Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รายงานการศึกษาเรื่องพื้นฐานการนวดพื้นบ้านภาคกลาง

รายงานการศึกษาเรื่องพื้นฐานการนวดพื้นบ้านภาคกลาง

Description: รายงานการศึกษาเรื่องพื้นฐานการนวดพื้นบ้านภาคกลาง

Search

Read the Text Version

เรื่อง พื้นฐารนากยางรานนวกดาพรืน้ศบึกษ้านา ภาคกลาง กองการแพทยพ์ น้ื บา้ นไทย กรมการแพทยแ์ ผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก กระทรวงสาธารณสขุ

รายงานการศกึ ษา เรอ่ื ง พน้ื ฐานการนวดพ้ืนบา้ น ภาคกลาง กองการแพทย์พ้นื บ้านไทย กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทยท์ างเลือก กระทรวงสาธารณสุข



คำ�นำ� รายงาน เรื่อง พ้ืนฐานการนวดพ้ืนบ้านภาคกลาง เป็นผลงานการวิจัยเล่มหนึ่งภายใต้โครงการศึกษา และพัฒนาภูมิปัญญาการนวดพ้ืนบ้านในการผสมผสานเข้าสู่ระบบบริการสาธารณสุขของรัฐ จัดท�ำขึ้น โดยมีวัตถุประสงคเ์ พอ่ื เผยแพร่องคค์ วามรู้การนวดพน้ื บ้านทัง้ ๔ ภาค ใหเ้ ป็นทร่ี จู้ ักและยอมรบั ในวงการสาธารณสขุ มากข้ึน รวมทั้งเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนให้ภูมิปัญญาการนวดพ้ืนบ้านไทยเป็นวิชาชีพแขนงหน่ึง ตามพระราชบัญญัติวชิ าชีพการแพทยแ์ ผนไทย พ.ศ. ๒๕๕๖ วา่ ด้วยการนวดไทย โดยน�ำองค์ความร้แู ละภมู ปิ ญั ญา เกย่ี วกบั การนวดพื้นบา้ นทงั้ ๔ ภาค ซงึ่ เปน็ ภมู ิปัญญาด้งั เดิม มีกรรมวธิ ีในการตรวจวนิ ิจฉยั บ�ำบดั รกั ษา สง่ เสริม และฟืน้ ฟูสุขภาพ มาด�ำเนนิ การศึกษาวจิ ัยโดยจัดการความร้แู ละสังเคราะห์ใหเ้ ปน็ รูปธรรม ผลการศึกษาทไ่ี ด้จะเป็น ข้อมูลพื้นฐานที่ส�ำคัญในการเสนอ เพ่ือขอรับการพิจารณาประกอบการรับรองให้ภูมิปัญญาการนวดพ้ืนบ้านไทย เป็นวิชาชีพแขนงหน่ึงในสาขาการนวดไทยตอ่ ไป กองการแพทย์พ้ืนบ้านไทย ได้ด�ำเนินการศึกษาวิจัยในพื้นท่ีน�ำร่องทั้ง ๔ ภูมิภาค มีทีมท่ีปรึกษา ๓ ท่าน ได้แก่ ๑) ดร.อุษา กล่ินหอม ๒) อาจารย์ดารณี อ่อนชมจันทร์ ๓) อาจารย์ณัฐกิตติ์ พรบัณฑิตย์ปัทมา เปน็ ผเู้ ชย่ี วชาญด�ำเนนิ การศกึ ษาวจิ ยั โดยรวบรวมผลการศกึ ษาขอ้ มลู เชงิ ลกึ ดา้ นองคค์ วามรกู้ ารนวดของหมอพนื้ บา้ น การอภิปรายกลุ่ม ท้ัง ๔ ภาค และน�ำผลการศึกษามารวบรวมและสังเคราะห์ข้อมูลตามวัตถุประสงค์ ท�ำให้ ทราบถงึ กระบวนการนวดแบบพนื้ บา้ น การใช้สมนุ ไพร พธิ กี รรม ขอ้ ห้าม ข้อควรปฏบิ ตั ิ ซึง่ เป็นภมู ิปญั ญาดงั้ เดมิ ของ การนวดพนื้ บา้ นไทยทค่ี นในสงั คมควรเรยี นรู้ โดยความรทู้ ไี่ ดร้ วบรวมมานสี้ ามารถน�ำมาประยกุ ตใ์ ชใ้ นการดแู ลสขุ ภาพ ของตนเองและคนในชุมชนได้ นอกจากนั้นผู้ท่ีมีความรู้ด้านการนวดมาแล้ว ยังสามารถน�ำผลการศึกษาน้ีไปปรับใช้ ในการพัฒนา แนวทางการนวดแกอ้ าการต่างๆ ได้อีกดว้ ย กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เห็นความส�ำคัญในการศึกษาภูมิปัญญา การนวดพนื้ บา้ นไทย ๔ ภาค จงึ ไดจ้ ดั พมิ พร์ ายงานฉบบั สมบรู ณเ์ ลม่ นข้ี น้ึ โดยคาดหวงั วา่ ภมู ปิ ญั ญาการนวดแบบพน้ื บา้ น ซง่ึ มคี วามเปน็ เอกลกั ษณเ์ ฉพาะของทอ้ งถน่ิ นน้ั ๆ จะไดร้ บั การอนรุ กั ษ์ สบื ทอดและยกยอ่ งใหเ้ ปน็ มรดกทางวฒั นธรรม ส�ำหรับคนไทยสืบต่อไป ทั้งนี้ หากมีข้อเสนอแนะประการใดสามารถแจ้งกลับมาได้ท่ี กองการแพทย์พื้นบ้านไทย หมายเลขโทรศพั ท์ ๐ ๒๕๙๑ ๗๘๐๘ เพอื่ การปรับปรงุ แกไ้ ขในโอกาสต่อไป นายแพทยส์ ุเทพ วัชรปิยานนั ทน์ อธบิ ดกี รมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ก

กติ ตกิ รรมประกาศ รายงานผลการศึกษาเร่ือง “พ้ืนฐานการนวดพื้นบ้านภาคกลาง” สำ�เร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีด้วยความกรุณา ของท่านอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก และผู้อำ�นวยการกองการแพทย์พ้ืนบ้านไทย ที่ให้ความสำ�คัญกับโครงการศึกษาและพัฒนาภูมิปัญญาการนวดพ้ืนบ้านในการผสมผสานเข้าสู่ระบบบริการ สาธารณสุขของรัฐ ซึ่งโครงการนี้มีความสำ�คัญต่อการพัฒนาภูมิปัญญาการแพทย์พ้ืนบ้านเป็นอย่างย่ิงขอขอบคุณ ทีมท่ีปรกึ ษาทกุ ภาค ขอขอบคุณ  อาจารย์ณัฐกิตต์ พรบณั ฑิตยป์ ัทมา และคณะ เป็นอย่างสูง ท่ีไดส้ ละเวลาอนั มีค่า และเป็นกำ�ลังสำ�คัญในการเก็บรวบรวมข้อมูลองค์ความรู้ของหมอนวดพ้ืนบ้านภาคกลางได้ทุกมิติ  ทำ�ให้รายงาน ฉบับนี้สำ�เร็จเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการนำ�ภาษาถิ่นท่ีเป็นวัฒนธรรมของภาคกลางมาไว้ในรายงานฉบับน้ีได้อย่าง นา่ สนใจ ขอขอบคุณคณะหมอพื้นบ้านภาคกลางทุกคน  ที่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในโครงการนี้และยินดีถ่ายทอด ความรู้ ความเขา้ ใจและประสบการณท์ ส่ี ง่ั สมมา  เพอ่ื ใหค้ ณะผวู้ จิ ยั ไดน้ �ำ มารวบรวม  สงั เคราะหแ์ ละด�ำ เนนิ งานจดั พมิ พ์ เพ่ือเผยแพร่ความรู้ที่เป็นประโยชน์และเป็นวิทยาทานให้กับชนรุ่นหลังได้ต่อไป   ขอขอบคุณ  คณะทำ�งาน  เจ้าหน้าที่ และผู้มีส่วนเก่ียวข้องทุกคนของกองการแพทย์พ้ืนบ้านไทย ที่เข้ามามีส่วนร่วมในการทำ�งานโครงการนี้ คณะผู้วิจัย ขอขอบคุณทุกท่านเป็นอย่างสูง รวมท้ังท่านท่ีไม่ได้กล่าวนามในที่นี้ ที่ได้ให้ความอนุเคราะห์และให้ความร่วมมือ จนผลการศึกษาเสร็จสมบูรณ์  บุญกุศลที่ได้จากการศึกษานี้ขออุทิศให้กับผู้เป็นเจ้าของภูมิปัญญาทุกท่านท่ีอนุญาต ให้คณะผู้วจิ ัยไดน้ ำ�มาศกึ ษาและสามารถจัดพิมพ์เผยแพรเ่ พ่อื ประโยชน์ตอ่ บา้ นเมอื งและสังคมไทยตอ่ ไป คณะทีมผูว้ จิ ัย ข

บทคัดยอ่ การศกึ ษาเรอื่ ง พน้ื ฐานการนวดพน้ื บา้ นภาคกลาง จดั ท�ำ ขนึ้ โดยมวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอื่ ศกึ ษาลกั ษณะทพ่ี งึ ประสงค์ ของการเปน็ หมอนวดพนื้ บา้ น กระบวนการนวดแบบพน้ื บา้ น รวมทง้ั พธิ กี รรมและสมนุ ไพรทใ่ี ชร้ ว่ มกบั การนวดรกั ษา วธิ ีการศกึ ษาเปน็ การศกึ ษาเชิงคุณภาพ กล่มุ ตวั อย่าง คอื หมอนวดพนื้ บ้านภาคกลาง โดยได้ก�ำ หนดเกณฑ์ ในการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่าง คือ ต้องเป็นหมอนวดพื้นบ้านท่ีมีประสบการณ์ในการนวดมากกว่า ๑๐ ปี มีจำ�นวน ผู้ป่วยที่มารับบริการนวดมากกว่า ๑๐๐ ราย และที่สำ�คัญเป็นหมอนวดที่ชุมชนยอมรับและยังให้บริการนวดจนถึง ปัจจุบันจนได้กลุ่มตัวอย่าง ๑๖ คน โดยเคร่ืองมือท่ีใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแนวทางการสัมภาษณ์เจาะลึกและ สนทนากลุม่ จนไดข้ ้อมูลครบถว้ นตามวัตถปุ ระสงค์ของการศึกษา แลว้ น�ำ มาวิเคราะหเ์ ชงิ พรรณนา ผลการศกึ ษา ๑) ลกั ษณะที่พึงประสงค์ของการเปน็ หมอนวดพืน้ บา้ นภาคกลาง พบว่า หมอนวดพ้ืนบ้านภาคกลางจะ เน้นการแต่งกายสะอาด ไม่โอ้อวด ไม่เห็นแก่เงิน ชอบช่วยเหลือผู้อื่น ส่วนสถานที่นวดให้บริการจะเน้นท่ีบ้าน เปน็ หลกั โดยต้องเปน็ สถานที่มอี ากาศถ่ายเท โปร่ง โดยรูปแบบการให้บริการนวด ใชว้ ธิ กี ดเส้นหรือจบั เสน้ เป็นหลัก คลึงเสน้ เหยยี บ ร่วมในการนวด ๒) กระบวนการนวดแบบพื้นบ้านภาคกลาง พบว่า หมอนวดพ้ืนบ้านภาคกลางจะต้องมีความรู้พ้ืนฐาน เก่ยี วกับเส้นประสาท ประตลู ม เสน้ เลอื ด เส้นลมและเส้นเอน็ กอ่ นทำ�การนวด โดยมีหลักการวินิจฉยั โรคและอาการ คอื การซกั ประวตั ิ ประวตั กิ ารเจบ็ ปว่ ยทง้ั อดตี และปจั จบุ นั การสงั เกต กอ่ นสรปุ วา่ เปน็ โรคหรอื อาการอะไร โดยพบวา่ โรคและอาการทร่ี กั ษาได้ดว้ ยการนวดแบบพื้นบา้ นภาคกลางมที ง้ั หมด ๕๐ อาการ โดยแตล่ ะโรคและอาการจะระบุ อาการแสดงและสาเหตุท่ีทำ�ให้เกิดโรคและอาการ ซึ่งรูปแบบและวิธีการนวดรักษาแก้โรคและอาการในภาคกลาง จะเนน้ การกดหรอื จบั เสน้ เปน็ หลกั โดยจะใชต้ �ำ รบั ยาสมนุ ไพร นาํ้ มนั นวดหรอื อบ ประคบ รว่ มกบั การนวดรกั ษา และ มักแนะนำ�ให้ผู้ป่วยนวดตัวเองท่ีบ้านและให้หลีกเลี่ยงอาหารประเภทเคร่ืองในสัตว์ ส่วนข้อควรระวังในการนวดคือ บริเวณทดั ดอกไม้ หู ใตค้ าง เหนอื กระดกู ไหปลาร้า และห้ามนวดในผูป้ ่วยมะเร็งทกุ ชนดิ ๓) พิธีกรรมท่ีใช้ร่วมกับการนวดรักษา พบว่า รูปแบบพิธีกรรมที่หมอนวดพื้นบ้านภาคกลางใช้ คือ พิธีกรรมไหว้ครูหมอให้ช่วยการรักษา และให้ผู้ป่วยทำ�พิธีกรรมยกครูก่อนนวดรักษา ถ้าจำ�เป็นต้องนวดนอกบ้าน จะท�ำ พิธีกรรมขออนุญาตครูหมอและท่ีส�ำ คัญตอ้ งท�ำ พธิ ีกรรมไหวค้ รูประจ�ำ ปี ขอ้ เสนอแนะ ๑) ข้อเสนอแนะเชงิ นโยบาย ควรสง่ เสริมสนับสนนุ การพัฒนาการนวดพ้นื บา้ นให้ได้มาตรฐานสปู่ ระเทศ อาเซียน ๒) ข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติการ ควรจัดเวทีแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับการนวดพื้นบ้านและ ตำ�รับยาสมุนไพรที่ใช้กับการนวดรักษาให้เป็นระบบ ให้เป็นทางเลือก ลดค่าใช้จ่ายในการส่ังซื้อยาจากต่างประเทศ ค

Abstract The study is focus on collect and synthesize traditional knowledge of Thai indigenous massage in central part, Thailand. This includes Thai indigenous massage procedures integrated with ritual therapy and medicinal plants.This study is a qualitative research. Population was folk healers who expertise in massage have had experiences of treating patients more than 10 years, were currently treating patients, seeing more than 100 patients and are well respected and well trusted by community members. Data collection and synthesis of the results by the in-depth interview by using participant observation and non-participant observation techniques and demonstrating indigenous massage knowledge. The results can be categorized into 3 parts: 1. The Characteristics found in folk healers who lived in central part of Thailand were kindness and compassionate, did not expect payment in the form of money or not aiming to gain profit. The healers’ houses were a good air ventilation and usually were the area that used for the treatment processes. The study found that the most type of massages commonly used for treated were Got Sayn or Jap Sayn and sometimes, can integrate with Kleung Sayn and Yiap. 2. The Thai indigenous massages procedures had been found that the healers had a basic knowledge and principle according to nerves systems, blood circulation systems, wind point and line in the body. The study of their treatments found several methods. To diagnose the patients, the healers will interview on patient’s history and the symptoms. The results found that out of 50 types of symptoms that can be treated in Thai indigenous massages, their healing procedures includes using indigenous massage with herbal remedies, herbal oils, herbal stream, or herbal compress. After the massage, the healers taught the patients how to massage by themselves at home and advised against consuming the tripe food. The cautions for massages were in the part of body were the pterion area, ear area, chin, upper clavicle bone and also all types of the cancer patients. 3. The rituals therapy. Before starting each treatment, the healers always perform teacher-honoring ceremony for blessing for the success of the treatment and protection. Patients have to prepare for this ceremony. If the healers had to treat patients outside or far from the house, they will ask permit from their teachers. The healers always arrange perform annual teacher-honoring ceremony. ง

Suggestion 1. In policy suggestion, should give a policy to support and develop of indigenous massage services standard. 2. In practical suggestion, should provide a platform to exchange Thai indigenous massage and herbal remedies among Thai traditional medicine practitioners, and increasing the patients’ choices of treatment and reducing the use of drugs from overseas. จ

สารบัญเร่ือง หน้า ก เรอื่ ง ข คำ�นำ� ค กติ ตกิ รรมประกาศ ฉ บทคดั ย่อ ช สารบญั ซ สารบญั ตาราง ซ สารบญั ภาพ ๑ สารบญั แผนภูมิ ๒ ๓ บทที่ ๑ บทนำ� ๓ ๓ ความเป็นมา และความส�ำ คัญของปญั หา ๔ วตั ถปุ ระสงค์ ๕ ขอบเขตการศกึ ษา คำ�จำ�กัดความในการศกึ ษา ๑๗ ผลทค่ี าดว่าจะได้รบั ๒๑ ๒๗ บทท่ี ๒ การทบทวนเอกสารและงานวจิ ยั ทีเ่ กยี่ วขอ้ ง ๒๙ ๒๙ ประวตั กิ ารนวดในประเทศไทย ๓๑ แนวคดิ การนวดไทย ๓๒ ภูมิปญั ญาการนวดแบบพน้ื บ้านภาคกลาง ๓๓ งานวจิ ยั ท่เี กย่ี วขอ้ ง ๓๔ กรอบแนวคิดในการศึกษา ๘๐ ๘๑ บทที่ ๓ วธิ ีการศึกษา ๘๒ ๘๔ ประชากรและการเลอื กกลมุ่ ตวั อยา่ ง ๘๕ เคร่ืองมือในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล ๘๘ การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล ๘๙ การวิเคราะหข์ ้อมลู ๙๓ ๙๔ บทท่ี ๔ ผลการศึกษา ส่วนที่ ๑ การวิเคราะหล์ กั ษณะท่ีพงึ ประสงค์ของหมอนวดแบบพนื้ บา้ นภาคกลาง สว่ นที่ ๒ การวเิ คราะห์กระบวนการนวดแบบพ้นื บ้านภาคกลาง ส่วนท่ี ๓ การวเิ คราะห์พธิ ีกรรมทใ่ี ช้รว่ มในการนวดรักษาภาคกลาง บทท่ี ๕ สรุป อภิปรายผลและขอ้ เสนอแนะ สรุป อภปิ รายผล ข้อเสนอแนะ บรรณานกุ รม ภาคผนวก ภาคผนวก ก รายชอื่ หมอนวดแบบพืน้ บ้านภาคกลางท่เี ขา้ รว่ มโครงการ ภาคผนวก ข เครือ่ งมอื การสมั ภาษณเ์ จาะลึกหมอนวดแบบพื้นบ้านภาคกลาง ภาคผนวก ค แนวทางสนทนากล่มุ หมอนวดแบบพ้ืนบ้านภาคกลาง ภาคผนวก ง กฎหมายท่เี ก่ยี วขอ้ งกบั การนวดพืน้ บ้าน ฉ

สารบญั ตาราง หนา้ ๓๗ ตารางท่ ี ๑ โรค/อาการ และสาเหตุที่รักษาไดด้ ว้ ยการนวด หน้า ๔๒ สารบญั ภาพ ๔๓ ๔๓ ภาพท ี่ ๔๔ ๑ การนวดรกั ษาอาการปวดต้นคอ ๔๕ ๒ การนวดรักษาอาการคอแข็ง/ตกหมอน/คอเคล็ด ๔๖ ๓ การนวดรกั ษาอาการขากรรไกรแข็ง ค้าง ๔๗ ๔ การนวดรกั ษาอาการหอู ้อื เดนิ เซ (นาํ้ ในหไู ม่เทา่ กัน) ๔๘ ๕ การนวดรกั ษาอาการปวดหวั ๔๙ ๖ การนวดรกั ษาอาการไมเกรน ๕๐ ๗ การนวดรักษาอาการปวดขมับ ๕๑ ๘ การนวดรักษาอาการตาพรา่ ๕๒ ๙ การนวดรกั ษาอาการตาลม ๕๓ ๑๐ การนวดรกั ษาอาการตาแข็ง ๕๔ ๑๑ การนวดรกั ษาอาการตาแห้ง ๕๔ ๑๒ การนวดรักษาอาการตากระตกุ ๕๔ ๑๓ การนวดรักษาอาการปวดระหว่างหวั ค้วิ ๕๕ ๑๔ การนวดรักษาอาการนอนไม่หลับ ๕๕ ๑๕ การนวดรักษาอาการเหนือ่ ยงา่ ย แนน่ หนา้ อก (หวั ใจ) ๕๕ ๑๖ การนวดรักษาอาการทอ้ งแขง็ ตึง เปน็ เถาดาน ๕๖ ๑๗ การนวดรักษาอาการมดลูกควํ่าเอยี ง ๕๖ ๑๘ การนวดรักษาอาการปวดสะบกั สะบกั จม ๕๘ ๑๙ การนวดรักษาอาการไหลต่ ิด ๕๙ ๒๐ การนวดรักษาอาการปวดเอว ปวดหลงั ปวดกระดูกสันหลงั ๖๐ ๒๑ การนวดรักษาอาการหมอนรองกระดกู ทบั เสน้ ประสาทแขน ๖๑ ๒๒ การนวดรักษาอาการหมอนรองกระดกู ทับเสน้ ประสาทขา ๖๑ ๒๓ การนวดรกั ษาอาการปวดกน้ ย้อย ๒๔ การนวดรกั ษาอาการปวดข้อศอก ๒๕ การนวดรักษาอาการปวดหลังแขน ๒๖ การนวดรักษาอาการปวดข้อพับแขน ช

๒๗ การนวดรักษาอาการปวดขอ้ มือ ๖๑ ๒๘ การนวดรกั ษาอาการปวดขอ้ น้วิ โป้ง ๖๒ ๒๙ การนวดรักษาอาการนวิ้ มอื ล็อก ๖๒ ๓๐ การนวดรักษาอาการไหล่หลดุ ๖๓ ๓๑ การนวดรักษาอาการมอื เย็นและชาท้ังแขน ๖๓ ๓๒ การนวดรักษาอาการข้อศอกหลดุ ๖๔ ๓๓ การนวดรกั ษาอาการขอ้ มอื หลดุ ๖๔ ๓๔ การนวดรกั ษาอาการปวดตน้ ขา ๖๔ ๓๕ การนวดรกั ษาอาการเข่าเสอื่ ม ๖๕ ๓๖ การนวดรักษาอาการปวดเข่า ๖๖ ๓๗ การนวดรักษาอาการเขา่ เคลอ่ื น (เกดิ จากอุบตั ิเหตุ) ๖๗ ๓๘ การนวดรกั ษาอาการปวดใตข้ าพบั ๖๘ ๓๙ การนวดรักษาอาการปวดรอ่ งสนั หน้าแข้ง ๖๙ ๔๐ การนวดรักษาอาการปวดข้อเท้าแพลง ๖๙ ๔๑ การนวดรกั ษาอาการปวดนว้ิ โปง้ น้ิวกอ้ ย ๗๐ ๔๒ การนวดรกั ษาอาการปลายเทา้ ชา ๗๑ ๔๓ การนวดรกั ษาอาการปวดส้นเทา้ (รองช้าํ ) ๗๑ ๔๔ การนวดรักษาอาการปวดโคนขาดา้ นใน ๗๒ ๔๕ การนวดรักษาอาการปวดโคนขาด้านหน้า ๗๓ ๔๖ การนวดรักษาอาการปวดโคนขาด้านหลงั ๗๓ ๔๗ การนวดรกั ษาอาการปวดโคนขาดา้ นนอก (จุดพับเพยี บ) ๗๔ ๔๘ การนวดรกั ษาอาการเทา้ เย็นนอ่ งเปน็ ตะคริว ๗๔ ๔๙ การนวดรกั ษาอาการเขา่ หลดุ สะบา้ หลดุ ๗๕ ๕๐ การนวดพื้นฐานหลัง (ทา่ ผู้ป่วยนอนตะแคงคเู้ ข่า) ๗๖ ๕๑ การนวดพื้นฐานบ่าแขนมอื ๗๗ ๕๒ การนวดพน้ื ฐานสะโพกและขา ๗๘ หน้า สารบญั แผนภูมิ ๒๘ แผนภูมิที่ ๑ กรอบแนวคิดการศกึ ษา พน้ื ฐานการนวดพืน้ บา้ นภาคกลาง ซ

๑บทบทที่ นำ� ๑ . ความเป็นมาและความส�ำ คัญของปัญหา วัดจึงเป็นศูนย์กลางของชุมชน คนภาคกลางมักเรียกตัวเองว่า ชาวพุทธ เนื่องจากส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ เปน็ ศนู ยก์ ลางการรกั ษาสบื ทอดต�ำ รายาพน้ื บา้ น ตลอดจนการรกั ษาดว้ ยคาถาและพธิ กี รรม ความเชอ่ื ในทอ้ งถน่ิ ยงั มกี ารนบั ถอื ผีบรรพบุรษุ ศาลพระภูมเิ จา้ ท่ี นอกจากน้ี ภาคกลางยังเป็นศนู ย์รวมผสมกลมกลืนของความหลากหลายทางวัฒนธรรม เช่น วฒั นธรรมมอญ อิสลาม และจนี เป็นต้น ดังนน้ั ความคดิ ความเชอ่ื ในการดูแลรักษาสุขภาพจงึ มคี วามหลากหลาย ทัง้ การ ดูแลรักษาสุขภาพแบบดั้งเดิมผสมผสานกับอิทธิพลของวัฒนธรรมอื่น มีการปรับใช้ให้สอดคล้องกลมกลืนกับวิถีชีวิตของ ชาวภาคกลาง ตวั อยา่ งการแพทยพ์ ืน้ บา้ นภาคกลาง เชน่ การเหยียบเหลก็ แดงของหมออสิ ลาม การท�ำ นายพยากรณ์ปญั หา สขุ ภาพ การดแู ลสุขภาพดว้ ยวิถีธรรม การรกั ษาผูป้ ว่ ยดว้ ยวฒั นธรรมของการนวดพื้นบ้านภาคกลาง เปน็ ต้น การนวดพ้ืนบ้านภาคกลางเป็นวิธีการรักษาแบบการแพทย์พ้ืนบ้านท่ีมีความสอดคล้องกับวัฒนธรรมของชุมชน เปน็ การนวดจากประสบการณต์ รงโดยการนวดใหค้ นใกลช้ ิด คนในครอบครัว การนวดพ้นื บ้านภาคกลางมลี ักษณะเหมอื นกบั การนวดพื้นบา้ นภาคอน่ื ที่ การเรียนรเู้ กี่ยวกับเส้นเอ็นและจดุ นวด ข้อสังเกตท่ีเด่นชัดอีกประการของการนวดพ้ืนบา้ นภาคกลาง คอื การใชส้ มนุ ไพรและการประคบสมนุ ไพรร่วมกบั การรกั ษา เทคนิคและวธิ กี ารนวดพน้ื บ้านภาคกลาง มดี ังน้ี การกดจุด การบบี การบดิ การคลึง การดึง การดัด การเหยียบ การรดี เสน้ การเหยยี บเหลก็ แดง (คล้ายการยา่ํ ขาง แตต่ า่ งกนั ทเ่ี ทคนคิ วิธกี าร อปุ กรณ์และสมนุ ไพร) วีธกี ารรักษาท่ใี ชร้ ่วมกบั การนวด พื้นบ้านภาคกลาง คือ การรบั ประทานยาสมุนไพร การใชน้ ํ้ามันสมุนไพรและการประคบดว้ ยสมนุ ไพร จากบันทึกของ ลา ลูแบร์ ราชทูตจากประเทศฝร่งั เศสท่เี ข้ามายังกรุงศรีอยุธยาสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ระบไุ วต้ อนหนงึ่ วา่ “ในกรงุ สยามนนั้ ถา้ ใครปว่ ยไขล้ ง กจ็ ะเรม่ิ ท�ำ เสน้ สายยดื โดยใหผ้ ชู้ �ำ นาญทางนขี้ น้ึ ไปบนรา่ งกายของคนไข้ แล้วใช้เท้าเหยียบ กล่าวกันว่าหญิงมีครรภ์มักใช้ให้เด็กเหยียบเพื่อให้คลอดบุตรง่ายไม่พักเจ็บปวดมาก” สะท้อนให้เห็นว่า การนวดกบั คนไทยอยคู่ กู่ นั มาอยา่ งยาวนาน ดงั นน้ั การนวดพน้ื บา้ นเปน็ ศาสตรบ์ �ำ บดั และรกั ษาโรคแขนงหนง่ึ ของการแพทย์ พน้ื บา้ น โดยจะเนน้ การยดื เสน้ และการกดจดุ รจู้ กั กนั โดยทวั่ ไปในชอ่ื “นวดแผนโบราณ” เปน็ การนวดทใี่ ชใ้ นระดบั ชาวบา้ น ดว้ ยท่าทางท่วั ไป ไม่มีแบบแผนหรอื พธิ รี ีตองในการนวดมากนกั สามารถใช้อวยั วะอน่ื ๆ เชน่ เข่า ศอก เทา้ เพ่อื ช่วยทุ่นแรง ในการนวดได้ การนวดพ้ืนบ้านภาคกลาง สามารถเป็นไดท้ ั้งการบ�ำ บัดและการรักษาโรค ยกตัวอย่างเชน่ การน�ำ การนวด พ้ืนบ้านภาคกลางมาบำ�บัดรักษาผู้ป่วยอัมพฤกษ์ อัมพาต โดยเฉพาะในผู้ป่วยท่ีอยู่ในระยะฟื้นฟู หรือผู้ป่วยท่ีพ้นระยะ วกิ ฤตแล้ว โดยการดูแลรกั ษาผปู้ ว่ ยน้ันอาจใช้วธิ ีการตา่ ง ๆ ร่วมกัน เช่น การจ่ายยาสมุนไพร การแช่นํา้ สมุนไพร การประคบ สมนุ ไพร การใหค้ �ำ แนะนำ�การกิน การท�ำ กายภาพบ�ำ บดั การสร้างกำ�ลงั ใจ ทั้งน้ขี ้นึ อยู่กบั ดลุ พนิ จิ ของหมอว่าจะใช้วิธใี ดกบั ผูป้ ว่ ยรายใด จึงจะถูกตอ้ งเหมาะสม แตท่ ่ขี าดเสียไมไ่ ด้ คือ การนวดกดจุด หรอื การใชน้ ้าํ หนกั กดลงไปบนจดุ ตา่ ง ๆ ของ รา่ งกายเพราะเชอ่ื วา่ อวยั วะของรา่ งกายมแี นวสะทอ้ นอยบู่ นสว่ นตา่ ง ๆ และเราสามารถกระตนุ้ การท�ำ งานของอวยั วะนน้ั โดยการ กระตนุ้ จดุ สะทอ้ นทอ่ี ยบู่ นสว่ นตา่ ง ๆ บนรา่ งกายนน่ั เอง ซง่ึ จ�ำ เปน็ จะตอ้ งท�ำ ในผปู้ ว่ ยเกอื บทกุ ราย โดยการนวดเสน้ กดจดุ นน้ั หมอผู้นวดตอ้ งมคี วามรูค้ วามชำ�นาญในการวนิ ิจฉัยอาการของผปู้ ่วย และตอ้ งมคี วามแม่นยำ�ในจดุ นวด รวมถึงการควบคมุ นา้ํ หนกั และระยะเวลาในการกดใหเ้ หมาะสม จงึ จะสามารถกระตนุ้ ประสาทหรอื ระบบการไหลเวยี นของโลหติ ไดด้ ี สง่ิ เหลา่ น้ี นับเป็นความรคู้ วามชำ�นาญ ทกั ษะเฉพาะตัวของหมอผู้ทำ�การนวด ซง่ึ กส็ อดคล้องกบั การศึกษาของ มานพ ประภาษานนท์ (๒๕๔๙) กล่าวว่า การนวดแบบพื้นบา้ นโดยการกดจดุ และจุดสะทอ้ นบนรา่ งกาย แบ่งออกเป็น ๔ กลุ่ม ดังตอ่ ไปนี้ น ว ด พื้ น บ้ า น ภ า ค ก ล า ง 1

กลมุ่ ที่ ๑ การนวดไหล่ ชว่ ยลดอาการปวดเม่อื ยกลา้ มเนื้อสะบัก ไหล่ แขน ลดอาการเคลด็ ขดั ยอกหลังและไหล่ วิธีการนวด ให้ผู้ถูกนวดนั่งบนพื้นหรือเก้าอ้ี ผู้นวดยืนด้านหลังของผู้ถูกนวด ผู้ถูกนวดน่ังหลังตรง ผู้นวดใช้นิ้วหัวแม่มือ ทั้งสองข้างจับท่ีตรงกึ่งกลางของแอ่งสะบักด้านล่าง ส่วนสี่นิ้วที่เหลือจับไหล่ผู้ถูกนวดเอาไว้ ใช้น้ิวหัวแม่มือท้ังสองกดไว้ โดยเรม่ิ จากเบาๆ แล้วจงึ ค่อยๆ เพ่มิ นา้ํ หนกั กดแลว้ คลาย ท�ำ สลบั ไปมา การบีบใหใ้ ช้นา้ํ หนกั ทุกนว้ิ ท�ำ สลบั ไปมาจากบ่า จนถงึ ไหลแ่ ล้วจงึ เปล่ียนเป็นทา่ ตอ่ ไป กล่มุ ที่ ๒ การนวดแขนและมอื ชว่ ยลดอาการปวดเมอื่ ยกลา้ มเนอื้ มอื ลดอาการเคลด็ ขดั ยอกขอ้ นว้ิ มอื วธิ กี ารนวด ใหผ้ ู้ถกู นวดนอนหงายราบกับพ้ืนหรอื ทน่ี อน ใชห้ มอนหนุนรองศรี ษะไว้ เหยยี ดแขนตามสบายและคว่ําฝา่ มอื ลง ผู้นวดใชน้ วิ้ หวั แมม่ อื ซา้ ยและขวาลบู ไลล่ งมาตามรอ่ งกระดกู มอื ขวาทอี่ ยรู่ ะหวา่ งนว้ิ กอ้ ยกบั นว้ิ นางและนวิ้ หวั แมม่ อื กบั นวิ้ ชข้ี องผถู้ กู นวด โดยลบู จากฝา่ มอื ลงไปจนถงึ ขอ้ มอื ออกแรงกดแลว้ คลงึ กลบั ขน้ึ มาถงึ โคนนว้ิ ลบู ลงไปแลว้ คลงึ ขนึ้ มาใหม่ แลว้ เปลย่ี นไปนวด ทร่ี อ่ งกระดกู แนวถดั ไปทอี่ ยรู่ ะหวา่ งนวิ้ ชก้ี บั นว้ิ กลางและนว้ิ กลางกบั นว้ิ นาง ลบู และคลงึ ในลกั ษณะเดยี วกนั ท�ำ สลบั ไปมาแลว้ จงึ เปล่ียนเป็นท่าตอ่ ไป กล่มุ ท่ี ๓ การนวดเอวและหลงั ชว่ ยลดอาการปวดเมอ่ื ยกลา้ มเนอื้ บรเิ วณหลงั วธิ กี ารนวด ใหผ้ ถู้ กู นวดนง่ั ขดั สมาธิ ผนู้ วดอยดู่ า้ นหลงั กางแขนออกเลก็ นอ้ ย ผนู้ วดวางมอื ทงั้ สองขา้ งลงบนไหลข่ องผถู้ กู นวด โดยท�ำ มอื เปน็ รปู สามเหลยี่ มพรี ะมดิ ใหน้ วิ้ ทง้ั สวี่ างชดิ กนั กบั นวิ้ หวั แมม่ อื ปรบมอื บรเิ วณไหลผ่ า่ นหลงั ไปจนถงึ กน้ กบ ปรบมอื สลบั ไปมา เวลาปรบจะมเี สยี งเหมอื น เสยี งปรบมือ แลว้ จงึ เปลีย่ นเป็นท่าต่อไป กลมุ่ ที่ ๔ การนวดขาและเท้า ช่วยลดอาการปวดเม่ือยกล้ามเน้ือเท้า ลดอาการเคล็ดขัดยอกข้อน้ิวเท้า ข้อเท้า ส้นเท้า วธิ กี ารนวด ใหผ้ ู้ถกู นวดนอนหงายราบกับพ้ืนหรอื ท่นี อน ใช้หมอนหนุนรองศีรษะ เหยยี ดขาตรงปลอ่ ยขาตามสบาย หรืออาจจะใช้หมอนรองใต้หัวเข่าเพ่ิมก็ได้ ผู้นวดใช้มือทั้งสองประสานกันไว้ โดยให้มือซ้ายอยู่บนปลายน้ิวเท้าด้านบนใกล้ ข้อเท้าขวาของผู้ถูกนวด มือขวาอยู่ใต้ปลายนิ้วเท้าด้านล่างใกล้ส้นเท้า ลูบขึ้นไปอย่างช้า ๆ ออกแรงกดและลูบสมํ่าเสมอ ลูบจากสน้ เท้าและขอ้ เท้าไลข่ ้นึ มาจนถงึ ปลายน้วิ เทา้ ท�ำ สลับไปมา จากรูปแบบและวิธกี ารนวดแบบพ้นื บา้ นภาคกลางดังกลา่ วข้างตน้ จะไดเ้ ห็นได้ว่า การนวดแบบพื้นบ้านท�ำ ใหผ้ ูไ้ ด้ รับการนวดได้ผลท้ังร่างกายและจิตใจ ผลทางกายคอื การนวดทำ�ใหเ้ กดิ อาการไหลเวยี นของเลือดลมดีข้นึ ช่วยผ่อนคลาย กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น พังผืด ช่วยการทำ�งานของข้อต่อดีขึ้นและยืดอายุการใช้งานยาวนานข้ึน กระตุ้นระบบประสาท การตนื่ ตวั ตอบสนองตอ่ สภาพแวดลอ้ มดขี น้ึ และยงั ท�ำ ใหก้ ารท�ำ งานมปี ระสทิ ธภิ าพยง่ิ ขนึ้ และยงั เปน็ การปอ้ งกนั และบรรเทา อาการเคล็ดขัดยอกกล้ามเนื้อและขอ้ ตอ่ ต่าง ๆ เชน่ ปวดหลงั ปวดไหล่ ปวดศรี ษะ หลงั ตึง ข้อแพลง โรคอัมพฤตและอนื่ ๆ ท�ำ ใหร้ สู้ กึ สดช่นื แจ่มใส ผ่อนคลายจติ ใจ แตอ่ ยา่ งไรกต็ าม การนวดแบบพน้ื บา้ นภาคกลางยงั อยใู่ นวงการคนสว่ นนอ้ ย ประชาชนสว่ นใหญย่ งั ไมย่ อมรบั มากนกั เพราะเห็นวา่ องค์ความรกู้ ารนวดแบบพนื้ บา้ นภาคกลางยังขาดการบันทกึ เป็นหลกั ฐานทใ่ี ช้อา้ งอิง จงึ ไม่น่าเชื่อถือมากนกั จากปญั หาดงั กลา่ วขา้ งตน้ ผวู้ จิ ยั เหน็ วา่ หากไมม่ กี ารรวบรวมองคค์ วามรกู้ ารนวดแบบพน้ื บา้ นภาคกลาง กจ็ ะท�ำ ให้ องค์ความรู้การนวดแบบพ้ืนบ้านสูญหายไปจากภาคกลางแน่นอน ผู้วิจัยจึงเห็นว่าน่าจะมีการรวบรวมองค์ความรู้การนวด แบบพน้ื บา้ นภาคกลางใหเ้ ปน็ การเฉพาะโดยการถอดองคค์ วามรู้ การนวดแบบพนื้ บา้ นภาคกลางเกย่ี วกบั ลกั ษณะทพ่ี งึ ประสงค์ ของหมอนวดพ้ืนบ้านภาคกลาง เทคนคิ วีธกี ารนวดแบบพนื้ บา้ น พิธีกรรมและการใชส้ มนุ ไพรทเี่ กย่ี วขอ้ งกับการนวด รวมท้ัง แนวทางการประเมินผลการนวดแบบพ้ืนบ้านภาคกลาง ดังน้ัน ผู้วิจัยจึงได้ศึกษาองค์ความรู้การนวดแบบพื้นบ้านและ จดั ทำ�ต�ำ รานวดแบบพ้นื บา้ นเบือ้ งตน้ กรณีศกึ ษา พน้ื ฐานการนวดพน้ื บ้านภาคกลางข้ึน โดยคาดหวังวา่ จะเปน็ ฐานข้อมลู ในการอนุรักษ์ ฟื้นฟูองค์ความรู้การนวดพ้ืนบ้านภาคกลางให้เป็นท่ียอมรับมากขึ้น และใช้เป็นข้อมูลให้ประชาชนท่ีสนใจ ไดส้ ืบทอดตอ่ ไป ๒. วตั ถปุ ระสงค์ ๑) เพ่ือศึกษาลักษณะที่พึงประสงค์ของหมอนวดพื้นบ้านเก่ียวกับคุณสมบัติของหมอนวดพ้ืนบ้าน คุณลักษณะ ของสถานทีท่ ใ่ี ห้บรกิ ารและรูปแบบการใหบ้ รกิ ารนวดแบบพืน้ บา้ น ๒) เพอ่ื ศกึ ษากระบวนการนวดแบบพน้ื บา้ นเกย่ี วกบั องคค์ วามรพู้ น้ื ฐานในการนวด หลกั การวนิ จิ ฉยั โรคและอาการท่ี รกั ษาไดด้ ว้ ยการนวดแบบพน้ื บา้ น รปู แบบและวธิ กี ารนวดรกั ษาแกโ้ รค/อาการ และขอ้ ควรระวงั และขอ้ หา้ มในการนวด 2 น ว ด พ้ื น บ้ า น ภ า ค ก ล า ง

๓) เพ่ือศึกษาพิธีกรรม สมุนไพรท่ีเกี่ยวข้องของหมอนวดแบบพื้นบ้านใช้เก่ียวกับรูปแบบพิธีกรรม และสมุนไพร ท่ใี ช้ร่วมในการรกั ษา ๓. ขอบเขตการศกึ ษา ๑) กลมุ่ ตวั อยา่ งในการศกึ ษา เฉพาะหมอนวดพน้ื บา้ นภาคกลางใน ๒๕ จงั หวดั ซง่ึ เปน็ หมอพน้ื บา้ นทม่ี ปี ระสบการณ์ ในการนวดมากกวา่ ๑๐ ปขี น้ึ ไป และมผี ปู้ ว่ ยมากกวา่ ๑๐๐ ราย ทผ่ี า่ นการนวดมากอ่ น ทส่ี �ำ คญั ยงั คงใหบ้ รกิ าร นวดแบบพ้นื บา้ นจนถึงปจั จบุ นั ๒) เน้ือหาการนวดพ้ืนบ้าน จะศึกษาเฉพาะองค์ความรู้เก่ียวกับการนวดแบบพ้ืนบ้านจากหมอนวดพ้ืนบ้าน ภาคกลางใน ๒๕ จังหวัด เพ่ือรักษาโรคและอาการเจ็บป่วยที่หมอนวดพ้ืนบ้านรักษาได้ด้วยการนวดหรือ อาจใชเ้ ทคนิค อุปกรณ์ หรอื สมนุ ไพรรว่ มในการรักษาด้วย ๔. ค�ำ จำ�กัดความในการศกึ ษา ๑) การนวดพื้นบ้าน หมายถึง การนวดเพ่ือผ่อนคลายกล้ามเน้ือ ความเมื่อยล้า ความเครียด ด้วยวิธกี ารกด การคลึง การบบี การจบั เส้น การดดั การดงึ หรอื โดยวิธอี ่นื ตามศาสตร์และศลิ ปะของการนวด ซงึ่ สอดคล้อง กับวัฒนธรรม วิถชี วี ิตของแต่ละชมุ ชน แตล่ ะทอ้ งถ่นิ ทช่ี ุมชนใหก้ ารยอมรบั ๒) การนวดเพอ่ื รกั ษา หมายถงึ การนวดทท่ี �ำ ใหเ้ กดิ ผลตอ่ อวยั วะและเนอื้ เยอ่ื ทอี่ ยลู่ กึ ๆ โดยการเพมิ่ การไหลเวยี น ของเลอื ด และเพ่ิมการท�ำ งานของเส้นประสาท ๓) การคลงึ หมายถงึ การใชข้ อ้ ศอกหรอื ทอ่ นแขนหรอื หวั แมม่ อื หรอื สน้ มอื คลงึ เสน้ เอน็ และกลา้ มเนอื้ ในลกั ษณะ ไปมาในลกั ษณะเสน้ ตรงหรือวงกลม เพ่อื ลดการเกร็งของเส้นเอน็ และกลา้ มเนือ้ ๔) การกด หมายถงึ การใชน้ ว้ิ หวั แมม่ อื หรอื สน้ มอื กดลงบนจดุ หรอื ต�ำ แหนง่ ทม่ี อี าการปวดหรอื ตงึ หรอื เปน็ กอ้ นแขง็ เพ่อื ใหก้ ้อนแข็งคลายตัวเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลอื ดใหส้ ะดวกขึ้น ลดอาการปวดหรือการอกั เสบลง ๕) การเหยียบ หมายถึง การใช้ฝ่าเท้าหรือส้นเท้าเหยียบลงบนจุดหรือตำ�แหน่งท่ีใช้วิธีอ่ืนแล้วไม่ได้ผล เช่น บรเิ วณร่องหนา้ แข้ง เพ่อื ใหเ้ ส้นเอ็นบรเิ วณน้นั คลายหรอื หย่อนลง เปน็ การลดความตึงหรอื เกร็งได้ ๖) การดัด หมายถึง การทีห่ มอนวดใช้มอื ออกแรงจบั ผปู้ ่วยเพอ่ื หมนุ ข้อต่อหรอื ส่วนท่ีตดิ ขดั ใหก้ ลับเข้าที่ ๗) การรีดเส้น หมายถึง การใช้ส้นน้ิวหัวแม่มือรีดไปตามเส้นเอ็นท่ีผิดปกติ เพ่ือกระตุ้นหรือคลายการเกร็งของ เส้นให้เลือดลมเดินได้สะดวกขน้ึ ๘) ตำ�รบั ยาสมนุ ไพร หมายถงึ สตู รยาสมนุ ไพรท่ีมีสมุนไพรมากกวา่ ๑ ตัว มารวมกนั เป็นตำ�รับซึ่งใชร้ ว่ มกบั การ นวดรกั ษาตามภมู ปิ ัญญาของหมอนวดพ้นื บ้านภาคกลาง ๙) นํา้ มนั สมุนไพร หมายถึง การใช้สมุนไพรมาบดหรอื มาเคยี่ วใหเ้ ดือดดว้ ยนํา้ มนั มะพร้าว หรอื น้ํามันงา หรือ นํ้ามันอ่ืน ๆ ที่ใช้ตามภูมิปัญญาของหมอนวดพื้นบ้านในการใช้ทาก่อนการนวด เพ่ือให้นํ้ามันซึมเข้าสู่บริเวณ หรือต�ำ แหนง่ ของเสน้ เอน็ หรอื กล้ามเนอ้ื ทมี่ ปี ัญหา ใหเ้ สน้ เอ็นคลายการเกร็งลง ๑๐) ประคบดว้ ยสมุนไพร หมายถึง การนำ�สมุนไพรมาหอ่ ด้วยผา้ มาน่ึงให้เกดิ ความร้อน แล้วน�ำ มาประคบบริเวณ หรือตำ�แหน่งของกล้ามเน้ือ เพ่ือให้ความร้อนเป็นตัวนำ�พาสมุนไพรเข้าซึมซาบตำ�แหน่งที่ปวดหรือตึงให้เส้น คลายตัว ๕. ผลทค่ี าดวา่ จะได้รับ ๑) ผลการศึกษาจะเป็นข้อมูลเบื้องต้น ประกอบการตัดสินใจของผู้บริหารในการกำ�หนดทิศทางการพัฒนา การนวดพืน้ บา้ นภาคกลางใหเ้ ป็นทางเลือกในการดูแลสุขภาพอนามยั ของคนไทย ๒) เป็นข้อมูลในการจัดทำ�ตำ�รานวดพื้นบ้านเพื่อใช้เป็นตำ�รานวดพ้ืนบ้านในการอบรมเสริมความรู้ให้แพทย์ แผนไทยในโรงพยาบาลส่งเสรมิ สขุ ภาพต�ำ บล ๓) สามารถพฒั นาการนวดแบบพน้ื บา้ นใหเ้ ปน็ วชิ าชพี แขนงหนง่ึ ของการนวดใหส้ อดคลอ้ งกบั พ.ร.บ.วชิ าชพี การแพทย์ แผนไทย พ.ศ. ๒๕๕๖ น ว ด พ้ื น บ้ า น ภ า ค ก ล า ง 3

๒การทบทวนเอกสบาทรทแี่ละงานวจิ ัยทีเ่ กยี่ วขอ้ ง การศึกษา เร่ือง พ้ืนฐานการนวดพ้ืนบ้านภาคกลาง ผู้วิจัยและคณะได้ทบทวนเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพ่อื เป็นแนวทางในการศึกษาครง้ั น้ี ซึง่ มีรายละเอยี ดเก่ียวกบั การนวดแบบพน้ื บ้านของภาคกลาง ดังน้ี ๑. ประวตั กิ ารนวดในประเทศไทย ๒. แนวคิดการนวดไทย ๓. ภูมิปัญญาการนวดแบบพ้นื บา้ นภาคกลาง ๔. งานวจิ ยั ทเ่ี กี่ยวขอ้ งกับการนวดแบบพ้นื บา้ นภาคกลาง ๕. กรอบแนวคดิ ในการศึกษา ๑. ประวัติการนวดในประเทศไทย ๑.๑ ประวตั ิความเป็นมาของการนวดไทย สมัยกอ่ นกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการนวดที่เก่าแก่ที่สุด คือ ศิลาจารึกสมัยสุโขทัยท่ีขุดพบท่ีป่ามะม่วง ตรงกบั จารกึ เป็นรปู การรกั ษาโดยการนวด เมื่อถึงยุคสมัยกรุงศรีอยุธยา รัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช การแพทย์แผนไทยเจริญรุ่งเรืองมาก โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ การนวดศักดนิ า ข้าราชการฝา่ ยทหารและพลเรอื น ท่ตี ราขน้ึ ในปี พ.ศ. ๑๙๙๘ มกี ารแบ่งกรมหมอนวด เปน็ ฝา่ ยขวา-ซา้ ย เปน็ กรมฯ ทคี่ ่อนขา้ งมาก และตอ้ งใช้หมอมากกวา่ กรมอ่นื ๆ หลกั ฐานจากจดหมายเหตขุ อง ราชทตู ลา ลู แบร์ ประเทศฝรง่ั เศส ไดบ้ นั ทกึ หมอนวดในแผน่ ดนิ สยามมคี วามวา่ “ในกรงุ สยามเรม่ิ ท�ำ เสน้ สายยดื โดยใหผ้ ชู้ �ำ นาญในทางนข้ี น้ึ ไปบนรา่ งกายของคนไข้ แลว้ ใหเ้ ทา้ เหยยี บ กลา่ วกนั วา่ หญงิ มคี รรภ์ มกั ใช้ใหเ้ ดก็ ง่าย ไม่พกั เจ็บปวดมาก” ตอ่ มาในสมยั พระบรมไตรโลกนาถ ในกฎหมายตราสามดวง “นาพลเรอื น” กลา่ วถงึ การแบง่ สว่ นราชการ ใหก้ รม หมอนวดหม่ืน พัน และมีศักดนิ าเช่นเดียวกบั ขา้ ราชการสมยั น้ัน ๑.๒ ประวตั คิ วามเป็นมาของการนวดไทย สมยั กรุงรตั นโกสินทร์ รชั กาลท่ี ๑ – รชั กาลที่ ๖ ต่อมาในสมัยรตั นโกสนิ ทร์ การแพทย์แผนไทยไดส้ ืบทอดรูปแบบต่อจากสมยั อยุธยา แต่เอกสารและวชิ าการ ความรบู้ างสว่ นในสมยั สงครามทง้ั ถกู จบั ไปเปน็ เชลยอกี สว่ นหนง่ึ ดว้ ย แตอ่ ยา่ งไรกต็ าม หมอกลางบา้ นและหมอพระทอ่ี ยตู่ าม หัวเมือง ยังมีอกี เป็นจำ�นวนมาก ในชนั้ หลงั พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจฬุ าโลก ทรงโปรดให้ปัน้ รปู ฤๅษีดดั ตน ซ่ึงเปน็ รูปหลอ่ ดว้ ยสังกะสผี สมดบี กุ และจารึกสรรพวิชาการนวดไทย ลงบนแผ่นหนิ ออ่ น ๖๐ ภาพ แสดงถึงจดุ นวดอยา่ งละเอยี ด ประดับบนผนังศาลารายและบนเสา ตอ่ มารชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั จากหลกั ฐานการแบง่ สว่ นราชการยงั คงมกี รมหมอนวด เชน่ โปรดให้หมอยา และหมอนวดถวายงานนวดทุกครั้ง ได้ชำ�ระต�ำ ราการนวดไทย และเรยี กตำ�ราแพทย์หลวง หรือแพทย์ใน พระราชส�ำ นกั ตกเขา้ มาในสงั คมไทย การนวดจงึ หมดบทบาทจากราชส�ำ นกั ในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั สว่ นหมอนวดแบบชาวบ้านได้รับการเรยี นรู้สบื ทอดจากบรรพบรุ ุษ 4 น ว ด พื้ น บ้ า น ภ า ค ก ล า ง

๑.๓ ประวัตคิ วามเป็นมาของการนวดไทย สมยั ต่อมาจนถึงปจั จุบัน การนวดเพอ่ื รกั ษาโรคของไทยมี ๒ แบบ คอื การนวดแบบราชส�ำ นกั และการนวดแบบเชลยศกั ด์ิ (แบบทว่ั ไป) ซ่ึงเป็นการเรียกกันมาทั้งในสถาบันการศึกษาและภายในครอบครัว สถานศึกษาการนวดแบบเดิมของไทยแห่งแรก คือ วัดพระเชตพุ นฯ (วัดโพธ)ิ์ เชน่ วัดสามพระยา วดั ปรนิ ายก เปน็ ตน้ ส่วนการนวดแบบราชสำ�นักปัจจุบันมีการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบท่ีอายุเวทวิทยาลัย (ชีวกโกมารภัจจ์) ซอยอารีย์ กรุงเทพฯ บวรนิเวศน์ ซ่ึงก่อตั้งโดย ศาสตราจารย์นายแพทย์อวย เกตุสิงห์ ท่านเห็นว่าการเรียนแผนโบราณ อยา่ งเดยี วท�ำ ใหล้ า้ สมยั ไมส่ ามารถน�ำ มาใชไ้ ด้ สว่ นการเรยี นแผนปจั จบุ นั อยา่ งเดยี วกท็ �ำ ใหก้ า้ วหนา้ ขน้ึ ไปจนมองขา้ มประโยชน์ ของทรัพยากรตา่ งๆ ของไทย ท่ไี ม่ไดพ้ ฒั นานำ�ไปใช้ ศาสตราจารยน์ ายแพทยอ์ วย เกตสุ งิ ห์ จงึ น�ำ การแพทยท์ ง้ั สองระบบน้ี มาผสมผสานประยกุ ตเ์ ขา้ ดว้ ยกนั โดยให้ นกั ศกึ ษาทจี่ บ ม.๖ และสมั ภาษณผ์ า่ นเขา้ มาเรยี นวชิ าแผนโบราณทกุ สาขา และวชิ าพนื้ ฐานสาขาเวชกรรมของแผนปจั จบุ นั ทุกวิชาเรยี กชือ่ ตามกฎหมายว่า “แพทยแ์ ผนไทยประยุกต”์ และท่านยังเล็งเหน็ ความสำ�คัญของการนวดไทยแบบราชสำ�นกั ที่ยงั ไม่มกี ารสอนแพร่หลายเหมือนแบบเชลยศักดิ์ จงึ ได้เชิญอาจารยณ์ รงค์สักข์ บุญรตั นหริ ัญ ผู้มคี วามชำ�นาญทางดา้ นการ นวดแบบราชสำ�นักเป็นอย่างดีได้ถ่ายทอดความรู้ให้กับนักศึกษาแพทย์แผนโบราณแบบประยุกต์เป็นศิษย์เอกท่านหนึ่งของ อาจารยช์ ติ เดชพนั ธ์ ซง่ึ เปน็ บตุ รชายคนเลก็ ของหมออนิ เทวดาสมยั กรงุ รตั นโกสนิ ทร,์ อาจารยห์ ลวงราชรกั ษา แพทยใ์ นราชส�ำ นกั , ทา่ นอาจารย์พัว หลายศรีโพธิ์ ลกู ศิษยห์ ลวงรามเดชะ และท่านยังเปน็ ครมู วยไทยซึ่งนำ�ทา่ มวยไทยหลายทา่ มาประยกุ ต์ เปน็ ทา่ นวด และน�ำ จดุ นวดต่างๆ ไปใช้ปอ้ งกนั และปราบคูต่ อ่ สเู้ ปน็ ผลใหม้ วยไทยเป็นทีร่ จู้ กั แก่ชาวโลกจนทกุ วันนี้ ในสว่ นการจดั ท�ำ คมู่ อื ดา้ นการนวดแผนไทยนน้ั พบวา่ มกี ารจดั ท�ำ คมู่ อื และเอกสารวชิ าการเกย่ี วกบั การนวดไทย แบบราชส�ำ นกั โดยอาจารยแ์ พทยห์ ญงิ เพญ็ นภา ทรพั ยเ์ จรญิ สถาบนั การแพทยแ์ ผนไทย ซง่ึ ขณะนน้ั ด�ำ รงต�ำ แหนง่ นายแพทย์ สาธารณสขุ จงั หวัดปราจีนบุรี ไดร้ วบรวมจากประสบการณ์ทีไ่ ด้รบั ความรู้จากอาจารยณ์ รงคส์ ักข์ บญุ รตั นหริ ัญ ในชว่ งเวลา ส้ันๆ ร่วมกับการศึกษาและแลกเปล่ียนประสบการณ์กับแพทย์แผนโบราณประยุกต์หลายคนในขณะน้ัน ทำ�ให้มีหน่วยการ นวดไทยและการนวดไทยส�ำ หรบั เจา้ หนา้ ทส่ี าธารณสขุ และไดน้ �ำ เผยแพรใ่ นการฝกึ อบรมดา้ นการแพทยแ์ ผนไทย รวมทง้ั ไดเ้ รม่ิ คัดเลือกปฏบิ ตั ิในการอบรมเจา้ หน้าทสี่ าธารณสุข จึงเปน็ ท่มี าของหนงั สอื กายบริหารแบบไทยท่าฤาษีดัดตนพน้ื ฐาน ๑๕ ท่า ซึ่งถูกคัดเลือกมาจากการรวบรวมไว้ก่อนแล้ว และได้มีการเผยแพร่ในการฝึกอบรมเจ้าหน้าท่ีสาธารณสุขและประชาชน อย่างกวา้ งขวาง ๒. แนวคดิ การนวดไทย การนวดหรอื หัตถเวช แบง่ เปน็ ๒ แบบคอื การนวดแบบราชส�ำ นกั และการนวดแบบทัว่ ไปหรือการนวดพน้ื บา้ น การนวดเปน็ การรกั ษาโรคทพี่ ฒั นามาจากการชว่ ยเหลอื ตวั เองภายในครวั เรอื นดว้ ยการใชม้ อื ทมี่ ผี ลตอ่ การรกั ษาโรคบางชนดิ เปน็ อยา่ งดี และรงุ่ เรอื งมากในสมยั อยธุ ยา โดยมกี ารจดั ตง้ั เปน็ “กรมหมอนวดซา้ ย-ขวา” จนมาในสมยั รตั นโกสนิ ทร์ การนวด ก็ยงั นับวา่ มีความรุ่งเรืองมากจนเมอื่ มกี ารบญั ญตั ิ “พระราชบัญญตั คิ วบคุมการประกอบโรคศลิ ปะ” ทำ�ให้หมอแผนโบราณ และหมอพื้นบ้านกลายเป็นหมอเถ่ือนจำ�นวนมาก ส่วนใหญ่จึงเลิกประกอบวิชาชีพการนวดไป จนมาถึงยุคท่ีมีการฟ้ืนฟู การนวดแบบราชส�ำ นกั ขน้ึ มาโดย ศาสตราจารย์ นายแพทยอ์ วย เกตสุ งิ ห์ อาจารยก์ รงุ ไกร เจนพานชิ ย์ และอาจารยณ์ รงคส์ กั ข์ บญุ รัตนหิรัญ ไดฟ้ ้ืนฟูการนวดแบบราชสำ�นัก ส�ำ หรบั การนวดแบบทวั่ ไปอาจเรยี กวา่ “การนวดเชลยศกั ด”์ิ มกี ารเรยี นการสอนถา่ ยทอดกนั มา ทง้ั ในสถาบนั ศกึ ษา และภายในครอบครวั สถานศกึ ษาการนวดเดมิ ของไทยแหง่ แรกๆ คอื วดั พระเชตพุ นฯ (วดั โพธ)ิ์ วดั สามพระยา และปจั จบุ นั เผยแพรอ่ ยา่ งกวา้ งขวาง แมแ้ ตช่ าวตา่ งประเทศยงั มาเรยี นเปน็ จ�ำ นวนมาก ไดแ้ ก่ วดั โพธ์ิ โรงพยาบาลบรรเทาทกุ ขภ์ าคเหนอื นอกจากการนวดทเี่ ปน็ ต�ำ รบั วธิ ขี องแผนไทยทใ่ี ชส้ บื ตอ่ กนั มาแลว้ ยงั มแี บบแผนการนวดของตา่ งชาติ เชน่ จนี แขก สวีเดน ญีป่ ุ่น ฯลฯ ซ่ึงหากนำ�มาใช้สมควรตอ้ งมีการประยุกตใ์ ห้เหมาะกับคนไทยตอ่ ไป ๒.๑ ประเภทของการนวดไทย ๑) การนวดแบบทว่ั ไป (แบบเชลยศกั ด์ิ) หมายถงึ การนวดแบบสามญั ชน มีการสืบทอดฝึกฝนแบบแผนการนวด ตามวฒั นธรรมท้องถ่นิ ซึ่งเหมาะมากสำ�หรบั ชาวบา้ นนวดกนั เอง ใชส้ องมอื และอวยั วะส่วนอื่น โดยไมต่ อ้ งใชย้ า ในปัจจุบนั เปน็ ท่รี ู้จักและแพรห่ ลายในสงั คมไทย การนวดแบบเชลยศักดิ์เปน็ การนวดบรเิ วณกลา้ มเน้ือและขอ้ ศอกต่างๆ ของรา่ งกาย น ว ด พื้ น บ้ า น ภ า ค ก ล า ง 5

การนวดไทยแบบเชลยศักดิ์ เปน็ การนวดท่ีปรากฏอยู่ในวดั และในสงั คมทัว่ ไป มีการสอนแบบสืบทอดกนั มา จากคนรนุ่ เกา่ และมีแบบแผนการนวดตามวัฒนธรรมทอ้ งถ่นิ กอ่ นเริม่ นวด ผู้นวดจะตอ้ งพนมมอื ไหวค้ รูเสยี กอ่ นในขณะท่ี ผ้ปู ว่ ยนอนอยูบ่ นพ้นื หลงั จากน้นั ผูน้ วดจึงเริ่มนวดจากเทา้ ขึ้นไปยงั หวั เขา่ แล้วไปสู่โคนขา มกี ารนวดทอ้ ง หลัง ไหล่ ต้นคอ และแขนจนท่วั ท้ังตวั การนวดแบบเชลยศักดิ์ รจู้ กั กันทวั่ ไปว่า “จับเสน้ ” เพ่อื ให้ “เลอื ดลมเดินได้สะดวกขึน้ ” ซง่ึ ตรงกับแพทย์ แผนปัจจุบัน คือ การนวดเพ่ือเพ่ิมหรือส่งเสริมการไหลเวียนของเลือดและนํ้าเหลือง นอกจากนี้ ยังมีผลสะท้อนทำ�ให้ การท�ำ งานของอวยั วะทอ่ี ยหู่ า่ งออกไปจากบรเิ วณนวดซง่ึ เดมิ มนี อ้ ยกลบั เพม่ิ ขน้ึ จนกลบั สสู่ ภาวะปกติ ฉะนน้ั ขอ้ บง่ ชข้ี องการนวด จงึ มมี ากมาย เชน่ รักษาหรอื บรรเทาอาการเคลด็ ขัดยอก ซ้น คอแขง็ จากการตกหมอน รกั ษาอาการอาหารไมย่ อ่ ย ท้องอดื เฟอ้ ทอ้ งผกู ปวดหลงั เจบ็ เอว ปวดเขา่ ตะครวิ ปวดศรี ษะ นอนไมห่ ลบั อาการวงิ เวยี น ชว่ ยคลายความเครยี ดทางกายและใจ ชว่ ยให้ขอ้ ที่เคลอ่ื นกลบั เขา้ ที่ได้ ลักษณะการนวดไทยแบบเชลยศักดิ์ ๑. การนวดไทยแบบเชลยศกั ด์ิ จะเร่มิ ตน้ การนวดท่ีฝา่ เท้า ๒. การนวดไทยแบบเชลยศกั ด์ิ เปน็ การนวดผปู้ ว่ ยในทา่ นง่ั ทา่ นอนหงายหรอื นอนตะแคง และทา่ นอนควา่ํ ๓. การนวดไทยแบบเชลยศกั ดส์ิ ามารถดดั หรอื งอขอ้ หรอื สว่ นใดสว่ นหนง่ึ ของรา่ งกายดว้ ยก�ำ ลงั แรง มกี ารนวด โดยใชเ้ ขา่ ข้อศอก ๔. การทำ�ใหเ้ กิดผลต่ออวยั วะและเนือ้ เยอ่ื น้นั การนวดแบบเชลยศักดิ์หวงั ผลโดยการนวดคลึงเปน็ ครง้ั คราว และการกดนวดเปน็ สว่ นใหญ่ ซง่ึ ผนู้ วดบางคนมคี วามรทู้ างวภิ าคศาสตรไ์ มด่ พี อ อาจท�ำ ใหอ้ าการปว่ ยแตเ่ ดมิ กบั เปน็ มากขนึ้ หรืออาจก่อใหเ้ กดิ อนั ตรายอยา่ งอ่นื ข้นึ กบั ผูป้ ว่ ยได้ ประโยชน์ ลดการเกรง็ ตวั ของกล้ามเน้ือ เพ่ิมระบบไหลเวยี นโลหติ เพิ่มประสทิ ธิภาพของระบบทางเดินหายใจ ฟน้ื ฟสู ภาพของระบบกล้ามเนอ้ื และระบบไหลเวียนโลหติ ข้อห้ามใช้ในการนวด ส�ำ หรบั ขอ้ ห้ามใช้ในการนวด ไดแ้ ก่ ผปู้ ่วยไขพ้ ษิ ไข้กาฬ มีตวั ร้อนจดั มีอาการเจบ็ กระดกู และขมุ ขน (ฝีดาษ บาดทะยกั ) เปน็ ไสต้ ง่ิ อกั เสบใกลแ้ ตก ผปู้ ว่ ยมโี รคผวิ หนงั ทต่ี ดิ ตอ่ ไดส้ �ำ หรบั ผทู้ ก่ี ระเพาะอาหารเปน็ แผล หรอื เปน็ นว่ิ ในไต เปน็ ตน้ ๒) การนวดแบบราชส�ำ นกั หมายถงึ การนวดเพอื่ ถวายกษัตริย์และเจา้ นายชน้ั สูงของราชสำ�นัก ผู้นวดจะต้อง เดนิ เขา่ เขา้ หาผ้ปู ่วยที่นอนอยบู่ นพ้ืน เมือ่ อยู่หา่ งผูป้ ่วยราว ๒ ศอก จงึ นง่ั พบั เพยี บและคารวะขออภยั ผู้ปว่ ย หลงั จากน้นั หมอจะคล�ำ ชพี จรทข่ี อ้ มอื และหลงั เทา้ ขา้ งเดยี วกนั เมอ่ื ตรวจดอู าการของโรคแลว้ จงึ เรม่ิ ท�ำ การนวดคลา้ ยการนวดแบบทว่ั ไป ต่างกันท่ีตำ�แหน่งการวางมือ องศาที่แขนของผู้นวดทำ�กับตัวของผู้ป่วยและท่าทางของผู้นวดซ่ึงจะต้องกระทำ�อย่างสุภาพ ย่งิ การนวดแบบราชสำ�นัก พจิ ารณาถึงคณุ สมบัตขิ องผูเ้ รยี นอย่างปราณตี ถ่ถี ว้ น และการสอนมีข้ันตอนจรรยามารยาทของ การนวด การนวดตอ้ งสภุ าพมาก ใชอ้ วยั วะไดน้ อ้ ย และตอ้ งตรงตามจดุ จงึ กลา่ วไดว้ า่ การฝกึ มอื และการนวดมอื เอกลกั ษณเ์ ฉพาะ การนวดแบบราชสำ�นักเป็นการนวดพื้นฐานต่างๆ เช่น พื้นฐานขา (แบ่งเป็นขาด้านนอกและด้านในและขาในท่านอน) พื้นฐานหลงั พน้ื ฐานแขน (แบง่ เปน็ แขนดา้ นนอกและดา้ นใน) พืน้ ฐานบ่า การนวดกล้ามเนื้อต้นคอการนวดศรี ษะ (แบง่ เปน็ ด้านหนา้ และดา้ นหลัง) การนวดคลายกลา้ มเนอ้ื บริเวณหนา้ ทอ้ ง (ท่าแหวก, ทา่ นาบ) ประโยชน์ ลดการเกร็งตัวของกล้ามเน้ือ เพ่มิ ระบบการไหลเวยี นโลหติ และน้ําเหลือง กระตุ้นระบบประสาท เพ่มิ ประสิทธิภาพของระบบทางเดินหายใจ ฟื้นฟสู ภาพของระบบกลา้ มเน้อื ระบบไหลเวียนโลหติ และระบบประสาท 6 น ว ด พ้ื น บ้ า น ภ า ค ก ล า ง

การเรยี นการสอนการนวดไทยสายราชส�ำ นักนี้ มี ๓ ขัน้ ตอน คอื ๑) การนวดขั้นพ้นื ฐาน ๒) การกดจุดทฤษฎีและวิธกี ารรักษาโรค ๓) การใช้วิธนี วด เทคนคิ ความแตกต่างของการนวดแบบเชลยศักดิ์กับแบบราชสำ�นัก นวดแบบราชสำ�นกั นวดแบบเชลยศักด์ิ ๑. ต้องมีกิริยามารยาทเรียบร้อย เดนิ เขา่ เขา้ หาผู้ป่วย ๑. มคี วามเป็นกนั เองกบั ผู้ป่วย ไมห่ ายใจรดผปู้ ว่ ย ไมเ่ งยหนา้ ๒. เร่มิ นวดต้ังแตใ่ ต้เขา่ ลงมาข้อเท้าหรือจากตน้ ขา ๒. เร่ิมนวดท่ีฝ่าเท้า ลงมาถึงขอ้ เทา้ ๓. ใชเ้ ฉพาะมือ คอื น้ิวหวั แม่มือ ปลายนิว้ และอ้งุ มอื ๓. ใช้อวัยวะทุกสว่ น เชน่ มอื เขา่ ศอก ในการนวด ในการนวดเท่านนั้ แขนตอ้ งเหยยี ดตรงเสมอ ๔. ทำ�การนวดผปู้ ว่ ยทีอ่ ยใู่ นทา่ น่งั นอนหงายและตะแคง ๔. ทำ�การนวดผู้ปว่ ยท่านั่ง นอนหงาย ตะแคง และ ไมน่ วดผู้ป่วยในท่านอนคว่ํา ทา่ นอนควา่ํ ๕. ไมม่ กี ารนวดโดยใช้เทา้ เข่า ข้อศอก ไม่มีการดัดงอข้อ ๕. มีการนวดโดยใช้เทา้ เข่า ขอ้ ศอก มกี ารดดั งอข้อ หรือส่วนใดของรา่ งกาย และส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ๖. ผ้นู วดเน้นใหเ้ กิดผลต่ออวยั วะและเนอื้ เยอ่ื โดยยึด ๖. ผู้นวด เนน้ ผลทีเ่ กดิ จากการกดและนวดคลงึ ตาม หลักกายวภิ าคเพอื่ เพิม่ การไหลเวียนของเลือด จุดตา่ ง ๆ และการทำ�งานของเสน้ ประสาท ๒.๒ ความรพู้ นื้ ฐานเกย่ี วกบั รา่ งกายมนษุ ยต์ ามทฤษฎแี พทยแ์ ผนไทย ระบบตา่ ง ๆ ทส่ี �ำ คญั ของรา่ งกาย ซ่งึ ควรรู้ ได้แก่ ๒.๒.๑ ระบบผิวหนัง ระบบผิวหนังประกอบด้วยหนังกำ�พร้า หนังแท้ เอ็น ต่อมไขมัน ต่อมเหงื่อ และขน ท�ำ หนา้ ทสี่ �ำ คญั คอื หอ่ หมุ้ รา่ งกาย ปอ้ งกนั เชอื้ โรคเขา้ สรู่ า่ งกาย ขบั เหงอ่ื และขบั ไขมนั มาหลอ่ เลย้ี งผวิ หนงั นอกจากน้ี ผวิ หนงั ยงั ท�ำ หนา้ ทท่ี ส่ี �ำ คญั คอื รกั ษาอณุ หภมู ขิ องรา่ งกายและรบั รสู้ มั ผสั ตา่ ง ๆ ทผ่ี วิ หนงั เชน่ ปวด รอ้ น เยน็ สมั ผสั และแรงกด โดยอาศยั ตวั รบั ความรู้สึกของประสาทท่ฝี งั ตัวอย่ทู ผ่ี วิ หนงั ทำ�ใหอ้ ณุ หภมู ิผิวหนงั เพมิ่ ข้ึน การนวดมผี ลท�ำ ใหเ้ ลอื ดทผี่ วิ หนงั ไหลเวยี นไดด้ ขี นึ้ ท�ำ ใหอ้ ณุ หภมู ทิ ผี่ วิ หนงั เพมิ่ ขนึ้ มผี ลกระตนุ้ การขบั เหงอื่ และ ไขมัน ท�ำ ให้ผิวหนงั เต่งตึงกว่าเดมิ และทำ�ความสะอาดง่าย ๒.๒.๒ ระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ ระบบน้ีประกอบด้วยกระดูกข้อต่อ กล้ามเน้ือ เอ็น และกระดูกอ่อน หน้าท่สี ำ�คัญของระบบน้ี คือ ท�ำ ให้มีรปู ร่าง ท�ำ ใหเ้ กิดการเคลือ่ นไหวหรือหยดุ การเคล่ือนไหว ปอ้ งกนั อวัยวะภายใน สร้าง เม็ดเลอื ด และเปน็ แหล่งสะสมแร่ธาตแุ คลเซยี ม การนวดมผี ลท�ำ ให้กลา้ มเนือ้ คลายตัว เคลอ่ื นไหวได้สะดวกข้นึ ๒.๒.๓ ระบบไหลเวยี นเลอื ดและน้าํ เหลือง ๑) ระบบไหลเวยี นเลอื ดท�ำ หนา้ ทส่ี �ำ คญั คอื เปน็ แหลง่ ล�ำ เลยี งเลอื ดซง่ึ มกี า๊ ซออกซเิ จน และสารอาหารตา่ ง ๆ ไปสู่เซลล์ แลกเปลย่ี นของเสียอันเกิดจากการทำ�งานของเซลลแ์ ละนำ�ไปกำ�จัดทิง้ ทางปสั สาวะ ระบบน้ี ประกอบด้วยหวั ใจ หลอดเลอื ดแดง หลอดเลอื ดดำ� และเส้นเลือดฝอยขนาดต่าง ๆ การนวดและการยืดดัดข้อมีผลทำ�ให้การไหลเวียนเลือดดีขึ้น เส้นเลือดฝอยขยายตัว และขับถ่าย ของเสียจากเซลล์สู่ระบบเลือดดำ�และปัสสาวะได้เพิ่มข้ึน ทำ�ให้บรรเทาอาการปวดอันเนื่องมาจากการคั่งค้างของสารเคมี ทีเ่ ป็นของเสียจากการทำ�งานของเซลล์ นอกจากน้ี การนวดท้งั ตัวอาจมผี ลทำ�ใหค้ วามดันโลหติ ลดลงได้เล็กนอ้ ย น ว ด พ้ื น บ้ า น ภ า ค ก ล า ง 7

๒) ระบบไหลเวียนน้าํ เหลือง มหี น้าทีส่ ำ�คัญคอื ช่วยเสริมการไหลของเลอื ดดำ� โดยการลำ�เลยี งน้าํ เหลอื ง เขา้ สรู่ ะบบไหลเวยี นเลอื ด (เขา้ ทางเสน้ เลอื ดด�ำ ) นอกจากน้ี ยงั ท�ำ หนา้ ทต่ี อ่ สกู้ บั เชอ้ื โรคในรา่ งกายไมใ่ หแ้ พรก่ ระจาย โดยการกรอง ไปไว้ที่ต่อมนํ้าเหลืองและสร้างระบบภูมิคุ้มกันปล่อยไปตามกระแสเลือด ระบบน้ีประกอบด้วยท่อนํ้าเหลือง ต่อมน้ําเหลือง และนํา้ เหลอื ง ผู้ท่ีเป็นโรคติดเช้ือมักจะมีอาการต่อมน้ําเหลืองบวมโต อาจคลำ�ได้เป็นก้อนเล็ก ๆ ที่บริเวณหนึ่ง ดังนี้ ใตร้ ักแร้ เหนือกระดกู ไหปลารา้ ใตต้ ่อกระดูกขากรรไกรล่าง และบริเวณขาหนีบ (ไข่ดนั ) หากพบตอ่ มนํา้ เหลอื งโต (คล�ำ พบ แตป่ กติคลำ�ไม่พบ) แสดงว่า อาจมีโรคติดเชอ้ื หรอื อาจเปน็ เนอื้ งอกทบี่ ริเวณใกล้เคียง ควรงดการนวด ๒.๒.๔ ระบบหายใจ ท�ำ หนา้ ทห่ี ลกั คอื น�ำ เอากา๊ ซออกซเิ จนเขา้ สปู่ อดแลว้ แลกเปลย่ี นเอากา๊ ซคารบ์ อนไดออกไซด์ อันเป็นผลิตผลจากการทำ�งานของเซลล์ออกมาสู่อากาศภายนอก การแลกเปล่ียนก๊าซท้ังสองน้ีอาศัยการซึมซาบผ่านถุงลม เลก็ ๆ ในเนอ้ื ปอด นอกจากน้ี ระบบหายใจยงั ท�ำ หนา้ ทร่ี อง คอื ชว่ ยปรบั อณุ หภมู ขิ องรา่ งกาย โดยการระบายความรอ้ นออก มากับลมหายใจออกและช่วยให้เกิดเสียง องคป์ ระกอบหลกั ของระบบนี้ คอื จมูก คอหอย กล่องเสยี ง หลอดลม ท่อลมปอด และปอด นอกจากน้ี ยังมีอวยั วะที่ชว่ ยหายใจอกี คอื กระบงั ลมและผนงั ทรวงอก การนวดไมค่ อ่ ยมผี ลโดยตรงตอ่ ระบบน้ี อยา่ งไรกต็ าม มขี อ้ สงั เกตวา่ หลงั การนวดทง้ั ตวั เมอื่ ผถู้ กู นวดผอ่ นคลาย ท�ำ ใหอ้ ตั ราการหายใจลดลง ๒.๒.๕ ระบบประสาท เปน็ ระบบสำ�คญั อยา่ งยิ่งตอ่ ชีวิต ระบบนท้ี ำ�หนา้ ท่คี วบคมุ ส่งั งาน และรบั รู้การทำ�งาน ของร่างกาย ถ้ามีการกระทบกระเทือนมากอาจเป็นอัมพาต หมดสติหรือตายได้ ขึ้นอยู่กับตำ�แหน่งและความรุนแรงของ การท�ำ ลายทร่ี ะบบประสาท ระบบนีป้ ระกอบด้วยสว่ นทสี่ ำ�คญั คือ สมอง สมองนอ้ ย ไขสนั หลงั และเส้นประสาทตา่ ง ๆ การนวดมีผลท�ำ ใหร้ ู้สึกผอ่ นคลายทัง้ ระบบประสาทและกล้ามเนอ้ื การกดนวดตามแนวเส้นตา่ ง ๆ ไมม่ ีผลเสยี ต่อเส้นประสาท เนื่องจากมีไขมัน กล้ามเนื้อ และเอ็นรองรับอยู่ แต่ถ้าตั้งใจกด เขี่ยหรือขยี้เส้นประสาทที่อยู่ตื้น ๆ เช่น ที่ด้านขา้ งของคอและท่ีด้านในของขอ้ ศอก อาจท�ำ ให้เส้นประสาทชา้ํ ถึงข้นั เปน็ อมั พาตได้ การดงึ ดดั กระดูกคอและกระดกู สนั หลงั ในคนแก่หรือคนทม่ี ขี ้อหลวมหรอื กระดกู เปราะ หรอื ข้อสนั หลังเคล่อื น อาจท�ำ ให้เกิดภาวะกระดกู ทับเสน้ ประสาท (dise syndrome) และเป็นอมั พาตได้ การนวดในผู้ทมี่ ีภาวะเหล่านจ้ี งึ เป็นขอ้ พงึ ระวัง และหา้ มการดึงดัดโดยเดด็ ขาด ๒.๒.๖ ระบบย่อยอาหาร ระบบย่อยอาหารท�ำ หนา้ ทีห่ ลกั ๓ ประการ คือ บดและกลืนอาหาร ยอ่ ยอาหาร ขบั ถา่ ยกากอาหาร ซงึ่ กลา่ วโดยรวม คอื ท�ำ ใหเ้ ซลลข์ องรา่ งกายไดร้ บั สารอาหารไปหลอ่ เลย้ี งใหม้ ชี วี ติ อยไู่ ดแ้ ละขบั เอากากอาหาร ออกจากร่างกาย ดงั นั้น ระบบน้ีจึงตอ้ งอาศยั องคป์ ระกอบสำ�คัญ ดังนี้ คอื ปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำ�ไสเ้ ลก็ ล�ำ ไสใ้ หญ่ ไสต้ รงและทวารหนกั นอกจากน้ี ยงั มอี วยั วะอน่ื ๆ ชว่ ย ไดแ้ ก่ ลน้ิ ฟนั ตอ่ มนา้ํ ลาย ตบั ออ่ น ตบั และถงุ นา้ํ ดี การยอ่ ย อาหาร และดูดซมึ สารอาหารเกิดขึ้นทลี่ �ำ ไสเ้ ล็กผา่ นเส้นเลอื ดฝอยและทอ่ นํ้าเหลอื งทผี่ นังล�ำ ไส้เลก็ การนวดมผี ลกระตนุ้ การเคลอ่ื นไหวของล�ำ ไส้ ท�ำ ใหย้ อ่ ยอาหารและขบั ถา่ ยกากอาหารไดด้ ขี น้ึ ดงั นนั้ การนวด จึงมผี ลลดอาการท้องผูก และช่วยให้มคี วามอยากรับประทานอาหาร ควรงดการนวดในระหว่างทเ่ี พง่ิ รับประทานอาหาร เสรจ็ ใหม่ ๆ เพราะอาจทำ�ใหข้ ยอ้ นอาหารออกมาได้ ควรรอให้อาหารยอ่ ยพอสมควร (ประมาณ ๓๐ นาทหี ลังรับประทาน อาหาร) แล้วจงึ นวดได้ ๒.๓ ความรใู้ นการค้นหาต้นเหตุของโรค นอกจากความรู้พ้ืนฐานเกี่ยวกับร่างกายมนุษย์แล้ว ผู้นวดต้องมีความรู้เก่ียวกับการค้นหาสาเหตุของโรค ซง่ึ สามารถได้ขอ้ มูลจากวธิ กี ารตอ่ ไปนี้ ๒.๓.๑ การซักประวตั ิ ตอ้ งถามผู้ถกู นวดในเร่ืองต่าง ๆ เพอ่ื น�ำ มาคิดพจิ ารณาว่าผู้ถูกนวดเปน็ โรคอะไร ดังน้ี อาการส�ำ คญั คอื อาการท่ีนำ�ผ้ถู กู นวดมาหาผู้นวด หรอื อาการทกี่ อ่ ใหเ้ กิดความร�ำ คาญอย่างมากแกผ่ ูถ้ ูกนวด เชน่ เจบ็ ไหลข่ วาเวลายกแขนหรอื ยกแขนไมไ่ ดน้ น้ั มคี วามเจบ็ ปวดลกั ษณะอยา่ งไร เปน็ มานานเพยี งใด ท�ำ ทา่ ไหนปวดมากทส่ี ดุ ท่าไหนปวดนอ้ ยทส่ี ดุ เคลือ่ นไหวท่าใดไดห้ รือไมไ่ ด้ เพราะปวดไหลต่ ดิ หรือเพราะไม่มแี รง ฯลฯ 8 น ว ด พื้ น บ้ า น ภ า ค ก ล า ง

ประวตั กิ ารเจบ็ ปว่ ยปจั จบุ นั มคี วามเกย่ี วขอ้ งกบั อาการส�ำ คญั ตอ้ งทราบถงึ ลกั ษณะการเรม่ิ เจบ็ ปว่ ย (คอื เปน็ ทันทหี รือคอ่ ยเปน็ คอ่ ยไป) อะไรเปน็ สาเหตุ (เชน่ อบุ ตั เิ หตุ ยกของผิดทา่ ยกของหนักเกินไป เปน็ ต้น) ความรุนแรง (อยู่ใน ระดับมากหรือนอ้ ย) เคยมกี ารอกั เสบ (ปวด บวม แดง รอ้ น) บรเิ วณนนั้ บริเวณอน่ื หรือไม่ ประวัติการเจ็บปว่ ยในอดตี เชน่ เคยไดร้ ับอุบัตเิ หตุ ไดร้ ับการผา่ ตัด ปว่ ยเปน็ โรคอะไรบา้ ง ฯลฯ เพราะอาจ เก่ียวขอ้ งกับการเจ็บปว่ ยในครงั้ นกี้ ไ็ ด้ ประวตั ิสว่ นตัวและประวัตคิ รอบครัว เช่น หอบหืด โรคปอด โรคหัวใจ ความดนั เลอื ดสูงหรือตํา่ โรคเบาหวาน โรคคอพอกเปน็ พษิ การสบู บหุ ร่ี การเสพสรุ า การออกก�ำ ลงั กาย ปญั หาสว่ นตวั ปญั หาครอบครวั หรอื การงานเปน็ เหตใุ หเ้ กดิ ความเครยี ดอยู่ ซงึ่ จะน�ำ ไปสกู่ ารปว่ ยเปน็ โรคตา่ ง ๆ ไดอ้ กี ทเี่ รยี กวา่ โรคทางกายอนั เนอ่ื งมาจากจติ เครยี ด วา้ วนุ่ เจา้ อารมณ์ เชน่ โรคแผลในกระเพาะอาหาร อาการหอบหดื นอนไมห่ ลบั ล�ำ ไสใ้ หญอ่ กั เสบ หรอื เสน้ เลอื ดแดงของหวั ใจตบี ตนั โรคผวิ หนงั บางชนดิ ฯลฯ ๒.๓.๒ การตรวจร่างกาย การตรวจทวั่ ไป โดยอาศยั การดู คล�ำ จบั สว่ นพกิ าร เคลอ่ื นไหวดู หรอื ใหผ้ ถู้ กู นวดเคลอ่ื นไหวเองดวู า่ เขาท�ำ ได้ หรือไม่ ทำ�ได้มากน้อยเพียงใด มีอาการเจ็บปวดร่วมด้วยหรือไม่ ลักษณะการเจ็บปวดเป็นอย่างไร (เสียดแทงหรือตื้อๆ) ปวดร้าว ปวดตุ๊บๆ ฯลฯ การเจ็บปวดทุเลาหรือเป็นมากขึ้นจากสาเหตุอะไร เช่น ทุเลาจากการบีบ นวดขยำ� ใช้ยาถูนวด การประคบด้วยความร้อน หรือเป็นมากข้นึ จากการทำ�งานหนัก ไมไ่ ดพ้ กั ส่วนนั้น ๆ ถูกความเยน็ จดั หรือมคี วามนึกคิดแบบ “ตตี นไปกอ่ นไข”้ เปน็ ตน้ การตรวจก่อนลงมือนวด เพื่อป้องกันความผิดพลาดท่ีอาจเกิดข้ึนได้จากการท่ีผู้ถูกนวดมีโรคอื่นแทรกซ้อน อยแู่ ลว้ ผนู้ วดจะตอ้ งตรวจดรู ะบบการท�ำ งานของหวั ใจ (ชพี จร) และการหายใจ (บนั ทกึ อตั ราการหายใจ) ถา้ ผถู้ กู นวดออ่ นแอ ลักษณะการหายใจและการท�ำ งานของหัวใจผิดปกติหรอื ปวดหลงั อย่างมาก ควรจดั ท่านวดโดยให้ผูถ้ ูกนวดนอนตะแคงหรอื นอนหงาย (ไมค่ วรนอนควา่ํ เพราะท้องและอกจะถูกกดอย่างมาก อาจเป็นอนั ตรายต่อสุขภาพได)้ เป็นตน้ ๒.๔ หลกั พ้ืนฐานการนวดไทย ๒.๔.๑ ต้องรกู้ ายวภิ าค หมายถึง ต้องรวู้ า่ รปู ร่างหนา้ ตาและต�ำ แหนง่ ของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย ถา้ ไม่รอู้ าจ ทำ�ใหก้ ารนวดผิดพลาดเป็นอันตรายได้ ๒.๔.๒ ตอ้ งรสู้ รรี วทิ ยา หมายถงึ ตอ้ งรหู้ นา้ ทข่ี องอวยั วะตา่ ง ๆ วา่ ท�ำ งานไดแ้ คไ่ หน อยา่ งไร โดยเฉพาะขอ้ ตอ่ และกล้ามเนื้อ การเรียนรู้ใหเ้ ขา้ ใจถงึ สภาพและหน้าที่ของระบบต่าง ๆ จงึ เปน็ พน้ื ฐานสำ�คญั ทจี่ ะทำ�ใหเ้ ราปฏิบตั ติ ่อรา่ งกาย ตนเอง และคนอน่ื ไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง เพอื่ การศกึ ษาโครงสรา้ งและหนา้ ทขี่ องรา่ งกายแตล่ ะสว่ นเราจ�ำ เปน็ ตอ้ งแบง่ รา่ งกายออก เปน็ ระบบตา่ ง ๆ และระบบทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั การนวดมากทสี่ ดุ ไดแ้ ก่ ระบบกระดกู ขอ้ ตอ่ และกลา้ มเนอ้ื ระบบประสาท ระบบ ไหลเวียนเลอื ดและระบบหายใจ ๒.๔.๓ การวิเคราะหโ์ รค ต้องวิเคราะหโ์ รคจากการซักประวัตแิ ละการตรวจรา่ งกาย แพทยไ์ ทยเดมิ ไม่มหี ้อง ปฏิบตั ิการ เพราะฉะนั้น การซักประวตั แิ ละการตรวจร่างกายต้องใช้ความชำ�นาญมาก จงึ จะได้ข้อมลู ว่า ผูป้ ว่ ยเป็นโรคอะไร จากสาเหตอุ ะไร ตำ�แหน่งทเ่ี ปน็ ระยะทเี่ ป็น เช่น เปน็ มานานเท่าไร ตอนเร่มิ มอี าการเร่ิมทนั ทีหรือคอ่ ย ๆ มีอาการทีละน้อย การด�ำ เนนิ ของโรคทผี่ ่านมามันทุเลาเองได้หรือไม่ หรือตอ้ งทำ�อย่างไรถึงทเุ ลา ๒.๔.๔ ต�ำ แหนง่ นวดหรือจุดนวด (หมอไทยเดมิ มกั จะเรยี กวา่ เสน้ สาย) จะอยูเ่ ป็นจุด หรือเป็นแนวไปตาม กลา้ มเนอ้ื หรอื หลอดเลอื ด เปน็ ตน้ หมอตอ้ งรวู้ า่ ต�ำ แหนง่ ไหนรกั ษาอาการอะไร เปน็ ตรงไหนควรจะนวดจดุ ไหน เรอ่ื งนต้ี อ้ งขน้ึ กับการวเิ คราะห์โรคใหถ้ ูก ถ้าวเิ คราะห์ไมถ่ ูก ก็จะนวดไม่ถกู จุดเชน่ กัน ๒.๔.๕ ทา่ นวด หมายถงึ ทา่ ของทง้ั หมดและผปู้ ว่ ย ตอ้ งคดิ วา่ ผปู้ ว่ ยจะนง่ั ขดั สมาธิ นอนหงาย หรอื นอนตะแคง นวดจงึ จะดี ส�ำ หรบั การนอนควา่ํ นวดคงไมเ่ หมาะ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ การนวดสนั หลงั อยา่ งเชน่ คนอว้ นจะตดิ ทพ่ี งุ หรอื ผหู้ ญงิ จะตดิ ที่หนา้ อก น ว ด พ้ื น บ้ า น ภ า ค ก ล า ง 9

๒.๔.๖ ท่านวดนี้รวมไปทีอ่ งศาทหี่ มอทำ�กบั ผปู้ ว่ ย องศาทน่ี วิ้ หมอกับตำ�แหน่งท่นี วด รวมทั้งการวางมือ เชน่ วางไปตามแนวกลา้ มเนื้อ วางขวางแนวกลา้ มเน้ือ และลกั ษณะการกด เช่น กดน่ิง กดข้นึ กดลง ที่สำ�คัญท้ังหมอและผปู้ ่วย ต้องอยูใ่ นทา่ ทีส่ บาย ๒.๔.๗ แรงทใ่ี ชน้ วด เราควรเรม่ิ ตน้ จากนอ้ ยไปกอ่ นและคอ่ ย ๆ เพม่ิ ขนึ้ การทจี่ ะก�ำ หนดวา่ ตอ้ งใชแ้ รงกก่ี โิ ลกรมั หรือกี่ปอนด์คงท�ำ ได้ยาก แต่ถ้ากล่าวเป็นร้อยละซ่งึ อาจจะกล่าวได้ เชน่ กดสกั ร้อยละ ๒๕ ของแรงหมอและค่อย ๆ เพ่ิมเป็น รอ้ ยละ ๕๐ หรอื รอ้ ยละ ๗๕ ตามความเหมาะสมเป็นราย ๆ ไป การออกแรงนวดนเ้ี ป็นความรูส้ กึ ละเอยี ดอ่อน จะบอกวา่ เปน็ โรคนตี้ อ้ งใชแ้ รงเทา่ นน้ั เทา่ นไี้ มไ่ ด้ เพราะผปู้ ว่ ยคนเดยี วแตใ่ นระยะเวลาทตี่ า่ งกนั อาจตอ้ งใชแ้ รงทแี่ ตกตา่ งกนั ไปดว้ ย หรอื รูปร่างคล้าย ๆ กัน แต่อาจมีความเจ็บปวดหรือมีอาการป่วย มากหรือน้อยแตกต่างกัน คือ ต้องออกแรงจากน้อย ๆ แล้วค่อย ๆ เพิม่ ข้ึน ตามล�ำ ดับ ๒.๔.๘ ระยะเวลาทใ่ี ชน้ วด ผนู้ วดตอ้ งทราบวา่ จะตอ้ งใชเ้ วลานวดอยนู่ านหรอื นวดเพยี งระยะสน้ั เชน่ กดเพยี งชว่ั ครู่ หรอื กดอยนู่ าน และเวลาปลอ่ ยจะตอ้ งคอ่ ย ๆ ปลอ่ ย ไมใ่ ชก่ ดแลว้ ปลอ่ ยทนั ที เพราะผปู้ ว่ ยจะระบม การใชเ้ วลานวดเทา่ ไรนน้ั หมอไทยเดิมของเรามักจะกำ�หนดจากลมหายใจเข้าแล้วหายใจออก รวมกันหน่ึงครั้งเป็น ๑ คาบ ถ้าหายใจสั้นก็เรียกว่า คาบสน้ั ถ้าหายใจยาวเรยี กคาบยาว เร่อื งนต้ี อ้ งใช้ความช�ำ นาญมากจงึ จะประมาณช่วงเวลาได้ ๒.๔.๙ ลำ�ดบั ของการนวด (ก่อน-หลัง) การที่จะกดนวดบรเิ วณใดก่อนหลงั เชน่ กดตรงคอไล่ไปท่ีไหลเ่ รยี งไป ตามตำ�แหน่ง ๑ ๒ ๓ ๔ หรือ ๔ ๓ ๒ ๑ ก็จะตอ้ งรเู้ ชน่ กนั ว่าอาการเช่นไรนวดอย่างไรให้ไดผ้ ลดที ่สี ุด ๒.๔.๑๐ การนวดซา้ํ ในแตล่ ะคราวเมอ่ื นวด ๑ ๒ ๓ ๔ ไป ๑ รอบแลว้ ตอ้ งนวดอกี กร่ี อบ อาจเปน็ ๒ รอบหรอื ๓ รอบ ตอ้ งรหู้ รอื พจิ ารณาใหเ้ หมาะสมเพราะถา้ นอ้ ยไปอาจไมไ่ ดผ้ ล ถา้ มากไปผปู้ ว่ ยอาจท�ำ ใหเ้ กดิ การระบมหรอื กลา้ มเนอ้ื ชา้ํ ๒.๔.๑๑ จ�ำ นวนครง้ั ของการนวด (ตง้ั แตเ่ รม่ิ จนกระทง่ั หายจากอาการเจบ็ ปวด) หมอทช่ี �ำ นาญจะประมาณไดว้ า่ อาการน้นี วดกีค่ รงั้ หาย อน่งึ ผู้ปว่ ย (ไมว่ า่ จะรกั ษาแผนใดกต็ าม) มกั อยากรูว้ ่าตนเปน็ อย่างไร นอนนานแคไ่ หนกวา่ จะหาย สิง่ นีส้ ำ�คญั มากท่ีหมอต้องทราบและบอกผปู้ ว่ ยได้ ๒.๔.๑๒ ความถข่ี องการนวด หมายถึง “ก่วี นั ผปู้ ่วยจึงจะตอ้ งไปหาหมอคร้ังหนึ่ง” เปน็ ส่ิงที่หมอต้องบอก ซง่ึ ผปู้ ว่ ยเองมคี วามอยากทราบเชน่ กนั ไมใ่ ชน่ วดทกุ ๆ วนั ผปู้ ว่ ยอาจระบม การนวดนน้ั บางครง้ั จ�ำ เปน็ ตอ้ งหยดุ ใหเ้ วลารา่ งกาย รกั ษาตนเองบา้ ง เพราะโดยธรรมชาตริ า่ งกายจะรกั ษาตนเองอยแู่ ลว้ ดงั นน้ั อาจนวดครง้ั หนง่ึ แลว้ เวน้ ไปซกั ๒-๓ วนั จงึ นวดใหม่ ๒.๔.๑๓ ผลด-ี ผลเสยี ของการนวดผู้ปว่ ยแต่ละคน เมอ่ื เราตรวจตามขนั้ ตอนแล้วจะตอ้ งพจิ ารณาวา่ เม่อื นวด แล้วจะมีผลดีผลเสียอย่างไร เช่น ทำ� ๓ ครั้ง พอหรือมากไป ไม่ใช่นวดแล้วขอเพิ่มอีกนิด ถ้านวดมากไปผู้ป่วยอาจได้รับ อนั ตราย ทกุ ครง้ั ทน่ี วดจะตอ้ งรอบคอบและขณะทน่ี วดตอ้ งมสี ตสิ มั ปชญั ญะอยเู่ สมอ กลา่ วคอื ผนู้ วดจะตอ้ งสงั เกตอาการของ ผู้ปว่ ยตลอดเวลาทน่ี วด ๒.๔.๑๔ ค�ำ แนะน�ำ มคี วามสำ�คัญมาก เชน่ ผู้ปว่ ยควรปฏิบตั ติ วั อยา่ งไร ถ้าไมม่ คี ำ�แนะนำ�ท่ดี แี ลว้ ก็มักเป็นอกี ฉะนัน้ ควรใหค้ ำ�แนะนำ�แกผ่ ปู้ ่วย ทั้งสิง่ ท่ีควรกระทำ�กบั ส่งิ ทค่ี วรละเวน้ เช่น หมอต้องสอบถามหรอื วเิ คราะหอ์ าการใหแ้ น่ชัดก่อนลงมอื นวด หมอและผปู้ ว่ ยควรทำ�จติ ใจใหส้ บาย ไม่ควรเรง่ รีบ หรอื ลกุ ลลี้ กุ ลน ถา้ หมอเปน็ โรคตดิ ตอ่ ไมค่ วรไปนวดผปู้ ว่ ย และถา้ ผปู้ ว่ ยเปน็ โรคตดิ ตอ่ กค็ วรรกั ษาใหห้ ายเสยี กอ่ นจงึ จะ ไปนวด จุดนวดบางจดุ เชน่ บริเวณไหปลาร้า หรอื ใตร้ ักแร้ ถา้ นวดกดในลกั ษณะนานไปจะเกดิ อนั ตรายตอ่ ผปู้ ่วยได้ เป็นต้น หมอนวดและผปู้ ว่ ยควรระวงั สขุ ภาพตนเอง ถา้ ไมพ่ รอ้ ม เชน่ เพลยี ไป หวิ ไปหรอื อม่ิ มากเกนิ ไป ไมค่ วรนวด ควรพักผอ่ นร่างกายอยใู่ นสภาพปกติเสียกอ่ น หมอและผู้ป่วยตอ้ งค�ำ นงึ ถึงความสะอาดของสถานท่ีน่ังทีน่ อนและความเหมาะสมในการแต่งตัว หมอต้องคำ�นงึ ถึงวยั ของผ้ปู ่วยด้วย เชน่ ผ้ปู ว่ ยชราอาจมีกระดกู บางหรอื ผุ และหลอดเลือดแขง็ แรงหรือ มอี าการอกั เสบ 10 น ว ด พื้ น บ้ า น ภ า ค ก ล า ง

๒.๔.๑๕ ขอ้ หา้ มท่าการนวด ทคี่ วรยดึ ถือปฏบิ ัตขิ องท้งั ผูป้ ่วยและหมอทำ�อะไรตอ้ งมีขอ้ หา้ ม เชน่ ถ้าผิวหนงั ของผูป้ ว่ ยเป็นฝี ไม่ควรไปกดบริเวณนัน้ ผู้ปว่ ยทีม่ ีการอกั เสบของไสต้ ง่ิ อักเสบ ถ้าไปกดท้องอาจทำ�ใหไ้ ส้ต่ิงแตกและผ้ปู ่วย อาจเสยี ชีวิตได้ ผูป้ ่วยทเี่ ป็นโรคบางโรค เช่น ไตหย่อนยานลงมาแล้วมกี ารกดบริเวณใด อาจเปน็ อันตรายต่อผ้ปู ว่ ยได้เชน่ กนั สำ�หรับหมอถ้าไม่แข็งแรง เพราะป่วยหรือเพ่ิงหายไข้ก็ไม่ควรออกแรงนวดผู้ป่วย เพราะการนวดจะไม่ได้ผล และจะเกิด อนั ตรายกบั หมอเอง ๒.๕ รปู แบบการนวดพื้นบา้ น การนวดแบบไทยหรือการนวดแผนไทยเดมิ นั้น สามารถแยกรายละเอยี ดลกั ษณะการนวดไดด้ งั นี้ ๒.๕.๑ การกด การกดมกั ใชน้ ว้ิ หวั แมม่ อื กดลงทส่ี ว่ นของรา่ งกาย เพอ่ื ชว่ ยใหก้ ลา้ มเนอ้ื คลายตวั ใหเ้ ลอื ดถกู ขบั ออกจากหลอดเลือดที่บรเิ วณนนั้ และเม่ือลดแรงกดลง เลือดก็จะพงุ่ มาเล้ียงบริเวณน้นั มากขน้ึ เพ่อื ใหร้ ะบบการไหลเวียน ของเลอื ดทำ�หนา้ ทไ่ี ด้ดี ช่วยซ่อมแซมส่วนท่สี กึ หรอไดเ้ รว็ ข้ึน ขอ้ เสยี ของการกด คอื ถา้ กดนานเกนิ ไปหรอื หนกั เกนิ ไปจะท�ำ ใหห้ ลอดเลอื ดเปน็ อนั ตรายได้ เชน่ ท�ำ ใหเ้ สน้ เลอื ด ฉกี ขาด เกดิ รอยชํ้าเขียวบรเิ วณที่กดนน้ั ๒.๕.๒ การคลึง เป็นการใช้หัวแม่มือ น้ิวมือ หรือสันมือออกแรงกดให้ลึกถึงกล้ามเนื้อให้เคลื่อนไปมาหรือ คลงึ เป็นลกั ษณะวงกลม ข้อเสียของการคลึง คือ การคลงึ ทรี่ ุนแรงมากอาจท�ำ ใหเ้ ส้นเลอื ดฉีกขาดหรอื ถ้าไปคลึงท่ีเส้นประสาทบางแหง่ ทำ�ใหเ้ กิดความรู้สึกเสียวแปลบ ท�ำ ใหเ้ ส้นประสาทอักเสบได้ ๒.๕.๓ การบบี เป็นการจับกล้ามเน้ือให้เต็มฝ่ามือแล้วออกแรงบีบท่ีกล้ามเน้ือ เป็นการเพ่ิมการไหลเวียน ของเลอื ดมายังกล้ามเนื้อ ช่วยใหห้ ายจากอาการเมอ่ื ยล้า การบีบยังช่วยลดอาการเกรง็ ของกลา้ มเนือ้ ได้ด้วย ขอ้ เสียของการบีบ เชน่ เดียวกับการกดคอื ถา้ บบี นานเกนิ ไปอาจท�ำ ให้กลา้ มเนอ้ื ช้าํ เพราะเกิดการฉกี ขาด ของเสน้ เลอื ดภายในกลา้ มเนือ้ นัน้ ๒.๕.๔ การดงึ เป็นการออกแรงเพ่ือที่จะยืดเส้นเอ็นของกล้ามเน้ือหรือพังผืดของข้อต่อที่หดสั้นเข้าไปออก เพื่อให้ส่วนน้ันทำ�หน้าท่ีได้ตามปกติ ในการดึงข้อต่อมักจะได้ยินเสียงลั่นในข้อ ซึ่งแสดงว่าการดึงนั้นได้ผลและไม่ควรดึง ตอ่ ไปอีก สำ�หรบั กรณีทีไ่ มไ่ ด้ยนิ เสียงก็ไมจ่ �ำ เปน็ ต้องพยายามทำ�ให้เกิดเสียง เสียงล่นั ในขอ้ ต่อเกิดจากอากาศท่ซี มึ เข้าขอ้ ต่อ ถูกไล่ออกมาจากขอ้ ต่อ ตอ้ งใช้ระยะเวลาหนง่ึ ใหอ้ ากาศมโี อกาสซึมเข้าสูข่ อ้ ต่ออีกจงึ เกิดเสียงได้ ข้อเสียของการดึง คอื อาจทำ�ให้เส้นเอน็ หรอื พงั ผดื ที่ฉีกขาดอยู่แล้วขาดมากขึ้น ดงั น้นั จงึ ไม่ควรท�ำ การดงึ เมื่อมีอาการแพลงของข้อต่อในระยะเริม่ แรก ตอ้ งรอใหห้ ลงั การบาดเจบ็ แลว้ อยา่ งน้อย ๑๔ วัน จงึ ท�ำ การดึงได้ ๒.๕.๕ การบดิ เปน็ การออกแรงเพ่อื หมนุ ข้อต่อหรือกลา้ มเนื้อ เส้นเอ็นให้ยดึ ออกทางด้านขวาง ข้อเสียของการบดิ คล้ายกบั ข้อเสยี ของการดงึ ๒.๕.๖ การดัด เป็นการออกแรงเพื่อใหข้ ้อต่อทตี่ ิดขดั เคลือ่ นไหวได้ตามปกติ การดัดต้องออกแรงมาก และ คอ่ นขา้ งรนุ แรง กอ่ นท�ำ การดดั ควรจะศกึ ษาเปรยี บเทยี บชว่ งการเคลอ่ื นไหวของขอ้ ตอ่ ทจ่ี ะท�ำ การดดั กบั ขอ้ ตอ่ ปกติ ปกตจิ ะตอ้ ง ค�ำ นึงถึงอายขุ องผปู้ ่วยด้วย โดยถอื วา่ เด็กยอ่ มมีการเคลอ่ื นไหวของข้อตอ่ ดีกวา่ ผู้ใหญ่ ขอ้ เสียของการดดั คือ อาจท�ำ ใหก้ ลา้ มเน้อื ฉีกขาดได้ ถ้าผ้ปู ่วยไมผ่ ่อนคลายกล้ามเนอื้ รอบ ๆ ขอ้ ตอ่ นั้น หรือ กรณที �ำ การดดั คอในผ้สู งู อายุ ซึ่งมีกระดกู คอ่ นขา้ งบาง การดดั ทรี่ นุ แรงอาจทำ�ใหก้ ระดกู หกั ได้ ในผู้ป่วยท่ีเป็นอัมพาตมีกล้ามเนื้ออ่อนแรงไม่ควรทำ�การดัด เพราะอาจทำ�ให้ข้อต่อเคลื่อนออกจากเดิม หรือ กรณีขอ้ เทา้ แพลง ไม่ควรท�ำ การดดั ทนั ที อาจทำ�ใหม้ อี าการอกั เสบและปวดมากขึ้น ๒.๕.๗ การตบตหี รอื การทบุ การสบั การตบตหี รอื การทบุ การสบั เปน็ การออกแรงกระตนุ้ กลา้ มเนอื้ อยา่ งเปน็ จงั หวะ เรามกั ใชว้ ธิ กี ารเหล่านก้ี บั บริเวณหลังเพ่ือช่วยอาการปวดหลัง ปวดคอ หรอื ช่วยในการขับเสมหะเวลาไอ ขอ้ เสยี ของการตบตี คอื ท�ำ ให้กลา้ มเน้อื ชอกช้ําและบาดเจบ็ ได้ น ว ด พ้ื น บ้ า น ภ า ค ก ล า ง 11

๒.๕.๘ การเหยียบ เปน็ วิธที ่นี ิยมทำ�กนั โดยให้เดก็ หรอื ผู้อ่ืนขนึ้ ไปเหยยี บหรือเดินอยบู่ นหลัง ข้อเสียของการเหยียบ เป็นท่านวดท่ีมีอันตรายมาก เพราะจะทำ�ให้กระดูกสันหลังหัก และอาจท่ิมแทง ถูกไขสนั หลัง ท�ำ ให้เปน็ อัมพาตได้ หรือทำ�ให้เกดิ อนั ตรายต่ออวัยวะภายใน เชน่ ตบั ไต เกิดการบาดเจ็บได้ ๒.๖ ตวั อยา่ งอาการปวดที่พบบ่อย ๒.๖.๑ ปวดหลงั เป็นอาการท่ีพบได้บอ่ ยในบรรดาผู้ใช้แรงงาน ซึง่ อาจมีสาเหตไุ ด้หลายอย่าง แตส่ ว่ นใหญ่ เกดิ จากกลา้ มเนอ้ื หลงั ถกู ใชง้ านนานเกนิ ไป ท�ำ ใหข้ าดเลอื ดไปเลย้ี ง หรอื ถกู ใชง้ านเกนิ ก�ำ ลงั ของกลา้ มเนอ้ื ท�ำ ใหเ้ กดิ การฉกี ขาด ของกล้ามเนอ้ื นัน้ อาการปวดเมอ่ื ยนส้ี ามารถรกั ษาไดด้ ว้ ยการบบี นวดโดยตรงทก่ี ลา้ มเนอ้ื นน้ั หรอื รว่ มกบั การประคบดว้ ยความรอ้ น อาการปวดหลงั อาจจะมอี าการปวดขารว่ มดว้ ย สว่ นใหญจ่ ะปวดรา้ วลงมาทบ่ี รเิ วณดา้ นหลงั ของตน้ ขาบรเิ วณนอ่ ง และปวดทด่ี า้ นนอกของหนา้ แข้ง การปวดรา้ วเกิดจากรากประสาทของขาถกู กดทบั หรือถูกยืดออกมากเกินไป ท้ังนี้ อาจเนอ่ื งมาจากกล้ามเนอื้ หลงั ขา้ งใดขา้ งหนง่ึ มอี าการเกร็งแข็งทำ�ให้รทู ีร่ ากประสาทออกมาจากกระดูกไขสนั หลงั แคบลง จึงเกิดการกดทับขน้ึ ในกรณนี อ้ี าการปวดรา้ วจะเกดิ ขน้ึ ทข่ี าขา้ งเดยี วกนั กบั การเกรง็ ของกลา้ มเนอ้ื หลงั หรอื อาจจะเกดิ ขน้ึ ทด่ี า้ นตรงขา้ ม โดยทหี่ ลังคดไปข้างหนง่ึ ขา้ งใด ทำ�ให้รากประสาทที่อยูด่ า้ นตรงข้ามกนั ข้ามถูกดงึ ออกจากต�ำ แหน่งเดิม การปวดรา้ วทเี่ กดิ จากการเกรง็ ของกลา้ มเนอ้ื เมอ่ื ใหน้ อนพกั หรอื นวดใหก้ ลา้ มเนอื้ คลายออกจะสามารถบรรเทา อาการปวดได้ แต่ถ้าอาการปวดร้าวนั้นเกิดจากการที่หมอนรองกระดูกเคล่ือนออกมากดทับรากประสาทหรือจากภาวะ กระดกู เสอ่ื ม ท�ำ ใหห้ นิ ปนู มาพอกรทู ร่ี ากประสาท ท�ำ ใหร้ แู คบลง ทง้ั ๒ กรณนี ้ี เราสามารถทดสอบไดโ้ ดยใหผ้ ปู้ ว่ ยนอนหงาย เหยียดข้อเข่าใหต้ รง แล้วยกขาขน้ึ จากพน้ื โดยพยายามอย่าใหม้ กี ารงอของข้อเขา่ ถา้ มีอาการปวดเสียวร้าวของขา แสดงวา่ อาจมีการกดทับของรากประสาท ห้ามทำ�การนวดด้วยตนเอง ควรรีบปรึกษาแพทย์ มิฉะน้ันแล้ว ถ้าปล่อยทิ้งไว้หรือ ทำ�การนวดอยา่ งรุนแรง อาจทำ�ให้ความรู้สกึ บรเิ วณผิวหนังลดน้อยลง และกล้ามเน้อื ของขาจะออ่ นแรงลง ทำ�ใหก้ ระดกนิว้ หวั แม่เทา้ ไม่ขึ้น ท้ังนี้ เนอื่ งจากเสน้ ประสาทถกู ทับจนตายไป ทำ�ให้ไม่สามารถส่งความรู้สึกขึน้ ไปยังสมอง จงึ ขาดความร้สู กึ และไม่สามารถรบั ค�ำ สั่งจากสมองมาสู่กล้ามเน้อื ได้ กล้ามเนือ้ จงึ เปน็ อัมพาตได้ ในกรณีท่ที �ำ การทดสอบโดยใช้วิธียกขาขึ้นตรง ๆ ดังที่กลา่ วมา แต่ยกขาไม่ไดเ้ ตม็ ท่ีอาจเนือ่ งจากกลา้ มเนอ้ื ด้านหลงั ต้นขาตึงมากเกนิ ไป ซึ่งเปน็ สาเหตุหนง่ึ ของการปวดหลงั ด้วย แตใ่ นกรณีนจ้ี ะไม่มีอาการปวดรา้ วเกดิ ขนึ้ เราควร ทำ�การยดึ กล้ามเนอ้ื เหลา่ น้โี ดยการบีบนวดหรือบริหารกล้ามเนือ้ น้ันเพื่อปอ้ งกันการปวดหลงั ในภายหลัง ทา่ นวด : ผ้ถู ูกนวดนอนตะแคง ขาดา้ นลา่ งเหยียดตรง ขาด้านบนงอใหส้ น้ เทา้ เหนือเขา่ วธิ ีการนวด : ๑. เริ่มนวดจุดแรกของร่องของกระดูกสันหลังให้ควํ่านิ้วมือนวดไล่ข้ึนไปจนถึงปุ่มกระดูก ที่ ๗ ใช้นาํ้ หนักเบา ๒. นวดไลล่ งจากป่มุ กระดูกคอท่ี ๗ ใช้น้ําหนกั มากขึน้ ตามแนวเดิม ขอ้ ควรระวัง : ๑. ผ้มู ีอาการชาเขา่ ใหส้ ่งต่อแพทยแ์ ผนปจั จบุ นั ไมค่ วรนวด ๒. มีภาวะหมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาทหรือจากอุบัติเหตุ แม้เพียงสงสัยก็ต้อง สง่ ตอ่ แพทย์แผนปจั จบุ นั ๓. การนวดในท่านอนคว่ําต้องสังเกตและซักถาม ผู้ถูกนวดว่าสามารถทนน้ําหนักการนวด ได้หรือไม่ ถา้ ไมจ่ �ำ เป็นไม่ควรใช้ทา่ นอนควํา่ ๔. การดดั พบั เขา่ หา้ มท�ำ ในกรณเี ขา่ เสอ่ื ม โรคกระดกู ต้องระมดั ระวงั ๕. การนวดทุกจุดห้ามกดลงบนกระดกู โดยตรง ๒.๖.๒ ปวดคอ เป็นอาการที่พบบ่อยในผู้ท่ีทำ�งานตามสำ�นักงาน สาเหตุมักเกิดจากท่านั่งท่านอนที่ ไมถ่ กู ตอ้ ง ท�ำ ใหก้ ลา้ มเนอ้ื คอถกู ใชง้ านมากเกนิ ไป เกดิ อาการเกรง็ แขง็ ของกลา้ มเนอื้ เหลา่ นี้ ในกรณที เ่ี กดิ อาการปวดคอหลงั 12 น ว ด พื้ น บ้ า น ภ า ค ก ล า ง

จากตน่ื นอนเรามกั เรยี กวา่ “ตกหมอน” แตไ่ มจ่ �ำ เปน็ ตอ้ งมสี าเหตจุ ากหมอนทน่ี อน อาการปวดคอ ท�ำ ใหเ้ กดิ อาการปวดศรี ษะได้ ท้งั นี้ เน่อื งจากการเกรง็ ของกล้ามเนอ้ื คอท�ำ ใหเ้ ลือดขึ้นไปเล้ียงบริเวณศีรษะน้อยลง ทำ�ให้เกิดการปวดที่ขมบั ทั้งสองข้างได้ อาการปวดคออาจเกดิ จากการบาดเจบ็ ในขณะทนี่ ง่ั อยใู่ นรถและรถหยดุ อยา่ งกระทนั หนั ท�ำ ใหศ้ รี ษะถกู สะบดั ไปด้านหน้า และกระชากมาด้านหลงั เกดิ การฉกี ขาดของพังผดื ด้านหลัง กระดกู คอและกลา้ มเน้อื คอ อาการปวดคอดงั ทีไ่ ดก้ ลา่ วมาน้ี ต้นเหตอุ ยูท่ ีก่ ลา้ มเนอ้ื คอ เราจงึ สามารถหาจุดกดเจ็บที่กล้ามเน้อื คอได้ท้งั ใน ท่านัง่ และทา่ นอน การกดนวดที่จดุ กดเจบ็ เหลา่ นีท้ ำ�ใหก้ ล้ามเนือ้ คลายออกเปน็ การลดอาการปวดศรี ษะและปวดคอได้ ในกรณที เ่ี กดิ อาการตกหมอนทคี่ อ่ นขา้ งรนุ แรง ท�ำ ใหค้ อเคลอื่ นไหวไมไ่ ด้ จ�ำ เปน็ จะตอ้ งใหก้ ลา้ มเนอ้ื คอมโี อกาส พักโดยใชผ้ า้ ขนหนูม้วนเป็นแท่งกลมใส่ใตส้ ว่ นโคง้ ของคอแทนการใช้หมอนหรอื อาจพบั รอบคอ โดยทำ�เป็นปลอกสวมคอใส่ ไว้ การนวดในระยะทม่ี กี ารอักเสบอยา่ งรุนแรง จะท�ำ ใหเ้ กดิ การเจบ็ ปวดมากขึ้น อาการปวดคอที่มอี าการปวดแขนรว่ มด้วย เกิดการปวดรา้ วลงมาทีบ่ ริเวณสะบัก บริเวณต้นแขนและแขน อาจ เนอ่ื งจากการเกร็งของกลา้ มเนือ้ คอท�ำ ใหร้ ูกระดูกสันหลงั ท่ีรากประสาทออกมาแคบลง เช่นเดยี วกันกบั ในกรณขี องการปวด หลัง ซง่ึ ถา้ ได้นอนพักและนวดให้กลา้ มเนื้อคลายออกแล้วอาการเหล่านจ้ี ะหายไป แต่อาการปวดร้าวทีม่ ีอย่ตู ลอดเวลาและ มอี าการชาเกดิ ขึน้ ที่ปลายนว้ิ มอื อาจเกดิ จากการเคลือ่ นออกของหมอนรองกระดูกหรือจากภาวะกระดกู เส่ือม การนวดใน กรณนี ไี้ ม่สามารถบรรเทาความเจบ็ ปวดได้ แตอ่ าจท�ำ ให้มอี าการรนุ แรงยง่ิ ขึน้ จงึ ควรปรึกษาแพทย์ การตรวจ : ให้ผู้ปว่ ยก้มเงย จะมอี าการปวดรา้ วตามแนวแขน : ใหผ้ ้ปู ว่ ยเอยี งคอหชู ดิ ไหล่ข้างซ้ายและขวา ถา้ มอี าการเจ็บปวด แสดงวา่ มีอาการคอตกหมอน ทา่ นวด : ผ้นู วดยนื อยดู่ า้ นหลังบ่าข้างทีผ่ ถู้ ูกนวดมีอาการ ผถู้ กู นวดนัง่ ขัดสมาธิ วิธีการนวด : ๑. เรม่ิ นวดโดยผนู้ วดนง่ั (ทา่ หนมุ านถวายแหวน) ใชน้ ว้ิ หวั แมม่ อื กดตง้ั แตร่ อยบมุ๋ ใตก้ ระโหลก ศีรษะไล่ลงมาถึงโค้งคอ ต่อมาเปลี่ยนเป็นท่ายืน ใช้น้ิวคู่เรียงน้ิวตามแนวเส้นกล้ามเนื้อ บา่ ถงึ ปุ่มกระดูกหัวไหล่ ๒. นวดซาํ้ โดยนวดไล่ลงอยา่ งเดียว ๓ รอบ ใหล้ งนาํ้ หนัก รอบท่ี ๑ นํ้าหนักนวดเบา รอบท่ี ๒ นํ้าหนกั นวดปานกลาง รอบท่ี ๓ นาํ้ หนกั นวดมาก ค�ำ แนะนำ� : ใชน้ ้ําอ่นุ หรือลูกประคบ ประคบบริเวณทีเ่ ปน็ ขอ้ ควรระวงั : ๑. นวดบรเิ วณคอท้งั สองขา้ ง ตอ้ งระวงั การกดลงบนเสน้ เลอื ดท่ีไปเล้ยี งสมอง ๒. นวดบรเิ วณบา่ ตอ้ งไมก่ ดนว้ิ ลา้ํ ไปขา้ งหนา้ เพราะจะท�ำ ใหผ้ ถู้ กู นวดเปน็ ลมได้ หากกดไป ปิดกั้นเสน้ เลือด ๓. ตอ้ งแนใ่ จวา่ ประวตั ผิ ปู้ ว่ ยปวดคอจากการตกหมอน มใิ ชเ่ กดิ อบุ ตั เิ หตอุ ยา่ งแรงบรเิ วณคอ โดยสาเหตุอื่น ๆ ๒.๖.๓ ปวดข้อไหล่ ข้อไหล่เป็นข้อท่เี คล่อื นไหวได้มากในทุกทิศทาง การปวดไหล่ พบบ่อยในสตรีท่ตี ้อง ห้วิ ของหนัก หรือผู้ทใี่ ชแ้ ขนท�ำ งานเปน็ เวลานาน การปวดไหล่ทำ�ให้ผู้ป่วยเคลื่อนไหวข้อไหล่ได้น้อยลง เกิดการติดขัดของข้อไหล่ซ่ึงเป็นอาการท่ีเร้ือรังมาก สาเหตสุ ่วนใหญ่เกิดจากการฉีกขาดของกล้ามเน้อื รอบ ๆ ข้อไหล่ หรอื เกดิ จากการยึดติดของพังผดื หุ้มขอ้ ผู้ปว่ ยมักมีอาการ ยกแขนไมข่ น้ึ ทำ�ใหใ้ สเ่ สอ้ื ด้วยความล�ำ บากและมกั จะปวดมากข้นึ ในทา่ นอน อาการปวดไหล่สามารถนวดได้โดยกดท่ีจุดกดเจ็บหรือบริเวณที่มีการยึดติดของพังผืดหุ้มข้อและกล้ามเน้ือ และควรใหเ้ คลอ่ื นไหวขอ้ ไหลน่ น้ั ดว้ ยตนเองอยตู่ ลอดเวลา ไมค่ วรท�ำ การดดั เพราะอาจเกดิ การฉกี ขาดของเนอ้ื เยอ่ื รอบ ๆ ขอ้ ทำ�ใหม้ อี าการมากข้ึน ๒.๖.๔ ปวดข้อเขา่ อาการปวดเขา่ เป็นอาการทพ่ี บบ่อยในคนวยั กลางคน และวัยสงู อายุ มกั จะเกิดจาก การเสอ่ื มของขอ้ เขา่ ทำ�ใหช้ ่องระหว่างข้อเขา่ แคบลง เน่ืองจากกระดกู ออ่ นทบ่ี ปุ ลายกระดูกในข้อเข่าสึกหรอไปมาก ท�ำ ใหม้ ี น ว ด พ้ื น บ้ า น ภ า ค ก ล า ง 13

ปลายกระดกู แขง็ ทง้ั สองมาเสยี ดสกี นั และอาจมหี นิ ปนู (กระดกู งอก) ตามผวิ ของกระดกู ท�ำ ใหผ้ วิ กระดกู ขรขุ ระ เมอื่ งอขอ้ เขา่ เป็นเวลานาน ๆ จะลุกไม่ขนึ้ หรือเจบ็ ปวดมาก สนั นษิ ฐานวา่ คนไทยมอี าการเสอ่ื มของขอ้ เขา่ มากกวา่ ชนชาตทิ างแถบยโุ รปหรอื อเมรกิ า เนอ่ื งจากตอ้ งนง่ั พบั เพยี บ อยู่บนพ้ืนทำ�ให้ข้อเข่างอมากไป อย่างไรก็ดี สาเหตุของการปวดเข่าส่วนใหญ่เกิดจากการท่ีมีน้ําหนักตัวมากเกินไป ทำ�ให้ข้อเข่าทานนํ้าหนัก ไมไ่ หวเกิดการทำ�ลายขอ้ เขา่ ข้ึน ดงั นน้ั การแก้ไขต้นเหตุของการปวดเข่า จงึ มคี วามสำ�คัญมากคือ ตอ้ งลดนาํ้ หนกั และอย่านง่ั นานเกินไป โดยเฉพาะในท่าที่ตอ้ งงอเข่ามาก เช่น น่งั พับเพียบ นง่ั ขัดสมาธิ นั่งยอง ๆ หรอื ทา่ นัง่ คุกเข่า เป็นตน้ การนวดตามจดุ กดเจบ็ ของขอ้ เขา่ อาจชว่ ยลดความเจบ็ ปวดได้ แตถ่ า้ ไมแ่ กท้ ต่ี น้ เหตแุ ลว้ ขอ้ เขา่ จะเสอ่ื มมากขน้ึ เร่ือย ๆ ในทส่ี ุดขอ้ เข่ามกี ารเส่ือมถาวรทำ�ใหเ้ ดนิ ไม่ได้ นอกจากน้ี ยังควรบริหารกล้ามเน้ือดา้ นหน้าของต้นขา ซึง่ ยดึ ข้อเข่า อยใู่ ห้แขง็ แรงขนึ้ เพราะจะช่วยใหก้ ระชับขอ้ เข่าได้แน่นข้ึน ลดการเสียดสรี ะหวา่ งกระดกู ท�ำ ใหเ้ สอ่ื มชา้ ลง และยงั ป้องกนั ไมใ่ หพ้ ังผดื หุ้มข้อถูกหนีบระหวา่ งปลายกระดูกและถูกทมิ่ แทงจากหินปนู ท่ีแหลมคมด้วย ในกรณที เ่ี กดิ การอกั เสบ ท�ำ ใหม้ กี ารบวมรอบ ๆ ข้อเข่า ห้ามทำ�การบีบนวด ควรให้ข้อเข่าน้นั พักโดยอยู่นงิ่ ๆ หรือพันดว้ ยผา้ ยดื ๒.๖.๕ ปวดศีรษะ เป็นอาการที่ทรมานมาก และมาจากหลายสาเหตุด้วยกัน สาเหตุหนึ่งพบบ่อย คือ เกิดจากความตงึ เครียดในชวี ิตประจำ�วนั ทำ�ให้กลา้ มเนอ้ื คอเกรง็ แข็ง และเลือดฉดี ขนึ้ ไปเลย้ี งบริเวณศีรษะไม่ได้ การนวดจะ ชว่ ยคลายการเกรง็ ของกลา้ มเนอื้ ได้ ถา้ ภายหลงั จากการนวดแลว้ อาการปวดศรี ษะไมบ่ รรเทาลง ควรสง่ ตอ่ ใหแ้ พทยต์ รวจหา สาเหตุทแ่ี ทจ้ รงิ การนวดเพ่ือการแกอ้ าการปวดศรี ษะ การตรวจ : ใหผ้ ปู้ ว่ ย ก้ม เงย จะมีอาการปวด ทา่ นวด : ผู้นวดยนื อยดู่ า้ นหลงั ของผูถ้ ูกนวด ผถู้ กู นวดนง่ั ขัดสมาธิ วธิ ีการนวด : ๑. นวดพ้นื ฐานบ่า ตั้งแต่คอถงึ ปุ่มกระดกู ไหล่ นวดโดยใช้นิ้วคู่นวดไลล่ ง ๓ รอบ รอบที่ ๑ ใช้นา้ํ หนักนวดเบา รอบท่ี ๒ ใชน้ ้ําหนกั นวดปานกลาง รอบท่ี ๓ ใช้น้ําหนกั นวดหนัก ๒. ผู้นวดอยู่ในท่าน่ัง (ท่าหนุมานถวายแหวน) นวดจากรอยบุ๋มด้านนอกใต้กะโหลกศีรษะ ถงึ โคง้ คอ นวดเรยี งน้ิว นวดลง ๑ รอบ นวดขนึ้ ๑ รอบ โดยใช้นํ้าหนกั รอบท่ี ๑ น้าํ หนักนวดเบา รอบท่ี ๒ น้ําหนักนวดปานกลาง ๓. นวดทง้ั ๒ ข้าง ตาม ข้อ ๑ และ ๒ หมายเหต ุ ในการลงน้ําหนักนั้น ใหป้ รับน้ําหนกั ให้ผู้ทถ่ี กู นวดรบั ได้ ขอ้ ควรระวัง ๑. การนวดบริเวณคอทัง้ ๒ ขา้ ง ตอ้ งระวังการกดบนเส้นเลอื ดแดงทไี่ ปเลย้ี งสมองต้องนวด ทีก่ ลา้ มเน้อื หลงั คอเทา่ น้ัน ๒. ขณะนวดบ่า น้วิ มือตอ้ งไม่ล้ําไปข้างหนา้ เพราะอาจทำ�ใหผ้ ู้ถูกนวดเป็นลมไดถ้ ้านว้ิ กด ลงบนเสน้ เลอื ด ๒.๗ ผลของการนวดตามแนวคดิ การนวดไทย การนวดมีผลตอ่ ระบบต่าง ๆ ดังนี้ ๒.๗.๑ ต่อระบบหมุนเวียนเลอื ด ๑) การคลงึ ท�ำ ใหเ้ สน้ เลอื ดถกู บบี ออกไปจากบรเิ วณนนั้ และมเี ลอื ดใหมม่ าแทนที่ ชว่ ยในการไหลเวยี น ของเลือดและนา้ํ เหลอื ง ๒) ส�ำ หรบั การบวม การคลึงจะท�ำ ให้บรเิ วณนน้ั นม่ิ ลงได้ ทำ�ใหก้ ารบวมลดลง แต่ไมค่ วรคลงึ ใน กรณี ท่ีมีการอกั เสบอาจทำ�ให้บวมมากขึ้นได้ 14 น ว ด พื้ น บ้ า น ภ า ค ก ล า ง

๓) อณุ หภูมิเพิ่มข้นึ ท�ำ ใหส้ ่วนทน่ี วดอ่นุ ขึน้ ๒.๗.๒ ตอ่ ระบบกล้ามเน้อื ๑) ท�ำ ใหก้ ลา้ มเนอ้ื มปี ระสทิ ธภิ าพมากขนึ้ เนอื่ งจากมเี ลอื ดมาเลยี้ งมากขนึ้ เชน่ การเตรยี มตวั ของนกั กฬี า ก่อนการแข่งขนั ๒) ขจัดของเสยี ในกล้ามเน้อื ได้ดีข้ึน ท�ำ ใหก้ ล้ามเนื้อเมื่อยล้าน้อยลงหลงั ใชแ้ รงงาน ๓) ทำ�ให้กลา้ มเน้ือหยอ่ นลง ผอ่ นคลายความเกร็ง ๔) ในรายทมี่ พี งั ผดื เกดิ ภายในกลา้ มเนอ้ื การคลงึ จะท�ำ ใหพ้ งั ผดื ออ่ นตวั ลง ท�ำ ใหก้ ลา้ มเนอื้ มคี วามยดื หยนุ่ ดขี ้ึน และอาการเจ็บปวดลดลง ๒.๗.๓ ต่อผวิ หนัง ๑) ท�ำ ใหเ้ ลอื ดมาเล้ยี งผวิ หนังมากขึ้น ท�ำ ใหผ้ วิ เตง่ ตึง ๒) ยาดูดซึมไดด้ ีข้นึ ทางผวิ หนัง ภายหลังการนวดที่นานพอควร เช่น การนวดด้วยยาแก้ช้ํา ๓) การคลึงในรายที่เป็นแผลเป็น (ซ่ึงเกิดจากเน้ือเย่ือพังผืดงอกแทนผิวหนังเดิม) ช่วยให้เลือดไปเล้ียง บริเวณนัน้ มากขึน้ ทำ�ให้แผลเป็นออ่ นตัวลงหรือเล็กลงไป ๒.๗.๔ ตอ่ ระบบทางเดินอาหาร ๑) เพม่ิ ความตงึ ตวั ของระบบทางเดินอาหาร ไดแ้ ก่ กระเพาะอาหารและล�ำ ไส้ ๒) เกดิ การบีบตัวของกระเพาะอาหารและลำ�ไส้ ทำ�ใหเ้ จริญอาหาร ทอ้ งไมอ่ ดื ไม่เฟ้อ ๒.๗.๕ ต่อจติ ใจ ๑) ท�ำ ให้เกดิ ความรูส้ กึ ผ่อนคลาย สบายกาย สบายใจ ๒) ท�ำ ให้รสู้ ึกแจ่มใส กระฉบั กระเฉง ๓) ท�ำ ให้ลดความเครียดและความกังวล ๔) ทำ�ให้เกิดความรู้สึกอบอุ่น ได้รับความรัก ความเข้าใจ โดยเฉพาะสมาชิกในครอบครัวช่วยนวดให้ แก่กันและกัน ๒.๘ ขอ้ บง่ ชีใ้ นการนวด และขอ้ หา้ มในการนวด ๒.๘.๑ โรค/อาการ ในการนวดแบบพน้ื บ้านได้ การบวม (ทีไ่ ม่ไดเ้ กิดจากการอักเสบ) มี ๒ ชนิด - บวมนา้ํ เกดิ จากการคัง่ ของเลอื ดและนา้ํ - บวมเนือ่ งจากการอุดตันของท่อนํ้าเหลือง กลา้ มเนื้อลบี แขนขาชา ขบั เสมหะโดยการเคาะปอด ภาวะท่เี กดิ แผลเป็นท่ีผิวหนงั ในกลา้ มเน้ือ เย่ือหุ้มขอ้ ข้อตอ่ ต่าง ๆ ขอ้ ตดิ เน่ืองจากไมไ่ ดใ้ ชง้ านหรอื ฉีกขาด นวดเยอ่ื หมุ้ ข้อและกล้ามเน้ือที่อยู่โดยรอบ กล้ามเนอื้ เกดิ การเกร็ง (ตะคริว) กรณที ี่มคี วามเจ็บปวด การฉกี ขาดของกลา้ มเนอื้ เอน็ พังผดื หรือจากการใชง้ านมากเกนิ ไป ท�ำ ให้ ปวดแต่ยงั ไม่ถงึ กับฉกี ขาด นวดเพ่ือการขบั ถา่ ย เชน่ เดก็ ๆ จะมกี ารนวดบรเิ วณกระเพาะปสั สาวะให้ปสั สาวะได้ นวดตามจดุ ตา่ ง ๆ ทใี่ ช้ฝงั เขม็ หรือในต�ำ รานวดแผนโบราณ เพ่อื แกอ้ าการต่าง ๆ ๒.๘.๒ ข้อหา้ มในการนวด บรเิ วณบาดแผล เพราะอาจเกดิ การตดิ เชอ้ื เจบ็ ปว่ ยหรอื แผลแยก ท�ำ ใหห้ ายชา้ แตน่ วดเบา ๆ รอบ ๆ แผลได้ น ว ด พื้ น บ้ า น ภ า ค ก ล า ง 15

บริเวณท่ีเป็นมะเร็ง เพราะการนวดอาจทำ�ให้มะเร็งกระจายไปท่ีอ่ืน แต่ถ้าปวดเม่ือยส่วนอ่ืน สามารถนวดได้ บริเวณท่ีเกิดสีดำ� เพราะเนื้อตายจากเส้นเลือดอุดตันหรือเลือดไปเล้ียงน้อย เพราะการนวดอาจ ท�ำ ใหก้ อ้ นเลอื ดในหลอดเลอื ดด�ำ เคลอื่ นไปอดุ หลอดเลอื ดในปอดหรอื สมอง ถา้ จ�ำ เปน็ ตอ้ งนวดดว้ ย ความระมัดระวงั เส้นเลอื ดอักเสบ โรคผิวหนงั เพราะจะทำ�ให้เชอ้ื โรคแพรอ่ อกไป มีอาการอักเสบอยา่ งเฉียบพลัน เพราะการนวดท�ำ ให้อาการรนุ แรงข้นึ ขณะมไี ข้ คร่นั เน้ือครนั่ ตวั กระดกู หกั ขอ้ เคลอ่ื น ไมค่ วรนวดบรเิ วณทม่ี กี ระดกู หกั หรอื ขอ้ เคลอ่ื น แตถ่ า้ ปวดเมอ่ื ยทอ่ี น่ื กน็ วดได้ ภาวะเลอื ดออก น้ํารอ้ นลวก ไฟไหม้ พอง ฝี ในผู้ปว่ ยเบาหวานห้ามใชก้ ารนวดทีร่ ุนแรง เพราะอาจทำ�ให้เกดิ การช้าํ ถ้าช้ําแลว้ ทำ�ใหเ้ กิดเปน็ แผลซ่งึ หายชา้ จนบางครง้ั อาจตอ้ งตดั ส่วนน้นั ออก ๒.๙ การเตรยี มตวั ของผ้นู วดตามทฤษฎี การฝึกกำ�ลังน้ิว เพอ่ื ให้น้ิวมือมีก�ำ ลงั แข็งแรง จะไดม้ กี �ำ ลงั เพียงพอ มอื ไมส่ ่ันไมอ่ ่อนแรง กดได้ตรงเปา้ หมาย ในการรักษาและได้ผลรวดเร็ว สามารถท�ำ ได้โดยฝึกซ้อมยกกระดานทกุ วันด้วยการนั่งขดั สมาธิเพชรและหยง่ มือเป็นรูปถ้วย วางไวข้ า้ งล�ำ ตวั แล้วยกตัวใหพ้ น้ จากพื้น อาจใชก้ ารฝกึ โดยบบี ข้ผี ง้ึ จนอ่อนตัว การรกั ษาสขุ ภาพ ผนู้ วดจะตอ้ งรกั ษาสขุ ภาพใหด้ อี ยเู่ สมอทง้ั กายและใจ หมน่ั ออกก�ำ ลงั กายใหร้ า่ งกายแขง็ แรง ถา้ รสู้ กึ วา่ ไมส่ บายหรอื มไี ขไ้ มค่ วรท�ำ การนวดเพราะนอกจากการนวดจะไมไ่ ดผ้ ลดเี ทา่ ทค่ี วรแลว้ ยงั อาจแพรโ่ รคใหก้ บั ผถู้ กู นวดได้ และเลบ็ มอื ควรตดั ให้สน้ั การแต่งรสมอื หมายถงึ การลงน้าํ หนักแตล่ ะรอบและจงั หวะการลงน้าํ หนกั ซึ่งการลงนํา้ หนักน้วิ มอื ทีก่ ดมี ๓ ระดับ คือ น้าํ หนกั เบา ประมาณ ๕๐% ของนา้ํ หนกั ท่ีสามารถลงได้สงู สดุ นํ้าหนกั ปานกลาง ประมาณ ๗๐% ของนาํ้ หนกั ทส่ี ามารถได้สงู สุด นํ้าหนกั มาก ประมาณ ๙๐% ของนํ้าหนกั ทสี่ ามารถได้สงู สดุ ๒.๑๐ คณุ ธรรม ๑๐ ประการ (จรรยาแพทย์) ตามทฤษฎีแพทย์แผนไทย มเี มตตาจิตแกค่ นไข้ ไมเ่ ลือกชน้ั วรรณะ มีความอ่อนนอ้ มถอ่ มตน ไมย่ กตนข่มท่าน มคี วามละลาย เกรงกลวั ต่อบาป อันเปน็ เวรกรรม มคี วามละเอยี ดรอบคอบสุขมุ มสี ติใคร่ครวญ ไม่โลภเหน็ แกล่ าภของผปู้ ่วยแต่ฝ่ายเดยี ว ไมโ่ ออ้ วดวชิ าความรใู้ หผ้ ู้อ่ืนหลงเช่อื ไม่เปน็ คนเกียจครา้ น เผยเรอ มกั ง่าย ไม่ลุอำ�นาจแก่อคติ ๔ คือ ความล�ำ เอียงดว้ ยความรัก ความโกรธ ความกลวั ความหลง ไม่หวน่ั ไหวตอ่ ส่งิ ท่เี ปน็ โลกธรรม ๘ คือ ลาภ ยศ สรรเสรญิ สขุ และความเสื่อม ไมม่ สี นั ดานชอบการมัวเมาในหมอู่ บายมุข 16 น ว ด พ้ื น บ้ า น ภ า ค ก ล า ง

๒.๑๑ มารยาทในขณะท�ำ การนวด และขอ้ ปฏบิ ัติหลงั การนวด ๒.๑๑.๑ มารยาทในขณะทำ�การนวด กอ่ นท�ำ การนวด ผนู้ วดควรส�ำ รวมจติ ใจใหเ้ ปน็ สมาธิ ระลกึ ถงึ คณุ ครอู าจารย์ ส�ำ หรบั การนวดแบบราชส�ำ นกั จะมกี ารยกมือไหว้ผถู้ ูกนวด เพ่ือเป็นการขอขมาทลี่ ว่ งเกินบนร่างกาย ขณะนวดควรนง่ั หา่ งจากผถู้ กู นวดพอสมควรในดา้ นทจ่ี ะท�ำ การนวด ไมค่ วรครอ่ มตวั ผถู้ กู นวด ส�ำ หรบั การนวด แบบราชส�ำ นกั จะเดนิ เขา่ เขา้ หาผถู้ กู นวดอยา่ งนอ้ ย ๔ ศอก และนงั่ หา่ งจากผถู้ กู นวด ประมาณ ๑ ศอก และ จับชีพจรดูลมเบ้อื งสูงกับลมเบอ้ื งตํา่ ขณะนวดไมค่ วรกม้ หนา้ จะท�ำ ใหห้ ายใจรดผถู้ กู นวด ซง่ึ ในการนวดแบบราชส�ำ นกั ไดม้ คี �ำ กลา่ วไวว้ า่ “แมล้ มหายใจ กไ็ มใ่ หร้ ดพระวรกาย” ขณะท�ำ การนวดจงึ มกั จะหนั หนา้ ตรงไปขา้ งหนา้ โดยไมก่ ม้ หนา้ และไมเ่ งยหนา้ มองฟา้ อนั เปน็ การแสดงความไม่เคารพ ขณะทำ�การนวด ห้ามกินอาหารหรือสิ่งใดๆ และระมัดระวังการพูดที่อาจท�ำ ให้ผู้ถูกนวดตกใจ สะเทือนใจ หรอื หวาดกลัว ควรซักถามและสังเกตอาการอยเู่ สมอ ควรหยดุ เม่ือผู้ถูกนวดขอใหพ้ กั หรือเจบ็ ปวดจนทน ไม่ไหว ๒.๑๑.๒ ข้อปฏิบตั หิ ลังการนวด ค�ำ แนะน�ำ ส�ำ หรบั ผนู้ วด หากผนู้ วดมอี าการปวดนว้ิ มอื ใหแ้ ชม่ อื ในนา้ํ อนุ่ เพอื่ ชว่ ยใหก้ ลา้ มเนอ้ื ผอ่ นคลายและ การไหลเวยี นโลหติ ดขี น้ึ หรอื ใชผ้ า้ ชบุ นาํ้ อนุ่ ประคบมอื และนวดคลงึ บรเิ วณเนนิ กลา้ มเนอ้ื ฝา่ มอื และรอบขอ้ นิว้ มอื ค�ำ แนะนำ�หลงั การนวดสำ�หรบั ผู้ถกู นวด - งดอาหารแสลง เชน่ อาหารมนั อาหารทอด หนอ่ ไม้ ขา้ วเหนียว เครือ่ งในสัตว์ เหลา้ เบยี ร์ ของหมกั ดอง - หา้ มสลัด บบี ดดั ส่วนทม่ี ีอาการเจบ็ ปวด - ทา่ กายบรหิ ารเฉพาะโรคหรอื อาการ - ค�ำ แนะนำ�อืน่ ๆ เชน่ หลกี เลี่ยงพฤติกรรมท่ีเปน็ มูลเหตุเกดิ โรค ๒.๑๒ ประเภทของหมอนวดไทย อาจจ�ำ แนกประเภทของหมอนวดไทยในปัจจุบัน ได้ดงั นี้ หมอนวดพ้ืนบา้ น ได้แก่ หมอนวดท่เี รยี นร้สู บื ต่อกนั มาจากบรรพบุรุษหรอื หมอพน้ื บา้ นร่นุ กอ่ นๆ หรอื เรยี น รู้เองจากประสบการณ์ในการนวดใหเ้ พอ่ื นบา้ น มักให้บริการอยู่ในชมุ ชนนัน้ ๆ โดยประกอบอาชพี อย่างอนื่ เป็นหลกั อยู่แลว้ หมอวัด ได้แก่ หมอพระ หรอื หมอนวดในวัด ได้รับความรู้จากพระภิกษุทีม่ คี วามรู้ในการรักษาโดยการนวด และเรียนสบื ตอ่ กันมา ใหบ้ รกิ ารที่วัด ซึง่ เปรยี บเสมือนโรงพยาบาลของชุมชนในลักษณะอาสาสมัคร หมอนวดอสิ ระ ไดแ้ ก่ หมอนวดทไ่ี ดร้ บั การถา่ ยทอดความรมู้ าจากหมอหลวง (ในอดตี ) หรอื หมอราษฎร์ หรอื สถาบนั ทเี่ ปดิ สอน มกั ใหบ้ รกิ ารทสี่ �ำ นกั งานหรอื บา้ นของหมอ หรอื ใหบ้ รกิ ารถงึ บา้ นผปู้ ว่ ย สว่ นใหญม่ กั เปน็ หมอนวดในเมอื ง และประกอบอาชีพด้านนเ้ี ป็นหลัก หมอนวดประจ�ำ สมาคมหรอื โรงเรียนแพทยแ์ ผนโบราณ ได้รบั การถา่ ยทอดความรูม้ าจากอาจารย์หมอนวด ของสมาคมน้นั ๆ และให้บริการที่ส�ำ นกั งานของสมาคมหรือโรงเรียน หมอนวดแผนโบราณประยกุ ต์ (อายรุ เวท) ไดแ้ ก่ ผทู้ จ่ี บการศกึ ษาตามหลกั สตู รของอายรุ เวทวทิ ยาลยั ใหบ้ รกิ าร ทีส่ ำ�นกั งานของตนเองบา้ ง สถานพยาบาลแผนโบราณบา้ นผปู้ ว่ ย และโรงพยาบาลชุมชนของรฐั บางแห่ง ๓. ภมู ปิ ญั ญาการนวดแบบพน้ื บา้ นภาคกลาง แม้ภาคกลางจะอยใู่ กล้ศนู ย์กลางของการพฒั นาของประเทศ แตใ่ นอดตี ชาวบา้ นตอ้ งมภี มู ิปญั ญาการนวดพื้นบ้าน ของตนเองในการแก้ไขปัญหาเม่ือเจ็บป่วยเช่นกัน เพียงแต่ว่าพิธีกรรมความเชื่อที่มาประกอบการรักษาอาจแตกต่างกัน ไปบ้างดว้ ยเหตทุ สี่ ภาพแวดลอ้ มแตกตา่ งไป เชน่ ไดร้ ับอิทธิพลของหมอหลวงหรอื การแพทยแ์ ผนไทยท้ังในแงค่ วามรทู้ ฤษฎี น ว ด พ้ื น บ้ า น ภ า ค ก ล า ง 17

หรือต�ำ รับยามากกว่าในพนื้ ที่ท่ีอยหู่ ่างไกลศูนยก์ ลางความเจรญิ ออกไป มโี อกาสท่ีเขา้ ถงึ ตัวยาสมนุ ไพรทีม่ าจากต่างประเทศ มากกวา่ หมอยาทางภาคเหนอื และภาคอีสาน รวมทง้ั ความเชือ่ เก่ยี วกับผที ่อี าจแตกตา่ งกนั ไปบ้าง ๓.๑ ความเชอ่ื เกีย่ วกบั ชวี ติ และสขุ ภาพของคนภาคกลาง การอยู่ใกล้ศูนย์กลางการพัฒนาทำ�ให้แนวคิดเก่ียวกับผีของคนในภาคกลางไม่ได้พัฒนาจนมีพิธีกรรมที่ชัดเจน ในทางตรงขา้ มยงั ถกู อ�ำ นาจจากเมอื งหลวงก�ำ หราบใหอ้ ยใู่ นรอ่ งในรอยอยเู่ ปน็ ระยะ ในสว่ นของพทุ ธศาสนากเ็ ปน็ พทุ ธศาสนา ทอี่ ยใู่ นกรอบมกี ฎเกณฑก์ ารปฏบิ ตั ทิ ชี่ ดั เจนมากกวา่ พน้ื ทห่ี า่ งไกล ขณะเดยี วกนั กม็ โี อกาสรบั เอาแนวคดิ หรอื องคค์ วามรจู้ าก ภมู ภิ าคอน่ื เขา้ มาปรบั เขา้ สวู่ ถิ ชี วี ติ ไดง้ า่ ย เชน่ ความเชอ่ื ของศาสนาพราหมณ์ โหราศาสตร์ การแพทยอ์ ายรุ เวท และการแพทย์ แผนไทยทม่ี อี งคค์ วามรทู้ ไ่ี ดบ้ นั ทกึ ฝกึ ฝนกนั อยา่ งเปน็ ระบบ ในภาพรวมเมอ่ื เปรยี บเทยี บกบั คนในภาคเหนอื และอสี านทผ่ี า่ นมา ความเช่ือเกี่ยวกับชีวิตของคนไทยภาคกลางในอดีตจะได้รับอิทธิพลของพุทธศาสนามากกว่าความเชื่อเร่ืองผี โดยเฉพาะ เม่ือมีการติดต่อกับประเทศในซีกโลกตะวันตกมากขึ้น มีคนมีโอกาสไปรับรู้แนวคิดใหม่ ๆ ในการมองโลกและชีวิตแบบ วทิ ยาศาสตร์ และจดั ระบบการศึกษาแบบใหม่นำ�ความรู้ตะวันตกแพรก่ ระจายไปยงั พนื้ ท่ตี า่ ง ๆ ทวั่ ประเทศโดยไม่อาศยั วดั อกี ตอ่ ไป ความเชื่อในอ�ำ นาจเหนอื ธรรมชาตไิ ดถ้ กู ท�ำ ใหก้ ลายเป็นเรือ่ งของไสยศาสตร์ ความงมงาย ไรส้ าระ เป็นเร่อื งของ คนโงไ่ มร่ หู้ นงั สอื ไป หลาย ๆ ครง้ั กม็ กี ระบวนการก�ำ จดั ใหส้ น้ิ ซากไปอยา่ งเปน็ ระบบ โดยพรอ้ ม ๆ กนั นค้ี วามเชอื่ หลายอยา่ ง ในพทุ ธศาสนากไ็ ดร้ ับการตคี วามว่าเป็นเร่อื งไรส้ าระดว้ ยเชน่ กัน ดว้ ยเหตนุ ที้ ศั นะตอ่ ชวี ติ และสขุ ภาพของคนในภาคกลางจงึ โนม้ เอยี งทจี่ ะมาเชอ่ื ในเรอื่ งทางกายทพ่ี สิ จู นจ์ บั ตอ้ ง ไดม้ ากขน้ึ อยา่ งไรกต็ ามความเชอื่ พน้ื ฐานเกย่ี วกบั ผแี ละสงิ่ เหนอื ธรรมชาตกิ ไ็ มส่ ามารถถกู ถอนทงิ้ ไปไดอ้ ยา่ งสน้ิ เชงิ โดยเฉพาะ ในภาคที่เป็นความรู้หรือแนวทางการดูแลสุขภาพแบบพื้นบ้านอันเป็นภูมิปัญญาท้องถ่ินที่อยู่นอกเหนือการเข้ามาควบคุม อยา่ งเปน็ ทางการของระบบ ความรสู้ กึ ย�ำ เกรงตอ่ อ�ำ นาจเหนอื ธรรมชาตนิ ป้ี รากฏออกมาในค�ำ พดู ตดิ ปากของคนยคุ นว้ี า่ “ไมเ่ ชอ่ื แตอ่ ยา่ ลบหล”ู่ พรอ้ มๆ กบั ภาพทเี่ หน็ จนชนิ ตาในโรงพยาบาลแทบทกุ แหง่ ทจ่ี ะตอ้ งตง้ั ศาลพระภมู ิ และพระพทุ ธรปู ใหผ้ ปู้ ว่ ย หรือญาตนิ �ำ ธปู เทียน พวงมาลยั ดอกไม้รวมทง้ั ผลไม้อาหารไปบวงสรวงเซน่ ไหวบ้ ูชา พร้อมๆ กบั มขี า่ วทส่ี รา้ งความฮือฮา ออกมาเป็นระยะๆ ถงึ ความศักด์ิสิทธขิ์ องคนทรงศาลเจ้า ความเก่งกาจอย่างไม่นา่ เชอ่ื ของหมอบางคน หรือมีสูตรยาเดด็ ท่ี ใช้รักษาผู้ป่วยชนิดท่ีวงการแพทย์ไม่สามารถทำ�ได้ แต่ไม่นานนักก็ถูกระบบการแพทย์แผนปัจจุบันเข้าไปจัดการตรวจสอบ ซง่ึ ผลลัพธ์ก็ลงเอยด้วยไม่มีความสามารถในการรักษาโรคไดจ้ รงิ ทุกคร้ังไป ๓.๒ วิธีการรกั ษาของหมอนวดพื้นบา้ นภาคกลาง ภายใตห้ ลกั การมองชวี ติ และสขุ ภาพดงั กลา่ วการนวดกไ็ ดถ้ กู จดั วางขน้ึ ใหเ้ ปน็ ระบบการดแู ลสขุ ภาพของคนไทย ที่ชดั เจนขน้ึ มกี ารจัดทำ�ต�ำ รานวด หลักสูตรการเรยี น รวมท้งั ตอ้ งสอบเพ่อื ขึน้ ทะเบียนเปน็ หมอ แต่อกี ด้านหน่งึ ในสว่ นของ ชาวบ้านก็ยังคงสืบทอดองค์ความรู้ที่ใช้ในการแก้ปัญหาสุขภาพของตนโดยเฉพาะในส่วนท่ีการแพทย์ในระบบไม่ว่าแผนไทย หรือแผนตะวนั ตกไม่สามารถแก้ปญั หาได้ แตก่ ็อยใู่ นสัดส่วนท่ีนอ้ ยกว่าในภาคเหนือและภาคอสี าน หมอนวดพนื้ บา้ นทพี่ บในพน้ื ทภี่ าคอน่ื ๆ กพ็ บไดเ้ ชน่ กนั ในเขตภาคกลาง มกี ารใชค้ าถาอาคมกม็ อี ยเู่ ชน่ เดยี วกนั แตค่ าถาอาจจะแตกตา่ งกนั ไปบา้ ง อยา่ งนอ้ ยกใ็ นส�ำ เนยี งในการสวดบททน่ี �ำ มาจากคมั ภรี ใ์ นพทุ ธศาสนา และไมไ่ ดม้ ากหรอื มพี ิธีกรรมทซี่ บั ซอ้ นเหมือนในภาคเหนือหรือภาคอีสาน เช่น มกี ารลงเลขยันตใ์ นช้นิ สว่ นตา่ ง ๆ ของสมุนไพรประกอบการ นวดรักษา เชน่ ลงพระเจ้าห้าพระองค์ คือ “นะโมพุทธายะ” หรือ “มะอะอุ” ในแวน่ ไพล แวน่ ขิง หรอื ขา่ มีการลง เลขยนั ตก์ น้ หมอ้ ตม้ ยา ลงเลขยนั ตบ์ นผา้ ขาวหรือผ้าแดงท่ปี ิดปากหม้อ ลงเลขยนั ตบ์ นเฉลวปกั ปากหมอ้ ยา เป็นตน้ ทง้ั นี้ ลว้ นมงุ่ หวังใหต้ วั ยาเกิดความศักด์สิ ทิ ธ์ยิ ิ่งขน้ึ การลงเลขยนั ต์เหล่าน้ีมใิ ชเ่ พียงการเขยี นตัวหนงั สือ หรอื ทอ่ งค�ำ เหลา่ น้เี ท่าน้นั ต้องมีสตู รเรยี กเลขยันต์ให้เกิดอำ�นาจขนึ้ และทำ�พิธกี รรมอย่างถูกต้องด้วย (ชะลอ อุทกภาชน์ ๒๕๒๒: ๖๖-๖๗) ในสว่ นท่ี เปน็ ชาวบา้ นจรงิ ๆ ก็จะมีคาถา เคล็ดหรือพธิ ีทีเ่ ฉพาะลงไปตามความเช่อื ของแตล่ ะชุมชน กรณตี วั อยา่ งการนวดพนื้ บา้ นภาคกลาง เชน่ การเหยยี บเหลก็ แดงบ�ำ บดั อาการปวดเมอื่ ย อมั พฤกษ์ อมั พาต ของหมอพน้ื บา้ นภาคกลาง การเหยียบเหล็กแดง เป็นภูมปิ ญั ญาการแพทย์พ้นื บ้านไทยท่ีมมี าแตด่ ั้งเดมิ มปี ระวัตกิ ารสืบทอดมานานกว่า ๑๐๐ ปี โดยไม่สามารถบอกจุดกำ�เนิดของเวลาได้ แต่ในการศึกษาน้ีจะเป็นกรณีตัวอย่างของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา 18 น ว ด พื้ น บ้ า น ภ า ค ก ล า ง

ท่ีมีการใช้ภูมิปัญญาการเหยียบเหล็กแดงใช้ในกรณีบำ�บัดอาการปวดเมื่อย อัมพฤกษ์ อัมพาต ของผู้ป่วย เพราะการใช้ ความรอ้ นจากแผน่ เหลก็ ซงึ่ เปน็ อปุ กรณท์ ตี่ ดิ ตงั้ ทค่ี นั ไถของรถไถนามลี กั ษณะเปน็ แผน่ เหลก็ เรยี บทเี่ รยี กวา่ ผาน หรอื จะเปน็ พวกมดี ดาบ ศาสตราวธุ กไ็ ด้ ทเ่ี ผาจนรอ้ นในเตาไฟถา่ น ผสมผสานกบั การใชน้ า้ํ มนั งา ใบตอง โดยใชเ้ ทา้ ชบุ นา้ํ มนั งา จากนน้ั จึงเหยียบบนแผ่นเหล็กแดง แล้วนำ�ใบตองหรือใบพลับพลึงมารองบริเวณที่จะใช้เท้าเหยียบลงบนร่างกายผู้ป่วยบริเวณท่ีมี อาการปวดหรอื เจ็บป่วย ผสมผสานไปด้วยการท�ำ จติ ใหม้ ีสมาธิ สงบ และท่องคาถาก�ำ กบั เพ่ือรกั ษาอาการของผู้ป่วยให้ คลายจากอาการปวด ดว้ ยกระบวนการรกั ษานเ้ี ปน็ วธิ กี ารรกั ษาทช่ี าวบา้ นและผปู้ ว่ ยมคี วามศรทั ธา เชอื่ มนั่ ในพธิ กี รรมท�ำ ให้ ผปู้ ่วยรูส้ ึกสบายใจและผ่อนคลาย บรรเทาความเจ็บป่วยได้เป็นอยา่ งดี รูปแบบการนวดรกั ษา วิธกี ารรักษาโรคนี้ เชอ่ื ว่าหลายคนคงนึกไปถึงการทรงเจ้า เขา้ ทรง เดนิ หรอื ว่งิ ฝ่ากองถ่านท่ีแดงกา่ํ ในเทศกาล กนิ เจ ซ่งึ กแ็ ลว้ แต่วจิ ารณญาณของผ้พู บเหน็ ว่าจะเช่อื ในส่ิงทีเ่ หน็ หรอื เช่ือวา่ เป็นเพยี งการแสดง แตก่ าร “เหยยี บเหลก็ แดง” ทจี่ ะกลา่ วถงึ เปน็ รปู แบบการใชภ้ มู ปิ ญั ญาการแพทยพ์ นื้ บา้ นในการดแู ลสขุ ภาพ ของหมอพื้นบ้าน โดยใช้เท้าของหมอผู้รักษาไปเหยียบบนแผ่นเหล็กท่ีกำ�ลังเผาร้อนแดงอยู่บนเตาไฟ แล้วเหยียบไปตาม ร่างกายของผ้ปู ่วยซึ่งคลา้ ยกับการยํา่ ขางของชาวล้านนา แตต่ ่างกนั ทีเ่ ทคนคิ วิธกี าร อปุ กรณแ์ ละตัวยาสมุนไพรทีใ่ ช้ร่วม ข้ันตอนการรกั ษา ก่อนอื่นจะตอ้ งมกี ารบูชาครูด้วยดอกไมธ้ ปู เทียน พร้อมดว้ ยเงิน ๑๒ บาท ไม่ขาดไม่เกิน เตรยี มเตาถา่ นและ เหล็กสำ�หรับเหยียบ ซง่ึ อาจจะใช้ “ผาน” เหลก็ สำ�หรับสวมหัวหมเู คร่อื งไถนา ซง่ึ เป็นอปุ กรณ์ท่ีติดตงั้ ทคี่ ันไถของรถไถนา มีลกั ษณะเปน็ แผน่ เหลก็ เรยี บ หรอื จะเปน็ พวกมดี ดาบ ศาสตราวธุ กไ็ ด้ ถอื เปน็ การเอาเคลด็ ทจ่ี ะพชิ ติ ชยั โรครา้ ยไดด้ ว้ ย แตท่ ่ี ขาดไมไ่ ดก้ ็คอื “นํ้ามนั งา” ท่ผี า่ นการปลกุ เสก เพราะจะช่วยใหห้ มอผู้รกั ษาทเี่ หยียบเหล็กแดงไม่รอ้ นเทา้ รวมกระทง่ั ถงึ “ใบพลับพลงึ ” หรือ “ใบตอง” มารองกอ่ นลงเทา้ ไปกับตัวผปู้ ่วย เพราะนา้ํ มันในใบไมพ้ วกนีจ้ ะช่วยบรรเทาปวดได้ดี เมอื่ เตรียมส่ิงของพรอ้ มแลว้ หมอจะทำ�พิธที ่องบริกรรมคาถา จากน้ันจะตอ้ งสอบถามผูป้ ่วยกอ่ นว่าเคยรับ การรักษาในโรงพยาบาลมาแลว้ หรอื ไม่ เพราะการรกั ษาทถี่ กู ต้องจะตอ้ งทำ�ควบคไู่ ปกบั แพทย์แผนปัจจุบนั จากนั้นจึงจะ เรมิ่ จบั ตามจดุ ตา่ งๆ เพอื่ ตรวจดอู าการ กอ่ นใชเ้ ทา้ เหยยี บนา้ํ มนั งาและเหยยี บเหลก็ แดงทว่ี างอยบู่ นเตารอ้ นๆ และเหยยี บไป บรเิ วณท่มี ีอาการ ซง่ึ จะได้ผลทงั้ จากการกดนวดและความร้อนในเวลาเดียวกนั หมอย้าํ วา่ การนวดด้วยวธิ ีน้ีผูน้ วดจะต้อง ไดร้ ับการฝกึ ฝนมาเปน็ อยา่ งดี เพอื่ ใหส้ ามารถควบคมุ นาํ้ หนักความแรงของการกดได้ โดยการนวดอาจใช้อวยั วะส่วนต่างๆ มาประกอบดว้ ย เช่น น้ิวมือ ศอก เท้า มากด คลงึ บีบ ทุบ สับ ตามร่างกายผปู้ ว่ ย ซึ่งใช้เวลาประมาณ ๑ ชัว่ โมงต่อราย ตอนทา้ ยผอ่ นแรงทง้ั สองฝา่ ยดว้ ยการใชล้ กู ประคบมารว่ มดว้ ย เพอ่ื ใหผ้ ปู้ ว่ ยไดร้ บั ไอรอ้ นจากลกู ประคบในการท�ำ ใหก้ ลา้ มเนอ้ื คลายตัวไดด้ ีขึน้ สำ�หรับลูกประคบที่นำ�มาใช้ร่วมด้วยนั้นในลูกประคบประกอบด้วยสมุนไพรหลายชนิด เช่น ไพล ตะไคร้ ใบมะขาม ผวิ มะกรดู เถาเอน็ ออ่ น วา่ นนางคำ� พิมเสน การบรู เป็นต้น เวลาประคบหมอจะชุบดว้ ยเหล้าขาวและนำ�ไป แตะกบั แผ่นเหลก็ รอ้ นในเตาไฟ แต่ก่อนจะใช้ประคบกบั ผปู้ ่วยตอ้ งน�ำ มาแตะท่ีมือของหมอก่อนเพือ่ ใหร้ ู้วา่ ลกู ประคบรอ้ น เกินไปหรอื เปล่า จากนนั้ จงึ น�ำ ไปประคบบริเวณที่มอี าการปวด เคล็ดขดั ยอก ฟกชาํ้ ตามร่างกายของผปู้ ่วย ซง่ึ ลูกประคบ มสี รรพคณุ ชว่ ยบรรเทาอาการปวด เคลด็ ขัดยอก ฟกชํา้ ได้เป็นอย่างดี สว่ นระยะเวลาท่ใี ชใ้ นการรกั ษาจะมากน้อยข้ึนอยู่ กบั อาการผปู้ ่วยหากได้นวดทุกวนั ให้ร่างกายได้รบั การกระต้นุ ก็จะเหน็ ผลเร็วขึ้น จดุ ทน่ี ่าสนใจและน่าแปลกใจ กระทัง่ กลายเป็นค�ำ ถามส�ำ หรบั ภมู ิปัญญาการรกั ษาโรคแขนงน้ีกค็ อื ทำ�ไมตอน ทหี่ มอยกเทา้ จากนา้ํ มนั ไปเหยียบเหล็ก ไฟลกุ ตดิ ขาโชตชิ ว่ ง แต่กลับไม่มีอาการสะดุดหรือสะดุ้งเลยแมแ้ ตน่ ดิ หมอเผยว่า ในข้ันตอนการเหยียบเหล็กแดง ผูเ้ หยยี บจะต้องทำ�จติ ใหส้ งบ เปน็ สมาธิระลึกถงึ ครบู าอาจารย์ และท�ำ พธิ ดี ับพษิ ไฟกอ่ นการเหยียบเหลก็ แดง อกี ทัง้ ยงั ตอ้ งเป็นคนทม่ี เี มตตาบารมี ถือศีลมีจิตใจม่ันคง มีสมาธติ ั้งอยู่ใน พรหมวิหารส่ี นอกจากน้ี ยงั มีข้อบงั คบั ด้วยว่า หมอทจ่ี ะมารกั ษาแบบเหยยี บเหลก็ แดงนจี้ ะตอ้ งเป็นเพศชายเท่านั้น ซง่ึ ตา่ ง จากของล้านนาทผ่ี ยู้ ่าํ เปน็ ไดท้ ัง้ ชายและหญิง น ว ด พื้ น บ้ า น ภ า ค ก ล า ง 19

สรปุ การเหยียบเหล็กแดง เปน็ ภูมปิ ญั ญาไทยในการบรรเทาอาการเจ็บปว่ ยจากการปวดเม่อื ย อมั พฤกษ์ อมั พาต จังหวดั พระนครศรอี ยธุ ยา ยงั คงมีการใช้และด�ำ รงอยจู่ นถึงปัจจบุ นั จะมีผปู้ ่วยมารบั การรักษา ทงั้ ที่มาจากจังหวดั เดยี วกนั และตา่ งจังหวัดเพิม่ มากขน้ึ ทกุ วัน เพราะวา่ พฤติกรรมการให้บรกิ ารของหมอพ้นื บา้ น มที ้ังการบำ�บดั ด้วยการใชเ้ ทา้ เหยียบ เหล็กแดง นวด ประคบด้วยสมนุ ไพร การบริกรรมคาถาเพ่อื การรักษาโรคหรืออาการเจ็บป่วยของผปู้ ่วยผสมผสานกนั ไป อกี ทั้งชว่ ยประหยดั คา่ ใช้จา่ ยในการรกั ษาด้วย ประกอบกับรูปแบบและวิธีการรักษาของหมอพ้ืนบ้านก็สอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนในชุมชน คือ ไม่ยุ่งยาก ซับซอ้ นทส่ี �ำ คญั คอื ไมแ่ ยกผู้ปว่ ยออกจากครอบครวั และญาติ นอกจากน้ี ความเชื่อเกย่ี วกบั สาเหตุการเกิดโรคภยั ไขเ้ จบ็ ก็มี ระบบการคดิ ทสี่ อดคลอ้ งกนั ระหวา่ งหมอพนื้ บา้ นและผปู้ ว่ ยทเี่ ชอ่ื วา่ ความเจบ็ ปว่ ยเกดิ จากอ�ำ นาจเหนอื ธรรมชาติ รวมทง้ั สงั คม ที่มีความเออื้ อาทรต่อกนั ท้งั หลายท้ังปวงนีเ้ ป็นปจั จยั ทีม่ คี วามเชอ่ื มโยงสนบั สนนุ ซ่ึงกนั และกนั อย่างเปน็ กระบวนการ การนวดพ้ืนบ้านภาคกลางซ่ึงเป็นภูมิปัญญาที่ปลูกฝังกันมาและเรียนรู้ให้กับชุมชนและคนรุ่นหลัง ๆ ท่ีสนใจ จะเรียนรู้ ส�ำ หรับหมอสนุ ทร นมิ่ น้อม อยู่บา้ นเลขที่ ๑๔ หมู่ ๑๓ ตำ�บลบางคู้ อำ�เภอทา่ ว้งุ จงั หวัดลพบุรี มคี วามรคู้ วาม ช�ำ นาญดา้ นการนวดและการดงึ กระดกู สนั หลงั รกั ษาผปู้ ว่ ยโดยไมเ่ รยี กรอ้ งคา่ รกั ษาแตป่ ระการใด มปี ระสบการณใ์ นการรกั ษา มาเกือบ ๒๐ ปี ดงึ กระดูกสันหลังผู้ป่วยประมาณ ๔,๐๐๐ – ๕,๐๐๐ ราย ไดร้ ับการถ่ายทอดภูมปิ ัญญาพื้นบ้านโดยเฉพาะ การดึงสันหลงั มาจากหมอพนื้ บ้าน ช่ือ แสวง ซงึ่ เป็นลกู ศิษยห์ ลวงปู่ศขุ รุน่ สดุ ทา้ ย การนวดพ้ืนบ้านในส่วนของข้อต่อต้องมีความระมัดระวัง เช่น โรคกระดูกพรุนหรือกระดูกเสื่อม บางส่วนเรา นวดได้ แตต่ อ้ งมกี ารตรวจ และมคี วามช�ำ นาญในเรอ่ื งนไ้ี มใ่ ชพ่ อมอี ายแุ ลว้ นวดไมไ่ ด้ การดดั ดงึ โดยปกตหิ มอพน้ื บา้ นจะไมค่ อ่ ย ใชท้ า่ ดัดมาก ตวั อย่างเช่น งูรดั เขยี ด หรอื ทา่ สะพานโค้ง จะไมใ่ ช้ เพราะมนั เกี่ยวกบั ขอ้ ต่อ ในรายทเ่ี ปน็ อมั พฤกษ์ อัมพาต จะไม่ใช้ในการดัดดึงเป็นหลัก นอกจากจะมีการซ้นของข้อต่อ เช่น ข้อเท้าแพลง หรือหมอนรองกระดูกอักเสบ ซ่ึงจะ มีการดึงโดยใช้หมอมากกว่า ๑ ท่าน โดยในการดึงแต่ละครั้งจะต้องได้รับความยินยอมจากผู้ป่วยและประการส�ำ คัญ คือ หมอพนื้ บา้ นต้องมีความระมัดระวัง คำ�นึงถงึ ผลข้างเคยี งท่ผี ูป้ ว่ ยจะไดร้ บั ในการรกั ษาแต่ละคร้งั การรกั ษาบางครงั้ จำ�เป็นตอ้ งอาศัยผชู้ ่วยหมอร่วมในการจดั ทา่ ใหถ้ กู จังหวะ เพ่ือท�ำ การดดั ดึงกระดกู ร่วมดว้ ย ในกรณีขอ้ เทา้ แพลงมอี าการอกั เสบ ปวด บวม แดง หรือรอ้ น จะไม่ดึงยกเว้นในรายท่อี าการทเุ ลาลง คอื มอี าการบวมแต่ ไมแ่ ดง ไม่ร้อน การท่ีจะเปน็ หมอนวดพืน้ บา้ นนัน้ หมอสุนทรให้ขอ้ คดิ ว่า ผูท้ จี่ ะเรียนรู้จะต้องเป็นผู้ที่ ลด ละ เลกิ ในเร่ืองกิเลส ๔ อยา่ ง คือ รกั โลภ โกรธและหลง ส�ำ หรบั อาการอัมพาตและหมอนรองกระดูกเคลอื่ นนน้ั หมอสนุ ทรจะมคี วามช�ำ นาญใน การรกั ษาหมอนรองกระดูกเคลือ่ นไดด้ ีกว่า ประการสำ�คญั คือ คนไข้กับหมอตอ้ งพดู ความจรงิ เขา้ หากัน กรณีตวั อย่างคนไข้ บางราย ใหป้ ระวตั วิ า่ ตลี งั กากบั ฟกู (ขาขา้ งขวาเจบ็ กระดกู แตก) แลว้ ตอ้ งสอนลกู นอ้ งในทา่ ตลี งั กาอกี แตค่ รง้ั นต้ี ไี มค่ รบวง คอพบั เสยี กอ่ น ครงั้ แรกทม่ี ายกแขนไมไ่ ด้ ยกขน้ึ กร็ ว่ งหลน่ ลง ขากางกแ็ บะออกบงั คบั ไมไ่ ด้ มสี ายสวนปสั สาวะตดิ มาดว้ ยในครงั้ แรก ทมี่ ารักษาโดยการนวดประคบและให้กลบั ไปนำ�ฟิลม์ ก้านคอและเอวมาใหด้ ู ในคร้งั ท่ี ๒ จากฟิลม์ พบวา่ มอี าการชาํ้ บริเวณ กระดกู ก้านคอช้นิ ที่ ๓ และ ๔ มหี มอนรองกระดูกเคลอ่ื นกดทับบรเิ วณไขสันหลงั ในรายนีห้ มอสุนทรคอ่ ยๆ ท�ำ การรักษา โดยการนวด ดงึ กระดกู กา้ นคออยู่ ๕ คร้ัง จนผู้ปว่ ยสามารถเดินได้ตามปกติ และยอมใหข้ อ้ มูลเพิ่มเตมิ วา่ ความจริงตีลงั กา มาตั้งแตช่ น้ั ๓ ครัง้ แรกกระดูกขาขวาร้สู กึ เจ็บแล้ว แต่ไมไ่ ด้บอกใคร พอแสดงซาํ้ อกี ครัง้ จึงตกลงมาคอพบั ไปนอนพกั รักษา ตัวอยู่ท่ีโรงพยาบาล ๗ วัน หมอบอกว่าเป็นอัมพาต ๙๙% จึงตัดสินใจมาให้หมอสุนทรรักษา ความหมายของอัมพาต สมัยโบราณ คือ แขนใช้ไมไ่ ด้ ขาใช้ไมไ่ ด้ คนที่เป็นอมั พาต อาการทีเ่ ปน็ นอ้ ย ๆ สงั เกตไดจ้ ากการเดนิ และใหล้ องใช้มือจ้ิม ปลายจมกู ในคนปกตทิ ว่ั ไปหากหลบั ตากย็ งั สามารถจม้ิ ไดถ้ กู ตอ้ ง ส�ำ หรบั ผทู้ มี่ อี าการผดิ ปกตขิ องระบบสมองจะจม้ิ ไมถ่ กู ปลาย จมูกจะตกขา้ งๆ นอกจากน้ี วทิ ยากรไดใ้ หค้ วามรเู้ รอื่ งขอ้ สงั เกตอาการผดิ ปกตเิ กย่ี วกบั กระดกู ไขสนั หลงั เรม่ิ ตง้ั แตก่ ระดกู กา้ นคอ มี ๗ ชิ้น หากเกิดปัญหากับกระดูกก้านคอช้ินใด สังเกตได้โดย หากเกิดปัญหาที่กระดูกก้านคอชิ้นที่ ๑ จะก้ม เงยไม่ได้ 20 น ว ด พื้ น บ้ า น ภ า ค ก ล า ง

ช้นิ ท่ี ๒ จะส่ายหน้าไม่ได้ ชิ้นท่ี ๓ จะชาทนี่ ว้ิ หวั แม่มือ ช้นิ ท่ี ๔ จะชานว้ิ ชี้ ชิ้นที่ ๕ จะเป็นน้วิ กลาง ชิน้ ที่ ๖ ชาที่นวิ้ นาง ชิ้นท่ี ๗ ชาทีน่ ้ิวก้อย ส�ำ หรบั ชว่ งอกมกี ระดกู ๑๒ คู่ ถา้ เงยหน้าไม่ได้ เงยหนา้ แล้วปวดลงท้องแขนจะมีปญั หาบริเวณกระดูก ช่วงอกชนิ้ ที่ ๑-๔ หากมปี ญั หาท่ีกระดกู เอวชน้ิ ที่ ๑ และ ๒ มอี าการหมอนรองกระดูกกดประสาท จะลงชอ่ งทอ้ งด้านหนา้ หากมีปัญหาท่ีกระดูกเอวช้ินที่ ๓ อาการหมอนรองกระดูกกดประสาท จะลงข้อพับต้นขา เวลายกขาข้ึนสวมกางเกง สวมรองเทา้ จะเจบ็ ปญั หาทก่ี ระดกู เอวชน้ิ ท่ี ๔ และ ๕ เปน็ อาการหมอนรองกระดกู กดประสาท จะลงกน้ ยอ้ ย เดนิ ไปไหนไกลๆ จะกา้ วขาไมอ่ อก ส�ำ หรบั กระดกู หวั เขา่ นน้ั ผปู้ ว่ ยจะมอี าการเดนิ ไมต่ รง พบั ขาไมไ่ ด้ กรดยรู กิ สงู เนอ่ื งจากตบั ยอ่ ยไขมนั กรดยรู กิ ไมห่ มดไมไ่ ด้นำ�ไปใช้เป็นพลังงาน เมอื่ รา่ งกายอักเสบตรงท่ีใดกจ็ ะขบั นา้ํ ลงมาเล้ยี งทอ่ี กั เสบ ซึ่งท�ำ ใหห้ ัวเข่าบวม หมอโบราณ เรยี กลมจบั โป่งเขา้ ข้อ มี ๒ อย่าง หากเปน็ ท่ขี อ้ ใหญห่ มอโบราณเขาเรียกลมจับโป่งเข้าขอ้ จะมหี วั เข่าบวม มีนํา้ อยใู่ นข้อเข่า วิธรี ักษาจะนำ�ปนู แดงทก่ี นิ กับหมากละลายให้ขน้ ๆ เขยี น นะโมพุทธายะทหี่ ัวเข่า (เป็นกศุ โลบายดา้ นกำ�ลงั ใจ) เมอ่ื น�ำ ปนู แดงมาทาทห่ี วั เขา่ กจ็ ะขบั นา้ํ ออก เพราะปนู เปน็ ดา่ งจงึ ขบั พวกกรด หมอโบราณจะมคี วามละเอยี ด เอาปนู ทก่ี นิ กบั หมากทาหัวเขา่ ทาทกุ วันกจ็ ะยบุ ยบุ แลว้ จึงมาจดั การพับขอ้ อาจใชย้ าแก้ปวดตามขอ้ ซ่ึงได้แก่ ยารสขมต่าง ๆ เชน สะเดา กะดอม บอระเพ็ด ฟา้ ทะลายโจร จะช่วยลดอาการอักเสบ หากเป็นทีข่ ้อเลก็ เขาเรยี กล�ำ บองนวิ้ คือ น้ิวแขง็ เปน็ ไมก้ ระบอง สำ�หรบั ข้อเท้าแพลง ปวดขอ้ เท้า สามารถขยับเข้าทีไ่ ด้ตามข้นั ตอน ดังต่อไปนี้ ข้นั ตอนท่ี ๑ ขยบั ขอ้ เทา้ ไปมาเบา ๆ แล้วกระตกุ ข้อเท้าท่แี พลงหรือปวด จะบรรเทาและหายไปในทสี่ ุด ข้ันตอนท ี่ ๒ เม่ือกระตุกแล้ว จะยกเข่าโน้มไปข้างหน้าให้ชิดอก หักปลายลงทดสอบดูว่าดีข้ึนหรือยัง ในการรักษาไหลต่ ิด ปวดสะบกั ใหป้ ฏบิ ตั ิดังน้ี ข้ันตอนท่ี ๑ ยกแขนข้ึนจบั โยกไปโยกมา ข้นั ตอนท่ี ๒ ใช้นิ้วหวั แม่มอื กดเส้นตามสะบกั และไล่ไปมา ขั้นตอนที่ ๓ กดเส้นทีไ่ หลไ่ ปมา ขั้นตอนท่ี ๔ กดเส้นด้านหน้าขา้ งคอ เส้นนีจ้ ะลงสะบกั ในกรณเี สน้ สะบกั จม กลา้ มเนอ้ื จะมอี าการรง้ั ตอ้ งใชก้ ารดงึ ออกมาเขา้ ชว่ ย หากกลา้ มเนอ้ื คอตงึ มากๆ อาจเนอ่ื งจาก การใชส้ ายตามาก เมอ่ื มอื เทา้ เจบ็ เรากดนวิ้ มอื ใหแ้ นน่ มนั จะจดั ลอ็ คกระดกู เอง ท�ำ กระดกู ใหเ้ ขา้ ทที่ กุ อยา่ งกจ็ ะคงสภาพเดมิ การนวดกลา้ มเนอื้ ใหค้ ลายเปน็ การปรบั สมดลุ เวลาหมอนวดผปู้ ว่ ยมาก ๆ กจ็ ะมอี าการเกรง็ ตวั ของกลา้ มเนอ้ื วธิ บี รหิ ารกระดกู คอบา่ การวางมอื ตอ้ งอยใู่ นทา่ สบาย เพราะหมอเปน็ คนนวด ไมใ่ ชว่ า่ หมอเกรง็ เสยี เองท�ำ ใหเ้ กดิ อาการปวดได้ วธิ นี วดทสี่ บาย ทส่ี ดุ ทห่ี มอจะไม่ปวด คอื ท่านวดด้วยศอก แตห่ ากหมอนวดดว้ ยนวิ้ มือและจัดท่าให้ถนดั ก็จะไม่พบอาการแทรกซอ้ นใด ๆ การนวดภาคกลางเปน็ รปู แบบหนงึ่ ของภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ ดา้ นการนวดทมี่ ี ความหลากหลายในแตล่ ะพน้ื ทตี่ าม แบบฉบบั ของตนเอง นับเปน็ องค์ความรู้ท่ีมีคณุ ค่าควรแก่การสนับสนนุ อนรุ กั ษใ์ ห้มกี ารสบื ทอดตอ่ ๆ กนั ไป สามารถนำ�มา ใช้ในชีวิตประจำ�วันโดยพ้ืนฐานเพื่อการพ่ึงพาตนเองจนถึงการรักษา ที่ใช้ความสามารถประสบการณ์ความชำ�นาญของ หมอพื้นบ้านโดยตั้งอยู่บนพื้นฐาน วัฒนธรรมของแต่ละท้องถ่ิน เพ่ือสร้างความเช่ือม่ันต่อผู้ใช้บริการ และเพื่ออนุรักษ์องค์ ความรู้ภมู ปิ ญั ญาพน้ื บ้านสืบไป ๔. งานวิจยั ท่เี ก่ยี วข้อง กรงุ ไกร เจนพาณชิ ย์ และประเสรฐิ ศกั ด์ิ ตจู้ นิ ดา. (๒๕๓๔). ศกึ ษา “ผลการนวดแบบไทยเดมิ บรเิ วณคอและไหล่ ตอ่ อตั ราชพี จรและความดันโลหติ ” ผลการศึกษาพบว่า อาการเกี่ยวกับศีรษะ คือ มนึ เวยี นศรี ษะ ปวดศรี ษะ ทุเลาลงหรือ หายไป อาการเกย่ี วกบั ตน้ คอทม่ี อี าการตงึ หนา้ และตน้ คอมอี าการทเุ ลาลงหรอื หายไป อาการเกย่ี วกบั ไหล คอื อาการตงึ หนา้ เมื่อยบรเิ วณไหล่ทเุ ลาลงหรือหายไป สามารถก้มเงยหรือเอียงศีรษะได้อยา่ งเห็นได้ชดั กรงุ ไกร เจนพาณชิ ย์ และประเสริฐศักด์ิ ตู้จนิ ดา. (๒๕๓๔). ทำ�การศึกษา “ผลการนวดแบบเดมิ ของไทยตอ่ ระบบการไหลเวียนของเลือด” ผลการศึกษาพบว่า การนวดท่ีขาของคนปกติ ท้ังชายและหญิงทำ�ให้อุณหภูมิของผิวกาย (ท่ีหลังเท้า) เพิ่มขึ้น อัตราชีพจรและความดันเลือดลดลง (ยกเว้นความดันไดแอสโตลิก ในอาสาสมัครเพศชาย) บริเวณท่ี ถกู นวด จะรู้สกึ สบายบางรายถึงหลบั และบางรายรสู้ กึ อยากหลับ น ว ด พื้ น บ้ า น ภ า ค ก ล า ง 21

กรงุ ไกร เจนพาณิชย์ และประเสรฐิ ศักดิ์ ตู้จินดา. (๒๕๓๔) (ม.ป.ป.). การศกึ ษา “นวดเป็นยา การรกั ษา อาการทอ้ งอืด” ผลการศึกษาพบวา่ ผปู้ ว่ ยหลังผา่ ตดั ทีม่ อี าการทอ้ งอืด และมิได้รบั การผา่ ตัด อาการทอ้ งอืดหายไป ซ่งึ นับวา่ เปน็ ผลดีที่สุด ปลอดภยั และประหยดั จติ ร์จารึก ทองทบั และคณะ (๒๕๕๑). ศกึ ษาเรอื่ ง “การนวดบรรเทาอาการปวดหลังและขาในหญิงตง้ั ครรภ์” ผลการศกึ ษาพบวา่ หญงิ ตง้ั ครรภ์ มอี าการปวดหลงั เอวและชา บรเิ วณขานอ้ ยลง โดยหญงิ ตง้ั ครรภอ์ ายคุ รรภ์ ๒๘-๓๒ สปั ดาห์ จ�ำ นวน ๗ คน รสู้ กึ ผอ่ นคลายดมี าก รอ้ ยละ ๒๘.๕๗ ผอ่ นคลายดี รอ้ ยละ ๗๑.๔๓, อายคุ รรภ์ ๓๓-๓๕ สปั ดาห์ จ�ำ นวน ๙ คน รสู้ กึ ผอ่ นคลายดีมาก รอ้ ยละ ๔๔.๔๔ ผ่อนคลายดี รอ้ ยละ ๕๕.๕๖, อายคุ รรภ์ ๓๖ สัปดาหข์ น้ึ ไป จ�ำ นวน ๗ คน รู้สึก ผอ่ นคลายดีมาก รอ้ ยละ ๒๗.๕๗ ผ่อนคลายดี ร้อยละ ๗๑.๔๓ ผูด้ ูแลมีทกั ษะในการนวดให้หญงิ ตง้ั ครรภม์ ากข้ึน โดยญาติ หรอื ผดู้ ูแลสามารถนวดให้หญิงตงั้ ครรภอ์ าการดขี ึน้ รอ้ ยละ ๘๖.๙๖ อาการพอใช้ รอ้ ยละ ๑๓.๐๔ รวมทงั้ ท�ำ ใหเ้ จา้ หนา้ ท่ี หญงิ ตงั้ ครรภ์ และผ้ดู แู ลสมั พนั ธภาพที่ดเี ปน็ พนื้ ฐานของการใหบ้ รกิ าร รบั บริการในงานดา้ นอนื่ ๆ ต่อไป และท�ำ ให้ผลการ ตอบรับของงานแพทย์แผนไทยในชุมชนมีมากข้ึน เนื่องจากงานแพทย์แผนไทยมีส่วนร่วมในการดูแลประชาชนทุกงาน ทกุ กลมุ่ อายุ ขอ้ สรปุ หลงั จากไดร้ บั การนวดหญงิ มคี รรภร์ สู้ กึ ผอ่ นคลายดี และมอี าการดขี น้ึ หลงั ไดร้ บั การนวดจากญาตหิ รอื ผ้ดู แู ล เจอื จนั ทน์ วฒั กเี จรญิ (๒๕๓๔). ศกึ ษา “เปรยี บเทยี บผลการนวดไทยประยกุ ตก์ บั การกนิ ยาพาราเซตามอลตอ่ ระดบั การปวดศีรษะและระยะเวลาที่การปวดศีรษะลดระดบั ลง ในผู้ปว่ ยทีม่ ีอาการปวดศรี ษะจากความเครยี ด” พบวา่ การนวด แบบไทยประยกุ ตส์ ามารถลดการปวดศรี ษะได้ดีกวา่ การกินยาพาราเซตามอลตั้งแตเ่ วลาที่ ๑๕ นาที ๒๐ นาที และ ๓๐ นาที และการนวดสามารถลดการปวดศรี ษะไดท้ นั ทีและรวดเรว็ กวา่ การกนิ ยาพาราเซตามอลในเวลา ๑๕ นาที ชตุ ิมาพร ไตรนภากลุ และคณะ (๒๕๕๑). ศกึ ษาเรื่อง “การศกึ ษาเปรยี บเทียบการไหลของนา้ํ นมหญิงหลังคลอด ทถ่ี กู นวด-ประคบเตา้ นมดว้ ยลกู ประคบสมนุ ไพรสดและกระเปา๋ นา้ํ รอ้ น” ผลการศกึ ษา พบวา่ เมอ่ื เปรยี บเทยี บการนวด-ประคบ ท้ัง ๒ วิธี ที่เวลา ๐, ๑ และ ๓ ช่วั โมง คะแนนการไหลของนาํ้ นมหลงั การนวด-ประคบดว้ ยลูกประคบสมุนไพรสดมากกว่า การนวด-ประคบด้วยกระเป๋าน้ําร้อนอย่างมีนัยสำ�คัญทางสถิติ (ค่า P < ๐.๐๕) ข้อสรุป การนวด-ประคบเต้านมด้วย ลูกประคบสมนุ ไพรสดจงึ เปน็ อีกทางเลอื กหน่ึงสำ�หรบั บริการแก่หญงิ หลังคลอด ผลการศกึ ษาน้ีจงึ เปน็ ขอ้ มลู วชิ าการสำ�หรบั การพัฒนาระบบบรกิ ารต่อไปเพ่อื เอ้ือใหห้ ญงิ หลงั คลอดประสบความส�ำ เรจ็ ในการเลี้ยงลกู ดว้ ยนมแม่ นฤมล ลีลายุวัฒน์ (๒๕๔๑). ศึกษา “ประสิทธผิ ลทางสรรี วิทยาของการนวดไทยในการลดปวด การทำ�งานของ กล้ามเนือ้ และภาวะแทรกซ้อน” พบวา่ ผลการนวดไทยไม่ทำ�ให้ความดนั เลอื ดซีสโตลิกเปลยี่ นแปลง แตม่ ีผลต่อการลดการ เต้นของชพี จรอย่างมนี ัยส�ำ คญั ทางสถติ ิ เชน่ เดยี วกับการนอน และอณุ หภูมผิ ิวหนังบรเิ วณหลงั ของประชากรที่ได้รบั การนวด เพิ่มขึ้นอยา่ งมีนัยส�ำ คญั ทางสถิติ ผลของการนวดไทยในการลดปวด พบว่า มรี ะดับการปวดลดลง ส่วนผลการนวดไทยใน การทำ�งานของกล้ามเน้ือ พบว่า การนวดไทยมีผลต่อความทนทานของการทำ�งานของกล้ามเน้ือมากขึ้นมากกว่ากลุ่มนอน อย่างมีนัยสำ�คัญทางสถิติ ในกลุ่มควบคุมมีความทนทานของกล้ามเน้ือลดลงอย่างมีนัยสำ�คัญทางสถิติ ความยืดหยุ่นของ กล้ามเนื้อดีข้ึน นอกจากนี้ ยังพบการเปล่ียนแปลงของ Integral EMG ในกลุ่มที่ได้รับการนวดแนวโน้มมีค่าลดลงต้ังแต่ วินาทที ี่ ๓๐ แตก่ ลุ่มควบคุมแนวโนม้ มีค่าลดลงในช่วง ๒๐ วินาทแี รก และเพ่ิมข้ึนตงั้ แตว่ นิ าทีท่ี ๓๐ บาทหลวงการโ์ ล เวลาโด และบาทหลวงสมชาติ ผิวเกลี้ยง. (๒๕๔๒). ศึกษา “ประสิทธภิ าพการนวดของ หมอนวด” เป็นการศึกษาทัศนคติของผู้รับบริการ ญาติและผู้ให้บริการในสถานบริการศาลาสุขสัมผัส เป็นการวิจัยทาง สงั คมศาสตร์ โดยการสอบถามความนยิ ม ความเชอื่ ถอื และความคดิ เหน็ ทมี่ ตี อ่ การนวดไทย พบวา่ บคุ คลทนี่ ยิ มมาใชบ้ รกิ าร นวดไทย จากสถิติแสดงจำ�นวนผ้นู ยิ มนวดน้ัน คอื อายุ ๔๑-๕๐ ปี รอ้ ยละ ๒๙ อายุ ๕๑-๖๐ ปี รอ้ ยละ ๒๕ และในผทู้ มี่ า นวดประจำ�มีอายุ ๔๐-๖๐ ปี ร้อยละ ๕๔ อายุ ๒๐-๓๐ ปี รอ้ ยละ ๖ และอายุ ๓๑-๔๐ ปี ร้อยละ ๑๑ อายุ ๖๑-๗๐ ปี รอ้ ยละ ๑๕ อายุ ๗๑-๘๐ ปี รอ้ ยละ ๔.๘ และเกิน ๘๐ ปี รอ้ ยละ ๑ ส่วนอาชีพที่มารบั บริการเปน็ อาชีพอิสระมากท่สี ดุ รอ้ ยละ ๕๗ ลดลงมาคือ อาชพี แม่บ้าน ร้อยละ ๑๔ รับราชการ รอ้ ยละ ๑๒ อาชพี คา้ ขาย ร้อยละ ๖.๕๙ และอืน่ ๆ 22 น ว ด พ้ื น บ้ า น ภ า ค ก ล า ง

เบญจวรรณ ธรี ะเทอดตระกลู (๒๕๓๙) ศึกษา “ผลการนวดรว่ มกบั การบริหารคออยา่ งมีแบบแผนตอ่ ระดับการ ปวดศรี ษะในผปู้ ่วยทีไ่ ด้รบั การผา่ ตดั ในท่านอนหงายศีรษะแหงน” พบว่า ๑. ผปู้ ว่ ยภายหลงั ไดร้ บั การนวดและการบรหิ ารคออยา่ งมแี บบแผน มรี ะดบั การปวดศรี ษะนอ้ ยกวา่ ผปู้ ว่ ยทไี่ ดร้ บั การพยาบาลตามปกติทีเ่ วลา ๑๐, ๓๐, ๔๕, ๖๐ นาที และ ๖ ชั่วโมง อยา่ งมนี ัยส�ำ คัญทางสถิติ (P< .๐๐๑) ๒. ผปู้ ว่ ยภายหลงั ไดร้ บั การนวดและการบรหิ ารคออยา่ งมแี บบแผนทเี่ วลา ๑๐, ๓๐, ๔๕, ๖๐ นาที และ ๖ ชวั่ โมง มรี ะดบั การปวดศรี ษะนอ้ ยกวา่ กอ่ นได้รบั การนวดและการบรหิ ารคออย่างมีแบบแผน อย่างมนี ยั ส�ำ คญั ทางสถติ ิ (P< .๐๐๑) ๓. ผูป้ ว่ ยภายหลงั ไดร้ บั การพยาบาลตามปกตทิ ีเ่ วลา ๑๐, ๓๐, ๔๕, ๖๐ นาที มีระดบั การปวดศรี ษะเทา่ กบั ก่อน ได้รบั การพยาบาลตามปกติ สว่ นท่เี วลา ๖ ชว่ั โมงระดับการปวดศีรษะน้อยกว่าก่อนได้รบั การพยาบาลตามปกติ อยา่ งมนี ยั สำ�คญั ทางสถติ ิ (P< .๐๐๑) ประโยชน์ บุญสินสุข และคณะ (๒๕๒๗) ศกึ ษา “การรกั ษาอาการปวดหลงั ดว้ ยการนวดแบบเดมิ ของไทย” พบวา่ การนวดแบบไทย โดยมกี ารกดจุด สามารถลดอาการปวดหลงั ระดับบนั้ เอวของผู้ปว่ ยได้ ประโยชน์ บญุ สินสขุ และคณะ (๒๕๓๕) ศกึ ษา “ผลการนวดไทยในผปู้ ่วยกล้ามเนอื้ และข้อ โดยใช้การนวด ๓ วัน ตดิ ตอ่ กนั ” พบว่า อณุ หภูมิรา่ งกายไม่เปลย่ี นแปลง อตั ราชีพจรความดันโลหติ ท้ังซสี โตลกิ และไดแอสโตลิก ไมเ่ ปลย่ี นแปลง แตร่ ะดบั อาการปวดลดลง ๑ ระดับ ในระดบั ผปู้ ่วยกล่มุ ทมี่ อี าการปวดกลา้ มเน้อื มอี าการปวดลดลงมากกวา่ กลมุ่ ทมี่ อี าการ ปวดลกั ษณะอนื่ ๆ หลงั จากการนวดครงั้ ที่ ๓ ระดบั การปวดลดลงเฉลีย่ ๒ ระดับ ปจั มา สรเสริมสมบตั ิ และวรรณวิมล อุดมศรลี าภ (๒๕๒๔) ศึกษา “ทางเลือกในการบำ�บดั รักษา : นวด กดจดุ และฝังเข็ม” พบวา่ การนวด กดจดุ และฝงั เขม็ ให้ผลดีในการรกั ษาโรคและอาการตา่ งๆ ไดด้ ี โดยเฉพาะโรคเกีย่ วกบั กระดูก กล้ามเนื้อ และเสน้ ประสาท ซ่งึ สอดคลอ้ งกับรายงานเอกสารที่ไดค้ น้ คว้ารวบรวมได้ ภัทรพล จงึ สมเจตไพศาล และคณะ (๒๕๓๙) ศกึ ษา “ทัศนคตแิ ละการยอมรับของบคุ ลากรทางการแพทย์และ สาธารณสขุ แผนปจั จบุ นั ในจงั หวดั กาญจนบรุ ี ตอ่ การนวดไทยในการแกป้ ญั หาสขุ ภาพ” พบวา่ การนวดเปน็ การรกั ษาอาการปวด ตามวิธีการของการแพทย์แผนไทย ซงึ่ เป็นภมู ิปญั ญาของคนไทยสมัยก่อน สามารถทดแทนยาแกป้ วดได้ ปัจจบุ ันรฐั บาล มีนโยบายฟื้นฟูและส่งเสริมอย่างชัดเจน จากการศึกษาทัศนคติของบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขแผนปัจจุบัน จ�ำ แนกตามปจั จัยด้านอาชพี แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร และรายไดข้ องบคุ ลากรตัง้ แต่ ๑๐,๐๐๐ บาทขน้ึ ไป มที ศั นคติ เชงิ ลบ สว่ นการยอมรับ พบว่า แพทยแ์ ละเภสัชกรมีแนวโน้มยอมรบั การนวดไทย เม่อื มอี าการปวด เคล็ด ขดั ยอกนอ้ ยกว่า อาชพี อื่นอย่างมนี ยั สำ�คัญทางสถติ ิ มนตรี นาคะเกศ และวชิ ยั อึงพินิจพงศ์ (๒๕๕๐). ศึกษา “ผลของการนวดแผนไทยแบบเชลยศกั ดิ์ต่อระดับ ความผอ่ นคลายของผมู้ ารบั บรกิ าร ผลการศกึ ษา” พบวา่ กอ่ นการนวด ความดนั โลหติ ซสิ โตลกิ (Systolic blood pressure) เทา่ กับ ๑๐๗.๕๘ ± ๙.๓๗ มม.ปรอท อัตราชีพจร (Pulse rate) เท่ากบั ๗๓.๘๘ ± ๑๐.๐๔ ครงั้ ต่อนาที และผลรวมคะแนน ของแบบทดสอบความเครยี ดเทา่ กับ ๓๗.๘๕ ± ๙.๒๐ และหลงั ไดร้ บั การนวด ความดนั โลหิตซสิ โตลิก (๑๐๒.๘๒ ± ๘.๖๗ มม.ปรอท) อัตราชพี จร (๖๖.๖๕ ± ๙.๒๗ คร้งั ต่อนาที) และผลรวมคะแนนของแบบทดสอบความเครยี ด (๒๘.๓๑ ± ๗.๘๐) มคี ่าลดลงอย่างมีนัยสำ�คัญทางสถติ ทิ รี่ ะดบั ๐.๐๕ ส่วนความดัน (๗๒.๖๙ ± ๘.๑๓ มม.ปรอท) เพมิ่ ขนึ้ อย่างมีนัยส�ำ คัญทาง สถิติทร่ี ะดับ ๐.๐๕ รงุ่ ทิวา ชาญพทิ ยานกุ ูลกิจ และคณะ (๒๕๒๘) ศึกษา “ผลของวธิ กี ารนวดแผนโบราณแบบเปิดปดิ ประตลู มท่ี ขาในคนปกติ” พบว่า อุณหภูมิสูงขึ้น ความต้านทานผิวหนัง ชีพจร และความดันเลือดเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยแต่หลังจาก การเปดิ ประตลู ม ผูถ้ ูกนวดจะรูส้ กึ ร้อนวง่ิ จากโคนขาไปตามขาข้างทีถ่ กู นวด และเกิดความรสู้ กึ สบาย รงุ่ ทวิ า ชาญพทิ ยานกุ ลู กจิ และคณะ (๒๕๒๘) ศึกษา “การรกั ษาอาการปวดตน้ คอด้วยวธิ ีการนวดแบบเดมิ ของไทย” พบวา่ ผปู้ ว่ ยทม่ี อี าการปวดตน้ คอ เนอ่ื งจากการเกรง็ ของกลา้ มเนอ้ื และการก�ำ จดั การเคลอ่ื นไหวของขอ้ ตอ่ เมอ่ื รกั ษา ดว้ ยการนวดกดจุดแลว้ จะสามารถลดอาการปวดท่ตี น้ คอได้ ลดาวัลย์ นิชโรจน์ และคณะ (๒๕๕๐). ศึกษา “ผลของการนวดกดจุดฝ่าเทา้ ต่อความเครียดและความดันโลหติ ในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงชนิดไม่ทราบสาเหตุ” ผลการวิจัย พบว่า ผลของการนวดกดจุดฝ่าเท้าในผู้ป่วยกลุ่มทดลอง น ว ด พ้ื น บ้ า น ภ า ค ก ล า ง 23

มีค่าเฉลี่ยของระดับคะแนนความเครียดต่ํากว่าในผู้ป่วยกลุ่มควบคุมท่ีได้รับการพยาบาลแบบปกติอย่างมีนัยสำ�คัญทางสถิติ (คา่ p < ๐.๐๐๑) และผลของการนวดกดจดุ ฝา่ เทา้ ในผปู้ ว่ ยกลมุ่ ทดลองมคี า่ เฉลยี่ ของระดบั ความดนั โลหติ ซสิ โตลกิ และความ ดันโลหิตไดแอสโตลิกต่ํากว่าในผู้ป่วยกลุ่มควบคุมท่ีได้รับการพยาบาลแบบปกติอย่างมีนัยสำ�คัญทางสถิติ (ค่า p < ๐.๐๕ และค่า p < ๐.๐๑ ตามล�ำ ดับ วจิ ติ รา กสุ มุ ภ์ (๒๕๓๒) ศกึ ษา “ผลการกดจดุ และนวดตอ่ ระดบั ความเจบ็ ปวดในผปู้ ว่ ยหลงั สว่ นลา่ ง” พบวา่ ระดบั ความเจ็บปวดของกลุ่มทดลองลดลงอย่างมีนัยสำ�คัญทางสถิติที่ระดับ .๐๐๑ ระดับความอ่อนแอของหลังของกลุ่มทดลอง ภายหลังได้รับการกดจุดและนวด ตํา่ กวา่ กอ่ นได้รับการกดจุดและนวดอยา่ งมีนัยส�ำ คัญทางสถิติ ระดบั ความเจบ็ ปวดของ กลมุ่ ทดลองมรี ะดบั ลดลงอยา่ งมนี ยั ส�ำ คญั ทางสถติ ิ ปรมิ าณยาแกป้ วดทผี่ ปู้ ว่ ยรบั ประทานในกลมุ่ ทดลองนอ้ ยกวา่ กลมุ่ ควบคมุ อย่างมนี ยั สำ�คญั ทางสถิติ วชิ ยั องึ พินจิ พงศ์ และคณะ (๒๕๓๕) ศกึ ษา “ผลทางสรีรวิทยาในผู้ป่วยปวดหลงั ทม่ี สี าเหตจุ ากข้อสันหลังเสอื่ ม และกล้ามเนื้อหลังอกั เสบ” พบว่า การนวดไทยเพิม่ อณุ หภูมผิ วิ หนัง เพม่ิ ความยดื หยนุ่ ของล�ำ ตวั และลดปวดแต่ไมม่ ผี ลตอ่ สญั ญาณชีพ วิชยั อึงพนิ จิ พงศ์ และ นศิ รา มนตรี (๒๕๔๒) ศึกษา “ผลทางสรรี วทิ ยาเบอ้ื งตน้ ของการนวดเทา้ แบบประยกุ ต์ ในคนปกต”ิ พบวา่ มผี ลตอ่ สญั ญาณชพี อณุ หภมู ขิ องผวิ หนงั ปรมิ าณการไหลเวยี นทผี่ วิ หนงั บรเิ วณทนี่ วด และความยดื หยนุ่ ของตะโพก และล�ำ ตวั นอกจากน้ี ยงั พบว่า ผถู้ กู นวดมคี วามพงึ พอใจในความรู้สึกของการนวดเทา้ และรูส้ กึ สบายเทา้ หลัง นวด พงึ พอใจมาก รอ้ ยละ ๖๐ พึงพอใจปานกลาง รอ้ ยละ ๒๔ และพึงพอใจนอ้ ย รอ้ ยละ ๑๖ วมิ ล วงศส์ ุรสทิ ธิ์ และคณะ (๒๕๓๕) (ม.ป.ป.) ศึกษา “ผลของการนวด กดจุด ฝงั เขม็ ตามแบบการนวดไทย ในผู้หญิงที่มีอาการปวดศีรษะในท่านอนตะแคงและท่านั่ง” พบว่า การนวด กดจุดในผู้ป่วยที่มีอาการปวดศีรษะ และมี การเกรง็ ของกล้ามเนือ้ ต้นคอ บ่า ท�ำ ให้ระดับอาการปวดลดลง และสามารถเคล่อื นไหวคอได้มากขน้ึ วรี ะพงษ์ ชิดนอก และคณะ (๒๕๕๐). ศกึ ษา “ผลของการฝกึ บรหิ ารกายดว้ ยฤๅษีดัดตนตอ่ ความแขง็ แรงของ กลา้ มเนอ้ื หายใจ และสมรรถภาพกาย การออกก�ำ ลงั กายในเพศหญงิ ผลการศกึ ษา” พบวา่ ผรู้ ว่ มวจิ ยั ทงั้ สองกลมุ่ มคี ณุ ลกั ษณะ ทางกาย ประกอบดว้ ยอายุ นํา้ หนัก สว่ นสูง ดัชนมี วลกาย เปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย ค่าแรงดนั หายใจเขา้ สูงสุด และ แรงดนั หายใจออกสูงสุด ค่ากำ�ลังสงู สดุ และความสามารถแบบไมใ่ ชอ้ อกซิเจนไมแ่ ตกตา่ งกนั (p> ๐.๐๕) กอ่ นท�ำ การศกึ ษา และหลังการฝกึ ครบ ๘ สปั ดาห์ พบวา่ กลมุ่ ฝึกฤๅษดี ดั ตนมคี ่าแรงดนั หายใจเข้าสูงสดุ และแรงดันหายใจออกสูงสดุ ค่าก�ำ ลัง สงู สดุ และความสามารถแบบไมใ่ ชอ้ อกซเิ จนมากกวา่ กลมุ่ ควบคมุ อยา่ งมนี ยั ส�ำ คญั ทางสถติ ิ (p< ๐.๐๕) ชว่ งสปั ดาหท์ ี่ ๔ และ หลังฝกึ ครบ ๘ สปั ดาห์ และพบว่า ในกล่มุ ฝึกฤๅษีดัดตน มคี ่าแรงดนั หายใจเขา้ สงู สุดและแรงดันหายใจออกสงู สดุ ค่ากำ�ลัง สงู สดุ และความสามารถแบบไมใ่ ช้ออกซเิ จนเพิม่ ขนึ้ อยา่ งมนี ยั สำ�คญั ทางสถติ ิ (p< ๐.๐๕) ชว่ งสัปดาหท์ ่ี ๔ และหลงั การฝกึ ครบ ๘ สัปดาห์ เม่ือเทียบกับก่อนฝึก ข้อสรุป ผลของการฝึกฤๅษีดัดตนสามารถเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเน้ือหายใจ และสมรรถภาพการออกกำ�ลงั กายแบบไมใ่ ชอ้ อกซเิ จนได้ในเพศหญงิ ศภุ รกั ษ์ ศุภเอม. (๒๕๕๐) ศกึ ษา “ผลของการนวดไทยต่อความเจบ็ ปวดและความร้สู กึ สบายกาย” ผลการศกึ ษา พบว่า การนวดไทยแบบเชลยศกั ดชิ์ ่วยลดความเจ็บปวดทางกายได้เฉล่ีย ๓.๘ ใน ๑๐ คะแนน และเพ่มิ ความรู้สกึ สบายกาย ได้ ๓.๐ ใน ๑๐ คะแนน โดยการวัดดว้ ยเครอ่ื งมอื visual analog scale (๐-๑๐ ซม.) ทร่ี ะดับความเชือ่ ม่นั รอ้ ยละ ๙๕ (คา่ พี < ๐.๐๐๑) ซง่ึ ทดสอบทางสถติ ดิ ว้ ยวธิ ี Wilcoxon signed rank test. จากการวเิ คราะหท์ างสถติ ดิ ว้ ยวธิ ี multivariate analysis of variance พบวา่ ปัจจยั ดา้ นเพศมีความสัมพนั ธก์ บั การลดความเจบ็ ปวดทางกายของผู้ปว่ ย โดยผปู้ ว่ ยหญิงตอบ สนองต่อการนวดไทยในแง่การลดความเจ็บปวดทางกายมากกว่าผู้ป่วยชายอย่างมีนัยสำ�คัญทางสถิติ จากการศึกษาน้ีอาจ สรปุ ไดว้ า่ การนวดไทยสามารถลดความเจบ็ ปวดทางกายและเพม่ิ ความรสู้ กึ สบายกายได้ และปจั จยั ดา้ นเพศมคี วามสมั พนั ธ์ กบั ผลของการนวดไทยต่อความเจ็บปวดทางกาย สมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ และคณะ (๒๕๓๐) ศึกษา “ทศั นคติของผรู้ บั บริการในสถานบริการสาธารณสขุ ของรฐั เกย่ี วกบั การนำ�การนวดไทยมาใชใ้ นสถานบริการสาธารณสขุ ” พบวา่ รอ้ ยละ ๙๖ ของผปู้ ่วยทรี่ ่วมโครงการ รอ้ ยละ ๘๐ ของ ผูป้ ่วยทัว่ ไป/ญาติ ทมี่ ารบั บรกิ ารและร้อยละ ๘๔ ของเจ้าหน้าท่รี ัฐในสถานบริการสาธารณสขุ ท่ที ำ�วิจัย มคี วามเช่อื ว่านวด 24 น ว ด พ้ื น บ้ า น ภ า ค ก ล า ง

แลว้ ท�ำ ใหอ้ าการดขี น้ึ และเหน็ ดว้ ยตอ่ การน�ำ การนวดมาใชบ้ รกิ ารในสถานบรกิ ารสาธารณสขุ ของรฐั และมขี อ้ เสนอแนะจาก เจา้ หนา้ ทข่ี องรฐั ในสถานทท่ี �ำ วจิ ยั วา่ ควรน�ำ มาผสมผสานหรอื ประยกุ ตใ์ ชก้ ารนวดไทย และการแพทยแ์ ผนปจั จบุ นั เขา้ ดว้ ยกนั ในสถานบริการสาธารณสุขของรฐั รอ้ ยละ ๘๑ สรอ้ ยศรี เอย่ี มพรชยั และคณะ (๒๕๕๑). ศกึ ษาเรอ่ื ง “ประสทิ ธผิ ลของการนวดไทยแบบราชส�ำ นกั และการประคบ ดว้ ยสมนุ ไพรในการลดอาการปวดหลงั ในระยะหลังคลอดช่วงแรก” ผลการศกึ ษา พบวา่ อาสาสมคั รทั้ง ๒ กลุ่ม อยใู่ นช่วง กลุ่มอายุ ๒๑-๓๐ ปี สว่ นใหญ่เปน็ ครรภท์ ่ี ๒ เคยคลอดมาแล้ว ๑ คร้ัง กล่มุ ทดลองมอี าการปวดบ้นั เอวและกระเบนเหน็บ ร้อยละ ๘๐ รองลงมาปวดหนา้ ขาและตน้ ขา รอ้ ยละ ๕๘ สว่ นกลมุ่ ควบคมุ มอี าการปวดบน้ั เอวและกระเบนเหนบ็ รอ้ ยละ ๘๒ รองลงมาปวดหนา้ ขาและตน้ ขา รอ้ ยละ ๗๐ ซงึ่ กลมุ่ ตวั อยา่ งทง้ั สองกลมุ่ ไมแ่ ตกตา่ งกนั มาก เมอ่ื เปรยี บเทยี บอาสาสมคั รกลมุ่ ท่ีได้รับการนวดไทยแบบราชสำ�นักและประคบด้วยสมุนไพรกับกลุ่มหญิงหลังคลอดที่ได้รับการดูแลรักษาตามปกติ พบว่า กลุ่มท่ีได้รับการนวดไทยแบบราชสำ�นักและประคบด้วยสมุนไพรมีระดับอาการปวดหลังลดลงอย่างมีนัยสำ�คัญทางสถิติ (คา่ P < ๐.๐๐๑) และมคี วามพงึ พอใจต่อผลการบ�ำ บัดรักษาด้วยการนวดไทยแบบราชสำ�นกั และการประคบด้วยสมุนไพรใน ระดบั สูง ๘-๑๐ (คดิ เป็นรอ้ ยละ ๘๒) ข้อสรุปจากการศึกษา พบวา่ การนวดไทยแบบราชส�ำ นกั และการประคบด้วยสมนุ ไพร สามารถชว่ ยลดหรอื บรรเทาอาการปวดหลงั ในหญงิ หลงั คลอดได้ ซงึ่ อาจน�ำ ไปใชใ้ นการบรรเทาอาการปวดจากปจั จยั อน่ื ๆ ได้ สทุ ศิ า ปลม้ื ปติ วิ ริ ยิ ะเวช และเสาวภา พรสริ พิ งษ์ (๒๕๔๓) ศกึ ษา “การนวดพน้ื บา้ นอสี านในเชงิ กายวภิ าคศาสตร์ และสรรี วทิ ยา” พบวา่ หมอนวดพื้นบา้ นอีสานใหค้ วามสำ�คัญกบั “เส้น” โดยเชอ่ื วา่ ร่างกายประกอบดว้ ยเสน้ จ�ำ นวนมากท่ี สมั พนั ธก์ บั สว่ นตา่ ง ๆ ของรา่ งกาย การวนิ จิ ฉยั โรคใชว้ ธิ กี ารสงั เกตลกั ษณะภายนอกและการคลงึ โดยประสบการณ์ การรกั ษา เน้นการนวดท่ีจุดรวมเส้น เพ่ือให้เลือดลมเดินดสี ง่ ผลให้เสน้ อน่ื ๆ คลายตวั กลุ่มอาการทีน่ วด ได้แก่ ปวดเนื้อ เม่ือยกลา้ มเนือ้ กลา้ มเนอ้ื เกรง็ ตวั อมั พฤกษ์ อมั พาต และอาการมดลกู ลง จากการวเิ คราะหท์ า่ นวด เทคนคิ และวธิ กี ารนวดของหมอพน้ื บา้ น แลว้ ทราบวา่ มหี ลายวธิ ที เ่ี หมาะสม และมหี ลายวธิ ที ต่ี อ้ งระมดั ระวงั จดุ นวดทค่ี วรระมดั ระวงั ไดแ้ ก่ ทา่ ยกขาตง้ั ฉาก แลว้ ใช้ ศอกกดทฝ่ี า่ เทา้ จดุ กดบรเิ วณสามเหลย่ี ม เหนอื กระดกู ไหปลารา้ จดุ กดในรกั แร้ จดุ กดทข่ี าหนบี และการรกั ษาขากรรไกรคา้ ง การนวดสามารถรักษาและบรรเทาอาการเจ็บป่วยบางอย่างได้ เป็นเทคนิควิธีที่ชาวบ้านสามารถเรียนรู้และแสวงหาความ ชำ�นาญได้ มีอันตรายน้อยสามารถพัฒนาและส่งเสริมให้เป็นอาชีพเสริมได้ แต่สิ่งท่ีต้องดำ�เนินการควบคู่ไปกับการสอบ คอื การใหค้ วามรพู้ น้ื ฐานเกย่ี วกบั ลกั ษณะทางกายวภิ าคและสรรี วทิ ยาอยา่ งงา่ ยแกผ่ เู้ รยี นทา่ นวดทค่ี วรระวงั เปน็ พเิ ศษ รวมทง้ั อาการท่ีหมอนวดไม่สามารถนวดไดแ้ ต่ตอ้ งสง่ ต่อแพทย์ สภุ าวดี ทบั กลา่ํ และคณะ (๒๕๕๐). ศกึ ษา “ผลของโปรแกรมการพฒั นาความสามารถของมารดาในการนวดทารก แบบมปี ฏสิ มั พนั ธ์ (Interactive Infant Massage) ตอ่ ความรกั ใครผ่ กู พนั ระหวา่ งมารดา-ทารก การเจรญิ เตบิ โตและพฒั นาการ ของทารกทเี่ กดิ จากมารดาตดิ เชอื้ ไวรสั เอดส”์ ผลการศกึ ษา พบวา่ มารดาทเี่ ขา้ รว่ มโปรแกรมการพฒั นาความสามารถในการ นวดทารก มคี ะแนนความรกั ใครผ่ กู พนั ระหวา่ งมารดาและทารกสงู กวา่ มารดาในกลมุ่ ทไ่ี มไ่ ดเ้ ขา้ รว่ มโปรแกรมอยา่ งมนี ยั ส�ำ คญั ทางสถิติ (p<๐.๐๕), ทารกในกลุ่มทดลองมีอัตราการเพิ่มของนํ้าหนักและความยาวลำ�ตัวมากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมี นัยส�ำ คญั ทางสถติ ิ (P< ๐.๐๕), ทารกในกลมุ่ ทดลองมคี ะแนนการประเมนิ พฤตกิ รรมสงู กว่าทารกในกล่มุ ควบคมุ อย่างมนี ยั สำ�คัญทางสถิติ โดยเฉพาะพฤติกรรมการตอบสนองต่อส่งิ กระตนุ้ (habituation) (p< ๐.๐๑), ด้านการมปี ฏสิ มั พันธก์ บั สังคม (Social interaction) (p< .๐๐๑), ด้านมอเตอร์ (Motor system) (p< ๐.๐๑), ด้านการปรับตัว (State regulation) (p< ๐.๐๐๑) และความสามารถของทารกทแี่ สดงออกทางพฤตกิ รรม (Supplementary items) (p< ๐.๐๐๑) สรุ ตั ิ เลก็ อทุ ยั และคณะ (๒๕๕๑) ศกึ ษา “ผลของการประคบสมนุ ไพรเพอ่ื บรรเทาอาการปวดในผปู้ ว่ ยขอ้ เขา่ เสอื่ ม ทมี่ กี ารอกั เสบ” ผลการวจิ ยั พบวา่ หลงั การรกั ษาผปู้ ว่ ยทงั้ ๓ กลมุ่ มอี าการปวดขอ้ เขา่ และมคี วามล�ำ บากในการท�ำ กจิ กรรม ลดลงอยา่ งมนี ัยส�ำ คัญทางสถิติที่ระดบั ๐.๐๑ การเปรยี บเทยี บระหวา่ งกลุ่ม พบว่า ผ้ปู ว่ ยมอี าการปวดระยะหา่ งของเวลา ทีม่ ีอาการปวดและความลำ�บากในการทำ�กิจกรรมไมแ่ ตกตา่ งกัน โดยพบวา่ ระหว่างสองวันแรกของการรกั ษาผูป้ ว่ ยทไี่ ด้รบั การรักษาด้วยวิธีการประคบสมุนไพร มีค่าเฉล่ียของอาการปวดลดลงอย่างรวดเร็วกว่ากลุ่มอื่นอย่างมีนัยสำ�คัญทางสถิติท่ี ระดับ ๐.๐๑ ขอ้ สรปุ คณะผูว้ ิจยั มีขอ้ เสนอแนะวา่ สถาบนั การแพทย์แผนไทยควรน�ำ ข้อคน้ พบจากการวจิ ัยคร้ังนี้ไปใช้ใน การก�ำ หนดแนวทางเวชปฏบิ ตั กิ ารแพทยแ์ ผนไทย โดยใชว้ ธิ กี ารประคบสมนุ ไพรในสองวนั แรก เพอื่ ลดการอกั เสบ เมอ่ื อาการ น ว ด พื้ น บ้ า น ภ า ค ก ล า ง 25

อักเสบลดลงแล้วควรใชก้ ารรกั ษาดว้ ยวิธอี ่นื แทน เชน่ การประคบร้อน หรอื การบรหิ ารขอ้ เข่า เน่อื งจากมีคา่ ใช้จา่ ยนอ้ ยกวา่ มผี ลการรกั ษาไมแ่ ตกตา่ งกันและไม่มีผลขา้ งเคียงจากการใชย้ าตา้ นอักเสบ อนวุ ฒั น์ ศภุ ชตุ กิ ลุ (๒๕๓๐) ศกึ ษา “การนวดไทยบ�ำ บดั อาการปวดกลา้ มเนอ้ื และปวดขอ้ ในโรงพยาบาลอดุ รธาน”ี โดยทำ�การศึกษากบั ผู้ปว่ ย ๘๔ ราย ท่มี ารบั บรกิ ารโรงพยาบาลอุดรธานี แบ่งเปน็ ๔ กลุม่ อาการ คือ ปวดศรี ษะและคอ ๒๑ ราย ปวดไหล่ ๑๔ ราย ปวดหลัง ๓๑ ราย และปวดเขา่ ๑๘ ราย พบว่า การนวดสามารถลดอาการเจ็บปวดได้ ๒ ใน ๓ ของผ้ปู ว่ ยท้ังหมด มอี าการปวดลดลงมากสดุ คือ อาการปวดศรี ษะ กลมุ่ อาการท่ีปวดลดนอ้ ยสดุ คือ อาการปวดไหล่ อมรรตั น์ ภาระราช และคณะ (๒๕๔๘) ศกึ ษา “ผลของการนวดแผนไทยประยุกต์ต่อความเม่ือยล้าของกล้ามเน้อื และความสุขสบายในผู้ป่วยคาท่อช่วยหายใจทางปากที่ใช้เคร่ืองช่วยหายใจ” ผลการศึกษา พบว่า ก่อนการนวดแผนไทย ประยกุ ตบ์ รเิ วณทผ่ี เู้ ขา้ รว่ มโครงกาทงั้ ๕ ราย มคี า่ เฉลยี่ คะแนนความเมอ่ื ยลา้ ของกลา้ มเนอ้ื มากทส่ี ดุ เรยี งตามล�ำ ดบั คอื บรเิ วณ หลัง ล�ำ คอ ไหล่ ใบหน้าและภายหลงั ได้รบั การนวดแผนไทยประยุกต์พบว่า ผู้เข้าร่วมโครงการทุกราย มคี า่ คะแนนเฉลยี่ ความเมอ่ื ยลา้ ของกลา้ มเนอ้ื ลดลง และมคี า่ คะแนนความสขุ สบายเพม่ิ ขน้ึ นอกจากนย้ี งั พบวา่ ผเู้ ขา้ รว่ มโครงการมคี วามพงึ พอใจตอ่ การนวดทไ่ี ดร้ บั ในระดบั ปานกลางถงึ มากทส่ี ดุ และตอ้ งการใหน้ �ำ การนวดแผนไทยประยกุ ตม์ าใชร้ ว่ มกบั การรกั ษาแผนปจั จบุ นั อุดม อุดมวรรธน์กุล. (๒๕๔๕). ศึกษาเรื่อง “การถ่ายทอดการนวดแผนไทยบ้านป่าบง” มวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื ศกึ ษาการถา่ ยทอดการนวดแผนไทย วธิ กี ารรกั ษา และการเขา้ สกู่ ารเปน็ หมอนวดแผนไทยภาคใตบ้ รบิ ททางสงั คม และวฒั นธรรม ชุมชน โดยใช้วิธวี ิจัยเชงิ คุณภาพ ได้มกี ารเกบ็ รวบรวมข้อมูลหลายวิธผี สมผสานกนั ได้แก่ การสมั ภาษณ์แบบไม่มีโครงสรา้ ง แน่นอน การสังเกต การสนทนากลุม่ และผลของการศึกษาวจิ ัยสรุปได้ดังน้ี ประชาชนท่ีศึกษาเป็นประชาชนท้ังชุมชนโดยเฉพาะหมอนวดแผนไทยท่ียังคงให้บริการและหรือเลิกบริการแล้ว ประชาชนชาวบ้านป่าบงมีวิถีชีวิตแบบเรียบง่าย มีวัฒนธรรมความเช่ือเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง และมีความสัมพันธ์เป็น วงศาคณาญาติ มคี วามเออ้ื อาทรและพง่ึ พงิ กนั ชมุ ชนแหง่ นจี้ งึ เปน็ ชมุ ชนทมี่ กี ารถา่ ยทอดความรดู้ ว้ ยการสบื ทอดความรจู้ าก บรรพบรุ ษุ แลว้ มกี ารถา่ ยทอดความรกู้ นั ในลักษณะการกล่อมเกลาทางสงั คม โดยพอ่ สอนใหล้ กู หลาน สมาชิกในครอบครัว เครือญาติ และเพ่ือนบา้ น นอกจากน้ี ยังไดม้ กี ารเรียนรู้จากผู้เฒา่ ผแู้ ก่ ผูร้ ู้ หมอพน้ื บ้าน ทัง้ ภายในชมุ ชนและภายนอกชุมชน เน่ืองจากในอดีตสมัยท่ีมีการคมนามคมไม่สะดวก มีสถานบริการของรัฐอยู่ห่างไกลประชาชนที่มีการเจ็บป่วยจะต้องพ่ึงพา การรกั ษาพยาบาลแบบดัง้ เดิมทไี่ ดเ้ รียนร้กู นั มานั่นเอง คือ การรกั ษาด้วยการบบี นวด เหยียบ ดว้ ยสมุนไพร ดว้ ยไสยศาสตร์ และความรใู้ นการรกั ษาพยาบาลดว้ ยการนวดแผนไทยดว้ ยไสยศาสตร์ ไดม้ กี ารสบื ทอดกนั มาใหไ้ ดพ้ บเหน็ ถงึ ปจั จบุ นั สว่ นมาก มกั จะสบื ทอดอยใู่ นครอบครวั ทบ่ี รรพบรุ ษุ เปน็ หมอพน้ื บา้ นของชมุ ชนมากอ่ น แตใ่ นปจั จบุ นั หมอพน้ื บา้ นยงั มใี หไ้ ดพ้ บเหน็ อยู่ ถึงแมค้ ุณค่าสังคมสมัยปัจจบุ ันไดเ้ ห็นว่า การรักษาพยาบาลแพทย์แผนปัจจุบนั ได้ผลท่รี วดเรว็ ตอบสนองความเจบ็ ป่วยท่ีเห็น ทนั ตากว่าการรักษาพยาบาลแบบพ้ืนบา้ น ความพึงพอใจของผู้ป่วยใช้บริการนวดแผนไทยของประชาชนในชนบทก่ึงเมืองด้วยวิธีการบีบ นวด เหยียบขาง และไสยศาสตร์ ยงั ใหค้ วามพึงพอใจและยอมรับ ศรัทธาซึ่งความพอใจและยอมรบั ของการรักษาแบบพื้นบ้าน การนวดไทย ส่วนมากผู้สูงวัยและผู้สูงอายุยังมีความเชื่อท่ีสามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บและนิยมใช้กันอยู่ เนื่องจากความเชื่อที่ได้รับการ ถ่ายทอดกันมาในอดีตผ่านวิถีชีวิต ขนบธรรมเนียม ประเพณีแล้วบอกเล่าและให้ปฏิบัติสืบต่อกันมา และอีกประการหน่ึง ปจั จัยทางสงั คมจติ วทิ ยาของผู้ปว่ ยหรอื ผรู้ ับบรกิ ารด้านความเชอื่ ด้ังเดมิ มามคี วามพึงพอใจในระบบบรกิ ารสูง มีความกงั วล ในเรอื่ งคา่ ใชจ้ า่ ยนอ้ ย แตส่ มยั ปจั จบุ นั ทงั้ เดก็ และเยาวชนซง่ึ เปน็ คนสมยั ใหมใ่ หค้ วามพงึ พอใจและยอมรบั การรกั ษาดว้ ยระบบ การแพทย์แผนไทยน้อยกว่าผู้สูงวัยและผู้สูงอายุ เนื่องจากคนเหล่าน้ีได้เรียนรู้การรักษาพยาบาลจากส่ือต่าง ๆ และจาก หน่วยงานภาครฐั โดยเฉพาะสาธารณสขุ ใหร้ ู้จกั การรักษาสุขภาพอนามัยและการรกั ษาพยาบาลด้วยวธิ วี ทิ ยาศาสตรม์ ากกว่า วธิ แี พทยแ์ ผนโบราณ และสว่ นมากยงั ไมเ่ คยมปี ระสบการณใ์ นการรกั ษาพยาบาลดว้ ยการนวดแผนไทย และปจั จบุ นั กย็ งั พบวา่ การรกั ษาพยาบาลดว้ ยการแพทยแ์ ผนโบราณ ยงั คงมอี ยกู่ บั ประชาชนทกุ กลมุ่ ควบคไู่ ปกบั การรกั ษาพยาบาลดว้ ยแพทยแ์ ผน ปจั จบุ นั 26 น ว ด พ้ื น บ้ า น ภ า ค ก ล า ง

อุไร นิโรธนันท์ (๒๕๓๙) ศึกษา “ผลการนวดต่อความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานในผู้ป่วยมะเร็ง” พบว่า ระดับความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานของกลุ่มตัวอย่างท่ีได้รับการนวดลดลงมากกว่าไม่ได้รับการนวดอย่างมีนัยสำ�คัญ ทางสถิติ (p<.๐๐๑) สรปุ ส�ำ หรบั การนวดพ้ืนบา้ นไทยหรือการนวดแผนโบราณ เป็นทั้งศาสตร์และศิลปซ์ ่ึงถอื ได้ว่าเป็นภมู ิปัญญาของไทยท่ี มีมาตั้งแต่อดีตกาล และไดส้ บื สานตอ่ เนื่องกนั มาจนถงึ ปจั จบุ ันนีอ้ ยูค่ ่กู ับสงั คมไทยเรามาไม่เส่อื มคลายในยุคสมยั ปัจจบุ นั ได้ น�ำ องคค์ วามรกู้ ารนวดแผนโบราณมาจดั ท�ำ เปน็ ต�ำ ราและพฒั นาเปน็ หลกั สตู รเพอ่ื จดั อบรมใหก้ บั ผสู้ นใจใชป้ ระกอบเปน็ วชิ าชพี เรยี กวา่ นวดแผนไทย เรากลบั ไดร้ บั ความนยิ มอยา่ งสงู ทง้ั จากคนไทยเราเองและชาวตา่ งชาตถิ งึ กบั มคี �ำ กลา่ ววา่ “ถา้ มาเมอื ง ไทยจะตอ้ งไดน้ วดแผนไทย” โดยเฉพาะชาวยโุ รปหลายๆ ชาตทิ ไ่ี ดเ้ ขา้ มาในเมอื งไทยรวมทง้ั ชาวอเมรกิ าทม่ี คี วามสนใจ และ เขา้ เรียนการนวดแผนไทยกนั เปน็ จ�ำ นวนไม่นอ้ ย ในต่างประเทศก็ได้มกี ารเปดิ บรกิ ารทางการนวดแผนไทยขึน้ สรา้ งรายได้ ใหอ้ ยา่ งมากและหมอนวดแผนไทยเรากไ็ ดร้ บั การกลา่ วขวญั ถงึ และเปน็ ทตี่ อ้ งการเพอื่ ไปบรกิ ารในตา่ งประเทศเพมิ่ ขนึ้ เรอ่ื ยๆ ซงึ่ เปน็ การสรา้ งรายไดใ้ หก้ บั ผทู้ เ่ี ปน็ หมอนวดเองเปน็ อยา่ งมาก อกี ทง้ั เปน็ การสรา้ งชอื่ เสยี งและรายไดใ้ หก้ บั ประเทศชาตดิ ว้ ย นวดแผนไทยนับวันก็จะกว้างไกลแม้ในสังคมไทยก็มีให้บริการอยู่ทุกหนทุกแห่ง สามารถประกอบเป็นอาชีพได้อย่างม่ันคง การนวดแผนไทยมากมายดว้ ยคณุ ค่าจึงยังทำ�ให้สามารถอย่คู ู่ฟา้ แผน่ ดนิ ไทยมาไดน้ านตราบเทา่ ทุกวนั น้ี ปัจจบุ ันเปน็ ท่ีน่ายินดีท่ีมีผู้ใหค้ วามสนใจและต้องการเข้ามาเรียนวชิ าการนวดแผนไทยเพมิ่ ข้นึ อยา่ งมากมาย ผูค้ นท่ี ไดส้ มั ผสั กบั การนวดแผนไทยกใ็ หก้ ารยอมรบั เปน็ อยา่ งดี ซง่ึ ถอื เปน็ นมิ ติ รหมายทส่ี ามารถบง่ บอกไดว้ า่ วชิ าการนวดแผนไทย เราสามารถเรียนและฝึกฝนนำ�ไปประกอบอาชีพได้อย่างม่ันคง การนวดแผนไทยมีคุณค่า หากแต่ถ้าการนวดแผนไทยนั้น นวดโดยไมถ่ กู ตอ้ งแทนทจี่ ะสบายกอ็ าจจะเปน็ การท�ำ ใหบ้ าดเจบ็ ได้ เพราะฉะนน้ั ผทู้ จี่ ะท�ำ การนวดแผนไทยไดถ้ กู ตอ้ งจงึ ควร เรียนและฝึกหัดให้เกิดความชำ�นาญเพื่อจะได้เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพทั้งตัวผู้นวดเองและต่อผู้รับการนวดด้วยความเป็นมา ของการนวดไทย การนวดแผนโบราณ เปน็ ทัง้ ศาสตรแ์ ละศิลปท์ ีม่ ีมาแต่ครั้งโบราณซ่ึงเกดิ จากสญั ชาตญาณของการอยูร่ อด เมอื่ มอี าการปวดเมอื่ ยหรอื เจบ็ ปว่ ย ตนเองหรอื ผทู้ อ่ี ยใู่ กลเ้ คยี งมกั จะลบู ไลห้ รอื บบี นวดบรเิ วณดงั กลา่ ว ท�ำ ใหอ้ าการปวดเมอ่ื ย คลายลงไดแ้ รก ๆ ก็กระทำ�ไปโดยมิไดต้ ัง้ ใจ ต่อมาไดเ้ รม่ิ สังเกตเห็นผลจากการบบี นวดในบางจดุ หรอื บางวิธี จงึ ไดจ้ ดจำ�ไว้ เป็นประสบการณ์และกลายเปน็ ความรู้ที่ไดส้ ืบทอดกนั ตอ่ ๆ มา จากร่นุ หน่งึ ไปสอู่ กี ร่นุ หนง่ึ ความรูท้ ี่ได้จึงสะสมจากลักษณะ ง่าย ๆ ไปสู่ความสลับซับซอ้ นยง่ิ ๆ ขึ้น กระทง่ั รวบรวมสร้างขน้ึ เป็นทฤษฎีการนวดจึงไดก้ ลายมาเปน็ ศาสตร์แขนงหนง่ึ ที่มี บทบาทในการบำ�บดั รกั ษาอาการหรอื โรคภยั บางอยา่ ง เช่ือกันว่า รากฐานการนวดแผนโบราณมาจากประเทศอินเดีย โดยหมอชีวกโกมารภัจจ์ ซึ่งเป็นแพทย์ประจำ� ราชวงศศ์ ากยะ และเปน็ แพทย์ประจ�ำ องค์พระพุทธเจา้ ไดเ้ ป็นผ้รู ิเร่มิ ขน้ึ ในสมัยพุทธกาล ไดแ้ พร่หลายเขา้ มาสู่ประเทศไทย เมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชดั พบวา่ มีการนวดกันเฉพาะแต่ในรั้วในวัง โดยจะนวดแต่พระเจ้าแผ่นดนิ หรอื ขา้ ราชการชั้น ผู้ใหญ่เท่านัน้ ต่อมาภายหลังจงึ เริม่ กระจายไปสบู่ ุคคลท่ัวไป เน่ืองจากผนู้ วดดังกล่าวได้มีอายมุ ากข้นึ และเกษยี ณราชการได้ กลับไปอยบู่ า้ น แล้วได้ถ่ายทอดวชิ าให้แกล่ กู หลานเพ่อื นบา้ นใกลเ้ คยี งสืบตอ่ กันมา ๕. กรอบแนวคิดในการศกึ ษา จากการทบทวนเอกสารและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง พบว่า การนวดแบบพ้ืนบ้านภาคกลาง เป็นการนวดท่ีเป็น เอกลักษณ์เฉพาะของภาคกลาง บางส่วนมาจากวัฒนธรรมท่ีอิงไทยพุทธและอิงไทยมุสลิม และพบว่า ภูมิหลังการเป็น หมอนวดพ้ืนบ้านภาคกลาง ส่วนใหญ่มาจากการสืบทอดจากบรรพบุรุษ ซึ่งมีรูปแบบการนวดเป็นการเฉพาะท่ีคนในชุมชน ให้การยอมรับ ซ่ึงจ�ำเป็นต้องจัดระบบการนวดพ้ืนบ้าน โดยการถอดองค์ความรู้ตามภูมิปัญญาการนวดแบบพ้ืนบ้านของ ภาคกลาง ผู้วิจัยจึงได้น�ำข้อมูลจากการทบทวนเอกสารและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้องมาก�ำหนดกรอบแนวคิดในการศึกษา ตามแผนภูมทิ ่ี ๑ น ว ด พื้ น บ้ า น ภ า ค ก ล า ง 27

แผนภูมิท่ี ๑ กรอบแนวคิดการศึกษา พนื้ ฐานการนวดพืน้ บ้านภาคกลาง ลกั ษณะทพี่ งึ ประสงคข์ องการ กระบวนการนวดแบบพน้ื บา้ น พิธีกรรมและสมุนไพรใช้ร่วม เป็นหมอนวดพ้ืนบ้าน องค์ความรพู้ ื้นฐานในการนวด นวดรักษา คณุ สมบตั กิ ารเปน็ หมอนวด รูปแบบพิธีกรรม - ทางกายภาพ พ้นื บา้ น - ทางสรรี ะวิทยา - กอ่ นการรกั ษา - ทางกายภาพ - ตำ�แหน่งนวดหรือจุดนวด - ระหวา่ งรกั ษา - ทางจติ วญิ ญาณ/จรรยาบรรณ หลักการวินิจฉยั โรค - หลังการรักษา สถานทีใ่ ห้บริการนวดพื้นบา้ น - การซักประวัติ สมนุ ไพรท่ีใชร้ ว่ มนวดรกั ษา - ทบี่ ้าน - การตรวจร่างกาย - ตำ�รบั - นอกบ้าน วธิ ีการนวดแกโ้ รค/อาการ - นํ้ามัน รปู แบบการให้บรกิ ารนวด - สาเหตุ - อบ ประคบ แบบพ้ืนบา้ น - อาการทีแ่ สดง - การนวดจบั เส้น - ขั้นตอนการนวด - การใช้อวัยวะอน่ื และการ พธิ ีกรรม/สมนุ ไพรท่เี กยี่ วขอ้ ง นวดอื่นรว่ มดว้ ย ขอ้ ควรระวงั และขอ้ หา้ มใน การนวด 28 น ว ด พ้ื น บ้ า น ภ า ค ก ล า ง

๓วบิธทกี ทาร่ี ศึกษา จากการทบทวนเอกสารและวตั ถปุ ระสงคข์ องการศกึ ษาครงั้ นี้ เปน็ การศกึ ษาเชงิ คณุ ภาพทเี่ ปน็ องคค์ วามรกู้ ารนวด แบบพ้ืนบา้ นทหี่ มอพ้ืนบ้านใชใ้ นการดูแลสุขภาพในชุมชน ซึ่งสามารถก�ำ หนดวิธกี ารศึกษา ตามรายละเอยี ดดังน้ี ๑. ประชากรและการเลอื กกลมุ่ ตัวอย่าง ๑.๑ ประชากรในการศึกษา เป็นหมอนวดพ้ืนบ้านในชุมชน ที่สืบทอดองค์ความรู้การนวดแบบพื้นบ้านจากบรรพบุรุษหรือบุคคลอ่ืนใน ลักษณะการเรียนการสอนแบบตัวต่อตัว ซึ่งผู้วิจัยได้ข้อมูลจากกองการแพทย์พ้ืนบ้านไทย กรมการแพทย์แผนไทยและ การแพทยท์ างเลอื ก สำ�รวจหมอนวดพืน้ บ้านจาก ๒๕ จงั หวัด ในภาคกลาง พบวา่ มหี มอนวดพ้ืนบ้านทงั้ หมด ๒๗๕ คน จงึ ถือเป็นประชากรในการศึกษาคร้ังน้ี ๑.๒ การเลอื กกลมุ่ ตวั อย่าง เนอ่ื งจากหมอนวดพน้ื บา้ น จ�ำ นวน ๒๗๕ คน มคี วามหลากหลายในรปู แบบการนวดและระยะเวลาประสบการณ์ ในการนวดท่ีแตกต่างกัน ผู้วิจัยจึงจำ�เป็นต้องกำ�หนดคุณสมบัติของหมอนวดพ้ืนบ้านในการเลือกกลุ่มตัวอย่างในการศึกษา ครง้ั น้ี ดังน้ี หลักเกณฑ์ในการคดั เลอื กกลมุ่ ตวั อยา่ ง เป็นหมอพ้ืนบา้ นมปี ระสบการณ์ในการนวดมากกว่า ๑๐ ปขี ้นึ ไป มจี ำ�นวนผปู้ ่วยมากกวา่ ๑๐๐ ราย ทผี่ ่านการนวดมากอ่ น เป็นหมอนวดพื้นบ้านทช่ี ุมชนใหก้ ารยอมรบั เปน็ หมอพน้ื บ้านทยี่ ังใหบ้ ริการนวดแบบพ้นื บ้านจนถึงปจั จบุ นั จากหลกั เกณฑใ์ นการคดั เลอื กกลมุ่ ตวั อยา่ งดงั กลา่ วขา้ งตน้ ผวู้ จิ ยั จะเลอื กสมุ่ จากรายชอื่ หมอนวดพน้ื บา้ นทส่ี �ำ นกั งาน สาธารณสุขจังหวัดส่งให้กองการแพทย์พ้ืนบ้านไทย กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก โดยการสัมภาษณ์ เจาะลกึ ตามหลกั เกณฑก์ ารคดั เลอื กกลมุ่ ตวั อยา่ งดงั กลา่ ว จากการสมุ่ เลอื กแบบเจาะจง พบวา่ ไดห้ มอนวดพนื้ บา้ นตามเกณฑ์ คดั เลอื ก จำ�นวน ๕๒ คน ผู้วิจัยจงึ ได้ดำ�เนนิ การคัดเลอื กจากหมอนวดพนื้ บา้ นจ�ำ นวน ๕๒ คน โดยคดั เลือกหมอนวดพน้ื บา้ น ที่มีผู้ป่วยมารับบริการนวดจากหมอนวดพื้นบ้านมากกว่า ๕ คนต่อวัน จึงได้หมอนวดพื้นบ้านในภาคน้ี จำ�นวน ๑๖ คน จึงถอื เปน็ กลมุ่ ตวั อยา่ งในการศึกษาคร้ังน้ี ๒. เครือ่ งมอื ในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู สำ�หรบั เคร่อื งมือทใ่ี ชใ้ นการศกึ ษาครงั้ น้ี ประกอบด้วย เครื่องมือ ๒ ชุด เปน็ แนวทางการสัมภาษณ์เจาะลึก และสนทนากลุม่ มีรายละเอยี ดดังน้ี น ว ด พื้ น บ้ า น ภ า ค ก ล า ง 29

ชุดท่ี ๑ แนวทางการสมั ภาษณเ์ จาะลึก ประกอบดว้ ย สว่ นที่ ๑ ลกั ษณะท่พี ึงประสงค์ของหมอนวดพน้ื บา้ น คณุ สมบัตขิ องหมอนวดพื้นบา้ น - คณุ สมบตั ิทางกายภาพ - คุณสมบตั ิทางจติ วิญญาณและจรรยาบรรณ คณุ ลักษณะของสถานทีท่ ่ใี หบ้ ริการนวด - อาคารนวด - ห้องนวด รูปแบบการให้บรกิ ารนวด - นวดนาํ้ มัน - จับเสน้ - คลงึ เสน้ - กดเสน้ - เหยยี บเส้น - อบ ประคบสมุนไพร ส่วนที่ ๒ กระบวนการนวดแบบพน้ื บา้ น หลกั การวินจิ ฉัยโรค - ซักประวตั ิ - ตรวจร่างกาย โรค/สมฎุ ฐานของโรคทรี่ ักษาไดด้ ้วยการนวดพืน้ บ้าน - ส่วนหวั /คอ - ส่วนหน้าอก/ท้อง - สว่ นหลงั - สว่ นแขน/มอื - ส่วนขา/เท้า - ทุกส่วนของรา่ งกาย วธิ ีการนวดรกั ษา - โรคและอาการส่วนหวั /คอ - โรคและอาการสว่ นหน้าอก/ทอ้ ง - โรคและอาการส่วนหลงั - โรคและอาการสว่ นแขน/มอื - โรคและอาการสว่ นขา/เทา้ - โรคและอาการครึ่งท่อน/ครึ่งซกี /ทง้ั ตัว ส่วนท่ี ๓ พธิ ีกรรมท่ีเก่ยี วข้อง ประกอบดว้ ย รูปแบบพธิ กี รรม - ก่อนการรกั ษา - ระหวา่ งการรักษา - หลงั การรักษา - อืน่ ๆ 30 น ว ด พื้ น บ้ า น ภ า ค ก ล า ง

ข้อหา้ มและข้อควรปฏบิ ตั ปิ ระกอบการรกั ษา - ข้อห้ามในการนวด - ข้อควรระวังในการนวด - ขอ้ ควรปฏบิ ัตหิ ลงั การนวด - อื่น ๆ ชุดท่ี ๒ แนวทางการสนทนากลุ่ม น�ำ เครือ่ งมือ ชุดท่ี ๑ เป็นแนวทางการสนทนากลุม่ ประกอบด้วยประเด็นดงั ตอ่ ไปนี้ ลกั ษณะทพ่ี งึ ประสงคข์ องหมอนวดพืน้ บา้ น - คณุ สมบตั ขิ องหมอนวดพ้ืนบ้าน - คณุ ลักษณะของสถานที่ทใี่ ห้บรกิ ารนวด - รปู แบบการใหบ้ ริการนวด กระบวนการนวดพ้ืนบา้ น - หลักการวนิ จิ ฉยั โรค - โรค/อาการของโรคทร่ี ักษาไดด้ ้วยการนวดพื้นบ้าน - วิธกี ารนวด พธิ กี รรมท่เี กี่ยวขอ้ ง - รูปแบบพธิ ีกรรม ๓. การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู จากเคร่ืองมือแนวทางการสัมภาษณ์เจาะลึกและแนวทางการสนทนากลุ่มผู้วิจัยได้ดำ�เนินการรวบรวมข้อมูล ดังนี้ ๓.๑ เตรยี มความพร้อมทีมวิจยั โดยทีมวิจัยและผู้ช่วยทีมวิจัยได้เตรียมความพร้อมผู้ท่ีลงเก็บรวบรวมข้อมูลในภาคกลางให้เข้าใจแนวทางการ สัมภาษณ์เจาะลึกและแนวทางการสนทนากลุ่มในทิศทางเดียวกัน โดยการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการให้ผู้ช่วยผู้วิจัยมีโอกาสได้ ทดลองการสัมภาษณแ์ ละสนทนากลุ่มจากหมอนวดพ้นื บา้ น หลงั จากนั้น ทีมวิจยั และผู้ชว่ ยนักวจิ ยั จะประชมุ ร่วมกนั อกี ครง้ั เพอ่ื แลกเปลย่ี นประสบการณแ์ ละปญั หาอปุ สรรคจากการทดลองสมั ภาษณห์ รอื สนทนากลมุ่ เพอ่ื ใหท้ กุ คนไดเ้ รยี นรู้ และปรบั แก้ไขเคร่อื งมือการเกบ็ ขอ้ มลู ให้สอดคลอ้ งกบั ความเป็นจริงมากข้นึ ๓.๒ การบริหารจดั การในพื้นท่ีภาคกลาง การเตรียมความพร้อมหมอนวดพ้นื บ้าน โดยทีมวจิ ยั จะแบง่ หมอนวดพืน้ บา้ น ออกเป็น ๒ กลุ่ม กล่มุ ที่ ๑ ประกอบด้วย หมอนวดพนื้ บา้ น จำ�นวน ๔ คน ซึ่งท้งั ๔ คน น้ี ทมี วิจยั ได้ประสานขอความรว่ มมือ ไปยงั หมอนวดพน้ื บา้ นแตล่ ะคนผา่ นทางโทรศพั ท์ เพอ่ื ก�ำ หนดวนั เวลานดั หมาย ในการสมั ภาษณเ์ จาะลกึ โดยคดั เลอื กหมอนวด พื้นบ้าน ๑ คน เพ่ือสมั ภาษณ์เจาะลึกตามเครื่องมือการสมั ภาษณ์เจาะลึกเปน็ การยกรา่ งเน้ือหาเก่ยี วกับองคค์ วามรู้การนวด ของหมอนวดพ้ืนบ้าน หลังจากนั้นจะให้หมอนวดพ้ืนบ้าน ที่เหลือ โดยแต่ละคนจะพิจารณาปรับแก้ไขและเพ่ิมเติมข้อมูล จากฉบบั ทยี่ กร่างจนครบทกุ คน จึงถอื เป็นฉบับร่างเน้ือหาองค์ความรู้การนวดแบบพน้ื บ้าน น ว ด พ้ื น บ้ า น ภ า ค ก ล า ง 31

กล่มุ ท่ี ๒ หมอนวดพ้ืนบา้ น จ�ำ นวน ๑๒ คน ซงึ่ ในกลมุ่ นี้ ทมี ผ้วู จิ ยั จะมีหนงั สือเชิญประชมุ จากกรมการแพทย์ แผนไทยและการแพทยท์ างเลอื ก ได้จดั ประชมุ เชงิ ปฏบิ ตั ิการในระหวา่ งวันท่ี ๓๑ กรกฎาคม – ๒ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ เพ่ือให้หมอนวดพ้ืนบ้านได้พิจารณาองค์ความรู้การนวดแบบพ้ืนบ้านฉบับร่างจากกลุ่มท่ี ๑ โดยเป็นการสนทนากลุ่ม ในการปรบั แกไ้ ข ตามเนอ้ื หาทยี่ กรา่ ง ขณะสนทนากลมุ่ ในภาคกลาง ทมี วจิ ยั จะใชเ้ ทปบนั ทกึ เสยี งรว่ มกบั การจดบนั ทกึ ขอ้ มลู การตรวจสอบข้อมูล ในส่วนนี้เมื่อเสร็จสิ้นการสนทนากลุ่มแล้ว จะนำ�ข้อมูลที่รวบรวมได้ท้ังหมดมาทบทวน อกี ครงั้ จนกระทงั่ ไดข้ อ้ มลู ครบถ้วนตามเครอ่ื งมอื แล้วจะด�ำ เนินการถ่ายภาพเป็น VDO และภาพนง่ิ ประกอบเนื้อหาวิธกี าร นวดให้เห็นเป็นรูปธรรม ชดั เจน เขา้ ใจงา่ ย ๔. การวเิ คราะหข์ อ้ มูล นำ�ข้อมลู ทรี่ วบรวมได้ทัง้ หมด มาวเิ คราะห์ตามวัตถปุ ระสงค์ แตเ่ นื่องจากข้อมูลทไ่ี ดเ้ ปน็ ขอ้ มลู เชงิ คุณภาพทงั้ หมด ดังนนั้ การวิเคราะหข์ อ้ มลู ในส่วนนี้ จงึ ต้องวเิ คราะห์เชิงพรรณนา ด้วยเชิงเหตแุ ละผล หลงั จากนน้ั จงึ นำ�ผลการวิเคราะห์มา สรปุ ผลการศกึ ษา 32 น ว ด พ้ื น บ้ า น ภ า ค ก ล า ง

๔ผลบกททารี่ ศกึ ษา การศกึ ษาครง้ั น้ี เปน็ การศกึ ษาพนื้ ฐานการนวดพนื้ บา้ นภาคกลาง โดยด�ำ เนนิ การรวบรวมขอ้ มลู องคค์ วามรกู้ ารนวด แบบพื้นบ้าน ถอดองค์ความรู้การนวดแบบพ้ืนบ้านจากหมอนวดพื้นบ้านภาคกลาง แล้วรวบรวมข้อมูลที่ได้ท้ังหมดนำ�มา วิเคราะห์ ตามวัตถปุ ระสงค์ของการศกึ ษา ซงึ่ ผู้วจิ ยั จะขอนำ�เสนอรายละเอียดผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ดังต่อไปน้ี สว่ นท่ี ๑ การวเิ คราะหล์ ักษณะทีพ่ งึ ประสงคข์ องหมอนวดพื้นบ้านภาคกลาง ส่วนที่ ๒ การวิเคราะหก์ ระบวนการนวดแบบพ้นื บ้านภาคกลาง สว่ นท่ี ๓ การวิเคราะหพ์ ิธีกรรมทใ่ี ช้ร่วมในการนวดรักษาภาคกลาง มรี ายละเอยี ดในแต่ละส่วนดงั นี้ สว่ นที่ ๑ การวเิ คราะหล์ ักษณะทีพ่ งึ ประสงคข์ องหมอนวดพืน้ บ้านภาคกลาง ๑. ลักษณะท่ีพึงประสงคข์ องนวดแบบพ้นื บ้าน ๑.๑ คณุ สมบตั ิของหมอนวด คุณสมบัตทิ างกายภาพ - แตง่ กายสะอาด เรียบรอ้ ย - อย่าอวดตน - อย่าเหน็ แกเ่ งนิ - ตอ้ งนวดในสถานที่เหมาะสม สะอาด อากาศถ่ายเท - ไม่นวดทศ่ี าลาวดั คณุ สมบตั ทิ างจติ วญิ ญาณและจรรยาบรรณ - ต้องเปน็ คนดี มจี ิตเมตตา - ชอบช่วยเหลือผอู้ ืน่ ใหพ้ ้นทุกข์ - ชอบท�ำ บุญทำ�ทานเป็นหลัก - มีคติเตือนใจดังน้ี จบั ด้วยมือ ท�ำ ดว้ ยใจ ใฝ่เรียนรู้ เป็นหมอนวด อยา่ อวดเก่ง ใครอยากรู้ มาลองเอง ถ้านวดหลับ แล้วจับฟรี ๑.๒ คุณลักษณะของสถานทีท่ ่ใี หบ้ ริการ อาคารนวด ควรมอี ากาศถา่ ยเท โปรง่ มีแสงสว่างเขา้ ถึง หอ้ งนวด - ควรเปน็ ห้องหรือสถานท่ีกว้างพอที่จะใหผ้ นู้ วดท�ำ การนวดได้สะดวก - ทน่ี อนและหมอนตอ้ งสะอาด ถ้าสกปรกต้องรบี เปลย่ี นใหม่ อปุ กรณน์ วด ตอ้ งสะอาด ประกอบด้วย ผ้าขนหนู ผา้ ขาวมา้ เกา้ อี้ ไม้ทอ่ นกลม น ว ด พื้ น บ้ า น ภ า ค ก ล า ง 33

๑.๓ รูปแบบการให้บริการ คลึงเป็นหลัก เหยียบเป็นรอง ตาดู หฟู งั มอื สมั ผัส ๑.๔ เตรียมท่านวดผปู้ ่วย การนวดพ้ืนบา้ น มีท่าตา่ ง ๆ ดงั นี้ ทา่ นอนหงาย ทา่ นอนตะแคงงอเข่า ทา่ น่งั ขัดสมาธิ ทา่ นอนควา่ํ หนา้ ๑.๕ อวัยวะท่ีใชน้ วด มีดงั นี้ นว้ิ หัวแม่มอื (น้วิ โปง้ ) นว้ิ รวม (นวิ้ ช้ี นว้ิ กลาง นิ้วนาง) สนั มือบริเวณองุ้ มือ ท่อนแขน ข้อศอก เท้า ๑.๖ ทา่ นวดของหมอนวด ท่านั่งชนั เข่า ท่านง่ั บนส้นเทา้ ท่านง่ั พบั เพียบ ท่าน่งั เหยียดเท้าขา้ งพบั เข่าขา้ ง ทา่ ยืน สว่ นที่ ๒ การวเิ คราะห์กระบวนการนวดแบบพ้ืนบา้ นภาคกลาง จากการสนทนากลมุ่ หมอนวดแบบพื้นบ้านภาคกลาง ๑๒ คน ตามประเดน็ ดงั ต่อไปน้ี ๒.๑ องคค์ วามรูพ้ ืน้ ฐานในการนวด ๑) ต้องรู้เรือ่ งการคลายเสน้ ประสาทในรา่ งกาย ๒) ต้องรเู้ ร่อื งประตูลม การเปิดประตลู ม ๓) ตอ้ งรู้เรอื่ งเส้นเลอื ด เส้นลม เสน้ เอ็น การคลายเสน้ ประสาท นวดจากปลายน้วิ เทา้ ไปหลังเท้า ข้อเท้า แลว้ วนรอบขอ้ เท้าลงไปหาประตูลมใตต้ าต่มุ ด้านหนา้ ตอ่ มาไล่ ไปตามรอ่ งหน้าแข้งแล้ววนมาช่วงหัวเขา่ ขึน้ ไปทห่ี นา้ ขาถึงไขด่ ัน แล้วลงมาที่บริเวณทอ้ ง เขา้ ไปท่ีสะดอื ทงั้ ซา้ ยและขวา แล้วตะแคงตวั ไลด่ า้ นข้างต้งั แต่ปลายนว้ิ เทา้ ข้ึนมาทตี่ าตุม่ แล้วตามมาเส้นขา้ งหน้าแขง้ ไลม่ าจนถงึ โคนขาดา้ นนอก เขา้ ไปที่ สะโพก เอว หลงั มาจนถงึ สะบกั อกี ดา้ นหนง่ึ ไลจ่ ากโคนขาดา้ นใน ไลล่ งมาหาหวั เขา่ ดา้ นใน ตอ่ มาไลต่ ามมาทน่ี อ่ งเสน้ ดา้ นใน จนมาถงึ ประตลู ม ไล่ออกน้ิวโปง้ เทา้ ทำ�เหมือนกนั ทั้งสองข้าง พลิกตัวนอนคว่ําลง แล้วเริ่มต้นจากสะบักไหล่ ลงไปท่ีแขนด้านหลัง ไล่ลงมาผ่านข้อศอก ผ่านข้อมือ ดา้ นหลัง ไล่ออกตามปลายนว้ิ ทำ�เหมือนกนั ท้งั สองข้าง ต่อมาไล่เส้นขา้ งคอดา้ นหลังไปถงึ ศีรษะ ท�ำ เหมือนกันทง้ั สองข้าง นอนหงายด้านหนา้ นวดจากปลายนว้ิ มือดา้ นหนา้ ผา่ นฝา่ มือมาถึงขอ้ มอื จนมาถงึ ข้อพับด้านหน้าขน้ึ มา หนา้ แขนด้านใน ถงึ รกั แร้ แลว้ วนหัวไหล่ นวดตอ่ ไปให้ถงึ โคนขากรรไกร ถึงขมบั แลว้ มาท่ปี ระสาทตาดา้ นหนา้ 34 น ว ด พื้ น บ้ า น ภ า ค ก ล า ง

ประตูลมและการเปิดประตูลม - ประตูลมเทา้ อยู่ระหวา่ งใต้ตาตุ่มดา้ นในและดา้ นนอก - ประตลู มมอื อยรู่ ะหวา่ งโคนนิ้วโป้งด้านในกบั น้ิวช้ี - การเปดิ ประตูลมเท้า ใช้ปลายนว้ิ นวดใตต้ าตมุ่ จะรูส้ กึ แปลบที่ปลายน้วิ - การเปิดประตลู มมือ หงายมอื ขนึ้ แล้วใช้นิว้ โป้งกดลงท่ีโคนนิ้วโปง้ จะรูส้ ึกปวดเม่อื ย เส้นเลือด เสน้ ลม เส้นเอ็น - เส้นเลือด มอี าการปวด ขดั ยอก ชา เมอ่ื เราสัมผัสลงไปเส้นเลือดจะเปน็ เมด็ แขง็ - เสน้ ลม เมอื่ ย เพลยี ไม่มแี รง สมั ผสั ลงไปแลว้ จะรูส้ กึ หนา ๆ เหนยี ว ๆ - เสน้ เอน็ มอี าการแขง็ เกรง็ ยดื ไมอ่ อก งอไมเ่ ขา้ สัมผสั ไปแล้วจะรสู้ กึ ล่ืน แข็ง ๒.๒ กระบวนการนวดรกั ษา การนวดแบบพน้ื บา้ นของภาคกลาง จะมรี ูปแบบการนวดไม่แตกตา่ งจากภาคอื่น ๆ มากนกั แต่จะสอดคลอ้ ง กับวิถีชีวิตของคนในชุมชน โดยหมอนวดพ้ืนบ้านภาคกลางจะมีหลักการวินิจฉัยโรค วิธีการนวดรักษา ข้อห้ามและข้อควร ระวงั ในการนวด มีรายละเอียดดังนี้ ๒.๒.๑ หลักการวินจิ ฉัยโรค / อาการ จากการสนทนากลุม่ ของหมอนวดพ้นื บ้าน ท้งั ๑๒ คน ไดแ้ ลกเปล่ยี นประสบการณ์ในการวินิจฉยั โรค/อาการ ของแต่ละทา่ น และไดส้ รุปเป็นภาพรวม ดังนี้ สมุฎฐานของโรค ๑. อาหาร ๒. พักผ่อนไมเ่ พียงพอ ๓. ขาดการออกก�ำ ลังกาย ๔. ฤดูกาลท�ำ ให้เกดิ โรค ๕. ระบบขับถ่าย ๖. ทอ่ี ยู่อาศยั อาหาร ๑. รสจัดเกนิ ไป ๒. สารพิษในพชื ผกั ต่าง ๆ รวมถึงเน้อื สตั ว์ ๓. ของมึนเมาทกุ ชนดิ พักผ่อนไม่เพียงพอ ๑. นอนมาก นอนนอ้ ยท�ำ ให้เกิดโรค ๒. ทำ�งานคอมพิวเตอรม์ ากเกนิ ไป ขาดการออกกำ�ลงั กาย ขาดการออกก�ำลงั กายสม�่ำเสมอทุก ๆ วนั ฤดกู าลทำ�ให้เกดิ โรค ๑. หนาวจัด ๒. ร้อนจัด ๓. ฝน ระบบขบั ถา่ ย ๑. ท้องผกู ทอ้ งเดนิ ๒. เส้นทอ้ งตงึ น ว ด พ้ื น บ้ า น ภ า ค ก ล า ง 35

ท่อี ยอู่ าศยั ๑. อากาศไมถ่ ่ายเท ๒. อบั ช้นื ๓. รอ้ นเกินไป ๔. ฝุ่นละออง ก) การซกั ประวตั ิจากผมู้ ารบั บริการ หมอนวดพ้ืนบ้านภาคกลาง ส่วนใหญ่ให้ความเห็นว่าควรสอบถามผู้ถูกนวดในเร่ืองต่าง ๆ เพ่ือนำ�มาคิด พจิ ารณาวา่ ผ้ถู ูกนวดเป็นโรคหรอื อาการอะไร ดังนี้ ๑. อาการแสดงหรอื อาการส�ำ คญั คอื อาการทท่ี �ำ ใหผ้ ถู้ กู นวดมาพบผนู้ วด โดยควรสอบถามตามประเดน็ ดงั น้ี มีการเจ็บปวดหรอื อาการลกั ษณะอย่างไร เปน็ มานานแคไ่ หน ตำ�แหนง่ ไหนทำ�ใหป้ วด/หรือเคลอ่ื นไหวไมไ่ ด้ ทา่ ไหนปวดมากท่สี ุด ทา่ ไหนปวดนอ้ ยทส่ี ดุ เคลอ่ื นไหวท่าใดได้หรอื ไมไ่ ด้ อื่น ๆ ขน้ึ กับอาการทเ่ี หน็ ๒. ประวตั กิ ารเจบ็ ป่วยในอดตี และปจั จุบนั โดยหมอนวดพนื้ บา้ นภาคกลาง สว่ นใหญใ่ หค้ วามเหน็ วา่ ควรสอบถามการเจบ็ ปว่ ยในอดตี และปจั จบุ นั เพราะอาจเก่ยี วข้องกับการเจ็บป่วยคร้ังน้ีได้ อดตี - เคยไดร้ บั อบุ ัติเหตุหรอื ไม่ - ได้รบั การผ่าตัดหรอื ไม่ - เคยป่วยเปน็ โรคอะไรบ้าง ปัจจุบนั จะตอ้ งสอบถามการเจบ็ ปว่ ย ดังนี้ - การเร่ิมเจบ็ ป่วยเมอื่ ไร - เป็นทันทหี รอื คอ่ ย ๆ เป็น - อะไรเปน็ สาเหตุ (เช่น อุบัติเหตุ ยกของผดิ ท่ี) - ความรุนแรงมากแคไ่ หน - เคยมีการอกั เสบ เช่น ปวด บวม แดง รอ้ น หรือไม่ - มอี าการบรเิ วณอน่ื ๆ หรือไม่ ข) การตรวจรา่ งกาย ในสว่ นน้ี หมอนวดพน้ื บา้ นภาคกลาง ใหค้ วามเหน็ วา่ ควรตรวจอาการทว่ั ไปโดยดกู ารเคลอื่ นไหว ท�ำได้ มากนอ้ ยแค่ไหน คล�ำบรเิ วณทป่ี วด เปน็ ต้น อกี ส่วนหนึ่ง ควรตรวจกอ่ นลงมือนวด เพ่ือปอ้ งกนั ความผิดพลาดทอ่ี าจเกดิ ขึน้ ได้ เชน่ ผู้นวดจะตอ้ งตรวจ ดูการท�ำงานของหัวใจจากการจับชีพจร การหายใจ เปน็ ตน้ ๒.๒.๒ โรคและอาการทร่ี ักษาได้ด้วยการนวด จากการพูดคุยในกลมุ่ หมอนวดพนื้ บา้ นในภาคกลาง โดยได้แยกพจิ ารณาในแตล่ ะส่วนของรา่ งกายวา่ ลกั ษณะ อาการ/โรค ทห่ี มอนวดพน้ื บา้ นเหน็ พอ้ งรว่ มกนั วา่ เปน็ โรค/อาการทหี่ มอนวดพนื้ บา้ นรกั ษาไดด้ ว้ ยการนวด จ�ำ นวนทง้ั สนิ้ ๕๐ อาการ เมื่อแยกรายละเอยี ดในแต่ละส่วน พบวา่ สว่ นหัว/คอ มี ๑๔ อาการ ส่วนอก/ทอ้ ง มี ๓ อาการส่วนหลังมี ๕ อาการ สว่ นแขน/มอื มี ๑๐ อาการ ส่วนขา/เท้า มี ๑๗ อาการ และทกุ สว่ นมี ๑ อาการ ตามรายละเอียดในตารางท่ี ๑ 36 น ว ด พ้ื น บ้ า น ภ า ค ก ล า ง

ตารางที่ ๑ โรค/อาการ และสาเหตทุ ีร่ ักษาได้ดว้ ยการนวด ล�ำ ดบั โรค/อาการ อาการแสดง สาเหตทุ ที่ ำ�ใหเ้ กิดโรค/อาการ ๑ ปวดต้นคอ เงยหนา้ ไมไ่ ด้ คอหนั กลบั หลังไมไ่ ด ้ เกิดอุบัติเหตุ เช่น รถชนแล้ว กระแทกบริเวณคอมาก่อนแล้ว เสน้ คอ่ ยๆ ยดึ มาจากหลายสาเหตุ เชน่ เกิดอบุ ตั ิเหตุ ๒ คอแขง็ /คอตกหมอน/ นอนตะแคงไมไ่ ด้ หนั คอไมไ่ ดม้ อี าการปวดรา้ วไปท่ี มาจากอุบัติเหตุ แต่อาจออก คอเคลด็ สะบักแลว้ ไปไหปลาร้า อาการ เช่น คอแข็ง ตกหมอน ฯลฯ ๓ ขากรรไกรแขง็ /ค้าง เวลาอ้าปากจะมเี สียงดงั กกุ๊ -ก๊กั เวลาพดู ลน้ิ จะแขง็ เกดิ อบุ ตั เิ หตุ ท�ำ ใหเ้ สน้ ยดึ บรเิ วณ สนั่ รวั จะพดู ซา้ํ ติดอ่าง รับประทานอาหารมกั มี ขากรรไกร ถา้ ไมร่ กั ษากจ็ ะท�ำ ให้ อาการสำ�ลกั หาวบอ่ ย ๆ และหาวกว้างเกินไปจน ขากรรไกรแข็งคา้ งได้ กรามค้าง ๔ หอู ื้อ นาํ้ ในหไู ม่เทา่ กนั สาเหตเุ กิดจากธาตพุ กิ าร หอู ้อื เกิดจากขากรรไกรดึงเส้นเอ็น หมู ีเสียง เดินเซ บริเวณหู ทำ�ให้น้าํ ในหูไม่เท่ากัน ๕ ปวดหวั มอี าการปวดหวั เปน็ เวลานานเปน็ ปี ปวดทง้ั หวั เกดิ จากเลอื ดลมวิง่ ถ่ายเทไม่ได้ และมึนงง บรเิ วณหัว ท�ำ ใหเ้ ลือดคั่งบรเิ วณ หวั ๖ ไมเกรน ปวดหัวข้างเดียว เหมือนหวั จะระเบดิ เกิดจากเลอื ดลมว่ิง ถา่ ยเทไม่ได้ บริเวณหวั ท�ำ ให้เลือดคง่ั บริเวณ หวั แต่จะเป็นขา้ งเดียว ๗ ปวดขมบั เนือ่ งมาจาก นํ้าตาไหล ตาพร่ามวั ความดันโลหิตสูง เกดิ จากเสน้ เอน็ แนวไขสนั กระดกู เสน้ เลอื ดตบี หรอื อุดตัน ไมส่ ามารถน�ำ เลอื ดหรอื ลมวง่ิ ขน้ึ หวั ถา่ ยเทไมส่ ะดวก ๘ ตาพรา่ ตามองไมค่ อ่ ยชดั ตามดื มวั มองเหน็ เปน็ ภาพซอ้ น เกิดจากขากรรไกรแข็งและเกิด อาการเช่ือมโยงกับลูกตา ทำ�ให้ เลอื ดลมไม่ถา่ ยเท ท�ำ ใหเ้ สน้ แขง็ บรเิ วณลกู ตา ทำ�ใหเ้ กิดตาพรา่ ๙ ตาลม โดนลมนา้ํ ตาจะไหล เกิดจากขากรรไกรแข็งและเกิด จากเชื่อมโยงกับลูกตา ทำ�ให้ เลือดลมไม่ถา่ ยเท ทำ�ใหเ้ สน้ แขง็ บรเิ วณลูกตา ทำ�ให้เกิดตาลม ๑๐ ตาแข็ง นํ้าตาจะไม่ไหล ตาหลบั ไมล่ ง เกิดจากขากรรไกรแข็งและ เกดิ จากเชอื่ มโยงกบั ลกู ตา ท�ำ ให้ เลอื ดลมไมถ่ ่ายเท ทำ�ใหเ้ สน้ แข็ง บริเวณลูกตา ท�ำ ให้เกดิ ตาแข็ง น ว ด พ้ื น บ้ า น ภ า ค ก ล า ง 37

ล�ำ ดบั โรค/อาการ อาการแสดง สาเหตุทที่ �ำ ให้เกดิ โรค/อาการ เกิดจากขากรรไกรแข็งและ ๑๑ ตาแหง้ บริเวณเบ้าตาไมม่ นี าํ้ ตา มีอาการระคายเคือง เกดิ จากเชอื่ มโยงกบั ลกู ตา ท�ำ ให้ กระพรบิ ตาไมถ่ นัด เลือดลมไมถ่ า่ ยเท ทำ�ใหเ้ สน้ แขง็ บรเิ วณลูกตา ทำ�ให้เกดิ ตาแห้ง เกิดจากขากรรไกรแข็งและ เกดิ จากเชอื่ มโยงกบั ลกู ตา ท�ำ ให้ ๑๒ ตากระตุก บริเวณขอบตาล่างจะกระตกุ เปน็ ระยะต่อเน่ือง เลอื ดลมไม่ถ่ายเท ทำ�ใหเ้ ส้นแข็ง บรเิ วณลกู ตา ท�ำ ใหเ้ กดิ ตากระตกุ เกดิ จากเสน้ ลมบรเิ วณสะบกั หวั คว้ิ ไมว่ ิ่งบนศีรษะ ท�ำ ให้ปวดขมบั เกิดจากกล้ามเน้ือของหัวใจเกิด ๑๓ ปวดระหวา่ งหวั คว้ิ ปวดกระบอกตา ปวดหัวค้ิว อาการเกรง็ บบี เส้นเลอื ด ท�ำ ให้ ตบี อดุ ตนั เกดิ ลมดนั เสน้ ประสาท ทำ�ใหน้ อนไม่หลับ ๑๔ นอนไม่หลบั มอี าการตึงท่ีทา้ ยทอย เกดิ มาจากความเครยี ด ทำ�ให้วิงเวียนศีรษะและมนึ งง เกิดจากเส้นเลือดลมตีบบริเวณ หัวใจ เกิดจากท้องผูกเป็นเวลานาน ๆ เกดิ จากเป็นตะคริว เกรง็ ในท้อง ส่วนหน้าอก/ท้อง ทำ�ให้มดลูกเอยี ง / ตํ่า ๑๕ เหนือ่ ยง่าย หายใจแลว้ เหนือ่ ย และแน่นหนา้ อก หายใจ เกิดจากการเกร็งของกล้ามเน้ือ แนน่ หนา้ อก (หัวใจ) ไมเ่ ต็มปอด นวดท่ีสะบกั หวั ใจดา้ นซา้ ย และเสน้ เอน็ บริเวณไหล่ คอ ๑๖ ทอ้ งแข็ง/ตงึ เป็นเถาดาน เมอื่ กดทอ้ งแล้วเจอก้อนเปน็ เถา ขดเป็นเสน้ ๆ เกิดจากยกของหนักหรือเล่น คอมพวิ เตอรน์ าน ๆ เอย้ี วตวั หนั ๑๗ มดลกู ควาํ่ /เอียง แท้งลกู ง่าย สาเหตมุ าจากมดลกู หย่อนยาน ไปขา้ งหลงั หรอื คนทชี่ อบตกี อลฟ์ ทำ�ใหม้ ดลูกหย่อนดันปากช่องคลอด หรอื โหนรถเมล์ ท�ำ ใหเ้ กรง็ ท�ำ ให้ เมื่อคลอดลกู แล้วมดลูกต่าํ หรือหยอ่ นยาน ผดิ รปู จากเดมิ ปวดทอ้ งนอ้ ยหรอื ชอ่ งคลอด ปวดปสั สาวะบอ่ ย ๆ เกิดจากกล้ามเน้ือบริเวณหลัง ๑๘ ปวดสะบัก สะบักจม จะปวดเมื่อยแขน/สะบัก สะบกั จม เกดิ การเกรง็ ตวั หรอื ยกของหนกั ปวดบรเิ วณหวั ไหล่ เวลายกแขนขึ้นมกั ปวด หรือก้ม ๆ เงย ๆ บ่อย ๆ ปวดรา้ วออกแขน ๑๙ ไหล่ตดิ ยกแขนไมข่ ้นึ มอี าการปวดบริเวณรกั แร้ มือชา แขนอ่อนแรง ๒๐ ปวดเอว ปวดหลงั กม้ ไดบ้ า้ ง แต่จะปวดยดึ ทบี่ ริเวณเอว เวลาก้มตวั ลงจะท�ำ ให้ปวดมาก ส่วนเวลาน่งั จะลุกขึน้ ยาก ปวดทก่ี ระดูกสันหลงั แข็ง กม้ ไม่ได้ ปวดเอว น่งั พับเพยี บไม่ได้ ปวดหลัง น่ังได้แต่ก้มไม่ได้ 38 น ว ด พ้ื น บ้ า น ภ า ค ก ล า ง

ลำ�ดับ โรค/อาการ อาการแสดง สาเหตุท่ที ำ�ให้เกิดโรค/อาการ ๒๑ ปวดกระดกู สนั หลงั ปวดตั้งแต่ตน้ คอลงมาแขน การเกร็งของกล้ามเนอื้ และเสน้ เอ็นบรเิ วณสะบัก ไหล่ แล้วร้าว ลงแขน ๒๒ หมอนรองกระดกู ทับ ปวดทส่ี ะโพกชาลงไปทข่ี าจนถงึ ปลายเทา้ ปวดหลงั เกดิ จากการปวดหลงั เปน็ การปวด เส้นประสาทแขน และเอว ปวดที่สลักเพชรทำ�ใหน้ ง่ั พบั เพียบไม่ได ้ กลา้ มเนอ้ื และเส้นเอน็ เกดิ การ ชาลงไปทีร่ ่องหน้าแข้งดา้ นนอก เกรง็ บรเิ วณหลงั ตรงกระเบนเหนบ็ หรอื บริเวณกล้ามเนือ้ หลงั ๒๓ ปวดก้นย้อย ปวดที่โคนขา บรเิ วณทีก่ ้นนั่งทบั หรอื ก้นย้อย อาการเกรง็ ของกลา้ มเนอื้ บรเิ วณ ก้นย้อย เกิดจากเดินมาก ชอบ เตะฟตุ บอล หรอื การใชง้ านซา้ํ ๆ รนุ แรง ท�ำ ใหผ้ ดิ ทา่ ท�ำ ใหห้ มดแรง เดนิ ไม่ไหว ๒๔ ปวดขอ้ ศอก ขอ้ พบั ศอกจะปวด เหยยี ดแขนจะปวด ยกแขน เกิดจากการบิด เบียด กด ทับ พับงอจะปวดมาก ของกลา้ มเนอื้ เสน้ เอน็ และกระดกู บริเวณข้อศอก ๒๕ ปวดหลังแขน ปวดหลังแขนด้านนอก เกิดจากยกของหนักหรือขาด แคลเซียม อาจทำ�ให้บรเิ วณหลงั แขนชา เกิดการเกร็งตัวของ กล้ามเนื้อกับเส้นเอ็นบริเวณ หลงั แขน ๒๖ ปวดขอ้ พบั หว้ิ ของหนักไมไ่ ด้ สะบดั แขนก็ไมห่ าย เกดิ จากกระดกู บรเิ วณขอ้ พบั แขน ออกนอกเบ้าของข้อพบั แขน ๒๗ ปวดข้อมือ ใชแ้ ขนยันพ้นื ไมไ่ ด้ และหมนุ ข้อมอื ไมไ่ ด้ เกิดจากกระดูกบริเวณข้อมือ ออกนอกเบ้า ๒๘ ปวดข้อนว้ิ หัวแม่มอื หวั แมม่ อื ขยบั ไมไ่ ด้ ปวดในขอ้ ท�ำ ใหต้ ดิ ขดั หยบิ จบั เกดิ จากกระดกู บรเิ วณขอ้ นวิ้ โปง้ ไม่ถนัด ออกนอกเบ้า ทำ�ใหผ้ ิดรปู ๒๙ น้ิวมือลอ็ ก กำ�มือแล้วคลายออกไม่ได้ บางรายปวดและชานิว้ เกิดจากการเกรง็ ของกลา้ มเนื้อ ขยบั และกระดกิ นิว้ ไมไ่ ด้ และเสน้ เอน็ บรเิ วณไหล่ ๓๐ ไหล่หลุด แขนจะหอ้ ยตกลง ตรงหวั ไหลจ่ ะมรี อยบมุ๋ ขยบั แขน เกดิ จากการกระแทกหรือถกู ไมไ่ ด้ กระชากแรง ๆ เช่น โหนรถเมล ์ แลว้ รถเบรก ทำ�ให้ถกู กระชาก ท�ำ ให้กระดูกออกนอกเบา้ ๓๑ มือเยน็ และอาการชา กำ�มอื จะมีอาการตงึ ๆ มือเย็นมีเหง่ือ เกิดจากปวดของกลา้ มเนือ้ ทัง้ แขน ปวดชาแขน ท�ำ งานหรือยกอะไรไม่ได ้ เสน้ เอน็ กระดกู มอี าการปวด เกรง็ เกิดอาการตีบ ทำ�ให้เลอื ด ลมไมว่ ิ่ง ท�ำ ใหช้ า หรอื เกดิ จาก หนิ ปนู ไปเกาะบรเิ วณแขน น ว ด พื้ น บ้ า น ภ า ค ก ล า ง 39