Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 03-puttanuputta

03-puttanuputta

Published by sarawut makdai, 2019-12-23 23:01:38

Description: 03-puttanuputta

Search

Read the Text Version

1 บทนา วชิ าพทุ ธานุพทุ ธประวตั ิ แปลว่า ประวตั หิ รือความเป็ นมาของพระสัมมาสัมพทุ ธเจ้าและ พระสาวก พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทรงอบุ ตั ิข้ึนเพอ่ื สง่ั สอนชาวโลกใหห้ ลดุ พน้ จากความทุกขไ์ ดพ้ บกบั ความสุขท่ีแทจ้ ริงของชีวติ ทรงประกอบดว้ ยพระกรุณาในหมู่สตั วไ์ ม่มีประมาณ พระองคท์ รงถึง พร้อมดว้ ยสัมปทาคณุ ๓ ประการ คือ ๑. เหตุสัมปทา คือการบาเพญ็ บารมีมาอยา่ งครบถว้ น ๒. ผลสัมปทา คือการที่ทรงไดร้ ับผลของบารมี ทาใหม้ ีรูปกายประกอบดว้ ยมหา ปุริสลกั ษณะ อานุภาพ การละกิเลสและพระญาณหยงั่ รู้เป็นตน้ ๓. สัตตูปการสัมปทา คือการที่ทรงบาเพญ็ ประโยชน์ตอ่ ชาวโลกดว้ ยพระทยั ที่บริสุทธ์ิ พระองคท์ รงแสดงธรรมสงั่ สอนใหพ้ ทุ ธบริษทั ไดร้ ู้ถึงเป้ าหมายของชีวติ หรือประโยชน์ ๓ ประการ คือ ๑. ทฏิ ฐธัมมกิ ตั ถประโยชน์ คือประโยชน์ที่พงึ จะไดร้ ับในชาติน้ี ๒. สัมปรายกิ ตั ถประโยชน์ คือประโยชน์ที่พึงจะไดร้ ับในชาติหนา้ ๓. ปรมตั ถประโยชน์ คือประโยชนอ์ ยา่ งยอดเยยี่ ม ไดแ้ ก่พระนิพพาน

2 ปริเฉทที่ ๑ ว่าด้วยชมพทู วปี ชมพทู วปี พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทุกพระองคเ์ สดจ็ อบุ ตั ิข้ึนในดินแดนชมพทู วีป ซ่ึงต้งั อยทู่ างทิศพายพั (ตะวนั ตกเฉียงเหนือ)ของประเทศไทย ชมพทู วปี หมายถึง ดินแดนหรือแผน่ ดินที่กาหนดดว้ ยไมห้ วา้ ปัจจุบนั ไดแ้ ก่ ประเทศ อนิ เดยี เนปาล ภูฐาน บังคลาเทศ ปากสี ถาน และอฟั กานสิ ถานบางส่วน อาณาเขตชมพูทวปี ชมพทู วปี เป็นดินแดนที่มีความอุดมสมบรู ณ์ โดยมีกษตั ริยเ์ ป็นพระเจา้ แผน่ ดินปกครองเป็น ส่วน ๆ อาณาเขตชมพทู วปี แบ่งออกเป็น ๒ เขตใหญ่ ๆ ไดแ้ ก่ ๑. มชั ฌมิ ประเทศ หรือมธั ยมประเทศ หมายถงึ ประเทศทต่ี ้งั อยู่ท่ามกลาง เป็ นทอ่ี ยู่ของพวก อริยกะ ไดแ้ ก่ อาณาเขตที่มีความเจริญรุ่งเรือง มีเศรษฐกิจดี เป็นศนู ยก์ ลางการคา้ และเป็นท่ีชุมนุม ของนกั ปราชญบ์ ณั ฑิตผมู้ ีความรู้ในสาขาต่าง ๆ มีอาณาเขตปรากฏในพระบาลีจมั มขนั ธกะ มหาวรรค พระวินยั แสดงไวด้ งั น้ี ทิศบูรพา นบั ต้งั แต่มหาศาลนครเขา้ มา ทิศอาคเนย์ นบั ต้งั แตแ่ ม่น้าสลั ลวตีเขา้ มา ทิศทกั ษิณ นบั ต้งั แตเ่ สตกณั ณิกนิคมเขา้ มา ทิศปัจฉิม นบั ต้งั แตถ่ นู คามเขา้ มา ทิศอดุ ร นบั ต้งั แตภ่ เู ขาอุสีธชะเขา้ มา ๒. ปัจจนั ตประเทศ หมายถงึ ส่วนภูมภิ าค เป็ นทอี่ ยู่ของพวกมลิ กั ขะ ไดแ้ ก่อาณาเขตที่ยงั ไม่เจริญ อยภู่ ายนอกเขตมชั ฌิมประเทศออกไป ความเหน็ ๒ อย่าง ประชาชนในชมพทู วปี ส่วนมากนบั ถือศาสนาพราหมณ์เป็นหลกั ยดึ ถือวรรณะอยา่ งแรง กลา้ และมีความเห็นแตกต่างกนั ออกไปตามความเช่ือของแต่ละคน แต่พอสรุปได้ ๒ อยา่ ง คือ ๑. สัสสตทฏิ ฐิ เห็นว่าตายแล้วเกดิ ๒. อจุ เฉททฏิ ฐิ เห็นว่าตายแล้วสูญ

3 กาเนิดศากวงศ์และโกลยิ วงศ์ ชมพทู วีปต้งั แต่อดีตกาลปกครองโดยระบบกษตั ริย์ มีพระเจา้ แผน่ ดินพระนามวา่ สมมติ เทวราชเป็นองคป์ ฐมกษตั ริยป์ กครองเร่ือยมาจนถึงสมยั พระเจา้ ปฐมโอกกากราช พระเจา้ ทุติยโอก กากราช พระองคส์ ืบราชสมบตั ิต่อมาตามลาดบั กระทง่ั ถึงพระเจา้ ตติยโอกกากราช พระเจา้ ตติยโอกกากราช มีพระราชโอรสและพระราชธิดารวม ๙ พระองค์ คือ พระราช โอรส ๔ พระองค์ และพระราชธิดา ๕ พระองค์ ต่อมาเม่ือพระมเหสีทิวงคต พระเจา้ ตติยโอก กากราชอภิเษกสมรสอีกคร้ังและไดพ้ ระราชโอรสใหม่อีกองคห์ น่ึงพระนามวา่ ชันตุ ในวนั ที่พระมเหสีประสูติพระโอรสใหม่น้นั ทรงประทานพรวา่ ถา้ ปรารถนาส่ิงใดกจ็ ะ ประทานใหต้ ามท่ีตอ้ งการ พระมเหสีไดท้ ลู ขอราชสมบตั ิใหแ้ ก่พระโอรส ทรงใหต้ ามที่พระนาง ทูลขอ ดว้ ยทรงถอื วา่ เป็นกษตั ริยต์ รัสแลว้ ไมค่ ืนคา จะเป็นการเสียสตั ย์ จากน้นั รับสงั่ ใหพ้ ระ ราชโอรสและพระราชธิดาท้งั หมด พร้อมดว้ ยขา้ ราชบริพารไปสร้างเมืองแห่งใหม่ พระราชโอรสและพระราชธิดาท้งั ๙ จึงออกเดินทางพร้อมดว้ ยขา้ ราชบริพารไปสร้างเมืองท่ี ดงไมส้ กั กะ ใกลภ้ ูเขาหิมพานต์ แต่เดิมเคยเป็นท่ีอยขู่ องกบิลดาบส และต้งั ช่ือเมืองใหม่น้ีวา่ กบิลพสั ด์ุ ตามช่ือของกบิลดาบส เมื่อสร้างเมืองเสร็จแลว้ พระราชโอรสและพระราชธิดาท้งั หมด ยกเวน้ แต่พระเชฏฐภคินีได้ จบั คู่อภิเษกสมรสกนั เอง เพราะกลวั วา่ ถา้ อภิเษกสมรสกบั ราชวงศอ์ ่ืนพระราชโอรสและพระราช ธิดาท่ีประสูติมาจะเป็นผไู้ ม่สมบูรณ์ดว้ ยชาติ ฝ่ ายพระเจา้ ตติยโอกกากราชทรงทราบถึงความเป็นอยขู่ องพระราชโอรสและพระราชธิดา มาโดยตลอด ทรงเห็นถึงความเพียรพยายามในการปกครองบา้ นเมือง จึงตรัสสรรเสริญวา่ เป็นผู้ มีความสามารถองอาจ จึงต้งั ช่ือวงศก์ ษตั ริยใ์ หว้ า่ ศากยวงศ์ ส่วนพระเชษฐภคินีไดอ้ ภิเษกสมรสกบั พระเจา้ กรุงเทวทหะ ไดต้ ้งั วงศก์ ษตั ริยข์ ้ึนอีกวงศ์ หน่ึงชื่อวา่ โกลยิ วงศ์ กษตั ริยศ์ ากยวงศแ์ ละโกลิยวงศถ์ ือวา่ เป็นพระญาติเก่ียวเน่ืองกนั และปกครองบา้ นเมืองดว้ ยดี เป็นลาดบั มา จนถึงสมยั พระเจา้ ชยั เสนะ พระองคม์ ีพระราชโอรสพระองคห์ น่ึงพระนามวา่ สีหหนุ มีพระราชธิดาพระองคห์ น่ึงพระนามวา่ ยโสธรา ต่อมาเม่ือพระเจา้ ชยั เสนะเสดจ็ สวรรคต สีหหนุราชกมุ ารไดเ้ สดจ็ ข้ึนครองราชยส์ มบตั ิ และไดอ้ ภิเษกสมรสกบั พระนางกญั จนา ผเู้ ป็นพระกนิษฐภคินีของพระเจา้ อญั ชนะ กษตั ริย์ ผปู้ กครองเมืองเทวทหะ มพี ระราชโอรส ๕ พระองค์คอื สุทโธทนะ สุกโกทนะ อมโิ ตทนะ โธโตทนะ ฆนโิ ตทนะ และพระราชธดิ า ๒ พระองค์คอื ปมติ าและอมติ า

4 พระเจา้ อญั ชนะกษตั ริยเ์ มืองเทวทหะ อภิเษกสมรสกบั พระนางยโสธรา ซ่ึงเป็นพระ กนิษฐภคินีของพระเจา้ สีหหนุ มีพระราชโอรส ๒ พระองค์ คอื สุปปพทุ ธะ และทณั ฑปาณิ มพี ระ ราชธิดา ๒ พระองค์ คอื สิริมหามายาและปชาบดโี คตมี พระราชโอรสองคใ์ หญข่ องพระเจา้ สีหหนุ คือเจา้ ชายสุทโธทนะทรงเจริญพระชนมายุ พอสมควรแลว้ ไดส้ ่งพราหมณ์ ๘ คนไปทลู ของพระนางสิริมหามายา พระราชธิดาของพระเจา้ อญั ชนะและพระนางยโสธรา ซ่ึงเป็นผเู้ พยี บพร้อมดว้ ย เบญจกลั ยาณี ได้แก่ ผู้มคี วามงาม ๕ ประการ คอื ผมงาม เนอื้ งาม ฟันงาม ผวิ งามและวยั งาม เพื่อมาอภิเษกสมรสกบั เจา้ ชาย เบญจมหาบริจาค นบั ยอ้ นหลงั ไป ๔ อสงไขยกบั อีก ๑ แสนกปั สมยั น้นั พระโพธิสตั วเ์ กิดเป็นสุเมธดาบส ไดป้ รารถนาพระสพั พญั ญุตญาณเฉพาะพระพกั ตร์ของพระพทุ ธเจา้ พระนามวา่ ทปี ังกร และทรง บาเพญ็ มหาบริจาค ๕ ประการ คอื ๑. บริจาคทรัพย์เป็ นทาน ๒. บริจาคอวยั วะเป็ นทาน ๓. บริจาคบุตรเป็ นทาน ๔. บริจาคภรรยาเป็ นทาน ๕. บริจาคชีวติ เป็ นทาน บาเพญ็ บารมี ๑๐ พระบรมโพธิสตั วห์ ลงั จากไดร้ ับพยากรณ์แลว้ ทรงบาเพญ็ บารมี ๑๐ ประการ คอื ทาน บารมี ศีลบารมี เนกขมั มบารมี ปัญญาบารมี วริ ิยบารมี ขนั ตบิ ารมี สัจจบารมี อธษิ ฐานบารมี เมตตาบารมี และอเุ บกขาบารมี ทรงบาเพญ็ บารมีครบถว้ ยบริบูรณ์ในชาติท่ีเสวยพระชาติเป็น พระเวสสนั ดร คร้ันทิวงคตแลว้ ไดเ้ กิดในสวรรคช์ ้นั ดุสิต เป็นเทพบุตรพระนามวา่ ท้าวสันดุสิตเทวราช เม่ือพระบารมีแก่กลา้ สามารถจะบรรลุพระโพธิญาณแลว้ ทรงรับการอาราธนาของเหลา่ เทวดาและ พรหมเพ่ือเสดจ็ จุติในพระครรภข์ องพระมารดา ปัญจโกลาหล ก่อนที่พระพทุ ธเจา้ จะเสดจ็ อุบตั ิข้ึนในโลกน้นั พวกพรหมในช้นั สุทธาวาสไดป้ ่ าวประกาศ ในหม่ืนโลกธาตุวา่ นบั จากน้ีไปประมาณหน่ึงแสนปี พระพทุ ธเจา้ จกั เสดจ็ อบุ ตั ิข้ึนในโลก ผู้

5 ปรารถนาจะพบกบั พระพทุ ธเจา้ จงบาเพญ็ ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา และขวนขวายในการบาเพญ็ กศุ ลต่าง ๆ เถิด อยา่ งน้ีเรียกวา่ พทุ ธโกลาหล โกลาหล คือ ความเอกิ เกริกอลหม่านในหมื่นโลกธาตุอนั เกิดจากความสงสยั สบั สนมี ๕ ประการ เรียกวา่ ปัญจโกลาหล คือ ๑. พทุ ธโกลาหล ก่อนพระพทุ ธเจ้าอบุ ตั ิ ๑๐๐,๐๐๐ ปี ๒. กปั ปโกลาหล ก่อนกปั พนิ าศ ๑๐,๐๐๐ ปี ๓. จกั กวตั ตโิ กลาหล ก่อนพระเจ้าจกั รพรรดอิ บุ ตั ิ ๑๐๐ ปี ๔. มงคลโกลาหล ก่อนพระพทุ ธเจ้าตรัสมงคล ๑๒ ปี ๕. โมไนยโกลาหล ก่อนมผี ู้ถามโมไนยปฏบิ ตั ิ ๗ ปี ปัญจบุพนิมติ เทวดาและทา้ วมหาพรหมท้งั หลายในหมื่นโลกธาตุไดส้ ดบั พทุ ธโกลาหล จึงประชุมกนั ถาม วา่ ผใู้ ดจะไดไ้ ปอบุ ตั ิตรัสรู้เป็นพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ลาดบั น้นั บุพนิมติ ๕ ประการ ไดป้ รากฏแก่ทา้ วสนั ดุสิตเทวราช คือ ๑. ทพิ ยบุปผาทป่ี ระดบั พระวรกายเหย่ี วแห้ง ๒. ทพิ ยภูษาทท่ี รงเศร้าหมอง ๓. พระเสโทไหลออกจากพระกจั ฉะ ๔. พระสรีรกายมอี าการปรากฏชรา ๕. พระทยั กระสับกระส่ายเป็ นทกุ ข์เบอ่ื หน่ายเทวโลก การที่ปัญจบุพนิมิตปรากฏแก่ทา้ วสนั ดุสิตเทวราชในคร้ังน้ี เหล่าเทวดาในหมื่นโลกธาตุ ทราบวา่ ทา้ วสนั ดุสิตเทวราชพระองคน์ ้ีจกั ไดต้ รัสรู้เป็นพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ในโลกอยา่ ง แน่นอน จึงพร้อมใจกนั กราบทลู อาราธนาเพื่อใหเ้ สดจ็ จุติในมนุษยโลก ปัญจมหาวโิ ลกนะ พระบรมโพธิสตั วก์ ่อนจะรับคาอาราธนา ทรงพจิ ารณามหาวิโลกนะ ๕ ประการ มหาวโิ ลกนะ คอื การตรวจดูอนั ยงิ่ ใหญ่ หมายถึงสิ่งที่พระโพธิสตั วท์ รงพจิ ารณาตรวจดูก่อนที่จะ ตดั สินพระทยั รับคาอาราธนาของเทวดาท้งั หลายในอนั จุติจากเทวโลกไปบงั เกิดในมนุษยโลก มี ๕ ประการ ไดแ้ ก่ ๑. กาล คอื อายุของมนุษย์จะต้องอยู่ในระหว่าง ๑๐๐ ถึง ๑๐๐,๐๐๐ ปี

6 ๒. ทวปี คอื จะอบุ ัตเิ ฉพาะในชมพูทวปี เท่าน้ัน ๓. ประเทศ คอื จะอบุ ตั เิ ฉพาะในมธั ยมประเทศเท่าน้นั ๔. สกลุ คอื จะอบุ ัตเิ ฉพาะในสกลุ กษตั ริย์หรือสกลุ พราหมณ์เท่าน้นั ๕. มารดา คอื มารดาและกาหนดอายุของมารดา มารดาจะต้องมศี ีล ๕ บริสุทธ์ิไม่โลเลในบุรุษ ไม่เป็ นนักดม่ื สุรา ได้บาเพญ็ บารมมี า ตลอดแสนกปั เสดจ็ จุติลงสู่พระครรภ์ พระบรมโพธิสตั วค์ ร้ันทรงพจิ ารณามหาวโิ ลกนะ ๕ ประการบริบรู ณ์แลว้ จึงทรงรับคา อาราธนาของเหล่าเทวดาและทา้ วมหาพรหม เสดจ็ จุตจิ ากทพิ ยสถานลงสู่พระครรภ์ของพระนางสิริ มหามายาพระอคั รมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะ ผู้ครองเมอื งกบลิ พสั ด์ุในวนั เพญ็ เดอื น ๘ ปี ระกา ก่อนพทุ ธศักราช ๘๐ ปี พระมารดาทรงพระสุบนิ พระนางสิริมหามายา ทรงชาระพระวรกายดว้ ยน้าหอม พระราชทานทรัพย์ ๔ แสน กหาปณะเป็นมหาทาน เสร็จแลว้ เสวยโภชนาหารอนั ประณีต จากน้นั ทรงสมาทานอโุ บสถศีลแลว้ เสดจ็ กา้ วข้ึนสู่พระแท่นบรรทม ในเวลาใกลอ้ รุณทรงพระสุบินวา่ “ท้าวมหาราชท้งั ๔ มายกพระ นางไปพร้อมพระแท่นทบี่ รรทม แล้ววางไว้บนพนื้ แผ่นมโนศิลาใต้ต้นรัง มเี ทพธดิ ามาอญั เชิญเสดจ็ ไปสรงนา้ ในสระอโนดาต ชาระพระวรกายให้หมดจดผดุ ผ่องแล้ว ทรงฉลองพระองค์ด้วยผ้าทพิ ย์ ทรงลบู ไล้ของหอมทพิ ย์ และทรงประดบั ด้วยทพิ ยบุปผานานาชนดิ แล้วเสดจ็ สู่ทบี่ รรทม ณ วมิ าน ทอง ใกล้สุวรรณครี ีลกู หน่งึ บ่ายพระเศียรไปทางทศิ ปราจนี ขณะน้นั มพี ญาช้างเผอื กเชือกหนึ่งชู งวงถือดอกบวั ขาว อบอวลด้วยกลนิ่ หอมไปทวั่ บริเวณ ได้ทาประทกั ษณิ พระนาง ๓ รอบ แล้ว ปรากฏเป็ นเหมอื นเข้าไปสู่พระอทุ รเบอื้ งขวาของพระราชเทว”ี ทานายพระสุบิน คร้ันรุ่งเชา้ พระนางไดก้ ราบทลู ใหพ้ ระเจา้ สุทโธทนะทรงทราบ ทรงรับสง่ั ใหพ้ ราหมณ์ ทานายพระสุบิน พราหมณ์พจิ ารณาดพู ระสุบินน้นั แลว้ ไดก้ ราบทูลวา่ “ พระราชโอรสของ พระองค์จกั เป็ นอคั รบรุ ุษผ้เู ลศิ และมอี านุภาพมาก ถ้าอยู่ในฆราวาสวสิ ัยจกั ได้เป็ นจอมจกั รพรรดิ และถ้าออกบวชจกั ได้ตรัสรู้เป็ นพระสัมมาสัมพทุ ธเจ้าแน่แท้ ”

7 พระโพธิสัตว์ประสูติ พระโพธิสตั วเ์ สดจ็ อยใู่ นพระครรภค์ รบถว้ น ๑๐ เดือนแลว้ พระนางสิริมหามายาทรง ปรารถนาท่ีจะเสดจ็ ไปยงั เมืองเทวทหะเพ่อื เยย่ี มสกลุ วงศข์ องพระองค์ จึงเขา้ ไปกราบทลู พระเจา้ สุทโธทนะ ทรงอนุญาตตามความประสงค์ จากน้นั ประทบั นงั่ บนพระเสล่ียงทองคา เสดจ็ พร้อม ดว้ ยขา้ ราชบริพารมงุ่ หนา้ ไปสู่เมืองเทวทหะ คร้ันถึงสวนลมุ พินีวนั ซ่ึงอยรู่ ะหวา่ งเมืองกบิลพสั ดุ์ และเมืองเทวทหะ เป็นสถานท่ีรื่นรมยไ์ ปดว้ ยตน้ ไมน้ านาชนิดออกดอกบานสะพร่ังส่งกลิ่นหอม ตลบอบอวลไปทว่ั บริเวณ ขณะที่เสดจ็ ถึงตน้ สาละกบ็ งั เกิดลมกมั มชั วาตประชวรในพระครรภ์ ขา้ ราชบริพารจึงผกู ม่านจดั แจงสถานท่ีประสูติ พระนางสิริมหามายาประทบั ยนื ผิน พระปฤษฎางคพ์ งิ ตน้ สาละ จบั กิ่งสาละดว้ ยพระหตั ถข์ วา ผนิ พระพกั ตร์ไปทางทิศบูรพาและ ประสูติพระราชโอรสในกาลน้นั เอง ตรงกบั วนั วิสาขบชู า ข้ึน ๑๕ ค่า เดือน ๖ เปล่งอาสภิวาจา หลงั จากประสูติจากพระครรภข์ องพระมารดาแลว้ ทา้ วมหาพรหมท้งั ๔ ถือข่ายทองมา รองรับพระวรกายไว้ ส่วนพระกมุ ารทอดพระเนตรไปในทิศท้งั ๑๐ ไม่ปรากฏมีผใู้ ดจะเสมอเหมือน พระองค์ จึงผนิ พระพกั ตร์มุ่งหนา้ ไปทางทิศอุดร เสดจ็ กา้ วพระบาทไปได้ ๗ กา้ ว ทรงเปลง่ พระ สุรเสียงไพเราะกอ้ งกงั วานดุจเสียงทา้ วมหาพรหมว่า “เราเป็ นผ้เู ลศิ ในโลก เราเป็ นผู้ประเสริฐทส่ี ุด ในโลก เราเป็ นผู้เจริญทสี่ ุดในโลก ชาตนิ ีเ้ ป็ นชาตสิ ุดท้ายภพใหม่ไม่มอี กี แล้ว” เสียงท้าวมหาพรหม ๘ ประการ ๑. แจ่มใส ๒. ชัดถ้อยชัดคา ๓. หวานกลมกล่อม ๔. เสนาะโสต ๕. หยดย้อย ๖. ไม่เครือไม่แหบไม่พร่า ๗. ซึ้ง ๘. มกี งั วาล

8 ตรัสได้ ๓ ชาติ พระชาติที่พระโพธิสตั วพ์ อประสูติจากพระครรภข์ องพระมารดาทรงเปลง่ อาสภิวาจาอยา่ ง องอาจไดม้ ี ๓ ชาติเท่าน้นั คือ ๑. พระชาตทิ เี่ ป็ นมโหสถ ๒. พระชาตทิ เ่ี ป็ นพระเวสสันดร ๓. พระชาตทิ เ่ี ป็ นพระสิทธตั ถราชกมุ าร สหชาติ ๗ ประการ ในวนั ที่พระโพธิสตั วป์ ระสูติน้นั มีบุคคลและส่ิงซ่ึงเกิดข้ึนร่วมวนั เดือนปี เดียวกบั พระองค์ เรียกวา่ สหชาติมี ๗ ประการ คือ ๑. พระนางพมิ พา มารดาพระราหุล ๒. พระอานนท์ พทุ ธอปุ ัฏฐาก ๓. กาฬุทายี อามาตย์ทไ่ี ปกราบทูลให้เสดจ็ กลบั เมอื งกบลิ พสั ด์ุ ๔. ฉันทะ องครักษ์ผู้ตามเสดจ็ ขณะออกผนวช ๕. กณั ฐกะ ม้าท่ีทรงในวนั เสดจ็ ออกผนวช ๖. มหาโพธ์ิ ต้นไม้เป็ นทต่ี รัสรู้ ๗. ขมุ ทรัพย์ ๔ ทศิ คอื สังขะ เอละ อปุ ปละ ปุณฑริกะ ปาฏหิ าริย์ ๗ ประการ เมื่อพระโพธิสตั วป์ ระสูติจากพระครรภข์ องพระมารดาน้นั มีปาฏิหาริยเ์ กิดข้ึน ๗ ประการ คือ ๑.พระมารดาประทบั ยนื ประสูติ ๒.ประสูติไม่เปรอะเป้ื อนดว้ ยมลทินครรภ์ ๓.ขณะประสูติมีเทวดามาคอยรับ ๔.ท่อน้าเยน็ ท่อน้าร้อนตกลงมาจากอากาศสนานพระกาย ๕.ทรงดาเนินดว้ ยพระบาทได้ ๗ กา้ ว ๖.ทรงเปล่งอาสภิวาจา ๗.แผน่ ดินไหว

9 ประสูติได้ ๓ วนั กาฬเทวลิ ดาบส หรืออสิตดาบสผสู้ าเร็จสมาบตั ิ ๘ ซ่ึงเป็นนกั บวชประจาราชสกลุ ไดท้ ราบ ข่าวและไดเ้ ดินทางเขา้ เฝ้ าพระเจา้ สุทโธทนะในพระราชวงั เพือ่ ช่ืนชมพระบารมีของพระราชกมุ าร พระเจา้ สุทโธทนะรับสงั่ ใหน้ าพระราชโอรสมาเพ่ือนมสั การอสิตตดาบส ในขณะน้นั พระ บาทท้งั สองของพระราชกมุ ารปรากฏอยบู่ นเศียรของอสิตดาบส เป็นท่ีอศั จรรยย์ ง่ิ นกั อสิตดาบส เห็นเหตุเช่นน้นั จึงพิจารณาดูลกั ษณะของพระราชกมุ ารกท็ ราบดว้ ยญาณวา่ พระราชกมุ ารจกั เป็น เอกบุรุษผปู้ ระเสริฐในโลก มีจิตใจชื่นชมยนิ ดียงิ่ นกั จึงลุกข้ึนถวายอภิวาทท่ีพระบาทของพระราช กมุ าร ฝ่ ายพระเจา้ สุทโธทนะทอดพระเนตรเช่นน้นั จึงยกพระหตั ถอ์ ภิวาทพระราชกมุ ารตาม อสิตดาบส นาลกะออกบวช อสิตดาบสพจิ ารณาต่อไปอีกวา่ พระราชกมุ ารทรงสมบูรณ์ดว้ ยมหาปุริสลกั ษณะ ๓๒ ประการ ดาริวา่ พระราชกมุ ารจกั ออกผนวชแลว้ ไดต้ รัสรู้เป็นพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ อยา่ งแน่ นอน แต่วา่ เราคงไม่มีบุญวาสนาไดอ้ อกบวชกบั พระองค์ จึงไปบอกแก่นาลกะผเู้ ป็นหลานของตน ใหอ้ อกบวชเพือ่ รอพระมหาบุรุษออกผนวชในโอกาสหนา้ นาลกะจึงไดอ้ อกบวชบาเพญ็ สมณ ธรรมในป่ าหิมพานตต์ ามคาของอสิตดาบส ประสูติได้ ๕ วนั พระโพธิสตั วป์ ระสูติได้ ๕ วนั พระเจา้ สุทโธทนะไดเ้ ชิญพราหมณ์ ๑๐๘ คน ผรู้ ู้ไตรเพทมา บริโภคอาหารในพระราชวงั แลว้ เลือกพรามหณ์ ๘ คน จากพราหมณ์ท้งั หมดเพือ่ ทานายพระ ลกั ษณะ พราหมณ์ ๗ คนแรก คอื รามพราหมณ์ ลกั ษณพราหมณ์ ยญั ญพราหมณ์ ธุชพราหมณ์ โภชพราหมณ์ สุทตั ตพราหมณ์ สุยามพรามณ์ พิจารณาลกั ษณะของพระ ราชกมุ ารแลว้ ชูนิ้วข้ึน ๒ นิ้วทานายเป็น ๒ คติวา่ พระราชกมุ ารนเี้ ป็ นผู้มบี ุญมาก ถ้าดารงเพศ ฆราวาสจกั ได้เป็ นพระเจ้าจกั รพรรดิ ถ้าเสดจ็ ออกผนวชจกั ได้ตรัสรู้เป็ นพระสัมมาสัมพทุ ธเจ้า แต่โกณฑญั ญพราหมณ์หลงั จากพจิ ารณาแลว้ ชูนิ้วข้ึนนิ้วเดียว ทานายเป็นคติเดียววา่ พระราชกมุ ารจกั เสดจ็ ออกผนวช แล้วจกั ได้ตรัสรู้เป็ นพระสัมมาสัมพทุ ธเจ้าแน่นอน พระราชกมุ ารมีพระรัศมีโอภาสออกจากพระสรีระ ดว้ ยเหตุน้ีพราหมณ์จึงขนานพระนามวา่ องั ครี สราชกมุ าร และเรียกอีกพระนามหน่ึงวา่ สิทธัตถราชกมุ าร เพราะพระราชกมุ าร ปรารถนาส่ิงใดจะสาเร็จสมดงั พระทยั ทุกประการ

10 ประสูติได้ ๗ วนั พระนางสิริมหามายาเม่ือประสูติเจา้ ชายสิทธตั ถะได้ ๗ วนั แลว้ ไดเ้ สดจ็ ทิวงคต พระเจา้ สุทโธทนะจึงอภิเษกสมรสกบั พระนางปชาบดีโคตมีและทรงมอบพระราชกมุ ารใหพ้ ระนางเป็นผู้ เล้ียงดแู ทนพระมารดาที่จากไป พระนางทรงรักและดแู ลสิทธตั ถกมุ ารเป็นอยา่ งดีเหมือนเป็นบตุ ร ของพระนางเอง ในกาลต่อมาพระนางกไ็ ดป้ ระสูติพระราชโอรสและพระราชธิดา ๒ พระองค์ คือ นนั ทกมุ าร และรูปนนั ทากมุ ารี ประสูตไิ ด้ ๗ ปี คราวหน่ึงในวนั ทาพิธีวปั ปมงคลแรกนาขวญั พระเจา้ สุทโธทนะรับสง่ั ใหป้ ระดบั ตกแต่ง พระนครแลว้ เสดจ็ พระดาเนินไปยงั มณฑลพธิ ีพร้อมดว้ ยขา้ ราชบริพาร เม่ือไปถงึ จดั ใหพ้ ระราช กมุ ารพกั อยทู่ ี่ใตต้ น้ หวา้ ใหญ่ ส่วนพระองคเ์ สดจ็ ออกไป ณ สถานที่ทาพธิ ี อาศยั ความเงียบสงบ ภายใตร้ ่มไมน้ ้นั พระราชกมุ ารเสดจ็ ลุกข้ึนนงั่ สมาธิไดบ้ รรลุปฐมฌาน ในเวลาบ่ายพระอาทิตยม์ ี เงาคลอ้ ยไปแลว้ แต่เงาของตน้ หวา้ กลบั ต้งั ตรงเหมือนเท่ียงวนั พเ่ี ล้ียงนางนมเห็นเหตุการณ์ เช่นน้นั จึงกราบทูลพระเจา้ สุทโธทนะใหท้ รงทราบ เสดจ็ มาทอดพระเนตรเห็นเหตุอศั จรรย์ เช่นน้นั จึงยกพระหตั ถน์ มสั การพระราชกมุ าร เป็นการไหวค้ ร้ังที่สอง ทรงรับสง่ั ใหข้ ดุ สระโบกขรณี ๓ สระ คอื ปลกู บวั ขาบสระหนึง่ ปลูกบวั หลวงสระหนง่ึ และปลูกบวั ขาวสระหนงึ่ เพอ่ื ใหพ้ ระราชกมุ ารสาราญพระทยั ทรงนาเคร่ืองทรงมีผา้ โพกพระ เศียร ฉลองพระองคแ์ ละพระภษู าเป็นตน้ จากแควน้ กาสีมาถวาย ทรงส่งไปศึกษาศิลปวทิ ยาที่สานกั ของครูวิศวามิตร ประสูติได้ ๑๖ ปี พระราชกมุ ารเจริญวยั ข้ึน พระราชบิดาสง่ั ใหส้ ร้างปราสาท ๓ หลงั คอื ๑. รมยปราสาท ๒. สุรมยปราสาท ๓. สุขปราสาท ใหพ้ ระราชกมุ ารประทบั ในสามฤดู พระราชบิดาทลู ขอพระนางยโสธราหรือพิมพา ผเู้ ป็นพระราชธิดาของพระเจา้ สุปปพทุ ธะ แห่งเมืองเทวทหะมาเพอ่ื อภิเษกสมรสกบั เจา้ ชายสิตธตั ถะ เสวยสุขโดยมีสตรีลว้ น ๆ ประโคม ดนตรีขบั กลอ่ มบรรเลงภายในปราสาท ๓ หลงั น้นั ตลอดท้งั วนั และคืนดุจเสวยทิพยสมบตั ิ ปัญหาและเฉลยปริเฉทท่ี ๑ ๑.พทุ ธานุพทุ ธประวตั ิ ศึกษาเก่ียวกบั เร่ืองอะไร ? ก.ประวตั ิพระพทุ ธเจา้ ข.ประวตั ิพระสาวก

11 ค.ประวตั ิพระพทุ ธเจา้ และพระสาวก ง.ลทั ธิประเพณีต่าง ๆ ๒.ประเทศไทยต้งั อยทู่ างทิศใดของประเทศอินเดีย ? ก.ทิศทกั ษิณ ข.ทิศบูรพา ค.ทิศพายพั ง.ทิศอาคเนย์ ๓.ขอ้ ใดไม่ใช่บุพนิมิต ๕ ประการท่ีปรากฏแก่พระโพธิสตั วก์ ่อนเสดจ็ จุติยงั โลกมนุษย์ ? ก.ทิพยภษู าท่ีทรงมีสีเศร้าหมอง ข.พระสรีรกายมีอาการชราปรากฏ ค.พระเสโทไหลออกจากพระนลาฏ ง.ทิพยบุปผาท่ีประดบั กายเหี่ยวแหง้ ๔.ปัญจมหาวิโลกนะที่พระโพธิสตั วท์ รงพิจารณาถึง คือขอ้ ใด ? ก.แควน้ เมือง ชนบท สกลุ มารดา ข.กาล ทวปี ประเทศ สกลุ มารดา ค.กาล ทวีป ประเทศ เมือง มารดา ง.ทวีป ประเทศ ชนบท สกลุ มารดา ๕.กษตั ริยพ์ ระองคใ์ ด เป็นตน้ วงศศ์ ากยะ ? ก.พระเจา้ ชยั เสนะ ข.พระเจา้ สีหหนุ ค.พระเจา้ อญั ชนะ ง.พระเจา้ โอกกากราช ๖.พระเจา้ สีหหนุและพระนางกาญจนา มีความเกี่ยวขอ้ งกบั เจา้ ชายสิทธตั ถะอยา่ งไร ? ก.ตา ยาย ข.ป่ ู ยา่ ค.ลุง ป้ า ง.พอ่ ตา แม่ยาย ๗.ใครไม่ใช่สหชาติที่เกิดร่วมในวนั ที่เจา้ ชายสิทธตั ถะประสูติ ? ก.กาฬุทายอี ามาตย์ ข.พระนางพมิ พา ค.พระอานนท์ ง.พระอบุ าลี ๘.พระมารดาของพระนางพิมพา มีพระนามวา่ อยา่ งไร ? ก.โคตมี ข.อมิตา ค.กีสาโคตมี ง.ปมิตา ๙.ใครออกบวชเพราะเช่ือมนั่ ในวิชาการทานายทายทกั ? ก.พระมหากสั สปะ ข.พระอญั ญาโกณฑญั ญะ ค.พระวงั คีสะ ง.พระอสั สชิ ๑๐.ใครทานายลกั ษณะมหาบุรุษเป็นคนแรก ? ก.กบิลดาบส ข.กาฬเทวิลดาบส ค.อาฬารดาบส ง.โกณฑญั ญพราหมณ์ ๑๑.สิทธตั ถราชกมุ ารทรงนบั ถือศาสนาใดมาก่อน ? ก.ศาสนาพทุ ธ ข.ศาสนาอิสลาม

12 ค.ศาสนาพราหมณ์ ง.ศาสนาฮินดู ๑๒.หนงั สือปฐมสมโพธิ เป็นตารามุ่งทางใด ? ก.ตานาน ข.อภินิหาร ค.ธรรมปฏิบตั ิ ง.วจิ ารณ์ ๑๓.การอนุเคราะห์สรรพสตั วใ์ หพ้ น้ จากทุกข์ เป็นคุณสมั ปทาขอ้ ใด ? ก.เหตุสมั ปทา ข.ผลสมั ปทา ค.เจตนาสมั ปทา ง.สตั ตูปการสมั ปทา ๑๔.ขอ้ ใด กล่าวถกู ตอ้ งท่ีเกี่ยวกบั กรุงกบิลพสั ดุ์ ? ก.เดิมเป็นสถานท่ีอยขู่ องกบิลดาบส ข.เมืองที่พระเจา้ สุทโธทนะใหส้ ร้างข้ึน ค.เมืองเดิมท่ีพระเจา้ โอกกากราชครอบครอง ง.เมืองท่ีพระเจา้ โอกกากราชสร้างใหพ้ ระโอรส ๑๕.แควน้ กาสีมีชื่อเสียงในเร่ืองใด ? ก.ธญั ญาหาร ข.สมุนไพร ค.อญั มณี ง.เส้ือผา้ ๑๖.การศึกษาพทุ ธานุพทุ ธประวตั ิ มีประโยชน์อยา่ งไร ? ก.รู้ความเป็ นไป ข.รู้ปฏิปทาจริยาวตั ร ค.ไดท้ ิฏฐานุคติ ง.ถกู ทุกขอ้ ๑๗.ไตรเพท เป็นคมั ภีร์การศึกษาของวรรณะใด ? ก.กษตั ริย์ ข.พราหมณ์ ค.แพศย์ ง.ศทู ร ๑๘.เพราะเหตุใด คนชมพทู วปี สมยั น้นั จึงมีทิฏฐิความเห็นที่แตกต่างกนั ? ก.มีคณาจารยม์ ากมาย ข.มีการสอนลทั ธิต่างกนั ค.มีการแบ่งช้นั วรรณะ ง.ถกู ทุกขอ้ ๑๙.ความเห็นวา่ ตายแลว้ สูญ จดั เป็นทิฏฐิประเภทใด ? ก.อเหตุกทิฏฐิ ข.นตั ถิกทิฏฐิ ค.อุจเฉททิฏฐิ ง.สสั สตทิฏฐิ ๒๐.พระเจา้ สุทโธทนะ ทรงครองราชยส์ ืบสนั ตติวงศต์ ่อจากใคร ? ก.พระเจา้ โอกกากราช ข.พระเจา้ ชยเสนะ ค.พระเจา้ สีหหนุ ง.พระเจา้ อญั ชนะ

13 ๒๑.พระอนุชาต่างมารดาของเจา้ ชายสิทธตั ถะ มีพระนามวา่ อะไร ? ก.อานนท์ ข.นนั ทะ ค.นนั ทกะ ง.มหานามะ ๒๒.พระนางสิริมหามายาเสดจ็ ไปเทวทหนคร เพราะเหตุใด ? ก.บวงสรวงเทวดา ข.ไหวส้ ิ่งศกั ด์ิสิทธ์ิ ค.เยยี่ มสกลุ วงศ์ ง.เยยี่ มมารดาบิดา ๒๓.พระวาจาวา่ “เราเป็ นเลศิ เป็ นหนงึ่ ประเสริฐสุดในโลก” เรียกวา่ ...? ก.สจั จวาจา ข.มธุรวาจา ค.ปิ ยวาจา ง.อาสภิวาจา ๒๔.พระโพธิสตั วม์ ีพระรัศมีออกจากพระวรกาย จึงมีพระนามวา่ ...? ก.อรหนั ต์ ข.โคตมะ ค.องั คีรส ง.สิทธตั ถะ ๒๕.ขอ้ ใด แสดงความเป็นผมู้ ีมานะของชาวชมพทู วปี ? ก.ถือวา่ โลกเท่ียง ข.ถือวา่ โลกมีท่ีสุด ค.ถือช้นั วรรณะ ง.ถือวา่ ตายแลว้ เกิด ๒๖.เจา้ ชายสิทธตั ถะ ทรงเปลง่ อาสภิวาจาในคราวใด ? ก.ประสูติ ข.ตรัสรู้ ค.แสดงปฐมเทศนา ง.ปรินิพพาน ๒๗.พรหมณ์ท่ีทานายเจา้ ชายสิทธตั ถกมุ ารมีคติเป็นอยา่ งเดียว คือใคร ? ก.รามพราหมณ์ ข.ยญั ญพราหมณ์ ค.โกณฑญั ญพราหมณ์ ง.สุทตั ตพราหมณ์ ๒๘.ประชาชนส่วนใหญ่ก่อนพทุ ธกาล นบั ถือศาสนาใด ? ก.ศาสนาพราหมณ์ ข.ศาสนาพทุ ธ ค.ศาสนาซิก ง.ศาสนาอิสลาม ๒๙.ขอ้ ใด เป็นผลเสียของการแบ่งช้นั วรรณะ ? ก.ความแตกแยก ข.เกิดช่องวา่ งในสงั คม ค.ขาดเอกภาพ ง.ถกู ทุกขอ้ ๓๐.การปกครองโดยสามคั คีธรรม ตรงกบั ขอ้ ใด ? ก.ประชาธิปไตย ข.จกั รพรรดิราช ค.เผดจ็ การ ง.สงั คมนิยม

14 ๓๑.ขอ้ ใด เป็นผลเสียของพวกมีความเห็นวา่ ตายแลว้ สูญ ? ก.ไม่กลวั บาปกรรม ข.เอาตวั รอดในปัจจุบนั ค.ไม่กลวั เกิดในทุคติ ง.ถกู ทุกขอ้ ๓๒.พระเจา้ ชยั เสนะ เป็นพระบิดาของใคร ? ก.พระเจา้ สีหหนุ ข.พระเจา้ อญั ชนะ ค.พระเจา้ สุทโธทนะ ง.พระเจา้ สุปปพทุ ธะ ๑.ค ๒.ง เฉลยบทท่ี ๑ ๔.ข ๕.ง ๖.ข ๗.ง ๓.ค ๙.ข ๑๐.ข ๑๑.ค ๑๒.ข ๘.ข ๑๔.ก ๑๕.ง ๑๖.ง ๑๗.ข ๑๓.ง ๑๙.ค ๒๐.ค ๒๑.ข ๒๒.ค ๑๘.ง ๒๔.ค ๒๕.ค ๒๖.ก ๒๗.ค ๒๓.ง ๒๙.ง ๓๐.ก ๓๑.ง ๓๒.ก ๒๘.ก

15 ปริเฉทท่ี ๒ ว่าด้วยการเสดจ็ ออกบรรพชาและตรัสรู้ เทวทูต ๔ เจา้ ชายสิทธตั ถะทรงพระเกษมสาราญในฆราวาสวิสยั เรื่อยมา ไดเ้ สดจ็ ประพาสอทุ ยานดว้ ย ราชรถ ๓ วาระ ขณะท่ีประพาสอุทยานอยนู่ ้นั ทอดพระเนตรเห็นคนแก่ คนเจบ็ และคนตายท่ี เทวดาเนรมิตข้ึนในระหวา่ งหนทาง ทรงสลดพระทยั วา่ แมต้ วั เราเองกไ็ ม่สามารถจะพน้ ไปจาก สภาพน้ีได้ ทรงบรรเทาความเมา ๓ ประการไดค้ ือ เมาในวยั เมาในความไม่มีโรค และเมาในชีวิต ในวาระท่ี ๔ ทอดพระเนตรเห็นสมณะ ทรงปี ติเล่ือมใสในปฏิปทา ทรงดาริวา่ การประพฤติเป็นเพศ สมณะน้ี เป็นบุญกศุ ลอนั ประเสริฐยงิ่ ควรที่เราจะถือเอาเพศอนั สูงสุดน้ี วนั น้นั ทรงพกั สาราญพระ ทยั ในพระราชอุทยานตลอดวนั ต้งั แต่น้นั มาพระองคม์ ีพระทยั นอ้ มไปในการบรรพชาเป็นอยา่ งยงิ่ พระนางยโสธราประสูติพระโอรส ในขณะน้นั ราชบรุ ุษไดน้ าข่าวสารจากพระราชวงั มากราบทลู วา่ บดั น้ีพระนางพิมพาได้ ประสูติพระราชโอรสแลว้ เจา้ ชายสิทธตั ถะทรงทราบจึงตรัสอทุ านวา่ ราหุลงั ชาตงั พนั ธะนงั ชาตงั บ่วงเกดิ ขนึ้ แล้ว เคร่ืองพนั ธนาการเกดิ ขนึ้ แล้ว จาเดิมแต่น้นั พระกมุ ารจึงไดพ้ ระนามวา่ ราหุล พระนางกสี าโคตมชี มโฉม เจา้ ชายสิทธตั ถะประทบั อยใู่ นพระราชอุทยานพอสมควรแก่เวลาแลว้ จึงเสดจ็ กลบั พระนคร พระนางกีสาโคตมีซ่ึงเป็นขตั ติยราชกญั ญาองคห์ น่ึง ทอดพระเนตรเห็นเจา้ ชายสิทธตั ถะ ซ่ึงมีพระ รูปโฉมสง่างามจนเกิดรักใคร่เป็นอยา่ งยงิ่ ไดต้ รัสชมเชยวา่ “พระราชกมุ ารน้ี เป็นบุตรของพระ บิดาและพระมารดาพระองคใ์ ด พระบิดาและพระมารดาพระองคน์ ้นั ยอ่ มดบั ทุกขเ์ สียได้ และพระ ราชกมุ ารน้ีเป็นพระภสั ดาของนารีใด นารีน้นั กด็ บั ทุกขไ์ ด”้ คร้ันไดส้ ดบั ถอ้ ยคาดบั ทุกขท์ ี่พระนาง กล่าวถึงควรแก่การสรรเสริญยงิ่ จึงไดเ้ ปล้ืองสร้อยมุกดาออกจากพระศอ ส่งไปมอบใหแ้ ก่พระนาง กีสาโคตมีเพ่อื เป็นเครื่องบชู าคุณ ทอดพระเนตรราหุลราชกุมารคร้ังสุดท้าย วนั น้นั เจา้ ชายสิตธตั ถะมีพระทยั ยนิ ดีในการบรรพชา ไม่ยนิ ดีในการฟ้ อนราขบั ร้องของ นางสนมกานลั จึงเสดจ็ ข้ึนสู่ท่ีบรรทม ในเวลาดึกของคืนน้นั ทรงตื่นบรรทมข้ึนแลว้ พิจารณาดเู หล่า

16 นางสนมกานลั ซ่ึงกาลงั หลบั อยู่ แสดงกิริยาอาการต่าง ๆ เสมือนซากศพที่ทิ้งอยใู่ นป่ าชา้ จึงตดั สิน พระทยั แน่วแน่ในการเสดจ็ ออกผนวช ตรัสกบั นายฉนั นะวา่ “เราจกั ออกผนวชในวนั น้ี เจา้ จง เตรียมมา้ กณั ฐกะใหพ้ ร้อมเถิด” ไดเ้ สดจ็ เขา้ ไปในหอ้ งบรรทมของพระนางพมิ พา เพอื่ ทอดพระเนตรพระพกั ตร์ราหุลกมุ ารผู้ เป็นพระโอรสที่รักยงิ่ ทรงเห็นพระนางพิมพาทอดพระกายเหนือพระเศียรพระโอรส ดาริวา่ ถา้ เรา จะยกพระหตั ถพ์ ิมพา อุม้ องคโ์ อรสพระนางกจ็ ะตื่น จะเป็นอนั ตรายต่อบรรพชา อยา่ เลย ต่อเม่ือ สาเร็จพระ โพธิญาณแลว้ จึงจะกลบั มาทศั นา จึงยนื ที่ธรณีประตูทอดพระเนตรพระราชเทวแี ละรา หุลกมุ ารเป็นคร้ังสุดทา้ ย แลว้ เสดจ็ ข้ึนสู่หลงั มา้ กณั ฐกะ เสดจ็ ไปโดยมีนายฉนั ทะตามเสดจ็ ไปดว้ ย พระมหาบุรุษเสดจ็ บรรพชา วนั อาสาฬหบชู า เพญ็ เดือน ๘ พระยาวสั สวดีมาร ดาริวา่ พระสิทธตั ถะจะออกบวชเพ่ือหลีก หนีวิสยั ของเรา ดงั น้นั เราจะทาการหา้ มปรามเสีย แลว้ กลา่ วกบั พระสิทธตั ถะวา่ “ดกู รกมุ าร ท่าน อยา่ บรรพชาเลย ต่อจากน้ีไปไม่เกิน ๗ วนั จกั รรัตนะจกั ปรากฏแก่พระองค์ พระองคจ์ กั ไดเ้ ป็น พระเจา้ จกั รพรรดิ” ตรัสหา้ มดว้ ยพระดารัสวา่ “ดูก่อนพญามาร ท่านจงกลบั ไปเสียเถิด เราไม่ ปรารถนาในการครองราชสมบัต”ิ ดงั น้ีแลว้ เสดจ็ ต่อไปจนถึงริมฝ่ังแม่น้าอโนมา คร้ันแลว้ เสดจ็ ลงจากมา้ กณั ฐกะ ประทบั นงั่ บนหาดทราย ทรงเปล้ืองอาภรณ์เครื่องทรงกษตั ริยใ์ หแ้ ก่นายฉนั นะ ทรงจบั พระโมลีดว้ ยพระหตั ถซ์ า้ ย ทรงถือพระขรรคด์ ว้ ยพระหตั ถข์ วาตดั พระโมลีแลว้ โยนไปใน อากาศ ทรงอธิษฐานวา่ “ถ้าหากว่าเราจกั ได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธญิ าณแล้วไซร้ ขอพระโมลอี ย่าได้ตกลงมาสู่พนื้ ดนิ ” เสดจ็ ออกผนวชเมอื่ พระชนมายุ ๒๙ พรรษา บริขาร ๘ ขณะน้นั ทา้ วสกั กะทรงนาผอบแกว้ มารองรับไวแ้ ลว้ นาไปบรรจุไวใ้ นพระจุฬามณีเจดีย์ สวรรคช์ ้นั ดาวดึงส์ ฆฏิการพรหมไดน้ าบริขาร ๘ อยา่ งมาถวาย คือ สังฆาฏิ จวี ร สบง รัดประคด บาตร มดี เขม็ และทก่ี รองนา้ พระมหาบุรุษทรงครองผา้ กาสาวพสั ตร์แลว้ ทรง อธิษฐานเพศเป็นบรรพชิต ส่วนเครื่องทรงน้นั ทรงมอบใหแ้ ก่ฆฏิการพรหมอญั เชิญไปบรรจุ ไวใ้ นทุสสเจดีย์ ที่พรหมโลก กณั ฐกเทพบุตร ฝ่ ายนายฉนั นะนามา้ กณั ฐกะพร้อมเครื่องทรงของพระราชกมุ ารกลบั ไปกราบทูลแด่พระเจา้

17 สุทโธทนะใหท้ รงทราบ และพอพน้ วสิ ยั แห่งพระเนตรของพระมหาบุรุษเท่าน้นั มา้ กณั ฐกะได้ สิ้นใจตายในระหวา่ งทาง และไดไ้ ปบงั เกิดในสวรรคช์ ้นั ดาวดึงส์ปรากฏนามวา่ กณั ฐกเทพบุตร เสด็จเมอื งราชคฤห์ พระมหาบุรุษคร้ันบรรพชาแลว้ ประทบั อยทู่ ี่อนุปิ ยอมั พวนั แควน้ มลั ละเป็นเวลา ๗ วนั ทรงอิ่มเอิบดว้ ยความสุขอนั เกิดจากบรรพชา ต่อจากน้นั เสดจ็ ไปกรุงราชคฤห์ แควน้ มคธ สิ้น ระยะทาง ๓๐ โยชน์ โดยประทบั อยทู่ ี่เง้ือมเขาปัณฑวะ ในเมืองราชฤคห์ วนั รุ่งข้ึนกเ็ สดจ็ บิณฑบาต ในเมืองราชคฤห์ ชาวเมืองที่ไดพ้ บเห็นต่างพากนั แแตกตื่นและพดู วพิ ากยว์ ิจารณ์กนั ไปต่างๆนาๆ เมื่อราชบุรุษพบเห็นจึงไดน้ าความน้ีไปกราบทูลพระเจา้ พิมพสิ าร พระองคเ์ สดจ็ มาเฝ้ าแลว้ ตรัสถาม ถึงชาติสกลุ ชวนใหอ้ ยคู่ รองราชสมบตั ิดว้ ยกนั พระมหาบุรุษตรัสวา่ \"มหาบพติ ร อาตมาไม่มคี วามต้องการด้วยกเิ ลสกามและวตั ถุกาม อาตมาปรารถนาพระอภสิ ัมโพธญิ าณอนั ยอดยง่ิ จงึ ออกบวช\" จึงทูลขอปฏิญญาวา่ \"กเ็ มอ่ื ใด พระองค์เป็ นพระพทุ ธเจ้าแล้ว ขอได้โปรดเสดจ็ มายงั แคว้นของหม่อมฉันก่อน\" ศึกษากบั ๒ ดาบส พระมหาบุรุษบรรพชาแลว้ ทรงเร่ิมแสวงหาแนวทางในการตรัสรู้พระสมั มาสมั โพธิญาณ ตามที่ทรงประสงค์ คร้ังแรกทรงศึกษาในสานกั อาจารยอ์ าฬารดาบส กาลามโคตร ทรงสาเร็จ สมาบตั ิ ๗ เห็นวา่ ยงั ไม่สามารถจะหลุดพน้ จากความทุกข์ ทรงลาไปศึกษาต่อกบั อาจารยอ์ ุททก ดาบส รามบุตร ทรงสาเร็จสมาบตั ิ ๘ คือ รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ แต่ทรงพิจารณาเห็นวา่ ความรู้ที่ ไดม้ าน้นั ไม่ใช่แนวทางแห่งการตรัสรู้ จึงจาริกไปยงั ตาบลอุรุเวลาเสนานิคมเพื่อบาเพญ็ เพียร ปัญจวคั คยี ์ออกบวช โกณฑญั ญพราหมณ์ ซ่ึงเป็นหน่ึงในพราหมณ์ ๘ คนท่ีทานายพระลกั ษณะของพระมหา บุรุษทราบข่าววา่ บดั น้ีเจา้ ชายสิทธตั ถะเสดจ็ ออกบรรพชาแลว้ จึงชกั ชวนบุตรของพราหมณ์ ๔ คน คือ วปั ปะ ภทั ทิยะ มหานามะ และอสั สชิ ออกบวชเพอื่ ติดตามอุปัฏฐากดว้ ยหวงั วา่ หลงั จาก ที่พระมหาบุรุษไดต้ รัสรู้แลว้ จกั แสดงธรรมแก่พวกตนบา้ ง บาเพญ็ ทกุ รกริ ิยา พระมหาบุรุษตกลงพระทยั แน่วแน่ในการบาเพญ็ เพยี รดว้ ยวิธีการทรมานกายใหล้ าบาก เป็น กิริยายากที่ใคร ๆ จะทาได้ เรียกวา่ ทุกรกิริยา มี ๓ วาระ คือ

18 ๑. กดพระทนตด์ ว้ ยพระทนต์ กดพระตาลุดว้ ยพระชิวหา (เอาลิ้นดนั เพดาน) ๒. กล้นั ลมอสั สาสะปัสสาสะ (ลมหายใจเขา้ ออก) อปาณกฌาน ๓. อดพระกระยาหารโดยเสวยแต่นอ้ ย จนพระวรกายเห่ียวแหง้ เหลือแต่หนงั หุม้ กระดูก อปุ มา ๓ ข้อ พระมหาบุรุษทรงบาเพญ็ ทกุ รกิริยาอยนู่ านถึง ๖ ปี แต่กไ็ ม่ไดบ้ รรลธุ รรมวิเศษอะไร ขณะน้นั อุปมา ๓ ขอ้ ไดป้ รากฏข้ึนในพระทยั ของพระองคว์ า่ ๑. สมณพราหมณ์เหล่าใด มีกายและใจยงั มิไดห้ ลีกออกจากกาม ถึงจะทาความเพยี รอยา่ ง แรงกลา้ กไ็ ม่อาจบรรลุคณุ วิเศษได้ เหมือนไมส้ ดท่ีชุ่มดว้ ยยางแช่อยใู่ นน้า ไม่อาจสีใหเ้ กิดไฟได้ ๒. สมณพราหมณ์เหล่าใด มีกายหลีกออกจากกามแลว้ แต่ยงั มีความยนิ ดีอยใู่ นกาม ถึงจะ ประกอบความเพยี รอยา่ งแรงกลา้ กไ็ ม่อาจบรรลคุ ุณวเิ ศษได้ เหมือนไมส้ ดที่ชุ่มดว้ ยยางวางอยบู่ น บก ไม่อาจสีใหเ้ กิดไฟได้ ๓. สมณพราหมณ์เหลา่ ใด มีกายและใจหลีกออกจากกามแลว้ แมจ้ ะไดร้ ับทุกขเวทนาอนั เกิดจากความเพียรหรือไม่กต็ าม กส็ ามารถบรรลคุ ุณวิเศษได้ เหมือนไมแ้ หง้ วางอยบู่ นบก ยอ่ มสี ใหเ้ กิดไฟได้ พระมหาบุรุษทรงระลึกไดว้ า่ การบาเพญ็ ทุกรกิริยา ซ่ึงเป็นการยากท่ีบุคคลทวั่ ไปจะทาได้ แมเ้ ราบาเพญ็ อยา่ งอุกฤษฏเ์ ช่นน้ีแลว้ กย็ งั ไม่บรรลพุ ระสมั มาสมั โพธิญาณได้ จกั มีแนวทางอื่น เป็นแน่ จึงดาริถึงการบาเพญ็ เพยี รทางจิตจะเป็นทางที่ทาใหต้ รัสรู้ได้ พณิ ๓ สาย ในขณะน้นั ทา้ วสกั กะทรงทราบความปริวติ กของพระมหาบุรุษจึงดีดพิณ ๓ สายใหส้ ดบั คือ สายแรก ตงึ มากพอดดี ไปนิดเดยี วกข็ าดแล้ว สายทส่ี อง หย่อนมากเมอื่ ดดี ไปแล้วปรากฏว่าเสียง ไม่ไพเราะ และสายทส่ี าม ไม่ตงึ และไม่หย่อนพอปานกลางเมอื่ ดดี แล้วเกดิ มเี สียงไพเราะยงิ่ นัก พระมหาบุรุษพจิ ารณาใคร่ครวญแลว้ ทรงทราบวา่ การบาเพญ็ ทุกรกิริยาเห็นจะไมใ่ ช่เป็น หนทางแห่งการตรัสรู้เป็นแน่ จกั ตอ้ งปฏิบตั ิพอปานกลาง คือมชั ฌิมาปฏิปทาเท่าน้นั จึงจะสาเร็จได้ จากน้นั ทรงเลิกการทรมานพระวรกายและเริ่มเสวยพระกระยาหารตามปกติ

19 ปัญจวคั คยี ์หนี พวกปัญจวคั คียซ์ ่ึงเฝ้ าอุปัฏฐากดูแลพระองคอ์ ยใู่ นเวลาน้นั เห็นวา่ บดั น้ีพระมหาบุรุษทรง เวียนมาเป็นคนมกั มาก เสวยพระกระยาหารเสียแลว้ พระองคค์ งจะไมไ่ ดต้ รัสรู้เป็นแน่ จึงพากนั หลีกหนีไปอยทู่ ี่ป่ าอิสิปตนมฤคทายวนั แขวงเมืองพาราณสี ความปรารถนาของนางสุชาดา นางสุชาดา เป็นธิดาของเศรษฐีในตาบลอรุ ุเวลาเสนานิคม เมื่อเป็นสาวนางเคยอธิษฐาน ไวก้ บั ตน้ ไทรวา่ \"ขอให้ได้สามที มี่ สี กลุ เสมอกนั และให้ได้บุตรชายในครรภ์แรก\" ความปรารถนา ของนางสาเร็จ จึงทาขา้ วมธุปายาสอยา่ งดีไปบวงสรวงท่ีตน้ ไทร นางให้สาวใชไ้ ปปัดกวาดทา ความสะอาดตน้ ไทร พบพระมหาบุรุษนงั่ รัศมีสวา่ งไสวอยใู่ ตต้ น้ ไทร นางดีใจมากรีบกลบั มาบอก นางสุชาดา พระสุบินนิมติ ก่อนตรัสรู้ ในราตรีของคืนวนั ข้ึน ๑๔ ค่า ขณะที่พระมหาบรุ ุษกาลงั บรรทมอยนู่ ้นั ไดส้ ุบินเห็นนิมิต ๕ ประการ และทรงทานายพระสุบินนิมิตดว้ ยพระองคเ์ องแลว้ ทราบวา่ เป็นนิมิตท่ีดี เราจกั ไดบ้ รรลุ พระสมั มาสมั โพธิญาณแน่ ทรงทาสรีรกิจเรียบร้อยแลว้ ไดเ้ สดจ็ ไปประทบั นงั่ ณ ภายใตต้ น้ ไทร พระสุบนิ นิมติ ๕ ประการ ๑. พระองคบ์ รรทมหงายบนพ้ืนดิน มีภเู ขาหิมพานตเ์ ป็นพระเขนย พระพาหาซา้ ยหยงั่ ลง ในมหาสมุทรทิศบูรพา พระพาหาขวาหยง่ั ลงในมหาสมุทรทิศปัจฉิม พระบาทท้งั สองหยงั่ ลง ในมหาสมุทรทิศทกั ษิณ ๒. หญา้ แพรกงอกข้ึนจากพระนาภีสูงข้ึนไปถึงทอ้ งฟ้ า ๓. หมู่หนอนลว้ นมีตวั ขาว หวั สีดาไต่ข้ึนมาจากพระบาทถึงพระชานุ ๔. นก ๔ ชนิด คือ นกสีเหลือง นกสีเขียว นกสีแดง และนกสีดา บินมาจากทิศท้งั ๔ และตก ลงที่พระบาทแลว้ กลายเป็นสีขาวไปท้งั หมด ๕. พระองคเ์ สดจ็ ข้ึนไปเดินจงกรมบนยอดภเู ขาที่เปรอะเป้ื อนดว้ ยมูตรและคถู แต่พระบาท ของพระองคม์ ิไดเ้ ปรอะเป้ื อน ทานายพระสุบินนิมติ ๑. เป็นนิมิตวา่ พระองคจ์ ะไดต้ รัสรู้พระอนุตตรสมั มาสมั โพธิญาณ

20 ๒. เป็นนิมิตวา่ พระองคจ์ ะไดแ้ สดงอริยมรรค ๘ แก่เทวดาและมนุษยท์ ้งั หลาย ๓. เป็นนิมิตวา่ หม่คู ฤหสั ถจ์ ะหนั มานบั ถือศาสนาของพระองคแ์ ละรับเอาไตรสรณะเป็นที่ พ่ึง ๔. เป็นนิมิตวา่ วรรณะท้งั ๔ มีกษตั ริยเ์ ป็นตน้ จะเขา้ มาบวชเป็นพทุ ธสาวก และไดบ้ รรลุ มรรค ผล นิพพาน ๕. เป็นนิมิตวา่ พระองคจ์ ะไดป้ ัจจยั ๔ แต่ไม่ติดอยใู่ นปัจจยั เหล่าน้นั นางสุชาดาถวายข้าวมธุปายาส ฝ่ ายนางสุชาดาจึงสง่ั ใหส้ าวใชเ้ ตรียมขา้ วมธุปายาสและเครื่องเซ่นสรวงไปบชู าเทวดา เมื่อไปถงึ นางไดน้ อ้ มถวายขา้ วมธุปายาสพร้อยดว้ ยถาดทองคาประนมมือไหวแ้ ลว้ กล่าววา่ “ มโนรถของดฉิ ันสาเร็จแล้วฉันใด แม้มโนรถของท่านกจ็ งสาเร็จฉันน้นั ” พระมหาบุรุษทรงถือ ถาดขา้ วมธุปายาสมุ่งไปสู่แม่น้าเนรัญชรา ทรงชาระพระวรกายจนหมดจดแลว้ ประทบั นงั่ ทรงป้ัน ขา้ วมธุปายาสได้ ๔๙ ป้ัน เสวยทีละคาจนหมด จากน้นั ทรงถือถาดทองคาไปลอยที่แม่น้าพร้อม อธิษฐานวา่ “หากจะได้บรรลพุ ระสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ขอให้ถาดทองคานจี้ งลอยทวนกระแสนา้ ” ขณะน้นั ไดเ้ กิดปาฏิหาริยข์ ้ึนเป็นที่อศั จรรยก์ ลา่ วคือ ถาดทองไดล้ อยทวนกระแสน้าข้ึนไปถึง ๘๐ ศอก แลว้ พลนั จมลงไปในน้า โสตถิยพราหมณ์ถวายหญ้าคา ๘ กา พระองคเ์ สดจ็ พานกั อยทู่ ่ีร่มไมส้ าละจนตะวนั บ่าย ไดเ้ สดจ็ ไปยงั โคนตน้ พระศรีมหาโพธ์ิ ชื่อว่าอสั สัตถพฤกษ์ ในระหวา่ งทางเสดจ็ ทรงรับหญา้ คา ๘ กาจากโสตถิยพราหมณ์ เม่ือเสดจ็ ไป ถึงทรงปูลาดหญา้ คาทาเป็นรัตนบลั ลงั ก์ ขณะน้นั รัตนบลั ลงั กส์ ูง ๑๔ ศอกผดุ ข้ึน ประทบั นง่ั บน รัตนบลั ลงั กผ์ ินพระพกั ตร์ไปทางทิศบรู พา และหนั พระปฤษฎางคไ์ ปทางตน้ พระศรีมหาโพธ์ิ ทรงทาสมาธิอธิษฐานจาตุรงคมหาปธานว่า “ถ้ากมลสันดานยงั ไม่หลดุ พ้นจากอาสวกเิ ลสตราบใด แม้เลอื ดและเนือ้ จะเหือดแห้งเหลอื แต่หนังเอน็ และกระดูกกต็ ามที จะไม่ละเลกิ ความเพยี ร ไม่ลกุ จากทน่ี ตี้ ราบน้นั ” พระพชิ ิตมาร ฝ่ ายพญาวสั สวดีมารผใู้ จบาป ซ่ึงไดต้ ามขดั ขวางเพ่ือมิใหพ้ ระมหาบุรุษหลดุ พน้ ไปจากวสิ ยั ทราบวา่ พระมหาบุรุษกาลงั บาเพญ็ เพียรอยเู่ รียกประชุมเสนามารใหท้ าการขดั ขวางดว้ ยประการต่าง

21 ๆ แต่พระองคก์ ท็ รงชนะไดด้ ว้ ยบารมี ๑๐ ประการ จนพญามารและเสนามารพา่ ยแพก้ ลบั ไปในท่ีสุด แลว้ ทรงบาเพญ็ เพยี รต่อไป ตรัสรู้ธรรม ในราตรีกาลของคืนวนั ข้ึน ๑๕ ค่า เดือน ๖ นนั่ เอง พระองคก์ ไ็ ดต้ รัสรู้พระอนุตตรสมั มา สมั โพธิญาณตามลาดบั ดงั น้ี ปฐมยาม ทรงบรรลปุ พุ เพนิวาสานุสสตญิ าณ คือ ระลกึ ชาติหนหลงั ของพระองคไ์ ด้ โดย ทรงระลึกดว้ ยกาลงั แห่งอภิญญาถอยไปตามลาดบั ต้งั แต่รัตนบลั ลงั ก์ จากชาติหน่ึง สองชาติ จนกระทงั่ ๔ อสงไขยกบั แสนกปั มชั ฌมิ ยาม ทรงบรรลจุ ตุ ูปปาตญาณ หรือทพิ พจกั ขญุ าณ ทอดพระเนตรเห็นสรรพสตั ว์ จุติและเกิดในที่ต่าและประณีต มีผิวพรรณทรามและดีแตกต่างกนั ไปตามสมควรแก่กศุ ลและอกศุ ล ท่ีไดท้ าไว้ เหมือนบุรุษที่ยนื อยใู่ นทาง ๔ แพร่ง ยอ่ มมองเห็นผคู้ นที่สญั จรไปมาเป็นอยา่ งดี ปัจฉิมยาม ทรงบรรลอุ าสวกั ขยญาณ คือญาณหยง่ั รู้ในธรรมเป็นท่ีสิ้นไปแห่งอาสวะ ท้งั หลาย ในเวลาท่ีพระอาทิตยท์ อแสงจบั ขอบฟ้ าน้นั พระมหาบรุ ุษไดต้ รัสรู้พระสพั พญั ญุตญาณ สาเร็จเป็นพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ในวนั วิสาขบชู า ข้ึน ๑๕ ค่า เดือน ๖ ณ ภายใตต้ น้ อสั สตั ถพฤกษ์ ปัญหาและเฉลยปริเฉทที่ ๒ ๑.ญาณใดที่พระพทุ ธเจา้ ทรงบรรลุ ในยามสุดทา้ ยวนั ตรัสรู้ ? ก.ทศพลญาณ ข.ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ค.จุตปู ปาตญาณ ง.อาสวกั ขยญาณ ๒.ตน้ ไมท้ ่ีพระพทุ ธเจา้ ประทบั นง่ั ในวนั ตรัสรู้ ช่ือวา่ อะไร ? ก.อสั สตั ถพฤกษ์ ข.ราชายตนพฤกษ์ ค.อชปาลนิโครธ ง.มุจลินท์ ๓.พระมหาบุรุษ ทรงบาเพญ็ อปาณกฌานอยา่ งไร ? ก.กล้นั ลมหายใจ ข.นอนบนหนาม ค.เอาลิ้นกดเพดาน ง.งดอาหาร ๔.พระมหาบุรุษไดอ้ ปุ มา ๓ ขอ้ ณ สถานที่ใด ? ก.เมืองกบิลพสั ดุ์ ข.ตาบลอรุ ุเวลาเสนานิคม ค.ฝ่ังแม่น้าคงคา ง.ป่ าอิสิปตนมฤคทายวนั

22 ๕.พระญาณอะไร ทาใหพ้ ระพทุ ธองคเ์ ป็นพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ? ก.ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ข.จุตปู ปาตญาณ ค.อาสวกั ขยญาณ ง.ถกู ทุกขอ้ ๖.เจา้ ชายสิทธตั ถะทรงเห็นการเกิด แก่ เจบ็ ตาย มีผลอยา่ งไร ? ก.หนีออกบวชทนั ที ข.ตดั ความทุกขท์ ้งั ปวง ค.ปรึกษากบั นายฉนั ทะ ง.บรรเทาความเมา ๓ ประการเสียได้ ๗. “ราหุล ชาต พนฺธน ชาต” มีความหมายวา่ อยา่ งไร ? ก.บ่วงเกิดแลว้ เครื่องผกู เกิดแลว้ ข.พระราหุลเป็นท่ีรัก ค.พระราหุลคือทรัพย์ ง.พระราหุลประสูติแลว้ ๘.ขอ้ ใด ไม่ใช่บารมี ๑๐ ที่พระองคใ์ หต้ ่อสูก้ บั กิเลสมาร ? ก.ทาน ข.ศีล ค.สมาธิ ง.ปัญญา ๙.การบาเพญ็ ทุกรกิริยาวาระที่ ๑ คือขอ้ ใด ? ก.ผอ่ นลมหายใจเขา้ ออก ข.นอนบนหนาม ค.เอาลิน้ ดนั เพดาน ง.อดอาหาร ๑๐.พระมหาบุรุษทรงหาอบุ ายแกค้ วามเมา ๓ ประการ ดว้ ยวธิ ีใด ? ก.ศึกษายงิ ธนู ข.อยใู่ นประสาท ๓ ฤดู ค.ออกบรรพชา ง.เสดจ็ ออกประพาสป่ า ๑๑.ขอ้ ใด เป็นการบาเพญ็ ทกุ รกิริยาวาระสุดทา้ ย ? ก.กดพระตาลดุ ว้ ยพระชิวหา ข.กดพระทนตด์ ว้ ยพระทนต์ ค.กล้นั ลมอสั สาสะปัสสาสะ ง.อดพระกระยาการ ๑๒.พระองคท์ รงเห็นสตั วท์ ้งั หลายผจู้ ุติและเกิด ดว้ ยญาณอะไร ? ก.กมั มสกตาญาณ ข.จุตูปปาตญาณ ค.อาสวกั ขยญาณ ง.ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ๑๓.ใครถวายหญา้ คา ๘ กาแก่พระมหาบุรุษ ? ก.โสตถิยพราหมณ์ ข.กบิลพราหมณ์ ค.ปิ งคิยพราหมณ์ ง.อสิตดาบส ๑๔.ใครอปุ ัฏฐากพระมหาบุรุษ ขณะทรงบาเพญ็ ทุกรกิริยา ? ก.ฉนั นะ ข.สุชาดา ค.ปัญจวคั คีย์ ง.ภทั ทวคั คีย์

23 ๑๕.ปัญจวคั คียล์ ะทิ้งพระพทุ ธองคไ์ ป เพราะสาเหตุใด ? ก.ตอ้ งการใหอ้ ยอู่ ยา่ งสงบ ข.เสื่อมศรัทธาที่เลิกทุกรกิริยา ค.แสวงหาที่สงดั วิเวกกวา่ ง.ไม่ทนต่อการเฝ้ าปรนนิบตั ิ ๑๖.โดยธรรมาธิษฐาน พญามารคืออะไร ? ก.กามตณั หา ข.กามราคะ ค.วตั ถกุ าม ง.กิเลสกาม ๑๗.ใครออกบวช เพราะเช่ือมนั่ ในวชิ าโหราศาสตร์ ? ก.พระวงั คีสะ ข.พระโกณฑญั ญะ ค.พระมหากสั สปะ ง.พระอสั สชิ ๑๘.อะไรเป็นเหตุใหพ้ ระมหาบุรุษเกิดสงั เวช แลว้ เสดจ็ ออกบรรพชา ? ก.พระราหุลประสูติ ข.ความแก่ เจบ็ ตาย ค.เบื่อหน่ายในชีวติ ง.การเมือง ๑๙.ผคู้ รองเรือนและมีความพอใจในกาม เปรียบไดก้ บั ขอ้ ใด ? ก.ไมส้ ดแช่ในน้า ข.ไมส้ ดบนบก ค.ไมแ้ หง้ บนบก ง.ไมแ้ หง้ แช่น้า ๒๐.ในปฐมยาม พระพทุ ธเจา้ ทรงบรรลธุ รรมอะไร ? ก.ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ข.จุตปู ปตญาณ ค.อาสวกั ขยญาณ ง.ทศพลญาณ เฉลย ๕.ค ๑.ง ๒.ก ๓.ก ๔.ข ๑๐.ค ๖.ง ๗.ก ๘.ค ๙.ค ๑๕.ข ๑๑.ง ๑๒.ข ๑๓.ก ๑๔.ค ๒๐.ก ๑๖.ง ๑๗.ข ๑๘.ข ๑๙.ก

24 ปริเฉทที่ ๓ ว่าด้วยการเสวยวมิ ุตตสิ ุข เสวยวมิ ุตติสุข หลงั จากท่ีพระมหาบุรุษตรัสรู้พระอนุตตรสมั มาสมั โพธิญาณ สาเร็จเป็นพระพทุ ธเจา้ สมดงั ประสงคแ์ ลว้ ประทบั เสวยวมิ ตุ ตสิ ุข คอื ความสุขทเ่ี กดิ จากการหลดุ พ้นจากกเิ ลส เป็นเวลา ๗ สปั ดาห์ สปั ดาห์ละแห่ง รวมเป็น ๔๙ วนั ตามลาดบั ดงั น้ี สัปดาห์ท่ี ๑ ประทบั ใต้ต้นพระศรีมหาโพธ์ิ ประทบั นงั่ เสวยวิมุตติสุขภายใตต้ น้ พระศรีมหาโพธ์ิ ทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาท โดย อนุโลมและปฏิโลมตามลาดบั และทรงเปลง่ พระอทุ านตลอดท้งั ๓ ยามแห่งราตรี ดงั น้ี ปฐมยาม ทรงเปล่งพระอทุ านวา่ “เมอ่ื ใดธรรมท้งั หลายปรากฏแก่พราหมณ์ผู้มคี วามเพยี ร เพ่งอยู่ เมอื่ น้นั ความสงสัยของพราหมณ์น้นั ย่อมสิ้นไป เพราะมารู้แจ้งธรรมว่าเกดิ แต่เหต”ุ มชั ฌมิ ยาม ทรงเปล่งพระอทุ านวา่ “เมอ่ื ใดธรรมท้งั หลายปรากฏแก่พราหมณ์ผู้มคี วาม เพยี รเพ่งอยู่ เมอื่ น้นั ความสงสัยของพราหมณ์น้นั ย่อมสิ้นไป เพราะมารู้แจ้งความสิ้นไปแห่งปัจจยั ท้งั หลายว่าเป็ นเหตสุ ิ้นแห่งผลท้งั หลาย” ปัจฉิมยาม ทรงเปลง่ พระอุทานวา่ “เมอ่ื ใดธรรมท้งั หลายปรากฏแก่พราหมณ์ผู้มคี วาม เพยี รเพ่งอยู่ เมอื่ น้นั พราหมณ์น้นั ย่อมกาจดั มารและเสนามารเสียได้ ดุจพระอาทติ ย์อทุ ยั กาจดั ความมดื ทาให้อากาศสว่างได้ฉะน้นั สัปดาห์ที่ ๒ ประทบั อนิมสิ เจดยี ์ สปั ดาห์น้ีเสดจ็ ลงจากรัตนบลั ลงั ก์ แลว้ ไปประทบั ยนื ทางทิศตะวนั ออกเฉียงเหนือตน้ พระ ศรีมหาโพธ์ิ ณ ที่น้ีทอดพระเนตรเพง่ ดรู ัตนบลั ลงั กท์ ี่ประทบั ตรัสรู้ โดยไม่กระพริบพระเนตรเลย เป็นเวลา ๑ สปั ดาห์ สัปดาห์ที่ ๓ ประทบั รัตนจงกรมเจดยี ์ สปั ดาห์น้ีทรงเนรมิตท่ีจงกรมระหวา่ งตน้ พระศรีมหาโพธ์ิกบั อนิมิสเจดีย์ แลว้ เสดจ็ จงกรม กลบั ไปกลบั มา ณ ที่น้นั เป็นเวลา ๑ สปั ดาห์

25 สัปดาห์ที่ ๔ ประทบั รัตนฆรเจดยี ์ สปั ดาห์น้ีไดเ้ สดจ็ ประทบั เรือนแกว้ ท่ีเทวดาเนรมิตถวาย ซ่ึงต้งั อยทู่ างทิศตะวนั ตกเฉียงเหนือ ของตน้ พระศรีมหาโพธ์ิ ณ ท่ีน้ีทรงพิจารณาพระอภิธรรมปิ ฎกเป็นเวลา ๑ สปั ดาห์ พระฉพั พรรณรังสีคือรัศมี ๖ ประการแผซ่ ่านออกจากพระวรกาย สัปดาห์ที่ ๕ ประทบั ใต้ต้นอชปาลนิโครธ สปั ดาห์น้ีไดเ้ สดจ็ ประทบั อยทู่ ี่ใตต้ น้ อชปาลนิโครธหรือต้นไทร ต้งั อยทู่ างทิศตะวนั ออกของ ตน้ พระศรีมหาโพธ์ิ ขณะน้นั พราหมณ์คนหน่ึงมีอปุ นิสยั ชอบตวาดคนอ่ืนวา่ “หึ หึ” เขา้ ไปกราบ ทูลถามพระพทุ ธเจา้ ถึงบุคคลผจู้ ะเป็นพราหมณ์ดว้ ยเหตุใด และธรรมอะไรท่ีทาใหเ้ ป็นพราหมณ์ พระพทุ ธองคต์ รัสตอบจนพราหมณ์เขา้ ใจแจ่มแจง้ ผจญธิดามารท้งั ๓ คือนางตณั หา นางราคา และนางอรดีท่ีรับอาสาบิดามาเพ่ือทาใหพ้ ระพทุ ธองคต์ กอยใู่ ตอ้ านาจ สัปดาห์ที่ ๖ ประทบั ใต้ต้นมจุ ลนิ ท์ สปั ดาห์น้ีไดเ้ สดจ็ ประทบั นงั่ ขดั สมาธิภายใตต้ ้นมจุ ลนิ ท์หรือต้นจกิ ต้งั อยทู่ างทิศตะวนั ออก เฉียงใตข้ องตน้ พระศรีมหาโพธ์ิ ในขณะที่ประทบั อยนู่ ้นั ฝนตกพราตลอดเวลา พญานาคมุจลินท์ เกิดความเล่ือมใส จึงทาขนดแผพ่ งั พาน ๗ รอบ ปกคลมุ เหนือพระเศียรเพื่อมิใหล้ มและฝนตกใส่ พระวรกายได้ เม่ือฝนหยดุ แลว้ พญานาคมจุ ลินทไ์ ดแ้ ปลงกายเป็นมาณพยนื อภิวาทพระพทุ ธองคแ์ ลว้ หลีก ไป ส่วนพระพทุ ธองคท์ รงเปลง่ พระอทุ านวา่ “ความสงดั เป็นสุขสาหรับบคุ คลผมู้ ีธรรมอนั เห็นแลว้ ยนิ ดีในที่อนั สงดั รู้เห็นตามความเป็นจริง ความไม่เบียดเบียนคือความสารวมในสตั วท์ ้งั หลาย และ ความปราศจากความกาหนดั คือความล่วงกามท้งั หลายเสียไดด้ ว้ ยประการท้งั ปวง เป็นสุขในโลก ความทาอสั มิมานะ คือความถือตวั ออกใหห้ มดไป เป็นสุขอยา่ งยง่ิ ” สัปดาห์ท่ี ๗ ประทบั ใต้ต้นราชายตนะ สปั ดาห์สุดทา้ ย ไดเ้ สดจ็ ประทบั นงั่ ภายใตร้ ่มต้นราชายตนะหรือต้นเกด ต้งั อยทู่ างทิศใตข้ อง ตน้ พระศรีมหาโพธ์ิ ขณะน้นั มีพอ่ คา้ ๒ คนคือ ตปสุ สะ และภลั ลกิ ะ เป็นพ่นี อ้ งกนั เดินทางผา่ นมา ไดพ้ บพระพทุ ธองค์ จึงเกิดความเลื่อมใสนอ้ มถวายขา้ วสตั ตุผงและสตั ตุกอ้ น พระองคท์ รงรับดว้ ย บาตรที่ทา้ วมหาราชท้งั ๔ ถวายแลว้ เสวยภตั ตาหาร หลงั จากเสวยภตั ตาหารเสร็จแลว้ ทรงสนทนาธรรมกบั พอ่ คา้ ๒ พนี่ อ้ ง ท้งั สองมีความ เล่ือมใสขอปฏิญาณถึงพระพทุ ธและพระธรรมเป็นสรณะท่ีพ่งึ ตลอดชีวติ และอุบาสกท้งั สองไดช้ ่ือ

26 วา่ เป็นอบุ าสกคู่แรกในโลกที่เขา้ ถึงรัตนะ ๒ คือ พระพทุ ธ และพระธรรม ทรงประทานพระเกศา ๘ เสน้ แก่ท้งั สอง เพื่อเป็นเคร่ืองสกั การบชู าตลอดไป ทรงทาอายสุ ังขาราธิษฐาน ประทบั เสวยวิมุตติสุขใตต้ น้ ราชายตนะครบ ๗ วนั แลว้ ไดเ้ สดจ็ กลบั ไปประทบั ท่ีใตต้ น้ อชปาลนิโครธอีกคร้ัง ในที่น้ีทรงดาริวา่ “ การดารงอยู่โดยไม่มใี ครเป็ นทคี่ วรเคารพกราบไหว้ เป็ นความลาบาก บัดนเี้ ราควรจะเคารพกราบไหว้ใครดี และไม่ทรงพจิ ารณาเห็นผู้ทค่ี วรสักการะ กราบไหว้ นอกจากพระโลกตุ ตรธรรมเท่าน้ัน แต่ว่าพระธรรมทเ่ี ราตถาคตตรัสรู้นี้ เป็ นธรรมท่ี ลกึ ซึ้งสุขุมคมั ภีรภาพยง่ิ นกั ยากทม่ี นุษย์ผู้มปี ัญญาน้อย มคี วามเพยี รน้อย จะตรัสรู้ตามได้ ” พระพรหมอาราธนาแสดงธรรม ทา้ วสหมั บดีพรหมทราบความดาริของพระองค์ ไดเ้ สดจ็ ลงจากพรหมโลกเพอ่ื กราบทูล อาราธนาใหท้ รงแสดงธรรมโปรดเวไนยสตั วว์ า่ ผู้ทมี่ กี เิ ลสน้อยพอจะรู้พระธรรมได้มอี ยู่ ทรง พิจารณาดว้ ยพระปัญญาวา่ ธรรมดาบคุ คลท้งั หลายมี ๔ จาพวก เปรียบเหมือนดอกบวั ๔ เหล่า มี อปุ นิสยั แตกต่างกนั ไป เมื่อทรงพจิ ารณาเห็นอยา่ งน้ีจึงทรงรับคาอาราธนาของทา้ วมหาพรหมดว้ ย มีพระมหากรุณาต่อสรรพสตั ว์ เปรียบบุคคลเหมอื นดอกบัว ๔ เหล่า ๑. อคุ ฆฏิตญั ญู บุคคลผมู้ ีปัญญาดี และมีกิเลสเบาบาง สามารถรู้ไดเ้ ร็วพลนั เหมือนดอกบวั ท่ีข้ึนพน้ จากน้าแลว้ พอตอ้ งแสงอาทิตยก์ เ็ บ่งบานในทนั ที ๒. วปิ จติ ญั ญู บุคคลผมู้ ีปัญญาปานกลาง เม่ือไดฟ้ ังซ้าอีกคร้ังหน่ึง กส็ ามารถบรรลุธรรม ได้ เหมือนดอกบวั ท่ีข้ึนเสมอน้า และจกั บานในวนั พรุ่งน้ี ๓.เนยยะ บุคคลผมู้ ีปัญญานอ้ ย เมื่อไดฟ้ ังบ่อย ๆพยายามทาความเพยี รโดยไมข่ าดตอน ก็ สามารถบรรลธุ รรมได้ เหมือนดอกบวั ที่อยใู่ ตน้ ้ามีโอกาสที่จะบานในวนั ต่อ ๆ ไป ๔.ปทปรมะ บุคคลผดู้ อ้ ยปัญญา ยากที่จะสง่ั สอนได้ แมไ้ ดฟ้ ังธรรมกจ็ กั เป็นอุปนิสยั ปัจจยั ในภพต่อไป เหมือนดอกบวั ท่ีเพ่งิ งอกข้ึนใหม่อยใู่ ตน้ ้ายอ่ มเป็นอาหารของปลาและเต่าฉะน้นั อายุสังขาราธษิ ฐาน คร้ันทรงพจิ ารณาเปรียบเทียบอปุ นิสยั บุคคลดว้ ยดอกบวั ๔ เหล่าเช่นน้ีแลว้ ทรงต้งั พระ ปณิธานในการแสดงธรรมแก่เหล่าเวไนยสตั ว์ และจะดารงพระชนมายอุ ยจู่ นกวา่ จะประกาศพระ

27 ศาสนาใหแ้ พร่หลายประดิษฐานอยา่ งมน่ั คงถาวร เรียกวา่ ทรงทาอายุสังขาราธษิ ฐาน พจิ ารณาผู้ฟังธรรมคนแรก ทรงพิจารณาถึงบคุ คลท่ีสมควรรับพระธรรมเทศนาเป็นคร้ังแรก โดยทรงระลึกถงึ อาจารย์ ๒ ท่าน คือ อาฬารดาบส และอุททกดาบส วา่ ท้งั สองท่านมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดสามารถรู้ธรรม ไดพ้ ลนั แต่วา่ ท่านท้งั สองไดส้ ิ้นชีพเสียแลว้ ต่อมาทรงระลึกถึงปัญจวคั คียซ์ ่ึงไดเ้ คยอปุ ัฏฐากดูแล พระองคใ์ นตอนที่ทรงทาทกุ รกิริยา วา่ เป็นผมู้ ีอปุ นิสยั แก่กลา้ สมควรท่ีจะสดบั เทศนาของพระองค์ พบอปุ กาชีวก หลงั จากทรงทาภตั กิจเสร็จแลว้ เสดจ็ พระราชดาเนินไปยงั เมืองพาราณสี คร้ันถึง ระหวา่ งแม่น้าคยากบั ตน้ พระศรีมหาโพธ์ิ ทรงพบกบั อปุ กาชีวกเดินผา่ นมาพอดี อปุ กาชีวกไดเ้ ห็น พระฉวีวรรณของพระองคม์ ีรัศมีผอ่ งใสยงิ่ นกั จึงเขา้ ไปไต่ถามจนทราบวา่ พระองคเ์ ป็นพระสยมั ภู ผตู้ รัสรู้เองโดยชอบไม่มีผใู้ ดเป็นอาจารย์ อปุ กาชีวกเห็นวา่ จริงตามท่ีพระองคต์ รัสจึงกล่าววา่ ควร ที่ท่านจะไดน้ ามวา่ พระอนนั ตชินะ กลา่ วสรรเสริญพทุ ธคุณแลว้ หลีกไป พระพทุ ธองคไ์ ดเ้ สดจ็ ต่อไปจนถึงป่ าอิสิปตนมฤคทายวนั เมืองพาราณสี แควน้ กาสี โปรดปัญจวคั คยี ์ ปัญจวคั คียเ์ ห็นพระพทุ ธองคเ์ สดจ็ มาแตไ่ กล ต้งั กติกากนั วา่ พวกเราจะไม่ลุกข้ึนตอ้ นรับ แต่จะปูอาสนะไวใ้ ห้ เมื่อเสดจ็ มาถึงต่างลืมกติกาท่ีต้งั ไว้ เขา้ ไปตอ้ นรับพระองคเ์ ป็นอยา่ งดี แต่ ยงั พดู ดว้ ยคาวา่ อาวโุ ส และเรียกพระองคว์ า่ โคดม ซ่ึงเป็นกิริยาวาจาที่ไม่เคารพ พระพทุ ธองค์ ทรงหา้ มแลว้ ตรัสวา่ “เราได้บรรลอุ มตธรรมแล้ว เธอท้งั หลายจงฟังเกดิ เมอื่ เธอท้งั หลายปฏบิ ตั ิ ตามทเี่ รากล่าวสอนกจ็ กั บรรลอุ มตธรรม ” ปัญจวคั คียไ์ ม่เช่ือที่พระองคต์ รัส จึงตรัสย้าอีกวา่ “เรา เคยกล่าวถ้อยคาเช่นนกี้ บั พวกท่านในกาลก่อนหรือไม่” ในท่ีสุดปัญจวคั คียร์ ะลึกไดว้ า่ พระวาจา เช่นน้ีพระองคไ์ ม่เคยตรัสจึงฟังธรรมดว้ ยความเคารพ ปฐมเทศนา วนั อาสาฬหบูชา ข้ึน ๑๕ ค่า เดือน ๘ พระพทุ ธองคต์ รัสเรียกปัญจวคั คียม์ าพร้อมกนั แลว้ ทรงแสดงธรรมเทศนาช่ือ “ธมั มจกั กปั ปวตั ตนสูตร” แก่พวกเขาโดยลาดบั ตอนท่ี ๑ ทรงแสดงทางสุดโต่ง ๒ สาย ทบ่ี รรพชิตไม่ควรดาเนนิ คอื ๑. กามสุขลั ลกิ านุโยค การประกอบตนใหพ้ วั พนั อยใู่ นกาม

28 ๒. อตั ตกลิ มถานุโยค การทรมานกายใหล้ าบาก ตอนท่ี ๒ ทรงแสดงมชั ฌมิ าปฏปิ ทา คอื ทางสายกลางมรรคมอี งค์ ๘ ทบี่ รรพชิตควรดาเนิน คอื ๑. สัมมาทฏิ ฐิ ความเห็นชอบ ๒. สัมมาสังกปั ปะ ความดาริชอบ ๓. สัมมาวาจามะ วาจาชอบ ๔. สัมมากมั มนั ตะ การงานชอบ ๕. สัมมาอาชีวะ การเล้ียงชีพชอบ ๖. สัมมาวายามะ ความเพียรชอบ ๗. สัมมาสติ ความระลึกชอบ ๘. สัมมาสมาธิ ความต้งั ใจชอบ ตอนที่ ๓ ทรงแสดงอริยสัจ ๔ ๑. ทกุ ข์ คอื ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ๒. สมทุ ยั คอื เหตุเกดิ ทุกข์ ๓. นโิ รธ คอื ความดบั ทุกข์ ๔ .มรรค คอื ข้อปฏิบัตใิ ห้ถงึ ความดบั ทุกข์ อญั ญาโกณฑญั ญะบรรลธุ รรม หลงั จากจบพระธรรมเทศนา ธรรมจกั ษุ คอื ดวงตาเห็นธรรมไดเ้ กิดแก่ท่านโกณฑญั ญะวา่ “ส่ิงใดสิ่งหนง่ึ มคี วามเกดิ ขนึ้ เป็ นธรรมดา ส่ิงน้นั ท้งั หมดล้วนมคี วามดบั ไปเป็ นธรรมดา” พระ พทุ ธองคท์ รงทราบวา่ โกณฑญั ญะไดด้ วงตาเห็นธรรมแลว้ จึงทรงเปลง่ พระอุทานวา่ “อญั ญาสิ วะตะ โภ โกณฑญั โญ ๆ โกณฑัญญะ ได้รู้แล้วหนอ ๆ” ต้งั แต่น้นั มาท่านโกณฑญั ญะจึงมีคา นาหนา้ ช่ือวา่ อญั ญาโกณฑัญญะ ปัญหาและเฉลยปริเฉทท่ี ๓ ๑.หลงั จากตรัสรู้แลว้ พระองคท์ รงพิจารณาปฏิจจสมุปบาทท่ีใด ? ก.ร่มไมพ้ ระศรีมหาโพธ์ิ ข.ร่มไมร้ าชายตนะ ค.ร่มไมอ้ ชปาลนิโครธ ง.ร่มไมม้ ุจลินท์

29 ๒.ผทู้ ี่สามารถเขา้ ใจไดต้ ่อเมื่อคนอ่ืนอธิบายความตรงกบั ขอ้ ใด ? ก.อคุ ฆฎิตญั ญู ข.วิปจิตญั ญู ค.เนยยะ ง.ปทปรมะ ๓.เทฺววาจิกอบุ าสก คือใคร ? ก.อนาถบิณฑิกเศรษฐี ข.บิดาพระยสะ ค.พระเจา้ พิมพิสาร ง.ตปุสสะและภลั ลิกะ ๔.เจดียใ์ ด เรียกวา่ “เจดยี ์เรือนแก้ว” ? ก.อนิมิสเจดีย์ ข.รัตนฆรเจดีย์ ค.รัตนจงกรมเจดีย์ ง.บริโภคเจีดีย์ ๕.สปั ดาห์ท่ี ๗ ประทบั ที่ตน้ ราชายตนะ ทรงพบกบั ใคร ? ก.พราหมณ์หุหุกชาติ ข.ตปุสสะและภลั ลิกะ ค.พระยานาคมุจลินท์ ง.ยสกลุ บุตร ๖.การปฏิบตั ิทางสายกลาง คือขอ้ ใด ? ก.อริยสจั ๔ ข.อินทรีย์ ๕ ค.มรรคมีองค์ ๘ ง.สมั มปั ปธาน ๔ ๗.สถานท่ีเพง่ ดตู น้ พระศรีมหาโพธ์ิ มิไดก้ ระพริบพระเนตร เรียกวา่ ...? ก.อนิมิสเจดีย์ ข.รัตนฆรเจดีย์ ค.รัตนจงกรมเจดีย์ ง.รัตนเจดีย์ ๘.พระพทุ ธเจา้ ประทบั เสวยวิมุตติสุข หลงั จากตรัสรู้ก่ีวนั ? ก.๗ วนั ข.๒๑ วนั ค.๒๘ วนั ง.๔๙ วนั ๙.พระพทุ ธเจา้ ทรงผจญกบั ธิดาของพญามาร ณ สถานท่ีใด ? ก.อนิมิสเจดีย์ ข.รัตนจงกรมเจดีย์ ค.ตน้ อชปาลนิโครธ ง.ตน้ ราชายตนะ ๑๐.ตปุสสะกบั ภลั ลิกะ แสดงตนเป็นอบุ าสกท่ีไหน ? ก.อชปาลนิโครธ ข.มุจจลินท์ ค.ราชายตนพฤกษ์ ง.อสั สตั ถพฤกษ์ ๑๑.ผทู้ ี่สามารถเขา้ ใจธรรมะไดโ้ ดยเร็วพลนั ตรงกบั ขอ้ ใด ? ก.อุคฆฏิตญั ญู ข.วิปจิตญั ญู ค.เนยยะ ง.ปทปรมะ

30 ๑๒.ในปฐมเทศนา ทุกขอ์ ะไรท่ีทุกคนตอ้ งประสบ ? ก.เกิด แก่ ตาย ข.ร้องไห้ เสียใจ ค.ผดิ หวงั ราพนั ง.เครียด หงุดหงิด ๑๓.โดยรวบยอดทุกขม์ ีอยา่ งเดียว คืออะไร ? ก.ความตาย ข.ความยดึ มน่ั ค.ความทะยานยาก ง.ความลม้ เหลว ๑๔.เราจกั ดบั ทุกขห์ น่ึงเดียวน้นั ไดเ้ ดด็ ขาด ดว้ ยวธิ ีใด ? ก.ไตรสิกขา ข.มรรคมีองค์ ๘ ค.เจริญวปิ ัสสนา ง.ถกู ทุกขอ้ ๑๕.ขณะเสวยวิมุตติสุขท่ีรัตนฆรเจดีย์ พระพทุ ธเจา้ ทรงพจิ ารณาอะไร ? ก.พระสูตร ข.พระวินยั ค.พระอภิธรรม ง.เวไนยสตั ว์ ๑๖.ตปุสสะและภลั ลิกะ ถงึ พระพทุ ธ พระธรรมเป็นท่ีพ่งึ ที่ไหน ? ก.มุจจลินท์ ข.ศรี มหาโพธ์ ิ ค.อชปาลนิโครธ ง.ราชายตนะ ๑๗.คนเช่นไร มีปัญญาเปรียบดว้ ยบวั เสมอน้า ซ่ึงจะบานในวนั รุ่งข้ึน ? ก.อคุ ฆฏิตญั ญู ข.วิปจิตญั ญู ค.เนยยะ ง.ปทปรมะ ๑๘.ทางสายกลางอนั จะนาไปสู่การตรัสรู้ของพระองคไ์ ด้ คืออะไร ? ก.อริยสจั ๔ ข.โลกธรรม ๘ ค.วสิ ุทธิ ๗ ง.มรรคมีองค์ ๘ ๑๙.ใครออกบวช เพราะเชื่อมนั่ ในวชิ าการทานายทายทกั ? ก.พระวงั คีสะ ข.พระมหากสั สปะ ค.พระอญั ญาโกณฑญั ญะ ง.พระยสกลุ บุตร ๒๐.คาวา่ “รัตตญั ญู” ในตาแหน่งเอตทคั คะ มีความหมายอยา่ งไร ? ก.ผรู้ ู้กาลนาน ข.ผมู้ ีอายมุ าก ค.ผรู้ ู้ธรรมมาก ง.ผรู้ ู้ธรรมก่อนผอู้ ื่น ๒๑.คาวา่ “สิ่งใดส่ิงหนึง่ มคี วามเกดิ ขนึ้ เป็ นธรรมดา ส่ิงน้นั ท้ังหมดล้วนมคี วามดบั ไปเป็ นธรรมดา” เกิดข้ึนแก่ใครเป็นคร้ังแรก ? ก.พระวปั ปะ ข.พระภทั ทิยะ

31 ค.พระโกณทญั ญะ ง.พระอสั สชิ ๒๒.บคุ คลผไู้ ม่สามารถแนะนาใหร้ ู้ตามได้ เปรียบดว้ ยบวั ชนิดใด ? ก.บวั ใตน้ ้า ข.บวั เสมอน้า ค.บวั พน้ น้า ง.บวั พน้ น้าพร้อมบาน ๒๓.ขอ้ ใด กลา่ วถึงพระอญั ญาโกณฑญั ญะไม่ถกู ตอ้ ง ? ก.เป็ นปฐมสาวก ข.เป็นลุงปณุ ณมาณพ ค.เกิดที่บา้ นโทณวตั ถุ ง.เป็นบุตรกปิ ลพราหมณ์ ๒๔.เมื่อพระพทุ ธองคต์ รัสบอกการบรรลอุ มตธรรมแก่ปัญจวคั คีย์ พวกเขาคิดอยา่ งไร ? ก.วางเฉย ข.ลงั เลใจ ค.คดั คา้ น ง.ไม่คดั คา้ น ๑.ก ๒.ข เฉลย ๔.ข ๕.ข ๖.ค ๗.ก ๓.ง ๙.ค ๑๐.ค ๑๑.ก ๑๒.ก ๘.ง ๑๔.ง ๑๕.ค ๑๖.ง ๑๗.ข ๑๓.ข ๑๙.ค ๒๐.ง ๒๑.ค ๒๒.ก ๑๘.ง ๒๔.ค ๒๓.ง

32 ปริเฉทที่ ๔ ว่าด้วยการประทานเอหภิ กิ ขุอปุ สัมปทา โกณฑญั ญะขออปุ สมบท ทรงแสดงธมั มจกั กปั วตั นสูตรแก่ปัญจวคั คียจ์ บ ท่านโกณฑญั ญะไดด้ วงตาเห็นธรรม ได้ กราบทลู ขอบรรพชาอปุ สมบทกบั พระพทุ ธองค์ ทรงประทานการอุปสมบทดว้ ยพระดารัสวา่ “เธอจงเป็ นภิกษมุ าเถดิ ธรรมอนั เรากล่าวดแี ล้ว เธอจงประพฤตพิ รหมจรรย์เพอ่ื ทาทส่ี ุดแห่งทกุ ข์ โดยชอบเถดิ ” การอปุ สมบทดว้ ยวธิ ีน้ีเรียกวา่ เอหิภกิ ขอุ ปุ สัมปทา พระอญั ญาโกณฑญั ญะเป็ นภกิ ษุองค์ แรกทอ่ี ปุ สมบทด้วยวธิ นี ี้ และไดช้ ่ือวา่ เป็นพระสงฆอ์ งคแ์ รกในพระพทุ ธศาสนาอีกดว้ ย พระรัตนะตรัยเกดิ ขนึ้ ครบคร้ังแรกในวนั อาสาฬหบูชา ขนึ้ ๑๕ คา่ เดอื น ๘ ทรงแสดงอนัตตลกั ขณสูตร พระพทุ ธองคท์ รงสง่ั สอนนกั บวชท้งั ๔ ดว้ ยปกิณกเทศนาใหไ้ ดด้ วงตาเห็นธรรมแลว้ ประทานอุปสมบทให้ ในวนั แรม ๕ ค่า เดือน ๘ เมื่อพระปัญจวคั คียอ์ ินทรียแ์ ก่กลา้ แลว้ ทรงแสดง อนัตตลกั ขณสูตร ซ่ึงมีใจความสาคญั ดงั ต่อไปน้ี ๑. ขนั ธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร วิญญาณ ไมใ่ ช่ตวั ตน ถา้ เป็นตวั ตน กจ็ ะบงั คบั บญั ชา ใหเ้ ป็นอยา่ งน้นั อยา่ งน้ีได้ เพราะไม่ใช่ตวั ตน จึงบงั คบั บญั ชาไม่ได้ ๒. ตรัสถามใหต้ อบเป็นขอ้ ๆวา่ ขนั ธ์ ๕ เที่ยงหรือไม่เท่ียง ตอบวา่ \"ไม่เท่ียง\" ส่ิงที่ไม่เท่ียงเป็น ทุกขห์ รือเป็นสุข ตอบวา่ \"เป็นทุกข”์ เม่ือไมเ่ ท่ียง เป็นทุกข์ ควรหรือท่ีตามเห็นวา่ เป็นตวั ตนของเรา ตอบวา่ \"ไม่ควร\" ๓. ตรัสสรุปวา่ ควรเห็นดว้ ยปัญญาอนั ชอบวา่ รูปเป็นตน้ น้นั ทุกชนิดไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ ตวั ตนของเรา ๔. ตรัสแสดงผลวา่ อริยสาวกเม่ือเห็นอยา่ งน้นั ยอ่ มเบื่อหน่ายในรูปเป็นตน้ เม่ือเบื่อหน่ายก็ คลายกาหนดั เพราะคลายกาหนดั จึงหลดุ พน้ เม่ือหลุดพน้ กร็ ู้วา่ หลดุ พน้ แลว้ รู้วา่ สิ้นชาติอยจู่ บ พรหมจรรยแ์ ลว้ พระปัญจวคั คียส์ ่งใจตามพระธรรมเทศนา จิตจึงหลดุ พน้ จากอาสวะ สาเร็จเป็นพระอรหนั ต์ คราวน้นั มีพระอรหนั ตเ์ กิดข้ึนในโลก ๖ องค์ พระองค์ได้เสดจ็ จาพรรษา ณ ป่ าอสิ ิปตนมฤคทายวนั เป็ นพรรษาแรก

33 ยสกลุ บุตร ในกรุงพาราณสี มีกลุ บุตรอยคู่ นหน่ึงช่ือ ยสะ เป็นบุตรเศรษฐี มีปราสาท ๓ หลงั เป็นท่ีพกั ใน ๓ ฤดู คร้ังน้นั เป็นฤดฝู น ยสะนง่ั อยใู่ นปราสาทสาหรับพกั ในฤดูฝน มีนางบาเรอเป็นหญิงลว้ น คืน หน่ึงเห็นพวกบริวารนอนหลบั มีอาการต่างๆ เช่น บางนางนอนมีน้าลายไหล บางนางนอนละเมอ เหมือนซากศพในป่ าชา้ จึงเบ่ือหน่ายชีวิตการครองเรือน สวมรองเทา้ เดินลงจากบา้ นเดินพลางบ่น พลางวา่ \"ทนี่ ่ีวุ่ยวายหนอ ทนี่ ีข่ ดั ข้องหนอ\" ไปยงั ป่ าอิสิปตนมฤคทายวนั ตอนใกลร้ ุ่งไดพ้ บพระ พทุ ธองคก์ าลงั เสดจ็ จงกรมอยใู่ นท่ีแจง้ ทรงไดส้ ดบั เสียงของยสะ พระองคจ์ ึงตรัสวา่ \"ดูก่อนยสะ ทนี่ ่ไี ม่วุ่นวาย ทนี่ ไ่ี ม่ขดั ข้อง มาเถิดยสะ นง่ั ลงเราจกั แสดงธรรมแก่เธอ\" ยสะดีใจถอดรองเทา้ แลว้ เดินเขา้ ไปหา ทรงแสดงอนุปุพพกิ ถาและสามุกกงั สิกธรรมคอื อริยสัจ ๔ ใหฟ้ ัง เม่ือจบพระธรรม เทศนา ยสะไดด้ วงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบนั อนุปพุ พกิ ถา อนุปุพพิกถา คือถอ้ ยคาท่ีกลา่ วโดยลาดบั ๕ ประการ ๑. ทานกถา คือ กลา่ วถึงการใหท้ าน ๒. สีลกถา คือ กลา่ วถึงการรักษากายวาจา ใหเ้ รียบร้อย ๓. สัคคกถา คือพรรณนาถึงสวรรคว์ า่ เม่ือบคุ คลใหท้ าน รักษาศีลแลว้ จะมีสวรรคเ์ ป็นที่ไป ๔. กามาทนี วกถา คือกลา่ วถึงความต่าทราม ความเศร้าหมองของกามวา่ เป็นที่มาของความ ทุกข์ ๕. เนกขมั มานสิ ังสกถา คือ กล่าวถึงอานิสงส์ในการออกจากกาม บุคคลทเี่ หมาะสมในการฟังธรรมอนุปุพพกิ ถาและอริยสัจ ๔ ๑. เป็นมนุษย์ ๑. เป็นคฤหสั ถ์ ๒. มีอุปนิสยั แก่กลา้ ควรแก่การบรรลโุ ลกตุ รธรรมในท่ีน้นั ปฐมอบุ าสก คร้ันรุ่งเชา้ มารดาต่ืนข้ึนมาไม่เห็นยสะ จึงบอกแก่สามีแลว้ พากนั ออกติดตามไปยงั ทิศต่าง ๆ ส่วนเศรษฐีเดินไปทางป่ าอสิ ิปตนมฤคทายวนั เห็นรองเทา้ ของบุตร จึงเดินเขา้ ไปถามถึงบุตรกบั พระพทุ ธองค์ ทรงแสดงอทิ ธาภิสังขาร คอื การปรุงแต่งฤทธิขนึ้ ไม่ให้บดิ าเห็นบุตร ทรงแสดง

34 อนุปุพพิกถาและอริยสจั ๔ โปรดเศรษฐี คร้ันจบพระธรรมเทศนา เศรษฐีไดด้ วงตาเห็นธรรม สาเร็จ เป็นพระโสดาบนั ฝ่ ายยสะนงั่ ฟังธรรมอยดู่ ว้ ยเป็นคร้ังที่ ๒ ไดบ้ รรลธุ รรมเป็นพระอรหนั ต์ เศรษฐี ประกาศตนเป็นอบุ าสก ขอถึงพระรัตนตรัยคือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆว์ า่ เป็นสรณะ ตลอดชีวิต เป็ นอบุ าสกคนแรก ทขี่ อถงึ พระรัตนตรัยเป็ นสรณะในโลก เรียกวา่ เตวาจกิ อบุ าสก ยสะทูลขอบวช คร้ันยสะบรรลธุ รรมเป็นพระอรหนั ตแ์ ลว้ พระพทุ ธองคท์ รงคลายฤทธ์ิใหบ้ ิดากบั บุตรไดเ้ ห็น กนั เศรษฐีไดช้ วนยสะกลบั บา้ น พระองคต์ รัสวา่ ยสะเป็นพระอรหนั ตแ์ ลว้ ไม่ใช่ผทู้ ี่จะกลบั ไป ครองเรือนอีก เศรษฐีอาราธนาพระองคไ์ ปเสวยภตั ตาหารท่ีบา้ นในวนั รุ่งข้ึน เมื่อเศรษฐีกลบั ไป แลว้ ยสะกราบทลู ขออปุ สมบท ทรงอนุญาตดว้ ยพระดารัสวา่ \"เธอจงเป็ นภิกษมุ าเถดิ ธรรมอนั เรา กล่าวดแี ล้ว เธอจงประพฤตพิ รหมจรรย์เถิด\" ไมม่ ีคาวา่ \"เพอื่ ทาทสี่ ุดแห่งทกุ ข์โดยชอบเถิด\" เพราะวา่ ยสะไดบ้ รรลเุ ป็นพระอรหนั ตถ์ ึงท่ีสุดแห่งทุกขแ์ ลว้ ปฐมอบุ าสิกา ในวนั รุ่งข้ึน พระพทุ ธองคเ์ สดจ็ ไปบา้ นเศรษฐีมีพระยสะเป็นผตู้ ิดตาม ประทบั นงั่ บนพทุ ธ อาสน์ ลาดบั น้นั มารดาและภริยาเก่าของพระยสะไดเ้ ขา้ เฝ้ า พระองคท์ รงแสดงอนุปุพพิกถาและ อริยสจั ๔ ใหฟ้ ัง เมื่อจบพระธรรมเทศนา มารดาและอดีตภรรยาของพระยสะ ไดบ้ รรลธุ รรมเป็น พระโสดาบนั จึงประกาศตนเป็นอุบาสิกาขอถึงพระรัตนตรัย มีพระพทุ ธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นสรณะตลอดชีวติ ต่อจากน้นั บิดามารดาและภริยาเก่าไดถ้ วายภตั ตาหารอนั ประณีตแด่พระพทุ ธ องคแ์ ละพระยสะ เมื่อเสร็จภตั ตกิจแลว้ เสดจ็ กลบั ป่ าอสิ ิปตนมฤคทายวนั มารดาและภริยาเก่าของ พระยสะ เป็ นอบุ าสิกาคู่แรกในโลกทข่ี อถึงพระรัตนตรัย เรียกวา่ เตวาจกิ อบุ าสิกา เพอื่ นพระยสะ ๕๔ คนออกบวช บุตรเศรษฐีชาวเมืองพาราณสี ๔ คือ วมิ ละ สุพาหุ ปณุ ณชิ และควมั ปติ ทราบวา่ ข่าววา่ ยสะ ออกบวชแลว้ จึงคิดวา่ “ธรรมวนิ ยั และบรรพชาทยี่ สะออกจากเรือนบวชเป็ นบรรพชิตน้นั คงไม่ ตา่ ทรามเป็ นแน่” พากนั ไปหาพระยสะ ท่านพาไปเขา้ เฝ้ าพระพทุ ธองค์ ทรงแสดงอนุปุพพิกถา และอริยสจั ๔ ใหฟ้ ัง พอจบพระธรรมเทศนาแลว้ ไดบ้ รรลธุ รรมเป็นพระโสดาบนั จึงทูล อุปสมบท เมื่ออุปสมบทแลว้ ทรงโอวาทสงั่ สอนดว้ ยธรรมกถา จิตของภิกษุเหล่าน้นั หลดุ พน้ จากอา สวะ สาเร็จเป็นพระอรหนั ต์

35 สหายชาวชนบทของพระยสะอีก ๕๐ คน ทราบข่าวการออกบวชของพระยสะ จึงชวนกนั ไป หาและขอใหพ้ าเขา้ เฝ้ าพระพทุ ธองค์ ทรงแสดงอนุปุพพิกถาและอริยสจั ๔ ใหฟ้ ัง ไดด้ วงตาเห็น ธรรมแลว้ ทลู อุปสมบท ต่อไดบ้ รรลธุ รรมเป็นพระอรหนั ต์ ๕๐ องคพ์ ร้อมกนั มีพระอรหนั ต์ เกิดข้ึนแลว้ ในโลก ๖๑ องค์ คือ ๑.พระสัมมาสัมพทุ ธเจ้า ๒.พระปัญจวคั ย์ คอื อญั ญาโกณฑญั ญะ วปั ปะ ภัททยิ ะ มหานามะ อสั สชิ ๓.ยสะ วมิ ละ สุพาหุ ปณุ ณชิ ควมั ปติ ๔.เพอ่ื นยสะอกี ๕๐ คน ปัญหาและเฉลยปริเฉทท่ี ๔ ๑.พระพทุ ธเจา้ ทรงจาพรรษาแรก ณ สถานที่ใด ? ก.อรุ ุเวลาเสนานิคม ข.วดั เวฬุวนั ค.ป่ าอิสิปตนมฤคทายวนั ง.วดั เชตวนั ๒.พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงไตรลกั ษณ์คร้ังแรกแก่ใคร ? ก.พระยสะ ข.ปัญจวคั คีย์ ค.สหายพระยสะ ง.พระมหากสั สปะ ๓.พระยสะบรรลอุ รหตั ผล เพราะฟังธรรมเทศนาชื่อวา่ อะไร ? ก.ธมั มจกั กปั ปวตั นสูตร ข.อนตั ตลกั ขณสูตร ค.อาทิตตปริยายสูตร ง.อนุปุพพิกถาและอริยสจั ๔ ๔.พระอริยสาวกองคท์ ่ี ๖ คือใคร ? ก.พระอสั สชิ ข.พระวมิ ละ ค.พระยสะ ง.พระสุพาหุ ๕.เร่ืองท่ีกล่าวถึงการรักษากาย วาจา ใหเ้ รียบร้อยชื่อวา่ อะไร ? ก.ทานกถา ข.สีลกถา ค.สคั คกถา ง.กามาทีนวกถา ๖.พระธรรมเทศนาใด กล่าวเรื่องขนั ธ์ ๕ ? ก.อนตั ตลกั ขณสูตร ข.เวสสนั ดรชาดก ค.อนุปุพพิกถา ง.สามุกกงั สิกเทศนา ๗.พระอริยสาวกรูปท่ี ๑๐ มีชื่อวา่ อะไร ? ก.พระควมั ปติ ข.พระอรุ ุเวลกสั สปะ

36 ค.พระสารีบตุ ร ง.พระยสะ ๘.พระอญั ญาโกณฑญั ญะบรรลุพระอรหตั เพราะฟังธรรมอะไร ? ก.ธมั มจกั กปั ปวตั ตนสูตร ข.อนตั ตลกั ขณสูตร ค.อาทิตตปริยายสูตร ง.เวทนาปริคคหสูตร ๙.ยสกลุ บุตรพบพระพทุ ธเจา้ ในพระอิริยาบถใด ? ก.ประทบั ยนื ข.เสดจ็ จงกรม ค.ประทบั นงั่ ง.บรรทม ๑๐.ใครบรรลพุ ระอรหนั ต์ เพราะไดฟ้ ังอนตั ตลกั ขณสูตร ? ก.พระภทั ทิยะ ข.พระอานนท์ ค.พระกิมพิละ ง.พระอนุรุทธะ ๑๑.เรื่องไตรลกั ษณ์ที่ทรงแสดงแก่พระปัญจวคั คีย์ อยใู่ นพระสูตรใด ? ก.อคั คปั ปสาทสูตร ข.อาทิตตปริยายสูตร ค.ธมั มจกั กปั ปวตั ตนสูตร ง.อนตั ตลกั ขณสูตร ๑๒.ขอ้ ใด เป็นช่ือสามุกกงั สิกธรรม ธรรมที่พระพทุ ธองคท์ รงแสดงเอง ? ก.เวทนาปริคคหสูตร ข.วิสุทธิ ๗ ค.กถาวตั ถุ ๑๐ ง.อริยสจั ๔ ๑๓.ปฐมอุบาสิกาในพระพทุ ธศาสนา คือใคร ? ก.มารดาและภรรยาเก่าพระยสะ ข.พสี่ าวและภรรยาเก่าพระยสะ ค.มารดาและบิดาของพระยสะ ง.ภรรยาและเพอื่ นของพระยสะ ๑.ค ๒.ข เฉลย ๔.ค ๕.ข ๖.ก ๗.ก ๓.ง ๙.ข ๑๐.ก ๑๑.ง ๑๒.ง ๘.ข ๑๓.ก

37 ปริเฉทที่ ๕ ว่าด้วยการประกาศพระศาสนา พระธรรมฑูตรุ่นแรกของโลก เมื่อพระสงฆส์ าวกมากข้ึนตามลาดบั พระพทุ ธเจา้ ทรงปรารภการเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา เพอื่ สนั ติสุขของชาวโลก จึงตรัสเรียกพระสาวกท้งั ๖๐ รูปมาประชุมพร้อมกนั แลว้ ตรัสวา่ “ดูก่อนภกิ ษทุ ้งั หลาย เราพ้นแล้วจากบ่วงท้งั ปวง ท้งั ทเี่ ป็ นของทพิ ย์และของมนษุ ย์ แม้พวกเธอ กพ็ ้นแล้วจากบ่วงท้งั ปวง ท้งั ทเ่ี ป็ นของทพิ ย์และของมนุษย์ พวกเธอจงเทย่ี วจาริกไปเพอื่ ประโยชน์และความสุขแก่ชนหมู่มาก เพอื่ อนุเคราะห์โลก เพอื่ ประโยชน์เกอื้ กลู และความสุข แก่ทวยเทพและมนุษย์ท้งั หลาย พวกเธออย่าได้ไปรวมทางเดยี วกนั สองรูป จงแสดงธรรมงามใน เบอื้ งต้น งามในท่ามกลาง งามในทส่ี ุด จงประกาศพรหมจรรย์พร้อมท้งั อรรถ พร้อมท้งั พยญั ชนะให้ครบบริบูรณ์บริสุทธ์ิ สัตว์ท้งั หลายจาพวกทม่ี ธี ุลคี อื กเิ ลสในจกั ษนุ ้อยมอี ยู่ เพราะ ไม่ได้ฟังธรรมย่อมเสื่อม ผู้รู้ทว่ั ถึงธรรมจกั มี ดูก่อนภกิ ษทุ ้งั หลาย แม้เรากจ็ กั ไปยงั ตาบลอรุ ุเวลา เสนานิคม เพอ่ื แสดงธรรมเหมอื นกนั ” ภิกษุสงฆท์ ้งั ๖๐ รูปรับทราบพทุ ธดารัสแลว้ กราบทูลลา พระพทุ ธเจา้ ไปเผยแผพ่ ระศาสนาตามทิศต่าง ๆ พระสงฆ์ให้กลุ บุตรบรรพชาอปุ สมบท พระสาวกท้งั ๖๐ องคไ์ ปเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาในที่ต่างๆ มีกลุ บุตรศรัทธาเล่ือมใสมาก ตอ้ งการบวช ทาใหม้ ีอปุ สรรคลาบากในการเดินทาง พระพทุ ธองคท์ รงอนุญาตใหพ้ ระสาวก บรรพชาอปุ สมบทกลุ บุตรไดเ้ อง โดยตอ้ งปฏิบตั ิดงั น้ี ๑. ใหป้ ลงผมและหนวด ๒. ใหค้ รองผา้ กาสาวพสั ตร์ ๓. ใหก้ ราบภิกษุท้งั หลายแลว้ วา่ ตาม ๓ คร้ังดงั น้ี “ขา้ พเจา้ ขอถึงพระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ วา่ เป็นที่พ่งึ ” พระองคท์ รงอนุญาตใหอ้ ุปสมบทดว้ ยไตรสรณาคมน์เป็นคร้ังแรกอยา่ งน้ี ต้งั แต่น้นั มาการ อปุ สมบทมี ๒ วิธี คือ ๑. เอหิภกิ ขุอปุ สัมปทา พระพทุ ธองคท์ รงบวชใหเ้ อง ๒. ตสิ รณคมนูปสัมปทา พระสาวกบวชให้

38 พทุ ธวธิ ีในการแสดงธรรม การสอนของพระพทุ ธเจา้ แต่ละคร้ังหรือการสนทนาทวั่ ไปจะดาเนินไปอยา่ งสาเร็จผลดีโดย มีองคป์ ระกอบท่ีสาคญั ๔ ประการ คือ ๑. สันทสั สนา ทรงช้ีแจงใหเ้ ห็นชดั คือทรงแสดงเหตุผลใหช้ ดั เจนจนผฟู้ ังเขา้ ใจแจ่มแจง้ เห็นจริง ๒. สมาทปนา ชวนใจใหอ้ ยากรับเอาไปปฏิบตั ิ คือทรงแนะนาใหเ้ ห็นคุณค่าความสาคญั จนใจยอมรับอยากลงมือปฏิบตั ิ ๓. สมุตเตชนา เร้าใจใหอ้ าจหาญแกลว้ กลา้ คือทรงสอนใหม้ ีกาลงั ใจมน่ั ใจท่ีจะทาให้ สาเร็จ ๔. สัมปหังสนา ชโลมใจใหส้ ดช่ืนร่าเริง คือทรงสอนใหแ้ ช่มชื่นเบิกบานโดยช้ีใหเ้ ห็น ผลดีหรือประโยชนท์ ี่จะไดร้ ับ อาการทพ่ี ระพทุ ธเจ้าทรงส่ังสอน ๓ อย่าง ๑.ทรงสง่ั สอนใหผ้ ฟู้ ังรู้ยงิ่ เห็นจริงในธรรมที่ควรรู้ควรเห็น ๒.ทรงสั่งสอนมีเหตุมีผลท่ีผฟู้ ังอาจตรองตามใหเ้ ห็นจริงได้ ๓.ทรงสัง่ สอนเป็นอศั จรรยท์ ี่ผปู้ ฏิบตั ิตาม ยอ่ มไดร้ ับผลโดยสมควรแก่การปฏิบตั ิ โปรดภัททวคั คยี ์ ๓๐ คน พระพทุ ธองคเ์ สดจ็ ไปยงั ตาบลอุรุเวลาเสนานิคมแลว้ ทรงหยดุ พกั ท่ีร่มไมใ้ นไร่ฝ้ าย ขณะน้นั มีชายหนุ่มประมาณ ๓๐ คน เป็นสหายท่ีรักใคร่กนั เรียกวา่ ภทั ทวคั คีย์ อยใู่ นราชวงศโ์ กศล พา ภรรยาของตนไปเท่ียวท่ีไร่ฝ้ าย แต่หน่ึงในน้นั ไม่มีภรรยาจึงนาหญิงโสเภณีมาเท่ียวดว้ ย หญิงน้นั เห็นคนเหลา่ น้นั เผลอ จึงถือโอกาสขโมยเครื่องประดบั หนีไป ชายหนุ่มท้งั หมดจึงพากนั ติดตาม และไดพ้ บพระพทุ ธองคซ์ ่ึงประทบั อยทู่ ี่ไร่ฝ่ ายน้นั ไดก้ ราบทูลถามวา่ พระองคท์ รงเห็นผหู้ ญิงผา่ น มาทางน้ีหรือไม่ พระพทุ ธองคต์ รัสถามวา่ ท่านท้งั หลายจะแสวงหาหญิงประเสริฐกวา่ หรือแสวงหา ตนเองประเสริฐกวา่ ท้งั หมดกราบทูลวา่ แสวงหาตนประเสริฐกวา่ ทรงแสดงธรรมโปรดจน ไดด้ วงตาเห็นธรรม แลว้ ประทานอนุญาตใหอ้ ุปสมบทเป็นพระภิกษุ และตรัสสอนใหบ้ รรลมุ รรค ผลช้นั สูงตามลาดบั จากน้นั จึงส่งไปประกาศพระศาสนา

39 โปรดชฎลิ ๓ พน่ี ้อง พระอรุ ุเวลกสั สปะ ชื่อเดิมวา่ กสั สปะ บิดามารดาไม่ปรากฏชื่อ เกิดในวรรณะพราหมณ์ท่ี เมืองพาราณสี แควน้ กาสี ตระกลู กสั สปโคตร ศึกษาจบไตรเพทตามลทั ธิพราหมณ์ ท่านมีนอ้ งชาย สองคนชื่อ กสั สปะ เหมือนกนั ต่อมาท้งั ๓ ท่านพจิ ารณาเห็นวา่ ความรู้ท่ีมีอยนู่ ้นั ไม่มีสาระแก่นสาร มีแตเ่ พียงประโยชนใ์ นปัจจุบนั เท่าน้นั จึงไดช้ กั ชวนกนั ออกบวชเป็นฤษี บาเพญ็ พรตดว้ ยการบชู าไฟ พี่ชายคนโตต้งั อาศรมอยทู่ ี่ริมฝั่งแม่น้าคงคา ตาบลอรุ ุเวลาเสนานิคม จึงไดน้ ามวา่ อรุ ุเวลกสั สปะ มี บริวาร ๕๐๐ คน นอ้ งชายคนกลางต้งั อาศรมอยทู่ ี่ทางโคง้ แม่น้าคงคา จึงไดน้ ามวา่ นทกี สั สปะ มี บริวาร ๓๐๐ คน นอ้ งชายคนเลก็ ต้งั อาศรมอยทู่ ่ีตาบลคยาสีสะ จึงไดน้ ามวา่ คยากสั สปะ มบี ริวาร ๒๐๐ คน มูลแห่งการออกบวช เมื่อพระพทุ ธองคท์ รงส่งพระสาวก ๖๐ องคไ์ ปประกาศพระศาสนายงั แวน่ แควน้ ต่าง ๆ พระองคเ์ สดจ็ ไปท่ีแควน้ มคธ เม่ือโปรดอรุ ุเวลกสั สปะ ระหวา่ งทางทรงเทศนาโปรดภทั ทวคั คีย์ กมุ าร ๓๐ คน ทรงประทานการบวชแบบเอหิภิกษุอปุ สมั ปทาใหแ้ ลว้ ส่งไปประกาศพระศาสนา ต่อจากน้นั เสดจ็ ไปตาบลอุรุเวลาเสนานิคม ทรงแสดงปาฏิหาริยต์ ่าง ๆ จนอรุ ุเวลกสั สปะละทิฏฐิ มานะกลบั มาเลื่อมใส เห็นว่าลทั ธิของตนเองไม่มีแก่นสารอะไร จึงทลู ขอบวช อรุ ุเวลกสั สปะพร้อม ท้งั บริวารพากนั ลอยบริขารและเครื่องบชู าไฟลอยไปในแม่น้า พระองคท์ รงประทานการบวชให้ ดว้ ยวธิ ีเอหิภิกษุอปุ สมั ปทา ดว้ ยพระดารัสวา่ “เธอจงเป็ นภกิ ษมุ าเถิด ธรรมอนั เรากล่าวดแี ล้ว พวก เธอจงประพฤตพิ รหมจรรย์ เพอ่ื ทาทส่ี ุดแห่งทุกข์โดยชอบเถดิ ” บรรลุธรรมเป็ นพระอรหันต์ นอ้ งชาย ๒ คนพร้อมท้งั บริวาร เม่ือเห็นบริขารของพชี่ ายลอยมาตามแม่น้า ไดเ้ ดินทางไปที่ สานกั ของพีช่ าย ขอบวชในสานกั ของพระพทุ ธองค์ ทรงประทานการบวชใหด้ ว้ ยวธิ ี เอหิภิกขอุ ปุ สมั ปทา เม่ือบญุ บารมีของพระภิกษุ ๑,๐๐๓ รูปน้นั แก่กลา้ แลว้ ทรงเสดจ็ ไปท่ีตาบลคยา สีสะพร้อมดว้ ยภิกษุท้งั หมด ทรงแสดงอาทติ ตปริยายสูตร สูตรว่าด้วยอายตนะภายในและภายนอก เป็ นของร้อน มเี นอื้ ความโดยย่อว่า “ ตา หู จมูก ลนิ้ กาย และใจเป็ นของร้อน ร้อนเพราะอะไร ร้อน เพราะไฟคอื ราคะ ไฟคอื โทสะ ไฟคอื โมหะ ร้อนเพราะความเกดิ ความแก่ ความตาย ร้อนเพราะ ความเศร้าโศก ความคร่าครวญ ความทกุ ข์ ความโทมนัสและความคบั แค้นใจ ” เม่ือจบพระพระ ธรรมเทศนา ภิกษุ ๑,๐๐๓ รูป ไดบ้ รรลธุ รรมเป็นพระอรหนั ต์

40 ตาแหน่งเอตทคั คะ พระอรุ ุเวลกสั สปะท่านไดส้ ง่ั สอนประชาชนเป็นจานวนมากมีความเลื่อมใสใน พระพทุ ธศาสนา และเป็นพระท่ีมีบริวารมาก ไดร้ ับยกยอ่ งจากพระพทุ ธองคว์ า่ “เป็ นผู้เลศิ กว่าภิกษุ ท้งั หลาย ผู้มบี ริวารมาก” โปรดพระเจ้าพมิ พสิ าร พระพทุ ธองคท์ รงพาภิกษุ ๑,๐๐๓ รูป เสดจ็ ไปเมืองราชคฤห์ ประทบั อยทู่ ี่สวนตาลหนุ่ม ช่ือ วา่ ลฏั ฐิวนั พระเจา้ พิมพิสารพระเจา้ แผน่ ดินแควน้ มคธทรงทราบข่าว พร้อมดว้ ยบริวารเสดจ็ ไปเขา้ เฝ้ า ทรงทอดพระเนตรเห็นบริวารของพระเจา้ พิมพสิ ารมีกิริยาอาการไม่เล่ือมใส จึงตรัสใหพ้ ระอรุ ุ เวลกสั สปะประกาศใหค้ นเหลา่ น้นั ทราบวา่ ลทั ธิของตนไม่มีแก่นสาร จนคนเหลา่ น้นั หมดความ สงสยั เพราะวา่ คนเหลา่ น้นั เป็นลกู ศิษยข์ องฤาษีอรุ ุเวลกสั สปะมาก่อน ทรงแสดงอนุปุพพกิ ถา และอริยสจั ๔ โปรด เวลาจบพระธรรมเทศนา พระเจา้ พิมพิสารพร้อมท้งั บริวาร ๑๑ นหุต ได้ ดวงตาเห็นธรรมคือบรรลธุ รรมเป็นพระโสดาบนั อีก ๑ นหุต ต้งั อยใู่ นไตรสรณคมน์ (๑ นหุต = ๑๐,๐๐๐ คน) ความปรารถนา ๕ ประการ พระเจ้าพมิ พสิ ารกราบทูลพระพทุ ธองคถ์ ึงความปรารถนาของพระองคเ์ มื่อยงั เป็นพระราช กมุ าร ๕ ประการ สาเร็จสมความปรารถนาแลว้ คือ ๑. ขอใหข้ า้ พเจา้ ไดเ้ ป็นพระเจา้ แผน่ ดินแควน้ มคธ ๒. ขอพระอรหนั ตผ์ ตู้ รัสรู้เอง มายงั แวน่ แควน้ ของขา้ พเจา้ ๓. ขอใหข้ า้ พเจา้ ไดน้ ง่ั ใกลพ้ ระอรหนั ตน์ ้นั ๔. ขอใหพ้ ระอรหนั ตน์ ้นั แสดงธรรมแก่ขา้ พเจา้ ๕. ขอใหข้ า้ พเจา้ พึงรู้ทว่ั ถึงธรรมของพระอรหนั ตน์ ้นั คร้ันแลว้ กราบทูลสรรเสริญพระธรรมเทศนา ประกาศพระองค์เป็ นอบุ าสกถึงพระรัตนตรัย เป็นสรณะตลอดพระชนมช์ ีพ ทรงอาราธนาพระพทุ ธองคพ์ ร้อมดว้ ยพระภิกษุสงฆเ์ พอื่ เสวยและ ฉนั ภตั ตาหารในวนั รุ่งข้ึน

41 วดั แรกในพระพทุ ธศาสนา ในวนั รุ่งข้ึนพระพทุ ธองคเ์ สดจ็ ไปเสวยท่ีพระราชนิเวศนพ์ ร้อมดว้ ยภิกษุสงฆ์ เมื่อองั คาสเสร็จ แลว้ พระพทุ ธองคเ์ สวยเสร็จแลว้ พระเจา้ พิมพสิ ารทรงมีพระราชดาริวา่ \"สวนเวฬุวนั ของเรานแี้ ล ไม่ใกล้ไม่ไกลจากบ้านนัก สะดวกด้วยการคมนาคม กลางวนั ไม่พลกุ พล่านกลางคนื เงยี บสงดั เสียง ไม่กกึ ก้อง เป็ นสถานทค่ี วรแก่ผู้ต้องการความสงดั และควรเป็ นทหี่ ลกี เล้นอยู่ตามสมณวสิ ัย\" ได้ ทรงหลง่ั น้าจากพระเตา้ ทอง ถวายวดั เวฬุวนั แด่หม่สู งฆม์ ีพระพทุ ธเจา้ เป็นประมุข พระองคท์ รงรับ แลว้ เสดจ็ กลบั เวฬุวนั เป็ นวดั วดั เแรกในพระพทุ ธศาสนา ปัญหาและเฉลยปริเฉทท่ี ๕ ๑.ความปารถนาขอ้ ท่ี ๕ ของพระเจา้ พมิ พสิ ารวา่ อยา่ งไร ? ก.ขอพระอรหนั ตม์ าสู่แวน่ แควน้ ของเรา ข.ขอพระอรหนั ตแ์ สดงธรรมแก่เรา ค.ขอเราไดร้ ู้ทว่ั ถึงธรรมของพระอรหนั ต์ ง.ขอเราไดเ้ ขา้ ไปนง่ั ใกลพ้ ระอรหนั ต์ ๒.พระพทุ ธเจา้ ประดิษฐานพระพทุ ธศาสนาคร้ังแรกท่ีไหน ? ก.แควน้ กาสี ข.แควน้ วชั ชี ค.แควน้ มลั ละ ง.แควน้ มคธ ๓.อนุปุพพิกถาและอริยสจั ๔ ทรงแสดงแก่ใคร ? ก.ปัญจวคั คีย์ ข.ภทั ทวคั คีย์ ๓๐ คน ค.ชฎิล ๓ พนี่ อ้ ง ง.พระสารีบุตร ๔.อาทิตตปริยายสูตร ทรงแสดงแก่ใคร ? ก.ปัญจวคั คีย์ ข.ภทั ทวคั คีย์ ๓๐ คน ค.ชฎิล ๓ พน่ี อ้ ง ง.พระสารีบุตร ๕.ใครเป็นผสู้ ร้างวดั เชตวนั ? ก.เจา้ เชต ข.พระเจา้ อชาตศตั รู ค.โฆสกเศรษฐี ง.อนาถบิณฑิกเศรษฐี ๖.พระภทั ทวคั คียไ์ ดด้ วงตาเห็นธรรม เพราะฟังธรรมอะไร ? ก.อนุปุพพิกถากบั อริยสจั ข.เวทนาปริคคหสูตร ค.อาทิตตปริยายสูตร ง.มหาสติปัฏฐานสูตร ๗.พระอุรุเวลกสั สปะไม่ยนิ ดีในการบูชาไฟ เพราะสาเหตุใด ? ก.กลวั ถกู ทรมาน ข.บริวารหนีไปที่อื่น ค.ไม่ใช่ทางนิพพาน ง.อาศรมถกู ไฟไหม้

42 ๘.พระเจา้ พมิ พิสารถวายเวฬุวนั อุทยาน ดว้ ยทรงเห็นอยา่ งไร ? ก.มีเสียงอ้ือองึ กึกกอ้ ง ข.เหมาะแก่สมณวสิ ยั ค.มีมนุษยพ์ ลุกพล่าน ง.อยไู่ กลจากพระนคร ๙.จุดประสงคห์ ลกั ที่พระพทุ ธองค์ ทรงส่งพระสาวกไปประกาศพระศาสนา คืออะไร ? ก.เพื่อเผยแผพ่ ระศาสนา ข.เพื่อทาใหโ้ ลกร่มเยน็ ค.เพ่ือใหม้ หาชนหมดกิเลส ง.เพือ่ ประโยชนส์ ุขแก่มหาชน ๑๐.การประกาศพระศาสนาของสาวกยคุ แรก มีอุปสรรคอยา่ งไร ? ก.มีคนเลื่อมใสนอ้ ย ข.ถกู เจา้ ลทั ธิต่อตา้ น ค.ใหอ้ ปุ สมบทเองไมไ่ ด้ ง.ทางสญั จรลาบากมาก ๑๑.ขอ้ ใด กลา่ วถึงพระเจา้ พมิ พสิ ารไม่ถกู ตอ้ ง ? ก.เป็ นพระอริ ยบุคคล ข.ถวายวดั แห่งแรก ค.พระราชาแควน้ มคธ ง.เป็นปฐมอบุ าสก ๑๒.เหตุใด พระพทุ ธเจา้ ทรงประกาศพระศาสนาในแควน้ มคธก่อน ? ก.เพราะเป็ นเมืองเจริ ญ ข.เพราะมีเจา้ ลทั ธิอยมู่ าก ค.เพราะชาวมคธนิมนต์ ง.เพราะเป็นทางผา่ นพอดี ๑๓.พระพทุ ธเจา้ ทรงอาศยั คนกลมุ่ ใด จึงประกาศพระศาสนาไดเ้ ร็ว ? ก.นกั บวช ข.เศรษฐีคหบดี ค.สามญั ชน ง.กษตั ริยแ์ ละเจา้ ลทั ธิ ๑๔.คาวา่ “อรหันต์” เรียกกนั มาต้งั แต่เมื่อไร ? ก.ก่อนพทุ ธกาล ข.คร้ังพทุ ธกาล ค.หลงั พทุ ธกาล ง.คร้ังทาปฐมสงั คายนา ๑๕.พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงธรรมอะไร โปรดพระเจา้ พมิ พิสาร ? ก.อาทิตตปริยายสูตร ข.อนตั ตลกั ขณสูตร ค.อนุปุพพิกถา จตุราริยสจั ง.ธมั มจกั กปั ปวตั ตนสูตร ๑๖.ใครอปุ สมบทดว้ ยวิธีเอหิภิกขอุ ุปสมั ปทา ขณะยงั เป็นปุถุชน ? ก.พระอญั ญาโกณฑญั ญะ ข.พระอสั สชิ ค.พระอรุ ุเวลกสั สปะ ง.พระวปั ปะ

๑.ค ๒.ง 43 ๔.ค ๕.ง ๖.ก ๗.ค ๙.ง ๑๐.ค ๑๑.ง ๑๒.ข เฉลย ๑๔.ก ๑๕.ค ๑๖.ค ๓.ข ๘.ข ๑๓.ง

44 ปริเฉทที่ ๖ ว่าด้วยพระอคั รสาวกออกบวช พระอคั รสาวก พระสารีบุตร ชื่อเดิมวา่ อปุ ตสิ สะ บิดาชื่อวา่ วงั คนั ตพราหมณ์ มารดาช่ือวา่ นางสารี พราหมณี เกิดในวรรณะพราหมณ์ ที่หมู่บา้ นอปุ ติสสะ ใกลเ้ มืองราชคฤห์ และบิดาเป็นหวั หนา้ หมู่บา้ นอปุ ติสสะ เลยไดช้ ่ือวา่ อุปติสสะ เม่ือบวชแลว้ ไดช้ ื่อวา่ สารีบุตร เพราะวา่ เป็นบุตรของนาง สารี ท่านมีนอ้ งชาย ๓ คน และนอ้ งสาว ๓ คน พระมหาโมคคลั ลานะ ชื่อเดิมวา่ โกลติ ะ บิดาชื่อวา่ โกลติ ะ มารดาชื่อวา่ โมคคลั ลี เกิดใน ตระกลู พราหมณ์ ที่หม่บู า้ นโกลิตคาม ไม่ไกลจากกรุงราชคฤห์ บิดาเป็นหวั หนา้ หม่บู า้ นโกลิตะ เม่ือบวชแลว้ ไดช้ ื่อวา่ โมคคลั ลานะ เพราะเป็นบุตรของนางโมคคลั ลี ท้งั สองท่านเป็นสหายรักกนั มีบริวารคนละ ๕๐๐ บวชกบั อาจารย์สัญชัย อยมู่ าวนั หน่ึง สหายท้งั สองกาลงั ดูมหรสพบนยอดเขาในกรุงราชคฤห์ มีอาการและ ความรู้สึกไม่เหมือนเมื่อก่อน คือถึงตอนหวั เราะกไ็ ม่หวั เราะ ถึงตอนเศร้าโศกกไ็ ม่เศร้าโศก ถึงตอน ใหร้ างวลั กไ็ ม่ใหร้ างวลั แต่มีความสลดใจวา่ การดูมหรสพไม่มีสารประโยชน์อะไรเลย แมค้ นท่ี กาลงั แสดงอยนู่ ้นั ไม่ถึง ๑๐๐ ปี กต็ ายเหมือนกนั หมด สหายท้งั สองมีความเห็นตรงกนั คิดกนั วา่ ควร ออกบวชแสวงหาโมกขธรรมดีกวา่ จึงออกบวชอยใู่ นสานกั ของอาจารยส์ ญั ชยั ปริพาชก พร้อม ดว้ ยบริวารคนละ ๒๕๐ มูลเหตุแห่งการออกบวช สหายท้งั สองเมื่อบวชแลว้ ไม่นานกเ็ รียนจนหมดความรู้ของอาจารยส์ ญั ชยั เห็นวา่ ลทั ธิน้ีไม่ มีสาระประโยชนอ์ ะไรเลย ท้งั สองจึงแสวงหาโมกขธรรมต่อไปและไดท้ ากติกากนั วา่ “ใครบรรลุ อมตธรรมก่อน จงบอกแก่อกี คนหนึ่งด้วย” วนั หน่ึงอปุ ติสสปริพาชกเขา้ ไปในเมืองราชคฤห์ เห็นพระอสั สชิกาลงั บิณฑบาต คิดวา่ นกั บวชผมู้ ีกิริยาอาการน่าเล่ือมใสขนาดน้ีเราไม่เคยเห็นมาก่อน ท่านน่าจะมีธรรมละเอียดอยภู่ ายใน เกิดความเล่ือมใส จึงเดินติดตามไปขา้ งหลงั เมื่อท่านฉนั ภตั ตาหารเสร็จแลว้ เรียนถามวา่ “ข้าแต่ท่าน ผู้มอี ายอุ นิ ทรีย์ของท่านผ่องใสยงิ่ นกั ผวิ พรรณของท่านกผ็ ่องใส ท่านบวชในสานักของใคร ใครเป็ น

45 ศาสดาของท่าน และท่านชอบใจธรรมของใคร” พระอสั สชิตอบวา่ “ผู้มอี ายุ เราบวชเจาะจงพระ มหาสมณะศากยบุตร พระองค์เป็ นศาสดาของเรา เราชอบใจธรรมของท่าน” จึงขอใหท้ ่านแสดง ธรรมใหฟ้ ัง พระอสั สชิตอบแบบถอ่ มตนว่า “ผู้มอี ายุ เราเป็ นผู้บวชใหม่ มาสู่พระธรรมวนิ ยั นไี้ ม่ นาน ไม่สามารถจะแสวงธรรมโดยพสิ ดารได้ เราจะกล่าวแต่โดยย่อพอรู้ความ” ท่านจึงแสดงธรรม โดยยอ่ วา่ “ธรรมเหล่าใดเกดิ แต่เหตุ พระตถาคตตรัสเหตุแห่งธรรมเหล่าน้ัน และความดบั แห่ง ธรรมเหล่าน้นั พระมหาสมณะมปี กตติ รัสอย่างนี”้ อปุ ติสสปริพาชกคร้ันไดฟ้ ังธรรมจบลงแลว้ ได้ ดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบนั จากน้นั ไดถ้ ามพระเถระวา่ ขณะน้ีพระศาสดาของเราประทบั อยู่ ท่ีไหน ทราบวา่ พระพทุ ธองคป์ ระทบั อยทู่ ี่วดั เวฬุวนั จึงลาพระเถระกลบั ไปแสดงธรรมใหแ้ ก่สหาย โกลิตะฟังกไ็ ดด้ วงตาเห็นธรรมเหมือนกนั บวชในพระพทุ ธศาสนา ท้งั สองท่านชกั ชวนอาจารยส์ ญั ชยั ไปเขา้ เฝ้ าพระพทุ ธองค์ ไดร้ ับการปฏิเสธจึงลาอาจารยส์ ญั ชยั พร้อมดว้ ยบริวาร ๒๕๐ คนไปเขา้ เฝ้ าพระพทุ ธองคท์ ี่วดั เวฬุวนั และทลู ขอบวช ทรงอนุญาตการ บวชดว้ ยวธิ ีเอหิภิกขอุ ุปสมั ปทา อุปติสสะ หลงั จากบวชแลว้ มีช่ือใหม่วา่ พระสารีบุตร โกลิตะ หลงั จากบวชแลว้ มีชื่อใหม่วา่ พระมหาโมคคลั ลานะ สารีบุตรบรรลธุ รรมเป็ นพระอรหนั ต์ พระสารีบุตร หลงั จากบวชแลว้ ๑๕ วนั มีโอกาสอยถู่ วายงานพดั พระพทุ ธองค์ ซ่ึงทรง แสดงธรรมชื่อวา่ เวทนาปริคคหสูตร แก่ฑีฆนขปริพาชก อคั คิเวสนโคตรผเู้ ป็นหลานของพระสารี บุตร ท่ีถ้าสุกรขาตา เขาคิชฌกฎู แขวงเมืองราชคฤห์ ฑีฆนขะแสดงทิฏฐิของตนต่อพระพทุ ธองคว์ า่ “สิ่งท้งั ปวงไมค่ วรแก่ขา้ พเจา้ ขา้ พเจา้ ไม่ชอบ ใจหมด” พระศาสดาทรงแสดงทิฏฐิ ๓ จาพวกของสมณพราหมณ์วา่ ๑. สมณพราหมณ์บางพวกมีทิฏฐิวา่ ส่ิงท้งั ปวงควรแก่เรา เราชอบใจหมด ๒. สมณพราหมณ์บางพวกมีทิฏฐิวา่ สิ่งท้งั ปวงไม่ควรแก่เรา เราไม่ชอบใจหมด ๓. สมณพราหมณ์บางพวกมีทิฏฐิวา่ บางส่ิงควรแก่เรา เราชอบใจ บางสิ่งไม่ควรแก่เรา เรา ไม่ชอบใจ ทรงช้ีใหเ้ ห็นโทษของทิฏฐิ ๓ อยา่ งและใหล้ ะความยดึ มน่ั ถือมนั่ วา่ เมื่อมีความเห็นอยา่ งใด อยา่ งหน่ึงอยา่ งมน่ั คง เป็นเหตุใหเ้ กิดความวิวาท ความเบียดเบียน ทรงแสดงอบุ ายเคร่ืองไม่ถือมนั่ ต่อไปวา่

46 ๑. กาย คือรูปเป็นท่ีประชุมของมหาภูตรูป ๔ (ดิน น้า ลม ไฟ) เป็นของไม่เท่ียง เป็นทุกข์ ทนไดย้ าก ๒. เวทนา ๓ อยา่ ง คือ สุข ทุกข์ ไม่ทุกขไ์ ม่สุข ไม่เท่ียง ปัจจยั ปรุงแต่งข้ึน มีความสิ้นไป เสื่อมไป พระสารีบุตร ซ่ึงกาลงั ถวายงานพดั อยู่ พลางดาริวา่ “พระศาสดาสอนใหล้ ะการถือมน่ั ธรรม เหล่าน้ี ดว้ ยปัญญาอนั ยงิ่ ” กบ็ รรลธุ รรมเป็ นพระอรหันต์ ส่วนฑีฆนขะได้บรรลธุ รรมเป็ นพระ โสดาบัน แลว้ ทูลสรรเสริญพระธรรมเทศนาวา่ “ดุจบุคคลหงายของท่ีคว่า เปิ ดของท่ีปิ ด บอกทางแก่ คนหลงทาง ส่องตะเกียงในที่มืด” ขอแสดงตนเป็นอบุ าสกถึงพระรัตนตรัยตลอดชีวิต พระโมคคลั ลานะบรรลธุ รรมเป็ นพระอรหันต์ พระโมคคลั ลานะ หลงั จากบวชแลว้ ๗ วนั ทลู ลาพระพทุ ธองคไ์ ปบาเพญ็ เพยี รอยทู่ ี่หมู่บา้ น กลั ลวาลมุตตคาม แควน้ มคธ ถกู ความง่วงเขา้ ครอบงาไม่สามารถบาเพญ็ เพยี รได้ พระพทุ ธองคเ์ สดจ็ ไปตรัสบอกอบุ ายแกง้ ่วงให้ ๘ ประการ คือ ๑. นึกถึงเร่ืองท่ีจามาใหม้ าก ๒. ตรึกตรองถึงธรรมท่ีไดศ้ ึกษามา ๓. สาธยายธรรม ๔. ยอนช่วงหู ๕. ลุกข้ึนยนื เอาน้าลบู หนา้ ๖ ทาความสาคญั ในแสงสวา่ ง ๗. เดินจงกรมสารวมอินทรีย์ ๘. นอนตะแคงขวามีสติสมั ปชญั ญะต้งั ใจวา่ จะลุกข้ึน และทรงสอนต่อไปว่า โมคคลั ลานะ เธอควรสาเหนียกในใจอย่างนวี้ ่า ๑. เราจกั ไม่ชูงวง คือถือตวั เขา้ ไปสู่ตระกลู ๒. เราจกั ไม่พดู คาเป็นเหตุเถียงกนั เพราะจะเป็นเหตุใหห้ ่างจากสมาธิ ๓. เราจกั ไม่คลุกคลีดว้ ยคฤหสั ถแ์ ละบรรพชิต แต่ควรคลุกคลีดว้ ยเสนาสนะอนั สงดั และฟังตณั หักขยธรรม คอื ข้อทปี่ ฏบิ ัตแิ ล้วชื่อว่าน้อมไปในธรรมเป็ นทสี่ ิ้นไปแห่งตณั หา และฟัง เรื่องธาตุกมั มฏั ฐาน คือใหพ้ จิ ารณาร่างกายน้ีเป็นเพยี งธาตุดิน น้า ลม ไฟเท่าน้นั ไม่ใช่ตวั เราของเรา ท่านปฏิบตั ิธรรมตามพระโอวาทไดบ้ รรลธุ รรมเป็นพระอรหนั ตใ์ นวนั น้นั

47 งานประกาศพระศาสนาของพระสารีบุตร พระสารีบุตรเป็นกาลงั สาคญั อยา่ งยงิ่ ในการเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา ท่านไดช้ กั ชวนนอ้ งชาย ๓ คน และนอ้ งสาว ๓ คนใหบ้ วชในพระพทุ ธศาสนา กลุ บุตรกลุ ธิดาไดฟ้ ังธรรมจากท่านบรรลุ ธรรมมากมาย ท่านเป็นพระธรรมเสนาบดี คู่กบั พระพทุ ธองคผ์ เู้ ป็นพระธรรมราชา และเป็นผมู้ ี ความกตญั ญูกตเวที บวชใหพ้ ราหมณ์ช่ือวา่ ราธะผเู้ คยถวายขา้ วเพยี งหน่ึงทพั พี คร้ังหน่ึงพระยมกะมีความเห็นผดิ วา่ พระขีณาสพตายแลว้ สูญ พระสารีบุตรสอนใหท้ ่านมี ความเห็นถกู วา่ พระขีณาสพตายแลว้ ไม่สูญ มีแต่รูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร และวิญญาณท่ีไม่เท่ียง ดบั ไปแลว้ ในที่สุดท่านกไ็ ดบ้ รรลุธรรม งานประกาศพระศาสนาของพระมหาโมคคลั ลานะ พระมหาโมคคลั ลานะเป็นกาลงั สาคญั ยง่ิ ในการประกาศพระศาสนา ท่านมีฤทธ์ิมาก ประกาศธรรมแก่เทวดาและมนุษยท์ ้งั หลาย แสดงฤทธ์ิปราบพวกมิจฉาทิฏฐิ ท่านไปยงั สวรรค์ ถาม ถึงกรรมของเทวดาท่ีทาในสมยั เป็นมนุษย์ และไปนรกถามถึงกรรมของสตั วน์ รกในสมยั เป็นมนุษย์ กลบั มาบอกแก่พวกมนุษย์ เมื่อไดฟ้ ังคาของพระเถระแลว้ เกิดความเล่ือมใสเป็นจานวนมาก ทา ใหพ้ ระพทุ ธศาสนาเจริญรุ่งเรื่อง จนเป็นที่อิจฉาของเจา้ ลทั ธิต่าง ๆ และท่านไดร้ ับการยกยอ่ งวา่ เป็นนวกมั มาธิษฐายี คือนกั ก่อสร้าง ทรงยกย่องพระอคั รสาวก วนั ข้ึน ๑๕ ค่า เดือน ๓ ตรงกบั วนั มาฆบชู า เป็นวนั จาตุรงคสนั นิบาต พระพทุ ธองคท์ รง แสดงโอวาทปาฏิโมกข์ และทรงประทานต่าแหน่งพระอคั รสาวกแก่พระเถระท้งั สองวา่ พระสารี บุตรเป็นเลิศกวา่ ภิกษุท้งั หลาย ผู้มปี ัญญามาก เป็นพระอคั รสาวกเบือ้ งขวา พระมหาโมคคลั ลานะ เป็นผเู้ ลิศกวา่ ภิกษุท้งั หลาย ผู้มฤี ทธ์ิมาก เป็ นอคั รสาวกเบือ้ งซ้าย ทรงยกยอ่ งพระเถระท้งั สองอีก วา่ “สารีบุตรเปรียบเหมอื นมารดาผู้ให้กาเนดิ บุตร โมคคลั ลานะเปรียบเหมอื นผู้บารุงเลยี้ งทารก ทเี่ กดิ แล้ว สารีบุตรย่อมแนะนาในโสดาปัตตผิ ล โมคคลั ลานะย่อมแนะนาในผลช้ันสูงขนึ้ ไป” ปัญหาและเฉลยปริเฉทที่ ๖ ๑.ใครไดบ้ รรลุธรรม เพราะฟังธรรมเวทนาปริคคหสูตรที่พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงแกฑ่ ีฆนข ปริพาชก? ก.ปัญจวคั คีย์ ข.ภทั ทวคั คีย์ ๓๐ คน

48 ค.ชฎิล ๓ พ่ีนอ้ ง ง.พระสารีบุตร ๒.โกลิตปริพาชกฟังธรรมจากใคร จึงไดด้ วงตาเห็นธรรม ? ก.พระพทุ ธเจา้ ข.พระอสั สชิ ค.อุปติสสปริพาชก ง.ฑีฆนขปริพาชก ๓.ใครทลู สรรเสริญพระธรรมเทศนาของพระศาสดาวา่ “ ดุจหงายของทค่ี วา่ เปิ ดของทปี่ ิ ด บอกทาง แก่คนหลงทาง ” ? ก.ฑีฆนขปริพาชก ข.อปุ ติสสปริพาชก ค.โกลิตปริพาชก ง.พระเจา้ พมิ พิสาร ๔.พระอรหนั ตค์ ่ใู ด สนทนาการตายของพระขีณาสพ ? ก.พระสารีบุตร-พระโมคคลั ลานะ ข.พระอสั สชิ-พระสารีบตุ ร ค.พระสารีบตุ ร-พระยมกะ ง.พระอานนท-์ พระอบุ าลี ๕.พระสาวกรูปใด นิพพานก่อนพระศาสดา ? ก.พระมหากสั สปะ ข.พระโมคคลั ลานะ ค.พระอานนท์ ง.พระอนุรุทธะ ๖.ก่อนเป็นพระพทุ ธสาวก พระสารีบุตรบวชอยกู่ บั ใคร ? ก.อาฬาดาบส ข.สญั ชยั ปริพาชก ค.นิครนถน์ าฏบุตร ง.ชมั พกุ ชีวก ๗.คาวา่ “เราจกั ไม่ชูงวง เข้าไปสู่สกลุ ” พระองคต์ รัสสอนใคร ? ก.พระสารีบุตร ข.พระอรุ ุเวลกสั สปะ ค.พระโมคคลั ลานะ ง.พระมหากสั สปะ ๘.วนั จาตุรงคสนั นิบาต ตรงกบั วนั ไหน ? ก.ข้ึน ๑๕ ค่า เดือน ๓ ข.ข้ึน ๑๕ ค่า เดือน ๖ ค.ข้ึน ๑๕ ค่า เดือน ๘ ง.ข้ึน ๑๕ ค่า เดือน ๑๑ ๙.ใครไดร้ ับยกยอ่ งวา่ เป็นแบบอยา่ งที่ดีของผมู้ ีความกตญั ญูกตเวที ? ก.พระราหุล ข.พระสารีบุตร ค.พระอนุรุทธะ ง.พระอสั สชิ ๑๐.พระโมคคลั ลานะบรรลพุ ระอรหตั เพราะฟังธรรมเทศนาอะไร ? ก.อาทิตตปริยายสูตร ข.อบุ ายในการนงั่ สมาธิ ค.อนุปุพพิกถา จตุราริยสจั ง.อบุ ายแกง้ ่วง ๘ ประการ

49 ๑๑.ตณั หกั ขยธรรม ธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งตณั หา พระพทุ ธเจา้ ตรัสที่ไหน ? ก.ถ้าสุกรขาตา ข.ป่ าอิสิปตนมฤคทายวนั ค.วดั เวฬุวนั ง.กลั ลวาลมุตตคาม ๑๒.คาวา่ “สิ่งท้งั ปวงไม่ควรแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ชอบใจหมด” เป็นคาพดู ของใคร ? ก.พราหมณ์หุหุกชาติ ข.ฑีฆนขะ อคั คิเวสนะ ค.ตปุสสะ ภลั ลิกะ ง.อปุ กาชีวก ๑๓.เวทนาปริคคหสูตร คือพระสูตรวา่ ดว้ ยเร่ืองอะไร ? ก.อุบายเครื่องบรรเทา ข.อุบายเคร่ืองไม่ถือมนั่ ค.อุบายเครื่องงดเวน้ ง.อบุ ายเคร่ืองสารวม ๑๔.อปุ ติสสะและโกลิตะไปดูมหรสพ คิดอยา่ งไรจึงออกบวช ? ก.คนพวกน้ีไม่ถึงร้อยปี กต็ าม ข.คนพวกน้ีหลอกลวงพวกเรา ค.คนพวกน้ีหลงระเลิงในกิเลส ง.สิ่งเหลา่ น้ีเป็นเพียงมายา ๑๕.มิตรมีอปุ การะต่อมิตร ปรากฏชดั ในประวตั ิของใคร ? ก.พระอุรุเวลกสั สปะ ข.พระมหากสั สปะ ค.พระโมคคลั ลานะ ง.พระสารีบุตร ๑๖.พระสาวกรูปใด เปรียบเหมือนนางนมผเู้ ล้ียงทารก ? ก.พระสารีบุตร ข.พระโมคคลั ลานะ ค.พระอสั สชิ ง.พระอนุรุทธะ ๑๗.พระสารีบุตรเถระบรรลุพระอรหตั ที่ไหน ? ก.ถ้าสุกรขาตา ภูเขาคิชฌกฏู ข.ถ้าสตั ตบรรณ เวภารบรรพต ค.ถ้าสุกรขาตา เวภารบรรพต ง.ถ้าสตั ตบรรณ เวปุลลบรรพต ๑๘. “ผู้ใดบรรลธุ รรมก่อน จงบอกแก่กนั ” ใครพดู กบั ใคร ? ก.อปุ ติสสะ-โกลิตะ ข.พาหิยะ-พากลุ ะ ค.อนุรุทธะ-อบุ าลี ง.อุปติสสะ-อสั สชิ ๑๙.พระบรมศาสดา ตรัสสอนอุบายแกง้ ่วงแก่ใคร ? ก.พระราหุล ข.ฑีฆนขปริพาชก ค.พระสารีบุตร ง.พระมหาโมคคลั ลานะ ๒๐.พระสาวกรูปใด ไดศ้ ษิ ยด์ ีและเป็นกาลงั สาคญั ของพระศาสนา ? ก.พระอสั สชิ ข.พระยสะ ค.พระอานนท์ ง.พระสารีบุตร

50 ๒๑.มหาสนั นิบาตแห่งพระอริยสาวก เป็นเหตุใหเ้ กิดอะไร ? ก.ธมั มจกั กปั ปวตั ตนสูตร ข.อนตั ตลกั ขณสูตร ค.อาทิตตปริยายสูตร ง.โอวาทปาฏิโมกข์ ๒๒.ใครเป็นศิษยข์ องสญั ชยั ปริพาชก ? ก.โกลิตะ ข.ปุกกสุ ะ ค.ปิ ปผลิ ง.ราธะ ๑.ง ๒.ค เฉลย ๔.ค ๕.ข ๖.ข ๗.ค ๓.ก ๙.ข ๑๐.ง ๑๑.ง ๑๒.ข ๘.ก ๑๔.ก ๑๕.ง ๑๖.ข ๑๗.ก ๑๓.ข ๑๙.ง ๒๐.ก ๒๑.ง ๒๒.ก ๑๘.ก


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook