Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสือการเรียนรู้เพื่อศิษย์ใน คศ21

หนังสือการเรียนรู้เพื่อศิษย์ใน คศ21

Published by Chayanon Y., 2018-11-14 21:48:22

Description: หนังสือการเรียนรู้เพื่อศิษย์ใน คศ21

Search

Read the Text Version

เมื่อนักเรียนนำความคิดของตนออกมาแลกเปลี่ยนกับเพื่อน ๆ แลว้ ครจู ะช่วยจัดระบบความคดิ อีกครั้งหนึง่ ทกุ คนต้องหาวธิ นี ำเสนอ ท่ีเพ่ือนจะเข้าใจได้ง่ายที่สุด และต้องเปรียบเทียบวิธีคิดของตนกับของ เพ่ือนว่าเหมือนหรือต่างกันอย่างไร ทำไม และเพราะอะไรจึงเหมือน หรือตา่ ง ๔. สถานการณป์ ัญหาใหม่  มีโจทย์ใหม่มาให้นักเรียนทดลองแก้ปัญหา เพ่ือให้แน่ใจว่า นักเรยี นเกดิ ความเข้าใจในเรือ่ งนัน้ ไดด้ ้วยตนเองโดยทีค่ รไู มต่ ้องบอก ๕. สรุปเรอ่ื งที่ไดเ้ รียนในวันน้ ี   นกั เรียนชว่ ยกันสรปุ เรือ่ งทไี่ ดเ้ รียนรู้มา โดยอาศัยการเรียงลำดับ วิธีคิดท่ีครูค่อย ๆ เขียนข้ึนกระดานไว้ตามลำดับเหตุการณ์การเรียนรู้ ที่เกดิ ข้นึ ในชัน้ เรยี น   ๖. คำถามทบทวน   ให้นักเรียนคิดทบทวนว่ามีตรงไหนท่ีเรียนแล้วสนุก ได้ค้นพบ แนวคดิ ด ี ๆ ของเพอื่ น หรอื มอี ะไรทอี่ ยากจะคดิ หรอื คน้ ควา้ ตอ่ ไปอกี ไหม ครตู อ้ งสรา้ งนสิ ยั ในการคดิ ของนกั เรยี น และใหน้ กั เรยี นรบี บนั ทกึ ข้อสงสัย กังวลใจ ประหลาดใจเอาไว้ เพราะน่ันถือเป็นต้นทุนของ ความคดิ สร้างสรรค์ บรรยากาศในช้ันเรยี น   การนำเสนอความคิดของตนเองให้คนอื่นเข้าใจเป็นเรื่องที่ยาก แต่การเขา้ ใจความคดิ ของคนอน่ื นนั้ เปน็ เรื่องทย่ี ากกว่า332 วิถสี รา้ งการเรยี นรู้เพ่ือศษิ ย์ ในศตวรรษที่ ๒๑

ครู พือ่ ศิษย์  หอ้ งเรยี นตอ้ งมบี รรยากาศทผี่ เู้ รยี นทกุ คนสามารถทจ่ี ะตง้ั คำถาม เสนอแนะไดอ้ ย่างอิสระ  และมีการให้คุณคา่ กบั ทุกความคดิ   ปกตแิ ล้วการนำความคิดของเพื่อน หรือรับเอาส่ิงดี ๆ ที่เพ่ือนคิดเข้ามาในความคิดของเราเป็นเร่ืองท่ียากมาก เพราะคนเรามักจะให้คุณค่ากับความคิดของเราว่าดีท่ีสุด ต้องเข้าใจความลำบากในการคิดของเพื่อนจงึ จะรบั เอาคุณคา่ ของเพือ่ นเขา้ มาในความคิดของเราได้  ครูควรตระหนักถึงความสำคัญและให้คุณค่ากับการส่ือสารและการทำความเข้าใจความคิดของเพ่ือน เม่ือไหร่ที่นักเรียนทำได้ดีก็ต้องยกขน้ึ มาคยุ กัน  สง่ิ ทไี่ ดเ้ รยี นรใู้ นชนั้ เรยี นคอื วธิ กี ารเรยี น นกั เรยี นจะไดค้ ดิ ทบทวนไปมาและตอ้ งทำจนกระท่ังกลายเป็นวธิ กี ารเรยี นรูข้ องนักเรยี นเอง  ชน้ั เรยี นคณติ ศาสตรต์ อ้ งมอี ะไรใหมส่ ำหรบั นกั เรยี นทกุ วนั รวมทงั้มีการประเมนิ ว่า นกั เรียนไดเ้ รยี นร้เู ครื่องมอื น้ัน วธิ ีการนน้ั จริง ซง่ึ ครูต้องเปลี่ยนมุมมองในการประเมินให้สอดคล้องให้สอดคล้องกับวิธีการเรียนรขู้ องนักเรียนดว้ ย http://www.gotoknow.org/blogs/posts/450425 http://www.gotoknow.org/blogs/posts/450926 http://www.gotoknow.org/blogs/posts/450935 http://www.gotoknow.org/blogs/posts/450936 333ภาค ๕ เรือ่ งเลา่ ตามบรบิ ท : จับความจากยอดครูมาฝากครเู พื่อศษิ ย์

เรียนรู้จากจำนวน และ ตัวเลข “นทิ านตวั เลข” งานช้นิ สุดทา้ ยของนกั เรยี นช้นั .... ๒ ชน้ั อนบุ าล หรือประถม เป็นงานท่ีแสดงให้ครูได้เห็นว่านักเรียนมีความเข้าใจใน เรื่องของจำนวน ตัวเลขแค่ไหน และคณิตศาสตร์น้ันผูกติดกับภาษา อย่างไร งานชนิ้ นี้คุณครูชาย - ณฐั นวพล และ คุณครแู ม๊กซ์ - ณัฐกร ต้งั โจทยไ์ วว้ ่าให้นักเรียนแต่งนิทานตวั เลขมาคนละ ๑ เรื่อง โดยคุณครู มีเวลาให้ ๒ คาบเรียนสำหรับเขียนเค้าโครงเรื่องของนิทานให้เสร็จ เรียบร้อย   ชนิ้ งานทน่ี ำมาสง่ เปน็ นทิ านแผน่ พบั ทม่ี ภี าพประกอบลงสสี วยงาม และมเี นอ้ื เรอื่ งทแี่ สดงความเขา้ ใจในเรอื่ งจำนวน ตวั เลข ลงบนกระดาษ ๑๐๐ ปอนด์ ขนาด ๒๘ x ๒๑.๕ ซม. ทพ่ี บั เป็น ๓ ตอน   นิทาน “งานวันเกิดของปันปัน” ด.ญ. ธัญธร ธนาบริบูรณ ์ เขียนว่า “เช้าวนั นีป้ ันปันมีความสุขมาก เพราะวนั นเี้ ปน็ วันเกดิ ของเธอ มีเค้กวางอยู่บนโต๊ะรับประทานอาหาร หน้าตาและสีสันน่ารับประทาน มาก ปนั ปนั จงึ เรม่ิ เตรียมเทยี นทจ่ี ะปักในเค้กวนั เกดิ และใช้จดุ ด้วย   หลังจากนั้นจึงเริ่มนับจำนวนคนในบ้านเร่ิมจาก ปันปันจำนวน ๑ คน น้องปนิ ปนิ จำนวน ๒ คน และน้องเปรม เปน็ ๓ คน คณุ พอ่   คุณแม ่ พ่เี ล้ียง  รวมเปน็   ๖  คน   ปนั ปนั จึงไดต้ ดั แบ่งเคก้ ออกเปน็ ๖ ชนิ้ และจัดใส่จานละ ๑ ชนิ้ และนำไปมอบให้แกท่ กุ คน ตอนน้ีทกุ คนมคี วามสุขและเปน็ วนั ท่ดี ที สี่ ดุ334 วิถีสรา้ งการเรยี นรู้เพอื่ ศษิ ย์ ในศตวรรษท่ี ๒๑

ครู พือ่ ศษิ ย์อีกวนั หนงึ่ ของปันปนั   จงึ ไดจ้ ดั เตรียมจาน ๖ ใบ สอ้ มจำนวน ๖ คนัหลังจากนั้นปันปันจุดเทียน และทุกคนช่วยกันร้องเพลงวันเกิดและปันปนั ได้เปา่ เทียน” นทิ าน “ตน้ ไมต้ วั ตลก” ด.ญ.ปณุ ยภา  เผดจ็ สวุ นั นกุ ลู   เขยี นวา่  “ณ ปา่ ใหญแ่ หง่ หนง่ึ เตม็ ไปดว้ ยตน้ ไม ้ นอกจากนยี้ งั มดี อกไมท้ ก่ี ำลงั บาน ดอกที่บานแล้ว ๑๐ ดอก  ดอกที่ยังไม่บานอีก ๑๐ ดอก แต่เดี๋ยวก็บานแลว้ แหละ  วันรุ่งข้ึนดอกไม้ออกดอกอีก ๑๐ ดอก  เด็กที่ปลูกดอกไม้ก็ดีใจปลูกเพิ่มวันละ ๑๐ ดอก และก็เป็นแบบนี้ทุกวัน  เด็กผู้หญิงปลูกเพ่ิมทีละ ๑๐, ๑๐, ๑๐, ๑๐ เด็กหญิงบอกแมว่ า่ หนูจะไปดดู อกไมท้ ่ีปลูกอกี๔๐ ดอกไดห้ รอื เปลา่ คะ  แมบ่ อกวา่ ไดจ้ ะ้ ลกู  แมไ่ ปดว้ ยไดม้ ยั๊ จะ๊   ไดค้ ะ่  แตห่ นลู มื รดนำ้ เลยเหลอื ๔๐ ดอก เอย๊ หนพู ดู ผดิ คะ่ เหลอื ๒๐ ดอกคะ่เพราะเหี่ยวไป ๒๐ ดอก  พอมาถึงแปลงดอกไม้ แมก่ บั เดก็ นอ้ ยก็พบว่าดอกไมเ้ หย่ี วไปอีก๔ ดอก  เอ๊ะ ตอนนเ้ี หลืออยอู่ กี ก่ดี อกแลว้ เนีย่  ๒๐ + ๔๐ - ๒๐ - ๔=  ๓๖  คอ่ ยยงั ชว่ั นกึ วา่ ตายหมดแลว้   ดใี จจงั ยงั มเี หลอื อกี   เอาดอกไม้ไปใส่บาตรเพราะเป็นวันปีใหม่ ๕ ดอก  และเป็นของขวัญให้คุณครูและเป็นของขวัญให้คุณครูและเพ่ือน ๆ  รวมทั้งหมด ๒๙ ดอกนะคะคุณแม ่ ต้นไม้บอกวา่ ไม่มเี พ่อื นเหงาจงั   เดก็ น้อยบอกว่าเรายงั เปน็ เพ่อื นกันอยนู่ ะ มองเห็นรึเปล่ายังมอี กี๒ ดอก” งานช้นิ นที้ ำให้ครเู ห็นวา่ ผูเ้ รียนแตล่ ะคนมีความเข้าใจในเร่ือง 335ภาค ๕ เรือ่ งเลา่ ตามบริบท : จบั ความจากยอดครมู าฝากครเู พื่อศิษย์

จำนวนและตัวเลขแค่ไหน จากความสามารถในการนำมาผูกเป็นเร่ือง ราวท่ีมีลักษณะคล้ายโจทย์ปัญหาท่ีแต่ละคนสร้างขึ้นมาเอง  หากครู ทำการ “อา่ นซอ้ น” ก็จะเหน็ ถงึ ระบบความคดิ การจดั ลำดบั ความคดิ และความสามารถในการคิดเช่อื มโยงใหเ้ กิดความเปน็ เหตเุ ปน็ ผลท่เี ป็น พื้นฐานสำคัญในการเรียนคณิตศาสตร์   เร่ืองราวเหล่าน้ีทุกบททุกตอนสามารถแทนค่าออกมาเป็นตัวเลข ที่ชัดเจนได้ และให้ผลลัพธ์ท่ีถูกต้องได ้ นอกจากน้ียังมีการใช้คำท่ีนำ เสนอความเขา้ ใจในเรอื่ งการลดลงและเพมิ่ ขนึ้ ของจำนวน เชน่ ยงั มอี กี รวมทงั้ หมด (บวก) ดอกไม้เหย่ี ว (ลบ) การเพิม่ ที่ละสิบ (คณู ) การแบง่ เทา่  ๆ กนั (หาร) มกี ารใชค้ ำวา่ จงึ เรม่ิ เตรยี ม จากนน้ั มาแสดงลำดบั ของเหตุการณ ์ และใช้คำว่า เพราะ เมื่อต้องการแสดงความเป็นเหตุ เปน็ ผล  และที่มากไปกว่านั้นก็คือ ตัวเรื่องราวท่ีเล่าขาน ยังช่วยเผย ความในใจของผู้เรียนแต่ละคนออกมาให้เพ่ือนและครูได้รู้จักว่า พวกเขาสดใสและงดงามเพียงใด http://www.gotoknow.org/blogs/posts/452054 336 วิถสี รา้ งการเรียนรเู้ พ่ือศิษย์ ในศตวรรษที่ ๒๑

ครู พ่อื ศษิ ย์การ “เผยตน” ของฟล๊คุ น่ีคือตัวอย่างที่สุดยอด ของการจัดให้เกิดการเรียนรู้แบบTransformative learning ฟลุ๊คเป็นนักเรียนที่ย้ายมาอยู่เพลินพัฒนาเม่ือต้นปีการศึกษาน ้ีคุณแม่ของฟลุ๊คเล่าให้ฟังว่า ท่ีโรงเรียนเดิมฟลุ๊คสอบตกแทบทุกวิชาและมปี ญั หาดา้ นพฤตกิ รรม  ชอบทำสง่ิ ตรงขา้ มกบั สง่ิ ทคี่ รบู อก เขา้ กลมุ่กับเพื่อนท่ีเกเร ไมส่ ่งงาน โวยวายกบั แม่ ทำให้คณุ แม่ตัดสินใจใหฟ้ ลคุ๊ย้ายโรงเรยี นเมื่อเรียนจบชนั้ ประถม ๑  เม่ือมาเรียนที่นี่ในภาคเรียนแรก ในช่วงต้นฟลุ๊คเข้ากับเพ่ือน ๆไม่คอ่ ยได ้ และมีนกั เรยี นคนหน่งึ มาบอกวา่ “เพอื่ นว่าฟลุค๊ เปน็ คนไรค้ า่ไมม่ ตี ัวตนในหอ้ ง” จึงเรยี กฟลคุ๊ เข้ามาถาม ฟลคุ๊ ก็บอกว่า “จริง แต่ก็ไมไ่ ดร้ สู้ กึ อะไรกบั คำทเ่ี พอื่ นวา่ เพราะตอนทอ่ี ยโู่ รงเรยี นเกา่ ยง่ิ กวา่ นอี้ กี ”  สัปดาห์สุดท้ายของภาคฉันทะเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนจะต้องลงมือทำโครงงาน “ช่ืนใจ...ได้เรียนรู้” หรือการประมวลความรู้ท่ีเรียนมาท้ังหมดตลอดท้ังเทอม แล้วมานำเสนอในรูปแบบของการเผยตน ต่อเพือ่ น ๆ และคุณครู  ดงั นน้ั ในสปั ดาหท์ ี่ ๙ หลงั จากทเ่ี ดก็  ๆ ไดป้ ระมวลความรทู้ กุ วชิ ามาตลอดสปั ดาห ์ ครปู ระจำชน้ั กเ็ รมิ่ พดู คยุ กบั เดก็  ๆ วา่ ใหล้ องใครค่ รวญดูว่าในภาคเรียนน้ีใครทำอะไรได้ดี เม่ือพูดคุยสร้างแรงบันดาลใจเสร็จแลว้ กส็ งั เกตเหน็ วา่ มนี กั เรยี นหลายคนคดิ ออกแลว้  จงึ ถามไปรอบ ๆ วงวา่ใครอยากนำเสนออะไร  เด็ก ๆ ก็เริ่มบอกเรื่องท่ีตนเองสนใจออกมา และอยากนำเสนอใหเ้ พอื่ นและครูได้รับรู้ 337ภาค ๕ เร่อื งเลา่ ตามบรบิ ท : จบั ความจากยอดครูมาฝากครเู พ่ือศษิ ย์

  ฟลคุ๊ ซงึ่ ตง้ั ใจฟงั อยตู่ ลอด  กย็ กมอื ขนึ้ ถามวา่ “ไมน่ ำเสนอไดไ้ หม ครับ”  ครูตอบว่า “ไม่ได้ค่ะ”  พร้อมท้ังให้เหตุผลว่า งานนี้เป็นงานที่ ทุกคนต้องทำพร้อมทั้งบอกว่า  ถ้าตอนน้ียังคิดไม่ออกก็ไม่เป็นไร ให้ กลับไปคิดต่อท่ีบ้านในช่วงวันหยุดยาว  ฟลุ๊คก็ยกมือข้ึนมาแล้วถามอีก ครั้งวา่ “ถา้ ๔ วนั แลว้ ยงั คดิ ไม่ออก ไมน่ ำเสนอแต่นงั่ ฟังเฉย ๆ ได้ ไหมครับ” ครูแคทกต็ อบไปเช่นเดมิ วา่ “ไมไ่ ด้คะ่ ”   ในชว่ งทา้ ยของการพดู คยุ ครสู รปุ วา่ วนั หยดุ ตอ้ งทำอะไรบา้ ง และ ในสัปดาห์หน้าเด็ก ๆ จะต้องเตรียมอะไรมาบ้าง  ฟลุ๊คยกมือข้ึนถาม เป็นครั้งที่ ๓ ว่า “ถ้าคิดไม่ออกจริง ๆ จะนั่งฟังเฉย ๆ ได้ไหมครับ” ครูก็ยังยืนยันไปเช่นเดิม พร้อมกับบอกว่า “ถ้าสัปดาห์หน้ายังคิด ไมอ่ อกจรงิ  ๆ ให้ฟล๊คุ มาหาครู แล้วเราจะช่วยกนั คิดวา่ หนูจะนำเสนอ อะไรด”ี   แม้ว่าฟลุ๊คจะแสดงท่าทีออกมาชัดเจนว่าไม่อยากนำเสนอจริง ๆ แต่คำตอบของฟลุ๊คก็ทำให้ครูอดดีใจไม่ได้ว่าการที่ฟลุ๊คยืนยันคำเดิม ถึง ๓ คร้ังแสดงให้เห็นว่า ฟลุ๊ครู้จักการประเมินศักยภาพของตนเอง และพยายามหาทางออกใหต้ วั เองวา่ ถา้ ไมม่ อี ะไรจะพดู เขาจะทำอยา่ งไร       เช้าวันอังคารหลังจากหยุดยาว ๔ วัน  คุณแม่ของน้องฟลุ๊คส่ง ข้อความมาบอกแต่เช้าว่า “น้องเป็นกังวลและเครียดกับการนำเสนอ มาก เพราะกลวั เพ่อื นล้อ ขอใหค้ ุณครูชว่ ยดแู ลด้วย”    เมอ่ื ถงึ เวลาโฮมรมู จงึ เขา้ ไปคยุ กบั เดก็  ๆ ถามถงึ เรอ่ื งทจ่ี ะนำเสนอ และการเตรียมตัวของแต่ละคน  และถามว่าใครพร้อม ใครไม่พร้อม  และได้คำถามสุดท้ายเพ่ือฟลุ๊คก็คือ “มีใครเป็นกังวลอะไรไหมคะ”338 วิถีสรา้ งการเรยี นรู้เพ่อื ศษิ ย์ ในศตวรรษท่ี ๒๑

ครู พ่ือศษิ ย์ตามความคาดหมาย ฟลุ๊คยกมือขึ้นพร้อมกับบอกครูว่า “หนูไม่กล้านำเสนอ หนอู าย” ครูแคทจึงใหเ้ พอื่ น ๆ ชว่ ยกันบอกวา่ ทำอย่างไรจึงไม่อาย เพ่ือน ๆ ต่างยกมือบอกเคล็ดลับของตัวเองให้กับฟลุ๊คบรรยากาศตอนนั้นผ่อนคลาย ครูสัมผัสได้ว่าทุกคนมีใจอยากจะช่วยฟลุ๊คอยา่ งจริงใจ ทำให้ฟล๊คุ คลายกังวลลงไปได้  วันอังคารเด็ก ๆ ไม่ได้เตรียมตัวอะไรเพ่ิมเติมเพราะมีสอบหลายวิชา  ดังนั้นจึงมีเวลาเตรียมตัวเพียงวันเดียวก่อนการนำเสนอในวนั พฤหัสบดี   เชา้ วนั พุธเด็กซักซอ้ มตามทีเ่ ตรียมมาคนละ ๑ รอบ  ในขณะท่ีกำลังดูการเตรียมงาน  ครูแคทเกิดความคิดขึ้นมาว่าอยากจะมีพิธีกรเป็นคนคอยจัดคิวในการนำเสนอ  จึงชวนเด็ก ๆ คุยว่าใครจะช่วยครูไดบ้ า้ ง คุณสมบตั ิของพิธีกรมี ๔ ข้อ คอื จำบทในการนำเสนอของตวั เองได้แล้ว มีไหวพริบ แก้ปญั หาเฉพาะหนา้ ได้ มคี วามมน่ั ใจในตนเอง กล้าแสดงออก   และบอกเด็ก ๆ ไปว่า “แม้ว่าครูจะต้องการคนท่ีมีคุณสมบัติดงั นี้ แต่ก็ไม่จำเป็นตอ้ งมีครบทกุ ข้อก็ได้ แต่ตอ้ งพร้อมท่ีจะฝึกฝน”  มนี กั เรยี นทยี่ กมอื เสนอชอ่ื ตวั เอง ๖ คนหนง่ึ ในนน้ั มฟี ลคุ๊ รวมอยดู่ ว้ ยเม่ือมีผู้ท่ีเสนอชื่อตนเองเกินกว่าที่ต้องการจึงถึงเวลาที่เพ่ือน ๆ ต้องมาชว่ ยกนั ตดั สนิ และเปน็ เรอ่ื งทน่ี า่ แปลกใจทเี่ พอ่ื น ๆ เลอื กฟลคุ๊   มตคิ รงั้ นี้เทา่ กบั เปน็ การลบสง่ิ ทอ่ี ยู่ในใจเพื่อน ๆ ออกไปว่าไม่มใี ครยอมรบั ฟลุค๊ 339ภาค ๕ เรื่องเล่าตามบรบิ ท : จบั ความจากยอดครมู าฝากครเู พื่อศษิ ย์

  ตอนพักเท่ียงฟลุ๊คเดินเข้ามาบอกว่า “ครูแคทรู้ไหมว่าหนูจะใช้ วิธีไหน” (หมายถึงวิธีท่ีจะไม่ให้อาย) ครูแคทย้อนถามไปว่า “นั่นสิคะ ครูก็อยากรอู้ ย่พู อดีว่า หนจู ะใชว้ ิธไี หน” ฟลคุ๊ ตอบวา่ “หนูคดิ วา่ ไม่มี ใครอยทู่ ีน่ ี่เลย” ครูแคทกบ็ อกฟลคุ๊ ไปว่า “ใช้ได้ผลดดี ้วยนะ” แล้วฟลคุ๊ กบ็ อกอีกว่า “ครูแคท ถ้าหนจู ะเปลีย่ นตัวกบั มทั ได้ไหม” ครูแคทตอบ วา่ “ครเู ชือ่ ว่าหนทู ำได้ และเพ่อื น ๆ เลือกหนูแลว้ ”   บ่ายวนั น้นั การซอ้ มของเดก็  ๆ เปน็ ไปด้วยความเรยี บร้อย พิธีกร ทงั้ ๒ คนทเี่ พอื่ นเลอื กก็ทำหนา้ ทไี่ ดด้ ีเกินความคาดหมาย   เมอื่ วนั จรงิ มาถงึ ฟลคุ๊ กท็ ำหนา้ ทพ่ี ธิ กี รไดด้ ี ไมม่ ที า่ ทเี ขนิ อายเลย การพดู คยุ และการใหโ้ อกาสของเพอ่ื น ๆ ชว่ ยใหเ้ ขาไดข้ า้ มผา่ นความกลวั ของตัวเองไปได้ ในเวลาเพียงไม่ถึงสัปดาห์ฟลุ๊คก็ได้ เผยตน ออกมา ในมุมทพี่ าให้ทกุ คนไดช้ นื่ ใจ...  http://www.gotoknow.org/blogs/posts/452316 ตดิ ตามรายละเอยี ดเรอ่ื งราวตอ่ ได้ที่ { }http://www.gotoknow.org/blog/krumaimai/450085 340 วถิ ีสรา้ งการเรยี นรู้เพอ่ื ศษิ ย์ ในศตวรรษท่ี ๒๑

๖ ครู พื่อศษิ ย์ มองอนาคต...ปฏิรปู การศึกษาไทย 341ภาค ๕ เรื่องเล่าตามบรบิ ท : จบั ความจากยอดครูมาฝากครเู พ่อื ศิษย์

การปฏริ ูปการเรียนรู้เพ่ือเตรยี มมนุษย์ ในศตวรรษที่ ๒๑ ตอ้ งเปลยี่ นเปา้ หมายของการเรยี นรู้   จากเน้นเพยี งให้รวู้ ิชา เป็นรู้วชิ าและมกี ารพฒั นาทักษะท่ซี ับซอ้ น ท่ีเรียกวา่ ทกั ษะแหง่ ศตวรรษท่ี ๒๑ (21st Century Skills) ควบคู่กัน342 วิถีสรา้ งการเรียนรู้เพอื่ ศษิ ย์ ในศตวรรษท่ี ๒๑

ครู พอ่ื ศษิ ย์ เรียนร้จู าก Malcolm Gladwell เปดิ YouTube เร่ือง Malcolm Gladwel : What we can learnfrom spaghetti sauce  ดูแล้วคิดถึง “ครูเพื่อศิษย์”  คิดถึงวิธีออกแบบการเรยี นรใู้ หศ้ ษิ ยม์ ที กั ษะเพอ่ื การดำรงชวี ติ ในศตวรรษที่ ๒๑  เพราะ มลั คอมแกลดเวล (Malcolm Gladwell) พูดในรายการ TED ด้วยสไตล์เดียวกับบทความของเขา  ทเ่ี ป็นยอดนยิ มของผมคอื เขียนแบบเลา่ เรื่อง เขยี นแบบเรอื่ งสน้ั คอื ใหร้ ายละเอยี ดทน่ี า่ สนใจ นา่ ตดิ ตาม แลว้ จบแบบหกั มมุ ขอ้ สรปุ ของการพดู ครงั้ นค้ี อื การเหน็ คณุ คา่ และเคารพความแตกตา่ งหลากหลายของผู้คน  และน่ีคือทักษะสำคัญอย่างหน่ึงในทักษะเพ่ือการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ ๒๑  ที่ครูเพื่อศิษย์ไทยจะต้องออกแบบการเรียนรู้ใหศ้ ษิ ยข์ องตนเกดิ ทกั ษะนจ้ี นกลายเปน็ นสิ ยั นสิ ยั เคารพความเหน็ ความรสู้ กึของผู้อ่ืนทีแ่ ตกตา่ งจากความเหน็ ความรสู้ กึ ของตน  ถา้ คนไทยในปจั จบุ นั มนี สิ ยั หรอื ทกั ษะน้ี ความขดั แยง้ แตกแยกรนุ แรงในบ้านเมืองของเราในปัจจุบันจะไม่เกิด คือ จะไม่รุนแรงจนทำลายความสามคั คีในชาติ 343ภาค ๕ เร่ืองเล่าตามบริบท : จับความจากยอดครูมาฝากครเู พื่อศิษย์

ทักษะนี้สอนไม่ได้แต่เรียนรู้ได้  พ่อแม่และครูสามารถออกแบบ การเรียนรู้ให้แก่ลูกหลานหรือศิษย์ของตนได้  ด้วยวิธีเรียนที่เรียกว่า PBL (ProjectBased Learning)  ที่ต้องทำโครงการเป็นทีม หมุนเวียนสมาชิก ร่วมทีมไปเร่ือย ๆ เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้การทำงานร่วมกับเพ่ือนท่ีมีนิสัยและ บคุ ลิกต่าง ๆ กนั ในการทำงานเพ่ือสร้างผลงานตามโครงการท่ีได้รับมอบหมาย   นกั เรยี นจะต้องเรยี นร้ทู ักษะมากมาย ไดแ้ ก่ ทกั ษะในการตคี วามโจทยท์ ่ีได้ รบั มอบหมาย ทกั ษะในการฟัง (ความเห็นของเพ่ือนร่วมทีม) ทกั ษะในการ แสดงความเหน็ ของตนทอี่ าจจะแตกตา่ งจากความเหน็ ของเพอ่ื น แตก่ ไ็ มร่ สู้ กึ ขัดแย้ง ทักษะในการบรรลุข้อตกลงจากความคิดเห็นท่ีแตกต่าง ทักษะใน การคน้ หาความรนู้ ำมาประกอบการทำโครงการโดยคน้ หาจากหลากหลายแหลง่ รวมทง้ั จากอนิ เทอรเ์ นต็ ซง่ึ ตอ้ งเรยี นรทู้ กั ษะดา้ นไอซที ี และทกั ษะการเขา้ ถงึ แหล่งความรู้  ทักษะการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของความรู้ท่ีค้นได้ ทกั ษะในการเลอื กความรชู้ ดุ (ชนิ้ ) ทเี่ หมาะสมและถกู ตอ้ งทสี่ ดุ ทกั ษะในการ ต้ังเป้าของผลงาน ทักษะในการปรึกษาหารือครูที่ปรึกษาหรือผู้รู้ ทักษะใน การทดลองดำเนนิ การ และประเมนิ ผลทเี่ กดิ ขนึ้   ทกั ษะในการเปลย่ี นแปลง ปรบั ปรงุ แกไ้ ขวธิ กี าร ทักษะในการจดบันทกึ กิจกรรมและผลงาน ทกั ษะใน การนำเสนอผลงานดว้ ยวธิ กี ารตา่ ง ๆ ไดแ้ ก่ การเขยี นรายงาน  การนำเสนอ ดว้ ยวาจาโดยมเี ทคโนโลยชี ว่ ยความเขา้ ใจ การนำเสนอเปน็ มลั ตมิ เี ดยี  นำเสนอ เป็นภาพยนตร์ หรอื ละคร ฯลฯ ครู (หรอื พอ่ แม)่ ตอ้ งชวนนกั เรยี น (หรอื ลกู หลาน) ทบทวนการเรยี นรู้ (reflection หรือ AAR) หลังจบโครงงานหรือระหว่างดำเนินการ  เพ่ือทำ ความเข้าใจหรือตคี วามว่า ปรากฏการณ์ทไี่ ดผ้ า่ นพบในช่วงทำโครงงานน้ัน344 วถิ ีสร้างการเรยี นรเู้ พ่อื ศษิ ย์ ในศตวรรษท่ี ๒๑

ครู พือ่ ศิษย์ใหค้ วามรอู้ ะไรแกน่ กั เรยี นบา้ ง  ทงั้ ความรดู้ า้ นสาระวชิ าและความรดู้ า้ นทกั ษะข้างต้น  การทบทวนการเรียนรู้ร่วมกันภายในทีมงานจะช่วยเพิ่มความเชอ่ื มโยงและความลกึ ของความเขา้ ใจ จากมุมมองทแ่ี ตกต่างกัน ทำใหเ้ ด็กได้เรียนรคู้ วามแตกต่างหลากหลายย่งิ ขึน้ น่ีคือการเรียนรู้จากการปฏิบัติ เป็นการเรียนรู้ร่วมกันผ่านการปฏิบัติ(interactive learning through action)  ทคี่ รตู อ้ งคอยกระตนุ้ หรอื สง่ เสรมิใหเ้ ดก็ พดู ออกมาจากใจ จากความรสู้ กึ หรอื ความเขา้ ใจของตนเองโดยไมต่ อ้ งกลัวผิด  ครูตอ้ งสร้างบรรยากาศทไ่ี ม่เน้นถูกผิด แตเ่ น้นการตคี วามหรือทำความเข้าใจประสบการณ์ตรงจากความเข้าใจของเด็กแตล่ ะคน ทไ่ี มจ่ ำเปน็ต้องเหมือนกัน  โดยมีเป้าหมายคือ การเรียนรู้ความแตกต่างของมนุษย์และคณุ คา่ และความงดงามของความแตกตา่ งนนั้ การเรียนรู้แบบ PBL จะช่วยใหน้ กั เรียนเรยี นรหู้ รอื เขา้ ใจทฤษฎี หรอืหลกั การตา่ ง ๆ ในสาระวชิ า ผา่ นการปฏบิ ตั หิ รอื การสมั ผสั ดว้ ยตนเอง ไมใ่ ช่ผ่านการท่องจำ  ซ่ึงจะช่วยให้เข้าใจทฤษฎีในมิติท่ีลึกและเช่ือมโยงย่ิงขึ้น และเห็นคุณค่าของวิชาความรู้ ในบริบทของชีวิตจริง  ทำให้การเรียนรู้เป็นเร่อื งสนกุ และมชี วี ติ ชีวา ผมจนิ ตนาการ (ไมท่ ราบวา่ เหมาะสมหรอื ไม)่  วา่  กระทรวงศกึ ษาธกิ าร หรอื เขตพนื้ ทก่ี ารศกึ ษา หรอื มลู นธิ ทิ ม่ี วี ตั ถปุ ระสงคส์ ง่ เสรมิ การเรยี นรขู้ องเดก็  สามารถจัดการประกวดผลงาน PBL หรืออาจเรียกว่าประกวดโครงงานขึ้นภายในจังหวัด หรือภายในเขตพ้ืนที่การศึกษา หรือภายในประเทศ โดยมีเปา้ หมายกระตนุ้ บรรยากาศการเรยี นรจู้ ากการลงมอื ทำขน้ึ ภายในพนื้ ทน่ี น้ั  ๆ  ใหบ้ รรยากาศภายในพน้ื ทอี่ บอวลไปดว้ ยการสง่ เสรมิ การเรยี นรขู้ องศษิ ยแ์ ละลูกหลาน เนน้ ท่ีการเรยี นรจู้ ากการปฏิบตั กิ จิ กรรมในชวี ติ จริง  345ภาค ๕ เรอ่ื งเล่าตามบรบิ ภทาค: ทจ่ีบั ๖ควมาอมงจอานกายคอตด.ค..ปรฏูมริาูปฝากกาครศรูเกึ พษ่อื าศไทษิ ย์

เช่น มูลนิธิ ส. และหนว่ ยงานภาคี ๑๐ หนว่ ยงาน จดั การประกวด โครงงานเกยี่ วกับสงิ่ แวดลอ้ ม (Environment Project Contest) สำหรับเด็ก อายุระหว่าง ๑๒ - ๑๕ ปี ข้ึนในประเทศไทย  ให้เด็กใช้เวลาดำเนินการ โครงการ (ทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั การพฒั นาหรอื อนรุ กั ษส์ ง่ิ แวดลอ้ ม) ๙ เดอื น  และ ประกวดความคดิ ๓ เดอื น รวมเวลาทงั้ หมด ๑๒ เดอื น  มเี งอื่ นไขวา่ แตล่ ะ ทีมมีสมาชกิ ๔ คน เปน็ หญงิ ๒ ชาย ๒ มาจากต่างโรงเรยี นในจังหวดั เดียวกนั  และมคี รูพเี่ ลี้ยง ๑ - ๔ คน โดยที่ครูตอ้ งมาจากตา่ งโรงเรยี นกนั   และจะไปปรึกษาพอ่ แมห่ รอื ผู้รู้ในทอ้ งถ่ินกไ็ ดท้ ้งั สิ้น มลู นิธิ ส. จดั ให้มีคณะผดู้ ำเนนิ การโครงการขน้ึ คณะหนงึ่ มีสมาชกิ ๖ - ๑๐ คน  เปน็ หญงิ และชาย เทา่  ๆ กนั  ทำหนา้ ทก่ี ำหนดกตกิ าเงอ่ื นไข ของโครงการ (ซงึ่ จะนำไปประกาศในเวบ็ ไซต)์  และคอยผลดั กนั ตอบขอ้ ซกั ถาม ในเว็บไซต์ของโครงการดว้ ย  รวมทง้ั ทำหนา้ ท่เี ป็นผูต้ ัดสนิ รอบคัดเลอื กและ รอบสดุ ทา้ ย รางวัลท่ีได้คือ การได้เข้ารว่ ม Thailand PBL Expo ทีก่ รงุ เทพฯ การ ไดน้ ำเร่อื งราวของโครงการออกรายการทวี ี  และนำลง YouTube  ซึ่งจะทำ ให้ทีมงานเป็นท่ีรจู้ กั และมีโอกาสได้รับทุนศึกษาต่อจากโครงการต่าง ๆ ข้ันตอนแรกคือ การประกาศรับสมัครทีมประกวดจากทุกจังหวัด เขตพนื้ ทกี่ ารศกึ ษา จงั หวดั และเขตพน้ื ทล่ี ะกที่ มี กไ็ ด ้ สมคั รโดยเขยี นโครงการ ท่ีจะดำเนินการที่ใช้เวลา ๙ เดือน ตามหัวข้อย่อยท่ีกำหนด ความยาว ไม่เกนิ ๓ หน้ากระดาษ A4 ขนาดตวั อักษร Ansana New ๑๔  กรรมการ จะคดั โครงการทเี่ หมาะสมทส่ี ดุ ไวไ้ มเ่ กนิ ๕๐ ทมี   และใหเ้ งนิ ไปดำเนนิ การ ทีมละ ๑๐,๐๐๐ บาท346 วิถีสร้างการเรียนรู้เพ่อื ศิษย์ ในศตวรรษท่ี ๒๑

ครู พื่อศิษย์ ในระหว่างดำเนินการ ๙ เดือน แต่ละทีมต้องรายงานกิจกรรมและความก้าวหน้าเข้ามาทางอินเทอร์เน็ต กรรมการอาจไปเย่ียมชมโครงการที่สนใจ  ในทส่ี ดุ แตล่ ะทมี ตอ้ งรายงานผลการดำเนนิ การเปน็ รายงานในกระดาษความยาวไม่เกิน ๒๐ หน้า A4 และเป็นวิดีโอความยาวไม่เกิน ๑๐ นาทีกรรมการจะคัดเลือกทีมท่เี ข้ารอบจำนวน ๓๐ ทมี เชญิ สมาชิกทมี และครูพี่เลย้ี งไปเขา้ คา่ ย PBL สงิ่ แวดลอ้ ม ๒๕๕๕  หากพอ่ แมจ่ ะไปรว่ มกไ็ ด้ แตต่ อ้ งเสียค่าใช้จา่ ยเอง  ท่ีค่ายนี้จะมีการตัดสินรางวัลเหรียญทอง เหรียญเงิน และเหรียญทองแดง  โดยจะไดเ้ หรยี ญทองกท่ี มี กไ็ ด้ หากคะแนนถงึ และจะมกี ารทบทวนไตรต่ รอง (reflection หรอื AAR) การเรยี นรขู้ องทมี งาน ของครพู เี่ ลย้ี ง และของพอ่ แมท่ ไี่ ปรว่ ม ในงานนม้ี สี อื่ มวลชนไปรว่ มดว้ ย  และมกี ารบนั ทกึ วดิ ที ศั น์การนำเสนอไว้ สื่อมวลชนท่ีสนใจโครงการใดสามารถไปถ่ายทำกิจกรรม หรือเขียนสกปู๊ ณ สถานทจ่ี ริงได้ เราหวังว่า ในขณะเดียวกัน มูลนิธิ ก. ก็จัดประกวดโครงงานประวตั ศิ าสตรช์ มุ ชน (PBL Local History Contest)  มูลนธิ ิ ข. จัดประกวดหนังสือนิทานสำหรับเด็ก  ในเด็กช่วงอายุเดียวกันทั่วประเทศ  โดยใช้หลักทมี งาน ๔ คนดงั รายละเอียดเดียวกนั กบั โครงงานเกย่ี วกบั สิง่ แวดล้อม ทมี งานมอื รางวัลระดับเหรยี ญทอง เงิน และทองแดง จะได้รับเชิญเข้าร่วม Thailand PBL Expo ทก่ี รุงเทพ   เพ่อื เอาผลงานของตนมาแสดงเปน็ นทิ รรศการ  และเขา้ รว่ มอภปิ รายประสบการณก์ ารเรยี นรแู้ บบ PBL ของตนครูพี่เลี้ยงก็มาร่วมอภิปรายในวงคร ู พ่อแม่ก็มาเข้าวงแลกเปล่ียนเรียนรู้ในวงพอ่ แม่ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ในประเดน็ บทบาทของพอ่ แมต่ อ่ การเรยี นรขู้ องลกู 347ภาค ๕ เรอ่ื งเล่าตามบริบภทาค: ทจี่บั ๖ควมาอมงจอานกายคอตด.ค..ปรฏูมิราูปฝากกาครศรูเึกพษอ่ื าศไทษิ ย์

ในงานน้ีจะมีผู้รู้มากล่าวปาฐกถาเร่ือง Project-Based Learning  และเรอื่ งทกั ษะเพ่อื การดำรงชวี ติ ในศตวรรษที่ ๒๑ (21st Century Skils) จะ เชญิ มหาวทิ ยาลยั ตา่ ง ๆ มาทำตวั เปน็ แมวมองชวนนกั เรยี นทมี่ จี นิ ตนาการและ ความคดิ สรา้ งสรรคเ์ ดน่ หรอื มไี ฟในการเรยี นรไู้ ปเขา้ ศกึ ษาในมหาวทิ ยาลยั ของ ตนเมอ่ื ถึงโอกาส  ผมต่ืนจากฝันกลางวันพร้อมกับบอกตัวเองว่า ผมไม่ใช่ผู้ทำให้ฝันน้ี เปน็ จรงิ   เปน็ การนำความใฝฝ่ นั ออกบนั ทกึ แลกเปลยี่ นเรยี นรใู้ หห้ นว่ ยงานที่ เกี่ยวข้องกับเยาวชน และการเรียนรู้ ได้เห็นบทบาทใหม ่ ๆ ของตนในการ จัดระบบการศึกษา หรือพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประเทศ  ซ่ึงตอน เอาไปใช้จริงก็ต้องมีรายละเอียดเพ่ิมขึ้น  และข้อเสนอในบันทึกนี้บางส่วน อาจไมเ่ หมาะสมกไ็ ด้ ๒ มกราคม ๒๕๕๓ http://www.gotoknow.org/blog/thaikm/418273 348 วถิ สี ร้างการเรยี นรู้เพือ่ ศิษย์ ในศตวรรษที่ ๒๑

ครู พ่อื ศิษย์ Inquiry-Based Learning IBL (Inquiry-Based Learning) เป็นการเรียนโดยให้ผู้เรียนตั้งคำถาม ทำความชัดเจนของคำถาม แล้วดำเนินการหาคำตอบเอาเอง  ตามความหมายในวิกิพีเดีย IBL เป็นการเรียนแบบที่เรียกว่า OpenLearning คือ ไม่มีคำถามและคำตอบตายตัว  เป็นรูปแบบการเรียนท่ีผเู้ รยี นได้ฝกึ ฝนความรเิ ร่ิมสร้างสรรค์และจินตนาการ แตกต่างจากการเรียนที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันท่ีเน้นสาระความรู้ เน้นถูก ผิด  เน้นครูสอน นักเรียนจำ  ซ่ึงเป็นการเรียนรู้ของศตวรรษท่ี ๒๐หรือ ๑๙  แต่ในศตวรรษที่ ๒๑ ต้องเน้นการเรียนรู้เพ่ือบ่มเพาะส่งเสริมความริเร่ิมสร้างสรรค์ ทักษะในการเรียนรู้ และ ทักษะการคิดอย่างลึกซ้ึง(critical thinking)  รวมทง้ั การเรยี นรแู้ บบรว่ มมอื กนั เปน็ ทมี (colaborativelearning) หรอื อาจมองวา่ เปน็ การเรยี นรแู้ บบทผ่ี เู้ รยี นสรา้ งความรจู้ ากการปฏบิ ตั ิด้วยตนเอง  ขอ้ ดคี ือ ทำใหก้ ารเรยี นเป็นเรื่องสนกุ ต่นื เตน้ ไม่นา่ เบ่อื    349ภาค ๕ เร่อื งเล่าตามบริบภทาค: ทจ่ีับ๖ควมาอมงจอานกายคอตด.ค..ปรฏมู ิราปูฝากกาครศรูเึกพษื่อาศไทิษย์

แต่การเรียนแบบนี้จะให้ได้ผลจริง ๆ ต่อการเรียนรู้สาระวิชาและต่อ การฝึกฝนทักษะในศตวรรษท่ี ๒๑  ครูต้องมีทักษะในการออกแบบโจทย์ และกระบวนการ รวมทั้งบรรยากาศแวดล้อม  และที่สำคัญท่ีสุด ครูต้อง ชวนศิษย์ดำเนินการ “ถอดบทเรียน” (reflection หรือ AAR) ว่าสิ่งท่ี นักเรียนประสบจากกิจกรรมนั้น ๆ มีความหมายอย่างไร หากมองจากมุม ของสาระวิชา และหากมองจากมมุ ของทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ ๒๑ ผมมองว่า การทำความเข้าใจ หรือเรียนรู้ทฤษฎี และวิธีปฏิบัติใน เร่ือง IBL จะช่วยให้ครูเพ่ือศิษย์ดำเนินการ PBL ได้อย่างมีคุณค่าต่อศิษย์ ยิ่งขึ้น  รวมท้ังสามารถต้ังโจทย์วิจัยในช้ันเรียนท่ีมีพลัง มีคุณค่า นำไปสู่ ผลงานวจิ ยั การจัดการเรยี นรูท้ มี่ ีการสรา้ งความรใู้ หม่ท่มี คี ุณคา่ ครูเพ่ือศิษย์ต้องฝึกฝนวิธีนำเอาทฤษฎีไปตีความส่ิงท่ีเกิดขึ้นจาก IBL ของนักเรียน  รวมท้ังวิธีเชื่อมโยงปรากฏการณ์หรือความรู้ที่นักเรียนค้นพบ จาก IBL เข้าหาความรู้เชิงทฤษฎี  และเข้าหาทักษะสำหรับชีวิตผู้คนใน ศตวรรษที่ ๒๑ ผมเคยเห็นนักเรียนชั้น ป. ๖ ของโรงเรียนรุ่งอรุณเรียนการทำนา แล้วใช้การทำนาน้ันเรียนรู้สาระวิชา ทั้ง ๘ กลุ่มสาระที่นักเรียนจะต้อง เรยี น  ผมมองวา่ นค่ี ือตัวอย่างของ IBL และ PBL กระบวนการเรียนรู้ท่ีแท้จริงไม่ใช่การฟังครูบอก หรืออ่านหนังสือ แลว้ ทอ่ งจำหรอื ทำความเขา้ ใจในสมองคไู่ ปกบั การทอ่ งจำ  การเรยี นรแู้ บบนี้ คอื แบบทใ่ี ชก้ นั โดยทว่ั ไปในประเทศไทยในขณะน ี้ จะไมท่ ำใหเ้ กดิ การเรยี นรู้ ในมติ ทิ ล่ี กึ และเชอ่ื มโยง ไมเ่ กดิ ปญั ญา และไมเ่ กดิ ทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ ๒๑ การเรียนรู้ที่แท้จริงเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนหลากหลายขั้นตอน กว่าน้ันมาก  ต้องมีการลงมือทำด้วยตนเองเพ่ือดึงเอาความรู้และทักษะที่มี350 วิถีสรา้ งการเรียนรเู้ พอ่ื ศิษย์ ในศตวรรษที่ ๒๑

ครู พอ่ื ศิษย์อยู่แล้วออกมาใช ้ ให้การลงมือปฏิบัติน้ันสร้างประสบการณ์ใหม่ท่ีนำไปสู่การเรียนรู้สิ่งใหม ่ ต่อยอดหรือขยายหรือเจาะลึกไปจากความรู้เดิม  เป็นการเรยี นรทู้ คี่ รตู อ้ งใชเ้ วลาคดิ รวบรวมขอ้ มลู เกย่ี วกบั ศษิ ย์ กำหนดเปา้ หมายของการเรียนรู้ที่ศิษย์จะได้รับหรือจะเรียนรู้เอง  แล้วจึงออกแบบ PBL หรือIBL ให้นักเรียนลงมือปฏิบัต ิ โดยเน้นเรียนเป็นกลุ่มหรือเป็นทีม  แล้วมีการ“ถอดบทเรียน” นำเสนอตอ่ เพื่อนรว่ มชั้นวา่ ทีมได้ทำอะไร เกิดผลอะไรบา้ งได้เรยี นรูอ้ ะไรบ้าง ขณะที่กำลังพิมพ์บันทึกนี้เม่ือวันท่ี ๘ มกราคม ๒๕๕๔  ผมก็อ่านพบบทบรรณาธกิ ารของวารสาร Science ฉบบั วนั ท่ี ๗ มกราคม ๒๕๕๔เรื่อง A New Colege Science Prize ได้จงั หวะพอดกี บั การเขยี นบันทึกน้ีเพราะรางวัลนี้ช่ือ “Science Prize for Inquiry-Based Instruction”เป็นการมอบรางวัลแก่ผู้เสนอโมดุลการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัย ตอนหนึ่งของบทบรรณาธิการระบุดังน้ี “Inquiry-based classesfocus on activating students’ natural curiosity in exploring how theworld works, differing from traditional lectures that focus ontransmitting facts and principles derived from what scientists havediscovered.” เขาบอกวา่ ที่ให้ความสำคญั ถึงขนาดจดั ให้มรี างวลั ใหม่ขึ้นมา เพราะต้องการเผยแพร่วิธีจัดการเรียนรู้แบบน้ีไปยังระดับโรงเรียน  ผลงานวิจัยในอเมรกิ าบอกวา่ ครใู นโรงเรยี นไมม่ คี วามสามารถคดิ ออกแบบการเรยี นรแู้ บบinquiry-based ได ้ ยกเวน้ ครทู ่ีเคยมีประสบการณ์การเรียนร้แู บบ inquiry-based ด้วยตนเอง สมัยเรียนในมหาวิทยาลัย  เขาจึงให้รางวัลในระดับมหาวทิ ยาลยั ด้วยความหวงั วา่ จะใชเ้ ป็นกลไกพฒั นา IBL ในระดับโรงเรยี น 351ภาค ๕ เร่อื งเล่าตามบริบภทาค: ทจี่บั ๖ควมาอมงจอานกายคอตด.ค..ปรฏูมริาปูฝากกาครศรูเกึ พษ่ือาศไทษิ ย์

เขาบอกว่า IBL ส่วนใหญ่เรยี นโดยการลงมือทำ แต่การเรียนโดยการ ลงมือทำไม่จำเป็นต้องเป็น IBL เสมอไป  ดังตัวอย่างการเรียนด้วยการทำ แลบ lab ทใ่ี ช้กนั อยูใ่ นเวลานีส้ ่วนใหญไ่ ม่ใช่ IBL    บทความนี้ทำให้ผมได้แนวความคิดว่า สกอ. สวทช. สสวท., และ สมาคมวิทยาศาสตร์ฯ น่าจะร่วมกันให้รางวัลทำนองน้ีสำหรับประเทศไทย  เพอ่ื เปน็ กลไกหนงึ่ ของการปฏริ ปู การศกึ ษา หรอื การปฏริ ปู การเรยี นรขู้ องไทย ๘ มกราคม ๒๕๕๓ http://www.gotoknow.org/blog/thaikm/443299 352 วถิ สี รา้ งการเรยี นรูเ้ พอ่ื ศษิ ย์ ในศตวรรษที่ ๒๑

ครู พ่อื ศิษย์ ทักษะการจดั การสอบ การปฏิรูปการเรียนรู้เพื่อเตรียมมนุษย์ในศตวรรษท่ี ๒๑ ต้องเปลี่ยนเป้าหมายของการเรียนรู้ จากเน้นเพียงให้รู้วิชา เป็นรู้วิชาและมีการพัฒนาทักษะท่ซี ับซอ้ น ที่เรียกว่า ทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ ๒๑ (21st Century Skils)ควบคกู่ นั การมผี ลลพั ธข์ องการเรยี นรู้ (Learning Outcome) สองดา้ นคขู่ นานคือ มีทั้งวิชาและทักษะนี้ เป็นเรื่องท้าทายมาก  และจะไม่มีทางบรรลุได้หากวงการศึกษายังสมาทานความเช่ือและวัฒนธรรมว่าด้วยการสอบแบบเดมิ ที่ใช้กนั อยใู่ นปจั จุบนั  คอื เนน้ สอบเพื่อตัดสนิ ได-้ ตก วฒั นธรรมนที้ ำให้การสอบเป็นเรื่องทุกข์ยากของนกั เรียน  เพราะการสอบภายใตว้ ฒั นธรรมได้-ตกนนั้ ไมใ่ ชเ่ ปน็ แคผ่ ลประโยชนข์ องนักเรยี น แต่เป็นผลประโยชนข์ องครู โรงเรยี น และผ้บู รหิ ารการศึกษาระดับตา่ ง ๆ ดว้ ย ภายใตว้ ฒั นธรรมน้ี ผลการสอบ NT ทบี่ างโรงเรยี นไดค้ ะแนนสงู กอ็ าจเชอ่ื ถอื ไมไ่ ด ้ เพราะมผี ใู้ หญท่ เี่ ชอ่ื ถอื ไดเ้ ลา่ ใหผ้ มฟงั วา่   บางโรงเรยี นครคู มุ สอบทำหนา้ ที่คอยบอกคำตอบแกน่ ักเรยี น เพ่อื รกั ษาชอ่ื เสยี งของโรงเรียน 353ภาค ๕ เรอื่ งเลา่ ตามบรบิ ภทาค: ทจ่ีบั ๖ควมาอมงจอานกายคอตด.ค..ปรฏมู ิราูปฝากกาครศรเูึกพษอ่ื าศไทษิ ย์

เมอ่ื ครใู หน้ กั เรยี นไปคน้ ควา้ เรอ่ื งใดเรอื่ งหนงึ่ ทำรายงานมาสง่   แทนที่ นักเรียนจะเขียนเองตามความเข้าใจของตน  ก็ใช้วิธีตัดแปะเอาจากแหล่งที่ คน้ มาได ้ ครกู ห็ ลบั ตาเสยี และใหค้ ะแนนสงู เพราะรายงานมคี ณุ ภาพ  เกบ็ เอาไว้เป็นหลักฐานคุณภาพของการสอนได้  แต่นักเรียนได้เรียนรู้น้อย เข้าใจไม่แจ่มแจ้ง ครูก็ไม่สนใจ  เท่ากับสมรู้ร่วมคิดกันท้ังครูและนักเรียนท่ี จะทำให้ Learning Outcome ตำ่ โดยรเู้ ทา่ ไม่ถึงการณ์ นอกจากวัฒนธรรมสอบได้-ตกแล้ว ยังมีวัฒนธรรมสอบแข่งขันเพื่อ เกบ็ ผลงานเปน็ หลกั ฐานชอื่ เสยี งของโรงเรยี น  เดก็ เกง่ จะโดนครแู ยง่ กนั จองตวั ไปเป็นตัวแทนโรงเรียนในการประกวดหรือแข่งขันชิงรางวัล เพื่อสร้างชื่อ เสียงแก่โรงเรียน สาระวิชา และคร ู นักเรียน เน้นการติวเข้มเพ่ือสอบชิง รางวัลเป็นหลัก  แทนที่จะได้เรียนรู้เพื่อให้เกิดการพัฒนาทักษะท่ีซับซ้อน  กลับไดเ้ รียนเพียงความรวู้ ชิ าต้นื ๆ  และท่ีเสียหายหนักคือ เป็นการเพาะนิสัยหรือวัฒนธรรมหลอกลวง ปลิน้ ปล้อน  ครูเพื่อศิษย์ต้องใช้การสอบเป็นเคร่ืองมือกระตุ้น หรือส่งเสริมการ เรียนรู้ของศิษย์  นั่นคือ ต้องจัดการสอบชนิดท่ีเรียกว่าสอบเพื่อตรวจสอบ ความก้าวหน้า (Formative Assessment)  เพ่ือช่วยให้ท้ังครูและศิษย์มี ความกา้ วหนา้ ในการเรยี นรู้  ทที่ ง้ั ครกู ร็ คู้ วามกา้ วหนา้ ในการเรยี นรขู้ องศษิ ย์ สำหรับเอามาใช้ปรับการจัดการเรียนการสอน  และตัวศิษย์เองก็รู้ความ กา้ วหน้าในการเรยี นรู้ของตนเอง สำหรับเอามาปรับวิธีการเรียนรู้ของตน  ในการเรียนรู้เพ่ือทักษะในศตวรรษท่ี ๒๑ ทั้งศิษย์และครูต้องมอง การสอบเป็น “ตัวชว่ ย” ตอ่ การเรียนรู้  ไมใ่ ช่เปน็ ตวั ตดั สนิ ชะตาชีวิต354 วิถีสร้างการเรียนรูเ้ พอ่ื ศิษย์ ในศตวรรษที่ ๒๑

ครู พอื่ ศษิ ย์ ครตู อ้ งใชก้ ารสอบเป็นตัวช่วยการเรียนรขู้ องศษิ ย์  ไมใ่ ช่เพ่ือชอ่ื เสยี งหลอก ๆ ของตนเอง หรือของโรงเรียน ทักษะในการออกข้อสอบและจัดการสอบในบรรยากาศท่ีทำให้ศิษย์รู้ความก้าวหน้าของตนเอง รู้ว่ายังบกพร่องหรืออ่อนด้านไหน  สำหรับใช้ปรบั ปรุงการเรียนของตนเอง  เปน็ เรือ่ งสำคญั มากสำหรับครูเพ่ือศษิ ย์ หลกั การคอื สอบบอ่ ย ๆ ใชเ้ วลาไมม่ าก ขอ้ สอบไมก่ ข่ี อ้  และใหศ้ ษิ ย์รคู้ ำตอบทนั ทหี รอื เกือบทนั ท ี ใหม้ ีทงั้ ที่คดิ คะแนนสะสม และไมค่ ดิ คะแนน  มีการสอบที่ข้อสอบเน้นความคิด ไม่มีคำตอบถูกผิด อยู่ด้วย  ทั้งหมดนั้นเพ่ือสะท้อนให้ศิษย์รู้ว่าตนรู้และไม่รู้อะไรบ้าง ให้มีความม่ันใจตนเอง และหมั่นปรับปรงุ ตนเอง ต้องเปล่ียนการสอบให้เป็นการวัดการเรียนรู้ที่แท้จริงของศิษย์ เพื่อประโยชนข์ องศษิ ย ์ ไมใ่ ชว่ ดั การเรยี นรปู้ ลอม ๆ เพอื่ ประโยชนข์ องครู โรงเรยี นหรือวงการศึกษา    ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๔ http://www.gotoknow.org/blog/thaikm/456921 355ภาค ๕ เร่ืองเล่าตามบริบภทาค: ทจี่ับ๖ควมาอมงจอานกายคอตด.ค..ปรฏมู ิราูปฝากกาครศรูเกึ พษอ่ื าศไทิษย์

PLC สู่ TTLC หรอื ชมุ ชนครเู พอื่ ศษิ ย์ PLC ยอ่ มาจาก Professional Learning Community  ซ่งึ ก็หมายถงึ ชุมชนนักปฏิบัติ (CoP) วิชาชีพครูนั่นเอง  ในท่ีน้ีผมขอเรียกว่า ชุมชนครู เพื่อศิษย์ หรือ ชุมชนเรียนรู้ครูเพื่อศิษย์ (ชร. คศ.) ซึ่งก็คือการรวมตัวกัน “แลกเปล่ยี นเรยี นรู้ (ลปรร.)”  การทำหนา้ ทคี่ รเู พอ่ื ศษิ ย์นั่นเอง  ต่างประเทศเขาเรียก PLC เราอาจเรียก TLC ก็ได้ โดยย่อมาจาก Teacher Learning Community หรืออาจใช้ TTLC (Thailand Teacher Learning Community)  ในภาคไทยคอื ชร.คศ. (ชมุ ชนเรยี นรคู้ รเู พอื่ ศษิ ย)์ โดยเราต้องแปลงยุทธศาสตรก์ ารดำเนนิ การใหเ้ ขา้ กบั บรบิ ทไทย ครูเพ่ือศิษย์แต่ละคนควรเข้าเป็นสมาชิก ๓ ชุมชน คือ ชุมชนใน โรงเรียนของตน  ชุมชนในเขตการศึกษา หรือในพื้นที่ใกล้เคียงกับโรงเรียน ของตนเอง และชมุ ชนเฉพาะกลุ่มสาขาวชิ า หรือเฉพาะศาสตร์ หรอื เฉพาะ เป้าหมายการเรียนรู้ของศิษย์ ในประเทศไทย  ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวว่าครู เพอื่ ศษิ ยแ์ ตล่ ะคนจะตอ้ งเปน็ สมาชกิ ชมุ ชนใดบา้ ง  เปน็ อสิ ระตามความพอใจ ของครเู พือ่ ศิษยแ์ ต่ละคน356 วิถีสรา้ งการเรยี นรเู้ พอ่ื ศิษย์ ในศตวรรษท่ี ๒๑

ครู พื่อศิษย์ การมี ชร. คศ. เกิดจากความเช่ือว่า การเรียนรู้ในศตวรรษที่ ๒๑น้ันเป็นการเรียนรู้ท่ีซับซ้อน ไม่มีใครสอนเป็น  วิชาครูท่ีสอนต่อ ๆ กันมา๔๐ - ๕๐ ปี น้ันล้าสมัยไปเรียบร้อยแล้ว  เพราะเป็นการเรียนรู้ในสังคมอตุ สาหกรรม ไมใ่ ชก่ ารเรยี นรใู้ นยคุ ความรู้ หรอื ยคุ ความรรู้ ะเบดิ หรอื ยคุ ไอซที ีและสมองเด็กในสมัยนี้ไม่เหมือนสมองเด็กในยุค ๒๐ ปีก่อน ที่การสอนแนวยุคอุตสาหกรรมได้ผล  การสอนแบบนั้นไม่ได้ผลต่อเด็กท่ีมีสมองยุคความรู้  ไม่ไดผ้ ลตอ่ เป้าหมายเดก็ ให้เกดิ การเรียนรแู้ บบซับซ้อน ทต่ี ้องการมากกว่าการเรยี นรู้วชิ า ไปสู่การเรยี นร้ทู กั ษะสำหรบั ศตวรรษที่ ๒๑ ครูเพ่ือศิษย์จึงต้องออกแบบการเรียนรู้ของศิษย์ของตน  โดยศึกษาหลักการจากตัวอย่างที่มีในประเทศไทยและในต่างประเทศ  ดังตัวอย่างในหนังสือครูเพื่อศิษย์  ครูเพื่อศิษย์ เติมหัวใจให้การศึกษา  บนเส้นทางครูเพ่อื ศษิ ย์  และ มีปัญญาย่ิงกว่าฉลาด เปน็ ตน้   ยำ้ วา่ ครตู อ้ งใชเ้ วลาออกแบบการเรยี นรขู้ องศษิ ย ์ และควรจบั กลมุ่ กนัออกแบบและเรยี นรจู้ ากการออกแบบการเรยี นรนู้ น้ั นคี่ อื กจิ กรรมสำคญั ของชร. คศ. อย่างน้อยสองในสามของเวลาเรียนของศิษย์ ควรเรียนแบบ PBL(Project-Based Learning) เพอ่ื เรยี นรู้ท้ังสาระวชิ าและเรียนรทู้ กั ษะสำหรับศตวรรษที่ ๒๑ ไปพร้อม ๆ กัน  และเป็นการเรียนรู้แบบลงมือทำ เป็นstudent-based learning  ไมใ่ ช่ teacher-based teaching ซึง่ ฝืนใจครูชะมัด  เน่ืองจากครูคุ้นเคยกับการทำหน้าท่ีสอน  บัดนี้ ในศตวรรษท่ี ๒๑ครูต้องไม่เน้นทำหน้าท่ีสอน แต่เปล่ียนมาเน้นทำหน้าที่กระตุ้นและส่งเสริม(facilitate) การเรียนรู้ของศิษย์  และคอยตรวจสอบว่าศิษย์เรียนรู้ได้จริงหรอื ไม่ ศษิ ย์แตล่ ะคนเรยี นรไู้ ดต้ ่างกนั อยา่ งไร 357ภาค ๕ เรอื่ งเล่าตามบริบภทาค: ทจ่ีับ๖ควมาอมงจอานกายคอตด.ค..ปรฏูมริาูปฝากกาครศรูเึกพษ่อื าศไทิษย์

การเรียนรู้ส่วนใหญ่ของศิษย์จะทำกันเป็นทีม มักเป็นทีม ๔ คน เพื่อใหเ้ ดก็ ลงมือปฏิบตั ริ ว่ มกัน ปรกึ ษากัน โตแ้ ย้งกนั ร่วมมือกัน และหดั แกไ้ ขความเหน็ ทแี่ ตกตา่ งหรอื ไมต่ รงกนั ไปสกู่ ารตดั สนิ ใจรว่ มกนั วา่ จะเดนิ ตอ่ อยา่ งไร  นี่คอื การเรียนรูท้ กั ษะสำหรบั ศตวรรษที่ ๒๑   เมอื่ ดำเนนิ การไดผ้ ลอยา่ งไรแลว้ ทมี เรยี นรขู้ องเดก็ จะเตรยี มนำเสนอ ต่อชั้นเรยี น ทำให้เด็กไดแ้ บง่ งานกันทำ หรือผลดั กันทำ  น่กี เ็ ปน็ อีกการฝกึ หน่งึ สำหรับเรียนรูท้ กั ษะเพ่อื ศตวรรษที่ ๒๑ คอื ทกั ษะการสือ่ สาร สภาพเชน่ น้ี ครสู ว่ นใหญไ่ มค่ นุ้ และไมแ่ นใ่ จวา่ ศษิ ยไ์ ดเ้ รยี นรสู้ าระวชิ า ครบถว้ นหรอื ไม ่ จงึ ตอ้ งมกี ารออกแบบแลว้ ออกแบบเลา่ หรอื ปรบั ปรงุ รปู แบบ ของการเรยี นรหู้ รอื ของ PBL อยตู่ ลอดเวลา  ครตู อ้ งทำงานหนกั ขน้ึ  แตค่ รเู พอ่ื ศษิ ยจ์ ะสนกุ ขน้ึ เปน็ การทำงานทม่ี ชี วี ติ ชวี าเพราะมเี พอ่ื นรว่ มทางใน ชร. คศ. สมาชกิ ของ ชร. คศ. ในโรงเรียนเดียวกันน่าจะพบปะหารือกันทกุ วนั   เพ่ือขอความเห็นหรือคำแนะนำซึ่งกันและกัน  เพราะครูท่ีเป็นสมาชิกของ ชร. คศ. จะเปน็ ผทู้ มี่ คี วามรมู้ าก ในสว่ นของความรจู้ ากการปฏบิ ตั ิ (practical knowledge หรือ phronesis)  แต่ถึงจะมากอย่างไรก็ยังไม่เพียงพอ  ต้อง ลปรร. กับเพื่อนสมาชกิ ชร. คศ. เพ่อื ลบั ความรู้นนั้ ให้คมข้นึ ชัดข้นึ ลึกข้ึน และกว้างขวางเชื่อมโยงย่ิงข้ึน รวมถงึ ใหน้ ำไปใช้งานได้ดีย่ิงขึ้น  วิธคี ยุ กนั นา่ จะเปน็ การเลา่ วธิ อี อกแบบการเรยี นรู้ และตคี วามจากเหตกุ ารณก์ ารเรยี นรู้ ของศิษย์ท่ีเกิดขึ้นจริงว่า การออกแบบและจัดอำนวยความสะดวกต่อการ เรยี นรนู้ น้ั  ๆ สอนอะไรแก่ครบู า้ ง สมาชิก ชร. คศ. ท่ีอยู่ห่างไกลกันก็อาจ ลปรร. ผ่านไอซีทีซ่ึงท่ีง่าย ทส่ี ดุ คอื โทรศพั ทค์ ยุ ถามไถก่ นั   แตใ่ นยคุ นคี้ รทู กุ คนนา่ จะตอ้ งใช้ อนิ เทอรเ์ นต็ เปน็  กอ็ าจใช้ ลปรร. กันผา่ น อินเทอร์เนต็ 358 วิถสี รา้ งการเรยี นรเู้ พ่อื ศษิ ย์ ในศตวรรษท่ี ๒๑

ครู พอื่ ศษิ ย์ ส่ิงที่สมาชิกของ ชร. คศ. ต้องมีคือ ทักษะในการเรียนรู้ ต่อยอดความรู้จากการปฏิบัติที่เรียกว่า การจัดการความร ู้ ชร. คศ. ต้องใช้การจัดการความรู้เป็นเคร่ืองมือทำให้เกิดการ ลปรร. ท่ีทรงพลัง  เกิดการขับเคลื่อนขบวนการครูเพอื่ ศษิ ยเ์ ต็มทง้ั แผน่ ดนิ มสส. (มลู นธิ ิสดศรี-สฤษด์วิ งศ์) และ มลู นิธิสยามกัมมาจลไดพ้ ดู คยุเพื่อร่วมมอื กันเร่มิ ชร. คศ. ขยายตัวจากครูเพื่อศษิ ย์ทีม่ ีอยแู่ ลว้   กจิ กรรมนี่จะเร่ิมในปี ๒๕๕๔ โดยเร่ิมเล็ก ๆ ไปก่อนตามทรัพยากรที่มีจำกัด  เราหวังวา่ ตอ่ ไปจะมภี าคเี ขา้ มาร่วมสนับสนุนมากขน้ึ โดยหวงั ว่า ชร.คศ. จะเป็นจดุ เช่ือมระหวา่ งความรู้ปฏิบตั ทิ คี่ รทู ุกคนมีอยแู่ ลว้ กับความรู้ทฤษฎที ่กี ำลังกอ่ ตัวในรปู ของทกั ษะแห่งศตวรรษที่ ๒๑  นำไปส่ผู ลประโยชน์ดา้ นการเรียนรู้ของศิษย์ ใหไ้ ด้เรยี นรู้งอกงาม  ๕ ธันวาคม ๒๕๕๓ วนั เฉลมิ พระชนมพ์ รรษา http://www.gotoknow.org/blog/thaikm/422918 359ภาค ๕ เรือ่ งเล่าตามบรบิ ภทาค: ทจ่ีับ๖ควมาอมงจอานกายคอตด.ค..ปรฏูมริาปูฝากกาครศรูเกึ พษ่ือาศไทิษย์

แรงตา้ นท่ีอาจตอ้ งเผชญิ หนังสอื 21st Century Skils : Learning for Life in Our Times ระบุ แรงตา้ นตอ่ การเรยี นการสอนแบบใหมไ่ วอ้ ยา่ งครบถว้ นดมี าก ผมจงึ เกบ็ ความ มาเปน็ รายขอ้ เพอ่ื ใหค้ รบถว้ นทสี่ ดุ จะเหน็ วา่ แรงตา้ นทเี่ ขาเขยี นไวน้ เ้ี ปน็ จรงิ ยิ่งนกั ในสังคมไทย ๑. นโยบายการศึกษายังเป็นนโยบายสำหรับยุคอุตสาหกรรม  เน้น mass education และเนน้ ประสทิ ธภิ าพซงึ่ เคยใชไ้ ดผ้ ล แตบ่ ดั นตี้ กยคุ เสยี แลว้ ๒. ระบบตรวจสอบและระบบวัดผลแบบทดสอบตามมาตรฐาน (standardized testing systems) ทเี่ นน้ วดั ความสามารถดา้ นทกั ษะพน้ื ฐาน เชน่ การอ่าน การคิดเลข แต่ไมว่ ัดทักษะแห่งศตวรรษท่ี ๒๑ ๓. แรงเฉื่อยหรือความคุ้นเคยกับระบบการสอนแบบครูบอกเน้ือหา วชิ าใหน้ กั เรยี นจดจำ ทที่ ำตอ่  ๆ กนั มาหลายสบิ ปหี รอื เปน็ รอ้ ยป ี แมจ้ ะมคี รู จำนวนหนึ่งเปล่ียนไปแล้ว คือเปล่ียนไปทำหน้าที่ช่วยเหลือเด็กให้สร้างและ ประยุกต์ใช้ความรู้ผ่านการค้นพบ การสำรวจ และการเรียนจากโครงงาน (PBL - Project Based Learning) ๔. ผลประโยชนข์ องอุตสาหกรรมพมิ พ์จำหนา่ ยตำราเรียน360 วิถีสรา้ งการเรยี นรูเ้ พอ่ื ศิษย์ ในศตวรรษที่ ๒๑

ครู พือ่ ศษิ ย์ ๕. ความหวนั่ กลวั วา่ ความรเู้ ชงิ ทฤษฎจี ะถกู ละเลย  หนั ไปใหค้ วามสำคญัตอ่ ทกั ษะมากเกนิ ไป ซ่ึงในความเปน็ จรงิ แลว้ ความรู้ ๒ แนวนี้ตอ้ งเกอ้ื กลู(synergy) ซ่ึงกันและกนั ๖. อทิ ธพิ ลของพอ่ แมท่ ยี่ ดึ ตดิ กบั การเรยี นแบบดงั้ เดมิ ทต่ี นเคยเรยี นมาและทำใหต้ นประสบความสำเรจ็ ในชวี ติ การงาน จงึ อยากใหล้ กู หลานไดเ้ รยี นตามแบบที่ตนเคยเรียน สอบข้อสอบที่ตนเคยสอบ  และรู้สึกไม่สบายใจที่โรงเรยี นทดลองวธิ กี ารเรยี นรใู้ หม ่ ๆ ทต่ี นไมค่ นุ้ เคย  และอาจทำให้ลูกหลานของตนไมป่ ระสบความสำเร็จในชวี ติ ผมขอเพมิ่ อกี ขอ้ หนง่ึ ทเ่ี ปน็ แรงตา้ นการเปลยี่ นแปลงสำหรบั ประเทศไทยคอื พลงั ราชการรวมศนู ย ์ และจดั การแบบควบคมุ และสง่ั การ (command &control) ทำให้วงการศึกษาขาดอิสรภาพ  ท้ัง ๆ ท่ีหลักการสำคัญของการศึกษาคือ อิสรภาพ เพ่อื ใหก้ ารศึกษากับการสร้างสรรคอ์ ยูด่ ว้ ยกนั  เป็นพลังสง่ เสริมซึ่งกนั และกนั แม้จะมีแรงตา้ นตามที่ระบขุ า้ งบน แตก่ ารศึกษาโลกกก็ ำลังเปล่ียนไปทางจัดการแบบทักษะแห่งศตวรรษท่ี ๒๑ มากข้ึนเรื่อย ๆ ประเทศท่ีผลสัมฤทธท์ิ างการศึกษาดเี ดน่ ในโลก ตา่ งก็เดินแนวทางน้ที ั้งสิ้น  ในประเทศไทย ชร. คศ. (ชมุ ชนเรยี นรู้ครเู พื่อศษิ ย์) หรอื เครอื ข่ายครูเพ่ือศิษย์ จะเป็นพลังขับเคล่ือนไปสู่แนวทางทักษะเพ่ือการดำรงชีวิตในศตวรรษท่ี ๒๑ ในทส่ี ดุ  ครเู พอื่ ศษิ ยต์ อ้ งไมท่ อ้ ถอยหากมแี รงตา้ น การรวมตวั กนัเปน็ ชมุ ชนและเครอื ขา่ ยดำเนนิ การเพอื่ พสิ จู นผ์ ลดตี อ่ เดก็ พสิ จู นท์ ผ่ี ลสมั ฤทธิ์ของการเรยี นร้ขู องเด็กก็จะชว่ ยลดแรงตา้ นได้ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๓ http://www.gotoknow.org/blog/thaikm/426768 361ภาค ๕ เรื่องเล่าตามบรบิ ภทาค: ทจี่ับ๖ควมาอมงจอานกายคอตด.ค..ปรฏมู ริาูปฝากกาครศรเูึกพษื่อาศไทษิ ย์

สงิ่ ท่ปี ระเทศไทยต้องทำ เพ่ือยกระดบั ผลสัมฤทธ์ทิ างการศึกษา ปี ค.ศ. ๒๐๑๒ จะมกี ารทดสอบ PISA ครง้ั ตอ่ ไป และในปี ค.ศ. ๒๐๑๓ คืออีก ๒ ปีจากนี้ เราก็จะทราบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ของประเทศ ไทยเปน็ อยา่ งไร  ผมทำนายวา่ จะตกต่ำลง หรอื คงท่ ี ซ่ึงหมายความว่าเรา อยูใ่ นกลุม่ poor คือกลุม่ ลา่ งสุดของโลกตอ่ ไปเหมือนในปัจจบุ นั ทงั้  ๆ ที่ เราลงทนุ ด้านการศกึ ษาสูงมาก รายงานของแม็คคินซีย์ (McKinsey) บอกว่า หากดำเนินการ อย่างถูกต้องและทำอย่างต่อเน่ือง จะเห็นผลในเวลาท่ีส้ันขนาด ๖ ปี  ซึ่ง ประเทศไทยเราโชคไมด่ ี เราไม่มีความต่อเนอื่ งของนโยบายและยุทธศาสตร์ การดำเนนิ การดา้ นการศกึ ษา เพ่ือช่วยกันออกความเห็นสำหรับนโยบายและวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องด้าน การศึกษา  ผมขอเสนอ สิ่งท่ีประเทศไทยต้องทำเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนรู้ ดงั ตอ่ ไปน้ี ๑.  ยกเลิกระบบการเล่ือนข้ันเล่ือนตำแหน่งของครู (คศ.) ที่ใช้ใน ปจั จบุ นั  คอื ให้ “ทำผลงาน” ในกระดาษ และมกี ารตวิ วธิ ที ำผลงาน เปลย่ี น362 วถิ ีสรา้ งการเรยี นรู้เพอื่ ศิษย์ ในศตวรรษที่ ๒๑

ครู พื่อศิษย์มาเป็นเลื่อนตำแหน่งเมื่อผลสัมฤทธ์ิของลูกศิษย์ได้ผลดีขึ้นอย่างต่อเน่ืองตามการทดสอบระดบั ชาติ ๓ ปตี ดิ ตอ่ กนั   จนไดผ้ ลในระดบั ผา่ นเกนิ รอ้ ยละ๙๐ ของจำนวนเด็กนักเรียนทั้งหมด  ซ่ึงหมายความว่า ต้องมีการทดสอบระดับชาติในทกุ ชัน้    ๒. มีเป้าหมายและยุทธศาสตร์เพ่ิมผลสัมฤทธ์ิของศิษย์ท้ังโรงเรียนหรอื ทง้ั เขตการศกึ ษา  แลว้ คณะครแู ละทกุ ฝา่ ยชว่ ยกนั ดำเนนิ การ  เนน้ ทก่ี ารมี PLC ระดบั โรงเรยี น ระดบั เขตการศกึ ษา และระดบั ประเทศ  เมอ่ื นกั เรยี นทั้งโรงเรียน หรือทั้งเขตการศึกษาสอบ National Education Test (NET)ผ่านเกินรอ้ ยละ ๙๐  กไ็ ด้รบั รางวัลท่วั ทงั้ โรงเรยี น หรอื ทวั่ ท้ังเขตการศกึ ษา(เช่นได้เงินรางวัลเท่ากับ ๒ เท่าของเงินเดือน)  และหากรักษาระดับนี้ได้ก็ไดร้ บั รางวลั ทุกปี  ๓. ปราบปรามคอรัปช่ันเรียกเงินในการบรรจุหรือโยกย้ายครู น่ีเป็นความชั่ว ที่บ่อนทำลายระบบการศึกษาไทย  ต้องมีมาตรการตรวจจับและลงโทษรุนแรง  ไล่ออกและฟ้องเรียกค่าเสียหาย  เพราะเป็นพฤติกรรมท่ีก่อความเสียหายต่อบ้านเมืองรุนแรงมาก  อาจต้องออกกฎหมายให้ลงโทษรนุ แรงขึน้ ๔. แบง่ เงนิ ลงทนุ เพมิ่ ดา้ นการศกึ ษา ครงึ่ หนงึ่ ไปไวส้ นบั สนนุ การเรยี นรู้ของครูประจำการในลักษณะการเรียนรู้ในการทำหน้าที่ครู ที่เรียกว่า PLC(Professional Learning Community) ซึง่ เนน้ ทก่ี ารเรียนรู้ (learning) ของครู ไม่ใชเ่ นน้ ท่ี การฝกึ อบรม (training)  และเนน้ การเรียนรเู้ ปน็ กลมุ่ เพ่ือให้ครูจับกลุ่มช่วยเหลือกัน  โรงเรียนดี ๆ จำนวนหนึ่งในประเทศไทยทำกิจกรรมนี้อยู่แล้ว เชน่ โรงเรยี นรงุ่ อรณุ เพลนิ พฒั นา ลำปลายมาศพฒั นาเป็นตน้ 363ภาค ๕ เรอื่ งเล่าตามบรบิ ภทาค: ทจี่ับ๖ควมาอมงจอานกายคอตด.ค..ปรฏูมริาปูฝากกาครศรเูึกพษือ่ าศไทษิ ย์

๕. จัดงานแลกเปล่ียนเรียนรู้ประจำปี  ด้านการยกระดับผลสัมฤทธิ์ ของนกั เรยี น  เชญิ ครทู ีม่ ีผลงาน โรงเรียนทม่ี ผี ลงาน และเขตการศึกษาทมี่ ี ผลงาน  มาเล่าแรงบันดาลใจ วิธีการ และวิธีเอาชนะอุปสรรค รวมถึงให้ รางวัลหรือการยกย่อง  งานนี้ควรจัดในทุกจังหวัด หรืออย่างน้อยทุกภาค หรือกลุ่มจังหวดั ๖. ยกระดับข้อสอบ National Education Test (NET) ให้ทดสอบ การคิดที่ซับซ้อน (complex thinking) และทักษะที่ซับซ้อน (complex skils) ตามแนวทางทักษะแห่งศตวรรษที่ ๒๑ ๗. สง่ เสรมิ การเรยี นแบบ Project-Based Learning (PBL) โดยสง่ เสรมิ ให้มี PLC ของครูท่ีเน้นจัดการเรียนรู้แบบ PBL  ให้รางวัลและยกย่องครูที่ จัด PBL ได้เก่ง เพราะ PBL เปน็ เครอื่ งมอื ให้นักเรยี นเรียนร้ใู นมติ ิท่ลี กึ และ ซับซ้อน ตามแนวทกั ษะแห่งศตวรรษที่ ๒๑ ผมไม่ใกล้ชิดกับระบบการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน  การดำเนินการตาม ขอ้ เสนอขา้ งบนจงึ อาจตอ้ งปรบั ใหส้ อดคลอ้ งกบั ความเปน็ จรงิ   แตไ่ มใ่ ชป่ รบั เข้าสู่วธี กี ารแบบเดมิ  ๆ ในกระบวนทศั น์เดมิ ๑๐ มีนาคม ๒๕๕๔ http://www.gotoknow.org/blog/thaikm/434192364 วถิ ีสรา้ งการเรยี นรู้เพอ่ื ศิษย์ ในศตวรรษท่ี ๒๑

ครู พ่อื ศษิ ย์ภาคผนวก 365ภาค ๕ เรือ่ งเลา่ ตามบรบิ ภทาค: ทจ่ีบั ๖ควมาอมงจอานกายคอตด.ค..ปรฏูมิราปูฝากกาครศรูเึกพษอ่ื าศไทิษย์

366 วิถีสร้างการเรยี นรูเ้ พ่อื ศษิ ย์ ในศตวรรษที่ ๒๑

ครู พ่อื ศิษย์ ดชั นีค้นคำ เรียงลำดับตามตวั อักษร AAAR  ๙๗, ๑๖๖, ๑๙๒, ๒๐๕, ๒๘๕, ๒๙๑, ๒๙๗, ๓๔๔, ๓๔๗ability  ๑๐๗, ๑๑๑abstract  ๒๑๖abstract thinking  ๒๑๖access  ๔๐, ๔๔,accordion-style folder  ๒๓๔accountability  ๑๗action learning  ๑๔๗, ๑๖๖action mode  ๑๔๕active learning  ๓๒๕activities  ๑๖๕actor  ๑๓๕ 367ภาค ๕ เรื่องเล่าตามบรภบิ าทคผ:นจวกบั คดวชัานมจคี า้นกคยำอเรดยี คงรลมู ำาดฝบั าตกาคมรตูเพัว่อื ศกั ษิ ยร์

ADHD  ๒๗๒, ๒๗๖ Banalysis  ๓๐, ๒๕๑apply  ๓๐,application  ๓๐, ๒๕๑approach  ๓๒๖auditory learner  ๑๐๘authentic learning ๔, ๕background knowledge  ๘๙, ๙๔, ๑๐๔best practice  ๑๘๙bloom’s Taxonomy of cognitive domains  ๒๕๑, ๒๗๗bottom - up  ๑๓๕brainstorming  ๓๕breath  ๒๖bureaucracy  ๑๔๓ 368 วถิ ีสรา้ งการเรยี นรู้เพ่อื ศษิ ย์ ในศตวรรษท่ี ๒๑

ครู พ่ือศษิ ย์ Ccareer & learning skils  ๑๙casuality  ๙๖capacity  ๑๐๐categorize  ๙๘, ๑๐๘change agent  ๑๓๕change management  ๑๓๕, ๑๘๕chaordic organization  ๑๔๓character  ๙๔chunking  ๑๐๑class room  ๑๓๔, ๒๒๙classroom management  ๑๒๒coach  ๑๓๔, ๑๕๔, ๒๘๑cognitive mind  ๒๓cognitive place  ๑๒๖, ๑๒๙cognitive psychology  ๙๔, ๑๑๔, ๑๑๙, ๑๒๖, ๑๕๓cognitive science  ๑๒๖cognitive skils  ๑๑๘cognitive style  ๑๐๗, ๑๐๘, ๑๑๒ 369ภาค ๕ เรอื่ งเล่าตามบรภิบาทคผ:นจวับกคดวชัามนจีคา้นกคยำอเรดียคงรลูมำาดฝบั าตกาคมรตูเพัว่ือศกั ษิ ยร์

colaboration skils  ๒๙๔ colaboration skils, teamwork & leadership  ๑๙ colaborative learning  ๔๔, ๓๔๙ colaborative smal-group Learning  ๗๗ colaborative teams  ๑๔๐ colective culture  ๑๔๖ comfortable  ๒๒๘ command & control  ๓๖๑ commission  ๑๗๑ commitment  ๑๕๐ common purpose  ๑๔๕ communication  ๓๑๑, ๓๑๒ Communications, information & medialiteracy  ๑๙, ๒๙ community  ๑๓๕ Community of Practice, CoP  ๖๕, ๖๖, ๑๓๔, ๓๕๖ communication  ๒๐๙ complex  ๑๓๙ complex communicating  ๒๙ complex skils  ๒๙, ๓๖๔ complex thinking  ๓๖๔370 วถิ ีสร้างการเรยี นรู้เพื่อศษิ ย์ ในศตวรรษที่ ๒๑

ครู พ่อื ศษิ ย์complication  ๙๔comprehension  ๓๐, ๒๕๑computing & ICT literacy  ๑๙conflict  ๙๖consequence  ๒๕๔consistency  ๑๘๘constructive commenting  ๑๒๒constructive observation  ๑๒๒content  ๒๑๙, ๓๒๑content หรือ subject matter  ๑๖core value  ๑๔๔covering curriculum is not teaching  ๒๒๑CQI  ๑๔๖, ๑๖๑, ๑๗๐CQI - Continuous Quality Improvement  ๑๔๐, ๑๔๓create  ๓๐, ๔๔,creating mind  ๒๓, ๒๕creative  ๑๕๒creative thinking and reasoning  ๓๑๑, ๓๑๒creativity  ๒๙creativity & innovation  ๑๙ 371ภาค ๕ เรื่องเล่าตามบรภิบาทคผ:นจวกบั คดวชัานมจีคาน้ กคยำอเรดียคงรลูมำาดฝบั าตกาคมรตเู พัวอื่ ศักิษยร์

critical mass  ๑๗๗ critical thinking  ๑๙, ๒๙ ๓๗, ๗๙, ๙๐, ๑๐๐, ๒๘๐ critical reflection  ๓๑ cross culture learning  ๔๔ cross-cultural understanding  ๑๙ culture  ๑๖๘ curiosity  ๘๖ customization & personalization  ๓ D data - rich , information - poor  ๑๖๗ deductive  ๓๑ deep structure  ๙๘, ๑๐๔ deep thinking  ๑๐๐ depth  ๒๖ details  ๒๒๗ dialogue  ๑๖๘, ๑๗๔ digital & communication technology  ๓๒ digital literacy  ๓๖ directive  ๑๕๘372 วถิ สี ร้างการเรียนรูเ้ พ่อื ศิษย์ ในศตวรรษที่ ๒๑

ครู พ่อื ศษิ ย์disciplined mind  ๒๓discovery learning  ๙๗ discussion  ๑๖๘distraction  ๙๕ distributed leadership and responsibility  ๕๖dopamine  ๘๗dreaming mode  ๑๔๕DRIP Syndrome  ๑๖๗drop  ๑๕๒dyslexia  ๒๗๒ EEF - (executive functions)  ๒๙๓effective  ๑๕๘emotional inteligence  ๕๔empower  ๑๖๔, ๑๗๖empowerment evaluation  ๑๙๗english and speech  ๒๗๕environment project contest  ๓๔๔EQ - (emotional quotient)  ๒๙๓373ภาค ๕ เร่ืองเลา่ ตามบรภบิ าทคผ:นจวกับคดวชัานมจคี า้นกคยำอเรดยี คงรลูมำาดฝับาตกาคมรตเู พัวอ่ื ศกั ิษยร์

essential  ๑๕๘ essential knowledge  ๑๘๙ essential knowledge and skils  ๑๗๕ essential learning  ๑๕๑ ethical mind  ๒๓, ๒๖ evaluate  ๓๐ evaluation  ๔๔, ๒๕๑ event  ๗๘ evidence and effectiveness  ๑๕๙ expert thinking  ๒๙ explicit knowledge  ๒๐๕, ๒๙๑, ๒๙๗, ๓๒๕ F facilitate  ๑๕, ๒๐, ๑๑๘, ๑๔๗, ๓๕๗ facilitator  ๑๖๑, ๑๖๗, ๒๑๙, ๒๘๑, ๒๘๖ feedback  ๑๒๐, ๑๒๑, ๑๒๒, ๑๒๔, ๑๒๘, ๑๕๓, ๑๖๘, ๒๖๑ fist or fingers  ๑๘๓ flexibility and adaptibility  ๕๐ flow of lesson  ๓๒๕ flynn effect  ๑๑๖374 วถิ สี รา้ งการเรยี นร้เู พอื่ ศษิ ย์ ในศตวรรษท่ี ๒๑

ครู พือ่ ศิษย์formative assessment  ๑๔๐, ๑๕๒, ๑๕๔, ๑๕๗, ๑๕๘, ๓๕๔formative evaluation  ๑๖๕, ๑๖๘, ๑๘๗, ๒๙๓, ๒๙๔formative evaluation functional  ๑๐๔function  ๒๒๘functional knowledge  ๑๐๔ Ggeneral inteligence  ๑๑๕ Hgeneralization  ๑๐๔goal  ๑๔๐goal overload  ๑๖๑happy workplace  ๑๗๖, ๑๙๒holistic  ๑๐๗ IIBL  ๓๔๙, ๓๕๐, ๓๕๑, ๓๕๒ICT  ๒๘๔ICT literacy  ๔๓, ๒๘๕375ภาค ๕ เร่อื งเล่าตามบรภิบาทคผ:นจวกบั คดวชัานมจีคา้นกคยำอเรดียคงรลมู ำาดฝบั าตกาคมรตูเพัวอื่ ศกั ิษยร์

idea  ๓๒ imagination  ๒๗๒ imagination is more than knowledge  ๘๙ independence  ๕๒, ๑๙๐ independent assignment  ๒๘๑ index card  ๒๔๕ individual learning  ๑๓๔ individual portfolio  ๒๘๕ inductive  ๓๑, ๑๑๐ critical reflection  ๓๑ information  ๓๖, ๔๐ information flow  ๔๑ information literacy  ๔๐ initiative and self-direction  ๕๒ innovation  ๒๙ input  ๑๖๕ inquiry  ๗๘ inquiry-based learning, IBL  ๖๘, ๓๔๙, ๓๕๐ inspiration  ๒๕๘ inspiring  ๒๒๘376 วิถีสรา้ งการเรียนรเู้ พอื่ ศิษย์ ในศตวรรษที่ ๒๑

ครู พอื่ ศิษย์integrate  ๔๔intelectual quotient  ๒๙๘, ๓๐๖inteligence  ๑๑๑inteligent quotient  ๒๙๘, ๒๙๙inter-dependence  ๕๒, ๑๙๐interactive learning through action  ๑๔๒, ๓๔๕intern  ๓๑๙internal motivation  ๔, ๖internationalization  ๔๕interpersonal ๑๑๑intrapersonal ๑๑๑intervention  ๑๘๘introduction to  ๓๒๖IQ  ๒๙๘, ๒๙๙ JJournal club  ๑๒๕Judging  ๓๒๙377ภาค ๕ เรอ่ื งเล่าตามบรภบิ าทคผ:นจวกบั คดวัชานมจีคาน้ กคยำอเรดียคงรลมู ำาดฝบั าตกาคมรตูเพัวือ่ ศกั ษิ ยร์

keep  ๑๕๒ key - in  ๑๖๘ kinesthetic  ๒๖๑ kinesthetic learner  ๑๐๘, ๒๕๖ KISS (keep it simple and stupid)  ๑๖๓ KM (Knowledge Management)  ๑๓๔, ๑๖๘, ๒๙๘ knowing - doing gap  ๑๔๐ knowledge  ๓๐, ๒๕๑ knowledge comprehension  ๑๐๕ knowledge creation  ๑๐๕ knowledge management หรอื KM  ๒๑ knowledge transfer  ๙๘ late bloomer  ๒๒๓ leadership and responsibility  ๕๓, ๕๖ learners-directed learning  ๖๕ learner  ๑๙๒378 วถิ ีสร้างการเรยี นรู้เพ่ือศษิ ย์ ในศตวรรษที่ ๒๑

ครู พ่ือศษิ ย์learning  ๑๕๔, ๓๖๑learning and innovation skils  ๒๘learning by attending lecture/teaching  ๑๓๕learning by doing  ๑๓๔, ๑๓๕, ๑๓๖learning community  ๓๒๐learning facilitator  ๖๘, ๑๓๔learning organization  ๑๗๖, ๑๙๒, ๒๙๙learning outcome  ๑๔๔, ๑๕๘, ๑๖๑, ๑๖๓, ๑๖๖, ๑๗๔, ๒๘๕, ๓๕๓, ๓๕๔learning person  ๑๘, ๑๔๒learning psychology  ๑๑๒learning pyramid  ๒๘๑learning skils  ๑๘, ๒๘, ๖๙, ๑๔๒learning style  ๑๐๗left-brain thinker  ๒๖๑lesson study  ๓๑๖, ๓๑๗, ๓๑๘, ๓๑๙, ๓๒๑lecture style  ๓๒๑life skil  ๒๕๓logictics  ๑๖๘ longterm memory  ๘๗, ๙๐, ๙๔, ๑๐๔ 379ภาค ๕ เรื่องเลา่ ตามบรภบิ าทคผ:นจวกับคดวัชานมจคี า้นกคยำอเรดยี คงรลูมำาดฝับาตกาคมรตูเพวั ่ือศกั ิษยร์

look for the pattern  ๓๑๒ Mloose  ๑๗๔, ๑๗๕loose and tight  ๑๗๔make-up work  ๒๓๔manage  ๔๔Maslow  ๒๖๑Maslow’s hierarchy of needs  ๒๖๐Maslow’s theory  ๒๕๑mass education  ๓๖๐master  ๒๓material development  ๓๒๗mathematical communication  ๓๓๐mathematical inteligence  ๑๑๗mathematics textbook focus on problem solving  ๓๑๗meaning  ๙๘media cognition  ๓๑๑, ๓๑๒media  ๓๖, ๔๐, ๔๑380 วิถสี รา้ งการเรียนรเู้ พ่ือศิษย์ ในศตวรรษที่ ๒๑

ครู พอ่ื ศษิ ย์media literacy skils  ๔๑mental model building  ๔message  ๔๒met before  ๓๓๐meta cognition  ๓๑๒micromanage  ๑๗๖mime  ๑๑๑mind mapping  ๒๙๔minimum competence  ๑๐๐misbehavior  ๒๓๖mission statement  ๑๔๔, ๑๖๒ mnemonics  ๙๖motivation  ๒๕๘multimedia presentation  ๒๕multinational PBL  ๔๖multiple choice  ๒๔๙multiple Inteligences  ๔๖, ๒๒, ๑๐๗, ๑๑๒, ๑๑๕multiple Inteligences theory  ๑๐๙multitasking  ๕๖ 381ภาค ๕ เร่ืองเลา่ ตามบรภิบาทคผ:นจวกบั คดวัชานมจีคาน้ กคยำอเรดยี คงรลมู ำาดฝับาตกาคมรตเู พวั อ่ื ศักษิ ยร์


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook