่ ยเม่ือเผชิญเร่อื งราว ทซ่ี บั ซอ้ น หรอื หลายเรอ่ื งในเวลาเดยี วกนั ผมคิดต่อเอาเองว่า คนท่ีไม่รู้จักปัดกวาดความจำใช้งานปล่อยให้รก คือ มีเรอ่ื งยุ่ง ๆ ในหัวคา้ งอยู ่ จะทำงานต่าง ๆ ได้ไมด่ ี เพราะสมองไมว่ า่ ง   ทักษะในการปัดกวาดสมองให้ว่างและแจ่มใสอยู่ตลอดเวลาเป็นทักษะชีวิต ที่สำคัญย่ิงและเป็นโจทย์หรือแบบฝึกหัดท่ีผมบอกให้ตนเองทำ หรือฝึกอยู่ ตลอดชวี ติ จะเห็นวา่ การขยายและปัดกวาดความจำใชง้ าน เป็นแบบฝึกหดั ทที่ งั้ นกั เรียน ครู และทกุ  ๆ คนตอ้ งฝึกฝน  ผมมีความเช่ือ (ไม่ทราบว่าถกู หรือ ผิด) ว่า ถ้าไม่ฝึก พ้ืนท่ีของความจำใช้งานของตนเองจะหดแคบลงและรก   ทำใหส้ มองไมด่ ี มีวิธีวัดขีดความสามารถของความจำใช้งาน (working memory capacity) และวธิ วี ดั ความสามารถในการคดิ พบวา่ คะแนนของการทดสอบ ๒ ชนิดนไ้ี ปดว้ ยกัน ความรนู้ ้ที ำให้ผมตัง้ คำถามว่า ทำไมเราไม่วัดผลการ ศึกษาด้วยการวัดขีดความสามารถของความจำใช้งาน และให้น้ำหนักของ สว่ นนี้สักร้อยละ ๕๐ และให้นำ้ หนกั การทดสอบสาระวชิ าเพยี งรอ้ ยละ ๕๐100 วิถสี ร้างการเรยี นรูเ้ พือ่ ศิษย์ ในศตวรรษที่ ๒๑

ครู พ่อื ศิษย์ ที่จริง ศ. วิลลิงแฮมเขียนว่า ไม่มีวิธีฝึกเพ่ือขยายพ้ืนที่ของความจำใช้งาน  แต่การฝึกจะช่วยให้ใช้พ้ืนที่ของความจำใช้งานที่มีจำกัดน้ันใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล โดยวิธี chunking คือ มัดรวมเรื่องหลาย ๆ เร่ืองเขา้ ไวด้ ว้ ยกนั เชน่ มัดรวมชอ่ื สตั ว์ ๑๐ ชนิดไวด้ ้วยกัน กจ็ ะกินพน้ื ทข่ี องความจำใชง้ าน เพียง ๑ สว่ น แทนท่จี ะเป็น ๑๐ สว่ น และอีกวิธีหน่ึงคือ การทำให้หลาย ๆ กิจกรรมทางความคิดเกิดข้ึนโดยไม่กินพ้ืนที่ของความจำใชง้ านคอื เกดิ ขน้ึ อย่างเปน็ อตั โนมตั นิ นั่ เอง การฝกึ ฝนมเี ปา้ หมาย ๒ ระดบั ระดบั แรกคอื ใหพ้ อทำเปน็ (minimumcompetence) และระดบั ที่ ๒ คอื ให้ชำนาญ (proficiency) การฝกึ ฝนตอ่ เนอื่ งหลงั จากทำไดเ้ ปน็ อยา่ งดแี ลว้ เปน็ เรอื่ งนา่ เบอื่ และคนท่ัวไปมองไม่เห็นประโยชน์ ไม่คุ้มค่ากับเวลาและความพยายาม  แต่ท่ีจรงิ นีค่ ือ ดนิ แดนแหง่ ความเป็นเลศิ เหนอื คนทวั่ ไป ดงั ท่ี มัลคอม แกลดเวล(Malcolm Gladwel) เสนอไว้ในหนงั สือ Outliers การคิด ความเข้าใจ ความจำท่ีลึกซึ้งและเชื่อมโยงอย่างเหนือธรรมดา มาจากการฝึกฝนเคี่ยวกรำตนเอง  แต่การฝึกจำไม่เลือกเร่ือง น่าจะเปล่าประโยชน์และไม่ฉลาด การเลือกจำเฉพาะเรื่องสำคัญที่เป็นความรู้พนื้ ฐานตอ่ เรอื่ งอืน่ จงึ น่าจะถูกต้อง ควรฝึกฝนต่อเน่ืองโดยท้ิงช่วงพอประมาณ บ่อยเกินไปไม่จำเป็นห่างเกินไปอาจไม่ได้ผลเพิ่มพูน ควรฝึกฝนทักษะที่สูงข้ึน จะเห็นว่าการฝึกฝนต้องการโค้ชท่ีมีความสามารถ ย่ิงหากต้องการฝึกฝนสู่ระดับเป็นเลิศยิ่งต้องการโค้ชที่เข้าใจนักเรียนเป็นรายคน และเป็นโค้ชท่ีมีความสามารถพเิ ศษ ดังระบุไวใ้ นหนังสอื Outliers และครูเพือ่ ศษิ ย์สามารถทำหน้าท่ีเป็นโค้ช เค่ยี วกรำศษิ ยใ์ ห้เรยี นรู้สรู่ ะดับความคิดและทักษะขัน้ สงู ตามระดับ 101ภาค ๕ เรือ่ งเล่าตามบภราิบคท ๓: จจบั ติ คววทิ ายมาจกาากรยเรอียดนครสู้มำาหฝราบักครเู พอ่ื ศิษย์

พัฒนาการของตน  โดยท่ีศิษย์มีความสุขกับการเคี่ยวกรำนั้น  เพราะสมอง ของศิษยไ์ ด้รับรางวลั ตลอดระยะเวลาของการเคีย่ วกรำน้ัน ความจำที่สุดยอดคือ จำเข้าไปในระบบอัตโนมัติของร่างกาย ดึง ออกมาใช้ได้โดยไม่ต้องผ่านการคิด น่ันคือ ความจำกับทักษะและปัญญา กลายเปน็ ส่งิ เดยี วกัน ๒๔ มกราคม ๒๕๕๔ http://www.gotoknow.org/blog/thaikm/426059 102 วิถสี รา้ งการเรยี นร้เู พอ่ื ศิษย์ ในศตวรรษท่ี ๒๑

ครู พอ่ื ศิษย์ ฝกึ ฝนจนเหมอื นตวั จริง บทท่ี ๖ เรอ่ื ง What’s the secret to getting students to think likereal scientists, mathematicians, and historians? ผมเกบ็ ความมาฝากดงั นี้ ความจรงิ คอื นกั เรยี นเปน็ คนหดั ใหม่ (novice) ในขณะทน่ี กั วทิ ยาศาสตร์นกั คณติ ศาสตร์ นกั ประวตั ศิ าสตร์ เปน็ ผเู้ ชย่ี วชาญ (expert) ผา่ นการฝกึ ฝนและประสบการณม์ ากมาย คนสองกลมุ่ นม้ี วี ธิ คี ดิ ไมเ่ หมอื นกนั ผู้เชีย่ วชาญมีความรู้มาก แต่การมีความรมู้ ากอาจไมท่ ำใหเ้ ชี่ยวชาญกลบั ทำให้สับสน ผูเ้ ชย่ี วชาญทแ่ี ทจ้ รงิ นอกจากมคี วามรู้มากแล้วยงั มคี วามสามารถพเิ ศษในการดึงเอาความรู้ทถ่ี กู ตอ้ ง มาใชต้ รงตามสถานการณ์ ศ. วลิ ลงิ แฮมยกตวั อยา่ งรายการทวี ชี อื่ เฮาส์ (House) ในสหรฐั อเมรกิ าที่แสดงความเป็นผู้เช่ียวชาญของนายแพทย์เฮาส์ ในการวินิจฉัยโรคจากข้อสังเกตและการตรวจพบทีละอย่าง และช้ีให้เห็นว่าผู้เช่ียวชาญไม่จำเป็นต้องคิดถูกในทุกข้ันตอนของการคิด แต่ผู้เชี่ยวชาญจะเปิดใจกว้างไว้เผ่ือข้อมลู หรือหลกั ฐานทมี่ ีเพ่มิ ขึน้ ความสามารถของผู้เช่ียวชาญที่ต่างจากคนหัดใหม่คือ การเช่ือมโยง(transfer) เอาความรู้จากต่างศาสตร์ หรือข้อมูลจากต่างสถานการณ์ มา 103ภาค ๕ เรื่องเลา่ ตามบภราบิ คท ๓: จจับิตคววทิ ายมาจกาากรยเรอียดนครู้สมำาหฝราับกครูเพือ่ ศษิ ย์

วเิ คราะห์ และปรบั ใชใ้ นสถานการณข์ องตน  เชน่ นกั วทิ ยาศาสตรใ์ ชค้ วามรู้ ดา้ นวิทยาศาสตรข์ องตนวิเคราะหข์ ้อมลู ด้านประวัตศิ าสตร์ ลักษณะของผู้เช่ียวชาญคือ ตาแหลม มองเห็นประเด็นที่คนอื่นหรือ คนหดั ใหมม่ องไมเ่ หน็ คนหดั ใหมม่ ีวธิ ีทำให้ตนเองคิดแบบผู้เช่ยี วชาญดว้ ย ๔ กลไก ไดแ้ ก่ ๑. เพ่มิ ตน้ ทุนความรู้ (background knowledge หรือ longterm memory) และจัดระบบไว้อย่างดี ให้พร้อมใช้ (เรียกว่า functional knowledge) ดงึ เอาไปใชต้ รงตามสถานการณไ์ ด้อยา่ งรวดเรว็ ๒. ฝึกฝนตนเองให้มีความสามารถใช้พ้ืนที่ความจำใช้งานที่มีจำกัด ในการคดิ ไดม้ ากและซบั ซอ้ นขึ้น ๓. ฝึกคิดแบบลึก (deep structure) หรอื แบบ functional หรอื คดิ ตคี วามหาความหมาย (meaning) ไม่ใชค่ ิดแบบตน้ื (surface structure) ตามทตี่ าเหน็ ๔. คุยกบั ตัวเองวา่ กำลงั ขบปญั หาอะไรอยู่ ในลกั ษณะของการมอง แบบนามธรรม หรือแบบสรุปรวบยอด (generalization) และตงั้ สมมตฐิ าน เก่ียวกับการแก้ปญั หานัน้ ไปในตวั จะเหน็ วา่ ขอ้ ๒ - ๔ เปน็ เรอื่ งของการฝกึ ฝน และมหี ลกั ฐานมากมาย ที่แสดงว่า คนท่ีประสบความสำเร็จเรื่องใดเร่ืองหน่ึงในระดับอัจฉริยะน้ัน ปัจจัยสำคญั ทส่ี ดุ อยทู่ กี่ ารฝึกฝนอย่างเอาจรงิ เอาจงั ทเ่ี รยี กวา่ เคย่ี วกรำเปน็ เวลานาน อยา่ งไมเ่ บอื่ ไมย่ อ่ ทอ้ ดงั ทร่ี ะบไุ วใ้ นหนงั สอื Outliers คนบางคน อาจโชคดที ฝ่ี กึ ฝนตนเองในระดบั ดงั กลา่ วได้ แตค่ นทว่ั ไปโดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ เด็กนักเรียน ต้องการโค้ชเก่ง ๆ ท่ีจะทำให้การฝึกฝนเคี่ยวกรำเป็นเร่ืองไม่ น่าเบอ่ื ไม่ทอ้ ถอย104 วถิ ีสรา้ งการเรียนรู้เพอ่ื ศิษย์ ในศตวรรษท่ี ๒๑

ครู พอ่ื ศิษย์ น่ีคือ คุณูปการของครเู พอ่ื ศษิ ย์ เป็นโค้ชของศิษย์ ให้ได้ฝึกฝนตนเองอยา่ งสนุกสนาน มคี วามสขุ และอดทน ผมคิดว่า หนังสือ Why Don’t Students Like Schools : ACognitive Scientist Answers Questions About How the Mind Worksand What It Means for the Classroom. เปน็ หนงั สอื ทเ่ี ชือ่ มทฤษฎกี บัหลักปฏบิ ัติ สว่ นหนังสือ Teach Like Your Hair’s On Fire (ครนู อกกรอบกับห้องเรียนนอกแบบ) เป็นหนังสือท่ีเล่าวิธีปฏิบัติของครู หากได้อ่านทั้งสองเล่มไปดว้ ยกันจะได้ท้งั วิธีปฏบิ ตั แิ ละได้ความเขา้ ใจเชงิ ทฤษฎ ี   ตอนท้ายของบทที่ ๖ ศ. วิลลิงแฮมเฉลยว่า เป็นไปไม่ได้ท่ีจะหวังให้นักเรียนคิดแบบผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่าง ๆ เช่น นักประวัติศาสตร์ นักคณิตศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ ฯลฯ เพราะคนหัดใหม่ยังสร้างความรู้(knowledge creation) ไม่เปน็ ครเู พอ่ื ศษิ ยพ์ งึ อย่าตงั้ ความหวงั สงู ในระดบัทเ่ี ปน็ จรงิ ไมไ่ ด้ นกั เรยี นทำไดเ้ พยี งระดบั ทำความเขา้ ใจความรู้ (knowledgecomprehension) เท่านน้ั แตผ่ มคดิ ต่าง ผมคิดว่า การเรยี นแบบ PBL ในโจทย์ทเ่ี หมาะสมต่อระดบั พฒั นาการทางสมองและการสง่ั สมความรขู้ องเดก็ จะชว่ ยใหเ้ ดก็ เรยี นรู้โดยการสรา้ งความรไู้ ปพรอ้ ม ๆ กนั กบั การประยกุ ตใ์ ชค้ วามรู้ เพอ่ื ทำโครงการทไ่ี ดร้ บั มอบหมาย  ยง่ิ เปน็ PBL ทที่ ำกนั เปน็ ทมี ยงิ่ จะเกดิ การเรยี นรอู้ ยา่ งเปน็ธรรมชาตมิ ากขน้ึ เพราะมกี ารแลกเปลย่ี นเรยี นรกู้ บั เพอื่ นในทมี ดว้ ย ๒๕ มกราคม ๒๕๕๔ แก้ไข ๓๑ มกราคม ๒๕๕๔  http://www.gotoknow.org/blog/thaikm/426286 105ภาค ๕ เรอื่ งเล่าตามบภราิบคท ๓: จจบั ิตคววิทายมาจกาากรยเรอยีดนครสู้มำาหฝราับกครูเพ่อื ศษิ ย์

สอนให้เหมาะต่อความแตกต่าง ของศิษย์ บทที่ ๗ เรอ่ื ง How Should I Adjust My Teaching for Different Types of Learners? ศ. วิลลิงแฮมบอกเราว่า ศิษย์มีความแตกต่างกัน หลากหลายด้านมาก เราตอ้ งปรับการสอนใหเ้ หมาะต่อความแตกต่างนั้น ผมอ่านบทน้ีจบแล้ว บอกตัวเองว่า ความแตกต่างระหว่างเด็กใน สังคมไทยมีมากกว่าท่ีบอกไว้ในหนังสือเล่มนี้  เรามีเด็กที่อยู่ในครอบครัวที่ ไม่ครบองค์ประกอบ มีเด็กที่มีบาดแผลทางใจ มีเด็กท่ีด้อยโอกาสทาง สังคม ฯลฯ ซง่ึ เปน็ ความจริงของเรา แตไ่ มเ่ ป็นความจรงิ ของสหรฐั อเมรกิ า ดังทีผ่ เู้ ขียนเนน้ ครูเพื่อศิษย์ไทยต้องเอาความเป็นจริงเกี่ยวกับความแตกต่างของ ศิษย์ในทุกด้าน มาเป็นข้อมูลประกอบในการออกแบบการเรียนรู ้ และการ พฒั นาความเป็น “ครเู พ่อื ศิษย”์ ของตน หนังสือเลม่ น้บี อกวา่ นกั เรยี นมคี วามแตกต่าง ๓ แนว ได้แก่ ๑. ความสามารถทวั่ ไปในการเรยี นรู้ อาจเรยี กวา่ เดก็ ฉลาด เดก็ หวั ไว เดก็ หวั ชา้ 106 วถิ ีสร้างการเรียนร้เู พื่อศษิ ย์ ในศตวรรษที่ ๒๑

ครู พอื่ ศษิ ย์ ๒. รูปแบบการเรียน ตามทฤษฎีมีผู้เรียนแบบเน้นจักษุประสาทแบบเน้นโสตประสาท และแบบเน้นการเคลือ่ นไหว (Visual, Auditory, andKinesthetic Learners Theory) ๓. ความฉลาด ๘ ดา้ น ตามทฤษฎพี หปุ ญั ญา (Multiple Inteligences) อา่ นหนงั สอื บทนแี้ ลว้ ผมสรปุ กบั ตวั เองวา่ ศ. วลิ ลงิ แฮมตอ้ งการบอกวา่ ครมู กั จะสบั สนกบั ทฤษฎกี ารเรยี นรทู้ มี่ อี ยมู่ ากมาย และมกี ารตคี วามผดิ  ๆซึ่งก่อความยุ่งยากให้แก่ครูโดยไม่จำเป็น  ทำให้มีความซับซ้อนในการจัดการเรยี นการสอนโดยที่เดก็ อาจไม่ไดร้ ับประโยชน์ ความสามารถ (ability) กับรปู แบบของการเรยี นรู้ (learning style)แตกต่างกัน เขายกตัวอย่างนักกีฬาอเมริกันฟุตบอลในตำแหน่งป้องกันท่ีเลน่ เกง่ พอ ๆ กนั คอื ความสามารถเทา่ กนั แตเ่ ลน่ ดว้ ยรปู แบบทตี่ า่ งกนั สดุ ขว้ัคือ คนหนึ่งเล่นเกมเส่ียง อีกคนหนึ่งเล่นเกมรอบคอบ ผมเคยเห็นเพื่อนที่เรียนเก่งพอ ๆ กัน โดยท่ีคนหน่ึงเน้นท่องจำรายละเอียดเป็นข้อ ๆ แต่อีกคนหน่ึงเน้นทำความเขา้ ใจสาระหรอื หวั ใจของเรอ่ื ง รูปแบบการเรียนท่ีเขายกมาเป็นตัวอย่างคือ เรียนแบบเน้นทำความเข้าใจเป็นลำดับข้ันตอน (sequential) กับเรียนแบบเน้นทำความเข้าใจภาพรวม (holistic) รปู แบบทแ่ี ตกตา่ งกนั ดา้ นพฤตกิ รรมของคนมมี ากมาย เชน่ ตดั สนิ ใจเร็วหรือ ตดั สินใจชา้ เน้นความรอบคอบ คดิ แลว้ คดิ อีก มีมุมมองสง่ิ ตา่ ง ๆอยา่ งซบั ซอ้ น หรอื เนน้ ความเรยี บงา่ ย คดิ เปน็ รปู ธรรม หรอื คดิ เปน็ นามธรรมเปน็ ตน้ นกั จติ วทิ ยาไดร้ วบรวมรปู แบบการคดิ หรอื การรบั รู้ (cognitive style)ไว้ ๑๒ คู่ ดงั น้ี 107ภาค ๕ เร่อื งเล่าตามบภราิบคท ๓: จจับิตคววทิ ายมาจกาากรยเรอียดนครู้สมำาหฝราับกครูเพอื่ ศิษย์

Cognitive Styles ลักษณะBroad/narrow คิดในนอ้ ยเร่ือง (category) ในแต่ละเรือ่ งมหี ลาย ประเดน็ (item) / คิดมากเรื่อง ในแต่ละเร่อื งมีน้อย ประเดน็ Analytic/nonanalytic มีแนวโนม้ จะแยกแยะหลากหลายปจั จยั ทเ่ี กีย่ วข้อง กบั เรื่องเหลา่ น้ัน / หาจดุ เนน้ และความคลา้ ยคลงึ ระหว่างเรอื่ งเหลา่ น้ันLeveling/sharpening มแี นวโน้มจะไม่เอาใจใสร่ ายละเอียด / เอาใจใส่ รายละเอยี ดและพุ่งไปท่ีความแตกตา่ งField dependent/field ตคี วามเรอื่ งโดยคำนงึ ถงึ บรบิ ทแวดล้อม / ตคี วามindependent โดยคำนงึ ถงึ เฉพาะเรอ่ื งน้ัน ไมส่ นใจสภาพแวดล้อมImpulsivity/reflectiveness มแี นวโน้มจะตอบสนองทนั ทีทันใด / ไตร่ตอง รอบคอบแล้วจึงตอบสนองAutomatization/ ชอบงานทีท่ ำงา่ ยๆ ซ้ำๆ / ชอบงานทตี่ อ้ งการการrestructuring ปรับโครงสรา้ งหรอื วธิ กี ารใหม่ หรือคิดใหม่Converging/diverging ติดตามเหต-ุ ผลขั้นตอน นำไปสขู่ ้อสรุป / คิดกวา้ ง หาความสัมพันธ์Serialist/holist ชอบทำงานจากเลก็ ไปใหญ่ / ชอบคดิ ภาพใหญ่Adaptor/innovator ชอบวธิ กี ารท่มี ีชดั เจนอยู่แล้ว และทำงานปรบั ปรุง / ชอบหาแนวทางใหม่Reasoning/intuitive ชอบเรียนรโู้ ดยใชเ้ หตุผล / ชอบใช้ปญั ญาญาณVisualizer/verbalizer ขณะแก้ปญั หาชอบจนิ ตนาการเป็นภาพ / ชอบพดู กับตนเองVisual/auditory/ รบั และทำความเข้าใจเร่ืองราวผ่านประสาท ตา / หูkinesthetic / การเคลอ่ื นไหว108 วิถสี รา้ งการเรียนรเู้ พอื่ ศษิ ย์ ในศตวรรษท่ี ๒๑

ครู พ่อื ศิษย์ ระหว่างท่ีผมแปลข้อความในตารางข้างบน ก็อดนึกไปด้วยมาได้ว่าจริง ๆ แล้วคนเราควรฝึกคิดหลากหลายรูปแบบ ฝึกคิดทุกแบบท่ีเป็นขั้วตรงกันข้ามตามข้างบน ผมเองมีบุคคลที่เป็นแบบอย่างให้ผมจดจำเอามาใชใ้ นเรอื่ งวธิ คี ิดบางรูปแบบ เช่น แบบมองภาพรวม แบบคดิ อย่างซบั ซอ้ นเปน็ ต้น หนังสือบอกว่าข้อพึงตระหนักในเรื่องรูปแบบการคิดหรือการรับรู้cognitive style กค็ ือ (๑) เป็นคุณลักษณะประจำตัวตลอดชีวิต (๒) คนท่ีมีรูปแบบการคิดหรือการรับรู้ต่างกัน มีกระบวนการคดิ และกระบวนการเรยี นแตกตา่ งกัน (๓) ไมใ่ ช่เร่ืองความสามารถ  ผมเองมองต่าง (อาจผิด)  โดยเชื่อว่าเราสามารถฝึกฝนตนเองให้คิดตามหลากหลายสไตล์ท่ีเป็นขั้วตรงกันข้ามได ้ และผมหมั่นฝึกตนเองมาตลอดชวี ติ ไดผ้ ลบ้าง ไม่ได้ผลบ้างทฤษฎผี เู้ รยี นแบบเนน้ จกั ษปุ ระสาท แบบเนน้ โสตประสาท และแบบเนน้การเคลอื่ นไหว (Visual, Auditory, and Kinesthetic Learners Theory) มีข้อสังเกตว่า คนบางคนเรียนได้ดีหากได้เห็นรูป (visual learner)ในขณะท่ีบางคนจะเรียนได้ดีต้องได้ฟังเสียง (auditory learner) และบางคนตอ้ งเคล่ือนไหว เชน่ ได้จบั ตอ้ งสง่ิ ของ หรอื กระโดดโลดเต้นไปด้วย(kinesthetic learner) มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับผู้เรียนที่ต้องเน้นการเคล่ือนไหวชนิดรุนแรงสุดกู่ ที่ตอนเป็นเด็กพ่อแม่กลุ้มใจมากท่ีลูกเรียนหนังสือไม่รู้เร่ือง แต่เมื่อพาไปปรึกษานักจิตวิทยา นักจิตวิทยาสังเกตเห็นลักษณะพิเศษบางอย่างของเด็กที่นง่ั น่ิง ๆ ไม่ได้ จงึ แนะนำให้ไปเรียนบลั เล่ต์ และกลายเป็นนกั เต้นบัลเล่ต์ท่ีมชี ือ่ เสยี งกอ้ งโลก 109ภาค ๕ เรอื่ งเล่าตามบภราบิ คท ๓: จจับติ คววิทายมาจกาากรยเรอยีดนครู้สมำาหฝราับกครเู พอื่ ศิษย์

ศ. วิลลิงแฮมให้ข้อมูลผลการวิจัยและข้อสรุปว่า ทฤษฎีนี้ไม่เป็นความจรงิ ผลการรวบรวมขอ้ มลู ทใ่ี หผ้ ลบวกนนั้ เปน็ อคติ ในความเปน็ จรงิ แลว้เด็กต้องเรียนรู้ความหมายของส่ิงท่ีเห็น ได้ยิน หรือลูบคลำ ไม่ใช่จำภาพหรือเสียงโดยตรง คำแนะนำคือ อย่าหลงใช้ทฤษฎีน้ีกับตัวเด็กเป็นรายคนแต่ให้ใช้ในการออกแบบการเรียนรู้เพ่ือใช้การกระตุ้นประสาททั้ง ๓ แบบนำไปสู่ความเข้าใจท่ีลึกในระดับคุณค่าหรือความหมาย และเกิดการจดจำประทบั ฝังใจในสมองเดก็ ความเข้าใจผิดเร่ือง ผ้เู รียนทต่ี ้องเนน้ การเห็นภาพ (visual learner)ที่แพร่หลายมาก  ส่วนหน่ึงเกิดจากความสับสน คิดว่าการจดจำด้วยภาพ(visual memory) กับ visual learner เป็นส่ิงเดียวกัน ที่จริงแล้วเป็นคนละเร่อื งทฤษฎพี หปุ ญั ญาหรอื ความถนดั ๘ ดา้ น (Multiple IntelligencesTheory) ทฤษฎพี หปุ ญั ญา (Multiple Inteligences) ของ ศ. โฮวารด์ การด์ เนอร์( Prof. Howard Gardner) กล่าวถึงความถนดั ๘ ด้าน ดงั ตารางความฉลาด อธบิ ายความหมาย อาชีพทีต่ ้องการความ(Intel igence) ฉลาดดา้ นนี้เป็นพิเศษภาษา ความคลอ่ งแคลว่ ด้าน ทนายความ ถ้อยคำและภาษา นกั ประพันธ์ตรรกะ - คณติ ศาสตร์ ความคล่องแคล่วด้าน นักเขยี นโปรแกรม ตรรกะ การใชเ้ หตุผล คอมพิวเตอร์ เชงิ (inductive) ความ นักวิทยาศาสตร์ คล่องแคล่วด้านตวั เลข110 วิถีสรา้ งการเรยี นรเู้ พ่ือศิษย์ ในศตวรรษที่ ๒๑

ครู พอ่ื ศิษย์ความฉลาด อธบิ ายความหมาย อาชพี ทีต่ ้องการความ(Intel igence) ฉลาดด้านนเ้ี ปน็ พิเศษการเคลื่อนไหวรา่ งกาย ความคล่องแคล่วดา้ น นกั กฬี า นักเต้นรำ การเคลื่อนไหวรา่ งกาย นักแสดงทา่ ใบ้ (mime) เช่น ในการกีฬา การ เตน้ หรอื ฟ้อนรำทกั ษะสมั พันธร์ ะหว่าง ความคล่องแคล่วในการ นักการตลาดบคุ คล (interpersonal) เข้าใจผอู้ ื่น ดา้ นอารมณ์ นักการเมอื ง ความตอ้ งการ และ ความคิดเหน็ ทกั ษะด้านในของตน ความเข้าใจตนเองด้าน นกั เขยี นนวนยิ าย(intrapersonal) อารมณ์ และแรงจูงใจทกั ษะดนตรี ทักษะในการแต่ง เลน่ นกั ดนตรี นกั แตง่ เพลง และชนื่ ชมดนตรีธรรมชาตวิ ิทยา ความฉลาดในการ นักธรรมชาติวิทยา เชฟ แยกแยะและจดั กลุม่ พืช และสตั ว์Spatial ความฉลาดในการใช้ สถาปนกิ ประติมากร และจดั ท่วี ่าง (space) จากทฤษฎดี งั กลา่ ว นำไปสกู่ ารตคี วามเชงิ ประยกุ ต์ ๓ ขอ้ ได้แก่ ๑. รายการตามตารางเป็นความฉลาด (intelligence) ไม่ใช่ความสามารถ (ability)  ไมใ่ ช่ความถนัด (talent)111ภาค ๕ เรอื่ งเล่าตามบภราบิ คท ๓: จจับติ คววทิ ายมาจกาากรยเรอยีดนครู้สมำาหฝราบักครูเพอื่ ศษิ ย์

๒. โรงเรยี นควรสอนความฉลาดให้ครบทั้ง ๘ ดา้ น ๓. เม่อื สอนความรู้ใหม่ ควรใช้หลาย ๆ ความฉลาด หรือทกุ ความ ฉลาด เป็นท่อต่อการเรียนรู้ เพ่ือให้นักเรียนได้เลือกใช้สำหรับทำให้การ เรยี นร้ขู องตนบรรลุผลอย่างสงู สดุ ท่ีน่าแปลกใจก็คือ ศ. วิลลิงแฮมบอกว่า ศ. โฮวาร์ด การ์ดเนอร์ เจา้ ของทฤษฎพี หปุ ญั ญา ไมเ่ หน็ ดว้ ยกบั การตคี วามขอ้ ๒ เพราะทา่ นบอกวา่ เป้าหมายของการศึกษาต้องไม่ใช่เอาตัวบุคคลเป็นเป้าหมายหลัก แต่ต้อง ยดึ ถอื ผลประโยชนข์ องสงั คมเปน็ เปา้ หมายหลกั ซง่ึ กต็ คี วามตอ่ ไดว้ า่ การใช้ ทฤษฎนี ใี้ นการออกแบบการจดั การเรยี นรู้ โดยคำนงึ ถงึ ความแตกตา่ งของเดก็ เป็นเร่ืองท่ีครูเพื่อศิษย์ต้องตระหนัก ต้องฝึกฝน และเรียนรู้  ท่านที่อ่าน หนังสือเล่มนี้อย่างละเอียดจะเห็นว่า การวิจัยด้านจิตวิทยาการเรียนรู้ (learning psychology) ใหค้ วามรทู้ ตี่ รงกนั ขา้ มกบั ความเชอ่ื ทเ่ี ชอ่ื ตาม ๆ กนั มามากมาย และชว่ ยใหค้ รจู ดั การเรียนรแู้ กศ่ ษิ ยไ์ ดอ้ ยา่ งมีหลกั การมากขนึ้ คำแนะนำสำหรับนำความรู้เร่ืองความฉลาด ๘ แบบ ไปใช้ใน ห้องเรียนคือ (๑) ให้นำไปใช้ในการออกแบบหรือเลือกเน้ือหาสำหรับการเรียนรู้   ไม่ใชน่ ำไปใชแ้ ยกแยะเด็ก  (๒) เปลี่ยนรูปแบบการเรียนรู้เป็นคร้ังคราว เพ่ือลดความจำเจน่า เบื่อหน่าย  (๓) เด็กทุกคนมคี ุณค่า แมบ้ างคนจะเรียนชา้   (๔) อย่าหลงเสียเงินค่าใช้จ่ายกับเร่ืองการเรียนรู้รูปแบบการคิดหรือ การรบั รู้ (cognitive styles) และทฤษฎพี หปุ ญั ญา (multiple inteligences)112 วิถีสรา้ งการเรยี นรูเ้ พื่อศิษย์ ในศตวรรษท่ี ๒๑

ครู พื่อศษิ ย์ ผมตีความต่อว่า เรื่องการจัดการเรียนการสอนให้เหมาะกับความแตกตา่ งของศษิ ยน์ ี้ สามารถทำวจิ ยั จากปฏบิ ตั กิ ารจรงิ ไดอ้ กี มาก เปน็ โอกาสทคี่ รเู พอ่ื ศษิ ยจ์ ะฝกึ ฝนทกั ษะดา้ นการวจิ ยั ปฏบิ ตั กิ ารของตน ทงั้ เพอ่ื ประยกุ ต์ใชใ้ นการทำงาน และเพอื่ เป็นผลงานเพอ่ื ความเจรญิ กา้ วหน้าของตนเอง ๑ กุมภาพนั ธ์ ๒๕๕๔ http://www.gotoknow.org/blog/thaikm/427716 113ภาค ๕ เรื่องเลา่ ตามบภราบิ คท ๓: จจับติ คววทิ ายมาจกาากรยเรอยีดนครสู้มำาหฝราับกครเู พ่ือศษิ ย์

ช่วยศษิ ยท์ ่ีเรียนออ่ น บทท่ี ๘ เรื่อง How Can I Help Slow Learners? ถอื เปน็ ตอนทีด่ ี ท่ีสดุ เทา่ ที่อ่านต้ังแต่บทท่ี ๑ มาถึงบทที่ ๘ นี้ คำตอบแบบฟนั ธงคือ ช่วยเอาใจใส่ ใหก้ ำลังใจ ใหศ้ ษิ ยท์ เ่ี รยี นอ่อน พากเพียรฝึกฝนตนเอง และครูและวงการศึกษาทั้งมวล (รวมทั้งพ่อแม่) ตอ้ งสร้างกระแสหรอื กระบวนทัศนใ์ หมใ่ นสงั คมคอื กระบวนทศั นห์ รอื ความ เช่อื วา่ สตปิ ัญญาสร้างไดด้ ว้ ยการฝกึ ฝนอย่างมานะอดทน และการมี “โคช้ ” ท่ีดี และพ่อแมแ่ ละครเู พ่ือศิษย์กค็ อื โค้ชที่ดี ความฉลาดเปน็ ทง้ั สง่ิ ทตี่ ดิ ตวั มาแตก่ ำเนดิ และสง่ิ ทส่ี รา้ งขนึ้ ใหมใ่ สต่ วั ด้วยการพากเพียรฝึกฝน  หรืออาจกล่าวว่า “อัจฉริยะสร้างได้” น่ันเอง   แต่สำหรับเด็กบางคน ต้องทำงานหนัก ฝึกฝนหนักกว่าคนอื่น จึงจะสร้าง ความอัจฉริยะให้แก่ตนเองได้  ครูเพื่อศิษย์มีหน้าที่ช่วยเป็นโค้ชแก่ศิษย์ เรียนช้าเหล่านี้  และการทำหน้าที่นี้ ครูจะได้เรียนรู้จิตวิทยาการรับรู้ (cognitive psychology) ภาคปฏิบตั อิ ย่างไม่ร้จู บ เด็กจะต้องเชื่อว่า “ความฉลาดอยู่ในมือเรา”  ครูต้องช่วยยืนยัน114 วิถีสร้างการเรียนรู้เพือ่ ศษิ ย์ ในศตวรรษท่ี ๒๑

ครู พือ่ ศษิ ย์ยกตัวอย่างเด็กรุ่นก่อน ๆ ท่ีสมองด้อยกว่า แต่การเค่ียวกรำฝึกฝนตนเองชว่ ยใหเ้ วลานเ้ี ปน็ ผู้ใหญท่ ีม่ ีชวี ิตทป่ี ระสบความสำเร็จสูงยง่ิ ครูเพ่ือศิษย์ต้องมีไวยากรณ์หรือคำพูดท่ีให้กำลังใจ ให้คุณค่า ต่อความพากเพยี รพยายาม ไมท่ อ้ ถอย แก่ศิษยท์ ี่หวั ช้า คนฉลาดคือ คนท่ีเข้าใจความคิดท่ีซับซ้อน และสามารถใช้เหตุผลหลากหลายแบบ มคี วามสามารถเอาชนะอปุ สรรค และสามารถเรียนร้จู ากประสบการณ์ นิยามความฉลาดข้างบนนัน้ เรยี กวา่ “ความฉลาดท่ัวไป” (generalintelligence)  โปรดสังเกตว่า ความฉลาดทั่วไปเป็นคนละเรื่องกับ พหุปญั ญา (multiple inteligences) ของโฮวาร์ด การด์ เนอร์ โปรดอยา่ เอามาปนกันจนกอ่ ความสับสน จากผลการวิจยั จำนวนมากมาย สรปุ ไดว้ ่า ความฉลาดแบ่งออกเป็น๒ ด้าน คือ ด้านถ้อยคำ (Verbal Intelligence)  กับด้านคณิตศาสตร์(Mathematical Inteligence) ท่ีไม่สมั พันธ์กนั   ความฉลาดท่ัวไป  ความฉลาดด้านถ้อยคำ  และความฉลาดด้านคณิตศาสตร์มีความสัมพันธ์กันดังแสดงในแผนผงั ขา้ งล่าง 115ภาค ๕ เร่อื งเลา่ ตามบภราบิ คท ๓: จจับติ คววทิ ายมาจกาากรยเรอยีดนครู้สมำาหฝราบักครเู พือ่ ศษิ ย์

คอื หากความฉลาดทั่วไปมีจำกัด  ความฉลาดอกี ๒ ชนิดก็จะจำกัด ไปดว้ ย  การฝกึ ฝนความฉลาดทวั่ ไปจะชว่ ยใหส้ ามารถยกระดบั ความฉลาด ด้านถ้อยคำ และความฉลาดดา้ นคณิตศาสตรไ์ ดส้ งู ขึ้น หลักฐานท่ีแสดงว่าความฉลาดท่ัวไปของมนุษย์เป็นส่ิงที่สร้างได้คือ Flynn Effect ปัจจัยสำคัญท่ีสุดคือ ความเชื่อ  ครูต้องทำให้ศิษย์ทุกคน  ไม่ว่าจะ เป็นเด็กหัวเร็วหรือหัวช้า เช่ือว่าความฉลาดสร้างได้ด้วยความเพียร  เด็กท่ี หัวช้าก็เรียนรู้ได้เท่ากับเด็กหัวไว แต่อาจต้องใช้ความเพียรมากกว่า  และ หากรู้จักใช้ความเพียรสั่งสมความฉลาด  ในอนาคตก็จะสามารถเรียนรู้สิ่ง ทีย่ ากข้นึ ได้พอ ๆ กบั เพื่อน ๆ ท่หี ัวไว เคล็ดลับสำหรับครูเพื่อศิษย์คือ การให้คำชม  จงอย่าชมความ สามารถ ให้ชมความมานะพยายาม  เพื่อทำให้ส่ิงที่มีคุณค่าคือ ความ มานะพยายาม  คือความสำเร็จท่ีได้มาจากความบากบ่ันเอาชนะอุปสรรค  จงอย่าชืน่ ชมความสำเรจ็ ท่ไี ดม้ าโดยงา่ ย จงชื่นชมพรแสวงของศษิ ย์ใหม้ ากกวา่ พรสวรรค์  น่ีคือสิ่งประเสริฐสุด ท่ีครูจะพึงให้แก่ศิษย์ที่เรียนอ่อน  เพราะใน ทส่ี ุดเขาจะไม่ใชเ่ ด็กท่ีเรียนอ่อนอีกตอ่ ไป ครตู อ้ งสร้างคา่ นยิ มแกศ่ ษิ ยว์ ่า ความล้มเหลวไม่ว่าในเรอื่ งใด ๆ รวม ทั้งเรอ่ื งการเรียน เป็นเสน้ ทางหรือถนนไปสูก่ ารเรยี นรูแ้ ละความสำเรจ็ หาก เราไมท่ อ้ ถอยหรอื ยอมแพ้   ความยากลำบากและความล้มเหลวคือ ธรรมชาติส่วนหนึ่งของการ เรียนรู้  เปน็ ส่วนทมี่ คี า่ ยิง่ ของการเรียนรู้116 วถิ ีสรา้ งการเรยี นร้เู พอ่ื ศิษย์ ในศตวรรษท่ี ๒๑

ครู พื่อศษิ ย์ คุณค่าของครูเพื่อศิษย์คือ จะอยู่เคียงข้างและร่วมทุกข์ร่วมสุขกับศิษย์ที่เรียนอ่อนเสมอ ไม่ทอดท้ิง  ไม่แสดงความท้อถอยท่ีจะช่วยโค้ชให้ตามสถานการณ์ หนังสือเล่มนี้ลงรายละเอียดมาก  ถึงขนาดแนะนำให้ครูจดรายการทตี่ นขอให้เดก็ แตล่ ะคนทำแบบฝึกหัดทีบ่ ้าน  ซง่ึ หมายความว่า แบบฝึกหัดสำหรบั ศิษย์แตล่ ะคนจะไม่เหมอื นกัน สรุปได้ว่า ครูช่วยศิษย์ที่เรียนอ่อนได้โดยแสดงความเชื่อในตัวศิษย์ว่าสามารถเรียนรู้ได้และไม่ใช่แค่แสดงออกด้วยคำพูด แต่ต้องแสดงออกด้วยการกระทำ แสดงแลว้ แสดงอีกจนศษิ ยเ์ ชื่อแน่ว่า ความเพยี รคือหนทางสู่ความสำเร็จในการเรียนรู้  ผลจากการที่ครูช่วยศิษย์เรียนอ่อนตามแนวทางน้ี จะเปน็ คุณต่อศิษย์ไปตลอดชวี ติ  ในลักษณะเปลี่ยนชวี ติ ทีเดียว ๑๕ กุมภาพนั ธ์ ๒๕๕๔  http://www.gotoknow.org/blog/thaikm/428987 117ภาค ๕ เร่ืองเลา่ ตามบภราิบคท ๓: จจับติ คววิทายมาจกาากรยเรอยีดนครูส้มำาหฝราบักครเู พ่ือศิษย์

ฝึกฝนตนเอง บทที่ ๙ เรอ่ื ง What About My Mind? เป็นคำแนะนำวา่ ด้วยการ พฒั นาตนเองของครู ผมเขียนเล่าถอดความหนังสือเล่มน้ีต่อเนื่องมาถึงบทน้ีแล้ว คิดว่า บทน้ีย่ิงมีความสำคัญขึ้นไปอีก เพราะเป็นความรู้เก่ียวกับเคล็ดลับในการ ฝกึ ฝนตนเองเพ่อื เปน็ ครเู พ่ือศษิ ย์อยา่ งทรงพลังทสี่ ดุ เนื่องจากการทำหน้าที่ครูเป็นทักษะด้านการเรียนรู้ (Cognitive Skils) ครูจึงต้องฝึกฝนตนเองดว้ ยแนวคดิ และวธิ กี ารทใ่ี ช้ในการทำหนา้ ทีค่ รู เพ่ือศษิ ย์ ที่กล่าวแลว้ ท้ังหมด รวมถงึ บทนีแ้ ละต่อไปดว้ ย ครทู ด่ี ี ตอ้ งเรียนรเู้ คี่ยวกรำฝึกฝนตนเองย่ิงกว่าศิษย์ จงึ จะเป็นครทู ด่ี ี ได้ ต้องไม่ใช่แค่เอาใจใส่และรักศิษย์ แต่ต้องศึกษาฝึกฝนหาวิธีการเป็น “โค้ช” หรือ “คุณอำนวย” (facilitator) ของการเรียนรู้ของศิษย์ท่ีดีหรือ เหมาะสมย่ิง ๆ ขึน้ ไป โดยต้องตระหนกั วา่ ในโลกยุคใหม่ เด็กและสงั คม เปลี่ยน ทฤษฎีการเรียนรู้เก่า ๆ บางทฤษฎีล้าหลังหรือใช้ไม่ได้ผล ครูจึง ต้องเรียนรู้ ทดลองใช้ทฤษฎีใหม่ ๆ ท่ีมีการวิจัยพัฒนาข้ึน โดยเฉพาะ118 วิถสี รา้ งการเรียนรเู้ พื่อศิษย์ ในศตวรรษท่ี ๒๑

ครู พ่อื ศิษย์อย่างยิ่ง จากความก้าวหน้าด้านประสาทวิทยา (neuroscience) และจิตวิทยาการรับรู้ (cognitive psychology) นน่ั คือ ครูต้องเป็น “นกั เรยี น” ย่งิ กวา่ ตวั นกั เรียนที่ครูสอน เป้าหมายคือ การเรียนรู้อย่างลึกทั้งของครูและนักเรียน ต้องไม่ใช่การเรียนรู้อย่างตื้น หรือผิวเผิน ซึ่งมองในมุมหน่ึงการสอนเด็กให้หยุดอยู่แคก่ ารเรยี นรอู้ ยา่ งต้ืน เท่ากับเปน็ การทำร้ายศษิ ย์ เพราะเป็นการสร้างนิสยัให้เป็นคนผวิ เผินไปตลอดชีวติ การสอนหรือการทำหน้าที่ครู เป็นกิจกรรมที่เรียกร้องพลังในส่วน“ความจำใช้งาน” (Working Memory) เป็นอย่างมาก นน่ั คอื ในส่วนกล่องสเี ขียวของแผนผังทเ่ี ราคนุ้ เคย หากมองผังขา้ งบนเปน็ กระบวนการสอนของครู ส่วนที่ครตู อ้ งใช้พลังสมองมากและทำให้เหน็ดเหนื่อยคือ ส่วนกล่องสีเขียว ที่สมองของครูจะต้องทำหลายอย่างในเวลาเดียวกันคือ มีสมาธิจดจ่ออยู่กับสภาพในห้องเรียน นำเอาสิ่งท่ีรับรู้มาเป็นข้อมูลประกอบการคิด ร่วมกับการดึงเอาความรใู้ นความจำระยะยาวมาใช ้ ความจำในระยะยาวสำหรบั การทำหนา้ ที่ 119ภาค ๕ เรอ่ื งเล่าตามบภราบิ คท ๓: จจับิตคววทิ ายมาจกาากรยเรอยีดนคร้สูมำาหฝราับกครูเพอื่ ศษิ ย์

ครูน้ี มี ๓ สว่ น คอื (๑) ความรู้เชงิ สาระวิชา (๒) ความรู้เชิงเทคนิคการ สอนสาระวชิ า และ (๓) ความรเู้ ชิงความรทู้ ั่ว ๆ ไป ครูท่ีมีความรู้เชิงสาระวิชามากจะทำให้นักเรียนเรียนรู้ได้ดีกว่า โดย เฉพาะอยา่ งยงิ่ นกั เรยี นชนั้ มธั ยม และโดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ในวชิ าคณติ ศาสตร์ นอกจากนั้น ความรดู้ า้ นการสอนวิชานัน้  ๆ กม็ ีความสำคญั เช่น ครูท่จี ะ สอนวิชาฟิสิกส์ได้ดีนอกจากรู้สาระวิชาฟิสิกส์อย่างดีแล้ว ต้องเรียนรู้วิชา การสอนฟิสกิ ส์ (Physics Teaching) หรอื การสอนวิทยาศาสตร์ (Science Teaching) ดว้ ย และเปน็ ทรี่ กู้ นั วา่ ครทู มี่ คี วามรมู้ าก มเี กรด็ ความรกู้ วา้ งขวาง จะสอนสนกุ ดงึ ดูดความสนใจ และความศรทั ธาจากนกั เรียนได้ดี ครูจึงต้องเรียนรู้และฝึกฝนตนเอง เพ่ือขยายขีดความสามารถตาม ผังข้างบน คือ ความสามารถในการสังเกต เก็บเอาบรรยากาศหรือ เหตุการณ์ในห้องเรียนนำมาใช้ในการจัดการสอน ความสามารถในการใช้ พนื้ ท่ี “ความจำใชง้ าน” ของตนให้มปี ระสทิ ธิภาพสูงสดุ ในการทำหน้าทีค่ รู และการสะสม “ความจำระยะยาว” สำหรับการทำหนา้ ท่คี รูไวใ้ ชง้ าน นี่คือ สาระสำคัญที่สุดของบทนี้  เพราะศัตรูร้ายของการเป็นครูคือ ทำงานตามความเคยชินหรือความชำนาญ ไม่มีความคิดหรือความต้ังใจท่ี จะเรยี นรฝู้ ึกฝนตนเองให้เพ่ิมพูนขีดความ สามารถตามผังข้างบน เน้นคำวา่ “ฝึกฝน” การฝึกฝนที่จะได้ผลดีต่อการปรับปรุงตนเอง ต้องมีผลตอบรับหรือ ผลลัพธท์ ี่สะทอ้ นกลบั มา (feedback) ใหเ้ หน็ และครกู ไ็ ดร้ บั ผลสะทอ้ นนนั้ จากศิษย์อยู่แล้วในชีวิตการทำงาน แต่ไม่เพียงพอ ครูยังต้องการการ สะทอ้ นกลบั ท่ีเป็นระบบย่งิ กวา่ นั้น และผลสะทอ้ นกลับ (feedback) ทห่ี า ได้ง่ายที่สุด คือ จากเพ่ือนครูด้วยกัน ศ. วิลลิงแฮม จึงแนะนำให้ครูหา120 วิถสี ร้างการเรียนร้เู พอื่ ศษิ ย์ ในศตวรรษที่ ๒๑

ครู พือ่ ศิษย์“บ๊ัดดี้” สำหรับการสะท้อนผลซึ่งกันและกัน วิธีการสะท้อนผลกลับ(feedback) ทจ่ี ะชว่ ยปรับปรุงซง่ึ กนั และกันตามที่ ศ. วลิ ลงิ แฮม แนะนำนี้มคี วามละเอยี ดออ่ นมาก จะขอยกไปกลา่ วในบทตอ่ ไป หลักสำคัญคือ ครูท่ีดีต้องเรียนรู้เค่ียวกรำฝึกฝนตนเองตลอดชีวิตการเป็นครู และเรียนรู้จากการปฏิบัติหน้าที่ครู ด้วยหลัก ๓ ประการคือ (๑) มคี วามตั้งใจอยา่ งแรงกล้าทจ่ี ะพัฒนาการทำหน้าทคี่ รู  (๒) หาผลลพั ธ์ที่สะท้อนกลับมา (feedback) เพ่ือทบทวนไตร่ตรอง (reflection) การจัดการเรียนรู้ของตนเอง  อันจะนำไปสู่การปรับปรุงการทำหน้าท่ีครูอย่างสม่ำเสมอต่อเนือ่ ง  (๓) ลงมอื ปรับปรงุ ตนเอง โดยยึดหลัก ๓ ประการนี้ มีวิธีดำเนินการมากมาย  หนังสือเล่มน้ีแนะนำ ๑ วธิ ี คอื หาโคช้ ทช่ี ว่ ยแนะนำ และทำหนา้ ทสี่ ะทอ้ นผลใหเ้ หน็ วา่ ตนทำงานสอนอยา่ งไร คลา้ ย ๆ ชว่ ยเปน็ กระจกสอ่ งให ้ เราจะไดร้ จู้ กั ตวั เอง รจู้ ดุที่จะตอ้ งแก้ไขการสอนของตนเอง และวธิ ีได้โคช้ อยา่ งงา่ ยทีส่ ุดคือ เพือ่ นครูดว้ ยกนั เองทีต่ ้องการฝกึ ฝนพัฒนาตนเองดว้ ย  จับคเู่ ปน็ “บั๊ดดี้” ทำหน้าที่ผลดั กนั สะทอ้ นผลกลับ หรอื จะจับกลมุ่ กนั หลาย ๆ คนกไ็ ด้ หากทำได้ เพื่อนทเี่ ป็นบัด๊ ด้ี ควรสอนในระดับชัน้ เดียวกัน และมีความเช่ือถอื ไว้เนื้อเชื่อใจกัน  รวมท้ังมีความปรารถนาแรงกล้าที่จะปรับปรุงการสอนของตนเองเชน่ เดยี วกนั นอกจากมีบั๊ดด้ีแล้ว หนังสือยังแนะนำให้บันทึกวีดิทัศน์บรรยากาศและเหตุการณ์ในห้องเรียนไว้  เอาไว้ดูร่วมกันกับบัดด้ี และช่วยกันบอกส่ิงท่ีเห็น ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการปรับปรุงการสอน  ในบ้านเราการบันทึกวีดิทัศน์เหตุการณ์ในห้องเรียนไม่น่าจะเป็นเรื่องที่จะต้องบอกผู้ปกครอง  แต่ในสหรัฐอเมริกาเขาแนะนำใหม้ หี นงั สอื ผา่ นครูใหญ่ไปแจง้ ผ้ปู กครองวา่ 121ภาค ๕ เร่ืองเล่าตามบภราิบคท ๓: จจับิตคววิทายมาจกาากรยเรอียดนคร้สูมำาหฝราับกครเู พือ่ ศษิ ย์

บันทึกไว้เพื่อประโยชน์ด้านการปรับปรุงการสอนเท่าน้ัน ไม่นำไปใช้เพื่อ การอื่น และใชเ้ สร็จแลว้ จะลบท้ิง เมอื่ ไดว้ ดี ทิ ศั นม์ าแลว้ หนงั สอื แนะนำใหค้ รดู คู นเดยี วกอ่ น  และอยา่ เพง่ิ ค้นหาส่วนท่ีจะต้องปรับปรุง ให้สังเกตภาพรวมก่อนว่า มีส่วนใดบ้างที่ตน แปลกใจ  ไมค่ ดิ วา่ จะเหน็   สว่ นนจี้ ะมเี สมอเพราะระหวา่ งทส่ี อน ครมู กั จะพงุ่ ความสนใจ (Working Memory) ไปทบี่ างจุดเทา่ นั้น  ไม่สามารถมองเหน็ ส่งิ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ในหอ้ งเรยี นท้ังหมดได้ การฝกึ ดวู ดี ทิ ศั นก์ ารสอนของตนเอง และของผอู้ น่ื ทมี่ ใี หด้ ใู นอนิ เทอรเ์ นต็ เป็นข้ันตอนแรกของการใช้วีดิทัศน์เป็นตัวช่วยให้เห็นผลสะท้อนกลับ (feedback) เพื่อปรบั ปรงุ การสอนของตน  ในสหรฐั อเมริกา มเี ว็บไซตใ์ ห้ บรกิ ารวดี ทิ ศั นน์ ้ี ดไู ดท้ ่ี www.videoclassroom.org  และ www.learner.org ครูควรฝึกดูเพื่อให้เกิด “ทักษะการสังเกตอย่างสร้างสรรค์” (Constructive Observation) และ “การวิพากษ์อย่างสร้างสรรค์” (Constructive Commenting)  โดยฝึกดูวิดีทัศน์นี้อย่างแตกต่างไปจากการดูโทรทัศน์ ตามปกติเพ่ือความบันเทิง  แต่คราวนี้ดูเพ่ือหาผลสะท้อนกลับ จึงต้องมี เปา้ หมายของการดอู ยา่ งชดั เจน วา่ ต้องการหาอะไรจากวีดทิ ัศน ์ เช่น เพ่อื ดูการจัดการห้องเรียน (Classroom Management)  ดูบรรยากาศเชิง อารมณ์ในห้องเรยี น หลังจากดคู นเดยี วจน “ดูเป็น” แลว้ จงึ ดู ๒ คนกับบั๊ดดี้  ผลดั กนั ฝึกวิพากษ์อย่างสร้างสรรค์ และอย่างเคารพต่อวิดีทัศน์การสอนของคนอื่น   จนคิดว่าพร้อมแล้วท่ีจะดูวิดีทัศน์การสอนของตนเอง พร้อมกับบ๊ัดด้ี แล้ว ผลดั กันวิพากษ์ หนังสือเล่มนี้แนะนำวธิ ีทำหนา้ ทส่ี ะทอ้ นผลกลับ (feedback) อย่าง122 วิถีสรา้ งการเรียนรเู้ พ่อื ศษิ ย์ ในศตวรรษท่ี ๒๑

ครู พ่อื ศิษย์ระมดั ระวัง ไมล่ ่วงล้ำแตะตอ้ งอัตตา (อีโก)้ ของเพอ่ื น การสะทอ้ นผลกลับน้ัน ให้ยดึ หลัก ๓ อย่าง ๑. เป็นคำวิพากษ์ท่ีให้กำลังใจ (Supportive)  ไม่สร้างความรู้สึกว่าถูกกดดนั  ซึ่งไมไ่ ด้หมายความวา่ มีแต่คำชมอยา่ งหลอก ๆ  ส่วนท่ชี มกต็ อ้ งแสดงความจรงิ ใจและเปน็ ความจรงิ   ทีส่ ำคัญคอื ไม่ใชเ่ ป็นการจับผิด แต่เป็นการสะท้อนภาพท่ีมีทั้งภาพบวกและภาพลบ และต้องเอาใจใส่ทั้งสาระน้ำเสียง และสีหน้าทา่ ทางของการวพิ ากษ์ ๒. บอกพฤตกิ รรมท่ีเหน็ ไม่ใชบ่ อกคำวินิจฉยั ของตนเอง เช่น ไม่ใช่บอกว่า “ห้องเรียนสับสนอลหม่าน”  แต่บอกว่า “สังเกตเห็นว่านักเรียนไม่คอ่ ยฟงั สิ่งทคี่ รูพูด”  ๓. บอกสงิ่ ทเ่ี พอ่ื นบดั๊ ดแ้ี สดงความตอ้ งการใหส้ ะทอ้ นผลกลบั เทา่ นน้ั   แม้จะเห็นส่วนอื่นที่เป็นข้อเรียนรู้ของตน  แต่เพื่อนบั๊ดด้ีไม่ได้ขอให้บอก ก็ไม่ต้องบอก  เป็นการแสดงความเคารพต่ออัตตาหรือความเป็นส่วนตัวของเพ่ือน  ประเด็นสำคัญที่เพ่ือนบ๊ัดดี้ยังไม่ได้ขอให้สะท้อนผลกลับนี ้ จะโผล่ขนึ้ มาเองในการดูวิดีทศั นเ์ พ่ือสะทอ้ นภาพ ซงึ่ กันและกนั ในคราวต่อ ๆ ไป การผลัดกันสะท้อนภาพนี้ เพื่อช่วยให้แต่ครูคู่บั๊ดดี้ละคนสามารถทบทวนไตร่ตรองการสอนของตนได้ลึกข้ึน  ก้าวข้ามข้อจำกัดที่ตัวเองมองตัวเองได้ไมท่ วั่ หรือมอี คติดา้ นบวก หรือเขา้ ข้างตนเองมากเกินไป  แม้จะใชว้ ธิ บี นั ทกึ วดี ทิ ศั นเ์ อามาดภู ายหลงั กย็ งั มขี อ้ จำกดั   จงึ ตอ้ งหาบด๊ั ดม้ี าชว่ ยช้ีให้เห็นเหตุการณ์สำคัญท่ีตัวเราเองอาจมองข้ามไป  โปรดระลึกไว้เสมอว่าบัด๊ ดีไ้ มไ่ ด้มหี นา้ ที่สอนหรอื แนะนำเพือ่ น หากเพ่ือนไม่ไดร้ อ้ งขอ  โปรดสงั เกตวา่ การบนั ทกึ วดิ ที ศั นเ์ หตกุ ารณใ์ นหอ้ งเรยี น นำมาดเู องและดรู ว่ มกบั เพอ่ื นบด๊ั ด้ี เปน็ การฝกึ ขยายความรคู้ วามเขา้ ใจสว่ น “สภาพแวดลอ้ ม” 123ภาค ๕ เรอ่ื งเลา่ ตามบภราิบคท ๓: จจบั ติ คววทิ ายมาจกาากรยเรอยีดนครสู้มำาหฝราบักครูเพ่อื ศษิ ย์

ในวงสีฟ้าตามแผนผังข้างบน  เพื่อให้ครูมีความสามารถสังเกตและนำเอา ความรูเ้ ก่ียวกับสภาพแวดลอ้ มในห้องเรยี นขณะน้นั มาใชใ้ นการสอนใหเ้ กดิ ประสทิ ธิผลย่งิ ขน้ึ เมื่อครูนำเอาข้อเรียนรู้จากการทบทวนไตร่ตรองการสอนของตน (โดยการช่วยชี้ของบ๊ัดดี้) ไปใช้ปรับปรุงการจัดการเรียนรู้ให้แก่นักเรียน  ก็ หาทางบันทึกวิดีทัศน์ไว้เป็นข้อมูลผลสะท้อนกลับ (feedback) ให้ตนเอง และให้บั๊ดด้ีช่วยดูเพื่อสะท้อนภาพให้เห็นเพ่ิมได้อีกด้วย เป็นวงจรยกระดับ ความสามารถในการจัดการเรียนการสอนขึ้นไปอย่างไม่มีส้ินสุด เพื่อยก ระดับตนเองสู่ความเป็น “ครูผู้เชี่ยวชาญ”  ที่มีวงจรการเรียนรู้ตามแผนผัง ข้างบนแบบผูเ้ ชยี่ วชาญ ไม่ใชแ่ บบผเู้ ร่ิมตน้ คำแนะนำข้อต่อไปคือ ครูต้องมีการจัดการตนเองเพ่ือดำรงพลังของ แรงปรารถนาท่ีจะพัฒนาตนเองในด้านการเป็นครูที่ด ี เพ่ือให้ได้ปัจจัย สำคัญ ๓ ประการคือ  (๑) ผลตอบกลับ (feedback) ท่ีดี  (๒) หา กิจกรรมอื่น ๆ ท่ีจะช่วยพัฒนาทักษะการเป็นครู  (๓) บอกตัวเองให้หมั่น ฝึกฝน  ต้องไมผ่ ัดวนั ประกนั พรงุ่   แตอ่ ย่าใจรอ้ น อย่าโลภ ให้คอ่ ย ๆ ทำ อย่างต่อเน่ือง โดยเลือกทำส่วนท่ีทำได้ หรือมีลำดับความสำคัญสูงก่อน  เพราะขอ้ แนะนำท่ใี ห้นน้ั ต้องใชเ้ วลา เพ่ือช่วยให้ครูจัดการตนเองได้ดี หนังสือแนะนำให้ครูเขียน “อนุทิน การสอน” (Teaching Diary) เพื่อสร้างวินยั ในตนเอง และเพ่อื ให้เหน็ ภาพ ใหญ่ และความก้าวหน้าทีละน้อยของความมานะพยายามของตน  เป็น เครื่องมือช่วยทบทวนไตร่ตรองตนเอง (self-reflection)  และใช้เป็นตัว กระตุ้นความอดทนความมานะพยายาม คำแนะนำข้อต่อไปคือ จัดกลุ่มเรียนรู้ของเพื่อนครู  คำแนะนำน้ี124 วิถสี รา้ งการเรียนรู้เพื่อศิษย์ ในศตวรรษที่ ๒๑

ครู พือ่ ศิษย์ทำให้ผมนึกถึงชุมชนการเรียนรู้ครูเพ่ือศิษย์ (ชร. คศ.) ท่ีพบกันอย่างสม่ำเสมอ เช่น ทุก ๆ ๒ สัปดาห์  เพื่อวัตถุประสงค์ ๒ อย่าง คือ (๑)เป็นการให้กำลังใจซึ่งกันและกัน  (๒) แลกเปลี่ยนเรียนรู้ปัญหาและวิธีการท่ีเป็น “ทีเดด็ ” ของคร ู   กลมุ่ เรยี นรนู้ คี้ วรรว่ มกนั กำหนดวตั ถปุ ระสงคใ์ หช้ ดั เจน  และถา้ เอาจรงิเอาจงั มาก อาจจัดการประชมุ บางคร้ังเป็นคลา้ ย ๆ Journal Club ผลัดกนัอ่านวารสารวิชาการด้านการเรียนการสอนในเรื่องท่ีสมาชิกมีความสนใจรว่ มกนั คำแนะนำข้อสุดท้าย จงสังเกตว่า อะไรที่ดึงดูดความสนใจของนกั เรยี นท่ีตนสอน  นักเรยี นมคี วามปรารถนาท่ีแรงกล้าดา้ นใด น่ันคอื ต้องทำความรู้จักตัวตนท่ีแท้จริงของนักเรียน  ที่ไม่ใช่ตัวตนสมมติตอนอยู่ในช้ันเรยี นนนั่ เอง การสงั เกตน้คี วรทำกบั เด็กในกลมุ่ อายุเดยี วกนั กบั นักเรยี นท่ีทา่ นสอน โดยสังเกตในโอกาสต่าง ๆ แบบที่เขาไม่รู้ตัว  เช่น ตามศูนย์การค้า ร้านอาหาร  ในงานแสดงต่าง ๆ เป็นต้น  หากตั้งใจสังเกตอย่างจริงจัง ท่านจะได้ความรู้เกี่ยวกับเด็กในวัยท่ีท่านสอน สำหรับนำมาใช้ประโยชน์ในการจัดการเรยี นร ู้ เท่ากบั เปน็ การเกบ็ เก่ยี วความรู้เชิงสาระเก่ยี วกบั ชีวิตของเด็กเอามาเกบ็ ไว้ในกลอ่ งความจำระยะยาวตามแผนผังข้างบน  เปน็ การเตรียมจัดระบบความร้ใู หพ้ ร้อมใช้ น่นั เอง  ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ http://www.gotoknow.org/blog/thaikm/430171 http://www.gotoknow.org/blog/thaikm/431262 125ภาค ๕ เรือ่ งเล่าตามบภราบิ คท ๓: จจับิตคววทิ ายมาจกาากรยเรอยีดนคร้สูมำาหฝราบักครูเพื่อศิษย์

เปลยี่ นมมุ ความเช่ือเดิม เรอ่ื งการเรียนรู้ น่ีคอื บทสุดท้ายของบนั ทึกตคี วามหนงั สอื เลม่ นี้ หนังสือเล่มน้ีแนะนำวิธีทำหน้าที่ครูอย่างได้ผล และมีคุณค่า โดย มองจากมมุ ของจติ วิทยาการเรียนรู้ (Cognitive Psychology) บางประเดน็ เป็นการเปลี่ยนมุมมองจากเดิมท่ีเชื่อถือกันมาผิด ๆ  มีหลักใหญ่ ๆ ๙ ประการดังต่อไปนี้ บทที่ หลักการด้านการ ความรเู้ ก่ียวกบั นยั ยะตอ่ ชน้ั เรียน เรียนรู้ นกั เรยี นท่คี รูตอ้ งการ ๑ มนุษยม์ ธี รรมชาติ สิ่งใดบา้ งท่เี ลย คดิ “คำสอน” เปน็ ส่ิงท่ี ใฝ่รู้ แตธ่ รรมชาติ ขอบเขตสง่ิ ทีน่ กั เรียน นกั เรยี นจะตอ้ งเรียน ของมนุษย์มขี อ้ ของฉนั รู้และทำได้ แลว้ ใช้เวลาอธิบายให้ จำกัด นกั เรยี นเขา้ ใจ “คำถาม” (เรียนคำถาม มากกว่า เรียนคำตอบ126 วิถีสรา้ งการเรียนรูเ้ พอื่ ศษิ ย์ ในศตวรรษที่ ๒๑

ครู พอื่ ศษิ ย์บทท่ี หลักการด้านการ ความรู้เกยี่ วกบั นัยยะต่อชั้นเรยี น เรียนรู้ นักเรียนที่ครูตอ้ งการ๒ ความรูเ้ ชิงข้อเทจ็ นักเรยี นของฉนั รู้อะไร เปน็ ไปไมไ่ ดท้ ่ีจะคดิ เร่ืองจรงิ มากอ่ นทกั ษะ บา้ ง ใดเร่ืองหน่งึ ไดอ้ ย่างดี โดยทไ่ี ม่รู้ข้อเท็จจรงิ เกีย่ วกับเร่ืองนั้น๓ ความจำเป็นผล นักเรียนจะคดิ อะไร ปรอทวัดแผนการเรยี น จากการคดิ ระหว่างบทเรียนนี้ แต่ละบทคือ “อะไรคอื ตวั ช่วยให้นกั เรยี นคดิ ”๔ เราเขา้ ใจเรอ่ื งหนง่ึ  ๆ เพ่อื ให้นกั เรียนเข้าใจ ตง้ั เปา้ หมายใหน้ กั เรยี นรู้ตามบรบิ ทของ บทเรยี นน้ี นักเรยี น ความร้ทู ่ลี ึก แต่ตระหนกัเรื่องท่เี รารู้แล้ว ตอ้ งมตี น้ ทนุ ความรู้ เสมอว่านกั เรียนตอ้ งอะไรบา้ ง เรียนร้คู วามรู้ท่ตี ืน้ กอ่ น๕ ต้องฝกึ ฝนจึงจะ ฉันจะช่วยให้นักเรียน คดิ ให้ชัดว่า นกั เรียน เกดิ ความ ฝกึ ฝนโดยไมเ่ บ่อื ต้องมคี วามรู้อะไรบ้างที่ คล่องแคลว่ หนา่ ยได้อยา่ งไร จะตอ้ งเรียกใช้ไดท้ ันที แล้วใหฝ้ กึ ฝนจนคลอ่ ง๖ การเรยี นรแู้ ตกตา่ ง นักเรยี นของฉัน ม่งุ ให้นกั เรียนเกดิ ความ กันในชว่ งแรก ๆ แตกต่างจาก เขา้ ใจท่ลี กึ ไม่ใชม่ ่งุ ที่ กับช่วงหลงั ของ ผู้เชี่ยวชาญอย่างไร การสรา้ งความรู้ใหม่ การฝึกฝน127ภาค ๕ เร่อื งเลา่ ตามบภราิบคท ๓: จจบั ติ คววิทายมาจกาากรยเรอยีดนครสู้มำาหฝราับกครูเพื่อศิษย์

บทท่ี หลักการด้านการ ความรู้เก่ียวกบั นยั ยะต่อชัน้ เรียน เรยี นรู้ นกั เรยี นทคี่ รูต้องการ๗ มองจากมุมของ ความรู้เกย่ี วกับสไตล์ คิดถงึ เน้อื หาในบทเรียนการเรยี นรู้ นกั เรยี น การเรยี นรู้ของเดก็ ไม่ใช่คิดถงึ ความแตกมคี วามเหมือนกัน ไม่มคี วามจำเปน็ ต่างของเด็ก ในการมากกวา่ ตา่ งกัน ตดั สินใจวา่ จะสอน อยา่ งไร๘ ความฉลาด นกั เรยี นของฉันมี จงพดู ถงึ ความสำเรจ็สามารถ ความเชือ่ เรอ่ื งความ หรอื ล้มเหลวจากมมุ ของเปล่ยี นแปลงได้ ฉลาดอยา่ งไร ความมานะพยายามโดยการทำงาน ไม่ใช่จากมุมของความฝกึ ฝนอย่างหนกั สามารถ๙ การสอนก็เหมอื น การสอนของฉนั ในแง่ การปรบั ปรุงต้องการกบั ทกั ษะทซ่ี บั ซอ้ น มุมไหนทใ่ี ช้ไดด้ กี บั มากกวา่ ประสบการณ์ทางปญั ญาอืน่ ๆ นักเรยี นของฉัน และ ตอ้ งมคี วามต้งั ใจท่ีจะต้องการการฝึกฝน สว่ นไหนต้องการการ พัฒนาตนเอง และเพื่อปรับปรงุ ปรับปรุง ตอ้ งการผลสะท้อนกลับ (feedback) ที่จริงยังมีความรู้หรือทฤษฎีด้านวิทยาศาสตร์ว่าด้วยการเรียนรู้(Cognitive science) อีกมากที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ในโรงเรียน แต่ที่เลือกมา ๙ ข้อน้ี ก็เพราะข้อเหล่าน้ีเป็นจริงกับการเรียนรู้ทุกรูปแบบ ทุก128 วิถสี รา้ งการเรียนรเู้ พอื่ ศษิ ย์ ในศตวรรษท่ี ๒๑

ครู พื่อศิษย์บริบท  และเป็นประเด็นท่ีมีผลกระทบสูงต่อผลของการเรียนร ู้ รวมทั้งเป็นประเดน็ ท่ีมีหลักฐานจากการวิจยั หลายช้ินยืนยนั วา่ เชือ่ ถอื ได้  แต่การศึกษากเ็ หมอื นกบั กิจกรรมอ่นื  ๆ อีกหลายอย่าง ทผี่ ลการวิจยัทางวิทยาศาสตร์เป็นหลักฐานสนับสนุน แต่ไม่ใช่ปัจจัยตัดสิน ยังมีปัจจัยอื่น ๆ อกี มากเขา้ มาเกีย่ วข้อง  หอ้ งเรียนไม่ใชเ่ ป็นแต่เพยี งพื้นทีท่ างปญั ญา(Cognitive Place) แต่ยังเป็นพื้นท่ีทางอารมณ ์ พ้ืนที่ทางสังคม  พ้ืนท่ีสำหรับสร้างแรงบันดาลใจ ฯลฯ  ครูมีหน้าที่สร้างดุลยภาพระหว่างพ้ืนที่เหล่านนั้ เพ่อื การเรียนรใู้ นหลายมิติของศิษย ์ วิทยาศาสตร์ว่าด้วยการเรียนรู้ ไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างของครูในการทำให้โรงเรียนเป็นสถานท่ีที่นักเรียนอยากมา แต่การส่ังสมการเรียนรู้และทักษะของครูตามแผนผังหน้า ๑๑๙  ด้วยการเคี่ยวกรำฝึกฝนตนเอง เพ่ือขยายพน้ื ทที่ ง้ั ๓ ส่วนในแผนผงั   ยอ่ มมีคุณประโยชน์ตอ่ ทง้ั ชีวติ การเป็นครูและตอ่ การเรยี นรู้ของนักเรียน ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔  http://www.gotoknow.org/blog/thaikm/432221 129ภาค ๕ เร่ืองเลา่ ตามบภราิบคท ๓: จจบั ติ คววิทายมาจกาากรยเรอียดนครสู้มำาหฝราับกครเู พ่อื ศษิ ย์



๔ ครู พื่อศษิ ย์ บันเทงิ ชวี ิตครู สู่ชุมชนการเรียนรู้ ถอดความจากหนงั สอื Learning by Doing : A Handbook forProfessional Learning Communities at Work. 2nd Ed, 2010 เขยี นโดย Richard Du Four, Rebecca Du Four, Robert Eaker, Thomas Many 131ภาค ๕ เร่อื งเลา่ ตามบรบิ ท : จบั ความจากยอดครูมาฝากครูเพ่อื ศษิ ย์


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook