ฉะนั้น อธิศีลของพระพุทธองค์จึงบริสุทธ์ิย่ิงกว่า สูงสุดกว่า พระอรยิ สาวกท้งั ปวง หาผใู้ ดเสมอมไิ ด้เลย ดงั ที่ทรงตรัสไวว้ า่ ๔ “ดูก่อนกัสสปะ มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งเป็นผู้กล่าวศีล สรรเสริญคุณแหง่ ศีลโดยอเนกปรยิ าย ดูก่อนกัสสปะ ศลี อนั ประเสรฐิ ยอดเย่ียมมปี ระมาณเทา่ ใด เรายังไม่เห็นผู้ใดทัดเทียมเราในศีลน้ัน ผู้ที่ย่ิงกวา่ จะมที ่ไี หน ท่ีจริงเราผเู้ ดียวเปน็ ผูย้ ิง่ ในศีลน้ัน คือ อธศิ ีล” เพราะเหตทุ พ่ี ระพุทธองค์ทรงมีอธิศีลท่ีบริสุทธ์ิยิ่งกว่าสาวก ทั้งหลายนี่เอง จึงทรงด�ำรงอยู่ในฐานะเป็นที่เคารพบูชาอย่างยิ่งของ เหล่าสาวกทั้งปวง “อธิศีล” ของพระพทุ ธองค์ บริสุทธิ์ยิง่ กวา่ เลศิ ย่ิงกว่า อยา่ งไมม่ ีผใู้ ดทดั เทียมได้ ๔ ท.ี สี. มหาสีหนาทสูตร (ไทย) ๑๒/๒๗๑/๑๓๒ พทุ ธคารวตา เคารพในพระพทุ ธเจ้า 91 namitra.org
พระผ้มู ีพระภาคทรงมีอธิศลี ไดอ้ ยา่ งไร ? การเกดิ ขน้ึ ของอธศิ ลี ของพระพทุ ธองค์ ยอ่ มมพี นื้ ฐานสบื เนอ่ื ง มาจากการรกั ษาศลี ตามแบบของบคุ คลทย่ี งั มกี เิ ลสอยใู่ นใจนน่ั เอง แต่ จะพิเศษกว่าบุคคลท่ัวไปตรงที่พระองค์ทรงตั้งใจมุ่งม่ันรักษาศีลให้ บริสุทธิบ์ ริบรู ณ์แบบไม่ให้ด่างพร้อย แมต้ ้องสละชีวิตหลายครง้ั หลาย ครา (ดงั มเี รอื่ งราวปรากฏอยใู่ นชาดก) กท็ รงยอม คอื รกั ศลี ยง่ิ กวา่ ชวี ติ นนั่ เอง ยง่ิ กวา่ นนั้ พระองคย์ งั ทรงทมุ่ เทมงุ่ มนั่ รกั ษาศลี ขา้ มภพขา้ มชาติ โดยไมย่ ่อหยอ่ น ไม่หมดกำ� ลงั ใจ ประกอบกบั การส่ังสมบญุ บารมดี า้ น ตา่ ง ๆ ตลอดถงึ การบำ� เพญ็ ภาวนาอยา่ งอกุ ฤษฏ์ ผลแหง่ การประพฤติ ปฏบิ ตั คิ ณุ ความดดี งั กลา่ วมาแลว้ ทงั้ หมด จงึ รวมลงเปน็ อธศิ ลี ของพระ ผู้มีพระภาค แมพ้ ระพทุ ธเจา้ จะดำ� รงอยใู่ นอธศิ ลี แลว้ กม็ ไิ ดท้ รงหยดุ ยง้ั การ ปฏบิ ตั ิ ยงั คงปฏบิ ตั สิ บื เนอ่ื งไปโดยอตั โนมตั ิ ยง่ิ กวา่ นนั้ ยงั ทรงพรำ�่ สอน สาวกทงั้ หลายถงึ แนวทางปฏบิ ตั เิ พอ่ื บรรลอุ ธศิ ลี ถงึ คณุ วเิ ศษของอธศิ ลี ซ่ึงเป็นความรูใ้ หมเ่ อีย่ มทีย่ งั ไม่เคยมอี าจารย์เจ้าลทั ธใิ ด ๆ ในสมยั นน้ั น�ำมาสัง่ สอนเลย เพราะอธิศีลอันเป็นคุณวิเศษของพระผู้มีพระภาคน้ีเองจึง เปน็ เหตใุ หพ้ ุทธสาวกพากนั สักการะ เคารพ นับถือ บูชา และอาศยั พระพุทธองค์อยู่มิว่างเวน้ 92 ทีส่ ดุ แห่งธรรม ถึงได้ดว้ ยความเคารพ www.kalyan
๒) ญาณทัสสนะ ญาณทสั สนะ หมายถงึ การเห็นและร้อู ยา่ งแจม่ แจ้งตรงตาม ความเป็นจริง เป็นการเห็นด้วยญาณอันเกิดจากจิตที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง ด้วยสมาธิ มิใชเ่ ห็นดว้ ยตาธรรมดา (มังสจักษ)ุ เพราะเหน็ สภาพธรรมตา่ ง ๆ ตามความเปน็ จรงิ จงึ ทำ� ใหร้ ตู้ าม ความเป็นจริง ยังผลให้พระพุทธองค์เกิดปัญญาเว้นขาดจากอกุศล กรรมท้ังปวง ญาณทัสสนะน้ีมีชื่อเรียกหลายอย่างว่า มรรคญาณ ผลญาณ สพั พญั ญตุ ญาณ ปัจจเวกขณญาณ หรือวิปสั สนาญาณก็ได้ แต่ญาณทัสสนะในพระสูตรน้ี ท่านหมายถึงเฉพาะพระสัพ พัญญุตญาณ ซ่ึงมีเฉพาะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น เพราะสัพ พญั ญตุ ญาณย่อมรู้ชัดกจิ ท่คี วรรขู้ องญาณเหลา่ น้นั ท้งั ปวง และสิง่ อัน ยิง่ กวา่ กิจท่ญี าณเหลา่ นั้นร้ดู ว้ ย พทุ ธคารวตา เคารพในพระพุทธเจา้ 93 namitra.org
เพ่ือให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น จะขอยกตัวอย่างกิจหรือหน้าท่ีของ ญาณทสั สนะ คอื วชิ ชา ๓ ซงึ่ เปน็ พระญาณสำ� คญั ในการใหต้ รสั รอู้ รยิ สจั ๔ ทญ่ี าณทสั สนะ คอื พระสพั พญั ญตุ ญาณไปรดู้ ว้ ย ดงั ทพี่ ระพทุ ธองค์ ไดต้ รสั อธบิ ายวา่ ๕ พระพุทธองค์เป็นผมู้ ีวิชชา ๓ ได้แก่ ๑. ระลกึ ชาตไิ ด้ (ปพุ เพนวิ าสานสุ สตญิ าณ) ดงั ทต่ี รสั วา่ “เมอ่ื ไร กต็ ามทเี่ ราตอ้ งการจะรู้ เรายอ่ มระลกึ ชาตกิ อ่ นไดห้ ลายชาติ คอื ๑ ชาติ บา้ ง ๒ ชาตบิ ้าง ๑๐๐,๐๐๐ ชาตบิ ้าง ตลอดสงั วัฏฏกัปและววิ ัฏฏกัป เปน็ อันมากบา้ ง พรอ้ มทัง้ ลกั ษณะทั่วไปและชีวประวัติ” ๒. มตี าทพิ ย์ (ทพิ พจกั ขุ หรอื จตุ ปู ปาตญาณ) ดงั ทตี่ รสั วา่ “เรา เพยี งตอ้ งการจะรูเ้ ท่าน้นั เรากจ็ ะเห็นหมู่สัตวท์ ก่ี ำ� ลงั จตุ ิ (ตาย) ก�ำลัง เกิด ทั้งช้ันต่�ำและชั้นสูง งามและไม่งาม เกิดดีและเกิดไม่ดี ด้วยตา ทิพย์อันบรสิ ุทธิเ์ หนอื มนุษย์ ฯลฯ รู้ชัดถงึ หมสู่ ัตวผ์ ูเ้ ป็นไปตามกรรม” ๓. มีความรูท้ ี่ทำ� กิเลสให้หมดส้ิน (เจโตวิมตุ ติ หลุดพน้ จาก ราคะ และปญั ญาวมิ ตุ ติ หลดุ พน้ จากอวชิ ชา วมิ ตุ ตทิ งั้ สองรวมกนั เรยี ก ว่า อาสวักขยญาณ) ดังท่ีตรัสว่า “เราท�ำให้แจ้งเจโตวิมุตติ ปัญญา วิมุตติ อันไม่มีอาสวะ เพราะอาสวะสิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่งเอง เข้า ถงึ อย่ใู นปจั จบุ ัน” ๕ ม.ม. จูฬวจั ฉโคตตสูตร (ไทย) ๒๐/๒๔๒/๔๔๑ 94 ที่สดุ แห่งธรรม ถงึ ไดด้ ว้ ยความเคารพ www.kalyan
ญาณทัสสนะ คือ พระสัพพญั ญุตญาณ ของพระพทุ ธองค์ เม่ือทำ� หน้าทร่ี ู้ในวิชชา ๓ จึงเป็นเครือ่ งมอื ใหพ้ ระองค์ ทรงรแู้ จง้ เห็นแจ้ง ในสภาพที่แท้จริงท่วั อนันตจักรวาล ท�ำให้ทรงรู้แจง้ อริยสัจ ๔ และร้ชู ดั วา่ พระองคท์ รงหลดุ พน้ จากกิเลสทั้งปวง เป็นพระอรหนั ตสมั มาสมั พุทธเจา้ ผู้เลิศกวา่ สัตวโ์ ลกทง้ั หลาย พุทธคารวตา เคารพในพระพทุ ธเจา้ 95 namitra.org
เพราะฉะนน้ั เมือ่ พระพทุ ธองคท์ รงกลา่ วถงึ ญาณทสั สนะของ พระองค์ย่อมหมายถึงพระสัพพัญญุตญาณนั่นเอง เมื่อท�ำหน้าท่ีรู้ใน วิชชา ๓ จึงเป็นเหตุปัจจัยหรืออาจจะเรียกว่า เป็นเครื่องมือช่วยให้ พระพทุ ธองคท์ รงเหน็ ทรงรสู้ ภาพทแ่ี ทจ้ รงิ ทว่ั อนนั ตจกั รวาล ทรงเหน็ ทรงรู้ถึงสภาพการณ์และเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีตกาล ผา่ นมาหลายอสงไขย ท่ีก�ำลงั เกิดขน้ึ ในปจั จบุ ันกาล และที่จะเกิดขึน้ ในอนาคตกาลยาวไกลออกไปเป็นอสงไขย ญาณทสั สนะ คอื พระสพั พัญญุตญาณน้ีเอง ท่ีท�ำให้พระพุทธ องค์ทรงเห็นแจ้งรู้แจ้งในหน้าที่ของอาสวักขยญาณที่รู้ชัดอริยสัจ ๔ และทรงรู้ชัดว่า พระพุทธองค์ทรงหลุดพ้นคือบรรลุสัมมาวิมุตติ (พน้ ชอบ ได้แก่ อรหตั ผลวิมุตติ) จึงทรงยืนยันว่า พระองค์ทรงเป็น ผตู้ รสั รพู้ ระสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงอธิปญั ญาเหนือสตั วโ์ ลกตลอดทวั่ อนนั ตจักรวาล 96 ท่สี ดุ แห่งธรรม ถงึ ได้ด้วยความเคารพ www.kalyan
namitra.org
ญาณทสั สนะเกิดขนึ้ ไดอ้ ย่างไร ? พระสมั มาสมั พุทธเจา้ เมื่อคร้งั ทรงรบั นมิ นตฉ์ ันภัตตาหาร ณ ปราสาทของโพธิราชกมุ าร ณ กรุงสุงสุมารคริ ะ แคว้นภัคคะ ไดต้ รสั ถึงประวัติการบ�ำเพ็ญธรรมของพระองค์ตั้งแต่เสด็จออกบรรพชาจน กระท่ังถึงการบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ ตรัสรู้เป็นพระสัมมา สัมพทุ ธเจา้ แกโ่ พธริ าชกุมาร๖ ซ่ึงมีสาระส�ำคัญอยา่ งละเอยี ด แต่ในท่ีน้ีจะขอกล่าวโดยสรุป เพื่อแสดงให้เห็นถึงความ พากเพียรบ�ำเพ็ญธรรมชนิดเอาชีวิตเป็นเดิมพันของพระพุทธองค์ ในช่วงเวลาที่ยังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ และมีพัฒนาการตามล�ำดับจน กระทงั่ บงั เกดิ ญาณทสั สนะสงู สดุ อนั เปน็ ปจั จยั ใหพ้ ระองคต์ รสั รู้ และ เชอ่ื มน่ั วา่ หลงั จากวนั ตรสั รแู้ ลว้ ญาณทสั สนะของพระพทุ ธองคก์ ย็ อ่ ม จะพัฒนาขน้ึ อกี อยา่ งไร้ขอบเขตจำ� กดั ออกผนวชเพื่อแสวงหาทางหลุดพ้น พระพุทธองค์ตรัสแสดงว่า คืนก่อนการตรัสรู้ ขณะที่ยังเป็น โพธิสัตว์ทรงมีความคิดอยู่เสมอว่า “บุคคลจะไม่ประสบความสุข ดว้ ยความสขุ แต่บคุ คลจะประสบความสขุ ไดด้ ว้ ยความทุกขเ์ ทา่ นนั้ ” ด้วยเหตุนี้จึงตัดสินพระทัยเสด็จออกจากวัง บวชเป็นบรรพชิต แล้ว แสวงหาวา่ อะไรเปน็ กุศล ๖ ม.ม. โพธิราชกุมารสตู ร (ไทย) ๒๑/๑๐๒-๑๓๓ 98 ที่สดุ แห่งธรรม ถึงไดด้ ว้ ยความเคารพ www.kalyan
ทรงศกึ ษาในสำ� นักของอาจารย์ท้ังสอง ขณะทแี่ สวงหาทางอนั ประเสรฐิ กลา่ วคอื ความสงบอันสูงสดุ อันได้แก่พระนิพพานซึ่งไม่มีทางอ่ืนย่ิงกว่า ก็ได้เข้าไปสมัครเป็น ศิษย์ของอาฬารดาบสกาลามโคตร ผลของการประพฤติพรหมจรรย์ และการบ�ำเพ็ญสมณธรรมในส�ำนักนี้ ท�ำให้พระโพธิสัตว์บรรลุ อากญิ จญั ญายตนสมาบตั ิ (อรูปฌานที่ก�ำหนดความไม่มีอะไรเหลือ สักน้อยหน่ึงเป็นอารมณ์) เช่นเดียวกับอาฬารดาบสผเู้ ปน็ อาจารย์ ทา่ นดาบสจงึ ชกั ชวนพระโพธสิ ตั วใ์ หอ้ ยรู่ ว่ มเปน็ ผบู้ รหิ ารสำ� นกั ดว้ ยกนั แต่พระโพธิสัตว์เห็นว่าสมาบัติท่ีบรรลุนี้ยังไม่ใช่ธรรมเพื่อสงบระงับ เพ่ือตรสั รู้ และเพือ่ นิพพาน จงึ ลาจากไป ต่อมาพระโพธิสัตว์ไปมาสู่ส�ำนักของอุทกดาบส รามบุตร ผลของการประพฤตพิ รหมจรรยแ์ ละการบำ� เพญ็ สมณธรรมในสำ� นกั นี้ ท�ำให้พระโพธิสัตว์บรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ (อรปู ฌาน ซึง่ เปน็ ภาวะมสี ัญญากไ็ ม่ใช่ ไมม่ สี ญั ญากไ็ ม่ใช)่ พุทธคารวตา เคารพในพระพทุ ธเจ้า 99 namitra.org
www.kalyan
อุทกดาบสถึงกับยกย่องบูชาพระโพธิสัตว์ในฐานะอาจารย์ แต่ พระโพธสิ ตั วก์ ม็ ไิ ดพ้ อใจแตป่ ระการใด เพราะเหน็ วา่ สมาบตั ทิ ไี่ ดบ้ รรลุ ยังไม่ใชธ่ รรมเพอ่ื ตรสั รู้ และนิพพาน จึงลาจากไป และเท่ยี วจารกิ ไป ในแคว้นมคธโดยล�ำดับ จนกระทั่งถงึ ต�ำบลอรุ ุเวลาเสนานิคม ไดเ้ ห็น ภูมิประเทศอันน่าร่ืนรมย์ เหมาะแก่การบ�ำเพ็ญเพียร จึงหยุดอยู่ ณ ริมแม่น�้ำในราวป่าแห่งหนึ่ง และเริ่มบ�ำเพ็ญเพียรโดยไม่มีผู้ใดเป็น ครูอาจารย์ ทรงบ�ำเพญ็ ทกุ รกริ ยิ า ด้วยกรรมเก่าของพระโพธิสัตว์ที่เคยประพฤติตบะผิด ในสมัยที่เป็นโลมหังสะอาชีวก๗ และกรรมท่ีได้กล่าวกับพระสุคตเจ้า พระนามวา่ กสั สปะในคราวนนั้ วา่ “จกั มโี พธมิ ณฑลแตท่ ไี่ หน โพธญิ าณ ทา่ นไดย้ ากอยา่ งยง่ิ ” สมยั ทที่ า่ นเปน็ โชตปิ าละ๘จงึ เปน็ ผลใหพ้ ระองค์ แสวงหาโพธิญาณโดยทางที่ผิด และปฏิบัติทดลองผิด หรืออาจจะ เทยี บกับภาษาทใ่ี ช้กนั ในปัจจุบันวา่ วิจยั นั่นเอง แต่วจิ ัยผดิ ดว้ ยการ ประพฤติกรรมที่ท�ำได้ยากมาก ท่ีเรียกว่า “ทุกรกิริยา” คือ การทรมานตนดว้ ยวธิ ตี ่าง ๆ นับตง้ั แต่กดฟันดว้ ยฟัน ใช้ล้ินดันเพดาน ไวแ้ นน่ ใชจ้ ติ ขม่ คน้ั จติ ทำ� จติ ใหเ้ รา่ รอ้ น ผลกค็ อื ไมส่ ามารถสรา้ งความ สงบระงับกายได้ มแี ตค่ วามกระวนกระวาย หลงั จากนน้ั พระโพธสิ ตั วจ์ งึ เปลย่ี นมาเปน็ การบำ� เพญ็ ฌานอนั ไมม่ ลี มปราณ โดยการกลนั้ ลมหายใจเขา้ และออก ทง้ั ทางปากและจมกู ๗ ขุ.ชา.อ. โลมหังสชาดกท่ี ๔ ๕๖/๓๔๕ พทุ ธคารวตา เคารพในพระพทุ ธเจ้า 101 ๘ ข.ุ อป. ๗๑/๘๗๖ namitra.org
ผลทเ่ี กดิ ขน้ึ กค็ อื ลมออกหทู งั้ ๒ ขา้ ง กายกก็ ระวนกระวาย ไมส่ งบระงบั ตอ่ มาพระโพธสิ ตั วจ์ งึ เปลย่ี นเปน็ กลนั้ ลมหายใจเขา้ ออก ทาง ปาก จมูก และหทู ัง้ ๒ ข้าง ผลกค็ อื ลมแลน่ ขึน้ ไปเสยี ดแทงศรี ษะ เหมือนใช้เหลก็ แทง หรอื เหมือนใช้เชอื กหนงั เหนยี วรัดศรี ษะ กายก็ กระวนกระวาย ไม่สงบระงับ พระโพธสิ ตั วย์ งั คงกลนั้ ลมหายใจเขา้ ออก ทางปาก จมกู และ หู ตอ่ ไปอีก คราวนีเ้ กิดผลแตกตา่ งไป คอื เกิดลมอนั แรงกล้าบาดใน ช่องท้อง เหมือนถกู มดี คมกรดี ทอ้ ง พระโพธิสัตวย์ งั คงกลน้ั ลมหายใจแบบเดิม ไมเ่ ลิกรา คราวนี้ รู้สึกเหมือนถูกคนแข็งแรง ๒ คน หิ้วแขนคนละข้างข้ึนย่างบนหลุม ถา่ นเพลิง กายก็ยง่ิ กระวนกระวายมากข้นึ ไม่สงบระงับเลย สภาพการณ์ที่เกิดข้ึนกับพระโพธิสัตว์ทุกขั้นตอนล้วนอยู่ ในสายตาของเหล่าเทวดา เทวดาบางพวกจึงกล่าวว่า “พระสมณ โคดมสิ้นพระชนมแ์ ล้ว” บางพวกก็กล่าวว่า “พระสมณโคดมยังมิได้ ส้ินพระชนม์ แต่ก�ำลังจะส้ินพระชนม์” บางพวกก็กล่าวว่า “พระสมณโคดมยังไม่ส้ินพระชนม์ ท้ังจะไม่ส้ินพระชนม์ พระสมณ โคดมจะเปน็ พระอรหันต์ การอยูเ่ ช่นนี้น้ันเปน็ วหิ ารธรรม (ธรรมเป็น เครื่องอย่)ู ของทา่ นผ้เู ปน็ พระอรหันต”์ คร้ังต่อมาพระโพธิสัตว์ทรงมีความคิดว่า “ควรอดอาหาร ทกุ อยา่ ง” จึงเป็นเหตุให้เทวดาเข้ามาหา และหา้ มพระโพธิสัตวม์ ใิ ห้ 102 ท่สี ดุ แหง่ ธรรม ถึงไดด้ ้วยความเคารพ www.kalyan
กระทำ� เชน่ นนั้ แตถ่ า้ พระโพธสิ ตั วไ์ มเ่ ปลยี่ นใจ เหลา่ เทวดากจ็ ะแทรก โอชาอนั เปน็ ทพิ ยเ์ ขา้ ทางขมุ ขนของพระโพธสิ ตั ว์ เพอ่ื ใหพ้ ระโพธสิ ตั ว์ ยังชีพอยู่ได้ แต่พระโพธิสัตว์กลับห้ามเทวดาเหล่านั้น เพราะการยัง อัตภาพด้วยโอชาเช่นนั้นจะท�ำให้การปฏิญญาของพระโพธิสัตว์เป็น ม สุ า ครั้นแล้ว พระโพธิสัตว์จึงมีความคิดใหม่ว่า จะกินอาหารให้ น้อยลง ๆ เร่ือย ๆ ตั้งแตค่ รัง้ ละ ๑ ฟายมือ จนถงึ เทา่ เยือ่ ในเมล็ดบวั กายจงึ ซบู ผอมมาก อวัยวะน้อยใหญข่ องพระโพธิสัตว์เหมอื นเถาวลั ย์ ท่ีมีข้อมาก หรือท่ีมีข้อด�ำ เนื้อสะโพกลีบเหมือนกีบเท้าอูฐ กระดูก สนั หลงั ผดุ เปน็ หนามเหมอื นเถาวลั ย์ ซโ่ี ครงทง้ั ๒ ขา้ งขนึ้ สะพรงั่ เหมอื น กลอนศาลาเก่า ดวงตาทั้งสองก็ลึกเข้าไปในเบ้าตา เหมือนดวงดาว ปรากฏอยู่ในบ่อลึก หนังบนศีรษะก็เห่ียวหดเหมือนลูกน�้ำเต้าที่เขา ตัดมาขณะยังดิบ ต้องลมและแดดเข้าก็เห่ียวหดไป เวลาท่ีลูบท้องก็ สัมผัสกระดูกสันหลัง เวลาลูบกระดูกสันหลังก็สัมผัสพื้นท้อง เวลา ถา่ ยอุจจาระหรอื ปสั สาวะกซ็ วนเซลม้ ลง ณ ทีน่ นั้ เมื่อใชฝ้ ่ามอื ลบู ผิว กาย ขนกห็ ลดุ รว่ งจากผิว เพราะรากของขนแตล่ ะเส้นเน่าไปแลว้ แม้จะต้องเสวยทุกขเวทนาถึงปานน้ี พระโพธิสัตว์ก็ยังมิได้ บรรลุญาณทัสสนะอันเป็นอริยะ พระโพธิสัตว์จึงหยุดการบ�ำเพ็ญ ทุกรกิริยาและเร่ิมฉันอาหารหยาบตามปกติ ซ่ึงเป็นเหตุให้ภิกษุ ปญั จวคั คยี จ์ ากไป ดว้ ยเหน็ วา่ พระโพธสิ ตั วค์ ลายความเพยี ร และกลบั มาเป็นผมู้ กั มาก พุทธคารวตา เคารพในพระพุทธเจ้า 103 namitra.org
เมอื่ พระโพธสิ ตั วก์ ลบั มาฉนั อาหารหยาบ ไมน่ านนกั รา่ งกายก็ มกี ำ� ลงั แขง็ แรง กลบั มาบำ� เพญ็ เพยี รตามแนวทเ่ี คยปฏบิ ตั เิ มอื่ ครง้ั ทย่ี งั เปน็ ราชกุมาร ในวันวปั ปมงคลของตระกูลศากยะ ทำ� ใจสงดั จากกาม และอกุศลธรรมทั้งหลาย ครั้นแล้วก็บรรลุปฐมฌาน ทุติยฌาน ตตยิ ฌาน และจตตุ ถฌาน ไปตามล�ำดบั พระพุทธองค์ได้ตรัสแสดงแก่โพธิราชกุมารว่า เมื่อจิตของ พระองคเ์ ป็นสมาธิ บริสทุ ธิ์ผุดผอ่ ง ไมม่ ีกิเลสเพียงดังเนิน ปราศจาก ความเศร้าหมอง อ่อนโยนเหมาะแก่การใช้งาน ตั้งม่ัน ไม่หว่ันไหว พระองค์ก็น้อมจิตไปเพื่อปุพเพนิวาสานุสสติญาณ จึงระลึกชาติ ก่อนได้หลายชาติ และเพิม่ ข้ึน ๆ เรอ่ื ย ๆ พรอ้ มทง้ั ลกั ษณะทว่ั ไปและชวี ประวตั ิ พระองคไ์ ดบ้ รรลปุ พุ เพ นิวาสานสุ สตญิ าณ ซึ่งจัดเปน็ วิชชาท่ี ๑ ในปฐมยามแหง่ ราตรี ก�ำจัด อวิชชาได้แลว้ วิชชากเ็ กดิ ข้นึ กำ� จัดความมดื ไดแ้ ลว้ ความสวา่ งกเ็ กดิ ขน้ึ ความสวา่ งทท่ี ำ� ใหเ้ หน็ และรถู้ งึ ชวี ประวตั ขิ องตนน้ี ยอ่ มเปน็ ความสวา่ ง สดุ จะนบั จะประมาณ อาจเปรยี บไดด้ งั ความสวา่ งของดวงตะวนั เทย่ี ง หลายรอ้ ยหลายพนั ดวงมาประชมุ กันทีเดยี ว แม้จะทรงบำ� เพญ็ ทกุ รกิรยิ า อย่างอุกฤษฏ์ เสวยทุกขเวทนาอย่างแรงกล้า แต่กลับยิง่ กระวนกระวาย ไม่สงบระงบั เลย 104 ท่ีสุดแห่งธรรม ถึงไดด้ ว้ ยความเคารพ www.kalyan
ครั้นในมัชฌิมยามแห่งราตรีเดียวกันนั้นเอง เมื่อจิตของ พระองคเ์ ปน็ สมาธิ บรสิ ุทธผ์ิ ดุ ผอ่ ง ไม่มีกเิ ลสเพยี งดังเนนิ ปราศจาก ความเศร้าหมอง อ่อนโยนเหมาะแก่การใช้งาน ต้ังม่ัน ไม่หว่ันไหว พระองคจ์ งึ นอ้ มจติ ไปเพอื่ จตุ ปู ปาตญาณ เหน็ หมสู่ ตั วผ์ กู้ ำ� ลงั จตุ ิ (ตาย) ก�ำลงั เกิด ทั้งชน้ั ตำ�่ และชนั้ สูง งามและไม่งาม เกิดดีและเกดิ ไม่ดี ด้วย ตาทพิ ยอ์ นั บรสิ ทุ ธเ์ิ หนอื มนษุ ย์ รชู้ ดั ถงึ หมสู่ ตั วผ์ เู้ ปน็ ไปตามกรรม ฯลฯ จุตูปปาตญาณน้ีจัดเป็นวิชชาที่ ๒ เมื่อก�ำจัดอวิชชาได้แล้ว วิชชากเ็ กดิ ข้นึ ก�ำจดั ความมดื ได้แลว้ ความสว่างโพลงกเ็ กิดขึ้น ครนั้ ในปัจฉิมยามแหง่ ราตรเี ดียวกนั น้นั เอง เมือ่ จิตของพระองคเ์ ป็นสมาธิ บริสุทธ์ิผุดผ่อง ไม่มีกิเลสเพียงดังเนิน ปราศจากความเศร้าหมอง ออ่ นโยนเหมาะแกก่ ารใชง้ านตงั้ มน่ั ไมห่ วน่ั ไหวพระองค์ก็น้อมจิตไปเพอ่ื อาสวักขยญาณ รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ น้ีทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา น้ีอาสวะ น้ีอาสวสมุทัย น้ีอาสวนโิ รธ นีอ้ าสวนโิ รธคามนิ ีปฏปิ ทา พทุ ธคารวตา เคารพในพระพุทธเจ้า 105 namitra.org
www.kalyan
เม่ือรู้เห็นอย่างนี้ จิตก็หลุดพ้นจากกามสวะ ภวาสวะ และ อวิชชาสวะ เม่ือจิตหลุดพ้นแล้วก็รู้ว่า หลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่า ชาติส้ิน แล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ทำ� กิจที่ควรท�ำเสร็จแล้ว ไม่มีกิจอืน่ เพ่ือ ความเป็นอย่างน้ีอีกต่อไป อาสวักขยญาณ น้ีจัดเป็นวิชชาท่ี ๓ เม่ือ ก�ำจัดอวิชชาได้แล้ว วิชชาก็เกิดขนึ้ กำ� จดั ความมืดได้แล้ว ความสว่าง โพลงก็เกิดขึ้น จากค�ำบอกเล่าทีพ่ ระพทุ ธองคท์ รงแสดงแก่โพธิราชกุมารนี้ เป็นสภาวธรรมอันเป็นผลของการที่พระพุทธองค์ทรงพากเพียร บำ� เพญ็ สมั มาสมาธแิ บบเอาชวี ติ เปน็ เดมิ พนั ไมเ่ คยยอมแพ้ ไมเ่ คยหมด ก�ำลังใจ ไม่เคยล้มเลิกปณิธานอันสูงสุด เมื่อทรงเห็นว่าวิธีที่ก�ำลัง ปฏิบัติอยู่ไม่มีประสิทธิผล ก็ทรงคิดค้นหาวิธีใหม่ คร้ังแล้วคร้ังเล่า ทรงยอมตกระกำ� ลำ� บาก ชนดิ ตายเปน็ ตาย เพยี งเพอื่ การบรรลปุ ณธิ าน อันสูงสุด คือ พระสัมมาสัมโพธิญาณ อันเป็นทางหลุดพ้นอันเกษม อนั เปน็ อสิ ระเสรอี ยา่ งสมบรู ณ์ หลดุ พน้ จากการเวยี นวา่ ยตายเกดิ อยใู่ น วัฏฏสงสาร บรรลคุ วามเป็นอมตะชว่ั นิรนั ดร ท้ังหมดนคี้ ือการบงั เกดิ ขนึ้ และการบรรลญุ าณทสั สนะทพ่ี ระสพั พญั ญตุ ญาณของพระพทุ ธองค์ ไปรูก้ ิจด้วย ทตี่ รัสแสดงแกโ่ พธริ าชกุมาร ญาณทัสสนะอันเป็นคุณวิเศษเหนือสัตว์โลกท้ังมวลนี้ มิใช่ เป็นเรอื่ งทพี่ ระองค์กลา่ วอวดอ้างเพอ่ื ขม่ ผอู้ ื่นกห็ ามไิ ด้ แต่ยงั ทรงพระ มหากรุณาพร่�ำสอนสาวกทั้งปวงให้รู้จักวิธีปฏิบัติขัดเกลาอบรมตน พุทธคารวตา เคารพในพระพุทธเจา้ 107 namitra.org
เพ่ือบรรลุคุณวิเศษอย่างพระองค์ แม้พุทธสาวกจ�ำนวนมากจะบรรลุ คุณวิเศษก็เพียงแค่อรหัตผล เป็นพระอรหันต์ผู้มีญาณทัสสนะเพียง ระดบั หนง่ึ ซึ่งห่างไกลกับพระองค์อย่างเทียบกันไม่ไดเ้ ลย ด้วยเหตุน้ี พระพทุ ธองคจ์ ึงตรัสแสดงแกป่ ริพาชกว่า “สาวกทงั้ หลายของเรายอ่ มสรรเสรญิ (เรา) ในญาณทสั สนะ อันยอดเยี่ยมว่า พระสมณโคดมเม่ือทรงรู้เอง ก็ตรัสว่า เรารู้ เมื่อทรงเห็นเองก็ตรัสว่า เราเห็น ทรงแสดงธรรม เพือ่ ความรูย้ ่ิง มิใช่ทรงแสดงเพ่ือความไม่รู้ยิง่ ทรงแสดง ธรรมมเี หตุ มใิ ชท่ รงแสดงธรรมไมม่ ีเหตุ ทรงแสดงธรรม มปี าฏหิ ารยิ ์ มใิ ชท่ รงแสดงธรรมไมม่ ปี าฏิหารยิ ์ นีแ่ ลเปน็ ธรรมประการท่ี ๒ ซ่ึงเป็นเหตุให้สาวกท้ังหลายของเรา สกั การะ เคารพ นบั ถอื บชู าเรา แล้วกย็ งั อาศัยเราอยู่” ๙ อนึ่งโดยเหตุที่พระพุทธองค์ทรงมีญาณทัสสนะอันยอดเย่ียม คือพระสัพพญั ญตุ ญาณน้ี ซึ่งเป็นพระญาณทัสสนะท่ีรู้เห็นครอบคลุม ญาณท้ังปวงและรู้อย่างไร้ขอบเขตจ�ำกัด เหนือพระญาณท้ังหลาย ๙ ม.ม. มหาสกลุ ุทายสิ ตู ร (ไทย) ๒๑/๓๓๐/๕๕๙ 108 ทสี่ ุดแหง่ ธรรม ถึงไดด้ ว้ ยความเคารพ www.kalyan
ญาณทัสสนะของพระองค์ เปน็ ผลจากความพากเพยี ร บ�ำเพ็ญสัมมาสมาธิอย่าง เอาชีวิตเปน็ เดิมพัน ไม่ยอมแพ้ แมว้ ิธที ท่ี �ำอยู่ไม่ไดผ้ ล ก็ทรงคดิ คน้ หาวธิ ใี หม่ครั้งแลว้ ครัง้ เล่า ยอมตกระกำ� ลำ� บากชนิดตายเปน็ ตาย ขอเพยี งบรรลุพระสมั มาสัมโพธญิ าณ อนั เปน็ ทางหลุดพ้นอนั เกษม ของพระปัจเจกพุทธเจ้าและเหล่าพระสาวกทั้งปวง พระองค์จึงทรง อยู่ในฐานะบรมครูของมนุษย์และเทวาทั้งหลาย เป็นเหตุให้สาวก ทง้ั หลายของพระองคส์ ักการะ เคารพ นับถือบูชาพระองค์ แลว้ กย็ ัง อาศยั พระองค์อยู่ พุทธคารวตา เคารพในพระพุทธเจา้ 109 namitra.org
พระพุทธองค์ ทรงมีญาณทสั สนะอนั ยอดเยีย่ ม คอื พระสพั พญั ญตุ ญาณ อนั เหนอื กวา่ ญาณของ พระปัจเจกพทุ ธเจา้ และ พระสาวกทั้งปวง รูเ้ ห็นครอบคลมุ อยา่ งไร้ขอบเขตจำ� กดั พระองคจ์ ึงอยใู่ นฐานะ บรมครูของมนุษย์และเทวดาทัง้ หลาย 110 ที่สดุ แหง่ ธรรม ถึงได้ด้วยความเคารพ www.kalyan
๓) อธปิ ัญญา อธิปัญญา แปลว่า ปัญญาย่ิง หมายถึง สัมมาทิฏฐิในองค์ โลกุตตรมรรค เป็นปัญญาที่พิจารณาเข้าใจสังขารตามความเป็น จริง ปญั ญาที่ท�ำใหเ้ ห็นแจ้งรู้แจ้งอริยสัจ ๔ ชนิดแทงตลอด ปัญญา ที่ท�ำให้พระพุทธองค์ทรงม่ันใจในวิธีปฏิบัติท่ีถูกต้องเหมาะสม เพื่อ บรรลมุ รรคผลไปตามลำ� ดบั ๆ สามารถกำ� จดั กเิ ลสอาสวะออกจากใจ ใหเ้ หลอื นอ้ ยลงไปตามลำ� ดบั จนกระทง่ั หมดสน้ิ โดยเดด็ ขาด ซงึ่ ทำ� ให้ พระพทุ ธองคต์ รัสรู้พระสมั มาสมั โพธญิ าณ เป็นบคุ คลผูพ้ ้นโลก และ บรรลุพระนพิ พานในทีส่ ดุ วธิ ปี ฏบิ ตั ทิ ถี่ ูกต้องเหมาะสมเพือ่ บรรลุมรรคผลไปตามลำ� ดับนน้ั คอื อะไร ? เพราะเหตุท่ีวิธีปฏิบัตินี้ท�ำให้พระพุทธองค์ตรัสรู้พระสัมมา สัมโพธิญาณ คร้ันเม่อื ตรัสรู้แลว้ กท็ รงเกิดอธิปญั ญาเขา้ พระทัยอย่าง ชดั เจนวา่ วธิ ปี ฏบิ ตั นิ เ้ี ปน็ วธิ ที ถี่ กู ตอ้ งและดที สี่ ดุ เนอ่ื งจากไดท้ รงเคย ลองถูกลองผิดโดยวิธีอื่นมาพอแรงแล้ว ดังท่ีพระพุทธองค์ทรงรับสั่ง กับภกิ ษุปญั จวคั คีย๑์ ๐ วา่ “การปฏบิ ตั อิ นั เปน็ สายกลาง (มชั ฌมิ าปฏปิ ทา) นเ้ี องทที่ ำ� ให้ ตถาคตตรสั รู้ ทง้ั นเี้ พราะการปฏบิ ตั นิ เ้ี ปน็ เหตใุ หเ้ กดิ จกั ษุ (ปญั ญาอนั เกดิ จากการเหน็ แจง้ ) กอ่ ใหเ้ กดิ ญาณ (ความรแู้ จง้ อนั เกดิ จากการเหน็ แจง้ ) เปน็ ไปเพอื่ ความสงบ เพอ่ื ความรยู้ งิ่ เพอื่ ความตรสั รู้ เพอื่ พระนพิ พาน” ๑๐ วิ.มหา. ธมั มจกั กัปปวตั ตนสตู ร (ไทย) ๖/๑๓/๔๔ พุทธคารวตา เคารพในพระพทุ ธเจ้า 111 namitra.org
หมายความวา่ ญาณเปน็ เหตใุ หจ้ ติ ใจสงบ คอื ปลอดจากกเิ ลส ขณะเดยี วกนั กเ็ กดิ ความรยู้ งิ่ คอื อธปิ ญั ญา ทำ� ใหร้ แู้ จง้ แทงตลอดความ จริงท้ังมวลในอนันตจักรวาลและในสรรพธาตุสรรพธรรมท้ังปวง ซ่ึง เป็นสภาวะของบคุ คลผู้บรรลุพระนิพพานอย่างยอดเยีย่ ม ส�ำหรับการปฏิบัติตนหมกมุ่นอยู่ด้วยกามสุขในกามทั้งหลาย อย่างคฤหัสถ์ (กามสุขลั ลิกานุโยค) และการประกอบความเพียรแบบ ทรมานตน (อัตตกิลมถานุโยค) น้ัน ไม่สามารถก่อให้เกิดการบรรลุ มรรคผลนิพพานไดเ้ ลย เปน็ วิธปี ฏิบัติทีไ่ ร้ประโยชน ์ อยา่ ได้สนใจพา ตนเขา้ ไปเกย่ี วขอ้ ง “จมกชฺขฺฌุกสริมมณาฺโี พปธฏาาิปณยทกนาริพณตฺพถี อาาุนปคาเสตยมนาสยอํวภตอิฺสตภมติญฺิพฺุทาฺธยา ปฏปิ ทาสายกลางน้นั ท่ตี ถาคตไดต้ รัสรูแ้ ลว้ ดว้ ยปัญญาอนั ยิ่ง ท�ำดวงตาใหเ้ กิด ทำ� ญาณให้เกดิ ยอ่ มเป็นไปเพื่อความสงบ เพอ่ื ความรูย้ ่งิ เพ่ือความตรัสรู้ เพื่อนพิ พาน” ๑๑ ๑๑ ว.ิ มหา. (ไทย) ๖/๔๕ 112 ท่ีสุดแหง่ ธรรม ถึงไดด้ ้วยความเคารพ www.kalyan
วิธีปฏบิ ัติอันเป็นสายกลางนนั้ คอื อะไร ? วธิ ีปฏิบัตอิ ันเป็นสายกลาง หรือมัชฌมิ าปฏิปทาน้ัน ประกอบ ดว้ ยทางอนั ประเสรฐิ ๘ ประการ หรอื เรยี กวา่ อรยิ มรรคมอี งค์ ๘ ไดแ้ ก่ ๑) สมั มาทิฏฐิ (เหน็ ชอบ) ๒) สมั มาสงั กัปปะ (ดำ� รชิ อบ) ๓) สัมมาวาจา (เจรจาชอบ) ๔) สัมมากมั มันตะ (กระทำ� ชอบ) ๕) สัมมาอาชวี ะ (เล้ียงชพี ชอบ) ๖) สมั มาวายามะ (พยายามชอบ) ๗) สัมมาสติ (ระลกึ ชอบ) ๘) สมั มาสมาธิ (ตง้ั จิตมั่นชอบ) อน่งึ ส�ำหรับมรรคมีองค์ ๘ นี้ ยงั แบ่งออกเปน็ ๒ ระดับ๑๒ คอื ๑) มรรคมอี งค์ ๘ ทย่ี ังมีอาสวะ ไดแ้ ก่ มรรคมีองค์ ๘ อนั เป็น ข้อปฏิบตั ขิ องบคุ คลทย่ี งั มกี ิเลสอาสวะอยู่ ๒) มรรคมอี งค์ ๘ อันเป็นอรยิ ะ ทีไ่ ม่มอี าสวะ เป็นโลกตุ ตระ อันเป็นข้อปฏิบัติของพระอรยิ บุคคล ที่จิตหมดอาสวะกเิ ลสแลว้ เชน่ พระพุทธเจา้ และพระอริยเจ้าทั้งปวง ๑๒ ม.อุ. มหาจัตตารสี กสตู ร (ไทย) ๒๒/๓๔๑ พุทธคารวตา เคารพในพระพุทธเจ้า 113 namitra.org
อยา่ งไรกต็ าม สำ� หรับบคุ คลทีจ่ ิตยังมีกิเลสอยู่ ซึ่งปฏิบัติตาม มรรคมีองค์ ๘ ท่ียังมีอาสวะ แต่ระดับความบริสุทธิ์แห่งกาย วาจา ใจ และระดบั ปญั ญา อนั เกดิ จากการปฏิบตั ิ ย่อมแตกตา่ งกนั ไป เชน่ สัมมาทิฏฐิของสัมมาทิฏฐิบุคคลที่เป็นปุถุชนจะอยู่ในลักษณะท่ีมี ปัญญาเห็นว่า การท�ำทานมีผลดี ควรท�ำ กฎแห่งกรรมมีจรงิ เป็นจรงิ พอ่ แมม่ พี ระคณุ จรงิ สัตว์ท่ีเป็นโอปปาตกิ ะ ทงั้ ในอบายภมู แิ ละในสคุ ติ ภมู ิ เชน่ สตั วน์ รก เปรต เทวดา เปน็ ตน้ มจี รงิ ทเ่ี รยี กวา่ “กมั มสั สกตา สมั มาทฏิ ฐ”ิ ไม่จัดเป็นอธปิ ัญญา สว่ นสมั มาทฏิ ฐใิ นองคม์ รรคของพระอรหนั ต์ ทเี่ รยี กวา่ “มรรค สัมมาทิฏฐิ หรือมรรคปัญญา” จดั เปน็ อธปิ ัญญาสงู สดุ ของพระ อรยิ สาวก ท่ที �ำใหเ้ กิดการรแู้ จ้ง เห็นแจ้ง อริยสจั ๔ อยา่ งหมดจด แต่ อธปิ ญั ญาของพระอรหนั ตก์ น็ ำ� คณุ วเิ ศษมาใหไ้ มเ่ ทา่ อธปิ ญั ญาของ พ ระสมั มาสมั พุทธเจ้า สำ� หรบั พระพทุ ธองคน์ นั้ เนอื่ งจากอธปิ ญั ญา คอื สมั มาทฏิ ฐใิ น อรหตั มรรคจติ ของพระองค์ นำ� คณุ วเิ ศษทงั้ ปวงมาให้ และเปน็ ปญั ญา ปรมตั ถบารมที อ่ี บรมบม่ มานานแสนนาน จงึ ทำ� ใหท้ รงมพี ระปญั ญายงิ่ กวา่ เหลา่ พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระสาวกทงั้ ปวง ดงั ทต่ี รสั ว่า “ดกู อ่ นกสั สปะ ปญั ญาอนั ประเสรฐิ ยอดเยยี่ มมปี ระมาณ เทา่ ใด เรายงั ไม่เห็นผู้ใดทัดเทยี มเราในปัญญานน้ั ผู้ทยี่ งิ่ กว่าจะมที ีไ่ หน แท้จรงิ เราผูเ้ ดยี วเป็นผูย้ ่ิงกวา่ ในปัญญา น้ันคอื อธปิ ัญญา” ๑๓ ๑๓ ที.สี. มหาสหี นาทสตู ร (ไทย) ๑๒/๑๓๒ 114 ท่สี ดุ แห่งธรรม ถึงได้ดว้ ยความเคารพ www.kalyan
ด้วยอธิปัญญาจงึ ทรงเหน็ แจ้ง รูแ้ จ้ง ตลอดทว่ั อนนั ตจักรวาล ทรงเขา้ ใจสจั ธรรมทง้ั ปวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอริยสัจ ๔ โดยทรงเหน็ แจง้ รูแ้ จ้งว่า ความเกดิ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความประสบ กับส่ิงอันไม่เป็นท่ีรัก ความพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก ความไม่ สมปรารถนา ลว้ นเป็นทกุ ขท์ ้งั ส้นิ เรยี กว่า ทุกขอริยสจั เป็นอริยสัจ อันดบั ท่ี ๑ ในอรยิ สัจ ๔ ซงึ่ ยงั ไม่เคยได้ยินศาสดา เจา้ ลทั ธคิ นใดใน โลกน�ำมาสัง่ สอน อธิปัญญา ในล�ำดับต่อไปก็คือ ทรงทราบว่า สาเหตุแห่ง ทุกขอริยสจั ก็คือ ตณั หา ๓ ไดแ้ ก่ ๑) กามตณั หา คอื ความทะยาน อยากในกาม อยากไดส้ ่ิงอันนา่ รักใคร่ ๒) ภวตัณหา คอื ความอยาก มี ความอยากเปน็ อีก ให้คงอยตู่ ลอดไปไมแ่ ปรเปลีย่ น รวมทงั้ ความ ทะยานอยากในรูปฌานและอยากเกดิ ในรูปภพ และ ๓) วิภวตณั หา คอื ความอยากไมม่ ี อยากไมเ่ ปน็ เชน่ นอี้ กี อยากใหส้ ภาพทปี่ ระสบอยู่ สญู หายไปและไม่อยากถือกำ� เนิดในภพต่าง ๆ รวมทัง้ ความตดิ ใจใน อรปู ฌานและในอรปู ภพ สาเหตแุ หง่ ทกุ ขเ์ หลา่ น้ี เรยี กวา่ ทกุ ขสมทุ ยั อริยสจั เปน็ อรยิ สจั อันดบั ที่ ๒ ในอริยสัจ ๔ เมอ่ื พระองคท์ รงเหน็ แจง้ รแู้ จง้ วา่ ตณั หานน่ั แลดบั โดยไมเ่ หลอื ดว้ ยโลกตุ ตรมรรคทงั้ ๔ ทำ� ใหพ้ ระหฤทยั ของพระองคไ์ มท่ รงพวั พนั ในตัณหานนั้ อย่างเดด็ ขาด ความดับแหง่ ตัณหานีเ้ รียกวา่ ทุกขนโิ รธ อริยสจั เปน็ อรยิ สจั อนั ดบั ที่ ๓ ในอรยิ สัจ ๔ พทุ ธคารวตา เคารพในพระพทุ ธเจา้ 115 namitra.org
www.kalyan
สว่ นขอ้ ปฏบิ ตั อิ นั เปน็ สายกลาง หรอื อรยิ มรรคมอี งค ์ ๘ อนั เปน็ ขอ้ ปฏบิ ตั ใิ หถ้ งึ ความดบั ทกุ ขน์ นั้ เรยี กวา่ ทุกขนโิ รธคามินีปฏิปทาอรยิ สจั เป็นอริยสจั อันดับท่ี ๔ การเห็นแจง้ รแู้ จ้งอรยิ สัจ ๔ มกี ระบวนการอยา่ งไร ? พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ไดต้ รสั แสดงกระบวนการเหน็ แจง้ รแู้ จง้ ของพระองค์แก่พระปญั จวคั คีย์ ดังน้ี ภกิ ษทุ ง้ั หลาย จักษุ (การเหน็ แจง้ ) เกิดข้นึ แลว้ ญาณ (รแู้ จง้ ) เกิดขนึ้ แลว้ ปัญญา (รทู้ ว่ั ถึง) เกดิ ขึ้นแลว้ วิชชา (แทงตลอด) เกิดขนึ้ แล้ว แสงสวา่ ง (สวา่ งไสวที่กลางใจ) เกิดขนึ้ แลว้ ๑๔ ในธรรมทัง้ หลาย ที่เราไม่เคยสดับมาก่อน วา่ น้ี ทกุ ขอริยสจั (จัดเปน็ สัจจญาณ) ภิกษทุ ้งั หลาย จักษุเกิดขึ้นแล้ว... ทุกขอริยสัจน้ี ควรก�ำหนดรู้ (จัดเป็นกิจจญาณ) ภกิ ษทุ ้ังหลาย จักษเุ กิดขึ้นแลว้ ... ทุกขอรยิ สัจน้ี เราไดก้ �ำหนดรู้แล้ว (จดั เปน็ กตญาณ) ภกิ ษุทง้ั หลาย จักษุเกิดขึน้ แล้ว...แสงสว่างเกดิ ขนึ้ แล้ว ในธรรมทง้ั หลาย ทเี่ ราไมเ่ คยสดบั มากอ่ นวา่ นที้ กุ ขสมทุ ยั - อริยสจั (จดั เปน็ สจั จญาณ) ๑๔ ความสว่างโพลงท่กี ลางใจเกดิ ขน้ึ ตง้ั แต่การเกิดข้ึนของจักษุ และสวา่ งย่ิงขนึ้ ตามลำ� ดบั พุทธคารวตา เคารพในพระพทุ ธเจา้ 117 namitra.org
ภกิ ษทุ งั้ หลาย จกั ษเุ กดิ ขน้ึ แลว้ ... ทกุ ขสมทุ ยั อรยิ สจั นี้ ควรละเสีย (จดั เปน็ กจิ จญาณ) ภกิ ษุทัง้ หลาย จกั ษเุ กดิ ขน้ึ แล้ว... ทกุ ขสมุทยั อรยิ สัจนี้ เราละไดแ้ ลว้ (จดั เปน็ กตญาณ) ภกิ ษทุ ั้งหลาย จกั ษุเกดิ ข้นึ แลว้ ...แสงสว่างเกิดขนึ้ แล้ว ในธรรมทง้ั หลาย ทเ่ี ราไมเ่ คยสดบั มากอ่ นวา่ นท้ี กุ ขนโิ รธ อรยิ สัจ (จดั เป็นสจั จญาณ) ภิกษุทั้งหลาย จกั ษเุ กดิ ขนึ้ แล้ว... ทกุ ขนโิ รธอริยสัจน้ี ควรท�ำใหแ้ จง้ (จดั เปน็ กิจจญาณ) ภกิ ษทุ ง้ั หลาย จักษเุ กิดขึ้นแลว้ ... ทกุ ขนโิ รธอรยิ สจั น้ี เราไดท้ ำ� ใหแ้ จง้ แลว้ (จดั เปน็ กตญาณ) ภกิ ษทุ ง้ั หลาย จักษุเกิดข้ึนแล้ว...แสงสวา่ งเกดิ ขน้ึ แลว้ ในธรรมทง้ั หลาย ทเี่ ราไมเ่ คยสดบั มากอ่ นวา่ น้ี ทกุ ขนโิ รธคา มนิ ปี ฏปิ ทาอรยิ สจั (จดั เปน็ สจั จญาณ) ภกิ ษทุ ง้ั หลาย จักษุเกิดขึ้นแลว้ ... ทุกขนิโรธคามนิ ปี ฏิปทาอรยิ สจั น้ี ควรให้เจรญิ (จัดเป็น กจิ จญาณ) ภกิ ษุทัง้ หลาย จกั ษเุ กิดขน้ึ แล้ว... ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนี้ เราได้ให้เจริญแล้ว (จัดเปน็ กตญาณ) 118 ที่สดุ แหง่ ธรรม ถึงไดด้ ว้ ยความเคารพ www.kalyan
ญาณทสั สนะในอริยสัจ ๔ อันมีรอบ ๓ อาการ ๑๒ จากพระพุทธด�ำรัสท่ียกมาน้ี ท่านผู้อ่านย่อมเห็นแล้วว่า กระบวนการเห็นแจ้งรู้แจ้งน้ัน เกิดจากการเจริญภาวนา ที่มี ประสบการณ์ภายใน ส่งถึงขั้นแสงสว่างเกิดข้ึน และแน่นอนแสง สวา่ งนนั้ ยอ่ มมใิ ชแ่ สงสวา่ งในระดบั ทเี่ กดิ ขน้ึ กบั ผบู้ รรลวุ ปิ สั สนาญาณ โดยทั่วไป แต่จะต้องเป็นแสงสว่างโพลงย่ิงกว่าตะวันเที่ยงหลายร้อย หลายพนั ดวงมาประชมุ รวมกนั มฉิ ะนน้ั จกั ษุ ญาณ ปญั ญา และวชิ ชา คงจะเกดิ ขนึ้ ไมไ่ ดเ้ ลย ขอ้ นผ้ี มู้ ปี ระสบการณใ์ นการเจรญิ สมาธภิ าวนา ยอ่ มเขา้ ใจไดด้ ี และยอ่ มเขา้ ใจอกี ดว้ ยวา่ ปญั ญาทเี่ กดิ ขน้ึ เมอื่ พระองค์ ตรสั รูแ้ ล้วน้ันคืออธปิ ญั ญา หรอื ปญั ญาของผู้สิ้นอาสวะนัน่ เอง ณ จดุ นท้ี า่ นผอู้ า่ นคงจะมองเหน็ ความสมั พนั ธใ์ นลกั ษณะทส่ี ง่ เสรมิ สนบั สนนุ กันและกันระหว่างอธิศีล ญาณทัสสนะ และอธิปัญญาของพระพุทธ องค์ได้เปน็ อยา่ งดี พุทธคารวตา เคารพในพระพุทธเจา้ 119 namitra.org
อธิปัญญาน่ีเอง ที่ท�ำให้เหล่าพุทธสาวกต่างพากันสรรเสริญ ว่า “พระสมณโคดมทรงมีพระปัญญา ทรง ประกอบด้วยพระปัญญาขันธ์อันยิ่ง เป็นไปไม่ได้เลยท่ี พระสมณโคดมจักไม่ทรงเล็งเห็นถ้อยค�ำท่ียังมาไม่ถึง หรอื จกั ไมท่ รงข่มคำ� โตเ้ ถียงของฝ่ายอ่นื ทเี่ กดิ ขึ้นแลว้ ให้ เป็นการถูกตอ้ ง มเี หตผุ ลดี” เพราะเหตนุ ี้ ขณะทพ่ี ระพทุ ธองคท์ รงแสดงธรรมแกบ่ รษิ ทั ไม่ วา่ จะมากมายเพยี งใด ทป่ี ระชมุ กเ็ งยี บกรบิ เพราะทกุ คนตา่ งตงั้ ใจฟงั ส่ิงท่ีเป็นความรู้ใหม่หรือเป็นธรรมะทตี่ นยงั ไมเ่ คยไดฟ้ งั มากอ่ นเลย เพอ่ื เพม่ิ พนู ปญั ญาของตน จงึ ไมม่ สี าวกผมู้ ปี ญั ญาทา่ นใดเลยทบ่ี งั อาจ อวดดีโต้แย้งค�ำสอนของพระพุทธองค์ ยิ่งกว่าน้ันแต่ละท่านยังหวัง การพรำ่� สอนจากพระพทุ ธองคท์ ง้ั สน้ิ อธปิ ญั ญา จงึ เปน็ ธรรมประการ ที่ ๓ ซง่ึ เปน็ เหตใุ หส้ าวกทง้ั หลายนอกจากสกั การะ เคารพ นบั ถอื บชู า พระพุทธองคแ์ ลว้ ก็ยังปรารถนาท่จี ะอาศัยพระองคอ์ ยู่ 120 ท่สี ดุ แหง่ ธรรม ถงึ ไดด้ ้วยความเคารพ www.kalyan
๔) ทรงไขปญั หาอรยิ สัจ ๔ สดุ ยอดแหง่ ความรทู้ พ่ี ระพทุ ธองคท์ รงเหน็ แจง้ รแู้ จง้ ดว้ ยญาณ ทสั สนะของพระองคเ์ อง จนเปน็ เหตใุ หส้ นิ้ กเิ ลสอาสวะ ทรงมอี ธปิ ญั ญา กค็ อื เรอ่ื งอรยิ สจั ๔ ซงึ่ พระพทุ ธองคท์ รงพากเพยี รตรวจสอบดว้ ยญาณ ทสั สนะถงึ ๓ รอบ จงึ ทรงยนื ยนั วา่ ทรงเปน็ ผตู้ รสั รสู้ มั มาสมั โพธญิ าณ เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า บาปอกุศลอันใดท่ีเคยมีหลงเหลือ แอบแฝงอยใู่ นพระทัย กเ็ ปน็ อนั ถกู สมั มตั ตนิยตธรรมคอื อริยมรรค ๔ ทำ� ลายลงโดยสนิ้ เชงิ กศุ ลธรรมเปน็ อเนกประการอนั มสี มั มตั ตนยิ ตธรรม เปน็ ปจั จยั ยอ่ มถงึ ความเจรญิ เตม็ ท่ี มฉิ ะนนั้ กจ็ ะไมท่ รงยนื ยนั ดงั ทตี่ รสั กบั ภกิ ษุปัญจวัคคยี ว์ า่ ๑๕ “ภิกษุทั้งหลาย ญาณทัสสนะ ตามเป็นจริงของเราใน อริยสจั ๔ เหลา่ น้ี มรี อบ ๓ อาการ ๑๒ อยา่ งน้ี ยังไม่ หมดจดดีตราบใด เราก็ยังไม่ยืนยันว่าเป็นผู้ตรัสรู้สัมมา สัมโพธิญาณอนั ยอดเยีย่ มในโลก กับท้งั เทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมสู่ ตั วพ์ รอ้ มทง้ั สมณพราหมณ์ เทวดา และ มนุษย์ตราบน้ัน ...ญาณทัสสนะเกิดขึ้นแก่เราว่า ความ หลุดพ้นของเราไม่ก�ำเริบ ชาติน้ีเป็นชาติสุดท้าย บัดนี้ ภพใหมไ่ ม่มีอกี ” ๑๕ วิ.มหา. (ไทย) ๖/๑๖/๔๗ พุทธคารวตา เคารพในพระพทุ ธเจา้ 121 namitra.org
เพราะเหตทุ ที่ รงอธปิ ญั ญาในเรอ่ื งอรยิ สจั ๔ นเ้ี อง พระพทุ ธองค ์ จึงสามารถไขปัญหาอริยสัจ ๔ ให้แก่เหล่าสาวกอย่างชัดแจ้งทะลุ ปรุโปรง่ ไม่ว่าสาวกจะกราบทูลถามถึงเร่ืองความทุกข์ เหตแุ หง่ ทุกข์ การดบั ทุกข์ (ทุกข์นั้นดับได)้ ตลอดถงึ วิธีดับทกุ ข์ พระพุทธองคก์ ็ทรง ชี้แจงให้สาวกเกิดความเข้าใจทุกคร้ังทุกกรณี ด้วยความเต็มพระทัย ย่งิ เปน็ ทยี่ นิ ดีชืน่ ชอบใจแกส่ าวกท้ังปวง พระพทุ ธองคจ์ งึ ตรัสแกส่ กุลุ ทายิว่า การแก้ไขปญั หาอริยสจั ๔ อย่างกระจา่ งชัดนเ้ี อง เป็นธรรม ประการท่ี ๔ ทที่ ำ� ใหส้ าวกทัง้ หลาย สกั การะ เคารพ นบั ถอื บูชา และ อาศัยพระองคอ์ ยู่ เพราะเหตทุ ี่ทรงอธปิ ญั ญา ในอริยสจั ๔ จงึ สามารถ ไขปัญหาอริยสัจ ๔ แกเ่ หลา่ สาวกได้ อยา่ งทะลุปรุโปรง่ ทรงชแ้ี จง ใหเ้ ข้าใจได้ทกุ คร้ังทกุ กรณี 122 ทส่ี ุดแหง่ ธรรม ถึงได้ดว้ ยความเคารพ www.kalyan
๕) ทรงสอนวิธปี ฏิบตั เิ พือ่ บรรลอุ รหัตผล ด้วยพระทัยอันเปี่ยมล้นด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ เหนือสัตว์โลกท้ังปวง เม่ือพระพุทธองค์ทรงหลุดพ้นแล้ว ก็ทรง ปรารถนาจะให้ผู้อื่นหลุดพ้นตามด้วย พระองค์จึงทรงทุ่มเทเวลา พร�่ำสอนพุทธสาวกอย่างไม่มีการปิดบัง ไม่มีการหวงวิชชา เฉกเช่น คณาจารย์ทัง้ หลายในโลก ดังทเี่ ราท่านทราบกันดีอยู่ และโดยเหตุท่ี พระพทุ ธองคท์ รงมญี าณทสั สนะหมดจดเปน็ เลศิ จงึ ทรงหยง่ั รอู้ นิ ทรยี ์ (ธรรมทเ่ี ปน็ ใหญใ่ นหนา้ ทข่ี องตน ๕ ประการ มศี รทั ธาเปน็ ตน้ ทท่ี ำ� ให้ ตรสั ร้ไู ด)้ และจรติ หรอื พืน้ นสิ ยั ของสาวกแตล่ ะท่าน และโดยเหตุท่ี พระพทุ ธองค์ทรงมอี ธิปญั ญารอบรหู้ มวดธรรมตา่ ง ๆ จึงทรงสามารถ สอนสาวกเป็นอันมากให้บรรลุอรหัตผล ด้วยการปฏิบัติตามหมวด ธรรมตา่ ง ๆ กนั ไป ท่ีพระองคท์ รงชีแ้ นะให้ แมเ้ พียงหมวดเดยี วกต็ าม หมวดธรรมท่ีพระองค์ทรงชี้แนะให้แก่สาวกน้ันมีเป็นอเนก ประการ เปน็ ตน้ วา่ สตปิ ฏั ฐาน ๔ สมั มปั ปธาน ๔ อทิ ธบิ าท ๔ อนิ ทรยี ์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อรยิ มรรคมอี งค์ ๘ วโิ มกข์ ๘ ฯลฯ พระผู้มีพระ ภาคตรัสแก่สกุลุทายิปริพาชกว่า การที่สาวกปฏิบัติตามข้อปฏิบัติท่ี พระองค์ทรงชี้แนะให้ สาวกเป็นอันมากจึงบรรลุบารมีอันเป็นที่สุด แห่งอภิญญา คือ บรรลุอรหัตผลอันเป็นท่ีสุดแห่งอภิญญา น้ีคือ ธรรมประการที่ ๕ ซง่ึ เปน็ เหตใุ หส้ าวกตา่ งสกั การะ เคารพ นบั ถอื บชู า และอาศยั พระองค์อยู่ พทุ ธคารวตา เคารพในพระพทุ ธเจา้ 123 namitra.org
www.kalyan
ทรงเปย่ี มลน้ ด้วยพระมหากรณุ าธิคณุ อนั ยิ่งใหญ่ เมอ่ื ทรงหลดุ พ้นแลว้ ทรงปรารถนาให้ผ้อู ื่น หลดุ พน้ ตาม ทุม่ เทพรำ่� สอน ไม่ปิดบัง ทรงมญี าณทัสสนะอันหมดจด หยงั่ ร้อู นิ ทรยี ์ และจริตของสาวก จงึ สอนสาวกเป็นอนั มาก ใหบ้ รรลุอรหัตผล ด้วยหมวดธรรมต่าง ๆ กนั ไป เ คารพธรรม ๕ ประการ คอื เคารพในพระพทุ ธคณุ ๓ ท่านผอู้ า่ นคงจะเห็นแลว้ ว่า ธรรม ๕ ประการ คือ ๑) อธศิ ีล ๒) ญาณทัสสนะ ๓) อธิปัญญา ๔) การไขปัญหาอริยสัจ ๔ และ ๕) การสอนวิธีปฏิบัติเพื่อบรรลุอรหัตผล อันเป็นเหตุให้พุทธสาวก ทง้ั หลายเคารพ สกั การะพระพทุ ธองค์ กเ็ ทา่ กบั วา่ เคารพในพระพทุ ธคณุ โดยยอ่ ๓ ประการด้วย คอื การเคารพในญาณทัสสนะและอธิปัญญาของสาวก ก็คือ การเคารพในพระปัญญาธิคณุ พุทธคารวตา เคารพในพระพุทธเจา้ 125 namitra.org
การเคารพในอธิศีล ญาณทัสสนะ และอธิปัญญา ก็คือการ เคารพในพระบรสิ ทุ ธิคณุ เพราะอธิศลี ญาณทสั สนะ และอธิปญั ญา เป็นความบรสิ ุทธท์ิ างกาย วาจา ใจของพระองค์ และเป็นเครื่องท�ำให้ เกดิ ความบรสิ ทุ ธิด์ ว้ ย การเคารพในการไขปัญหาอริยสัจ ๔ และการสอนวิธีปฏิบัติ เพื่อบรรลอุ รหัตผลน้ัน เปน็ การเคารพในพระมหากรุณาธิคณุ 126 ทีส่ ดุ แหง่ ธรรม ถงึ ได้ด้วยความเคารพ www.kalyan
สำ� หรบั พวกเราชาวพทุ ธทงั้ หลาย การจะไดช้ อ่ื วา่ เปน็ ผมู้ คี วาม เคารพในพระบรมศาสดา หรือพระพุทธเจ้า จ�ำเป็นต้องจับจ้องมอง พระคณุ ของพระองค์ให้ถูกต้อง ตามกรอบของพระพทุ ธคณุ ๓ จงึ จะ ช่วยให้สามารถปฏิบัติตนได้ถูกต้องตามจุดมุ่งหมายของความเคารพ พระพุทธเจา้ คอื ๑) เพ่ือมีปัญญารู้แจ้งเห็นแจ้งในโลก ตลอดจนการเห็น อริยสัจ ๔ อันเป็นวธิ กี ารน�ำไปสกู่ ารบรรลุเปา้ หมายสูงสุด ของการได้ มาเกดิ เปน็ มนษุ ย์ ๒) เพ่อื จะได้สามารถพัฒนากาย วาจา ใจของตนให้ มีความ บริสทุ ธท์ิ ีส่ ดุ ๓) เพื่อพัฒนาความกรณุ าใหย้ ิ่งใหญ่ตามพระองค์ ต้งั ใจ บำ� เพญ็ ตนเปน็ กลั ยาณมติ รใหแ้ กช่ าวโลก โดยไมเ่ หน็ แกค่ วามเหนอื่ ยยาก คอื ตง้ั ใจแสดงธรรมทตี่ นปฏบิ ตั ไิ ดใ้ หเ้ ขาเขา้ ใจ และเปน็ พเี่ ลยี้ งคอยให้ ก�ำลงั ใจ และแกไ้ ขขอ้ บกพรอ่ งให้ขณะเขาปฏบิ ัติธรรม ถา้ จบั จอ้ งมองพระพทุ ธคณุ อยา่ งตน้ื เขนิ ไมต่ ระหนกั ใสใ่ จเทา่ ทีค่ วร ก็คงจะเปน็ ประเภทเดยี วกบั สกุลทุ ายปิ ริพาชกนั่นเอง แตน่ น่ั ก็ ยงั นบั วา่ ดี เพราะถงึ แมป้ รพิ าชกนจ้ี ะนบั ถอื ลทั ธศิ าสนาตา่ งจากชาวพทุ ธ แต่ก็ยังสามารถจับดีพระพุทธองค์ได้ถึง ๕ ประการ แต่เม่ือได้ ทราบพระพทุ ธคณุ อยา่ งลกึ ซงึ้ จากพระพทุ ธองคแ์ ลว้ กไ็ ดเ้ ปลย่ี นมาเคารพ พุทธคารวตา เคารพในพระพุทธเจา้ 127 namitra.org
นบั ถอื พระพทุ ธศาสนา ถงึ ยงั ไมอ่ าจบรรลมุ รรคผลนิพพานได้ในชาติน้ี แตก่ เ็ ป็นอุปนิสยั ใหบ้ รรลไุ ด้ในภพเบ้ืองหนา้ เม่อื ปริพาชกนเี้ กดิ อีกใน สมัยของพระเจ้าธรรมาโศกราช เม่ือเจริญวัยได้บวชในพระศาสนา ครนั้ บวชแลว้ ไดบ้ รรลพุ ระอรหตั มชี อ่ื วา่ พระอสั สคตุ ตเถระ เปน็ ผเู้ ลศิ แห่งภกิ ษุผูเ้ ปน็ เมตตาวหิ ารี แต่ท่ีน่าเสียดายคือ ผู้ท่ีเป็นพุทธศาสนิกโดยตรง หากมอง พุทธคุณอย่างตื้นเขินเพราะความไม่ตระหนักใส่ใจในการศึกษา ปฏบิ ตั ใิ นคำ� สอนเทา่ ทค่ี วร ถา้ เปน็ เชน่ นน้ั มชิ า้ มนิ าน ความเลอื่ มใส ศรทั ธาในพระพทุ ธเจา้ และพระพทุ ธศาสนากย็ อ่ มจะเสอ่ื มลงเรอ่ื ย ๆ ซ�้ำร้ายหากยุคใดได้ผู้ปกครองรัฐที่ไร้ปัญญาและไม่มีความ ศรัทธาความเคารพในพระพุทธเจ้าผเู้ ปน็ พระศาสดาของตน เมื่อ ถึงเวลานั้นก็เป็นอันฟันธงได้ว่า พระพุทธศาสนาจะสูญส้ินไปจาก ประเทศไทย เช่นเดยี วกับหลายประเทศทพี่ ระพุทธศาสนาเคยเจรญิ ร ่งุ เรือง แต่บัดน้คี วามเจรญิ รุ่งเรอื งนนั้ ไดก้ ลายเปน็ อดตี ไปแลว้ เมอ่ื นนั้ คนไทยและลกู หลานไทยกจ็ ะไรท้ พี่ งึ่ ทางจติ ใจ คราใด ท่มี ที ุกขก์ จ็ ะหนั ไปนับถือลกู กรอก กมุ ารทอง นางกวกั ปลัดขิก หรอื หันไปกราบไหว้บูชาเจ้าป่า ผีสางนางไม้ จ้ิงจก ๒ หาง สุนัข ๕ ขา สกุ ร ๒ หวั ฯลฯ เพอ่ื ยดึ เปน็ ทพี่ ง่ึ เปน็ การเพมิ่ พนู อวชิ ชาและกเิ ลส ใหแ้ กต่ นโดยไมร่ เู้ ท่าทัน กจ็ ะเปน็ การปดิ ประตสู วรรค์จนสนิท และ เปดิ ประตนู รกใหก้ วา้ งขวางยิ่งข้นึ ส�ำหรับตน 128 ท่สี ุดแห่งธรรม ถึงได้ดว้ ยความเคารพ www.kalyan
หากพทุ ธศาสนิกชนมองพระพุทธคุณ อย่างต้นื เขิน ความเลอื่ มใสศรัทธาในพระพทุ ธเจา้ และพระพุทธศาสนา ยอ่ มเสื่อมถอยลงจนหมดส้นิ ไป เมอ่ื นั้น ผคู้ นจะไร้ที่พึง่ ทางใจ ยึดถอื สง่ิ ทีไ่ ม่ใช่พระรตั นตรัยเปน็ ทพ่ี ึ่ง อวชิ ชาและกิเลสย่อมพอกพนู ปิดประตูสวรรค์ เปดิ ประตูนรกสำ� หรบั ตน พุทธคารวตา เคารพในพระพทุ ธเจ้า 129 namitra.org
ความหมายของคำ� วา่ ตถาคต ๘ นัย เพื่อให้เห็นพระพุทธคุณได้ลึกซึ้งย่ิงขึ้นไปในอีกแง่มุม จึงขอ น�ำเสนอความหมายของ “ตถาคต” ใหไ้ ดศ้ ึกษากนั ค�ำว่า “ตถาคต” เป็นเนมิตกนาม เกิดข้ึนเองพร้อมกับที่ พระพุทธองค์บรรลุพระโพธิญาณ เช่นเดียวกับค�ำว่า “อรหํ” พระ สมั มาสมั พุทธเจ้าของเราทรงแสดงว่าการทพี่ ระองค์มีเนมิตกนาม เช่นน้ีก็เนื่องมาจากเหตุผล ๘ ประการ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า คำ� วา่ ตถาคต มคี วามหมายอยู่ ๘ นยั ๑๖ คือ ๑. พระผู้เสด็จมาแล้วอย่างน้ัน หมายถึง เสด็จมาเพื่อ ประโยชนเ์ กอื้ กลู แกช่ าวโลกทง้ั ปวง ดงั เชน่ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ในอดตี ท่ีทรงพระนามว่า วิปัสสี สิขี เวสสภู กกุสันธะ โกนาคมนะ และ กสั สปะ เปน็ ตน้ ๒. พระผเู้ สดจ็ ไปแลว้ อยา่ งนน้ั มีความหมาย ๒ ประการ ซง่ึ อาจกลา่ วโดยสรปุ ได้ดังน ี้ ๑) พระผมู้ พี ระภาคเจา้ องคก์ อ่ น ๆ ประสตู ไิ ดค้ รเู่ ดยี วก็ เสด็จด�ำเนินไปได้ฉันใด พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราก็เสด็จ ด�ำเนินไปไดฉ้ ันนนั้ ๒) พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ของเราทรงทำ� ลายอวชิ ชา และ ทรงตัดขาดกิเลสทุกอย่างด้วยอรหัตมรรค ดังเช่นพระผู้มี พระภาคองค์ก่อน ๆ ๑๖ ม.มู.อ. มูลปรยิ ายสูตร (ไทย) ๑๗/๑๐๕-๑๒๑ 130 ทส่ี ดุ แห่งธรรม ถึงไดด้ ้วยความเคารพ www.kalyan
พทุ ธคารวตา เคารพในพระพทุ ธเจ้า 131 namitra.org
๓. พระผู้เสด็จมาสู่ลักษณะอันแท้จริง หมายถึง พระผู้มี พระภาคเจ้าทรงมีพระญาณทัสสนะ เห็นและรู้ถึงลักษณะที่แท้จริง ของสรรพส่ิง และสรรพธาตุสรรพธรรมทุกอย่าง เช่น ลักษณะแห่ง วิญญาณธาตุว่าเป็นเคร่ืองรู้ ลักษณะแห่งจิตเอกัคคตาว่าความไม่ ฟุ้งซ่าน ลกั ษณะของตณั หาวา่ เหตุแห่งทกุ ข์ ลักษณะของมรรควา่ เปน็ เหตใุ หถ้ งึ ความดบั ทกุ ข์ ลกั ษณะของสตวิ า่ ความเปน็ ใหญ่ ลกั ษณะของ ปญั ญาวา่ สงู กวา่ ธรรมทงั้ หมด ลกั ษณะของวมิ ตุ ตวิ า่ แกน่ ลกั ษณะของ นพิ พานทีห่ ยง่ั ลงสอู่ มตะว่าทส่ี นิ้ สดุ ๔. พระผตู้ รสั รธู้ รรมตามที่เปน็ จรงิ หมายถึง ตรัสรอู้ รยิ สัจ ๔ หรือปฏิจจสมปุ บาท อันเป็นธรรมที่จรงิ แทแ้ นน่ อน ๕. พระผู้มปี กตเิ ห็นอารมณท์ จ่ี ริงแท้ หมายถงึ ทรงร้เู ท่าทนั สรรพอารมณ์ (ได้แก่ รปู เสียง กล่นิ รส สัมผัส และธรรมารมณ)์ ที่ ปรากฏแกห่ มสู่ ัตว์ ทัง้ มนษุ ย์ เทวดา และพรหม ได้ประสบและพากนั แสวงหา ดงั ท่ตี รสั วา่ “อารมณใ์ ดที่โลกกบั ทัง้ เทวโลก ฯลฯ ทีห่ มู่สัตว์ กบั ทงั้ เทวดา และมนษุ ย์ได้เห็น ได้สดับ ได้ทราบ ได้รู้แจ้ง ได้บรรลุ ได้แสวงหา ได้คิดค้น ตถาคตรู้อารมณ์ ตถาคตรู้อย่างแท้จริงซึ่ง อารมณน์ ัน้ ๖. พระผู้มีปกติตรัสวาทะที่จริงแท้ หมายถึง พระด�ำรัส ทงั้ ปวง นบั ตง้ั แตต่ รสั รจู้ นเสดจ็ ดบั ขนั ธปรนิ พิ พาน ลว้ นเปน็ สงิ่ ถกู ตอ้ ง และจรงิ แทไ้ มค่ ลาดเคลอื่ นไปจากความจรงิ ไมข่ าดไมเ่ กนิ บรบิ รู ณด์ ว้ ย อาการทุกอย่าง ดังทพ่ี ระอรรถกถาจารย์กล่าวไวว้ า่ 132 ทีส่ ดุ แห่งธรรม ถึงได้ด้วยความเคารพ www.kalyan
“ความผิดพลาดในพระพุทธพจน์น้ัน แม้เพียงปลายขน ทรายกไ็ มม่ ี ทงั้ หมดนนั้ เปน็ ของจรงิ แท้ ไมแ่ ปรผนั ราวกบั ประทบั ดว้ ย พระราชลัญจกรอันเดียวกัน ราวกับว่าตวงด้วยทะนานเดียวกัน และราวกบั วา่ ชง่ั ดว้ ยตาชง่ั คนั เดยี วกนั ฉะนน้ั ” ๗. พระผ้มู ีปกติทำ� จรงิ หมายความว่า พระผ้มู ีพระภาคเจา้ มีปกติตรสั อยา่ งใด ก็ทรงมีปกตทิ ำ� อยา่ งนัน้ และมปี กติทำ� อยา่ งใด ก็ ทรงมีปกติตรสั อยา่ งนนั้ ดงั ทต่ี รสั วา่ ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย ตถาคตมีปกติพูดอย่างใด ก็มีปกติท�ำอย่างนั้น มีปกติท�ำอย่างใด ก็มีปกติพูดอย่าง นน้ั เพราะเหตนุ ้ี จงึ ได้รบั ขนานพระนามว่า “ตถาคต” ๘. พระผู้ครอบง�ำ หมายความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง มีอำ� นาจยง่ิ ใหญเ่ หนอื สรรพสตั วท์ กุ ระดบั ทรงสามารถครอบงำ� ในเบอื้ ง บนต้งั แตพ่ รหมในระดับสูงสุด ลงมาถึงสรรพสัตว์ในโลกธาตุอันหา ปริมาณมไิ ด้ เรอ่ื ยลงไปจนถึงอเวจมี หานรก ด้วยอ�ำนาจแห่งศีลบา้ ง สมาธิบ้าง ปัญญาบ้าง วิมุตติบ้าง วิมุตติญาณทัสสนะบ้าง ดังท่ี พระผู้มีพระภาคเจา้ ตรสั ว่า ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย ตถาคตเป็นผู้ครอบง�ำ (แต่) ไม่มีใครครอบง�ำได้ เป็นผู้เห็นอย่างถ่องแท้ เป็นผู้ แผอ่ �ำนาจได้ในโลกกบั ทงั้ เทวโลก ฯลฯ ในหมู่สตั วก์ ับท้ัง เทวดาและมนษุ ย์ เพราะเหตนุ นั้ จึงไดร้ บั ขนานพระนาม วา่ “ตถาคต” พุทธคารวตา เคารพในพระพุทธเจา้ 133 namitra.org
จากความหมายของคำ� ว่า “ตถาคต” ทั้ง ๘ ประการนี้ ทา่ น ผู้อ่านคงจะได้เห็นพระพุทธคุณ ซึ่งเป็นคุณสมบัติอันประเสริฐอย่าง ยิ่งของพระพุทธองค์ได้ชัดเจนเพิ่มขึ้นจากพระพุทธคุณ ๕ ประการ ท่ีพระพทุ ธองคท์ รงแสดงแก่สกลุ ุทายปิ ริพาชก ดังนั้น จึงมั่นใจว่าผู้มีปัญญาท้ังหลายคงจะเกิดความรู้สึก เทิดทูนพระพุทธองค์อย่างเปี่ยมล้นจิตใจ และนอบน้อมถวายความ เคารพต่อพระพุทธองค์ด้วยชีวิต นั่นคือเกิดแรงบันดาลใจ มุ่งม่ันเข้า มาศึกษาและปฏิบัติธรรม ด้วยความวิริยอุตสาหะ ชนิดเอาชีวิตเป็น เดิมพัน ด้วยศรัทธาม่ันว่าจะสามารถบรรลุผลไปตามล�ำดับ ๆ ดังที่ พระพุทธองคต์ รัสสอนไวด้ แี ลว้ แมจ้ ะยังไมส่ ามารถบรรลุผลสงู สดุ ได้ ในภพชาตนิ ี้ แต่การประพฤติดีปฏบิ ัตชิ อบของเรา กจ็ ะถูกส่งั สมเป็น บญุ บารมี สำ� หรบั การไปสสู่ คุ ติ ตลอดจนการบรรลผุ ลสงู สดุ ในภพชาติ ต่อ ๆ ไป ผู้มีปัญญายอ่ มเกดิ ความรสู้ กึ เทิดทูนพระพุทธองคอ์ ยา่ งเปีย่ มล้น นอบน้อมเคารพ พระองคด์ ว้ ยชวี ิต คอื มุง่ มนั่ ศกึ ษา ปฏิบัตธิ รรม ด้วยความวิรยิ อุตสาหะ ชนดิ เอาชีวติ เปน็ เดิมพัน เพ่อื บรรลมุ รรคผลนพิ พานตามพระบรมศาสดา 134 ท่สี ดุ แหง่ ธรรม ถงึ ไดด้ ว้ ยความเคารพ www.kalyan
namitra.org
แสดงความเคารพ พระพทุ ธเจา้ อย่างไร ? การแสดงความเคารพต่อพระพทุ ธเจ้า ผลแหง่ การเคารพหรอื ไม่เคารพ ในพระพทุ ธเจ้า 136 ท่สี ุดแห่งธรรม ถงึ ได้ด้วยความเคารพ www.kalyan
การแสดงความเคารพพระพุทธเจา้ จากธรรมบรรยายที่ผ่านมา ท่านผู้อ่านได้ทราบถึงพระคุณ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า มีอยู่มากมายสุดจะนับจะประมาณ ดังนั้นพุทธศาสนิกชนทั้งมวลตลอดจนผู้มีปัญญาท้ังหลาย แม้มิได้ เป็นพุทธศาสนิกชน นอกจากจะมีความเคารพ คือตระหนักใน พระพทุ ธคณุ แลว้ ยงั จะตอ้ งรจู้ กั แสดงความเคารพตอ่ พระพทุ ธองคอ์ ยา่ ง เหมาะสม ถกู ตอ้ งอกี ด้วย แต่โดยเหตุที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จ ดับขันธปรินิพพานแล้ว การที่จะกล่าวถึงการแสดงความเคารพ ต่อพระพุทธองค์ ควรแบ่งออกเป็น ๒ สมยั คอื ก) สมยั เมือ่ ยังทรงพระชนมช์ ีพอยู่ ข) สมัยหลงั พทุ ธปรินพิ พาน ก) การแสดงความเคารพสมัยเมอ่ื ยงั ทรงพระชนม์ชีพอยู่ เรอื่ งเก่ียวกบั การแสดงความเคารพพระสัมมาสัมพุทธเจา้ ใน สมยั ทพี่ ระองคย์ งั ทรงพระชนมช์ พี นน้ั พระอรรถกถาจารยไ์ ดก้ ลา่ วไว้ ในอรรถกถาสามคามสตู ร เทวทหวรรค๑๗ เกย่ี วกบั การแสดงความไม่ เคารพในพระศาสดา เพราะฉะนนั้ การแสดงความเคารพในพระศาสดา ยอ่ มมลี กั ษณะตรงขา้ มกบั ทพี่ ระอรรถกถาจารยก์ ลา่ วไว้ และอาการที่ แสดงความเคารพน้ัน ประมวลได้ ๘ ประการ คอื ๑๗ ม.อ.ุ อ. สามคามสูตร เทวทหวรรค ๒๒/๙๗ พุทธคารวตา เคารพในพระพุทธเจ้า 137 namitra.org
๑) ไปสทู่ บ่ี ำ� รงุ ทง้ั ๓ กาล คอื เวลาเชา้ เวลาเพล และเวลาเยน็ หมายความวา่ พระภกิ ษทุ มี่ คี วามเคารพในพระผมู้ พี ระภาคเจา้ พงึ ไป สทู่ ปี่ ระทบั ของพระองคท์ กุ วนั ตามเวลาดงั กลา่ ว จดุ มงุ่ หมายของการ ไป คือ • เพ่อื นอ้ มรบั ใช้ในกจิ ธุระบางประการของพระองค์บา้ ง • เขา้ ไปทลู ถามปญั หาธรรมบ้าง • หรอื มิฉะนัน้ ก็ทูลถามทุกขส์ ขุ ส่วนของพระองค์บา้ ง การไปสทู่ บ่ี ำ� รงุ บอ่ ย ๆ เชน่ นี้ ประโยชนส์ ำ� คญั ทจ่ี ะเกดิ กบั ภกิ ษุ ที่ไปเข้าเฝ้าอย่างน้อยที่สุดก็คือ ๑) สามารถควบคุมทุกอิริยาบถ ทางกายและวาจา ให้อยู่ในลักษณะอ่อนน้อม อ่อนโยน ละมนุ ละไม ไม่เก้งก้าง กระโดกกระเดก ซ่ึงจะส่งผลท�ำให้จิตใจของพระภิกษุนั้น ออ่ นโยนละมนุ ละไมตามไปดว้ ย จติ ใจยงิ่ นมุ่ นวลเพยี งใด ก็ยิ่งจะท�ำให้ มองเห็นคุณความดีของพระองค์ดียิ่งข้ึนเพียงนั้น ๒) เมื่อควบคุม กาย วาจาไดม้ าก ย่อมมีผลให้ศีลของตนบริสุทธิ์ยิ่งข้ึน ๓) ยอ่ มทำ� ให้ ใจนง่ิ มากขนึ้ ซ่ึงจะส่งผลให้สามารถเจริญสมาธิได้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น คือเพมิ่ พนู ความสวา่ งโพลงในจติ ใจไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ ความสวา่ งยงิ่ มากขนึ้ ญาณทัสสนะก็เกิด ๔) ปัญญาทางธรรมก็ตามมา นี่คือประโยชน์ ของการไปสู่ท่ีบ�ำรุงทั้ง ๓ กาล 138 ทส่ี ุดแห่งธรรม ถงึ ไดด้ ้วยความเคารพ www.kalyan
๒) เมื่อพระศาสดาไม่ทรงฉลองพระบาท เสด็จจงกรมอยู่ ภิกษกุ ็ตอ้ งไมส่ วมรองเทา้ จงกรม ๓) เมื่อเสด็จจงกรมอยู่ในที่จงกรมต�่ำ ภกิ ษกุ ็ตอ้ งไมจ่ งกรม อยใู่ นท่สี ูงกวา่ ๔) เม่ือพระศาสดาประทับอย่เู บอื้ งต�่ำ ภิกษกุ ต็ ้องไมอ่ ยูใ่ นท่ี สงู ท่ีแลเห็นพระศาสดา ๕) ไม่หม่ คลมุ ไหล่ท้งั ๒ ขา้ ง ในท่ที อดพระเนตรเหน็ ๖) ไมก่ างรม่ ในทท่ี อดพระเนตรเหน็ ๗) ไม่สวมรองเท้าในท่ที อดพระเนตรเหน็ ๘) ไม่ถา่ ยอจุ จาระ - ปสั สาวะ ในทที่ อดพระเนตรเหน็ และ ทท่ี า่ อาบน�ำ้ การหม่ันไปส่ทู ีป่ ระทับของพระพุทธองค์ 139 ท�ำใหส้ ามารถควบคมุ กาย วาจา ให้ออ่ นนอ้ ม ออ่ นโยน ส่งผลให้จติ ใจนมุ่ นวล ละมุนละไม มองเหน็ พระพุทธคุณได้ลกึ ซง้ึ ยิง่ ขน้ึ เมือ่ ควบคมุ กาย วาจาไดม้ าก ศีลย่อมบรสิ ุทธิ์ ท�ำใหส้ มาธกิ า้ วหน้า ปญั ญาทางธรรมก็เกดิ ตามมา พทุ ธคารวตา เคารพในพระพุทธเจา้ namitra.org
ข) การแสดงความเคารพสมัยหลงั พุทธปรินิพพาน สำ� หรบั การแสดงความเคารพในพระศาสดา ซง่ึ จะกลา่ วตอ่ ไป น้ี ย่อมใชไ้ ด้กบั ทง้ั บรรพชติ และคฤหัสถ์ คอื ๑) ไปไหวพ้ ระเจดยี ต์ ามโอกาสอนั ควร ๒) ไปไหว้สังเวชนียสถาน ๔ แห่ง คือ ทีป่ ระสูติ ตรสั รู้ แสดงธรรม ปรินพิ พาน ๓) แสดงความเคารพพระพทุ ธรปู ด้วยการกราบไหว้ ๔) แสดงความเคารพพทุ ธาวาส ๕) ไมส่ วมรองเท้าในลานพระเจดีย์ ๖) ไมก่ างร่มในลานพระเจดีย์ ๗) เวลาเดินไปใกลพ้ ระเจดยี ์พึงเงยี บสงบ ไม่เดินพูดคุยกัน ๘) เขา้ ไปในเขตวัด (ภกิ ษุ) ตอ้ งลดไหล่ หบุ ร่ม ถอดรองเทา้ ๙) ไมท่ ำ� อคารวะทกุ ๆ อยา่ งท่ีไมส่ มควร ๑๐) กราบไหว้ดว้ ยเบญจางคประดิษฐ์ ๑๑) เปลง่ วาจาด้วยถอ้ ยคำ� ทร่ี ะลึกถงึ พระพทุ ธคณุ ๑๒) ตามระลกึ ถงึ พระพุทธคณุ ดว้ ยใจอันบริสทุ ธิ์ผดุ ผอ่ ง ๑๓) ปฏิบตั ิตามโอวาท ๓ (ส่วนหนึง่ แห่งโอวาทปาฏโิ มกข)์ เปน็ นิจดว้ ยจิตใจเคารพจรงิ ๆ 140 ทส่ี ดุ แหง่ ธรรม ถงึ ได้ดว้ ยความเคารพ www.kalyan
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200