Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore E-book จิตวิทยาสำหรับครู

E-book จิตวิทยาสำหรับครู

Published by wariya92606, 2022-10-23 16:01:59

Description: E-book จิตวิทยาสำหรับครู

Search

Read the Text Version

จิตวิทยาสำหรับครู เสนอ อาจารย์เขมินต์ธารากรณ์ บัวเพ็รช จัดทำโดย นางสาววริยา หลีหมันสา รหัสนักศึกษา 6406510078 คณะศึกษาศาสตร์และศิลปศาสตร์ สาขาวิชาภาษาไทย มหาวิทยาลัยหาดใหญ่

คำนำ หนังสือเล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา 600 - 106 จิตวิทยาสำหรับครู มีวัตถุประสงค์ในการค้นคว้าหาความรู้ในจิตวิทยา สำหรับครูตามหัวข้อเรื่องที่ได้ศึกษามา พร้อมแนวทางการแก้ไขปัญหาและ ประโยชน์ที่ได้รับ ผู้จัดทำคาดหวังเป็นอย่างยิ่งในการจัดทำหนังสือเล่มนี้ หวังว่าจะมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์และถูกต้องเป็นไปตามกระบวนการในการ จัดการศึกษาจิตวิทยาสำหรับครู ต่อผู้ที่สนใจรวมทั้งผู้ที่ได้อ่านเป็นอย่างดี ขอขอบคุณอาจารย์ เขมินต์ธารากรณ์ บัวเพ็ชร อาจารย์ที่ปรึกษาใน รายวิชาจิตวิทยาสำหรับครู ที่คอยชี้แนะความรู้ คำแนะนำ รวมถึงให้ แนวทางในการศึกษาเรียบเรียงเนื้อหาในการจัดทำหนังสือเล่มนี้ จึงทำให้ หนังสือเล่มนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี หากมีข้อผิดพลาดประการใดข้าพเจ้า ขออภัยมา ณ ที่นี้ และขอน้อมรับทุกคำแนะนำและคำติชม เพื่อนำไป ปรับปรุงแก้ไขให้เนื้อหาถูกต้องสมบูรณ์ จัดทำโดย นางสาววริยา หลีหมันสา 6406510078

สารบัญ หน้า หัวเรื่อง 4-11 บทที่ 1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับจิตวิทยาสำหรับครู บทที่ 2 พฤติกรรมของมนุษย์ 12-18 บทที่ 3 ปรัชญาแนวคิดทฤษฎีทางจิตวิทยา บทที่ 4 พัฒนาการของมนุษย์กับการเรียนรู้ บทที่ 5 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ 1 19-31 บทที่ 6 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ 2 บทที่ 7 ทฤษฎีจิตวิทยาการเรียนรู้ บทที่ 8 การนำหลักจิตวิทยาไปใช้ในการพัฒนา 32-47 ศักยภาพความเป็ นครู บทที่ 9 จิตวิทยาแนะแนวและการให้คำปรึกษา บทที่ 10 การศึกษารายกรณี (Case Study) 48-55 56-65 66-75 76-82 83-93 94-107

4 บทที่ 1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ จิตวิทยาสำหรับครู

5 ความหมายของจิตวิทยาสำหรับครู เป็นศาสตร์ที่ศึกษาเพื่อให้ผู้สอนมีความรู้ความเข้าใจความ แตกต่างและความต้องการของผู้เรียน ในอันที่จะสามารถ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้เรียนไปสู่แนวทางอันพึง ประสงค์ได้ โดยผู้สอนควรมีความรู้ความเข้าใจ ดังนี้

6 ความพร้อมของผู้เรียน 1.ความพร้อมทางด้านร่างกาย ซึ่งหมายถึง ความพร้อมอัน เกิดจากความเป็นปกติทางร่างกาย เช่น ไม่อดนอน ไม่หิวโหย ไม่เจ็บป่วย ไม่ร้อนหรือหนาวจนเกินไป เป็นต้น 2.ความพร้อมทางด้านจิตใจและด้านอารมณ์ เรื่องนี้ครู อาจารย์มีความเกี่ยวข้องมากขึ้นแต่อีกส่วนหนึ่งก็เป็นความรับ ผิดชอบของนิสิตนักศึกษาอยู่เหมือนเดิม ส่วนที่เกิดมากจาก นิสิตนักศึกษาเอง 3.ความพร้อมทางด้านสติปัญญา หมายถึง การมีพื้นฐานทาง วิชาการเพียงพอที่จะเรียนรู้หรือรับรู้สิ่งใหม่ๆ ทางวิชาการ

หลักการสำคัญของการเรียนรู้ 7 1.ผู้เรียนควรจะมีส่วนร่วมในการเรียนรู้อย่างจริงจัง 2.ผู้เรียนควรจะได้เรียนรู้ทีละขั้นทีละตอนจากง่ายไปสู่ ยากและจากไม่ซับซ้อนไปสู่รูปที่ซับซ้อน 3.ให้นักเรียนได้รับข้อมูลย้อนกลับที่เหมาะสม และไม่เนิ่นนานจนเกินไป 4.การเสริมแรงหรือให้กำลังใจที่เหมาะสม

8 ความสำคัญของจิตวิทยาสำหรับครู 1. ช่วยครูให้รู้จักลักษณะนิสัยของนักเรียนที่ครูต้องสอน 2. ช่วยให้ครูมีความเข้าใจพัฒนาการทาง บุคลิกภาพบางประการของนักเรียน 3. ช่วยครูให้มีความเข้าใจในความแตกต่างระหว่างบุคคล 4. ช่วยครูให้ทราบถึงหลักการสอนและวิธีกานที่มีประสิทธิภาพ 5. ช่วยให้ครูรู้วิธีจัดสภาพแวดล้อมของห้องเรียนให้เหมาะสมแก่วัย

จุดมุ่งหมายของจิตวิทยาสำหรับครู 9 1.เป็นการให้ความรู้เกี่ยวกับการเรียนรู้ที่เป็นระบบทั้งด้าน ทฤษฎี หลักการและสาระอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ ของมนุษย์ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ 2.เป็นการนำความรู้เกี่ยวกับการเรียนรู้ และตัวผู้เรียนให้แก่ ครูและผู้เกี่ยวข้องกับการศึกษานำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อ การเรียนการสอน 3.เพื่อให้ครูสอนสามารถนำเทคนิคและวิธีการการเรียนรู้ไป ใช้ในการเรียนการสอน การแก้ไขปัญหาในชั้นเรียน ตลอด จนสามารถดำรงตนอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข

10 ประโยชน์ของจิตวิทยาสำหรับครู 1.ช่วยให้ครูเข้าใจธรรมชาติ ความเจริญเติบโตของเด็กและสามารถนำความรู้ที่ได้มาจัดการ เรียนการสอนได้อย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับธรรมชาติ ความต้องการ ความสนใจของเด็ก แต่ละวัย 2.ช่วยให้ครูสามารถเตรียมบทเรียน วิธีสอน จัดกิจกรรม ตลอดจนใช้วิธีการวัดและประเมินผล การศึกษาได้สอดคล้องกับวัย ซึ่งเป็นการช่วยให้จัดการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพ 3.ช่วยให้ครูสามารถจัดกิจกรรมได้อย่างสนุกสนานด้วยบรรยากาศของความเข้าใจ การให้ ความร่วมมือ และให้การยอมรับซึ่งกันและกัน 4.ช่วยสร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างครู ผู้ปกครองและเด็ก ทำให้ปกครองเด็กง่ายขึ้นและ สามารถทำงานกับเด็กได้อย่างราบรื่น

ขอบข่ายของจิตวิทยาสำหรับครู 11 1.จิตวิทยาทั่วไป ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมทั่วไปของมนุษย์การรับรู้ การเรียนรู้ อารมณ์ ความรู้สึก สติปัญญา ประสาทสัมผัส เป็นต้น จิตวิทยาสาขาพื้นฐานของการเรียนจิตวิทยาสาขาอื่นต่อไป 2.จิตวิทยาพัฒนาการ ศึกษาเกี่ยวกับลำดับขั้นตอนของพัฒนาการเจริญเติบโตในแต่ละวัยต่างๆ ของ มนุษย์ ตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึงวัยชรา 3.จิตวิทยาสังคม ศึกษาเกี่ยวกับบทบาทความสัมพันธ์และพฤติกรรมของบุคคลในกลุ่มสังคม ปฏิกิริยาตอบสนองของบุคคลที่อยู่รวมกัน เจตคติและความคิดเห็นของกลุ่มชน 4.จิตวิทยาการทดลอง ศึกษาเกี่ยวกับระบบประสาทและพฤติกรรมของมนุษย์และสัตว์ในห้องทดลอง 5.จิตวิทยาการแนะแนว นักจิตวิทยาแนะแนวทำหน้าที่ให้คำแนะนำ ให้แนวทาง และให้คำปรึกษา สถานศึกษากับนักเรียน นักศึกษา เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้มีปัญหาด้านการปรับตัว ปัญหาการเรียน และปัญหาส่วนตัวอื่นๆ 6.จิตวิทยาคลีนิค นักจิตวิทยาคลินิกทำงานในโรงพยาบาลที่มีคนไข้โรคจิต สถาบันเลี้ยงเด็ก ปัญญาอ่อน หรืออาจเปิดเป็นคลินิกส่วนตัวก็ได้ 7.จิตวิทยาประยุกต์ เป็นการนำหลักการทางจิตวิทยามาใช้ประโยชน์ในสาขาวิชาชีพต่างๆ เช่น ธุรกิจอุตสาหกรรม การแพทย์ การทหาร เป็นต้น 8.จิตวิทยาอุตสาหกรรม ศึกษาเกี่ยวกับประสิทธิภาพในการทำงาน ผลกระทบของสิ่งแวดล้อมที่มีต่อ การทำงาน แรรงจูงใจในการทำงาน การคัดเลือกคนงาน การประเมินผลงาน 9.จิตวิทยาการศึกษา ศึกษาสิ่งที่เกี่ยวกับงานด้านการเรียนการสอน การเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นวิชาที่ สำคัญสำหรับครูและนักการศึกษา 10.จิตวิทยาการทดลอง มีการศึกษาโดยการทดลองกับมนุษย์และสัตว์ทั้งในสภาพแวดล้อมทั่วไป และในห้องปฏิบัติการ วิธีการศึกษาส่วนใหญ่ใช้การสังเกต

12 บทที่ พ 2ฤติกรรมมนุษย์

13 ความหมายพฤติกรรมมนุษย์ กริยาอาการที่มนุษย์แสดงออกหรือปฏิกิริยาโต้ตอบเมื่อ เผชิญกับสิ่งเร้า หรือสถานการณ์ต่างๆ อาการแสดงออก ต่างๆเหล่านั้นอาจเป็นการเคลื่อนไหวที่สังเกตได้หรือวัดได้ เช่น การเดิน การพูด การเขียน การคิด การเต้นของหัวใจ เป็นต้น ส่วนสิ่งเร้าที่มากระทบแล้วก่อให้เกิดพฤติกรรมก็ อาจจะเป็นสิ่งเร้าภายใน และสิ่งเร้าภายนอก

ประเภทของพฤติกรรมมนุษย์ 14 1.พฤติกรรมที่มีมาแต่กำเนิด ซึ่งเกิดขึ้นโดยไม่มีกากรเรียนรู็มา ก่อน ได้แก่ ปฏิกิริยาสะท้อนกลับ เช่น การกระพริบตา และ สัญชาตญาณ เช่น ความหิว ความกลัว และการเอาตัวรอด 2.พฤติกรรมที่เกิดจากอิทธิพลของกลุ่ม ได้แก่ พฤติกรรมที่เกิด จากการที่บุคคลติดต่อสังสรรค์และมีความสัมพันธ์กับบุคคล อื่นในสังคม

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของมนุษย์ให้เหมาะสม15 กับสิ่งแวดล้อมแบ่งออกได้เป็น 4 ลักษณะ 1. การปรับเปลี่ยนทางด้านของสรีระร่างกาย เช่น การปรับปรุงบุคลิกภาพ การแต่งกาย การพูด 2. การปรับเปลี่ยนทางด้านอารมณ์และความรู้สึกนึกคิด ให้ มีความสัมพันธภาพที่ดีกับบุคคลอื่น ปรับอารมณ์ความรู้สึก ให้สอดคล้องกับบุคคอื่น รู้จักการยอมรับผิด 3. การปรับเปลี่ยนทางด้านสติปัญญา เช่น การศึกษาค้นคว้า เพื่อให้มีความรู้ที่ทันสมัย ทันเหตุการณ์ การมีความคิดเห็น คล้อยตามความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ 4. การปรับเปลี่ยนอุดมคติ หมายถึง การสามารถ ปรับเปลี่ยนหลักการ แนวทางบางส่วนบางตอนเพื่อ ให้เข้ากับสังคมส่วนใหญ่ได้

16 องค์ประกอบพฤติกรรมมนุษย์ การเกิดพฤติกรรมของมนุษย์นั้น เป็นผลมาจากการ ผสมผสานขององค์ประกอบต่างๆในตัวมนุษย์ แล้วจึง ถูกกล่อมเกลาด้วยสิ่งแวดล้อม ในบทนี้จะกล่าวถึง องค์ประกอบสำคัญที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของ มนุษย์ที่เป็น องค์ประกอบภายในตัวมนุษย์เอง ได้แก่ การรับรู้ สติปัญญา การคิด เจตคติ และอารมณ์

17 การศึกษาเกี่ยวกับการเกิด ของพฤติกรรมมนุษย์ มนุษย์ได้พยายามที่จะศึกษาการเกิดพฤติกรรมของมนุษย์ ด้วยตนเอง เพื่อประโยชน์ในการที่จะทำให้การอยู่ร่วมกันใน สังคมเป็นไปด้วยดี และมีความสุข จึงทำให้เกิดมีความเชื่อ หลักการและทฤษฎีต่างๆ เกิดขึ้นอย่างมากมาย จากบรรดาผู้รู้ และนักการศึกษาทั้งหลายที่พยายามหาหลักเกณฑ์มาเพื่อ อธิบายพฤติกรรมของมนุษย์ ซึ่งสามารถรวบรวมทัศนะต่างๆ เป็นหมวดหมู่ได้ 3 ประเภท 1. พฤติกรรมที่เกิดขึ้นจากแรงผลักดันภายในตัวมนุษย์ 2. พฤติกรรมที่เกิดขึ้นจากแรงผลักดันของสิ่งแวดล้อม 3. พฤติกรรมที่เกิดขึ้นจากทั้งแรงผลักดันภายใน ตัวของมนุษย์และสิ่งแวดล้อม

ลักษณะความแตกต่างของพฤติกรรมมนุษย1์8 1.ความแตกต่างทางอารมณ์ (EMOTION) 2.ความแตกต่างทางความถนัด (APTITUDE) 3.ความแตกต่างของความประพฤติ (BEHAVIOUR) 4.ความแตกต่างของความสามารถ (ABILITY) 5.ความแตกต่างของทัศนคติ (ATTITUDE) 6.ความแตกต่างของความต้องการ (NEEDS) 7.ความแตกต่างของรสนิยม (TESTS) 8.ความแตกต่างทางสังคม (SOCAIL) 9.ความแตกต่างของลักษณะนิสัย (HABIT การพั ฒนาพฤติกรรมของมนุษย์ 1. การเรียนรู้ (LEARNING) 2. ค่านิยม (VALUE) 3. บรรทัดฐานของสังคม (NORMS) 4. ทัศนคติ (ATTITUDE) 5. ความเชื่อ (BELIEF) 6. การปฏิสัมพันธ์ทางสังคม (SOCIAL INTERSACTION)

19 บทที่ 3 ปรัชญาแนวคิดทฤษฎี ทางจิตวิทยา

20 ความหมายของปรัชญาการศึกษา แนวความคิด หลักการ และกฎเกณฑ์ ในการกำหนด แนวทางในการจัดการศึกษา ซึ่งนักการศึกษาได้ยึดเป็น หลักในการดำเนินการทางการศึกษาเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย นอกจากนี้ปรัชญาการศึกษายังพยายามทำการวิเคราะห์ และทำความเข้าใจเกี่ยวกับการศึกษา ทำให้สามารถมอง เห็นปัญหาของการศึกษาได้อย่างชัดเจน ปรัชญาการศึกษา จึงเปรียบเหมือนเข็มทิศนำทางให้นักการศึกษาดำเนินการ ทางศึกษาอย่างเป็นระบบ ชัดเจน และสมเหตุสมผล

ลักษณะของปรัชญาการศึกษา 21 1. การพรรณนา-วิเคราะห์ คือ การอธิบายถึงแนวความคิดของ ปรัชญาการศึกษาว่าทําไมจึงมีแนวคิดเช่นนั้น มีหลักการคิด อย่างไร และวิเคราะห์ให้เห็นว่าความคิดของนักปรัชญาการศึกษา เหล่านั้น มีความสอดคล้องกันหรือไม่ 2. การวิจารณ์-ประเมินผล คือ การวิเคราะห์ และวิจารณ์ความคิด ต่างๆ ทางการศึกษา และประเมินผลดูว่า ความเข้าใจเกี่ยวกับ การศึกษาในปัจจุบัน มีความถูกต้องแม่นยําเพียงใด 3. การอนุมาน คือ การอนุมานหรือการคาดคะเนว่า ความคิดของ เราเกี่ยวกับการศึกษาหรือปรัชญา จะมีรูปแบบเป็นอย่างอื่นได้ หรือไม่ อาจคาดคะเนต่อไปว่า จักรวาลนี้แท้จริงแล้วน่าจะเป็น อย่างไร ทั้งสองประการนี้เกี่ยวข้องกับการศึกษาอย่างไร เป็นต้น

ความสำคัญของจิตวิทยาต่ออาชีพครู22 1.ทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ เช่น ความต้องการการแก้ปัญหา การปรับตัว อารมณ์ และความรู้สึกใน สถานการณ์ต่างๆ 2.ช่วยในการแก้ปัญหาทางจิต รู้จักวิธีรักษาสุขภาพจิตได้ดี สามารถเอาชนะปมด้อยต่างๆ รู้วิธีแก้ปัญหาและปรับตัวอย่าง เหมาะสม ขจัดความขัดแย้งในใจได้และความวิตกกังวลได้ 3.สามารถเข้าใจ ตัดสินใจ และมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีกับ บุคคลในสังคม 4.ช่วยในการวางแผนการใช้ชีวิตได้อย่างเหมาะสม

23 ประโยชน์ของจิตวิทยาการศึกษา 1.ช่วยให้ครูเข้าใจธรรมชาติ ความเจริญเติบโตของเด็กและสามารถ นำความรู้ที่ได้มาจัดการเรียนการสอนได้อย่างเหมาะสมและ สอดคล้องกับธรรมชาติ ความต้องการ ความสนใจของเด็กแต่ละวัย 2.ช่วยให้ครูสามารถเตรียมบทเรียน วิธีสอน จัดกิจกรรม ตลอดจนใช้ วิธีการวัดและประเมินผลการศึกษาได้สอดคล้องกับวัย ซึ่งเป็นการ ช่วยให้จัดการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพ 3.ช่วยให้ครูสามารถจัดกิจกรรมได้อย่างสนุกสนานด้วย บรรยากาศของความเข้าใจ การให้ความร่วมมือ และให้การ ยอมรับซึ่งกันและกัน 4.ช่วยให้ครูป้องกันและหาทางแก้ไข ตลอดจนพัฒนา บุคลิกภาพของเด็กได้อย่างเหมาะสม

24 ทฤษฎีของนักจิตวิทยา

ทฤษฎีการเรียนรู้ผสมผสาน 25 ของโรเบริต์ กาเย่ กระบวนการเรียนการสอน 9 ประการ 1. เร่งเร้าความสนใจ 5. ชี้แนะแนวทางการเรียนรู้ 2. บอกวัตถุประสงค์ 6. กระตุ้นการตอบสนองบทเรียน 3. ทบทวนความรู้เดิม 7. ให้ข้อมูลย้อนกลับ 4. นำเสนอเนื้อหาใหม่ 8. ทดสอบความรู้ใหม่ 9. สรุปและนำไปใช้

26 ทฤษฎีการเชื่อมโยงของธอร์นไดค์ กฎการเรียนรู้ ของธอร์นไดค์ 1. กฎแห่งความพร้อม หมายถึง สภาพความพร้อมหรือ วุฒิภาวะของผู้เรียนทั้งทางร่างกาย อวัยวะต่างๆ ในการ เรียนรู้และจิตใจ รวมทั้งพื้นฐานและประสบการณ์เดิม 2. กฎแห่งการฝึกหัด หมายถึงการที่ผู้เรียนได้ฝึกหัดหรือ กระทำซ้ำๆบ่อยๆ ย่อมจะทำให้เกิดความสมบูรณ์ถูกต้อง 3. กฎแห่งความพอใจ กฎนี้เป็นผลทำให้เกิดความพอใจ การนำทฤษฎีและกฎการเรียนรู้ของ ธอร์นไดค์ไปใช้ในการ เรียนการสอน 1. ก่อนดำเนินการสอนครูต้องคำนึงถึงความพร้อมของผู้เรียนทั้งด้าน ร่างกาย ด้านอารมณ์ ด้านอุปกรณ์การเรียน และครูผู้สอนต้องสร้าง ความพร้อมทางความรู้ให้กับผู้เรียนด้วย 2. ในการสอนควรมีการใช้การเสริมแรงทางบวกแก่ผู้เรียน เช่น การให้ คะแนน การให้ของรางวัลการกล่าวคำชมเชย เป็นการกระตุ้นให้ผู้เรียน เกิดพฤติกรรมที่พึงประสงค์ 3. ครูผู้สอนควรมีการกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการฝึกหัด คือ การให้การบ้าน การให้ทำแบบฝึกหัดบ่อยๆ แต่ควรแบบฝึกหัดที่เป็นเรื่องเดียวกันแต่มี รูปแบบที่หลากหลาย เพื่อไม่ให้ผู้เรียนเกิดความเบื่อหน่าย

27 ทฤษฎีการเรียนรู้ของบลูม ทฤษฎีการเรียนรู้ของบลูมได้จำแนกจุดมุ่งหมายการเรียนรู้ ออกเป็น 3 ด้าน คือ 1. พฤติกรรมทางพุทธิพิสัย 6 ระดับ ได้แก่

28 ทฤษฎีการเรียนรู้ของบลูม 2. จิตพิสัย (Affective Domain) (พฤติกรรมด้านจิตใจ)

ทฤษฎีการเรียนรู้ของบลูม 29 3. ด้านจิตพิสัย จะประกอบด้วย พฤติกรรมย่อยๆ 5 ระดับ ได้แก่

แนวคิดทางจิตวิทยา 30 แนวคิดของพฤติกรรมนิยมเน้นว่าพฤติกรรม ทุกอย่างต้องมีเหตุและเหตุนั้นอาจมาจากสิ่ง เร้าในรูปใดก็ได้มากระทบอินทรีย์ ทำให้ อินทรีย์มีพฤติกรรมตอบสนอง นักคิดในกลุ่มนี้ จึงมักศึกษาพฤติกรรมต่างๆด้วยวิธีการทดลอง จอห์น บี วัตสัน และใช้การสังเกตอย่างมีระบบจากการทดลอง (กลุ่มพฤติกรรมนิยม) โดยสรุปว่าการวางเงื่อนไขเป็นสาเหตุสำคัญที่ ทำให้เกิดพฤติกรรมและถ้าเรารู้สาเหตุของ พฤติกรรมเราก็จะสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมได้ เน้นความสำคัญของแนวโน้มที่มีต่อ คาร์ลโรเจอร์ส การตระหนักรู้ในตนเองในการก่อตัวของ (กลุ่มมนุษยนิยม) แนวคิด ศักยภาพของมนุษย์แต่ละคนนั้น โรเจอร์สมีความเป็นเอกลักษณ์และพัฒนา ขึ้นอยู่กับบุคลิกของแต่ละคน.

แนวคิดทางจิตวิทยา 31 วิลเฮล์ม วุนต์ ( กลุ่มโครงสร้างทางจิต) ผู้นำกลุ่มความคิดนี้คือ วิลเฮล์ม วุนต์แนวคิดนี้ สนใจ ศึกษาเกี่ยวกับโครงสร้างของจิตสำนึกของมนุษย์โดยมี แนวคิดว่าจิตสำนึกของมนุษย์ประกอบด้วยธาตุทางจิต 3 ชนิดคือ การรู้สึก อารมณ์ และจินตนาการ โดยใน การศึกษาจิตธาตุทั้ง 3 ชนิด จะใช้วิธีพิจารณาภายใน ซึ่งไม่เป็นวิทยาศาสตร์

32 บพทักัฒทบี่ กน4าารกเารีรยขนอรูง้ มนุษย์

33 ความหมายของพั ฒนาการ พัฒนาการ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงด้าน การทำหน้าที่ และวุฒิภาวะของอวัยวะระบบ ต่างๆ รวมทั้งตัวบุคคลให้สามารถทำหน้าที่ได้ อย่างมีประสิทธิภาพ ทำสิ่งที่ยากสลับซับซ้อน มากขึ้น ตลอดจนการเพิ่มทักษะใหม่ๆ และความ สามารถในการปรับตัวต่อสภาวะแวดล้อมหรือ ภาวะใหม่ในบริบทของครอบครัวและสังคม

พั ฒนาการของมนุษย์ 34 จำแนกเป็น 5 ด้าน ได้แก่ 1. ด้านร่างกาย 2. ด้านอารมณ์ 3. ด้านจิตใจ 4. ด้านสังคม 5. ด้านจิตวิญญาณ การเปลี่ยนแปลงของมนุษย์อาจจำแนก ออกได้เป็น 4 กรณี คือ 1. การเปลี่ยนแปลงทางขนาด 2. การเปลี่ยนแปลงทางด้านสัดส่วน 3. ลักษณะเดิมหายไป 4. มีลักษณะใหม่ๆเกิดขึ้น

35 หลักของการพั ฒนา 1. พัฒนาการและเป็นไปตามแบบฉบับของมันเอง 2. พัฒนาการไม่ว่าด้านใดจะเริ่มจากส่วนใหญ่ไปสู่ส่วนน้อย 3. พัฒนาการเป็นสิ่งที่ดำเนินต่อเนื่องกันไปตลอดเวลาจนมีลำดับขั้นตอน 4. อัตราการพัฒนาการในแต่ละส่วนของร่างกายนั้นจะแตกต่างกัน 5. อัตราพัฒนาการของเด็กแต่ละคนจะแตกต่างกัน 6. พัฒนาการของคุณสมบัติต่างๆจะสัมพันธ์กัน 7. พัฒนาการเป็นสิ่งที่เราอาจทำนายหรือคาดคะเนได้ 8. พัฒนาการทุกด้านเกี่ยวข้องกันแยกกันไม่ได้ 9. พัฒนาการดำเนินควบคู่ไปกับการเสื่อม 10. ความสมดุลพฤติกรรมต้องการเวลา

ความสำคัญของพั ฒนาการ 36 1 ร่างกายมีความสมบูรณ์แข็งแรง มีภูมิต้านทานโรคและ ปราศจากภาวะเสี่ยงต่อปัญหาทางกายต่างๆ 2 ร่างกายมีเอกลักษณ์แห่งตนเอง ได้แก่ การมีบุคลิกภาพดี มี ทักษะส่วนตัว ทักษะสังคมดี และมีเอกลักษณ์ทางเพศที่เหมาะสม 3 การปรับตัวเพื่อดำเนินชีวิตสอดคล้องกับความชอบ ความถนัด การ มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น 4 การสร้างมโนธรรม มีความรับผิดชอบ ทั้งต่อตนเอง ต่อผู้อื่น ต่อประเทศชาติ และต่อสิ่งแวดล้อมได้ดี 5 การบริหารและจัดการตนเอง ได้แก่ สามารถบริหารจัดการ ตนเองโดยไม่ต้องพึ่งพาผู้อื่นได้ดีกว่าวัยเด็ก

องค์ประกอบที่มีผลต่อพั ฒนาการ 37 1. พันธุกรรม คือ ลักษณะต่างๆ ทั้งทางกายและ ทางพฤติกรรมที่ถ่ายทอดจากบรรพบุรุษสู่ลูกหลาน ผ่านทางเซลล์สืบพันธุ์ของพ่อและแม่ พันธุกรรมจะ มีผลต่อพัฒนาการทางด้านร่างกายมากที่สุด 2. วุฒิภาวะ เป็นกระบวนการเจริญเติบโตและ การเปลี่ยนแปลงซึ่งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติของ บุคคล โดยไม่ต้องอาศัยการฝึกหัดหรือประสบกา รณ์ใดๆ เช่น การยืน การเดิน การวิ่ง การเปล่ง เสียง ซึ่งเป็นพื้นฐานตามธรรมชาติของมนุษย์ที่ เป็นไปตามปกติเมื่อถึงวัยที่สามารถจะกระทำได้ 3. สิ่งแวดล้อม คือ สิ่งที่อยู่รอบตัวบุคคลนั้นๆ ทั้งสิ่งที่มีชีวิตและสิ่งที่ไม่มี ชีวิต สิ่งแวดล้อมยังหมายรวมถึงระบบและโครงสร้างต่างๆ ที่มนุษย์ได้ สร้างขึ้น เช่น ระบบครอบครัว ระบบสังคม ระบบวัฒนธรรม เป็นต้น

ทฤษฎีจิตวิทยาพั ฒนาการ 38 ทฤษฎี จิตวิเคราะห์ของฟรอยด์ ฟรอยด์ เชื่อว่ามนุษย์มีสัญชาตญาณติดตัวมาแต่ กำเนิด พฤติกรรมของบุคคลเป็นผลมาจากแรงจูงใจ หรือแรงขับพื้นฐานที่กระตุ้นให้บุคคลมีพฤติกรรม คือ สัญชาตญาณทางเพศ 2 ลักษณะคือ 1. สัญชาตญาณเพื่อการดำรงชีวิต 2. สัญชาตญาณเพื่อความตาย

ทฤษฎีจิตวิทยาพั ฒนาการ 39 ทฤษฎีพัฒนาการของฮาวิกเฮอร์สท ศาสตราจารย์โรเบิร์ต ฮาวิกเฮิร์ส (Robert havighurst 1953 -1972) ได้ให้ชื่อว่า งานที่มนุษย์ทุกคนจะต้องทำตามวัยว่า “ งาน พัฒนาการ ” หมายถึง งานที่ทุกคนจะต้องทำในแต่ละวัยของชีวิต สัมฤทธิ์ผลของงานพัฒนาการของงานแต่ละวัย มีความสำคัญมาก เพราะเป็นของการเรียนรู้งานพัฒนาขั้นต่อไป ตัวแปรที่สำคัญในการพัฒนามี 3 อย่าง 1. วุฒิภาวะทางร่างกาย 2. ความมุ่งหวังของสังคมและกลุ่มที่แต่ละบุคคลเป็นสมาชิกอยู่ 3. ค่านิยม แรงจูงใจ ความมุ่งหวังส่วนตัวและความทะเยอทะยาน ของแต่ละบุคคล

พั ฒนาการแต่ละช่วงวัยของมนุษย์40 วัยทารก เริ่มตั้งแต่เกิดจนถึงอายุ 2 ปี พัฒนาการด้านร่างกาย วัยทารกจะมีการเปลี่ยนแปลง­ทางด้าน โครงสร้างของร่างกายและการรู้จักใช้อวัยวะต่างๆอย่างรวดเร็ว ทางการเคลื่อนไหว การใช้กล้ามเนื้อและประสาทสัมผัส ทารกที่ อยู่ในช่วงนี้จึงไม่ค่อยจะอยู่นิ่งชอบสำรวจสิ่งแวดล้อม พัฒนาการทางสติปัญญา สิ่งที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาสติปัญญา ในวัยนี้ ได้แก่ โอกาสที่เด็กจะได้เล่นเพราะการเล่นเป็นการส่งเสริม ความเข้าใจสิ่งแวดล้อม ความสามารถที่จะเข้าใจภาษาและใช้ ภาษาที่ทำให้ผู้อื่นเข้าใจ พัฒนาการของกล้ามเนื้อและประสาท สัมผัส เพราะระยะนี้เด็กเรียนรู้สิ่งต่างๆ โดยอาศัยกล้ามเนื้อและ ประสาทสัมผัสเป็นสื่อเป็นส่วนใหญ่

พั ฒนาการแต่ละช่วงวัยของมนุษย์41 วัยเด็ก เริ่มตั้งแต่อายุ 2 – 12 ปี 1. วัยเด็กตอนต้นหรือระยะวัยเด็กก่อนเข้าโรงเรียน เริ่มต้นตั้งแต่อายุ 2 ขวบ จนถึง 6 ขวบ พัฒนาการทางร่างกาย ในช่วงวัยนี้จะมีพัฒนาการค่อนข้างช้าเมื่อ เทียบกับระยะวัยทารกสัดส่วนของร่างกายจะค่อยๆ เปลี่ยนไป ฉะนั้นจึงเป็นระยะที่เหมาะที่สุดที่จะฝึกได้เล่นกีฬาประเภท เคลื่อนไหวต่างๆ ที่เหมาะกับกำลังของเด็ก ซึ่งจะช่วยการเรียนรู้และ พัฒนาพฤติกรรมด้านอารมณ์ สังคม และสติปัญญา พัฒนาการทางอารมณ์ เด็กในวัยนี้จะมีอารมณ์หงุดหงิดง่ายกว่า เด็กในวัยทารก ดื้อรั้นเอาแต่ใจ เจ้าอารมณ์

พั ฒนาการแต่ละช่วงวัยของมนุษย์ 42 วัยเด็ก เริ่มตั้งแต่อายุ 2 – 12 ปี 2. วัยเด็กตอนต้นหรือระยะวัยเด็กก่อนเข้าโรงเรียน เริ่มต้นตั้งแต่อายุ 6 ขวบ จนถึง 12 ขวบ พัฒนาการทางร่างกาย เป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ในระหว่างนี้เป็นระยะที่ เด็กหญิงโตเร็วกว่าเด็กชายวัยเดียวกันในด้านความสูงและน้ำหนัก ลักษณะเช่นนี้ยังคงดำรงต่อไปจนกระทั่งย่างเข้าสู่ระยะวัยรุ่นตอนปลาย เด็กชายจะโตทันเด็กหญิงและล้ำหน้าเด็กหญิง เด็กในวัยนี้ไม่ชอบอยู่นิ่ง ชอบเล่นและทำกิจกรรมต่างๆ พัฒนาการทางสติปัญญา เด็กวัยนี้สามารถคิด วิเคราะห์ และแก้ ปัญหาได้ชัดเจนมากขึ้น รู้จักให้เหตุผลในการแก้ปัญหา รับผิดชอบ และตัดสินใจได้ด้วยตนเองรับฟังคนอื่นมากขึ้น กระตือรือร้นในการ แสวงหาความรู้ ชอบสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ

พั ฒนาการแต่ละช่วงวัยของมนุษย์ 43 วัยย่างเข้าสู่วัยรุ่น ปกติหญิงเฉลี่ยมีอายุ 12 ปี ชายเฉลี่ยมีอายุ 14 ปี พัฒนาการทางร่างกาย เจริญเติบโตถึงขีดสมบูรณ์เพื่อทำหน้าที่อย่างเต็มที่ โครงสร้างกระดูกแข็งแรงขึ้น การผลิตเซลล์สืบพันธุ์ในเด็กชาย การมีประจำ เดือนของเด็กหญิงสุขภาพโดยทั่วไปของเด็กในวัยนี้ดีกว่าวัยที่ผ่านมา พัฒนาการทางอารมณ์ เด็กมีอารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย สับสน อ่อนไหว เด็ก แต่ละคนเริ่มแสดงบุคลิกอารมณ์ประจำตัวออกมาให้ผู้อื่นทราบได้บ้างแล้ว พัฒนาการทางสังคม เด็กให้ความสำคัญกับเพื่อนร่วมวัยมากกว่าในระยะเด็ก ตอนปลาย และผูกพันกับเพื่อนในกลุ่มมากขึ้น กลุ่มของเด็กไม่มีเฉพาะเพื่อน เพศเดียวกันเท่านั้นแต่เริ่มมีเพื่อนต่างเพศ ระยะนี้จึงเริ่มต้นชีวิตกลุ่มที่แท้จริง

พั ฒนาการแต่ละช่วงวัยของมนุษย์44 วัยรุ่น ตั้งแต่อายุ 14 – 21 ปี ลักษณะอารมณ์ ลักษณะของอารมณ์สืบเนื่องมาจากอารมณ์ของเด็ก วัยแรกรุ่น จึงคล้ายคลึงกันมาก พฤติกรรมสังคม สังคมวัยรุ่นเป็นกลุ่มของเพื่อนร่วมวัย ประกอบด้วย เพื่อนทั้ง 2 เพศ เด็กรู้สึกปลอดโปร่ง สบายใจ ในการทำกิจกรรม ต่างๆ กับเพื่อนร่วมวัยมากกว่ากับเพื่อนต่างวัย สัมพันธภาพกับเพื่อน ร่วมวัยถึงความเข้มข้นสูงสุดประมาณระยะตอนกลางของวัยรุ่น การ คบเพื่อนร่วมวัยเป็นพฤติกรรมสังคมที่มีความสำคัญต่อจิตใจของวัย รุ่น แต่การคบเพื่อนก็ย่อมมีทั้งคุณและโทษ กลุ่มมีอิทธิพลต่อวัยรุ่นถ้า คบเพื่อนไม่ดีก็อาจนำไปสู่พฤติกรรมที่เป็นปัญหาได้

พั ฒนาการแต่ละช่วงวัยของมนุษย์ 45 วัยผู้ใหญ่ ตั้งแต่อายุ 21 – 40 ปี วัยผู้ใหญ่ตอนต้นเป็นระยะที่ความเจริญเติบโตทางการพัฒนาเต็มที่ สมบูรณ์ อวัยวะทุกส่วนทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยทั่วไปบุคคลมักมี กายแข็งแรง ในด้านอารมณ์นั้นผู้ที่จะเข้าถึงภาวะอารมณ์แบบผู้ใหญ่มีความ คับข้องใจน้อย ควบคุมอามรณ์ได้ดีขึ้นมีความแน่ใจและมีความมั่นคงทาง จิตใจดีกว่าในระยะวัยรุ่น ส่วนด้านความสัมพันธ์กับผู้อื่นหรือลักษณะ พัฒนาการทางสังคมนั้น ระยะนี้การให้ความสัมพันธ์กับกลุ่มเริ่มลดน้อยลง เปลี่ยนมาสู่การมีสัมพันธภาพและผูกพันกับเพื่อนต่างเพศแบบคู่ชีวิต จุดศูนย์กลางของสัมพันธภาพคือครอบครัว ส่วนผู้ใหญ่ที่ยังไม่มีคู่ครองและ ครอบครัว ยังคงให้ความสำคัญต่อกลุ่มเพื่อนร่วมวัยแต่ความเข้มของความ ผูกพันและภักดีเริ่มลดน้อยลงจำนวนสมาชิกของกลุ่มมักจะน้อยลง

พั ฒนาการแต่ละช่วงวัยของมนุษย์46 วัยกลางคน ตั้งแต่อายุ 40 – 60 ปี สมรรถภาพทางกายเป็นไปในทางเสื่อมถอยการเปลี่ยนแปลงทาง กายเช่นนี้ มีผลสัมพันธ์กับอารมณ์จิตใจและสัมพันธภาพกับบุคคลอื่น ทั้งหญิงและชายวัยกลางคนต้องปรับตัวต่อสภาพเหล่านี้การปรับตัวที่ สำคัญ เช่น การปรับตัวทางอาชีพ การปรับตัวในบทบาทของสามี ภรรยา การปรับตัวต่อการตายของคู่สมรสและความเป็นหม้าย การ ปรับตัวในชีวิตทางเพศและการเปลี่ยนวัยของชาย การปรับตัวต่อ ภาวะวิกฤติวัยกลางคนของหญิง ในด้านความสัมพันธ์ของคนกลาง คนต่อบุตรนั้นก็ต้องเปลี่ยนไป ระยะนี้คนวัยกลางคนมีความสัมพันธ์ กับบุตรวัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ เขย สะใภ้ วิธีสัมพันธ์นั้นต้องมีลักษณะแตก ต่างไปจากเมื่อลูกยังเป็นเด็กเล็ก

พั ฒนาการแต่ละช่วงวัยของมนุษย์47 วัยสูงอายุ ตั้งแต่อายุ 60 ปีขึ้นไป วัยชราเป็นระยะสุดท้ายของชีวิตลักษณะพัฒนาการในวัยชราตรงกันข้าม กับระยะวัยเด็กคือเป็นความเสื่อมโทรม และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอมิใช่ การเจริญงอกงาม วัยชราเป็นระยะสุดท้ายของพัฒนาการของคน วัยชรา มีความเสื่อมทางร่างกายอย่างเห็นได้ชัดความเสื่อมดังกล่าวส่งผลกระทบ ต่องานอาชีพ ลักษณะอารมณ์ ลักษณะสัมพันธภาพกับบุคคลใน ครอบครัวในสังคม แม้เป็นระยะแห่งความเสื่อม แต่บุคคลก็อาจใช้ชีวิตวัย ชราได้อย่างมีความสุขคือต้องมีการเตรียมตัวเตรียมใจที่จะเผชิญกับความ ชรา รู้จักปรับตัวทางด้านร่างกาย อาชีพและสัมพันธภาพกับผู้อื่น สังคม และครอบครัวจะมีส่วนช่วยให้ความสุขแก่คนชรา

บทที่ 5 48 ปัจจัยที่ส้งผลต่อ การเรียนรู้

ความหมายของการเรียนรู้ 49 การเรียนรู้ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอันเนื่องมาจาก ประสบการณ์เดิม ทำให้คนเผชิญกับสถานการณ์เดิมต่างไปจาก เดิม เป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทั้งภายนอกและภายใน ลักษณะการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอาจเป็นได้ 4 ลักษณะ ได้แก่ การทำพฤติกรรมใหม่ การเลิกทำ การเพิ่มพฤติกรรมที่เคยทำ และการลดพฤติกรรมที่เคยทำ พฤติกรรมใดที่ไม่เปลี่ยนแปลงจึง ไม่เรียกว่าเกิดการเรียนรู้ผลของการเรียนรู้จะก่อให้เกิดความรู้ ทักษะ และเจตคติ

ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ 50 1. แรงจูงใจ แรงจูงใจ คือพลังผลักดันให้คนมีพฤติกรรม และยังกำหนดทิศทางและ เป้าหมาย ของพฤติกรรมนั้นด้วย คนที่มีแรงจูงใจสูง จะใช้ความ พยายามในการกระทำไปสู่เป้าหมายโดยไม่ลดละ แต่คนที่มีแรงจูงใจต่ำ จะไม่แสดงพฤติกรรม หรือไม่ก็ล้มเลิก การกระทำ ก่อนบรรลุเป้าหมาย แรงจูงใจจะเกี่ยวข้องกับองค์ประกอบที่สำคัญ 2 ประการ คือ 1) เป็นกลไกที่ไปกระตุ้นพลังของร่างกายให้เกิดการกระทำ 2) เป็นแรงบังคับให้กับพลังของร่างกายที่จะกระทำอย่างมีทิศทาง


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook