Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ปัฏฐานและบัญญัติ

ปัฏฐานและบัญญัติ

Published by WATKAO, 2021-01-22 06:58:04

Description: ปัฏฐานและบัญญัติ

Keywords: ปัฏฐานและบัญญัติ

Search

Read the Text Version

บนั ทกึ การสอน โดย ศรชยั ชยาภวิ ัฒน - ๒๕๕๑

สารบญั หนา ก) ทีม่ าและความหมายของปฏฐาน - - -1 ข) ชาติ กบั การหาปจ จัย - ๑) เหตปุ จจัย - - - -5 ๑) ส่งิ ที่ควรรใู นปจ จัย ๒๔ - ๒) อารัมมณปจจัย - - - -6 ๒) หาปจจัย - สหชาตชาติ - ๓) อธปิ ติปจจัย - - - -8 ๓) หาปจจยั - อารัมมณชาติ - - -12 ๔) หาปจ จยั - อนันตรชาติ ๔) อนันตรปจ จยั - - - ๕) สมนันตรปจจัย - - - -12 ๕) หาปจ จัย - วัตถปุ เุ รชาตชาต ๖) สหชาตปจ จัย - - - - -13 ๖) หาปจ จยั - ปจฉาชาตชาติ ๗) อัญญมญั ญปจ จัย - - - -13 ๗) หาปจ จยั - อาหารชาติ - ๘) นิสสยปจ จยั - - - -14 ๘) หาปจจยั - รปู ชวี ิตนิ ทริยชา - ๙) อุปนสิ สยปจจยั - - - -16 ๙) หาปจจัย - ปกตปู นสิ สยชาต ๑๐) ปเุ รชาตปจ จยั - - - - -18 ๑๐) หาปจ จยั - นานกั ขณกิ กมั ม - ๑๑) ปจ ฉาชาตปจ จัย - - - -20 ๑๑) สรุป ๙ ชาติ ใน ปฏิจจสมุป - ๑๒) อาเสวนปจจัย - - - -22 ๑๒) สรปุ กญุ แจ การหาอํานาจป - ๑๓) กัมมปจจยั - - -24 ๑๔) วิปากปจจยั - - -27 ค) ปจ จัย กบั องค ๑๒ ในปฏิจจสมปุ บาท ๑๕) อาหารปจจัย - - -28 ๑) เหตุ คูที่ ๑ อวชิ ชา -> สงั ขา ๑๖) อนิ ทรยิ ปจ จยั - - -30 ๒) เหตุ คูท ี่ ๒ ตณั หา -> อุปาท ๑๗) ฌานปจ จัย - - -33 ๓) เหตุ คูที่ ๓ อปุ าทาน -> กัม - -35 ๔) สันธิ คทู ี่ ๑ สงั ขาร -> วญิ ญ ๑๘) มรรคปจจัย - ๑๙) สมั ปยุตตปจ จยั - - -37 ๕) สันธิ คูท่ี ๒ เวทนา -> ตัณห ๒๐) วปิ ปยตุ ตปจ จัย - - -38 ๖) สันธิ คูท่ี ๓ ภวะ -> ชาติ ๒๑) อตั ถปิ จจัย - - -42 ๗) ปจจบุ นั ผล คทู ี่ ๑ วญิ ญาณ ๒๒) นตั ถปิ จจยั - - -42 ๘) ปจจบุ นั ผล คูที่ ๒ นามรูป - ๒๓) วคิ ตปจจยั - - -42 ๙) ปจ จุบนั ผล คทู ี่ ๓, ๔ สฬาย ๒๔) อวคิ ตปจจยั - - -42 ๑๐) ตารางสรุป ชาติ และปจ จัย

ญ หนา ง) ปจจัย ๒๔ โดยยอ ( โดยพระอภธิ รรม ) หนา ---- -45 ๑) โครงสรา ง -- - -72 ---- -46 - -73 ---- -48 ๒) คาถาท่ี ๑ - ๒ - - - -74 ---- -50 - -75 ติ - - - -51 ๓) คาถาท่ี ๓ - ๕ - - - -76 ---- -51 - -77 ---- -51 ๔) คาถาท่ี ๖ - ๑๒ - - - -78 าติ - - - -51 ติ - - - -52 ๕) คาถาท่ี ๑๓ - ๑๗, ๒๐ - -79 มชาติ - - - -52 -80 ปบาท - - - -53 ๖) คาถาท่ี ๑๘ - ๑๙, ๒๑ - ๒๔ -81 ปจ จัย - - - -54 -82 ๗) สรุป ๒๔ คาถาโดยยอ - -83 -55 -84 -57 จ) บัญญตั ิ โครงสรา ง ปฏจิ . ปฏฐาน. บญั ญตั ิ -58 ๑) -59 ๒) บาลีท่ี ๑, ๒ -- - -61 ๓) - -60 ๔) บาลีท่ี ๓ -- - -62 ๕) - -64 ๖) บาลที ่ี ๕ - ๘ - - - -68 ท -70 บาลที ่ี ๔ -- าร - - - บาลีที่ ๙ -- ทาน - - - มมภวะ - - - ญาณ - - - หา - - - --- -> นามรปู - - -> สฬายตนะ - ยตนะ -> ผัสสะ -> เวทนา ย กับองค ๑๒ - -

5 อธธิ รรม ๗ คมั ภีร ( สํ วิ ธา ปุ กะ ยะ ปะ ) 5 ๑ ๑. ธรรมสงั คณีปกรณ ๒. วภิ งั คปกรณ ๓. ธาตกุ ถาปกรณ ๔. ปคุ คลบญั ญัติปกรณ ๕. กถาวตั ถปุ กรณ ๖.ยมกปกรณ ๗.ปฏฐานปกรณ 5 เพราะเหตุใด ปกรณท ี่ ๗ จงึ ชอ่ื วา ปฏฐาน - ดว ยอรรถวา เปน ปกรณที่แสดงถึงปจจยั ตางๆ มีเหตปุ จจัย เปนตน โดยประการตางๆ - ดว ยอรรถวา มีการแสดงธรรมทง้ั หลายมีกุศล อกศุ ล อพยากต โดยประเภทแหงเหตปุ จ จัย เปน ตน - ดวยอรรถวา เปนท่ดี ําเนนิ ไปแหง พระสัพพญั ุตญาณ 5 คาํ วา \" ปฏ ฐาน \" หมายความวา อยา งไร ๒ ปฏฐาน = \" ป + ฐาน \" คาํ วา \" ป \" แปลวา โดยประการตางๆ ๓ \" ฐาน \" แปลวา เปนท่ตี ัง้ (ปจจัยอนั เปน เหตุ ) ๔ รวมแปลวา เปน ทีต่ ั้งของธรรมโดยประการตา งๆ เปน การศกึ ษาใน ตกิ มาติกา ทกุ มาติกา น้นั เอง 5 เนอื้ ความทีพ่ ระพทุ ธองคทรงแสดงในคมั ภรี มหาปฏ ฐาน ๑. มเี นอ้ื หาวนเวยี นมากมายท่ีสดุ ( อรรถกถาจารย จงึ ตัง้ ช่อื วา \" อนนั ตนยสมันตมหาปกรณ \" ) ๒. นยั แหง การแสดงพิสดารทีส่ ุด จําแนกตามมาติกาไดเปนปฏ ฐาน ๖ นัย คอื - ติกปฎฐาน = ตกิ ะ ๒๒ ในอนุโลมปฏฐาน - ทกุ ปฎ ฐาน = ทกุ ะ ๑๐๐ ในอนโุ ลมปฏ ฐาน - ทุกตกิ ปฎ ฐาน = ตกิ ะ ๒๒ X ๓ = ๖๖ X ๑๐๐ = ๖,๖๐๐ - ตกิ ทุกปฎฐาน = ทกุ ะ ๑๐๐ X ๒ = ๒๐๐ X ๒๒ = ๔,๔๐๐ ๓๒,๓๐๘ X ๔ นยั - ติกติกปฎฐาน = ติกะ ๒๑ X ๓ = ๖๓ X ๒๒ = ๑,๓๘๖ = ๑๒๙,๒๓๒ ปฏ ฐาน - ทุกทกุ ปฎ ฐาน = ทุกะ ๙๙ X ๒ = ๑๙๘ X ๑๐๐ = ๑๙,๘๐๐ จึงไดช อื่ วา มหาปฏ ฐาน ๓. มีความสขุ ุมลุมลึกมากทีส่ ุด หกั ๑ ทเี่ ปนประธาน ๔. เปนแหลงแหง ความรมู ากมายท่สี ดุ

-1- 5 ในธรรมหมวดหน่ึงๆ ทรงจาํ แนกเปน ๔ นยั เรียกวา ธมั มนยะ ๑. ธมฺมอนุโลม พระพุทธองคทรงแสดงบทและปทาวสาน หรือมลู มลู ี หรอื กัมมบทและกตั ตุบท หรือบทตนบทปลาย โดยไมมีคาํ วา น อันเปน คําปฏเิ สธ ( ไมม ีบทปฏิเสธ ) เชน สยิ า กสุ ลํ ธมฺมํ ปฏิจฺจ, กสุ โล ธมโฺ ม อปุ ปฺ ชฺเชยฺย เหตปุ จฺจยา. กุศลธรรมอันใด พงึ เกิดข้ึนโดยอาศัยกศุ ลธรรม, กุศลธรรมอนั นน้ั พงึ เกิดขน้ึ เพราะเหตปุ จ จัยไดหรือเปลา ? ๒. ธมมฺ ปจฺจนยี พระพุทธองคทรงแสดงธรรมบทตน และบทปลาย โดยมีคาํ วา น อยูดวย ( มบี ทปฏเิ สธ ) เชน สิยา น กุสลํ ธมฺมํ ปฏจิ จฺ , น กสุ โล ธมโฺ ม อุปฺปชเฺ ชยฺย เหตุปจจฺ ยา. ธรรมท่ไี มใ ชกุศลธรรมอนั ใด พงึ เกิดข้ึนโดยอาศัยธรรมทไี่ มใ ชก ศุ ล, ธรรมที่ไมใ ชกุศลอันนนั้ พึงเกดิ ขึน้ เพราะเหตุปจจัยไดหรอื เปลา ? ๓. ธมฺมอนุโลมปจจฺ นยี พระพุทธองคท รงแสดงธรรมทเ่ี ปน บทตน ไมม คี ําปฏเิ สธ แตธรรมที่เปน บทปลายมีคําปฏิเสธ เชน สิยา กุสลํ ธมมฺ ํ ปฏจิ จฺ , น กุสโล ธมโฺ ม อปุ ปฺ ชฺเชยยฺ เหตุปจฺจยา. ธรรมทมี่ ิใชก ุศลอนั ใด พึงเกิดขึน้ โดยอาศัยธรรมท่ีเปน กุศล, ธรรมทไี่ มใ ชก ุศลอนั นั้น พึงเกิดขึ้นเพราะเหตุปจ จัยไดห รือเปลา ? ๔. ธมฺมปจจฺ นยี อนุโลม พระพุทธองคทรงแสดงธรรมทีเ่ ปน บทตน มีคําปฏิเสธ แตธ รรมทีเ่ ปนบทปลายไมม คี ําปฏิเสธ เชน สยิ า น กสุ ลํ ธมมฺ ํ ปฏิจจฺ , กสุ โล ธมโฺ ม อปุ ปฺ ชเฺ ชยฺย เหตุปจฺจยา. กศุ ลธรรมอนั ใด พึงเกิดขึ้นโดยอาศยั ธรรมที่ไมใชก ศุ ล, กศุ ลธรรมอนั นั้น พึงเกดิ ข้นึ เพราะเหตปุ จจยั ไดห รอื เปลา ?

5 ฉัพพรรณรังสี 5 - ไดเกิดขน้ึ ซา นออกจากพระสรีระ สวนตางๆของพระผูมีพระภาคเจา เมอ่ื ทรงพิจารณาธรรมอันสขุ ุม ลุมลึกในมหาปกรณ คือ มหาปฏ ฐานปกรณนเี้ อง - พระรศั มพี เิ ศษนี้มี ๖ สี ( ซานไปในทกุ ทิศ เชน เบอ้ื งบนแผไปถงึ อชั ชฎากาศ คอื อากาศทเ่ี วิ้งวาง ซ่ึงเลยจาก อรปู พรหม ขึน้ ไปอีก เปนตน ) ๑ สเี ขยี ว - เกิดจากจกั ขุ + เกศา ๔ สขี าว - เกดิ จากจักขุ - กระดูก ฟน ๒ สเี หลอื ง - เกดิ จากจักขุ + สีผิวกาย ๕ สหี งสบาท (มว ง) เกิดจากพระสรีระ ๓ สแี ดง - เกดิ จากจกั ขุ + โลหิตในตัว ๖ สเี ล่อื มพรายประภัสสร (เงิน ) ทาํ ไมจึงเกิดฉัพพรรณรงั สี หลงั จากพิจารณาคัมภีรท ่ี ๗ คือ มหาปฏฐานปกรณ - เนอ่ื งจากคัมภีรท ่ี ๑-๖ เวลาที่พระองคพจิ ารณาธรรมยงั ไมตอ งใชป ญ ญามากในการพจิ ารณา แตใ นคมั ภรี ที่ ๗ มีเน้ือหามากมายกวางขวาง เหมาะสมกับพระปญ ญาอันหาท่ีสดุ มิไดของพระพุทธองค จึงเปนเหตใุ หเ กิด ฉัพพรรณรังสี แผซ า นจากพระสรีระข้นึ เหมือนปลาใหญทว่ี ายในมหาสมทุ รทก่ี วางไกล ๘๔,๐๐๐ โยชนได 5 ในการแสดงปจ จัย ๒๔ น้นั พระพทุ ธองคทรงจําแนกปจ จัยหนงึ่ ๆ มีธรรมเปน ๓ หมวด คือ ๑. ปจจัยธรรม ธรรมท่เี ปนเหตุ อธ. = ปรมัตถ + บญั ญตั ิ ๒. ปจจยุปบันธรรม ธรรมท่เี ปนผล อธ. = ปรมตั ถ (-นพิ . บญั .) ธรรมทเี่ ปนปจจยุปบนั ได - เปน ธรรมท่ีมอี ยจู รงิ 33 2 - ตอ งมสี ภาพเกิดดบั 32 2 ๓. ปจ จนกิ ธรรม ธรรมที่มใิ ชผล ( คอื ธรรมทน่ี อกจากผล ) ๑. ปจ จยั ๒. ปจ จยปุ บนั . ๓.ปจจนกิ . เหตปุ จ จัย = เหตุ ๖ - สเหตุกจติ ๗๑, เจ.๕๒ ( เวน โม.เจ.ที่ใน โม.๒ ) - สเหตกุ ปฏิสนธิกัมมชรูป - สเหตกุ จติ ตชรปู

5 ปจจัย ๒๔ และความหมาย -2- ๑ เหตปุ .จ. ธรรมท่ชี ว ยอุปการะโดยความ เปน เหตุ เปน อารมณ ๒ อารมั มณป.จ. \" \" เปนอธบิ ดี ตดิ ตอกันไมม รี ะหวางคั่น ๓ อธปิ ตปิ .จ. \" \" ตดิ ตอ กันไมม ีระหวางคนั่ ทเี ดียว เกิดพรอ มกนั ๔ อนันตรป.จ. \" \" แกกนั และกนั เปนทอี่ าศัย ๕ สมนนั ตรป.จ. \" \" เปน ทีอ่ าศัยท่มี ีกําลงั มาก เกดิ กอ น ๖ สหชาตป.จ. \" \" เกิดทหี ลัง เสพบอยๆ ๗ อญั ญมญั ญป.จ. \" \" ปรุงแตงเพอื่ ใหก ิจตางๆ สาํ เรจ็ ลง เปน วิปาก คือเขาถึงความสุกและหมดกาํ ลังลง ๘ นิสสยป.จ. \" \" เปนผนู าํ เปนผปู กครอง ๙ อุปนสิ สยป.จ. \" \" เปน ผูเพงอารมณ เปนหนทาง ๑๐ ปเุ รชาตป.จ. \" \" เปนผปู ระกอบ เปนผไู มประกอบ ๑๑ ปจฉาชาตป.จ. \" \" เปน ผูยงั มอี ยู เปน ผไู มม ี ๑๒ อาเสวนป.จ. \" \" เปน ผูปราศจากไป เปนผูย งั ไมปราศจากไป ๑๓ กัมมป.จ. \" \" ๑๔ วปิ ากป.จ. \" \" ๑๕ อาหารป.จ. \" \" ๑๖ อนิ ทรยิ ป.จ. \" \" ๑๗ ฌานป.จ. \" \" ๑๘ มัคคป.จ. \" \" ๑๙ สมั ปยุตตป.จ. \" \" ๒๐ วิปปยตุ ตป.จ. \" \" ๒๑ อตั ถิป.จ. \" \" ๒๒ นัตถิป.จ. \" \" ๒๓ วิคตป.จ. \" \" ๒๔ อวิคตป.จ. \" \"

5 การจาํ แนกปจจยั โดย ชาติท้งั ๙ ชาติ ปจจยั ธรรม (ปจ. ) ชวยอุปการะแก ปจ จยุปบันธรรม (ปย.) จาํ นวนปจ ๑. สหชาตชาติ ส. - ปจ. และ ปย. เกดิ พรอมกัน ๑๕ ๒. อารมั มณชาติ อา. - ปจ. คือ อารมณ ปย. คอื ผูร ูอารมณ (ญ.๔ ก.๔ ล ๘ ๓. อนนั ตรชาติ นัน. - ปจ. เปน นามเทานนั้ ปย. เปน นามท่ีเกิดตดิ ตอกันไมมีระหวา งคั่น ๗ ๔. วตั ถปุ ุเรชาตชาติ วัต. - ปจ.เปนรูปทเ่ี กดิ กอ นๆ และกาํ ลงั ตง้ั อยู ชวย ปย. เปนนามทเ่ี กิดหลังๆ ๖ ๕. ปจฉาชาตชาติ ปจ. - ปจ. เปนนามท่เี กดิ หลังๆ ชว ย ปย. เปน รูปทีเ่ กดิ กอนๆ ๔ ๖. อาหารชาติ หา. - ปจ. คอื รปู ชว ย ปย. คือ รปู ทอ่ี ยใู นกลาปเดียวกนั และกลาปอืน่ ๆ ดว ย ๓ ๗. รูปชีวิตินทริยชาติ รูป. - ปจ. คือ รปู ชว ย ปย. คือ รปู ในกลาปเดียวกนั ๓ ๘. ปกตปู นิสสยชาติ ป. - ปจ. คอื จิต เจ รูป บัญ. (มกี าํ ลงั มากเกดิ กอน) ชวย ปย. จิต เจ (เกดิ หลงั ) ๒ ๙. นานักขณิกกมั มชาติ นา. - ปจ. เจตนากรรมที่ตางขณะ ชวย ปย. คือ นามรูป (วปิ ากในปจ จุบนั ) ๑ 5 การศึกษาในมหาปฏ ฐานใหเ ขา ใจ และนําไปใชไ ด ๔. รอู งคธรรมของปฏจิ จสมปุ บาท ท้ัง ๕. รูวถิ จี ติ พอสงั เขป ๑. ตอ งรปู จจัย ๒๔ และความหมาย ๖. รูสังคหนยั + สมั ปโยคนัย ๒. ตองรูองคธ รรม ทั้ง ๒๔ ปจจยั ๓. สามารถจาํ แนกปจจัย ๒๔ เปน ๔๗ และนําสู ๙ ชาติได

จจยั ปจ. --- ชวยอปุ การะแก ---> ปย. -3- นามรปู ---> นามรปู ๕ ขอสงั เกต มีคําวา \" เกิดพรอ มกัน / ประกอบกัน / ปฏสิ นธกิ าล \" ล.๗) มีคําวา \" กระทําอารมณใ หเปน สามญั / โดยอธิบดีอารมณ \" บัญ., นามรูป ---> นาม ---> เกิดตดิ ตอ กันไมม ีระหวา งคัน่ เชน วถิ จี ิต จิตแตล ะดวงเกดิ ติดตอกนั (ปรมัตถ ๔, บัญ.) (๘๙, ๕๒) ไมมรี ะหวา งคนั่ ( เวน จุติจติ หรือปรินพิ พานจติ ของพระอรหนั ต ) นาม นาม มีคําวา \" รูปเกิดกอนๆ ชว ยนามทีเ่ กดิ หลงั ๆ / ปวัตตกิ าล \" ( ถา ร - น ในปฏสิ นธิกาล เปน สหชาต. เทานน้ั ) รปู ---> นาม มคี าํ วา \" นามที่เกิดหลังๆ ชวย รูปทเี่ กิดกอนๆ / ปวัตติกาล \" ( ถา น - ร ในปฏิสนธกิ าล เปน สหชาต. เทานั้น ) นาม ---> รูป มีคาํ วา \" กัมมชโอชา \" มงุ หมายเอา กพฬกี ราหาร เทานั้น แสดงในปฏจิ จ. นามรปู ---> สฬายตน ( ขอ ๑๖ ) รปู ---> รูป มีคาํ วา \" รูปชีวติ ินทรยี  \" แสดงในปฏิจจ. นามรปู --> สฬายตน ( ขอ ๑๕ ) รปู ---> รปู ไมไ ดเ กิดติดตอกัน และไมไดเ กิดขึน้ โดยการกระทาํ ใหเปนอารมณ (อยเู ฉยๆ มวี ิปากสง เปนปกตู. แตถ านึกคดิ แลวมีเวทนา เปนอารัมมณ.) บญั , นามรูป ---> นาม แสดงในปฏจิ จ.อยู ๒ คู คือ สงั ขาร --> วิญญาณ, กัมมภว --> ชาติ ---> นามรปู (ปรมัตถ ๔, บัญ.) นาม ง ๑๒ องค

ปจจัย วา โดย ยอ 24 ไดแก ปจจัยทมี่ ี 1 ปจ จยั มี 14 ปจจัย + ปจ จัยท่มี ีมากกวา 1 ปจจยั ม วา โดย พิสดาร 47 ไดแก ปจ จยั ทมี่ ี 1 ปจ จยั มี 14 ปจ จยั + ปจ จัยทม่ี ีมากกวา 1 ปจจยั ม ชาตทิ ั้ง 9 1 สหชาตชาติ 2 อารัมมณชาติ 3 อนนั ตรชาติ 4 วัตถ ปจ จยั 24 ๑๕ ๘ ๖ หรือ ๗ 1 เหตปุ .จ. ล ๑ 2 อารมั มณป.จ. 2 ล 1.สหชาตาธิปติ. ๒ 2.อารัมมณาธิปต.ิ ๑ 3 อธิปตปิ .จ. ๒ 4 อนนั ตรป.จ. ๑ 5 สมนนั ตรป.จ. ๒ 6 สหชาตป.จ. ญ ๓ 7 อญั ญมัญญป.จ. ก ๔ 8 นสิ สยป.จ. 3 ญ 1.สหชาตนิสสย. ๕ 2.วัตถารัมมณปเุ รชาตนสิ ๓ 3.วตั ถุปุเร 9 อุปนสิ สยป.จ. 3 1.อารมั มณูปนิสสย. ๔ 2.อนนั ตรูปนสิ สย. ๓ 10 ปุเรชาตป.จ. 2 1.อารัมมณปเุ รชาต. ๕ 2.วัตถปุ เุ ร 11 ปจ ฉาชาตป.จ. 12 อาเสวนป.จ. ๔ 13 กมั มป.จ. 2 ล 1.สหชาตกมั ม. ๖ (ปมกรตรคูปเนจตสิ .สยนมาัคนคกั า.นกมันั มต.รผล๕) ๗ 14 วิปากป.จ. ก ๘ 15 อาหารป.จ. 2 ล 1.นามอาหาร. 16 อนิ ทริยป.จ. 3 ล 1.สหชาตินทรยิ . ๙ 2.ปุเรชาต 17 ฌานป.จ. ล ๑๐ 18 มัคคป.จ. ล ๑๑ 19 สัมปยตุ ตป.จ. ก ๑๒ 20 วิปปยุตตป.จ. 4 ก 1.สหชาตวปิ . ๑๓ 2.วตั ถารมั มณปุเรชาตวปิ . ๖ 3.วัตถปุ เุ ร 21 อัตถปิ .จ. 6 ญ 1.สหชาตัตถ.ิ ๑๔ 2.อารมั มณปเุ รชาตตั ถิ. ๗ 3.วตั ถุปุเร 22 นตั ถปิ .จ. ๖ 23 วิคตป.จ. ๗ 24 อวิคตป.จ. 6 ญ 1.สหชาตอวคิ ต. ๑๕ 2.อารัมมณปเุ รชาตอวคิ ต. ๘ 3.วัตถปุ เุ ร ญ. ๔ ส นิ ถิ อะ 1.อารมั มณ. 1.อนนั ตร., สมนนั ตร., 1.วตั ถุ ๕ แบงกลุม ก. ๔ อญั ปา สมั วปิ 2.อารมั มณาธิ + อารัมมณู อนันตรูปนิส., นัตถ.ิ ,วคิ ต. 2.ปเุ รชาต ล. ๗ เห ธิ กมั หา อนิ ฌา มคั 3.วัตถา ๒ 4.อารมั มณปุ.๓ 2.อาเสวน. 3.ปกตูปนสิ .

มี 10 ปจจัย วาโดย ชาติ ได 9 ชาติ -4- มี 33 ปจจยั ถปุ เุ รชาตชาติ 5 ปจ ฉาชาตชาติ 6 อาหารชาติ 7 รปู ชวี ิตนิ - 8 ปกตปู นสิ สยชาติ 9 นานักขณกิ - ๔๓ ทริยชาติ ๓ ๖ ๑ หรือ ๒ กมั มชาติ ๑ รชาตนสิ สย. ๑ รชาต. ๒ (3.สปุทกธตปูปกนตสิ ปู สนยสิ . สย )๑ ๑ นมิสานสักกขปณกิกตกูปัมนมิส.สย- ๒ 2.นานักขณิกกมั ม. ๑ 2.รูปอาหาร. ๑ ตินทริย. ๓ 3.รูปชีวิตนิ ทรยิ . ๑ รชาตวิป. ๔ 4.ปจ ฉาชาตวิป. ๒ ๒ 6.อินทรยิ ตั ถิ. ๒ รชาตตั ถ.ิ ๕ 4.ปจฉาชาตตั ถิ. ๓ 5.อาหารัตถิ. รชาตอวิคต. ๖ 4.ปจฉาชาตอวิคต. ๔ 5.อาหารอวคิ ต. ๓ 6.อนิ ทริยอวิคต. ๓ (เวนปเุ รชาติน.) 1.ปจ ฉา.๔ 1.อาหาร.๓ 1.รูปชีวิตินทรยิ .๓ 1.ปกตูปนสิ สย. 1.นานกั ขณกิ กมั ม. ตนิ ทริย. 2.มิสสกปกตูนิสสย.

แบงเปน ๖ พวก ปจจยั ๒๔ / พสิ ดาร ๔๗ ปจ จัย ชว ยอปุ การะแก ปจจยุปบันธรรม น-น น - นร น-ร ร-น บนร - น นร - นร ร-ร นร - น ๖๕๑ ๑๒๙ ๑. เหตุ ปจ. เหตุ ๖ สเหตุกจติ ๗๑, ๕๒ (-โม.ใน โม.๒), สเหตกุ จิตตชรปู , สเหตกุ ปฏ.ิ กมั มชรปู ๑ ๒. อารมั มณ. ๘๙, ๕๒, ๒๘, นิพ., บัญ. ๘๙, ๕๒ ๑ ๓. อธปิ ติ. สหชาตาธปิ ต.ิ อธิบดี อธ.๔ สาธปิ ติชวนะ๕๒ ( ชวนะ ๕๕ -โมห.๒ หสิ.๑), ๕๑, สาธปิ ตจิ ิตตชรปู 3๑ อารัมมณาธปิ ต.ิ อิฏฐนิปผันนรูป ๑๘, ๘๔, ๔๗, นิพ. โลภ.๘, ม.กุ.๘, ม.กิ.ส.ํ ๔, โลกตุ .๘, ๔๕ 3 ๔. อนันตร. ๘๙, ๕๒ ทเ่ี กดิ กอนๆ ๘๙, ๕๒ ท่เี กดิ หลงั ๆ ๑ ๕. สมนันตร. = อนันตร. ๒ ๖. สหชาต. (๑) ๘๙, ๕๒ ๘๙, ๕๒ 3 (๒) มหาภูตรูป ๔ มหาภตู รปู ๔ ๒3 (๓) ปฏ.ิ .๑๕, ๓๕, หทยวัตถุ ปฏิ..๑๕, ๓๕, หทยวตั ถุ 3 (๔) ๗๕, ๕๒ จิตตชรปู , ปฏ.ิ กัมมชรปู 3 (๕) มหาภตู รปู ๔ อปุ าทายรปู ๒๔ 3 ๗. อัญญมัญญ. = สหชาต. ขอ (๑), (๒), (๓) ๓ ๘. นสิ สย. สหชาตนิสสย. = สหชาต. ขอ (๑), (๒), (๓), (๔), (๕) 3 วัตถปุ เุ รชาตนสิ สย. วตั ถุรปู ๖ ท่ีเกิดกอ น + กําลังตง้ั อยู ๘๕ (-อรปู .ว.ิ ๔), ๕๒ ทเ่ี กิดหลังๆ 3๔ วัตถารมั มณปเุ รชาตนิสสย. หทยวตั ถุ มโน.๑., กามชวนะ ๒๙, ตทา.๑๑, อภญิ . ๒, ๔๔ 3 ๙. อุปนสิ สย. อารัมมณปู นิสสย. = อารมั มณาธปิ ติ 3 อนันตรปู นิสสย. = อนันตร. 3๒ ปกตปู นสิ สย. ๘๙, ๕๒ ทีเ่ กดิ กอ นๆ, ๒๘, บญั .(ทเ่ี ปนพลวะ) ๘๙, ๕๒ ทเี่ กิดหลังๆ 3 ๑๐. ปุเรชาต. วตั ถุปเุ รชาต. = วตั ถุปเุ รชาตนสิ สย. กามจติ ๕๔, อภิญ. ๒, ๕๐ (-อัปปมญั ญา ) ๑ อารมั มณปเุ รชาต. ปจจบุ นั นปิ ผนั นรปู ๑๘ ๑๑. ปจ ฉาชาต. ๘๕, ๕๒ ทเี่ กิดหลงั ๆ จตุสมฏุ ฐานกิ รูป ท่เี กิดกอน + กาํ ลังตั้งอยู ๑ ๑๒. อาเสวน. ชวนะ ๕๑ (-ผลจติ ๔), ๕๒ ท่ีเกิดหลงั ๆ ๓ โลกยี ชวนะ๔๗, ๕๒ ทีเ่ กดิ กอ นๆ ๑๓. กมั ม. สหชาตกัมม. เจตนา ๘๙ ๘๙, ๕๑ (-เจตนา), จิตตชรปู , ปฏิ.กัมมชรปู ๒ นานักขณกิ กัมม. เจตนา ๓๓ วปิ าก ๓๖, ๓๘, กมั มชรูป (ปก.ํ วกํ. ญกํ.) ๑๔. วิปาก. วปิ าก.๓๖, ๓๘ วปิ าก.๓๖, ๓๘, วิปากจติ ตชรปู , ปฏิ.กัมมชรปู ๓ ๑๕. อาหาร. รูปอาหาร. จตุสมุฏฐานกิ โอชาทเี่ ปน อัชฌัตตะ, อตุ ชุ โอชาทเี่ ปน พหิทธะ รูปทเ่ี หลือในกลาปเดยี วกันและรปู กลาปอน่ื ๕3 นามอาหาร. นามอาหาร. อธ.๓ ๘๙, ๕๒, จิตตชรูป, ปฏิ.กมั มชรปู 3 ๑๖. อนิ ทริย. สหชาตนิ ทรยิ . นามอินทรยี  อธ.๘ ๘๙, ๕๒, จิตตชรูป, ปฏิ.กัมมชรปู 3 ปเุ รชาตนิ ทรยิ . ปสาทรูป ๕ ทวิ.๑๐, ๗ 3๖ รูปชีวติ ินทรยิ . รปู ชีวิตนิ ทรยี  กัมมชรปู ทเี่ หลือในกลาปเดยี วกนั 3 ๑๗. ฌาน. องคฌ าน ๕ ๗๙ (-ทวิ.๑๐), ๕๒, จติ ตชรปู , ปฏ.ิ กมั มชรปู ๔ ๑๘. มคั ค. องคมรรค ๙ สเหตุกจิต ๗๑, ๕๒, สเหตกุ จิตตชรูป, สเหตกุ ปฏิ.กมั มชรปู ๕ ๑๙. สัมปยุตต. = สหชาต. ขอ (๑) ๔ ๒๐. วปิ ปยตุ ต. สหชาตวิปปยุตต. = สหชาต. ขอ (๓), (๔) 3 วตั ถุปุเรชาตวปิ ปยุตต. = วตั ถปุ เุ รชาตนสิ สย. 3 วัตถารมั มณปเุ รชาตวิปปยตุ ต. = วตั ถารมั มณปุเรชาตนิสสย. 3๗ ปจฉาชาตวิปปยตุ ต. = ปจ ฉาชาต. 3 ๒๑. อตั ถ.ิ สหชาตัตถ.ิ / อวคิ ต. = สหชาต. ขอ (๑), (๒), (๓), (๔), (๕) 3 ๒๔. อวิคต. วตั ถปุ เุ รชาตตั ถิ. / อวคิ ต. = วตั ถปุ เุ รชาต. 3๘ ๙ อารัมมณปเุ รชาตตั ถิ. / อวคิ ต. = อารมั มณปเุ รชาต. 3 ปจฉาชาตัตถิ. / อวิคต. = ปจฉาชาต. 3 อาหารัตถ.ิ / อวคิ ต. = รูปอาหาร. 3 อนิ ทริยตั ถิ. / อวิคต. = รปู ชวี ิตินทริย. 3 ๒๒. นตั ถิ. = อนันตร. ๕ ๒๓. วิคต. = อนนั ตร. ๖

๑. เหตปุ จ จยั ธรรมทช่ี ว ยอปุ การะ โดยความ เปนเหตุ - นาม เปน ปจ จยั ช 5 ทม่ี าเหตุ ๖ : เหตุ - เปน ธรรมท่ที าํ ใหผ ลธรรมเกดิ ขึน้ ตั้งมั่นและเจรญิ ขึ้น เหตุ ๖ อโ - พระพุทธองคท รงแสดง ๑ โลภเหตุ - โลภ เจ. ๑. เหตเุ หตุ ไดแ ก เหตุ ๖ ๒ โทสเหตุ - โทส เจ. ๒. ปจ จยเหตุ ไดแ ก มหาภูตรปู ๔ ใหอ ปุ าทายรปู ๒๔ เกดิ ๓ โมหเหตุ - โมห เจ. ๓. อตุ ตมเหตุ ไดแ ก อก.ุ / ก.ุ กรรม ใหอก.ุ / ก.ุ วิปาก เกิด ๔ อโลภเหตุ - อโลภ เจ. ๔. สาธารณเหตุ ไดแ ก อวิชชา ใหป จ จัยทั้งหลายเกิด ๕ อโทสเหตุ - อโทส เจ. ในเหตปุ จจยั น้ี ทรงมุงหมายขอ ๑ คอื เหตุเหตุ ไดแก เหตุ ๖ ๖ อโมหเหตุ - ปญ ญา เจ. จติ ๘๙ 5 เหตุ ๖ เปนปจจัยให สเหตกุ จติ ๗๑ ไดอยางไร 5 เหตุ ๖ เปนปจ ๒๒๑ ๐ อกศุ ลเหตุ - โล, โท, โม ---> อก.ุ ๑๒, ๒๗(-โม.เจ.> โม.๒) ภพกอน ภพน กศุ ลเหตุ - อโล, อโท, อโม ---> กุ.๒๑, ๓๘ ปฏิ ๒ วปิ ากเหตุ - อโล, อโท, อโม ---> วปิ ากสเหตุก.๒๑, ๓๘ อปุญญ. กิรยิ า - อโล, อโท, อโม ---> กริ ิยาสเหตุก.๑๗, ๓๕ ปญุ ญ. ๓ อเหตุก. ๑๘ เหตุ ๖ สเหตกุ .๗๑ เจ.๕๒ (-โม.เจ. > โม.๒ ) เหตุ ๖ ส-เหเอตกกุ เห. ๗ตกุ ๑. ๒ - ทวเิ หตุก. ๒๒ - ตเิ หตุก. ๔๗

-5- ชว ยอุปการะแก นามรปู ( น นร ) โสภณ โสภณ กุศล อกศุ ล อพยา. กุ.ชาติ อกุ.ชาติ ว.ิ ชาติ กิ.ชาติ ปุ. โสดา. สกทา. อนา. อร. - - - - - - 3 3 3 3 - 3 - - 3 - - 3 - - 3 3 3 - - - - - - - - 3 3 3 3 - 3 3 3 3 3 3 3 3 3 3 3 3 3 3 3 3 3 3 3 3 3 3 3 3 3 - 3 3 - 3 3 - 3 3 3 - - - - 3 3 - 3 3 - 3 3 3 จจัยให สเหตกุ จติ ตชรปู + สเหตกุ ปฏิ.กํ ไดอยางไร 5 สรปุ องคธรรมรวมของ เหตุปจ จัย คอื นี้ เหตุ ๖ สเหตกุ จิต ๗๑, เจ.๕๒ ( -โม.เจ. > โม.๒ ) สเหตุกจิตตชรูป, ปวัตติกาล = เหตุ ๖ + สเหตกุ จิตตชรูป สเหตกุ ปฏสิ นธิกมั มชรปู อเหตุก.ณ.อก.ุ ๑ / อเหตกุ .ณ.กุ.๑ สเหตกุ ปฏิสนธกิ ัมมชรปู = ม.วปิ าก.๘ (เหตุ ๓ + ๒ ) / = รูป.วิปาก.๕ (เหตุ ๓ ) / = อรปู .วปิ าก.๔ (เหตุ ๓ ) สเหตกุ จิตตชรปู , สเหตุกปฏิสนธิกมั มชรปู = เปน ปจจยั ชว ยอุปการะแก

๒. อารมั มณปจจยั ธรรมทีช่ ว ยอปุ การะ โดยความ เปน อารมณ - บญั ญตั ิ นามรูป 5 เมอ่ื วาโดยอารมณธ รรมทง้ั หลายเปน อารมณไดท ง้ั หมด จติ ๘๙, ๕๒, ๒๘, นิพพาน, บญั ญัติ และผูร ูอารมณ ปญจารมณ ปญ มโนวิญญาณธาตุ ม ช..........ช (วิสยรูป ๗) สํ ณ วุ ช .......... ช ต ต ...ฯลฯ... ภ น ท ภ ตี น ท ป วัตถุ ๕ ปญ จ.วิญ. กามชวน ๒๙ (อกุ.๑๒, ม.ก.ุ ๘, ม.ก.ิ ๘, หส.ิ ๑) รอู ารมณทั้งหมด อาศัยปญจวัตถเุ กดิ อาศยั หทยวตั ถุเกดิ มโน - หส.ิ ๑, ตทา.๑๑ (เกิดในกามภมู เิ ทา นั้น ) รอู ารมณทง้ั หมดในกามภมู ิ ( กามจิต ๕๔ ๕๒ ๒๘ ) ๓ ดวงนี้ - อกุ.๑๒, ม.กุ.๘, ม.ก.ิ ๘ (เกิดในกามภมู ,ิ รปู ภมู ,ิ อรูปภูมิ ) รูปจจุบนั อารมณเ ทา น้ัน รอู ารมณใ นโลกยี จิต ๘๑ ๕๒ ๒๘ (กาม. + มหัคค.) การรูอ ารมณใ นวถิ ี ๑. ป ปญ สํ - ทวิ.๑๐, มโนธาตุ ๓ รูป ญ จารมณทเี่ ปน ปจจบุ นั อารมณเ ทา นน้ั แตอาศัยวตั ถ ๒. ช ... ช กามชวน ๒๙ - หส.ิ ๑, ตทา.๑๑ รอู ารมณท้งั หมดในกามภูมิ ได - อก.ุ ๑๒, ม.กุ.๘, ม.กิ.๘ รูอารมณทัง้ หมดในกามภูมิ, รปู ภูมิ, อรปู ภมู ิ ได ๓. ม - มโนทวารา. รอู ารมณไดทงั้ หมดโดยไมมเี หลือ ได ๔. ฌ ฌานวถิ -ี รูป. - ปฐมฌาน รอู ารมณบัญญัติ ๒๕ ( กสิน ๑๐, อสภุ . ๑๐, อานาปา.๑, - ทตุ ิ > จต.ุ ฌาน รูอารมณบ ญั ญตั ิ ๑๔ ( กสิน ๑๐, อานาปา.๑, เมตตา ๑, ก - ปญจมฌาน รอู ารมณบัญญตั ิ ๑๒ ( กสิน ๑๐, อานาปา.๑, อุเบกขา ๑ ฌ ฌานวถิ -ี อรปู . - อากาสา.ฌาน รูอารมณบ ญั ญัติ - กสณิ คุ ฆาฎิมากาสบัญญตั ิ มีอาร - วญิ ญา.ฌาน รูอารมณมหคั คต - อากาสานญั จายตนฌาน รูอ ารมณบญั ญัติ - นตั ถภิ าวบัญญัติ - อากิญ.ฌาน - เนวสญั ญา.ฌาน รูอ ารมณม หัคคต - อากิญจญั ญายตนฌาน ๕. ม๔ ผ๔ - มัคควถิ ี มพี ระนพิ พานเปนอารมณ

-6- เปน ปจ จัยชว ยอุปการะแก นาม ( บัญ.นร น) จิต ๘๙, ๕๒ ช ภ ...ฯลฯ... ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ ม ภ ...ฯลฯ... ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ม๔ ผ๔ ๘๙ ๕๒ ๒๘ นพิ . บญั . รอู ารมณเฉพาะของตน มีพระนพิ พานเปนอารมณ ถเุ กิดไมเ หมอื นกนั จิตรบั อารมณ แนน อน ๔ ดแก กาม. ๕๔, ๕๒, ๒๘ ๒๕ > ทว.ิ ๑๐ มโน.๓ ณ.๓ ม.วิ.๘ หส.ิ ๑ > อา.๖ ท่เี ปนกาม. ๖ ดแก กาม. มหคั . ๘๑, ๕๒, ๒๘ > วิญ.๓, เน.๓ > ธัม. ทีเ่ ปน มหคั ค. ๒๑ ดแ ก กาม. มหคั . โลกุต. ๘๙, ๕๒, ๒๘, บัญญตั ิ ๘ > รูป.๑๕ -อภ.ิ ๒, อา.๓, กิญ.๓ > ธัม. ทีเ่ ปนบัญ. , โกฏฐาสะ ๑, เมตตา ๑, กรณุ า ๑, มทุ ิตา ๑ ) ๒๐ > โลกตุ .๘ > ธมั . ท่ีเปนนพิ พาน กรุณา ๑, มุทติ า ๑ ) รวม ๒๖ ๕ จิตรับอารมณ ไมแ นน อน ๓ ๑) ๖ > อก.ุ ๑๒, ม.ก.ุ วปิ .๔, ม.ก.ิ วิป.๔ เกดิ ไดใ น อา.๖ ทเี่ ปน กาม.มหัค.บัญ.(-โลกุต.๙) รมณเฉพาะของตน > ม.ก.ุ ส.ํ ๔, ก.ุ อภ.ิ ๑ เกดิ ไดใ น อา.๖ ทเ่ี ปน กาม.มหัค.โลกุต.บัญ.(-อร.มัค, ผล) > ม.กิ.สํ.๔, กิ.อภิ.๑, มโน.๑ เกิดไดใน อา.๖ ท่เี ปนกาม.มหคั .โลกตุ . บัญ. โดยไมม ีเหลือ

ตารางอารมณ ๖ อารมณ (ตวั ถกู ร)ู รอู ารมณโ ดย ธมั มาธิษฐาน (ผูร)ู รอู ารมณโดย ปุค - ทว.ิ ๑๐, มโนธาตุ ๓ - ปุถุชน + ฌานลาภบี ุคคล + พระอรยิ บุคคล ๑. ปญจารมณ - ตทา.๑๑, หสิ.๑ (ชวน) - ปถุ ชุ น + ฌานลาภีบุคคล + พระอริยบุคคล ท ทีเ่ ปน ปจจบุ ันอารมณ ชวน ๒๘ ๒. กามจติ ๕๔, ๕๒, ๒๘ - อก.ุ ๑๒, ม.ก.ุ วิป.๔, ม.ก.ิ วปิ .๔ ทเี่ ปนกามธรรมอยา งเดยี ว ปถุ ชุ น - ม.ก.ุ สํ.๔ ๓. กามจติ ๕๔, ๕๒, ๒๘ พระอรยิ .ตํา่ ๓ + มหคั ค.๒๗, ๓๕ ปุถุชน + ฌานลาภบี ุคคล - คิดถงึ ได พระอริยตา่ํ ๓ (วิปสสน โลกยี .๘๑, ๕๒, ๒๘, บญั . - คิดถงึ ได โลกีย.๘๑, ๕๒, ๒๘, บัญ. + ม.๓, ผ.๓, นพิ พาน จติ .๘๗, ๕๒, ๒๘, นพิ .,บัญ. ( เปน เตกาลกิ อดี. ปจ . อนา. ) + อรม.๑, อรผ.๑ พระอรหันต - คดิ ถึงได จติ .๘๙, ๕๒, ๒๘, นิพ.,บญั . พระอรหันต - ม.กิ.ส.ํ ๔ ( โดยไมม เี หลอื ) ๔. อารมณโ ดยเฉพาะของรูป - ฌานลาภบี คุ คล เขา ฌานสมาบัติ รอู ารมณกร ออกจากฌานเปน ม.กุ.สํ.๔ ร - กรรมฐาน ๒๕ - รูป.ก.ุ ๕ - พระอรยิ ตา่ํ ๓ เขาฌานสมาบัติ รูอารมณก รร - กรรมฐาน ๑๔ บัญญตั ิ ออกจากฌานเปน ม.กุ.สํ.๔ ร - กรรมฐาน ๑๒ - พระอรหนั ต เขา ฌานสมาบัติ รูอ ารมณก รร ออกจากฌาน เปน ม.ก.ิ ส.ํ ๔ ร ๕. อารมณโดยเฉพาะของอรูป - รปู .ก.ิ ๕ ๑.กสิณคุ ฆาฏิ., ๒.อากาสานญั จา. ( เกดิ เฉพาะในฌานวิถีเทา น้ัน ) - ฌานลาภีบคุ คล + พระอริยบคุ คล ๓.นตั ถภิ าวะ, ๔.อากิญจญั ญา. ๖. พระนิพพาน - อรูปก.ุ / ก.ิ - พระอริยบคุ คล - โลกตุ ตรจติ ๘

-7- คคลาธิษฐาน (ผรู )ู สรปุ องคธรรมรวมของ อารมั มณปจจัย คอื ที่อยูใ นกามภูมิ ๗ - รปู ารมณ ถกู รโู ดย จกั ขุวิญญาณธาตุ คือ อก.ุ , ม.ก.ุ สํ / วปิ โผฏฐัพพา. ถกู รโู ดย กายวญิ ญาณธาตุ วสิ ยรปู ๗ นา, กมั มสกตาญาณ ฟงพระสทั ธรรม) - ปญจารมณ ถูกรโู ดย มโนธาตุ คอื อก.ุ (ตามกเิ ลสที่เหลอื ตามสมควรเฉพาะตน) ม.ก.ุ สํ / วิป - ธัมมารมณ ถูกรโู ดย มโนวิญญาณธาตุ คอื ม.ก.ิ ส.ํ (เมือ่ พจิ ารณา), (๘๙, ๕๒, ๕, สุขมุ .๑๖, นิพ,.บญั . เวนวิสยรปู ๗) ม.ก.ิ วปิ .(ถาไมไ ดพ จิ ารณา) จติ ๘๙, ๕๒, ๒๘, นพิ ., บัญ, จติ ๘๙, ๕๒ รรมฐาน รอู ารมณ จติ .๘๑, ๕๒, ๒๘, บัญ. รมฐาน, เขาผลสมาบัติ รูอารมณนิพพาน รอู ารมณ จิต.๘๗, ๕๒, ๒๘, นิพ., บญั . รมฐาน, เขา ผลสมาบตั ิ รูอารมณนิพพาน รอู ารมณ จติ .๘๙, ๕๒, ๒๘, นิพ.,บัญ.

๓. อธิปติปจจยั ธรรมที่ชวยอุปการะ โดยความ เปน อธบิ ดี มี ๒ - นามรูป เปนปจจัยชวยอุปการะแก นามรูป ( นร นร ) ๑. เปนอธบิ ดแี ลวเกิดพรอ ม มี อธ. ๔ คือ ฉนั ทะ วริ ิยะ จิตตะ วิมงั สา (ปญ ญา) ๒. เปน อารมณท่ีพงึ เอาใจใสเปน พิเศษ ๑. สหชาตาธปิ ตปิ จจยั -ฉันทเจตสกิ ทําหนาที่เปนอธิบดอี ารมณ เรียกวา ฉนั ทาธปิ ติ -วิริยะเจตสกิ \" \"\" วิริยาธิปติ -จิต ๘๙ \" \"\" จิตตาธิปติ เปน -ปญ ญาเจตสกิ \" \"\" วิมังสาธปิ ติ * อธ. ตัวใดเปน ปจจยั ประธานแลว อีก ๓ ตัวทเ่ี หลอื ทาํ หนา ที่เปนปจจยุปบัน สหชาตธรรม * อเหต.ุ ๑๘ เปน อธิบดีไมไดเพราะ ไมม เี หตุ * ม.วปิ าก.๘, มหัคคตวิปาก. ๙ เปน ผล จงึ เปน อธบิ ดีไมไ ด เพราะไมมีกาํ ลัง อ 5 * ไมมีการแสดง สหชาตาธิปติปจ จัยใน ปฏิจจสมุปบาท คใู ดเลย เชน ๑. วิญญาณ นามรปู จติ =จิตตาธปิ ติ เจ. ที่ในโลกียวปิ าก ตอ งเปน อธิบดไี ดทงั้ คู จึงเปนอธิบดี อธ.๔ ไมไ ด เปนอธบิ ดีได ไมใ ชช วนะ ๒. นามรปู สฬายตนะ จึงเปน อธบิ ดี อธ.๔ ไมได เจ. ๓๕ มนายตนะ = จติ เปนอธบิ ดี อธ. ๓ ได เปน โลกียวปิ าก.

-8- ๒ เนื้อความ เปน อธิบดแี ลว เกิดพรอม ประการหน่ึง = สหชาตาธปิ ติ ปจจัย (น-นร) เปน อธิบดแี ลว เปนอารมณ ประการหนึง่ = อารัมมณาธปิ ติ ปจจัย (นร-น) ) ที่แสดงพรอ มกัน ---> นามรปู ท่เี กดิ พรอมกนั ดว ยอํานาจแหง สหชาตาธิปติปจ จัย ---> นาม ดว ยอาํ นาจแหง อารมั มณาธปิ ติปจ จัย น นามธรรม ที่มีกาํ ลงั = อกศุ ล.๑๒, ม.ก.ุ ๘, ม.กิ.๘, หสิ.๑, มหคั .ก.ุ ๙, มหัค.กิ.๙, โลกุต.๘ ชวนะ ๕๕ เวน โมห.๒ (มเี หตเุ ดยี ว) เวน หส.ิ ๑ ( ไมม เี หตุประกอบ ) อธบิ ดี อธ. ๔ ---> ชวนะ๕๒ เรยี กวา สาธปิ ตชิ วนะ ๕๒ (เวน โม.๒, หส.ิ ๑), เจ.๕๑ (เวน วจิ ิ ), สาธปิ ตจิ ติ ตชรปู ** สาธปิ ติจิตตชรปู - เกิดในปวัตติกาล เพราะมีชวนะเกดิ ไดแ ละมจี ติ ตชรปู เกดิ พรอม ในปฏสิ นธิกาล ไมมสี าธปิ ตปิ ฏิสนธิกัมมชรปู เพราะในปฏสิ นธิจติ ไมมีชวนะ 5 สรปุ องคธรรม สาธปิ ตชิ วนะ๕๒ ( ชวนะ ๕๕ เวน โมห.๒ หส.ิ ๑), ๕๑, สาธิปตจิ ติ ตชรูป = อธิบดี อธ.๔

๒. อารัมมณาธปิ ตปิ จจยั อธ. อิฏฐนปิ ผันนรปู ๑๘, ๘๔, ๔๗, นิพ. จาก อารัมมณปจจยั อธ. ๘๙, ๕๒, ๒๘, นิพ., บญั . - สามญั ๒ ๑๓ ๔ - อธบิ ดีอารมณ เปน อารมณหน่ึง อยูในอธิปตปิ จจยั ๑. สหชาตาธปิ ติปจจยั อธ. อธบิ ดี อธ.๔ ๒. อารัมมณาธิปตปิ จจัย อารมณตองเปน อิฏฐารมณเทา น้ัน ๑ ๒๘ - นิปผนั นรปู ๑๘ เปนรปู ปรมัตถ - นา รักนายนิ ดไี ด จึงเรยี กวา อิฏฐนิปผันนรปู ๑๘ - อนิปผนั นรูป ๑๐ เปนอาการของปรมตั ถ - นา รักนายนิ ดไี มไ ด ๒ ๘๙ - เปน อนฏิ ฐารมณ ๕ ดวง โทส.๒, โมห.๒, ทกุ ขกาย ๑ เปน อธบิ ดอี ารมณไ มไ ด แตเ ปนอารมณส ามัญได จงึ เหลือ อฏิ ฐารมณ = ๘๔, เจ.๔๗ (-โทจตกุ .๔, วิจิ.๑ ) ๓ นพิ . - เปนอธิบดอี ารมณ ของพระอริย ในขณะที่รูพ ระนพิ พานใหมๆ ถายอ นไปนกึ ถงึ พระนิพพานทีเ่ คยได ก็เปน เพียง อารมณสามญั เทาน้ัน ๔ บัญ. - ไมเปน อธิปติปจ จัย ดังนนั้ อารมณใ ดเปนบัญญัติ กเ็ ปนอธิบดอี ารมณไ มไ ด รูอารมณ สภาพรูอ ารมณ - อิฏฐนปิ ผันนรปู ๑๘ - โลภ.๘, โลกีย.กุ.๑๗, โลกยี .วิปาก.๓๑ (ทุกขกาย ๑), โลภ.๘ (ยนิ ดีพอใจในรูป) กริ ยิ า ๒๐, เจ. - ๘๑, ๕๒, ๒๘ ( เวน โท.๒, โม.๒, ทกุ ขก าย.๑, มัค.๔, ผล.๔, นิพ.) - โลกีย.กุ.๑๗, ๓๘ - โลกีย.กุ.๑๗, ๓๘ สามัญ ม.ก.ุ วิป.๔ ม.ตาํ่ .๓, ผล.ตา่ํ .๓,นิพ. - อรม., อรผ., นพิ . อธิบดี เพราะ อารมณต วั ถูกรู และผรู ูอารมณ เปน กศุ ลเหมือนกนั - พระนิพพาน สามญั อธบิ ดี ม.กุ.สํ.๔ อธิบดี ม.กิ.ส.ํ ๔ อธบิ ดี โลกุต.๘ อธิบดี

-9- โลภ.๘, ม.ก.ุ ๘, ม.กิ.สํ.๔, โลกตุ .๘, ๔๕ ๘๙, ๕๒ สาธปิ ติชวนะ๕๒ ( ชวนะ ๕๕ เวน โมห.๒ หสิ.๑), ๕๑, สาธปิ ตจิ ิตตชรูป อก.ุ ๑๐ ม.ก.ุ ๘ ม.ก.ิ ๘ มหคั .กุ.๙,ก.ิ ๙ โลกุต.๘ (โโลทภ..๒๘) ม.กุ.๘ โลกุต.๘ ปุถชุ น ม.ก.ุ วปิ . เปนอธบิ ดี (-มม..กก.ิ.ิ สวปิ .ํ ๔.๔) เปน อธบิ ดไี มไ ด อริยะ เพราะรูอารมณ ม.ก.ุ ส.ํ เปน อธบิ ดี = ม.ก.ุ สํ. เปน อธบิ ดี เฉพาะตนซึง่ เปน อารมณบ ญั . ผูรอู ารมณ (บุคคล ) - ปุถชุ น / อรยิ ตา่ํ ๓ - ฌานลาภีบุคคล / อริยตาํ่ ๓ - ปถุ ุชน / ฌานลาภีบคุ คล - ปถุ ุชน / ฌานลาภบี ุคคล - อริยตํ่า ๓ - พระอรหนั ต - พระอรหันต

5 เปรยี บเทยี บ \" อารมั มณปจจัย กับ อารมั มณาธปิ ตปิ จจัย \" อารมณ ( ถกู รู ) สภาพนามธรรม ( ผูรู ) อารมั มณปจจยั ( สามญั / อธิบดี ) อารมั มณาปจจยุปบัน ๘๙ ๕๒ ๒๘ นิพ. บัญ. ๘๙, ๕๒ ๑. ปญ จารมณ ท่ีเปน ปจ จบุ ัน ( เปน อารมณอยา งสามญั ) - ทว.ิ ๑๐, มโนธาตุ ๓ - รูอ ารมณอ ยางสาม จกั ขุวญิ . อาศัยจกั ขวุ ัตถุเกิด เปนปจจบุ ันอารมณ มโนธาตุ อาศัย หทยวัตถุเกดิ แตร ูสามัญเหมือนก รปู ารมณ ภ ตี น ท ป จกั สํ ณ วุ ช..........ช ต ต จกั ขุวัตถุ โลภะ - ฝก ใฝใ นอารมณ ไดอ าํ นาจปจจยั ๒ รูอารมณท ่ัวไปในกามจติ ๕๔, ๕๒, ๒๘ ทเี่ ปนกามธรรม ๑.อารัมมณ ปจ. ๒.อารัมมณาธ ๓. โลกยี จติ ๘๑, ๕๒, ๒๘, บัญญัติ โทสะ ได อารัมมณ ปจ. โมหะ ๔. ๘๗, ๕๒, ๒๘, นพิ ., บัญ. ( เตกาลิก + กาลวมิ ุต ) - ตทา.๑๑, หสิตุป.๑ - รูอ ารมณอ ยา งสาม - อกศุ ล ๑๒ -โลภ.๘ ไปรอู ารมณ -โท.๒,โม.๒, ทกุ ขก าย (ไมฝ กใฝ ) = อา -ทีเ่ หลือ ๗๖ ( ฝก ใฝ ) = อา -นปิ ผนั นรูป ๑๘ = อา -อนปิ ผนั นรูป ๑๐ -โทส.๒ ไปรูอารมณ ๘๑ = อา -โมห.๒ - ม.กุ.วิป.๔ ของ ปุถชุ น, ฌานลาภี., พระอริยะตาํ่ ๓ - ม.กิ.วิป.๔ ของ พระอรหันต - ม.กุ.สํ.๔ ๕. ๘๙, ๕๒, ๒๘, นพิ , บัญ. ( เตกาลิก + กาลวิมุต ) - ม.ก.ิ ส.ํ ๔ ของ พระอรหนั ต

มัญ อารมณ ( ถูกรู ) - 10 - ณ อารมั มณาธปิ ติปจ จัย สภาพนามธรรม ( ผูรู ) กนั อิฏฐนิปผันนรูป ๑๘, ๘๔, ๔๗, นพิ . อารมั มณาธปิ ตปิ จ จยปุ บนั โลภ.๘, ม.กุ.๘, ม.ก.ิ สํ.๔, โลกตุ .๘, ๔๕ ธปิ ติ ปจ. 2 . 2 มัญ - ๗๖ (-โท.๒, โม.๒, ทกุ ขก าย ๑ ) - อิฏฐนิปผันนรูป ๑๘ - โลภมลู .๘ า.สามัญ า.อธิบดี - โลกียก.ุ ๑๗ (๘+๙), ๓๘ า.สามญั - โลกียก.ุ ๑๗, ๓๘ า.สามญั - ม.๓, ผ.๓, พระนพิ พาน ๓ - อรม., อรผ., พระนพิ พาน - พระนพิ พาน - ม.ก.ุ วิป.๔ = ปถุ ชุ น + ฌานลาภี. - ม.กุ.สํ.๔ = ปถุ ุชน + ฌานลาภี. - ม.ก.ิ ส.ํ ๔ = พระอริยต่ํา ๓ = พระอรหันต - โลกุตตรจิต ๘ ไปรูอ ารมณ ม.๓ ผ.๓ ได แตเ ปนอารมณส ามัญ

ตวั อยาง ( อารมณที่ถกู รู ) ( ผรู ูอารมณ ) (อ ๑) ๒ ) อว อวิชชา -----> อปญุ ญาภิสังขาร อก โม.เจ.ท่ใี น อธิบดี เจตนา ที่เปน - โลภ.๘ - โลภ.๘ มี ๒ อารมณ - อารัมมณ ปจ. (อ ๓ ) อว สามญั - อารัมมณาธปิ ติ ปจ. - โทส.๒ อก - โทส.๒ - อารัมมณ ปจ. - โมห.๒ สามัญ - โมห.๒ *** ขอ สงั เกต อธิบดีอารมณ ใน มชั โท. แสดงเพยี ง โลภ --รู---> โลภ

- 11 - อารมณท ี่ถกู รู ) ( ผูรอู ารมณ ) ปญุ ญาภสิ งั ขาร วชิ ชา -----> กุศล ๑๒ ม.กุ.๘ รูป.ก.ุ ๕ ปุถุชน ฌานลาภี. สามญั ได ๑ อารมณ ไมมีอธบิ ดีเพราะ อารมั มณ ปจ. ไดอ ารมณเฉพาะตน บัญ. ๒๕, ๑๔, ๑๒ อารมณที่ถกู รู ) ( ผรู ูอารมณ ) อาเนญชาภสิ งั ขาร วชิ ชา -----> อรปู .กุ. กศุ ล ๑๒ ไมเปนอารมณ เปนปกต.ู เทา น้นั

๔. อนันตรปจ จยั ธรรมท่ชี วยอปุ การะ โดยความตดิ ตอกนั ไมม ีระหวางค่นั ๕. สมนันตรปจ จัย ธรรมที่ชว ยอุปการะ โดยความติดตอ กนั ไมม รี ะหวา งค่นั ทเี ดยี ว อพั - กุ. / อัพ - อก.ุ จุติ ปฏิ ปฐม ภ. ...ฯลฯ... ภ ตี น ท ป จัก สํ ณ วุ ช ช ช อัพยากต อพั ยากต ๒ ปจจัย / ( จิตประเภท วิปาก / กริ ิยา ) ๑ เปน ปจ จัย เทา น้ัน * เกดิ ติดตอ กัน ช๑ * นามชวยนาม (นามธรรม ท่เี กิดกอนๆ ตอ ง ดบั ไป / ไมม ี / ปราศจาก ) กุ. * รูปเปนอนนั ตรปจ จยั ไมไ ด เพราะ อก.ุ ภ ตี น ท ป จกั สํ ณ วุ อัพ. รูปเกดิ รูปเกิด นาม ---> นาม ก รูปเกิด มคี ณุ สมบตั ิ ๗ ขอ ก ๑. รูปทยอยเกดิ ตอ กันโดยไมตอ งรอใหร ูปท่เี กิดกอนนัน้ ดบั ลงไปกอ นเลย ๒. ระหวา งกลาปตอกลาป มี ปริจเฉทรปู ค่ัน (นามธรรมไมมีระหวางคั่น ) ๓. ในรปู กลาปหน่งึ ๆ นน้ั มอี วนิ พิ โภครปู ๘ การดบั ตอ งดับทีเดียวทั้ง ๘ รปู จึงดบั มากกวา ๑ ( นามธรรม ดบั ทีละ ๑ ดวง) อธ. ๘๙ *** คราวใดทเ่ี กดิ สม เปน การแสด

- 12 - นาม เปนปจ จยั ชว ยอุปการะแก นาม ( น น ) . / อัพ - อัพ กุ - อัพ / อพั - อัพ / อกุ.-อัพ ช ช ช ช ต ต ...ฯลฯ... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ..... จุติ ปฏิ ๒-๖ อัพยากต / ปจจยุปบนั ๗ เปนปจจยุปบัน เทา นนั้ ๑-๗ ---> ก.ุ ---> อก.ุ ---> อัพ. กุ. ---> กุ. อก.ุ ---> อกุ. อพั . ---> อพั . - กุ ---> อกุ / อกุ ---> กุ ไมม ที างเปน อนนั ตรปจจัยไดเลย กุ. ---> อัพ. อก.ุ ---> อพั . อพั . ---> กุ. อพั . ---> อก.ุ อวชิ ชา ---> โมห. ---> อกุ. ปญุ ญ. ---> ม.ก.ุ ๘, รูป.ก.ุ ๕ ---> ก.ุ - ก.ุ เกดิ กอ น ชว ย อกุ.เกิดทหี ลังไดโ ดยความเปน ปกตูปนสิ สย. ๙, ๕๒ ท่ีเกดิ กอ นๆ ๘๙, ๕๒ ที่เกิดหลังๆ มนันตรปจจยั ตอ งได อนันตรปจ จยั ดวยเสมอ ดงเพื่อความหลากหลาย แลว แตค วามสนใจในแตละบคุ คล

๖. สหชาตปจจยั ธรรมทีช่ วยอุปการะ โดยความเกดิ พรอมกัน นามรูป เปนปจ จยั ๗. อญั ญมญั ญปจจยั ธรรมทีช่ ว ยอปุ การะ โดยความแกกนั และกัน องคธ รรมที่ ๑ ( น <-> น ) องคธ รรมที่ ๓ ( นร <-> นร ), อง ปจ จัยธรรม ปจจยปุ บนั ธรรม ปฏิ ปภฐม ..ฯลฯ.. 3( นาม นาม (ปฏิ.+ ปวตั ต.ิ ) (วิชานนลกฺขณํ ) ๘๙ เจ.๕๒ (นมนลกขฺ ณํ ) ปวตั ตกิ าล ๗๕ (-ทวิ.๑๐ อรปู .๔), เจ เวทนาขนั ธ -จุตจิ ติ ของ อร. วิญญาณขนั ธ ๑ ๘๙ ขันธ ๓ สัญญาขนั ธ 1ษ2 ( น - ร ) เจ.๕๒ สงั ขารขนั ธ เจ.๕๒ ๘๙ ปฏ.ิ ๑๕ เจ.๓๕ ปฏ.ิ กํ (๓, ๗, ๔) ปฏ.ิ ก หทย 4 (ร-น) อธ.ที่ ๑ = จิต.๘๙, เจ.๕๒ จิต.๘๙, เจ.๕๒ หทยวตั ถุ ชว ย มโนธาตุ + มโนวญิ ญาณธ ( นามขนั ธ ๔ เปนปจ จยั ชว ยซึ่งกันและกัน โดยความเปน สหชาตปจ จัย ) ภ ตี น ท ป จกั สํ ณ องคธรรมที่ ๒, ๕ ( ร - ร ) จักขวุ ตั ถุ ชวย ยก ภาพกลาป ( รปู ที่เกดิ จากกรรม ) มหาภูตรูป ๔ อัญญมญั ญ. กรณที ี่ 1 ( น - ร ) ปฏ.ิ ๑๕, เจ.๓๕ กรณที ี่ 2 ( น - ร ) ปฏิ.๑๕, เจ.๓๕ สหชาต.(อธ.๒) (ชวยซึ่งกันและกนั ) กรณีท่ี 3 ( น - ร ) ปวัตติ.๗๕, เจ.๕๒ สหชาต.(อธ.๕) อปุ าทายรปู ๒๔ กรณีที่ 4 ( ร - น ) หทยวตั ถุ อธ.ท่ี ๒ = มหาภูตรูป ๔ มหาภูตรูป ๔ อธ.ที่ ๓ = 2ษ4 ปฏิ.๑๕, ๓๕,หทยวัตถ อธ.ที่ ๕ = มหาภูตรูป ๔ อปุ าทายรูป ๒๔ อธ.ที่ ๔ = 1ษ3 ปวตั ติ.๗๕, ๕๒

- 13 - ยชวยอปุ การะแก นามรูป ( นร นร ) งคธรรมท่ี ๔ ( น -> ร ) สหชาต. อธ.ขอ ๑ - ๕ อัญญมญั ญ. อธ.ขอ ๑ - ๓ (น-ร) สหชาตปจ จัย สหชาตปจ จยุปบนั 1 ( น - น ) จติ .๘๙, ๕๒ จิต.๘๙, ๕๒ จ.๕๒ จิตตชรปู 2 (ร-ร) มหาภตู รูป ๔ ปฏ.ิ ๑๕, ๓๕, หทยวตั ถุ มหาภูตรูป ๔ ปฏ.ิ กํ.(๒, ๖, ๓), จติ ตชรปู 3 ( นร - นร ) ปฏิ.๑๕, ๓๕, หทยวตั ถุ อปุ าทายรปู ๒๔ กํ. (๒, ๖, ๓) - อัญญมัญญ. 4 ( น - ร ) ปวัตติ.๗๕, ๕๒ - อัญญมัญญ. ยวัตถุ 5 (ร-ร) มหาภตู รปู ๔ ดานนีข้ าด ดา นนี้ มคี รบทัง้ หมด ปฏิ.ก.ํ (๒, ๖, ๓), จติ ตชรปู , อปุ าทายรปู ธาตุ เพราะไมม อี าํ นาจเปนปจจยั ได วุ ช..........ช ต ต แสดงการไหลของจิต ๘๙, ๕๒ ๘๙, ๕๒ ๗๕, ๕๒ ปฏ.ิ กํ.(๒, ๖, ๓), จิตตชรปู ปฏ.ิ กํ. (๒, ๖, ๓) ปฏ.ิ ๑๕, ๓๕ หทยวตั ถุ หทยวตั ถุ จติ ตชรูป มหาภูตรปู ๔ มหาภูตรูป ๔ ปฏิ.๑๕ เจ.๓๕ อุปาทายรูป ๒๔ ถุ ปฏ.ิ ๑๕, ๓๕, หทยวตั ถุ ปฏิ.กํ.(๒, ๖, ๓), จิตตชรูป อญั ญมญั ญปจ จัย - อธ.ขอ ๑ - ๓ แตใ นปฏิจจ. แสดงเพียง ๑ กับ ๓ เทานน้ั - เปนการชว ยระหวาง น-น, น-ร, ร-น ( รปู ตอ งเปนหทยวัตถุ เทา น้นั ) - ไดอัญญ.+สหชาต.เสมอ แตถ าไดสหชาต.ไมจ าํ เปนตองไดอญั ญ.

๘. นสิ สยปจจยั ธรรมทีช่ ว ยอปุ การะ โดยความ เปนท่ีอาศัย - นามรูป เปน ปจ จ นสิ สยปจจยั มี ๓ เน้อื ความ ๑.เกดิ พรอ ม + เปนทอ่ี าศยั สหชาต + นิสสย ปจ. = สหชาตนสิ ๒.เกิด กอ น + เปนทีอ่ าศัย วัตถุ ปุเรชาต + นสิ สย ปจ. = วัตถุปเุ รช ๓.เกิด กอน + เปน อารมณ + เปนท่อี าศัย วตั ถุ ปุเรชาต + อารมณ + นิสสย ปจ. = วตั ถารมั ม ๑. สหชาตนิสสย ปจ. ( นร - นร ) ใน ปฏิสนธกิ าล และปวตั ติกาล องคธรรมท่ี ๑ น - น / ๓ นร - นร / ๔ น-ร องคธรรม ปฏิ ปภฐม ..ฯลฯ.. อธ. ๑ 1 ( น - น ) จิต.๘๙, ๕๒ (น น) 2 (ร-ร) มหาภตู รปู ๔ ปวัตติกาล ๘๙ ๕๒ ๗๕ (-ทว.ิ ๑๐ อรปู .๔), เจ.๕๒ จติ ตชรูป 3 ( นร - นร ) ปฏ.ิ ๑๕, ๓๕ -จุตจิ ิตของพระอรหันต 3( น - ร ) อธ. ๔(๑+๓) 4 ( น - ร ) ปวตั ติ.๗๕, 1( น - ร.ปฏ.ิ ) 2( น - ร.หทย ) อธ. ๓(๒+๔) 5 (ร-ร) ปฏิ.ก.ํ (๒, ๖, ๓) มหาภูตรปู ๔ ปฏิ. ๑๕ เจ.๓๕ ปฏ.ิ กํ (๓, ๗, ๔) หทยวตั ถุ (น น) 4( ร - น )

- 14 - จัยชว ยอุปการะแก นามรูป ( นร นร ) สสย ปจ. ส ชาตนสิ สย ปจ. วตั มณปุเรชาตนสิ สย ปจ. วตั ๕ พวก คือ องคธรรมท่ี ๒, ๕ ( ร - ร ) ๒ จิต.๘๙, ๕๒ ยก ภาพกลาป ( รูปที่เกิดจากกรรม ) ๔ มหาภูตรปู ๔ ๕, หทยวัตถุ ปฏ.ิ ๑๕, ๓๕, หทยวตั ถุ อธ. ๒ มหาภูตรูป ๔ อญั ญมญั ญ. ๕๒ ปฏ.ิ ก.ํ (๒, ๖, ๓), จิตตชรปู อธ. ๕ ๔ อปุ าทายรูป ๒๔ (ชวยซึ่งกันและกัน) อปุ าทายรปู ๒๔

๒. วตั ถปุ ุเรชาตนสิ สย ปจ. ( ร - น ) ใน ปวัตตกิ าล การเกิดของรปู ตา งๆ จักขวุ ิญ. อาศัยจกั ขปุ สาทเกดิ (จิตอื่นๆ อาศยั หทยวตั ถเุ ก ๑ ๒ ..... ..... ๑๓ ๑๔ ๑๕ ๑๖ ๑๗ ภ ภ ตี น ท ป จกั สํ ณ วุ ช..........ช ต ฐตี ิปตตะ ๔๙ อมันทายุก มันทายุกจกั ขปุ สาท ๓๗ จักขุปสาท ๑๑ (มีอายมุ ากกวา รปู ารมณ) (มีอายุนอยกวา รปู ารมณ) มัชฌมิ ายกุ จกั ขปุ สาท ๑ ( จกั ขุวตั ถุเกดิ กอ นจักขวุ ญิ . +ตัง้ อยู + เปนทอี่ าศ (มีอายุ = รปู ารมณ) ** โบราณาจารย กลาววา ธรรมทีเ่ ปน ปจจยั ใหเ กดิ จกั ขวุ ญิ ญาณ ได ตองเปน มชั ฌมิ ายุกจกั ขปุ สาท เทา น้ัน ** อาจารยภ ายหลัง กลาววา ฐีติปต ตะ ๔๙ น้ันแหละ เปนปจ จัยใหเ กิดจักขวุ ญิ ญาณไดท ง้ั สนิ้ (ใหน กั ศกึ ษาถือเอาทง้ั ๒ องคธรรม รูปารมณ มโนวญิ ญาณธาตุ มโนธาตุ ภ ตี น ท ป จกั สํ ณ วุ ช..........ช ต ต หทย. หทย. หทย. หทย. ๒. หทยวัตถุ ชว ย มโนธาตุ + มโนวิญญาณธาตุ โดยความเปน วัตถุปเุ รชาต จกั ขุปสาท ๑. จกั ขวุ ัตถุ ชว ย จักขวุ ญิ ญาณธาตุ (ดวงเดียว) โดยความเปน วัตถุปุเร ๑. - จักขุวตั ถุ -----> จักขวุ ิญญาณธาตุ ฯลฯ กายวตั ถุ -----> กายวญิ ญาณธาตุ ๒. - หทยวัตถุ -----> มโนธาตุ + มโนวิญญาณธาตุ ๑ + ๒. วัตถุรูป ๖ (ทเ่ี กิดกอน + กําลงั ตง้ั อยู) ----> วิญญาณธาตุ ๗ ( จติ ๘๕ (-อรปู .ว.ิ ๔), ๕๒ ที่เกดิ หลงั ๆ )

- 15 - ๓. วัตถารัมมณปเุ รชาตนสิ สย ปจ. ( ร - น ) ใน ปวัตตกิ าล ๑. มโนทวารวถิ ี กดิ ) มอี ตตี ภวังค รับปจ จบุ นั อารมณเทานั้น ไมม ีอตีตภวังค ตต ปจจบุ ัน นิปผันนรูป ๑๘ รับอดตี , อนาคต ( ๒๘, นิพ., บัญ.) เปนอารมณ - มหาภตู .๔ - ภาว.๒ ศัย ) - ปสาท.๕ - ชวี ิต.๑ อารมั มณปเุ รชาต นัย ) - วสิ ย.๔/๗ - อาหาร ๑ - หทย.๑ = วัตถารมั มณปเุ รชาต ต ภ ตี น ท ม ช ....... ช ต ต ภ ............ น ท ม ช ....... ช ภ หทยวตั ถุ ทําหนา ท่ี ๒ อยาง หทยวัตถุ ทาํ หนา ท่ีเปน วัตถุปเุ รชาต ๑ วัตถปุ ุเรชาต ๒ อารมณ วัตถารัมมณปเุ รชาต ** อธ. = หทยวตั ถุ ม๑, กามชวน ๒๙, ตทา ๑๑ น - น = เปน ปจจบุ นั แบบ สนั ตติ (ไมแ ท ) ร - น = เปน ปจจบุ นั แท ( ร = นปิ ผนั .๑๘ (ปจ จบุ ันแทๆ เปนอารมณวปิ สสนา), อนปิ ผัน.๑๐ ปจจุบนั ไมแ ท เปน อาการของนิปผนั . ๒. อภิญญาวถิ ี หทยํ = ฤทธทิ์ ่ีสําเร็จทางใจ ภน ท ม ปริ อุ นุ โค อภิ อทิ ธวิ ิทธอภญิ ญา หทยวัตถุ เปน ปจ.ชว ย เรียกวา วตั ถารัมมณปุเรชาต องคธรรม = หทยวตั ถุ มโน.๑, กามชวนะ ๒๙, ตทา ๑๑, อภญิ .๒, เจ.๔๔ สรุป วัตถุ + วตั ถา ๑. ปญจทวารวิถี ปญจวตั ถุ ---> ทวิ.๑๐ = ปญ จวญิ ญาณธาตุ ๒. มโนทวารวิถี หทยวตั ถุ ---> มโนธาตุ + มโนวญิ ญาณธาตุ = วัตถปุ ุเรชาตนิสสย ปจ. หทยวัตถุ ---> มโนวิญญาณธาตุ ( หทยวัตถุ เปน วตั ถุอยา งเดีบว ) ( ไมม ตี ี ) วตั ถุ ๖ ----> วญิ ญาณธาตุ ๗ ๓. มโนทวารวิถี หทยวัตถุ ---> มโนวิญญาณธาตุ ( ม.๑, กามชวน ๒๙, ตทา.๑๑, อภิญ.๒ เจ.๔๔ ) ( มีตี ) = วัตถารมั มณปุเรชาตนสิ สย ( หทยวตั ถุ เปน วัตถุ + อารมณ )

๙. อปุ นิสสยปจ จัย ธรรมทช่ี ว ยอปุ การะ โดยความ เปน ท่ีอาศยั ท่มี ีกาํ ลังมาก - บัญ.นาม 3 อปุ นิสสยปจจยั มี ๓ เน้อื ความ - วา โดยอารมณท ่มี ีกําลงั แกก ลา และเปน ทอ่ี ณู ๑. อารมั มณู ปนิสสยปจ จัย รู ๒. อนนั ตรู ปนิสสยปจ จัย - วาโดยการเกดิ ติดตอกันไมมรี ะหวา งคัน่ และเปนท่ีอ ตู ๓. ปกตู ปนิสสยปจจยั - เหตุธรรม ที่ กระทาํ ไวแลว อยา งดี ทง้ั ภายในและภายน ( กุ.+อก.ุ ) ( กระทําสําเรจ็ แลว ) ๑. อารมั มณปู นสิ สยปจ จยั ( นร - น ) อารมั มณ ปจ จัย อารัมมณ ปจจยปุ อธ. = ๘๙, ๕๒, ๒๘, นิพ., บญั . ๑) อภชิ ฌา/โทมนัส ๘๙, ๕๒ ปญจารมณ มโนธาตุ ๓ ปญ จารมณ ทเี่ ปน ปจ จบุ นั ๓) ฝก ใฝจ งึ กามจติ ๕๔, ๕๒, ๒๘, บญั . ทว.ิ ๑๐ + มโนธาต ไหลลง ชวนะ ตทา.๑๑, หสิ.๑ (ร ภ ตี น ท ป ทวิ สํ ณ วุ ช ช ตต กาม.+ มหัค. = โลกยี .๘๑, ๕๒, ๒๘, บญั . อก.ุ ๑๒ -ป ๒) เราเหน็ ม.ก.ุ วิป.๔ หทย. ๘๑, ๕๒, ๒๘, บัญ. + ม.๓, ผ.๓, นพิ . ม.กิ.วปิ .๔ -พ ปญ จวัตถุ ๘๗, ๕๒, ๒๘, นิพ., บัญ. -ป รูอารมณ ม.ก.ุ สํ.๔ -พ ปถุ ชุ น ฌานลาภี. อริยตํา่ ๓ อก.ุ ๑๒ อกุ.๑๒ อก.ุ ๑๒ ๘๗, ๕๒, ๒๘, นิพ., บญั . ม.กิ.สํ.๔ -ป กาม.๕๔ + อรม., อรผ. -พ กาม.๕๔ กาม.๕๔ มหคั .๒๗ มหัค.๒๗ ๘๙, ๕๒, ๒๘, นพิ ., บญั . ม.๓ ผ.๓ ** จิตเปนกุศล (ปจจยปุ บัน) นกึ ถงึ อารมณทเ่ี ปน กศุ ล (ปจ จัย) ขณะน้ันเป

- 16 - มรปู เปน ปจจยั ชว ยอปุ การะแก นาม ( บนร น) อาศยั ดวย อาศยั ท่มี ีกาํ ลังแกก ลา นอกท่มี กี ําลังแกกลา และเปนท่ีอาศยั ของนามธรรมหลังๆ ปบัน อารัมมณา. + ณ.ู ปจ จยั อารัมมณา. + ณู. ปจ จยปุ บนั . อธ. = อฏิ ฐนปิ ผันนรูป ๑๘, ๘๔, ๔๗, นพิ . โลภ.๘, ม.ก.ุ ๘, ม.ก.ิ สํ.๔, โลกตุ .๘, ๔๕ ตุ ๓ รวมไดในทกุ บุคคล) 2 2 ปุถุ., ฌาน., พระอรยิ . อิฏฐนิป.๑๘, ๗๖ (-โม.๒.โท.๒,ทุกข ๑) โลภ.๘ พระอรหันต (โลภ.๘,โลก.ี กุ.๑๗, โลกี.วิ.๓๑, กิ.๒๐) อธิบดี ปถุ ุชน, ฌานลาภ.ี โลกยี .กุ.๑๗, ๓๘ ม.กุ.วปิ .๔ ปถุ ุ., ฌานลาภี. พระอริยตาํ่ .๓ อธบิ ดี อริยะไปรโู ลกยี เปนสามัญ ปถุ .ุ , ฌาน., อรยิ ตา่ํ .๓ โลกีย.ก.ุ ๑๗, ๓๘ อธิบดี ม.กุ.สํ.๔ ปถุ ุ., ฌานลาภี. พระอรหันต ม.๓, ผ.๓, นพิ . อธิบดี ม.ก.ิ ส.ํ ๔ อรยิ ะต่ํา ๓ อรม., อรผ., นพิ . อธิบดี พระอรหันต พระนิพพาน อธบิ ดี โลกุต.๘ พระอริยบคุ คล นอธิบดอี ารมณ ** อารมณข องฌานลาภี. รใู น ฌานเปนบญั ญตั ิ. เปนสามญั อารมณ

๒. อนันตรูปนิสสยปจจัย ( น - น ) อัพ. ---> ก.ุ ---> อพั . อก. จตุ ิ ปฏิ ...ฯลฯ... ภ ตี น ท ป จัก สํ ณ วุ ช อัพ. ช ช ตต อพั . ---> อัพ. ชชชช ช๑-๗ ก.ุ ---> ก.ุ อก.ุ ---> อกุ. อัพ. ---> อัพ. อธ. = ๘๙, ๕๒ ทเ่ี กิดกอนๆ ๘๙, ๕๒ ที่เกิดหลงั ๆ ๓. ปกตูปนสิ สยปจ จยั ( บนร - น ) อธ. = ๘๙, ๕๒ ท่เี กดิ กอนๆ , ๒๘, บัญญัติ ( ท่เี ปน พลวะ) ๘๙, ๕๒ ที่เกิดหลังๆ ปกต + อุป + นสิ สย เปนทีอ่ าศยั ทมี่ ีกาํ ลังมาก มกี าํ ลังอยางแรงกลา เหตุธรรม ท่ี ทาํ ไวอ ยางดี ทง้ั ภายในและภายนอก (สาํ เร็จท้งั ทดี่ ี /ไมด ี) เกดิ ข้ึนดว ย ไมเ ก่ียวของดวย อารมณ - ไมไดน กึ โดยความเปน อารมณ อํานาจสภาวะ อนันตระ - ไมไ ดต ิดตอ กนั เหมอื นอนนั ตระ ของตน แตเปนการขา มวถิ ี ขา มกาล ขามชาติ ภพกอน ภพนี้ เปน คนทม่ี จี ริต ภ น ท ม ช ....... ช ต ต ช ช ช ช ช ช ช ทานกุศล โทสะ โทสจรติ \" โลภะ ราคจริต \" โมหะ วติ กจรติ +โมหจรติ \" ศรทั ธา ศรทั ธาจรติ \" ปญญา พทุ ธิจริต

- 17 - 3 เหตุภายใน ภายนอก เปน เหตุใหป กต.ู เกิดไดอยางไร ๑. อกศุ ล ๒. กุศล วิปาก เปน เหตุธรรมภายใน ชื่อวา อุปปาทิตเหตุ ๓. อัพยากต บางคนเอาธรรมภายนอก มาเปน อกศุ ลธรรมภายในตน เชน - ดูละครเศรา แลวรองไห, เห็นขอทานแลวเพงโทษ, เหน็ เขาทําบุญ กอ็ นุโมทนา ญาตเิ สยี ชวี ิต (เปนอัพยากตภายนอก) เราเศราเสียใจ ( เอามาเปน อกศุ ลธรรมภายใน) ๔. บญั ญัติ ปคุ คลบัญ., โภชนบัญ., อุตบุ ญั ., เสนาสนบญั . เปนสว นหนงึ่ ทท่ี าํ ใหเ กิดปกตู. ทัง้ กศุ ล / อกุศลธรรมภายในไดท้งั สน้ิ *** นอกจาก ๔ ขอขา งตน เปน เหตธุ รรมภายนอก ชื่อวา อปุ เสวิตเหตุ 3 ปกตปู นสิ สยปจจัย เรียกอกี ชอื่ วา \" มหาปเทส \" 3 เหตุท่ีพระพุทธองคไมทรงแสดง พระนพิ พาน เปน ปกตูปนสิ สยปจ จัย ๑.พระนพิ พาน จะเกดิ ขน้ึ ได อยูในฐานะกระทําใหเ ปน อารมณข องพระอรยิ เทา นน้ั ๒.พระนพิ พาน เปน อสังขตธรรม ทไี่ มไดป รุงแตง ใหผลเกดิ ข้ึน ๓.แตผ รู ูอารมณในพระนิพพาน ไดแ ก ม.ก.ุ ส.ํ ๔, ม.ก.ิ ส.ํ ๔, โลกตุ .๘ กระทาํ พระนิพพานใหเ ปนอารมณ ฉะนน้ั ม.ก.ุ สํ.๔, ม.กิ.ส.ํ ๔, โลกตุ .๘ ตา งหากทเี่ ปน ปกตูปนิสสยปจจัย 3 สรุป อธ. ปกตปู นสิ สยปจจัย ได ๒ สวน คือ ๑. สทุ ธปกต.ู = ๘๙, ๕๒, ๒๘, บัญ. ๘๙, ๕๒ ท่ีเกิดหลงั ๆ (ไมไดต ดิ ตอ กัน + ไมไดเ ปน อารมณ ) (เวน เจตนากรรม ๓๓ ) วิปาก ๓๖, ๓๘ ( ตดิ ตอ กนั ได ) ๒. มิสสกปกต.ู = เจตนากรรม ๓๓ ** สทุ ธปกตู. + มสิ สกปกตู. จะแสดงละเอียดใน กมั มปจจยั

๑๐. ปเุ รชาตปจจยั ธรรมที่ชว ยอุปการะ โดยความ เกิดกอน - รูป เปนปจ จัยชว 3 วาโดยเนอื้ ความมี ๒ อยาง คอื โดยความเปน วตั ถุ ประการหนึ่ง โดยความเปน อารมณ ประการหนงึ่ ปญจารมณ = เกดิ กอ นโดยความเปน อารมณ = อารัม ปจจุบันอารมณแ ทๆ ไปรูอารมณ เปน อารัม ปุเรชาตปจ จัย ภ ตี น ท ป ทวิ สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต หทย. หทย. มโนธาตุ ๓ ปญ จวตั ถุ = เกดิ กอ นโดยความเปน วตั ถุ = วตั ถุปเุ รชาต ๑. วตั ถปุ เุ รชาตปจ จยั องคธรรม คอื 3 รูปเปนปจ จยั ชว ย นาม ๑. รูปนั้น ตอ งตง้ั อยู แลว ย วัตถุรปู ๖ ทเ่ี กิดกอ น + กาํ ลังตัง้ อยู ๘๕ (เวน อรูป.วิ.๔), ๕๒ ที่เกดิ หลงั ๆ ๒. รปู น้นั ตอ งเปน ทีอ่ าศัย ๓. รปู นัน้ ตอ งเปนใหญอกี - วัตถุรปู ๖ ชวย วญิ ญาณธาตุ ๗ ( มโนธาตุ ๓, มโนวญิ ญาณธาตุ ) ๔. รปู นัน้ ตองไมประกอบ ๕. รปู นน้ั ตอ งยังคงมีอยู - ปจจัย ตองเปน รปู ๖. รูปน้นั ตองยังไมปราศจ - ปจ จยปุ บนั ตอ งเปนนาม - วาโดยกาล ตอ งเปน ปวตั ตกิ าล - วาโดยภมู ิ ตองเกดิ ใน ปญจโวการภมู ิ

- 18 - วยอปุ การะแก นาม (ร น) มมณปุเรชาต. อารัมมณปุเรชาต ปจ. มมณปุเรชาต. ได ๒ ปจ จยั วตั ถุปเุ รชาต ปจ. ตต ตงั้ อยู และยงั ไมด ับไป ต. ( เหมอื น วตั ถุปุเรชาตนสิ สย แตต ดั คาํ วา นิสสย.ออก อธ.เหมอื นเดิม ) มี ๖ อยา ง ชอื่ วา วัตถปุ ุเรชาต ปจ. = วตั ถุ ๖ ปจ จยั แมช ่อื วา ปเุ รชาต ปจ. ยังไมด ับไป \" วัตถปุ เุ รชาตนสิ สย ปจ. = วัตถุ ๖ \"\" นิสสย ปจ. ยของ นาม \" ปเุ รชาตนิ ทรยิ ปจ. = วตั ถุ ๕ (ปสาทรปู ๕) \"\" อินทริย ปจ. กดวย \" วตั ถุปุเรชาตวปิ ปยุตต ปจ. = วตั ถุ ๖ \"\" วปิ ปยตุ ต ปจ. บกบั นาม \" วัตถปุ ุเรชาตตั ถิ ปจ. = วัตถุ ๖ \"\" อตั ถิ ปจ. \" วัตถปุ ุเรชาตอวิคต ปจ. = วัตถุ ๖ \"\" อวคิ ต ปจ. จากไป

๒. อารมั มณปุเรชาตปจ จยั + ปุเรชาต - การหาผรู ูอ ารมณ - การหาอารมณ ๒) เกิดกอน + ๓) ตัง้ อยเู ปน ปจจุบัน วิถีท่ี ๑ ปญจทวารวถิ ี อารมั มณ โดยความ ๑) เปนอารมณ อธ. ๘๙, ๕๒, ๒๘, นิพ., บัญ. วถิ ีท่ี ๒ มโนทวารวิถี ๑๑+๘๐ อตีต. เปน ตวั บ ไดวา เปนปจจ *** สรปุ ๑) + ๒) + ๓) = ปจ จุบันนปิ ผันนรูป ๑๘ ( เปน อารมณ ) = ปจจบุ ันนปิ ผนั นร * ถา ยก หท * ถา ยก ๑๗ วิถีที่ ๓ อภญิ ญาวิถี สรปุ วถิ ที ่ี ๑ + ๒ + ๓ เปน อารมณ วิถที ่ี ๑ = ปจ จุบัน ปญ จารม วิถีที่ ๒ = ปจจุบัน นิปผนั นร วถิ ีที่ ๓ = ปจ จุบนั รปู ารมณ = ปจจบุ ัน นปิ ผันน

- 19 - ปญจารมณ (ปจ จบุ ันอารมณ ) ภ ตี น ท ป ปญ สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ทว.ิ ๑๐ รปู ญจารมณ ทีเ่ ปนปจ จบุ ันแทๆ เปน อารัมมณปุเรชาต. มโนธาตุ ๓ ปจจบุ ันนปิ ผนั นรปู ๑๘ ( เปนอารมณ ) มหาภตู . ๔, ปสาท.๕, วิสย.๗, ภาว.๒, บอก ภ ตี น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ต ต หทย.๑ วตั ถา = วตั ถารมั มณ. จบุ ัน ชวี ติ .๑, อาหาร.๑ ๑ กามชวนะ ๒๙ ๑๑ รปู ๑๘ ถกู รโู ดย มโน.๑ห, กทายมวชตั วถนุ ะ ๒๙, ตทา.๑๑ ทย. เปน อารมั มณปุเรชาต. + วัตถารัมมณปุเรชาต. ๗ ( - หทย.) เปน อารัมมณปเุ รชาต. เทา นั้น รปู ารมณ / สัททารมณ อาศัย หทยวัตถุ เกดิ ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค อภ๒ิญญา เรยี กวา ทพิ พจกั ขุ / ทพิ พโสต หทยวตั ถุ เปน อารมั มณปุเรชาต. + วตั ถารมั มณปเุ รชาต. นอารมั มณปเุ รชาต ไดท งั้ หมด ผรู ูอารมณ * อัป. มีสัตวบญั ญตั เิ ปนอารมณ แตขณะนี้นาํ มาเปน อารมณไ มได เพราะ มณ ทว.ิ ๑๐, มโนธาตุ ๓ ตอ งการรปู ท่เี ปนปจจบุ นั อารมณเทา นัน้ รูป ๑๘ มโน.๑, กามชวนะ ๒๙, ตทา.๑๑ ณ / สทั ทารมณ อภิญญา. ๒ นรูป ๑๘ กามจติ ๕๔, อภิญญา.๒, เจ.๕๐ (-อปั )

๑๑. ปจ ฉาชาตปจ จัย ธรรมทชี่ วยอปุ การะ โดยความ เกดิ ทหี ลัง - นาม เปนปจ จยั ช 3 นามทเ่ี กิดหลงั ๆ ชว ยอุปการะแกรปู ทีเ่ กดิ กอ นๆ ชตต *** ปจ ฉาชาต. ภ ตี น ท ป จกั สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช จกั ขวุ ตั ถุ วัตถปุ ุเรชาต. 3 ปจฉาชาต. ตัง้ แตเราเกิด ถึง ปจจุบนั เปนมาไดอ ยา งไร กัมม ปฏิ ปภฐม ทภตุ ิย .......ฯลฯ....... ม .......ฯลฯ....... ม กํ. + จิร.ุ + อุตุ = ตชิ กาย ก.ํ + จริ ุ. + ก.ํ + อุตุ กมั มปจ จยอตุ ุชรปู = ทวิชกาย ก.ํ + อตุ ุ สง ผล ปฏ.ิ กํ. = เอกชกาย กาย + ภาว + หทย. ( มี อุตุ อาศยั กาย ชว ยเหลอื ธาตุทเ่ี หลอื ) - กํ + อตุ ุ เกดิ ทุกๆ ขณะของจิต -ข 3 - จริ .ุ เกดิ ครั้งแรกที่ อุปาทักขณะของปฐมภวังค และเกิดเฉพาะที่อุปาทกั ขณะของจติ แตละดวง - ปฐมภวังค ทาํ หนา ท่ี ปจ ฉาชาต. ใหเ อกชกาย + ทวชิ กาย = ๒ สมฏุ ฐานิกรปู - ทตุ ยิ ภวงั ค ทาํ หนาท่ี ปจฉาชาต. ใหเ อกชกาย + ทวชิ กาย + ติชกาย = ๓ สมุฏฐานิกรูป - จิตทเ่ี กดิ หลัง ทตุ ิยมโน. ทาํ หนาท่ี ปจ ฉาชาต. ให จตชุ กาย = ๔ สมุฏฐานกิ รูป - จติ ๑๖ ดวงกอนจตุ ิ ทําหนาท่ี ปจ ฉาชาต. ครง้ั สุดทาย แสดงวา คนเรากอ นตาย จติ จะทาํ หนาท่ี ปจฉาชาต.เปนครงั้ สดุ ทา ย

- 20 - ชว ยอปุ การะแก รปู (น ร) * นามท่เี กดิ กอ นๆ จะชวยรปู ท่เี กดิ หลงั ๆ ไมได เพราะตวั เองดบั ไปกอนทรี่ ูปจะเกดิ คัพภ. - สัปดาห ๒ - ๓ .......ฯลฯ....... ๑๗ ๑๖ ดวงหลงั จุติ โอป. / สงั เส. - ทุตยิ มโนทวาร เปน ปจฉาชาต.ครงั้ สดุ ทาย ก.ํ + จริ .ุ + อุตุ + อาหารชรปู อตุ ุ. + อาหารชรปู = จตชุ กาย ( เปน ส่สี มฏุ ฐาน ครั้งสดุ ทาย ) ขอ สงั เกต - นามหลังๆ ---> รปู กอ นๆ - เกิดในปวัตติกาล - เกดิ ในปญจโวการภูมิ - ปจ ฉาชาต. ทําหนาท่ี อุปถัมภกสัตติ คอื อุปถัมภใ หร ูปนั้น ต้ังอยแู ละเจรญิ ข้นึ ไมไดทาํ ใหร ปู เกดิ ขึน้ 3 สรปุ องคธ รรม ๘๕, ๕๒ ที่เกิดหลังๆ จตุสมุฏฐานกิ รูป ทเ่ี กดิ กอ น + กาํ ลังต้งั อยู

3 ปจ ฉาชาต. มีอํานาจชวยรูป ท่ีอุปาทักขณะ + ฐีตขิ ณะ เทานัน้ ปฏิ ปฐม ทตุ ิย … ฯลฯ ... -ส ภวังค ภวงั ค -ว -ป -ป 22 2 2 ฐตี ิปต ตะ ๔๙ ขณะ

- 21 - สหชาต. ชว ยรปู ไดท้งั ๓ ขณะ วตั ถปุ เุ รชาต. ชว ยรปู ไดตรง ฐตี ขิ ณะ ๔๙ เทา นัน้ ( เวนขณะเกดิ ดบั ) ปจ ฉาชาต. ไมเกิดในอรูป + อสญั ญ. ปจฉาชาต. ยกเวนบุคคล ๒ จําพวก ไมเกิด ปจฉา. คอื ๑. พวกอสัญญสัตตพรหม ปจ จบุ ันมชี ีวติ นวกกลาป ( รปู ) และไมมีนาม แตร ูปนถี้ กู ชว ยโดย กัมมวิญญาณในอดีต โดยความเปน ปกตปู นสิ สย ปจ. ๒. ผูท ี่กําลังเขา นิโรธสมาบตั ิ จติ + เจ. + จติ ตชรปู ดับ เหลือ ติชกาย ( กํ + อุตุ + อาหาร ) นามจงึ ไปชวยรูปไมไ ด โดยความเปน ปจ ฉาชาต ปจ. แตร ูปนี้ อยไู ดโดยอาศัยอํานาจ ฌานสมาบตั ิ ๘ / ๙ และอํานาจของ อนาคามิมรรค, อรหตั ตมรรค โดยความเปน ปกตูปนิสสย ปจ.

๑๒. อาเสวนปจจัย ธรรมท่ีชว ยอุปการะ โดยความ เสพบอ ยๆ - นาม เปนปจจัยช - ธรรมทชี่ วยอปุ การะโดยความเสพบอ ยๆ - ธรรมท่ีทาํ หนา ท่ี เสพอารมณ ไดแก ชวนะ และ เกิดข้ึนบอยๆ คือ การเกดิ ตดิ ตอกนั - ถูกรบั รองเนอื้ ความมาแลวใน อนนั ตร. + สมนนั ตร. + อนันตรปู นิสสย. ( อนันตร. พดู ถงึ ท้งั วิถี แตอาเสวน. พูดถงึ ชวนะ เทานน้ั ) * คุณสมบัติ ๑. จติ ตองทําหนาทีเ่ ปน ชวนะ ( ชวนะ = กามชวนะ ๒๙ + อัปปนาชวนะ ๒๖ = ชวนะ ๕๕ ) ( ปจจัยธรรม และปจจยุปบันธรรม ตอ งเปนจิต ชาติเดยี วกัน เชน ก.ุ --> กุ., อกุ. --> อกุ., อัพ. --> อ ๒. ตองเกดิ ซํา้ กันอยางนอ ย ๓ / ๔ (มคั ควถิ )ี , ๕ / ๗ ( เกดิ /ตาย ) ขณะ ๓. ตอ งไมใ ช วปิ ากชาติ ( เปนอนันตร. ไดแ ตเปนอาเสวน. ไมได ) เปน อนันตร.(-อาเสวน.) เปนอนนั ตร.+ อาเสวน. ( ก.ุ -- กุ.) เปน อาเสว เปน อาเสว ภนทม ปริ อุ นุ โค มผ ผ ม เปน อาเสว ผ เปน อาเสว อัพยากต เปน อนนั ตร. เปนอนันตร. และอาเสวน. ไมเปน ชวนะ ไมเปน อาเสวน. แตเปนอนนั ตร. * สรุป องคธรรม ชวนะ ๕๑ ( - ผลจิต ๔ ), ๕๒ ทเ่ี กดิ หลงั ๆ โลกยี ชวนะ๔๗ ( -โลกตุ .๘ ), ๕๒ ท่ีเกดิ กอนๆ

- 22 - ชว ยอุปการะแก นาม ( น น) อัพ. ) วนปจ จยั ไมได แมวามรรค จะไมใ ชว ปิ ากชาติ กจ็ ริง แตเ กิดเพียงขณะเดยี วแลว กด็ ับลง วนปจ จยุปบนั ของโคตรภูได วนปจ จยั ไมได ถงึ แมว า ผล จะเกดิ ไดห ลายขณะ แต ผล เปน วิปากชาติ วนปจ จยุปบนั กไ็ มไ ด มรรค เปนอาเสวน.ปจจยั ไมได ฉะนน้ั ผล เปนปจจยุปบัน ก็ไมไ ด มรรค ๔ + ผล ๔ เปน คนละชาติ

* การสง ผลของ ชวนะ ๗ ขณะ เปนปจจยั ท่ีเปน อาเสวนะ ดวงท่ี ๑ เปนปจจยปุ บัน \" ทิฏฐธัมมเวทนียกรรม \" ชช ช ช ช ช ช ตต เปน อาเสวนปจ จยั + ก.ุ /อก.ุ วปิ าก อาเสวนปจ จยปุ บนั สง ผลในชาติที่ ๓ ไมเ ปน อาเสวน ถึงพระนิพพาน เรยี กวา \" อปราปรยิ เวทนียกรรม \" * ขณะจิตเกดิ มกี ารเกิดของ อนันตร และ อาเสวน. อยางไร -ฌ -ม ภ ตี น ท ป อพั . ---> กุ. ---> อัพ. อกุ. จัก สํ ณ วุ ช ช อพั . ช ช ตต ชชช เปน อนนั ตร.+อาเสวน. อัพ. ---> อัพ. ก.ุ ---> ก.ุ เปน อนันตร. อยางเดียว อกุ. ---> อก.ุ อัพ. ---> อัพ. * อนันตรปจ จัย มคี ณุ สมบัติ น ---> น ได ๗ บท ก.ุ ---> กุ. อก.ุ ---> อกุ. อัพ. ---> อัพ. อาเสวนปจ จยั = ๓ บท ก.ุ ---> อัพ. อกุ. ---> อัพ. อพั . ---> กุ. อัพ. ---> อกุ. - กุ ---> อกุ / อกุ ---> กุ ไมมีทางเปนอนันตรปจจัยไดเ ลย อวชิ ชา ---> โมห. = อกศุ ลทั้งคู ปญุ ญ. ---> ม.กุ.๘, รูป.ก.ุ ๕ = กศุ ลทง้ั คู - ก.ุ เกิดกอ น ชว ย อกุ.เกดิ ทีหลังไดโ ดยความเปน ปกตปู นสิ สย.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook