บนั ทกึ การสอน โดย ศรชัย ชยาภิวฒั น - ๒๕๕๑ [ แกไข ต.ค. ๒๕๕๗ ]
สารบัญ หนา หนา หนา ๑. ส่งิ ทีค่ วรรใู นวปิ ส สนา ๖. พระบาลที ่ี ๒ ลกั ษณะ ๓ - ๒๑ ๙. สรุปพระบาลี ๖ บท - ๘๔ ๑) วิปส สนาคอื อะไร - - - ๑ ๗. พระบาลีที่ ๓ อนปุ ส สนา ๓ ๒) อารมณของวปิ ส สนา - - - ๑ ๑) อนิจจานุปสสนา - - - - - ๒๓ ๑๐. สมาปต ติเภท ๓) ประโยชนข องวิปส สนา - -๑ ๒) ทกุ ขานุปสสนา - - - - - ๓๒ ๑) ฌานสมาบตั ิ - - - - ๘๔ ๔) พระพุทธศาสนามี ๒ นัย - -๒ ๓) อนตั ตานุปสสนา - - - - - ๓๕ ๒) ผลสมาบตั ิ - - - - ๘๔ ๕) โครงสรางวิปสสนากรรมฐาน - - ๓ ๓) นิโรธสมาบตั ิ - - - - ๘๕ ๖) วปิ ส สนาภมู ิ ๖ - - - - ๔ ๘. พระบาลที ี่ ๔ วปิ ส สนาญาณ ๑๐ และญาณ ๑๖ ๑) นามรูปปริจเฉทญาณ - - - - - ๓๙ ๒. การนบั สงเคราะหธ รรม ๖ หมวด - - - ๕ ๒) ปจ จยปรคิ คหญาณ - - - - - ๔๔ ๓. ญาณ ๑๖ ที่ควรรูโดยสงั เขป - - -๖ ๓) สมั มสนญาณ - - - - - ๔๖ ๔. ญาณ ๑๖ โดยโพธปิ ก ขยิ ธรรม ๓๗ - -๘ ๔) อุทยพั พยญาณ - - - - - ๕๔ ๕. พระบาลีท่ี ๑ วิสทุ ธิ ๗ - - - - ๑๕ ๕) ภังคญาณ - - - - - ๕๗ ๑) สลี วิสทุ ธิ - - - - ๑๖ ๖) ภยญาณ - - - - - ๕๙ ๒) จติ ตวสิ ุทธิ - - - - ๑๗ ๗) อาทีนวญาณ - - - - - ๕๙ ๓) ทฏิ ฐวิ ิสุทธิ - - - - ๑๘ ๘) นิพพทิ าญาณ - - - - - ๕๙ ๔) กังขาวิตรณวิสุทธิ - - - ๑๘ ๙) มุญจิตกุ ัมยตาญาณ - - - - - ๖๑ ๕) มคั คามัคคญาณทสั สนวิสุทธิ - - ๑๙ ๑๐) ปฏิสงั ขาญาณ - - - - - ๖๓ ๖) ปฏปิ ทาญาณทัสสนวิสทุ ธิ - - ๒๐ ๑๑) สงั ขารุเปกขาญาณ - - - - - ๖๔ ๗) ญาณทสั สนวสิ ทุ ธิ - - - ๒๑ ๑๒) อนุโลมญาณ - - - - - ๗๕ ๑๓) โคตรภูญาณ - - - - - ๗๖ ๑๔) มัคคญาณ - - - - - ๗๗ ๑๕) ผลญาณ - - - - - ๗๗ ๑๖) ปจจเวกขณญาณ - - - - - ๘๓
-1- 5 สิ่งท่ีควรรใู นวิปส สนากรรมฐาน ๓) ประโยชนของวิปสสนา คอื อะไร ๑) วิปสสนา คอื อะไร > เขา ใจในสงิ่ ท่ถี กู ตอ งตามหลักทีพ่ ระพุทธองคไดทรงแสดงไว คอื ปญ ญา ๓ ระดับ ๑. ปญ ญา ทร่ี ูสภาวะรปู นาม ( ยงั ไมใชว ิปสสนาแท ) > ทาํ ลายอภิชฌา และโทมนสั ๒. ปญญา ที่รไู ตรลกั ษณ ( เปน วปิ สสนาแท ) ๓. ปญญา ทีร่ ใู นนิพพาน > ทาํ ลายอวิชชา > ทําลายวปิ ลาสธรรม ๑๒ - อนจิ จลกั ษณะ ละนจิ จสญั ญา ( อาการของความไมเ ท่ยี ง ) ละนจิ จจิตต พระโสดาบัน ละได > ลักษณะ - มปี ญ ญาเปนลกั ษณะ ละนิจจทฏิ ฐิ > สภาวะ - การรูธรรมตามความเปนจริง > รส - ละอวิชชา - ทกุ ขลกั ษณะ ละสุขสัญญา พระอรหันต ละได > ปจจุปฏฐาน - สาํ เร็จเปน พระอริยะ เปนผล ละสขุ จิตต พระสกทา. ทาํ ใหเบาบาง > ปทัฏฐาน - มีขนกิ สมาธิเปนเหตใุ กล ละสขุ ทฏิ ฐิ - พระโสดาบัน ละได > อารมณ - ใช ๖ ทวาร ปญ ญามาก - อนัตตลักษณะ ละอตั ตสญั ญา ปญญานอย = เวทนานปุ ส สนาสตปิ ฏ ฐาน ละอัตตจติ ต > จรติ - ตัณหาจริต = กายานุปสสนาสตปิ ฏฐาน = ธมั มานปุ ส สนาสติปฏ ฐาน ละอตั ตทิฏฐิ พระโสดาบัน ละได - ทิฏฐจิ ริต = จิตตานปุ สสนาสติปฏ ฐาน ๒) อารมณของวิปส สนา คืออะไร - อสภุ ลกั ษณะ ละสภุ สัญญา พระอนาคามี ละได ละสุภจติ ต พระสกทา. ทําใหเบาบาง > วปิ ส สนาภูมิ ๖ ตามแนวสตปิ ฏ ฐาน ๔ อยใู นขอบเขตของนามรปู ปริจเฉทญาณ + ปจจยปริคคหญาณ ละสภุ ทิฏฐิ - พระโสดาบัน ละได > ไตรลกั ษณ เปนอารมณของวปิ สสนาญาณ ๑๐ > นพิ พาน เปนอารมณข องโคตรภ,ู มคั ค., ผล. > มคั ค., ผล., นิพพาน, กิเลสท่ีละ, กเิ ลสทเ่ี หลือ เปน อารมณข องปจจเวกขณญาณ
-2- พระพทุ ธศาสนามี ๒ นัย นัยที่ ๑ คาํ ส่งั สอนของพระพุทธองคม ี ๓ ประการ นัยท่ี ๒ แกน แทของพระพทุ ธศาสนา คอื อริยสจั จ ๔ ซง่ึ เปนสภาวะธรรมทท่ี าํ ใหผ เู ห็นแจง พน ทกุ ขท ้งั ปวงได ๑. ประโยชนท่ีพึงไดรับในภพนี้ สภาวะธรรม ๔ ประการ [ รปู - นาม (จิต + เจตสกิ ) พระนพิ พาน ] คอื การไมเ บียดเบียนตนเองและผูอนื่ อันเปนปรมัตถธรมม ซ่งึ ปราศจาก สตั ว บคุ คล ตวั ตน เรา เขา ๒. ประโยชนท่ีพึงไดร บั ในภพหนา โลกียธรรม - รูปและนาม (จติ +เจ) พุทธศาสนากลาว โลกตุ ตรธรรม - มรรค ๔ ผล ๔ นพิ พาน ๑ บคุ คลนนั้ ตอ งมี ศลี สมาธิ ปญญา (ธรรม ๓ ประการนี้ ไมเทีย่ ง เปน ทกุ ข เปน อนตั ตา) โดยสรุปไดด ังนี้ (เฉพาะนิพพานน้ี เท่ียง สุข แตเ ปน อนัตตา) ๓. ประโยชนท เี่ ขาถึงความสุขโดยสว นเดยี ว รูป นาม คาํ สอนของ พน ทุกข มรรคจิต ผลจติ คอื พระนิพพาน คอื ธรรมชาติ คือ ธรรมชาติ พระพุทธเจา อริยสจั จ ๔ โสดา สกทาคามี อนาคามี อรหนั ต > พระนพิ พาน คืออะไร ทไ่ี มร อู ารมณ ท่รี อู ารมณ = สภาวธรรมท่ีสงบจากกเิ ลสและขนั ธ ๕ เหน็ อริยสัจ ๔ โดยมี > พระนพิ พาน อยูทใ่ี ด ปญญา, ความเพียร สอนใหปฏบิ ัติตาม พระนิพพานเปน อารมณ = อยูท่มี ีการละกเิ ลสโดยสมจุ เฉทตามกาํ ลัง สต,ิ สัมปชญั ญะ มชั ฌมิ าปฏิปทาเพอ่ื เขา ถึง ของมรรค ๔ ( ไมใ ชสถานที่ใดๆ เลย ) เชน พระโสดาบัน ละสกั กายทฏิ ฐแิ ละ เรา ( กเิ ลส ) พทุ ธพจน : นยั แหง การละสังโยชน อันเปน ธรรมเครื่องผูกสตั วไ วในภพ วิจิกจิ ฉาได เมอื่ นัน้ พระนพิ พานก็แจง > เห็นพระนิพพาน ไดอยา งไร นาย ก. \" ท้ังเม่ือกอนและบัดน้ี เรายอมบัญญตั ิ ไมใหหลดุ พน ไปได = พระนิพพานเปน ปจจฺ ตฺตํ เวทติ พโฺ พ เปน ความยึดมน่ั เรื่อง ทกุ ข กบั ความดบั ทุกข (เทา นัน้ ) \" = อาศยั การเจรญิ ตามแนวสตปิ ฏฐาน ๔ ๑.โสดา - ละสักกายทฏิ ฐิ สลี พัตตปรามาส วิจกิ ิจฉา ดว ยกิเลส ( สงั .สฬา.อนรุ าธสูตร ๑๘/๗๗๐/๔๑๔ ) วา เรา คือ นาย ก. ๒.สกทาคามี - ละกิเลสสังโยชน ทเ่ี หลือใหเ บาบาง ๓.อนาคามี - ละกามราคะ ปฏิฆะ ๔.อรหนั ต - ละกเิ ลสสังโยชนทเ่ี หลอื ไดท ง้ั หมด คือ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อทุ ธัจจะ อวชิ ชา
-3- ๔) วิปสสนาตอ งปฏบิ ตั ติ ามแนวทาง สตปิ ฏฐาน ๔ วาโดยอารมณและผูร ูอารมณ พรอมทัง้ ธรรมทีช่ วยอปุ การะ (กระบวนการทาํ งานของวปิ ส สนา ๒ สว น ) วิปสสนามี ๒ สว น อารมณ ผูรอู ารมณ = สภาวะท่มี กี ารเกิดดับสืบตอ กันอยางรวดเรว็ --> \" ปจจบุ นั ธรรม \" --> กําลงั ปรากฏเฉพาะหนา แก โยคบี คุ คล ผูรอู ารมณ เรยี กวา \" โยคาวจร \" ( โลกยี ะ - มีสตปิ ฏ ฐาน ๔ เปน อารมณ / โลกตุ ตระ - มีพระนิพพาน เปน อารมณ ) เรียกวา \" ปจจบุ ันอารมณ \" ๑. อาตาป - ความเพียร เปนการยกสตแิ ละสัมปชญั ญะไมใหต กจากวิปส สนา ๑. เปน อารมณ ทีก่ ําลงั ปรากฏเฉพาะหนา (กองแหง ศลี ) - ทํากิจ ๔ อยา ง > ๑ ละอกศุ ล ทยี่ ังไมเ กดิ ไมใหเกดิ ๒. ตอ งเปน รูปนาม ทีป่ ราศจากบญั ญตั ิ > ๒ ละอกุศล ที่เกิดแลว ใหอนั ตรธานไป ๓. ตองเปน อารมณท ่ที าํ ลายอภชิ ฌา และโทมนสั ( ชอบ / ไมช อบ คอยแทรกปด บงั รูปนามอยเู สมอ ) > ๓ ทาํ กุศล ทีย่ งั ไมเกิด ใหเกิด ๔. ตองเปน ไปตามสตปิ ฏ ฐาน ๔ > ๔ ทาํ กุศล ทีเ่ กิดแลว ใหเจรญิ ยิ่งขึ้น ๕. ตองไมใ ชอารมณท ี่กระทําใหเ กิดขนึ้ - เปน องคม รรคทีช่ ่ือวา \" สมั มาวายามะ \" ๖. ตองเขาใจในปจจบุ ันอารมณแ ละจบั ปจจุบนั อารมณ ๒. สตมิ า - สตริ ะลึกในอารมณข องสติปฏ ฐาน ๔ = ตอ งเปน ไปตามวปิ สสนาภมู ิ ๖ ( ขนั ธ๕, อายตนะ๑๒, ธาต๑ุ ๘, สจั จ๔, อินทรยี ๒ ๒, ปฏจิ จสมุปบาท ) (กองแหงสมาธิ) - ชว ยใหสมั ปชัญญะรสู ภาวะธรรมในอารมณของสติปฏ ฐาน ๔ - เปนองคมรรคที่ชอ่ื วา \" สมั มาสติ \" ๓. สมั ปชาโน - ปญญา ทําลายโมหะท่ีปดบงั สภาพความเปนจรงิ ในรูปนาม (กองแหงปญ ญา) - ชว ยสติระลึกรใู นอารมณทเี่ ปน ปจ จบุ ัน ปราศจากอภชิ ฌาและโทมนัส โครงสรา งของวปิ สสนากรรมฐาน - เปน องคมรรคที่ช่อื วา \" สมั มาทิฏฐิ \" วปิ สสนาภูมิ ๖ ธรรม ๖ หมวด โพธปิ กขิยธรรม ๓๗ ** ผรู ูอารมณ มธี รรมที่ชว ยอุปการะ ๑.โยนิโส - ชว ยใหเ ขา ใจในสภาวะไดอ ยางถูกตอ ง เปนอาหารของปญญา ๑) ขันธ ๕ ๑) วสิ ุทธิ ๗ อริยสจั จ ๔ - รูส กึ ตวั อยนู านในการปฏิบตั ิ ๒. สกิ ขติ - การสาํ เหนยี ก / ขอ สังเกตุ ชว ยไมใหต กไปจากกระแสปจจบุ นั ๒) อายตนะ ๑๒ ๒) ลักษณะ ๓ อรยิ มรรคมอี งค ๘ ** ประโยชนของธรรมท่ีชวยอุปการะ - ชว ยกนั ไมใ หกิเลสเขาอาศัยไดน าน ๓) ธาตุ ๑๘ ๓) อนปุ สสนา ๓ ปฏิบตั ติ าม โพชฌงค ๗ - ชว ยปรับอินทรยี ใหเสมอกัน โพธิปก ขยิ ธรรม ๔) สจั จ ๔ ๔) วิปส สนาญาณ ๑๐ พละ ๕ * ผลของการปฏิบตั วิ ปิ สสนา ๒ สว น คือ ละสิ่งท่ีปด บังไตรลกั ษณ > สันตติ ปดบงั อนจิ จํ > อิริยาบถ ปดบัง ทุกขํ > ฆนสญั ญา ปดบัง อนตฺตา ๕) อนิ ทรีย ๒๒ ๕) วโิ มกข ๓ อนิ ทรยี ๕ ๓๗ ๖) ปฏิจจสมปุ บาท ๑๒ ๖) วโิ มกขมุข ๓ อิทธบิ าท ๔ สมั มัปปธาน ๔ วิปสสนาภมู ิ ๖ เปน บาทของ นามรูปปรจิ เฉทญาณ ตามแนวของ สตปิ ฏฐาน ๔ ธรรมเบือ้ งตนในโพธิปก ขยิ ธรรมคือ สตปิ ฏฐาน ๔ (กาย เวทนา จิตตา ธัมมา)
-4- 5 วปิ สสนาภมู ิ ๖ ยอลงเปนรปู นาม ๑. ตอ งพิสจู นด วยวิปส สนาญาณ ๒.จะบอกอาการไตรลกั ษณใหแ กปญ ญา ๓.รูปนามจัดเปน วิปสสนาภูมิ ๖ ดวย หลักปรยิ ัติ --> ปฏิบตั ิ --> ปฏเิ วธ มิฉะนน้ั ผปู ฏิบัติไมสามารถยอ ลงเปน รปู นามได ขันธ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรยี ๒๒ รปู ภายนอก = รปู ารมณ -->โผฏฐัพพารมณ รปู ายตนะ -->โผฏฐัพพายตนะ รูปธาตุ -->โผฏฐพั พธาตุ --- รูปธรรม รปู ภายใน = จักขปุ สาท --> กายปสาท จกั ขายตนะ --> กายายตนะ จักขุธาตุ --> กายธาตุ จักขนุ ทรยี --> กายินทรีย อิตถนิ ทรีย, ปุรสิ นิ ทรยี ปสาทรปู ๕ สขุ ุม ๑๖ รูปชวี ติ นิ ทรีย รปู นาม วสิ ยรปู ๗ = ชีวติ ินทรีย วิญญาณขันธ มนายตนะ วิญญาณธาตุ ๗ มนนิ ทรีย นามธรรม เวทนาขันธ + สุขุมรูป ๑๖ + สขุ มุ รูป ๑๖ ชีวติ ินทรยี เจ. ๘๙, ๕๒ สญั ญาขนั ธ เวทนนิ ทรีย ( โทม, โสม, สุข, ทุกข, อเุ บกขา ) สังขารขันธ = ธัมมายตนะ = ธัมมธาตุ สทั ธนิ ทรีย นพิ พาน ขันธวมิ ุตต วิรยิ ินทรีย, สตินทรยี สมาธนิ ทรีย ** อปุ าทานขันธ ๕ = โลกยี จิต ๘๑, ๕๒, ๒๘ ปญ ญนิ ทรยี อปุ าทาน ๔ อนัญญาตญั ญัสสามติ นิ ทรีย มงุ หมายในโสดามคั ค. (ไมร วมโลกุต.๘ แตถ าแสดงธรรมทง้ั หมด ตองรวมอยใู นขนั ธ ๕ ) อัญญนิ ทรีย มุงหมายในโสดาผล --> อรหัตตมคั ค. อญั ญาตาวนิ ทรีย มงุ หมายในอรหัตตผล สัจจ ๔ ความจริงทพ่ี ระองคทรงแสดงธรรม ๔ ประการ (๘๙, ๕๒, ๒๘, นิพ.) > ขนั ธ ๕ อายตนะ ๑๒ ภายนอก รปู ารมณ รปู ายตนะ รปู ธาตุ = ทุกขสัจจ จักขุวิญญาณ = มนายตนะ - วิญญาณธาตุ ๗ ทุกขสจั จะ สมทุ ยสจั จะ นโิ รธสจั จะ มัคคสจั จะ ธาตุ ๑๘ รูปธรรม ตี น ท วิถีจติ \"ปญจทวาราวัชชนะ \" = นามธรรม เวทนาขนั ธ อนิ ทรยี ๒๒ สัญญาขันธ ๘๑,๕๑ (-โลภ), โลภเจ. นิพพาน อรยิ มัคคมีองค ๘ = ธมั มายตนะ - ธมั มธาตุ รปู ๒๘ ท่ใี นมคั คจิต ๔ ปฏิจจ. ภายใน จกั ขุปสาท จกั ขายตนุ จักขุธาตุ จักขุนทรีย สังขารขันธ
-5- 5 การนับสงเคราะหธรรม ๖ หมวด และปริญญา ๓ วสิ ุทธิ ๗ > บาลี ๑ ลกั ษณะ ๓ > บาลี ๒ อนุปส สนา ๓ > บาลี ๓ ญาณ วิปสสนาญาณ ๑๐ > บาลี ๔ วิโมกข ๓ > บาลี ๕ วิโมกขมุข ๓ > บาลี ๖ ปรญิ ญา ๓ อาการของรปู นาม ปญญา ๑๖ ปญ ญา ปญญา ปญญา ปญญาท่มี ีการกาํ หนดรู อารมณ -ไตรลักษณ รอู ารมณอยเู นืองๆ กาํ ลังของวิปส สนา เปนชื่อของ มัคค. ผล ประตเู ขา ถึงการหลุดพน ศลี ๑) สลี วสิ ุทธิ สมาธิ ๒) จิตตวิสุทธิ ๓) ทฏิ ฐวิ ิสุทธิ ( มีวิปสสนาภูมิ ๖ เปน ๑) นามรูปปริจเฉทญาณ ญาตปริญญา การกําหนดรู ๔) กังขาวิตรณวสิ ทุ ธิ ปจจุบนั อารมณ-รูปนาม ) ๒) ปจจยปริคคหญาณ ดว ยการรู ทกุ ขํ อนจิ จํ อนตฺตา ๕) มคั คามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ ๓) ๑. สมั มสนญาณ การกําหนดรู ๔) ๒ - ๑ ตรุณอุทยพั พยญาณ * ตีรณปริญญา ดวยการพิจารณา ๒ - ๒ พลวอทุ ยัพพยญาณ ไตรตรองใครค รวญ ๕) ๓. ภังคญาณ ๖) ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ อนจิ จลักษณะ อนจิ จานุปสสนา ๖) ๔. ภยญาณ อนมิ ติ ตานุปส สนา การกําหนดรู ( = ๘ ญาณครง่ึ ) ทุกขลักษณะ ทกุ ขานปุ ส สนา ๗) ๕. อาทนี วญาณ อัปปณิหติ านปุ สสนา ดว ยการละ อนตั ตลกั ษณะ อนตั ตานปุ ส สนา ๘) ๖. นิพพทิ าญาณ สุญญตานปุ สสนา ประหานกิเลสได ปญ ญา ๙) ๗. มุญจิตกุ มั ยตาญาณ ปหานปริญญา เปน ตทงั คปหาน ๑๐) ๘. ปฏิสังขาญาณ (ภงั ค. - มคั ค.) โดยความเปน ๑๑) ๙. สังขารุเปกขาญาณ วุฏฐาน. อารมั มณานสุ ัยกิเลส ๑๒) ๑๐. อนโุ ลมญาณ ๑๓) โคตรภญู าณ ** วโิ มกข ๓ มี นิพพาน เปน อารมณ ๗) ญาณทัสสนวิสุทธิ ๑๔) มัคคญาณ อนมิ ิตตวิโมกข > เปน สมจุ เฉทปหาน ๑๕) ผลญาณ *** อัปปณิหิตวโิ มกข สญุ ญตวิโมกข ๑๖) ปจจเวกขณญาณ *** * ตรุณอุทยพั พยญาณ เกดิ วิปสสนปู กิเลส ๑๐ คือ ส่งิ ทีท่ าํ ใหว ิปสสนาญาณหมน หมอง หรือเศราหมอง ** โคตรภูญาณ นบั โดยปรยิ ายเขา ใน ปฏปิ ทาญาณทสั สนวิสทุ ธิ และปหานปริญญา แกผปู ฏบิ ตั วิ ปิ ส สนา ไดแ ก ๑.โอภาส ๒.ปต ิ ๓.ปส สทั ธิ ๔.อธโิ มกข ๕.ปค คหะ ( เปน \" อัพโพหาริกะ\" คืออยรู ะหวา งโลกยี ะและโลกตุ ตร - น.๒๒๖ ) ๖. สุข ๗.ญาณ ๘.อุปฏ ฐาน ๙.อุเบกขา ๑๐.นกิ ันติ *** ผลญาณ, ปจ จเวกขณญาณ นับโดยปรยิ ายเขา ใน ญาณทัสสนวสิ ุทธิ และปหานปริญญา
-6- 5 ญาณ ๑๖ ท่ีควรรู โดยสังเขป > อุทยัพพยญาณ มี ๒ สวน คอื ๑) นามรปู ปรจิ เฉทญาณ ๑. ชวงตน = ตรุณอุทยพั พยญาณ ๒. ชวงปลาย = พลวอทุ ยพั พยญาณ ขนั ธ ๕ อายตนะ ๑๒ - จัดอยูในมคั คามัคคญาณทสั สนวิสุทธิ - จัดอยใู นปฏิปทาญาณทัสสนวิสทุ ธิ วปิ สสนาภมู ิ ๖ ธาตุ ๑๘ พิจารณาสภาวะ สจั จ ๔ ประโยชนเพ่อื ถา ยถอนอตั ตตัวตัน - ขอดี ถอื วาปฏบิ ตั ิถูกตอง - หลังจากนน้ั กลับมามีไตรลกั ษณ เปน อารมณ อนิ ทรีย ๒๒ ปฏิจจ.๑๒ รปู - นาม ( เปนปจจบุ นั อารมณ = กาลเดียว ) - ขอไมด ี ติดในวิปสสนูปกิเลสนาน - เปนจุดเริม่ ตนใหเปนบาทแกวปิ สสนาญาณ แยกดว ยวา รปู อะไร นามอะไร เพื่อทาํ ลายสนั ตติ - วิปส สนปู กิเลส เกิดจาก อกี ๘ ญาณ ตองเรยี นรู ลกั ษณะ รส ปจจุปฏ ฐาน ปทฏั ฐาน ๑ กาํ ลังของปญ ญามมี าก - กาํ จดั ส่งิ ท่ีปดบังไตรลกั ษณ ๒ ตกกระแสแหงวิปส สนา (สมาธิ > ปญ ญา) > เพราะญาณนมี้ กี ารเกิด จึงทาํ ให กิเลสมาเกิดดว ย เรียกวา \" วปิ ส สนูปกิเลส \" มี ๑๐ ไดแก ๒) ปจจยปรคิ คหญาณ <-- กังขาวติ รณวสิ ทุ ธิ ๑. โอภาส (แสงสวา ง ) ๖.สขุ (ความสบาย) >ไมเ ปน วปิ สสนาญาณ เพราะ เห็นการเกิด เหตปุ จจยั ให รปู นามเกดิ ไมจ ัดเปนไตรลกั ษณเ พราะเห็นแตเ กิด ๒.ปติ (ความอิ่มเอบิ ใจ ๕ อยาง) ๗.ญาณ (ปญญาแกกลา ) > สาธารณะปจจยั - โยนิโส --> กศุ ล --> กุศลวบิ าก (เกดิ ) พจิ ารณาเห็นเหตใุ หเ กิดรูปนาม ๓.ปสสทั ธิ (อาการสงบเงียบ) ๘.อปุ ฏฐาน (สติตง้ั มัน่ ) - อโยนโิ ส --> อกศุ ล --> อกศุ ลวิบาก (เกดิ ) เกดิ ไดใ น ๓ กาล ๔.อธโิ มกข (ศรทั ธาที่มกี ําลงั แกก ลา) ๙.อเุ บกขา (อาการวางเฉย) ( วปิ ส สนาญาณ ๑๐ = ๓ กาล ) ๕.ปคคหะ (ความพยายามอยา งแรงกลา ) ๑๐.นกิ ันติ (ความยนิ ดีพอใจในอปุ กเิ ลส ๙ ขางตน) > อสาธารณะปจจัย - วัตถุ ๖ --> นามธรรมเกิด (เจตนา) = วัตถปุ ุเรชาต. > เนอ่ื งจากปญ ญามกี ําลงั มากจึงไป กระชาก \" คาหธรรม \" (ตณั หา มานะ ทฏิ ฐิ ) ใหมาปรากฏในขณะเจริญวิปสสนา - อารมณ ๖ --> นามธรรมเกิด (เจตนา) = อารมั มณปเุ รชาต. > การดบั ทเ่ี ห็นในญาณนี้เปนการเห็นการดับแบบ สนั ตติขาด คอื เหน็ อารมณ + นามธรรม ดับในขณะปจ จุบนั ๓) สัมมสนญาณ = ปญ ญาที่พิจารณาลกั ษณะท้ัง ๓ ของรปู นาม ๕) ภังคญาณ = ปญญาท่เี หน็ ความดบั ไปของรูปนาม > เปนปญ ญาที่เกดิ จากการพจิ ารณารเู หตุปจ จัยการเกดิ ของรูปนามมากข้ึนๆ จนมกี ําลังเห็นถงึ การดับ > ปญ ญาที่เหน็ สภาพรูปนามมีแต การดบั อยางเดยี ว ( แบบสันตติไมข าด ) > เกิดจากปญ ญาทเ่ี หน็ ทง้ั เกดิ + ดบั ใน อุทยพั พยญาณ แตม กี าํ ลงั มากกวาจงึ ละการเกดิ เห็นแตก ารดับ > อารมณกับจติ ดับไมพ รอ มกัน > ตอ งมีนามธรรมใหมๆ เกิดกอนจึงจะไปเห็นอารมณเกาดับไป (ไปเหน็ การดับในอดตี ไมใ ชด บั ในปจจบุ ัน ) ซง่ึ เปนการดบั แบบสนั ตติขาด เพราะไปเห็นการดบั แบบขาดอยา งเดียว กําลงั ปญญาจึงเร็วกวา > ถึงแมว า ปญ ญาเหน็ ความดบั ไปในอดตี ก็ตาม กจ็ ดั วาเหน็ ไตรลกั ษณแลว เกิดไดใ น ๓ กาล (ในอุทยพั พยญาณ เหน็ การเกิด + การดับ (แบบขาด ) ปญ ญาจึงมกี าํ ลังนอ ยกวา ชา กวา ) ๔) อทุ ยัพพยญาณ = ปญญาที่เห็นความเกดิ ขนึ้ และความดบั ไปของรปู นาม > กําลงั ปญญาสามารถประหานกเิ ลสโดย \" ตทงั คปหาน \" โดยความเปนอารมั มณานุสยั กิเลส > เปนกาํ ลังปญญาท่ไี ดจ าก ๓ ญาณ คือ นามรูปปริจเฉทญาณ+ปจ จยปรคิ คหญาณ (เหน็ เกิด)+สัมมสนญาณ (เห็นดบั ) จงึ ทาํ ใหเหน็ ท้ัง การเกดิ + การดับ ของรปู นาม ขณะเห็นตรงดับ จึงจะเรยี กวา \" ไตรลกั ษณ \" ชอบ / ไมช อบ = อารัมมณานุสยั ( ปจจุบันอารมณ ) กเิ ลส อนุสยั เรยี กวา สันตานานุสัย ( กาลวิมุต )
-7- ๖) ภยญาณ = ปญญาเหน็ รูปนามเปนภยั ทนี่ า กลัว ๑๑) สงั ขารเุ ปกขาญาณ = ปญ ญาพิจารณาหาทางแลววางเฉยตอรปู นาม > ปญ ญาทเี่ ห็นภัยในสงั สารวัฏฏ --> อดตี ปจ จุบนั อนาคต --> ( ภพ ๓ กําเนดิ ๔ คติ ๕ > ปญญาที่รูไตรลกั ษณ อยางชัดเจน มี ๒ สวน เห็นการดบั ไปของรูปนาม วิญญาณฐตี ิ ๗ สัตตาวาส ๙ ) อารมณ รอู ารมณ อนจิ จลักษณะ --> อนิจจานุปสสนา ทกุ ขลกั ษณะ --> ทุกขานปุ ส สนา ๑๓) โคตรภูญาณ ๗) อาทีนวญาณ = ปญ ญาเห็นโทษของรปู นาม อนตั ตลักษณะ --> อนตั ตานุปส สนา > ปญ ญาที่เห็นรปู นามโดยความเปนโทษ คอื เห็นโทษของสังขาร ๑๕ ประการ (น. ๑๔๐ ) ภ น ท ม ช ..... ช ภ ... ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ม ผ ผ ..ฯลฯ.. ภ น ท ม ช...ช ภ ภ รปู นามทีเ่ ห็ไมไ ดฉ าบทาดวยกเิ ลสซงึ่ ประหานใน ภยญาน แลว การเหน็ รปู นามแทๆ จงึ เห็นโทษทง้ั ๑๕ > เร่ิมเห็นคุณของพระนิพพาน (น. ๑๔๒) เห็นโทษมากเทา ไร กเ็ หน็ พระนพิ พานไดเ รว็ เทานัน้ ๑ ตอนตน ๒ ตอนปลาย ๑๒) อนุโลมญาณ ๑๔) มคั คญาณ ๑๕) ผลญาณ ๑๖) ปจจเวกขณญาณ ยอดวิปสสนา วฏุ ฐานคามินี = วิโมกขมขุ ๓ วิโมกข ๓ มี มคั ค ผล นิพพาน กิเลสทีล่ ะ กเิ ลสท่ี ๘) นพิ พทิ าญาณ = ปญญาเกดิ ความเบื่อหนา ยในรูปนาม สิกขาปตตะ อนิมติ ตานปุ ส สนา อนิมติ ตวโิ มกข เหลอื เปนอารมณ > ปญ ญาทเี่ กิดความเบอื่ หนา ยในรปู นาม ( เพราะเหน็ ภัยและเหน็ โทษ จึงเกดิ ความเบ่อื หนาย ) > ปญญาจงึ แลน เขาสพู ระนพิ พาน ( ญาณ ๖ - ๘ น้นั ถา ไดญ าณใดญาณหนงึ่ จะไดค รบท้งั ๓ ญาณ ) อปั ปณหิ ติ านปุ สสนา อปั ปณิหติ วโิ มกข สญุ ญตานุปสสนา สญุ ญตาวิโมกข ปฏปิ ทา ๔ มกี ิเลส มารบกวนอกี ครั้ง (น. ๒๐๖) ๙) มุญจติ กุ ัมยตาญาณ = ปญ ญาอยากหนใี หพ น จากรปู นาม ๑) ทกุ ขาปฏปิ ทาทนั ทาภิญญา = ปฏบิ ัตลิ าํ บากไดผ ลชา > ปญ ญาที่อยากหนีใหพน จากรูปนาม (การอยากหนีอยากพน มีทางเดียว คอื การพจิ ารณาไตรลกั ษณ ) > เกดิ จากการไดญาณ ๖ - ๘ ๒) ทุกขาปฏปิ ทาขปิ ปาภิญญา = ปฏบิ ตั ิลาํ บากไดผลเร็ว ๖ ภยญาณ --> เหน็ ภัย --> ในสังสารวัฏ ๓) สุขาปฏปิ ทาทนั ทาภญิ ญา = ปฏิบัตสิ ะดวกไดผ ลชา ๗ อาทีนวญาณ --> เห็นโทษ --> เห็นคุณของพระนพิ พาน ๘ นพิ พทิ าญาณ --> เบอ่ื หนา ย --> แลนไปสพู ระนิพพาน ๔) สขุ าปฏิปทาขปิ ปาภิญญา = ปฏิบัติสะดวกไดผลเร็ว อยาก ทงิ้ รปู นาม = มุญจิตกุ ัมยตาญาณ * อนโุ ลมญาณ = ปญ ญาเหน็ สอดคลองกับวปิ ส สนาญาณ ๘ ขางตน ( อุทยัพพยญาณ - สงั ขารุเปกขาญาณ ) ๑๐) ปฏสิ งั ขาญาณ = ปญญาพจิ ารณาไตรลักษณของรปู นามอยางกวางขวาง และถึงพรอ มดว ยกาํ ลงั เพื่อใหม รรคญาณเกิด > เปนญาณท่รี ูไตรลักษณมากท่สี ดุ * ยอดของวิปสสนา มี ๒ อยาง คอื ๑. สกิ ขาปต ตะ วปิ สสนาทถ่ี งึ ยอดถงึ ปลาย ถงึ ความสงู สุด ไดแ ก สงั ขารุเปกขาญาณทีค่ รบองค ๖ เมอื่ ครบองค ๖ แลว ผนู ้นั กม็ หี วังจะไดบรรลุ มรรค ผล นพิ พาน อยา งแนน อน ๒. วุฏฐานคามินี วปิ ส สนาทถ่ี ึงการออกไปจากกเิ ลส และกองทุกขดวยอาํ นาจแหง มรรค
-8- 5 การนับสงเคราะหญาณ ๑๖ โดยโพธิปกขิยธรรม ๓๗ วน ๓ รอบ ในสจั จ ๔ ดวย อาการ ๑๒ ญาณ ๑๖ วิสุทธิ โพธปิ กขยิ ธรรม ๓๗ ๑๖) ปจ จเวกขณญาณ อรยิ สัจจะ ๔ > กตญาณ กจิ ท่ีรแู ลวท้ัง ๔ กจิ ๑๕) ผลญาณ ๑๔) มัคคญาณ ญาณทสั สนวสิ ุทธิ อรยิ มรรคมีองค ๘ > ปญญา, วิตก, วริ ตี ๓, วริ ยิ ะ, สติ, สมาธิ ๑๓) โคตรภูญาณ ๑๒) ๑๐. อนุโลมญาณ ปลาย วุฏฐานคามินี โพชฌงค ๗ > วิรยิ ะ, สต,ิ สมาธ,ิ ปต,ิ ปส สัทธิ, อเุ บกขา, ธมั มวิจย (ปญญา) ๑๑) ๙. สงั ขารเุ ปกขาญาณ ตน > กจิ จญาณ ๑๐) ๘. ปฏสิ ังขาญาณ กิจทั้ง ๔ คือ อริยสจั จ ๔ วิปสสนาญาณ ๑๐ ๙) ๗. มญุ จติ กุ มั ยตาญาณ ปฏิปทาญาณทัสสนวสิ ุทธิ พละ ๕ > สทั ธา, วริ ิยะ, สติ, สมาธิ, ปญ ญา ตองปฏบิ ตั ิ คือ วิปสสนาญาณ ๙ ๘) ๖. นพิ พทิ าญาณ อินทรยี ๕ > สัทธา, วริ ยิ ะ, สต,ิ สมาธ,ิ ปญญา อทิ ธิบาท ๔ > ฉันทะ, วริ ิยะ, จติ ต, วมิ งั สา (ปญญา) ทกุ ข --> กจิ ควรกาํ หนด ๗) ๕. อาทีนวญาณ สมั มัปปธาน ๔ > วิริยะ (๔) สมุทยั --> กิจควรละ ๖) ๔. ภยตุปฏฐานญาณ นโิ รธ --> กิจควรใหแจง ๕) ๓. ภังคานุปสสนาญาณ มคั ค --> กจิ ควรใหเจรญิ พลว ๔) ๒. อทุ ยัพพยญาณ ตรณุ มคั คามัคคญาณทสั สนวิสุทธิ ๓) ๑. สัมมสนญาณ ๒) ปจจยปรคิ คหญาณ กังขาวติ รณวสิ ทุ ธิ ๑) นามรปู ปริจเฉทญาณ ทฏิ ฐวิ ิสุทธิ > สจั จญาณ วิปสสนาภมู ิ ๖ นามรูปในสตปิ ฏ ฐาน ๔ ปจจุบนั ธรรม สตปิ ฏ ฐาน ๔ > สติ (๔) ปญ ญาท่รี ูค วามจรงิ จากการศกึ ษา โยนิโส (อาศัยความขา ใจในสภาวะรูปนามอยางดี ) กาย เวทนา จติ ต ธมั ม โยคาวจร สกิ ขติ ( สังเกตเุ พ่อื ไมใหตกกระแสปจจบุ ัน ) ตัณหาจรติ ทฏิ ฐจิ ริต ( อาตาป สตมิ า สัมปชาโน ) > จําแนก อธ. ๑๔ โดยฐานของโพธปิ ก ขิยธรรม ๓๗ > วปิ ส สนาญาณ ๑๐ เริม่ ท่ี สัมมสนญาณ - อนุโลมญาณ พดู ถงึ ไตรลักษณ เปน อารมณ ๑.วิตก ๒.ปส สทั ธิ ๓.ปติ ๔.อเุ บกขา ๕.ฉนั ทะ ๖.จิตต ๗.วิรตี๓ อธ.๙ มีอยางละ ๑ ฐาน > วปิ ส สนาญาณ ๙ เริม่ ที่ อทุ ยัพพยญาณ - อนโุ ลมญาณ พดู ถึงรปู นามและไตรลักษณ ๑๐.วริ ยิ ะ มี ๙ ฐาน ๑๑.สติ มี ๘ ฐาน ๑๒.สมาธิ มี ๔ ฐาน ( นามรูปปรจิ .+ปจจยปรคิ คห.+สัมมสนญาณ ) ท่อี ยใู นอทุ ยพั พยญาณ ๑๓.ปญญา มี ๕ ฐาน ๑๔.สทั ธา มี ๒ ฐาน
-9- 5 โพธิปก ขิยธรรม ๓๗ * สตปิ ฏฐาน ๔ ทาํ ลายอภชิ ฌา + โทมนัส มัคคญาณ ---> อรยิ มรรคมอี งค ๘ ๑. อารมณท ถ่ี ูกเพง มี ๔ อยา ง คอื กาย, เวทนา, จติ ตา, ธัมมา โคตรภูญาณ ๒. ผเู พงอารมณ คอื โยคาวจร ( อาตาป, สติมา, สัมปชาโน ) อนุโลมญาณ วฏุ ฐานคามนิ .ี ---> ๖.โพชฌงค ๗ (สมบูรณม กี าํ ลงั มาก ) ๓. ผูเหน็ คอื ปญญาในวปิ สสนาทําลายอภชิ ฌา + โทมนัส สงั ขารเุ ปกขาญาณ - ปลาย (ยอดของวปิ สสนา) ๒) สัมมัปปธาน ๔ กบั กจิ ๔ ขอ ( อธ. ไดแก วริ ิยะเจตสิก ดวงเดยี ว ) - ตน ปฏิสงั ขาญาณ ๑. สงั วรปธาน เพยี ร ละอกุศลท่ยี งั ไมเกดิ ไมใหเ กิดขึน้ ทาํ ใหศ ีลบรสิ ทุ ธิ์ มุญจติ กุ มั ยตาญาณ ๒. ปหานปธาน เพยี ร ละอกศุ ลท่เี กดิ แลว ใหหมดไป นพิ พิทาญาณ ๓. ภาวนาปธาน เพยี ร ใหกุศลท่ยี งั ไมเ กิด ใหเ กิดขึน้ ทําใหเ กดิ สติ + ปญ ญาในโยคาวจร อาทีนวญาณ ๔. อนรุ กั ขณปธาน เพยี ร ใหกุศลทีเ่ กดิ แลว ใหต ง้ั ม่ันเจรญิ ข้ึน ตง้ั มัน่ ถงึ อริยมรรคมอี งค ๘ ภยญาณ ภังคญาณ ---> ๕. พละ๕ ** โยคาวจร ในอรยิ มรรคมีองค ๘ คอื สัมมาวายามะ, สัมมาสต,ิ สัมมาทฏิ ฐิ อุทยัพพยญาณ - พลว ---> ๔. อินทรยี ๕ สมั มปั ปธาน ๔ ( วิริยะ ) - ตรุณ ๓. อทิ ธบิ าท ๔ โลกยี ะ โลกุตตร สมั มสนญาณ ๒. สัมมัปปธาน ๔ - มสี ติปฏ ฐาน ๔ เปนอารมณ - มพี ระนพิ พานเปน อารมณ (เรียกวาสมั มาวายามะ) ปจ จยปริคคหญาณ - ทําหนา ทีเ่ ปน อาตาปใ นโยคาวจร - กจิ ทง้ั ๔ ขอ เกิดพรอมกนั นามรูปปรจิ เฉทญาณ ---> ๑. สตปิ ฏ ฐาน ๔ ( กายา เวทนา จิตตา ธมั มา ) - กจิ ทงั้ ๔ ยังไมเกดิ พรอ มกัน - ดวยกจิ ขอ ๑+๒ ทําใหว ริ ตี ๓ เกิดพรอ ม (โยคาวจร - อาตาป สตมิ า สัมปชาโน ) และแนนอนในมคั คจิต ๑) สติปฏ ฐาน ๔ มี \" สติ \" ดวงเดยี วทาํ หนา ที่เปนสตปิ ฏฐาน ๔ ได - ดวยกิจขอ ๓+๔ เปน ปจจยั ใหม คั คจติ เกิดขนึ้ กายา เวทนา จติ ตา ธมั มา ๑. อารมณอ นั เปน ทตี่ ัง้ แหงการกําหนดมี ๔ รูปขนั ธ เวทนาขนั ธ วิญญาณขนั ธ สัญญา+สงั ขาร * สมั มัปปธาน ๔ ยงั เปนปจ จัยใหความพอใจอยา งแรงกลา ในการปฏบิ ตั ิวปิ ส สนาใหเ กดิ ข้นึ +รปู ขันธบ างสวน * การประหาณกิเลส ของสัมมปั ปธาน ๔ ดวยกิจขอ ๑, ๒ ละสภุ ละสขุ ละนจิ จะ ละอัตตะ อารมณ ๖ กระทบ --> อนสุ ัย ๗ ปรากฏเปน ปรยิ ุฏฐานกเิ ลสเกิด ---> วตี ิกกมกิเลสเกดิ ๒. ลกั ษณะแหงนมิ ิตท่ีปรากฏมี ๔ อสภุ ลักษณะ ทุกขลักษณะ อนจิ จลกั ษณะ อนตั ตลกั ษณะ ใจ (ชอบ/ไมช อบ) กาย+วาจา ๓.การประหาณวปิ ล ลาสธรรมมี ๔ ละสุภวปิ ลลาส ละสขุ วปิ ล ลาส ละนิจจวิปลลาส ละอตั ตวิปล ลาส อาศัย อนิ ทรยิ สังวรศลี อาศัย ปาฏิโมกขสังวรศลี (ธรรมทีเ่ คลือ่ นจากความเปนจริง) ถา เขาถึงสมั มปั ปธาน ๔ ขอ ๑, ๒ กท็ าํ ใหศลี ๒ ขอ นส้ี มบูรณไดเ ลย
๓) อทิ ธบิ าท ๔ ในสัมมัปปธาน ๔ เปน ปจจัยให ความพอใจอยางแรงกลา (ฉนั ทะ) ในการปฏิบัตวิ ปิ ส สนา ๕) พละ ๕ - 10 - ใหเกดิ ข้นึ และมี ๑.ฉันทิทธบิ าท เกดิ ข้ึน -> ๒.วิริยิทธิบาท (ความเพียรอยางแรงกลา) ธรรมทกี่ าํ ลงั ตอ สกู บั กเิ ลส อินทรียท เ่ี สมอกันมีกําลงั มากเขา ถงึ ศรัทธาพละ - ศรัทธาที่มกี าํ ลังอยา งมั่นคงในการท่จี ะละอารมณทีต่ กไปในฝา ยกิเลส ใหหมดไป ๓.จิตตทิ ธิบาท (สมาธิ) (อารมั มณานุสยั ) วิรยิ ะพละ - ความเพยี รในการละอกศุ ลดวยกิจ ๒ ขอแรก ๔.วมิ งั สิทธบิ าท (ปญ ญา) สตพิ ละ - ระลกึ ในสติปฏ ฐาน ๔ อยางแนวแน สมาธพิ ละ - ต้ังม่ันในสติปฏ ฐาน ๔ อยางแนวแน วา โดย อธ. วา โดย ปญญาพละ - การชากลากกิเลสออกจากใจ มกี ําลังมากกวา อวิชชาและตณั หา ฉันทะ วิรยิ ะ จิตตะ วิมงั สา ความเปน ไป อทิ ธิบาท ๔ อธิบดี ๔ อินทรยี ๑) เปนธรรมใหสําเร็จ ๑) วาโดยปฏฐาน ๑) เกดิ ไดค ราวละ ๑) เกิดไดคราวละ มรรคผล - สหชาตาธปิ ติ ๑ เทา นนั หลายๆ อนิ ทรีย ๖) โพชฌงค ๗ พละ ๕ มีกาํ ลงั มาก ผลกั ดนั ใหธ มั มวิจยสมั โพชฌงคเกิด และเจรญิ ข้นึ - อารมั มณาธิปติ ๒)พระอรหนั ต+ผลไมมี ๒) พระอรหนั ต +ผล ๒) เกิดกับทวเิ หตุ + ๒) เกิดไดก บั อเหตุก + ๗) อรยิ มรรคมอี งค ๘ อิทธิบาท ๔ เปน ปจ จัย มีอธิบดอี ารมณได ติเหตุ สเหตกุ ๓) เกิดกบั กุศล ๒๑ ๓) เปน อารมณไดทัง้ โลกียะ โลกตุ ตระ ๑. มสี ตปิ ฏ ฐาน ๔ เปนอารมณ ๑. มพี ระนิพพาน เปนอารมณ เทานน้ั กุศล อกุศล อัพยากต ๒. มีเพียงองคมรรค ๕ ๒. มีครบองคม รรค ๘ ๓. มีสมั มาสติ เปน องคมรรคแรก ๓. มสี ัมมาทิฏฐิ เปน องคม รรคแรก ๔) เปน ธรรมในโพธิปก. ๔) ไมเ ปนธรรมใน โพธปิ ก ขิยธรรม ๔) อินทรยี ๕ อิทธบิ าท ๔ เปน ปจจัยให ศรัทธาปรากฏ กองปญญา กองศลี กองสมาธิ สัมมาทิฏฐิ สมั มาวาจา สัมมาวายามะ - ปกติศรทั ธา > ทาน ศลี ภาวนา ( เปนทอ่ี าศยั ของกเิ ลส เกดิ ไดดว ย ) สัมมาสงั กปั ปะ สัมมากัมมันตะ สมั มาสติ (ปราศจาก สัมมาอาชวี ะ สัมมาสมาธิ - ภาวนาศรัทธา > สมถะ, วิปสสนา อภิชฌา+โทมนสั ) - ศรทั ธา (สทั ธินทรีย ) มี ๔ อยา ง ๑.กมั มศรทั ธา เปนปจจยั ใหเกดิ อนิ ทรียอ ื่นๆ ( ทเ่ี สมอกนั ) ๒.วปิ ากศรัทธา - วริ ิยนิ ทรยี , สตินทรยี , สมาธนิ ทรยี , ปญญินทรีย ๓.กัมมัสสกตาศรัทธา - ดําเนินไปสมู รรคโดยสว นเดยี ว ๔.ตถาคตโพธศิ รัทธา (ปฏปิ ทาญาณทัสสนวิสทุ ธิ = พลวอทุ ยพั พยญาณ ) * ญาณตน ๆ กม็ อี ินทรยี แตไมเสมอกัน เชน ศรัทธา > ปญญา ทําใหกิเลสเกดิ และทําใหเกดิ \" วปิ สสนูปกิเลส \" ท่ี ตรณุ อุทยัพพยญาณได
- 11 - 5 สตปิ ฏฐาน ๔ ( บรรยายจากเอกสารประกอบ ) สตปิ ฏ ฐานหมวดท่ี ๓ จิตตานปุ ส สนาสติปฏ ฐาน มี ๑๖ บรรพ หรือ ๑๖ ขอ คือ คือฐานทต่ี ้ังของสติ หรือเปน ฐานทีร่ องรบั การกําหนดของสตอิ ยางประเสริฐ อนั เปนเหตุท่จี ะใหเ กิด ๑) จิตทป่ี ระกอบดว ยความรกั ๙) จติ ท่ีเปนรูปาวจร อรูปาวจระ วปิ สสนาปญ ญา อนั เปนผลมี ๔ ประการ ไดแ ก กายา., เวทนา., จิตตา., ธัมมานุปสสนาสติปฏ ฐาน ดงั น้นั สตปิ ฏ ฐาน ๔ จึงเปน ทางสายเอก / เปน ทางสายเดยี วแหงขอ ปฏบิ ตั ิอนั ถกู ตอง ที่จะใหเห็นอริยสจั ๔ ถงึ ความ ๒) จิตท่ไี มประกอบดวยความรกั ๑๐) จติ ท่ไี มเปน รูปาวจร อรูปาวจระ พนทกุ ขไ ดจริง ไมมที างอนื่ หรือขอ ปฏบิ ัตอิ ยางอ่ืนทีย่ ่งิ ไปกวาทางนี้ มอี านสิ งส ๕ ประการ คือ ๓) จิตทีป่ ระกอบดว ยความโกรธ ๑๑) จิตกามาวจระ ๑) เพื่อความบริสุทธ์หิ มดจดจากกเิ ลสของสัตวท ้งั หลาย ๒) เพือ่ ระงับความเศรา โศก และความครา่ํ ครวญ ๔) จิตทไ่ี มป ระกอบดวยความโกรธ ๑๒) จิตไมใชโลกตุ ตระ ๓) เพอื่ ดบั ความทกุ ข และโทมนัส ๔) เพอ่ื บรรลธุ รรมท่ถี ูกตอ ง คอื อรยิ มรรค ๕) จติ ทป่ี ระกอบดว ยความหลง ๑๓) จติ เปน สมาธิ ๕) เพือ่ เห็นแจงพระนิพพาน อนั เปนธรรมท่ดี บั กิเลสและดับทกุ ข ๖) จิตท่ีไมประกอบดวยความหลง ๑๔) จิตไมเ ปน สมาธิ ๗) จิตที่ประกอบดวยความงว งเหงาหาวนอน ๑๕) จิตพน กเิ ลส ๘) จิตที่ฟุงซา น ๑๖) จิตไมพ น กเิ ลส สตปิ ฏ ฐานหมวดท่ี ๔ ธัมมานุปสสนาสตปิ ฏ ฐาน มี ๕ บรรพ หรอื ๕ ขอคอื สติปฏ ฐานหมวดที่ ๑ กายานปุ สสนาสตปิ ฏฐาน มี ๑๔ บรรพ หรือ ๑๔ ขอคือ ๑) นวิ รณ ๕ ๔) โพชฌงค ๗ ๑) อานาปาน ๑ ไดแก ลมหายใจเขา ออก นับเปน ๑ บรรพ ๒) ขันธ ๕ ๕) อริยสัจ ๔ ๒) อิรยิ าบถ ๔ ไดแ ก ยนื เดนิ นง่ั นอน นับเปน ๑ บรรพ ๓) อายตนะ ๑๒ ๓) สัมปชญั ญะ ๗ - กาวไปขา งหนา และถอยหลงั ๑ - การเคี้ยว การดืม่ การกิน ๑ (อิริยาบถยอ ย) - แลไปขา งหนาหรือเหลียวซา ยแลขวา ๑ - การถายอุจจาระ ถา ยปส สวะ ๑ รวมสติปฏ ฐานโดยพิสดารมี ๔๔ บรรพ ซ่งึ เปนทัง้ สมถะ และวปิ สสนา เฉพาะในหมวดกายานปุ สสนา คอื อริ ยิ าบถ ๔ สัมปชญั ญะ ๗ ธาตทุ ัง้ ๔ รวม ๓ บรรพ เปนวปิ ส สนา ลวนๆ สวนอานาปานบรรพ ปฏิกลู บรรพ และ - กิรยิ าที่คอู วัยวะเขา เหยียดอวัยวะออก ๑ - การเดนิ ยืนนง่ั นอน หลับตื่น พูด นงิ่ ๑ อสุภบรรพ ๙ รวม ๑๑ บรรพ นี้ เปน สมถะ - กิรยิ าทใ่ี ชบ าตรและจวี รหรอื สงั ฆาฏิ ๑ นบั เปน ๑ บรรพ ๔) ปฏิกูล ไดแก อาการ ๓๒ มี ผม ขน เล็บ ฟน หนงั ฯ นบั เปน ๑ บรรพ ๕) ธาตุ ๔ ไดแก ปถวี อาโป เตโช วาโย นับเปน ๑ บรรพ ในสตปิ ฏ ฐานท้งั ๔ หมวด กไ็ ดแก ขนั ธ ๕ หรอื รูปนามนนั่ เอง คอื ๑) กายานปุ สสนาสติปฏ ฐาน เปน รูปธรรม ๖) อสภุ ไดแก คนท่ตี ายได ๑ วนั จนถงึ กระดูกกระจดั กระจาย นบั เปน ๙ บรรพ ๒) เวทนานปุ ส สนาสตปิ ฏฐาน เปน นามธรรม ๓) จิตตานุปสสนาสตปิ ฏฐาน เปนนามธรรม สติปฏ ฐานหมวดที่ ๒ เวทนานุปสสนาสติปฏฐาน มี ๙ บรรพ หรือ ๙ ขอ คือ มสี ตริ ะลกึ รูใน ๔) ธมั มานุปสสนาสตปิ ฏ ฐาน เปน ทัง้ รปู และนามธรรม สุขเวทนา ๑) ที่กาํ ลงั เกดิ อยู ๔) ทเี่ จือดว ยอามิส ๗) ทไ่ี มเ จอื ดวยอามสิ ทกุ ขเวทนา ๒) ทก่ี าํ ลงั เกิดอยู ๕) ทเ่ี จอื ดวยอามสิ ๘) ท่ไี มเ จอื ดว ยอามสิ อเุ บกขาเวทนา ๓) ทกี่ าํ ลงั เกิดอยู ๖) ทเ่ี จอื ดว ยอามสิ ๙) ท่ไี มเจือดวยอามิส
- 12 - 5 เนื้อหาพระบาลี ๖ ( ดจู ากหนังสอื ) 5 ญาณทสั สนวสิ ทุ ธิ ( น. ๗ - ๑๑ ) ท่เี ปน ปจ จุบัน เกดิ ไดใน ๓ กาล เห็นสภาวะรปู นาม ---> มีกําลังมากขึ้นเพราะ เหน็ เหตุปจจยั (การเกดิ ของรปู นาม) ---> ปญญาเห็นการเกดิ ดวยกาํ ลงั มากข้นึ เมอ่ื น้นั ปญ ญาก็ ปญ ญาจาก ๓ ญาณขางตนรวมกันเหน็ ทั้งเกดิ และดบั ที่เปนปจ จุบัน เหน็ โดยความดบั = อนิจจงั / ทุกขงั / อนัตตา แบบสนั ตตขิ าด แบบสนั ตตไิ มขาด ภ ตี น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ .... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .............. ภ ตี น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ .... ๑) นามรปู ปริจเฉทญาณ ๒) ปจจยปริคคหญาณ ๓) สมั มสนญาณ ๔) อุทยพั พยญาณ - ๑.ตรณุ .ชวงตน ๒.ตรณุ .ชวงปลาย ชวงนีไ้ มเ รยี กวา มคั คามัคค. เกดิ วปิ ส สนูปกเิ ลสเขา แทรก ทายชว งตน น้ี เกิดปญญา ปญ ญาเหน็ ไตรลักษณอีกคร้งั จึงจดั เขาใน มัคคามัคค.แลวจึงขา มไปเปน ชวงปลาย มคั คามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ [ ลกั ษณะ ๓ ] [ อนุปส สนา ๓ ] [ วโิ มกขมขุ ๓ ] [ วิโมกข ๓ ] - อนจิ จลกั ษณะ อนจิ จานุปสสนา > ละนิมติ เคร่ืองหมาย อนมิ ติ ตานุปสสนา อนิมิตตวิโมกข - ทกุ ขลักษณะ ทุกขานปุ ส สนา > ละปณิธิ ท่ตี ้ังแหงตัณหา อัปปณิหติ านุปส สนา อัปปณิหติ วิโมกข - อนตั ตลักษณะ อนตั ตานุปส สนา> ละอตั ตตวั ตนออกไปได สญุ ญตานปุ ส สนา สญุ ญตวิโมกข ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ...................... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ม ผ ผ ปจจเวกขณ. ๕ วถิ ี ๑. พจิ ารณามรรค ๕) พลวอทุ ยพั พยญาณ ภงั คญาณ ภยญาณ อาทนี ว. นพิ พทิ า. มญุ จิตุกมั ยตา. ปฏิสังขา. สงั ขารุเปกขา. (ปลาย ) ๑ > อนโุ ลมญาณ ๓ > ๔-๕ > ๖ > ๗ > ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... (๑ - ๓) ปฏปิ ทาญาณทสั สนวสิ ทุ ธิ ๒. พจิ ารณาผล เกิดกับพระอรยิ ะท่ี ไมไ ดศึกษาปริยตั ิ ๒ > วฏุ ฐานคามินี ญาณทัสสนวสิ ุทธิ ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... ๓. พจิ ารณาพระนพิ พาน ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... (๑ - ๕) ๔. พจิ ารณากเิ ลสทีล่ ะ เกิดกับพระอริยะที่ ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... ไดศ กึ ษาปรยิ ตั ิ ๕. พจิ ารณากิเลสทเ่ี หลอื ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ....
5 ขยายความ ญาณทัสสนวสิ ุทธิ (น. ๗ - ๑๑ ) - 13 - ๑ > เมื่อพระโยคาวจรบคุ คล กําลงั ปฏบิ ัติอยูอยา งน้ี เพราะอาศยั ความแกร อบของวิปสสนา ๖ > ตอจากมรรคญาณน้ันไป ผลจติ ทีเ่ กดิ ขนึ้ ๒ - ๓ ขณะ ( ตามสมควรแก มันทะและติกขบคุ คล ) แลวดบั ไป วิปสสนาจิต ๒ - ๓ ขณะ ปรารภ อนจิ จลักษณะ เปน ตน อยางใดอยางหนึง่ ตอจากน้นั จิตก็ลงสูภ วงั ค ปจจเวกขณะญาณทงั้ หลายตัดกระแสภวงั คข าดแลว ยอ มเกิดขน้ึ ตอ ไป เปนไปในลําดบั แหง มโนทวาราวัชชนะ ตัดกระแสภวงั คเ กดิ ข้ึนวา บดั นอ้ี ปั ปนาจักสําเร็จโดยชอ่ื วา บรกิ รรม อุปจาร อนโุ ลม (ปริ อุ นุ ) = อนุโลมญาณ ๗ > พระอรยิ บุคคลผเู ปน บณั ฑติ ยอ มพจิ ารณามรรคญาณ ผลญาณ และพระนพิ พาน สําหรบั กเิ ลสทปี่ ระหาณแลว และกเิ ลสท่ยี งั ไมไดป ระหาณ ยอ มพจิ ารณาบา ง ไมไ ดพจิ ารณาบาง ( แลว แตปรยิ ตั ิ ) ๒ > วิปสสนาญาณใด ถึงซ่งึ ความเปน ยอด วปิ ส สนาญาณนัน้ เปน ไปพรอมดวยอนุโลมญาณ และ อรยิ มรรค ๔ ประการ ท่เี นอ่ื งมาจากการเจริญวิสุทธิ ๖ เรยี กวา ญาณทัสสนวสิ ทุ ธิ สังขารเุ ปกขาญาณ ทา นเรยี กวา \" วุฏฐานคามินีวปิ ส สนา \" แปลวา วปิ ส สนาทถี่ ึงการออกไปจากกิเลสและกองทกุ ข ดว ยอาํ นาจแหง มรรค ๓ > ตอ จากนนั้ โคตรภูจิต หนว งพระนพิ พาน มาเปน อารมณ แลวทาํ ลายเสยี ซงึ่ ปถุ ุชนโคตร และยังพระอรยิ โคตรใหเ กดิ ขึ้น เรียกโคตรภูวา อพั โพหาริกะ เพราะอยูระหวางโลกียะ กบั โลกตุ ตร ๔ > ในลาํ ดับโคตรภูจติ นนั้ น่นั เอง อริยมรรคกําหนดรูทุกขสจั ละสมุทยสัจ กระทํานิโรธสจั ใหแ จง หย่ังลงสอู ัปปนาวถิ ี ดว ยสามารถแหง การกาํ หนดสัจจใหเ จริญ * โค ช่ือวา เอกโตวุฏฐาน ออกไปอยางเดียวแหงอารมณ * มัคค ชอ่ื วา อภุ โตวุฏฐาน การหลุดออกไป ทง้ั ๒ (อารมณ + จติ ) ๕ > ถา วุฏฐานคามนิ ี. เหน็ พิเศษโดยความ ไมเ ท่ยี ง มรรคที่เกิดขนึ้ ช่อื วา อนิมิตตวโิ มกข \"\" \"\" เปนทกุ ข \" อปั ปณหิ ติ วิโมกข เปน อนตั ตา \" สญุ ญตวโิ มกข
- 14 - 5 แสดงวโิ มกขเภท (น. ๙ - ๑๐ ) มี ๒ คือ วโิ มกขมุข ๓ และวิโมกข ๓ * พระโสดาบัน + พระสกทาคามี ทําอะไรไดบ าง ๑) วิโมกขมุข เกดิ จากการพิจารณา สภาวะของรูปนาม ๑) เขาผลสมาบัติ โดยเริ่มที่ พลวอทุ ยพั พยญาณ ---> ผลสมาบัติ มี อนิจจ,ํ ทุกขํ, อนตั ตา ๒) เพ่อื ใหไดมรรคสงู ขึ้น เรม่ิ ท่ี พลวอทุ ยัพพยญาณ = ๑๒ ญาณครึ่ง อนจิ จํ ทุกขํ อนตั ตา สภาวะ (ปรมตั ถ ) * พระอนาคามี + พระอรหันต อาการ (บัญญตั )ิ เปน อาการ(บัญญตั )ิ ทเี่ กิดจากสภาวะ (ปรมัตถ) ๓) เขา นิโรธสมาบตั ิ โดยตอ งเจรญิ สมถะสาํ เรจ็ จาก ปฐมฌาน ---> เนว. ๒) ปคุ คลเภท (น.๑๐, ๒๓๓ ) วิปสสนา เร่มิ ท่ี พลว. ---> สังขาร.ุ การจาํ แนกประเภทอริยบุคคล และการประหาณกิเลสโดยมรรคท้งั ๔ พระโสดาบนั ประหาณ ทิฏฐิ + วจิ ิกจิ ฉา ไดพ ระโสดาบัน ๓ ประเภท ข้นั ตอน ๑. เจริญปฐมฌาน ออกจากปฐมฌาน ---> พลว. ---> สงั ขาร.ุ ๑. เอกพชี โี สดาบนั ( อุคฆฏติ ัญูบุคคล ) - ปฏิสนธิ อีก ๑ ชาติ สรา งบารมีอยา งแกกลา ๔. จตุตถฌาน ออกจากจตตุ ถฌาน ---> พลว. ---> สงั ขารุ. ๒.โกลงั โกลโสดาบัน ( วิปญจติ ัญูบุคคล ) - ปฏสิ นธิ อีก ๒ - ๖ ชาติ สรา งบารมีอยา งกลาง ๕. เขาอากาสา. ออกจากอากาส. ---> พลว. ---> สังขาร.ุ ๓.สัตตกั ขตั ตุปรมโสดาบนั ( เนยบุคคล ) - ปฏสิ นธใิ นมนษุ ย / เทวภูมิ อีก ๗ ชาติ สรา งบารมีอยา งออ น ๖. เขา วญิ ญา. ออกจากวิญญา. ---> พลว. ---> สงั ขารุ. พระสกทาคามี เกดิ อีกชาติเดียว ทาํ ราคะ โทสะ โมหะ ใหเบาบางลง (ตนุกรปหาน ) พระอนาคามี ประหาณ กามราคะ + พยาบาท หมดส้ิน ๗. เขา อากิญ. ออกจากอากิญ. ---> พิจารณาปพุ พกจิ พระอรหันต ปรหาณกเิ ลสทง้ั หมด ๘. เขาเนวสญั ญานาสญั ญายตนฌาน มีพระนิพพานเปนอารมณ มพี ระนิพพานเปน อารมณ มไี ตรลกั ษณเ ปน อารมณ มอี ากิญ. เปน อารมณ ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ ฌ ... จติ , เจ, จริ ุ ดบั .... ผ ผ เขา นโิ รธสมาบตั ิ มกี ารรักษา - ฌาน กาํ ลงั ของฌานสมาบัติ ๘ / ๙ - ญาณ อนาคามิมคั . / อรหตั ตมัค.
- 15 - 5 วสิ ทุ ธิ ๗ ศลี ๑) สลี วิสุทธิ > ความบรสิ ุทธแ์ิ หงศลี - ชาํ ระกายวาจาใจ ใหบ รสิ ทุ ธ์ิ มีรูปนามเปนอารมณ สมาธิ ๒) จิตตวิสทุ ธิ > ความบริสุทธ์ิแหง จติ - ชําระใจ ใหปราศจากนวิ รณ ( จูฬโสดาบัน ) > ความบรสิ ทุ ธแ์ิ หง ความเห็น - ชาํ ระใจ ใหป ราศจากสกั กายทฏิ ฐิ ๓) ทฏิ ฐิวสิ ทุ ธิ ( นบั สงเคราะหในญาณ ๑๖ ได \" นามรปู ปริจเฉทญาณ \" ) > ความบริสุทธ์คิ ือ ญาณทีข่ ามพน จากความสงสัย - ชําระใจ ใหป ราศจากวจิ ิกจิ ฉา ๔) กังขาวิตรณวิสทุ ธิ ( นบั สงเคราะหใ นญาณ ๑๖ ได \" ปจจยปรคิ คหญาณ \" ) ปญญา โล ีกยะ ๕) มคั คามคั คญาณทสั สนวสิ ุทธิ > ความบรสิ ุทธใิ์ นความเห็นแจง ของญาณวา เปนมัคคปฏิปทาและมิใชม ัคคปฏปิ ทา - ชาํ ระใจ ใหป ราศจาก \"คาหธรรม\" ท้งั ๓ มไี ตรลกั ษณเปน อารมณ ( นับสงเคราะหใ นญาณ ๑๖ ได \" สัมมสนญาณ - ตรุณอุทยัพพยญาณ \" ) คอื ยึดมั่นดว ยตัณหา มานะ ทิฏฐิ ในอปุ กิเลส ๑๐ อยาง ๖) ปฏปิ ทาญาณทัสสนวสิ ทุ ธิ > ความบริสุทธิใ์ นการเห็นแจงของญาณ อนั เปนเคร่ืองดาํ เนนิ ไปสูม คั คปฏิปทาโดยสวนเดียว ( นบั สงเคราะหในญาณ ๑๖ ได \" พลวอทุ ยัพพยญาณ - อนโุ ลมญาณ \" ) - ชาํ ระใจ ใหป ราศจากวิปล ลาส ** โคตรภญู าณ ไมนับสงเคราะหใ นวิสุทธิใด แตนบั โดยปริยาย เขา ใน ปฏปิ ทาญาณทสั สนวสิ ุทธิ ๗) ญาณทสั สนวสิ ุทธิ > ความบรสิ ทุ ธิ์ในการเหน็ แจง โดยสวนเดียวของญาณ - ชาํ ระใจ ใหพ นจากมลทนิ คอื โมหะ มีพระนิพพานเปนอารมณ โล ุกตตระ ( นับสงเคราะหในญาณ ๑๖ ได \" มัคคญาณ \" เพียงญาณเดียว เพราะ แสดงไดทงั้ ๓ เน้อื ความ คอื ญาณ + ทสั สน + วสิ ุทธิ แตถ า เปนผลญาณ แสดงไดเ พยี ง ญาณ + ทัสสน เทานั้น ) > เปนสง่ิ ทีพ่ ระพทุ ธองคท รงสง่ั สอนเวไนยสตั วทัง้ หลายดวยปฏก ๓, อริยสจั จ ๔, โพธปิ ก ขิยธรรม ๓๗ พรอ มทัง้ ศลี สมาธิ และปญญา ก็สมบูรณท ่สี ดุ ในวสิ ทุ ธทิ ่ี ๗ นเี้ อง ** ผลญาณ ไมนับสงเคราะหใ นวสิ ุทธิใด แตน บั โดยปรยิ าย เขา ใน ญาณทสั สนวิสทุ ธิ - มพี ระนพิ พานเปนอารมณ ** ปจ จเวกขณญาณ ไมน บั สงเคราะหใ นวสิ ุทธิใด แตนบั โดยปรยิ าย เขาใน ญาณทสั สนวสิ ุทธิ - มี มรรค ผล นพิ พาน กเิ ลสที่ละ กิเลสทีเ่ หลือเปน อารมณ
- 16 - ๑) สลี วิสุทธิ ความบริสุทธิแหง ศลี ๑. ปาฏิโมกขสงั วรศลี ๒. อนิ ทรยิ สังวรศีล ๓. อาชีวปาริสทุ ธศิ ีล ๔. ปจจยสันนิสสติ ศลี ๑. ศลี ทีส่ าํ รวมในพระปาฏโิ มกข ๑. ศีลทส่ี าํ รวมในอินทรีย ๖ ๑. ศีลทีม่ ีอาชีพบรสิ ทุ ธ์ิ ๑. ศลี ทอี่ าศยั ปจจัย ๔ ๒. อาศยั กาํ ลังแหง \" ศรัทธา \" ๒. อาศัยกําลงั แหง \" สติ \" ๒. อาศยั กําลังแหง \" วริ ิยะ \" ดวยกิจ ๒ ขอ คอื ๒. อาศยั กาํ ลงั แหง \" ปญ ญา \" ๓. เปนขอ หา มไมใ หท ําทางกาย และวาจา ๓. การสาํ รวมทางใจนีม้ เี ฉพาะในพระพทุ ธศาสนา - ละอกุศลที่ยังไมเกดิ ไมใ หเกิด ๓. ตอ งพจิ ารณากอ นรบั ปจจยั ๔ ๔. กําจดั กเิ ลสอยา งหยาบ เปน \" วตี ิกกมกเิ ลส \" ๔. เปนการกําจดั กเิ ลสอยา งหยาบ กลาง ละเอยี ด - ละอกศุ ลทเ่ี กดิ แลว ใหอนั ตรธานไป ๔. ตอ งมโี ยนโิ สขณะฉันอาหาร ๕. อธ. ไดแ ก ศีล (๕, ๘, ๑๐, ๒๒๗ ) เปน \" ปริยฏุ ฐานกเิ ลส \" ๓. เปน ขอ หามไมใหทาํ ทางกาย+วาจา ที่เกี่ยวกบั อาชีพ เพราะมีอานสิ งสค มุ ครองไปถงึ การรับปจจยั ๔ แม ๖. เปนไปใน วิรตี ๓ คอื ๕. สามารถทําลายอภิชฌา + โทมนสั ๔. เปน ไปใน วริ ตี ๓ คือ ขาดการโยนโิ สในการรับปจ จยั ๔ (อาศยั กําลงั แรง ส.กัมมนั ตะ เวน จาก กายทจุ รติ ทไี่ มเก่ยี วกับอาชีพ ๕. เปนไปใน สติปฏ ฐาน ๔ ส.อาชีวะ เวนจาก กาย+วจีทจุ ริตท่ีเกีย่ วกบั อาชีพ ทางโยนิโสในขณะฉนั ) ส.วาจา เวน จาก วจีทุจริตท่ไี มเ กย่ี วกบั อาชีพ ๕. ฆารวาส เวนมจิ ฉาอาชวี ะ ๕ อยา ง คาสัตว, คามนุษย, คา อาวธุ , คา ยาพษิ , คา สงิ่ มึนเมา ๖. พระภิกษุ - กลุ ทูสกะ ทาํ ลายโคตรตระกูลพระอริยะ ใหเ ส่อื มศรทั ธา - อาเนสนา ปจจยั > แสวงหาปจจยั บริวาร > สรางบรวิ าร เสนาสนะ > ทาํ ทีอ่ ยูใหเ ส่อื มโทรม เพอื่ หวังผลจากฆารวาส ๖. ศีลมที สี่ ดุ อยู ๕ อยาง คอื ลาภ, ยศ, ญาติ, อวยั วะ, ชีวติ ( กาํ หนดในพระวินัย ) เทสนาสทุ ธิ สงั วรสุทธิ เอฏฐสิ ทุ ธิ ปจ จเวกขณสทุ ธิ ความบริสุทธดิ์ วยการ \" แสดง \" ความบริสทุ ธด์ิ วยการ \" สํารวม \" ความบริสทุ ธ์ดิ วย \" อาชพี ที่แสวงหา \" ความบริสทุ ธด์ิ ว ยการ \" พิจารณา \" ความบริสุทธ์ิของ \" จตุปารสิ ทุ ธิศลี ๔ ประการ \"
- 17 - ๒) จิตตวสิ ทุ ธิ ความบรสิ ุทธิแหง จติ ( น. ๑๕ - ๑๖ ) ตอ งมีสติปฏ ฐาน ๔ เปนอารมณ ** ถาสมาธิท่ีเปนไปดวยความสงบ + สุข สมาธนิ ั้นไมใ ชจ ิตตวสิ ุทธิ ตองทาํ ลายอภชิ ฌา+โทมนสั ตอ งเปนไปเพ่ือการพน ทกุ ข จิตตวสิ ทุ ธิ มี ๒ นัย คือ เพงปถวี = บรกิ รรมนมิ ิต อุคคหนมิ ิต ปฏภิ าคนิมิต ๑. สมถสมาธิ ภ ตี น ท ป จกั สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ เอ. -> ปฐมก.ุ ๑ / ปฐมกิ.๑ ไดแก สมาธิ ๒ อยาง คอื อปุ จารสมาธิ และอปั ปนาสมาธิ เอ.-> ม.ก.ุ ๘/ม.ก.ิ ๘ เอ.-> ม.กุ.๘/ม.กิ.๘ เอ.-> ม.กุ.๘/ม.กิ.๘ ม.ก.ุ สํ๔/ม.ก.ิ สํ๔ ๒. วปิ สสนาขณกิ สมาธิ ไดแก ขณิกสมาธิ บริกรรมภาวนา อุปจารภาวนา อัปปนาภาวนา ( บรกิ รรมสมาธิ ) ( อุปจารสมาธิ ) ( อัปปนาสมาธิ ) ขม นิวรณแ บบ ตทงั คปหาน ขมนิวรณแ บบ วกิ ขัมภนปหาน จติ ตวิสุทธิ สมถะ วิปสสนา * วติ กยกจิตขึน้ สอู ารมณ ๑. ถือวาไดใ น อุปจารสมาธิ และอัปปนาสมาธมิ ากอ น ๑. ใชขณิกสมาธิใน ๖ ทวาร อธ.ไดแก เอกัคคตาเจตสิก ปราศจากอภชิ ฌา+โทมนัส สตปิ ฏ ฐาน ๔ การเจริญวปิ สสนา ๒. สมาธิท้ัง ๒ ตอ งเปนไปเพ่ือทาํ ลายอภิชฌา + โทมนัส ( ขณกิ สมาธิ ตองมสี ตปิ ฏฐาน ๔ เปนอารมณ ) ม.กุ.ส.ํ ๔ ทําลายอภชิ ฌา+โทมนัส โดยมสี ติปฏฐาน ๔ เปน อารมณ และทาํ ลายอภชิ ฌา + โทมนัส ๑.ปาฏิโมกขสงั วรศีล ๔.ปจ จยสันนสิ สติ ศลี ๓. ตองทอนกาํ ลังสมาธทิ ้ัง ๒ เพราะ สมาธทิ แ่ี นวแน ๒. วปิ ส สนายานิก สามารถเหน็ ความเกิดดับไดทกุ ๆ ทวาร กองศลี กองสมาธิ โยคาวจร กองปญ ญา \" ทฏิ ฐวิ ิสุทธิ \" ไมเ ปนบาทของวิปส สนา (เพอ่ื ใหอ นิ ทรียเ สมอกนั ) วริ ิยะ ปญญา (ปญญาที่เหน็ สภาพธรรม) ๔. การยายอารมณ (เปลีย่ นอารมณ ) ยาก และการเปล่ียนอารมณ แยกรปู แยกนามได ส.วาจา สติ ขณิกสมาธิ วิตก ๕. ยกฌานจิต / องคฌาน ๕ เปนบาทในการเจรญิ วิปส สนา สมาธิ ๓. วปิ สสนายานิก กระทาํ อนิ ทรียใ หเสมอกันไดง า ยกวา ไมแนน อน ส.กัมมนั ตะ ไมย กปฏิภาคนมิ ติ เพราะเปนบญั ญัติ ไมยกสมาธทิ ั้ง ๒ (อุปจาร.+อปั ปนา.) เพราะสมาธิมี ฝา ยสมถะ ไมพรอ มกนั ส.อาชีวะ กําลังแรงไมเ หน็ ความเกดิ ดับ ๓.อาชวี ปาริสทุ ธศิ ลี ๒.อนิ ทริยสงั วรศลี \" จติ ตวสิ ทุ ธิ \" (ขณะเดียวท่ี มก.ุ เกดิ )
๓) ทิฏฐวิ สิ ุทธิ - ความบรสิ ุทธ์แิ หงความเห็น (น.๑๖ ) วา โดยญาณ ๑๖ จดั เปน \" นามรูปปรจิ เฉทญาณ \" - 18 - - ชาํ ระจิตใจของพระโยคี ใหปราศจาก \" สักกายทฏิ ฐิ \" ลงได ๔) กังขาวิตรณวิสทุ ธิ ภาวนามยปญ ญา ทฏิ ฐวิ ิสทุ ธิ พิจารณามาจาก นามรูปปรจิ เฉทญาณ ตอ งเขา ถงึ ลกั ษณะ, รส - ความบรสิ ทุ ธ์ิ คอื ญาณทีข่ า มพนจากความสงสยั วาโดยญาณ ๑๖ จัดเปน \" ปจ จยปรคิ คหญาณ\" ปจจุปฏ ฐาน - ชาํ ระจิตใจของพระโยคี ใหป ราศจาก \" วจิ ิกิจฉา \" ลงได ปทัฏฐาน - ปญ ญาท่ีเห็นเหตุปจ จัย \" การเกิด \" ของรูปนาม ๑. อาศยั ปญ ญาทเี่ หน็ สภาพรูปนามจนมีกําลงั แกกลา เหน็ การเกิดขน้ึ ของรปู นาม นามรปู ปริจเฉทญาณ สตปิ ฏ ฐาน ๔ ๒. การที่จะมปี ญ ญาเห็นเหตุปจจยั ของรปู นาม อาศยั เคยสรางสมบารมีในกาลกอน ๓. ปจ จัยของรปู นาม คอื อารมณ ผูเพง อารมณ (โยคาวจร) ๑ > เหตปุ จจยั ใหร ปู นาม (จิต, เจ, กํ ) ปรากฎใน ปฏสิ นธิกาล ไดแ ก อวิชชา, ตณั หา, อุปาทาน, กรรม (สังขาร, กมั มภวะ) ---> ปฏิสนธิ ๑๙, เจ.๓๕, ปฏิ.กํ. สตปิ ฏฐาน ๔ กายา เวทนา จิตตา ธมั มา ๒ > เหตุปจ จยั ใหนาม (จิต, เจ ) ปรากฎใน ปวัตติกาล ไดแ ก วัตถุรปู ๖ อันเปนวัตถปุ เุ รชาต และอารมณ ๖ อารมณ ๔ อยา ง นามรูปท่ีมีปจจบุ ันเปนอารมณ อารมณ ๖ ( อารัมมณปจจยั ) ปจจบุ ันอารมณ ตองอาศัยการศกึ ษาในวิปสสนาภูมิ ๖ สตุ มยปญญา ภ ตี น ท ป ปญ สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ สัจจญาณ วญิ ญาณธาตุ ๗ วัตถุ ๖ ( วัตถุปเุ รชาตนิสสยปจจยั ) ๓ > เหตปุ จ จยั ใหร ปู ปรากฎใน ปวตั ติกาล ไดแ ก สมุฏฐานท้ัง ๔ (กรรม จติ อุตุ อาหาร ) ๔ > เหตปุ จ จยั ใหนาม (วิปากจติ , เจ. ) ปรากฏ ไดแก กุศล, อกุศล ๕ > เหตปุ จจัยใหน าม (อาวัชชนจติ , เจ. ) ปรากฏ ไดแก ภวังคปุ จเฉทะ ทเ่ี กิดดว ยอาํ นาจ อนนั ตรปจ จัย ภ ตี น ท ป จัก สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ภวังคปุ จเฉทะ อาวชั ชนจิต ภ น ท ม ชชชชชชชภ ภ ** ผไู มไดศ กึ ษาปรยิ ัติ อริ ิยาบถ ๔ --> อาํ นาจ --> จิต [ จิตเปนปจ จัยใหอ ิริยาบถ ๔ เกดิ (จิตตชรปู )] ไปปฏบิ ัตเิ ลยจะพจิ ารณา อริ ิยาบถ ๔ --> ธาตุ ๔ ในกาย
- 19 - ๕) มัคคามคั คญาณทัสสนวิสทุ ธิ - ความบรสิ ุทธ์ใิ นการเหน็ แจงของญาณวาเปนมคั คปฏิปทา และมิใชมัคคปฏิปทา อธ. ไดแ ก ปญ ญาเจตสิก ไดวิปสสนาญาณคร่งึ คือ \" สัมมสนญาณ + ตรุณอทุ ยัพพยญาณ \" - ชาํ ระจิตใจใหบ รสิ ทุ ธป์ิ ราศจาก คาหธรรม คือ ตณั หา มานะ ทิฏฐิ ความบรสิ ทุ ธ์ิ ความเห็น ** มคั คามคั คญาณ. เกิดตรงไหน ความรู ไตรลกั ษณ วปิ ส สนูปกิเลส ( มีโอภาส ฯลฯ ) วปิ สสน.ู ๙ +นกิ ันติ (ตณั หา มานะ ทฏิ ฐิ ) ไมใชห นทาง หนทาง (๑) ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ..... (๒) ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ...... (๓) ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ....ฯลฯ \" พลวอุทยัพพยญาณ \" ม.ก.ุ ส.ํ ๔ คาหธรรม ปญ ญา ปญญาทจ่ี ะดําเนนิ ไปสมู รรค (ตณั หา มานะ ทฏิ ฐิ = นกิ ันติ) โดยสวนเดียว คอื \" ปฏิปทาญาณทัสสนวสิ ุทธิ \" เรมิ่ ตน สมั มสนญาณ ตรุณอทุ ยัพพยญาณ \" ชวงตน \" ตรณุ อุทยพั พยญาณ \" ชว งปลาย \" เปน มัคคะ มีกาํ ลังมากไปกระชากกิเลสธรรมจาก เปน มคั คะ อนสุ ยั ใหม าปรากฏเปน วปิ สสนูปกเิ ลส ตกจากกระแสวิปส สนา เปน อมคั คะ จากวถิ ีท่ี (๑) - (๓) จึงเรยี กวา \" มคั คามัคคญาณทัสสวสิ ุทธิ \" 5 กระบวนการเกิด มคั คามัคคญาณทัสสวิสทุ ธิ 5 วิปส สนูปกิเลส เกดิ ข้นึ ไดอ ยา งไร ทิฏฐวิ ิสุทธิ ( ปญ ญารูใ นสภาวะรปู นาม มีกําลงั แกกลา ) \"วิปสสนปู กเิ ลส \" แปลวา ส่ิงทีท่ าํ ใหว ิปส สนาญาณเศราหมอง อารมณเห็นรูปกบั นาม ๑. กาํ ลงั ปญ ญาเกิดจาก ๓ ญาณรวมกนั เปน เหตุให \" คาหธรรม \" ที่อยูในขันธสนั ดานมาปรากฏในระหวาง กังขาวติ รณวิสุทธิ (ปญ ญารูเหตขุ องการเกิด ) ยงั ไมเห็นไตรลกั ษณ เพราะยังไมเหน็ การดับ การเจริญวปิ ส สนา ๒. กําลงั สมาธิมากเกนิ กาํ ลังปญ ญา เปน เหตุให ตกกระแสวิปสสนาชวั่ ขณะหน่งึ มคั คามคั คญาณทสั สนวสิ ทุ ธิ ๓. เพราะกาํ ลังสมาธมิ าก เปน เหตุให ตัณหาเขามาอาศัย ตัณหาเปนปจจัยใหม านะ ทิฏฐิ เกิดข้นึ ๑. เหน็ สภาพปรากฏโดยความดับไปดวยอาํ นาจ อนจิ จัง, ทุกขัง, อนัตตา ๔. เกิดจากผปู ฏิบตั ติ องการใหไดม รรคผลเรว็ เปน เหตใุ ห ศรทั ธา วิริยะ สมาธิ มากไป (อินทรยี ท ัง้ ๕ ไมเสมอกนั ) กําลังปรากฏโดยญาณที่ ๑ ชื่อวา \" สมั มสนญาณ \" เห็นแบบ สันตติไมข าด คอื เห็นการดับของรปู นามในอดตี ๒. ปญญาไปเหน็ สภาพรปู นามปรากฏ โดย สันตตขิ าด คอื เห็นการดับของรูปนามในปจ จุบัน 5 วิปส สนูปกเิ ลส เกดิ กบั ใครและไมเ กดิ กบั ใคร ดว ยกําลังปญญาของญาณรวม ๓ ญาณ ไดแ ก ปญ ญาที่เห็น \" นามรปู ปรจิ เฉท. + ปจ จยปรคิ คห. + สัมมสน. \" ๑. เกิดกับพระโยคีบุคคลผปู ฏบิ ัตถิ ูกทาง และเขา ถึงตรุณอทุ ยัพพยญาณ ปจ จบุ นั เหน็ การเกิด เห็นการดบั ๒. ไมเกดิ กับพระอริยบุคคล ผูถึงปฏิเวธแลว ( เพราะเริม่ การพิจารณาที่ พลวอุทยัพพยญาณเลย ) ๓. ไมเกิดกบั ผูปฏบิ ตั ิผดิ แนวทางวปิ ส สนา กาํ ลังปรากฏโดยญาณที่ ๒ ช่อื วา \"ตรุณอุทยัพพยญาณ\" รวมเปน ๑ ญาณคร่งึ ใน มัคคามคั คญาณทัสสนวิสทุ ธิ ๔. ไมเกดิ กับพระโยคผี ูเ กียจคราน ทอดท้งิ กรรมฐาน
- 20 - ๖) ปฏิปทาญาณทัสสนวิสทุ ธิ - ความบรสิ ุทธใิ์ นการเหน็ แจงของญาณ อนั เปนเคร่อื งดําเนินไปสมู คั คปฏปิ ทา โดยสวนเดียว ได ลักษณะ ๓, อนปุ สสนา ๓, วปิ ส สนาญาณ ๙, วิโมกขมุข ๓ ความบริสุทธ์ิ - ชําระจติ ใจใหบ ริสทุ ธ์ปิ ราศจาก วิปลลาสธรรม ความเห็น ความรู - เปน จดุ เรม่ิ ตนงาน ๓ ประเภท ๑ > สังขารปรคคัณหณกวิปส สนา ( พระอรยิ บุคคล ) ขอปฏบิ ตั ิ ๒ > ผลสมาบัติ ๓ > นโิ รธสมาบตั ิ ( พระอนาคามี และพระอรหันต ) - ญาณเรม่ิ ตนที่ \" พลวอุทยพั พยญาณ -- > อนุโลมญาณ (สจั จานุโลมิกญาณ ) \" รวม ๘ ญาณครึง่ หรอื วิปสสนาญาณ ๙ - ท้ัง ๙ ญาณ เปน ขอปฏิบตั ิเพอื่ ดาํ เนนิ ไปสูม ัคคปฏปิ ทา โดยสวนเดียว - กําลงั ของโพธปิ ก ขยิ ธรรม ๓๗ เรมิ่ มตี ั้งแต พลวอุทยพั พยญาณ เปน ตน ไป การดาํ เนนิ ของญาณ ๙ อยา งคอื ญาตปรญิ ญา นามรปู ปรจิ เฉทญาณ ๑.พลวอทุ ยัพพยญาณ - เปน ปจจยั ให วิปสสนาญาณเบื้องสูง เกดิ ตอ ไปไดแก ภงั คญาณ เปนตน ไป ตีรณปรญิ ญา ปจจยปริคคหญาณ - ปญ ญาทเ่ี ห็นการเกดิ การดบั ของรปู นาม มกี ําลงั มากจนเหน็ แตการดับทเ่ี ปนปจจบุ นั ซงึ่ เปน การดบั แบบ \"สนั ตตขิ าด\" สมั มสนญาณ ๒. ภังคญาณ - ปญ ญาเหน็ แตความ \" ดบั \" ของรูปนาม ปหานปรญิ ญา ตรุณอทุ ยพั พยญาณ ๓. ภยญาณ - ปญ ญาเห็นโดยความเปน \" ภยั \" ไมเ ห็นคณุ ของรปู นาม ๔. อาทีนวญาณ - ปญญาเห็นโดยความเปน \" โทษ \"ของรูปนาม เรมิ่ เหน็ คณุ ของพระนพิ พาน ไดญาณใดญาณหนึ่งถือวา ได ๓ ญาณ ๕. นิพพิทาญาณ - ปญญาเกดิ ความ\" เบือ่ หนาย \"ใน สภาพรปู นาม แลนเขาสูพระนพิ พาน ๖. มุญจิตุกมั ยตาญาณ - ปญญาอยาก \" หนีใหพน \" จากรปู นาม ๗. ปฏสิ งั ขาญาณ - ปญ ญากลับไปพจิ ารณา \" ไตรลกั ษณ \" ของรปู นามอยางกวา งขวาง ( รูไตรลกั ษณก วา งขวางทส่ี ดุ ) ๘. สงั ขารเุ ปกขาญาณ - ชวงตน ยนิ ดีพอใจในการวางเฉยตอ รปู นามของตน - ชว งปลาย ไดว ฏุ ฐานคามนิ .ี ๙. อนุโลมญาณ - ปญญาเหน็ สอดคลองกบั วปิ ส สนาญาณ ๘ ( อุทยัพ.-สังขาร.ุ ) ขางตน และถึงพรอ มดวยกาํ ลังเพ่ือให \" มัคคญาณ \" เกิด
- 21 - ๗) ญาณทัสสนวสิ ุทธิ - ความบริสุทธแ์ิ หง ความรูและความเห็น ๘๑, ๕๑ (-โลภ), ๒๘ - ชําระใจ ใหพนจากมลทนิ คอื โมหะ ความบรสิ ทุ ธ์ิ - วจนตั ถะ ๑. จตุสจจฺ ํ ชานาตตี ิ าณํ - รูในอริยสัจจ ๔ ได ฉะนน้ั เรยี กวา ญาณ รปู ริยตั ิ ทุกขสัจจ -> สภาวะ ๑๖๐ นโิ รธสจั จ -> นพิ พาน ความเห็น พระนิพพาน รปู ฏิบัติ สมุทยสจั จ -> โลภ มคั คสจั จ -> ปญ ญาที่ในมคั คจติ ๔ ความรู อรยิ สจั จ ๔ ทกุ ข -> กําหนดรู นโิ รธ -> ควรทาํ ใหแจง สมทุ ัย -> ควรละ มคั ค -> ควรทาํ ใหเจริญ มคั คญาณ ๒. ปจฺจกขฺ โต ปสสฺ ตตี ิ ทสสฺ นํ - เหน็ พระนพิ พานเปนประจกั ษ ฉะน้นั จึงเรียกวา ทสั สน ม การแจงพระนิพพาน เกดิ ตามไตรลกั ษณว า กําหนดลักษณะอาการอะไรมา > ผมู ี สัทธนิ ทรยี แกก ลา เหน็ ลกั ษณะ อนิจจงั เม่อื สาํ เร็จมรรค เหน็ พระนพิ พานเรยี กพระนิพพานนัน้ วา อนิมติ ตนพิ พาน องคม รรคแรก ส.ทฏิ ฐิ = ปญญา + องคมรรคท่เี หลือ ๗ > ผมู ี สมาธนิ ทรยี แกก ลา เห็นลักษณะ ทุกขงั เมือ่ สําเรจ็ มรรค เห็นพระนพิ พานเรียกพระนพิ พานนัน้ วา อปั ปณหิ ิตนพิ พาน > ผูมี ปญญินทรยี แกกลา เห็นลักษณะ อนตั ตา เมอื่ สาํ เรจ็ มรรค เหน็ พระนิพพานเรียกพระนพิ พานนนั้ วา สญุ ญตนพิ พาน สมงั คี เปนสหชาตธรรม ๓. กิเลสมลโต วสิ ุชฺฌตีติ วสิ ทุ ธฺ ิ - ความบรสิ ุทธิ์จากกิเลสซง่ึ เปน มลทิน ฉะน้นั จึงเรยี กวา วสิ ุทธิ 5 พระบาลที ี่ ๒ ลกั ษณะ ๓ * แสดงโดยวิถี สภาวะของสงั ขตะ - เคร่ืองหมาย ของสังขตธรรม ทไ่ี มเ ที่ยงเปน ทกุ ขและเปน อนตั ตา อาการไตรลักษณ - เคร่อื งหมาย เปนเหตใุ หรจู ําธรรมทค่ี วรรู ไดแ ก สังขตธรรม สภาวะ = สภาพของ \" สงั ขตธรรม \" ที่เกิดสบื ตอ กันอยางรวดเร็ว - เครือ่ งหมาย หรือ อาการ เปน บญั ญัติ ทอ่ี าศยั สภาวะ ปรากฏเฉพาะหนาเปนปจจุบัน ๑. เพราะ อาศยั วิชชมานบัญญัติ คือ เขาถงึ อัตถบญั ญัติ คือ เนือ้ ความของสภาวะ (ดูเงาของปรมัตถ) อาศยั วิชชมาน ๒. เมอื่ สภาวะปรากฏก็ตองละชอ่ื ละบัญญตั ิ เขาถึงสภาวะรปู นาม ไดน ามรูปปรจิ เฉทญาณ บัญญตั ิเขาถึง ---> สังขตะ สงั ขตะ สงั ขตะ สงั ขตะ สงั ขตะ ๓. บญั ญตั ิกลับมาอีกคร้ัง ซ่งึ เปน บญั ญัตทิ ีอ่ าศัยสภาวะ เปนไตรลักษณ โดย อนจิ , ทุกข, อนัต อนจิ , ทกุ ข, อนตั อนจิ , ทุกข, อนตั อนิจ, ทุกข, อนตั อนิจ, ทกุ ข, อนตั > อนิจจลกั ขณะ ลกั ษณะทไี่ มเ ทย่ี ง > ทกุ ขลกั ขณะ ลักษณะทีเ่ ปนทกุ ข เกดิ ตงั้ ดับ เกิด ตัง้ ดบั > อนัตตลักขณะ ลกั ษณะท่ีเปน อนตั ตา เครอ่ื งหมาย ( อาการ ) ของสังขตธรรม = อาการบัญญัติทอี่ าศัยสภาวะ
- 22 - 5 ความตา งกนั ระหวาง อนจิ จัง, ทกุ ขงั , อนัตตา กับ อนจิ จลกั ษณะ, ทกุ ขลักษณะ, อนัตตลักษณะ (น. ๒๕-๒๖ ) สงั ขตะ มี ๒ อยา ง ๑) ๒) - สงั ขตะท่ไี มเ ทีย่ ง คือ ความสิน้ ไปดับไป ชอื่ วา \" อนิจจัง \" - ความสน้ิ ไปดับไป อยูเรือ่ ยๆ ติดตอกนั ของสงั ขตธรรมทีไ่ มเ ทยี่ ง ชื่อวา \" อนิจจตา \" - สังขตะทเ่ี ปน ทุกข คือ ความทนอยูไมไ ดตอ งดบั ไปสิน้ ไป ชอื่ วา \" ทกุ ขัง \" - ความทนอยไู มไ ดต องดบั ไปสิ้นไป อยเู รอ่ื ยๆ ตดิ ตอ กันของสังขตธรรมทเี่ ปนทกุ ข ช่ือวา \" ทกุ ขตา \" - สงั ขตะท่ีไมใ ชอ ตั ตา คือ ไมม แี กนสาร บังคับบัญชาไมไ ด ช่ือวา \" อนตั ตา \" - ความไมมแี กนสารปราศจากเรา เขา ทจ่ี ะบงั คับบญั ชาใหเปนไปตามความตอ งการของธรรมท้งั ปวง ชือ่ วา \" อนตั ตตา \" ลกั ขณะ ๓ ลกั ขณะ ๓ - เครื่องหมายของสงั ขตธรรมท่ีไมเทีย่ ง ชอ่ื วา \" อนิจจลกั ขณะ \" - ความเปนอยู คือสน้ิ ไปดับไป อยเู รื่อยๆ ตดิ ตอ กันของสงั ขตธรรมทไี่ มเทยี่ งนัน้ แหละ - เครื่องหมายของสังขตธรรมที่เปนทกุ ข ชอื่ วา \" ทุกขลักขณะ \" เปนเคร่ืองหมายใหรูได จําได ชอื่ วา \" อนจิ จลกั ขณะ \" - เคร่ืองหมายของธรรมท้ังปวงทไ่ี มใชอ ัตตะ ชื่อวา \" อนตั ตลักขณะ \" - ความทนอยูไ มไดต องดบั ไปสิ้นไป อยเู รื่อยๆ ตดิ ตอกันของสังขตธรรมที่เปนทุกขน ัน้ แหละ อนิจจตา เปน เครื่องหมายใหรูได จาํ ได ช่ือวา \" ทกุ ขลกั ขณะ \" - ความไมมแี กนสาร ปราศจาก เรา เขาทีจ่ ะบงั คบั บัญชาใหเ ปน ไปตามความตองการของธรรมท้งั ปวงนั้นแหละ อนิจจํ อนจิ จํ อนจิ จํ อนจิ จํ อนจิ จํ เปน เคร่ืองหมายใหร ไู ด จาํ ได ช่ือวา \" อนัตตลักขณะ \" เกดิ ตง้ั ดบั อนิจจลักขณะ ** อนิจจัง = สพฺเพ สงขฺ ารา อนจิ ฺจา ไดแก ๘๙, ๕๒, ๒๘ = สังขตธรรม คอื รปู นาม ขันธ ๕ ท่ีเปนปรมตั ถอ ยางเดยี ว ** ทุกขงั = สพเฺ พ สงฺขารา ทกุ ฺขา ไดแก ๘๙, ๕๒, ๒๘, นพิ พาน, บญั ญตั ิ ** อนัตตา = สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา = สังขตธรรมและอสังขตธรรม คือ รูปนาม ขนั ธ ๕ นิพพาน และบญั ญัติ ซ่ึงเปนไปในธรรมทงั้ หมด ไดแก ๘๑, ๕๒, ๒๘ ทรงแสดงเพื่อใหพุทธบริษทั ทัง้ หลายไดทราบถงึ สิ่งทง้ั ปวงทม่ี อี ยใู นโลก ไมว า ปรมตั ถห รือบญั ญัติ ลว นแตเ ปน อนัตตาดวยกันท้งั สิน้ ตเทว ขนธฺ ปฺจกํ อนตตฺ า = ทรงแสดงรปู นามขันธ ๕ ท่เี ปนอารมณข องวิปสสนาญาณ ประการเดยี ว
- 23 - 5 อนปุ ส สนา ๓ หมายความวา การรูเห็นเนืองๆ ช่อื วาอนปุ สสนา อธ. ไดแก ปญญาทีม่ ีลักษณะ ๓ เปน อารมณ ๒. ทามกลาง การรเู ห็น ๑. เบอื้ งตน ลกั ษณะ ๓ (อารมณไ ตรลักษณ ) เนอื งๆ - อนิจจํ - อนจิ จลกั ษณะ - ทกุ ขํ - ทุกขลักษณะ - อนัตตา - อนัตตลักษณะ ภ ตี น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ม ผ ผ ปญญาทมี่ สี ภาพธรรม เปน อารมณ \" นามรูปปริจเฉทญาณ \" \" สมั มสนญาณ \" \" พลว, ภงั , ภย, อาท,ี นพิ , มญุ , ปฏ,ิ สัง อนโุ ลม \" \"โค. มัค. ผลญาณ \" \" ปจ จยปริคคหญาณ \" \" ตรณุ อทุ ยัพพยญาณ \" ทิฏฐวิ สิ ทุ ธิ กงั ขาวติ รณวสิ ุทธิ มคั คามัคคญาณทสั สนวิสุทธิ ปฏปิ ทาญาณทสั สนวสิ ุทธิ ญาณทัสสนวิสุทธิ ๓. เบือ้ งปลาย วุฏฐานคามินี. เปน ไปตามความแกกลา ของอนิ ทรีย ๓ อยางคอื อนุปสสนา ๓ วิโมกขมขุ ๓ สทั ธินทรยี , สมาธนิ ทรีย, ปญ ญนิ ทรีย - อนิจจานปุ ส สนา - อนิมิตตานปุ ส สนา ๑. เบอ้ื งตน กาํ หนดสภาวะธรรมของรูปนาม เรียกวา อนิจจํ ทกุ ขํ อนัตตา - ทกุ ขานปุ ส สนา ( ผูรูอารมณ ) - อปั ปณหิ ิตานปุ ส สนา ๒. ทามกลาง มีอาการ (เครอ่ื งหมายของสังขตธรรม) เรยี กวา ลกั ษณะ ๓ - อนตั ตานปุ สสนา บอกวา มีไตรลักษณอ ะไร - สุญญตานุปสสนา เปนอารมณ ( อนจิ จลกั ษณะ, ทกุ ขลักษณะ, อนัตตลกั ษณะ ) ๓. เบือ้ งปลาย ปญ ญาเปนผูรูในลกั ษณะ เรยี กวา อนุปส สนา ๓ ( อนจิ จานปุ ส สนา, ทุกขานุปสสนา, อนตั ตานปุ สสนา ) ** อนุปสสนา ๓ นบั สงเคราะหไ ดใ น ** อนจิ จานปุ สสนา - ปญ ญาทพ่ี จิ ารณาเห็นความไมเ ท่ียงของรปู นาม - ๒ วสิ ุทธิ คือ มัคคามคั คญาณทสั สนวิสุทธิ, ปฏปิ ทาญาณทสั สนวสิ ุทธิ - วปิ ส สนาญาณ ๑๐ ซ่งึ เปนปญญาที่บอกกาํ ลงั ของโยคาวจร ที่เน่อื งมาจาก การเห็นประจักษแหง ความเกดิ ขึน้ และดับไป - ลกั ษณะ ๓ บอกความเปน อารมณ - วโิ มกขมุข ๓ ประตูแหง ความหลุดพน ในขณะท่ีกาํ หนดรปู นามอยูนั้นแหละ ปญญานีไ้ ดช ื่อวา \" อนิจจานุปส สนา \" * ความตางกัน ๑ > อนจิ จะ : ธรรมท่ีไมเทย่ี ง ๒ > อนจิ จลกั ขณะ : เคร่อื งหมายท่ีรวู า ไมเทย่ี ง ๓ > อนิจจานปุ ส สนา : ปญ ญาทีพ่ ิจารณาเห็นวาไมเ ท่ยี งอยูเนืองๆ ในรูปนามขนั ธ ๕ (กายใจ) ไดแก ปญ ญาท่ใี น ม.กุ., ม.กิ. ขณะกําหนดรรู ปู นามขนั ธ ๕ (กายใจ)
- 24 - 5 มหาวปิ สสนา ๑๘ ( แสดงยอ ไดอ นุปสสนา ๓ น. ๒๘ - ๓๑ ) เหตปุ จ จยั รปู นามเปนอารมณ อนจิ จํ ทกุ ขํ ๘๑, ๕๒, ๒๘ อนตั ตา ภ ตี น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ๑๕ ยถาภตู ญาณทสั สนะ ภ น ท ม ชชชชชชช ภ ภ นามรูปปริจเฉทญาณ ปจจยปรคิ คหญาณ [ ทฏิ ฐวิ สิ ุทธิ ] ละสมั โมหาภนิ เิ วสะ [ กังขาวติ รณวสิ ทุ ธิ ] ( การถอื ม่ันดว ยความหลงอยใู นเรอื่ งวจิ กิ ิจฉา และทฏิ ฐิ ) ลกั ษณะ ๓ อารมณ อารมั มณิกะ อนปุ สสนา ๓ ๑๐ วปิ ริณามานุปส สนา วิโมกขมขุ ๓ ละธวุ สญั ญา ( สําคัญวาเท่ียง คงที่ ) อนจิ จลักษณะ ๑ อนิจจานปุ สสนา ละนิจจสญั ญา ( สําคัญวาเทย่ี ง ) ๑๑ อนมิ ติ ตานุปสสนา ละฆนนมิ ิต+นจิ จนิมิต ทุกขลักษณะ ละสขุ สัญญา ( สําคญั วาสุข ) อนตั ตลกั ษณะ ๑๔ อธปิ ญ ญาธัมมวปิ สสนา ๒ ทกุ ขานุปส สนา ละอตั ตสญั ญา ( สาํ คญั วา เปน ตน ) (ความมีรปู รางสณั ฐานเปน อนั หนึง่ อันเดยี วกนั ต้ังม่นั คงที่อย)ู ละสาราทานาภนิ เิ วสะ ๓ อนตั ตานปุ ส สนา ๑๑๒ อัปปณหิ ิตานปุ ส สนา ละปณธิ ิ (ความยนิ ดปี รารถนาในเวทยติ สขุ ) ๑๑๓ สุญญตานุปสสนา ละอภินิเวสัง (ความงมงาย ถือมน่ั วาเปน แกน สารคงทนยืนอย)ู (ความถอื ม่ันวาเปน เราเปนเขา อยูใ นอํานาจบังคับบญั ญชา) [ มคั คามัคคญาณทสั สนวสิ ุทธิ ] [ ปฏิปทาญาณทสั สนวสิ ุทธิ ] [ ญาณทัสสนวสิ ุทธิ ] สมั มสน., ตรณุ อุทยพั ., พลวอุทยพั ., ภงั ค., ภย., อาทนี ว., นพิ พทิ า., มุญจิตกุ มั ยตา., ปฏสิ ังขา., สงั ขารุเปกขา.(ชวงปลาย), อนุโลม., โคตรภ.ู , มัคค., ผล., ปจจเวกขณญาณ วุฏฐานคามิน.ี ๑๘ ววิ ัฏฏานปุ สสนา ละสงั โยคาภนิ ิเวสะ วปิ ส สนปู กเิ ลส ๔ ๗ (ความยึดม่นั ประกอบติดอยูในรูปนาม อันเปน ตัวตณั หา มานะ ทฏิ ฐิ) นิพพิทานุปสสนา ปฏินสิ สัคคานุปสสนา ละอาทาน (การรบั กเิ ลส คอื การใหก ิเลสเกิด โดยท่ีมไิ ดเ ห็นโทษของสงั ขตธรรม) ละนันทิ (เพลิดเพลนิ ) ๑๗ ปฏิสังขานปุ สสนา ละอัปปฏิสงั ขา (ความไมพจิ ารณาใหแ จงประจกั ษในรูปนาม ทม่ี สี ภาพเปน อนิจ. ทกุ ข.อนตั . อันเปนตัวโมหะ) ๑๖ อาทนี วานปุ สสนา ละอาลยาภนิ ิเวสะ ๕ วิราคานุปสสนา ละราคะ (ความกําหนดั ) (ความยึดมั่นจดจอ ในรูปนามวา เปน ที่พง่ึ อาศัย) ๖ นโิ รธานปุ ส สนา ละสมทุ ยั (ความเกดิ ) ๘ ขยานปุ ส สนา ละฆนสญั ญา (สาํ คญั วา เปนกลุม เปน กอง) ๙ วยานุปสสนา ละอายหู นะ (ความดิน้ รนเพอ่ื ความสขุ ความกา วหนา )
- 25 - 5 วิสทุ ธมิ รรค แสดง อนจิ จานปุ สสนา ดวยพระบาลี ๒ บท ปญญาท่รี ใู นสภาพสังขตธรรม = นามรปู ปรจิ เฉทญาณ [๑] เหน็ อนจิ จงั ๑) อุปฺปาทวยฺถตฺตภาวา ถาปญ ญาเห็นปจจยั ๔ ปรงุ แตง = ปจจยปริคคหญาณ ๒) หุตวฺ า อภาวโต สงั ขตธรรม ธรรมที่ถูกปจจยั ๔ ปรุงแตงใหม ีสภาพ เกดิ ตงั้ ดบั [๒] อนจิ จลกั ษณะ เคร่อื งหมายของ สงั ขตธรรม มี ๓ ลกั ษณะ เกิด ตั้ง ดบั = สังขตลักษณะ [๓] อนจิ จานุปสสนา อปุ าท.+ฐตี ิ = สัมมสน. + อุทยพั . อปุ ปาท. ฐตี ิ. ภงั คกั . \" ขณภงเฺ คน เภโท \" ภงั คัก = ภังคญาณ ๒) ดบั ไปโดยไมมสี ว นเหลือ ๑) อนิจจานุปสสนาเทยี ม = ขณะดับทป่ี ระเสริฐท่สี ดุ 5 ความตา งกนั ของบาลีท้งั ๒ ๑) อุปปฺ าทวยฺถตตฺ ภาวา ๒) หตุ ฺวา อภาวโต ๑ ชอ่ื วา \" สังขตะ \" เพราะ มคี วาม วปิ รติ ผดิ แปลกเปล่ยี นไปดวยความเกิดดับ ๑ ชือ่ วา \" สงั ขตะ \" เพราะ มคี วามเกิดขน้ึ และเสอ่ื มส้นิ ดบั ไปโดยไมมเี หลอื และเปนอยางอืน่ (ชรา) ๒ ชอื่ วา \" สังขตลักษณะ \" เพราะ มคี วามเปนไปดวยความเกิดขึ้น และเสือ่ มส้นิ ดับไปโดยไมมเี หลือ ๒ ชือ่ วา \" สังขตลกั ษณะ \" เพราะ มคี วามเปน ไปดวยอาการวปิ ริตผิดแปลกเปลีย่ นไปดว ยความเกิดดบั และเปนอยา งอ่ืน (ชรา) ๓ มงุ หมายปญญาใน ภังคญาณ ๔ จดั เปน \" ปหานปริญญา \" ๓ มงุ หมายปญ ญาใน สมั มสนญาณ และอทุ ยพั พยญาณ ๔ จดั เปน \" ตีรณปริญญา \"
- 26 - 5 พระอรรถกถาจารย กลา วไวใ นสมั โมหวิโนทนอี รรถกถา ( น. ๓๒ - ๓๓ ) สงั ขตธรรม ที่เปนไปใน ภงั คกั ขณะ ยงั มอี ีก ๔ ลักษณะ ปรากฏอยู สังขตธรรม ๑. อุปปฺ าทวยวนฺตตฺตา มกี ารเกดิ ดับเปนทส่ี ดุ ไมมเี หลือ ภงั คักขณะ ๒. วปิ รณิ าม มีความเปลยี่ นแปลงไปไมค งท่ี -> ละธุวสัญญา \"หุตฺวา อภาว\" \"อปุ ปฺ าทวยฺ ถตฺตภาวา\" ๓. ตาวกาลิก ต้ังอยชู ่วั ขณะ ๔. นิจจฺ ปฏกิ เขป มกี ารปฏิเสธความเทย่ี ง -> ละนจิ จสญั ญา ( ลักษณะทั้ง ๕ = ขอ ๑ - ๔ และ หุตฺวา อภาว ) 5 อนิจจานปุ ส สนาแท และเทยี ม ( น. ๓๔ ) - การรเู หน็ ในความเปน อนิจจัง ดวยการกําหนดรอู ยูเชนน้แี หละเรียกวา \" อนจิ จานุปสสนาแท \" - ถามิไดมกี ารกําหนดรใู นอนิจจธรรมทเี่ กดิ อยเู ฉพาะหนา เพยี งแตทาํ การนึกคิดพิจารณาไปในอนจิ จลักขณะ ดว ยบรกิ รรมวา สพฺเพ สงขฺ ารา อนจิ ฺจา สังขารทั้งหลายไมเ ทย่ี ง อนั เปนบัญญตั ิอนิจจะอยอู ยา งน้ี อนจิ จลักขณะไมมีโอกาสที่จะปรากฏได การปฏิบตั ดิ ังนี้ เรียกวา \" อนิจจานปุ ส สนาเทียม \" 5 อนุปส สนาญาณ ( น. ๓๘ ) หมายความวา ปญญาท่เี ห็นสภาพรูปนามที่เกดิ สบื ตอกันอยางรวดเรว็ ปญ ญาทเี่ ห็น อนิจจํ ทกุ ขํ อนตั ตา จนลักษณะ ๓ ปรากฏใน --> อนจิ จานุปส สนา --> ทกุ ขานปุ ส สนา วปิ ส สนาญาณ นบั ต้ังแต สัมมสนญาณ ---> อนุโลมญาณ --> อนัตตานปุ ส สนา มงุ หมาย ปญญาใน นามรูปปริจเฉทญาณ และปจ จยปริคคหญาณ
5 ขอปฏบิ ตั เิ พื่อให สนั ตติขาด ฆนบัญญัตแิ ตก เพ่อื ใหว ปิ ส สนาญาณเขาถงึ อนจิ จานุปส สนาโดยแท - 27 - รปู นาม รปู นาม รปู นาม รปู นาม รปู นาม = สนั ตติ 5 ธรรมท่ถี ูกประหาณดว ย อนจิ จานปุ สสนา ( น. ๔๓ ) ** ธรรมทีป่ กปด อนิจจัง ไดแ ก สนั ตติ คอื การสบื ตอ กนั ของรูปนามทีเ่ กิดข้นึ อยา งรวดเรว็ ไมเ ห็นถงึ ความ อนจิ จานปุ สสนา คอื ปญญาที่พิจารณา อนิจจํ จน อนิจจลักษณะปรากฏแกป ญ ญา ( คือ อนิจจานปุ สสนา ) ปกปด ทุกขงั > อิรยิ าบถ เกดิ ดับ เพราะ วิปลลาสธรรม ซง่ึ ไดแก - ในขณะนนั้ สัญญาแหง ความเท่ียง (นิจจสัญญาวปิ ลลาส ) กถ็ กู ประหาณไปดว ย เมือ่ นิจจสัญญาวิปล ลาส ถูกประหาณแลว เมอ่ื นนั้ นิจจจิตต. + นิจจทฏิ ฐิวปิ ล ลาน กบ็ รรเทาลงดวย เพราะวิปส สนาญาณซึ่งอยใู นขอบเขตของภังคญาณเปน ตน ไปไดเพยี ง ตทงั คปหาน เทาน้ัน - ในขณะเดยี วกนั ในวฏั ฏ ๓ ไดแก กเิ ลสวัฏ ก็บรรเทาลง เม่อื น้ัน กัมมวฏั + วิปากวัฏ กบ็ รรเทาตามไปดวย อยูในชว ง วุฏฐานคามินีวิปสสนา = สังขารเุ ปกขาญาณ (ชว งปลาย ) กบั อนโุ ลมญาณ ปกปดอนตั ตา > ฆนสญั ญา นิจจสัญญาวปิ ล ลาส, นิจจจิตตวิปลลาส, นิจจทิฏฐิวปิ ล ลาส ** สันตตไิ มข าด ฆนบญั ญตั ไิ มแ ตก เพราะ อนิจจานปุ ส สนาไมปรากฏ 5 อนิจจานปุ สสนา นับสงเคราะหไ ดใ น ๒ วสิ ทุ ธิ ๑. เพราะไมม ีการกาํ หนดสภาวะรปู นามโดยความเปนอนิจจํ ขณะอปุ าทกั สมั มสนญาณ ๒. เพราะไมม ีความรูใ นเรอ่ื งสนั ตติท่ปี ด บังอนจิ จํ ๓.อนิจจลกั ษณะไมไดอยูในวิสัยทีจ่ ะรู ๑) มคั คามัคคญาณทสั สนวิสทุ ธิ มอี ารมณ --> อนิจจลักษณะ --> อนจิ จานปุ สสนา ขณะฐตี ิ ตรณุ อทุ ยัพ. (อปุ ปฺ าทวยฺถตตฺ ภาวา ) ** ขอ ปฏิบตั ิเพือ่ ให สันตตไิ มข าด ฆนบญั ญตั ิไมแตก ๒) ปฏปิ ทาญาณทสั สนวสิ ุทธิ มอี ารมณ --> อนิจจลกั ษณะ --> อนจิ จานปุ ส สนา --> ภงั คักขณะ = พลว.....วุฏฐาน. ๑. พจิ ารณาสภาวรูปนามตามนัยสตปิ ฏฐาน ๔ ๒. พิจารณาสภาวรปู นามท่ีเปนปจจุบนั อารมณ เพราะ ปจ จุบันนม้ี กี ารเกดิ ดับ สืบตอ (หุตวฺ า อภาว ) ๓. ตอ งพิจารณาวา ขณะทรี่ ปู นามกาํ ลงั ปรากฏตรงปจจุบัน ตอ งกําหนดวา เปน \"รูปอะไร นามอะไร \" ประหาณ ประหาณ เพือ่ ใหเห็นวารูปกับนามน้ันแยกจากกันต้งั แตป จจุบนั แลว และขาดกนั ทง้ั รปู ตอ รปู และนามตอนาม เมื่อน้ันสนั ตตกิ ็ขาดลง \"อนิจจลกั ษณะ\" กป็ รากฏแกป ญญา คือ \"อนิจจานุปส สนา \" วิปลลาส. ๓ วัฏฏ ๓ อนิจจานปุ สสนา เกดิ ได ๓ กาล ( แตอ นจิ จํ ตองเปน ปจจุบนั เทา น้ัน ) 5 คาํ ถาม (น. ๔๕) กิเลสตา งๆ มี นจิ จสญั ญาวิปลลาส เปน ตน ทอ่ี นิจจานุปสสนา ไดป ระหาณไปแลว นน้ั เปน อดีต อนาคต หรือปจ จุบัน ? ตอบ ไมใชเปน กาลใดๆ ทั้งส้ิน เปน กาลวมิ ตุ ตกิ ิเลส คอื อนสุ ัยท่ีนอนเนอ่ื งอยูในขนั ธสันดาน โดยความยงั ไมป รากฏ เปนสภาวะปรมตั ถ อดีต ปจ จุบนั อนาคต อนิจจํ ----> อนิจจลกั ษณะ ----> อนมุ านอนิจจานุปส สนา มสี ภาวะ อนุมานอนิจจานปุ สสนา รปู นาม ภ น ท ม ชชชชชชช ภ ภ น ท ม ชชชชชชช ภ ภ อนจิ จานปุ สสนา อนิจจานปุ ส สนา ถาม > เปนกาลไหน ? (ภงั คญาณ) (ภงั คญาณ) ปจ จักขอนิจจานุปสสนา ตอบ > เปนกาลวมิ ุต ละนจิ จสญั ญาวิปล ลาส
- 28 - 5 การนอนเนื่องของอนสุ ัยกิเลส (น. ๔๕) 5 กเิ ลส ๓ ข้ัน 5 ประหาณ ๕ วมิ ตุ ติ ๕ ( น.๒๑๐ ) * อนาคตกิเลส เหมอื นกนั คือ ยงั ไมป รากฏโดยสภาวะ ๑) วีติกกมกิเลส กิเลสอยางหยาบ ออกมาทางกาย วาจา ๑) ตทังคปหาน - ตทังควิมุตติ (สลี ) - ละช่ัวคราว * อนุสยั กเิ ลส ละดว ยศลี เปนตทงั คปหาน ๒) วกิ ขมั ภนปหาน - วกิ ขัมภนวิมุตติ (สมาธ)ิ - ละดวยการขม ไว * อนาคตกเิ ลส ---> จกั เกดิ แนนอน ๒) ปรยิ ฏุ ฐานกเิ ลส กเิ ลสอยางกลาง คดิ อยใู นใจ ๓) สมุจเฉทปหาน - สมุจเฉทวิมุตติ (มคั ค) - ละเด็ดขาด * อนสุ ัยกเิ ลส ธมั มาธิษฐาน ---> จกั เกดิ ไมแนน อน ละดว ยสมาธิ เปน วิกขัมภนปหาน ๔) ปฏิปส สมั ภนปหาน - ปฏปิ ส สัมภนวิมตุ ติ (ผล) - ละโดยความสงบ บคุ คลาธษิ ฐาน ---> จกั เกดิ กม็ ี / จกั ไมเ กิดกม็ ี ๓) อนุสยั กเิ ลส กเิ ลสอยา งละเอียด นอนเน่อื งอยูในขันธสนั ดาน ๕) นสิ สรณปหาน - นิสสรณวมิ ตุ ติ (นิพพาน) - ละโดยการออกไป ละดวยปญ ญา เปนสมจุ เฉทปหาน 5 อนิจจานปุ ส สนา ท่ีใน วิปส สนาญาณ ปริยฏุ ฐานกิเลส > อารมั มณานุสัย - กิเลสท่ีนอนเนอ่ื งอยูใน อารมณ ท่เี ปน ปย รปู สาตรปู อปย รูป อสาตรูป > สันตานานุสยั - กิเลสทนี่ อนเนื่องอยใู น การเกิดขน้ึ สบื ตอ แหงรปู นาม ( ตดิ ตามไปทกุ ภพทุกชาติ ) - อนสุ ยั ๗ ไดแ ก ๑.กามราคานุสยั ๒.ปฏิฆานสุ ัย ๓.ทฏิ ฐานสุ ัย ๔.วจิ กิ จิ ฉานุสัย ๕.ภวราคานสุ ัย ๖.มานานุสยั ๗.อวิชชานสุ ยั อนจิ จลักษณะ วิปสสนูปกเิ ลส ๙ อนจิ จลักษณะ ของวิปสสน.ู ๑๐ ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค / โว ม ผ ผ ตัณหา มานะ ทิฏฐิ (คาหธรรม) อนิจจานปุ ส สนา อนิจจานปุ สสนา สัมมสนญาณ ตรุณอทุ ยพั พยญาณ พลว....ภังคญาณ วุฏฐาน. [ มัคคามคั คญาณทสั สนวสิ ุทธิ ] [ ปฏปิ ทาญาณทสั สนวิสทุ ธิ ] [ ญาณทัสสนวสิ ทุ ธิ ] ตีรณปริญญา ปหานปริญญา สมจุ เฉทปหาน ตทังคปหาน ประหาณ อารัมมณานุสยั + สันตานานสุ ยั ** มรรคทง้ั ๔ ทําการประหาณ สันตานานุสยั กเิ ลส ขม สนั ตานานสุ ัย ไมม ี อารัมมณานุสยั เกดิ ขึน้ ตามกาํ ลังมรรคของตน ** วปิ ส สนาญาณ ทีม่ รี ูปนามเปน อารมณ ทาํ การประหาณ อารัมมณานุสัยกิเลส
- 29 - 5 การประหาณอกศุ ลธรรม โดย มรรคทง้ั ๔ มรรค อกุศลธรรม อนุสยั กิเลส สังโยชน นวิ รณ มจิ ฉตั ตธรรม โลกธรรม วิปลลาสธรรม มัจฉริยะ อคติ อกุศลกรรมบถ ๑๒ ๗ ๑๐ ๑๐ ๑๒ ๖ ๑๐ ๘ ๕๔ ๑๐ สัญญา จิตต โสดาปตติ - สมุจเฉทปหาน ( ละเด็ดขาด ) อภิ. สตุ ต. นจิ จสญั ญา นจิ จจิตต ทิฏฐิ สขุ สญั ญา สุขจิตต นจิ จทิฏฐิ ทิ.สํ.๔, ทฏิ ฐา ทิฏฐิ ทฏิ ฐิ สักกาย. กุกกจุ . มจิ ฉาทิฏฐิ อนจิ จธรรม อัตตสญั ญา อตั ตจิตต สขุ ทิฏฐิ อาวาส ฉนั ทา ปาณาตบิ าต ทุกขธรรม สุภสญั ญา สภุ จิตต อัตตทฏิ ฐิ กลุ โทสา อทินนาทาน วิจ.ิ สํ.๑, วิจิ. วิจิ. วจิ ิ. วิจ.ิ วจิ ิ. มจิ ฉาวาจา อนัตตธรรม สุภทิฏฐิ ลาภ โมหา กาเมสุมจิ ฉาจาร อสภุ ธรรม วรรณ ภยา มุสาวาท เจ.๒๒ สลี พั พต. สลี พั พต. (มุสาวาทา) ธรรม มิจฉาทิฏฐิ ตนกุ ร. - ตนุกรปหาน ( ทาํ ใหเบาบาง ) อสิ สา มจิ ฉากมั มันตะ (ทเ่ี หลือ) ท.ิ วิป.๔, อปายคมนิยะ มจั ฉริยะ มิจฉาอาชีวะ อนิจจธรรม โทส.๒, (นาํ สอู บายได) กามราคะ ทุกขธรรม อนตั ตธรรม เจ.๒๕ ปฏฆิ ะ อสภุ ธรรม ( นาํ สูอ บายได ) อนิจจธรรม ทกุ ขธรรม สกทาคา - ตนกุ รปหาน ( ทําใหเ บาบาง ) ตนกุ ร. ตนกุ ร. ตนกุ ร. กามราคะ ตนกุ ร. ตนกุ ร. อนัตตธรรม ตนุกร. อสภุ ธรรม ท.ิ วปิ .๔, โอฬาริกะ (ทีเ่ หลอื ) (ทเ่ี หลอื ) (ท่เี หลือ) ปฏิฆะ (ที่เหลือ) (ที่เหลือ) (ที่เหลือ) โทส.๒, (ท่ีเปนอยา งหยาบ (โอฬารกิ ะ ปสณุ วาจา ผรุสวาจา เจ.๒๕ ไมน าํ ไปอบาย ) ไมน ําไปสอู บาย ) พยาบาท อนาคามิ - สมจุ เฉทปหาน ( ละเด็ดขาด ) กามราคา โทสะ กามราคะ กามราคะ กามฉันทะ มจิ ฉาสงั กปั ปะ ปฏิฆะ นิจจสัญญา นจิ จจติ ต นจิ จทฏิ ฐิ สขุ สัญญา สขุ จิตต สขุ ทิฏฐิ ท.ิ วิป.๔, (สขุ มุ ะ - กามราคะ) ปฏิฆา ปฏิฆะ ปฏิฆะ พยายาท (ปส ณุ วาจา) ท่ีเกิดขน้ึ โดย อัตตสญั ญา อตั ตจติ ต อัตตทิฏฐิ สภุ สัญญา สุภจติ ต สุภทิฏฐิ โทส.๒, (สุขุมะ) (ผรุสวาจา) อาศยั ความ เจ.๒๕ เส่อื มลาภ ยศ นินทา ทกุ ข (ตัณหาโลภะ ลาภ สขุ ) อรหตั ต - สมุจเฉทปหาน ( ละเด็ดขาด ) ภวราคา โลภะ มานะ มานะ ถีนมทิ ธ (สมั ผปั ปลาปะ) ตัณหาโลภะ นจิ จสญั ญา นจิ จจิตต นิจจทิฏฐิ สมั ผัปปลาปะ สขุ สัญญา สขุ จติ ต สุขทฏิ ฐิ อภชิ ฌา ทิ.วิป.๔, (สขุ ุมะ - รูป,อรูป) มานา โมหะ ภวราคะ รปู ราคะ อทุ ธัจ. มิจฉาวายามะ ท่ีเกดิ ข้นึ โดย อตั ตสญั ญา อัตตจติ ต อัตตทฏิ ฐิ สุภสัญญา สภุ จิตต สุภทิฏฐิ อุทธัจ.ส.ํ ๑, อวิชชา มานะ อรูปราคะ อวิชชา มจิ ฉาสติ อาศัยการได เจ.๒๑ ถนี ะ อทุ ธจั จะ มจิ ฉาสมาธิ ลาภ ยศ อทุ ธัจ. อวชิ ชา อวชิ ชา มิจฉาวมิ ตุ ติ สรรเสรญิ สขุ อหิริกะ มจิ ฉาญาณะ อโนต.
5 อนสุ ยั กเิ ลส เมอื่ วา โดยธมั มาธิษฐาน ( น. ๔๕) 5 อนุสยั กิเลส เม่ือวาโดยปคุ คลาธษิ ฐาน - 30 - มอี ยอู ยางเดยี ว คอื จกั เกดิ ไมแ นนอน มอี ยูดว ยกัน ๔ จาํ พวก คอื ๑) พวกที่อนสุ ัยกเิ ลส จกั เกดิ โดยแนนอน = บุคคลโดยทั่วไป ปริยฏุ ฐานกิเลส = อารมั มณานสุ ยั ๒) พวกท่ีอนสุ ยั กิเลส จักเกดิ โดยไมแนนอน = ผปู ฏสิ นธิดวยติเหตุ ปฏิบัติวิปส สนา พรอ มกบั ๓) พวกทอี่ นุสัยกิเลส จกั ไมเกิด โดยแนน อน = บุคคลผสู ําเรจ็ มคั ค ผล อธษิ ฐานจติ วา จักปฏิบตั ิ ๔) พวกทอี่ นุสัยกเิ ลส จักไมเกดิ แตไ มแ นน อน = ผูป ฏสิ นธดิ วยตเิ หตุ จนไดม รรคผล อารมณท่เี ปน ปย รูป, สาตรูป อารมณท ี่เปน อปย รูป, อสาตรูป ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... พวกที่ ๑ - ผทู บี่ รจิ าคทาน รกั ษาศลี เจริญภาวนา นอนหลับอยู อนุสยั กเิ ลสจกั เกิดแนน อน โลภะ สภาวะปจจบุ นั โทสะ สภาวะปจ จบุ ัน วิจิกิจฉา พวกท่ี ๒ - โยคาวจรผทู ี่ไมส ําเร็จอะไรเลย - โยคาวจรผูที่สาํ เร็จถงึ ตรณุ อทุ ยพั พยญาณ สันตานานสุ ยั ๑) กามราคานสุ ัย ๕) ปฏิฆานุสัย ๖) วจิ กิ จิ ฉานุสัย พวกที่ ๓ - โยคาวจรผูทสี่ ําเรจ็ ถงึ ภังคญาณ แตฌานเส่อื ม ๒) ภวราคานสุ ยั พวกที่ ๔ - โยคาวจรพรหมปุถชุ น แลว ฌานเสอื่ ม ( เปนกาลวมิ ตุ ) ๓) ทิฏฐานสุ ัย - โยคาวจรผูท่ีสําเร็จมรรค ผล ตามกําลังมรรคของตน ๔) มานานุสัย - พรหมโสดาบนั / สกทาคามี - โยคาวจรผูท ่ีสาํ เร็จถงึ ภงั คญาณ แตฌ านไมเ สอ่ื ม ๗) อวชิ ชานุสัย - โยคาวจรพรหมปถุ ชุ น ทฌ่ี านไมเ ส่ือม
- 31 - 5 อัสมมิ านะ ( น. ๕๑, ๒๔๐) มว. การถอื ตนวา เราเปนน่ันเปน นี่ 5 เปรียบเทยี บ อสั มิมานะ ในแตละบคุ คล ( ความเขาใจผดิ ในรปู นามวา เปน เราเปนเขา ชาย หญงิ สัตว บุคคล ตัวตน ) มี ๒ อยาง คือ ปุถชุ น พระอรยิ ะตํา่ ๓ พระอรหนั ต ๑) อยาถาวมานะ การถอื ตวั ไมเปน ไปตามความเปน จริง ๑) ยังมสี กั กายทิฏฐิ ๑) ประหาณสกั กายทฏิ ฐิ ประหาณสกั กายทฏิ ฐิ และ ๒) ยาถาวมานะ การถือตัวตามความเปน จริง ( ยงั เกดิ กบั พระอริยะต่าํ ๓ ) ๒) มีท้ัง อยาถาวมานะ และยาถาวมานะ ๒) ทิฏฐทิ เ่ี ปนปจ จัยใหอยาถาวมานะไมม ี อัสมิมานะไดเ ดด็ ชาด * ถา ตนเปนคนชัน้ ต่าํ - แตถ ือวาตนเปนคนชน้ั สูง ๓) ปุถชุ นทเ่ี จรญิ วปิ สสนา เขา ถึงภงั คญาณ จึงเหลอื มานะประเภทยาถาว.เทานน้ั - แตถ อื วา ตนเปน คนชั้นกลาง สามารถประหาณมานะประเภท ๓) เปน การถอื ตวั ตามความเปน จรงิ - ก็ถอื วาตนเปน คนช้ันต่าํ อยาถาวมานะ ไดโดยตทังคปหาน ทเี่ กิดขนึ้ ขณะไมมีสติ * ถา ตนเปน คนชัน้ กลาง - แตถ อื วาตนเปนคนชั้นสงู ๔) ยาถาวมานะ ถอื วา เปนอกศุ ลท่มี ิได - ก็ถือวา ตนเปนคนชัน้ กลาง ๒) ยาถาวมานะ ๑) อยาถาวมานะ เกดิ จากสักกายทฏิ ฐิ ไมเปนเหตนุ าํ ไป - แตถอื วาตนเปนคนช้นั ตา่ํ มีทิฏฐิ เปนปจ จัย สอู บายภมู ิ * ถา ตนเปนคนช้ันสงู - ก็ถือวา ตนเปนคนช้นั สูง ไมเ กิดกับพระอรยิ ะต่ํา ๓ 5 การแสดง อนจิ จํ ทกุ ขํ และอนัตตธรรม (น.๕๒) - แตถ ือวา ตนเปนคนช้ันกลาง เกดิ เปนปกติในปุถชุ น - แตถือวาตนเปน คนช้นั ตา่ํ อนจิ จลกั ษณะ ทุกขลักษณะ อนัตตลักษณะ ๑) เปน ไปโดยสภาวะและบัญญตั ิ ๑) เปน ไปโดยสภาวะเทา น้นั โลภมูลจิต ๘ ๒) เกดิ ข้นึ ไดทัง้ ในสมัยทม่ี พี ระพทุ ธศาสนาหรอื ไมม ี ๒) ตองอุบัตใิ นสมัยทม่ี พี ระพทุ ธศาสนาเทา นัน้ ทฏิ ฐิ มานะ = อัสมิมานะ - เกดิ ในสมยั ทม่ี ีพุทธศาสนา ส่อื ไดทั้งสภาวะ + บัญญัติ ๓) พระปจ เจก.และพระอนิยตโพธสิ ัตว สือ่ ไมไดแมบ ญั ญัติ - เกิดในสมยั ที่ไมม พี ุทธศาสนา สื่อไดแ ตบญั ญตั ิ เพราะการส่ือใหเห็นสภาวะอนตั ตา เปนเรือ่ งยาก สัสสตทิฏฐิ อุทเฉททฏิ ฐิ อยาถาวมานะ ยาถาวมานะ ๓) พระปจ เจกพทุ ธเจา พระอนิยตโพธิสตั ว ส่ือแบบบัญญัติ (ไมรจู ะแสดงอยางไร ) สมจุ เฉทปหาน ตนุกรปหาน พระนยิ ตโพธสิ ตั ว สือ่ ไดทง้ั แบบสภาวะและบญั ญตั ิ แตถ า เปน พระสาวก ก็พอจะส่อื ไดบ าง เห็นถูกตามโวหาร เหน็ ผิดท้งั โวหาร+สภาวะ (ทาํ ใหเ บาบาง) แตผ ิดจากสภาวะ มีอบายภมู เิ ปนที่ไป อปายคมนยิ ะ ๔) ไมสามาถยงั ใหม รรคผลเกดิ แตเ ปน เหตใุ หม หากุศล ๔) พระพทุ ธเจาเทา นน้ั ส่อื ไดโดยแนนอนในอนัตตลักษณะ มีกามสุคติภูมเิ ปน ทไ่ี ป ม.กุ.สํ.๔ (นาํ ไปสอู บาย) เกิดได ๕) การยกในอนัตตธรรม พระองคม ิไดแสดงอนัตตธรรม โดยตรง แตจะทรงยก อนจิ จํ / ทกุ ขํ / อนิจจ+ํ ทกุ ขํ ภงั ค.--> พระอรยิ ะตํ่า ๓ โดยความเปนสภาวะ แลว เขาถงึ อนัตตธรรม ( ตทงั ค.) โดยพระองคจ ะยก วชิ ชมานบญั ญัติ แลวส่อื เขา ถึงสภาวะ มัคคญาณ ( มรรคจติ ) แบบอนจิ จํ+ทุกขํ แลว จะยกสภาวะตอ เพอ่ื ใหเขา ถึง อนตั ตธรรมแบบสภาวะเหมอื นกนั
- 32 - 5 ทกุ ขานุปสสนา ปญ ญาทพี่ จิ ารณาเห็นความทนอยูไมไ ดของรูปนาม ทเี่ น่ืองมาจากการพบเห็นเปนประจักษแ หง การเบียดเบยี น โดยอาการเกิดขึ้นแลวก็ดับไป ตดิ ตอ กันอยไู มข าดสาย ในขณะทกี่ ําหนดรรู ูปนามตามสภาวะอยนู ้นั แหละ ปญ ญาน้ี ชอ่ื วา \" ทกุ ขานปุ ส สนา \" ๑) เบือ้ งตน กําหนด \" ทกุ ขธรรม \" ทกุ ขธรรม ทุกขลกั ษณะ ๒) จนอาการของทกุ ขธรรมปรากฏ ชือ่ วา ภ ตี น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ .... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค / โว ม ผ ผ \" ทกุ ขลกั ษณะ \" ซึง่ กําลังเปน อารมณของบญั ญตั ิ ชอ่ื วา นามรปู ปริจเฉทญาณ ทกุ ขานุปสสนา = อปั ปณิหิตานปุ ส สนา ละปณธิ ิ \" ทกุ ขานุปสสนา \" เมอื่ เขา ถึงภังคญาณ ละสขุ วิปล ลาส ๓ สามารถละโดยตทังคปหาน ปญ ญาที่เขา สปู ระตูแหงความ ปจ จยปรคิ คหญาณ ( ละสขุ วปิ ล ลาส) วิโมกข หลุดพน ปญญานี้ เรยี กวา \" อปั ปณิหติ านปุ ส สนา \" ( ละปณิธิ - ตัณหากิเลสท่เี กดิ พรอมวิปลลาสธรรมเสมอ ) วิปส สนาญาณ ๑๐ > สมั มสน.+ตรณุ . พลว. ภังค....................................................... อนโุ ลม. วสิ ุทธิ ๒ > มคั คามคั ค. ปฏิปทาญาณทัสสนวสิ ทุ ธิ ญาณทสั สนวสิ ทุ ธิ 5 ทกุ ขธรรมทพ่ี ระองคทรงแสดง ทกุ ขานปุ ส สนา ปญ ญาที่พิจารณา ทกุ ขธรรม จน ทกุ ขลักษณะปรากฏ ธรรมทีเ่ ปน ทกุ ข ๘๑, ๕๒, ๒๘ สพฺเพ สงฺขารา ทุกขฺ า ๘๙, ๕๒, ๒๘ สมั มสน. อทุ ยพั พย. ภังค. ภย. อาทนี ว. นพิ พทิ า. มุญจิตุกัมย. ปฏสิ งั ขา. สงั ขารุเปกขา. อนโุ ลมญาณ วปิ ส สนาญาณ ๑๐ นโิ รธสัจจ ทกุ ขสจั จ - ๘๑, ๕๑(เวน โล.) ๒๘ สมุทยสจั จ - โลภ. มคั คสจั จ - องคมรรค ๘ สพเฺ พ ธมมฺ า อนตตฺ า
- 33 - 5 การแสดงเนื้อความของคําทั้ง ๓ (น. ๕๖ ) ธรรมท่ีเปน ทุกข ไดแ ก รปู นาม ๑) ทุกขธรรม เครอ่ื งหมาย (อาการ ) ท่กี ําหนดวาเปนทุกขของรูปนาม ๒) ทกุ ขลกั ษณะ ปญ ญาทีม่ กี ารพิจารณาเห็นความเปนทกุ ขอ ยูเนืองๆ ในรูปนาม ๓) ทกุ ขานุปส สนา ทกุ ขธรรม (อธ. ๘๑, ๕๒, ๒๘ ) ทกุ ขลกั ษณะ (อาการ / สามญั ลักษณะใน ๓ ลกั ษณะเหมือนกนั ) ทุกขานุปสสนา ๑) ทกุ ขทกุ ข ๑) ทุกขทกุ ขลักษณะ ๑) ทกุ ขทกุ ขานุปส สนา ชื่อวา ทกุ ข เพราะ ทนไดย ากเปน ทกุ ขจ ริง เคร่อื งหมายอนั เปนเหตุทที่ าํ ใหรวู าเปน ทุกขทกุ ข ปญญาพจิ ารณาเหน็ ทุกขท่เี ปนทุกขแทจ รงิ ไดแ ก ทุกขกาย -ใจ แสดงกับสง่ิ มชี ีวติ เทา น้ัน ( ทกุ ขานุปสสนาเทียม ) อธ. เวทนาท่ีในทุกขกาย ๑, เวทนาทใี่ นโทมนัส ๒ \" เทียม \" ๒) วิปรณิ ามทุกขลกั ษณะ ๒) วิปริณามทุกขานปุ สสนา เกิดจากความรูสึกทไี่ มเหมอื นกัน ๒) วิปรณิ ามทุกข ( โดยพระสตู ร ) เครอ่ื งหมายอันเปน เหตทุ ่ที าํ ใหรวู าเปนวิปรณิ ามทุกข ปญ ญาพิจารณาเหน็ ทุกขท่มี ิใชทกุ ขจ รงิ ของแตละคนในเหตุการณเดยี วกัน ชอ่ื วาทุกข เพราะ เปลยี่ นแปลงไมห ยดุ ยง้ั ( ทุกขานุปส สนาเทยี ม ) บางคนสขุ บางคนทกุ ข จากสุขเปน ทุกข แสดงมุงหมายในส่งิ มชี ีวติ เทานนั้ อธ. เวทนาท่ใี นสขุ กาย ๑, เวทนาทใ่ี นโสมนัส ๖๒ \" แท \" ๓) สังขารทุกข ( โดยพระอภธิ รรม ) ๓) สังขารทุกขลกั ษณะ ๓) สงั ขารทุกขานุปสสนา เกิดจากความรสู ึกทีเ่ หมือนกนั ช่ือวาทกุ ข เพราะ จัดแจงปรุงแตง ดวยความเกิดดบั เครอ่ื งหมายอันเปนเหตุที่ทําใหร ูวาเปน สังขารทกุ ข ปญ ญาพจิ ารณาเหน็ ทุกขทว่ั ไปท่รี ไู ดยาก ของแตละคนในเหตุการณเดียวกนั แสดงทงั้ ในสิง่ มีชวี ิตและไมม ชี วี ิต สังขารทกุ ขน จ้ี ะเกดิ ( ทกุ ขานปุ ส สนาแท ) คอื รูสกึ ในเรอ่ื งเกิดดบั เหมอื นกนั หมด กบั ผเู จรญิ วิปส สนาเทาน้นั สงั ขารทุกขลกั ษณะ อธ. ๘๙, ๕๑(-เว), รูป ๒๘, อุเบกขาเวทนา ๕๕ สังขารทุกขานุปสสนา สงั ขารทุกข นามรปู ปรจิ เฉท. + ปจจยปริคคห. สัมมสน.+ตรุณ. อารัมมณานุสยั พลว. ภังค. ภย. อาทีนว. นิพพิทา. มุญจติ ุกมั ย. ปฏสิ ังขา. สงั ขารุเปกขา. อนุโลมญาณ สนั ตานานสุ ัย - ไมม อี ารมั มณานุสยั แตยงั มีสนั ตานานุสยั - สุขสัญญา, จิตต, ทิฏฐวิ ปิ ลลาส ๓ ถูกประหาณ
- 34 - 5 ความตางกนั ของทุกขานปุ ส สนาแท - เทยี ม (น. ๕๘ ) ทกุ ขานปุ ส สนาเทยี ม ทกุ ขานปุ สสนาแท - ทุกขทุกข - สังขารทุกข - วปิ รณิ ามทุกข - ละบญั ญัติ เพกิ อภชิ ณา + โทมนสั ได ( เพิกอิรยิ าบถที่ปด บงั ทกุ ขไ ด ) ตรงตามหลักพทุ ธประสงค - เปนบัญญตั ิ ยังไมถูกตอ งตามวัตถปุ ระสงค - อาศยั แนวทางการเจริญสตปิ ฏฐาน ๔ \" หมวดกายานปุ สสนา \" - อาศยั ความรสู ึก (บญั ญัติ ) ทกุ ขก าย / ใจ - สามารถประหาณ วิปลลาสธรรม + วัฏฏ ๓ สุขกาย / ใจ - ยงั ไมสามารถประหาณกิเลสได 5 ผูท กี่ าํ หนดอยา งมสี ตแิ ละไมม ีสตเิ ปนอยา งไร (น. ๕๙ ) ผไู มม สี ติ ผมู สี ติ ** การปฏบิ ัติในอิรยิ าบถ ๔ น้ันเปน อยางไร ๑. ไมไดเ จรญิ ตามแนวสตปิ ฏฐาน ๔ ๑. เจริญตามแนวสติปฏฐาน ๔ หมวดกายานปุ ส สนาสติปฏฐาน --> อิริยาบถ ๔ + สัมปชญั ญะ ๒. ไมมกี ารเพิกอริ ยิ าบถเกา และใหม ๒. มีการเพกิ อริ ยิ าบถทัง้ เกาและใหม เดิน ยืน ซงึ่ ไดแก อภิชฌา + โทมนัส ครอบงาํ - ทุกขทุกข ตอ งเพกิ โทมนสั ออกจากอิริยาบถเกา (ไมชอบไมพอใจ ) ตน ปลาย ตน ปลาย ๓. เปนอุปสรรคตอ การเจริญวิปส สนา - วปิ รณิ ามทุกข ตองเพิกอภชิ ฌา ออกจากอริ ิยาบถใหม (ชอบ พอใจ ) ๔. ถา ทุกขทกุ ข ซงึ่ เปน ของหยาบ ๓. เม่อื น้ันก็ปรากฏสภาวะของ \" ทกุ ขธรรม \" ไดชดั เจน ดว ยความทนอยไู มไดในสภาพเดิม จดุ เปล่ยี น อิริยาบถ ๔. ตองกาํ หนดวา ทกุ ขน ้นั เปนไปในอริ ิยาบถใดและนามใด เพื่อแยกรูปแยกนาม ยังไมสามารถกาํ หนดได \" ทุกขลักษณะ \" จึงจะปรากฏ รปู ทางใจ วิปริณามทุกข + สังขารทุกข ๕. ตองมสี ติ สมั ปชญั ญะ กาํ หนดรูใน ๓ ข้ันตอน คอื ก็ไมอยูในวิสยั ๑) กอนการเปลีย่ นอริ ิยาบถ - มีสติสมั ปชญั ญะ เพอ่ื ใหเ ห็นทุกขเบียดเบยี นอยู วปิ ริณามทุกข ทกุ ขทกุ ข (จิตตชรปู ) ( เปลี่ยนเพราะโทมนสั หรือเพื่อการแกท กุ ข ) \"สุขกาํ ลงั เกดิ \" \"ทกุ ขเร่มิ เกิด\" นามทางใจ ๒) ขณะกาํ ลงั เปลีย่ นอริ ิยาบถ - เพือ่ ดวู าระจติ ทเี่ ปนเหตใุ หเกดิ การเปล่ยี น อภิชฌา เกดิ โทมนสั เกดิ เปนไปโดย ( เปลย่ี นเพราะอภชิ ฌา หรอื เพอ่ื การแกท กุ ข ) ๓) หลังการเปลย่ี นอริ ิยาบถ - พิจารณาเปลี่ยนอริ ยิ าบถที่เปลีย่ นแลว โดยไมเ ห็น เบยี ดเบียน โลภ อภชิ ฌา ( เปล่ยี นแลวมีอภชิ ฌา หรือเพ่อื การแกท ุกข ) ทุกขเวทนา คือ ตองการ เปล่ียน อภิชฌา / โทมนัสครอบงาํ ถาขาดสติในการพิจารณา
- 35 - 5 อนัตตานปุ สสนา (น. ๖๒ ) ปญญาทพ่ี ิจารณาเห็นโดยความเปน \" อนตั ตา \" ไมม แี กนสารปราศจากการบังคับบญั ชาของรปู นาม ทเ่ี นอื่ งมาจากการพบประจักษแ หง ความไมใ ชต น เรา เขา โดยอาการเกิดขึ้นแลว ดับไป ติดตอกนั อยอู ยางไมข าดสาย ในขณะที่กําหนดรรู ปู นามตามสภาวะอยู ปญ ญาน้ชี ่ือวา \" อนัตตานุปส สนา \" มี ๔ อยา ง คอื ๑. จติ = นามธรรม ๒. กาย = รูปนาม ๓. สภาวะ ๔. ปรมอัตต / วญิ ญาณพเิ ศษ อตตฺ านํ ทมยนฺติ ปณฺฑติ า นตฺถิ อตฺตสมํ เปมํ อตฺตทีปา ภิกขฺ เว วิหรถ อยํ อตตฺ า นิจโฺ จ ธุโว สสสฺ โต อวิปริณามธมฺโม บัณฑติ ท้งั หลายยอ มฝกฝนตน (ตน = จติ ) พงึ รใู น > กศุ ล, อกศุ ล, วปิ าก ความรักเสมอดวยตนไมม ี (ตน = กาย) ภิกษุท้ังหลายจงเปนผมู ีตนเปนทีพ่ ง่ึ อยู (ตน = กศุ ลธรรม) ตนนเี้ ปน ของเทย่ี งแขง็ แรง ตั้งอยมู ั่นคง ไมมกี าร มุงหมายใน - ศีล แตกดับ ( ตน = ปรมอตั ตะ / ปรมวญิ ญาณ ๑) พระสูตร อสั สาสะ ปส สาสะ กศุ ลธรรม - สมาธิ ทช่ี าวอนิ เดยี ถอื กนั ตลอดมาจนทุกวันนี้ ) โยนิโส = เปน กุศล วิปาก เปนปจจยั ให กายสังขารเกดิ - ปญ ญา ตรงขามกับ อนัตตา อโยนโิ ส = เปนอกุศล ใหร เู ทา ทันใน กรรม + วปิ าก ๒) พระอภิธรรม อวิชชาเปนปจจยั ให กายสงั ขาร กายทุจรติ กายสจุ รติ อัตตา คือ จิต, กาย, สภาวะ น้ี ถกู ตอ งตามหลักฐานของตนๆ 5 พระบาลีในขอ ท่ี ๔ ปรมอัตตะ / วญิ ญาณพิเศษ ๑ หลกั ในทางพทุ ธศาสนา เรยี กวา \" อตั ตวาทุปาทาน \" - ตนน้ีเปน ของเทย่ี งแขง็ แรง ต้ังอยูม่นั คง ไมมกี ารแตกดับ ( ชาวอินเดยี สว นมากเช่ือวา อัตตาไมตายไมม กี ารแตกดบั เปนของเท่ยี งเสมอ ) คือ ผยู ดึ ถือ อัตตวาทะ เปนมจิ ฉาทิฏฐิ เปน ความเหน็ ผิด - อัตตา น้เี ปน ช่ือของ ชวี ะ ในที่นี้ชาวอนิ เดยี มงุ หมายถงึ \" วิญญาณพเิ ศษ \" อยา งหน่ึง เมอ่ื คนตายไปแลว ชีวะ หรอื อตั ตาไมตาย ตอ งหาทีอ่ ยใู หม บางกย็ ดึ รปู , บา งกย็ ึดเวทนา / สญั ญา / วิญญาณ / สงั ขาร - ตน = ปรมอตั ตะ สิ่งไมม ีชวี ิต ส่งิ ท่ีมีชวี ิต (ชวี ะ หรอื อัตตะ ) - อัตตา เปน เวทกะ คอื ผเู สวยความสุข / ทกุ ข / กระทําดี / รา ย อตั ตาจะเปนผูเ สวยผลในชาติใหมในอนาคต - อตั ตา เปน นิวาสี คือ ผเู ทยี่ งไมตาย เม่อื บานเกา แตกดบั กย็ ายไปอยูทใ่ี หมตอไป - อตั ตา เปน สยวํ สี คือ การกระทําส่งิ ตางๆ ตามความประสงคของอตั ตา เพราะฉะนน้ั อัตตาจึงเปนเจา ของโลกเปน ผสู รางโลก
- 36 - 5 ขยายความ \" ปรมอัตตะ \" ( วิญญาณ ทางพทุ ธศาสนา มีการเกิดดับและไมใชก ายเดมิ ) รูปารมณ จกั ขุสัมผัสสชาเวทนา ---> ใน ปรมอัตตะ เชอื่ วา อัตตะเปนผูเสวยอารมณด ี / ไมด ี = \" เวทกะ \" จุติ ปฏิ. ....ฯลฯ ... ภ ตี น ท ป จกั สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ...ฯลฯ ... ---> จตุ ิ ปฏ.ิ ....ฯลฯ ... กศุ ล / อกศุ ล จักขปุ สาท หลกั - พุทธ เจตนากรรม ๒๙ ----> ปฏ.ิ ๑๙, เจ.๓๕, ปฏิ.กํ อ.ุ ณ.อกุ.๑ อัตตะ เปนผเู หน็ = \" สยํวสี \" อตั ตะ เปน ผรู ับสิ่งที่ดี / ไมดี วิญญาณขนั ธ อ.ุ ณ.ก.ุ ๑ ม.วิปาก.๘ ความเชอ่ื ใน ปรมอัตตะ ชีวอัตตะ รูปวปิ าก.๕ อรูปวิปาก.๔ หลกั - ปรมอัตตะ เช่ือวา วญิ ญาณเทยี่ งไมแตกดบั มั่นคงเปน แกนสาร ทงิ้ รา งเกา เกดิ ในรางใหม ดว ยวญิ ญาณเดมิ = \" นิวาสี \" เปน ผเู ที่ยง ** พระบาลี \" สพเฺ พ ธมมฺ า อนตฺตา \" สพเฺ พ สงฺขารา อนจิ ฺจา มีชวี ิต สพฺเพ สงขฺ ารา ทุกฺขา \" สพฺเพ ธมมฺ า อนตฺตา \" แสดงท้งั สิ่งมีชวี ติ + ไมม ีชวี ิต อธ. ๘๙, ๕๒, ๒๘ อธ. ๘๙, ๕๒, ๒๘, นพิ , บญั . \" สงขฺ ิเตน ปฺจุปาทานกขฺ นธฺ า \" เมอ่ื ยกข้ึนเปน อารมณของวปิ ส สนา = \" ตเทว ขนธฺ ปจฺ กํ \" ๘๑, ๕๒, ๒๘ (อุปาทานักขันโท) รูปนามที่ถกู อุปาทาน ๔ ยดึ ไว ไดแก โลกยี จติ ๘๑, ๕๒, ๒๘ เทา นั้น
- 37 - 5 การแสดงเนอื้ ความของคําทง้ั ๓ (น. ๖๔ ) รูปนามขนั ธ ๕ ท่เี ปน อนตั ตาไมใ ชต ัวตน การกาํ หนดรเู หน็ รปู นามทเี่ ปน \"อนตั ตา\" อยเู นอื งๆ ๑) อนตั ตธรรม เครื่องหมาย (อาการ ) ท่กี ําหนดรูวาไมใ ชต วั ตนของรูปนาม จน \"อนัตตลกั ษณะ\" ปรากฏแก ๒) อนตั ตลักษณะ ปญญาทีม่ กี ารพิจารณาเหน็ โดยความไมเปน ไปในอาํ นาจบงั คบั บญั ชาของรูปนาม ปญ ญาทช่ี ื่อวา \"อนตั ตานุปส สนา\" ๓) อนัตตานปุ ส สนา สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา = ๘๙, ๕๒, ๒๘, นพิ , บัญ. เหตปุ จ จัยของนามรปู ๑) อนัตตธรรม ( ตเทว ขนฺธปจฺ กํ ) = ๘๑, ๕๒, ๒๘ ภ น ท ม ชชชชชชช ภ ภ ( พจิ ารณานามรูป ) [๒] ปจจยปรคิ คหญาณ ภ ตี น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ [๑] นามรูปปรจิ เฉทญาณ ญาตปรญิ ญา ๒) อนตั ตลักษณะ ( ไตรลักษณ ) สญุ ญตนพิ พาน ภ ตี น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ .... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค / โว ม ผ ผ [ อนุปสสนา ] [ วโิ มกขมขุ ] [ วโิ มกข ] ๓) อนัตตานุปส สนา ---> ละอตั ตวปิ ลลาส ๓ สญุ ญตานุปส สนา ---> ละอภนิ ิเวสํ สญุ ญตวิโมกข ( เหน็ เปน ของสญู = มหาวปิ ส สนา ๑๘ ขอ ๑๓ ) ( กาํ หนดรูเห็นรปู นามทเี่ ปนอนัตตาอยเู นืองๆ จนอนตั ตลักษะปรากฏ ) วปิ สสนาญาณ ๑๐ > [๓] สัมม. + [๔] ตรณุ . [๔] พลว. [๕] ภังค. [๖] ภย. [๗] อาทนี ว. [๘] นิพพิทา. [๙] มญุ จิต.ุ [๑๐] ปฏสิ งั ขา. [๑๑] สงั ขาร.ุ (ปลาย ) [๑๒] อนโุ ลม. [๑๓] [๑๔] [๑๕] ผล [๑๖] ปจ จเวก. วฏุ ฐานคามนิ .ี วสิ ุทธิ ๒ > มัคคามัคคญาณทัสสนวสิ ทุ ธิ ปฏปิ ทาญาณทสั สนวิสทุ ธิ ญาณทสั สนวิสทุ ธิ ตรี ณปริญญา ปหานปริญญา ละโดยตทังคปหาน ใน อารัมมณานสุ ัย ละโดยสมจุ เฉทปหาน ในสนั ตานานุสยั
- 38 - 5 บัญญัตปิ รากฏ ปรมตั ถห าย (น. ๖๖ ) ทาํ ใหรูรูปราง นามบญั ญตั ิจงึ ปรากฏ เพราะ ๑) \" สนั ตติ \" สืบตอกนั อยางรวดเร็วจนไมเหน็ ความเกิดดบั เมอ่ื น้ัน \" ฆนบญั ญตั ิ \" กป็ ดบัง \" อนัตตา \" ๒) เมอ่ื นน้ั ก็ปรากฏรปู รางสัณฐานสสี รรวณั ณะ ๓) เปน เหตใุ หบ ัญญัตจิ งึ ปรากฏ ปรมัตถหาย \"เสนผม\" รูปารมณ มีสภาพเกิดดบั ติดตอ กนั อยา งรวดเร็ว อตีตัคคหนวิถ+ี สมหู ัคคหนวถิ ี+อัตถคั คหนวถิ ี+นามัคคหนวิถี เห็นเสน ผมของเรา (สันตติ) ภ ตี น ท ป จกั สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ สกั กายทฏิ ฐิ สักกายทฏิ ฐิ ทฏิ ฐคิ ตสัมปยุตต ** เพราะสนั ตติ ทีป่ กปดอารมณภายใน + ภายนอก ที่สบื ติดตอ กันอยางรวดเรว็ ทัง้ อารมณใ หม + เกา จึงเปนเหตใุ หเกิด ฆนบญั ญัติ ความเปนกลุม กอนของอารมณทง้ั อารมณ + อารัมมณกิ ** สนั ตติ ปดบงั อนิจจงั เบอ้ื งตน เปน ปจจัยให ฆนบัญญตั ิ ปดบงั อนัตตา (บางครัง้ เรียกรวมวา \" สันตติฆนบัญญตั ิ \" ) ** เมื่อทําลายสันตติใหข าดลง จะเหน็ อนิจจงั และอนตั ตธรรมก็ปรากฏ พรอมทงั้ ฆนบญั ญตั ิ กแ็ ตกลง 5 ปรมัตถป รากฏ บัญญตั ิหาย (น. ๖๖ ) วา โดยหลกั ปริยัติ ๑) ในเสน ผมประกอบดวย อวินพิ โภครูป ๘ - ทเ่ี หน็ เปนเสน ผม เพราะมี วณั ณะ ปรากฏทางตา - ทร่ี ูกล่นิ เสนผม เพราะมี คนั ธารมณ ปรากฏทางจมกู ท้ังหมดรูแตละทางไมเกี่ยวขอ งกัน - ที่รรู สเสน ผม เพราะมี รสารมณ ปรากฏทางลนิ้ - ทม่ี โี อชารูปในเสนผม เพราะมี โอชา ปรากฏทางใจ * ขณะนน้ั มีนามเหน็ ขณะหน่ึง / นามรูกล่ินขณะหนึ่ง / นามรูรสขณะหน่งึ / นามรโู อชาขณะหนึง่ เปน คนละนามธรรม ไมใ ชนามธรรมเดยี วกนั ๒) ส,ี กลน่ิ , รส, โอชา (อปุ าทายรปู ) เกดิ จาก มหาภูตรปู ๔ เปนปจ จัย มหาภตู รูป ๔ กเ็ ปน ปจ จยั ซ่ึงกนั และกนั รไู ดโดยการกระทบ แลว มีความรูสกึ ไมใ ชร ูด วยการเห็น ๓) การเห็นเปนสว นหนงึ่ การกระทบกเ็ ปน อกี สวนหนึง่ ๔) อารมณภ ายใน + ภายนอก แยกขาดจากกนั เมอ่ื นนั้ สนั ตตขิ าด ฆนบัญญตั แิ ตก อนตั ตากป็ รากฏ อตั ตากห็ ายไป
- 39 - 5 พระบาลบี ทท่ี ๔ นามรูปปริจเฉทญาณ (น. ๗๐ ) - วา โดย วิสุทธิ เปน ทิฏฐิวสิ ุทธิ ไดแก ปญ ญาเจตสิก ทีม่ กี ารกําหนดรลู ักขณาทจิ ตกุ ะ ของรปู นาม - บางครงั้ เรยี กวา ๑.นามรปู ววัฏฐาน - พจิ ารณาในรูปนาม / ๒.ทฏิ ฐิวิสุทธิ - การเหน็ บรสิ ทุ ธิ์ / ๓.สงั ขารปริจเฉท - พจิ ารณาสงั ขารธรรม วปิ ส สนาภมู ิ ๖ ส่งิ ทตี่ อ งรูใน นามรูปปรจิ เฉทญาณ ปฏิบัติตามแนวสติปฏฐาน ๔ ประโยชนตอ โยคาวจร ๑.ขันธ ๕ สจั จญาณ (ฝายปรยิ ัต)ิ คอื ทาํ ใหสามารถ ๒.อายตนะ ๑๒ กิจจญาณ (ฝายปฏิบตั )ิ อารมณ ผูรูอ ารมณ แยกรูปแยกนามออก ๓.ธาตุ ๑๘ - ปจจุบนั อารมณเ ทานัน้ - โยคาวจร = อาตาป (วิรยิ ะ) / สติมา (สติ) / สมั ปชาโน (ปญญา) เปน หมวดๆ เพื่อให ๔.อนิ ทรีย ๒๒ = รูปนาม - ตองไมใชอารมณท ่ที าํ ใหเกิดขน้ึ สนั ตติขาดในเวลาปฏิบตั ิ ๕.สจั จ ๔ , ๖. ปฏจิ จ. ( ลักษณะ / รส / ปจ จปุ ฏ ฐาน / ปทฏั ฐาน ) - ตอ งทาํ ลายอภชิ ฌา+โทมนัส มีธรรมทช่ี ว ยอุปการะคอื โยนโิ ส +สกิ ขติ 5 ลกั ขณาทิจตกุ ( ลักษณะ / รส / ปจ จปุ ฏ ฐาน / ปทฏั ฐาน ) จติ ๑) วิชานนลกฺขณํ มีการรูอารมณเปนลกั ษณะ เจตสกิ ๑ ] นมนลกฺขณํ มกี ารนอมไปสอู ารมณเปนลกั ษณะ ๒) ปพุ ฺพํคมรสํ เปน ประธานแกเจตสิกและกมั มชรูป เปนกิจ ๒ ] สมปฺ โยครสํ มีการประกอบกบั วิญญาณและประกอบกนั ตนเอง ๓) ปฏิสนธฺ ิปจฺจุปฏานํ มีการสบื ตดิ ตอระหวางภพเกา กับภพใหม เปน อาการปรากฏ โดยอาการท่เี ปน เอกปุ ปาทตาเปน ตน เปน กจิ ๔) สงขฺ ารปทฏานํ (วา) มีสงั ขาร ๓ เปนเหตใุ กล หรอื มีวตั ถุ ๖ อารมณ ๖ เปนเหตุใกล ๓ ] อวนิ พิ ฺโภคปจจฺ ปุ ฏานํ มีการไมแ ยกกนั กับจิต วตฺถารมฺมณปทฏานํ เปน อาการปรากฏในปญ ญาของบณั ฑิตท้งั หลาย ๔ ] วิฺ าณปทฏานํ มวี ิญญาณเปนเหตุใกล อารมณ ๖ ๑ ) วชิ ฺชานนลกฺขณํ = อารัมมณปจจัย ๔ ) สงฺขารปทฏานํ วา สังขาร ๓ = นานกั +ปกตู รปู ๑ > รปุ ฺปนลกขฺ ณํ มีการสลายแปรปรวนเปนลักษณะ สงั ขาร๓ --> ๓ )ปฏิสนฺธิปจฺจปุ ฏานํ วตถฺ ารมมฺ ณปทฏ านํ อารมณ ๖ = อารัมมณ. ๒ > วกิ ริ ณรสํ มกี ารแยกออกจากกันไดเ ปนกิจ = อนันตรปจ จยั ๑ ] นมนลกขฺ ณํ วัตถุ ๖ = วัตถุปุเรชาต. ๓ > อพฺยากตปจจฺ ุปฏานํ มีความเปนอัพยากตธรรม หรอื มคี วามไมร อู ารมณ จุติ ปฏิ ....ฯลฯ .... ภ ตี น ท ป ปญ สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ...ฯลฯ ... จุติ ปฏิ ... เปนอาการปรากฏในปญญาของบณั ฑิตท้งั หลาย ๒ ) ปพุ พฺ คํ มรสํ - วิญญาณภพนี้ --> เจตสกิ = สหชาต. ๔ > วิ ฺ าณปทฏานํ มีวญิ ญาณเปน เหตุใกล กมั มวิญญาณ - วญิ ญาณภพกอน --> ปวตั ตกิ ํ = ปกตู. สง ผลในปวัตติ ๒ ] สมปฺ โยครสํ ๓ ] อวินพิ โฺ ภคปจฺจุปฏานํ ๔ ] วิฺาณปทฏานํ ๒ > วกิ ริ ณรสํ รปู ๓ > อพฺยากตปจจฺ ปุ ฏ านํ รูปแตละรูปเกดิ จาก ๑ > รปุ ฺปนลกขฺ ณํ ๔ > วิฺาณปทฏ านํ กมั มชรปู ปฏ.ิ ๑๕,เจ.๓๕,ปฏ.ิ กํ. วตั ถุ ๖ ๔ สมุฏฐาน แยกจากกัน ๑ ) วชิ านนลกขฺ ณํ ๒ ) ปุพพฺ ํคมรสํ รับอารมณ ๓ อยาง = สหชาต.ขอ ๑, ๓, ๔
- 40 - 5 การพิจารณาใน นามรปู ปรจิ เฉทญาณ * หลงั จาก สมถยานิกะ พิจารณานามธรรมแลว จะพจิ ารณารปู ธรรม อยางไร ( น.๗๑ ) นามธรรม ---> อาศยั หทยวตั ถุ ---> อาศัยมหาภตู รปู ๔ เกิด * สมถยานกิ บคุ คล ตอ งมอี ารมณส มถะมากอ น ( ๓๐ = ปรมตั ถ ๒ + บญั ญตั ิ ๒๘ ) อารมณบ ัญญัติ ไมเ ปน บาทของวิปส สนา ๑) ปฏภิ าคนิมติ ๒) องคฌาน / ธรรมทปี่ ระกอบกบั องคฌาน หทยวัตถุ ที่เปนปจจัยใหปฐมฌานเกดิ ขนึ้ องคฌ าน ( ยกวิถที พ่ี ิจารณานามธรรมแรกมาเปนอารมณ ) ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ เปน บาทของการ ภ ตี น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ .... เจรญิ วิปสสนาได ภ ตี น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ .... วัตถุ สตสิ มั ปชัญญะ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ (ขม นวิ รณโดย ตทังคปหาน ) (ขมนิวรณโดย วกิ ขมั ภนปหาน ) มโน.๑ + กามชวนะ ๒๙ + ตทา.๑๑ / อภญิ . ๒ หทย. ๓) จิตตวสิ ุทธิ - วัตถารมั มณปเุ รชาปจจยั มีกาํ ลังของสมาธิทแ่ี นว แนไ มเปนบาทของวิปส สนา เพราะ ปญญามีกาํ ลังออนกวาสมาธิ - เกดิ กบั ผทู กี่ ําลงั พิจารณา หทยํ เปนอารมณ ท่ีปรากฏอยเู ฉพาะหนา (ปจ จุบนั อารมณ ) จะไมมีกําลังเหน็ ไตรลกั ษณ / ลกั ษณะ / อาการไดเ ลย แตเ ปนบาทเขา ถึง ทฏิ ฐวิ สิ ทุ ธิ ได * การเจริญวิปสสนาของ สมถยานกิ ะ โดย ยกองคฌานมาเปนบาท 5 การกําหนดรปู นาม ทาง ธาตุ ๔ ( น. ๗๒ ) ยกองคฌ าน / ธรรมที่ประกอบกับฌานเปนบาท เชน ยกองคฌาน ๕ / ปฐมฌานกศุ ลจติ , เจ.๓๐ * วปิ สสนายานิกะ - พิจารณารูปธรรมกอน คอื ธาตุ ๔ ไดเลย ภ ตี น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ .... ( เวน องคฌ าน ๕ ) - พจิ ารณานามธรรมภายหลัง สติสัมปชัญญะ * สมถยานิกะ - พิจารณานามธรรมกอ น มีปฐมฌาน เปนตน แลว หทยวตั ถุ - พิจารณารปู ธรรม คอื ธาตุ ๔ ภายหลัง ๑) เขาฌานของตน (ปฐมฌาน --> อากิญ เวน เนว. เพราะสภาวธรรมละเอียดเกนิ ไป ) เพอื่ ให องคฌ านปรากฏ ( ใหเ กิดฌานเพียง ๒ - ๓ ขณะเทา นน้ั ) ธาตุ ๔ ในกลาป ๒) มปี จ จเวกขณะมาพจิ าณาองคฌาน หรือธรรมทป่ี ระกอบองคฌ าน ๓) ไมย ก \" ปฏภิ าคนิมิต \" เปนบาท เพราะอารมณเ ปน บญั ญตั ิ เกดิ จาก อาโป - ไหล / เกาะกุม สมุฏฐาน ๔ เตโช - ไออุน ไมย ก \" จิตตวิสทุ ธิ \" เปน บาท เพราะสมาธทิ ีแ่ นวแนไมเปนบาทของการเจรญิ วปิ ส สนา ที่ตา งกัน ปถวีธาตุ อาศัย --> วาโย - เครงตึง ลักษณะตางกัน (แข็งออ น) * สมถยานกิ ะ - พิจารณานามธรรมกอ น (องคฌาน ๕) พจิ ารณารปู ธรรม (หทยวัตถุ ) ภายหลงั * วิปสสนายานิกะ - พจิ ารณารูปธรรมกอ น พิจารณานามธรรมภายหลงั สมถยานกิ ะ ไดท้ังฌาน + ญาณ โสดาบนั .---> มคี วามเสือ่ มส้นิ สลายไป เหมือนกนั วปิ สสนายานิกะ ไดญาณ ไมไดฌาน
- 41 - 5 สรุป การกาํ หนดรปู นามทาง ธาตุ ๔ / ธาตุ ๔๒ ( น. ๗๒ ) ปถวี ๒๐ อาโป ๑๒ กรรม จิต อุตุ อาหาร รวมรูป [ ๘ ] ที่เหลอื ๖๐ ไดแก [ ๒ ] ปถวี มี ๑๘ กายทสกกลาป ๑๐ อาโป มี ๖ ภาวทสกกลาป ๑๐ ๘ ๘ ๘ ๔๔ รปู - จักข.ุ ๑๐ - ชวิ หา. ๑๐ ( เวนอาหารเกา, ใหม ) น้ําด,ี เสมหะ, โลหิต รวมชวี ิตนวกกลาป - โสต. ๑๐ - ภาวะ ๑๐ นา้ํ มนั ขน , น้ํามันเหลว, นา้ํ ในขอ สุทธัฏฐกกลาป - ฆาน. ๑๐ - วตั ถุ ๑๐ [๓] เหงอื่ , น้ําตา, น้ําลาย, นํ้ามูก - ๘๘ - [ ๔ ] อาหารเกา, อาหารใหม หนอง, น้าํ มูตร - -๘- ๑๖ รปู ๘ รปู เตโช ๔ วาโย ๖ [ ๑ ] ๙ ชีวติ นวกกลาป [ ๕ ] ปาจกเตโช - - - - ๙ รปู [๖] - - ๙ สัทท. - - ๙ รูป [ ๗ ] อุสสมาเตโช อัสสาสปส สาสะ ๙ ชีวติ นวกกลาป ทเี่ หลือ ๕ ๘ ๘ ๘ ๓๓ รูป - สันกปั ปนเตโช อุทธังคมวาโย, อโธคมวาโย - ทหนเตโช กจุ ฉิฏฐวาโย, โกฏฐาสยวาโย - ชริ ณเตโช คังคมังคานสุ ารวี าโย 5 การกําหนดรูปนามทาง ธาตุ ๑๘ อายตนะ ๑๒ ขันธ ๕ ( น. ๗๔ - ๗๕ ) รูปขันธ รปู ายตนะ, สทั ทายตนะ, คันธายตนะ, รสายตนะ, โผฏฐัพพายตนะ วิญญาณธาตุ ๗ = มนายตนะ = วิญญาณขันธ รปู ธาต,ุ สทั ทธาต,ุ คันธธาตุ, รสธาต,ุ โผฏฐัพพธาตุ ธัมมธาตุ = ธมั มายตนะ = สุขุมรปู ๑๖, เจ.๕๒ ( เจตสกิ ขันธ ๓ ) จักขุวิญญาณธาตุ, โสตวิญญาณธาต,ุ ฆานวิญญาณธาต,ุ ชวิ หาวิญญาณธาตุ, กายวิญญาณธาตุ มโนธาตุ ดวงตา มี ๕๔ รูป เปน จกั ขปุ สาท ๑ รูป ทรงไวซ ึง่ ความใส (เหน็ ไดร ูปเดียว + รูปอืน่ ๆ อีก ๕๓ ) มหี นาท่ี ๒ อยาง คือ ภ ตี น ท ป ปญ สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ภ ๑ รบั รูปารมณ ๒ เปนท่อี าศัยเกิดของนามธรรม มโนวิญญาณธาตุ มี ๕๔ รปู เชน จกั ขุ ๑๐ กาย ๑๐ ภาว ๑๐ + ๒๔ (จติ ๘ อุตุ ๘ อาหาร ๘ ) จกั ขุธาตุ, โสตธาตุ, ฆานธาต,ุ ชวิ หาธาตุ, กายธาตุ มี ๔๔ รปู ( กาย ๑๐ + ภาว ๑๐ + ๒๔ ) จกั ขายตนะ, โสตายตนะ, ฆานายตนะ, ชวิ หายตนะ, กายายตนะ
5 การกาํ หนด รปู - นาม ท่ีเปน อารมณข องวปิ สสนา โดยยอ ( น. ๗๕ ) - 42 - ปริยตั ิ ( ศกึ ษาเพือ่ นาํ ไปปฏิบตั ิ ) ปฏบิ ตั ิ ( เพ่อื ใหเ กิดวปิ ส สนาปญญา ) ทําความรสู ึกตวั ในขณะกาํ หนดอยางไร อารมณทเ่ี กิดข้นึ อะไรเปน \" รูป \" อะไรเปน \" นาม \" กําหนดที่ รูป หรือที่ นาม เพราะเหตุใดจงึ กาํ หนดท่รี ปู หรอื ท่นี ามน้นั ๆ ทําความรสู กึ ตัววาดู \" นามเห็น \" ๑) ทางตา รปู / สี ทถี่ กู เหน็ เปน \" รูป \" เหน็ สี เปน \" นาม \" กาํ หนดที่ \" นามเหน็ \" เพราะสาํ คญั ผิดยดึ เอานามเห็นวา เปน \" เราเหน็ \" จงึ ตองทําลายกิเลสตรงทเี่ ขา ใจผิดในสภาวะน้นั ๒) ทางหู เสียง ทีถ่ ูกไดย นิ เปน \" รูป \" ไดยนิ เสียง เปน \" นาม \" กําหนดท่ี \" นามไดยิน \" เพราะสําคัญผิดยดึ เอานามไดย นิ วา เปน \" เราไดยนิ \" ทาํ ความรสู กึ ตัววา ดู \" นามไดย ิน \" จงึ ตอ งทาํ ลายกเิ ลสตรงทีเ่ ขาใจผดิ ในสภาวะนัน้ ๓) ทางจมกู กล่นิ ท่ที าํ ใหร ูสึกเปน \" รูป \" รูก ลนิ่ เปน \" นาม \" กาํ หนดที่ \" รปู กลน่ิ \" เพราะสําคัญผิดยึดเอารูปกล่นิ วาเปน \" เราเหมน็ .ฯ.. \" ทาํ ความรูสึกตวั วา ดู \" รูปกลน่ิ \" จึงตองทําลายกิเลสตรงทเ่ี ขาใจผิดในสภาวะน้ัน ๔) ทางลน้ิ รส ทท่ี าํ ใหร สู กึ เปน \" รปู \" รรู ส เปน \" นาม \" กาํ หนดที่ \" รปู รส \" เพราะสาํ คญั ผดิ ยดึ เอารปู รสวา เปน \" เราเปรยี้ ว .ฯ.. \" ทาํ ความรสู กึ ตวั วาดู \" รูปรส \" จึงตองทาํ ลายกเิ ลสตรงทเี่ ขา ใจผิดในสภาวะนน้ั ๕) ทางกาย เยน็ รอน ออน แขง็ รเู ย็น รอน ออ น แขง็ จะกําหนดรูปทางกาย เพราะสาํ คญั ผิดยดึ เอารูปเยน็ วา เปน \" เราเยน็ .ฯ.. \" ทาํ ความรสู กึ ตวั วา ดู \" รูปเยน็ รอ น .ฯ..\" ท่กี ระทบกายเปน \" รูป \" ท่ีกระทบกายเปน \" นาม \" หรอื นามทางกายก็ได หรอื ยึดเอานามปวด เมอ่ื ยวาเปน \" เราปวด เราเม่อื ย .ฯ..\" หรือดู \" นามปวด, นามเมอ่ื ย .ฯ..\" ความปวด เม่ือย ขดั ยอก คนั ฯ แลว แตสภาวะอันใดปรากฏ จงึ ตองทาํ ลายกเิ ลสตรงทเ่ี ขา ใจผิดในสภาวะน้นั เปน \" นาม \" ชดั เจนในขณะนั้น ๖) ทางใจ อริ ิยาบถใหญแ ละยอย รอู ิรยิ าบถใหญ และยอย กําหนดที่ \" รูปทางใจ \" เพราะสําคญั ผิดยดึ เอาอิรยิ าบถใหญและยอ ย ซ่ึงเปนรูป ทําความรูสกึ ตวั วาดู \" รูปยืน รูปเดิน .ฯ.. \" เปน \" รูปทางใจ \" วา เปน \" เรายนื เราเดิน เรานง่ั เรานอน .ฯ..\" หรอื ดู \" นามทีค่ ิดนึก ฟงุ โกรธ รัก .ฯ.. \" กบั ความคดิ ท่จี ะเปลยี่ นอิรยิ าบถ หรอื ท่ี \" นามทางใจ \" หรือยึดเอาความคิด นกึ ฟุง โกรธ รัก .ฯ.. ซ่ึงเปน นาม ตองทาํ ความรสู ึกวา ดู \" รูปอะไรดูนามอะไร \" ทางใจวาเปน \" เรานกึ เราคิด เราฟุง เราโกรธ เรารัก .ฯ..\" ในขณะทดี่ ูนั้น เปน \" นาม \" สดุ แตส ภาวะอนั ใดปรากฏชัด จงึ ตอ งทาํ ลายกิเลสตรงที่เขา ใจผิดในสภาวะนน้ั และความนกึ คดิ ฟุง โกรธ รักฯ ในขณะนั้น เปน \" นาม \" * รูปนามทีอ่ ธบิ ายนี้ เพยี งยอ ๆ เทา ที่จะตามพิจารณาไดสะดวกในการปฏบิ ตั ติ ามทวารทง้ั ๖ เทานน้ั * ใจ รูปทางใจ - อิริยาบถ ๔ และอริ ยิ าบถยอย นามทางใจ - สตทิ จ่ี ะเปลย่ี นอิริยาบถ - โลภะ ในอริ ยิ าบถใหม / โทสะ ในอริ ยิ าบถเกา
5 การปรากฏของรูปนามผานผสั สะ เวทนา วญิ ญาณ ( น. ๗๖ ) - 43 - โผฏฐัพพารมณ = ความเย็น รอน ออน แขง็ 5 ยถาภตู ทสั สนะ แสดงในมหาวปิ สสนา ๑๘ ขอ ๑๕ ( น. ๗๘ ) ภ ตี น ท ป กาย สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ภ - ละสกั กายทิฏฐิ - ละวิจิกจิ ฉา ธรรมชาติที่ไปรบั การกระทบระหวาง รูปกบั รูป คอื ผสั สะ เกดิ เวทนา สัญญา สงั ขาร --> วิญญาณ * บคุ คลทเี่ หน็ โดย สัสสตทิฏฐิ รบั รโู ดยความไมพินาศ --> ลาหลงั --> ยนิ ดีพอใจในภพชาติ มีความเหน็ วาเทยี่ งมั่นคง ไมแ ตกดับ ถือวา เหน็ ถกู โดยโวหาร แตผ ิดโดยสภาวะ * บคุ คลท่ีเห็นโดย อจุ เฉททฏิ ฐิ รบั รูถ งึ ความพนิ าศ --> ล้ําหนา --> มคี วามเบ่อื หนายในภพชาติ มีความเห็นวาทุกอยา งดบั สูญ ปฏิเสธบุญ - บาป ผดิ ทั้งโวหารและสภาวะ กายปสาทรปู 5 รูปนามอาศัยกนั ( น. ๗๙ ) กระทบกายปสาทรูป ( เกดิ จากกรรม ) --> กายวิญญาณจติ --> ผัสสะ --> เวทนา (นานกั ขณิก.) (อารมั มณปจ จัย) ลมหายใจ --> เกิดจากจติ ตชรปู ( กามจติ ๔๔ เวนทว.ิ ๑๐ ) สังขาร ---> รปู ารมณ แสดงสวาง ภ ตี น ท ป จัก สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ภ มนสกิ าร (อนันตร.) (ปจฉาชาตปจ จยั ) ความแรง สัพพ.๗ ( สหชาตกัมมปจ จัย) (ปกตปู นิสสย.) จักขุปสาท ๕๑ ขณะ (รปู ชีวติ นิ ทริย.) (วัตถุปเุ รชาต.) (อาหารปจจยั )
- 44 - 5 พระบาลบี ทท่ี ๔ ปจ จยปริคคหญาณ (น. ๘๓ ) 5 เหตุทที่ าํ ใหรูปปรากฏ (น. ๘๓ ) มี ๒ สว น คือ ๑. อดตี เหตุ = อวชิ ชา, ตณั หา, อปุ าทาน, กมั มภวะ ๑) อาศัยการกาํ หนดสภาพรปู นามตามแนวสตปิ ฏ ฐาน ๔ ดวยการกาํ หนด ธาตุ ๔ ธาตุ ๑๘ อายตนะ ๑๒ ๒. ปจ จบุ ันเหตุ = รปู อาหารเปนปจจยั และขันธ ๕ จนลกั ษณะ รส ปจจุปฏฐาน และปทฏั ฐาน ปรากฏอยางชัดเจน ๒) กําลงั ปญญามากขึ้น เกดิ จากการกําหนดอยางตอเนื่องจน สามารถกาํ หนดรปู นามแยกขาดจากกนั ได ปรากฏเปน ปจจบุ นั อารมณ อดตี เหตุ ๓) กําลังปญญา รถู ึงเหตุปจ จยั ( ซ่งึ เปน ฝายเกดิ ) ใหร ูปนนั้ ๆ และนามนัน้ ๆ ปรากฏตรงปจจุบัน อวิชชา ---> สังขาร ---> ปฏิ. --> สป.๑ ---> สป.๒ / ๓ เปนตนไป ๔) กําลงั ปญ ญาเห็นเหตปุ จ จยั ใหรูปและนามปรากฏตรงปจจบุ นั แลว กําลงั ปญญาก็เห็นเหตุปจ จยั ตณั หา กมั ม. ชีวติ นวกกลาป อาหารจากมารดา ซมึ ซาบสูทารก ใหรูปนามปรากฏท้ังในอดตี + อนาคต ( เปนการอนมุ านยอนไปในอดตี และอนาคต ) อปุ าทาน \" รูปอาหาร \" = ปจ จบุ นั เหตุ ทาํ หนาทอ่ี ปุ ถมั ภ ๕) ในพระพุทธศาสนาถือวา ญาณนเ้ี ปนทีพ่ ึ่งไดใ นเบื้องตน คอื ปด อบายได ๑ ชาติ ญาณนี้ไดช อ่ื วา มโนสัญเจตนาหาร ---> กาย, ภาวะ, วตั ถุ \" จูฬโสดาบัน \" (หลอ เลย้ี ง สป.๑-๒) ๖) วาโดยการนบั สงเคราะหไ ดใ นญาณท่ี ๒ ของโสฬสญาณ และไดใน กังขาวิตรณวสิ ุทธิ และนบั สงเคราะหใ น ญาตปริญญา ( เพราะยงั ไมไ ดใน ลักษณะ ๓ ) ๗) วาโดยชอ่ื อื่นๆ คอื 5 เหตปุ จจัยใหน ามปรากฏ ๑. กงั ขาวิตรณวิสุทธิ ความบริสุทธ์ทิ ี่ขา มพนความสงสยั ในกาลท้งั ๓ - อดตี เราเคยเกดิ หรอื เปลาหนอ ? - ปจ จุบนั เปนใครหนอ ? อดตี เหตุ - กรรม --> รปู ารมณ = อารัมมณปจ จยั + อารมั มณปเุ รชาต. - อนาคตเราเกดิ หรือเปลา หนอ ? ๒. ธัมมฐติ ิญาณ การกาํ หนดรูความตัง้ อยูข องธรรมท่ีเปน ปจ จัย ภ ตี น ท ป จกั สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ภ ๓. ยถาภตู ญาณ ปญญาที่เห็นสภาวะรูปนามตามความเปน จริง อดีตเหตุ จักขวุ ตั ถุ - ใหร ูปารมณม ากระทบ = อารมั มณปุเรชาต. ปจ จุบันเหตุ - ใหน ามธรรมอาศัยเกดิ (จักขวุ ญิ .) = วตั ถุปุเรชาต. ๖ ปจ จัย ๔. สมั มาทสั สนะ การเห็นโดยชอบ จกั ขปุ สาทรปู + รปู อ่ืนๆ อีก ๕๓ รูป ( จักขุทสกกลาป ๑๐, กายทสกกลาป ๑๐, ภาวทสกกลาป ๑๐, จติ ๘, อุต๘ุ , อาหาร ๘ )
5 เหตุปจจยั ของรปู นามตามนัยอภธิ รรม ๒) เหตุใหรูปปรากฏทางสมุฏฐานทัง้ ๔ - 45 - ๑) เหตุใหน ามปรากฏ ๑. สาธารณปจ จัย ๑] อารมณ ๖ = นานกั .+ปกตปู นสิ สยปจ จัย = ปกตปู นิสสยปจจยั ๒] ทวาร ๖ ๑. กรรม มี ๒๕ ( โลกยี กุศล ๑๓, อกุ.๑๒ ) = สหชาต. อธ.ขอ ๔ = ปกตปู นสิ สยปจจยั ๒. อสาธารณปจจยั ๑} โยนโิ ส --> กุศล (น - ร ) - เจตนากรรม เปนปจ จัยให ปฏสิ นธิกํ เกิด (กาย, ภาวะ, วตั ถุ) = อาหารปจ จยั ๒} อโยนิโส --> อกุศล - กรรมวิญญาณ เปนปจ จยั ให ปวตั ติกํ เกิด ๓} กรรม --> วิปาก ๔} ภวังค --> กิรยิ า ๒. จติ มี ๗๕ (-ทวิ.๑๐, อรูป.๔) ๒) เหตุใหร ปู ปรากฏ คือ สมฏุ ฐาน ทง้ั ๔ (น - ร ) - เปนปจ จยั ให จิตตชรูป ( สามัญ >ลมหายใจเขา ออก, หวั เราะ, รอ งไห, อริ ยิ าบถนอ ย, พูด, ๑) เหตปุ จ จัยใหนามปรากฏ อิรยิ าบถ ๔, อริ ิยาบถ ๔ ต้ังมั่น >การเจริญสติในสติปฏ ฐาน๔ ) > ปญจทวารวิถี ๑] อารมณ ๖ > มโนทวารวถิ ี ๑] อารมณ ๖ ๔}ภวังค เปนปจจยั ใหก ิริยา ๔}ภวงั ค -->กิริยา ๓. อตุ ุ - อาศัยกรรม จติ อตุ ุ อาหาร เปนปจ จัย ( ร - ร ) แลว กเ็ ปน ปจจยั ใหอุตชุ รปู เกดิ ๑. สาธารณ. ภ ตี น ท ป จกั สํ ณ วุ ช.....ช ต ต ภ ๑. ภ น ท ม ช.....ช ภ ปฏ.ิ สป.๑ > ป.ภ. สป.๒/๓ > ภ. (ใหนาม ธรรม ๔ ๓}วปิ าก วปิ าก กุ / อกุ วิปาก ๓}วปิ าก กริ ยิ า กุ / อกุ วิปาก ๕.อตุ ุชรูป ๓.จิต ๔.อาหาร ประเภท ๒.อุตุ กิริยา ๑.กํ ๒] ทวาร ๖ ๑}โย. ๒}อโย. ๒] หทยวตั ถุ ๑}โย. ๒}อโย. เกิดครบ ) กุ.ว.ิ อกุ.วิ. ก.ุ ว.ิ อก.ุ วิ. ๔. อาหาร - อชั ฌัตตโอชา (อาหารชรูป) ---> ๔ สมฏุ ฐาน ๒. อสาธารณปจจยั (ร-ร) ** เมื่ออารมณม ากระทบแลว เราควรทาํ อยา งไร ? ยดึ โทสะเปนอารมณ 5 การกําหนดรูเหตปุ จ จยั ของรูปนามทางปฎิจจสมุปบาท โดย อนโุ ลม / ปฎิโลม ( น. ๘๔ ) รปู ารมณ อโยนโิ ส ภ น ท ม ช.....ช ภ ปฏิโลม โทสะ (อก.ุ ) ภ ตี น ท ป จัก สํ ณ วุ ช.....ช ต ต ภ อวชิ ชา สงั ขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผสั สะ เวทนา ตณั หา อุปาทาน กมั มภวะ ชาติ ชรามรณะ โทสะ พจิ ารณาอารมณโ ทสะเขาถงึ สภาวะโทสะ จักขุปสาท โยนิโส ภ น ท ม ช.....ช ภ อนุโลม สติ + สัมปยุต.(กุ.)
- 46 - 5 พระบาลีบทท่ี ๔ สมั มสนญาณ (น. ๘๙ ) * ปญญา ทเี่ ห็น รูปนาม เปน ไตรลักษณ เกิดข้ึนแกบุคคล ผูประกอบความเพียรเจรญิ วิปส สนา ช่ือวา \" สมั มสนญาณ \" ๑) ปญ ญา พจิ ารณาสภาวะ ของรูปนามเปนอารมณ (ในปจจุบัน ) เขาถงึ \" นามรูปปรจิ เฉทญาณ \" โยคาวจร = อาตาป / สตมิ า / สัมปชาโน ๒) ปญ ญาเม่ือมกี าํ ลงั มากขึ้นก็ เห็นเหตุปจ จัย ใหรูปนามปรากฏ เขาถึง \" ปจ จยปริคคหญาณ \" ๓) ปญ ญากก็ ําหนดเหตุปจจัยของรปู นามในกาลท้งั ๓ จนปญญา เห็นการดบั ไป ของรูปนาม ทาํ ลายสิง่ ทปี่ ด บังไตรลกั ษณ ทาํ ลายสนั ตติ เขา ถึง อนิจจงั ( บา งเหน็ โดยความเปน อนจิ จัง / ทุกขงั / อนตั ตา ) ไตรลักษณก็ปรากฏแกวิปสสนาญาณท่ี ๑ กาํ หนดสภาวะของ ปญ ญาเหน็ ความดับของรูปนาม เพกิ อริ ยิ าบถ เขาถึง ทุกขัง ชื่อวา \" สมั มสนญาณ \" รูปนามจนเห็นเหตุ ทาํ ลายฆนบญั ญตั ิ เขาถงึ อนตั ตา ของรปู นาม * ปญญาทพี่ ิจารณาใน สัมมสนญาณ ๑) ปญญาเห็น \" การดับแบบสนั ตติไมข าด\" เพราะเปนการเห็นรูปนามดบั ไปในอดีต ไมไดเ หน็ ในปจจุบัน ชอื่ วา ๑. อนปุ สสนา ๓ ๓. วิโมกขมขุ ๓ ๕. ตีรณปริญญา ( เชน ยนื อยยู งั ไมเ หน็ อาการยืน ตอ เมอ่ื กา วเดนิ ไปแลวจึงเหน็ วา ยนื นั้นดับไป ) ๒. สมั มสนญาณ ๔. มคั คามัคคญาณทัสสนวิสทุ ธิ ๒) ถือวา เปนอารมณไตรลกั ษณ ถึงแมวา จะเหน็ รปู นามดบั ไปในอดตี ผูรอู ารมณ ๓) อารมณก บั ผูรอู ารมณ ดบั ไมพ รอ มกนั คอื อารมณด บั ไปกอ น สาํ หรบั ผรู อู ารมณด บั ภายหลงั 5 วิปส สนาญาณ ๑๐ ในปรญิ ญา ๓ และการปรากฏของอนปุ ส สนา ๗ (น. ๙๒ ) พจิ ารณารูปนามดวยลักขณาทิจตกุ ะ ๔ เหน็ เหตปุ จ จยั การเกิดของรปู นาม นามรูปปรจิ เฉทญาณ [ ๓. ทิฏฐิวสิ ุทธิ ] ปจจยปริคคหญาณ [ ๔. กงั ขาวติ รณวสิ ุทธิ ] ญาตปรญิ ญา ( มีการกาํ หนดรู ) แทงตลอดในลกั ษณะเฉพาะของตน =ไมปรากฏไตรลกั ษณ มีทั้งอารัมมณานสุ ัย และสนั ตานานสุ ัย ไมม ีอารัมมณานุสัย (มีแตส นั ตานานุสัย ) ไมม ีทงั้ อารมั มณานสุ ัยและสันตานานุสัย โค. มคั ค. ผล ----> ปจ จเวกขณะ ๑.สมั มสน. ๒.ตรุณ. วิปสสนปู กิเลส ๒.พลวอทุ ยพั . ภงั ค. ภย. อาทีนว. นพิ พทิ า. มญุ จิตุ. ปฏสิ ังขา. สงั ขารุ. (ปลาย) ๑๐.อนุโลม [ ๗. ญาณทสั สนวสิ ทุ ธิ ] [ ๕. มัคคามัคคญานทสั สนวิสทุ ธิ ] [ ๖. ปฏปิ ทาญาณทสั สนวสิ ุทธิ ] วฏุ ฐานคามินี. ตรี ณปริญญา (ไตรต รองใครครวญเปรียบเทยี บ ) ปหานปรญิ ญา ฝา ยโลกยี ะ ( กาํ หนดรูด วยการละ ) ละโดย ตทงั คปหาน ปหานปรญิ ญา ฝา ยโลกตุ ตระ ละโดย สมจุ เฉทปหาน แทงตลอดในสามัญลักษณะโดยเฉพาะ = ปรากฏไตรลักษณ อนปุ สสนา ๗ ประการ ( ภังค ... อนุโลม ) ๑) อนิจจานปุ ส สนา - ละนจิ จะ ๓) อนตั ตานปุ ส สนา - ละอตั ตะ ๕) วิราคานปุ สสนา - ละราคะ (กาํ หนัด) ๗) ปฏนิ สิ สคั คานปุ ส สนา - ละอาทาน (ความยดึ ถอื ) ๒) ทุกขานุปส สนา - ละสุข ๔) นิพพิทานุปสสนา - ละความยนิ ดี ๖) นิโรธานุปสสนา - ละเหตุทเี่ ปนแดนเกิด
5 อารมณข องสัมมสนญาณ ๒๕ ( น. ๙๑ ) = ธรรมที่เปน หมวดเปน กองดวยความเปนไปใน กาล ๓, ภายใน-ภายนอก, หยาบ-ละเอยี ด, เลว-ประณตี , ไกล-ใกล - 47 - ( อาการ ๑๑ ) ---> ทางทวาร+อารมณ ที่เปนไตรลกั ษณ วิปสสนาภมู ิ ๖ - ญาตปริญญา ตรี ณปริญญา กาํ หนดรูใ นเบ้อื งตน - ปญ ญาเขา ถึงสภาวธรรม ไตรตรองใครค รวญเปรยี บเทียบ (ดว ยอาการ ๑๑ ) - ปญ ญาเขาถงึ เหตปุ จจยั ของสภาวะ ๓ ] อารมณ ๖ (ขนั ธภายนอก) ๑๕] อายตนะ๑๒ ๑๖] ธาตุ ๑๘ ๑๗] อินทรีย ๒๒ มโนวิญญาณธาตุ ๙] ตณั หา ๖ = มีรปู ตณั หา - ธมั มตณั หา มโนธาตุ ๑๐] วติ ก ๖ = มรี ปู วติ ก - ธมั มวติ ก ปญ .วิญ.๕ ๑๑] วิจาร๖ = มรี ปู วจิ าร - ธัมมวจิ าร ภ ตี น ท ป ปญ สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ๑๒] ธาตุ ๖ รูปธาตุ ๕ = ธาตุ ๔ (สมุฏฐาน ๔ ) + อากาศธาตุ (ชอ งวางระหวางกลาป = ปริจเฉทรปู ) ๑] รูปขันธ นามธาตุ ๑ = วญิ ญาณธาตุ ๗ ๔ ] วิญญาณ ๖ = ปญจวิญ. + ๑ มโนวิญญาณ (มโนธาต+ุ มโนวญิ .ธาตุ) จักขุวิญญาณธาตุ + สพั พ.๗ ๕] ผสั สะ ๖ = มจี กั ขุสัมผัสสะ - มโนสัมผัสสะ ๒ ] ทวาร ๖ (ขันธภ ายใน) ๑] นามขันธ ๔ ๖] เวทนา ๖ = มีจักขสุ มั ผัสสชาเวทนา - ฯลฯ ๗] สัญญา ๖ = มีรปู สญั ญา - ธมั มสญั ญา ( ขนั ธ ๕ ) ๘] เจตนา ๖ = มีรูปสญั ญาเจตนา - ฯลฯ * อาศยั การเปรยี บเทียบในภพภมู ติ างๆ * สมถยานิกะ --> ยกฌานเปนบาทในการเจริญวิปส สนา = สัมมสนญาณ ๑๘] ธาตุ > ธาตุ ๓ = กามธาต,ุ รูปธาตุ, อรูปธาตุ ๑๓] กสิณ ๑๐ ---> ปฏิภาคนมิ ติ ---> ๒๒] รปู ฌาน ๔ ( จตุกนัย ) ---> ๒๔] อรปู ฌาน ๔ ๑๙] ภูมิ > ภพ ๓ = กามภพ, รปู ภพ, อรูปภพ ๒๓] อัปปมัญญา ---> ปญจมฌาน ๒๐] จิต > ภพ ๓ = สญั ญีภพ, อสญั ญีภพ, เนวสัญญนี าสญั ญีภพ ๑๔] โกฏฐาส ๓๒ ---> รปู ปฐมฌาน ๒๑] ขนั ธ > ภพ ๓ = ปญจโวการภพ, จตุโวการภพ, เอกโวการภพ ๒๕] ปฏจิ จสมุปบาท ๑๒ ( กลาวรวมในวิปส สนาภมู ิ ๖ )
- 48 - * อารมณของสัมมสนญาณ มี ๒๕ หมวด (น. ๙๒ - ๙๓ ) รวม = ๒๐๑ x ๓ (ไตรลักษณ ) = ๖๐๓ x ๑๑ ( อาการ ) = ๖,๖๓๓ ๑. เบอ้ื งตน กาํ หนดรดู ว ย \" ญาตปรญิ ญา \" กําลงั เกดิ กับ นามรูปปรจิ เฉทญาณ และปจ จยปรคิ คหญาณ ๒. ตอ มากาํ หนด \" ไตรตรองใครค รวญเปรยี บเทียบ \" ดว ยอาการ ๑๑ ไตรลกั ษณจงึ ปรากฏแกสมั มสนญาณ เขา ถงึ \" ตรี ณปรญิ ญา \" กําหนดสภาวธรรม ๒๕ หมวด อาศัยการไตรต รองใครค รวญเปรยี บเทยี บ เขา ถึง ธรรม ๖,๖๓๓ อาการไตรลกั ษณป รากฏ ภ ตี น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ .... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... นามรปู ปรจิ เฉทญาณ + สัมมสนญาณ 5 การกาํ หนดรูข นั ธ ๕ โดยอาการ ๔๐ และการนับสงเคราะหสมั มสนญาณลงใน อนปุ ส สนา ๓ ( น. ๙๕ - ๙๙ ) ตวั จาํ แนกอารมณ ๔ อยาง หลกั การพจิ ารณาในสมั มสนญาณ ( ผูร อู ารมณ ) ( น. ๙๕ - ๙๘ ) - อนิจจานปุ ส สนา การเปล่ียนจากสง่ิ หนึง่ ไปสูสง่ิ หนง่ึ , การแปรปรวน, ผุพัง, สลายไป, ความตาย, การปรุงแตง - ทุกขานปุ สสนา อาการคือ การบบี คน้ั , ทุกข โทษ ภยั ( สิ่งช่ัวรา ยกาํ ลงั ปรากฏ ) --> ไมเปน ที่หลบภัย, ปญ ญาเห็นโดยความทกุ ขกายใจ (ทุกขทกุ ข), ** สัมมสนญาณทเี่ รียกวา \" นยวิปส สนา \" ปญ ญาเห็นเหตทุ ่ีทาํ ใหเกิดทุกข / ถาปญ ญาเห็นโดยความเกดิ แก เจ็บ (วิปากทกุ ข ) / เห็นอนิฏฐผล ( เศรา โศกเสียใจ ) คือ วปิ ส สนาเร่ิมตน แหงการกาํ หนดรปู นาม - อนตั ตานุปส สนา เห็นโดยความเปนของสูญ วางเปลา บงั คบั บญั ชาไมได ตามแนวทางท่ีถอื ปฏบิ ัติมา ตามพระบาลี ( ทพี่ ระอรรถกถาจารย แปลกันมา ) อารมณของสมั มสนญาณ ๖,๖๓๓ - อนิจจลักษณะ - ทุกขลักษณะ - อนัตตลักษณะ ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... สัมมสนญาณ (บอกกาํ ลัง ) - อนิจจานุปสสนา = ขอ ๑, ๙, ๑๔, ๑๕, ๑๖, ๒๕, ๒๖, ๒๙, ๓๑, ๓๖ = ๑๐ อยาง x ขนั ธ ๕ = ๕๐ = ๑๒๕ - ทกุ ขานปุ สสนา = ๒๕ ขอ ท่เี หลอื = ๒๕ อยา ง x ขันธ ๕ = ๒๕ = ๒๐๐ อารมณ - อนตั ตานปุ ส สนา = ขอ ๘, ๒๐, ๒๑, ๒๒, ๒๓ = ๕ อยาง x ขนั ธ ๕ = ๔๐ อยา ง x ขนั ธ ๕
Search