Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิปัสสนากรรมฐานทีปนี

วิปัสสนากรรมฐานทีปนี

Published by WATKAO, 2021-01-23 11:02:49

Description: อ.อาณัติชัย เหลืองอมรชัย

Search

Read the Text Version

บนั ทกึ การสอน โดย ศรชัย ชยาภิวฒั น - ๒๕๕๑ [ แกไข ต.ค. ๒๕๕๗ ]

สารบัญ หนา หนา หนา ๑. ส่งิ ทีค่ วรรใู นวปิ ส สนา ๖. พระบาลที ่ี ๒ ลกั ษณะ ๓ - ๒๑ ๙. สรุปพระบาลี ๖ บท - ๘๔ ๑) วิปส สนาคอื อะไร - - - ๑ ๗. พระบาลีที่ ๓ อนปุ ส สนา ๓ ๒) อารมณของวปิ ส สนา - - - ๑ ๑) อนิจจานุปสสนา - - - - - ๒๓ ๑๐. สมาปต ติเภท ๓) ประโยชนข องวิปส สนา - -๑ ๒) ทกุ ขานุปสสนา - - - - - ๓๒ ๑) ฌานสมาบตั ิ - - - - ๘๔ ๔) พระพุทธศาสนามี ๒ นัย - -๒ ๓) อนตั ตานุปสสนา - - - - - ๓๕ ๒) ผลสมาบตั ิ - - - - ๘๔ ๕) โครงสรางวิปสสนากรรมฐาน - - ๓ ๓) นิโรธสมาบตั ิ - - - - ๘๕ ๖) วปิ ส สนาภมู ิ ๖ - - - - ๔ ๘. พระบาลที ี่ ๔ วปิ ส สนาญาณ ๑๐ และญาณ ๑๖ ๑) นามรูปปริจเฉทญาณ - - - - - ๓๙ ๒. การนบั สงเคราะหธ รรม ๖ หมวด - - - ๕ ๒) ปจ จยปรคิ คหญาณ - - - - - ๔๔ ๓. ญาณ ๑๖ ที่ควรรูโดยสงั เขป - - -๖ ๓) สมั มสนญาณ - - - - - ๔๖ ๔. ญาณ ๑๖ โดยโพธปิ ก ขยิ ธรรม ๓๗ - -๘ ๔) อุทยพั พยญาณ - - - - - ๕๔ ๕. พระบาลีท่ี ๑ วิสทุ ธิ ๗ - - - - ๑๕ ๕) ภังคญาณ - - - - - ๕๗ ๑) สลี วิสทุ ธิ - - - - ๑๖ ๖) ภยญาณ - - - - - ๕๙ ๒) จติ ตวสิ ุทธิ - - - - ๑๗ ๗) อาทีนวญาณ - - - - - ๕๙ ๓) ทฏิ ฐวิ ิสุทธิ - - - - ๑๘ ๘) นิพพทิ าญาณ - - - - - ๕๙ ๔) กังขาวิตรณวิสุทธิ - - - ๑๘ ๙) มุญจิตกุ ัมยตาญาณ - - - - - ๖๑ ๕) มคั คามัคคญาณทสั สนวิสุทธิ - - ๑๙ ๑๐) ปฏิสงั ขาญาณ - - - - - ๖๓ ๖) ปฏปิ ทาญาณทัสสนวิสทุ ธิ - - ๒๐ ๑๑) สงั ขารุเปกขาญาณ - - - - - ๖๔ ๗) ญาณทสั สนวสิ ทุ ธิ - - - ๒๑ ๑๒) อนุโลมญาณ - - - - - ๗๕ ๑๓) โคตรภูญาณ - - - - - ๗๖ ๑๔) มัคคญาณ - - - - - ๗๗ ๑๕) ผลญาณ - - - - - ๗๗ ๑๖) ปจจเวกขณญาณ - - - - - ๘๓

-1- 5 สิ่งท่ีควรรใู นวิปส สนากรรมฐาน ๓) ประโยชนของวิปสสนา คอื อะไร ๑) วิปสสนา คอื อะไร > เขา ใจในสงิ่ ท่ถี กู ตอ งตามหลักทีพ่ ระพุทธองคไดทรงแสดงไว คอื ปญ ญา ๓ ระดับ ๑. ปญ ญา ทร่ี ูสภาวะรปู นาม ( ยงั ไมใชว ิปสสนาแท ) > ทาํ ลายอภิชฌา และโทมนสั ๒. ปญญา ที่รไู ตรลกั ษณ ( เปน วปิ สสนาแท ) ๓. ปญญา ทีร่ ใู นนิพพาน > ทาํ ลายอวิชชา > ทําลายวปิ ลาสธรรม ๑๒ - อนจิ จลกั ษณะ ละนจิ จสญั ญา ( อาการของความไมเ ท่ยี ง ) ละนจิ จจิตต พระโสดาบัน ละได > ลักษณะ - มปี ญ ญาเปนลกั ษณะ ละนิจจทฏิ ฐิ > สภาวะ - การรูธรรมตามความเปนจริง > รส - ละอวิชชา - ทกุ ขลกั ษณะ ละสุขสัญญา พระอรหันต ละได > ปจจุปฏฐาน - สาํ เร็จเปน พระอริยะ เปนผล ละสขุ จิตต พระสกทา. ทาํ ใหเบาบาง > ปทัฏฐาน - มีขนกิ สมาธิเปนเหตใุ กล ละสขุ ทฏิ ฐิ - พระโสดาบัน ละได > อารมณ - ใช ๖ ทวาร ปญ ญามาก - อนัตตลักษณะ ละอตั ตสญั ญา ปญญานอย = เวทนานปุ ส สนาสตปิ ฏ ฐาน ละอัตตจติ ต > จรติ - ตัณหาจริต = กายานุปสสนาสตปิ ฏฐาน = ธมั มานปุ ส สนาสติปฏ ฐาน ละอตั ตทิฏฐิ พระโสดาบัน ละได - ทิฏฐจิ ริต = จิตตานปุ สสนาสติปฏ ฐาน ๒) อารมณของวิปส สนา คืออะไร - อสภุ ลกั ษณะ ละสภุ สัญญา พระอนาคามี ละได ละสุภจติ ต พระสกทา. ทําใหเบาบาง > วปิ ส สนาภูมิ ๖ ตามแนวสตปิ ฏ ฐาน ๔ อยใู นขอบเขตของนามรปู ปริจเฉทญาณ + ปจจยปริคคหญาณ ละสภุ ทิฏฐิ - พระโสดาบัน ละได > ไตรลกั ษณ เปนอารมณของวปิ สสนาญาณ ๑๐ > นพิ พาน เปนอารมณข องโคตรภ,ู มคั ค., ผล. > มคั ค., ผล., นิพพาน, กิเลสท่ีละ, กเิ ลสทเ่ี หลือ เปน อารมณข องปจจเวกขณญาณ

-2- พระพทุ ธศาสนามี ๒ นัย นัยที่ ๑ คาํ ส่งั สอนของพระพุทธองคม ี ๓ ประการ นัยท่ี ๒ แกน แทของพระพทุ ธศาสนา คอื อริยสจั จ ๔ ซง่ึ เปนสภาวะธรรมทท่ี าํ ใหผ เู ห็นแจง พน ทกุ ขท ้งั ปวงได ๑. ประโยชนท่ีพึงไดรับในภพนี้ สภาวะธรรม ๔ ประการ [ รปู - นาม (จิต + เจตสกิ ) พระนพิ พาน ] คอื การไมเ บียดเบียนตนเองและผูอนื่ อันเปนปรมัตถธรมม ซ่งึ ปราศจาก สตั ว บคุ คล ตวั ตน เรา เขา ๒. ประโยชนท่ีพึงไดร บั ในภพหนา โลกียธรรม - รูปและนาม (จติ +เจ) พุทธศาสนากลาว โลกตุ ตรธรรม - มรรค ๔ ผล ๔ นพิ พาน ๑ บคุ คลนนั้ ตอ งมี ศลี สมาธิ ปญญา (ธรรม ๓ ประการนี้ ไมเทีย่ ง เปน ทกุ ข เปน อนตั ตา) โดยสรุปไดด ังนี้ (เฉพาะนิพพานน้ี เท่ียง สุข แตเ ปน อนัตตา) ๓. ประโยชนท เี่ ขาถึงความสุขโดยสว นเดยี ว รูป นาม คาํ สอนของ พน ทุกข มรรคจิต ผลจติ คอื พระนิพพาน คอื ธรรมชาติ คือ ธรรมชาติ พระพุทธเจา อริยสจั จ ๔ โสดา สกทาคามี อนาคามี อรหนั ต > พระนพิ พาน คืออะไร ทไ่ี มร อู ารมณ ท่รี อู ารมณ = สภาวธรรมท่ีสงบจากกเิ ลสและขนั ธ ๕ เหน็ อริยสัจ ๔ โดยมี > พระนพิ พาน อยูทใ่ี ด ปญญา, ความเพียร สอนใหปฏบิ ัติตาม พระนิพพานเปน อารมณ = อยูท่มี ีการละกเิ ลสโดยสมจุ เฉทตามกาํ ลัง สต,ิ สัมปชญั ญะ มชั ฌมิ าปฏิปทาเพอ่ื เขา ถึง ของมรรค ๔ ( ไมใ ชสถานที่ใดๆ เลย ) เชน พระโสดาบัน ละสกั กายทฏิ ฐแิ ละ เรา ( กเิ ลส ) พทุ ธพจน : นยั แหง การละสังโยชน อันเปน ธรรมเครื่องผูกสตั วไ วในภพ วิจิกจิ ฉาได เมอื่ นัน้ พระนพิ พานก็แจง > เห็นพระนิพพาน ไดอยา งไร นาย ก. \" ท้ังเม่ือกอนและบัดน้ี เรายอมบัญญตั ิ ไมใหหลดุ พน ไปได = พระนิพพานเปน ปจจฺ ตฺตํ เวทติ พโฺ พ เปน ความยึดมน่ั เรื่อง ทกุ ข กบั ความดบั ทุกข (เทา นัน้ ) \" = อาศยั การเจรญิ ตามแนวสตปิ ฏฐาน ๔ ๑.โสดา - ละสักกายทฏิ ฐิ สลี พัตตปรามาส วิจกิ ิจฉา ดว ยกิเลส ( สงั .สฬา.อนรุ าธสูตร ๑๘/๗๗๐/๔๑๔ ) วา เรา คือ นาย ก. ๒.สกทาคามี - ละกิเลสสังโยชน ทเ่ี หลือใหเ บาบาง ๓.อนาคามี - ละกามราคะ ปฏิฆะ ๔.อรหนั ต - ละกเิ ลสสังโยชนทเ่ี หลอื ไดท ง้ั หมด คือ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อทุ ธัจจะ อวชิ ชา

-3- ๔) วิปสสนาตอ งปฏบิ ตั ติ ามแนวทาง สตปิ ฏฐาน ๔ วาโดยอารมณและผูร ูอารมณ พรอมทัง้ ธรรมทีช่ วยอปุ การะ (กระบวนการทาํ งานของวปิ ส สนา ๒ สว น ) วิปสสนามี ๒ สว น อารมณ ผูรอู ารมณ = สภาวะท่มี กี ารเกิดดับสืบตอ กันอยางรวดเรว็ --> \" ปจจบุ นั ธรรม \" --> กําลงั ปรากฏเฉพาะหนา แก โยคบี คุ คล ผูรอู ารมณ เรยี กวา \" โยคาวจร \" ( โลกยี ะ - มีสตปิ ฏ ฐาน ๔ เปน อารมณ / โลกตุ ตระ - มีพระนิพพาน เปน อารมณ ) เรียกวา \" ปจจบุ ันอารมณ \" ๑. อาตาป - ความเพียร เปนการยกสตแิ ละสัมปชญั ญะไมใหต กจากวิปส สนา ๑. เปน อารมณ ทีก่ ําลงั ปรากฏเฉพาะหนา (กองแหง ศลี ) - ทํากิจ ๔ อยา ง > ๑ ละอกศุ ล ทยี่ ังไมเ กดิ ไมใหเกดิ ๒. ตอ งเปน รูปนาม ทีป่ ราศจากบญั ญตั ิ > ๒ ละอกุศล ที่เกิดแลว ใหอนั ตรธานไป ๓. ตองเปน อารมณท ่ที าํ ลายอภชิ ฌา และโทมนสั ( ชอบ / ไมช อบ คอยแทรกปด บงั รูปนามอยเู สมอ ) > ๓ ทาํ กุศล ทีย่ งั ไมเกิด ใหเกิด ๔. ตองเปน ไปตามสตปิ ฏ ฐาน ๔ > ๔ ทาํ กุศล ทีเ่ กิดแลว ใหเจรญิ ยิ่งขึ้น ๕. ตองไมใ ชอารมณท ี่กระทําใหเ กิดขนึ้ - เปน องคม รรคทีช่ ่ือวา \" สมั มาวายามะ \" ๖. ตองเขาใจในปจจบุ ันอารมณแ ละจบั ปจจุบนั อารมณ ๒. สตมิ า - สตริ ะลึกในอารมณข องสติปฏ ฐาน ๔ = ตอ งเปน ไปตามวปิ สสนาภมู ิ ๖ ( ขนั ธ๕, อายตนะ๑๒, ธาต๑ุ ๘, สจั จ๔, อินทรยี ๒ ๒, ปฏจิ จสมุปบาท ) (กองแหงสมาธิ) - ชว ยใหสมั ปชัญญะรสู ภาวะธรรมในอารมณของสติปฏ ฐาน ๔ - เปนองคมรรคที่ชอ่ื วา \" สมั มาสติ \" ๓. สมั ปชาโน - ปญญา ทําลายโมหะท่ีปดบงั สภาพความเปนจรงิ ในรูปนาม (กองแหงปญ ญา) - ชว ยสติระลึกรใู นอารมณทเี่ ปน ปจ จบุ ัน ปราศจากอภชิ ฌาและโทมนัส โครงสรา งของวปิ สสนากรรมฐาน - เปน องคมรรคที่ช่อื วา \" สมั มาทิฏฐิ \" วปิ สสนาภูมิ ๖ ธรรม ๖ หมวด โพธปิ กขิยธรรม ๓๗ ** ผรู ูอารมณ มธี รรมที่ชว ยอุปการะ ๑.โยนิโส - ชว ยใหเ ขา ใจในสภาวะไดอ ยางถูกตอ ง เปนอาหารของปญญา ๑) ขันธ ๕ ๑) วสิ ุทธิ ๗ อริยสจั จ ๔ - รูส กึ ตวั อยนู านในการปฏิบตั ิ ๒. สกิ ขติ - การสาํ เหนยี ก / ขอ สังเกตุ ชว ยไมใหต กไปจากกระแสปจจบุ นั ๒) อายตนะ ๑๒ ๒) ลักษณะ ๓ อรยิ มรรคมอี งค ๘ ** ประโยชนของธรรมท่ีชวยอุปการะ - ชว ยกนั ไมใ หกิเลสเขาอาศัยไดน าน ๓) ธาตุ ๑๘ ๓) อนปุ สสนา ๓ ปฏิบตั ติ าม โพชฌงค ๗ - ชว ยปรับอินทรยี ใหเสมอกัน โพธิปก ขยิ ธรรม ๔) สจั จ ๔ ๔) วิปส สนาญาณ ๑๐ พละ ๕ * ผลของการปฏิบตั วิ ปิ สสนา ๒ สว น คือ ละสิ่งท่ีปด บังไตรลกั ษณ > สันตติ ปดบงั อนจิ จํ > อิริยาบถ ปดบัง ทุกขํ > ฆนสญั ญา ปดบัง อนตฺตา ๕) อนิ ทรีย ๒๒ ๕) วโิ มกข ๓ อนิ ทรยี  ๕ ๓๗ ๖) ปฏิจจสมปุ บาท ๑๒ ๖) วโิ มกขมุข ๓ อิทธบิ าท ๔ สมั มัปปธาน ๔ วิปสสนาภมู ิ ๖ เปน บาทของ นามรูปปรจิ เฉทญาณ ตามแนวของ สตปิ ฏฐาน ๔ ธรรมเบือ้ งตนในโพธิปก ขยิ ธรรมคือ สตปิ ฏฐาน ๔ (กาย เวทนา จิตตา ธัมมา)

-4- 5 วปิ สสนาภมู ิ ๖ ยอลงเปนรปู นาม ๑. ตอ งพิสจู นด วยวิปส สนาญาณ ๒.จะบอกอาการไตรลกั ษณใหแ กปญ ญา ๓.รูปนามจัดเปน วิปสสนาภูมิ ๖ ดวย หลักปรยิ ัติ --> ปฏิบตั ิ --> ปฏเิ วธ มิฉะนน้ั ผปู ฏิบัติไมสามารถยอ ลงเปน รปู นามได ขันธ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรยี  ๒๒ รปู ภายนอก = รปู ารมณ -->โผฏฐัพพารมณ รปู ายตนะ -->โผฏฐัพพายตนะ รูปธาตุ -->โผฏฐพั พธาตุ --- รูปธรรม รปู ภายใน = จักขปุ สาท --> กายปสาท จกั ขายตนะ --> กายายตนะ จักขุธาตุ --> กายธาตุ จักขนุ ทรยี  --> กายินทรีย อิตถนิ ทรีย, ปุรสิ นิ ทรยี  ปสาทรปู ๕ สขุ ุม ๑๖ รูปชวี ติ นิ ทรีย รปู นาม วสิ ยรปู ๗ = ชีวติ ินทรีย วิญญาณขันธ มนายตนะ วิญญาณธาตุ ๗ มนนิ ทรีย นามธรรม เวทนาขันธ + สุขุมรูป ๑๖ + สขุ มุ รูป ๑๖ ชีวติ ินทรยี  เจ. ๘๙, ๕๒ สญั ญาขนั ธ เวทนนิ ทรีย ( โทม, โสม, สุข, ทุกข, อเุ บกขา ) สังขารขันธ = ธัมมายตนะ = ธัมมธาตุ สทั ธนิ ทรีย นพิ พาน ขันธวมิ ุตต วิรยิ ินทรีย, สตินทรยี  สมาธนิ ทรีย ** อปุ าทานขันธ ๕ = โลกยี จิต ๘๑, ๕๒, ๒๘ ปญ ญนิ ทรยี  อปุ าทาน ๔ อนัญญาตญั ญัสสามติ นิ ทรีย มงุ หมายในโสดามคั ค. (ไมร วมโลกุต.๘ แตถ าแสดงธรรมทง้ั หมด ตองรวมอยใู นขนั ธ ๕ ) อัญญนิ ทรีย มุงหมายในโสดาผล --> อรหัตตมคั ค. อญั ญาตาวนิ ทรีย มงุ หมายในอรหัตตผล สัจจ ๔ ความจริงทพ่ี ระองคทรงแสดงธรรม ๔ ประการ (๘๙, ๕๒, ๒๘, นิพ.) > ขนั ธ ๕ อายตนะ ๑๒ ภายนอก รปู ารมณ รปู ายตนะ รปู ธาตุ = ทุกขสัจจ จักขุวิญญาณ = มนายตนะ - วิญญาณธาตุ ๗ ทุกขสจั จะ สมทุ ยสจั จะ นโิ รธสจั จะ มัคคสจั จะ ธาตุ ๑๘ รูปธรรม ตี น ท วิถีจติ \"ปญจทวาราวัชชนะ \" = นามธรรม เวทนาขนั ธ อนิ ทรยี  ๒๒ สัญญาขันธ ๘๑,๕๑ (-โลภ), โลภเจ. นิพพาน อรยิ มัคคมีองค ๘ = ธมั มายตนะ - ธมั มธาตุ รปู ๒๘ ท่ใี นมคั คจิต ๔ ปฏิจจ. ภายใน จกั ขุปสาท จกั ขายตนุ จักขุธาตุ จักขุนทรีย สังขารขันธ

-5- 5 การนับสงเคราะหธรรม ๖ หมวด และปริญญา ๓ วสิ ุทธิ ๗ > บาลี ๑ ลกั ษณะ ๓ > บาลี ๒ อนุปส สนา ๓ > บาลี ๓ ญาณ วิปสสนาญาณ ๑๐ > บาลี ๔ วิโมกข ๓ > บาลี ๕ วิโมกขมุข ๓ > บาลี ๖ ปรญิ ญา ๓ อาการของรปู นาม ปญญา ๑๖ ปญ ญา ปญญา ปญญา ปญญาท่มี ีการกาํ หนดรู อารมณ -ไตรลักษณ รอู ารมณอยเู นืองๆ กาํ ลังของวิปส สนา เปนชื่อของ มัคค. ผล ประตเู ขา ถึงการหลุดพน ศลี ๑) สลี วสิ ุทธิ สมาธิ ๒) จิตตวิสุทธิ ๓) ทฏิ ฐวิ ิสุทธิ ( มีวิปสสนาภูมิ ๖ เปน ๑) นามรูปปริจเฉทญาณ ญาตปริญญา การกําหนดรู ๔) กังขาวิตรณวสิ ทุ ธิ ปจจุบนั อารมณ-รูปนาม ) ๒) ปจจยปริคคหญาณ ดว ยการรู ทกุ ขํ อนจิ จํ อนตฺตา ๕) มคั คามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ ๓) ๑. สมั มสนญาณ การกําหนดรู ๔) ๒ - ๑ ตรุณอุทยพั พยญาณ * ตีรณปริญญา ดวยการพิจารณา ๒ - ๒ พลวอทุ ยัพพยญาณ ไตรตรองใครค รวญ ๕) ๓. ภังคญาณ ๖) ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ อนจิ จลักษณะ อนจิ จานุปสสนา ๖) ๔. ภยญาณ อนมิ ติ ตานุปส สนา การกําหนดรู ( = ๘ ญาณครง่ึ ) ทุกขลักษณะ ทกุ ขานปุ ส สนา ๗) ๕. อาทนี วญาณ อัปปณิหติ านปุ สสนา ดว ยการละ อนตั ตลกั ษณะ อนตั ตานปุ ส สนา ๘) ๖. นิพพทิ าญาณ สุญญตานปุ สสนา ประหานกิเลสได ปญ ญา ๙) ๗. มุญจิตกุ มั ยตาญาณ ปหานปริญญา เปน ตทงั คปหาน ๑๐) ๘. ปฏิสังขาญาณ (ภงั ค. - มคั ค.) โดยความเปน ๑๑) ๙. สังขารุเปกขาญาณ วุฏฐาน. อารมั มณานสุ ัยกิเลส ๑๒) ๑๐. อนโุ ลมญาณ ๑๓) โคตรภญู าณ ** วโิ มกข ๓ มี นิพพาน เปน อารมณ ๗) ญาณทัสสนวิสุทธิ ๑๔) มัคคญาณ อนมิ ิตตวิโมกข > เปน สมจุ เฉทปหาน ๑๕) ผลญาณ *** อัปปณิหิตวโิ มกข สญุ ญตวิโมกข ๑๖) ปจจเวกขณญาณ *** * ตรุณอุทยพั พยญาณ เกดิ วิปสสนปู กิเลส ๑๐ คือ ส่งิ ทีท่ าํ ใหว ิปสสนาญาณหมน หมอง หรือเศราหมอง ** โคตรภูญาณ นบั โดยปรยิ ายเขา ใน ปฏปิ ทาญาณทสั สนวิสทุ ธิ และปหานปริญญา แกผปู ฏบิ ตั วิ ปิ ส สนา ไดแ ก ๑.โอภาส ๒.ปต ิ ๓.ปส สทั ธิ ๔.อธโิ มกข ๕.ปค คหะ ( เปน \" อัพโพหาริกะ\" คืออยรู ะหวา งโลกยี ะและโลกตุ ตร - น.๒๒๖ ) ๖. สุข ๗.ญาณ ๘.อุปฏ ฐาน ๙.อุเบกขา ๑๐.นกิ ันติ *** ผลญาณ, ปจ จเวกขณญาณ นับโดยปรยิ ายเขา ใน ญาณทัสสนวสิ ุทธิ และปหานปริญญา

-6- 5 ญาณ ๑๖ ท่ีควรรู โดยสังเขป > อุทยัพพยญาณ มี ๒ สวน คอื ๑) นามรปู ปรจิ เฉทญาณ ๑. ชวงตน = ตรุณอุทยพั พยญาณ ๒. ชวงปลาย = พลวอทุ ยพั พยญาณ ขนั ธ ๕ อายตนะ ๑๒ - จัดอยูในมคั คามัคคญาณทสั สนวิสุทธิ - จัดอยใู นปฏิปทาญาณทัสสนวิสทุ ธิ วปิ สสนาภมู ิ ๖ ธาตุ ๑๘ พิจารณาสภาวะ สจั จ ๔ ประโยชนเพ่อื ถา ยถอนอตั ตตัวตัน - ขอดี ถอื วาปฏบิ ตั ิถูกตอง - หลังจากนน้ั กลับมามีไตรลกั ษณ เปน อารมณ อนิ ทรีย ๒๒ ปฏิจจ.๑๒ รปู - นาม ( เปนปจจบุ นั อารมณ = กาลเดียว ) - ขอไมด ี ติดในวิปสสนูปกิเลสนาน - เปนจุดเริม่ ตนใหเปนบาทแกวปิ สสนาญาณ แยกดว ยวา รปู อะไร นามอะไร เพื่อทาํ ลายสนั ตติ - วิปส สนปู กิเลส เกิดจาก อกี ๘ ญาณ ตองเรยี นรู ลกั ษณะ รส ปจจุปฏ ฐาน ปทฏั ฐาน ๑ กาํ ลังของปญ ญามมี าก - กาํ จดั ส่งิ ท่ีปดบังไตรลกั ษณ ๒ ตกกระแสแหงวิปส สนา (สมาธิ > ปญ ญา) > เพราะญาณนมี้ กี ารเกิด จึงทาํ ให กิเลสมาเกิดดว ย เรียกวา \" วปิ ส สนูปกิเลส \" มี ๑๐ ไดแก ๒) ปจจยปรคิ คหญาณ <-- กังขาวติ รณวสิ ทุ ธิ ๑. โอภาส (แสงสวา ง ) ๖.สขุ (ความสบาย) >ไมเ ปน วปิ สสนาญาณ เพราะ เห็นการเกิด เหตปุ จจยั ให รปู นามเกดิ ไมจ ัดเปนไตรลกั ษณเ พราะเห็นแตเ กิด ๒.ปติ (ความอิ่มเอบิ ใจ ๕ อยาง) ๗.ญาณ (ปญญาแกกลา ) > สาธารณะปจจยั - โยนิโส --> กศุ ล --> กุศลวบิ าก (เกดิ ) พจิ ารณาเห็นเหตใุ หเ กิดรูปนาม ๓.ปสสทั ธิ (อาการสงบเงียบ) ๘.อปุ ฏฐาน (สติตง้ั มัน่ ) - อโยนโิ ส --> อกศุ ล --> อกศุ ลวิบาก (เกดิ ) เกดิ ไดใ น ๓ กาล ๔.อธโิ มกข (ศรทั ธาที่มกี ําลงั แกก ลา) ๙.อเุ บกขา (อาการวางเฉย) ( วปิ ส สนาญาณ ๑๐ = ๓ กาล ) ๕.ปคคหะ (ความพยายามอยา งแรงกลา ) ๑๐.นกิ ันติ (ความยนิ ดีพอใจในอปุ กเิ ลส ๙ ขางตน) > อสาธารณะปจจัย - วัตถุ ๖ --> นามธรรมเกิด (เจตนา) = วัตถปุ ุเรชาต. > เนอ่ื งจากปญ ญามกี ําลงั มากจึงไป กระชาก \" คาหธรรม \" (ตณั หา มานะ ทฏิ ฐิ ) ใหมาปรากฏในขณะเจริญวิปสสนา - อารมณ ๖ --> นามธรรมเกิด (เจตนา) = อารมั มณปเุ รชาต. > การดบั ทเ่ี ห็นในญาณนี้เปนการเห็นการดับแบบ สนั ตติขาด คอื เหน็ อารมณ + นามธรรม ดับในขณะปจ จุบนั ๓) สัมมสนญาณ = ปญ ญาที่พิจารณาลกั ษณะท้ัง ๓ ของรปู นาม ๕) ภังคญาณ = ปญญาท่เี หน็ ความดบั ไปของรูปนาม > เปนปญ ญาที่เกดิ จากการพจิ ารณารเู หตุปจ จัยการเกดิ ของรูปนามมากข้ึนๆ จนมกี ําลังเห็นถงึ การดับ > ปญ ญาที่เหน็ สภาพรูปนามมีแต การดบั อยางเดยี ว ( แบบสันตติไมข าด ) > เกิดจากปญ ญาทเ่ี หน็ ทง้ั เกดิ + ดบั ใน อุทยพั พยญาณ แตม กี าํ ลงั มากกวาจงึ ละการเกดิ เห็นแตก ารดับ > อารมณกับจติ ดับไมพ รอ มกัน > ตอ งมีนามธรรมใหมๆ เกิดกอนจึงจะไปเห็นอารมณเกาดับไป (ไปเหน็ การดับในอดตี ไมใ ชด บั ในปจจบุ ัน ) ซง่ึ เปนการดบั แบบสนั ตติขาด เพราะไปเห็นการดบั แบบขาดอยา งเดียว กําลงั ปญญาจึงเร็วกวา > ถึงแมว า ปญ ญาเหน็ ความดบั ไปในอดตี ก็ตาม กจ็ ดั วาเหน็ ไตรลกั ษณแลว เกิดไดใ น ๓ กาล (ในอุทยพั พยญาณ เหน็ การเกิด + การดับ (แบบขาด ) ปญ ญาจึงมกี าํ ลังนอ ยกวา ชา กวา ) ๔) อทุ ยัพพยญาณ = ปญญาที่เห็นความเกดิ ขนึ้ และความดบั ไปของรปู นาม > กําลงั ปญญาสามารถประหานกเิ ลสโดย \" ตทงั คปหาน \" โดยความเปนอารมั มณานุสยั กิเลส > เปนกาํ ลังปญญาท่ไี ดจ าก ๓ ญาณ คือ นามรูปปริจเฉทญาณ+ปจ จยปรคิ คหญาณ (เหน็ เกิด)+สัมมสนญาณ (เห็นดบั ) จงึ ทาํ ใหเหน็ ท้ัง การเกดิ + การดับ ของรปู นาม ขณะเห็นตรงดับ จึงจะเรยี กวา \" ไตรลกั ษณ \" ชอบ / ไมช อบ = อารัมมณานุสยั ( ปจจุบันอารมณ ) กเิ ลส อนุสยั เรยี กวา สันตานานุสัย ( กาลวิมุต )

-7- ๖) ภยญาณ = ปญญาเหน็ รูปนามเปนภยั ทนี่ า กลัว ๑๑) สงั ขารเุ ปกขาญาณ = ปญ ญาพิจารณาหาทางแลววางเฉยตอรปู นาม > ปญ ญาทเี่ ห็นภัยในสงั สารวัฏฏ --> อดตี ปจ จุบนั อนาคต --> ( ภพ ๓ กําเนดิ ๔ คติ ๕ > ปญญาที่รูไตรลกั ษณ อยางชัดเจน มี ๒ สวน เห็นการดบั ไปของรูปนาม วิญญาณฐตี ิ ๗ สัตตาวาส ๙ ) อารมณ รอู ารมณ อนจิ จลักษณะ --> อนิจจานุปสสนา ทกุ ขลกั ษณะ --> ทุกขานปุ ส สนา ๑๓) โคตรภูญาณ ๗) อาทีนวญาณ = ปญ ญาเห็นโทษของรปู นาม อนตั ตลักษณะ --> อนตั ตานุปส สนา > ปญ ญาที่เห็นรปู นามโดยความเปนโทษ คอื เห็นโทษของสังขาร ๑๕ ประการ (น. ๑๔๐ ) ภ น ท ม ช ..... ช ภ ... ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ม ผ ผ ..ฯลฯ.. ภ น ท ม ช...ช ภ ภ รปู นามทีเ่ ห็ไมไ ดฉ าบทาดวยกเิ ลสซงึ่ ประหานใน ภยญาน แลว การเหน็ รปู นามแทๆ จงึ เห็นโทษทง้ั ๑๕ > เร่ิมเห็นคุณของพระนิพพาน (น. ๑๔๒) เห็นโทษมากเทา ไร กเ็ หน็ พระนพิ พานไดเ รว็ เทานัน้ ๑ ตอนตน ๒ ตอนปลาย ๑๒) อนุโลมญาณ ๑๔) มคั คญาณ ๑๕) ผลญาณ ๑๖) ปจจเวกขณญาณ ยอดวิปสสนา วฏุ ฐานคามินี = วิโมกขมขุ ๓ วิโมกข ๓ มี มคั ค ผล นิพพาน กิเลสทีล่ ะ กเิ ลสท่ี ๘) นพิ พทิ าญาณ = ปญญาเกดิ ความเบื่อหนา ยในรูปนาม สิกขาปตตะ อนิมติ ตานปุ ส สนา อนิมติ ตวโิ มกข เหลอื เปนอารมณ > ปญ ญาทเี่ กิดความเบอื่ หนา ยในรปู นาม ( เพราะเหน็ ภัยและเหน็ โทษ จึงเกดิ ความเบ่อื หนาย ) > ปญญาจงึ แลน เขาสพู ระนพิ พาน ( ญาณ ๖ - ๘ น้นั ถา ไดญ าณใดญาณหนงึ่ จะไดค รบท้งั ๓ ญาณ ) อปั ปณหิ ติ านปุ สสนา อปั ปณิหติ วโิ มกข สญุ ญตานุปสสนา สญุ ญตาวิโมกข ปฏปิ ทา ๔ มกี ิเลส มารบกวนอกี ครั้ง (น. ๒๐๖) ๙) มุญจติ กุ ัมยตาญาณ = ปญ ญาอยากหนใี หพ น จากรปู นาม ๑) ทกุ ขาปฏปิ ทาทนั ทาภิญญา = ปฏบิ ัตลิ าํ บากไดผ ลชา > ปญ ญาที่อยากหนีใหพน จากรูปนาม (การอยากหนีอยากพน มีทางเดียว คอื การพจิ ารณาไตรลกั ษณ ) > เกดิ จากการไดญาณ ๖ - ๘ ๒) ทุกขาปฏปิ ทาขปิ ปาภิญญา = ปฏบิ ตั ิลาํ บากไดผลเร็ว ๖ ภยญาณ --> เหน็ ภัย --> ในสังสารวัฏ ๓) สุขาปฏปิ ทาทนั ทาภญิ ญา = ปฏิบัตสิ ะดวกไดผ ลชา ๗ อาทีนวญาณ --> เห็นโทษ --> เห็นคุณของพระนพิ พาน ๘ นพิ พทิ าญาณ --> เบอ่ื หนา ย --> แลนไปสพู ระนิพพาน ๔) สขุ าปฏิปทาขปิ ปาภิญญา = ปฏิบัติสะดวกไดผลเร็ว อยาก ทงิ้ รปู นาม = มุญจิตกุ ัมยตาญาณ * อนโุ ลมญาณ = ปญ ญาเหน็ สอดคลองกับวปิ ส สนาญาณ ๘ ขางตน ( อุทยัพพยญาณ - สงั ขารุเปกขาญาณ ) ๑๐) ปฏสิ งั ขาญาณ = ปญญาพจิ ารณาไตรลักษณของรปู นามอยางกวางขวาง และถึงพรอ มดว ยกาํ ลงั เพื่อใหม รรคญาณเกิด > เปนญาณท่รี ูไตรลักษณมากท่สี ดุ * ยอดของวิปสสนา มี ๒ อยาง คอื ๑. สกิ ขาปต ตะ วปิ สสนาทถ่ี งึ ยอดถงึ ปลาย ถงึ ความสงู สุด ไดแ ก สงั ขารุเปกขาญาณทีค่ รบองค ๖ เมอื่ ครบองค ๖ แลว ผนู ้นั กม็ หี วังจะไดบรรลุ มรรค ผล นพิ พาน อยา งแนน อน ๒. วุฏฐานคามินี วปิ ส สนาทถ่ี ึงการออกไปจากกเิ ลส และกองทุกขดวยอาํ นาจแหง มรรค

-8- 5 การนับสงเคราะหญาณ ๑๖ โดยโพธิปกขิยธรรม ๓๗ วน ๓ รอบ ในสจั จ ๔ ดวย อาการ ๑๒ ญาณ ๑๖ วิสุทธิ โพธปิ กขยิ ธรรม ๓๗ ๑๖) ปจ จเวกขณญาณ อรยิ สัจจะ ๔ > กตญาณ กจิ ท่ีรแู ลวท้ัง ๔ กจิ ๑๕) ผลญาณ ๑๔) มัคคญาณ ญาณทสั สนวสิ ุทธิ อรยิ มรรคมีองค ๘ > ปญญา, วิตก, วริ ตี ๓, วริ ยิ ะ, สติ, สมาธิ ๑๓) โคตรภูญาณ ๑๒) ๑๐. อนุโลมญาณ ปลาย วุฏฐานคามินี โพชฌงค ๗ > วิรยิ ะ, สต,ิ สมาธ,ิ ปต,ิ ปส สัทธิ, อเุ บกขา, ธมั มวิจย (ปญญา) ๑๑) ๙. สงั ขารเุ ปกขาญาณ ตน > กจิ จญาณ ๑๐) ๘. ปฏสิ ังขาญาณ กิจทั้ง ๔ คือ อริยสจั จ ๔ วิปสสนาญาณ ๑๐ ๙) ๗. มญุ จติ กุ มั ยตาญาณ ปฏิปทาญาณทัสสนวสิ ุทธิ พละ ๕ > สทั ธา, วริ ิยะ, สติ, สมาธิ, ปญ ญา ตองปฏบิ ตั ิ คือ วิปสสนาญาณ ๙ ๘) ๖. นพิ พทิ าญาณ อินทรยี  ๕ > สัทธา, วริ ยิ ะ, สต,ิ สมาธ,ิ ปญญา อทิ ธิบาท ๔ > ฉันทะ, วริ ิยะ, จติ ต, วมิ งั สา (ปญญา) ทกุ ข --> กจิ ควรกาํ หนด ๗) ๕. อาทีนวญาณ สมั มัปปธาน ๔ > วิริยะ (๔) สมุทยั --> กิจควรละ ๖) ๔. ภยตุปฏฐานญาณ นโิ รธ --> กิจควรใหแจง ๕) ๓. ภังคานุปสสนาญาณ มคั ค --> กจิ ควรใหเจรญิ พลว ๔) ๒. อทุ ยัพพยญาณ ตรณุ มคั คามัคคญาณทสั สนวิสุทธิ ๓) ๑. สัมมสนญาณ ๒) ปจจยปรคิ คหญาณ กังขาวติ รณวสิ ทุ ธิ ๑) นามรปู ปริจเฉทญาณ ทฏิ ฐวิ ิสุทธิ > สจั จญาณ วิปสสนาภมู ิ ๖ นามรูปในสตปิ ฏ ฐาน ๔ ปจจุบนั ธรรม สตปิ ฏ ฐาน ๔ > สติ (๔) ปญ ญาท่รี ูค วามจรงิ จากการศกึ ษา โยนิโส (อาศัยความขา ใจในสภาวะรูปนามอยางดี ) กาย เวทนา จติ ต ธมั ม โยคาวจร สกิ ขติ ( สังเกตเุ พ่อื ไมใหตกกระแสปจจบุ ัน ) ตัณหาจรติ ทฏิ ฐจิ ริต ( อาตาป สตมิ า สัมปชาโน ) > จําแนก อธ. ๑๔ โดยฐานของโพธปิ ก ขิยธรรม ๓๗ > วปิ ส สนาญาณ ๑๐ เริม่ ท่ี สัมมสนญาณ - อนุโลมญาณ พดู ถงึ ไตรลักษณ เปน อารมณ ๑.วิตก ๒.ปส สทั ธิ ๓.ปติ ๔.อเุ บกขา ๕.ฉนั ทะ ๖.จิตต ๗.วิรตี๓ อธ.๙ มีอยางละ ๑ ฐาน > วปิ ส สนาญาณ ๙ เริม่ ที่ อทุ ยัพพยญาณ - อนโุ ลมญาณ พดู ถึงรปู นามและไตรลักษณ ๑๐.วริ ยิ ะ มี ๙ ฐาน ๑๑.สติ มี ๘ ฐาน ๑๒.สมาธิ มี ๔ ฐาน ( นามรูปปรจิ .+ปจจยปรคิ คห.+สัมมสนญาณ ) ท่อี ยใู นอทุ ยพั พยญาณ ๑๓.ปญญา มี ๕ ฐาน ๑๔.สทั ธา มี ๒ ฐาน

-9- 5 โพธิปก ขิยธรรม ๓๗ * สตปิ ฏฐาน ๔ ทาํ ลายอภชิ ฌา + โทมนัส มัคคญาณ ---> อรยิ มรรคมอี งค ๘ ๑. อารมณท ถ่ี ูกเพง มี ๔ อยา ง คอื กาย, เวทนา, จติ ตา, ธัมมา โคตรภูญาณ ๒. ผเู พงอารมณ คอื โยคาวจร ( อาตาป, สติมา, สัมปชาโน ) อนุโลมญาณ วฏุ ฐานคามนิ .ี ---> ๖.โพชฌงค ๗ (สมบูรณม กี าํ ลงั มาก ) ๓. ผูเหน็ คอื ปญญาในวปิ สสนาทําลายอภชิ ฌา + โทมนัส สงั ขารเุ ปกขาญาณ - ปลาย (ยอดของวปิ สสนา) ๒) สัมมัปปธาน ๔ กบั กจิ ๔ ขอ ( อธ. ไดแก วริ ิยะเจตสิก ดวงเดยี ว ) - ตน ปฏิสงั ขาญาณ ๑. สงั วรปธาน เพยี ร ละอกุศลท่ยี งั ไมเกดิ ไมใหเ กิดขึน้ ทาํ ใหศ ีลบรสิ ทุ ธิ์ มุญจติ กุ มั ยตาญาณ ๒. ปหานปธาน เพยี ร ละอกศุ ลท่เี กดิ แลว ใหหมดไป นพิ พิทาญาณ ๓. ภาวนาปธาน เพยี ร ใหกุศลท่ยี งั ไมเ กิด ใหเ กิดขึน้ ทําใหเ กดิ สติ + ปญ ญาในโยคาวจร อาทีนวญาณ ๔. อนรุ กั ขณปธาน เพยี ร ใหกุศลทีเ่ กดิ แลว ใหต ง้ั ม่ันเจรญิ ข้ึน ตง้ั มัน่ ถงึ อริยมรรคมอี งค ๘ ภยญาณ ภังคญาณ ---> ๕. พละ๕ ** โยคาวจร ในอรยิ มรรคมีองค ๘ คอื สัมมาวายามะ, สัมมาสต,ิ สัมมาทฏิ ฐิ อุทยัพพยญาณ - พลว ---> ๔. อินทรยี  ๕ สมั มปั ปธาน ๔ ( วิริยะ ) - ตรุณ ๓. อทิ ธบิ าท ๔ โลกยี ะ โลกุตตร สมั มสนญาณ ๒. สัมมัปปธาน ๔ - มสี ติปฏ ฐาน ๔ เปนอารมณ - มพี ระนพิ พานเปน อารมณ (เรียกวาสมั มาวายามะ) ปจ จยปริคคหญาณ - ทําหนา ทีเ่ ปน อาตาปใ นโยคาวจร - กจิ ทง้ั ๔ ขอ เกิดพรอมกนั นามรูปปรจิ เฉทญาณ ---> ๑. สตปิ ฏ ฐาน ๔ ( กายา เวทนา จิตตา ธมั มา ) - กจิ ทงั้ ๔ ยังไมเกดิ พรอ มกัน - ดวยกจิ ขอ ๑+๒ ทําใหว ริ ตี ๓ เกิดพรอ ม (โยคาวจร - อาตาป สตมิ า สัมปชาโน ) และแนนอนในมคั คจิต ๑) สติปฏ ฐาน ๔ มี \" สติ \" ดวงเดยี วทาํ หนา ที่เปนสตปิ ฏฐาน ๔ ได - ดวยกิจขอ ๓+๔ เปน ปจจยั ใหม คั คจติ เกิดขนึ้ กายา เวทนา จติ ตา ธมั มา ๑. อารมณอ นั เปน ทตี่ ัง้ แหงการกําหนดมี ๔ รูปขนั ธ เวทนาขนั ธ วิญญาณขนั ธ สัญญา+สงั ขาร * สมั มัปปธาน ๔ ยงั เปนปจ จัยใหความพอใจอยา งแรงกลา ในการปฏบิ ตั ิวปิ ส สนาใหเ กดิ ข้นึ +รปู ขันธบ างสวน * การประหาณกิเลส ของสัมมปั ปธาน ๔ ดวยกิจขอ ๑, ๒ ละสภุ ละสขุ ละนจิ จะ ละอัตตะ อารมณ ๖ กระทบ --> อนสุ ัย ๗ ปรากฏเปน ปรยิ ุฏฐานกเิ ลสเกิด ---> วตี ิกกมกิเลสเกดิ ๒. ลกั ษณะแหงนมิ ิตท่ีปรากฏมี ๔ อสภุ ลักษณะ ทุกขลักษณะ อนจิ จลกั ษณะ อนตั ตลกั ษณะ ใจ (ชอบ/ไมช อบ) กาย+วาจา ๓.การประหาณวปิ ล ลาสธรรมมี ๔ ละสุภวปิ ลลาส ละสขุ วปิ ล ลาส ละนิจจวิปลลาส ละอตั ตวิปล ลาส อาศัย อนิ ทรยิ สังวรศลี อาศัย ปาฏิโมกขสังวรศลี (ธรรมทีเ่ คลือ่ นจากความเปนจริง) ถา เขาถึงสมั มปั ปธาน ๔ ขอ ๑, ๒ กท็ าํ ใหศลี ๒ ขอ นส้ี มบูรณไดเ ลย

๓) อทิ ธบิ าท ๔ ในสัมมัปปธาน ๔ เปน ปจจัยให ความพอใจอยางแรงกลา (ฉนั ทะ) ในการปฏิบัตวิ ปิ ส สนา ๕) พละ ๕ - 10 - ใหเกดิ ข้นึ และมี ๑.ฉันทิทธบิ าท เกดิ ข้ึน -> ๒.วิริยิทธิบาท (ความเพียรอยางแรงกลา) ธรรมทกี่ าํ ลงั ตอ สกู บั กเิ ลส อินทรียท เ่ี สมอกันมีกําลงั มากเขา ถงึ ศรัทธาพละ - ศรัทธาที่มกี าํ ลังอยา งมั่นคงในการท่จี ะละอารมณทีต่ กไปในฝา ยกิเลส ใหหมดไป ๓.จิตตทิ ธิบาท (สมาธิ) (อารมั มณานุสยั ) วิรยิ ะพละ - ความเพยี รในการละอกศุ ลดวยกิจ ๒ ขอแรก ๔.วมิ งั สิทธบิ าท (ปญ ญา) สตพิ ละ - ระลกึ ในสติปฏ ฐาน ๔ อยางแนวแน สมาธพิ ละ - ต้ังม่ันในสติปฏ ฐาน ๔ อยางแนวแน วา โดย อธ. วา โดย ปญญาพละ - การชากลากกิเลสออกจากใจ มกี ําลังมากกวา อวิชชาและตณั หา ฉันทะ วิรยิ ะ จิตตะ วิมงั สา ความเปน ไป อทิ ธิบาท ๔ อธิบดี ๔ อินทรยี  ๑) เปนธรรมใหสําเร็จ ๑) วาโดยปฏฐาน ๑) เกดิ ไดค ราวละ ๑) เกิดไดคราวละ มรรคผล - สหชาตาธปิ ติ ๑ เทา นนั หลายๆ อนิ ทรีย ๖) โพชฌงค ๗ พละ ๕ มีกาํ ลงั มาก ผลกั ดนั ใหธ มั มวิจยสมั โพชฌงคเกิด และเจรญิ ข้นึ - อารมั มณาธิปติ ๒)พระอรหนั ต+ผลไมมี ๒) พระอรหนั ต +ผล ๒) เกิดกับทวเิ หตุ + ๒) เกิดไดก บั อเหตุก + ๗) อรยิ มรรคมอี งค ๘ อิทธิบาท ๔ เปน ปจ จัย มีอธิบดอี ารมณได ติเหตุ สเหตกุ ๓) เกิดกบั กุศล ๒๑ ๓) เปน อารมณไดทัง้ โลกียะ โลกตุ ตระ ๑. มสี ตปิ ฏ ฐาน ๔ เปนอารมณ ๑. มพี ระนิพพาน เปนอารมณ เทานน้ั กุศล อกุศล อัพยากต ๒. มีเพียงองคมรรค ๕ ๒. มีครบองคม รรค ๘ ๓. มีสมั มาสติ เปน องคมรรคแรก ๓. มสี ัมมาทิฏฐิ เปน องคม รรคแรก ๔) เปน ธรรมในโพธิปก. ๔) ไมเ ปนธรรมใน โพธปิ ก ขิยธรรม ๔) อินทรยี  ๕ อิทธบิ าท ๔ เปน ปจจัยให ศรัทธาปรากฏ กองปญญา กองศลี กองสมาธิ สัมมาทิฏฐิ สมั มาวาจา สัมมาวายามะ - ปกติศรทั ธา > ทาน ศลี ภาวนา ( เปนทอ่ี าศยั ของกเิ ลส เกดิ ไดดว ย ) สัมมาสงั กปั ปะ สัมมากัมมันตะ สมั มาสติ (ปราศจาก สัมมาอาชวี ะ สัมมาสมาธิ - ภาวนาศรัทธา > สมถะ, วิปสสนา อภิชฌา+โทมนสั ) - ศรทั ธา (สทั ธินทรีย ) มี ๔ อยา ง ๑.กมั มศรทั ธา เปนปจจยั ใหเกดิ อนิ ทรียอ ื่นๆ ( ทเ่ี สมอกนั ) ๒.วปิ ากศรัทธา - วริ ิยนิ ทรยี , สตินทรยี , สมาธนิ ทรยี , ปญญินทรีย ๓.กัมมัสสกตาศรัทธา - ดําเนินไปสมู รรคโดยสว นเดยี ว ๔.ตถาคตโพธศิ รัทธา (ปฏปิ ทาญาณทัสสนวิสทุ ธิ = พลวอทุ ยพั พยญาณ ) * ญาณตน ๆ กม็ อี ินทรยี  แตไมเสมอกัน เชน ศรัทธา > ปญญา ทําใหกิเลสเกดิ และทําใหเกดิ \" วปิ สสนูปกิเลส \" ท่ี ตรณุ อุทยัพพยญาณได

- 11 - 5 สตปิ ฏฐาน ๔ ( บรรยายจากเอกสารประกอบ ) สตปิ ฏ ฐานหมวดท่ี ๓ จิตตานปุ ส สนาสติปฏ ฐาน มี ๑๖ บรรพ หรือ ๑๖ ขอ คือ คือฐานทต่ี ้ังของสติ หรือเปน ฐานทีร่ องรบั การกําหนดของสตอิ ยางประเสริฐ อนั เปนเหตุท่จี ะใหเ กิด ๑) จิตทป่ี ระกอบดว ยความรกั ๙) จติ ท่ีเปนรูปาวจร อรูปาวจระ วปิ สสนาปญ ญา อนั เปนผลมี ๔ ประการ ไดแ ก กายา., เวทนา., จิตตา., ธัมมานุปสสนาสติปฏ ฐาน ดงั น้นั สตปิ ฏ ฐาน ๔ จึงเปน ทางสายเอก / เปน ทางสายเดยี วแหงขอ ปฏบิ ตั ิอนั ถกู ตอง ที่จะใหเห็นอริยสจั ๔ ถงึ ความ ๒) จิตท่ไี มประกอบดวยความรกั ๑๐) จติ ท่ไี มเปน รูปาวจร อรูปาวจระ พนทกุ ขไ ดจริง ไมมที างอนื่ หรือขอ ปฏบิ ัตอิ ยางอ่ืนทีย่ ่งิ ไปกวาทางนี้ มอี านสิ งส ๕ ประการ คือ ๓) จิตทีป่ ระกอบดว ยความโกรธ ๑๑) จิตกามาวจระ ๑) เพื่อความบริสุทธ์หิ มดจดจากกเิ ลสของสัตวท ้งั หลาย ๒) เพือ่ ระงับความเศรา โศก และความครา่ํ ครวญ ๔) จิตทไ่ี มป ระกอบดวยความโกรธ ๑๒) จิตไมใชโลกตุ ตระ ๓) เพอื่ ดบั ความทกุ ข และโทมนัส ๔) เพอ่ื บรรลธุ รรมท่ถี ูกตอ ง คอื อรยิ มรรค ๕) จติ ทป่ี ระกอบดว ยความหลง ๑๓) จติ เปน สมาธิ ๕) เพือ่ เห็นแจงพระนิพพาน อนั เปนธรรมท่ดี บั กิเลสและดับทกุ ข ๖) จิตท่ีไมประกอบดวยความหลง ๑๔) จิตไมเ ปน สมาธิ ๗) จิตที่ประกอบดวยความงว งเหงาหาวนอน ๑๕) จิตพน กเิ ลส ๘) จิตที่ฟุงซา น ๑๖) จิตไมพ น กเิ ลส สตปิ ฏ ฐานหมวดท่ี ๔ ธัมมานุปสสนาสตปิ ฏ ฐาน มี ๕ บรรพ หรอื ๕ ขอคอื สติปฏ ฐานหมวดที่ ๑ กายานปุ สสนาสตปิ ฏฐาน มี ๑๔ บรรพ หรือ ๑๔ ขอคือ ๑) นวิ รณ ๕ ๔) โพชฌงค ๗ ๑) อานาปาน ๑ ไดแก ลมหายใจเขา ออก นับเปน ๑ บรรพ ๒) ขันธ ๕ ๕) อริยสัจ ๔ ๒) อิรยิ าบถ ๔ ไดแ ก ยนื เดนิ นง่ั นอน นับเปน ๑ บรรพ ๓) อายตนะ ๑๒ ๓) สัมปชญั ญะ ๗ - กาวไปขา งหนา และถอยหลงั ๑ - การเคี้ยว การดืม่ การกิน ๑ (อิริยาบถยอ ย) - แลไปขา งหนาหรือเหลียวซา ยแลขวา ๑ - การถายอุจจาระ ถา ยปส สวะ ๑ รวมสติปฏ ฐานโดยพิสดารมี ๔๔ บรรพ ซ่งึ เปนทัง้ สมถะ และวปิ สสนา เฉพาะในหมวดกายานปุ สสนา คอื อริ ยิ าบถ ๔ สัมปชญั ญะ ๗ ธาตทุ ัง้ ๔ รวม ๓ บรรพ เปนวปิ ส สนา ลวนๆ สวนอานาปานบรรพ ปฏิกลู บรรพ และ - กิรยิ าที่คอู วัยวะเขา เหยียดอวัยวะออก ๑ - การเดนิ ยืนนง่ั นอน หลับตื่น พูด นงิ่ ๑ อสุภบรรพ ๙ รวม ๑๑ บรรพ นี้ เปน สมถะ - กิรยิ าทใ่ี ชบ าตรและจวี รหรอื สงั ฆาฏิ ๑ นบั เปน ๑ บรรพ ๔) ปฏิกูล ไดแก อาการ ๓๒ มี ผม ขน เล็บ ฟน หนงั ฯ นบั เปน ๑ บรรพ ๕) ธาตุ ๔ ไดแก ปถวี อาโป เตโช วาโย นับเปน ๑ บรรพ ในสตปิ ฏ ฐานท้งั ๔ หมวด กไ็ ดแก ขนั ธ ๕ หรอื รูปนามนนั่ เอง คอื ๑) กายานปุ สสนาสติปฏ ฐาน เปน รูปธรรม ๖) อสภุ ไดแก คนท่ตี ายได ๑ วนั จนถงึ กระดูกกระจดั กระจาย นบั เปน ๙ บรรพ ๒) เวทนานปุ ส สนาสตปิ ฏฐาน เปน นามธรรม ๓) จิตตานุปสสนาสตปิ ฏฐาน เปนนามธรรม สติปฏ ฐานหมวดที่ ๒ เวทนานุปสสนาสติปฏฐาน มี ๙ บรรพ หรือ ๙ ขอ คือ มสี ตริ ะลกึ รูใน ๔) ธมั มานุปสสนาสตปิ ฏ ฐาน เปน ทัง้ รปู และนามธรรม สุขเวทนา ๑) ที่กาํ ลงั เกดิ อยู ๔) ทเี่ จือดว ยอามิส ๗) ทไ่ี มเ จอื ดวยอามสิ ทกุ ขเวทนา ๒) ทก่ี าํ ลงั เกิดอยู ๕) ทเ่ี จอื ดวยอามสิ ๘) ท่ไี มเ จอื ดว ยอามสิ อเุ บกขาเวทนา ๓) ทกี่ าํ ลงั เกิดอยู ๖) ทเ่ี จอื ดว ยอามสิ ๙) ท่ไี มเจือดวยอามิส

- 12 - 5 เนื้อหาพระบาลี ๖ ( ดจู ากหนังสอื ) 5 ญาณทสั สนวสิ ทุ ธิ ( น. ๗ - ๑๑ ) ท่เี ปน ปจ จุบัน เกดิ ไดใน ๓ กาล เห็นสภาวะรปู นาม ---> มีกําลังมากขึ้นเพราะ เหน็ เหตุปจจยั (การเกดิ ของรปู นาม) ---> ปญญาเห็นการเกดิ ดวยกาํ ลงั มากข้นึ เมอ่ื น้นั ปญ ญาก็ ปญ ญาจาก ๓ ญาณขางตนรวมกันเหน็ ทั้งเกดิ และดบั ที่เปนปจ จุบัน เหน็ โดยความดบั = อนิจจงั / ทุกขงั / อนัตตา แบบสนั ตตขิ าด แบบสนั ตตไิ มขาด ภ ตี น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ .... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .............. ภ ตี น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ .... ๑) นามรปู ปริจเฉทญาณ ๒) ปจจยปริคคหญาณ ๓) สมั มสนญาณ ๔) อุทยพั พยญาณ - ๑.ตรณุ .ชวงตน ๒.ตรณุ .ชวงปลาย ชวงนีไ้ มเ รยี กวา มคั คามัคค. เกดิ วปิ ส สนูปกเิ ลสเขา แทรก ทายชว งตน น้ี เกิดปญญา ปญ ญาเหน็ ไตรลักษณอีกคร้งั จึงจดั เขาใน มัคคามัคค.แลวจึงขา มไปเปน ชวงปลาย มคั คามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ [ ลกั ษณะ ๓ ] [ อนุปส สนา ๓ ] [ วโิ มกขมขุ ๓ ] [ วิโมกข ๓ ] - อนจิ จลกั ษณะ อนจิ จานุปสสนา > ละนิมติ เคร่ืองหมาย อนมิ ติ ตานุปสสนา อนิมิตตวิโมกข - ทกุ ขลักษณะ ทุกขานปุ ส สนา > ละปณิธิ ท่ตี ้ังแหงตัณหา อัปปณิหติ านุปส สนา อัปปณิหติ วิโมกข - อนตั ตลักษณะ อนตั ตานุปส สนา> ละอตั ตตวั ตนออกไปได สญุ ญตานปุ ส สนา สญุ ญตวิโมกข ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ...................... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ม ผ ผ ปจจเวกขณ. ๕ วถิ ี ๑. พจิ ารณามรรค ๕) พลวอทุ ยพั พยญาณ ภงั คญาณ ภยญาณ อาทนี ว. นพิ พทิ า. มญุ จิตุกมั ยตา. ปฏิสังขา. สงั ขารุเปกขา. (ปลาย ) ๑ > อนโุ ลมญาณ ๓ > ๔-๕ > ๖ > ๗ > ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... (๑ - ๓) ปฏปิ ทาญาณทสั สนวสิ ทุ ธิ ๒. พจิ ารณาผล เกิดกับพระอรยิ ะท่ี ไมไ ดศึกษาปริยตั ิ ๒ > วฏุ ฐานคามินี ญาณทัสสนวสิ ุทธิ ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... ๓. พจิ ารณาพระนพิ พาน ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... (๑ - ๕) ๔. พจิ ารณากเิ ลสทีล่ ะ เกิดกับพระอริยะที่ ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... ไดศ กึ ษาปรยิ ตั ิ ๕. พจิ ารณากิเลสทเ่ี หลอื ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ....

5 ขยายความ ญาณทัสสนวสิ ุทธิ (น. ๗ - ๑๑ ) - 13 - ๑ > เมื่อพระโยคาวจรบคุ คล กําลงั ปฏบิ ัติอยูอยา งน้ี เพราะอาศยั ความแกร อบของวิปสสนา ๖ > ตอจากมรรคญาณน้ันไป ผลจติ ทีเ่ กดิ ขนึ้ ๒ - ๓ ขณะ ( ตามสมควรแก มันทะและติกขบคุ คล ) แลวดบั ไป วิปสสนาจิต ๒ - ๓ ขณะ ปรารภ อนจิ จลักษณะ เปน ตน อยางใดอยางหนึง่ ตอจากน้นั จิตก็ลงสูภ วงั ค ปจจเวกขณะญาณทงั้ หลายตัดกระแสภวงั คข าดแลว ยอ มเกิดขน้ึ ตอ ไป เปนไปในลําดบั แหง มโนทวาราวัชชนะ ตัดกระแสภวงั คเ กดิ ข้ึนวา บดั นอ้ี ปั ปนาจักสําเร็จโดยชอ่ื วา บรกิ รรม อุปจาร อนโุ ลม (ปริ อุ นุ ) = อนุโลมญาณ ๗ > พระอรยิ บุคคลผเู ปน บณั ฑติ ยอ มพจิ ารณามรรคญาณ ผลญาณ และพระนพิ พาน สําหรบั กเิ ลสทปี่ ระหาณแลว และกเิ ลสท่ยี งั ไมไดป ระหาณ ยอ มพจิ ารณาบา ง ไมไ ดพจิ ารณาบาง ( แลว แตปรยิ ตั ิ ) ๒ > วิปสสนาญาณใด ถึงซ่งึ ความเปน ยอด วปิ ส สนาญาณนัน้ เปน ไปพรอมดวยอนุโลมญาณ และ อรยิ มรรค ๔ ประการ ท่เี นอ่ื งมาจากการเจริญวิสุทธิ ๖ เรยี กวา ญาณทัสสนวสิ ทุ ธิ สังขารเุ ปกขาญาณ ทา นเรยี กวา \" วุฏฐานคามินีวปิ ส สนา \" แปลวา วปิ ส สนาทถี่ ึงการออกไปจากกิเลสและกองทกุ ข ดว ยอาํ นาจแหง มรรค ๓ > ตอ จากนนั้ โคตรภูจิต หนว งพระนพิ พาน มาเปน อารมณ แลวทาํ ลายเสยี ซงึ่ ปถุ ุชนโคตร และยังพระอรยิ โคตรใหเ กดิ ขึ้น เรียกโคตรภูวา อพั โพหาริกะ เพราะอยูระหวางโลกียะ กบั โลกตุ ตร ๔ > ในลาํ ดับโคตรภูจติ นนั้ น่นั เอง อริยมรรคกําหนดรูทุกขสจั ละสมุทยสัจ กระทํานิโรธสจั ใหแ จง หย่ังลงสอู ัปปนาวถิ ี ดว ยสามารถแหง การกาํ หนดสัจจใหเ จริญ * โค ช่ือวา เอกโตวุฏฐาน ออกไปอยางเดียวแหงอารมณ * มัคค ชอ่ื วา อภุ โตวุฏฐาน การหลุดออกไป ทง้ั ๒ (อารมณ + จติ ) ๕ > ถา วุฏฐานคามนิ ี. เหน็ พิเศษโดยความ ไมเ ท่ยี ง มรรคที่เกิดขนึ้ ช่อื วา อนิมิตตวโิ มกข \"\" \"\" เปนทกุ ข \" อปั ปณหิ ติ วิโมกข เปน อนตั ตา \" สญุ ญตวโิ มกข

- 14 - 5 แสดงวโิ มกขเภท (น. ๙ - ๑๐ ) มี ๒ คือ วโิ มกขมุข ๓ และวิโมกข ๓ * พระโสดาบัน + พระสกทาคามี ทําอะไรไดบ าง ๑) วิโมกขมุข เกดิ จากการพิจารณา สภาวะของรูปนาม ๑) เขาผลสมาบัติ โดยเริ่มที่ พลวอทุ ยพั พยญาณ ---> ผลสมาบัติ มี อนิจจ,ํ ทุกขํ, อนตั ตา ๒) เพ่อื ใหไดมรรคสงู ขึ้น เรม่ิ ท่ี พลวอทุ ยัพพยญาณ = ๑๒ ญาณครึ่ง อนจิ จํ ทุกขํ อนตั ตา สภาวะ (ปรมตั ถ ) * พระอนาคามี + พระอรหันต อาการ (บัญญตั )ิ เปน อาการ(บัญญตั )ิ ทเี่ กิดจากสภาวะ (ปรมัตถ) ๓) เขา นิโรธสมาบตั ิ โดยตอ งเจรญิ สมถะสาํ เรจ็ จาก ปฐมฌาน ---> เนว. ๒) ปคุ คลเภท (น.๑๐, ๒๓๓ ) วิปสสนา เร่มิ ท่ี พลว. ---> สังขาร.ุ การจาํ แนกประเภทอริยบุคคล และการประหาณกิเลสโดยมรรคท้งั ๔ พระโสดาบนั ประหาณ ทิฏฐิ + วจิ ิกจิ ฉา ไดพ ระโสดาบัน ๓ ประเภท ข้นั ตอน ๑. เจริญปฐมฌาน ออกจากปฐมฌาน ---> พลว. ---> สงั ขาร.ุ ๑. เอกพชี โี สดาบนั ( อุคฆฏติ ัญูบุคคล ) - ปฏิสนธิ อีก ๑ ชาติ สรา งบารมีอยา งแกกลา ๔. จตุตถฌาน ออกจากจตตุ ถฌาน ---> พลว. ---> สงั ขารุ. ๒.โกลงั โกลโสดาบัน ( วิปญจติ ัญูบุคคล ) - ปฏสิ นธิ อีก ๒ - ๖ ชาติ สรา งบารมีอยา งกลาง ๕. เขาอากาสา. ออกจากอากาส. ---> พลว. ---> สังขาร.ุ ๓.สัตตกั ขตั ตุปรมโสดาบนั ( เนยบุคคล ) - ปฏสิ นธใิ นมนษุ ย / เทวภูมิ อีก ๗ ชาติ สรา งบารมีอยา งออ น ๖. เขา วญิ ญา. ออกจากวิญญา. ---> พลว. ---> สงั ขารุ. พระสกทาคามี เกดิ อีกชาติเดียว ทาํ ราคะ โทสะ โมหะ ใหเบาบางลง (ตนุกรปหาน ) พระอนาคามี ประหาณ กามราคะ + พยาบาท หมดส้ิน ๗. เขา อากิญ. ออกจากอากิญ. ---> พิจารณาปพุ พกจิ พระอรหันต ปรหาณกเิ ลสทง้ั หมด ๘. เขาเนวสญั ญานาสญั ญายตนฌาน มีพระนิพพานเปนอารมณ มพี ระนิพพานเปน อารมณ มไี ตรลกั ษณเ ปน อารมณ มอี ากิญ. เปน อารมณ ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ ฌ ... จติ , เจ, จริ ุ ดบั .... ผ ผ เขา นโิ รธสมาบตั ิ มกี ารรักษา - ฌาน กาํ ลงั ของฌานสมาบัติ ๘ / ๙ - ญาณ อนาคามิมคั . / อรหตั ตมัค.

- 15 - 5 วสิ ทุ ธิ ๗ ศลี ๑) สลี วิสุทธิ > ความบรสิ ุทธแ์ิ หงศลี - ชาํ ระกายวาจาใจ ใหบ รสิ ทุ ธ์ิ มีรูปนามเปนอารมณ สมาธิ ๒) จิตตวิสทุ ธิ > ความบริสุทธ์ิแหง จติ - ชําระใจ ใหปราศจากนวิ รณ ( จูฬโสดาบัน ) > ความบรสิ ทุ ธแ์ิ หง ความเห็น - ชาํ ระใจ ใหป ราศจากสกั กายทฏิ ฐิ ๓) ทฏิ ฐิวสิ ทุ ธิ ( นบั สงเคราะหในญาณ ๑๖ ได \" นามรปู ปริจเฉทญาณ \" ) > ความบริสุทธ์คิ ือ ญาณทีข่ ามพน จากความสงสัย - ชําระใจ ใหป ราศจากวจิ ิกจิ ฉา ๔) กังขาวิตรณวิสทุ ธิ ( นบั สงเคราะหใ นญาณ ๑๖ ได \" ปจจยปรคิ คหญาณ \" ) ปญญา โล ีกยะ ๕) มคั คามคั คญาณทสั สนวสิ ุทธิ > ความบรสิ ุทธใิ์ นความเห็นแจง ของญาณวา เปนมัคคปฏิปทาและมิใชม ัคคปฏปิ ทา - ชาํ ระใจ ใหป ราศจาก \"คาหธรรม\" ท้งั ๓ มไี ตรลกั ษณเปน อารมณ ( นับสงเคราะหใ นญาณ ๑๖ ได \" สัมมสนญาณ - ตรุณอุทยัพพยญาณ \" ) คอื ยึดมั่นดว ยตัณหา มานะ ทิฏฐิ ในอปุ กิเลส ๑๐ อยาง ๖) ปฏปิ ทาญาณทัสสนวสิ ทุ ธิ > ความบริสุทธิใ์ นการเห็นแจงของญาณ อนั เปนเคร่ืองดาํ เนนิ ไปสูม คั คปฏิปทาโดยสวนเดียว ( นบั สงเคราะหในญาณ ๑๖ ได \" พลวอทุ ยัพพยญาณ - อนโุ ลมญาณ \" ) - ชาํ ระใจ ใหป ราศจากวิปล ลาส ** โคตรภญู าณ ไมนับสงเคราะหใ นวิสุทธิใด แตนบั โดยปริยาย เขา ใน ปฏปิ ทาญาณทสั สนวสิ ุทธิ ๗) ญาณทสั สนวสิ ุทธิ > ความบรสิ ทุ ธิ์ในการเหน็ แจง โดยสวนเดียวของญาณ - ชาํ ระใจ ใหพ นจากมลทนิ คอื โมหะ มีพระนิพพานเปนอารมณ โล ุกตตระ ( นับสงเคราะหในญาณ ๑๖ ได \" มัคคญาณ \" เพียงญาณเดียว เพราะ แสดงไดทงั้ ๓ เน้อื ความ คอื ญาณ + ทสั สน + วสิ ุทธิ แตถ า เปนผลญาณ แสดงไดเ พยี ง ญาณ + ทัสสน เทานั้น ) > เปนสง่ิ ทีพ่ ระพทุ ธองคท รงสง่ั สอนเวไนยสตั วทัง้ หลายดวยปฏก ๓, อริยสจั จ ๔, โพธปิ ก ขิยธรรม ๓๗ พรอ มทัง้ ศลี สมาธิ และปญญา ก็สมบูรณท ่สี ดุ ในวสิ ทุ ธทิ ่ี ๗ นเี้ อง ** ผลญาณ ไมนับสงเคราะหใ นวสิ ุทธิใด แตน บั โดยปรยิ าย เขา ใน ญาณทสั สนวิสทุ ธิ - มพี ระนพิ พานเปนอารมณ ** ปจ จเวกขณญาณ ไมน บั สงเคราะหใ นวสิ ุทธิใด แตนบั โดยปรยิ าย เขาใน ญาณทสั สนวสิ ุทธิ - มี มรรค ผล นพิ พาน กเิ ลสที่ละ กิเลสทีเ่ หลือเปน อารมณ

- 16 - ๑) สลี วิสุทธิ ความบริสุทธิแหง ศลี ๑. ปาฏิโมกขสงั วรศลี ๒. อนิ ทรยิ สังวรศีล ๓. อาชีวปาริสทุ ธศิ ีล ๔. ปจจยสันนิสสติ ศลี ๑. ศลี ทีส่ าํ รวมในพระปาฏโิ มกข ๑. ศีลทส่ี าํ รวมในอินทรีย ๖ ๑. ศีลทีม่ ีอาชีพบรสิ ทุ ธ์ิ ๑. ศลี ทอี่ าศยั ปจจัย ๔ ๒. อาศยั กาํ ลังแหง \" ศรัทธา \" ๒. อาศัยกําลงั แหง \" สติ \" ๒. อาศยั กําลังแหง \" วริ ิยะ \" ดวยกิจ ๒ ขอ คอื ๒. อาศยั กาํ ลงั แหง \" ปญ ญา \" ๓. เปนขอ หา มไมใ หท ําทางกาย และวาจา ๓. การสาํ รวมทางใจนีม้ เี ฉพาะในพระพทุ ธศาสนา - ละอกุศลที่ยังไมเกดิ ไมใ หเกิด ๓. ตอ งพจิ ารณากอ นรบั ปจจยั ๔ ๔. กําจดั กเิ ลสอยา งหยาบ เปน \" วตี ิกกมกเิ ลส \" ๔. เปนการกําจดั กเิ ลสอยา งหยาบ กลาง ละเอยี ด - ละอกศุ ลทเ่ี กดิ แลว ใหอนั ตรธานไป ๔. ตอ งมโี ยนโิ สขณะฉันอาหาร ๕. อธ. ไดแ ก ศีล (๕, ๘, ๑๐, ๒๒๗ ) เปน \" ปริยฏุ ฐานกเิ ลส \" ๓. เปน ขอ หามไมใหทาํ ทางกาย+วาจา ที่เกี่ยวกบั อาชีพ เพราะมีอานสิ งสค มุ ครองไปถงึ การรับปจจยั ๔ แม ๖. เปนไปใน วิรตี ๓ คอื ๕. สามารถทําลายอภิชฌา + โทมนสั ๔. เปน ไปใน วริ ตี ๓ คือ ขาดการโยนโิ สในการรับปจ จยั ๔ (อาศยั กําลงั แรง ส.กัมมนั ตะ เวน จาก กายทจุ รติ ทไี่ มเก่ยี วกับอาชีพ ๕. เปนไปใน สติปฏ ฐาน ๔ ส.อาชีวะ เวนจาก กาย+วจีทจุ ริตท่ีเกีย่ วกบั อาชีพ ทางโยนิโสในขณะฉนั ) ส.วาจา เวน จาก วจีทุจริตท่ไี มเ กย่ี วกบั อาชีพ ๕. ฆารวาส เวนมจิ ฉาอาชวี ะ ๕ อยา ง คาสัตว, คามนุษย, คา อาวธุ , คา ยาพษิ , คา สงิ่ มึนเมา ๖. พระภิกษุ - กลุ ทูสกะ ทาํ ลายโคตรตระกูลพระอริยะ ใหเ ส่อื มศรทั ธา - อาเนสนา ปจจยั > แสวงหาปจจยั บริวาร > สรางบรวิ าร เสนาสนะ > ทาํ ทีอ่ ยูใหเ ส่อื มโทรม เพอื่ หวังผลจากฆารวาส ๖. ศีลมที สี่ ดุ อยู ๕ อยาง คอื ลาภ, ยศ, ญาติ, อวยั วะ, ชีวติ ( กาํ หนดในพระวินัย ) เทสนาสทุ ธิ สงั วรสุทธิ เอฏฐสิ ทุ ธิ ปจ จเวกขณสทุ ธิ ความบริสุทธดิ์ วยการ \" แสดง \" ความบริสทุ ธด์ิ วยการ \" สํารวม \" ความบริสทุ ธ์ดิ วย \" อาชพี ที่แสวงหา \" ความบริสทุ ธด์ิ ว ยการ \" พิจารณา \" ความบริสุทธ์ิของ \" จตุปารสิ ทุ ธิศลี ๔ ประการ \"

- 17 - ๒) จิตตวสิ ทุ ธิ ความบรสิ ุทธิแหง จติ ( น. ๑๕ - ๑๖ ) ตอ งมีสติปฏ ฐาน ๔ เปนอารมณ ** ถาสมาธิท่ีเปนไปดวยความสงบ + สุข สมาธนิ ั้นไมใ ชจ ิตตวสิ ุทธิ ตองทาํ ลายอภชิ ฌา+โทมนสั ตอ งเปนไปเพ่ือการพน ทกุ ข จิตตวสิ ทุ ธิ มี ๒ นัย คือ เพงปถวี = บรกิ รรมนมิ ิต อุคคหนมิ ิต ปฏภิ าคนิมิต ๑. สมถสมาธิ ภ ตี น ท ป จกั สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ... ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ เอ. -> ปฐมก.ุ ๑ / ปฐมกิ.๑ ไดแก สมาธิ ๒ อยาง คอื อปุ จารสมาธิ และอปั ปนาสมาธิ เอ.-> ม.ก.ุ ๘/ม.ก.ิ ๘ เอ.-> ม.กุ.๘/ม.กิ.๘ เอ.-> ม.กุ.๘/ม.กิ.๘ ม.ก.ุ สํ๔/ม.ก.ิ สํ๔ ๒. วปิ สสนาขณกิ สมาธิ ไดแก ขณิกสมาธิ บริกรรมภาวนา อุปจารภาวนา อัปปนาภาวนา ( บรกิ รรมสมาธิ ) ( อุปจารสมาธิ ) ( อัปปนาสมาธิ ) ขม นิวรณแ บบ ตทงั คปหาน ขมนิวรณแ บบ วกิ ขัมภนปหาน จติ ตวิสุทธิ สมถะ วิปสสนา * วติ กยกจิตขึน้ สอู ารมณ ๑. ถือวาไดใ น อุปจารสมาธิ และอัปปนาสมาธมิ ากอ น ๑. ใชขณิกสมาธิใน ๖ ทวาร อธ.ไดแก เอกัคคตาเจตสิก ปราศจากอภชิ ฌา+โทมนัส สตปิ ฏ ฐาน ๔ การเจริญวปิ สสนา ๒. สมาธิท้ัง ๒ ตอ งเปนไปเพ่ือทาํ ลายอภิชฌา + โทมนัส ( ขณกิ สมาธิ ตองมสี ตปิ ฏฐาน ๔ เปนอารมณ ) ม.กุ.ส.ํ ๔ ทําลายอภชิ ฌา+โทมนัส โดยมสี ติปฏฐาน ๔ เปน อารมณ และทาํ ลายอภชิ ฌา + โทมนัส ๑.ปาฏิโมกขสงั วรศีล ๔.ปจ จยสันนสิ สติ ศลี ๓. ตองทอนกาํ ลังสมาธทิ ้ัง ๒ เพราะ สมาธทิ แ่ี นวแน ๒. วปิ ส สนายานิก สามารถเหน็ ความเกิดดับไดทกุ ๆ ทวาร กองศลี กองสมาธิ โยคาวจร กองปญ ญา \" ทฏิ ฐวิ ิสุทธิ \" ไมเ ปนบาทของวิปส สนา (เพอ่ื ใหอ นิ ทรียเ สมอกนั ) วริ ิยะ ปญญา (ปญญาที่เหน็ สภาพธรรม) ๔. การยายอารมณ (เปลีย่ นอารมณ ) ยาก และการเปล่ียนอารมณ แยกรปู แยกนามได ส.วาจา สติ ขณิกสมาธิ วิตก ๕. ยกฌานจิต / องคฌาน ๕ เปนบาทในการเจรญิ วิปส สนา สมาธิ ๓. วปิ สสนายานิก กระทาํ อนิ ทรียใ หเสมอกันไดง า ยกวา ไมแนน อน ส.กัมมนั ตะ ไมย กปฏิภาคนมิ ติ เพราะเปนบญั ญัติ ไมยกสมาธทิ ั้ง ๒ (อุปจาร.+อปั ปนา.) เพราะสมาธิมี ฝา ยสมถะ ไมพรอ มกนั ส.อาชีวะ กําลังแรงไมเ หน็ ความเกดิ ดับ ๓.อาชวี ปาริสทุ ธศิ ลี ๒.อนิ ทริยสงั วรศลี \" จติ ตวสิ ทุ ธิ \" (ขณะเดียวท่ี มก.ุ เกดิ )

๓) ทิฏฐวิ สิ ุทธิ - ความบรสิ ุทธ์แิ หงความเห็น (น.๑๖ ) วา โดยญาณ ๑๖ จดั เปน \" นามรูปปรจิ เฉทญาณ \" - 18 - - ชาํ ระจิตใจของพระโยคี ใหปราศจาก \" สักกายทฏิ ฐิ \" ลงได ๔) กังขาวิตรณวิสทุ ธิ ภาวนามยปญ ญา ทฏิ ฐวิ ิสทุ ธิ พิจารณามาจาก นามรูปปรจิ เฉทญาณ ตอ งเขา ถงึ ลกั ษณะ, รส - ความบรสิ ทุ ธ์ิ คอื ญาณทีข่ า มพนจากความสงสยั วาโดยญาณ ๑๖ จัดเปน \" ปจ จยปรคิ คหญาณ\" ปจจุปฏ ฐาน - ชาํ ระจิตใจของพระโยคี ใหป ราศจาก \" วจิ ิกิจฉา \" ลงได ปทัฏฐาน - ปญ ญาท่ีเห็นเหตุปจ จัย \" การเกิด \" ของรูปนาม ๑. อาศยั ปญ ญาทเี่ หน็ สภาพรูปนามจนมีกําลงั แกกลา เหน็ การเกิดขน้ึ ของรปู นาม นามรปู ปริจเฉทญาณ สตปิ ฏ ฐาน ๔ ๒. การที่จะมปี ญ ญาเห็นเหตุปจจยั ของรปู นาม อาศยั เคยสรางสมบารมีในกาลกอน ๓. ปจ จัยของรปู นาม คอื อารมณ ผูเพง อารมณ (โยคาวจร) ๑ > เหตปุ จจยั ใหร ปู นาม (จิต, เจ, กํ ) ปรากฎใน ปฏสิ นธิกาล ไดแ ก อวิชชา, ตณั หา, อุปาทาน, กรรม (สังขาร, กมั มภวะ) ---> ปฏิสนธิ ๑๙, เจ.๓๕, ปฏิ.กํ. สตปิ ฏฐาน ๔ กายา เวทนา จิตตา ธมั มา ๒ > เหตุปจ จยั ใหนาม (จิต, เจ ) ปรากฎใน ปวัตติกาล ไดแ ก วัตถุรปู ๖ อันเปนวัตถปุ เุ รชาต และอารมณ ๖ อารมณ ๔ อยา ง นามรูปท่ีมีปจจบุ ันเปนอารมณ อารมณ ๖ ( อารัมมณปจจยั ) ปจจบุ ันอารมณ ตองอาศัยการศกึ ษาในวิปสสนาภูมิ ๖ สตุ มยปญญา ภ ตี น ท ป ปญ สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ สัจจญาณ วญิ ญาณธาตุ ๗ วัตถุ ๖ ( วัตถุปเุ รชาตนิสสยปจจยั ) ๓ > เหตปุ จ จยั ใหร ปู ปรากฎใน ปวตั ติกาล ไดแ ก สมุฏฐานท้ัง ๔ (กรรม จติ อุตุ อาหาร ) ๔ > เหตปุ จ จยั ใหนาม (วิปากจติ , เจ. ) ปรากฏ ไดแก กุศล, อกุศล ๕ > เหตปุ จจัยใหน าม (อาวัชชนจติ , เจ. ) ปรากฏ ไดแก ภวังคปุ จเฉทะ ทเ่ี กิดดว ยอาํ นาจ อนนั ตรปจ จัย ภ ตี น ท ป จัก สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ภวังคปุ จเฉทะ อาวชั ชนจิต ภ น ท ม ชชชชชชชภ ภ ** ผไู มไดศ กึ ษาปรยิ ัติ อริ ิยาบถ ๔ --> อาํ นาจ --> จิต [ จิตเปนปจ จัยใหอ ิริยาบถ ๔ เกดิ (จิตตชรปู )] ไปปฏบิ ัตเิ ลยจะพจิ ารณา อริ ิยาบถ ๔ --> ธาตุ ๔ ในกาย

- 19 - ๕) มัคคามคั คญาณทัสสนวิสทุ ธิ - ความบรสิ ุทธ์ใิ นการเหน็ แจงของญาณวาเปนมคั คปฏิปทา และมิใชมัคคปฏิปทา อธ. ไดแ ก ปญ ญาเจตสิก ไดวิปสสนาญาณคร่งึ คือ \" สัมมสนญาณ + ตรุณอทุ ยัพพยญาณ \" - ชาํ ระจิตใจใหบ รสิ ทุ ธป์ิ ราศจาก คาหธรรม คือ ตณั หา มานะ ทิฏฐิ ความบรสิ ทุ ธ์ิ ความเห็น ** มคั คามคั คญาณ. เกิดตรงไหน ความรู ไตรลกั ษณ วปิ ส สนูปกิเลส ( มีโอภาส ฯลฯ ) วปิ สสน.ู ๙ +นกิ ันติ (ตณั หา มานะ ทฏิ ฐิ ) ไมใชห นทาง หนทาง (๑) ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ..... (๒) ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ...... (๓) ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ....ฯลฯ \" พลวอุทยัพพยญาณ \" ม.ก.ุ ส.ํ ๔ คาหธรรม ปญ ญา ปญญาทจ่ี ะดําเนนิ ไปสมู รรค (ตณั หา มานะ ทฏิ ฐิ = นกิ ันติ) โดยสวนเดียว คอื \" ปฏิปทาญาณทัสสนวสิ ุทธิ \" เรมิ่ ตน สมั มสนญาณ ตรุณอทุ ยัพพยญาณ \" ชวงตน \" ตรณุ อุทยพั พยญาณ \" ชว งปลาย \" เปน มัคคะ มีกาํ ลังมากไปกระชากกิเลสธรรมจาก เปน มคั คะ อนสุ ยั ใหม าปรากฏเปน วปิ สสนูปกเิ ลส ตกจากกระแสวิปส สนา เปน อมคั คะ จากวถิ ีท่ี (๑) - (๓) จึงเรยี กวา \" มคั คามัคคญาณทัสสวสิ ุทธิ \" 5 กระบวนการเกิด มคั คามัคคญาณทัสสวิสทุ ธิ 5 วิปส สนูปกิเลส เกดิ ข้นึ ไดอ ยา งไร ทิฏฐวิ ิสุทธิ ( ปญ ญารูใ นสภาวะรปู นาม มีกําลงั แกกลา ) \"วิปสสนปู กเิ ลส \" แปลวา ส่ิงทีท่ าํ ใหว ิปส สนาญาณเศราหมอง อารมณเห็นรูปกบั นาม ๑. กาํ ลงั ปญ ญาเกิดจาก ๓ ญาณรวมกนั เปน เหตุให \" คาหธรรม \" ที่อยูในขันธสนั ดานมาปรากฏในระหวาง กังขาวติ รณวิสุทธิ (ปญ ญารูเหตขุ องการเกิด ) ยงั ไมเห็นไตรลกั ษณ เพราะยังไมเหน็ การดับ การเจริญวปิ ส สนา ๒. กําลงั สมาธิมากเกนิ กาํ ลังปญ ญา เปน เหตุให ตกกระแสวิปสสนาชวั่ ขณะหน่งึ มคั คามคั คญาณทสั สนวสิ ทุ ธิ ๓. เพราะกาํ ลังสมาธมิ าก เปน เหตุให ตัณหาเขามาอาศัย ตัณหาเปนปจจัยใหม านะ ทิฏฐิ เกิดข้นึ ๑. เหน็ สภาพปรากฏโดยความดับไปดวยอาํ นาจ อนจิ จัง, ทุกขัง, อนัตตา ๔. เกิดจากผปู ฏิบตั ติ องการใหไดม รรคผลเรว็ เปน เหตใุ ห ศรทั ธา วิริยะ สมาธิ มากไป (อินทรยี ท ัง้ ๕ ไมเสมอกนั ) กําลังปรากฏโดยญาณที่ ๑ ชื่อวา \" สมั มสนญาณ \" เห็นแบบ สันตติไมข าด คอื เห็นการดับของรปู นามในอดตี ๒. ปญญาไปเหน็ สภาพรปู นามปรากฏ โดย สันตตขิ าด คอื เห็นการดับของรูปนามในปจ จุบัน 5 วิปส สนูปกเิ ลส เกดิ กบั ใครและไมเ กดิ กบั ใคร ดว ยกําลังปญญาของญาณรวม ๓ ญาณ ไดแ ก ปญ ญาที่เห็น \" นามรปู ปรจิ เฉท. + ปจ จยปรคิ คห. + สัมมสน. \" ๑. เกิดกับพระโยคีบุคคลผปู ฏบิ ัตถิ ูกทาง และเขา ถึงตรุณอทุ ยัพพยญาณ ปจ จบุ นั เหน็ การเกิด เห็นการดบั ๒. ไมเกดิ กับพระอริยบุคคล ผูถึงปฏิเวธแลว ( เพราะเริม่ การพิจารณาที่ พลวอุทยัพพยญาณเลย ) ๓. ไมเกิดกบั ผูปฏบิ ตั ิผดิ แนวทางวปิ ส สนา กาํ ลังปรากฏโดยญาณที่ ๒ ช่อื วา \"ตรุณอุทยัพพยญาณ\" รวมเปน ๑ ญาณคร่งึ ใน มัคคามคั คญาณทัสสนวิสทุ ธิ ๔. ไมเกดิ กับพระโยคผี ูเ กียจคราน ทอดท้งิ กรรมฐาน

- 20 - ๖) ปฏิปทาญาณทัสสนวิสทุ ธิ - ความบรสิ ุทธใิ์ นการเหน็ แจงของญาณ อนั เปนเคร่อื งดําเนินไปสมู คั คปฏปิ ทา โดยสวนเดียว ได ลักษณะ ๓, อนปุ สสนา ๓, วปิ ส สนาญาณ ๙, วิโมกขมุข ๓ ความบริสุทธ์ิ - ชําระจติ ใจใหบ ริสทุ ธ์ปิ ราศจาก วิปลลาสธรรม ความเห็น ความรู - เปน จดุ เรม่ิ ตนงาน ๓ ประเภท ๑ > สังขารปรคคัณหณกวิปส สนา ( พระอรยิ บุคคล ) ขอปฏบิ ตั ิ ๒ > ผลสมาบัติ ๓ > นโิ รธสมาบตั ิ ( พระอนาคามี และพระอรหันต ) - ญาณเรม่ิ ตนที่ \" พลวอุทยพั พยญาณ -- > อนุโลมญาณ (สจั จานุโลมิกญาณ ) \" รวม ๘ ญาณครึง่ หรอื วิปสสนาญาณ ๙ - ท้ัง ๙ ญาณ เปน ขอปฏิบตั ิเพอื่ ดาํ เนนิ ไปสูม ัคคปฏปิ ทา โดยสวนเดียว - กําลงั ของโพธปิ ก ขยิ ธรรม ๓๗ เรมิ่ มตี ั้งแต พลวอุทยพั พยญาณ เปน ตน ไป  การดาํ เนนิ ของญาณ ๙ อยา งคอื ญาตปรญิ ญา นามรปู ปรจิ เฉทญาณ ๑.พลวอทุ ยัพพยญาณ - เปน ปจจยั ให วิปสสนาญาณเบื้องสูง เกดิ ตอ ไปไดแก ภงั คญาณ เปนตน ไป ตีรณปรญิ ญา ปจจยปริคคหญาณ - ปญ ญาทเ่ี ห็นการเกดิ การดบั ของรปู นาม มกี ําลงั มากจนเหน็ แตการดับทเ่ี ปนปจจบุ นั ซงึ่ เปน การดบั แบบ \"สนั ตตขิ าด\" สมั มสนญาณ ๒. ภังคญาณ - ปญ ญาเหน็ แตความ \" ดบั \" ของรูปนาม ปหานปรญิ ญา ตรุณอทุ ยพั พยญาณ ๓. ภยญาณ - ปญ ญาเห็นโดยความเปน \" ภยั \" ไมเ ห็นคณุ ของรปู นาม ๔. อาทีนวญาณ - ปญญาเห็นโดยความเปน \" โทษ \"ของรูปนาม เรมิ่ เหน็ คณุ ของพระนพิ พาน ไดญาณใดญาณหนึ่งถือวา ได ๓ ญาณ ๕. นิพพิทาญาณ - ปญญาเกดิ ความ\" เบือ่ หนาย \"ใน สภาพรปู นาม แลนเขาสูพระนพิ พาน ๖. มุญจิตุกมั ยตาญาณ - ปญญาอยาก \" หนีใหพน \" จากรปู นาม ๗. ปฏสิ งั ขาญาณ - ปญ ญากลับไปพจิ ารณา \" ไตรลกั ษณ \" ของรปู นามอยางกวา งขวาง ( รูไตรลกั ษณก วา งขวางทส่ี ดุ ) ๘. สงั ขารเุ ปกขาญาณ - ชวงตน ยนิ ดีพอใจในการวางเฉยตอ รปู นามของตน - ชว งปลาย ไดว ฏุ ฐานคามนิ .ี ๙. อนุโลมญาณ - ปญญาเหน็ สอดคลองกบั วปิ ส สนาญาณ ๘ ( อุทยัพ.-สังขาร.ุ ) ขางตน และถึงพรอ มดวยกาํ ลังเพ่ือให \" มัคคญาณ \" เกิด

- 21 - ๗) ญาณทัสสนวสิ ุทธิ - ความบริสุทธแ์ิ หง ความรูและความเห็น ๘๑, ๕๑ (-โลภ), ๒๘ - ชําระใจ ใหพนจากมลทนิ คอื โมหะ ความบรสิ ทุ ธ์ิ - วจนตั ถะ ๑. จตุสจจฺ ํ ชานาตตี ิ าณํ - รูในอริยสัจจ ๔ ได ฉะนน้ั เรยี กวา ญาณ รปู ริยตั ิ ทุกขสัจจ -> สภาวะ ๑๖๐ นโิ รธสจั จ -> นพิ พาน ความเห็น พระนิพพาน รปู ฏิบัติ สมุทยสจั จ -> โลภ มคั คสจั จ -> ปญ ญาที่ในมคั คจติ ๔ ความรู อรยิ สจั จ ๔ ทกุ ข -> กําหนดรู นโิ รธ -> ควรทาํ ใหแจง สมทุ ัย -> ควรละ มคั ค -> ควรทาํ ใหเจริญ มคั คญาณ ๒. ปจฺจกขฺ โต ปสสฺ ตตี ิ ทสสฺ นํ - เหน็ พระนพิ พานเปนประจกั ษ ฉะน้นั จึงเรียกวา ทสั สน ม การแจงพระนิพพาน เกดิ ตามไตรลกั ษณว า กําหนดลักษณะอาการอะไรมา > ผมู ี สัทธนิ ทรยี  แกก ลา เหน็ ลกั ษณะ อนิจจงั เม่อื สาํ เร็จมรรค เหน็ พระนพิ พานเรยี กพระนิพพานนัน้ วา อนิมติ ตนพิ พาน องคม รรคแรก ส.ทฏิ ฐิ = ปญญา + องคมรรคท่เี หลือ ๗ > ผมู ี สมาธนิ ทรยี  แกก ลา เห็นลักษณะ ทุกขงั เมือ่ สําเรจ็ มรรค เห็นพระนพิ พานเรียกพระนพิ พานนัน้ วา อปั ปณหิ ิตนพิ พาน > ผูมี ปญญินทรยี  แกกลา เห็นลักษณะ อนตั ตา เมอื่ สาํ เรจ็ มรรค เหน็ พระนิพพานเรียกพระนพิ พานนนั้ วา สญุ ญตนพิ พาน สมงั คี เปนสหชาตธรรม ๓. กิเลสมลโต วสิ ุชฺฌตีติ วสิ ทุ ธฺ ิ - ความบรสิ ุทธิ์จากกิเลสซง่ึ เปน มลทิน ฉะน้นั จึงเรยี กวา วสิ ุทธิ 5 พระบาลที ี่ ๒ ลกั ษณะ ๓ * แสดงโดยวิถี สภาวะของสงั ขตะ - เคร่ืองหมาย ของสังขตธรรม ทไ่ี มเ ที่ยงเปน ทกุ ขและเปน อนตั ตา อาการไตรลักษณ - เคร่อื งหมาย เปนเหตใุ หรจู ําธรรมทค่ี วรรู ไดแ ก สังขตธรรม สภาวะ = สภาพของ \" สงั ขตธรรม \" ที่เกิดสบื ตอ กันอยางรวดเร็ว - เครือ่ งหมาย หรือ อาการ เปน บญั ญัติ ทอ่ี าศยั สภาวะ ปรากฏเฉพาะหนาเปนปจจุบัน ๑. เพราะ อาศยั วิชชมานบัญญัติ คือ เขาถงึ อัตถบญั ญัติ คือ เนือ้ ความของสภาวะ (ดูเงาของปรมัตถ) อาศยั วิชชมาน ๒. เมอื่ สภาวะปรากฏก็ตองละชอ่ื ละบัญญตั ิ เขาถึงสภาวะรปู นาม ไดน ามรูปปรจิ เฉทญาณ บัญญตั ิเขาถึง ---> สังขตะ สงั ขตะ สงั ขตะ สงั ขตะ สงั ขตะ ๓. บญั ญตั ิกลับมาอีกคร้ัง ซ่งึ เปน บญั ญัตทิ ีอ่ าศัยสภาวะ เปนไตรลักษณ โดย อนจิ , ทุกข, อนัต อนจิ , ทกุ ข, อนตั อนจิ , ทุกข, อนตั อนิจ, ทุกข, อนตั อนิจ, ทกุ ข, อนตั > อนิจจลกั ขณะ ลกั ษณะทไี่ มเ ทย่ี ง > ทกุ ขลกั ขณะ ลักษณะทีเ่ ปนทกุ ข เกดิ ตงั้ ดับ เกิด ตัง้ ดบั > อนัตตลักขณะ ลกั ษณะท่ีเปน อนตั ตา เครอ่ื งหมาย ( อาการ ) ของสังขตธรรม = อาการบัญญัติทอี่ าศัยสภาวะ

- 22 - 5 ความตา งกนั ระหวาง อนจิ จัง, ทกุ ขงั , อนัตตา กับ อนจิ จลกั ษณะ, ทกุ ขลักษณะ, อนัตตลักษณะ (น. ๒๕-๒๖ ) สงั ขตะ มี ๒ อยา ง ๑) ๒) - สงั ขตะท่ไี มเ ทีย่ ง คือ ความสิน้ ไปดับไป ชอื่ วา \" อนิจจัง \" - ความสน้ิ ไปดับไป อยูเรือ่ ยๆ ติดตอกนั ของสงั ขตธรรมทีไ่ มเ ทยี่ ง ชื่อวา \" อนิจจตา \" - สังขตะทเ่ี ปน ทุกข คือ ความทนอยูไมไ ดตอ งดบั ไปสิน้ ไป ชอื่ วา \" ทกุ ขัง \" - ความทนอยไู มไ ดต องดบั ไปสิ้นไป อยเู รอ่ื ยๆ ตดิ ตอ กันของสังขตธรรมทเี่ ปนทกุ ข ช่ือวา \" ทกุ ขตา \" - สงั ขตะท่ีไมใ ชอ ตั ตา คือ ไมม แี กนสาร บังคับบัญชาไมไ ด ช่ือวา \" อนตั ตา \" - ความไมมแี กนสารปราศจากเรา เขา ทจ่ี ะบงั คับบญั ชาใหเปนไปตามความตอ งการของธรรมท้งั ปวง ชือ่ วา \" อนตั ตตา \" ลกั ขณะ ๓ ลกั ขณะ ๓ - เครื่องหมายของสงั ขตธรรมท่ีไมเทีย่ ง ชอ่ื วา \" อนิจจลกั ขณะ \" - ความเปนอยู คือสน้ิ ไปดับไป อยเู รื่อยๆ ตดิ ตอ กันของสงั ขตธรรมทไี่ มเทยี่ งนัน้ แหละ - เครื่องหมายของสังขตธรรมที่เปนทกุ ข ชอื่ วา \" ทุกขลักขณะ \" เปนเคร่ืองหมายใหรูได จําได ชอื่ วา \" อนจิ จลกั ขณะ \" - เคร่ืองหมายของธรรมท้ังปวงทไ่ี มใชอ ัตตะ ชื่อวา \" อนตั ตลักขณะ \" - ความทนอยูไ มไดต องดบั ไปสิ้นไป อยเู รื่อยๆ ตดิ ตอกันของสังขตธรรมที่เปนทุกขน ัน้ แหละ อนิจจตา เปน เครื่องหมายใหรูได จาํ ได ช่ือวา \" ทกุ ขลกั ขณะ \" - ความไมมแี กนสาร ปราศจาก เรา เขาทีจ่ ะบงั คบั บัญชาใหเ ปน ไปตามความตองการของธรรมท้งั ปวงนั้นแหละ อนิจจํ อนจิ จํ อนจิ จํ อนจิ จํ อนจิ จํ เปน เคร่ืองหมายใหร ไู ด จาํ ได ช่ือวา \" อนัตตลักขณะ \" เกดิ ตง้ั ดบั อนิจจลักขณะ ** อนิจจัง = สพฺเพ สงขฺ ารา อนจิ ฺจา ไดแก ๘๙, ๕๒, ๒๘ = สังขตธรรม คอื รปู นาม ขันธ ๕ ท่ีเปนปรมตั ถอ ยางเดยี ว ** ทุกขงั = สพเฺ พ สงฺขารา ทกุ ฺขา ไดแก ๘๙, ๕๒, ๒๘, นพิ พาน, บญั ญตั ิ ** อนัตตา = สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา = สังขตธรรมและอสังขตธรรม คือ รูปนาม ขนั ธ ๕ นิพพาน และบญั ญัติ ซ่ึงเปนไปในธรรมทงั้ หมด ไดแก ๘๑, ๕๒, ๒๘ ทรงแสดงเพื่อใหพุทธบริษทั ทัง้ หลายไดทราบถงึ สิ่งทง้ั ปวงทม่ี อี ยใู นโลก ไมว า ปรมตั ถห รือบญั ญัติ ลว นแตเ ปน อนัตตาดวยกันท้งั สิน้ ตเทว ขนธฺ ปฺจกํ อนตตฺ า = ทรงแสดงรปู นามขันธ ๕ ท่เี ปนอารมณข องวิปสสนาญาณ ประการเดยี ว

- 23 - 5 อนปุ ส สนา ๓ หมายความวา การรูเห็นเนืองๆ ช่อื วาอนปุ สสนา อธ. ไดแก ปญญาทีม่ ีลักษณะ ๓ เปน อารมณ ๒. ทามกลาง การรเู ห็น ๑. เบอื้ งตน ลกั ษณะ ๓ (อารมณไ ตรลักษณ ) เนอื งๆ - อนิจจํ - อนจิ จลกั ษณะ - ทกุ ขํ - ทุกขลักษณะ - อนัตตา - อนัตตลักษณะ ภ ตี น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ม ผ ผ ปญญาทมี่ สี ภาพธรรม เปน อารมณ \" นามรูปปริจเฉทญาณ \" \" สมั มสนญาณ \" \" พลว, ภงั , ภย, อาท,ี นพิ , มญุ , ปฏ,ิ สัง อนโุ ลม \" \"โค. มัค. ผลญาณ \" \" ปจ จยปริคคหญาณ \" \" ตรณุ อทุ ยัพพยญาณ \" ทิฏฐวิ สิ ทุ ธิ กงั ขาวติ รณวสิ ุทธิ มคั คามัคคญาณทสั สนวิสุทธิ ปฏปิ ทาญาณทสั สนวสิ ุทธิ ญาณทัสสนวิสุทธิ ๓. เบือ้ งปลาย วุฏฐานคามินี. เปน ไปตามความแกกลา ของอนิ ทรีย ๓ อยางคอื อนุปสสนา ๓ วิโมกขมขุ ๓ สทั ธินทรยี , สมาธนิ ทรีย, ปญ ญนิ ทรีย - อนิจจานปุ ส สนา - อนิมิตตานปุ ส สนา ๑. เบอ้ื งตน กาํ หนดสภาวะธรรมของรูปนาม เรียกวา อนิจจํ ทกุ ขํ อนัตตา - ทกุ ขานปุ ส สนา ( ผูรูอารมณ ) - อปั ปณหิ ิตานปุ ส สนา ๒. ทามกลาง มีอาการ (เครอ่ื งหมายของสังขตธรรม) เรยี กวา ลกั ษณะ ๓ - อนตั ตานปุ สสนา บอกวา มีไตรลักษณอ ะไร - สุญญตานุปสสนา เปนอารมณ ( อนจิ จลกั ษณะ, ทกุ ขลักษณะ, อนัตตลกั ษณะ ) ๓. เบือ้ งปลาย ปญ ญาเปนผูรูในลกั ษณะ เรยี กวา อนุปส สนา ๓ ( อนจิ จานปุ ส สนา, ทุกขานุปสสนา, อนตั ตานปุ สสนา ) ** อนุปสสนา ๓ นบั สงเคราะหไ ดใ น ** อนจิ จานปุ สสนา - ปญ ญาทพ่ี จิ ารณาเห็นความไมเ ท่ียงของรปู นาม - ๒ วสิ ุทธิ คือ มัคคามคั คญาณทสั สนวิสุทธิ, ปฏปิ ทาญาณทสั สนวสิ ุทธิ - วปิ ส สนาญาณ ๑๐ ซ่งึ เปนปญญาที่บอกกาํ ลงั ของโยคาวจร ที่เน่อื งมาจาก การเห็นประจักษแหง ความเกดิ ขึน้ และดับไป - ลกั ษณะ ๓ บอกความเปน อารมณ - วโิ มกขมุข ๓ ประตูแหง ความหลุดพน ในขณะท่ีกาํ หนดรปู นามอยูนั้นแหละ ปญญานีไ้ ดช ื่อวา \" อนิจจานุปส สนา \" * ความตางกัน ๑ > อนจิ จะ : ธรรมท่ีไมเทย่ี ง ๒ > อนจิ จลกั ขณะ : เคร่อื งหมายท่ีรวู า ไมเทย่ี ง ๓ > อนิจจานปุ ส สนา : ปญ ญาทีพ่ ิจารณาเห็นวาไมเ ท่ยี งอยูเนืองๆ ในรูปนามขนั ธ ๕ (กายใจ) ไดแก ปญ ญาท่ใี น ม.กุ., ม.กิ. ขณะกําหนดรรู ปู นามขนั ธ ๕ (กายใจ)

- 24 - 5 มหาวปิ สสนา ๑๘ ( แสดงยอ ไดอ นุปสสนา ๓ น. ๒๘ - ๓๑ ) เหตปุ จ จยั รปู นามเปนอารมณ อนจิ จํ ทกุ ขํ ๘๑, ๕๒, ๒๘ อนตั ตา ภ ตี น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ๑๕ ยถาภตู ญาณทสั สนะ ภ น ท ม ชชชชชชช ภ ภ นามรูปปริจเฉทญาณ ปจจยปรคิ คหญาณ [ ทฏิ ฐวิ สิ ุทธิ ] ละสมั โมหาภนิ เิ วสะ [ กังขาวติ รณวสิ ทุ ธิ ] ( การถอื ม่ันดว ยความหลงอยใู นเรอื่ งวจิ กิ ิจฉา และทฏิ ฐิ ) ลกั ษณะ ๓ อารมณ อารมั มณิกะ อนปุ สสนา ๓ ๑๐ วปิ ริณามานุปส สนา วิโมกขมขุ ๓ ละธวุ สญั ญา ( สําคัญวาเท่ียง คงที่ ) อนจิ จลักษณะ ๑ อนิจจานปุ สสนา ละนิจจสญั ญา ( สําคัญวาเทย่ี ง ) ๑๑ อนมิ ติ ตานุปสสนา ละฆนนมิ ิต+นจิ จนิมิต ทุกขลักษณะ ละสขุ สัญญา ( สําคญั วาสุข ) อนตั ตลกั ษณะ ๑๔ อธปิ ญ ญาธัมมวปิ สสนา ๒ ทกุ ขานุปส สนา ละอตั ตสญั ญา ( สาํ คญั วา เปน ตน ) (ความมีรปู รางสณั ฐานเปน อนั หนึง่ อันเดยี วกนั ต้ังม่นั คงที่อย)ู ละสาราทานาภนิ เิ วสะ ๓ อนตั ตานปุ ส สนา ๑๑๒ อัปปณหิ ิตานปุ ส สนา ละปณธิ ิ (ความยนิ ดปี รารถนาในเวทยติ สขุ ) ๑๑๓ สุญญตานุปสสนา ละอภินิเวสัง (ความงมงาย ถือมน่ั วาเปน แกน สารคงทนยืนอย)ู (ความถอื ม่ันวาเปน เราเปนเขา อยูใ นอํานาจบังคับบญั ญชา) [ มคั คามัคคญาณทสั สนวสิ ุทธิ ] [ ปฏิปทาญาณทสั สนวสิ ุทธิ ] [ ญาณทัสสนวสิ ุทธิ ] สมั มสน., ตรณุ อุทยพั ., พลวอุทยพั ., ภงั ค., ภย., อาทนี ว., นพิ พทิ า., มุญจิตกุ มั ยตา., ปฏสิ ังขา., สงั ขารุเปกขา.(ชวงปลาย), อนุโลม., โคตรภ.ู , มัคค., ผล., ปจจเวกขณญาณ วุฏฐานคามิน.ี ๑๘ ววิ ัฏฏานปุ สสนา ละสงั โยคาภนิ ิเวสะ วปิ ส สนปู กเิ ลส ๔ ๗ (ความยึดม่นั ประกอบติดอยูในรูปนาม อันเปน ตัวตณั หา มานะ ทฏิ ฐิ) นิพพิทานุปสสนา ปฏินสิ สัคคานุปสสนา ละอาทาน (การรบั กเิ ลส คอื การใหก ิเลสเกิด โดยท่ีมไิ ดเ ห็นโทษของสงั ขตธรรม) ละนันทิ (เพลิดเพลนิ ) ๑๗ ปฏิสังขานปุ สสนา ละอัปปฏิสงั ขา (ความไมพจิ ารณาใหแ จงประจกั ษในรูปนาม ทม่ี สี ภาพเปน อนิจ. ทกุ ข.อนตั . อันเปนตัวโมหะ) ๑๖ อาทนี วานปุ สสนา ละอาลยาภนิ ิเวสะ ๕ วิราคานุปสสนา ละราคะ (ความกําหนดั ) (ความยึดมั่นจดจอ ในรูปนามวา เปน ที่พง่ึ อาศัย) ๖ นโิ รธานปุ ส สนา ละสมทุ ยั (ความเกดิ ) ๘ ขยานปุ ส สนา ละฆนสญั ญา (สาํ คญั วา เปนกลุม เปน กอง) ๙ วยานุปสสนา ละอายหู นะ (ความดิน้ รนเพอ่ื ความสขุ ความกา วหนา )

- 25 - 5 วิสทุ ธมิ รรค แสดง อนจิ จานปุ สสนา ดวยพระบาลี ๒ บท ปญญาท่รี ใู นสภาพสังขตธรรม = นามรปู ปรจิ เฉทญาณ [๑] เหน็ อนจิ จงั ๑) อุปฺปาทวยฺถตฺตภาวา ถาปญ ญาเห็นปจจยั ๔ ปรงุ แตง = ปจจยปริคคหญาณ ๒) หุตวฺ า อภาวโต สงั ขตธรรม ธรรมที่ถูกปจจยั ๔ ปรุงแตงใหม ีสภาพ เกดิ ตงั้ ดบั [๒] อนจิ จลกั ษณะ เคร่อื งหมายของ สงั ขตธรรม มี ๓ ลกั ษณะ เกิด ตั้ง ดบั = สังขตลักษณะ [๓] อนจิ จานุปสสนา อปุ าท.+ฐตี ิ = สัมมสน. + อุทยพั . อปุ ปาท. ฐตี ิ. ภงั คกั . \" ขณภงเฺ คน เภโท \" ภงั คัก = ภังคญาณ ๒) ดบั ไปโดยไมมสี ว นเหลือ ๑) อนิจจานุปสสนาเทยี ม = ขณะดับทป่ี ระเสริฐท่สี ดุ 5 ความตา งกนั ของบาลีท้งั ๒ ๑) อุปปฺ าทวยฺถตตฺ ภาวา ๒) หตุ ฺวา อภาวโต ๑ ชอ่ื วา \" สังขตะ \" เพราะ มคี วาม วปิ รติ ผดิ แปลกเปล่ยี นไปดวยความเกิดดับ ๑ ชือ่ วา \" สงั ขตะ \" เพราะ มคี วามเกิดขน้ึ และเสอ่ื มส้นิ ดบั ไปโดยไมมเี หลอื และเปนอยางอืน่ (ชรา) ๒ ชอื่ วา \" สังขตลักษณะ \" เพราะ มคี วามเปนไปดวยความเกิดขึ้น และเสือ่ มส้นิ ดับไปโดยไมมเี หลือ ๒ ชือ่ วา \" สังขตลกั ษณะ \" เพราะ มคี วามเปน ไปดวยอาการวปิ ริตผิดแปลกเปลีย่ นไปดว ยความเกิดดบั และเปนอยา งอ่ืน (ชรา) ๓ มงุ หมายปญญาใน ภังคญาณ ๔ จดั เปน \" ปหานปริญญา \" ๓ มงุ หมายปญ ญาใน สมั มสนญาณ และอทุ ยพั พยญาณ ๔ จดั เปน \" ตีรณปริญญา \"

- 26 - 5 พระอรรถกถาจารย กลา วไวใ นสมั โมหวิโนทนอี รรถกถา ( น. ๓๒ - ๓๓ ) สงั ขตธรรม ที่เปนไปใน ภงั คกั ขณะ ยงั มอี ีก ๔ ลักษณะ ปรากฏอยู สังขตธรรม ๑. อุปปฺ าทวยวนฺตตฺตา มกี ารเกดิ ดับเปนทส่ี ดุ ไมมเี หลือ ภงั คักขณะ ๒. วปิ รณิ าม มีความเปลยี่ นแปลงไปไมค งท่ี -> ละธุวสัญญา \"หุตฺวา อภาว\" \"อปุ ปฺ าทวยฺ ถตฺตภาวา\" ๓. ตาวกาลิก ต้ังอยชู ่วั ขณะ ๔. นิจจฺ ปฏกิ เขป มกี ารปฏิเสธความเทย่ี ง -> ละนจิ จสญั ญา ( ลักษณะทั้ง ๕ = ขอ ๑ - ๔ และ หุตฺวา อภาว ) 5 อนิจจานปุ ส สนาแท และเทยี ม ( น. ๓๔ ) - การรเู หน็ ในความเปน อนิจจัง ดวยการกําหนดรอู ยูเชนน้แี หละเรียกวา \" อนจิ จานุปสสนาแท \" - ถามิไดมกี ารกําหนดรใู นอนิจจธรรมทเี่ กดิ อยเู ฉพาะหนา เพยี งแตทาํ การนึกคิดพิจารณาไปในอนจิ จลักขณะ ดว ยบรกิ รรมวา สพฺเพ สงขฺ ารา อนจิ ฺจา สังขารทั้งหลายไมเ ทย่ี ง อนั เปนบัญญตั ิอนิจจะอยอู ยา งน้ี อนจิ จลักขณะไมมีโอกาสที่จะปรากฏได การปฏิบตั ดิ ังนี้ เรียกวา \" อนิจจานปุ ส สนาเทียม \" 5 อนุปส สนาญาณ ( น. ๓๘ ) หมายความวา ปญญาท่เี ห็นสภาพรูปนามที่เกดิ สบื ตอกันอยางรวดเรว็ ปญ ญาทเี่ ห็น อนิจจํ ทกุ ขํ อนตั ตา จนลักษณะ ๓ ปรากฏใน --> อนจิ จานุปส สนา --> ทกุ ขานปุ ส สนา วปิ ส สนาญาณ นบั ต้ังแต สัมมสนญาณ ---> อนุโลมญาณ --> อนัตตานปุ ส สนา มงุ หมาย ปญญาใน นามรูปปริจเฉทญาณ และปจ จยปริคคหญาณ

5 ขอปฏบิ ตั เิ พื่อให สนั ตติขาด ฆนบัญญัตแิ ตก เพ่อื ใหว ปิ ส สนาญาณเขาถงึ อนจิ จานุปส สนาโดยแท - 27 - รปู นาม รปู นาม รปู นาม รปู นาม รปู นาม = สนั ตติ 5 ธรรมท่ถี ูกประหาณดว ย อนจิ จานปุ สสนา ( น. ๔๓ ) ** ธรรมทีป่ กปด อนิจจัง ไดแ ก สนั ตติ คอื การสบื ตอ กนั ของรูปนามทีเ่ กิดข้นึ อยา งรวดเรว็ ไมเ ห็นถงึ ความ อนจิ จานปุ สสนา คอื ปญญาที่พิจารณา อนิจจํ จน อนิจจลักษณะปรากฏแกป ญ ญา ( คือ อนิจจานปุ สสนา ) ปกปด ทุกขงั > อิรยิ าบถ เกดิ ดับ เพราะ วิปลลาสธรรม ซง่ึ ไดแก - ในขณะนนั้ สัญญาแหง ความเท่ียง (นิจจสัญญาวปิ ลลาส ) กถ็ กู ประหาณไปดว ย เมือ่ นิจจสัญญาวิปล ลาส ถูกประหาณแลว เมอ่ื นนั้ นิจจจิตต. + นิจจทฏิ ฐิวปิ ล ลาน กบ็ รรเทาลงดวย เพราะวิปส สนาญาณซึ่งอยใู นขอบเขตของภังคญาณเปน ตน ไปไดเพยี ง ตทงั คปหาน เทาน้ัน - ในขณะเดยี วกนั ในวฏั ฏ ๓ ไดแก กเิ ลสวัฏ ก็บรรเทาลง เม่อื น้ัน กัมมวฏั + วิปากวัฏ กบ็ รรเทาตามไปดวย อยูในชว ง วุฏฐานคามินีวิปสสนา = สังขารเุ ปกขาญาณ (ชว งปลาย ) กบั อนโุ ลมญาณ ปกปดอนตั ตา > ฆนสญั ญา นิจจสัญญาวปิ ล ลาส, นิจจจิตตวิปลลาส, นิจจทิฏฐิวปิ ล ลาส ** สันตตไิ มข าด ฆนบญั ญตั ไิ มแ ตก เพราะ อนิจจานปุ ส สนาไมปรากฏ 5 อนิจจานปุ สสนา นับสงเคราะหไ ดใ น ๒ วสิ ทุ ธิ ๑. เพราะไมม ีการกาํ หนดสภาวะรปู นามโดยความเปนอนิจจํ ขณะอปุ าทกั สมั มสนญาณ ๒. เพราะไมม ีความรูใ นเรอ่ื งสนั ตติท่ปี ด บังอนจิ จํ ๓.อนิจจลกั ษณะไมไดอยูในวิสัยทีจ่ ะรู ๑) มคั คามัคคญาณทสั สนวิสทุ ธิ มอี ารมณ --> อนิจจลักษณะ --> อนจิ จานปุ สสนา ขณะฐตี ิ ตรณุ อทุ ยัพ. (อปุ ปฺ าทวยฺถตตฺ ภาวา ) ** ขอ ปฏิบตั ิเพือ่ ให สันตตไิ มข าด ฆนบญั ญตั ิไมแตก ๒) ปฏปิ ทาญาณทสั สนวสิ ุทธิ มอี ารมณ --> อนิจจลกั ษณะ --> อนจิ จานปุ ส สนา --> ภงั คักขณะ = พลว.....วุฏฐาน. ๑. พจิ ารณาสภาวรูปนามตามนัยสตปิ ฏฐาน ๔ ๒. พิจารณาสภาวรปู นามท่ีเปนปจจุบนั อารมณ เพราะ ปจ จุบันนม้ี กี ารเกดิ ดับ สืบตอ (หุตวฺ า อภาว ) ๓. ตอ งพิจารณาวา ขณะทรี่ ปู นามกาํ ลงั ปรากฏตรงปจจุบัน ตอ งกําหนดวา เปน \"รูปอะไร นามอะไร \" ประหาณ ประหาณ เพือ่ ใหเห็นวารูปกับนามน้ันแยกจากกันต้งั แตป จจุบนั แลว และขาดกนั ทง้ั รปู ตอ รปู และนามตอนาม เมื่อน้ันสนั ตตกิ ็ขาดลง \"อนิจจลกั ษณะ\" กป็ รากฏแกป ญญา คือ \"อนิจจานุปส สนา \" วิปลลาส. ๓ วัฏฏ ๓ อนิจจานปุ สสนา เกดิ ได ๓ กาล ( แตอ นจิ จํ ตองเปน ปจจุบนั เทา น้ัน ) 5 คาํ ถาม (น. ๔๕) กิเลสตา งๆ มี นจิ จสญั ญาวิปลลาส เปน ตน ทอ่ี นิจจานุปสสนา ไดป ระหาณไปแลว นน้ั เปน อดีต อนาคต หรือปจ จุบัน ? ตอบ ไมใชเปน กาลใดๆ ทั้งส้ิน เปน กาลวมิ ตุ ตกิ ิเลส คอื อนสุ ัยท่ีนอนเนอ่ื งอยูในขนั ธสันดาน โดยความยงั ไมป รากฏ เปนสภาวะปรมตั ถ อดีต ปจ จุบนั อนาคต อนิจจํ ----> อนิจจลกั ษณะ ----> อนมุ านอนิจจานุปส สนา มสี ภาวะ อนุมานอนิจจานปุ สสนา รปู นาม ภ น ท ม ชชชชชชช ภ ภ น ท ม ชชชชชชช ภ ภ อนจิ จานปุ สสนา อนิจจานปุ ส สนา ถาม > เปนกาลไหน ? (ภงั คญาณ) (ภงั คญาณ) ปจ จักขอนิจจานุปสสนา ตอบ > เปนกาลวมิ ุต ละนจิ จสญั ญาวิปล ลาส

- 28 - 5 การนอนเนื่องของอนสุ ัยกิเลส (น. ๔๕) 5 กเิ ลส ๓ ข้ัน 5 ประหาณ ๕ วมิ ตุ ติ ๕ ( น.๒๑๐ ) * อนาคตกิเลส เหมอื นกนั คือ ยงั ไมป รากฏโดยสภาวะ ๑) วีติกกมกิเลส กิเลสอยางหยาบ ออกมาทางกาย วาจา ๑) ตทังคปหาน - ตทังควิมุตติ (สลี ) - ละช่ัวคราว * อนุสยั กเิ ลส ละดว ยศลี เปนตทงั คปหาน ๒) วกิ ขมั ภนปหาน - วกิ ขัมภนวิมุตติ (สมาธ)ิ - ละดวยการขม ไว * อนาคตกเิ ลส ---> จกั เกดิ แนนอน ๒) ปรยิ ฏุ ฐานกเิ ลส กเิ ลสอยางกลาง คดิ อยใู นใจ ๓) สมุจเฉทปหาน - สมุจเฉทวิมุตติ (มคั ค) - ละเด็ดขาด * อนสุ ัยกเิ ลส ธมั มาธิษฐาน ---> จกั เกดิ ไมแนน อน ละดว ยสมาธิ เปน วิกขัมภนปหาน ๔) ปฏิปส สมั ภนปหาน - ปฏปิ ส สัมภนวิมตุ ติ (ผล) - ละโดยความสงบ บคุ คลาธษิ ฐาน ---> จกั เกดิ กม็ ี / จกั ไมเ กิดกม็ ี ๓) อนุสยั กเิ ลส กเิ ลสอยา งละเอียด นอนเน่อื งอยูในขันธสนั ดาน ๕) นสิ สรณปหาน - นิสสรณวมิ ตุ ติ (นิพพาน) - ละโดยการออกไป ละดวยปญ ญา เปนสมจุ เฉทปหาน 5 อนิจจานปุ ส สนา ท่ีใน วิปส สนาญาณ ปริยฏุ ฐานกิเลส > อารมั มณานุสัย - กิเลสท่ีนอนเนอ่ื งอยูใน อารมณ ท่เี ปน ปย รปู สาตรปู อปย รูป อสาตรูป > สันตานานุสยั - กิเลสทนี่ อนเนื่องอยใู น การเกิดขน้ึ สบื ตอ แหงรปู นาม ( ตดิ ตามไปทกุ ภพทุกชาติ ) - อนสุ ยั ๗ ไดแ ก ๑.กามราคานุสยั ๒.ปฏิฆานสุ ัย ๓.ทฏิ ฐานสุ ัย ๔.วจิ กิ จิ ฉานุสัย ๕.ภวราคานสุ ัย ๖.มานานุสยั ๗.อวิชชานสุ ยั อนจิ จลักษณะ วิปสสนูปกเิ ลส ๙ อนจิ จลักษณะ ของวิปสสน.ู ๑๐ ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค / โว ม ผ ผ ตัณหา มานะ ทิฏฐิ (คาหธรรม) อนิจจานปุ ส สนา อนิจจานปุ สสนา สัมมสนญาณ ตรุณอทุ ยพั พยญาณ พลว....ภังคญาณ วุฏฐาน. [ มัคคามคั คญาณทสั สนวสิ ุทธิ ] [ ปฏปิ ทาญาณทสั สนวิสทุ ธิ ] [ ญาณทัสสนวสิ ทุ ธิ ] ตีรณปริญญา ปหานปริญญา สมจุ เฉทปหาน ตทังคปหาน ประหาณ อารัมมณานุสยั + สันตานานสุ ยั ** มรรคทง้ั ๔ ทําการประหาณ สันตานานุสยั กเิ ลส ขม สนั ตานานสุ ัย ไมม ี อารัมมณานุสยั เกดิ ขึน้ ตามกาํ ลังมรรคของตน ** วปิ ส สนาญาณ ทีม่ รี ูปนามเปน อารมณ ทาํ การประหาณ อารัมมณานุสัยกิเลส

- 29 - 5 การประหาณอกศุ ลธรรม โดย มรรคทง้ั ๔ มรรค อกุศลธรรม อนุสยั กิเลส สังโยชน นวิ รณ มจิ ฉตั ตธรรม โลกธรรม วิปลลาสธรรม มัจฉริยะ อคติ อกุศลกรรมบถ ๑๒ ๗ ๑๐ ๑๐ ๑๒ ๖ ๑๐ ๘ ๕๔ ๑๐ สัญญา จิตต โสดาปตติ - สมุจเฉทปหาน ( ละเด็ดขาด ) อภิ. สตุ ต. นจิ จสญั ญา นจิ จจิตต ทิฏฐิ สขุ สญั ญา สุขจิตต นจิ จทิฏฐิ ทิ.สํ.๔, ทฏิ ฐา ทิฏฐิ ทฏิ ฐิ สักกาย. กุกกจุ . มจิ ฉาทิฏฐิ อนจิ จธรรม อัตตสญั ญา อตั ตจิตต สขุ ทิฏฐิ อาวาส ฉนั ทา ปาณาตบิ าต ทุกขธรรม สุภสญั ญา สภุ จิตต อัตตทฏิ ฐิ กลุ โทสา อทินนาทาน วิจ.ิ สํ.๑, วิจิ. วิจิ. วจิ ิ. วิจ.ิ วจิ ิ. มจิ ฉาวาจา อนัตตธรรม สุภทิฏฐิ ลาภ โมหา กาเมสุมจิ ฉาจาร อสภุ ธรรม วรรณ ภยา มุสาวาท เจ.๒๒ สลี พั พต. สลี พั พต. (มุสาวาทา) ธรรม มิจฉาทิฏฐิ ตนกุ ร. - ตนุกรปหาน ( ทาํ ใหเบาบาง ) อสิ สา มจิ ฉากมั มันตะ (ทเ่ี หลือ) ท.ิ วิป.๔, อปายคมนิยะ มจั ฉริยะ มิจฉาอาชีวะ อนิจจธรรม โทส.๒, (นาํ สอู บายได) กามราคะ ทุกขธรรม อนตั ตธรรม เจ.๒๕ ปฏฆิ ะ อสภุ ธรรม ( นาํ สูอ บายได ) อนิจจธรรม ทกุ ขธรรม สกทาคา - ตนกุ รปหาน ( ทําใหเ บาบาง ) ตนกุ ร. ตนกุ ร. ตนกุ ร. กามราคะ ตนกุ ร. ตนกุ ร. อนัตตธรรม ตนุกร. อสภุ ธรรม ท.ิ วปิ .๔, โอฬาริกะ (ทีเ่ หลอื ) (ทเ่ี หลอื ) (ท่เี หลือ) ปฏิฆะ (ที่เหลือ) (ที่เหลือ) (ที่เหลือ) โทส.๒, (ท่ีเปนอยา งหยาบ (โอฬารกิ ะ ปสณุ วาจา ผรุสวาจา เจ.๒๕ ไมน าํ ไปอบาย ) ไมน ําไปสอู บาย ) พยาบาท อนาคามิ - สมจุ เฉทปหาน ( ละเด็ดขาด ) กามราคา โทสะ กามราคะ กามราคะ กามฉันทะ มจิ ฉาสงั กปั ปะ ปฏิฆะ นิจจสัญญา นจิ จจติ ต นจิ จทฏิ ฐิ สขุ สัญญา สขุ จิตต สขุ ทิฏฐิ ท.ิ วิป.๔, (สขุ มุ ะ - กามราคะ) ปฏิฆา ปฏิฆะ ปฏิฆะ พยายาท (ปส ณุ วาจา) ท่ีเกิดขน้ึ โดย อัตตสญั ญา อตั ตจติ ต อัตตทิฏฐิ สภุ สัญญา สุภจติ ต สุภทิฏฐิ โทส.๒, (สุขุมะ) (ผรุสวาจา) อาศยั ความ เจ.๒๕ เส่อื มลาภ ยศ นินทา ทกุ ข (ตัณหาโลภะ ลาภ สขุ ) อรหตั ต - สมุจเฉทปหาน ( ละเด็ดขาด ) ภวราคา โลภะ มานะ มานะ ถีนมทิ ธ (สมั ผปั ปลาปะ) ตัณหาโลภะ นจิ จสญั ญา นจิ จจิตต นิจจทิฏฐิ สมั ผัปปลาปะ สขุ สัญญา สขุ จติ ต สุขทฏิ ฐิ อภชิ ฌา ทิ.วิป.๔, (สขุ ุมะ - รูป,อรูป) มานา โมหะ ภวราคะ รปู ราคะ อทุ ธัจ. มิจฉาวายามะ ท่ีเกดิ ข้นึ โดย อตั ตสญั ญา อัตตจติ ต อัตตทฏิ ฐิ สุภสัญญา สภุ จิตต สุภทิฏฐิ อุทธัจ.ส.ํ ๑, อวิชชา มานะ อรูปราคะ อวิชชา มจิ ฉาสติ อาศัยการได เจ.๒๑ ถนี ะ อทุ ธจั จะ มจิ ฉาสมาธิ ลาภ ยศ อทุ ธัจ. อวชิ ชา อวชิ ชา มิจฉาวมิ ตุ ติ สรรเสรญิ สขุ อหิริกะ มจิ ฉาญาณะ อโนต.

5 อนสุ ยั กเิ ลส เมอื่ วา โดยธมั มาธิษฐาน ( น. ๔๕) 5 อนุสยั กิเลส เม่ือวาโดยปคุ คลาธษิ ฐาน - 30 - มอี ยอู ยางเดยี ว คอื จกั เกดิ ไมแ นนอน มอี ยูดว ยกัน ๔ จาํ พวก คอื ๑) พวกที่อนสุ ัยกเิ ลส จกั เกดิ โดยแนนอน = บุคคลโดยทั่วไป ปริยฏุ ฐานกิเลส = อารมั มณานสุ ยั ๒) พวกท่ีอนสุ ยั กิเลส จักเกดิ โดยไมแนนอน = ผปู ฏสิ นธิดวยติเหตุ ปฏิบัติวิปส สนา พรอ มกบั ๓) พวกทอี่ นุสัยกิเลส จกั ไมเกิด โดยแนน อน = บุคคลผสู ําเรจ็ มคั ค ผล อธษิ ฐานจติ วา จักปฏิบตั ิ ๔) พวกทอี่ นุสัยกเิ ลส จักไมเกดิ แตไ มแ นน อน = ผูป ฏสิ นธดิ วยตเิ หตุ จนไดม รรคผล อารมณท่เี ปน ปย รูป, สาตรูป อารมณท ี่เปน อปย รูป, อสาตรูป ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... พวกที่ ๑ - ผทู บี่ รจิ าคทาน รกั ษาศลี เจริญภาวนา นอนหลับอยู อนุสยั กเิ ลสจกั เกิดแนน อน โลภะ สภาวะปจจบุ นั โทสะ สภาวะปจ จบุ ัน วิจิกิจฉา พวกท่ี ๒ - โยคาวจรผทู ี่ไมส ําเร็จอะไรเลย - โยคาวจรผูที่สาํ เร็จถงึ ตรณุ อทุ ยพั พยญาณ สันตานานสุ ยั ๑) กามราคานสุ ัย ๕) ปฏิฆานุสัย ๖) วจิ กิ จิ ฉานุสัย พวกที่ ๓ - โยคาวจรผูทสี่ ําเรจ็ ถงึ ภังคญาณ แตฌานเส่อื ม ๒) ภวราคานสุ ยั พวกที่ ๔ - โยคาวจรพรหมปุถชุ น แลว ฌานเสอื่ ม ( เปนกาลวมิ ตุ ) ๓) ทิฏฐานสุ ัย - โยคาวจรผูท่ีสําเร็จมรรค ผล ตามกําลังมรรคของตน ๔) มานานุสัย - พรหมโสดาบนั / สกทาคามี - โยคาวจรผูท ่ีสาํ เร็จถงึ ภงั คญาณ แตฌ านไมเ สอ่ื ม ๗) อวชิ ชานุสัย - โยคาวจรพรหมปถุ ชุ น ทฌ่ี านไมเ ส่ือม

- 31 - 5 อัสมมิ านะ ( น. ๕๑, ๒๔๐) มว. การถอื ตนวา เราเปนน่ันเปน นี่ 5 เปรียบเทยี บ อสั มิมานะ ในแตละบคุ คล ( ความเขาใจผดิ ในรปู นามวา เปน เราเปนเขา ชาย หญงิ สัตว บุคคล ตัวตน ) มี ๒ อยาง คือ ปุถชุ น พระอรยิ ะตํา่ ๓ พระอรหนั ต ๑) อยาถาวมานะ การถอื ตวั ไมเปน ไปตามความเปน จริง ๑) ยังมสี กั กายทิฏฐิ ๑) ประหาณสกั กายทฏิ ฐิ ประหาณสกั กายทฏิ ฐิ และ ๒) ยาถาวมานะ การถือตัวตามความเปน จริง ( ยงั เกดิ กบั พระอริยะต่าํ ๓ ) ๒) มีท้ัง อยาถาวมานะ และยาถาวมานะ ๒) ทิฏฐทิ เ่ี ปนปจ จัยใหอยาถาวมานะไมม ี อัสมิมานะไดเ ดด็ ชาด * ถา ตนเปนคนชัน้ ต่าํ - แตถ ือวาตนเปนคนชน้ั สูง ๓) ปุถชุ นทเ่ี จรญิ วปิ สสนา เขา ถึงภงั คญาณ จึงเหลอื มานะประเภทยาถาว.เทานน้ั - แตถ อื วา ตนเปน คนชั้นกลาง สามารถประหาณมานะประเภท ๓) เปน การถอื ตวั ตามความเปน จรงิ - ก็ถอื วาตนเปน คนช้ันต่าํ อยาถาวมานะ ไดโดยตทังคปหาน ทเี่ กิดขนึ้ ขณะไมมีสติ * ถา ตนเปน คนชัน้ กลาง - แตถ อื วาตนเปนคนชั้นสงู ๔) ยาถาวมานะ ถอื วา เปนอกศุ ลท่มี ิได - ก็ถือวา ตนเปนคนชัน้ กลาง ๒) ยาถาวมานะ ๑) อยาถาวมานะ เกดิ จากสักกายทฏิ ฐิ ไมเปนเหตนุ าํ ไป - แตถอื วาตนเปนคนช้นั ตา่ํ มีทิฏฐิ เปนปจ จัย สอู บายภมู ิ * ถา ตนเปนคนช้ันสงู - ก็ถือวา ตนเปนคนช้นั สูง ไมเ กิดกับพระอรยิ ะต่ํา ๓ 5 การแสดง อนจิ จํ ทกุ ขํ และอนัตตธรรม (น.๕๒) - แตถ ือวา ตนเปนคนช้ันกลาง เกดิ เปนปกติในปุถชุ น - แตถือวาตนเปน คนช้นั ตา่ํ อนจิ จลกั ษณะ ทุกขลักษณะ อนัตตลักษณะ ๑) เปน ไปโดยสภาวะและบัญญตั ิ ๑) เปน ไปโดยสภาวะเทา น้นั โลภมูลจิต ๘ ๒) เกดิ ข้นึ ไดทัง้ ในสมัยทม่ี พี ระพทุ ธศาสนาหรอื ไมม ี ๒) ตองอุบัตใิ นสมัยทม่ี พี ระพทุ ธศาสนาเทา นัน้ ทฏิ ฐิ มานะ = อัสมิมานะ - เกดิ ในสมยั ทม่ี ีพุทธศาสนา ส่อื ไดทั้งสภาวะ + บัญญัติ ๓) พระปจ เจก.และพระอนิยตโพธสิ ัตว สือ่ ไมไดแมบ ญั ญัติ - เกิดในสมยั ที่ไมม พี ุทธศาสนา สื่อไดแ ตบญั ญตั ิ เพราะการส่ือใหเห็นสภาวะอนตั ตา เปนเรือ่ งยาก สัสสตทิฏฐิ อุทเฉททฏิ ฐิ อยาถาวมานะ ยาถาวมานะ ๓) พระปจ เจกพทุ ธเจา พระอนิยตโพธิสตั ว ส่ือแบบบัญญัติ (ไมรจู ะแสดงอยางไร ) สมจุ เฉทปหาน ตนุกรปหาน พระนยิ ตโพธสิ ตั ว สือ่ ไดทง้ั แบบสภาวะและบญั ญตั ิ แตถ า เปน พระสาวก ก็พอจะส่อื ไดบ าง เห็นถูกตามโวหาร เหน็ ผิดท้งั โวหาร+สภาวะ (ทาํ ใหเ บาบาง) แตผ ิดจากสภาวะ มีอบายภมู เิ ปนที่ไป อปายคมนยิ ะ ๔) ไมสามาถยงั ใหม รรคผลเกดิ แตเ ปน เหตใุ หม หากุศล ๔) พระพทุ ธเจาเทา นน้ั ส่อื ไดโดยแนนอนในอนัตตลักษณะ มีกามสุคติภูมเิ ปน ทไ่ี ป ม.กุ.สํ.๔ (นาํ ไปสอู บาย) เกิดได ๕) การยกในอนัตตธรรม พระองคม ิไดแสดงอนัตตธรรม โดยตรง แตจะทรงยก อนจิ จํ / ทกุ ขํ / อนิจจ+ํ ทกุ ขํ ภงั ค.--> พระอรยิ ะตํ่า ๓ โดยความเปนสภาวะ แลว เขาถงึ อนัตตธรรม ( ตทงั ค.) โดยพระองคจ ะยก วชิ ชมานบญั ญัติ แลวส่อื เขา ถึงสภาวะ มัคคญาณ ( มรรคจติ ) แบบอนจิ จํ+ทุกขํ แลว จะยกสภาวะตอ เพอ่ื ใหเขา ถึง อนตั ตธรรมแบบสภาวะเหมอื นกนั

- 32 - 5 ทกุ ขานุปสสนา ปญ ญาทพี่ จิ ารณาเห็นความทนอยูไมไ ดของรูปนาม ทเี่ น่ืองมาจากการพบเห็นเปนประจักษแ หง การเบียดเบยี น โดยอาการเกิดขึ้นแลวก็ดับไป ตดิ ตอ กันอยไู มข าดสาย ในขณะทกี่ ําหนดรรู ูปนามตามสภาวะอยนู ้นั แหละ ปญ ญาน้ี ชอ่ื วา \" ทกุ ขานปุ ส สนา \" ๑) เบือ้ งตน กําหนด \" ทกุ ขธรรม \" ทกุ ขธรรม ทุกขลกั ษณะ ๒) จนอาการของทกุ ขธรรมปรากฏ ชือ่ วา ภ ตี น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ .... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค / โว ม ผ ผ \" ทกุ ขลกั ษณะ \" ซึง่ กําลังเปน อารมณของบญั ญตั ิ ชอ่ื วา นามรปู ปริจเฉทญาณ ทกุ ขานุปสสนา = อปั ปณิหิตานปุ ส สนา ละปณธิ ิ \" ทกุ ขานุปสสนา \" เมอื่ เขา ถึงภังคญาณ ละสขุ วิปล ลาส ๓ สามารถละโดยตทังคปหาน ปญ ญาที่เขา สปู ระตูแหงความ ปจ จยปรคิ คหญาณ ( ละสขุ วปิ ล ลาส) วิโมกข หลุดพน ปญญานี้ เรยี กวา \" อปั ปณิหติ านปุ ส สนา \" ( ละปณิธิ - ตัณหากิเลสท่เี กดิ พรอมวิปลลาสธรรมเสมอ ) วิปส สนาญาณ ๑๐ > สมั มสน.+ตรณุ . พลว. ภังค....................................................... อนโุ ลม. วสิ ุทธิ ๒ > มคั คามคั ค. ปฏิปทาญาณทัสสนวสิ ทุ ธิ ญาณทสั สนวสิ ทุ ธิ 5 ทกุ ขธรรมทพ่ี ระองคทรงแสดง ทกุ ขานปุ ส สนา ปญ ญาที่พิจารณา ทกุ ขธรรม จน ทกุ ขลักษณะปรากฏ ธรรมทีเ่ ปน ทกุ ข ๘๑, ๕๒, ๒๘ สพฺเพ สงฺขารา ทุกขฺ า ๘๙, ๕๒, ๒๘ สมั มสน. อทุ ยพั พย. ภังค. ภย. อาทนี ว. นพิ พทิ า. มุญจิตุกัมย. ปฏสิ งั ขา. สงั ขารุเปกขา. อนโุ ลมญาณ วปิ ส สนาญาณ ๑๐ นโิ รธสัจจ ทกุ ขสจั จ - ๘๑, ๕๑(เวน โล.) ๒๘ สมุทยสจั จ - โลภ. มคั คสจั จ - องคมรรค ๘ สพเฺ พ ธมมฺ า อนตตฺ า

- 33 - 5 การแสดงเนื้อความของคําทั้ง ๓ (น. ๕๖ ) ธรรมท่ีเปน ทุกข ไดแ ก รปู นาม ๑) ทุกขธรรม เครอ่ื งหมาย (อาการ ) ท่กี ําหนดวาเปนทุกขของรูปนาม ๒) ทกุ ขลกั ษณะ ปญ ญาทีม่ กี ารพิจารณาเห็นความเปนทกุ ขอ ยูเนืองๆ ในรูปนาม ๓) ทกุ ขานุปส สนา ทกุ ขธรรม (อธ. ๘๑, ๕๒, ๒๘ ) ทกุ ขลกั ษณะ (อาการ / สามญั ลักษณะใน ๓ ลกั ษณะเหมือนกนั ) ทุกขานุปสสนา ๑) ทกุ ขทกุ ข ๑) ทุกขทกุ ขลักษณะ ๑) ทกุ ขทกุ ขานุปส สนา ชื่อวา ทกุ ข เพราะ ทนไดย ากเปน ทกุ ขจ ริง เคร่อื งหมายอนั เปนเหตุทที่ าํ ใหรวู าเปน ทุกขทกุ ข ปญญาพจิ ารณาเหน็ ทุกขท่เี ปนทุกขแทจ รงิ ไดแ ก ทุกขกาย -ใจ แสดงกับสง่ิ มชี ีวติ เทา น้ัน ( ทกุ ขานุปสสนาเทียม ) อธ. เวทนาท่ีในทุกขกาย ๑, เวทนาทใี่ นโทมนัส ๒ \" เทียม \" ๒) วิปรณิ ามทุกขลกั ษณะ ๒) วิปริณามทุกขานปุ สสนา เกิดจากความรูสึกทไี่ มเหมอื นกัน ๒) วิปรณิ ามทุกข ( โดยพระสตู ร ) เครอ่ื งหมายอันเปน เหตทุ ่ที าํ ใหรวู าเปนวิปรณิ ามทุกข ปญ ญาพิจารณาเหน็ ทุกขท่มี ิใชทกุ ขจ รงิ ของแตละคนในเหตุการณเดยี วกัน ชอ่ื วาทุกข เพราะ เปลยี่ นแปลงไมห ยดุ ยง้ั ( ทุกขานุปส สนาเทยี ม ) บางคนสขุ บางคนทกุ ข จากสุขเปน ทุกข แสดงมุงหมายในส่งิ มชี ีวติ เทานนั้ อธ. เวทนาท่ใี นสขุ กาย ๑, เวทนาทใ่ี นโสมนัส ๖๒ \" แท \" ๓) สังขารทุกข ( โดยพระอภธิ รรม ) ๓) สังขารทุกขลกั ษณะ ๓) สงั ขารทุกขานุปสสนา เกิดจากความรสู ึกทีเ่ หมือนกนั ช่ือวาทกุ ข เพราะ จัดแจงปรุงแตง ดวยความเกิดดบั เครอ่ื งหมายอันเปนเหตุที่ทําใหร ูวาเปน สังขารทกุ ข ปญ ญาพจิ ารณาเหน็ ทุกขทว่ั ไปท่รี ไู ดยาก ของแตละคนในเหตุการณเดียวกนั แสดงทงั้ ในสิง่ มีชวี ิตและไมม ชี วี ิต สังขารทกุ ขน จ้ี ะเกดิ ( ทกุ ขานปุ ส สนาแท ) คอื รูสกึ ในเรอ่ื งเกิดดบั เหมอื นกนั หมด กบั ผเู จรญิ วิปส สนาเทาน้นั สงั ขารทุกขลกั ษณะ อธ. ๘๙, ๕๑(-เว), รูป ๒๘, อุเบกขาเวทนา ๕๕ สังขารทุกขานุปสสนา สงั ขารทุกข นามรปู ปรจิ เฉท. + ปจจยปริคคห. สัมมสน.+ตรุณ. อารัมมณานุสยั พลว. ภังค. ภย. อาทีนว. นิพพิทา. มุญจติ ุกมั ย. ปฏสิ ังขา. สงั ขารุเปกขา. อนุโลมญาณ สนั ตานานสุ ัย - ไมม อี ารมั มณานุสยั แตยงั มีสนั ตานานุสยั - สุขสัญญา, จิตต, ทิฏฐวิ ปิ ลลาส ๓ ถูกประหาณ

- 34 - 5 ความตางกนั ของทุกขานปุ ส สนาแท - เทยี ม (น. ๕๘ ) ทกุ ขานปุ ส สนาเทยี ม ทกุ ขานปุ สสนาแท - ทุกขทุกข - สังขารทุกข - วปิ รณิ ามทุกข - ละบญั ญัติ เพกิ อภชิ ณา + โทมนสั ได ( เพิกอิรยิ าบถที่ปด บงั ทกุ ขไ ด ) ตรงตามหลักพทุ ธประสงค - เปนบัญญตั ิ ยังไมถูกตอ งตามวัตถปุ ระสงค - อาศยั แนวทางการเจริญสตปิ ฏฐาน ๔ \" หมวดกายานปุ สสนา \" - อาศยั ความรสู ึก (บญั ญัติ ) ทกุ ขก าย / ใจ - สามารถประหาณ วิปลลาสธรรม + วัฏฏ ๓ สุขกาย / ใจ - ยงั ไมสามารถประหาณกิเลสได 5 ผูท กี่ าํ หนดอยา งมสี ตแิ ละไมม ีสตเิ ปนอยา งไร (น. ๕๙ ) ผไู มม สี ติ ผมู สี ติ ** การปฏบิ ัติในอิรยิ าบถ ๔ น้ันเปน อยางไร ๑. ไมไดเ จรญิ ตามแนวสตปิ ฏฐาน ๔ ๑. เจริญตามแนวสติปฏฐาน ๔ หมวดกายานปุ ส สนาสติปฏฐาน --> อิริยาบถ ๔ + สัมปชญั ญะ ๒. ไมมกี ารเพิกอริ ยิ าบถเกา และใหม ๒. มีการเพกิ อริ ยิ าบถทัง้ เกาและใหม เดิน ยืน ซงึ่ ไดแก อภิชฌา + โทมนัส ครอบงาํ - ทุกขทุกข ตอ งเพกิ โทมนสั ออกจากอิริยาบถเกา (ไมชอบไมพอใจ ) ตน ปลาย ตน ปลาย ๓. เปนอุปสรรคตอ การเจริญวิปส สนา - วปิ รณิ ามทุกข ตองเพิกอภชิ ฌา ออกจากอริ ิยาบถใหม (ชอบ พอใจ ) ๔. ถา ทุกขทกุ ข ซงึ่ เปน ของหยาบ ๓. เม่อื น้ันก็ปรากฏสภาวะของ \" ทกุ ขธรรม \" ไดชดั เจน ดว ยความทนอยไู มไดในสภาพเดิม จดุ เปล่ยี น อิริยาบถ ๔. ตองกาํ หนดวา ทกุ ขน ้นั เปนไปในอริ ิยาบถใดและนามใด เพื่อแยกรูปแยกนาม ยังไมสามารถกาํ หนดได \" ทุกขลักษณะ \" จึงจะปรากฏ รปู ทางใจ วิปริณามทุกข + สังขารทุกข ๕. ตองมสี ติ สมั ปชญั ญะ กาํ หนดรูใน ๓ ข้ันตอน คอื ก็ไมอยูในวิสยั ๑) กอนการเปลีย่ นอริ ิยาบถ - มีสติสมั ปชญั ญะ เพอ่ื ใหเ ห็นทุกขเบียดเบยี นอยู วปิ ริณามทุกข ทกุ ขทกุ ข (จิตตชรปู ) ( เปลี่ยนเพราะโทมนสั หรือเพื่อการแกท กุ ข ) \"สุขกาํ ลงั เกดิ \" \"ทกุ ขเร่มิ เกิด\" นามทางใจ ๒) ขณะกาํ ลงั เปลีย่ นอริ ิยาบถ - เพือ่ ดวู าระจติ ทเี่ ปนเหตใุ หเกดิ การเปล่ยี น อภิชฌา เกดิ โทมนสั เกดิ เปนไปโดย ( เปลย่ี นเพราะอภชิ ฌา หรอื เพอ่ื การแกท กุ ข ) ๓) หลังการเปลย่ี นอริ ิยาบถ - พิจารณาเปลี่ยนอริ ยิ าบถที่เปลีย่ นแลว โดยไมเ ห็น เบยี ดเบียน โลภ อภชิ ฌา ( เปล่ยี นแลวมีอภชิ ฌา หรือเพ่อื การแกท ุกข ) ทุกขเวทนา คือ ตองการ เปล่ียน อภิชฌา / โทมนัสครอบงาํ ถาขาดสติในการพิจารณา

- 35 - 5 อนัตตานปุ สสนา (น. ๖๒ ) ปญญาทพ่ี ิจารณาเห็นโดยความเปน \" อนตั ตา \" ไมม แี กนสารปราศจากการบังคับบญั ชาของรปู นาม ทเ่ี นอื่ งมาจากการพบประจักษแ หง ความไมใ ชต น เรา เขา โดยอาการเกิดขึ้นแลว ดับไป ติดตอกนั อยอู ยางไมข าดสาย ในขณะที่กําหนดรรู ปู นามตามสภาวะอยู ปญ ญาน้ชี ่ือวา \" อนัตตานุปส สนา \" มี ๔ อยา ง คอื ๑. จติ = นามธรรม ๒. กาย = รูปนาม ๓. สภาวะ ๔. ปรมอัตต / วญิ ญาณพเิ ศษ อตตฺ านํ ทมยนฺติ ปณฺฑติ า นตฺถิ อตฺตสมํ เปมํ อตฺตทีปา ภิกขฺ เว วิหรถ อยํ อตตฺ า นิจโฺ จ ธุโว สสสฺ โต อวิปริณามธมฺโม บัณฑติ ท้งั หลายยอ มฝกฝนตน (ตน = จติ ) พงึ รใู น > กศุ ล, อกศุ ล, วปิ าก ความรักเสมอดวยตนไมม ี (ตน = กาย) ภิกษุท้ังหลายจงเปนผมู ีตนเปนทีพ่ ง่ึ อยู (ตน = กศุ ลธรรม) ตนนเี้ ปน ของเทย่ี งแขง็ แรง ตั้งอยมู ั่นคง ไมมกี าร มุงหมายใน - ศีล แตกดับ ( ตน = ปรมอตั ตะ / ปรมวญิ ญาณ ๑) พระสูตร อสั สาสะ ปส สาสะ กศุ ลธรรม - สมาธิ ทช่ี าวอนิ เดยี ถอื กนั ตลอดมาจนทุกวันนี้ ) โยนิโส = เปน กุศล วิปาก เปนปจจยั ให กายสังขารเกดิ - ปญ ญา ตรงขามกับ อนัตตา อโยนโิ ส = เปนอกุศล ใหร เู ทา ทันใน กรรม + วปิ าก ๒) พระอภิธรรม อวิชชาเปนปจจยั ให กายสงั ขาร กายทุจรติ กายสจุ รติ อัตตา คือ จิต, กาย, สภาวะ น้ี ถกู ตอ งตามหลักฐานของตนๆ 5 พระบาลีในขอ ท่ี ๔ ปรมอัตตะ / วญิ ญาณพิเศษ ๑ หลกั ในทางพทุ ธศาสนา เรยี กวา \" อตั ตวาทุปาทาน \" - ตนน้ีเปน ของเทย่ี งแขง็ แรง ต้ังอยูม่นั คง ไมมกี ารแตกดับ ( ชาวอินเดยี สว นมากเช่ือวา อัตตาไมตายไมม กี ารแตกดบั เปนของเท่ยี งเสมอ ) คือ ผยู ดึ ถือ อัตตวาทะ เปนมจิ ฉาทิฏฐิ เปน ความเหน็ ผิด - อัตตา น้เี ปน ช่ือของ ชวี ะ ในที่นี้ชาวอนิ เดยี มงุ หมายถงึ \" วิญญาณพเิ ศษ \" อยา งหน่ึง เมอ่ื คนตายไปแลว ชีวะ หรอื อตั ตาไมตาย ตอ งหาทีอ่ ยใู หม บางกย็ ดึ รปู , บา งกย็ ึดเวทนา / สญั ญา / วิญญาณ / สงั ขาร - ตน = ปรมอตั ตะ สิ่งไมม ีชวี ิต ส่งิ ท่ีมีชวี ิต (ชวี ะ หรอื อัตตะ ) - อัตตา เปน เวทกะ คอื ผเู สวยความสุข / ทกุ ข / กระทําดี / รา ย อตั ตาจะเปนผูเ สวยผลในชาติใหมในอนาคต - อตั ตา เปน นิวาสี คือ ผเู ทยี่ งไมตาย เม่อื บานเกา แตกดบั กย็ ายไปอยูทใ่ี หมตอไป - อตั ตา เปน สยวํ สี คือ การกระทําส่งิ ตางๆ ตามความประสงคของอตั ตา เพราะฉะนน้ั อัตตาจึงเปนเจา ของโลกเปน ผสู รางโลก

- 36 - 5 ขยายความ \" ปรมอัตตะ \" ( วิญญาณ ทางพทุ ธศาสนา มีการเกิดดับและไมใชก ายเดมิ ) รูปารมณ จกั ขุสัมผัสสชาเวทนา ---> ใน ปรมอัตตะ เชอื่ วา อัตตะเปนผูเสวยอารมณด ี / ไมด ี = \" เวทกะ \" จุติ ปฏิ. ....ฯลฯ ... ภ ตี น ท ป จกั สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ...ฯลฯ ... ---> จตุ ิ ปฏ.ิ ....ฯลฯ ... กศุ ล / อกศุ ล จักขปุ สาท หลกั - พุทธ เจตนากรรม ๒๙ ----> ปฏ.ิ ๑๙, เจ.๓๕, ปฏิ.กํ อ.ุ ณ.อกุ.๑ อัตตะ เปนผเู หน็ = \" สยํวสี \" อตั ตะ เปน ผรู ับสิ่งที่ดี / ไมดี วิญญาณขนั ธ อ.ุ ณ.ก.ุ ๑ ม.วิปาก.๘ ความเชอ่ื ใน ปรมอัตตะ ชีวอัตตะ รูปวปิ าก.๕ อรูปวิปาก.๔ หลกั - ปรมอัตตะ เช่ือวา วญิ ญาณเทยี่ งไมแตกดบั มั่นคงเปน แกนสาร ทงิ้ รา งเกา เกดิ ในรางใหม ดว ยวญิ ญาณเดมิ = \" นิวาสี \" เปน ผเู ที่ยง ** พระบาลี \" สพเฺ พ ธมมฺ า อนตฺตา \" สพเฺ พ สงฺขารา อนจิ ฺจา มีชวี ิต สพฺเพ สงขฺ ารา ทุกฺขา \" สพฺเพ ธมมฺ า อนตฺตา \" แสดงท้งั สิ่งมีชวี ติ + ไมม ีชวี ิต อธ. ๘๙, ๕๒, ๒๘ อธ. ๘๙, ๕๒, ๒๘, นพิ , บญั . \" สงขฺ ิเตน ปฺจุปาทานกขฺ นธฺ า \" เมอ่ื ยกข้ึนเปน อารมณของวปิ ส สนา = \" ตเทว ขนธฺ ปจฺ กํ \" ๘๑, ๕๒, ๒๘ (อุปาทานักขันโท) รูปนามที่ถกู อุปาทาน ๔ ยดึ ไว ไดแก โลกยี จติ ๘๑, ๕๒, ๒๘ เทา นั้น

- 37 - 5 การแสดงเนอื้ ความของคําทง้ั ๓ (น. ๖๔ ) รูปนามขนั ธ ๕ ท่เี ปน อนตั ตาไมใ ชต ัวตน การกาํ หนดรเู หน็ รปู นามทเี่ ปน \"อนตั ตา\" อยเู นอื งๆ ๑) อนตั ตธรรม เครื่องหมาย (อาการ ) ท่กี ําหนดรูวาไมใ ชต วั ตนของรูปนาม จน \"อนัตตลกั ษณะ\" ปรากฏแก ๒) อนตั ตลักษณะ ปญญาทีม่ กี ารพิจารณาเหน็ โดยความไมเปน ไปในอาํ นาจบงั คบั บญั ชาของรูปนาม ปญ ญาทช่ี ื่อวา \"อนตั ตานุปส สนา\" ๓) อนัตตานปุ ส สนา สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา = ๘๙, ๕๒, ๒๘, นพิ , บัญ. เหตปุ จ จัยของนามรปู ๑) อนัตตธรรม ( ตเทว ขนฺธปจฺ กํ ) = ๘๑, ๕๒, ๒๘ ภ น ท ม ชชชชชชช ภ ภ ( พจิ ารณานามรูป ) [๒] ปจจยปรคิ คหญาณ ภ ตี น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ [๑] นามรูปปรจิ เฉทญาณ ญาตปรญิ ญา ๒) อนตั ตลักษณะ ( ไตรลักษณ ) สญุ ญตนพิ พาน ภ ตี น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ .... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค / โว ม ผ ผ [ อนุปสสนา ] [ วโิ มกขมขุ ] [ วโิ มกข ] ๓) อนัตตานุปส สนา ---> ละอตั ตวปิ ลลาส ๓ สญุ ญตานุปส สนา ---> ละอภนิ ิเวสํ สญุ ญตวิโมกข ( เหน็ เปน ของสญู = มหาวปิ ส สนา ๑๘ ขอ ๑๓ ) ( กาํ หนดรูเห็นรปู นามทเี่ ปนอนัตตาอยเู นืองๆ จนอนตั ตลักษะปรากฏ ) วปิ สสนาญาณ ๑๐ > [๓] สัมม. + [๔] ตรณุ . [๔] พลว. [๕] ภังค. [๖] ภย. [๗] อาทนี ว. [๘] นิพพิทา. [๙] มญุ จิต.ุ [๑๐] ปฏสิ งั ขา. [๑๑] สงั ขาร.ุ (ปลาย ) [๑๒] อนโุ ลม. [๑๓] [๑๔] [๑๕] ผล [๑๖] ปจ จเวก. วฏุ ฐานคามนิ .ี วสิ ุทธิ ๒ > มัคคามัคคญาณทัสสนวสิ ทุ ธิ ปฏปิ ทาญาณทสั สนวิสทุ ธิ ญาณทสั สนวิสทุ ธิ ตรี ณปริญญา ปหานปริญญา ละโดยตทังคปหาน ใน อารัมมณานสุ ัย ละโดยสมจุ เฉทปหาน ในสนั ตานานุสยั

- 38 - 5 บัญญัตปิ รากฏ ปรมตั ถห าย (น. ๖๖ ) ทาํ ใหรูรูปราง นามบญั ญตั ิจงึ ปรากฏ เพราะ ๑) \" สนั ตติ \" สืบตอกนั อยางรวดเร็วจนไมเหน็ ความเกิดดบั เมอ่ื น้ัน \" ฆนบญั ญตั ิ \" กป็ ดบัง \" อนัตตา \" ๒) เมอ่ื นน้ั ก็ปรากฏรปู รางสัณฐานสสี รรวณั ณะ ๓) เปน เหตใุ หบ ัญญัตจิ งึ ปรากฏ ปรมัตถหาย \"เสนผม\" รูปารมณ มีสภาพเกิดดบั ติดตอ กนั อยา งรวดเร็ว อตีตัคคหนวิถ+ี สมหู ัคคหนวถิ ี+อัตถคั คหนวถิ ี+นามัคคหนวิถี เห็นเสน ผมของเรา (สันตติ) ภ ตี น ท ป จกั สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ สกั กายทฏิ ฐิ สักกายทฏิ ฐิ ทฏิ ฐคิ ตสัมปยุตต ** เพราะสนั ตติ ทีป่ กปดอารมณภายใน + ภายนอก ที่สบื ติดตอ กันอยางรวดเรว็ ทัง้ อารมณใ หม + เกา จึงเปนเหตใุ หเกิด ฆนบญั ญัติ ความเปนกลุม กอนของอารมณทง้ั อารมณ + อารัมมณกิ ** สนั ตติ ปดบงั อนิจจงั เบอ้ื งตน เปน ปจจัยให ฆนบัญญตั ิ ปดบงั อนัตตา (บางครัง้ เรียกรวมวา \" สันตติฆนบัญญตั ิ \" ) ** เมื่อทําลายสันตติใหข าดลง จะเหน็ อนิจจงั และอนตั ตธรรมก็ปรากฏ พรอมทงั้ ฆนบญั ญตั ิ กแ็ ตกลง 5 ปรมัตถป รากฏ บัญญตั ิหาย (น. ๖๖ ) วา โดยหลกั ปริยัติ ๑) ในเสน ผมประกอบดวย อวินพิ โภครูป ๘ - ทเ่ี หน็ เปนเสน ผม เพราะมี วณั ณะ ปรากฏทางตา - ทร่ี ูกล่นิ เสนผม เพราะมี คนั ธารมณ ปรากฏทางจมกู ท้ังหมดรูแตละทางไมเกี่ยวขอ งกัน - ที่รรู สเสน ผม เพราะมี รสารมณ ปรากฏทางลนิ้ - ทม่ี โี อชารูปในเสนผม เพราะมี โอชา ปรากฏทางใจ * ขณะนน้ั มีนามเหน็ ขณะหน่ึง / นามรูกล่ินขณะหนึ่ง / นามรูรสขณะหน่งึ / นามรโู อชาขณะหนึง่ เปน คนละนามธรรม ไมใ ชนามธรรมเดยี วกนั ๒) ส,ี กลน่ิ , รส, โอชา (อปุ าทายรปู ) เกดิ จาก มหาภูตรปู ๔ เปนปจ จัย มหาภตู รูป ๔ กเ็ ปน ปจ จยั ซ่ึงกนั และกนั รไู ดโดยการกระทบ แลว มีความรูสกึ ไมใ ชร ูด วยการเห็น ๓) การเห็นเปนสว นหนงึ่ การกระทบกเ็ ปน อกี สวนหนึง่ ๔) อารมณภ ายใน + ภายนอก แยกขาดจากกนั เมอ่ื นนั้ สนั ตตขิ าด ฆนบัญญตั แิ ตก อนตั ตากป็ รากฏ อตั ตากห็ ายไป

- 39 - 5 พระบาลบี ทท่ี ๔ นามรูปปริจเฉทญาณ (น. ๗๐ ) - วา โดย วิสุทธิ เปน ทิฏฐิวสิ ุทธิ ไดแก ปญ ญาเจตสิก ทีม่ กี ารกําหนดรลู ักขณาทจิ ตกุ ะ ของรปู นาม - บางครงั้ เรยี กวา ๑.นามรปู ววัฏฐาน - พจิ ารณาในรูปนาม / ๒.ทฏิ ฐิวิสุทธิ - การเหน็ บรสิ ทุ ธิ์ / ๓.สงั ขารปริจเฉท - พจิ ารณาสงั ขารธรรม วปิ ส สนาภมู ิ ๖ ส่งิ ทตี่ อ งรูใน นามรูปปรจิ เฉทญาณ ปฏิบัติตามแนวสติปฏฐาน ๔ ประโยชนตอ โยคาวจร ๑.ขันธ ๕ สจั จญาณ (ฝายปรยิ ัต)ิ คอื ทาํ ใหสามารถ ๒.อายตนะ ๑๒ กิจจญาณ (ฝายปฏิบตั )ิ อารมณ ผูรูอ ารมณ แยกรูปแยกนามออก ๓.ธาตุ ๑๘ - ปจจุบนั อารมณเ ทานัน้ - โยคาวจร = อาตาป (วิรยิ ะ) / สติมา (สติ) / สมั ปชาโน (ปญญา) เปน หมวดๆ เพื่อให ๔.อนิ ทรีย ๒๒ = รูปนาม - ตองไมใชอารมณท ่ที าํ ใหเกิดขน้ึ สนั ตติขาดในเวลาปฏิบตั ิ ๕.สจั จ ๔ , ๖. ปฏจิ จ. ( ลักษณะ / รส / ปจ จปุ ฏ ฐาน / ปทฏั ฐาน ) - ตอ งทาํ ลายอภชิ ฌา+โทมนัส มีธรรมทช่ี ว ยอุปการะคอื โยนโิ ส +สกิ ขติ 5 ลกั ขณาทิจตกุ ( ลักษณะ / รส / ปจ จปุ ฏ ฐาน / ปทฏั ฐาน ) จติ ๑) วิชานนลกฺขณํ มีการรูอารมณเปนลกั ษณะ เจตสกิ ๑ ] นมนลกฺขณํ มกี ารนอมไปสอู ารมณเปนลกั ษณะ ๒) ปพุ ฺพํคมรสํ เปน ประธานแกเจตสิกและกมั มชรูป เปนกิจ ๒ ] สมปฺ โยครสํ มีการประกอบกบั วิญญาณและประกอบกนั ตนเอง ๓) ปฏิสนธฺ ิปจฺจุปฏานํ มีการสบื ตดิ ตอระหวางภพเกา กับภพใหม เปน อาการปรากฏ โดยอาการท่เี ปน เอกปุ ปาทตาเปน ตน เปน กจิ ๔) สงขฺ ารปทฏานํ (วา) มีสงั ขาร ๓ เปนเหตใุ กล หรอื มีวตั ถุ ๖ อารมณ ๖ เปนเหตุใกล ๓ ] อวนิ พิ ฺโภคปจจฺ ปุ ฏานํ มีการไมแ ยกกนั กับจิต วตฺถารมฺมณปทฏานํ เปน อาการปรากฏในปญ ญาของบณั ฑิตท้งั หลาย ๔ ] วิฺ าณปทฏานํ มวี ิญญาณเปนเหตุใกล อารมณ ๖ ๑ ) วชิ ฺชานนลกฺขณํ = อารัมมณปจจัย ๔ ) สงฺขารปทฏานํ วา สังขาร ๓ = นานกั +ปกตู รปู ๑ > รปุ ฺปนลกขฺ ณํ มีการสลายแปรปรวนเปนลักษณะ สงั ขาร๓ --> ๓ )ปฏิสนฺธิปจฺจปุ ฏานํ วตถฺ ารมมฺ ณปทฏ านํ อารมณ ๖ = อารัมมณ. ๒ > วกิ ริ ณรสํ มกี ารแยกออกจากกันไดเ ปนกิจ = อนันตรปจ จยั ๑ ] นมนลกขฺ ณํ วัตถุ ๖ = วัตถุปุเรชาต. ๓ > อพฺยากตปจจฺ ุปฏานํ มีความเปนอัพยากตธรรม หรอื มคี วามไมร อู ารมณ จุติ ปฏิ ....ฯลฯ .... ภ ตี น ท ป ปญ สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ...ฯลฯ ... จุติ ปฏิ ... เปนอาการปรากฏในปญญาของบณั ฑิตท้งั หลาย ๒ ) ปพุ พฺ คํ มรสํ - วิญญาณภพนี้ --> เจตสกิ = สหชาต. ๔ > วิ ฺ าณปทฏานํ มีวญิ ญาณเปน เหตุใกล กมั มวิญญาณ - วญิ ญาณภพกอน --> ปวตั ตกิ ํ = ปกตู. สง ผลในปวัตติ ๒ ] สมปฺ โยครสํ ๓ ] อวินพิ โฺ ภคปจฺจุปฏานํ ๔ ] วิฺาณปทฏานํ ๒ > วกิ ริ ณรสํ รปู ๓ > อพฺยากตปจจฺ ปุ ฏ านํ รูปแตละรูปเกดิ จาก ๑ > รปุ ฺปนลกขฺ ณํ ๔ > วิฺาณปทฏ านํ กมั มชรปู ปฏ.ิ ๑๕,เจ.๓๕,ปฏ.ิ กํ. วตั ถุ ๖ ๔ สมุฏฐาน แยกจากกัน ๑ ) วชิ านนลกขฺ ณํ ๒ ) ปุพพฺ ํคมรสํ รับอารมณ ๓ อยาง = สหชาต.ขอ ๑, ๓, ๔

- 40 - 5 การพิจารณาใน นามรปู ปรจิ เฉทญาณ * หลงั จาก สมถยานิกะ พิจารณานามธรรมแลว จะพจิ ารณารปู ธรรม อยางไร ( น.๗๑ ) นามธรรม ---> อาศยั หทยวตั ถุ ---> อาศัยมหาภตู รปู ๔ เกิด * สมถยานกิ บคุ คล ตอ งมอี ารมณส มถะมากอ น ( ๓๐ = ปรมตั ถ ๒ + บญั ญตั ิ ๒๘ ) อารมณบ ัญญัติ ไมเ ปน บาทของวิปส สนา ๑) ปฏภิ าคนิมติ ๒) องคฌาน / ธรรมทปี่ ระกอบกบั องคฌาน หทยวัตถุ ที่เปนปจจัยใหปฐมฌานเกดิ ขนึ้ องคฌ าน ( ยกวิถที พ่ี ิจารณานามธรรมแรกมาเปนอารมณ ) ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ เปน บาทของการ ภ ตี น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ .... เจรญิ วิปสสนาได ภ ตี น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ .... วัตถุ สตสิ มั ปชัญญะ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ (ขม นวิ รณโดย ตทังคปหาน ) (ขมนิวรณโดย วกิ ขมั ภนปหาน ) มโน.๑ + กามชวนะ ๒๙ + ตทา.๑๑ / อภญิ . ๒ หทย. ๓) จิตตวสิ ุทธิ - วัตถารมั มณปเุ รชาปจจยั มีกาํ ลังของสมาธิทแ่ี นว แนไ มเปนบาทของวิปส สนา เพราะ ปญญามีกาํ ลังออนกวาสมาธิ - เกดิ กบั ผทู กี่ ําลงั พิจารณา หทยํ เปนอารมณ ท่ีปรากฏอยเู ฉพาะหนา (ปจ จุบนั อารมณ ) จะไมมีกําลังเหน็ ไตรลกั ษณ / ลกั ษณะ / อาการไดเ ลย แตเ ปนบาทเขา ถึง ทฏิ ฐวิ สิ ทุ ธิ ได * การเจริญวิปสสนาของ สมถยานกิ ะ โดย ยกองคฌานมาเปนบาท 5 การกําหนดรปู นาม ทาง ธาตุ ๔ ( น. ๗๒ ) ยกองคฌ าน / ธรรมที่ประกอบกับฌานเปนบาท เชน ยกองคฌาน ๕ / ปฐมฌานกศุ ลจติ , เจ.๓๐ * วปิ สสนายานิกะ - พิจารณารูปธรรมกอน คอื ธาตุ ๔ ไดเลย ภ ตี น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ .... ( เวน องคฌ าน ๕ ) - พจิ ารณานามธรรมภายหลัง สติสัมปชัญญะ * สมถยานิกะ - พิจารณานามธรรมกอ น มีปฐมฌาน เปนตน แลว หทยวตั ถุ - พิจารณารปู ธรรม คอื ธาตุ ๔ ภายหลัง ๑) เขาฌานของตน (ปฐมฌาน --> อากิญ เวน เนว. เพราะสภาวธรรมละเอียดเกนิ ไป ) เพอื่ ให องคฌ านปรากฏ ( ใหเ กิดฌานเพียง ๒ - ๓ ขณะเทา นน้ั ) ธาตุ ๔ ในกลาป ๒) มปี จ จเวกขณะมาพจิ าณาองคฌาน หรือธรรมทป่ี ระกอบองคฌ าน ๓) ไมย ก \" ปฏภิ าคนิมิต \" เปนบาท เพราะอารมณเ ปน บญั ญตั ิ เกดิ จาก อาโป - ไหล / เกาะกุม สมุฏฐาน ๔ เตโช - ไออุน ไมย ก \" จิตตวิสทุ ธิ \" เปน บาท เพราะสมาธทิ ีแ่ นวแนไมเปนบาทของการเจรญิ วปิ ส สนา ที่ตา งกัน ปถวีธาตุ อาศัย --> วาโย - เครงตึง ลักษณะตางกัน (แข็งออ น) * สมถยานกิ ะ - พิจารณานามธรรมกอ น (องคฌาน ๕) พจิ ารณารปู ธรรม (หทยวัตถุ ) ภายหลงั * วิปสสนายานิกะ - พจิ ารณารูปธรรมกอ น พิจารณานามธรรมภายหลงั สมถยานกิ ะ ไดท้ังฌาน + ญาณ โสดาบนั .---> มคี วามเสือ่ มส้นิ สลายไป เหมือนกนั วปิ สสนายานิกะ ไดญาณ ไมไดฌาน

- 41 - 5 สรุป การกาํ หนดรปู นามทาง ธาตุ ๔ / ธาตุ ๔๒ ( น. ๗๒ ) ปถวี ๒๐ อาโป ๑๒ กรรม จิต อุตุ อาหาร รวมรูป [ ๘ ] ที่เหลอื ๖๐ ไดแก [ ๒ ] ปถวี มี ๑๘ กายทสกกลาป ๑๐ อาโป มี ๖ ภาวทสกกลาป ๑๐ ๘ ๘ ๘ ๔๔ รปู - จักข.ุ ๑๐ - ชวิ หา. ๑๐ ( เวนอาหารเกา, ใหม ) น้ําด,ี เสมหะ, โลหิต รวมชวี ิตนวกกลาป - โสต. ๑๐ - ภาวะ ๑๐ นา้ํ มนั ขน , น้ํามันเหลว, นา้ํ ในขอ สุทธัฏฐกกลาป - ฆาน. ๑๐ - วตั ถุ ๑๐ [๓] เหงอื่ , น้ําตา, น้ําลาย, นํ้ามูก - ๘๘ - [ ๔ ] อาหารเกา, อาหารใหม หนอง, น้าํ มูตร - -๘- ๑๖ รปู ๘ รปู เตโช ๔ วาโย ๖ [ ๑ ] ๙ ชีวติ นวกกลาป [ ๕ ] ปาจกเตโช - - - - ๙ รปู [๖] - - ๙ สัทท. - - ๙ รูป [ ๗ ] อุสสมาเตโช อัสสาสปส สาสะ ๙ ชีวติ นวกกลาป ทเี่ หลือ ๕ ๘ ๘ ๘ ๓๓ รูป - สันกปั ปนเตโช อุทธังคมวาโย, อโธคมวาโย - ทหนเตโช กจุ ฉิฏฐวาโย, โกฏฐาสยวาโย - ชริ ณเตโช คังคมังคานสุ ารวี าโย 5 การกําหนดรูปนามทาง ธาตุ ๑๘ อายตนะ ๑๒ ขันธ ๕ ( น. ๗๔ - ๗๕ ) รูปขันธ รปู ายตนะ, สทั ทายตนะ, คันธายตนะ, รสายตนะ, โผฏฐัพพายตนะ วิญญาณธาตุ ๗ = มนายตนะ = วิญญาณขันธ รปู ธาต,ุ สทั ทธาต,ุ คันธธาตุ, รสธาต,ุ โผฏฐัพพธาตุ ธัมมธาตุ = ธมั มายตนะ = สุขุมรปู ๑๖, เจ.๕๒ ( เจตสกิ ขันธ ๓ ) จักขุวิญญาณธาตุ, โสตวิญญาณธาต,ุ ฆานวิญญาณธาต,ุ ชวิ หาวิญญาณธาตุ, กายวิญญาณธาตุ มโนธาตุ ดวงตา มี ๕๔ รูป เปน จกั ขปุ สาท ๑ รูป ทรงไวซ ึง่ ความใส (เหน็ ไดร ูปเดียว + รูปอืน่ ๆ อีก ๕๓ ) มหี นาท่ี ๒ อยาง คือ ภ ตี น ท ป ปญ สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ภ ๑ รบั รูปารมณ ๒ เปนท่อี าศัยเกิดของนามธรรม มโนวิญญาณธาตุ มี ๕๔ รปู เชน จกั ขุ ๑๐ กาย ๑๐ ภาว ๑๐ + ๒๔ (จติ ๘ อุตุ ๘ อาหาร ๘ ) จกั ขุธาตุ, โสตธาตุ, ฆานธาต,ุ ชวิ หาธาตุ, กายธาตุ มี ๔๔ รปู ( กาย ๑๐ + ภาว ๑๐ + ๒๔ ) จกั ขายตนะ, โสตายตนะ, ฆานายตนะ, ชวิ หายตนะ, กายายตนะ

5 การกาํ หนด รปู - นาม ท่ีเปน อารมณข องวปิ สสนา โดยยอ ( น. ๗๕ ) - 42 - ปริยตั ิ ( ศกึ ษาเพือ่ นาํ ไปปฏิบตั ิ ) ปฏบิ ตั ิ ( เพ่อื ใหเ กิดวปิ ส สนาปญญา ) ทําความรสู ึกตวั ในขณะกาํ หนดอยางไร อารมณทเ่ี กิดข้นึ อะไรเปน \" รูป \" อะไรเปน \" นาม \" กําหนดที่ รูป หรือที่ นาม เพราะเหตุใดจงึ กาํ หนดท่รี ปู หรอื ท่นี ามน้นั ๆ ทําความรสู กึ ตัววาดู \" นามเห็น \" ๑) ทางตา รปู / สี ทถี่ กู เหน็ เปน \" รูป \" เหน็ สี เปน \" นาม \" กาํ หนดที่ \" นามเหน็ \" เพราะสาํ คญั ผิดยดึ เอานามเห็นวา เปน \" เราเหน็ \" จงึ ตองทําลายกิเลสตรงทเี่ ขา ใจผิดในสภาวะน้นั ๒) ทางหู เสียง ทีถ่ ูกไดย นิ เปน \" รูป \" ไดยนิ เสียง เปน \" นาม \" กําหนดท่ี \" นามไดยิน \" เพราะสําคัญผิดยดึ เอานามไดย นิ วา เปน \" เราไดยนิ \" ทาํ ความรสู กึ ตัววา ดู \" นามไดย ิน \" จงึ ตอ งทาํ ลายกเิ ลสตรงทีเ่ ขาใจผดิ ในสภาวะนัน้ ๓) ทางจมกู กล่นิ ท่ที าํ ใหร ูสึกเปน \" รูป \" รูก ลนิ่ เปน \" นาม \" กาํ หนดที่ \" รปู กลน่ิ \" เพราะสําคัญผิดยึดเอารูปกล่นิ วาเปน \" เราเหมน็ .ฯ.. \" ทาํ ความรูสึกตวั วา ดู \" รูปกลน่ิ \" จึงตองทําลายกิเลสตรงทเ่ี ขาใจผิดในสภาวะน้ัน ๔) ทางลน้ิ รส ทท่ี าํ ใหร สู กึ เปน \" รปู \" รรู ส เปน \" นาม \" กาํ หนดที่ \" รปู รส \" เพราะสาํ คญั ผดิ ยดึ เอารปู รสวา เปน \" เราเปรยี้ ว .ฯ.. \" ทาํ ความรสู กึ ตวั วาดู \" รูปรส \" จึงตองทาํ ลายกเิ ลสตรงทเี่ ขา ใจผิดในสภาวะนน้ั ๕) ทางกาย เยน็ รอน ออน แขง็ รเู ย็น รอน ออ น แขง็ จะกําหนดรูปทางกาย เพราะสาํ คญั ผิดยดึ เอารูปเยน็ วา เปน \" เราเยน็ .ฯ.. \" ทาํ ความรสู กึ ตวั วา ดู \" รูปเยน็ รอ น .ฯ..\" ท่กี ระทบกายเปน \" รูป \" ท่ีกระทบกายเปน \" นาม \" หรอื นามทางกายก็ได หรอื ยึดเอานามปวด เมอ่ื ยวาเปน \" เราปวด เราเม่อื ย .ฯ..\" หรือดู \" นามปวด, นามเมอ่ื ย .ฯ..\" ความปวด เม่ือย ขดั ยอก คนั ฯ แลว แตสภาวะอันใดปรากฏ จงึ ตองทาํ ลายกเิ ลสตรงทเ่ี ขา ใจผิดในสภาวะน้นั เปน \" นาม \" ชดั เจนในขณะนั้น ๖) ทางใจ อริ ิยาบถใหญแ ละยอย รอู ิรยิ าบถใหญ และยอย กําหนดที่ \" รูปทางใจ \" เพราะสําคญั ผิดยดึ เอาอิรยิ าบถใหญและยอ ย ซ่ึงเปนรูป ทําความรูสกึ ตวั วาดู \" รูปยืน รูปเดิน .ฯ.. \" เปน \" รูปทางใจ \" วา เปน \" เรายนื เราเดิน เรานง่ั เรานอน .ฯ..\" หรอื ดู \" นามทีค่ ิดนึก ฟงุ โกรธ รัก .ฯ.. \" กบั ความคดิ ท่จี ะเปลยี่ นอิรยิ าบถ หรอื ท่ี \" นามทางใจ \" หรือยึดเอาความคิด นกึ ฟุง โกรธ รัก .ฯ.. ซ่ึงเปน นาม ตองทาํ ความรสู ึกวา ดู \" รูปอะไรดูนามอะไร \" ทางใจวาเปน \" เรานกึ เราคิด เราฟุง เราโกรธ เรารัก .ฯ..\" ในขณะทดี่ ูนั้น เปน \" นาม \" สดุ แตส ภาวะอนั ใดปรากฏชัด จงึ ตอ งทาํ ลายกิเลสตรงที่เขา ใจผิดในสภาวะนน้ั และความนกึ คดิ ฟุง โกรธ รักฯ ในขณะนั้น เปน \" นาม \" * รูปนามทีอ่ ธบิ ายนี้ เพยี งยอ ๆ เทา ที่จะตามพิจารณาไดสะดวกในการปฏบิ ตั ติ ามทวารทง้ั ๖ เทานน้ั * ใจ รูปทางใจ - อิริยาบถ ๔ และอริ ยิ าบถยอย นามทางใจ - สตทิ จ่ี ะเปลย่ี นอิริยาบถ - โลภะ ในอริ ยิ าบถใหม / โทสะ ในอริ ยิ าบถเกา

5 การปรากฏของรูปนามผานผสั สะ เวทนา วญิ ญาณ ( น. ๗๖ ) - 43 - โผฏฐัพพารมณ = ความเย็น รอน ออน แขง็ 5 ยถาภตู ทสั สนะ แสดงในมหาวปิ สสนา ๑๘ ขอ ๑๕ ( น. ๗๘ ) ภ ตี น ท ป กาย สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ภ - ละสกั กายทิฏฐิ - ละวิจิกจิ ฉา ธรรมชาติที่ไปรบั การกระทบระหวาง รูปกบั รูป คอื ผสั สะ เกดิ เวทนา สัญญา สงั ขาร --> วิญญาณ * บคุ คลทเี่ หน็ โดย สัสสตทิฏฐิ รบั รโู ดยความไมพินาศ --> ลาหลงั --> ยนิ ดีพอใจในภพชาติ มีความเหน็ วาเทยี่ งมั่นคง ไมแ ตกดับ ถือวา เหน็ ถกู โดยโวหาร แตผ ิดโดยสภาวะ * บคุ คลท่ีเห็นโดย อจุ เฉททฏิ ฐิ รบั รูถ งึ ความพนิ าศ --> ล้ําหนา --> มคี วามเบ่อื หนายในภพชาติ มีความเห็นวาทุกอยา งดบั สูญ ปฏิเสธบุญ - บาป ผดิ ทั้งโวหารและสภาวะ กายปสาทรปู 5 รูปนามอาศัยกนั ( น. ๗๙ ) กระทบกายปสาทรูป ( เกดิ จากกรรม ) --> กายวิญญาณจติ --> ผัสสะ --> เวทนา (นานกั ขณิก.) (อารมั มณปจ จัย) ลมหายใจ --> เกิดจากจติ ตชรปู ( กามจติ ๔๔ เวนทว.ิ ๑๐ ) สังขาร ---> รปู ารมณ แสดงสวาง ภ ตี น ท ป จัก สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ภ มนสกิ าร (อนันตร.) (ปจฉาชาตปจ จยั ) ความแรง สัพพ.๗ ( สหชาตกัมมปจ จัย) (ปกตปู นิสสย.) จักขุปสาท ๕๑ ขณะ (รปู ชีวติ นิ ทริย.) (วัตถุปเุ รชาต.) (อาหารปจจยั )

- 44 - 5 พระบาลบี ทท่ี ๔ ปจ จยปริคคหญาณ (น. ๘๓ ) 5 เหตุทที่ าํ ใหรูปปรากฏ (น. ๘๓ ) มี ๒ สว น คือ ๑. อดตี เหตุ = อวชิ ชา, ตณั หา, อปุ าทาน, กมั มภวะ ๑) อาศัยการกาํ หนดสภาพรปู นามตามแนวสตปิ ฏ ฐาน ๔ ดวยการกาํ หนด ธาตุ ๔ ธาตุ ๑๘ อายตนะ ๑๒ ๒. ปจ จบุ ันเหตุ = รปู อาหารเปนปจจยั และขันธ ๕ จนลกั ษณะ รส ปจจุปฏฐาน และปทฏั ฐาน ปรากฏอยางชัดเจน ๒) กําลงั ปญญามากขึ้น เกดิ จากการกําหนดอยางตอเนื่องจน สามารถกาํ หนดรปู นามแยกขาดจากกนั ได ปรากฏเปน ปจจบุ นั อารมณ อดตี เหตุ ๓) กําลังปญญา รถู ึงเหตุปจ จยั ( ซ่งึ เปน ฝายเกดิ ) ใหร ูปนนั้ ๆ และนามนัน้ ๆ ปรากฏตรงปจจุบัน อวิชชา ---> สังขาร ---> ปฏิ. --> สป.๑ ---> สป.๒ / ๓ เปนตนไป ๔) กําลงั ปญ ญาเห็นเหตปุ จ จยั ใหรูปและนามปรากฏตรงปจจบุ นั แลว กําลงั ปญญาก็เห็นเหตุปจ จยั ตณั หา กมั ม. ชีวติ นวกกลาป อาหารจากมารดา ซมึ ซาบสูทารก ใหรูปนามปรากฏท้ังในอดตี + อนาคต ( เปนการอนมุ านยอนไปในอดตี และอนาคต ) อปุ าทาน \" รูปอาหาร \" = ปจ จบุ นั เหตุ ทาํ หนาทอ่ี ปุ ถมั ภ ๕) ในพระพุทธศาสนาถือวา ญาณนเ้ี ปนทีพ่ ึ่งไดใ นเบื้องตน คอื ปด อบายได ๑ ชาติ ญาณนี้ไดช อ่ื วา มโนสัญเจตนาหาร ---> กาย, ภาวะ, วตั ถุ \" จูฬโสดาบัน \" (หลอ เลย้ี ง สป.๑-๒) ๖) วาโดยการนบั สงเคราะหไ ดใ นญาณท่ี ๒ ของโสฬสญาณ และไดใน กังขาวิตรณวสิ ุทธิ และนบั สงเคราะหใ น ญาตปริญญา ( เพราะยงั ไมไ ดใน ลักษณะ ๓ ) ๗) วาโดยชอ่ื อื่นๆ คอื 5 เหตปุ จจัยใหน ามปรากฏ ๑. กงั ขาวิตรณวิสุทธิ ความบริสุทธ์ทิ ี่ขา มพนความสงสยั ในกาลท้งั ๓ - อดตี เราเคยเกดิ หรอื เปลาหนอ ? - ปจ จุบนั เปนใครหนอ ? อดตี เหตุ - กรรม --> รปู ารมณ = อารัมมณปจ จยั + อารมั มณปเุ รชาต. - อนาคตเราเกดิ หรือเปลา หนอ ? ๒. ธัมมฐติ ิญาณ การกาํ หนดรูความตัง้ อยูข องธรรมท่ีเปน ปจ จัย ภ ตี น ท ป จกั สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ภ ๓. ยถาภตู ญาณ ปญญาที่เห็นสภาวะรูปนามตามความเปน จริง อดีตเหตุ จักขวุ ตั ถุ - ใหร ูปารมณม ากระทบ = อารมั มณปุเรชาต. ปจ จุบันเหตุ - ใหน ามธรรมอาศัยเกดิ (จักขวุ ญิ .) = วตั ถุปุเรชาต. ๖ ปจ จัย ๔. สมั มาทสั สนะ การเห็นโดยชอบ จกั ขปุ สาทรปู + รปู อ่ืนๆ อีก ๕๓ รูป ( จักขุทสกกลาป ๑๐, กายทสกกลาป ๑๐, ภาวทสกกลาป ๑๐, จติ ๘, อุต๘ุ , อาหาร ๘ )

5 เหตุปจจยั ของรปู นามตามนัยอภธิ รรม ๒) เหตุใหรูปปรากฏทางสมุฏฐานทัง้ ๔ - 45 - ๑) เหตุใหน ามปรากฏ ๑. สาธารณปจ จัย ๑] อารมณ ๖ = นานกั .+ปกตปู นสิ สยปจ จัย = ปกตปู นิสสยปจจยั ๒] ทวาร ๖ ๑. กรรม มี ๒๕ ( โลกยี กุศล ๑๓, อกุ.๑๒ ) = สหชาต. อธ.ขอ ๔ = ปกตปู นสิ สยปจจยั ๒. อสาธารณปจจยั ๑} โยนโิ ส --> กุศล (น - ร ) - เจตนากรรม เปนปจ จัยให ปฏสิ นธิกํ เกิด (กาย, ภาวะ, วตั ถุ) = อาหารปจ จยั ๒} อโยนิโส --> อกุศล - กรรมวิญญาณ เปนปจ จยั ให ปวตั ติกํ เกิด ๓} กรรม --> วิปาก ๔} ภวังค --> กิรยิ า ๒. จติ มี ๗๕ (-ทวิ.๑๐, อรูป.๔) ๒) เหตุใหร ปู ปรากฏ คือ สมฏุ ฐาน ทง้ั ๔ (น - ร ) - เปนปจ จยั ให จิตตชรูป ( สามัญ >ลมหายใจเขา ออก, หวั เราะ, รอ งไห, อริ ยิ าบถนอ ย, พูด, ๑) เหตปุ จ จัยใหนามปรากฏ อิรยิ าบถ ๔, อริ ิยาบถ ๔ ต้ังมั่น >การเจริญสติในสติปฏ ฐาน๔ ) > ปญจทวารวิถี ๑] อารมณ ๖ > มโนทวารวถิ ี ๑] อารมณ ๖ ๔}ภวังค เปนปจจยั ใหก ิริยา ๔}ภวงั ค -->กิริยา ๓. อตุ ุ - อาศัยกรรม จติ อตุ ุ อาหาร เปนปจ จัย ( ร - ร ) แลว กเ็ ปน ปจจยั ใหอุตชุ รปู เกดิ ๑. สาธารณ. ภ ตี น ท ป จกั สํ ณ วุ ช.....ช ต ต ภ ๑. ภ น ท ม ช.....ช ภ ปฏ.ิ สป.๑ > ป.ภ. สป.๒/๓ > ภ. (ใหนาม ธรรม ๔ ๓}วปิ าก วปิ าก กุ / อกุ วิปาก ๓}วปิ าก กริ ยิ า กุ / อกุ วิปาก ๕.อตุ ุชรูป ๓.จิต ๔.อาหาร ประเภท ๒.อุตุ กิริยา ๑.กํ ๒] ทวาร ๖ ๑}โย. ๒}อโย. ๒] หทยวตั ถุ ๑}โย. ๒}อโย. เกิดครบ ) กุ.ว.ิ อกุ.วิ. ก.ุ ว.ิ อก.ุ วิ. ๔. อาหาร - อชั ฌัตตโอชา (อาหารชรูป) ---> ๔ สมฏุ ฐาน ๒. อสาธารณปจจยั (ร-ร) ** เมื่ออารมณม ากระทบแลว เราควรทาํ อยา งไร ? ยดึ โทสะเปนอารมณ 5 การกําหนดรูเหตปุ จ จยั ของรูปนามทางปฎิจจสมุปบาท โดย อนโุ ลม / ปฎิโลม ( น. ๘๔ ) รปู ารมณ อโยนโิ ส ภ น ท ม ช.....ช ภ ปฏิโลม โทสะ (อก.ุ ) ภ ตี น ท ป จัก สํ ณ วุ ช.....ช ต ต ภ อวชิ ชา สงั ขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผสั สะ เวทนา ตณั หา อุปาทาน กมั มภวะ ชาติ ชรามรณะ โทสะ พจิ ารณาอารมณโ ทสะเขาถงึ สภาวะโทสะ จักขุปสาท โยนิโส ภ น ท ม ช.....ช ภ อนุโลม สติ + สัมปยุต.(กุ.)

- 46 - 5 พระบาลีบทท่ี ๔ สมั มสนญาณ (น. ๘๙ ) * ปญญา ทเี่ ห็น รูปนาม เปน ไตรลักษณ เกิดข้ึนแกบุคคล ผูประกอบความเพียรเจรญิ วิปส สนา ช่ือวา \" สมั มสนญาณ \" ๑) ปญ ญา พจิ ารณาสภาวะ ของรูปนามเปนอารมณ (ในปจจุบัน ) เขาถงึ \" นามรูปปรจิ เฉทญาณ \" โยคาวจร = อาตาป / สตมิ า / สัมปชาโน ๒) ปญ ญาเม่ือมกี าํ ลงั มากขึ้นก็ เห็นเหตุปจ จัย ใหรูปนามปรากฏ เขาถึง \" ปจ จยปริคคหญาณ \" ๓) ปญ ญากก็ ําหนดเหตุปจจัยของรปู นามในกาลท้งั ๓ จนปญญา เห็นการดบั ไป ของรูปนาม ทาํ ลายสิง่ ทปี่ ด บังไตรลกั ษณ ทาํ ลายสนั ตติ เขา ถึง อนิจจงั ( บา งเหน็ โดยความเปน อนจิ จัง / ทุกขงั / อนตั ตา ) ไตรลักษณก็ปรากฏแกวิปสสนาญาณท่ี ๑ กาํ หนดสภาวะของ ปญ ญาเหน็ ความดับของรูปนาม เพกิ อริ ยิ าบถ เขาถึง ทุกขัง ชื่อวา \" สมั มสนญาณ \" รูปนามจนเห็นเหตุ ทาํ ลายฆนบญั ญตั ิ เขาถงึ อนตั ตา ของรปู นาม * ปญญาทพี่ ิจารณาใน สัมมสนญาณ ๑) ปญญาเห็น \" การดับแบบสนั ตติไมข าด\" เพราะเปนการเห็นรูปนามดบั ไปในอดีต ไมไดเ หน็ ในปจจุบัน ชอื่ วา ๑. อนปุ สสนา ๓ ๓. วิโมกขมขุ ๓ ๕. ตีรณปริญญา ( เชน ยนื อยยู งั ไมเ หน็ อาการยืน ตอ เมอ่ื กา วเดนิ ไปแลวจึงเหน็ วา ยนื นั้นดับไป ) ๒. สมั มสนญาณ ๔. มคั คามัคคญาณทัสสนวิสทุ ธิ ๒) ถือวา เปนอารมณไตรลกั ษณ ถึงแมวา จะเหน็ รปู นามดบั ไปในอดตี ผูรอู ารมณ ๓) อารมณก บั ผูรอู ารมณ ดบั ไมพ รอ มกนั คอื อารมณด บั ไปกอ น สาํ หรบั ผรู อู ารมณด บั ภายหลงั 5 วิปส สนาญาณ ๑๐ ในปรญิ ญา ๓ และการปรากฏของอนปุ ส สนา ๗ (น. ๙๒ ) พจิ ารณารูปนามดวยลักขณาทิจตกุ ะ ๔ เหน็ เหตปุ จ จยั การเกิดของรปู นาม นามรูปปรจิ เฉทญาณ [ ๓. ทิฏฐิวสิ ุทธิ ] ปจจยปริคคหญาณ [ ๔. กงั ขาวติ รณวสิ ุทธิ ] ญาตปรญิ ญา ( มีการกาํ หนดรู ) แทงตลอดในลกั ษณะเฉพาะของตน =ไมปรากฏไตรลกั ษณ มีทั้งอารัมมณานสุ ัย และสนั ตานานสุ ัย ไมม ีอารัมมณานุสัย (มีแตส นั ตานานุสัย ) ไมม ีทงั้ อารมั มณานสุ ัยและสันตานานุสัย โค. มคั ค. ผล ----> ปจ จเวกขณะ ๑.สมั มสน. ๒.ตรุณ. วิปสสนปู กิเลส ๒.พลวอทุ ยพั . ภงั ค. ภย. อาทีนว. นพิ พทิ า. มญุ จิตุ. ปฏสิ ังขา. สงั ขารุ. (ปลาย) ๑๐.อนุโลม [ ๗. ญาณทสั สนวสิ ทุ ธิ ] [ ๕. มัคคามัคคญานทสั สนวิสทุ ธิ ] [ ๖. ปฏปิ ทาญาณทสั สนวสิ ุทธิ ] วฏุ ฐานคามินี. ตรี ณปริญญา (ไตรต รองใครครวญเปรียบเทยี บ ) ปหานปรญิ ญา ฝา ยโลกยี ะ ( กาํ หนดรูด วยการละ ) ละโดย ตทงั คปหาน ปหานปรญิ ญา ฝา ยโลกตุ ตระ ละโดย สมจุ เฉทปหาน แทงตลอดในสามัญลักษณะโดยเฉพาะ = ปรากฏไตรลักษณ อนปุ สสนา ๗ ประการ ( ภังค ... อนุโลม ) ๑) อนิจจานปุ ส สนา - ละนจิ จะ ๓) อนตั ตานปุ ส สนา - ละอตั ตะ ๕) วิราคานปุ สสนา - ละราคะ (กาํ หนัด) ๗) ปฏนิ สิ สคั คานปุ ส สนา - ละอาทาน (ความยดึ ถอื ) ๒) ทุกขานุปส สนา - ละสุข ๔) นิพพิทานุปสสนา - ละความยนิ ดี ๖) นิโรธานุปสสนา - ละเหตุทเี่ ปนแดนเกิด

5 อารมณข องสัมมสนญาณ ๒๕ ( น. ๙๑ ) = ธรรมที่เปน หมวดเปน กองดวยความเปนไปใน กาล ๓, ภายใน-ภายนอก, หยาบ-ละเอยี ด, เลว-ประณตี , ไกล-ใกล - 47 - ( อาการ ๑๑ ) ---> ทางทวาร+อารมณ ที่เปนไตรลกั ษณ วิปสสนาภมู ิ ๖ - ญาตปริญญา ตรี ณปริญญา กาํ หนดรูใ นเบ้อื งตน - ปญ ญาเขา ถึงสภาวธรรม ไตรตรองใครค รวญเปรยี บเทียบ (ดว ยอาการ ๑๑ ) - ปญ ญาเขาถงึ เหตปุ จจยั ของสภาวะ ๓ ] อารมณ ๖ (ขนั ธภายนอก) ๑๕] อายตนะ๑๒ ๑๖] ธาตุ ๑๘ ๑๗] อินทรีย ๒๒ มโนวิญญาณธาตุ ๙] ตณั หา ๖ = มีรปู ตณั หา - ธมั มตณั หา มโนธาตุ ๑๐] วติ ก ๖ = มรี ปู วติ ก - ธมั มวติ ก ปญ .วิญ.๕ ๑๑] วิจาร๖ = มรี ปู วจิ าร - ธัมมวจิ าร ภ ตี น ท ป ปญ สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ๑๒] ธาตุ ๖ รูปธาตุ ๕ = ธาตุ ๔ (สมุฏฐาน ๔ ) + อากาศธาตุ (ชอ งวางระหวางกลาป = ปริจเฉทรปู ) ๑] รูปขันธ นามธาตุ ๑ = วญิ ญาณธาตุ ๗ ๔ ] วิญญาณ ๖ = ปญจวิญ. + ๑ มโนวิญญาณ (มโนธาต+ุ มโนวญิ .ธาตุ) จักขุวิญญาณธาตุ + สพั พ.๗ ๕] ผสั สะ ๖ = มจี กั ขุสัมผัสสะ - มโนสัมผัสสะ ๒ ] ทวาร ๖ (ขันธภ ายใน) ๑] นามขันธ ๔ ๖] เวทนา ๖ = มีจักขสุ มั ผัสสชาเวทนา - ฯลฯ ๗] สัญญา ๖ = มีรปู สญั ญา - ธมั มสญั ญา ( ขนั ธ ๕ ) ๘] เจตนา ๖ = มีรูปสญั ญาเจตนา - ฯลฯ * อาศยั การเปรยี บเทียบในภพภมู ติ างๆ * สมถยานิกะ --> ยกฌานเปนบาทในการเจริญวิปส สนา = สัมมสนญาณ ๑๘] ธาตุ > ธาตุ ๓ = กามธาต,ุ รูปธาตุ, อรูปธาตุ ๑๓] กสิณ ๑๐ ---> ปฏิภาคนมิ ติ ---> ๒๒] รปู ฌาน ๔ ( จตุกนัย ) ---> ๒๔] อรปู ฌาน ๔ ๑๙] ภูมิ > ภพ ๓ = กามภพ, รปู ภพ, อรูปภพ ๒๓] อัปปมัญญา ---> ปญจมฌาน ๒๐] จิต > ภพ ๓ = สญั ญีภพ, อสญั ญีภพ, เนวสัญญนี าสญั ญีภพ ๑๔] โกฏฐาส ๓๒ ---> รปู ปฐมฌาน ๒๑] ขนั ธ > ภพ ๓ = ปญจโวการภพ, จตุโวการภพ, เอกโวการภพ ๒๕] ปฏจิ จสมุปบาท ๑๒ ( กลาวรวมในวิปส สนาภมู ิ ๖ )

- 48 - * อารมณของสัมมสนญาณ มี ๒๕ หมวด (น. ๙๒ - ๙๓ ) รวม = ๒๐๑ x ๓ (ไตรลักษณ ) = ๖๐๓ x ๑๑ ( อาการ ) = ๖,๖๓๓ ๑. เบอ้ื งตน กาํ หนดรดู ว ย \" ญาตปรญิ ญา \" กําลงั เกดิ กับ นามรูปปรจิ เฉทญาณ และปจ จยปรคิ คหญาณ ๒. ตอ มากาํ หนด \" ไตรตรองใครค รวญเปรยี บเทียบ \" ดว ยอาการ ๑๑ ไตรลกั ษณจงึ ปรากฏแกสมั มสนญาณ เขา ถงึ \" ตรี ณปรญิ ญา \" กําหนดสภาวธรรม ๒๕ หมวด อาศัยการไตรต รองใครค รวญเปรยี บเทยี บ เขา ถึง ธรรม ๖,๖๓๓ อาการไตรลกั ษณป รากฏ ภ ตี น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ .... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... นามรปู ปรจิ เฉทญาณ + สัมมสนญาณ 5 การกาํ หนดรูข นั ธ ๕ โดยอาการ ๔๐ และการนับสงเคราะหสมั มสนญาณลงใน อนปุ ส สนา ๓ ( น. ๙๕ - ๙๙ ) ตวั จาํ แนกอารมณ ๔ อยาง หลกั การพจิ ารณาในสมั มสนญาณ ( ผูร อู ารมณ ) ( น. ๙๕ - ๙๘ ) - อนิจจานปุ ส สนา การเปล่ียนจากสง่ิ หนึง่ ไปสูสง่ิ หนง่ึ , การแปรปรวน, ผุพัง, สลายไป, ความตาย, การปรุงแตง - ทุกขานปุ สสนา อาการคือ การบบี คน้ั , ทุกข โทษ ภยั ( สิ่งช่ัวรา ยกาํ ลงั ปรากฏ ) --> ไมเปน ที่หลบภัย, ปญ ญาเห็นโดยความทกุ ขกายใจ (ทุกขทกุ ข), ** สัมมสนญาณทเี่ รียกวา \" นยวิปส สนา \" ปญ ญาเห็นเหตทุ ่ีทาํ ใหเกิดทุกข / ถาปญ ญาเห็นโดยความเกดิ แก เจ็บ (วิปากทกุ ข ) / เห็นอนิฏฐผล ( เศรา โศกเสียใจ ) คือ วปิ ส สนาเร่ิมตน แหงการกาํ หนดรปู นาม - อนตั ตานุปส สนา เห็นโดยความเปนของสูญ วางเปลา บงั คบั บญั ชาไมได ตามแนวทางท่ีถอื ปฏบิ ัติมา ตามพระบาลี ( ทพี่ ระอรรถกถาจารย แปลกันมา ) อารมณของสมั มสนญาณ ๖,๖๓๓ - อนิจจลักษณะ - ทุกขลักษณะ - อนัตตลักษณะ ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ .... สัมมสนญาณ (บอกกาํ ลัง ) - อนิจจานุปสสนา = ขอ ๑, ๙, ๑๔, ๑๕, ๑๖, ๒๕, ๒๖, ๒๙, ๓๑, ๓๖ = ๑๐ อยาง x ขนั ธ ๕ = ๕๐ = ๑๒๕ - ทกุ ขานปุ สสนา = ๒๕ ขอ ท่เี หลอื = ๒๕ อยา ง x ขันธ ๕ = ๒๕ = ๒๐๐ อารมณ - อนตั ตานปุ ส สนา = ขอ ๘, ๒๐, ๒๑, ๒๒, ๒๓ = ๕ อยาง x ขนั ธ ๕ = ๔๐ อยา ง x ขนั ธ ๕


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook